17.
โอ๊ย อึดอัดว่ะ
เสียงงุ๊งงิ๊งๆ ฉอเลาะของยัยข้าวใหม่ลอยมากระทบหูให้ได้รำคาญจนไม่มีสมาธิจะอ่านไรเลย พอเงยหน้าขึ้นหวังจะรวบรวมสมาธิก็ดันเจอรอยยิ้มหยันเยาะน่าถีบของไอ้แมกซ์เข้าอีก เว้ย อีนี่ก็อีกคน เป็นห่าไรเนี่ย ถ้านอนแบให้เอาซักคืนแล้วมึงจะเลิกทำตัวกวนส้นเท้าหรือเปล่า เอางั้นไหม อีด้อย & ดวกส์
โอเค พยายามจะไม่ใส่ใจ จะต้องมีรัศมีแห่งความสง่าแบบเดียวกับ บริดเจ็ท โจนส์ อย่า อย่าได้แคร์ เรามาที่นี่เพื่ออะไร เพื่อจะมาอ่านหนังสือใช่ไหม ก็ทำสิ อ่านสิ แสดงให้ริ้นไรพวกนี้เห็นว่าเราหาได้สะทกสะท้านไม่ สุดสงบแบบเซนไง อืม... เก๋ คูล
“เป็นไรวะ”
ยัยนิ่มถาม
“เปล่า”
“ก็แกทำยักคิ้วหลิ่วตาอยู่คนเดียว ฉันก็นึกว่าสันนิบาตกิน”
ว้าย จริงเหรอ ผมหันไปมองทางโต๊ะด้านหลังที่เจ้าดื้อกำลังจ้องกลับมาด้วยสีหน้าลำบากใจ
“คือ รำคาญเสียงยุงน่ะ”
ยัยเมี่ยงเหลือบมองอย่างรู้ทัน หล่อนหรี่ตาเซ็กซี่และร้ายกาจ
“ถ้าเป็นชั้นละก็ จะตบให้ตายคาฝ่ามืออันเรียวงามคู่นี้เลยทีเดียว”
“งามค่ะ กูนึกว่ามือโดราเอม่อน ไหนเอามานับซิมีกี่กีบ”
“อิเบศร์ อย่าแดกเลยไหมลิ้นจี่น่ะ ฉันน่าจะรู้ว่างูพิษอย่างแกน่ะ เลี้ยงไม่เชื่อง”
“แหมๆ”
“นี่ๆ พวกแก ติวๆ กันซักทีเหอะ ชั้นชักง่วงละ” พี่เมย์เสนอ “หรือถ้ายังไม่ติวเดี๋ยวชั้นออกไปกินนมร้านอ้อยกับอีหนึ่ง อิปุ้ยแป๊บ ไม่ไหวแล้ว ขอไปสูดอากาศ”
“ไปด้วยๆ”
น้องๆ ร้องงอแงจะตามไป ผมมองไปทางเจ้าดื้อ ยัยข้าวใหม่กำลังยิ้มร่าเริง ทำท่าทางตื่นๆ สุดๆ หล่อนแอ๊บแบ๊วอมลมไว้ที่กระพุ้งแก้มใช้สายตาเว้าวอน
เอาท์แล้วย่ะเธอ ท่านี้อ่ะ เอาท์แล้ว
“เธออยากไปเหรอ”
เจ้าดื้อถาม
“แอร๊ยส์ ไปกันให้หมดเลยค่ะ ไปค่ะไป ไปแดกนมแล้วมะรืนก็แดกเอฟต่อเลยนะคะ วุ้ย แล้วนี่ดิฉันจะห้อตะบึงจากสารภีเพื่อ? อยู่บ้านหลับตด หลับตด อ่านมั่งไม่อ่านมั่ง จบไปหลายรอบแล้วเนี่ย”
“โอ๊ย อีนี่ พูดจา กูพี่มึงนะ แหกตาดูมั่งสิ อีดำ”
พี่หนึ่งว่า
