เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] [The end] (แจ้งข่าวเรื่องรวมเล่ม) 13/3/2560
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] [The end] (แจ้งข่าวเรื่องรวมเล่ม) 13/3/2560  (อ่าน 52498 ครั้ง)

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ jaengsRU

  • ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-1
    • https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/

เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน
[/b]

ตอนที่ 6
[/size]


ผู้ชายตัวโตใบหน้าหล่อเหลา คมคาย รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวสวมเสื้อผ้าในชุดลำลอง อายุประมานยี่สิบกว่า แววตาและ

ท่าทางที่ดูดุดัน กำลังนั่งอยู่ข้างๆคุณย่าแต่สายจ้องมองมาที่ผม

“พอเถอะตาเทียน จะจ้องน้องอีกนานไหม”

“โทษที ครับคุณย่าผมกำลังสงสัยว่าน้องเป็นผู้ชายจริงๆรึเปล่า”

ผู้ชายคนนี้คือคุณเทียนหลายชายของคุณย่า วันนี้เขามาทำหน้าที่เฝ้าเธอ ผมเข้ามาเยี่ยมคุณย่าเป็นปกติเช่นทุกวันและกำลังจะ

อ่านหนังสือให้เธอฟัง คุณเทียนก็เข้ามา เธอแนะนำคุณเทียนให้ผมรู้จัก สวัสดีทักทายเขา และเธอแนะนำผมให้เขารู้จัก คุณ

เทียนแสดงท่าทางตกใจที่รู้ว่าผมเป็นผู้ชาย ถ้าเขาจับผมแก้ผ้าได้คงทำไปแล้ว หลังจากที่ทักทายกันเสร็จ คุณเทียนยังนั่งข้างๆ

คุณย่าจ้องผมตาแทบไม่กระพริบ จนรู้สึกเกร็งไปหมด กับสายตาที่เขามองมาที่ผม ตาบ้ามองอยู่ได้

“ย่าก็นึกว่าสเป็คเราเลยมองใหญ่ ดูสิน้องแก้มป่องแล้ว”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณย่านี่รู้ใจผมเลย ผมขอได้ไหมครับ”

“อย่ายุ่งคนนี้ย่าหวง ไม่ใช่ของเล่น”

“ก็ไม่ได้เล่น ผมไม่มีใครมาเป็นปีปีแล้วครับย่าทำแต่งาน”

“ใครจะรู้ว่าแกเอาไปซุกไว้ไหนบ้าง อีกอย่างเขายังเด็ก”

ไม่รู้ว่าทั้งสองคนกำลังคุยเรื่องอะไรกัน ท่าทางดูเป็นซีเรียสน้ำเสียงคุณย่าเหมือนดุดุ

“นินไม่ต้องไปสนใจเจ้าเทียนอ่านหนังสือให้ย่าฟังดีกว่า”

“โถ่คุณย่าครับ”

“อิ อิ อิ”เสียงหัวเราะของผม

“หัวเราะอะไรเจ้าตัวเล็ก ตลกอะไร”คุณเทียนถามเสียงเขียว ผมคงไปขัดขวางการพูดคุยของเขากับคุณย่า

“ปะ...เปล่าครับแค่คิดว่าคุณย่ากับคุณเทียนดูรักกันดี”คุณเทียนนี่ดุจัง เขาจะหักคอผมไหม ไม่ได้ตั้งใจหัวเราะสักหน่อย คุณย่า

ช่วยผมด้วย

“ตาเทียน แกไปว่าน้องทำไม ไปโน่นไปนั่งทำงานที่โซฟาโน่นเลยเอางานมาทำด้วยไม่ใช่รึไง”คุณย่าดุเลยครับดุคุณเทียนเลย

ไล่ไปไกลๆเลย ชิ่วๆ ไปๆ สมน้ำหน้า

“ครับ ครับ ใช่สิผมมันหัวเน่าแล้วนิ”คุณเทียนส่งสายฆาตโทษมาที่ผม ท่าทางเขาไม่ค่อยสบอารมณ์แล้วกลับไปนั่งที่โซฟาเปิด

กระเป๋าออกแล้วหยิบโน้ตบุ๊ก ออกมาวางไว้บนเก้าอี้ทำงานไปอย่างเงียบๆ เฮ้อในที่สุดทุกอย่างก็เข้าสู่ภาวะปกติซะที ผมกลับมา

สนใจหนังสือในมือแล้วเริ่มอ่านหนังสือให้คุณย่าฟังเหมือนเดิม เสียงพิมพ์เอกสาร เสียงกระดาษรบกวนสมาธิการอ่านของผม จน

ต้องเงยหน้าขึ้นมองที่มาของเสียงดูเหมือนคุณเทียนกำลังหัวเสียกับโน้ตบุ๊กและเอกสารตรงหน้า

“ตาเทียนแกเป็นอะไร”คุณย่าคงสงสัยเหมือนผมว่าคุณเทียนแกเป็นอะไรของแก

“เปล่าครับ ผมทำงานไม่ถนัดนิดหน่อย”คุณเทียนเงยหน้าขึ้น หัวคิ้วทั้งสองข้างแทบจะผูกโบว์

“หนูนินไปช่วยดู ตาเทียนให้ย่าหน่อย”คุณย่าหันกลับมาคุยกับผม บอกให้ผมไปช่วยคุณเทียน

“คะ ครับ” ผมตอบรับคุณย่าแล้วเดินไปหาคุณเทียนที่นั่งอยู่บนโซฟา

“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”

“เอ่อ ..ช่วยพิมพ์อันนี้ให้หน่อย” คุณเทียนยื่นโน้ตบุ๊กกับกระเอกสารที่ต้องการพิมพ์ให้ผม ไม่ใช่เรื่องยากผมจัดการพิมพ์เอกสาร

ตรงหน้าที่มีแต่ภาษาอังกฤษ คนข้างๆผมเขยิบเข้ามาใกล้ผม จนได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อนๆออกมาจากตัวเขา เสียงเปิดอ่าน

เอกสารยังดังอยู่ข้างผมเป็นระยะมีเสียงขีดเขียน เสียงอ่านพึมพำเบาๆ เสียงกดแป้นพิมพ์ของผมยังดังเป็นระยะ ผมชำเลืองมอง

คนที่อยู่ข้างผม คุณเทียนก็คงเหมือนผมแต่ก่อนที่เคยทำงานตลอดตื่นแต่เช้ารีบออกไปทำงาน ขับรถฝ่าความวุ่นวายบนท้องถนน

รีบเร่ง แข่งขันความเร็วบนท้องถนนเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางให้ทันเวลา ชีวิตที่รีบเร่ง นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ต่อสู้กับ

กองเอกสารวางอยู่บนโต๊ะ ทำงานทั้งวันไม่มีเวลาจะทานข้าว ไม่มีเวลาไปเดินเที่ยวตามห้าง หนังเรื่องสุดท้ายที่เคยเข้าไปดูใน

โรงหนังเรื่องอะไรผมจำไม่ได้ ไปเที่ยวต่างจังหวัดล่าสุดที่ไหนกับใครนึกไม่ออก ไม่มีเวลาพักผ่อนแต่มีเวลาทำงาน เจอหน้า

พนักงานที่ร้านบ่อยกว่าเจอหน้าพ่อแม่ เหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เวลาเขาทำงานหน้าตาดูจริงจัง     

“ผมพิมพ์เสร็จแล้วครับ”บอกคุณเทียน

“อ้าวหรอ เร็วดีจัง ขอบใจนะ”คุณเทียนแสดงสีหน้าแปลกใจที่ผมสามารถทำงานตรงหน้าเสร็จเร็ว

“คุณเทียนทานอะไรไหมฮะ เดี๋ยวผมไปเอามาให้”รู้สึกอึดอัดคุณเทียนที่นั่งเบียด ที่นั่งออกจะกว้างไม่รู้จะเบียดมาทำไม

“ก็ดีเหมือนกัน”ผมเดินเข้าไปในครัว ของกินเยอะทีเดียวเพราะพี่จิ๋วเอาของกินมาส่งทุกวัน หยิบคุกกี้ใส่จานกับชงโอวัลตินอุ่นๆให้

คุณเทียน เพราะในครัวไม่มีกาแฟ นั่งลงข้างๆคุณเทียนแล้ววางขนมกับโอวัลตินไว้บนเก้าอี้อีกตัว มองคนตรงหน้าที่กำลังอ่าน

เอกสารในมืออย่างตั้งใจมองไปที่เตียงนอนตอนนี้คุณย่าหลับแล้ว คิดว่าคงต้องกลับห้องปล่อยให้คุณเทียนนั่งทำงานเงียบๆดีกว่า

“คุณเทียน ผมต้องกลับห้องก่อนนะครับใกล้ถึงเวลาที่ผมต้องทานยาแล้ว”

คุณเทียนวางมือจากงานตรงหน้าแล้วมองมาที่ผม

“เราป่วยเป็นอะไร”คุณเทียนถามผมด้วยหน้าตาที่สงสัย

“เอ่อ ผมถูกรถชนและผ่าตัดหัวใจ”เขาพยักหน้าและขมวดคิ้วเล็กน้อย

“แล้วใกล้หายยัง”ถามผมไกลๆก็ได้ครับทำไมต้องเขยิบเข้ามาใกล้ขนาดนี้

“คงอีกนานมั้งครับ แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว”

“อือ แล้วมาเยี่ยมคุณย่าทุกวันเลยหรอ”เขารำคาญผมรึเปล่านะ รึผมทำอะไรให้เขาไม่พอใจรึเปล่า

“ครับผมมาเล่นกับคุณย่าเกือบทุกวัน คุณย่าเหงาไม่มีเพื่อน”คุณเทียนสัมภาษณ์ผมเสร็จก็ไล่ผมกลับห้องไป

กลับมาที่ห้องทานข้าวทานยาให้เรียบร้อยวันนี้จะไปรอพบแม่ที่โซนหนังสือ ผมเดินออกมาจากห้องตรงไปที่โซนหนังสือ วันนี้มา

เร็วกลัวจะไม่ได้เจอแม่เลยต้องออกมารอกำลังยืนเลือกหนังสือ

“นี่เธอ เธอ” มีคนเรียกผมนะ ผมแน่ใจว่าอย่างนั้น ผมหันกลับไป

“คุณเรียกผมหรอครับ” เอ๊ะ คนที่เห็นอยู่หน้าตู้กดน้ำ คนที่ผมช่วยเปิดกระป๋องน้ำอัดลม

“จำฉันได้รึเปล่า” จำได้หน้าตาดีแล้วแขนหักอย่างคุณคงมีคนเดียว

“ครับ ผมจำคุณได้ วันนี้มาดื่มน้ำอีกหรอครับ”เขาแสดงท่าทางเขินๆ ออกมา คงจะอายที่ผมเห็นเขาในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่

ได้

“เปล่า พอดีฉันมารอเธอ เอ่ออยากขอบคุณที่ช่วยเปิดกระป๋องน้ำอัดลมให้”

“ครับ”ว้าว แค่ช่วยเปิดฝาน้ำอัดลมคุณต้องเสียเวลามายืนรอขอบคุณผมเลยหรือครับน่าดีใจมาก

“เราไปนั่งคุยที่ร้านกาแฟตรงนั้นไหม”เขาเสนอให้ผมไปนั่งที่ร้านกาแฟทำไมต้องไปคุยที่นั่นละครับ อ๋อรึว่าอยากดื่มกาแฟเลย

ชวนผมไปเป็นเพื่อน

“แต่ผมไม่มีตังค์”ผมไม่มีเงินติดตัวมาแม้แต่บาทเดียว

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง ถือเป็นการขอบคุณก็ได้”

“อ้อ ครับ”ก็ดีเหมือนกัน ถ้ารอแม่ในร้านจะได้เห็นเธอได้ใกล้ขึ้นเพราะยังไงแม่ก็จำผมไม่ได้อยู่ดี พวกเราเดินเข้าไปนั่งในร้าน

กาแฟ เขาสั่งกาแฟร้อน ส่วนผมขอเป็นน้ำผลไม้ก็พอ

“คุณมาเยี่ยมญาติหรอครับ”ผมถามออกไป

“เพื่อน”อาจจะเป็นแฟนก็ได้

“แล้วแขนคุณไปโดนอะไรมาครับ”ผมสงสัย

“อุบัติเหตุทางรถยนต์” เขาตอบพร้อมกับส่งยิ้มบางๆมาให้ผม

“เหมือนผมเลยผมก็ถูกรถชนเหมือนกัน”เขาแสดงออกแปลกใจ ว่าทำไมผมไม่มีแผลบนร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว

“อ้อ ลืมแนะนำตัวผมน่าจะเป็นพี่คุณเรียกผมว่าพี่พัฒณ์ก็แล้วกันแล้วเราล่ะ”เขาทำหน้าตาเหมือนคิดอะไรออกสักอย่าง

“ผมชื่อนินจาครับ”

“ชื่อน่ารักเหมือนตัวเองเลย”ขอบคุณครับ

“ทำไมหรือครับ”

“ปะ..เปล่าตอนแรกที่เข้ามาทักพี่นึกว่าเราเป็นเด็กผู้หญิง แล้วอยู่ที่นี่นานรึยัง”

“นานแล้วครับยังไม่มีกำหนดออกด้วย”

พี่พัฒณ์น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับคุณเทียนแต่ พี่เขาดูใจดีคุยสนุกไม่เหมือนอีตาเทียนหน้าดุ ชอบแกล้งผม พี่คงเหงาไม่มีเพื่อน

เลยออกมาเดินหาเพื่อนคุย เหมือนผมที่ออกมาหาหนังสืออ่านเป็นเพื่อน

“เพื่อนพี่อาการหนักมากเลยหรอครับ”

“อ๋อ ไม่หรอกพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว พี่แค่รู้สึกเสียดายที่พี่จะไม่ได้เจอหน้าเราอีก”

ผมก็ไมรู้จะพูดยังไงอีกแต่ก็ดีใจด้วยที่เพื่อนพี่เขาหายป่วยแล้ว ส่วนแขนพี่เขาไม่นานก็จะหายเป็นปกติไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พี่เขา

ถามถึงเบอร์ติดต่อผมไม่มีมือถือครับก็เลยไม่ได้ให้ แต่พี่เขาให้เบอร์ติดต่อผมไว้ถ้ามีเรื่องอะไรติดต่อพี่เค้าได้ พี่พัฒน์ออกไปจาก

ร้านแล้วบอกว่าต้องไปทำธุระต่อ รถที่บ้านมารอรับข้างล่างแล้ว ส่วนผมยังนั่งรอแม่ในร้านกาแฟ แต่มองดูนาฬิกาแล้วแม่คงไม่มา

ผมก็คงต้องรีบกลับไปห้องรอแม่พิมพ์กลับมา

“นินกลับมาแล้วหรอลูกไปไหนมา”

“ไปเดินเล่นแก้เบื่อครับ แล้ววันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”

“ก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”

แม่พิมพ์พาผมไปนั่งที่โซฟากอดผมไว้แล้วโยกตัวไปมาเบาๆ เหมือนแม่ของผมเคยกอดแบบนี้ตอนเด็กๆเลย อ้อมกอดแม่นี่มัน

อบอุ่นอย่างนี้ทุกคนเลยรึเปล่า  ไม่รู้ว่าภายในใจของเธอคิดอะไรอยู่ เธอจะเสียใจรึเปล่าเมื่อรู้ความจริง เธอเป็นอีกคนที่ผมไม่

อยากทำร้าย แต่ตราบใดที่ผมยังอยู่ผมจะดูแลตามคำสัญญาที่ให้กับเจ้าของร่างนี้ แม้ครั้งหนึ่งจะเคยเป็นลูกที่ไม่ดีมาก่อนแต่ตอน

นี้ไม่ใช่แล้ว แม่พิมพ์คอยเล่าเรื่องของน้องตอนเด็กๆให้ฟังบ่อยๆ เล่าเรื่องต่างๆมากมาย ดูหน้าตาเธอมีความสุขทุกครั้งที่พูดถึง

มัน เป็นคุณหมอที่แนะนำอย่างนั้น สมองนี้ไม่มีความทรงจำของน้อง แต่เรื่องความฉลาดจากการคิดวิเคราะห์ การเรียนผมมีความ

สามารถส่วนนี้เพิ่มขึ้นจากแต่ก่อน

คืนนั้นผมหลับตาลงโดยมีแม่พิมพ์นั่งอยู่ข้างเตียงเล่านิทานให้ฟัง เธอบอกเป็นนิทานที่น้องชอบฟังตอนเด็กๆ และคืนนั้นผมก็ได้

ฝันเห็นน้องอีกครั้ง ฝันว่าทุกคนได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกันอีกครั้งมันหมายความว่าอย่างไร

แสงแดดทอแสงอ่อนยามเช้าวันนี้ผมออกมารับแสงแดด เสียงนกร้อง กลิ่นดอกไม้พัดโชยมาตามสายลม สายลมพัดทำให้ต้นไม้

ใบไม้ไหวไปตามแรงลม เหมือนพวกมันกำลังโยกไหวไปตามจังหวะเพลงธรรมชาติ ชั่งเป็นเช้าที่อากาศสดชื่นจริงๆ ผมนั่งลงที่ม้า

ยาวตัวเดิมหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน วันนี้เป็นอีกวันที่ผมตื่นขึ้นไม่เห็นแม่พิมพ์เห็นเพียงข้อความบอกว่าออกไปทำงานแล้ว ตอน

เย็นจะรีบกลับ นั่งมองคนไข้คนอื่นที่ออกมาเดินเล่นที่สวนแห่งนี้ และคนที่รอที่จะพบก็มา พ่อของผมกับพยาบาล

“คุณลุงครับ ทางนี้”คนที่เป็นพ่อแม่ลูกกันมันจะสายใยบางๆเชื่อมความสัมพันกันไว้โดยที่เรามองไม่เห็นไม่มีอะไรที่จะสามารถตัด

ขาดความสัมพันนี้ได้แม้แต่ความตาย ผมโบกมือเรียกชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีคุณพยาบาลเป็นคนเข็นมา เรื่องมันมีอยู่ว่าผม

มานั่งรอพบแม่ทุกวันหลังจากวันนั้นแต่ก็ไม่เคยพบ ขณะที่นั่งรอพบแม่ ได้ยินเสียงเหมือนสิ่งของหล่นลงมา ผมรีบวิ่งไปดู เป็นพ่อ

ของผมสวมชุดคนไข้ กำลังนั่งอยู่บนพื้นกุมข้อเท้าไว้ มีหนังสือที่หล่นลงมาอยู่ข้างๆและเก้าอี้หนึ่งตัวที่ล้มลงอยู่ข้างๆตัวพ่อ ในมือ

อีกข้างพ่อผมถือหนังสือไว้หนึ่งเล่ม Cinderella นั่นคือหนังสือนิทานเล่มโปรดที่ผมชอบให้แม่เล่าให้ฟังก่อนนอนทุกคืน พ่อคง

พยายามจะหยิบหนังสือเล่มนั้นที่อยู่สูงโดยใช้ เก้าอี้ปีนขึ้นไปคงไม่ทันระวังแล้วตกลงมา

“พ่อ เอ่อคุณลุงเป็นยังไงบ้างครับ” มือพ่อยังกุมอยู่ที่ข้าคงเจ็บที่ข้อเท้า

“นนท์ นนท์ ลูกพ่อกลับมาแล้ว นนท์กลับมาหาพ่อแล้ว”พ่อโผเข้ากอดทันทีที่ผมเดินเข้าไปหา ใบหน้าของพ่อแสดงความดีใจ

ออกมาอย่างชัดเจน ผมตกใจมาก ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้พ่อเจอผมแล้วเรียกชื่อนนท์ออกมาอย่างนั้น ทั้งตัวมีเพียงดวงวิญญาณและ

หัวใจดวงนี้ที่เป็นของผมนอกจากนั้นเป็นของคนอื่นที่เขาให้มา

“เอ่อคนลุงผมว่าไปหาหมอก่อนดีไหมครับ” ผมกลัวว่าพ่อจะเป็นอะไรมากกว่าที่ตาเห็นพยุงเขาให้ลุกขึ้นพาไปหาพยาบาลประจำ

หวอดเขายังจับมือผมไว้แน่นตลอดเวลาและยิ้มให้ผมทั้งน้ำตา น้ำตาผมก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว หมอเข้ามาตรวจอาการกระดูก

ข้อเท้ามีปัญหาใส่ต้องใส่เฝือกอ่อนสักระยะ ผมยังต้องอยู่ในห้องตรวจไม่อย่างนั้นพ่อไม่ยอมให้หมอตรวจ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย

แล้วพยาบาลจึงเข็นรถผู้ป่วยส่งพ่อที่ห้องโดยมาผมมาด้วย เปิดประตูเข้าไปในห้อง แม่ผมกำลังนั่งอยู่ข้างใน

“เกิดอะไรขึ้นคะคุณพยาบาล ทำไมสามีดิฉันมีสภาพเป็นอย่างนี้”แม่ดูตกใจที่เห็นสภาพของที่เท้าใสเฝือกอ่อนนั่งรถเข็นเข้ามาใน

ห้อง

คุณพยาบาลพช่วยยุงคุณพ่อขึ้นเตียง

“นนท์ อย่าไปจากพ่ออีกนะ พ่อขอโทษพ่อจะไม่ขัดใจนนท์อีกแล้ว นนท์กลับบ้านเรานะ”พ่อพยายามเรียกผมในขณะที่ผมยืน

ข้างๆแม่

“มันเกิดอะไรขึ้นคะคุณ ฉันขอโทษที่ปล่อยคุณไว้ฉันแค่ออกไปทำธุระนิดหน่อย”ผมเล่าเหตุการณ์ที่ผมไปพบพ่อตกจากเก้าอี้เพื่อ

จะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่เกินเขาเหยียบเก้าอี้ขึ้นไปแล้วพลัดตกลงมา

“ที่รัก นี่นนท์ นนท์กลับมาแล้วกลับมาหาเราแล้ว”เธอมองมาที่ผม แล้วน้ำตาคลอสิ่งที่ผมอยากพูดมากที่สุดในตอนนี้คือ พ่อครับ

แม่ครับผมกลับมาแล้ว

“ขอโทษนะ เอ่อ เอ่อ สามีของฉันป่วยอาจจะพูดจาแปลกๆ หนูอย่าได้ถือสานะ”

“คุณลุงครับผมชื่อนินครับ”ผมมองพ่อที่นอนอยู่บนเตียง น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง ผมจะทำยังไงผมจะบอกกับพ่อยังไง สายตาที่

พ่อมองมาที่ผมมันช่างอบอุ่นเสมอ พ่อดูซูบโทรมลงมาก ผมเริ่มมีสีขาวแซม เขาคงกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นห่วงและคิดถึงผมอยู่

ตลอด แม้กระทั่งแม่ก็ดูแก่ตัวลงมากนี่ผมจากไปนานหรือเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองกันแน่

“ได้ๆ นิน...นิน”

“หนูคือนิน นินทนัฐหรือ”เธอมองมาที่ผมใบหน้าเธอแสดงสีหน้าตกใจและแปลกใจในตอนแรกและเปลี่ยนเป็นดีใจที่ได้ยินชื่อของ

ผม

“เอ่อ..คุณรู้จักผมด้วยหรอครับ”ผมแปลกใจที่เธอรู้จักชื่อของผม

“หนูคือคน..เอ่อ....ที่ลูกชายฉันบริจาคหัวใจให้ บางทีหนูอาจไม่เชื่อคิดว่าฉันเป็นบ้า แต่..แต่....”แม่รู้ว่าผมตกใจที่แม่รู้ แต่ไม่ใช่

เรื่องยากที่จะสืบ

“คะ..ครับ ผมเชื่อ ผมเชื่อคุณ” เธอมองผมด้วยน้ำตาคลอ แปลกใจที่ผมพูดออกไปอย่างนั้น

“เอ่อ...นี่คงเป็นเหตุผลที่สามีฉันพบหนูแล้วรู้สึกเหมือนได้เจอลูกชาย ฉะ...ฉันเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน ......ที่จริงสามีของฉัน

ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ที่พวกเรามาที่เพราะต้องการพบหนู”แม่พูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก ดูเธอตื่นเต้น จนจับต้นชนปลายไม่ถูก

น้ำตาเธอเริ่มไหลออกมาแล้ว

“เชื่อ...ผมเชื่อคุณครับ ผมเชื่อคุณ”ผมยิ้มให้เธอแล้วกุมมือเธอไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นสวมกอดเธอแทน อ้อมกอดนี้เป็นอ้อมกอดที่ผม

รอมานานในที่สุดผมก็ได้ครอบครองมัน ได้ครอบครองอ้อมกอดนี้อีกครั้ง อ้อมกอดนี้มันคือของผมไม่ยอมปล่อยอ้อมกอดนี้อีก

