บทที่ 19 Determineเวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ หากร่างโปร่งในชุดกาวน์ยาวสีขาวยังคงนั่งเหม่อคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา หูเสียบสายฟังเพลงเดิมๆ ที่ใครคนหนึ่งเคยร้องให้ฟังเมื่อนานมาแล้ว เนื้อเพลงในท่อนฮุคที่เวียนมาจนถึงรอบสุดท้ายราวกับตั้งคำถามซ้ำๆ กับหัวใจ
คำถาม… ที่เขายังคงครุ่นคิดเพื่อหาคำตอบให้ตัวเองตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
ลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ ทำให้ดอกปีบค่อยปลิวหมุนเป็นวงร่วงลงบนพื้นหญ้า ตรงหน้ารองเท้าหนังของใครคนหนึ่งที่เพิ่งมาถึง
“มานั่งทำอะไรตรงนี้ฮาร์ฟ”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นปลุกนรกรตื่นจากภวังค์ของเรื่องราวในอดีตกลับมาสู่ความเป็นจริง
นัยน์ตาสีอ่อนทอดมองรองเท้าบนพื้นหญ้าก่อนจะกวาดสายตามองขึ้นไปตามเรียวขายาว แผงอกกว้างที่ถูกคลุมด้วยเสื้อกาวน์ยาวสีขาว ผ่านลำคอหนา ไปจนถึงใบหน้าคมสันประดับด้วยนัยน์ตาอบอุ่นที่กำลังทอดมองมาที่เขาเช่นกัน
แล้วทันใดนั้นเอง นรกรก็ได้พบกับคนที่คิดถึงตลอดเวลา ใคร... คนที่เอาหัวใจของเขาไปด้วยในวันที่จากกัน และไม่ยอมติดต่อกลับมาเลยแม้สักครั้งเดียว
“พี่วินทร์กลับมาแล้วเหรอครับ” กระซิบถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งที่พยายามฝืนไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าตอนนี้เขาดีใจมากแค่ไหนพลางดึงหูฟังออกเก็บใส่กระเป๋าเพื่อฟังเสียงทุ้มนั้นให้ชัดๆ
ร่างสูงในชุดกาวน์ยาวสีขาวระบายยิ้มลงบนเรียวปากพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง “เมื่อกี้เอง”
นัยน์ตาสีอ่อนตวัดกลับมามองช่อดอก Forget me not ในมือเพราะกลัวว่าจะเผลอจ้องคนที่นั่งอยู่ข้างๆ มากเกินไป “ผมนึกว่าพี่วินทร์จะไม่กลับมาซะแล้ว”
“ต้องกลับสิ” วินทร์ตอบ “ก็ฉันติดสัญญาเป็นอาจารย์ที่นี่ไว้นี่นา ไม่งั้นอาจารย์สรวิชญ์เอาฉันตายแน่” เว้นวรรคไปเล็กน้อยเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของนรกร และเมื่อเห็นความผิดหวังที่ฉายชัดขึ้นในแววตาจึงรีบพูดต่อ “ล้อเล่นน่า ฉันจะไม่กลับมาได้ยังไงก็นายเล่นโทรมาพูดแบบนั้น”
‘พี่วินทร์จะกลับมาใช่ไหม ผมจะรอนะไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ’
นั่นยังไม่นับรวมถึงเสียงที่สะอื้นมาตามสาย มันทำให้เขาแทบบ้าจนอยากจะเลี้ยวรถกลับเสียตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะรถกำลังติดแหงกอยู่บนทางด่วน
แก้มขาวซับสีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย นรกรก็นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ทั้งที่ตั้งใจจะโทรไปบอกแค่ขอโทษ แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงของวินทร์ผ่านสายโทรศัพท์น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