“ประทานโทษค่ะคุณพี่ขา ไม่เห็นจะต้องเหยียดผิว discriminate กันเลยนะคะ เมี่ยงหมายถึงเพื่อนๆ น่ะค่ะ อีไพร่พวกเนี๊ย อ่ะๆ ไปๆ ใครใคร่จะไปก็ไป but don’t forget ช่วยซื้อมาฝากกูด้วย โกโก้เย็นชงเข้มเพิ่มน้ำตาลสองช้อน ใครก็ได้แอดวานซ์ไปก่อน”
“นี่ เบาๆ หน่อย มึงไม่ได้อยู่กันเมเจอร์เดียวนะ”
ผมบอกอย่างเหลืออด เกรงใจคนอื่น คฯอื่นที่เขามาใช้ อมช. ด้วยจริงๆ นะ
\
“แล้วนี่ แกจะไปกับเค้ารึเปล่า”
“ไม่อ่ะ”
“ดี อยู่เป็นเพื่อนฉันนี่แหละ อารมณ์เสีย โวะ ส่องเฟซบุ๊คเป็นการเธอราพีดีกว่า คิคิ”
“พี่มิว ไม่ไปจริงๆ เหรอคะ”
น้องข้าวใหม่ถามด้วยความห่วงใย (อันจอมปลอมละสิ ชิ)
“ไม่ล่ะครับ ตามสบายเลยครับ”
“งั้นเดี๋ยวใหม่กับดื้อจะซื้อมาฝากละกันนะคะ ป่ะเธอ”
โถ แม่คนน้ำใจงาม ผมยิ้มให้ข้าวใหม่แทนคำตอบโดยไม่แลไปทางเจ้าดื้อเลย เฮอะ ควงแฟนคนอื่นเค้าไปนั่งกินนมให้มีความสุขนะยะ อย่าสำลักนม เอ๊ย ความสุขตายซะก่อนล่ะ ฮึ่ย!
ไม่ๆ นั่นไม่ใช่ความคิดผมนะ
“มันยังไงกันน๊า หาไอ้ว่าว เออ เดี๋ยวกูกลับมาเล่าให้มึงฟังนะ”
ไอ้แมกซ์ยังกวนตีนไม่เลิก แต่ไม่หรอก ไม่สนใจ ฉันมีรัศมีแห่งความสง่า ทำเป็นยุ่งอยู่กับหนังสือปรัชญากรีก ไม่สิ ตั้งใจอ่านเลยล่ะ จนกระทั่งเสียงหมู่มวลแซ๊บและสก๊อยค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไป
“โอ๊ย อีเด็กนี่มันจะเริ่ดกว่าฉันทุกฝีตะเข็บเลยใช่ไหม แกเห็นกระเป๋ามันรึเปล่า ลองชอมโคโลเนียล เซอเจนท์ เจเรมี สก็อตต์ ลิมิเต็ด เอดดิชั่น นะนั่นน่ะ หาซื้อไม่ได้แล้วนอกจากตลาดมืด แล้วนี่ฉันหิ้วถุงก๊อปแก๊ปกับถุงผ้าปักรูปช้างชูคบเพลิงร่าเริงอดทนมาทำเสร่ออะไร ลดโลกร้อนเหรอ กรี๊ด”
“เมี่ยง”
“ใช่ไหม แกเห็นด้วยกับฉันใช่ไหม”
“คืนนี้ ฉันขอไปนอนบ้านแกนะ”
“หา ทำไมอ่ะ”
“เออน่า”
“อ๋อ ก็ ดะ ได้สิ ได้ๆ”
ยัยเมี่ยงทำท่างงงวยแว่บนึง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองอย่างเวทนาสงสาร พร้อมเอื้อมมือสั้นป้อมมาลูบแขนอย่างปลอบโยน ...เพื่อ?