แล้ว ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น กลิ่นของแม่ยังหอม ผิวแม่ยังนุ่มเหมือนเดิม

“ฮึก..ฮึก เอ่อป้าขอโทษนะ ที่หนูต้องมาเจอคนแก่บ้าๆสองคน พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่ แต่หนูอย่าถือสาเลยนะ เราไม่ได้มีเจตนา

ร้าย...แต่...แต่.หนูเหมือนลูกของป้า จริง จริง ฮือ ฮือ”เป็นอันว่าเราทั้งสามคนร้องไห้ในห้องนั้น ผมกับแม่ยืนกอดกันร้องไห้

โดยที่พ่อนอนร้องไห้มองเราทั้งคู่อยู่บนเตียง เป็นอีกครั้งที่น้ำตาของผมไหลออกมาด้วยความดีใจ มีความสุขมากจนเอ่อล้นไหล

ออกมาจากตา ความสุขผมกลับคืนมาแล้ว

สายลมยังพัดเอื่อยๆ หอบเอาความสบายกระทบผิวของผม พ่อนั่งอยู่กับผมบนม้านั่งสีขาวตัวยาวในสวน ผมมองรอยยิ้มที่ปรากฏ

บนใบหน้าพ่อ รอยคล้ำ ใบหน้าที่ดูอ่อนล้า ตอนนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว

“คุณป้า ไม่มาด้วยหรอครับ”

“อ๋อ เธอมีธุระนิดหน่อยเลยทิ้งพ่อไว้กับพยาบาลพิเศษ”พ่อผมแทนตัวเองว่าพ่อ ผมไม่อยากขัดใจ

“แผล ผ่าตัดเป็นยังไงบ้างใกล้หายรึยัง”

“ดีขึ้นบ้างแล้วครับ คุณลุงอยากฟังนิทานไหมไหมครับผมจะเล่าให้ฟัง”พ่อผมแปลกใจ ผมชูหนังสือนิทาน Cinderella ขึ้น เขายิ้ม

ให้ผมแล้วพยักหน้า ผมเริ่มอ่านนิทานให้เขาฟัง เขานั่งอยู่ข้างๆตั้งใจฟัง สายตาจับจ้องที่ใบหน้าผมตลอด ขอบคุณคนบนฟ้านะ

ครับที่ให้โอกาสผมอีกครั้งและครั้งนี้ผมจะทำมันให้ดีที่สุดผมจะรักษาความรักนี้ไว้ ไม่ปล่อยให้หลุดมือไปอีกครั้ง

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตู

“คุณย่าผมมาแล้วครับ คุณย่าต้องแปลกใจแน่เลยว่าผมพาใครมาด้วย” เสียงคุณเทียนได้ยินมาถึงในครัวผมกำลังจะปลอกผลไม้

ให้คุณย่า

“ทำอะไรเจ้าตัวเล็ก”อะ คุณเทียนยืนซ้อนอยู่ข้างหลังผม คุณเทียนมาเงียบๆผมตกใจหมด แล้วทำไมต้องมากระซิบที่หูผมด้วย

“ผมกำลังปลอกผลไม้ให้คุณย่า คุณเทียนผมชื่อนินนะไม่ได้ชื่อตัวเล็ก”คนเขามีชื่อหัดเรียกชื่อเขาบ้างดิ

“ตัวเล็กเหมาะกว่าดูซิ ตา จมูก ปาก มือ ตัว ดูเล็กไปหมดเลย”อือ เล็กก็เล็กไม่ใหญ่บ้างให้มันรู้ไปไม่ต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม

ขนาดนั้นก็ได้ เดี๋ยวจิ้มด้วยมีดปลอกผลไม้เลย

“คุณเทียนทานอะไรมารึยังครับ เดี๋ยวผมหาอะไรให้ทาน” ถามคุณเทียนเผื่อยังไม่ได้ทานอะไรมา รู้สึกเหมือนมีใครมาดึงที่ขา

กางเกงผม

“หม่ำ หม่ำ” เป็นเด็กชายสองคนยืนเงยหน้ามองผมตาแป๋วเชียว

“ลูกคุณเทียนหรอครับ น่ารักเชียว ชื่ออะไรกันบ้างครับ”

“พี่ชื่อนินนะครับ”ผมแนะนำตัวเองก่อน

“ชื่ออะไรตัวแสบบอกพี่เขาไปสิ”

“ปมชื่อ หนึ่ง”เด็กชายตัวกลมคนนี้น่าจะเป็นพี่ แก้มป่อง สวมเสื้อผ้าลายอุลตร้าแมนบอกชื่อตัวเอง

“ปมชื่อ สอง” ส่วนเด็กชายอีกคนที่มีใบหน้าเหมือนกันแนะนำตัว

 “น่ารักจังเลยครับ กี่ขวบครับคุณเทียน”ผมนั่งคุกเข่าลงคุยกับเด็กทั้งสอง คงยังอายไม่คุ้นกับคนแปลกหน้า ผมยื่นไปจับแก้ม

ป่องๆ นุ่มนิ่ม น้องหัวเราะคิก คักอย่างชอบใจอีกคนเดินเขามาหาผมแล้วพยายามจะนั่งตักผม

 “24 ครับ”เอ๊ะคุณเทียน

“ครับ”

“เห็นถามอายุ เลยบอก”

“ผมถามเด็กๆ”ไม่ได้ถามอายุคุณเลยนะ ที่สำคัญผมจะอยากรู้ไปทำไม

“หนึ่งสามขวบ สองสองขวบครับ” ก็แค่เนี่ย โอ๊ยผมปวดกะบาล

“คุณเทียนน้องทานอะไรได้บ้าง”เห็นบอกว่าหิว คุณเทียนชี้ไปที่ตะกร้าอาหาร

“หิว หิว ปี้สาว”เจ้าตัวเล็กอีกคนเดินเข้ามากอดรอบคอผมไว้ แล้วหอมลงที่แก้มผม

“ปี้สาวหอม หอม จุ๊บ”

“เอ่อ พี่เป็นผู้ชายครับไม่ใช่ผู้หญิงเรียกพี่ชาย”

“5555” เสียงหัวเราะคุณเทียน คุณเทียนกำลังหัวเราะผม ทำไม ตลกอะไร ตลกมากนักรึไง ผมจับเจ้าตัวเล็กออกจากตักและแกะ

อีกคนออกจากรอบคอยืนขึ้น แล้วหยิบผลไม้ที่ปอกไว้ยัดเข้าปากคุณเทียน

“อุ๊บ ขอบคุณรู้ได้ยังไงว่ากำลังอยากกินพอดี”ผมหันไปสนใจอาหารในตะกร้า มีผัดมักโรนีน่าจะทำไว้ให้เด็กๆ

“คุณเทียนช่วยเอาผลไม้ไปให้คุณย่าทีครับ คุณย่าคงหิวแล้ว” ผมไล่คนตัวโตออกจากห้องไปได้สำเร็จ แล้วตักผัดมักกะโรนีใส่

ถ้วยพลาสติกที่อยู่ในตะกร้า

“อุนตราแมง อุนตาแมง ของหนึ่ง”แสดงความเป็นเจ้าของไม่ต้องถามเลยว่าถ้วยไหนของใคร ผมยื่นถ้วยอุลตร้าแมน ให้น้องหนึ่ง

เจ้าตัวได้ของกินก็เดินออกไป

“เบนเทน เบนเทน ของสอง” ส่วนอีกถ้วยเป็นของน้องสอง ผมยื่นให้น้องน้องก็เดินตามก็นกันออกไป ผมพาทั้งสองไปนั้งที่โต๊ะ

อาหาร ปกติโต๊ะที่ห้องไม่มีตัวใหญ่ขนาดนี้

“เด็กๆอย่าไปกวนพี่เขาล่ะ”คุณย่าตะโกนบอก เด็กๆนั่งกินเงียบๆ ได้ยินแต่เสียงเคี้ยว แจ๊บๆ

ส่วนคนตัวโตกำลังจ้องโน้ตบุ๊คอยู่  ผมเดินกลับเข้าไปในห้องครัวเห็นแซนวิสในตะกร้าผมจัดใส่จานและชงโอวัลตินอุ่นๆ วางไว้

ข้างคนตัวโต

 “คุณเทียนทานอะไรบ้างนะครับ แอ๊ปเปิ้ลชิ้นเดียวคงไม่อิ่มหรอกผมว่า” อิอิ มีกัดนิดหน่อย

“หึ หึ หึ” เสียงหัวเราะคุณเทียนฟังแล้วรู้สึกขนลุกยังไงชอบกล ผมกลับไปนั่งกับเด็กดีกว่า

“อร่อย ไหมครับเด็กๆ”

“อร่อยครับ ปี้สาวน่ายักจัง ปี้สาวจะมาเป็นแม่ใหม่พวกเราหยอ”ผมนี้แทบสำลักน้ำลายตัวเอง เด็กแค่นี้คิดได้ไง ใครสั่งใครสอน

ผมอุ้มน้องสองนั่งตักผม มักกะโรนีในถ้วยหมดไปแล้ว สองกำลังดื่มน้ำจากแก้ว

“สองกินหมดแย้ว ปะ ปี้สาว ปะเราไปเล่นกัน”ผมหยิบทิชชู่ขึ้นเช็ดปากน้องสอง หันไปมองน้องหนึ่ง เล่นหุ่นยนต์อุลตร้าแมนกับ

กันดัมในมือ

“น้องหนึ่งทานข้าวหมดยัง อย่าเพิ่งเล่น”น้องหนึ่งพยักหน้า แต่ก็ยังเล่นเจ้าหุ่นยนต์อยู่ ผมตักมักกะโรนีป้อนใส่ปากน้องหนึ่ง น้อง

หนึ่งอ้าปากงับแล้วเคียวหยุบหยับ น้องสองปีนลงจากตักผมวิ่งไปหยิบตุ๊กตาเบนเทนจากกระเป๋า

“ปี้นิน ของสองก็มี” น้องสองโชว์ของเล่นของตัวเองให้ผมดู ผมป้อนมักกะโรนีน้องหนึ่งจนหมดก็เก็บถ้วยเข้าไปล้างในครัวเด็กๆ

ยังเล่นอยู่ที่โต๊ะอาหาร ผมเหลือบไปเห็นเสื่อปิกนิกผมจัดการปูให้เรียบร้อยแล้วอุ้มเด็กๆไปเล่นบนเสื่อ ปล่อยให้ทั้งคู่เล่นกัน ผม

เดินไปหาคุณย่าที่นอนดูทีวี

“คุณย่าฟังผมอ่านนิยายต่อจากเมื่อวานไหมครับ”

“ก็ดีเหมือนกัน ไม่มีอะไรดูแล้วมีแต่ข่าวไฟไหม้”คุณย่าหยิบรีโมทย์ปิดทีวี ผมหยิบหนังสือเปิดหน้าที่คั่นไว้ แล้วเริ่มอ่านออกเสียง

เบาๆให้คุณย่าฟัง ไม่รู้ว่าผมอ่านไปนานเท่าไหร่เงยหน้าขึ้นเห็นคุณย่านอนหลับไปแล้วมีน้องหนึ่งนอนอยู่ข้างๆ ส่วนน้องสองนั่ง

หลับอยู่บนตักผม ผมอุ้มน้องสองไปนอนกับคุณย่าแล้วห่มผ้าให้ทั้งสาม หันมาอีกคนคุณเทียนนั่งฟุบหลับหน้าโน้ตบุ๊ก

“คุณเทียน คุณเทียนครับ” ผมเรียนคุณเทียนเบาๆ

“อือ อื้อ”เขาตอบรับเสียงเรียกผม

“คุณเทียนไปนอนบนโซฟาดีกว่าครับ จะได้สบาย” ผมพาคุณเทียนไปนอนที่โซฟา คุณเทียนนั่งลงที่โซฟา

“แล้วสองแสบล่ะไปไหนแล้ว”

“หลับแล้วครับนอนอยู่บนเตียงกับคุณย่า”

“อ้าวหรอ ขอบใจที่ช่วยดูให้เดี๋ยววันหลังจะซื้อขนมมาฝาก”แล้วคุณเทียนก็ล้มตัวลงนอน ผมหยิบผ้าห่มจากในตู้มาห่มให้คนตัวโต

คุณเทียนลืมตาขึ้นมองผมที่ห่มผ้าให้แล้วยิ้ม ผมปิดประตูลงเงียบๆแล้วเดินกลับห้องตัวเอง วันนี้เหนื่อยจังเลยแต่เด็กๆก็น่ารักดี


****************************************************************

มาต่อให้แล้วจ้า ช้าไปหน่อยเพราะลืม อิอิ หวังว่าจะถูกใจ

**********************   โปรดติดตามตอนต่อไป     ********************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-03-2016 20:44:18 โดย jaengs »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ใครเป็นพระเอกหนอ พี่เทียน พี่พัฒน์ หรือจะมีคนอื่นอีก รอตอนต่อไป

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ใครเป็นพระเอกนะ อีตาเทียนจอมกวนรึป่าว

ออฟไลน์ yisren.

  • #คนที่ฉันไม่เคยลืม
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 830
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
น่ารักน้อ ดีใจจังที่พ่อแม่ลูกเค้าได้มาเจอมากอดกัน ีก

ออฟไลน์ jaengsRU

  • ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-1
    • https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/

เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน
ตอนที่ 7



“แม่กินนี่สิ ผมตักให้”

“ลูกก็กินด้วยสิ”

“แม่ไม่ได้เจอพ่อนานแล้วคงคิดถึงพ่อใช่ใหมครับ”

“ผมกับพ่อคิดถึงแม่นะครับ”


ผมเห็นภาพครอบครัวของน้องนิน กำลังนั่งทานข้าวพร้อมหน้าหน้าตา ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้มมีความสุข พูดคุยกันเสียงหัวเราะ

ของน้องดังก็องกังวานในหูของผม

ลืมตาตื่น รู้สึกถึงความสุขที่ได้เห็นเมื่อครู่ในความฝันยังชัดเจนเหมือนอยู่ตรงหน้า วันนี้เป็นอีกวันที่ผมลืมตาตื่นขึ้นในห้องพัก

คนไข้ห้องห้องนี้ แม่พิมพ์ออกไปทำงานแต่เช้าเช่นทุกวัน ไม่เคยตื่นทันเห็นเธอออกไปทำงานสักวัน เจ็ดโมงเช้าเป็นเวลาที่รู้สึก

ตัว เดินเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว ผมได้ยินเสียงข้างนอกคุณพยาบาลคงเข้ามาปลุกผมและเอาอาหารและยามาส่ง ระบบย่อย

อาหารผมดีขึ้นแล้วเพราะคุณหมออนุญาตให้ทานอาหารปกติได้ แม่พิมพ์ซื้ออาหารที่ชอบมาให้ทานแทบทุกวัน

“คุณหมอ สวัสดีครับ”ผมเปิดประตูออกเป็นคุณหมอที่มารอผม

“สวัสดีครับ ทานยาครบทุกมื้อที่บอกรึเปล่า”คุณหมอพูดเหมือนผมเป็นเด็กเลยครับ

“ทานครบทุกมื้อครับ”

“เดี๋ยววันนี้หมอจะตรวจดูอาการถ้าดีขึ้น จะได้ตัดไหม หมอก็จะหยุดและลดยาบางตัว”วันนี้ต้องไปเอ็กเรย์ ตรวจเคลื่อนหัวใจ

ตรวจร่างกายและตัดไหมด้วย คุณหมอเขียนรายงานลงชาร์ต

“เดี๋ยวหมอจะให้คุณพยาบาลพาไปห้องตรวจ หลังจากที่ทานข้าวทานยาให้เรียบร้อย”

“ครับผม”

“งั้นเดี๋ยวหมอขอตัว แล้วเจอกัน”คุณหมอเดินออกไปแล้ว เป็นคุณพยาบาลเตรียมอาหารและยาเข้ามาให้

“ทานข้าวแล้วทานยานะคะ เดี๋ยวพี่จะพาไปพบคุณหมอ”

“ครับ”รับคำของพี่พยาบาล ตักอาหารเข้าปากและเปิดทีวีดูรายการต่างๆในทีวี ทำไมช่วงนี้มีข่าวไฟไหม้บ่อยจัง เลิกสนใจทีวีหัน

มาทานอาหารให้หมดแล้วและทานยา หยิบผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าชุดใหม่เดินเข้าห้องน้ำจัดการเช็ดตัวชำระล้างส่วนที่ถูกน้ำได้

เสียงน้ำกระทบลงพื้นน้ำกระเซ็นไปทั่วห้องน้ำ รู้สึกสดชื่นเมื่อผิวสัมผัสโดนน้ำ นั่งลงบนชักโคกก้มศีรษะลงใช้น้ำจากฝักบัวลาดลง

บนศีรษะจนทั่วหยิบยาสระผมของโรงพยาบาลให้มาเทลงบนฝ่ามือแล้วนวดลงบนศีรษะเบาๆจนทั่วกลิ่นหอมอ่อนๆของยาสระผม

ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเปิดน้ำจากฝักบัวไล่ฟองออกจากศีรษะเรื่อยๆจนหมดหยิบผ้าเช็ดตัวซับน้ำที่เกาะบนผมออกจนหมาด สวม

ชุดคนไข้ชุดใหม่แล้วออกมารอไปตรวจ

ก๊อก ก๊อก พยาบาลและเจ้าหน้าที่เข็นรถเข็นเข้ามา

“พร้อมรึยังเดี๋ยวพี่จะพาไปพบคุณหมอ”

“พร้อมแล้วครับไปได้เลยครับ” ขึ้นนั่งบนรถเข็นเจ้าหน้าที่เข็นออกจากห้องผ่านห้องพักหมายเลขต่างๆไปเรื่อย ไปจนถึงหน้า

หวอดที่มีพยาบาลนั่งเฝ้าอยู่หลายคน

ติง คุณพยาบาลกดเรียกลิฟต์โดยสาร ลงไปชั้นสาม เข้ามาในลิฟต์แล้ว เพิ่งได้ใช้บริการลิฟต์ครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ภายในตู้

สี่เหลี่ยมมีโปสเตอร์แนะนำ โรงพยาบาล ภาพถ่ายตึกโรงพยาบาลคุณหมอที่มีชื่อเสียงประจำอยู่ที่นี่ ข่าวประกาศ ติง ลิฟต์หยุด

แล้วเปิดออกเป็นชั้นสามมีคนยืนรอหน้าลิฟต์เพื่อลงไปชั้นล่าง ห้องตรวจ คือป้ายที่ติดไว้ก่อนจะเข้ามา

ก๊อก ก๊อก พี่พยาบาลเคาะประตู

“คุณหมอคะคนไข้มาแล้วค่ะ”

“เชิญครับ”ประตูห้องตรวจเปิดออก ผมลุกขึ้นจากรถเข็นเดินเข้าไปในห้อง

“เชิญนั่งบนเตียงได้เลย เดียวหมอตรวจร่างกายคร่าวๆก่อน”ขึ้นไปนอนบนเตียงโดยมีคุณพยาบาลช่วย รู้สึกในห้องนี้จะเย็นๆมี

กลิ่นยา กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ คุณหมอหยิบไฟฉายขึ้นมาตรวจที่ตาของผม เปิดเสื้อของผมออกใช้หูฟังแพทย์ (Stethoscope)วางลง

ที่หน้าปอด หน้าอก

“เรียบร้อยแล้ว โดยรวมถือว่าดีมาก เดี๋ยวพยาบาลจะพาไปเอ็กเรย์ ตรวจคลื่นหัวใจ แล้วตัดไหม เชิญครับพยาบาลพาตัวคนไข้ไป

ได้เลย”เย้ผ่านครับ ดีใจมากเลย ผมไม่ต้องนั่งรถเข็นแล้วเพราะห้องเอ็กเรย์ไม่ไกลจากห้องตรวจเท่าไหร่ ห้องเอกเรย์ หยุดอ่าน

ป้ายที่ติดไว้หน้าห้อง มีคำเตือน คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่จะเข้าไปในห้อง

“คนไข้ถอดสิ่งของที่เป็นโลหะด้วยนะครับ” เจ้าหน้าที่ห้องเอ็กเรย์สามชุดสีขาวบอกผม

ในห้องสี่เหลี่ยมโล่งๆมีเครื่องเอ็กเรย์หน้าตาแปลกๆ

“เดี๋ยวคนไข้ยืนชิดแป้นนี้นะครับวางคางไว้ตรงนี้ แล้วหายใจเข้าให้เต็มปอด”หันหลังให้เครื่อง มีเสียงกึก กัก สองสามทีเป็นอัน

เสร็จ ไม่ต้องรับฟิล์มเอ็กเรย์ที่นี่มีระบบเป็นไฟล์คอมพิวเตอร์ เพราะตอนนี้หลายโรงพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่

กำลังประสบปัญหาไม่มีที่เก็บฟิล์ม ฟิล์มมีราคาแพง จึงได้มีหลายโรงพยาบาลทุ่มงบซื้อเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้ถึงราคาจะสูงแต่มี

ผลดีในระยะยาว ไม่ต้องจ่ายค่าซื้อฟิล์ม ไม่ต้องหาที่จัดเก็บ

ห้องต่อไปที่จะต้องไปคือห้องตรวจคลื่นหัวใจ คนไข้ตามห้องตรวจไม่ค่อยเยอะเพราะที่นี่คือโรงพยาบาลเอกชนค่ารักษาค่อนข้าง

สูงแต่บริการก็ดีนะครับสมกับราคา เครื่องมือแพทย์ดูทันสมัย พนักงานทำความสะอาดก็เดินทำความสะอาดตลอด คุณหมอบอก

ว่าผมผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ และเสี่ยงต่อถาวะการปฏิเสธหัวใจใหม่ แต่ของผมไม่พบอาการเหล่านั้น แถม

ร่างกายยังเข้ากับหัวใจใหม่ได้ดีมาก

“คนไข้ขึ้นนอนบนเตียงเลยนะคะ”คุณพยาบาลให้ผมนอนบนเตียง เธอเปิดเสื้อผมขึ้นแล้วใช้เครื่องมือแปะบริเวณรอบหัวใจของ

ผม

“คนไข้นอนสักครูนะคะเครื่องกำลังประมวลผล”เสียงเครื่องกำลังอ่านค่าหัวใจของผมฟังดูน่าตื่นเต้นดีจังเลย เสียงเต้นของหัวใจ

ของผมเต้นตึก ตัก สงสัยผมคงตื่นเต้นอยู่ 

“เรียบร้อยแล้วค่ะ” คุณพยาบาลบอกแล้วแกะเครื่องมือออกจากหน้าอกผม

“ขอบคุณครับ”สวมเสื้อและลุกจากเตียง เดินตามพยาบาลไปอีกห้อง ห้องทำแผล ป้ายหน้าห้อง คุณพยาบาลจะตัดไหมให้ผม

“เชิญนั่งเลยนะคะ มาตัดไหมใช่ไหมคะ เจ็บนิดๆนะคะ”นั่งรอที่เก้าอี้คุณพยาบาลสวมถุงมือสีขาว เปิดเสื้อผมออก เธอหยิบเครื่อง

มือแพทย์ขึ้นมาเหมือนเป็นกรรไกร ผมไม่กล้ามองกลัว ได้ยินเสียงตัดไหม เธอเปลี่ยนเป็นเครื่องมืออีกอันแล้วดึงไหมออกรู้สึก

เจ็บนิดๆ เวลาที่เธอดึงมันออก ผมรู้สึกเหมือนเลือดผมจะไหลออกมา เธอใช้สำลีซับเลือดผม

“อะ เรียบร้อยค่ะอย่าให้แผลโดนน้ำเหมือนเดิมนะคะ ไม่นานแผลก็จะหาย”

“ขอบคุณครับ”ผมตัดไหมออกแล้วแต่มีผ้าก็อตสีขาวมาแทน ดูเหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อยแล้ว

“กลับขึ้นห้องเลยนะคะ ไปพักผ่อนแผลจะได้หายเร็วๆ”

“ครับ”เจ้าหน้าที่เข็นรถมารับผม รู้สึกว่าวันนี้จะเหนื่อยกว่าทุกวันเดินไปตรงโน้นมาตรงนี้ สงสัยร่างกายผมยังไม่ฟื้น เคลื่อนไหวแค่

นี้ก็เพลียแล้ว กลับขึ้นลิฟต์ตัวเดิมที่ลงมา ถ้าเดินบ่อยเคลื่อนไหวบ่อยแผลจะเปิดอีกไหมนะ

ประตูห้องปิดลง ตอนนี้รู้สึกเริ่มง่วง และรู้สึกเจ็บแผลนิดนิด เป็นเพราะขยับตัวตอนกินข้าวรึเปล่านะ ไม่ไหวแล้วเพลียมาก กดปุ่ม