และในนาทีนั้นเองที่เขาเข้าใจหัวใจตัวเอง บางทีการที่เขาชอบอทิฏฐ์ได้อย่างง่ายดายอาจเป็นเพราะลึกๆ ในใจเขาก็แอบตกหลุมรักนัยน์ตาอบอุ่นที่มองมาอย่างห่วงใยเสมอนั่นอยู่แล้วก็เป็นได้ และไม่ว่าจะวินทร์หรืออทิฏฐ์ตอนนี้เขาก็พร้อมแล้วที่จะตอบคำถาม
วินทร์กวาดตามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความคิดถึงก่อนสายตาจะไปหยุดลงที่ช่อดอกไม้ในมือ “ดอกไม้สวยจัง ใครให้มา”
“ไม่รู้สิครับ” นรกรบอกพร้อมกับจับพลิกไปมา “แต่ผมอยากให้เป็นของคนๆ นั้นจัง”
“คนที่นายชอบน่ะเหรอ”
“ครับ”
“ฉันนึกว่านายลืมเขาไปแล้วซะอีก”
“ไม่ลืมหรอกครับ จะลืมได้ยังไง” นรกรบอกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่ทำเป็นมองดอกไม้ในมือด้วยความสนอกสนใจ... เขาจะตอบคำถามของวินทร์ แต่ก่อนหน้านั้นมีอีกเรื่องที่ต้องการพิสูจน์ในแน่ใจ “พี่วินทร์ครับ ผมแอบเข้าไปอ่านในเพจแฟนคลับสมัยที่พี่วินทร์เป็นเดือนคณะ เห็นว่าชื่อวินทร์นี่ได้มาจากคำว่า ‘วิล’ ของอาจารย์วิลเลียมจริงเหรอครับ”
เจ้าของชื่อแปลกใจเล็กน้อยที่นรกรรู้เรื่องนั้นด้วย แต่ก็ไม่นานนัก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องเป็นฝีมือจิงโจ้แน่ๆ ที่เล่าให้ฟัง “เขาเป็นคนโปรดของพ่อฉันเลยล่ะ”
“ฟังดูเท่จัง ไม่เห็นเหมือนชื่อผมเลย จนป่านนี้แล้วยังไม่รู้เลยว่าทำไมพ่อถึงตั้งชื่อผมแบบนี้”
“ชื่อนายก็ไม่ได้มาจากชื่อหมอฮาร์วี่เหรอ” วินทร์บอก “แล้วชื่อจริงก็เป็นคำว่า neuron กลับหัวไง”
“พี่วินทร์รู้เรื่องนั้นได้ไงครับ” นรกรถามกลับทันที
“เอ้า! นายลืมแล้วเหรอก็วันนั้น...” แล้ววินทร์ก็เงียบไปเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
นัยน์ตาสีอ่อนจ้องมองคนตรงหน้า “จะบอกว่าเป็นคนอ่านให้ผมฟังเองใช่ไหมครับ”
“...” วินทร์ไม่ตอบ เพิ่งรู้ตัวว่าพลาดให้ถูกจับได้มาหลายครั้งแล้วสินะ
“เลิกเล่นละครได้แล้วครับ” นรกรเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ได้อยากคาดคั้น แค่อยากจะรู้ความจริง “ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ทั้งเรื่องชื่อ อาหาร เกม หมอเบลล์ เจ้าบิชอฟ ทั้งหมดนี่มีแค่คนเดียวที่รู้ แล้วก็ยังดอกไม้นี่อีก ผมไปตามหาร้านที่ส่งและถามจนรู้มาตั้งนานแล้วว่ามันถูกส่งมาจากที่ไหน และใครเป็นคนส่ง ปากบอกให้ลืมไปซะ แต่ส่งดอกไม้ที่มีความหมายว่า ‘อย่าลืมฉัน’ มาให้ทำไม ตกลงคุณเป็นใครกันแน่”
“แล้วนายอยากให้เป็นใครล่ะ อทิฏฐ์หรือวินทร์” วินทร์ตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบกว่า
“อทิฏฐ์ ไม่สิ! พี่วินทร์จำได้จริงๆ ด้วย แล้วทำไมพี่วินทร์ไม่พูด ทำไมถึง...”