“ไปตอนนี้เลยได้ไหม”
22 มิสคอล ! ทักไลน์ แมสเซนเจอร์ มานับครั้งไม่ถ้วน
นี่ถ้าไม่ใช่แฟน ผมว่าไอ้คนโทรมันคงโรคจิตอ่ะ
กว่าผมจะมีใจเปิดเครื่องก็เกือบบ่าย (ผมบังคับให้ยัยเมี่ยงปิดด้วยเพราะกลัวเจ้าดื้อจะตามเจอ) ด้วยว่ากว่าจะปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมากินน้ำกินท่าได้ก็ปาไปเทื่ยงครึ่ง ยัยเมี่ยงอาสาจะขับรถส่งผมกลับหอ แต่พิจารณาสังขารและใบหน้าอิดโรยไร้เครื่องสำอางของมันแล้วก็ให้รู้สึกเกรงใจปนเกรงกลัว อีกอย่าง ผมนัดยัยนกเอาไว้ (เพื่อนสาวคุณแม่มือใหม่ เผื่อคุณๆ ลืม) ที่นิมมาน เลยดื้อขอนั่งรถประจำทางกลับจากสารภีแล้วมาต่อรถแดงที่กาดหลวงเอง แต่ชีก็ยังดึงดันขอทำหน้าที่เจ้าบ้านผู้แสนดีเดินออกมาส่งหน้าปากซอยซึ่งใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองนาที แต่ต้องรอหล่อนถึงสิบนาทีสำหรับการแต่งหน้า เพื่อ?
“แกต้องหนักแน่นเข้าไว้นะมิว อย่าไปยอม ดูอย่างฉัน ฉันแกร่ง ฉันสวย ฉันถึงยืนอยู่ได้อย่างสง่าผ่าเผยจนถึงทุกวันนี้ไง”
แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็เพลียเกินกว่าจะจิก จึงเออๆ ออๆ ไป
ตลอดทางที่นั่งรถกลับเข้ามาในเมืองผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจยังไงก็ไม่รู้ ผมรู้ว่าเจ้าดื้อก็คงเหมือนกัน พอเปิดเครื่องแล้วก็รู้สึกผิด และถ้ามันโทรมาตอนนี้ล่ะ ไม่เอาอ่ะ ก็ผมยังไม่อารมณ์จะคุยด้วยในตอนนี้นี่นา ไลน์ไปน่าจะง่ายกว่า ผมไลน์ถึงยัยนกก่อนว่าตอนนี้อยู่ไหน จะถึงจุดนัดหมายในกี่นาที จากนั้นจึงส่งข้อความถึงเจ้านั่น ว่าอยู่บ้านยัยเมี่ยง ไม่ต้องห่วง ไว้ค่อยเจอกันที่ห้องตอนเย็น เออ แบบนี้ค่อยดีหน่อย ทีนี้ก็ปิดเครื่องต่อได้อย่างสบายใจ
“ไม่ติดใบไม้มาด้วยเหรอ”
คือประโยคแรกที่ยัยนกทัก ผมส่ายหัวยิ้มแห้งๆ (ก็มันยิ้มได้แค่นั้นแหละ T T)
“แน่ใจนะ”
“อืม ไม่ล่ะ ไม่อยากรู้อะไรละ ชีวิตฉันมันคงไม่โชคดีไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ”
“ดูพูดเข้าสิ ทะเลาะแฟนเหรอ”
“เปล่า ช่วงสอบน่ะ อ่านหนังสือเยอะไม่ค่อยได้นอน”
ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น อีกอย่าง เราไม่ได้ทะเลาะกันซักหน่อย แล้วนี่ก็ช่วงสอบจริงๆ ผมไม่ได้โกหกนะ
“เออ นก เรื่องเงิน...”
“เราก็จะมาคุยกับว่าวเรื่องนี้แหละ...”
