SPECIAL 1
‘ฝันดีนะ’ หนึ่งเอาใจยาก...เป็นความจริงที่ผมรับรู้มาตั้งนานแล้ว
“หนึ่งบอกเฮียแล้วใช่ไหมให้ไปนอน” มันพล่ามเรื่องเดิมๆ ซ้ำไปมาข้างหูของผม “แล้วเนี่ย เฮียก็หงุดหงิด นอนไม่พอ... ทั้งที่หนึ่งบอกเฮียแล้วนะ”
“กูว่าอะไรมึงสักคำหรือยัง” พอโดนผมสวนเช่นนั้น เจ้าเด็กมากปัญหาที่ทำหน้าง้ำงออยู่แล้วก็ยิ่งหน้างอมากกว่าเดิมเสียอีก มันหุบปากฉับ เถียงอะไรไม่ออกสักคำแต่ดูปุ๊บก็รู้ว่าไม่พอใจ “กูนอนดึกเพราะช่วยมึง แทนที่มึงจะขอบคุณ มึงกลับบ่นกูงี้เหรอ?”
“ก็...” อีกฝ่ายจนคำพูด “หนึ่ง...หนึ่งไม่อยากเห็นเฮียหงุดหงิดนี่”
“กูหงุดหงิดตอนไหน”
“ตอนนี้ไง”
ผมถอนหายใจยาว เด็กดื้อก็ยังคงเถียงคอเป็นเอ็น “กูไม่ได้หงุดหงิด”
“เฮียนอนดึก ตื่นไม่ทัน เข้าคาบเช้าสาย...และเฮียก็หงุดหงิด” หนึ่งจัดการแจกแจงเป็นฉากๆ “หรือหนึ่งพูดผิด”
คราวนี้ผมจนคำพูดเสียงเอง
ที่หนึ่งพูดก็ไม่ได้ผิดเสียทีเดียว อันที่จริงก็ถูก แต่สาเหตุที่ทำให้ผมหงุดหงิดอย่างจริงจังไม่ใช่การตื่นสายจนต้องรีบบึ่งไปที่คณะ ไม่ใช่การโดนเช็กชื่อว่าเข้าสาย แต่เป็นการโดนอีกฝ่ายมางอแง บอกผมว่าผมไม่ควรช่วยมันตัดกระดาษ ทำโมเดลของอีกฝ่ายต่างหาก
ผมอยากช่วยมันถึงผมไม่ถนัด...แล้วมันผิดตรงไหน
ผมพยายามเข้าใจว่าหนึ่งไม่ชอบที่ผมช่วยเหลือมันบ่อยๆ คงเพราะมันไม่สามารถช่วยอะไรของผมได้ ช่วงหลังๆ มันก็
ระเห็จไปอยู่กับเพื่อนมันหรือพี่รหัสของมันบ่อยครั้ง แต่ถ้าทางนั้นมีงานเหมือนกันก็ตัวใครตัวมัน มันก็จะแบกของกลับมาที่ห้องผมแทนเสียเอง
เมื่อวานก็เหมือนกัน เป็นช่วงเวลาเร่งด่วนแล้วสำหรับส่งงานตอนบ่ายนี้ หนึ่งไม่ได้ให้ผมช่วยทุกวันแม้ผมจะอาสาทุกวัน พอมันเป็นวันใกล้ส่ง หนึ่งก็ยอมให้ผมช่วยจนถึงตีสองตีสาม ทำจนเสร็จแล้วผมตื่นไปเรียนตอนแปดโมงเช้า ส่วนมันก็นอนยาว ตื่นมาก่อนพรีเซ้นต์เพียงสองสามชั่วโมงเพื่อเตรียมตัวเท่านั้น
พอมันตื่นมาคำถามแรกของมันก็คือผมไปเรียนทันไหม ตัวผมก็ไม่ได้โกหก แค่ไม่ตอบ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวในที่สุด จากนั้นมันก็หยิบคำพูดที่ว่ามันเคยบอกให้ผมรีบนอนขี้นมา ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเช่นนั้นจริงๆ อย่างที่บอก เพียงแต่ผมไม่ฟังเอง
เรามองหน้ากัน ตะโกนใส่กันในความเงียบ สุดท้ายคนผ่อนลมหายใจคือมัน
“หนึ่งจะเอาของไปเก็บหอ”
ผมไม่เสนอตัวจัดการขับรถไปให้อย่างทุกที อีกฝ่ายเองก็ไม่รอฟังคำนั้น มันแค่เดินออกจากห้องไปพร้อมกับข้าวของที่ทำให้ห้องผมรกเงียบๆ คนเดียว
