21.
เรามาถึงกรุงเทพตั้งแต่เมื่อคืน พักอยู่ที่บ้านเพื่อนในแบนด์แถวบางบัวทอง ตอนเช้ามืดจึงตีรถตู้เข้ามาในสยามสแควร์
กรุงเทพก็เหมือนอย่างที่เคยเป็น อากาศร้อน รถติด คนเยอะยุ่ง แต่ก็มีเสน่ห์เป็นตัวของตัวเอง รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยที่เข้ามาแถวนี้ ซึ่งก็เป็นทุกครั้งนั่นแหละ เพราะจะได้เดินอัพเดตของใหม่ๆ นั่นโน่นนี่ ที่ไม่มีที่เชียงใหม่ เสียแต่คราวนี้เราไม่มีเวลาทอดน่องดูของมากนัก ต้องสแตนด์ตั้งแต่เช้าถึงบ่าย เอาเถอะ ถึงยังไงผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะวินโดว์ช้อปปิ้งอยู่แล้ว
ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่ส่งเปเปอร์ปลายภาคเสร็จเรียบร้อย ผมก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ขลุกอยู่กับแบนด์ที่สโมฯ ส่วนเจ้าเหล็กดัด ก็… ไม่รู้เหมือนกัน ก็คงจะยุ่งเหมือนกันแหละมั้ง เพราะฟุตบอลระหว่างคณะ หรือ CMU League เริ่มแข่งขันแล้ว จนกว่าหาคู่ชิงเตะกันในงาน Sport Day เทอมหน้าได้ เรื่องของเรื่องคือ เราแทบไม่คุยอะไรกันเลยหลังจากที่ผมกลับมาจากบ้านนอก ผมอยู่สโมฯ ซ้อมร้องเพลง บางทีก็ถึงตีหนึ่งตีสอง พอถึงห้องเหล็กดัดก็นอนไปแล้ว ที่จริง มันก็อาสาจะไปรับส่งเหมือนกัน แต่ผมรู้ว่ามันไม่ไหวหรอก และอีกอย่างมันก็คงแค่ถามตามมารยาทเท่านั้น
ดังนั้นสองสามวันหลัง ซึ่งซ้อมกันดึกมาก ผมจึงไม่กลับไปนอนที่ห้อง แต่ไปอาศัยไอ้แมกซ์แทน (มันเที่ยวดึก กลับเกือบเช้าทุกวันอยู่แล้ว) และแวะเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนกลางวันที่เหล็กดัดไปเตะบอลแทน
สงสัยคราวนี้คงต้องเริ่มหาหออยู่จริงๆ จังๆ แล้วสิ ที่บ้านก็กำชับมาว่าอย่างนั้น เพราะเข้าใจว่าผมกำลังไปเบียดเบียนสร้างความลำบากให้กับคนอื่น ซึ่งจะว่าไปมันก็ใช่แหละ
ไปค้างกับไอ้แมกซ์คราวนี้ ทำให้เราสองคนได้คุยปรับความเข้าใจกัน ผมเข้าใจมันมากขึ้น และมันก็เคารพการตัดสินใจของผมมากขึ้น อ้อ ผมไม่ลืมบอกมันเรื่องของน้องแมกซ์ (หรือเจ้าเด็กแมกซ์) ซึ่งกำลังคั่วหมอแบดบอยอยู่ ซึ่งหมายความว่า พี่ต้อมกับเจ้าเด็กแมกซ์ ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรไปมากกว่าคำว่า ‘กิ๊ก’
“กูรู้ตั้งนานแล้ว”
“อ้าว รู้ได้ไงวะ พี่ต้อมบอกเหรอ”
“อือ ยังไงก็ขอบใจมึงนะ ที่คาบข่าวมาบอก”
“เค้าเรียกว่ามาอินฟอร์มเว้ย คาบนั่น มันนกพิราบแล้ว”
“กูหมายถึงหมา”
“มึงสิหมา ห่า กูอุตส่าห์เป็นห่วง”
ไอ้แมกซ์ยิ้มกว้าง
“อะไร มึงอย่าคิดอกุศลกับกูเชียวนะ”
“ความคิดคน มันห้ามได้ด้วยเหรอวะ”
“ลองมึงทำอะไรกู กูจะโทรฟ้องพี่ต้อมเดี๋ยวนี้เลย”
“เสร็จพี่ต้อม ดีกว่าเสร็จกูว่างั้น”