อ่ะ จะทวงแล้วเหรอ
“คือ ตอนนี้เรายัง…”
“เปล่า ไม่ได้จะทวง แต่จะบอกว่าวว่า เงินที่ว่าวยืม พ่อว่าวเอามาคืนให้แล้วนะ”
หา อะไรนะ
“ขอโทษนะ พอดีเราเผลอเล่าเรื่องที่ว่าวทำไฟไหม้หอพักให้แม่เราฟังอ่ะ แล้วแม่เราก็เผลอเล่าให้แม่ว่าวฟังที่งานศพแม่หลวงปัน คือแม่เราเค้าไม่รู้อ่ะ ว่าว่าวไม่ได้เล่าให้ที่บ้านฟัง พอพ่อว่าวรู้เรื่องก็เลยเอาเงินมาคืน ทุกบาททุกสตางค์เลย แถมยังบ่นๆ อีกว่า ว่าวน่ะ เวลามีปัญหาไม่ค่อยเล่าอะไรให้ที่บ้านฟัง พ่อกับแม่ว่าวเนี่ย เขาเป็นห่วงว่าวมากเลยนะ บอกให้มาบอกว่าวด้วยว่าให้หาหอใหม่ได้เลย ไม่ต้องห่วงเรื่องตังค์”
ผมรู้สึกจุก พูดไม่ออก
“นี่พ่อเค้ายังซักเราใหญ่เลยว่า พอรู้ไหมว่าว่าวอยู่กับใครอยู่ยังไงช่วงนี้ มีเงินพอใช้ไหม เราก็บอกไปว่าว่าวแชร์ห้องอยู่กับเพื่อนเลยไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไหร่ จะมีก็แต่ค่าเสียหายที่ต้องจ่าย... เอ่อ ว่าวยังเดือดร้อนเรื่องเงินอยู่รึเปล่า”
ผมส่ายหัวแทนคำตอบ
“ขอโทษจริงๆ นะ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก จะขอบคุณมากๆ ต่างหาก”
“อืม โอเค เรื่องเงินน่ะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยอีกก็บอกได้นะ"
"จ้า ขอบใจมากๆ เลยนะ"
"อืม สอบเสร็จกลับบ้านรึเปล่า”
“กลับสิ กลับๆ”
“ดี งั้นเดี๋ยวชวนพวกเจน กระแต น้องเบลล์ โอชิน ทำส้มตำกินกันไหม ตำเมืองเผ็ดๆ ใส่ปาร้าเยอะๆ ใส่มะเขือแจ้ อยากกินจัง แต่ไม่มีใครตำให้กิน”
“เอาดิ อยากกินอยู่เหมือนกัน”
“แล้วนี่แน่ใจนะ ว่าจะไม่ดู ดูลายมือไหม”
เออ ก็อยากดูอยู่หรอกนะ แต่ก็รู้สึกกลัว กลัวว่ามันจะไม่เป็นไปอย่างใจน่ะสิ
“ไม่ดีกว่า”
ผมยิ้มแห้งๆ ให้กับเพื่อนสาว ...อีกแล้ว
นั่งดูดโกโก้เย็นที่เย็นจนปรี๊ดขึ้นสมอง คุยสารทุกข์สุกดิบกับยัยนกจนเกือบสี่โมงเย็น จึงได้เวลาแยกย้ายกันกลับ ผมลืมเรื่องเจ้าดื้อไปเลย คิดแต่เรื่องพ่อกับแม่ ที่บ้านจะมีตังค์ใช้กันรึเปล่าก็ไม่รู้ คิดแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองแย่ยังไงชอบกล เลยตัดสินใจโทรหาพ่อ พ่อรับเกือบจะทันที แล้วผมก็รีบเข้าประเด็นเรื่องเงินเกือบทันทีเหมือนกัน ขอบคุณพ่อด้วยน้ำสียงสั่นเว่อร์ แล้วทำทีเป็นร่าเริงไม่ยี่หระ พ่อบอกให้กลับบ้านไปเอาตังค์ จะได้หาหออยู่เองไม่ต้องเบียดเบียนใคร เหอๆ นับว่าตัดสินใจไม่ผิด ผมคุยกับพ่อไม่ถึงสามนาทีตามสไตล์ แต่ผมนั่งเหม่อคิดถึงบ้านตรงบันไดโลตัสเอ็กซเพรส จนจะห้าโมงเย็นไม่รู้ตัว