ผมไม่ชินเวลาหนึ่งเงียบ ทั้งที่มันเป็นคนพูดจ้อ พล่ามเรื่องไร้สาระไม่มีหยุด
อย่างน้อยๆ ก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าห้องของผมที่ไม่มีมันสงบอย่างพิลึกพิลัน ไม่ชวนสบายใจ แต่ถ้าหากมีมันอยู่ในห้องแต่อีกฝ่ายไม่พูดอะไรแบบนี้กลับแย่ยิ่งกว่าเสียอีก บวกกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างเรา ไม่ต้องคาดหวังว่าเราจะยิ้มได้เลย
เราแค่นั่งหันหลังใส่กัน ผมอ่านหนังสือที่แทบจะไม่มีสิ่งใดซึมซับเข้าไปในหัว ส่วนหนึ่งนั่งบี้โทรศัพท์มือถือในมือ บางครั้งบางคราก็โยนมันไปอีกฝั่ง สักพักก็ไปหยิบมาใหม่เหมือนกับไม่มีอะไรให้ทำไปมากกว่านี้แล้ว
คนข้างหลังเงยหน้าขึ้นเมื่อผมเลื่อนเก้าอี้ออกจากโต๊ะ แต่ไม่ยอมพูดอะไร ผมเองก็เช่นกัน
ตอนออกมาจากห้องน้ำ หนึ่งทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของเราที่ถูกเคลื่อนมาให้ชิดกันเรียบร้อย แต่ก็ยังเงยหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่เหมือนเดิม
“คุยกับใคร”
“น้อง” ผมเดาะลิ้นเบาๆ เพียงเท่านั้นอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้น “ทำไม”
“เปล่านี่”
ผมตอบปฏิเสธไป เข้าใจอยู่ว่าตอนนี้หนึ่งกำลังจะเป็นพี่ปีสอง คนอย่างมันแตกต่างกับผม หนึ่งตื่นเต้นมากตอนที่ไปร่วมกิจกรรมต่างๆ คงตั้งหน้าตั้งตารอตอนน้องๆ ได้เป็นเฟรชชี่ไม่ไหวแล้ว
เพียงบทสนทนาสั้นๆ นั้นจบลง ผมเดินไปนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือใหม่ หนึ่งก็ยังคงกดโทรศัพท์ แน่นอนว่าผมเอาแต่จับจ้องมันผ่านเงาสลัวๆ ที่สะท้อนบนหน้าต่างตรงหน้าแทนที่จะเป็นหนังสือ ตั้งคำถามในใจว่าเรากำลังจะทำอะไรต่อไป เงียบแล้วค่อยๆ ให้เวลาทำให้เราหายหงุดหงิดอย่างนั้นเหรอ
“เฮีย...” เสียงเรียกจากคนข้างหลังทำให้ผมรู้สึกตัว
ผมเลิกคิ้ว ไม่หันกลับไป “อะไร”
“ตอนนี่เที่ยงคืนแล้ว”
“อืม...” ผมครางตอบรับในลำคอ
“เที่ยงคืนแล้วนะ” มันย้ำคำเดิม “เมื่อคืนเฮียนอนตั้งดึก ไม่ต้องอ่านก็ได้มั้งหนังสือน่ะ”
คราวนี้ผมไม่ได้พูดอะไร จับความเป็นห่วงได้จางๆ จากคำพูดที่อ้อมค้อมไปมาของอีกฝ่าย สักพักก็ได้ยินเสียงขยับผ้าห่ม พร้อมกับเสียงหาวของมัน
“หนึ่งนอนแล้วนะ” จากนั้นก็เงียบไปพักใหญ่
อีกฝ่ายที่นอนตะแคงข้างหันกลับมาให้ผมเห็นหน้ามู่ทู้ของมันผ่านเงาในหน้าต่าง เล่นเอาผมแทบหลุดอมยิ้ม หนึ่งไม่รู้ตัวอยู่พักหนึ่งจนอีกฝ่ายสบตาผมผ่านหน้าต่าง มันก็แผดเสียงร้อง
“เฮีย!”