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
“นึกว่าจะฟ้องผัวซะอีก”
“เออ ฟ้องแน่”
แต่เหล็กดัดคงจะไม่สนใจหรอก ซึ่งก็สมควรแล้ว เพราะผมสร้างเรื่องเอาไว้เยอะจริงๆ ตอนนี้มันอาจจะกำลังพยายามซ่อมสร้างชีวิตของตัวเองอยู่ก็ได้ มันเองก็ไม่ได้มีความสุขนักหรอก ทั้งหมดเพราะความงี่เง่าของผมเอง
“มึงโอเคนะ ว่าว”
“อืม”
“แต่ถ้ามึงไม่โอเค มึงก็ยังมีกูอยู่ทั้งคนนะ อย่าลืม”
“แล้วพี่ต้อมอ่ะ”
“พี่ต้อมก็ส่วนพี่ต้อมดิ นั่นกูชอบ กูอยากได้ แต่มึง… มึงคือเพื่อนที่กูแคร์ที่สุดเว้ย”
“ซึ้งอ่ะ” ผมบอก แหม ก็นานๆ จะไดพูดกันดีๆ “กูขอโทษนะแมกซ์ ที่กูชอบมึงตอบไม่ได้”
“เออ ก็เหมือนที่มึงห้ามไม่ให้กูชอบมึงไม่ได้นั่นแหละ เข้าใจกูด้วย”
โอ้ย จะผิดไหม ถ้าผมจะเริ่มหวั่นไหวกับมันอีก ก็ไม่รูสิ อะไรก็ไม่แน่ไม่นอนทั้งนั้น อาจจะมีสักวันที่ผมเลิกรักเจ้าเหล็กดัดได้ก็ได้ ถึงวันนั้น คนแรกที่ผมมองหาอาจจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่เอง ถ้ามันยังทำตัวดีแบบนี้ได้ตลอดรอดฝั่งอ่านะ
“มึงเป็นเพื่อนทีดีจริงๆ ว่ะ”
“เออ กูจะเป็นอะไรได้มากไปกว่านี้อีกล่ะ”
นั่นแหละ ประโยคตัดพ้อประจำตัวของมันล่ะ
ระหว่างรอซ้อมใหญ่บนเวทีจริง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูฆ่าเวลา แน่นอนว่าไม่มีทั้งมิสคอลหรือแมสเสจจากเหล็กดัด ไลน์ที่ผมส่งให้เมื่อวานตอนสามทุ่มก่อนบอร์ดดิ้งและหลังแลนดิ้งขึ้นว่าอ่านแล้วตั้งแต่เมื่อคืน แต่ก็ไม่มีข้อความตอบกลับแต่อย่างใด ยอมรับว่าเสียใจอยู่หน่อยๆ แหม อะไรมันจะจืดจางกันเร็วขนาดนั้น ไม่มีแม้แต่ข้อความให้กำลังใจ เช่น สู้ๆ เดินทางปลอดภัยนะ ทำให้ได้นะ คือแบบ นึกออกป่ะ ขนาดผมยังมีน้ำใจส่งแมสเสจไปก่อนมันแข่งทุกนัดเลย
คงไม่ใช่อะไรอย่างอื่นแล้วล่ะ นอกจากการนับเวลาถอยหลังเพื่อถูกบอกเลิก
การซ้อมใหญ่ในช่วงเช้าที่ลานดิสคัฟเวอรี่ถือว่าผ่านไปได้ด้วยดี แต่ละวงมีเวลาซ้อมวงละ 20 นาที สามเพลง ตามกำหนดการณ์จริง มีแบนด์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ รอดมาถึงรอบสุดท้ายนี้ 7 วง ซึ่งดูๆ แล้ว น่ากลัวและฝีมือฉกาจฉกรรจ์กันทั้งหมด แต่แบนด์เราก็มีทั้งกลอง เปียโน คีย์บอร์ด และวงเครื่องเป่าที่สุดยอดเหมือนกัน จะมีก็แต่นักร้องนี่แหละ สามเพลง ใช้ถึงสามคน ชายสอง หญิงหนึ่ง ร้องนำคนละเพลง ที่เหลือก็ช่วยกันประสาน ผมรับผิดชอบเพลงคัฟเวอร์ที่เป็นเพลงช้าและเป็นเพลงภาษาอังกฤษ คือเพลง Memo ของวง Years & Years ผมเสนอเพลงนี้เองเพราะชอบโดยส่วนตัว ร้องแล้วเข้าปาก ซึ่งคนอื่นๆ ได้ฟังแล้วก็ปิ๊ง เราเรียบเรียงใหม่ให้ได้โชว์เครื่องดนตรีมากกว่าเดิม รวมถึงเอาเครื่องเป่าเข้ามาใช้ด้วย