ปรับเตียงให้เหมาะสำหรับนอน ห่มผ้าแล้วหลับตาลง ดำดิ่งลงสู่ความสงบเงียบอย่างช้าๆ

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

“คะ..คุณลุงเอ่อมีอะไรรึเปล่าครับ”ตกใจเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นพ่อของผมนั่งมองผมอยู่ข้างเตียง

“วันนี้พ่อยังไม่ได้คุยกับนิน พ่อคิดถึงเลยมาเยี่ยมที่ห้อง สีหน้าลูกไม่ค่อยดีเลยนะ”มองไปที่นาฬิกาที่แขวนไว้บนผนัง หลับไปแค่

ชั่วโมงเดียว

“ผมรู้สึกเจ็บแผลนิดหน่อยครับ เพราะวันนี้ต้องเคลื่อนไหวทั้งวัน”

“พ่อมารบกวนรึเปล่า ให้พ่อออกไปก่อนดีไหม”

“ปะ...เปล่าไม่เป็นไรครับ”พ่อคงอยากเจอหน้าผมมาก ถึงมาพบผมที่ห้อง

“คุณลุงมานานรึยังครับ”

“ซักพักเห็นนินนอนอยู่เลยไม่อยากกวน”แสดงว่าพ่อนั่งมองผมนอนนานเป็นชั่วโมงเลย

“แล้วคุณลุงมายังไงครับ”

“พ่อให้พยาบาลเข็นรถมาส่ง”

อาการผมตอนนี้ดีขึ้นหลังจากที่ได้พักผ่อน ร่างกายผมยังไม่แข็งแรงแล้วอย่างนี้คงไม่ต้องนอนอยู่โรงพยาบาลไปจนแก่ตายเลยรึ

ไง

“นินเจ็บแผลอนอยู่เฉยๆก็ได้ เดี๋ยวพ่อจะเล่านิทานให้ฟัง”ยิ้มดีใจไม่ได้ฟังพ่อเล่านิทานมานานมากแล้ว เวลาที่คุณแม่ไปต่าง

ประเทศไปทำงาน สัมมนาประชุมผู้ถือหุ้น ผมจะอยู่กับคุณพ่อ พ่อแม่จะไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวถ้าคนหนึ่งไปทำงานอีกคนต้อง

อยู่ส่งผมเข้านอนทุกคืน แม่จะชอบอ่านนิทานให้ฟังก่อนอนหนังสือนิทานทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษเก็บไว้อยู่บนชั้นหนังสือเต็ม

ไปหมด ของฝากจากแม่หนังสือนิทานคือหนึ่งในนั้น ส่วนพ่อจะชอบเล่านิทานให้ฟังนิทานของพ่อไม่มีขายในร้านหนังสือ หาไม่

ได้ในหนังสือเล่มไหน นิทานแต่ละเรื่องที่พ่อเล่าไม่เคยซ้ำกันเลยสักเรื่อง นิทานของพ่อสนุก แปลกใหม่ ตื่นเต้นตลอดเวลา และ

ที่สำคัญนิทานทุกเรื่องจะมีผมเป็นตัวเอก ไม่ได้เป็นเจ้าชายเจ้าหญิง เป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นนั่นคือบทบาทที่พ่อให้

ผมเป็นในนิทานของพ่อ ใบหน้าของพ่อดูเปี่ยมสุข มีชีวิตชีวา ผิดจากวันแรกที่เจอ พ่อกำลังเล่านิทานให้ฟังเสียงของพ่อดังอยู่

ข้างๆผม เหมือนตอนนี้ผมกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ลูกชายที่น่ารักของพ่อกับแม่ อยากไปเที่ยวทะเลกับครอบครัว ไปดูหนัง ไปเดิน

ห้างซื้อของ เข้าครัวทำอาหารที่พ่อกับแม่ชอบชมผมบ่อยๆว่าผมทำอาหารเก่ง ทำอาหารอร่อย คิดถึงวันเวลาเหล่านั้นจริงๆ

“คุณลุงเล่านิทานเก่งจังเลยนะครับ”

 “นานมากที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง นอกจากลูกชายของพ่อ”

“ถ้าไม่รังเกียจคุณลุงก็มาเล่าให้ผมฟังบ่อยๆนะครับ”

“ได้ พ่อจะมาเล่าให้นินฟังบ่อยๆ”

……………………………………………………………………………………………

สายตาทอดยาว แสงตะวันคล้อยต่ำ ช่วงเวลาพลบค่ำกำลังจะมาเยือน เสียงเตือนนกกาเรียกขานกันกลับรัง หนึ่งวันได้ผ่านผันไป

อีกครั้ง ท้องฟ้ามืดลงแล้วตอนนี้ มีเพียงแสงดาวและแสงไฟส่องสว่าง

แก็ก

“นินทำไมวันนี้อยู่ห้องได้ล่ะลูก ทุกวันถ้าไม่ถึงเวลากินข้าวก็ไม่กลับ”

“พอดีนิน เพลียๆนะครับแม่”

“ดีแล้วพักผ่อนซะบ้าง วันนี้มีกับข้าวอร่อยมาฝากเหมือนเคย เดี๋ยวแม่เทใส่จานให้นะแล้วเรามากินพร้อมกัน เดี๋ยวคุณพยาบาลก็

จะเอาอาหารมาส่งแล้วหล่ะ”ผมลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ เปิดดูผ้าก็อตสีขาวมีเลือดซึมออกมา ผมคงต้องบอกคุณพยาบาลให้เปลี่ยน

ผ้า แม่พิมพ์ทำงานเสร็จต้องกลับไปอาบเปลี่ยนเสื้อผ้าแวะซื้อกับข้าวมาทานกับผมตอนเย็นทุกวัน ช่วงที่ผมงดเยี่ยมหลายวันแม่

พิมพ์คงเหงามาก กลับไปบ้านก็ไม่มีใคร มาที่โรงพยาบาลก็เข้าเยี่ยมไม่ได้ ถ้าผมต้องอยู่คนเดียวจะเข้มแข็งได้อย่างเธอรึเปล่า

คงร้องไห้วันละหลายๆครั้งแน่นอน ล้างหน้าเพื่อให้รู้สึกสดชื่น วันนี้นอนไปชั่วโมงเดียวจากนั้นก็นอนคุยกับพ่อตลอดทั้งบ่าย เพิ่ง

ได้ขยับตัวลุกจากเตียง หยิบผ้าเช็ดตัวซับหน้าเบาๆยืนมองแม่พิมพ์เทอาหารใส่จาน จัดวางไว้บนโต๊ะอาหาร

“นินทานอันนี้ลูก อันนี้หนูทานได้ ทานเยอะๆนะลูกแม่” แม่พิมพ์ตักกับข้าวใส่ถ้วยของผม ชั่วโมงนี้ผมกินทุกอย่างครับไม่อยาก

นอนอยู่ที่นี่ไปจนแก่ตาย ไม่อยากให้ทุกคนที่รักเป็นห่วง จึงต้องหายป่วยเร็วๆ แม่พิมพ์เก็บจานไปล้าง ผมเดินกลับไปนั่งที่เตียง

“วันนี้แม่จะเล่านิทานให้หนูฟังก่อนอนอีกนะ”

“ครับ”ผมยิ้มรับ การที่เราได้รับความรักจากคนรอบข้างมันมีความสุข เป็นพลังงานที่ทำให้เราต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ

ไป ความรักที่แม่มีต่อลูก คงเป็นพลังงานตัวเดียวที่คอยขับเคลื่อนชีวิตของของแม่พิมพ์ ให้สามารถทำงานหนักได้อย่างไม่

เหน็ดเหนื่อย เดินไปข้างหน้าโดยไม่ต้องหยุดพัก

*************************************************************
ภาพครอบครัวพ่อ แม่ ลูก ของน้องปรากฏขึ้นต่อหน้าผมอีกแล้ว ผมเห็นทั้งสามคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ

ของพวกเขาเริ่มชัดเจนขึ้น

“พี่ชายขอบคุณนะที่ช่วยดูแลแม่ของผม”น้องเดินเข้ามาใกล้แล้วส่งยิ้มให้

“เราสบายดีไหม”


“ผมสบายดีแค่คิดถึงแม่ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว.......”น้องพูดอะไรผมฟังไม่ค่อยชัดเสียงน้องค่อยๆหายไป แล้วเป็นเวลาเดียวกับ

ที่ผมลืมตาขึ้น ฝันแบบนี้อีกแล้วหรอ
...


ก๊อก ก๊อก ผมเคาะประตูห้องคุณย่า แล้วเปิดเข้า

“นินเองหรือลูกวันนี้มาเร็วนะ” ผมยังไม่กล้าออกไปเดินเล่นที่สวนกลัวแผลติดเชื้อ

“ครับนินเอง วันนี้คุณย่าเข้าห้องผ่าตัดกี่โมงครับ”เดินเข้าไปหาคุณย่า คุณย่าอ้าแขนรับผมเข้าไปในอ้อมกอดแล้วหอมแก้มผม

เบาๆ รู้สึกอายยังไงไม่รู้เมื่อก่อนมีแต่พ่อกับแม่ที่ชอบหอมแก้มผม ตอนนี้มีคุณย่ากับแม่พิมพ์เพิ่มเข้ามา

“ประมาณเที่ยงๆ ผ่าตัดเล็กน่าจะใช้เวลาไม่นาน”คุณย่าปล่อยผมให้นั่งลงเก้าอี้ข้างเตียง

“คุณย่ากลัวหรือกังวลไหมครับ”

“555 ย่าอายุปูนนี้แล้ว นินผ่าตั้งหัวใจยังไม่กลัว ย่าผ่าตัดเล็กแค่เข่าจะกลัวอะไร” รู้สึกดีใจที่คุณย่าไม่กลัวหรือกังวล มันจะเป็นผล

ดีกับการผ่าตัด

แก๊ก เสียงประตูถูกข้าเปิดเข้ามา เป็นแม่สุกับลูกชายคุณย่าที่เดินเข้ามา

“หนูนิน แม่ดีใจจังเลยได้เจอหนูไม่เจอตั้งนานคิดถึงจังเลย นี่คุณพ่อ”

“สวัสดีครับ คุณแม่ คุณพ่อ”

“เออ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนที่คุณพูดจริงๆ ตามสบายนะลูกไม่ต้องเกรงใจ”ลูกชายคุณย่าท่าทางใจดีเหมือนคุณย่าเลย ผม

เดินไปนั่งที่โซฟาปล่อยให้ผู้ใหญ่ได้คุยกัน

แก๊ก ประตูเปิดขึ้นอีกแล้ว คุณเทียน กับใครไม่รู้ผู้หญิง ผู้ชายสองคนและเด็กๆ

“ปี้นิน ปี้นิน”เป็นน้องหนึ่งน้องสองวิ่งขึ้นมาหาผมที่โซฟา

“ฟอด น้องหนึ่ง ฟอด น้องสองสบายดีไหมครับ”น้องสองขึ้นมานั่งบนตักน้องหนึ่งขึ้นมานั่งข้างผมแล้วกอดคอผมไว้

“สนิทกันจังเลยนะ เจ้าตัวแสบ” คุณเทียนพูดแล้วนั่งลงข้างๆผม คุณเทียนมาเบียดผมทำไมที่ตั้งกว้าง ตอนนี้คนมาใหม่ที่ผมไม่รู้

จักมองมาที่ผมแล้วนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว  แต่ที่น่ากลัวที่สุดคงเป็นผู้หญิงที่นั่งอยู่อีกข้างของผม เธอจ้องผมตาไม่กระพริบเลย

“คุณย่าน่ารักจังเลย หนูอยากได้ ”พูดอะไรกัน ผมไม่รู้เรื่อง

“แกพูดอะไร แกไม่เห็นเจ้าของ เขานั่งหวงอยู่ข้างๆรึไง”ผู้ชายอีกคนเป็นคนพูด

“เราชื่อนินใช่ไหม พี่ชื่อทิม”เธอแนะนำตัวเองเข้ามากอดผม ฟอด แล้วหอมแกล้มผม

“ยายทิม แกทำเขาตกใจนะ”คุณเทียนดุคุณทิม แต่กำลังเล่นกับน้องหนึ่งน้องสอง

“โอ้ย พี่เทียนทำหนูทำไม ก็น้องน่ารัก ดูสิหน้าแดงเลย มองหนูตาแป๋วเชียว”ผมกำลังอึ้งมองดูหน้าผู้หญิงที่หอมแก้มผม ผมรู้ว่า

เธอกำลังแกล้งผม

“หนูว่าแล้วทำไมพี่เทียนถึงมาเฝ้าคุณย่าบ่อยๆ” สองพี่น้องกำลังคุยกัน ทะเลาะกันโดยมีผมนั่งขั้นกลาง น้องสองนั่งอยู่บนตักผม

เล่นหุ่นยนต์กับน้องหนึ่งที่นั่งข้างผม

“อาเทียง อาทิงโตแย้วอย่าทะเยาะกัน” ใช่แล้วครับโตแล้วอย่าทะเลาะกัน

“อิ อิ อิ “ผมหัวเราะสมน้ำหน้าถูกเด็กสั่งสอน

“หัวเราะอะไร เจ้าตัวเล็ก”

“ป...เปล่าครับ โอ๊ย คุณเทียนเจ็บ”คุณเทียนบีบแก้มผม ผมร้องแล้วหันไปว่า แต่คุณเทียนยิ้มกวนๆแล้วยักคิ้วให้ผม ผมเอามือลูบ

แก้มตัวเอง

“โอ่ โอ๋ ไม่เจ็บเดี๋ยวน้องสองเป่าให้ ฟอด”น้องสองหอมแก้มผมเบาๆแล้วยิ้ม ผมนี้หัวเราะเลยที่ถูกเด็กปลอบ

น้องหนึ่ง น้องสองเป็นลูกชายคุณเทพพี่ชายคนโตเป็นพ่อหม้ายเลิกกับภรรยา คุณเทียนเป็นคนรอง คุณแทนเป็นคนที่สาม

สุดท้ายคือคือคุณทิมหลานสาวแสนสวยของคุณย่า ทั้งหมดนี้พี่จิ๋วเป็นคนบอก ครอบครัวคุณย่าดูเป็นครอบครัวใหญ่ อบอุ่น ถึงแม้

จะดูวุ่นวายไปบ้างแต่ก็ดูทุกคนมีความสุขดี หลานคุณย่าแต่ละคนดูแสบ และร้ายกันทุกคน เสียงหัวเราะเสียงพูดคุยของคุณย่า

แว่วมาคุณย่ายังคุยกับลูกชายและลูกสะใภ้อย่างผ่อนคลายก่อนเข้าห้องผ่าตัด ทุกคนต่างมาเป็นกำลังใจให้คุณย่าก่อนเข้าห้อง

ผ่าตัด กำลังใจจากครอบครัวคงเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

“เป็นห่วงคุณย่าหรอเรา”เสียงคุณเทียนพูดอยู่ข้างๆหูผม ผมหันกลับไปมองสายตาดุคู่นั้นที่กำลังจ้องมองผมอยู่

“เอ่อ ครับ”ตอบคุณเทียน สงสัยแสดงความกังวลมากเกินไปคุณเทียนถึงรู้

“คุณย่าเข้มแข็งที่เราคิด”รู้สึกว่าคุณเทียนกำลังปลอบใจผมไม่ให้กังวล

“ใช่น้องนินคุณย่านะเป็นหญิงแกร่ง”คุณทิมพูดอีกคน  ผมอาจจะกังวลมากเกินไปเวลานี้ผมควรจะเป็นกำลังให้ถึงจะถูก

ก๊อก ก๊อก แก๊ก คุณพยาบาลเปิดประตูเข้ามาพร้อมเจ้าหน้าที่เข็นรถเข็น

“ขออนุญาตค่ะ คุณย่าค่ะหนูมารับแล้วค่ะ”คุณพยาบาลเดินไปที่เตียงคุณย่า พร้อมเจ้าหน้าที่ คุณย่าลุกจากเตียงคุณพ่อของคุณ

เทียนพยุงให้ท่านนั่งลงบนเก้าอี้รถเข็น พวกเราทั้งหมดยืนเดินตามไปส่งคุณย่าที่ คุณเทียนอุ้มน้องสองขึ้นจากตักผม ผมกับน้อง

หนึ่งเดินจูงมือกันเดินตามไป เดินตามคุณพยาบาลไปห้องอีกฝั่งหนึ่งของตึก ห้องผ่าตัด ป้ายหน้าห้องติดไว้ คุณย่าต้องไปเตรียม

ตัวอยู่อีกห้องก่อนถึงเวลาผ่าตัด พวกเราไม่สามารถเข้าไปห้องพร้อมคุณได้ จึงได้ยืนส่งกำลังใจให้รถเข็นของคุณย่าถูกเข็น

เข้าไปในห้องแล้ว คุณหมอออกมายืนคุยกับคุณพ่อคุณแม่คุณเทียนซักครู่ก็เดินกลับเข้าไปในห้อง

“พวกเราคงต้องกลับไปรอที่ห้องอีกประมาณสองชั่วโมงคุณย่าถึงจะออกจากห้องผ่าตัด”คุณพ่อพูด

“เดี๋ยวผมพาเด็กๆไปทานข้าว”คุณเทพ

“ถ้างั้นก็แยกย้ายกันไป กลับมาเจอกันตอนบ่าย”คุณแม่

ครอบครับคุณคุณย่าแยกย้ายไปแล้ว ผมก็ต้องขอตัวกลับไปพักผ่อน อาจจะไม่ได้มาเยี่ยมคุณย่าตอนบ่ายเพราะต้องไปเจอคุณพ่อ

ของผม ผมโบกมือลาน้องหนึ่งน้องสอง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้หนึ่งมานะ”

“สองมาด้วย”ทั้งสองโบกมือลาผม มืออีกข้างถูกคุณเทพจูงอยู่

คุณเทียนบอกจะเดินมาส่งที่ห้อง เขาบอกว่าผมหน้าซีดเดี๋ยวจะเป็นลมไประหว่างทางเดี๋ยวโดนคุณย่าดุว่าดูแลหลานคนโปรดไม่

ดี เดินไปตามโถงทางเดินโดยมีคุณเทียนเดินไปอยู่ข้างๆเงียบๆ

“นิน”

“คะ..ครับ”อยู่เฉยๆคุณเทียนเรียกผมชื่อผมขึ้นมา

“เราอายุเท่าไหร่แล้ว”

“ย่าง 18 ครับ”

“เรียนจบม.ปลายแล้วหรอ นึกว่ายังอยู่ม.ต้นอยู่เลย”คุณเทียนหยุดเดินหันหน้ามามองผมแสดงสีหน้าแปลกที่รู้อายุของผม

“อีกไม่นานก็จะเข้าปี 1 แล้วครับ”อีกไม่นานผมต้องกลับไปเรียนกลับไปใช้ชีวิตปกติ

“อืม”คุณเทียนส่งเสียงรับทราบในลำคอ แล้วเดินต่อไปผู้ชายตัวโต ใบหน้าหล่อเหลาแต่ติดดุแต่ก็ใจดี คนเราคงมองภายนอกไม่

ได้สินะ

“อะ..ถึงแล้วครับผมอยู่ห้องนี้ ”ผมเปิดประตูห้อง

“อื้ม เข้าห้องไปแล้วรีบพักผ่อนซะจะได้หายเร็วๆ”คุณเทียนพยักหน้ารับรู้ สายตามองเข้าไปห้องเหมือนสำรวจว่ามีใครอยู่ในนั้น

หรือเปล่า

“ครับ ขอบคุณนะครับที่เดินมาส่ง”เดินเข้าไปแล้วค่อยๆปิดประตูลง หันหลังผิงประตูไว้ ฟังเสียงรองเท้ากระทบพื้นค่อยๆห่างอ

อกๆไปจากหน้าห้องผม ผมปีนขึ้นเตียงแล้วนอนพักผ่อนตามคำบอกคุณเทียน


*********************************************************************

ขอโทษที่มาช้า อากาศมันร้อนมาก สมองไม่ไหล ความคิดไม่เดิน  :mew2:

แต่ก็จะพยายามให้ถึงที่สุด ขอบคุณทุกคนติชม

โปรดติดตามต่อไป

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 729
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
ถามอายุอย่างงี้ ถ้าจะจีบน้องต้องจริงจังนะ อย่าทำน้องเสียใจ

ออฟไลน์ jaengsRU

  • ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-1
    • https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/

เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน

บทที่ 8
[/size]


“พี่.....พี่ครับผมจะมาขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนแม่”น้องนินวิ่งมาหาผม แล้วกอดผมไว้ และยิ้มให้น้องยังน่ารักเสมอทุกครั้งที่ผมเห็น

“พี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”ส่ายหน้ายิ้มด้วยความรู้สึกผิด มันไม่ใช่ ผมช่วยอะไรใครไม่ได้เป็นเพียงภาระคนอื่นไปวันๆ

“ไม่....ไม่พี่ช่วย พี่ช่วยให้แม่มีความสุขมาก ผมไม่เคยเห็นแม่ยิ้มอย่างนี้มานานแล้ว”น้องส่ายหัวกลมทุยนั้นไปมา น้องดีใจมากที่

ได้เห็นรอยยิ้มนั้น

“รอยยิ้มนั้นเป็นของนิน ไม่ใช่ของพี่ แม่ยิ้มให้นิน”น้องพยักหน้ารับรู้ที่ผมบอก

“ตอนนี้ผมไม่มีห่วงแล้ว.......”เสียงงน้องเบาลงอีกแล้วน้องพูดอะไรผมไม่ได้ยิน แต่น้องยังยืนต่อหน้าพูดด้วยท่าทางดีใจ แสงสี

ขาวสว่างวาบขึ้นมา


ลืมตาตื่นมองเพดานสีขาวที่คุ้นเคย ปรับสายตาให้ชินกับความมืดสลัวของห้องมีเพียงลำแสงเล็กๆที่ลอดผ่านช่องผ้าม่านที่แง้ม

อยู่เข้ามาในห้อง ลุกขึ้นจากเตียงใช้มือเลื่อนผ้าม่านออกเปิดหน้าต่างออกรับลมธรรมชาติเข้ามาในห้อง เจ็ดโมงเช้าเวลาปกติที่

ผมตื่น บิดขี้เกียจแล้วเคลื่อนไหวร่างกายเบาๆได้ปกติแล้ว ตอนนี้ร่างกายดีขึ้นมากแผลไม่มีอาการเจ็บ ช่วงนี้ฝันว่าน้องนินมาหา

บ่อยๆ แล้วบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เหมือนน้องต้องการที่จะบอกอะไรแต่ผมก็ไม่ได้เสียงของน้องแล้วต้องตื่นขึ้นมาก่อน น้องน่าจะสบายดี

เพราะใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้มไม่ดูเศร้าเหมือนวันที่น้องจากไป แต่น้องยังไม่ไปไหนยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆผมตลอด เดินเข้า

ห้องน้ำรู้สึกแปลกๆ รู้สึกวันนี้มีอะไรแปลกยังไงไม่รู้ คงไม่มีหรอกผมคงคิดมากไป ยืนมองแผลที่หน้าอกตอนนี้ตกสเก็ตแล้ว รู้สึก

คันๆบ้างเป็นเพราะยังเด็กร่างกายสามารถซ่อมแซมเองได้ตามธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนี้ต้องคอยลุ้นว่าหน้าตาแผล

เป็นของผมจะมีหน้าตาอย่างไรหลังแผลหายสนิท ผมเช็ดตัวทำความสะอาดร่างกาย สระผม ล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าเดิน

ออกจากห้องน้ำ อาหารเช้าถูกวางไว้บนโต๊ะ ต้มจืดผักรวมลูกชิ้นปลา ผัดผักรวมเต้าหู้ น้ำผลไม้ กำลังจะกลายเป็นมนุษย์ผักผล

ไม้

ก๊อก ก๊อก คุณพยาบาลเดินเข้ามา คงมาดูว่าผมทานอาหารรึเปล่า ส่งยิ้มให้เธอบอกว่าผมกำลังทานครับใกล้หมดแล้วด้วยเห็น

ไหมครับผมเป็นเด็กดี

“น้องนินมีคนมาขอเยี่ยมค่ะ เขาขออนุญาตทางโรงพยาบาลแล้ว”เห็นผู้ชายตัวโตสวมชุดตำรวจเต็มยศในมือถือซองเอกสาร

น้ำตาลในมือ และผู้ชายอีกหนึ่งคนที่สวมชุดสูทสีดำถือกระเป๋าเอกสารทั้งสองเดินเข้ามาในห้อง แล้วมองมาที่ผม

“ขอโทษที่มารบกวนแต่เช้านะครับ แต่ทางโรงพยาบาลให้เราเข้าเยี่ยมตอนนี้ ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อนผมคือคนที่รับผิดชอบ