“เพราะคนที่นายรักไม่ใช่ฉัน” วินทร์บอก “นายรักอทิฏฐ์ และฉันไม่ใช่อทิฏฐ์ของนาย ฉันแค่อยากให้นายรักวินทร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้านายไม่ใช่เขา และที่ส่งดอกไม้มาให้เพราะนี่เป็นสัญญาที่ฉันให้กับหมอนั่นไว้ เพราะฉันเองก็ไม่ได้อยากให้นายลืมเขา... ผู้ชายแสนดีที่ทำให้นายยิ้มได้เพียงแค่คิดถึง”
มือทั้งสองกำช่อดอกไม้ในมือแน่นเมื่อคำตอบกระแทกหัวใจนรกรจนจุกไปหมด มันคือสิ่งที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด
“นั่นคือคำพูดของคนที่ไม่ยอมพูดอะไรสักคำตอนที่โทรไปหา แถมยังตัดสายทิ้งและไม่ติดต่อกลับมาถึงสองปีเหรอครับ” นรกรถามกลับ “ไม่คิดว่าใจร้ายเกินไปหน่อยเหรอครับ”
“ถ้าไม่ทำแบบนั้น แล้วฉันจะตัดใจไปได้ยังไงล่ะ” วินทร์ตอบ “ถ้าต้องทนฟังเสียงนายสะอื้นอีกแค่คำเดียวฉันคงยอมเลี้ยวรถกลับมาฉีกสัญญาทิ้งเพื่ออยู่กับนายแล้ว แต่ฉันทำแบบนั่นไม่ได้ ความรักทำให้ฉันพลาดจนเสียทุกอย่างมาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนั้นโชคดีที่ได้อาจารย์สรวิชญ์ช่วยไว้ และฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก”
“แล้วไม่คิดว่า 2 ปีนี้ผมจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นเหรอ”
“นั่นมันก็เรื่องของนาย ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันสักหน่อย”
คำตอบทำเอานรกรจุกจนพูดไม่ออก จนกระทั่งวินทร์พูดต่อ
“นับตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาล ฉันก็นับวันรอที่จะเจอนายมา 2 ปีกว่า และเฝ้าดูนายมาอีก 5 ปี กะอีแค่ 2 ปีแค่นี้ทำไมฉันจะรอไม่ได้ ถึงใจนายจะเปลี่ยนไปก็ไม่เห็นเป็นไร ในเมื่อใจฉันยังไม่เปลี่ยนไปก็พอ”
วินทร์เว้นวรรคไปเล็กน้อยพร้อมทั้งหันไปสบตา
“ฮาร์ฟ ฉันรู้ว่าจนถึงตอนนี้นายยังไม่ลืมเขา แต่ในเมื่อฉันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วนอกจากนาย นายก็ปล่อยให้ฉันจีบไปเรื่อยๆ แบบนี้จนกว่าจะใจอ่อนเถอะนะ”
นรกรกำช่อดอกไม้ในมือแน่น “เรื่องนั้นเห็นทีจะไม่ได้แล้วล่ะครับ”
วินทร์แอบใจเสียไปเล็กน้อย แม้จะค่อนข้างมั่นใจกับข้อมูลที่จิงโจ้แอบส่งให้อยู่เสมอ “งั้นฉันต้องทำยังไงล่ะ”
