▼ツ▼หนุ่มเขี้ยวเปรี้ยวใจ ☂ My Canine Loverตอนที่ 12 ตัวจริงของเธอ
"ตั้งแต่รู้จักกับพี่มา ผมเพิ่งเคยเห็นพี่เป็งตะลึงขนาดนี้นี่แหละ แสดงว่าคนนี้สเปคเลยใช่ไหมพี่ ก็ดีนะครับ
มีแฟนเป็นข้าราชการ มีหน้ามีตาในสังคมด้วย"
"ใช่ๆ เห็นพี่หริ่งบอกว่าคนนี้เป็นลูกสาวคนเดียวของนักการเมืองด้วย จำชื่อพ่อเขาไม่ได้ แต่ทุกคนรู้จักดี
บ้านรวยมาก เห็นว่าพ่อให้มาทำงานราชการก่อน สร้างโพรไฟล์แล้วค่อยขึ้นไปเป็นนักการเมือง"
"อย่างนี้ก็เหมาะสมกับพี่เป็งเลย รวยเหมือนกัน ก็ดีนะครับพี่ มีแฟนเป็นนักการเมือง ทั้งสวย ทั้งเท่"
ผมคงแสดงอาการตกตะลึงจนออกนอกหน้ามากไป เจกับแอนจึงรู้สึกได้ว่าผมแสดงความสนใจต่อกัญชพร
พอเรามานั่งทานข้าวเย็นด้วยกันที่ห้างหรูแถวสุขุมวิท ไม่ไกลจากที่พักผม สองหนุ่มสาวเพื่อนซี้ก็แซวผมใหญ่
แต่นอกจากผมจะไม่เขินแล้ว ผมยังกลับทำหน้าเครียด โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงความรู้สึกของคานิน
ถ้าคานินรู้เรื่องนี้...คานินจะรู้สึกยังไงนะ?
"เออ...แล้วพี่หริ่งบอกหรือเปล่าว่าคุณกัญเขามีแฟนหรือยัง" แอนถามเมื่อนึกขึ้นมาได้
เจทำท่านึก "อืม...ไม่ได้บอกนะ ก็ไม่เห็นเป็นไรนะแอน ถ้ายังไม่แต่งงานก็ยังมีโอกาสเลือก เราว่านะ...
ผู้หญิงที่สนใจการเมืองน่ะไม่ค่อยสนใจเรื่องแต่งงานหรอก กว่าจะแต่งก็โน่นแหละ...สามสิบกว่าไปแล้ว"
เจหัวเราะเบาๆ กับแอน แต่ผมยังคงทำหน้าเครียดอยู่ เจคงสังเกตเห็นก็เลยหันมาถาม
"อ้าวพี่ เป็นไรเหรอครับ ทำไมทำหน้าเครียดอย่างงั้นล่ะ"
ผมถอนหายใจยาว รู้สึกเครียดจนไม่อยากกินอะไร กินไปได้สองสามคำก็หยุดและนั่งฟังสองคนคุยกัน
"พี่ไม่รู้จะบอกพวกเราสองคนยังไงดี"
ผมทำงานกับเจและแอนมาหลายปีแล้ว สนิทสนมและไว้วางใจกันดีพอสมควร พอเล่าเรื่องส่วนตัวได้
แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจหรอกว่าควรจะเล่าเรื่องนี้ให้ทั้งสองคนฟังดีเหรือเปล่า
"เรื่องคุณกัญเหรอคะพี่เป็ง" แอนถาม
ผมพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงยอมรับ
"อ้าว...ทำไมเหรอคะ หรือว่าไม่อยากมีแฟนเป็นลูกนักการเมือง หรือกลัวว่าคุณกัญจะมีแฟนแล้ว
หรือว่า...พี่ไม่กล้าจีบเขาเหรอ อืม...แอนกับเจไม่เคยเห็นพี่มีแฟนเลยตั้งแต่ทำงานด้วยกันมา
พี่เป็งไม่มั่นใจเรื่องนี้เหรอคะ ถามเจดิ เจเขามีแฟนเยอะ ช่วยได้" แอนหันไปแซวเพื่อนอย่างสนุกปาก
"ไม่รู้จะช่วยได้หรือเปล่านะ เพราะว่าแฟนเราน่ะ...ไม่ใช่ผู้หญิง" เจตอบอย่างฉาดฉาน
ผมขมวดคิ้วมุ่นและมองหน้าเจอย่างสนใจ ผมก็พอรู้ระแคะระคายมาบ้างว่าเจมีแฟนเป็นผู้ชาย