ระหว่างอยู่ในลิฟต์ ผมเช็คดูมิสคอลอีกครั้ง
7 มิสคอล อืม นับว่ามีพัฒนาการ แต่ว่า 4 ใน 7 เป็นเบอร์ที่ผมจำได้ว่าเป็นของยัยข้าวใหม่ ชิ หล่อนมีเรื่องอะไรอีกล่ะ จะโทรมาขอบคุณที่เมื่อคืนเปิดทางให้หล่อนได้ก่อไฟสุมถ่านเก่าอย่างสะดวกโยธินเหรอ เหอะ คนสุดท้ายในโลกที่ชั้นอยากจะคุยด้วยในเวลานี้ ก็คงจะเป็นหล่อนนี่แหละ ไม่สิ ชั้นไม่อยากคุยกับหล่อนหรอกต่อให้มนุษย์คนสุดท้ายบนโลกก็เถอะ ยัยข้าวบูดดดดดดด
อย่างเสียอารมณ์ ผมล้วงกุญแจจะไขเข้าไขเข้าห้องโดยสัญชาติญาณ แต่ดีที่ชะงักมือไว้ได้ก่อน ในห้องมีคนอยู่ คงเป็นเจ้าดื้อนั่นแหละ แต่ถ้ามันไม่ได้อยู่คนเดียวล่ะ
วุ๊ย จะประสาทไปกันใหญ่ล่ะ นี่มันก็ห้องผมครึ่งหนึ่งล่ะนะ (ในฐานะแฟน) ทำไมจะต้องไปเกรงใจอะไรใครด้วย คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจเคาะประตูเบาๆ อย่างมีคาริสมา รัศมีแห่งความสง่าไง
ประตูถูกดึงเปิดออก ในขณะที่มือผมยังกำค้างอยู่อย่างนั้น เจ้าดื้อเปลือยอกแน่น นุ่งกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว หน้าตาท่าทางโกรธจัด (แต่หล่อ) อะไรล่ะเนี่ย
“ก... กินอะไรรึยัง”
ผมทักออกไปอย่างอัตโนมัติ คำถามงี่เง่าอะไรกันล่ะเนี่ย ดูก็รู้ว่าคงไม่ได้กำลังกินอะไรอยู่หรอก หมดกัน รัศมีแห่งความสง่า
“ยัง กินไม่ลง”
“ทะ ทำไมล่ะ”
ผมแทรกตัวผ่านนายหน้าโหดที่ยืนขวางอยู่ เข้าไปในห้อง แล้ววางสัมภาระลงบนเตียง แทนคำตอบเจ้าดื้อปิดประตูดังปังจนผมสะดุ้ง
ชิชะ นี่มันจะเกินไปแล้วนะ ผมสิที่ต้องเป็นฝ่ายโกรธ ที่งอนนี่ก็ถูกแล้วด้วย ลองแฟนตัวเองกลับไปกิ๊กกับแฟนเก่าดูบ้างสิ
“ทำไมต้องปิดเครื่องด้วย”
มันถามด้วยน้ำเสียงเข้ม เด็ดขาด ผมหันไปอย่างไม่พอใจเช่นกัน
“ก็อ่านหนังสืออยู่ ไม่มีสมาธิ ไม่ได้อ่านไลน์หรือไง”
“นั่นมันหลังเที่ยงกว่าแล้วที่เตงไลน์มา ก่อนหน้านั้น ไม่คิดรึไงว่าคนอื่นเขาจะเป็นห่วงจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน”
“ฉันจะไปรู้ได้ไง ก็คิดว่าคนอื่นเขาอาจจะมีอะไรที่ต้องทำ หรือมีใครที่ต้องห่วงกว่า อย่างแฟนเก่าเค้าเป็นต้น”
เจ้าดื้อสาวเท้าเข้ามากระชากผมจนตัวลอยอยู่แนบอกเปลือยของมัน แล้วระดมจูบอย่างเผ็ดร้อน … เอ่อ มันคงจะดูละครเอ็กแซกท์มากเกินไป และผมคงอ่านนิยายของกิ่งฉัตร หรือปิยพร ศักดิ์เกษม เยอะไปหน่อย ไม่ใช่ว่ามันไม่เข้าท่านะ จริงๆ แล้วชอบมากเลย แต่ประเด็นคือ เพื่อ? แล้วตอนนี้ผมยังโกรธอยู่นะเว้ย