“ผมจะให้โอกาสพี่วินทร์สามครั้งเดาใจว่าตอนนี้ผมอยากฟังคำว่าอะไรมากที่สุด ถ้าพี่วินทร์เดาถูกผมจะยอมให้จีบ” จริงๆ ตอนนี้นรกรมีคำตอบไว้ในใจอยู่แล้ว แต่เขารู้... อย่างที่เจ้าตัวบอกเอง สิ่งที่วินทร์ต้องการไม่ใช่แค่คำว่ารัก แต่ต้องการความมั่นใจว่าเขารักวินทร์จริงๆ ไม่ใช่เพราะเป็นเงาของอทิฏฐ์
วินทร์นิ่งคิดอยู่อึดใจ “ขอโทษ”
“ผิดครับ”
“คิดถึง”
“ผิดครับ”
วินทร์พ่นลมออกจมูก นึกไม่ออกแล้วว่าจะพูดอะไรนอกจากคำนี้ “เป็นแฟนกันไหม”
“ผิด” นรกรตอบ “แต่ตกลงครับ”
คิ้วเข้มมุ่นเข้าหากัน เริ่มไม่แน่ใจว่านรกรจะมาไม้ไหน “แล้ว... ยังไง”
“ก็ตามนั้นพี่วินทร์ตอบผิดก็ไม่มีสิทธิ์จีบผม”
“แต่นายตอบตกลงเป็นแฟน”
“ก็ตามนั้นไง นี่ยังให้ผมต้องพูดอะไรอีกเนี่ย”
แก้มขาวที่เริ่มขึ้นสีทำให้ริมฝีปากค่อยคลี่ยิ้มบาง นรกรไม่เคยโกหกที่บอกว่าจะพยายามคิดเรื่องของเขา และนี่คงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่จะให้ได้ตอนนี้สินะ งั้นคงไม่ผิดถ้าเขาจะขอคว้ามันไว้ก่อนละกัน “พูดว่ารัก พูดได้ไหม”
“พี่วินทร์พูดก่อนสิ”
วินทร์หลุบตาลงมองมือที่กำช่อดอกไว้แน่นแล้วคว้ามากุมไว้ในมือข้างหนึ่ง เขาใช้ปลายนิ้วโป้งไล้วนไปเบาๆ ก่อนจะยกขึ้นแตะที่ริมฝีปากทั้งที่ยังทิ้งสายตาให้สบกันไว้ “รักนะ”
นรกรดึงมือกลับมากุมไว้พร้อมทั้งก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนพวงแก้มที่เริ่มซับสีเข้มขึ้นทุกที
“ฉันพูดแล้วนะ แล้วนายจะพูดได้หรือยังว่ารักฉัน”
“ก็ไม่ได้รัก จะให้พูดได้ยังไงครับ”
“ตกลงมันยังไงกันแน่”
“ก็... ถือว่าเป็นระยะทดลอง” นรกรตอบไปส่งๆ เพราะตอนนี้หูอื้อ ตาลาย สมองชาจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว
และดูเหมือนวินทร์จะดูออกเสียด้วยเมื่อเขาแกล้งกระเซ้าต่อ “แล้วฉันทำอะไรได้บ้าง”
“อะไรที่ว่านี่คืออะไรครับ”
“อ้าว มันก็ต้องชัดเจนสิ นายไม่ให้ฉันจีบ ฉันไม่จีบก็ได้ ทีนี้เป็นแฟนกันแล้วจับมือได้ไหม”
นรกรพยักหน้า “ได้”
“กอดล่ะ” วินทร์ถามต่อ
“ก็โอเค”
“จูบ”
ถึงตรงนี้นรกรเริ่มชะงักไปเล็กน้อย และหูก็เริ่มแดงแล้ว “น่าจะ…”
“อะไรคือน่าจะ แล้วเซ็กซ์ล่ะ”
นรกรหันควับมาทันที “พี่วินทร์!”
“ตอบมาสิครับอาจารย์ ถ้าโจทย์ไม่ชัดเจน นักเรียนก็ทำข้อสอบไม่ถูกนะ”
“ก็… ดูก่อน” นรกรตอบตะกุกตะกัก
วินทร์ทำเป็นพยักหน้าจริงจัง ให้นรกรเริ่มตายใจก่อนจะเอื้อมมือไปรวบตัวเข้ามาใกล้ๆ จนแทบจะนั่งลงบนตัก “โอเค งั้นมาดูกัน”
“อะไรครับ พี่วินทร์จะดูอะไรกลางวันแสกๆ”
“กลางวันสิดีจะได้เห็นชัดๆ ไง”
“พี่วินทร์!”