แต่ก็ไม่เคยคุยหรือถามเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ ได้แต่ฟังแอนแซวเล่นบ่อยๆ ตอนไปอบรมด้วยกัน
ผมว่าผมลองแอบปรึกษาเจเรื่องนี้ดูบ้างดีกว่า ประสบการณ์ของเจน่าจะพอช่วยผมได้
"เจ...แล้วถ้าวันนึง เอ่อ...พี่สมมติอย่างงี้นะเจ ถ้าสมมติว่า...ผู้ชายกับผู้ชายเป็นแฟนกัน...แบบเจเลย
แล้ววันนึง...ผู้ชายอีกคนก็พบว่าตัวเองชอบผู้หญิงมากกว่า เจว่าผู้ชายอีกคนจะรู้สึกยังไง"
คำถามของผมเล่นเอาเพื่อนรุ่นน้องของผมถึงกับสะอึกไปเลย แถมยังหน้าซึดสลดด้วย
"เอ่อ...พี่ถามอะไรที่ไม่เหมาะสมไปหรือเปล่าเจ ถ้าเจไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะ"
ผมรีบออกตัว เจหันไปมองหน้าแอน ดูเหมือนสองคนนี้คงรู้อะไรบางอย่างที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน
เจหันกลับมามองผม ยิ้มน้อยๆ แต่สีหน้าก็ดูจริงจังขึ้นกว่าเดิม
"ตอนที่พี่เป็งเรียนจบแล้วกลับเมืองไทย ผมก็เจอเรื่องแบบนี้นี่แหละ มีพี่คนไทยคนหนึ่งมาชอบผม
เขาเป็นเจ้าของร้านอาหารไทยที่ผมชอบไปกินบ่อยๆ พี่เป็งก็น่าจะเคยไปกินนะครับ แล้วเราก็...
คบกันอยู่เกือบปี จู่ๆ วันนึงเขาก็มาบอกผมว่า...เขาชอบผู้หญิง อยากกลับไปเป็นผู้ชายปกติเหมือนเดิม
แล้วพี่คิดว่าผมควรจะรู้สึกยังไงล่ะครับ"
ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ไม่เคยคิดเลยว่าเจจะเจอเหตุการณ์ที่ฟังดูน่าเจ็บปวดอย่างนี้มาก่อน
ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดกับผมและคานิน ไม่ต้องถามใครผมก็คงรู้ว่าคานินจะเจ็บปวดสักแค่ไหน
"ช่วงนั้นผมเฮิร์ทอยู่หลายเดือนเลย แต่ตอนนี้...ผมก็เข้าใจเขานะ เราฝืนธรรมชาติตัวเองไม่ได้หรอก
บางช่วงของชีวิตเราก็อาจจะสับสนได้ว่าตัวเองชอบแบบไหน" เจแค่นหัวเราะแล้วพูดสืบไป
"ผมให้อภัยเขาแล้วล่ะพี่ แต่ก็ยอมรับว่าเคยเสียใจมาก โมโหด้วย น่าจะบอกกันซะตั้งแต่แรก"
เจส่ายหัวอย่างระอา รอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้าบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่เป็นไรกับเรื่องนี้แล้วอย่างที่พูด
แต่ผมนี่สิ รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าจนชา โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่ว่า "น่าจะบอกกันซะตั้งแต่แรก"
"อ้อ...ว่าแต่...พี่เป็งถามผมเรื่องนี้ทำไมครับ อย่าบอกผมนะว่าพี่เป็งแอบมีแฟนเป็นผู้ชาย แล้วก็..."
สายตาคาดคั้นและสงสัยของเจทำให้ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่น้อย ผมจึงต้องกลืนน้ำลายอีกก้อน
ไม่กล้าสบตากับเจตรงๆ ก็เลยทำให้ดูมีพิรุธเข้าไปใหญ่
"เฮ้ยพี่ ผมแซวพี่เล่นนเฉยๆ ทำไมพี่ต้องทำหน้าเครียดอย่างงั้นล่ะครับ หรือว่า..."