ผมพยายามผลักมันออกด้วยแรงเท่าที่มี ขณะเดียวกับที่มันก็ปล่อยผมจนกระทั่งผมเซไปที่เตียงด้วยแรงผลักของตัวเอง
รู้นะ คิดอะไรอยู่ เชอะ ไม่มีวันได้สมใจหรอก ฮ่าๆ
“เตง เค้าขอโทษ เจ็บไหม”
มันละล่ำละลักวิ่งเข้ามามากอด ผมยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าอย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ เกือบหลุดพูดไปแล้วด้วย ยิ่งถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษจะยิ่งเก๋ แอบอยากทำแบบนี้มาตลอดชีวิต แต่รู้สึกว่า พอเอาเข้าจริงมันไม่เก๋เลย ไม่เหมือนกวินเน็ท พัลโทรล ในเรื่อง proof เลยซักนิด
“เค้าเป็นห่วงเตงนะ ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”
มันกลับมาทำเสียงเข้มต่อ แต่ผมไม่ตอบ จริงๆ ก็ยอมตั้งแต่หน้าประตูแล้ว (วุ๊ย สำนวนเก่าว่ะ เสร่อจัง)
“ผมถามให้ตอบ ไม่ใช่ให้เงียบ”
…
“แคร์ผมบ้างรึเปล่าเนี่ย”
เกือบขยับปากจะตอบ แต่ยั้งตัวเองไว้ได้ก่อน
“ไหนบอกจะเชื่อใจไง”
เจ้าดื้อทำหน้าผิดหวัง แล้วหย่อนตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ตะเขียนหนังสือ สีหน้าเหมือนจะร้องให้… เฮ้ยๆ อย่านะ
“ขอโทษ”
ผมสะบัดเสียงออกไป เจ้าเหล็กดัด เงยหน้าขึ้นมามอง สูดน้ำมูก
“ข้าวใหม่กลับไปแล้วนะ”
มันหยุดพูดเหมือนจะรอดูปฏิกิริยา แต่ผมนิ่งงัน เยือกเย็น เงียบเชียบราวกับเจ้าชายหิมะ โอ้ย จะพูดอะไรก็พูดให้จบๆ สิ นางกลับไปแล้วยังไง
“เตงสบายใจได้เลยนะ เค้าจัดการทุกย่างตามที่สัญญาไว้แล้ว เค้าบอกข้าวใหม่ว่า เค้าคบกับเตง เตงเป็นแฟนเค้า”
ผมหันไปมอง โอเค นี่อาจจะเป็นสิ่งที่อยากฟังอยู่ตลอดก็จริง แต่ว่า เจ้าดื้อ ไม่รู้สิ มันอาจจะยังอยู่ในวัยที่ต้องค้นหาตัวเองอยู่ก็ได้ วันนี้มันอาจจะชอบผมก็จริง แต่ว่านะ วันหนึ่งมันอาจจะอยากกลับไปคบกับสาวๆ อีกครั้ง แล้วถึงตอนนั้น จะทำให้ชีวิตมันลำบากมากขึ้นไหม แทนที่จะบอกว่าคบอยู่กับผม บอกยัยข้าวใหม่ไปว่ากำลังคบอยู่กับสาวอื่นก็ได้นี่นา ไม่เห็นมีใครจำเป็นต้องรู้
“เตงไม่จำเป็นต้องบอกข้าวใหม่ไปแบบนั้น”
“จำเป็นสิ เค้าไม่อยากให้ใครมีความหวังอีก และเค้าก็อยากให้เกียรติคนที่เค้าคบอยู่ด้วย”