พอถึงเวลาเริ่มงานคือห้าโมงเย็น ลานก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คน ทั้งที่ตั้งใจมาเชียร์แบนด์ของมหาวิทยาลัยตัวเอง มาเชียร์คนรู้จัก และที่สัญจรไปมา พวกเราซึ่งเปลี่ยนมาใส่ชุดนักศึกษาเรียบร้อยจับกลุ่มกันบริเวณที่สตาฟจัดไว้ให้ร่วมกับนิสิตนักศึกษาจากสถาบัน นั่งบ้าง ยืนบ้าง คุยกัน เล่นมือถือ บ้างก็ถ่ายรูปกันกับเพื่อนแบนด์อื่นๆ ดูสนุกสนาน ผมเองก็พอมีคนมาขอถ่ายรูปด้วยเหมือนกัน แต่ให้ตายยังไงก็ไม่รู้สึกดี ทั้งที่มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้เลย
“เฮ่ลโล้ววววว ว่าไงยะ อาร์ ยู เรดี้”
สำเนียงกระแดะ แปร่งๆ คุ้นหู แทรกผ่านกลุ่มสตาฟเข้ามากระทบโสดประสาท พอหันไปก็เจอยัยเมี่ยง ไอ้แมกซ์ พี่ต้อม และพี่ๆ น้องๆ ในเมเจอร์และคณะ อีกหลายคนโบกไม้โบกมือให้
โอ้ย ขอบอกว่าดีใจมากอ่ะ ดีใจและซึ้งใจ พวกเราทั้งแบนด์รีบวิ่งไปที่เขตเชือกกั้นเพื่อทักทายเพื่อน
“มากันได้ไงเนี่ย” ผมละล่ำละลักถาม “นี่มาเซอร์ไพรส์เหรอ มากันกี่คน”
“ก็เท่าที่เห็นนี่แหละย่ะ”
ผมกวาดสายตามอง ถ้าพวกนี้วางแผนเพื่อจะมาเซอร์ไพรส์ ไม่แน่ว่าเจ้าเหล็กดัดอาจจะ…
“มันไม่ได้มาหรอก กูชวนมันแล้ว มันบอกติดแข่ง”
ไอ้แมกซ์บอก น้ำเสียงดูเวทนาผมชอบกล
“ไม่ได้มองหามันซะหน่อย”
“นี่ตกลง ยังไม่ได้คุยกันอีกเหรอ” ยัยเมี่ยงถามแล้วกลอกตาเบื่อหน่าย “กอชชชช จะโกรธอะไรกันนักหนาคะ เอาเบอร์มา เดี๋ยวฉันโทรหาเอง”
“ไม่ต้องหรอก ไม่มีอะไร” ผมปฏิเสธแกนๆ น้ำเสียงคงจะอ่อนไปหน่อย ทุกคนถึงทำหน้าเห็นอกเห็นใจขนาดนี้ “ขอบคุณทุกคนนะ ที่มาให้กำลังใจ เซอร์ไพรส์มากอ่ะ บอกเลย”
“เต็มที่เลยนะมิว พี่เอาใจช่วย”
พี่ต้อมบอก พร้อมกับยิ้มอบอุ่นอันเป็นซิกเนเจอร์
“เออ ร้องดีๆ นะมึง เอาถ้วยรางวัลมาฝากกูด้วย”
ไอ้แมกซ์บอก
“สู้ๆ ค่ะ คุณเพื่อน… เมย์ เดอะ ฟรอซ บี วิท ยู” ยัยเมี่ยงอวยพร “เดี๋ยวพวกฉันไปจองที่ยืนตรงหน้าๆ เบรก กะ เล้คคค โอเค๊”
ผมทำท่าโอเคตอบ ก่อนที่จะโบกมือบ๊ายบาย ทักทายเพื่อนคนอื่นๆ และเดินกลับไปนั่งที่เดิม
ไม่มาจริงๆ ด้วย…
ก็ไม่แน่นะ ตอนผมขึ้นร้อง พอผมกวาดสายตาไปรอบๆ อาจจะเจอมันมายืนอยู่กลางลานก็ได้ ต้องเป็นแบบนั้นแหละ แบบในเรื่อง รักแห่งสยามไง ตอนที่โต้งมายืนให้กำลังใจมิว
แต่ไม่เอาฉากหลังจากนั้นนะ ที่บอกว่า ’เป็นแฟนไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าไม่รัก’ อะไรนั่นน่ะ
เหล็กดัด เตงอยู่ไหนอ่า T T
…
น้องจากเมเจอร์เยอรมันเพิ่งร้องเพลงคัฟเวอ่ร์เพลงไทยซึ่งเป็นเพลงแรกจบไป เสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือดังสนั่น !