คดีนี้”ผมอ่านชื่อคุณตำรวจที่ติดอยู่ที่หน้าอก เขาแนะนำตัวเสร็จแล้วนั่งลงบนเก้าอี้

“ส่วนผมเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันชีวิต”ผู้ชายสวมสูทเหมือนนักกฎหมายแนะนำตัวว่าเจ้าหน้าที่บริษัทประกันชีวิตเขา

แนะนำตัวเสร็จนั่งลงแล้วยื่นนามบัตรให้ ผมมองนามบัตรที่เขายื่นให้แล้วรับมาดู

“ครับ” คือว่าผมรู้จักคนทั้งสองหรอ

“ไม่ต้องตกใจนะคับ คุณคือ นายนินทนัฐ สีขาว ถูกใช่ใหมครับ”ผู้ชายสวมสูทถาม

“เอ่อ อ้อ ครับใช่”แปลกใจมีคนแปลกหน้ามาเยี่ยม มาตามหาผม หรือผมอะไรผิดกฎหมายรึเปล่า หรือเขามาขายประกัน

“เราต้องแสดงความเสียใจด้วยนะครับ แม่ของคุณ นางพิมพ์ระพัตรน์ สีขาวเธอได้เสียชีวิตแล้ว”คุณตำรวจที่นั่งบนเก้าอี้มองนิ่งมา

ที่ผม

“คะ..ครับ คุณพูดว่าอะไรนะครับ”ผมยังงงที่บอกมาเมื่อครู่ คืออะไรนะผมฟังไม่ชัดใครนะใครเป็นอะไร

“คือ ทางเราพบศพของแม่คุณเสียชีวิตในกองเพลิง.......”เหมือนโลกทั้งโลกหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วคราว คุณตำรวจยังพูดต่อไป

เรื่อยแต่ตอนนี้สมองผมเบลอไปหมดมันหมายความว่ายังไงศพแม่พิมพ์ อะไร เมื่อไหร่ ยังไง ที่ไหน

“คุณตำรวจบอกว่าอะไรนะครับ.... ในกองเพลิง.... ตั้งแต่สองอาทิตย์ที่แล้ว”ผมถามคุณตำรวจอีกครั้งว่าผมฟังไม่ผิด แล้วตลอด

เวลาที่ทุกเย็นแม่พิมพ์กลับมาหาผมทุกวัน แล้วหายไปตอนเช้าทุกวัน ผมฝันไปหรอ อันไหนเป็นความจริงกันแน่ หรือ หรือว่าที่

น้องมาหาผมพยายามจะบอกผมคือเรื่องนี้ ทุกวันที่แม่พิมพ์คอยเล่านิทานให้ผมฟัง กอดผมบอกว่ารักผมทุกวัน เล่าเรื่องต่างๆให้

ฟัง

“ทางเราพึ่งพบศพของเธอและผลชันสูตรศพพึ่งออก แล้วอีกอย่าง......เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้มีคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แล้วกว่า

เราจะเข้าไปในพื้นที่ได้”ในข่าวบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ ชาวบ้านบอกว่าเป็นการวางเพลิงเกิดจากการขัดแย้งของคนหลายกลุ่ม ทำให้

คนที่ไม่รู้เรื่องต้อรับเคราะห์

“แล้วศพของแม่อยู่ไหนครับ”

“ไม่เหลือแล้ว เราพบเพียงเศษเนื้อและกระดูกไม่กี่ชิ้น”คุณตำรวจยื่นผลตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอ ที่ออกมาให้ผมดู แม่พิมพ์จาก

ผมไปแล้วจริงๆ แม่พิมพ์จะโกรธผมไหมจะเกลียดผมไหมถ้ารู้ความจริงว่าผมไม่ใช่ลูกของเธอ ข่าวไฟไหม้ที่ผมเห็นบ่อยๆช่วงนี้ก็

คือสาเหตุการตายของเธอหรอเนี่ย ถ้าผมสนใจข่าวหรือใส่ใจมันสักนิดผมก็คงรู้ว่าเธอได้จากผมไปแล้ว น่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่

น้องมาวนเวียนรอบๆผม น้อง-มา-รับ-แม่ ป็อก ป็อก เสียงน้ำตาหยดลงแผ่นกระดาษที่คุณตำรวจยื่นให้ผม ผมส่งเอกสารคืนให้

คุณตำรวจ ใช้มือปาดน้ำตาที่ไหลออกมา ในที่สุดรอยยิ้มและภาพครอบครัวของน้องที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาก็เป็นความจริงไม่ใช่

ความฝัน

“เราทำพิธีที่วัดราชฏรณ์ ที่นั่นเก็บชิ้นส่วนผู้เสียชีวิตไว้หลายคน ทางเราจัดการเผาและทำพิธีกรรมไปแล้วเรียบร้อยแล้ว”คุณ

ตำรวจ บอกว่าทางการจัดการเรียบร้อยเพราะผ่านมานานพร้อมอีกหลายศพที่ไม่มีญาติมารับ ไม่มีเหลือแม้กระทั้งเถ้าอัฐิ

“เอ่อ..ผมเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลประกันชีวิตของแม่คุณ คนที่รับผลประโยชน์เป็นชื่อของคุณครับ พอดีเรื่องมันนานแล้วผมเลยอยาก

รบกวนอยากทำให้เรียบร้อยภายในวันนี้”ผู้ชายใส่สูทบอกับผม

“แล้วผมต้องทำยังไงบ้างครับ”ผมหันหน้าไปสนใจผู้ชายสวมสูท

“คุณต้องออกไปกับผมที่สำนักงาน เอ่อ..ผมขออนุญาตกับทางโรงพยาบาลแล้ว”ผมมองไปทางคุณพยาบาลที่ยืนอยู่เธอพยักให้

เป็นคำตอบ งั้นคงต้องไปจัดการทุกอย่างให้เสร็จ ผู้ชายทั้งสองออกจากห้องของผมไป เจ้าหน้าที่ประกันชีวิตออกไปรอข้างนอก

ให้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินไปที่หน้าตู้เสื้อเปิดประตูออกแล้วเอื้อมมือไปสัมผัสชุดลำลองหนึ่งชุดที่เตรียมไว้

“นิน แม่ซื้อชุดใหม่ให้ลูกเปลี่ยน เอาไว้ใส่ในวันที่นินออกจากโรงพยาบาล น่ารักไหม”

“ผมชอบครับ”

“แม่ว่าแล้วหนูต้องชอบ แม่อยากเห็นวันนั้นเร็วๆจังเลย แม่จะได้ทำอาหารที่นินชอบทาน แม่อยากนอนกอดหนูมากเลย”

ภาพที่แม่พิมพ์เอาชุดใหม่ที่ซื้อมาให้ผมเตรียมใส่ในวันที่ออกจากโรงพยาบาลมาให้ดู เธอไปหาซื้อชุดใหม่เตรียมไว้ให้ผม กลิ่น

หอมอ่อนๆจากน้ำยาปรับผ้านุ่มยังติดอยู่นั่นเป็นเหมือนการคอยยืนยันว่า แม่พิมพ์เตรียมไว้ให้ไม่นานมานี้เอง มองตัวเองที่สวมกาง

เกงยีนต์เสื้อลายเจ้าแมวตัวอ้วนสีเหลือง รองเท้าผ้าใบ ตาจมูกแก้มผมแดงไปหมดคงร้องให้เยอะไป เดินออกไปพบเจ้าหน้าที่

บริษัทประกันชีวิตที่กำลังยืนรอที่หน้าห้อง

“ผมพร้อมแล้วครับ”เดินตามผู้ชายคนนั้นไป ขึ้นลิฟต์ไปลงชั้นใต้ดิน ลิฟต์เปิดออกมีรถจอดอยู่เต็มไปหมด เขาพาผมไปหยุดที่รถ

ญี่ปุ่นสีดำคันหนึ่ง ขึ้นไปนั่งบนรถ เขาสตาร์ทเครื่องพายานยนตร์ญี่ปุ่นออกจากที่จอดรถของโรงพยาบาล แล้วขับเคลื่อนไปบน

ท้องถนน ช่วงเวลานี้ไม่ใช่เวลาเร่งด่วนทำให้ถนนไม่ติดมากนัก ครั้งแรกที่ออกจากห้องสี่เหลี่ยมสีขาวออกมาไกลขนาดนี้ ผ่านตึก

อาคารน้อยใหญ่ ผ่านสี่แยก รอบข้างที่ผมมองออกจากนอกหน้าต่างรถคันนี้รู้สึกมันแปลกใหม่แปลกตาสำหรับผม เสียงเพลงจาก

เครื่องเสียงรถดังขึ้น ทำให้ความรู้สึกแย่ๆของผมรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง รถตีไฟเลี้ยวเข้าที่ลานจอดรถอาคารสำนักงานขนาดใหญ่

เดินลงจากรถตึกขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หน้า บริษัทประกันชีวิตIII

“เดี๋ยวเดินตามผมมา”เขาบอกให้ผมเดินตามเขาเข้าไป ผลักประตูกระจกใสเข้าไปอากาศข้างนอกกับข้างในต่างกันนิดหน่อย

ประชาสัมพันธ์ หนุ่มหล่อสาวสายยืนอยู่ประจำหลังเคาเตอร์ต้อนรับ เดินเข้าไปในเป็นห้องทำงานเหมือนบริษัททั่วไป

“คุณนั่งรอในห้องนี้ก่อนเดี๋ยวผมไปหยิบเอกสาร”ผมถูกพาไปห้องข้างๆเหมือนห้องสำหรับประชุม ห้องกระจกล้อมรอบ โต๊ะ

ทำงานถูกจัดเป็นตัวยู หัวโต๊ะมีจอโปรเจ็คเตอร์สีขาวกางอยู่ นั่งบนเก้าอี้ล้อตัวนุ่ม รอเจ้าหน้าที่บริษัทประกันชีวิตคนนั้น วางซองสี

น้ำตาลในมือของผมลงบนโต๊ะข้างในนั้นมี บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้านและเอกสารส่วนตัวของผม

“นี่คือเอกสารที่ต้องลงลายมือชื่อ คุณอ่านก่อนแล้วค่อยลงลายมือชื่อก็ได้”เขายื่นเอกสารมาให้ผมอ่านหลายแผ่น เป็นเอกสาร

ประกันชีวิตทั่วไป

“ส่วนเงินประกันเราจะโอนเข้าธนาคารให้”เขาชี้จำนวนตัวเลขที่อยู่ในเอกสารให้ผมดู

“เอ่อ..ถ้าผมจะบริจาคทั้งหมดได้ไหมครับ ในนามของแม่”มันไม่ใช่เงินของผม ผมละอายใจที่จะรับมัน อยากบริจาคเงินให้คนที่

น่าจะได้ประโยชน์มากกว่า

“ทั้งหมดเลยหรอครับ แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไป”เขาพยายามที่จะให้ผมเปลี่ยนใจที่จะบริจาคเงินทั้งหมด

“ไม่เป็นไรครับ แค่มีคนให้ชีวิตผมมันก็เกินที่จะทดแทนได้หมดแล้ว”อย่างน้อยผมยังชีวิตนี้ ยังมีลมหายใจนี้อยู่ ลงลายชื่อเอกสาร

ต่างๆ รวมถึงการยินยอมบริจาคเงินให้มูลนิธิแห่งหนึ่ง โดยใช้ชื่อของแม่พิมพ์

“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ”ยื่นเอกสารที่ลงลายมือชื่อเรียบร้อยให้เจ้าหน้าที่บริษัทประกันชีวิต

“ครับเรียบร้อยแล้ว เอ่อ..ขอโทษนะครับที่ผมไปส่งไม่ได้”เขายื่นเงินให้ผมเป็นค่าแท็กซี่กลับ ผมจำเป็นต้องรับมาเพราะทั้งเนื้อทั้ง

ตัวไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว ชีวิตต้องเริ่มต้นจากศูนย์จริงๆก่อนอื่นต้องหาทางกลับไปที่โรงพยาบาลแล้วกลับไปตั้งหลัก เดินออก

ไปเรียกแท็กซี่

“ไปสำนักงานทนายความบริสุทธิ์ครับ”แจ้งสถานที่ปลายทางทันทีที่ขึ้นไปบนแท็กซี่ ก่อนกลับต้องไปเอาของของผมก่อน รถ

แท็กซี่มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่ผมบอกออกไป ต้องไปเอาของที่ผมเคยฝากไว้กับสำนักงานคุณทนายบริสุทธิ์ก่อนที่จะ

เกิดเรื่องกับผม และเชื่อว่าเขายังคงเก็บมันไว้อย่างดี

“เท่าไหร่ครับ”ผมยื่นเงินค่าแท็กซี่ให้ สำนักงานทนายความบริสุทธิ์ อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ การที่จะเข้าข้างในไม่เรื่องง่าย

และไม่ใช่เรื่องยาก มองหาร้านอินเตอร์เน็ตไม่นานก็เห็น ผมต้องการปริ้นเอกสารบางอย่างออกมา

กรุงกริ้ง เสียงผมเปิดประกระจกเข้าไป คอมพิวเตอร์เกือบร้อยตัวตั้งเรียงรายเป็นแถว เก้าอี้โซฟาตัวใหญ่สอดอยู่ใต้โต๊ะ

คอมพิวเตอร์แต่ละตัวมีสีสันฉูดฉาด ภาพสติกเกอร์ตัวละครในเกมส์โลดแล่นอยู่บนกระจกใสข้างร้าน

“พี่หนึ่งชั่วโมงครับ”ผมบอกพนักงานเฝ้าร้าน เขายื่นคูปองให้ผม ผมจ่ายเงินให้เขา คนในร้านไม่เยอะคงยังเช้าไปรึเปล่า บ่ายๆคน

น่าจะเต็มร้าน ผมเลือกนั่งลงตัวที่ใกล้ที่สุด กดปุ่มเปิดเครื่องรอเครื่องทำงาน เปิดเข้าไปที่อีเมล์ของผม ชื่อผู้ใช้ชื่อเดิม รหัสผ่าน

เดิมยังใช้ได้ ไม่มีจดหมายใหม่เข้าจดหมายที่สำคัญต่างๆยังอยู่ เลื่อนดูชื่อเมล์ที่ผมต้องเห็นแล้วเปิดเข้าไปสั่งพิมพ์เอกสารออก

มา จัดการเปลี่ยนชื่อเมล์และรหัสผ่านให้เรียบร้อย ของที่ต้องการได้มาแล้ว

ผู้คนเดินเข้าออกสำนักงานจำนวนมาก พนักงานเปิดประตูต้อนรับ ผมเดินเข้าไปในสำนักงานทนายบริสุทธิ์เดินตรงไปที่จุดรับฝาก

สิ่งของ ทันที่เดินไปจะเจอเคาเตอร์เจ้าหน้าประชาสัมพันธ์อยู่ทางด้านขวากำลังทำหน้าที่ให้คำแนะนำอยู่ตรงนั้น ผู้ชายร่างโตสวม

ชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยกำลังนั่งมองผู้คนไปมาที่โต๊ะประจำของตัวเอง ระหว่างรอรับบริการมีเก้าอี้โซฟาไว้สำหรับรับรอง

แขก มีลูกค้าหลายคนจับกลุ่มคุยกัน มีเด็กๆกำลังแย่งของเล่นกันไปมา

“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ”พนักงานสาวสวยสวมชุดยูนิฟอร์มบริษัท ติดป้ายชื่อตำแหน่งที่หน้าอก รวบเก็บผมแต่งหน้าทาปา

กบางๆ ทักทายและถามผม

“มารับของครับ”ผมยื่นเอกสารให้เธอ

“คุณลูกค้า รอสักครู่นะคะ”เธอรับเอกสารจากผมไปเดินไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ เสียงกดแป้นพิมพ์ดังซักพัก ผมมองไปฝั่งที่เป็นที่

รับฝากของ พนักงานกำลังตรวจสิ่งของผ่านระบบสแกนแบบเดียวกันที่ใช้กับสนามบิน ที่นี่มีบริการรับฝากของ ผมจะฝากของให้

ลูกค้ามารับ คนที่จะสามารถฝากของที่นี่ต้องไม่มีประวัติไม่ดี มีหลายเคาเตอร์ที่กำลังรับลูกค้า มีทั้งชาวไทยและต่างชาติมาใช้

บริการที่นี่ พนักงานสาวสวยเธอลุกขึ้นจากโต๊ะคอมพิวเตอร์ แล้วก็เดินไปที่ตู้เก็บของเปิดประตูแล้วหยิบกระเป๋าเดินสีเทาขนาด

เล็กสีล้อออกมาแล้วเดินตรงมาที่ผม

“ลูกค้าเช็คดูของนะคะ แล้วลงชื่อผู้รับตรงนะคะ”ลงชื่อผู้รับแล้วส่งคืนให้เธอ ใช้บริการที่นี่มานานคิดว่าน่าจะเชื่อใจได้

“เรียบร้อยค่ะ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ ขอบคุณค่ะ”รับกระเป๋าเดินทางใบเล็กมาจากเธอแล้วเดินไปนั่งที่โซฟารับรองแขกวาง

กระเป๋าบนตักผม กดรหัสสิบสามหลักลงไป แก็ก กระเป๋าถูกเปิดออกเปิดดูของข้างในเอกสารต่างๆ เงินสดจำนวนหนึ่งล้านเงิน

ส่วนนี้คือเงินที่เตรียมไว้ให้กัณฑ์ยืมเขาบอกว่าจะยืมไปลงทุนกับเพื่อนแต่ผมสืบได้ว่ามันไม่ใช่และตอนนั้นผมเริ่มตาสว่างจึงเก็บ

เงินส่วนนี้ไว้ก่อน ไม่เก็บเข้าบัญชีเพราะกัณฑ์แอบเช็คสมุดบัญชีผม ผมบอกเขาไปว่าเพื่อนของผมยืมเงินส่วนนี้ไปก่อนยังไม่มี

เงินให้เขายืม เงินสดของผมจึงอยู่ที่นี่ผมปิดกระเป๋าลงเดินไปที่ห้างสรรพสินค้าที่ผมมองเห็นอยู่ไม่ไกลนัก

“พี่ครับผมขอโทรศัพท์เครื่องนี้ครับ”ผมชี้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนขนาดเท่าฝ่ามือหน้าจอสี่เหลี่ยมเครื่องสีขาวให้พนักงาน จากที่ลอง

ใช้เครื่องที่มีตัวอย่างใช้ลองใช้สัมผัสหน้าจอ ดูลูกเล่นและราคาแล้วตัดสินใจซื้อ เปิดบัญชีไว้สองธนาคาร เอาเงินไปนอนไว้ในนั้น

ไม่กี่แสนซื้อฉลากเงินออมกับทางธนาคาร ป้องการการตรวจสอบที่มาของเงินแล้วใช้เงินส่วนหนึ่งซื้อโน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่งเอาไว้ใช้

ทำงาน โทรศัพท์หนึ่งเครื่อง ซื้อของจำเป็นและเหลือเงินสดไว้บางส่วน มองดูเวลาบ่ายโมงแล้วต้องรีบกลับโรงพยาบาลไป

จัดการเรื่องอื่นต่อให้เสร็จ เรียกแท็กซี่หน้าห้างสรรพสินค้า

“ไปโรงพยาบาลรวยสุขครับ”ปิดประตูลงแท็กซี่มุ่งหน้าไปโรงพยาบาล ถนนกำลังโล่ง

“ลุงครับนั่นอะไรครับที่อยู่หน้ารถ”เห็นมีดอกไม้เล็กๆที่หน้ารถลุงมีหลายดอก

“อ้อ เหรียญโปรยทางนะ”ทำไมมันน่าตาแปลกๆ

“ขอดูได้ไหมครับ”อยากเห็นใกล้ๆ

“ได้ เดี๋ยวลุงหยิบให้”ลุงขับแท็กซี่ยื่นให้ผมดู จริงๆด้วยมีเงินเหรียญในนี้

“มันเอาไว้ทำอะไรครับ”สงสัยว่าเขาทำขึ้นมาทำไม

“ลูกชายลุงบวช”บวช

“ลุงครับผมอายุ 17 บวชได้ไหมครับ”

“ได้ลูก บวชทดแทนบุญคุณให้พ่อแม่หรือผู้มีพระคุณได้ทั้งนั้นแหล่ะมันไม่ได้ขึ้นกับอายุแต่มันขึ้นอยู่กับเจตนาและความตั้งใจของ

เรา”ผมรู้แล้วว่าจะทำอะไรผมจะบวชให้พ่อแม่และครอบครัวน้อง ผมว่านี่คือสิ่งที่พอจะทำได้

ลงจากรถแท็กซี่เดินลากกระเป๋าเข้าไปในลิฟต์กดชั้นบนสุด วันนี้เจอเรื่องหลายเรื่องตั้งแต่เช้าปัญหานี้มันใหญ่เหลือเกินไม่มีญาติ

เหลือแล้วแม้แต่บ้านก็ไม่เหลือให้อยู่ ไม่มีที่ให้กลับไป เปิดประตูเข้าไปในห้อง

“นินเป็นยังไงบ้างลูก”เป็นแม่ของผมที่เข้ามากอดผมไว้

“คือพวกเรารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว”พ่อของผมเดินเข้ามาหาผมกับแม่พ่อไม่ได้สวมชุดคนไข้แล้ว

“ครับ ขอบคุณครับ”ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกันผมอธิบายไม่ได้บอกไม่ถูก

“หนูไม่ต้องเสียใจนะ หนูยังมีเราทั้งคู่อยู่”

“ผมรู้ครับ ผมรู้”รู้มาตลอดว่าพ่อกับแม่จะอยู่เคียงข้างผมทุกครั้งที่ผมอ่อนแอ หมดกำลังใจทั้งสองจะคอยมอบกำลังใจให้ แม่

กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ครับขอบคุณครับที่รักผมพ่อเข้ามากอดผมกับแม่

“อย่าเสียใจเลยนะ ชีวิตคนเราอะไรก็เกิดขึ้นได้ ทำใจให้ได้นะ”คิดว่าเริ่มทำใจสูญเสียได้ตั้งแต่ที่มันเกิดกับผมแล้ว ไม่รู้ว่ารอบตัว

ผมผมจะต้องสูญเสียใครไปอีกบ้าง ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุดมีความสุขที่สุดเพราะพรุ่งนี้ผมอาจจะไม่ได้ทำมันอีกก็เป็นได้

“ผมไม่เหลือใครแล้ว ผมไม่มีใครอีกแล้ว”น้ำตาผมไหลออกมาอีกแล้ว แต่คนที่เช็ดน้ำตาให้ผมไม่ใช่มือนี้อีกแล้วแต่เป็นมือของ

แม่ที่เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาให้ผม

“ร้องเลยลูกร้องออกมา ร้องให้พอ”ตอนนี้ผมกลั้นไม่อยู่แล้ว ผมอาจจะพยายามทำตัวเข้มแข็งแต่ไม่ใช่เลย ผมแค่หลอกตัวเอง

เท่านั้น ผมยังต้องการอ้อมกอดนี้ อ้อมกอดที่รักผมห่วงผม

ผมหยุดร้องไห้แล้วเดินเข้าห้องน้ำชำระร่างกายวันนี้ต้องออกไปเจอมลภาวะและเชื้อโรคข้างนอกกลับออกมาอีกครั้งเปลี่ยนเป็น

ชุดคนไข้เหมือนเดิม

“นินสบายใจขึ้นรึยัง อยากให้แม่อยู่เป็นเพื่อนไหม”อยากครับ อยากครับผมอยากตอบโดยไม่ต้องคิดอะไรอยากพูดในสิ่งที่ใจตัว

เองต้องการอยากบอกออกไปอย่างนั้นดังๆ

แก๊ก คุณพยาบาลเดินเข้ามา เอาอาหารเข้ามาให้ผม

“น้องนินเป็นยังไงบ้างคะ เหนื่อยไหมออกไปข้างนอกวันนี้”

“นิดหน่อยครับ เอ่อ พี่ครับผมมีกำหนดออกจากโรงพยาบาลวันไหนครับ”

“เรื่องนี้ เดี๋ยวพี่จะลองถามคุณหมอให้นะคะ แต่ตอนนี้ได้เวลาทานข้าวแล้วค่ะ อย่าลืมทานยาด้วยจะได้หายเร็วๆ”

“ขอบคุณครับ”คุณพยาบาลเดินออกไป เป็นคุณพ่อที่เดินเข้ามาพร้อมอาหารเป็นญี่ปุ่น เป็นร้านที่ผมชอบทาน เป็นร้านที่ครอบครัว

เราไปทานกันบ่อยๆ

“หนูนินทานข้าวลูก พ่อเขาไปซื้ออาหารญี่ปุ่นมาวันนี้พ่อกับแม่ขอทานข้าวกับหนูนะ”