เจทำท่าครุ่นคิดและจ้องดูอาการของผมอย่างสงสัย
"พี่เป็ง...ถ้าพี่คิดว่าผมช่วยพี่ได้ ผมยินดีนะ"
ผมเพิ่งเข้าใจคำว่า "ผีย่อมเห็นผี" ด้วยกันก็วันนี้แหละ เจคงมองเห็นบางอย่างในท่าทางอึกอักของผม
มาถึงขั้นนี้ แถมปัญหายังรออยู่ตรงหน้า ผมก็คงต้องยอมให้คนมีประสบการณ์อย่างเจมาช่วย
"เจ...พี่อยากปรึกษาอะไรบางอย่างกับเจหน่อย ถ้าคืนนี้เจว่างนะ" ผมตัดสินใจบอกไป
เจดูจะอึ้งๆ ไปสักหน่อย แน่ล่ะ การที่ผมบอกเจไปอย่างนั้นก็เท่ากับยอมรับว่ามีปัญหาอย่างที่เจสงสัย
"ได้ครับพี่ คืนนี้ผมไม่มีนัดที่ไหน" เจหันไปหาเพื่อนรักที่นั่งกินข้าวอย่างเงียบๆ ฟังเราสองคนคุยกัน
"แอน กินข้าวเสร็จแล้วแอนกลับก่อนละกันนะ ขอโทษที มันเป็นเรื่องของผู้ชายเขาคุยกันน่ะ"
เจพูดติดตลก แอนพยักหน้ายิ้มๆ เป็นเชิงตกลง แต่ดูเธอจะสงสัยอยู่เหมือนกันว่าผมกับเจจะคุยอะไรกัน

ผมพาเจมาที่คอนโดของผมแล้วก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง แน่นอนว่าเจตกใจมากทีเดียว
แต่ก็แอบตัดพ้อผมด้วยเล็กน้อยที่ไม่ยอมปรึกษาเจตอนจีบคานิน เรื่องแบบนี้เจช่วยได้สบายเลย
"เรื่องใหญ่นะพี่ ถ้าคานินเขารักพี่จริงๆ เขาคงเจ็บมากน่าดูเลย คงเหมือนผมนั่นแหละ"
ผมหน้าเสียไปเลยเมื่อเจพูดออกมาตรงๆ เจคงจะรู้ตัวเลยเปลี่ยนมาพูดอีกเรื่อง
"แสดงว่าพี่คงฝังใจกับสาวมีเขี้ยวจริงๆ นั่นแหละ ขนาดผู้ชายมีเขี้ยวพี่ยังชอบเลย"
ผมพยักหน้ายอมรับตามตรง เอนหลังพิงกับโซฟา ถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองเพดานห้อง
"ตอนนี้พี่สับสนมากเลยเจ พี่ยอมรับว่าพี่กำลังนึกถึงแต่หน้าของคุณกัญชพร รอยยิ้มของเขา
แล้วก็เขี้ยวเสน่ห์ที่พี่หลงใหล เขาวนเวียนอยู่ในหัวพี่ไม่หยุดเลยตั้งแต่เจอกันเมื่อกลางวัน"
"แสดงว่าพี่ชอบผู้หญิง ไม่ได้ชอบผู้ชาย"
ผมสะดุ้งตัวขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเจสรุปให้ฟัง พอคิดดูแล้ว ผมก็อาจต้องยอมรับว่าคงเป็นอย่างที่เจพูด
"พี่กลัวมันจะเป็นอย่างงั้นแหละเจ"
"ถ้าพี่แน่ใจ พี่ก็ต้องรีบบอกคานินนะครับ ให้คานินเจ็บเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า อย่าปล่อยให้เนิ่นนานครับ
พี่กับคานินเพิ่งรู้จักกันได้แค่เดือนเดียว เจ็บไม่มากหรอกครับ"
"พี่กลัวคานินเสียใจน่ะเจ" ผมพูดสวนออกไปเกือบจะทันที
"แล้วพี่เป็งคิดว่า...มันมีวิธีที่คานินจะไม่เสียใจด้วยเหรอครับ ก็เหมือนผมนั่นแหละ ผมรักพี่คนนั้นไปแล้ว
วาดฝันไปไกลแล้ว ไม่ว่าพี่เขาจะบอกผมยังไง ใช้คำพูดแบบไหน ใช้วิธีการแบบไหน แต่สุดท้าย...