ผมสลับตำแหน่งเพื่อขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้า เพื่อเตรียมร้องเพลงที่สองซึ่งเป็นเพลงช้า ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเพลงเร็วซึ่งแต่งโดยไอ้ไกด์ และมีน้องน้อยหน่า เมเจอร์อิ๊ง เป็นคนรับผิดชอบ ตามกติกาของการประกวด
อินโทรดังขึ้น ไฟส่องสว่างอีกครั้ง ผมโบกมือทักทักทายเพื่อนๆ นำโดย ไอ้แมกซ์ พี่ต้อม ยัยเมี่ยง ซึ่งกำลังตะโกนเรียกชื่อผมอยู่ด้านล่าง พยายามกวาดสายตาสู้แสงไฟอย่างยากลำบาก แต่ก็ไม่พบเจ้าเหล็กดัด
But the show must go on ผมต้องร้องแล้วล่ะ
เธอจะร้าวราน จะไหม้หมอง หรืออย่างไร
เพียงขานรับฉันสักครั้ง
ให้ฉันดูแลหัวใจ ได้รักเธอในมุมมืด
โดยไม่มีผู้ใดระแคะระคาย
อา ฉันปารถนาเธอมากขึ้น และมากขึ้น
ฉันต้องการเธอมากกว่าเดิม มากกว่าเดิม
โอ เธอมองดูตัวเองว่าต่ำต้อยด้อยค่า
ให้พยายามอย่างไร ก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนใจเธอได้
โอ ฉันรักที่จะจ้องมองเรือนร่างของเธอ
เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกดีและเกิดความพึงพอใจ
Memo โอ เธอทำให้ฉันถวิลหา
ใครบ้างจะไม่ปรารถนา กับเรือนร่างและหน้าตาเช่นนั้น
โอ ฉันอยากจะรั้งเธอไว้ให้อยู่ด้วยกันนานๆ
ถ้าฉันพยายามอย่างถึงที่สุด เธอจะมองกลับมาที่ฉันบ้างไหม
เธอจะร้าวราน จะไหม้หมอง เช่นนั้นหรืออย่างไร
เพียงขานรับฉันสักครั้ง
ให้ฉันดูแลหัวใจ ได้รักเธอในมุมมืด
โดยไม่มีผู้ใดระแคะระคาย
อา ฉันปารถนาเธอมากขึ้น และมากขึ้น
ฉันต้องการเธอมากกว่าเดิม และมากกว่าเดิม
ผมร้องประโยคสุดท้าย จากนั้นรอฟังเสียงโห่ร้อง ปรบมือ และปาฏิหาริย์
แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น จึงขยับถอยหลังไปประจำที่ของคอรัสตามเดิม
…
วงเราไม่ชนะ
หมายถึง ไม่ชนะเลิศ แต่ก็ได้รางวี่รางวัลติดมือกลับบ้านบ้าง (อันดับ 4) ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายอะไรนัก เมื่อคิดว่าฝ่าฝันจากรอบแรกๆ เอาชนะแบนด์อื่นๆ อีกเกือบร้อย จนมาถึงรอบชิงได้
เพื่อนบางคนอยู่เที่ยวต่อเพื่อฉลอง บางคนก็ตัดสินใจเดินทางกลับทันที และนัดแนะกันว่าค่อยไปฉลองอีกครั้งที่เชียงใหม่ ผมเอาสัมภาระมากับรถตู้แล้วเมื่อเช้า แม้ว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องที่พักและสมาชิกส่วนใหญ่ในแบนด์ก็นัดที่จะอยู่เที่ยว ผมก็เลือกที่จะกลับ แต่นั่นก่อนหน้าที่ไอ้แมกซ์ พี่ต้อม และยัยเมี่ยง จะขอร้องแกมบังคับให้อยู่เที่ยวต่อด้วยกัน