“อะไร”
“ปล่อยครับ”
“ไม่ปล่อย”
“เอ๊ะ!”
“มีอะไร” วินทร์ถามเมื่อจับสังเกตความผิดปกติในน้ำเสียงนั้นได้
“ก็...”
วินทร์เหลียวมองตามนัยน์ตาสีอ่อนที่ไม่ได้หยุดอยู่ที่เขา หากเลยไปยังด้านหลัง “ใคร?” แต่นรกรยังไม่ยอมตอบเขาจึงพูดย้ำลงไปให้ชัดเจน “พูดมาสิฮาร์ฟ มาถึงขั้นนี้แล้วนายก็น่าจะรู้ได้แล้วว่าฉันรู้ว่านายพิเศษ”
“ลลิน” นรกรตอบ
วินทร์หันควับไปทันที แต่เขาก็ยังคงไม่เห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
นรกรไม่ตอบคำถาม เขาลุกขึ้นยืนและดึงมือวินทร์ให้ลุกตามไปด้วย
“เล่าเรื่องลลินให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม ช่วงที่ฉันไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นบ้าง” วินทร์ถามในขณะที่กำลังเดินคู่ไปด้วยกัน
“ลลินสอบติดครับ” นรกรเริ่มต้นเล่าพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดแฟ้มรูปถ่ายและส่งให้ดู มันเป็นภาพเขากับเธอในชุดนักศึกษา เธอผูกผ้าที่ศีรษะเป็นโบดูกิ๊บเก๋และยังมีรอยยิ้มเต็มหน้าแม้บนศีรษะจะไม่มีผมสักเส้นจากการฉายรังสี “เธอได้ไปเรียนตามที่ฝันครับ แต่ก็ยังเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเป็นพักๆ” เขาเลื่อนภาพให้วินทร์ดูไปเรื่อยๆ น่าแปลกในตอนที่ลลินมาขอถ่ายแม้จะไม่ค่อยเต็มใจเพราะความเขิน แต่ตอนนี้เขากลับขอบคุณเธอที่คะยั้นคะยอจนเขายอมและส่งภาพพวกนี้มาให้ เพราะมันช่วยบอกเล่าเรื่องราวของเธอได้ดียิ่งกว่าสิ่งใด “จนเมื่อเดือนก่อนที่อาการกำเริบอีกครั้ง... มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ครั้งนี้ผมทำอะไรไม่ได้เลย มะเร็งมันกินลึกเข้าไปและกดเบียดก้านสมอง การผ่าตัดทำได้แค่ยื้อเวลาออกแต่ไม่ช่วยให้เธอตื่น”
“เธอเก่งมากเลยนะ” วินทร์ชื่นชมจากหัวใจ เมื่อดูมาจนถึงภาพที่เธอชูสองนิ้วสู้ตายให้กล้องทั้งที่นั่งให้ยาเคมีบำบัดอยู่บนเตียงที่หน่วยมะเร็งวิทยา
“เธอไม่ตอบสนองใดๆ แล้ว และเมื่อเช้าผมก็เพิ่งทำการทดสอบสมองตายเป็นครั้งที่สอง” เสียงนรกรสะดุดไปเล็กน้อยเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ “และเธอก็ผ่าน”
วินทร์เข้าใจทุกอย่างในทันที เขาเอื้อมมือไปบีบไหล่นรกรแรงๆ ครั้งหนึ่งและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก
เมื่อทั้งสองไปถึงห้องไอซียูพยาบาลคนเดิมที่เคาน์เตอร์ก็ส่งยิ้มอย่างเศร้าสร้อยมาให้ราวกับรู้อยู่แล้วว่านรกรกลับมาทำไม