เราก็ต้องเลิกกัน มันก็เจ็บอยู่ดี ผมไม่รู้นะว่าพี่จะพูดแบบไหนให้คานินเจ็บน้อยที่สุด แต่พี่เชื่อผมอย่างหนึ่ง
เจ็บจากความจริง...ก็ยังดีกว่าเจ็บเพราะโดนหลอกครับ"
ผมพยักหน้าเห็นด้วย การประวิงเวลาก็เท่ากับเป็นการหลอกลวง คานินก็จะยิ่งผูกพันกับผมมากขึ้น
ยิ่งผูกพันมากก็จะยิ่งเจ็บมาก ถ้าอย่างนั้น...ผมก็ควรต้องใจแข็งบอกคานินให้เร็วที่สุด
"อืม...แต่ผมก็สงสัยอย่างหนึ่งนะพี่ พี่เป็งไม่เคยแสดงท่าทีว่าชอบผู้ชายเลยนะครับ ผมดูไม่ออกเลย
ผมคิดว่าพี่ชอบผู้หญิงด้วยซ้ำ แล้วทำไมพอเจอคานิน พี่เป็งถึงชอบคานินได้ล่ะครับ แค่มีเขี้ยวจริงเหรอ
หรือว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่นด้วย"
ในขณะที่เจพูด ผมก็นึกย้อนไปวันนั้นที่ผมเจอคานินครั้งแรกที่ร้านกาแฟ ทันทีที่คานินยิ้มให้ผม
ผมก็ยืนตะลึงจังงัง จากนั้นก็เพ้อหนักจนต้องขอให้ภูริชช่วยหาคนมาให้คำปรึกษาว่าจะจีบคานินยังไง
ตอนยังไม่มีแฟน โดยทั่วไปผมก็ชอบมองสาวๆ สวยๆ มากกว่าหนุ่มๆ ก็เลยคิดว่าตัวเองชอบผู้หญิง
แต่พอเจอคานินที่เป็นผู้ชายแท้ๆ ผมกลับหลงรักราวกับต้องมนต์สะกด ลืมถามตัวเองไปเลยว่าทำไม
รู้ตัวอีกทีผมกับคานินก็ตกลงที่จะคบกันไปแล้ว เพิ่งจะได้กลับมาคิดก็วันนี้ที่เจอกัญชพรนี่เอง
ผมชอบคานินเพราะอารมณ์ชั่วแล่นหรือเปล่า? แล้วอารมณ์ชั่วแล่นนั้นเกิดขึ้นได้ยังไง?
เพียงเพราะว่าคานินแค่มีเขี้ยวหรือเปล่า?
แต่ผมก็ไม่มีคำตอบใดๆ ให้ตัวเองในตอนนี้เลย...
"พี่ไม่รู้ว่ะเจ พี่สับสนมากๆ เลยตอนนี้" ว่าแล้วผมก็ถอนหายใจอีก
"เอางี้ดีกว่าพี่ พี่ต้องหาวิธีทดสอบตัวเองให้ได้ว่าตกลงพี่ชอบใครกันแน่ให้เร็วที่สุด ถ้าพี่ได้คำตอบแล้ว
เรื่องยุ่งๆ มันจะง่ายเอง ถ้าคานินต้องเจ็บ พี่ก็ต้องยอมให้เขาเจ็บ แต่ถ้าพี่รักคานิน ปัญหาก็จบ"
"แล้วพี่จะทดสอบตัวเองยังไงดีล่ะ เจมีคำแนะนำไหม" ผมถามไปตามตรงเพราะให้คิดเองก็คงคิดไม่ออก
"เดี๋ยวผมขอกลับไปคิดก่อนละกันนะครับพี่ เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ต้องคิดให้รอบคอบ"
"ได้ๆ ถ้าเจคิดออกเมื่อไหร่ โทรบอกพี่เลยนะ"
"ครับพี่" เจยิ้มอย่างจริงใจให้ผม ทำให้ผมค่อยใจชื้นขึ้นมาได้แม้เพียงเล็กน้อยก็ตามที
"อ้อ คานินมารออยู่ข้างล่างแล้ว" ผมบอกเมื่อเห็นคานินส่งข้อความไลน์มาบอกว่ามาถึงแล้ว
"อ้อ งั้นผมก็จะถือโอกาสกลับเลยดีกว่า"
"ขอบใจมากนะเจ ได้คุยกับเจแล้วพี่ก็สบายใจขึ้นมากเลย ไม่งั้นคงนอนไม่หลับแน่ๆ"
ผมยิ้มให้เจแล้วเราก็ลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กัน
"ไม่เป็นไรครับพี่เป็ง พี่ก็ช่วยผมตั้งหลายเรื่อง เรื่องแค่นี้ทำไมผมจะช่วยพี่ไม่ได้"
ผมเดินไปตบไหล่เจเบาๆ และยิ้มบางๆ ให้ "ไป เดี๋ยวพี่ไปส่ง"
ผมพาเจเดินออกจากห้องแล้วตรงไปที่ลิฟต์ บังเอิญลิฟต์ว่าง มีแค่ผมกับเจสองคน
ผมก็เลยถือโอกาสถามคำถามที่ผมอยากรู้ แต่ลืมถามเมื่อสักครู่นี้