“ครับ”ดีใจมากเลยที่พ่อกับแม่มาทานอาหารกับผม

“เอ่อ..คุณลุงออกจากโรงพยาบาลแล้วหรอครับ เท้าไม่เป็นอะไรแล้วหรอครับ”

“ไม่เป็นอะไรแล้ว หายดีแล้วล่ะ ว่าจะมาเยี่ยมหนูไม่เห็นหนูในห้อง ถามพยาบาลพวกเขาเลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง พวกเราเลย

รอพบหนู”

“ขอบคุณครับที่เป็นห่วงผม”เย็นวันนี้ผมก็ได้นั่งทานข้าวกับพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตา ดูมันจะทำให้ผมลืมเรื่องเศร้าๆไปได้ชั่วขณะ

พ่อกับแม่พยายามชวนผมคุยเรื่อยๆผมจะได้ไม่คิดมาก และคืนนี้คนที่ส่งผมเข้านอนก็คือพ่อ พ่อเป็นคนเล่านิทานให้ผมฟัง รู้สึก

เหมือนตัวเองเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตติดพ่อแม่ แต่ก็มีความสุขไปอีกแบบ หลับตาลงด้วยความเหนื่อยที่ต้องออกไปข้างนอกทั้งวัน

และฤทธิ์ยา เสียงนิทานของพ่อค่อยๆเบาลง เบาลง จนไม่ได้ยิน

“พี่ พี่ผมมารับแม่ ผมจะได้อยู่ด้วยกันแล้วและมาลาพี่ด้วย”

“นิน นินพี่ขอโทษที่ดูแลแม่ให้นินไม่ดีนินอย่าโกรธพี่เลยนะ พี่ขอโทษ”

“ไม่เป็นไรลูก มันไม่ใช่ความผิดของหนู มันถึงเวลาของแม่”

“แม่พิมพ์ แม่พิมพ์ ผมขอโทษที่ดูแลแม่พิมพ์ไม่ได้”

“พอเถอะลูกแม่ไม่เคยโทษหนู หนูก็อย่าได้โทษตัวเอง ไม่ใช่ความผิดหนูถ้าหนูอยู่กับแม่ก็ช่วยอะไรไม่ได้”

“ผมขอโทษนะครับที่โกหกว่าผมเป็นน้องผมไม่อยากให้แม่เสียใจ”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แม่รู้มาตลอดเพราะแม่เป็นคนเลี้ยงน้องมาทำไมแม่จะรู้”

“แม่รู้ว่าผมไม่ใช่น้อง”

“ใช่แม่รู้ ไม่ว่าหนูมาอยู่ในร่างของน้องด้วยเหตุผลอะไร หนูก็คือลูกของแม่อีกคน”

สามคนพ่อแม่ลูกยิ้มให้ผม ไม่มีใครโทษว่าเป็นเพราะผม เหมือนเป็นสิ่งที่ปลดปล่อยผมออกจากพันธนาการที่รู้สึกผิด แม่พิมพ์รู้มา

ตลอดว่าผมเป็นใครก็ยังรักผมเหมือนผมเป็นลูกของเธอ


ผมรู้สึกอะไรเย็นๆ ชื้นๆมาสัมผัสที่ผิวหน้าของผม

“แม่”ผมพูดออกมา

“รู้สึกตัวแล้วหรอลูก”

“ครับ ผมเป็นอะไรไปครับ”

“หนูร้องไห้ แล้วพูดอะไรคนเดียวไม่รู้ตลอดทั้งคืน แม่นึกว่าหนูไข้ขึ้นจนเพ้อ เลยเอาผ้ามาเช็ดตัวให้”ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมเห็นเป็นความ

ฝัน ที่อยู่ภายใต้จิตใต้สำนึกของผมรึเปล่าหรือเป็นความจริงที่ผมเห็นคนทั้งสาม แต่สิ่งที่ผมไม่คิดไปเองคือผมได้รับความรักแม่

พิมพ์ และการได้รับชีวิตจากน้อง

“แม่ครับ ผมจะบวช”นั่นคือสิ่งที่ผมจะตอบแทนพวกเขาได้บ้างไม่มากก็น้อย


*********************************************************************


โปรดติดตามตอนต่อไป



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-04-2016 17:25:39 โดย jaengs »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เฮ้อออออ.  บวชเสร็จแล้วกลับมาแก้แค้นอีหญิงชั่วชายเลวสองคนนั้นให้ได้นะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
สงสารน้องนิน :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
พี่เทียนไม่มาดูแลน้องหน่อยล่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 729
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
บวชเสร็จแล้วกลับมาแก้แค้นไอ้พวกคนเลวๆพวกนั้นให้หมดเลยนะ

ออฟไลน์ jaengsRU

  • ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-1
    • https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/

เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน

ตอนที่ 9


นโม ตสฺส ภควโต  อรหโต  สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส  (ว่า ๓ จบ)

ผมกำลังเข้าพิธีบวชเณร โดยมีพ่อแม่นั่งยิ้มดีใจ น้ำตาคลอ เพราะผมบอกว่าจะบวชให้พวกท่านด้วย คุณย่าและครอบครัวก็มา

      พระพี่เลี้ยงกำลังแต่งกายให้ผมโดยการคล้องผ้าขึ้นมาในลักษณะคล้ายนุ่งผ้าขาวม้าจากนั้น จับปลายผ้าขึงไปข้างหน้าให้สุด แล้ว

จับจีบใหญ่พอประมาณ พับซ้าย พับขวา สลับกันไปมาจนมาสุดที่บั้นเอว พระพี่เลี้ยงให้ผมถือไว้อย่างนั้นก่อน แล้วจึงหยิบผ้าประ

คตเอวมาทาบด้านหน้าตรงจีบพับ ม้วนสายรัดพันไปรอบเอว วกกลับมาแล้วผูกให้แน่น ชิ้นที่สอง ก็เป็นผ้าอังสะใช้สวมศีรษะลงไป

จัดผ้าให้เฉวียงเปิดบ่าขวา ชิ้นที่สามเป็นจีวรพับผ้าในลักษณะจำเพาะพับเสร็จจึงค่อยนำมาพาดที่บ่าซ้าย แล้วค่อยๆ ดึงปลายผ้า

ที่พับไว้อ้อมจากทางด้านหลังในลักษณะเฉวียงบ่ามาคล้องเข้าใต้รักแร้ข้างขวาก่อน แล้วจึงนำไปสอดเข้าใต้ผ้าพับที่พาดไว้ตรง

บ่าซ้าย สอดให้พออยู่ไม่หลุดลงมา ชิ้นสุดท้ายก็เป็นผ้ารัดอก ใช้ผ้าผืนนี้ทับจากข้างหลังแล้วดึงมาใต้รักแร้ด้านซ้ายและด้านขวา

อ้อมมาผูกให้อยู่ระหว่างอก เพื่อให้ปมออกมาดูเป็นระเบียบ กว่าจะแต่งเสร็จ



         คุณย่าหายอาการของโรคไขข้อแล้ว ท่านออกจากโรงพยาบาลมาได้สัปดาห์หนึ่งแล้ว ช่วงที่อยู่โรงพยาบาลผมยังไปที่

ห้องคุณย่า ยังไม่ได้เล่าเรื่องแม่พิมพ์คุณย่าก็รู้เรื่องหมดแล้ว เธอบอกว่าคุณพยาบาลเล่าให้ฟัง

“เป็นไงบ้างตัวเล็กทำใจได้ยัง”คุณเทียนเข้ามาคุยกับผมหลังจากที่คุณย่าหลับ

“ดีขึ้นแล้วครับ”

“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกฉันได้”คุณเทียนหยิบโทรศัพท์ของผมไปแล้วกดอะไรซักอย่าง

“เป็นเบอร์โทรศัพท์และไลน์ของฉันมีอะไรก็โทรมาไม่ต้องเกรงใจคนกันเอง”

“ขอบคุณครับ เอ่อ คุณเทียนครับผมจะบวชให้แม่”

“อืมก็ดี”

“มาให้ได้นะครับ”

“ได้”คุณเทียนยิ้มแล้วขยี้หัวผม

จากวันที่ได้รับข่าวว่าแม่พิมพ์เสียชีวิตผมก็รักษาตัวต่ออยู่ที่โรงพยาบาลอีกหนึ่งสัปดาห์

ช่วงสัปดาห์นั้นพ่อแม่มาเยี่ยมผมทุกวันและพยายามพูดโน้มน้าวใจให้ผมไปอยู่กับท่านทั้งสองและอยากรับผมเป็นลูกบุญธรรม

ตามกฎหมาย

“นิน ออกจากโรงพยาบาลแล้วไปอยู่กับแม่นะลูก”

“นินไปอยู่กับพ่อนะลูกไปอยู่คนเดียวอันตราย ถ้าป่วยขึ้นมาใครดูแล”

“ไปอยู่กับพวกเรานะลูก”

“ไปอยู่กับพวกเราก่อนถ้ามีที่อยู่แล้วค่อยย้ายออกก็ได้”

สุดท้ายก็เป็นผมที่ใจอ่อน ที่จริงนั่นคือสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว

หลังจากนั้นหมอก็อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้

“ดีใจไหมได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว”

“ดีใจมากเลยครับ”

“คนไข้มีร่างกายที่แข็งแรงมาก ไม่มีอาการร่างกายปฏิเสธการรับหัวใจใหม่ แผลผ่าตัดหายสนิท ไม่มีอาการโรคแทรกซ้อน เป็น

เคสที่ประสบผลสำเร็จมาก แต่คนไข้ก็ต้องรักษาสุขภาพตัวเองให้ดีด้วย”

“ขอบคุณครับคุณหมอ”

“อ้อ..หมอลืมบอกพี่เจนมี่ตอนนี้ถูกที่บ้านเณรเทศไปอยู่เมืองนอกเรียบร้อย ส่วนค่าใช้จ่ายยายเจนมี่จัดการเรียบร้อยแล้ว”

“ผมฝากขอบคุณพี่เจนมี่ด้วยนะครับ”


อาการป่วยของผมหายดีแล้วคุณหมอบอก แต่ต้องกลับมาตรวจสุขภาพปีละครั้งหรือทุกครั้งที่มีอาการผิดปกติ ผมได้คู่มือรักษา

สุขภาพเกี่ยวกับผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมาด้วยหลายเล่ม ผมจะดูแลสุขภาพให้ดีครับ ผมรู้ว่ามันทรมานแค่ไหนที่ต้องอยู่ที่นี่ แต่ดี

ที่ทำให้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง

ทำให้ผมได้เจอคนที่ดีกับผมหลายคน ที่นี่จะอยู่ในความทรงของผมตลอดไป คุณย่าก็ออกจากโรงพยาบาลตามผมมา พ่อแม่ของ

ผมและคุณย่าและแม่คุณเทียนจะบวชพราหมณ์แต่หลังจากที่ผมบวชสามเณรได้ซักสัปดาห์หนึ่งก่อน ผมมาเรียนรู้ศึกษาพระธรรม

และบวชที่วัดที่พ่อกับแม่เอาศพผมมาไว้และวัดนี้ก็อยู่ใกล้ๆบ้านผมด้วย



         มีอีกเรื่องที่แปลกใจก็คือคุณย่าคือเพื่อนบ้านคนใหม่ของผม วันนั้นผมออกมาเดินออกกำลังกายแถวสวนสาธารณหมู่บ้าน

“คุณเทียน คุณเทียนทางนี้”โบกมือเรียกคุณเทียน

“อ้าว ตัวเล็กไม่ได้เจอกันนานเลย”

“ไม่ใช่แล้วคุณเทียนคุยไลน์กับผมเกือบทุกวันเลยไม่ใช่รึไง”

“555 แต่ไม่ได้เจอหน้ากันอย่างนี้ไง แล้วมาทำอะไรแถวนี้”

“บ้านใหม่ผมอยู่แถวนี้”

“จริงดิหลังไหน เดี๋ยวฉันเดินไปส่ง ไว้ว่างๆจะได้พาคุณย่าไปเยี่ยม”

“ครับ”

“หลังนี้ครับคุณเทียน”

“เฮ้ย..อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น”


คุณเทียนบอกว่าแต่ก่อนไม่ได้อยู่ที่นี่แต่คุณย่ามาอยู่ด้วยและคุณเทพเอาเด็กๆกลับมาอยู่ที่บ้านหลังจากที่หย่ากับภรรยา ทำให้

ต้องขยายบ้าน มีคนแนะนำที่ดินเปล่าข้างๆบ้านผม บ้านของคุณย่าเพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน เพิ่งย้ายมาอยู่ไม่ถึงเดือนเลย ผมยัง

ไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวบ้านคุณย่าเลยเพราะผมต้องมาเรียนพระธรรมทุกวันเพื่อเตรียมตัวบวช วันที่กลับมาอยู่ที่บ้านกับพ่อแม่ผม

อยู่ห้องใหม่ไม่ใช่ห้องเดิม ผมไม่อยากให้ทั้งสองลืมนนท์ ใครจะลืมนนท์ก็ได้แต่พ่อกับแม่ต้องห้ามลืมเด็ดขาด ห้องของผมพวก

เราทั้งสามช่วยกันจัด ผมว่ามันเหมือนห้องเด็กยังไงไม่รู้ ตอนเช้าผมต้องไปเรียนธรรมะที่วัดได้พ่อแม่ไปส่ง เรียนเสร็จพ่อแม่ก็ไป

รับ ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่กลับไปทำงานที่บริษัทแล้วอาการทางประสาทของคุณพ่อหายดีแล้วผมดีใจมากเลย หลังจากที่ผมบวช

แล้วผมก็จะถึงเวลาที่ผมกลับมาดูแลท่านทั้งสองอย่างเต็มที่

นินแม่ซื้อเสื้อผ้ามาให้หนู แม่เห็นน่ารักดีน่าจะเหมาะกับหนู”เป็นเสื้อผ้าลายการ์ตูน สงสัยแม่เห็นผมใส่เสื้อลายเจ้าแมวตัวอ้วนสี

เหลืองแล้วน่ารักแน่เลย

“ทำไมมันเยอะอย่างนี้ครับ”มีหลายลายหลายสีมาก

“ไม่เยอะหรอกนินไม่มีเสื้อผ้าเลยแต่ตัวเดียว”แม่กำลังเห่อผม ซื้อของมาให้ผมเยอะเลยห้องนอนเต็มไปด้วยตุ๊กตา ดีนะไม่มีของ

เล่น

“คุณทวดพี่นินเป็นอิคคิวซัง”น้องหนึ่งทักผมเพราะตอนนี้ผมห่มผ้าเหลืองแล้วกว่าผมแต่งตัวเป็นต้องฝึกอยู่นาน แผลเป็นที่หน้าอก

จางลงมากมองแทบไม่เห็นแต่แม่ก็หาครีมมาให้ทา



          พิธีบวชสามเณรของผมผ่านไปได้ด้วยดี ใช้เวลาท่องจำบทสวดมนต์ และฟังพระธรรมที่หลวงตาสอนเกือบทุกวัน จน

สามารถท่องได้ขึ้นใจ วันนี้มีเด็กๆหลายคนมาเข้าพิธีบวชเหมือนผมด้วยเพราะช่วงนี้เป็นปิดเทอมฤดูร้อน หลายครอบครัวนิยมให้

ลูกหลานบวชเรียนศึกษาธรรมะการเข้าใกล้ธรรมะทำให้เด็กๆดูอ่อนโยน ใช้สติปัญญาควบคุมอารมณ์ มากกว่าใช้กำลัง พ่อแม่

แต่ละคนที่พาลูกๆมาเข้าพิธีต่างยิ้มแย้มมีความสุข ตอนเด็กๆผมไปอยู่ไหนทำไมไม่ได้มีกิจกรรมอย่างนี้กับครอบครัว อยู่ที่นี่ผมคง

ไม่เหงามีเด็กเป็นเพื่อน ดูเหมือนครอบครัวผมเข้ากับครอบครัวคุณย่าเข้ากันได้ดีต่อไปพ่อแม่ผมไม่เหงาแล้วมีเพื่อนบ้านใหม่ น้อง

หนึ่งน้องสองยืนจ้องผมตาแป๋วเชียวคงสงสัยว่าทำไมผมถึงกลายเป็นอิกคิวซังตามที่เด็กๆเรียก

“ทุกคนครับ มาถ่ายรูปกับเณรหน่อย”

“ให้เณรอยู่ตรงกลางนะ”

“น้องหนึ่งน้องสองมายืนข้างๆเณร”

“ทุกคนพร้อมนะครับ”คุณเทียนทำหน้าที่เป็นตากล้อง กับคุณพ่อตามถ่ายรูปผมตลอดเลย ตอนนี้เราถ่ายรูปรวมโดยกดปุ่มตั้งเวลา

“หนึ่งสองสาม”คุณเทียนวิ่งเข้ากล้อง ไม่นานเสียงชัดเตอร์ก็ดังขึ้นพร้อมแสงแฟต คงเป็นภาพอีกหนึ่งความประทับใจ


            กุฏิพระในวัดเขตพื้นที่วัดมีสองสามหลัง พวกผมเดินตามพระพี่เลี้ยงไปกุฏิที่ผมต้องจำวัดตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ทางเดินที่

ปูด้วยอิฐตัวหนอนเป็นทางยาวไปถึงกุฏิ ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นอยู่เต็มบริเวณวัด ต้นไม้กำลังผลัดใบ ใบไม้เล็กใหญ่ร่วงลงสู่พื้นผิวดิน

ตามแรงโน้มถ่วง กองใบไม้ที่ถูกกวาดไว้เป็นกอง ไม้กวาดทางมะพร้าว ที่โกยผง ถังขยะวางไว้ใกล้ๆ มองดูพื้นดินที่ชื้นและมีรอย

ดินที่เพิ่งขุดเห็นมีพระบางรูปกำลังรดน้ำต้นไม้และกำลังลงต้นไม้ใหม่ เสียงพระหลายรูปพูดคุยกันแว่วมาตามลม แป๊ก แป๊ก เสียง

ลูกมะขามแก่ตกลงกระทบพื้นอิฐตัวหนอน เจ้ากระรอกตัวน้อยกระโดดเล่นหยอกล้อกันอยู่บนกิ่งไม้ ส่งเสียงร้องชูหางเป็นพวงไป

มา น้องหมากำลังนอนเล่นใต้ต้นไม้เพราะพื้นดินที่ชื้น มันได้ยินเสียงพวกผมเดินผ่านบางตัวชูคอขึ้นดู บางตัวแค่เหลือบตามอง

แล้วหลับต่อ จากบริเวณศาลาที่มีพิธีบวชมาถึงที่เหมือนอยู่คนละโลก ที่นี่เงียบสงบ เย็นสบาย มีร่มจากเงาที่คอยบังแดดจากกิ่ง

ก็านสาขาของต้นไม้ใหญ่แผ่ออกมา กุฏิหลังงามเรือนทรงไทยติดแอร์สองชั้นเป็นของท่านเจ้าอาวาส อีกอาคารหลังขนาดใหญ่

เป็นของพระลูกวัดและท่านรองเจ้าอาวาส อาคารหลังสุดท้ายของเป็นพระใหม่เณรใหม่และเด็กวัดพักที่ตึกนี้พระประจำที่วัดนี้มีไม่

ถึง สิบรูป

“ห้องนี้ เป็นของพวกเณร”พระพี่เลี้ยงเปิดห้องให้พวกผมเข้าไป ประตูไม้ถูกเปิดออก ภายในห้องโล่งกว้างมีหน้าต่างมีพัดลมบน

เพดาน

“มีผีเปล่าครับ”

“หิวข้าวจัง”

“มีทีวีให้ดูรึเปล่า”

เสียงเด็กๆถามคำถามพระพี่เลี้ยง ไม่มีที่นอนแต่มีฟูกผ้าห่มหมอนวางไว้มุมห้อง ท่าทางผมต้องช่วยเด็กๆ ทุกคนต่างเลือกมุมส่วน

ตัวของตัวเอง ผมวางย่ามของผมลงแล้วเปิดออกดูในนั้นมีหนังสือสวดมนต์ หนังสือธรรมะ และชุดสามเณรของผมอีกชุด

”ง่วงนอนจังเลย พี่ พี่ชื่ออะไรผมชื่อเนม”เด็กชายตัวกลมหาวปากกว้าง อายุน่าจะประมาณเจ็ดแปดขวบเดินเข้ามาคุยผม

“พี่ชื่อนินจา เรียกว่านินก็ได้”

“พี่น่ารักจัง”น้องเนมจ้องมองผม

“ใช่ใช่ ตอนแรกที่ยังไม่โกนผมใส่ผ้าเหลืองผมนึกว่าเด็กผู้หญิง”ผมมองเด็กผู้ชายอีกคนที่พูดขึ้น

“ผมชื่อหมอกอายุ 12 ปี พี่ผมนอนข้างพี่นะ”ผมยิ้มให้

“จัดของเสร็จยัง เดี๋ยวลงไปข้างล่าง”พระพี่เลี้ยงมาตามพวกผม คงพาไปทัวร์รอบรอบวัด พวกผมเดินออกจากห้องปิดประตู

ป้องกันแมลงเข้าและสัตว์เข้าไปในห้อง เพราะต้นไม้เยอะและชื้นทำให้มีแลงและสัตว์เยอะ พวกผมออกมาข้างล่างกันแล้ว มีพระ

หลายรูปยืนรอพวกผมอยู่

“เดี๋ยวจะพาเณรเดินดูรอบวัด และจะคอยบอกกฎระเบียบว่าต้องตัวอย่างไรแล้วในแต่ละวันเราต้องทำอะไรบ้าง”วัดกินพื้นที่กว้าง

ต้นไม้ที่อยู่ที่นี่เป็นต้นไม้เก่าที่เกิดเองตามธรรมชาติ บางต้นมีอายุเกือบร้อยปี พวกผมต้องตื่นแต่เช้าไปทำวัตร และออกเดิน

บิณฑบาตสำหรับพระและเณรใหม่แบ่งออกเป็นสองสาย จากนั้นกลับมาที่วัดจะมีญาติโยมมารับศีลและถวายอาหารที่นี่จำนวน

หนึ่ง ส่วนตอนเที่ยงจะมีชาวบ้านทำอาหารมาถวายที่วัด ตอนเย็นงดอาหารแต่ทานน้ำได้ ที่วัดนี้เปิดเป็นสวนปฏิบัติธรรมด้วยแต่

อาคารที่พักและที่ปฏิบัติธรรมอยู่คนละฝั่งกับที่พักของพวกผม ด้านหลังของวัดเป็นป่าช้า ที่เก็บกระดูก เจดี

“เอาล่ะเดี๋ยวพระจะบอกให้รู้ว่าแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง”กวาดลานวัดเรื่องนี้คือเรื่องใหญ่ เพราะพื้นที่วัดไม่ใช่เล็กๆ เณรมีหน้า

กวาดพระพี่เลี้ยงจะขนไปเผาที่เตาเผาขยะ ล้างห้องน้ำรับผิดต่อคนห้อง ทำความสะอาดศาลากลาง ศาลาพิธี เรือนรับรอง กุฏิ

อื่นๆ และนั่งสมาธิศึกษาพระธรรม แค่ฟังก็เหนื่อยครับ

แสงตะวันส่องแสงแรงกล้าทั้งวันตอนนี้อ่อนแสงลงแล้ว เสียงนกกากลับรัง อากาศเริ่มเย็น ยุงออกหากินแสงจากหลอดไปเปิดขึ้น

ท่านเจ้าอาวาสเดินนำพระรูปอื่นเข้าไปในโบสถ์กลิ่นธูปเทียนหอมอ่อนๆพระทุกรูปนั่งประจำตำแหน่ง การทำวัตรเย็นก็เริ่มขึ้น

“ง่วงนอนจังเลยพี่นิน ผมไม่รู้เขาท่องอะไร ท่องไม่ทัน”น้องเนมตัวอ้วนบอกผม

“ธรรมดาวันแรกก็คงประมาณนี้แหล่ะ พระท่านบวชมานาน”พวกผมเดินออกจากโบสถ์ พระพี่เลี้ยงที่นี่เข้มงวดมาก กฎ ระเบียบ

เวลา ต้องรักษาแต่ก็ดีมันช่วยให้คนเรามีวินัยมากขึ้น ก็ถึงว่าทำไมผู้ปกครองถึงนิยมพาลูกหลานมาบวชเรียนที่นี่ ทางเดินกลับกุฏิ

ค่อนข้างมืด ต้องระวังงู ตะขาบ แมงป่อง เสียงแมลงกลางคืนส่งเสียงร้องเรียกคุยกันส่งเสียงดังก็องวัดไปมาไม่รู้ว่ากำลังคุยกัน