เขาเดินไปที่หน้าห้อง บนหน้าจอมอนิเตอร์แสดงตัวเลขความดันที่ต่ำมากและอัตราการเต้นของหัวใจที่ช้ากว่าปกติ ใบหน้าของญาติทุกคนที่อยู่ในห้องเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ไม่มีใครยิ้มออกแม้ว่าผู้ที่กำลังจะไปเคยสั่งเสียไว้แล้วว่าห้ามร้องไห้
“เธอใกล้จะไปแล้วใช่ไหมคะ” ผู้เป็นแม่หันมาถามเสียงสั่น
นรกรพยักหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสหลังคนที่มาด้วยกันเบาๆ
“ขอผมดูเธอหน่อยนะครับ” วินทร์เอ่ยขึ้นเบาๆ เขารอให้พ่อกับแม่ของลลินอนุญาตจึงเดินเข้าไปยืนข้างเตียง “เป็นการพบกันอีกครั้งที่ไม่ค่อยดีเลยนะ” เขากระซิบที่ได้ยินกันแค่สองคนพร้อมกับสอดมือเข้าใต้ผ้าห่มและบีบมือเธอครั้งหนึ่ง “หมายถึงโชคไม่ดีที่ไม่มีเวลาคุยกันให้นานกว่านี้... เธอเก่งมากนะลลิน ขอบคุณมากสำหรับทุกๆ อย่าง”
ไม่รู้ว่าวินทร์คิดไปเองหรือเปล่าว่าเห็นใบหน้าซีดของเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงเหมือนจะอมยิ้มน้อยๆ ให้ เขาบีบมือเธออีกครั้งและทันทีที่ทำเช่นนั้น กราฟแสดงอัตราการเต้นของหัวใจก็ค่อยๆ ยืดออกก่อนจะเหลือเพียงเส้นตรงราบเรียบ เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเธอได้จากทุกคนไปแล้ว อย่างไม่มีวันหวนกลับ
นัยน์ตาสีอ่อนมองสบสายตาร่างโปร่งแสงของเด็กสาวที่ยืนอยู่หัวเตียง
‘ขอบคุณที่ทำให้หนูรักษาสัญญาได้สำเร็จค่ะ’
...จะไม่ยอมแพ้ไปก่อน จนกว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง...
วินทร์ปล่อยมือเธอและถอยออกมาหานรกร ทั้งสองกำลังจะกลับออกไปเพื่อให้ญาติและเพื่อนสนิทได้อยู่กับเธอในช่วงสุดท้ายของชีวิต เมื่อผู้เป็นพ่อหันมาเรียกไว้
“คุณหมอครับ”
“มีอะไรหรือครับ”
“ลลินฝากสิ่งนี้ไว้ให้คุณหมอในวันที่เธอไม่อยู่แล้วครับ”
นรกรออกแปลกใจไม่น้อยและรับสมุดบันทึกปกหนังเล่มที่เธอใช้อยู่เป็นประจำมาและค่อยๆ เปิดไปหน้าสุดท้ายซึ่งถูกเขียนไว้
มือทั้งสองค่อยสั่นเทาขึ้นเรื่อยๆ และนรกรแทบไม่อาจฝืนแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อความอ่อนแอในหัวใจได้
เพราะนี่คือพินัยกรรมชีวิตที่เด็กสาวคนนี้ได้เขียนไว้อย่างละเอียดละออถึงทุกๆ คนเมื่อเธอจากไป ไม่ว่าจะเป็นคำขอบคุณหรือขอโทษ การจัดงานศพ ชุดที่สวมใส่ ไปจนถึงดอกไม้ที่ขอให้ตั้งประดับในงาน เธอเขียนไว้เป็นข้อๆ อย่างชัดเจนและมีข้อหนึ่งที่มันถูกเขียนถึงเขา
ถึง นายแพทย์นรกร นุศาสตร์ศิลป์ (หมอฮาร์ฟ)