"เจคบกับแฟนใหม่มานานหรือยัง"
"ไม่นานหรอกพี่ จริงๆ ก็กำลังดูๆ กันอยู่ ยังไม่ถึงกับจะเรียกว่าแฟนหรอกครับ"
"อ้อ แสดงว่าถ้ามีคนถูกใจผ่านมาก็ยังมีโอกาสเลือกใหม่" ผมแซวเล่นพร้อมกับขำเบาๆ
"ก็คงงั้นแหละพี่" เจบอกแล้วขำบ้าง
พอออกจากลิฟต์มายังบริเวณล็อบบี้ คานินก็ลุกขึ้นยืนและส่งยิ้มให้ทันทีที่เห็นเราเดินออกมา
"คนนี้เหรอครับพี่เป็ง" เจหยุดถาม ไม่มองหน้าผม แต่มองคานินนิ่งด้วยสายตาที่ผมชักไม่ชอบใจ
"ใช่" ผมตอบสั้นๆ
"น่ารักนะพี่ ถ้าเกิดตกลงว่าสุดท้ายแล้วพี่ชอบผู้หญิง ผมขอจีบนะพี่" แล้วเจก็ขำ แต่ไม่นานก็รีบแก้ตัว
"ผมล้อเล่นครับ ผมไม่แย่งแฟนพี่หรอก"
ผมจึงคลายคิ้วที่ขมวดมุ่นลง แต่ก็ยังคาใจและไม่ชอบใจอาการของเจเมื่อกี้อยู่หน่อยๆ
ก็จริงอย่างที่เจว่า คานินเป็นคนน่ารัก โดยเฉพาะเวลายิ้ม แม้ไม่ใช่คนที่หน้าตาดีมากมาย
แต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างรุนแรง อย่างน้อยก็สำหรับผม ไม่งั้นผมคงไม่ตกตะลึงขนาดนั้น
ผมสาวเท้าเดินนำเจไปหาคานิน พอถึงตัวก็แนะนำให้สองคนรู้จักกัน
"คานิน นี่เจนะ ที่ทำอบรมด้วยกันกับผมไง"
คานินหันไปยิ้มกับเจ พอได้เห็นรอยยิ้มและเขี้ยวคานินใกล้ๆ ผมก็พบว่าคานินยังมีเสน่ห์เหมือนเดิม
แต่จู่ๆ ภาพรอยยิ้มของกัญชพรกลับแทรกเข้ามาแทนที่ สลับกันไปมากับภาพรอยยิ้มของคานินตรงหน้า
เล่นเอาผมสับสนจนลืมสังเกตไปเลยว่าเจกำลังมองคานินด้วยสายตาแบบไหน
"ยินดีที่ได้รู้จักครับคานิน" เจเป็นคนพูดขึ้นก่อน
"เช่นกันครับคุณเจ ว่าแต่...คุณเจจะกลับแล้วเหรอครับ" คานินถาม
"ครับ พอดีมาคุยงานกัน คุยเสร็จปุ๊บ คานินก็มาพอดีเลย อ้อ...ต่อไปเรียกผมเจเฉยๆ ก็ได้ อายุเท่ากัน
ไม่ต้องเรียกคุณหรอก"
"อ้อ...ครับ" คานินพยักหน้ารับคำ
"ผมไปแล้วนะครับพี่ ไปแล้วนะคานิน ไว้เจอกันวันหลังครับ"
เจโบกมือลาแล้วก็เดินลิ่วออกไป ผมกับคานินมองตามแผ่นหลังของเจจนกระทั่งหายลับไปตรงประตู
ทีนี้ก็เหลือแค่ผมกับคานินสองคนเท่านั้น แต่แทนที่ผมจะรู้สึกถึงบรรยากาศโรแมนติกของเราสองคน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อกลางวันนี้กลับทำให้ผมรู้สึกประหม่าจนไม่รู้จะพูดคุยกับคานินยังไงดี

"วันนี้คุณเป็งไปคุยงานมาเป็นไงมั่งครับ ได้งานไหม"
พอเราสองคนหัวถึงหมอน คานินก็ชวนผมคุยตามปกติ เมื่อกี้เราไม่ค่อยได้คุยกันมากเท่าไหร่
คานินมาถึงผมก็ให้อาบน้ำเพราะเห็นว่าเหนื่อย พอเสร็จผมก็อาบน้ำต่อทันที
จากนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีกเพราะรู้ว่าคานินต้องตื่นแต่เช้า ผมเลยไม่อยากให้นอนดึกมาก
"ก็ดี เขาก็สนใจ แต่ว่าก็ยังต้องคุยกันอีกสองสามครั้ง ผมต้องทำโปรแกรมอบรมให้เขาดูก่อน"
ผมบอกแล้วก็หันไปยิ้มบางๆ กับคานิน หน้ายิ้ม แต่ในใจร้อนรนชะมัดเลย
"คุณเป็งเก่งอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้สบายมาก" คานินชมพลางยิ้มจนตาหยี