ยัยเมี่ยงพักคอนโดพี่โคลเอ้แถวอ่อนนุช ส่วนไอ้แมกซ์กับพี่ต้อมและอีกหลายคนพักโรงแรมแถวรองเมือง ดูก็รู้ว่าสองคนนี้กะมาจัดกันเต็มที่ (โว้ยยย อิจฉา) แต่ไอ้แมกซ์ยังมีน้ำใจเสนอจะให้พักด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผมปฏิเสธ เช่นเดียวกับที่ปฏิเสธยัยเมี่ยง แต่ขอแชร์ห้องกับเพื่อนอีกสองคนที่ตามแบนด์มาและจะพักอยู่ที่โรงแรมเดียวกัน
ผมทำธุระอยู่ในห้องน้ำตึกสยามทาวเวอร์ ตอนที่ไอ้แมกซ์โทรเข้ามา
“ว่าไง”
“อยู่ไหนแล้ววะ”
“ก็ฉี่อยู่ไง”
“เออ ออกมาหน้าห้างเลยนะ ตรงที่เค้ารอแท็กซี่กันเนี่ย ที่มีร้าน เซฟโฟร่า เซโฟร่า อะไรเนี่ย นึกออกป่าว”
“เออๆ เดี๋ยวไป”
ผมจัดชุดนักศึกษาให้เรียบร้อย แบกกระเป๋าเสื้อผ้า กึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อไปยังจุดนัดหมาย พยายามมองเข้าไปในหมู่คนที่กำลังรอรถเมล์กะดึกและแท็กซี่ แต่ไม่ยักกะเห็นใครที่คล้ายไอ้แมกซ์ พี่ต้อม หรือเพื่อนคนอื่น เลยหยิบมือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมา
จังหวะนั้นเอง เสียงแตรรถจากไหนไม่รู้ก็ดังขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นมองหาต้นเสียง
นิสสัน จู๊กซ์ คันคุ้นตาจอดอยู่ริมฟุตบาท กระพริบไฟใส่
เหล็กเงยหน้าจากเบาะที่นั่งคนขับ แล้วตะโกนบอกให้ผมรีบขึ้นรถ
…
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ผมถามเป็นคำแรก ขณะที่แวะร้านปิ้งย่างที่เปิดจนถึงดึกระหว่างทาง ยอมรับว่างอนมาก มากจนไม่มีกะจิตกะใจจะเป็นคนที่มีเหตุมีผล
“ก็มาทันฟังคนบางคนร้องเพลงตัดพ้ออยู่กลางสยามนั่นแหละ”
“ขี้โม้ ถ้ามาทันแล้วทำไมไม่เห็น”
“ไม่มองเองมากกว่า อุตส่าห์ไปยืนบนสะพานลอยแบบมาริโอ้ในเรื่องรักแห่งสยามแล้วเชียว”
อ๊ะ จริงสินะ ลืมไปเลย อีกอย่าง สายตาผมสั้นด้วยแหละ โอเค ผมเชื่อแหละว่ามันมาทัน แต่ก็ยังงอนอยู่นะ
“แล้วไม่ไปแข่งบอลเหรอ”
“ไม่อ่ะ ผมเป็นตัวสำรองอยู่แล้วนะ ไม่สบายซักนัด คงไม่มีใครว่า”
“จะมาทำไมไม่บอก”
“ก็อยากมาเซอร์ไพรส์ไง”
“ไม่ชอบเรื่องเซอร์ไพรส์ บอกตั้งกี่ครั้งแล้ว”
“แต่ผมชอบ”
เหล็กดัดคีบกุ้งกับปลาหมึกที่ย่างจนสุกแล้วใส่จานให้อย่างเอาใจ เพราะรู้ว่าชอบซีฟู้ด
“แล้วนี่… หายโกรธแล้วเหรอ”
ผมถามอย่างไม่แน่ใจ
“ยังครับ”
“อ้าว”
“แต่วันสำคัญของแฟนทั้งที ยกให้วันนึง”