โถ่เอ๋ย ยัยข้าวใหม่ ป่านนี้คงร้องให้น้ำตาเป็นเผาเต่าอยู่บนเครื่องแอร์เอเชีย ที่ไม่ได้แม้แต่จะเสิร์ฟน้ำส้มฟรีเป็นเครื่องดื่มปลอบใจแก่คนพ่ายรักเลยสักครึ่งแก้ว มิน่าล่ะ หล่อนถึงจิกโทรหาผมตั้ง 4 มิสคอล นางอาจจะอยากแสดงความยินดี หรือร้องห่มร้องไห้อยากได้คืน หรืออวยพรให้เรารักกันนานๆ ก่อนปิดท้ายด้วยการการหยอดว่าจะขอกลับมาดูแลเมื่อผมหมดรักในตัวเหล็กดัดแล้วตามประสาวัยรุ่นฟังเพลงเยอะเวิ่น แต่จะให้ผมพูดอะไรเหรอ ปลอบใจ โอ๊ย ทำไม่เป็นหรอกนะ เวลาแบบนี้ความรู้สึกเวทนาสงสารคงจะไม่มีค่าเท่าไหร่สำหรับนาง
“เค้าบอกใหม่เมื่อคืนนี้ที่ร้านอ้อย (เอ่อ เลือกสถานที่ได้ดีมาก) จริงๆ แล้วใหม่ถามผมเองแหละว่าทำไมผมดูจะแคร์พี่มิวเยอะแยะ ใจนึงเค้าก็รู้สึกโล่งอกแต่อีกใจนึง เค้าก็รู้สึกแย่ที่ทำให้ผู้หญิงร้องไห้ เค้ารู้สึกแย่ อยากคุยกับเตง อยากบอก อยากระบาย แต่พอกลับไปที่ อมช. เตงไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว กลับมาที่ห้องก็ไม่เจอ จะไปตามหาที่บ้านพี่เมี่ยงก็ไม่รู้จัก แถมพี่เค้ายังปิดมือถืออีก”
“ขอโทษนะ” คราวนี้ผมพูดเสียงดังฟังชัด “เค้าไม่รู้ว่าเตง...”
“เค้าไม่ได้นอนเลยทั้งคืน เพิ่งจะงีบตอนสิบเอ็ดโมงนี่เอง คิดแต่ว่า เค้าทำให้พี่เตงโกรธอะไรรึเปล่า ทำให้เตงรู้สึกว่าเค้าไว้ใจไม่ได้อีกแล้วเหรอ”
อ่อย ... รู้สึกผิดจัง
“ไม่ใช่อย่างนั้น เค้าผิดเองแหละดื้อ เค้าไม่หนักแน่น เค้าขอโทษนะ มานี่สิ”
ผมเอามือตบๆ ตรงที่ตรงที่นั่งข้างๆ เตียง เหล็กดัดค่อยๆ ลุกขึ้นมา แล้วลงนั่งข้างๆ ผมได้กลิ่นเหงื่อผสมแป้งเด็กอ่อนๆ จากตัวมัน
“ขอบคุณนะ ที่เตงทำเพื่อเค้าถึงขนาดนี้ เค้าสัญญาว่าต่อไปเค้าจะหนักแน่นกว่านี้ จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก นะ”
ผมเบี่ยงตัวไปหอมแก้มเหล็กดัดที่นั่งทำคอตกอยู่ มันหันมามองแล้วตอบคำขอบคุณของผมด้วยริมฝีปากบางและสัมผัสนุ่มนิ่มอย่างที่เราชอบทำก่อนจะค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไปรับรสหอมหวานของความคิดถึงและโหยหากันและกัน
เราอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรู้สึกว่าต้านทานแรงปารถนาของร่างกายเอาไว้ไม่ไหว เหล็กดัดช่วยดึงเสื้อยืดบางออกจากตัวผมทางศรีษะโดยไม่แคร์ว่ามันจะยืดย้วยแม้จะเป็นเมซอง มารืแตง มาเจียลา (ก๊อป) ตัวโปรด หน้าอกแข็งชันบดเบียดเข้ากับหน้าอกแบนราบของผม และเอ่อ ...
แค่นี้ก่อนดีกว่า
คือเข้าใจใช่ไหมว่า ผมกับเหล็กดัดกำลังจะ... เอิ่ม และเรา... คงจะ... นั่นแหละ คุณไม่อยากรู้หรอก ใช่ไหม
อืม... อ๊ะ... (หายใจขัด)
โอ๊ย... อา...
ใช่ คุณไม่อยากรู้หรอกว่า โอ๊ย...