"แล้วคานินล่ะ วันนี้ทำงานเป็นไงมั่ง"
คานินสีหน้าหม่นลงเมื่อผมถามคำถามนี้ แล้วจู่ๆ ก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับถอนหายใจ
"วันนี้ผมโดนลูกค้าด่าหลายคนเลยครับคุณเป็ง ผู้จัดการก็เลย..." คานินหยุดถอนหายใจ สีหน้าเครียด
"สงสัยผมคงจะอยู่ที่นี่ไม่ยืดซะแล้วล่ะครับคุณเป็ง"
ผมฟังแล้วก็สงสาร ก่อนหน้านี้คานินเคยทำงานบริษัทแห่งหนึ่งมาก่อน แต่ก็ไม่ถูกกับหัวหน้าฝ่าย
สุดท้ายก็โดนกดดันจนต้องลาออก ตกงานอยู่หลายเดือนจนต้องตัดสินใจมาทำงานที่ร้านกาแฟนี้
แล้วก็เจอปัญหาเดิมๆ เพราะผู้จัดการดูจะไม่ถูกโฉลกกับคานินสักเท่าไหร่
"แล้วคานินจะไปทำอะไรล่ะ"
ผมถามแล้วก็ลุกขึ้นนั่งชันตัวบนเตียงนอนบ้าง ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรพลาดไปเสียแล้ว
"ก็...เอ่อ...คุณเป็ง...ไม่มีอะไรให้ผมทำใช่ไหมครับ" คานินถามด้วยสีหน้าเกรงใจ ดูผิดหวังอยู่ในที
"คานินหมายถึงอะไร"
ผมเผลอทำพลาดเป็นครั้งที่สอง ลืมไปเสียชั่วคราวว่าผมเคยวาดฝันว่าจะทำอะไรกับคานินไว้
"เปล่า...ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมว่าผมจะกลับบ้าน...ไปทำสวนมะยงชิดกับพ่อแม่ที่บ้านดีกว่า
ไม่รบกวนคุณเป็งหรอกครับ คนจนๆ อย่างผมคงเหมาะที่จะอยู่ในที่ที่เหมาะกับตัวเองมากกว่า"
พอได้ยินคำพูดตัดพ้อของคานิน ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าเคยพูดอะไรกับคานินไว้ แต่ก็พลาดไปแล้ว
ในยามที่คานินต้องการที่พึ่ง ผมกลับทำเป็นไม่รู้เรื่องเหมือนไม่เคยคุยอะไรกันมาก่อนเสียอย่างนั้น
เป็นใครก็คงน้อยใจ พอรู้ตัวแล้วผมก็นึกอยากจะตบปากตัวเอง
"อืม...ไม่รู้ว่าผมมาทำอะไรที่นี่เหมือนกันนะ ไม่เห็นจะเหมาะกับผมเลย"
ว่าแล้วคานินก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียงนอนแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อผ้าที่ถอดวางไว้ในตะกร้ามาใส่
"คานินจะไปไหน"
ผมรีบลุกขึ้นตามไปแล้วจับมือคานินที่กำลังจะหยิบเสื้อผ้ามาใส่ไว้ คานินหยุดนิ่งและมองหน้าผม
ท่าทีที่จริงจังนั้นทำให้ผมหยุดนิ่งและค่อยๆ ปล่อยมือจากคานินอย่างช้าๆ
"บางที...ผมกับคุณเป็งอาจจะรู้จักกันน้อยไป...ก่อนที่จะตัดสินใจเป็นแฟนกัน หรือไม่งั้นผมก็คง...
ไม่เหมาะที่จะเป็นแฟนของคุณเป็ง เพราะผมไม่มีอะไรเลย ถ้าจะเริ่มต้นทำธุรกิจอะไรสักอย่าง
ผมก็คงไม่มีเงินจะลงทุนด้วย ความรู้ที่จะทำธุรกิจก็ไม่มี ต้องพึ่งคุณเป็งอย่างเดียว ผมไม่อยากรู้สึกแย่
เพราะคนที่ไม่มีอะไรอย่างผมไม่ควรจะเอาเปรียบคุณเป็ง อย่าให้ผมต้องเป็นภาระคุณเป็งเลยครับ"
"คานิน ทำไมคานินพูดอย่างงั้นล่ะ"
ผมถามเสียงแหบพร่าด้วยความเสียใจเมื่อรู้ว่าพลาดไปแล้ว ความสับสนว้าวุ่นใจทำให้ผมลืมสนิทเลย
"แล้วอีกอย่าง...คนในฝันของคุณเป็งก็เป็นผู้หญิง ไม่ใช่ผม รู้ไหมครับว่าผมกลัวทุกวันเลย ถ้าเกิดว่า...