โอ้ยยยย เป็นคนดีเกินไปแล้วนะ
“ขอโทษนะ”
“เรื่องอะไรครับ”
“ก็ทั้งหมดนั่นแหละ” โอ้ย ทำไมเข้าใจยากจริงวะ “เอาเถอะ จะยกโทษให้หรือยังโกรธอยู่ก็แล้วแต่นะ แต่เค้าไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคำขอโทษ และถึงแม้ว่ามันจะไม่เปลี่ยนแปลงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วก็เหอะ … อาทิตย์ที่ผ่านมา คงลำบากแย่เลยสินะ”
“ก็นิดนึงครับ”
“เรื่องที่ไม่ได้เป็นตัวจริงนี่เกี่ยวไหม”
“ก็ไม่น่านะครับ ไม่น่าจะมีใครงี่เง่าขนาดนั้น หลายคนที่คณะก็คบผู้ชายด้วยกัน ในทีมก็มีอยู่หลายคนที่ไม่พูด แต่ก็รู้ๆ กันว่าชอบผู้ชาย”
“อืม” ผมไม่รู้จะพูดอะไร มันก็ต้องมีบ้างแหละ คนที่พอรู้เรื่องของเราแล้วก็นึกดูถูกหรือรังเกียจ “แต่ยังไงก็ต้องขอโทษนะ เค้ามันงี่เง่า”
“ใช่ เตงงี่เง่า งี่เง่ามาก”
โวะ พอได้ยินจากปากเหล็กดัดแบบนี้ ผมถึงกับจุก
“ขอโทษนะ”
“ไม่ต้องขอโทษแล้ว จะช้าจะเร็ว เค้าก็ต้องบอกทุกคนอยู่ดีว่าเราคบกัน แต่ที่เค้าโกรธ คือเรื่องที่เตงดึงคนอื่นที่ไม่เกี่ยวอย่างไอ้แมกซ์หรือข้าวใหม่มาแต่งเรื่องเสียๆ หายๆ ต่างหาก”
“เค้าโทรไปขอโทษข้าวใหม่แล้วนะ คุยกันจนเข้าใจแล้ว แล้วก็…”
“เค้ารู้แล้ว ใหม่บอกเค้าแล้ว” เหล็กดัดเอื้อมมือมาจับมือผม “พี่มิว เรามาลืมเรื่องบ้าๆ นั่นเหอะ ที่แล้วให้มันแล้วไป เค้าจะไม่โกรธ ส่วนเตงก็ไม่ต้องรู้สึกผิดอีกแล้ว เข้าใจไหม”
ผมเอามือปาดน้ำตาที่ไหลลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เหล็กดัดยื่นมือมาช่วยอีกแรง
“ขี้แยจัง”
“ก็เตงเล่นเงียบ ไม่คุยอะไรกับเค้าเลยเป็นอาทิตย์ จะให้เค้าคิดยังไง ก็คิดว่าตัวเองกำลังอยากจะเลิกกับเค้านะสิ”
“อ๋อ ก็เลยหลบหน้าหลบตา ไม่กลับมานอนที่ห้อง” เหล็กดัดส่ายหัว “คิดอะไรไม่เข้าท่า”
“ก็เตงเงียบทำไมล่ะ”
“พี่มิวก็ไม่คุยกับเค้าเหมือนกันแหละ”
“ก็กลัวโดนเตงบอกเลิกนี่”
เหล็กดัดยิ้มจนตาหยี เห็นฟันที่จัดเรียงสวยใกล้จะเข้ารูป
“ถึงพี่มิวอยากเลิก เค้าก็ไม่เลิกให้หรอก ลงทุนมาขนาดนี้แล้ว”
กรี๊ดดดดด นี่แหละที่อยากได้ยิน ผมเขินจนไม่กล้าสบตา ต้องทำเป็นคีบเนื้อที่ไหม้แล้วโยนใส่จานให้เหล็กดัด ส่วนมันก้เอาเท้ามาเขี่ยผมเล่นใต้โต๊ะ
โวะ! อยากให้ถึงบ้านเร็วๆ จัง ป๊ากับม๊าเจ้าดื้อไม่อยู่ด้วยสิ คราวนี้จะจัดให้สะเทือนเลือนลั่น ท่วมท้น ทะลักทลายเลยคอยดู เพราะมันนานมากกกกกก มากแล้วจริงๆ T T
คิคิ
….