หรือทะเลาะกัน

“ไปอาบน้ำเถอะ ดึกแล้วจะได้พักผ่อนพรุ่งนี้ต้องตื่นทำวัตรแต่เช้า”ผมชวนหมอกและเนมไปอาบน้ำ

“พี่นิน รอผมด้วย”เจ้าเนมวิ่งตามมา ที่อยู่ข้างหน้าพวกผมตอนนี้คือห้องน้ำและห้องอาบน้ำอยู่ไม่ห่างจากตัวอาคารเท่าไหร่ ห้อง

นอนเด็กวัดอยู่ชั้นล่าง ห้องถัดจากพวกผมไปเป็นห้องพระใหญ่ แต่ตอนที่พวกผมลงมาทุกห้องต่างปิดไฟนอนกันแล้ว ไปอาบน้ำ

กันตอนไหนเนี่ย

“อึย พี่นินน้ำเย็นมากเลย”

“รีบอาบเถอะเดี๋ยวจะดึก”ไม่แน่ใจว่านี่คือเรียกว่าอาบน้ำ หรือวิ่งผ่านน้ำน้ำเย็นมากดึกมากด้วย ผมกลัวร่างกายรับไม่ไหวเดี๋ยวต้อง

กลับเข้าไปนอนที่โรงพยาบาลเหมือนเดิม ผมราดไปบนตัวแค่สามขัน แล้วเช็ดตัวสวมสบงกับอังสะออกจากห้องอาบน้ำ น้องๆก็

เสร็จออกมาจากห้องอาบน้ำเกือบพร้อมกัน เดินขึ้นห้องชั้นบนที่พวกผมอยู่เป็นไม้เวลาเดินจะมีเสียงเอียดอาดเสียงไม้เสียดสีกัน

ประมาณว่าอาคารนี้เก่าแล้วส่วนข้างเป็นตึก

แอ๊ด เสียงประตูที่ผมเปิดออก เณรอีกสองรูปจำวัดไปแล้วพวกผมเลยต้องเดินเข้าไปเงียบๆ ผมยกที่นอนหมอนผ้าห่มไปที่ของตัว

เองจัดการปูลงพื้น แล้วสวดมนต์สั้นก็มลงกราบพระก่อนอนสามครั้ง ค่อยล้มตัวลงนอน เสียงลมพัดต้นไม้ เสียงต้นไม้เสียดสีกัน

ตามแรงลม อากาศในห้องเย็นสบาย กลิ่นยากันยุงลอยมาตามลมถึงจะมีมุงลวดแต่คิดว่ายุงน่าจะมีไม่น้อย ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว

ผมรู้สึกว่าอากาศเย็น

“เณร เณร”เสียงใครไม่รู้เหมือนกำลังเรียกผม

“ครับ” เรียกผมทำไม

“เณรทำไมถึงมาบวชล่ะ”ผมลืมตาขึ้นเห็นชายสูงอายุสวมชุดสีขาวทั้งตัว ผมขาวใบยิ้มแย้ม รอบตัวเขามีแสงสีขาวส่องออกมา

“ผมอยากบวชให้พ่อแม่และผู้มีพระคุณ คุณตาอยู่ที่นี่หรือครับ”

“ใช่ตาอยู่ที่นี่อยู่มานานแล้ว ไม่ต้องกลัวนะตาแค่มาทักทายเราเฉยๆ”คุณตาใช้มือเย็นลูบศีรษะผมเบาๆ”เราทุกคนเกิดมาล้วนมี

กรรมติดตัวมา ปล่อยให้เรื่องราวทุกอย่างเป็นไปตามกรรม อย่าได้สร้างกรรมต่อไป”คำพูดของคุณตาทำให้ผมต้องหยุดคิด ถ้า

อย่างนั้นทุกอย่างที่เกิดกับผมตอนนี้ก็คงเป็นกรรมที่ผมเคยทำไว้เจ้ากรรมนายเวรเลยมาเอาชีวิตของผมคืน

“อย่าจองเวรจองกรรม ตัดวงเวียนแห่งกรรมที่ผูกมัดกันซะ”ภาพชายชราตรงหน้าหน้าค่อยๆจางหายไป ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาไม่รู้ว่า

เมื่อครู่คือความฝันรึเปล่าแต่ตัวผมยังรู้สึกถึงความเย็นที่สบายๆสดชื่นนั้นได้อยู่

ก๊อก ก๊อก

“เณรตื่นได้แล้ว......ไปอาบน้ำเตรียมตัวทำวัตรเช้า”เสียงพระพี่เลี้ยงตะโกนเรียกผ่านประตูเข้ามา

“เนม หมอก  เณร ตื่นได้แล้ว”ผมเรียกน้องๆที่กำลังหลับสบายให้ตื่น

วันนี้พระพี่เลี้ยงยังช่วยพวกผมแต่งตัวเหมือนเดิม เดินตามหลังพระพี่เลี้ยงและพระรูปอื่นเข้าไปในโบสถ์เพื่อทำวัตรเช้า ธูปเทียน

ถูกจุดขึ้น พระทุกรูปนั่งประจำตำแหน่ง การทำวัตรเช้าก็เริ่มขึ้นมันอาจจะดูน่าเบื่อที่ต้องอะไรซ้ำซ้ำไปมาบ่อย แต่นี่คือหน้าที่ที่ต้อง

ทำ มีพระใหม่หลายรูปยังสวดมนต์ไม่คล่อง บางรูปยังมีอาการง่วงนอน ฟังไปฟังมาเสียงสวดมนต์ที่ประสานกันก็ช่วยให้รู้สึกง่วง

จริงๆ ก่อนที่ผมจะหลับไป เสียงสวดมนต์บทสุดท้ายจบลง

“เดี๋ยวตอนเช้าเณรต้องจะออกไปบิณฑบาต”วันนี้แบ่งออกเป็นสองสายแต่ละสายจะมีพระอาวุโสสองรูปพระพี่เลี้ยงหนึ่งและเณร

พระพี่เลี้ยงบอกว่าไม่สามารถพาเณรออกไปบิณฑบาตได้ทุกรูปกลัวดูแลได้ไม่ทั่วถึงและต้องแข่งกับเวลา วันนี้ผมมีโอกาสได้ออก

ไป เส้นทางของผมไม่รู้ว่าต้องผ่านที่ไหนบ้าง พระเณรมาพร้อมกันแล้วพระอาวุโสก็เดินนำหน้าไปผมอยู่เกือบท้ายสุดโชคดีมีเด็ก

วัดอยู่รั้งท้าย ต้องออกบิณฑบาตโดยไม่สวมรองเท้าและต้องอุ้มบาตรไปด้วยน่าตื่นเต้นจัง จะมีคนใส่บาตรให้ผมไหมนะ

             แสงอาทิตย์ขึ้นเร็วมากในช่วงฤดูร้อนพวกเราเดินผ่านหญ้าสูงที่อยู่บนที่ดินเปล่าผ่านบ้านคนหมายหลังมีทั้งคนที่ออกมายืนรอและบอกให้รอ

"นิมนต์เจ้าค่ะท่าน" ผู้หญิงอายุน่ารุ่นเดียวกันกับแม่มองมาที่ผม เธอยกของใส่บาตรขึ้นเอามาทูนไว้ที่หัวแล้วอธิษฐาน ถอด

รองเท้า ยืนด้วยเท้าเปล่าเธอใส่ข้าวสวยกับข้าวลงในบาตรหลวงตา

“เณรบวชใหม่หรอคะ รูปงามเชียว”เธอถามผม เธอใส่ขนมและนมลงไปในบาตรผม เธอต้องคิดว่าผมเป็นเด็กแน่เลย เมื่อใส่บาตร

เสร็จแล้วเธอก็ย่อตัวลงนั่งยองๆประนมมือขึ้นก้มศีรษะเล็กน้อย หลวงตากล่าวบทกรวดน้ำและให้พร พากเราก็เดินต่อไป

 “นิมนต์ค่ะหลวงพ่อ”เอ๊ะเสียงนี้คุ้นๆ

“เณรรูปงามจังเลยค่ะ”เป็นแม่ที่ใส่บาตรให้ผมแล้วส่งยิ้มให้ผมโดยมีพ่อผมเป็นคนช่วยถือของให้

“ย่านึกว่ามาไม่ทันซะแล้ว”คุณย่าใส่อาหารลงในบาตรของผมมีคุณเทียนถือถาดอาหารให้

“คุณย่า เอานี่ให้อิคคิวซัง”น้องหนึ่งน้องสองยื่นขนมลงบาตรของผมช่วยแม่คุณเทียน และเป็นคุณเทียนวางสาลี่ลูกโตลงในบาตร

ของผม

         
                                                                    มีต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ jaengsRU

  • ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-1
    • https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/
 
                                                                      ต่อจากด้านบน



        หลวงตาเดินนำพวกเราเข้าประตูวัด เด็กวัดช่วยผมยกบาตรขึ้นไปวางไว้ข้างบน ส่วนผมต้องไปล้างเท้าเดินขึ้นศาลากลางเจ็บเท้า

นิดหน่อยไม่ค่อยชิน

เดินขึ้นศาลาบนศาลาหลังใหญ่ที่สามารถบรรจุคนได้จำนวนมาก พื้นที่เป็นนั่งของพระสงฆ์ถูกยกพื้นให้สูงขึ้น มีเบาะรองนั่งพระ

สงฆ์วางไว้ประจำของแต่ละรูปพร้อมกับตาลปัตรอยู่ด้านข้าง บนศาลามีญาติโยมกำลังนั่งรอรับศีลรับพร บางคนกำลังยกอาหาร

คาวหวานไปประเคนให้พระสงฆ์ที่นั่งอยู่ บางคนกำลังเข้าแถวตักบาตรของพระที่ไม่ได้เดินออกบิณฑบาต

ชาวบ้านเริ่มทยอยมาขึ้นมาบนศาลา พ่อแม่ผม คุณย่า คุณแม่คุณเทียน คุณเทียนน้องหนึ่งและน้องสอง ขึ้นมาบนศาลาแล้วกำลัง

หาที่นั่งกัน เด็กวัดและชาวบ้านช่วยกันจัดอาหารใส่ถาด อาหารถูกจัดเป็นถาดประเคนไว้ที่หน้าที่นั่งพระแต่ละรูปไล่มาเรื่อยจนมา

ถึงที่นั่งของเณร ไม่นานทุกอย่างก็พร้อมพระทุกรูปก็ลงมาที่ศาลาครบแล้ว ท่านเจ้าอาวาสก็นั่งประจำที่ ธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย

ก็ถูกจุดขึ้น พร้อมกับเสียงมัคทายกที่เริ่มสวดมนต์นำดังขึ้น เป็นอันรู้ว่าต่อจากนั้นเหล่าพุทธศาสนิกชนก็ว่าตาม เสียงสวดมนต์

พร้อมคำกล่าวถวายภัตราหารแด่พระสงฆ์ดังไปทั่วทั้งศาลา ช่วงนี้เป็นช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนจึงเห็นผู้ปกครองพาบุตรหลานเข้า

วัด ไหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตา ดีกว่าที่จะเอาเวลาไปทำสิ่งที่ไม่ควร แต่สภาพสังคมปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยี ความ

สะดวกสลายที่เข้ามาแทนที่ ทำให้คนมีเวลาน้อยลงและสนใจทำสิ่งอื่นกันมากกว่าการเข้าวัดไหว้พระสวดมนต์ หรือการประกอบ

พิธีกรรมทางศาสนาบ้านกับวัดเริ่มห่างกันเนื่องจากการแปลงไปของสังคม ภาพที่ทุกคนกำลังพนมมือขึ้นรับพร ปากก็ว่าตาม

จนถึงบทสวดมนต์บทสุดท้ายก็จบลง  อาหารมื้อแรกของการเข้าสู่เส้นทางความสุขสงบอันเป็นนิรันด์ตามความเชื่อชาวพุทธเชื่อ

กัน เสียงพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งกำลังเทศนาให้ชาวบ้านฟังส่วนพระเณรรูปอื่นก็ฉันอาหารหันไปมองญาติโยม เห็นโยมพ่อโยมแม่กำลัง

มองมาที่ผมแล้วยิ้มให้เป็นสายตาและรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข มีโยมพ่อของเณรบางรูปเขยิบมานั่งมองเณรนั่งฉันภัตราหารใกล้ๆ คนเป็น

พ่อไม่เห็นหน้าลูกได้เห็นลูกกินอิ่มก็สุขใจแล้ว อาหารของคาวของหวานที่จัดใส่ถาดประเคนวางไว้ตรงหน้าไม่นานก็หมด เสียง

สวดมนต์ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับทุกคนพนมขึ้น สิ้นเสียงสวดมนต์อาหารที่เหลือก็ถูกยกไปให้ชาวบ้าน พระเณรเสร็จกิจต่างแยก

ย้ายไปทำหน้าที่ตนเองได้รับผิดชอบ กวาดลานวัดคือหน้าที่ของเณรหลังจากบรรพชา เณรทุกรูปต่างได้รับอุปกรณ์ทำความ

สะอาดไล่กวดไปตามจุดต่างๆ จนถึงเวลาฉันเพลวางของทุกอย่างลงไปฉัน

“ตอนบ่ายพวกเราต้องล้างห้องน้ำใช่ไหมเณรพี่นิน”น้องเนมถามว่าเหมือนวัดเส้าหลินไหมเวลาบวช ต้องมีศิษย์พี่ศิษย์น้องรึเปล่า

อันก็น่าคิด

“อืม ใช่ตอนบ่ายทำความสะอาดห้องน้ำและศาลากลาง”

“เนม ฉันเพลเยอะไปหน่อยรู้สึกง่วงจังเลย”ไม่พูดเปล่ายังอ้าปาก หาวให้ดูอีก

“นี่ เณรตั้งใจทำงานสิ คุยกันอยู่ได้เมื่อไหร่จะเสร็จ”เด็กวัดคนหนึ่งชื่อ จ้อย เดินเข้ามาตำหนิที่เห็นผมกับน้องคุยกัน

“แล้วพี่ล่ะอาตมายังไม่เห็นอะไรเลยมีแต่สั่ง”หมอกถามขึ้นมาเห็นเด็กวัดคนนี้สั่งงานทั้งแต่ไม่เห็นช่วยอะไร

“ก็มันงานของพวกเณรๆ อีกอย่างฉันมาทำหน้าที่ดูความเรียบร้อย ถ้าไม่คุมจะทำกันไหมลูกคุณหนูทำอะไรก็ไม่เป็นกวาดพื้นถูพื้น

ใช้เวลาเป็นวันๆ”ว่าเสร็จแล้วก็ส่ายหัว ใจจริงก็อยากเถียงแต่ในเมื่อความจริงที่ว่าไม่เคยทำอย่างนี้เณรทุกรูปก็ได้แต่มองหน้ากัน

เพราะเถียงไม่ออก

“บ้านใครจะกว้างขนาดให้คนเป็นร้อยมานั่งได้ พูดไม่คิด”

“บ่นอะไรเณร”

“เปล่า เณรก็พูดไปเรื่อย”ดูเหมือนเณรหมอกยังไม่ยอมแพ้แอบบ่นออกมา

“อ้อ วันนี้หลังทำวัตรเย็นเสร็จให้พวกเณรไปรอพระพี่เลี้ยงที่หลังโบสถ์ด้วยพระท่านสั่งมา”

“มีเรื่องอะไรโยมจ้อย”

“ก็ ไม่มีอะไรพระพี่เลี้ยงไปพาไหว้เจ้าที่เจ้าทางก็เท่านั้น อย่าลืมล่ะ ทำงานต่อได้แล้วเผลอทีไรคุยกันทุกทีซะน่า”

           เณรทุกรูปช่วยกันกวาด ถูพื้น ไม่นานก็เสร็จแต่ก็กินเวลานานทีเดียวเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดเข้าที่แล้วต้องอาบน้ำ

เพราะเหงื่อคาบไคลบวกกับอากาศฤดูร้อน จากนั้นเดินเข้าโบสถ็เข้าทำวัตรเย็น คิดว่างานวันนี้ไม่ค่อยเยอะแต่ทำไมยกมือขึ้นพนม

ได้ไม่นานก็ปวดแขน เณรเนมเณรหมอกหันมามองสงสัยไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย เณรรูปอื่นยังเด็กอยู่ความ

อดทนยังไม่มากพอมีสัปหงกบ้าง ห้าวบ้าง ท่าทางวันแรกเณรจะโดนเด็กวัดรับน้องซะแล้ว ทำวัตรเสร็จเณรๆก็ไปรวมตัวหลังโบสถ์

ตามคำสั่งที่ฝากบอกเด็กวัดที่ชื่อจ้อยมา

“อ้าว โยมจ้อยพระพี่เลี้ยงไปไหนซะล่ะ ไหนบอกให้พวกเณรมารอ”

“พระพี่เลี้ยงไม่ว่าง เลยให้เราเด็กวัดพาไปไหว้กันเอง ตามมา”

เมื่อพระพี่เลี้ยงไม่มาจะยืนรอทำไม ก็เดินตามเด็กวัดจ้อยไป แต่ยิ่งเดินตามไปยิ่งรู้สึกว่ามันแปลกบริเวณที่เดินผ่านมืดมากมองไม่

เห็น อาศัยแสงจากดวงจันทร์ถึงมองเห็นข้างทาง

“เฮ้ย พี่นินนั่นมันอะไร”เสียงเณรเนมตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจชี้ไปทางที่เขาบอกว่าเห็นเป็นเงาสีดำอะไรแปลก

“ไหนเณรเนม ไม่มีเห็นมีอะไร”พยายามมองผ่าความมืดไปก็ยังไม่เห็น แต่ไม่ทันที่จะเห็นอะไรก็ได้ยินเสียงร้องตกใจของเณรรูป

อื่น ตอนนี้ต่างคนต่างวิ่งหนีหายไปกันคนละทาง มีเพียงเณรเนมและหมอกยืนกอดผมอยู่กับเสียงหัวเราะชอบใจของจ้อย

“จ้อย ทำอย่างนี้ทำไม”

“น่าเณร แค่รับน้องเล็กๆน้อย”

“พระพี่เลี้ยงไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหม”

“คิดจะฟ้องรึไง คิดว่ากลัวรึไงใจปลาซิวไปได้ลูกคุณหนูก็เงี้ย”

“แต่ถ้าพวกเณรกลัวแล้ววิ่งไปชน ล้มแข้งขาหัก อีกอย่างสัตว์มีพิษตอนกลางคืนอีก จะตอบกับผู้ปกครองของเณรยังไง”

“เอ้อ ๆ ขอโทษแล้วกัน”

“อีก อย่างนะจ้อยถึงพวกเณรจะเป็นลูกคุณหนูหรือไม่พวกเณรไม่เคยเอาไปคุยอวดใคร กินข้าวกินอาหารเหมือนกัน นอนบนพื้น

กระดาษแข็งมีเพียงผ้ากับสื่อปูเท่านั้นไม่ได้บ่นเลยสักคำ”

“ใช่ๆ นอนดึกตื่นแต่เช้า ทำงานทั้งวันเณรยังทนได้เลย”เณรเนมเลิกกลัวแต่ยังกอดผมไว้อยู่

มีคำพูดว่าขอโทษออกจากปากของจ้อย แล้วเขาก็พาทุกคนกลับมาที่กุฏิ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้จ้อยคิดและทำกับพวกเรา

อย่างนี้แต่เขาคงมีเหตุผลของเขา เชื่อว่าสักวันเขาคงหลุดพ้นจากความคิดร้ายของในสักวัน หลับตาลงคืนนี้ก็ฝันเห็นผู้ชายใส่ชุด

ขาวทั้งตัวคนนั้นอีกแต่คืนนี้เขามานั่งคุยด้วย ท่านบอกว่าเป็นเจ้าที่ดูแลปกปักรักษาพื้นที่บริเวณนี้มานาน
        

                    ปฏิบัติตามกิจวัตรประจำ ทำวัตรเช้า ฉันภัตราหารเช้า-เพล จากนั้นพวกผมก็ต้องช่วยกวดลานวัดเงยหน้ามอง

ใบไม้ที่ร่วงปลิวหมุดติ้วๆลงมาตามกฎแรงโน้มถ่วงของโลกเต็มลานวัดเมื่อใบเก่าล่วงลงพื้นใบใหม่ก็ขึ้นมาใหม่นั่นแหล่ะคือ

สัจธรรม ผมก็ควรที่ปล่อยวางซินะเพราะชีวิตของคนเรามันสั้น ไม่ควรที่จะเอาตัวไปผูกมัดกับความแค้น ควรใช้ที่ได้มาทำให้คน

ที่รักมีความสุขมากกว่า และการที่ผมเลือกเข้ามาอยู่ในร่มศาสนาทำให้ผมได้คิดอะไรได้มากขึ้น จิตใจสงบลงมาก

“เณรพี่นิน จำวัดที่นี่หลายคืนแล้วฝันบ้างไหม”เณรเนมหันมาถาม

“ทำไมหรือเณรฝันอะไรแปลกๆ”

“ถ้าฝันก็ดีสิ นี่หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย”

“อ้าวแล้วเณรถามพี่ทำไม”

“ก็เมื่อเช้า โยมพ่อบอกว่าโยมแม่ฝากมาถามว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ฝันเห็นอะไรบ้างรึเปล่า”

“อ้อ โยมแม่ของเณรจะไปซื้อหวยละสิ”เณรหมอกเงียบอยู่นานพูดขึ้นมา ทำให้ผมนึกถึงเรื่องความฝันของตัวเองที่ทุกคืนจะฝัน

เห็นชายชราผมขาวสวมชุดขาวมาหาผมทุกคืนตั้งแต่มาอยู่ที่นี่

“เณรก็ไม่รู้หรอกว่าโยมแม่ต้องการถามไปทำไม”

“ฝันสิ ลองเอาเรื่องที่พี่ฝันไปเล่าให้โยมแม่ฟังดูสิ”ผมเล่าเรื่องความฝันติดต่อกันหลายคืนให้เณรทั้งสองฟัง ทั้งสองทำหน้าแตก

ต่างกันไป ไม่ได้สนับสนุนให้งมงาย แต่ที่ผมฝันเป็นจริงก็แค่เอาไปเล่าต่อเฉยๆ

“เจ้าที่หรอฟังแล้วขนลุก”

“ไม่หรอกเราไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ควรก็ไม่ต้องกลัว อีกอย่างวัดนี้ก็เก่ามากแล้วจะมีก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”สายตาโมงไปที่โบสถ์ เจดีย์

สิ่งก่อสร้างที่อยู่ในบริเวณวัดที่บ่งบอกอายุของวัดได้เป็นอย่างดี พวกเราจบบทสนทนาแล้วลงมือทำงานต่อ กวดใบไม้กองกันไว้

จากนั้นพระรุ่นพี่ตามไปเรียนพระธรรมนั่งสมาธิเดินจงกรม จนใกล้ถึงเวลาบ่ายแก่ๆพวกเราถูกปล่อยให้กลับมาพักผ่อนเตรียมตัว

ทำวัตรเย็น
                 

                   ต่อจากนั้นหลายวันหลังที่ฉันเพลเสร็จเดินลงจากศาลา เห็นโยมพ่อโยมแม่ของเณรเนมมาพบเจ้าอาวาสด้วย

หน้าตายิ้มแย้มไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรดีๆ ถึงทำให้คนทั้งสองแสดงสีหน้าว่ากำลังมีความสุข

“เณรพี่นิน เณรเอาเรื่องความฝันไปเล่าให้โยมพ่อโยมแม่ฟัง ท่านทั้งสองบอกว่าไปซื้อล็อตเตอร์รี่ถูกด้วย”

“อืม จริงหรอเณรอย่ามุสานะ”แปลกใจแค่เล่าเรื่องความฝันให้ฟังเท่านั้น แล้วทำยังไงถึงไปซื้อล็อตเตอร์รี่ถูกได้

“จริงๆ วันนี้โยมแม่เอาเงินมาบริจาคเข้าวัดหลายหมื่นเลยนะ”

ถ้าเป็นอย่างนั้นที่เขาเห็นโยมทั้งสองเดินไปกับท่านเจ้าอาวาสคงมาด้วยเรื่องนี้ ยิ้มดีใจกับความโชคของคนทั้งสอง แล้วเดินไป

ปฏิบัติตามกิจวัตรของตัวเองเหมือนเช่นทุกวัน



******************************************************************************

ขอบคุณทุกคนที่เอาใจช่วยน้องนินจ้า

โปรดติดตามตอนต่อไป




ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เณรฝันแล้วมีญาติโยมไปซื้อหวยถูกแบบนี้คงไม่โดนชาวบ้านมากราบไหว้ขอเลขเด็ดหรอกนะ
ชีวิตนินจะเป็นยังไงต่อนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ตามๆๆๆ
ดีมากเลย รออ่าน