คุณเป็งเจอผู้หญิงมีเขี้ยวตัวจริงขึ้นมาล่ะ"
พอเจอคำถามนี้เข้าไปผมก็สะดุ้งและใจหายวาบ คานินพูดราวกับรู้ความจริงยังไงยังงั้น
"ผมว่า...คุณเป็งไปตามหาสาวมีเขี้ยวอย่างที่คุณเป็งต้องการดีกว่าครับ ผมมาคิดๆ ดูแล้ว
ยังไงๆ ผมก็แทนผู้หญิงในฝันของคุณเป็งไม่ได้หรอก ไม่เชื่อคุณเป็งลองถามตัวเองดูดีๆ สิครับ
ถ้าเกิดวันนึงคุณเป็งเจอสาวมีเขี้ยวตัวจริงขึ้นมา คุณเป็งจะทำยังไงกับผม จะรู้สึกกับผมเหมือนเดิมไหม
คุณเป็งลองตอบผมมาสิครับ คุณเป็งตอบผมได้หรือเปล่า"
ริมฝากของคานินสั่นระริก หยดน้ำใสๆ เริ่มคลอตา สีหน้าที่แสดงความเสียใจทำเอาผมเข่าอ่อน
สิ่งที่คานินสมมติขึ้นมาคงไม่ต้องสมมติอีกแล้ว เพราะมันกำลังเกิดขึ้นกับผมในตอนนี้
"ผมไม่ใช่ตัวจริงของคุณเป็งแล้วใช่ไหมครับ"
"คานิน!"
ผมครางเสียงแหบพร่าด้วยความสะท้อนใจ ก่อนจะดึงมึงของคานินมากอบกุมไว้เบาๆ
"ผมขอโทษนะคานิน ผมขอโทษจริงๆ"
น้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่ใช่ว่าจะไหลได้ง่ายๆ ค่อยๆ ปริ่มขอบตาผม มันร้อนผ่าวจนผมคงกลั้นไว้ไม่ไหว
"ขอโทษเรื่องอะไรเหรอครับ ขอโทษที่ผมไม่ใช่ตัวจริงของคุณเป็งเหรอ"
แต่ละคำถามของคานินช่างเสียดแทงใจเสียจริงๆ ผมรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกินที่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น
ผมพลาดอย่างมากที่ปล่อยให้อารมณ์ชั่วแล่นพาเตลิดไปไกลจนลืมคิดไปว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
ถ้าผมฉุกใจคิดให้รอบคอบกว่านี้ ผมก็คงไม่พาคานินมาเจอเรื่องเลยร้ายอย่างนี้หรอก
"ใช่ไหมครับคุณเป็ง คุณเป็งได้คำตอบแล้วเหรอว่าผม...ไม่ใช่ตัวจริงของคุณเป็ง"
คานินถามด้วยสีหน้าคาดคั้นอีกครั้ง ถึงตอนนี้ผมก็ไม่สามารถอดทนเก็บความรู้สึกข้างในได้อีกแล้ว
ผมดึงคานินมากอดไว้แน่นแล้วก็ร้องไห้เพราะน้ำตาผมมันคอยท่าเตรียมพังทำนบไว้ก่อนแล้ว
"ผมสับสนน่ะคานิน ผมสับสนมาก"
คานินยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ ไม่แม้แต่จะกอดผมตอบ มีแต่ผมเท่านั้นที่กอดคานินไว้และร้องไห้
คิดแล้วก็ใจหาย เมื่อวานเรายังไปเที่ยวที่สวนรถไฟ ไปกินข้าวแล้วก็ไปดูหนังด้วยกันอยู่แท้ๆ
เพียงชั่วข้ามคืน เหตุการณ์กลับตาลปัตรจนเราสองคนตั้งตัวกันแทบไม่ทัน
"ผมไม่ใช่ตัวจริงของคุณเป็งใช่ไหมครับ" คานินถามเป็นรอบที่สามเมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่
ผมพยายามข่มใจไม่ให้ร้องไห้และค่อยๆ ปล่อยคานินออก แต่พอมองหน้ากันแล้ว
ผมกลับไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับคานินเลย สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมช่างน่าละอายสิ้นดี
"ถ้าคุณเป็งไม่ตอบ...ผมก็จะถือว่าคุณเป็งยอมรับ"
"คานิน! ผม..."
ผมรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดรอดมาอีก ก็เท่ากับเป็นการยอมรับกลายๆ
"คุณเป็งเจอสาวมีเขี้ยวตัวจริงแล้วเหรอครับ"
พอถามจบ น้ำตาของคานินก็ร่วงเผาะลงมา ผมรู้สึกเหมือนหัวใจถูกทิ่มแทงด้วยเข็มนับร้อยนับพัน
คานินคงไม่รู้เรื่องที่ผมเจอกัญชพรหรอก แต่จากอาการที่ผมเป็น คงประเมินเองได้ไม่ยาก
แค่นี้คานินก็คงรู้แล้วว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน
แล้วผมควรจะตอบคานินว่ายังไงดี?