ผมอมยิ้ม แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “อะไร?”
“มานอนได้แล้ว”
อันที่จริงการอ่านหนังสือได้ไม่จบเป้าหมายของผมเนี่ย ไม่ใช่นิสัยเลยแม้แต่น้อย แต่ผมก็ทำตัวว่าง่าย ลุกจากเก้าอี้ไปทิ้งตัวนอนข้างๆ มันที่ม้วนตัวเองกับผ้าห่มอย่างกับหนอน สีหน้าโทรมไม่ใช่น้อย อันที่จริง เด็กคณะมันก็หน้าโทรมตลอดเวลานั่นแหละ
“เฮียมานอนเถอะ” มันพูดเสียงเบา คล้ายกระซิบนิดหน่อย
“กูยังอ่านไม่จบเลย”
“ขยันจริงๆ จะเอาเกียรตินิยมหรือไง” อีกฝ่ายบ่นอุบอิบ “นอน!”
ผมมองหน้าอีกฝ่าย ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของมันเบาๆ จนหนึ่งตั้งตัวไม่ทัน พอรู้ตัวก็ถลึงตาใส่ผม “ทำเล่นอีก!”
“เปล่าสักหน่อย” ผมเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มของมันให้ห่มตัวดีๆ คนขี้ร้อนอย่างหนึ่งกลับชอบนอนขดตัวพันไว้ พอกลางดึกนี่เอาออกแทบไม่ทัน “นอนไป”
“หนึ่งไม่ใช่ลูกนะ!”
“รู้แล้วน่า”
“หนึ่ง...” มันกัดปากเล็กน้อย “แค่อยากให้เฮียรีบๆ นอน เหนื่อยมาตั้งเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ”
คำพูดตรงไปตรงมาของมันทำให้ผมอมยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้
หนึ่งเป็นแบบนี้เสมอ แสดงความเป็นห่วงโดยการพูดอ้อมไปมา ใช่ว่าไม่เข้าใจหรือรู้สึกแย่ แต่มีบ้างทีผมอยากให้มันพูดตรงๆ ใช้คำพูดีๆ น่าฟัง ผมรู้แหละว่าตอนที่เราทะเลาะกันก่อนหน้านี้ หนึ่งก็พูดด้วยความเป็นห่วงทั้งนั้น ผมเองก็รู้... ความหวังดีของมันชัดเจน แต่กลับถูกทำให้ขุ่นมัวด้วยคำพูดเสมอ
“เฮีย...” มันส่งเสียงออดอ้อนอีกครา “นอนนะ”
ผมเค้นยิ้ม “หัดพูดแบบนี้ง่ายๆ บ้างสิ”
มันขยับกายหนี ห่อผ้าห่มไปเพื่อจัดการปิดไฟ เหมือนกับเป็นการบังคับกลายๆ ให้ผมรีบนอนตามที่มันว่า
หนึ่งมากปัญหา แสดงออกไม่เป็น พูดไม่เก่งแถมยังชอบหาเรื่องอีกต่างหาก เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ผมเองก็รู้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่อยากฟังอะไรที่รื่นหูบ้างในเวลาที่หงุดหงิด
คนในอ้อมกอดซุกตัวลงมาใกล้
“หนึ่งเป็นห่วง” กระซิบคำแผ่วเบาที่ดังชัดเจนไปเสียหมด
...ถึงก่อนหน้านั้นจะนอนไม่เต็มอิ่ม เจอแบบนี้ไป ผมก็รู้สึกว่าตัวเองจะฝันดีตามที่มันพูดจริงๆ