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 729
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
ตัวเล็กน่ารักใช่ม่ะ?? คุณเทียน อิอิ

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
รอๆๆ

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
น่าสนใจดี

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:เข้ามารอตอนต่อไปจ้า :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
มาต่อเรื่อยๆ นะคะ ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สนุกดีค่ะ

ออฟไลน์ jaengsRU

  • ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-1
    • https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/



เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน
ตอนที่ 10
[/size]


     กลิ่นแดดอ่อนๆยามเช้าลอยมาตามลม ผมสูดรับกลิ่นเข้าเต็มปอด พระอาทิตย์ดวงโตกำลังส่องแสงสว่างโบกมือทักทายผม

ตอนรับเช้าวันใหม่อยู่บนเส้นขอบฟ้าอันแสนไกล สายลมหอบพัดเอาความเย็นมาสัมผัสผิวเบาๆ ต้นไม้น้อยใหญ่โยกไหวตามแรง

ลม เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ต่างตื่นนอนและท่องเที่ยวออกหากินนานแล้ว “สวัสดียามเช้า” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วยิ้มบางๆ กำลัง

มองออกไปบริเวณสวนของบ้าน ผมกลับอยู่บ้านแล้ว ภาพที่ผมนั่งปฏิบัติธรรม สวดมนต์ เดินบิณฑบาต มันเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อ

วาน พ่อแม่ คุณย่าและแม่คุณเทียนเข้าพิธีบวชพราหมณ์ตามที่บอกกับผมไว้ พวกท่านได้นั่งสมาธิ เดินจงกรม ฟังธรรมะ ใบหน้า

ของพ่อแม่ดูสดใสขึ้น ธรรมะคงทำให้ท่านคิดอะไรได้

     ยังจำวันนั้นได้วันที่ต้องทำพิธีเผาศพของนนท์ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ผมเห็นพ่อยืนมองยังไปศาลา ที่เก็บร่างไร้วิญญาณของ

นนท์ ที่นอนอยู่ในโลงสีขาวใบใหญ่นั้น ผมคิดว่ามันคงถึงเวลาที่พวกเราจะต้องปลดปล่อยกายหยาบของนนท์ได้แล้ว ความอาลัย

อาวรณ์ ความรัก ความคิดถึงคือบ่วงที่ผูกมัดพวกเราไว้กับอดีต พวกเรากำลังเอาตัวเราไปผูกไปยึดไปติดไว้กับอดีตแต่ถ้าหากคน

เราไม่มีแล้วนั้น ก็คงไม่มีปัจจุบันและอนาคตใช่ไหม หากแต่ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องเลือกเลือกที่จะตัดอดีตทิ้งไปแล้วเดิน

ต่อไปข้างหน้า อดีตคือครูครูที่สอนบทเรียนต่างๆให้เราให้รู้ให้จดและจำ นำบทเรียนราคาแพงนี้เป็นแนวทางเพื่อการดำเนินชีวิต

ต่อไปในอนาคต และอย่าลืมที่จะทำปัจจุบันหรือทุกๆวันเป็นวันที่ดีที่สุด ภาพถ่ายของนนท์ที่วางหน้าโลงศพ ผมเคยเป็นผู้ชายคน

นี้คนที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มบนผมยิ้มแย้มอย่างมีความสุข รอยยิ้มนั้นคือรอยยิ้มของนนท์ยิ้มให้ครอบครัวยิ้มให้คนทั้งสองเป็นครั้ง

สุดท้ายที่นนท์จะจากไปตลอดกาลโดยไม่มีวันหวนกลับ

“พ่อแม่ครับผมว่าจะถึงเวลาสมควรที่เราจะปล่อยให้พี่นนท์ได้จากไปอย่างสงบซะที ปล่อยเขาไว้อย่างนี้เหมือนขังเขาไว้ไม่ไห้ไป

ไหน”

“พ่อก็ว่าถึงเวลาแล้วพ่อก็ไม่อยากรั้งนนท์ไว้อีก หลับให้สบายนะลูก”

“นนท์แม่จะปลดปล่อยนนท์แล้วนะลูกไปเถอะลูก.....ไปที่ที่ลูกควรไปแม่จะไม่เหนี่ยวรั้งหนูไว้อีกแล้ว แม่ขอโทษนะถ้าต้องทำให้

หนูเป็นทุกข์”

        ดอกไม้จันทน์จากมือพ่อแม่และผมวางไว้บนที่ถูกเตรียมไว้ เจ้าหน้าที่ทางวัดหยิบแล้วโยนดอกไม้จันทร์เข้าไปในเตาเผา ที่

มีโลงศพบรรจุร่างไร้วิญญาณนนท์ไว้ข้างใน “ไปไม่กลับหลับไม่ตื่นฟื้นไม่มีหนีไม่พ้น”ผมอ่านคำที่เขียนไว้หน้าเมรุ ซักวันคนที่

เข้าไปนอนในนั้นก็ต้องเป็นผมประตูเตาเผาค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ แล้วล็อคลง ครืน ครึ้ม เสียงจุดไฟดังขึ้นเตาเผาเริ่มทำงาน ผม

พยุงแม่ลงบันไดอีกฝาก วันนี้แม่กับพ่อไม่ร้องไห้แต่ยังมีน้ำตาคลอให้เห็น ส่วนผมรู้สึกดีที่ได้ปลดปล่อยตัวเอง เรากลับเข้ามาใน

ศาลาพวกเรานั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกสีแดงของวัดที่จัดไว้วางเรียงรายไว้สำหรับให้ผู้ร่วมงานนั่ง พิธีทางการเสร็จสิ้นแล้วมีเพียง

ญาติไม่กี่คนที่มาร่วมงานครั้งนี้เป็นงานศพเล็กๆที่เงียบสงบ ผมนั่งมองดูควันสีขาวที่ลอยขึ้นมาจากปล่องไฟแล้วลอยสูงขึ้นไป

เรื่อยๆ ลาก่อนชาติที่แล้วของผม



“นิน ลงไปทานข้าวลูกมองอะไรอยู่”แม่ของผมเดินเข้ามาตามผมลงไปทานข้าว วันนี้แอบเกเรไม่ไปช่วยงานในครัว

“ผมคิดว่าอยากปลูกต้นไม้ ต้นเล็กๆ”แม่เดินเข้ามากอดผม

“ก็ดีสิ แม่เห็นด้วยไว้เราไปเดินดูต้นไม้กัน”พ่อคงไม่มีเวลา ไม่มีกะใจดูแลต้นไม้พวกนี้ทำให้พวกมันเหี่ยวเฉาบางต้นก็ตาย ลุงชม

แกก็อายุมากแล้วคงดูแลไม่ทั่วถึง เวลาว่างพ่อจะหาต้นไม้แปลกๆมาลงบ่อยๆ ตลาดต้นไม้ในกรุงเทพหรือแถบชานเมืองผมเคย

ไปเดินดูต้นไม่กับคุณพ่อบ่อยๆ

“ครับ”

“แต่ตอนนี้ต้องลงไปทานข้าวก่อน”

“ครับ เดี๋ยวผมขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วผมตามไปครับ”แม่เดินออกไปจากห้องแล้ว

       ผมหยิบผ้าเช็ดตัวลายการ์ตูนแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น แล้วเปิดน้ำจากฟักบัวให้ตกลงมากระทบศีรษะ

และผิวของผมไปจนทั่ว เปิดขวดยาสระผมกลิ่นผลไม้เทลงฝ่ามือแล้วนวดคลึงเบาๆไปทั่วศีรษะ เปิดฝาขวดครีมอาบน้ำเนื้อเจล

กลิ่นผมไม้เป็นแม่ที่ซื้อมาให้เทลงบนฝ่ามือแล้วลองสูดกลิ่นสดใสสดชื่นที่แอบซ่อนไปด้วยความซุกซนไว้ แล้วลูบไล้ครีมอาบน้ำ

ไปตามต้นคอไหลปาร้าไหลรักแร้แขนหน้าอกหน้าท้องยาวลงไปถึงเท้าจนตัวผมเต็มไปด้วยฟองสีขาว จากนั้นเปิดน้ำอีกครั้งล้าง

ยาสระผมและครีมออกจากตัวให้หมด ใช้ผ้าเช็ดตัวซับน้ำออกจากผมที่ตอนนี้ยาวขึ้นมากแล้ว เดินออกจากห้องน้ำทิ้งเสื้อผ้าที่ใส่

แล้วลงในตะกร้าที่พี่แจ่มเตรียมไว้ให้ ชโลมครีมบำรุงผิวให้ทั่วตัว แล้วเปิดประตูเสื้อผ้าหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมากางเกงขาสั้นกับ

เสื้อยืดแขนสั้น พร้อมแล้วเดินออกจากห้องนอนเดินผ่านห้องนอนเก่าของตัวเองหยุดเท้าลงที่หน้าห้องนั้นแล้วมองโกศบรรจุอัฐิรูป

ร่างสี่เหลี่ยมที่วางไว้บนหิ้งบนหัวเตียง ต่อไปจะไม่มีนนท์  นนท์ทนิตย์  กิจการเลิศล้ำพัฒนไพบูลย์ ไปตลอดกาล มีเพียง

ผม นินจา นายนินทนัฐ สีขาวคนนี้เท่านั้น หันหลังให้ห้องนั้นแล้วเดินลงบันได พ่อแม่กำลังนั่งรอที่โต๊ะอาหารทั้งสองมองมาที่ผมแล้ว

ยิ้ม

“มาเร็วลูก มาทานข้าวกัน มีแต่ของชอบของนินทั้งนั้น”แต่เป็นของโปรดที่ต้องไม่ใช่อาหารที่ส่งผลร้ายต่อหัวใจของผม อาหาร

ของผมยังผัก เต้าหู้ และเนื้อปลา ไม่ใช่ปัญหาผมจะรักษาชีวิตนี้ไว้ไห้ดี

“ลองอันนี้ลูก แม่เพิ่งเจอในหนังสือ”หนังสืออาหารสุขภาพเกี่ยวกับผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่คุณหมอให้มามีสูตรอาหาร

ต่างๆ

“ขอบคุณครับ”ขอบคุณแล้วตักอาหารให้พ่อแม่ด้วย ท่านทั้งสองยอมทานอาหารเหมือนผม แต่นั่นเป็นข้อดี เพราะทั้งสองอายุเพิ่ม

ขึ้นผักผลไม้ เต้าหู้ และเนื้อปลา ดีต่อสุขภาพผู้สูงอายุ

ตึง ตึงๆๆๆๆ เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น

“สวัสดีครับ...ผมทานข้าวอยู่....ครับ...ผมต้องถามที่บ้านก่อน...ครับ ....สวัสดีครับ”

“ใครโทรมาหรือลูก”

“คุณเทียนครับ คุณเทียนบอกว่าน้องหนึ่งน้องสองให้โทรชวนผมเล่นน้ำที่สระบ้านคุณย่า คุณพ่อคุณแม่ไปกับผมนะครับคุณเทียน

บอกคุณย่าชวนเราทานข้าวเที่ยงที่บ้านด้วย”

“อืม ก็ดีเหมือนกัน นินจะได้ออกกำลังกายบ้าง”

“เดี๋ยวแม่จะเตรียมของว่างไปด้วย”บรรยากาศเหมือนไปปิกนิกเลย แต่ทำไมเพื่อนผมถึงเป็นน้องหนึ่งกับน้องสองได้ล่ะเนี่ย

พวกเราทานอาหารเสร็จแล้วผมช่วยแม่และพี่แจ่มเก็บถ้วยจานเข้าไปในครัว ผมวิ่งขึ้นห้องไปหาชุดเล่นน้ำ กางเกงขาสั้นกับเสื้อ

ยืดคงใช้เล่นได้มั้ง ผมหยิบกระเป๋าสะพายหลังรูดซิปเปิดแล้วหยิบเสื้อผ้าสำหรับเล่นน้ำและสำหรับเปลี่ยนผ้าเช็ดตัว ใส่ลงกระเป๋า

แล้ววิ่งไปรอพ่อกับแม่ข้างล่างผมนอนกลิ้งไปมาบนโซฟาตัวนุ่ม

ตึง เสียงไลน์ของผมดังขึ้น

คุณเทียน: จะมากันไหม

หนูนินจา: ยิ้ม

หนูนินจา: ผมไม่มีครีมกันแดด คุณเทียนมีให้ยืมไหมครับ

คุณเทียน : ยิ้ม

“นินพร้อมยังลูก”เสียงแม่เรียกผม

“ผมอยู่นี่ครับ”พ่อผมถือตะกร้าน่าจะของกินอยู่ในนั้น พวกเราเดินออกจากบ้านเดินไปที่บ้านคุณย่าแดดแรงขึ้นแล้วแต่เป็นแม่ที่

กางร่มขึ้น ผมน่าจะสวมหมวกมาด้วย ระยะทางจากบ้านผมไปบ้านไม่ไกลเท่าไหร่เพราะรั้วบ้านติดกัน บ้านคุณย่าหลังใหญ่กว่า

บ้านของผมและบริเวณก็กว้างกว่า บ้านคุณย่ามีบ้านใหญ่หนึ่งหลัง และอีกสองหลังไม่รู้ว่าเป็นของใคร แล้วเราก็มาถึงบ้านคุณย่า

บ้านหลังใหญ่สองชั้นจากประตูรั้วต้องเดินเข้าไปอีกกว่าจะถึงตัวบ้าน ผมกดออดที่ติดไว้หน้ารั้ว

“มาหาใครครับ”

“คุณลุงผมมาหาคุณย่า”

“อ้อ หนูนินจานี่เองเดี๋ยวลุงเปิดประตูให้”คุณลุงคนสวนผมรู้จักแก แกเป็นพ่อของพี่จิ๋ว

พวกเราเดินเข้ามาสองข้างทางมีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นเต็ม มีต้นไม้ที่มีอยู่เดิมบ้างเพราะดูจากขนาดลำต้น

“พี่นิน มาแย้ว”น้องหนึ่ง น้องสองวิ่งตรงมาที่ผมแล้วกอดแข้งกอดขา

“พี่จะมาเล่นน้ำกับน้องหนึ่งน้องสอง”

“เย้ เย้ ดีใจจังเลย”เด็กๆร้องดีใจ กระโดดทีแผ่นดินแทบสะเทือน

“เด็กๆพาพี่นินกับคุณตาคุณยายเข้าบ้านก่อน แดดร้อนเดี๋ยวไม่สบาย” เสียงคุณเทียนตะโกนบอก

 “คุณลุงคุณป้าสวัดดีครับ เชิญเข้าบ้านก่อนครับคุณย่า คุณพ่อคุณแม่อยู่ข้างใน”คุณเทียนเดินมาแล้วและทักทายพ่อกับแม่แล้วไป

รับตะกร้าจากคุณพ่อผม

“สวัสดีลูก”ทั้งสองรับไหว้คุณเทียน

คุณเทียนเดินนำเข้าไปในบ้าน ส่งตะกร้าอาหารให้พี่จิ๋ว แล้วพาพวกผมไปยังห้องห้องหนึ่ง ผมจูงเจ้ามือตัวแสบทั้งสองไปด้วย

“คุณย่า คุณพ่อคุณแม่สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้ทักทายคนทั้งสามที่นั่งอยู่โต๊ะกลมในห้องนั้น คุณย่าดึงผมเข้าไปกอดแล้วหอม

แก้ม แล้วเปลี่ยนเป็นแม่คุณเทียนที่สวมกอดผมอีกคน

“สวัสดีค่ะ/ครับคุณย่า”พ่อกับแม่ผมทักทายคุณย่า

“ไหว้พระเถอะลูก เป็นไงบ้างสบายดีไหม”

“ดีค่ะก็ตั้งแต่น้องมาอยู่ด้วย”

“สวัสดีค่ะคุณพี่นั่งก่อนสิคะ เดี๋ยวน้องไปเอาของว่างมาให้”คุณแม่คุณเทียนทักทายคุณแม่ผม

“ไม่เป็นไรค่ะ เรียบร้อยมาแล้ว”

“คุณพิรัชเชิญนั่งครับ”พ่อคุณเทียนเชิญพ่อของผมนั่ง ผมมองห้องกระจกที่เปิดประตูออกไปแล้วมีสระว่ายน้ำ

“คุณย่านินไปดูสระว่ายน้ำนะครับ”

 “ระวังตกน้ำนะลูก น้องหนึ่งน้องสองมาหาย่าก่อนปล่อยพี่นินได้แล้ว ตาเทียนไปเดินเล่นเป็นเพื่อนน้องไป”สองแสบรีบวิ่งไปหา

คุณย่า

“คุณย่าน้องหนึ่งอยากเล่นน้ำกับพี่นิน”

“น้องสองเล่น เล่นด้วย”

“ได้ได้....เดี๋ยวให้พี่จิ๋วพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”คุณแม่ผมกับคุณแม่คุณเทียนพาเดินหายไปไหนไม่รู้ คุณพ่อทั้งสองก็เดินแยกออกมา

คุยกัน คุณย่ากับพี่จิ๋วอยู่กับสองแสบ ผมเดินแยกออกมากับคุณเทียนเดินดูรอบๆสระน้ำที่ปลูกต้นไม้ไว้รอบ ตกแต่งได้สวยมาก

เลย

“เป็นไงบ้างสบายดีไหมเรา”คุณเทียนถามผม

“ทำใจได้แล้วครับ ไม่คิดมากแล้ว”ผมตอบคุณเทียน แล้วยิ้มให้ช่วงที่ผมรู้สึกแย่มีคุณเทียนคอยปลอบใจผมบ่อย คุณเทียนไลน์

เข้ามาคุยกับผมบ่อยๆ เขากำลังยืนจ้องมองผม เหมือนที่ชอบทำบ่อยๆ สายตาที่มองมาผมแปลความหมายไม่ออก ผู้ชายตัวโต

ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหว บางทีแอบเข้าข้างตัวเองว่าคุณเทียนชอบผม แต่ชอบแบบไหนนั้นไม่ชัดเจน

ตู้ม ตู้ม เสียงเหมือนอะไรตกลงไปในน้ำ ผมหันหน้าไปตามเสียง

“พี่นิน อาเทียน ลงมาเล่นน้ำกับน้องหนึ่งเร้ว”น้องหนึ่งน้องสองสวมกางเกงว่ายน้ำ หมวกว่ายน้ำและชูชีพว่ายน้ำ น่ารักเชียว คุณ

แทนกำลังนั่งดูเด็กๆอยู่บนเก้าอี้อาบแดด ยกมือโบกทักทายมาทางผม

“พี่นิน น้องสองอยู่ตรงนี้”ผมเห็นน้องสองกำลังรอยคออยู่ในน้ำ เห็นเด็กๆเล่นน้ำแล้วผมอยากเล่นบ้างน่าสนุก

“คุณเทียนผมลงเล่นน้ำได้ไหม”

“ก็ยังเด็กอยู่นี่นะ”อ้าว คุณเทียนพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง

“เอ่อ คุณเทียนผมไม่มีกางเกงว่ายน้ำ ผมใส่ชุดนี้ลงน้ำได้ไหมครับ”คุณเทียนหันหน้ามามองผมแล้วพยักหน้า คุณเทียนพยักหน้า

แสดงว่าเล่นได้ เย้ ผมเดินไปหยุดที่เก้าอี้อาบแดด ผมกำลังจะถอดเสื้อออก

“ทำอะไรนะเรา”คุณเทียนเดินมานิ่วหน้าใส่ผม

“ถอดเสื้อครับ”

“ถอดทำไม”ก็ผมจะเล่นน้ำ คุณอนุญาตแล้วนี่ครับ

“ผมจะเปลี่ยนเป็นเสื้อกล้าม”

“แล้วทำไมไม่ไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย”

“ไม่ต้องหวงขนาดนั้นก็ได้พี่เทียน”คุณแทนคนที่มีใบหน้าคล้ายกับคุณเทียนที่กำลังนั่งเล่นอยู่บนเก้าอี้อีกตัวพูดขึ้น

“อยู่เงียบๆไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอกเจ้าแทน โน่นไปดูเด็กๆโน่น”คุณเทียนแสดงท่าทางไม่พอใจที่คุณแทนพูดขึ้น

“ครับ ครับ”คุณแทนเดินไปดูเด็กๆแล้ว

“คือ เสื้อกล้ามผมซ้อนอยู่ข้างใน”ผมก็เลยไม่ต้องเข้าห้องแค่ถอดตัวนอกออกเท่านั้นเองครับ

“แล้วไม่บอก”ก็คุณเทียนไม่ถามผม เดินมาก็ดุผมเลยขนาดคุณแทนยังโดนดุเลย

ผมจัดการถอดเสื้อตัวนอกและกางตัวนอกออกเหลือเสื้อกล้ามและกางเกงบ็อกเซอร์ ผมวางเสื้อผ้าไว้บนเก้าอี้แล้วต้องกับสะดุด

กับสายตาคุณเทียนที่กำลังนั่งจ้องผมใหญ่เลย ผมมีอะไรแปลกไปรึเปล่า ผมเลิกสนใจคุณเทียนหันหน้ามองไปที่สระน้ำผมค่อยๆ

เดินลงบันไดไปในน้ำ สระนี้น้ำไม่ค่อยลึกผมว่ายตรงไปหาเด็กที่กำลังว่ายน้ำป๋อมแป๋มอยู่

“พี่นิน น้องหนึ่งอยู่ทางนี้”น้องหนึ่งโบกมือตะโกนเรียกผมทันทีที่เห็นผมลงมาในสระ

“น้องสองด้วย”ผมว่ายน้ำไปสองแสบทันที ฮ้า ไม่ได้ออกกำลังว่ายน้ำนานแล้วเสียงน้ำที่อยู่รอบรอบตัวผม น้ำกำลังสัมผัสกับทุก

ส่วนบนร่างกายผม ร่างกายผมยังสามารถจดจำวิธีว่ายน้ำได้ ผมค่อยๆว่ายไปเรื่อยๆ ออกกำลังโดยการว่ายน้ำก็ดีเหมือนกัน มัน

ทำให้ผมนึกถึงวันแรกที่ผมไปที่สระว่ายน้ำกับครอบครัว พ่อคือครูคนแรกที่สอนว่ายน้ำ

”นนท์ ดูพ่อนะลูกพ่อจะทำให้หนูดูก่อนหนูต้องจำท่าทางที่พ่อสอนให้ได้เข้าใจไหมครับ

“ครับผม”

“อะงั้นพ่อจะเริ่มแล้วนะ”พ่อสอนผมนอนคว่ำไปในน้ำโดยหัวก้มไปที่ก้นสระ และทำตัวให้ขนานไปกับระดับน้ำ

“ไม่ต้องกลัวนะพ่อจับตัวลูกไว้อยู่ จากนั้นหนูใช้มือของหนูจ้วงซ้ายขวาสลับกัน อะ อย่างนั้นลูก อย่างนั้นใช่แล้ว ว่ายต่อไปลูกไม่

ต้องกลัว พ่อจับหนูไว้อยู่ หนูผ่อนคลายลูกไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องกลัว ใช้ได้แล้วเก่งมากเลยลูก”

“ต่อไปลูกมาดูท่าต่อไปดูนะพ่อจะยกแขนข้างหนึ่งออกมาเหนือน้ำพร้อมกับงอข้อศอก ในขณะที่แขนข้างของพ่อไม่ได้ยกขึ้น

เหนือน้ำพ่อก็จะพายไปข้างหลังอย่างนี้ เห็นไหมลูก”

“เห็นครับ”

“ดีลูกต่อไปพ่อจะจ้วงไปข้างหน้าโดยการยืดแขนและจ้วงไปข้างหน้าให้ได้ไกลที่สุด หนูมองมือพ่อที่จ้วงมือพ่อนิ้วเรียงชิดติดกับ

และโค้งงอเล็กน้อยเห็นไหม อย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนี้ โอเค ดีมาก ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งก็ให้พายไปข้างหลังจนกระทั่งขนานกับลำ

ตัวอย่างนี้ ใช่ลูก ใช่เก่งมาก”

“ต่อไปเป็นการเตะขา พ่อจะทำให้หนูดูก่อน หลังจากที่เตะขาได้แล้ว เราจะใช้แขนไปด้วยพร้อมกัน แต่ตอนนี้มาลองเตะขาก่อน

เตะขาถี่ๆนะลูก อย่างนั้น ลูก ถี่ๆ เก่งมากอนาคตทีมชาติเลยเนี่ย”

“ผมเหนื่อยแล้วครับพ่อ”

“555 เก่งมากเลยลูกพ่อ ค่อยเป็นค่อยไปลูกไม่ต้องรีบ”

“พ่อพานนท์ มาว่ายน้ำบ่อยๆนะครับ”