ถ้าเกิดผมตอบว่าคานินเป็นตัวจริงของผม แต่สุดท้ายไม่ใช่ ก็เท่ากับผมโกหกและหลอกลวงคานิน
ถ้าผมบอกออกไปตามตรงว่าผมเจอสาวมีเขี้ยวแล้ว คานินก็คงเสียใจ ตอนนี้ก็เสียใจไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ผมไม่รู้หรอกว่าท้ายที่สุดแล้วอาการหวั่นไหวของผมที่มีต่อกัญชพรจะพาผมกับเธอไปถึงไหน
มันไม่สำคัญหรอกว่ากัญชพรเป็นตัวจริงของผมหรือเปล่า ปัญหามันอยู่ที่อาการหวั่นไหวของผมต่างหาก
"ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ เราสองคนก็แค่กลับไปเป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งเหมือนเดิม
คุณเป็งไม่ต้องกังวลหรอก ผมก็คิดอยู่แล้วล่ะว่าวันนึงมันต้องเป็นแบบนี้ ก็ดีเหมือนกันนะครับ
บางทีมันอาจจะเป็นโอกาสที่ดีก็ได้ที่เราจะได้พิสูจน์ตัวเองให้รู้ไปเลยว่า...ใครเป็นตัวจริงของใคร"
คานินยกมือขึ้นป้ายน้ำตาแล้วก็หยิบเสื้อผ้าที่ถือไว้ขึ้นมาใส่ ผมได้แต่ยืนดูอย่างคนไร้เรี่ยวแรง
ไม่คิดแม้แต่จะห้ามปราม จนกระทั่งคานินใส่เสื้อผ้าชุดเดิมเรียบร้อย ดูยับๆ หน่อยแต่ก็พอไปข้างนอกได้
"ไปส่งผมหน่อยนะครับ"
ผมยืนนิ่งเหมือนกับไม่ได้ยินคำถาม สักพักคานินก็เอ่ยถามอีกรอบ
"ไปส่งผมหน่อยนะครับคุณเป็ง ผมไม่มีการ์ด ใช้ลิฟต์ไม่ได้"
ผมหันไปสบตากับคานิน แม้ว่าคานินพยายามกลบเกลื่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ปิดความเสียใจไม่หมด
ผมมองคานินอย่างเพ่งพิจ ผู้ชายคนนี้จิตใจดีกว่าที่ผมคิดไว้มาก ไม่เอะอะ ไม่โวยวาย ไม่ขัดขวางใดๆ
เฝ้าแต่โทษตัวเองว่าฐานะไม่เหมาะสมกับผม ไม่ใช่ตัวจริงของผม ไม่กล่าวโทษผมสักคำ
"คานิน...อย่าไปเลยนะ อยู่กับผมที่นี่"
พูดจบผมก็เดินไปกอดคานินไว้อีกครั้ง เพียงแค่ได้สัมผัสกัน ผมก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
"อย่าหลอกตัวเองสิครับคุณเป็ง คนไม่ใช่ก็คือไม่ใช่นะครับ"
"ผมคิดว่าคานินใช่" ผมเถียงเบาๆ
คานินเงียบไปและไม่เถียงผมอีก สักพักก็ยอมกอดผมตอบ ผมจึงรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อกี้ผมกลัวแทบแย่ว่าคานินคงหลุดมือผมไป แต่โชคยังเข้าข้างผมอยู่ คานินจึงยังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน
จะเป็นไปได้ไหมว่า...ถ้าผมยังรู้สึกอย่างนี้กับคานินอยู่ ก็น่าจะแปลว่า...
"คุณเป็งครับ" คานินเอ่ยขึ้น
"หืม" ผมกระชับอ้อมแขนกอดคานินแน่นขึ้น ก่อนที่คานินจะพูดสืบไป
"พิสูจน์หัวใจตัวเองอีกครั้งนะครับ เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าทำแบบนี้เพราะกลัวว่าผมจะเสียใจ
ถ้าเราสองคนจะรักกัน มันก็ต้องเป็นความรักที่มาจากหัวใจของเราจริงๆ ไม่ใช่เพราะความสับสน
เมื่อไหร่ที่คุณเป็งได้คำตอบแล้ว มาบอกผมนะครับ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นยังไง ผมรับได้เสมอ"
TBC...https://www.youtube.com/v/s7_Ooanyry0