ปฏิญญาของผู้มองโลกในแง่ดี ในหนังสือเดอะคีย์ ของโจ ไวเทล บอกให้เราสัญญากับตัวเองไว้ว่า
1) จะต้องเข้มแข็งกระทั่งไม่มีสิ่งใดที่จะมารบกวนความสุขสงบทางใจของเราได้
2) จะพูดถึงเรื่องดีๆ ความสุข ความเจริญ กับทุกคนที่เราได้พบ
3) พูดหรือทำให้ทุกคนรู้ว่า พวกเขาล้วนมีสิ่งดีๆ ที่ซ่อนอยู่
4) จะต้องคิดแต่เรื่องดี ทำดี เลี้ยงชีพดี และคิดหวังแต่สิ่งดี
5) จะต้องกระตือรือร้นในความสำเร็จของผู้อื่นมากเท่ากับของตัวเอง …
โอ้ย และก็อีกร้อยแปดข้อ (ไปหาอ่านเอาเองละกัน) แต่หลักใหญ่ใจความของมันก็คือ เราต้องรู้จักมองโลกในแง่ดีนั่นแหละ ต้องใช้ชีวิตเสมือนกับว่าโลกทั้งใบอยู่ข้างเรา
ไม่ครับ โจ ผมไม่ต้องการให้โลกทั้งใบต้องมาอยู่ข้างผมคนเดียวหรอก ผมขอแค่เด็กผู้ชายแก้มใสที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้ก็พอแล้ว
แค่นี้ผมก็รู้สึกโชคดีที่สุดในโลกแล้ว
แต่ยังไงซะ ผมก็ต้องขอบคุณอะไรบางอย่างอยู่ดี ไม่ว่าเราจะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไรก็ตาม สวรรค์ พระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์… ถ้าวันนั้นผมไม่ถูกมอเตอร์ไซค์เสยจนต้องไปนอนแหม่บอยู่ถนนหน้า ITSC ไม่ตื่นขึ้นมาบนเจอเด็กขี้เงี่ยนกำลังปั๊ดว้องอยู่เตียงข้างๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะมีความสุขแบบนี้ไหม
โอ้ย สุข จนเจ็บจุกไปหมดเลย อิอิ
แต่ดูเหมือนว่า ไม่ใช่แค่คู่ผมที่สนุก เอ้ย สุขจนล้นทะลัก
ไฟสีเขียวกระพริบเตือนว่ามีข้อความเข้า ผมแอบย่องเดินไปหยิบเอาสมาร์ตโฟนที่วางบนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วกลับมานอนซุกเจ้าเหล็กดัด เปิดอ่าน
เป็นไลน์จากไอ้แมกซ์ และมัน เอ่อ กล้ามากกกกก! ส่งรูปคู่เรตอาร์ของมันกับพี่ต้อมมาเย้ย สองคนกำลังด๊วบปากกัน เปลือยท่อนบน บนผ้าปูเตียงสีขาว ฮึ่ย!
ชิ ใครจะไปยอมวะ ผมรีบเข้าโหมดกล้อง ชูสมาร์ตโฟนในมือขึ้น 45 องศา (ไม่มีเซลเซียส และไม่เกร็งริมฝีปากพูดว่าจิก๊ะ) เอาหน้าซุกต้นคอเจ้าเหล็กดัดที่กำลังเคลิ้มหลับอย่างเซ็กซี่ กดชัตเตอร์ แล้วเปิดแอพไลน์ ส่งรูปไปต้านคู่ไอ้แมกซ์ทันที อะฮ่า!