ขอบคุณ คูณหมอที่ดูแลหนูเป็นอย่างดีตลอดเวลา 7 ปีที่ผ่านมา หนูขอโทษที่ไม่อาจเอาชนะได้ตามที่เคยบอกกับคุณหมอไว้ เมื่อหลายปีก่อน แต่หนูอยากให้คุณหมอรู้ ว่าหนูไม่ได้ยอมแพ้ หนูแค่อยากพักเหมือนกับที่พี่ชายคนนั้นบอกหนู แต่หนูจะไม่ให้การพักนี้เสียเปล่า หนูได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งถึงการต่อสู้กับมะเร็งไว้แจกในงานศพของหนูเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังทุกข์ทรมานและสู้กับโรคนี้อยู่ ในนั้นมีชื่อคุณหมอด้วย ขอโทษที่ไม่ได้บอกล่วงหน้านะคะ
และสุดท้ายนี้ หนูขอฝาก ‘ความฝันสุดท้าย’ ไว้กับคุณหมอเพื่อให้คนไข้มะเร็งคนอื่นๆ ได้รู้ว่าไม่ได้อยู่ลำพัง มีกำลังใจที่จะสู้ต่อและเผชิญกับความตายทั้งรอยยิ้มเหมือนหนู
รักและเคารพ
ลลินนรกรเงยหน้าขึ้นมองผู้ปกครองของเด็กสาวที่ส่งยิ้มมาให้พร้อมกับซองเอกสารฉบับหนึ่ง เขารับมันมาและเปิดออกดู มันคือรายละเอียดโครงการปันฝันสู่ผู้ป่วยมะเร็ง สำหรับผู้ป่วยมะเร็งยากไร้ที่เธอทำมาตลอดหลายปีนับตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อมีกลุ่มเพื่อนที่เข้าใจคอยให้ความช่วยเหลือ
และคนที่เป็นแรงผลักดันให้เธอทำมันขึ้นมาจนสำเร็จก็คือวินทร์ที่ช่วยบอกให้เธอรับรู้ว่าเธอเองก็มีค่าและสามารถช่วยคนอื่นได้เหมือนกันในแบบของเธอ นอกจากเอกสารในนั้นยังมีสมุดบัญชีเงินฝากแสดงเงินจำนวนหนึ่งที่เธอเก็บสะสมเองและได้มาจากการรับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาที่เป็นจำนวนถึงเลขหกหลัก
นรกรกำเอกสารในมือแน่น ฝ่ามือเล็กเซียวแตะเบาๆ ลงบนหลังมือ นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองก่อนจะพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้ปกครองทั้งสอง ไปจนถึงกลุ่มเพื่อนๆ ที่ยืนดูเขาอยู่
“ผมจะนำเสนอโครงการนี้กับทางมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลให้จัดตั้งเป็นมูลนิธิขึ้นมาโดยจะใช้ชื่อของเธอ ถ้ามีความคืบหน้าอย่างไรผมจะบอกกับคุณพ่อคุณแม่ให้ทราบนะครับ”
“ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ ที่ยอมทำตามใจเธอจนถึงวาระสุดท้าย”
“ผมสิครับต้องเป็นฝ่ายขอบคุณเธอแทนผู้ป่วยคนอื่นๆ ด้วย”
ร่างโปร่งแสงของเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างกันส่งยิ้มกว้างมาให้... ยิ้มกว้างสดใสเหมือนกับวันแรกที่ได้เจอกัน
‘หนูชื่อลลินแปลว่าพระจันทร์... พระจันทร์เต็มดวงโต๊โตด้วยนะคะไม่ใช่จันทร์เสี้ยวเล็กๆ’
นรกรยิ้มตอบ แล้วร่างของเธอก็ค่อยๆ เลือนหายไป
oooooo
(ต่อด้านล่างค่ะ)