ข้อความในไลน์ เด้งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นับสิบ
โอววววว ม่ายยยยยยยย
DR. Nymph: “อีว่าว มึงช่างกล้า”
Tye Tye: “กรี๊ดดดดดดดดดด”
Ichi Neung: “มึงส่งอะไรมาในไลน์กรุ๊ป อีดอกกกกก”
Tom Thanakarn: “ซวยแล้ว มิวเอ้ยยยย”
TangMay: “โอ้ยยยยยย กูอิจฉ์”
Jinbby: “เหยด จะอ้วก”
ฯลฯ
“ทำอะไรครับ เตง”
อุ๊ย แม่! โทรศัพท์เกือบหลุดจากมือ ผมรีบปิดหน้าจอแล้วโยนมันลงข้างเตียง
“เอ่อ เปล่า แค่เช็คเฟสบุ๊คนิดหน่อยน่ะ”
“อ่อ เหรอครับ” เหล็กดัดรับคำเหมือนไม่เชื่อ “นึกว่าแอบเข้าไปพิมพ์อะไรในเว็บพันซิปซะอีก”
“บ้า ใครจะไปทำแบบนั้น”
“ก็เคยมีคนทำแล้วละกัน”
“โอ้ย ดึกแล้วนะ ตีสองแล้ว นอนเหอะ พรุ่งนี้มีนัดกับพวกไอ้แมกซ์ ยัยเมี่ยงแต่เช้านะ เตงอยากไปกินกล้วยๆ ที่ลิโด้ก่อนไม่ใช่เหรอ นอนเลย”
ผมระล่ำละลักเปลี่ยนเรื่อง เจ้าดื้อเดินงัวเงียไปเข้าห้องน้ำ ผมรีบหยิบสมาร์ตโฟนที่โยนทิ้งขึ้นมากดดูอีกรอบ
โว้ย อะไรเนี่ย ไลน์กรุ๊ปที่ไม่ได้อ่านยาวเป็นหางว่าว ผมรีบพิมพ์ตอบอย่างไว
This Kite: “พวกแก๊! ได้โปรดดดดดด อย่าเซฟ อย่าโหลด อย่าแชร์ เอารูปนี้ออกไปนอกกรุ๊ปหรือเอาไปโพสต์ต่อเด็ดขาด กูขอร้องและสั่งห้าม ฝ่าฝืนให้พ่องตาย”
DR Nymph: “เสียใจอีว่าว มึงพลาดเอง”
ไม่นะ ไม่ๆๆๆๆๆ
This Kite: “อีแมกซ์ เพราะมึงคนเดียว มึงต้องหยุดอีพวกนี้ให้ได้ ถ้ารูปกูหลุด มึงก็คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
Mad Max: “อ้าว ซวยกูอีก”
โว้ย ทำไม ทำไมต้องมีเรื่องไม่จบไม่สิ้น ทุกอย่างมันกำลังดีอยู่แล้วเชียว ผมกำลังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกอยู่แท้ๆ
ผมพิมพ์ข้อความจนมือหงิก เพื่อยับยั้งไอ้อี ทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง ทุกตัวที่กำลังยั่วโมโห จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว
ไม่ เรื่องนี้จะให้เจ้าเหล็กดัดรู้ไม่ได้เป็นอันขาด ขืนมันรู้ผมซวยอีกแน่ๆ คราวนี้ มันคงไม่คุยกับผมไปอีกสักสองอาทิตย์ เฮ้ย หวังว่าเหล็กดัดคงจะไม่ …
เอ๊ะ เหล็กดัดล่ะ!
จังหวะที่ผมกำลังจะหันไปดูว่ามันกำลังเช็คโทรศัพท์หรือแอบดูผมอ่านอยู่หรือเปล่า อะไรสักอย่างก็พุ่งเข้ามากระทบกับใบหน้า หวิดเข้าตาไปนิดเดียว !
อ๊ะ นี่มัน !?!
ระลอกสองปรี้ด แรง ระห่ำ กระฉูด โดนริมฝีปากเข้าอย่างจัง !
ผมเห็นตัวเองกำลังหน้าเหวอ ยกมือข้างที่ว่างขึ้นมาสัมผัสกับเจ้าสสารที่อยู่บนใบหน้า ที่มาอีกหลายระลอกตามแรงดัน
เจ้าเหล็กดัดที่กำลังยืนค้ำหัวผมอยู่บนเตียง ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างสะใจ!
ไม่อยากจะเชื่อเลย!
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยย ไอ้เด็กบ้า!
โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
- จบบริบูรณ์ -