“ว่ายน้ำเก่งจังเลยนะเรา”ผมหันหน้าไปมองคุณเทียนที่หย่อนเท้าลงมาในสระ นั่งดูผมกับเด็กเล่นน้ำกันอย่างสนุก

“ครับ คุณเทียนไม่เล่นหรือครับ”อยากจะสาดน้ำใส่แต่ไม่กล้า กลัวคุณเทียนขย้ำคอ

“ไม่ล่ะ นั่งดูสนุกว่า” มันสนุกตรงไหน

“เด็กๆขึ้นจากน้ำได้แล้ว หนูนินขึ้นได้แล้วเดี๋ยวไม่สบาย จิ๋วพาเด็กๆขึ้นอาบน้ำบนห้อง ตาแทนพาหลานๆขึ้นเร็วลูก ตาเทียนพาหนู

นินไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องด้วย”แม่คุณเทียนมาจากไหนไม่รู้มาถึงก็สั่งแล้วก็เดินหายไป

คุณแทนเรียกเด็กๆขึ้นจากน้ำแล้วเจ้าตัวแสบทั้งกำลังว่ายไปที่คุณแทนที่ยืนรออยู่ คุณแทนอุ้มเด็กๆขึ้นน้ำแล้วต่อไปเป็นหน้าที่

ของพี่จิ๋วต้อนเด็กขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

“นินขึ้นได้แล้วเดี๋ยวไม่สบาย”คุณเทียนเรียกผมให้ขึ้นจากสระ ผมว่ายน้ำมาที่บันไดแล้วเดินขึ้นจากฝั่ง หนาวมีผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่

มาห่มตัวผมไว้ เป็นคุณเทียนเอามาห่มให้ผม

“ขอบคุณครับ”คุณเทียนพยักหน้า แล้วเดินนำผมไปห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทางไปบ้านอีกหลัง

“ทางไปบ้านใครหรือครับคุณเทียน”

“บ้านพี่เอง”บ้านหลังนี้เป็นของคุณเทียนเป็นเรือนหอรึเปล่านะ ผมเดินไปทางเดินที่ปูไปด้วยตัวหนอนและหินกรวดข้างๆทาง มีไฟ

สนามที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์วางไว้ตามข้างทาง พุ่มดอกเข็มและต้นเทียนทองที่ตัดตกแต่งให้สวยงามอยู่สองข้างทาง

แก๊ก คุณเทียนเปิดประตูบ้านเข้ามา ข้างในเหมือนยังตกแต่งไม่เรียบร้อย มีข้าวของเครื่องใช้ไม่กี่ชิ้นคุณเทียนพาผมเดินวนขึ้น

บันไดชั้นสอง ข้างบนมีห้องหลายห้องคุณเทียนหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่งแล้วเปิดเข้าไปเป็นห้องนอนของคุณเทียน

“ห้องน้ำอยู่ตรงนั้น นี่เสื้อผ้า”คุณเทียนชี้ไปที่ห้องน้ำและยื่นกระเป๋าของผมให้ผม ทำไมผมถึงลืมหยิบมานะ เดินเข้าห้องน้ำพร้อม

กับของในกระเป๋าเลื่อนกระจกห้องน้ำออก ห้องน้ำกว้างที่ถูกปูไปด้วยกระเบื้องสีขาวลายสวย ด้านซ้ายมือเป็นกระจกเงาขนาด

ใหญ่และอ่างล้างหน้า ด้านข้างเป็นชั้นวางผ้าเช็ดตัวและตู้แขวนเสื้อผ้าตรงข้ามกระจกบานใหญ่นั้นเป็นชักโครกสีขาว เมื่อยืน

เผชิญหน้ากับชักโครกด้านซ้ายเป็นกระจกเงาบานใหญ่เต็มตัวด้านขวามือจะเป็นพื้นต่างระดับก้าวขึ้นไปสองก้าวซ้ายมือจะเป็น

อ่างอาบน้ำสีขาวขนาดไม่ใหญ่มากที่สามมารถมองทะลุออกไปเห็นวิวข้างนอกได้และมีม่านเลื่อนขึ้นลงได้ และมีตู้เล็กๆสำหรับ

เก็บขวดครีมอาบน้ำ ยาสระผม ถัดไปจะเป็นห้องอาบน้ำกระจกผมจัดการถอดเสื้อผ้าที่เปียกกองไว้ที่พื้นเปิดประตูเดินเข้าไปใน

ห้องอาบน้ำหมุนก๊อกเปิดฟักบัวที่แหงนหน้าอยู่บนศีรษะผม ผมเหลือบไปเห็นยาสระครีมอาบน้ำหลายยี่ห้อที่วางอยู่บนชั้นวาง ขอ

อนุญาตใช้นะครับคุณเทียนอย่าว่ากันนะ เปิดยาสระแล้วเทออกมากลิ่นนี้ผมจำได้เป็นกลิ่นของคุณเทียน เปิดผาขวดครีมอาบน้ำ

ออกกลิ่นนี้ก็เป็นของคุณเทียนเคยได้กลิ่นเวลาอยู่ใกล้เขาอาบน้ำสระผมและล้างครีมอาบน้ำออกซับผิวและผมให้แห้งสวมเสื้อผ้า

ที่เตรียมมาแล้วเดินออกจากห้องน้ำ

“ทำไมอาบน้ำนานจัง ปกติก็อาบนานอย่างนี้หรอ”

“เปล่าครับ พอดีห้องน้ำสวยเลยเดินดูนิดหน่อยครับ”

“ไอ้เราก็นึกว่าอะไรไปรึเปล่า”

“คุณเทียนมีถุงพลาสติกไหมครับผมจะใส่ผ้าเปียกกลับบ้าน”

“ถุงพลาสติกไม่มีแต่ถุงอย่างอื่นนะมี”

“ถุงอะไรครับ”

“ทิ้งเสื้อผ้าไว้นี่แหล่ะเผื่อวันหลังได้มาค้าง”จะมาค้างทำไมบ้างผมอยู่แค่นี้

“ครับ ก็ได้ครับ”แขวนเสื้อผ้าที่ผมบิดจนหมาดแล้วไว้ในตู้ในห้องน้ำ

“ผมยังไม่แห้งเลยทำไมไม่เช็ดให้เรียบร้อยเดี๋ยวก็ไม่สบาย”คุณเทียนหยิบผ้าเช็ดผืนใหม่มาเช็ดหัวให้ผม เอ่อคุณเทียนใกล้ไปรึ

เปล่าครับ คุณเทียนก้มลงมาใกล้ๆศีรษะ

“แชมพูนี่หอมดีนะ”ได้ข่าวว่าเป็นแชมพูของคุณพี่ไม่ใช่หรอครับ

หลังจากนั้นผมกับคุณเทียนเดินกลับออกมาจากบ้านคุณเทียนเพื่อไปทานข้าวเที่ยงที่บ้านใหญ่ คุณเทียนบอกว่าคุณย่าโทรมา

ตามตอนนี้เวลาใกล้เที่ยงแล้วแต่บ้านคุณเทียนไม่ค่อยมีแดดเพราะต้นไม้เยอะแสงแดดลงมาไม่ค่อยถึงทำให้อากาศไม่ร้อน

อบอ้าว ผมยังไม่มีโอกาสเดินเล่นรอบๆบ้านเลย

“หนูนินมาทานข้าวลูก ตาเทียนพาน้องไปไถลที่ไหนมา”คุณแม่คุณเทียนเรียกเข้าไปทานข้าวตอนนี้ทุกคนที่อยู่บ้านมากันครบ

แล้วเหลือผมกับคุณเทียนแค่สองคนที่พึ่งมา

“ปะ...เปล่าครับผมอาบน้ำนานไปหน่อยครับ”ผมหันหน้าไปมองคุณเทียนเป็นเชิงขอโทษที่ทำให้โดนตำหนิ

พ่อแม่ผม พ่อแม่คุณเทียน คุณย่า คุณแทน น้องหนึ่งน้องสอง

ผมนั่งลงเก้าอี้ว่างที่เหลืออยู่คุณเทียนก็นั่งลงข้างผม

“เล่นน้ำสนุกไหมลูก”คุณแม่ถามผม

“สนุกมากเลยครับ เดี๋ยววันหลังจะขอคุณย่ามาเล่นอีก”

“มาเลยลูกย่าไม่หวง มาเล่นกับย่าบ่อยๆ ตาหนึ่งตาสองบ่นหาเราตลอด”

“ลองทานอันนี้ดูลูก”คุณแม่ตักกับข้าวให้ผม อะ มีคนตักกับข้าวให้ผม

“อันนี้ก็อร่อยลองชิมดู วันหลังจะได้มาทานบ่อยๆ”คุณเทียนตักเต้าหู้ปลาผัดผงกะหรี่ให้ผม

“ขอบคุณครับ”ผมขอบคุณคุณเทียนแล้วลงมือทานต่อ คุณเทียนยังส่งยิ้มบางๆอยู่ข้างๆผม เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร

“น้องหนึ่ง นั่งทานข้าวดีๆลูก ไม่งั้นเย็นนี้ไม่ได้ของขวัญจากพี่นินนะ”คุณย่าขู่น้องหนึ่ง

“ไม่ ไม่ น้องหนึ่งจะเอาของขวัญของพี่นิน”น้องหนึ่งรีบเป็นเด็กดีทันทีกลัวไม่ได้ของขวัญ ใช่แล้วครับวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของ

น้องหนึ่ง เย็นวันนี้จะมีงานเลี้ยงและถือโอกาสเลี้ยงต้อนรับคุณย่ากลับมาอยู่บ้านหลังใหม่ ยังไม่บอกว่าจะให้อะไรเป็นของขวัญให้

น้องหนึ่ง เป็นของที่ผมสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตเพิ่งมาส่งที่บ้านไม่กี่วันนี่เอง

“ตาเทียน เดี๋ยวลูกออกไปซื้อของให้แม่หน่อยนะ พาหนูนินไปเป็นเพื่อนด้วยก็ได้”ห๋า ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าผมจะไป

“หนูนินไปเพื่อนพี่เขาหน่อยนะ พอดีแม่ไม่ว่างออกไป”ผมมองไปที่พ่อแม่ ทั้งสองยิ้มและพยักหน้าให้ผม ถ้าอย่างนั้นผมก็คงต้อง

ไป

เสียงพูดคุยเบาๆบนโต๊ะอาหาร มีเสียงหัวเราะบ้าง ภาพบรรยากาศบนโต๊ะอาหารของครอบครัวใหญ่เป็นอะไรที่น่าประทับใจมาก

อาหารมื้อนี้คงเป็นแม่ผมและแม่คุณเทียนช่วยกันทำ ดูทุกคนมีรอยยิ้มกัน

................................................................................................

ตอนนี้ทำไมน้อยจัง ยัง งงอยู่ เดี๋ยวต่อตอนไปเลยทดแทนจ้า

โปรดติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ jaengsRU

  • ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-1
    • https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/

เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน
ตอนที่ 11
[/size]
     รถยนต์ต่างยี่ห้อต่างสัญชาติต่างกำลังวิ่งแข่งกันบนท้องถนน ตอนนี้ผมออกทำธุระเป็นเพื่อนคุณเทียนตามคำขอร้องของ

แม่คุณเทียน รถสัญชาติยุโรปสีดำภายในรถดูเรียบร้อยสะอาดหอมกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศ ข้างหลังมีกระเป๋าเอกสาร กระเป๋า

โน้ตบุ๊กสำหรับทำงานและเสื้อผ้าสองสามชุดที่ห้อยอยู่ด้านหลัง ดูปกติเหมือนรถของคนทำงานทั่วไป ปกติเกินไปผมใช้มือล้วงลง

ไปใต้เบาะ

“นั่งนิ่งๆ สิหาอะไร”คุณเทียนหันหน้าแล้วทำหน้าดุ เสียงเขียวใส่ผม

“หาชุดชั้นในผู้หญิง”

“ทำไม”คุณเทียนนิ่วหน้าถามผม

“เผื่อผู้หญิงคนเทียนลืมไว้”ผมตีคิ้วแล้วยิ้มกวนๆให้คุณเทียน

“ชุดชั้นในไม่มีหรอก มีแต่อย่างอื่น แล้วเราจะหาไปทำไม”

“คุณย่าบอกให้คอยจับผิดคุณเทียน ว่าคุณเทียนแอบสาวไว้รึเปล่า”คุณเทียนฟังผมพูดเสร็จก็หัวเราะลั่นรถ แล้วส่ายหัว มัน

หมายความว่ายังไงอะ

แล้วคุณเทียนก็พาผมมุ่งหน้าไปทำธุระที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง วันนี้เป็นวันอาทิตย์รถไม่ค่อยติดซะเมื่อไหร่ เวลาเที่ยงกว่าๆคือ

เวลาที่แสดงอยู่หน้าจอโทรศัพท์ของผม ระยะทางจากบ้านไปที่ห้างไม่ห่างกันเท่าไหร่ ไม่นานรถคันโตก็ตบไฟเลี้ยวเข้าที่จอดรถ

ของห้างชื่อดัง รถหยุดสนิทผมจึงเปิดประตูออกแล้วลงมาจากรถ เดินตามคุณเทียนไปเงียบๆตาก็มองดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย ไม่ได้มา

เดินห้างเรื่อยเปื่อยนานแล้ว

“คุณเทียน คุณเทียน”ผมเรียกคนเทียนไว้ ขาจะยาวไปไหน เขาหยุดเดินตามเสียงเรียกของผมแล้วหันหน้ามา ผมชี้ไปที่ร้าน

หนังสือร้านหนึ่งที่มีหนังสือนำเข้าจากหลายประเทศ

“อยากแวะหรอ”คุณเทียนเดินย้อนกลับมาที่ที่ผมยืนอยู่ ผมพยักหน้าแล้วเดินนำคุณเทียนเข้าไปในร้านหนังสือที่มีชาวต่างชาติ

มากกว่าคนไทย มีหนังสือใหม่ หนังสือแนะนำที่ได้รับรางวัล หนังสือที่ได้รับความนิยมจนได้แปลเป็นหลายภาษา แสดงไว้ที่หน้า

ร้าน เดินไปหยุดลงที่ชั้นหนังสือวรรณกรรมนิยายยื่นมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นแล้วเปิดดูข้างใน

“อ่านออกหรือเรา”คุณเทียนหยุดยืนข้างหลังผม เขายืนอยู่ใกล้มากจนรู้สึกได้ ผมหันหน้าไปแล้วเงยหน้าขึ้นมองคุณเทียน เขาก็

โน้มใบหน้าลงมา

“ผะ..ผมดูรูปเอาครับ”รีบหันหน้ากลับที่หนังสือเกือบหาเสียงตัวเองไม่เจอ คุณเทียนเล่นอะไรเนี่ย ใจผมเต้นแรงมากเลย ได้เสียง

หัวเราะในลำคอเบาๆของเขาด้วย เลือกหนังสือต่อคุณเทียนก็เดินดูไปเรื่อยไม่มากวนแล้ว ตัดสินใจซื้อหนังสือภาษาต่างประเทศ

เป็นหนังสืออ่านเล่นสามเล่ม ไม่หนามากขนาดกำลังดี เดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วชำระเงินค่าหนังสือ พนักงานยื่นหนังสือที่ใส่ถุง

แล้วยื่นให้แต่เป็นคุณเทียนที่หยิบไปถือ เราเดินออกมาจากร้านหนังสือ แล้วเดินผ่านร้านค้าต่างๆ  ร้านค้าต่างตกแต่งให้น่าสนใจ

เพื่อเรียกลูกค้าเข้าไปในร้าน มีเสื้อผ้าหลายร้านเป็นแบบที่ผมชอบ แต่ตอนนี้รูปร่างไม่เหมือนเดิมการแต่งกายและรูปแบบการใช้

ชีวิตจึงต้องเปลี่ยนไปให้เหมาะสม แล้วก็หยุดอยู่ที่หน้าโรงหนัง อ้าวไหนว่าทำธุระให้คุณแม่

“ของที่สั่งยังไม่ได้ต้องรอก่อน”คุณเทียนตอบข้อสงสัยของผมทันที

“คุณเทียนจะดูหนังหรอครับ”

“อีกนานกว่าของที่สั่งจะได้ ขี้เกียจไปนั่งรอเฉยๆ”ก็คุณเทียนรีบออกมาทำไมละครับ

“แล้วจะดูเรื่องอะไรครับ”ผมดูได้หมด

“เรื่องนี่ดีไหมเพื่อนพี่มาดูแล้วบอกว่าสนุกดี”

“อืม ก็ได้ครับ”ผมล่วงกระเป๋าตังค์ออกมาแล้วหยิบเงินออกมายื่นให้คุณเทียน

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่เลี้ยง ที่เป็นเพื่อนมาทำธุระ”

“อ้อ ขอบคุณครับ”

คุณเทียนเดินไปเข้าแถวซื้อตั๋วหนัง

“เธอดูผู้ชายคนนั้นสิหล่อจังเลย ”สาวสาวมองกันตาเป็นมัน คุณเทียนเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมาก สุภาพอยู่ใกล้ๆแล้วรู้สึกอบอุ่นเสีย

อย่างเดียวชอบทำหน้าดุตลอดเวลา

“เออ จริงด้วย เฮ้ย เบาๆดิ เขามากับแฟนรึเปล่านั่น แฟนเขาก็สวยนะ”

“เออใช่ๆ ดูเหมาะกันดีนะ”ผู้หญิงสองคนหันไปมองคุณเทียนสลับมองมาที่ผม ทำไมคุณเทียนหล่อแล้วทำไมผมถึงสวยล่ะไม่

ยุติธรรม คนยืนรอบริเวณหน้าโรงหนังไม่ค่อยเยอะเพราะที่นี่ไม่ใช่ห้างที่เป็นศูนย์รวมวัยรุ่น แต่คนก็ไม่ได้บางตามากนัก คุณเทียน

ซื้อตั๋วเสร็จกำลังเดินตรงมาที่ผม

“ได้รอบไหนครับ”ผมถามคุณเทียน คุณเทียนยื่นตั๋วให้ผม ผมรับมาแล้วอ่านดูเป็นที่นั่งโซฟา และอีกสิบนาทีหนังจะฉาย วัยรุ่น

ใจร้อนอยากดูมาก

“คุณเทียนนี่เสน่ห์แรงนะครับ ดูซิครับสาวๆมองเต็มเลย”คุณเทียนหันหน้าไปดูไล่สายตามองสาวๆที่มองที่เขา บางคนส่งยิ้ม ส่ง

สายตามาให้ แต่ผมเห็นคุณเทียนไม่มีท่าทีอะไร

“อือ ก็สวยแต่แฟนในอนาคตพี่สวยกว่า”คุณเทียนแสดงท่าทีไม่ใส่ใจ อ้อแสดงว่ามีคนหมายตาไว้แล้ว

“ผมก็จะมีแฟนสวยเหมือนกันครับ”

“หา เรานี่นะจะมีแฟนสวย คงหาสวยไปกว่าเราไม่ได้แล้วละ”ครับ ว่าแต่เอ่อมันหมายความว่าอะไรครับคุณเทียนผมฟังแล้วรู้สึก

แปลกๆยังไงไม่รู้

ขอตัวเข้าห้องน้ำถึงแม้หนังชั่วโมงเดียวก็ไม่อยากลุกระหว่างที่หนังยังฉายอยู่ เดินแยกจากคุณเทียนเพื่อไปเข้าห้องน้ำ MEN ป้าย

ที่ติดไว้หน้าประตูห้องน้ำ ผลักประตูเข้าไปห้องน้ำเข้าไปทันที ว่างห้องน้ำว่างไม่มีคนเลือกเดินเข้าห้องด้านในปิดประตูลงล็อค

กลอนแล้วทำธุระของตัวเอง เดินกลับออกมาที่อ่างล้างมือหลังทำธุระเสร็จเรียบร้อย กดสบู่เหลวลงในมือแล้วถูจนเกิดฟอง วางมือ

ไว้ใกล้ก๊อกน้ำน้ำไหลออกมาจากก๊อกลงบนมือ

“จ้า ที่รักเดี๋ยวเย็นนี้เจอกัน ....ครับ..รักนะครับ...ครับ..แล้วเจอกัน..บาย”ผมกำลังล้างฟองสบู่ออกจากมือแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

กระจกมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างๆผม น้ำเสียงฟังดูออดอ้อนเอาใจ 

“กัณฑ์”ปากผมเรียกผู้ชายคนนั้นออกมา สายตาผมจับจ้องเขาในกระจก ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังหน้าซีด น้ำลายรู้สึกเหนียว

ตัวสั่นเล็กน้อย คนที่คิดว่าชาตินี้ผมไม่อยากที่จะเจอและไม่คิดว่าจะได้เจอ ใบหน้านี้ รอยยิ้มนี้ เสียงเสียงนี้จำได้ผมไม่มีทางลืม

ผมยังคงยืนค้างแข็งมองผู้ชายคนนั้นในกระจกเงา เขาวางโทรศัพท์หลังจากที่คุยเสร็จมองมาที่ผม แล้ว

“สวัสดีครับ”เขาเอ่ยทักทายผม ผมไม่แปลกใจที่ผู้ชายอย่างเขาจะมีนิสัยอย่างนี้ ผมไม่ตอบแต่ยิ้มเจื่อนๆให้เขาเป็นมรรยาท

พยายามอย่างมากพยายามสงบสติอารมณ์ที่จะไม่วิ่งเข้าไปต่อยผู้ชายตรงหน้า แล้วตะโกนถามเขาดังๆว่าผมไปทำอะไรให้เขา ทำ

อะไรให้คุณต้องเจ็บช้ำจนคุณมาต้องทำลายชีวิตผม ทำร้ายผม ถ้าไม่เคยรักผมแล้ว ทำไม ทำไมต้องหลอกผม หลอกให้เชื่อคำ

พูดหลอกลวงนั้น หลอกให้โง่อยู่อย่างนั้นเป็นปีๆ ทำไม ทำไม ภาพความทรงจำในอดีตของผู้ชายคนนี้ที่ทำไว้กับผมค่อยๆผุดขึ้น

มาเรื่อยๆ ชัดเจนขึ้นทีละน้อย ผมเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคิดว่าซักวันที่ได้เจอผู้ชายที่ทำร้ายผมอีกครั้งจะอภัยให้เขาได้ เคยคิดว่า

ผมทำได้ ผมจะลืมเรื่องเลวร้ายที่เขาเคยทำไว้กับผม แต่ตอนนี้รู้แล้วผมโกหกตัวเอง ผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้น ตาผมรู้สึกพร่าเหมือน

จะมีน้ำใสๆพยายามที่จะไหลออกมา ผมมองเขาเปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินออกไปจนประตูนั้นค่อยๆปิดลง

“นิน นิน เป็นอะไรรึเปล่าทำหน้าซีดๆ” คุณเทียนผู้ชายกำลังยืนอยู่ข้างหลัง เรียกชื่อผมอยู่คือคุณเทียน

 เขาขวดคิ้วเล็กน้อยท่าทีร้อนใจที่เห็นผม ไม่รู้เขาเดินเข้ามาในห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ และยืนเรียกผมสติผมนานรึยัง

“อ้อ เอ่อ สงสัยเหนื่อยคนเยอะนิดหน่อยครับ”ผมพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ก้มหน้าลงหน้าลงน้อยๆแล้วสูดหายใจลึกๆเข้า

ปอดแล้วค่อยๆปล่อยออกมา เหลือบมองดูสารรูปตัวเองในกระจกไม่ไหลโชคดีที่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา คงเป็นคุณเทียนที่เข้ามา

ห้ามไว้ ห้ามไม่ไห้น้ำตาผมไหลออกมา

“ไม่เป็นไรแล้วงั้นเราเข้าไปในโรงหนังกันเถอะ หนังจะเริ่มฉายแล้ว”เดินตามหลังคุณเทียนเข้ามาในโรงหนังที่นั่งโซฟาคือที่นั่ง

ของพวกเรา หันไปมองรอบๆโรงหนัง คนไม่ค่อยเยอะที่นั่งไม่เต็มซักแถวหนังกำลังจะฉายเพราะพวกเราเข้ามาช้า

“ที่รัก ทานน้ำไหมผมหยิบให้”

“ขอบคุณค่ะ”หันไปมองที่นั่งโซฟาข้างๆ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าโลกกลมมานานแล้วแต่ผมเพิ่งค้นพบว่ามันเป็นความจริง

เสียงผู้ชายผู้หญิงคุยกันกระหนุงกระหนิงอยู่ไม่ไกลนักแต่ได้ยินตลอดที่เสียงหนังภายในโรงเงียบเสียงลง น่าสมเพช น่าสมเพช

ตัวเองที่เคยไปหลงรักผู้ชายแบบนี้ผู้ชายที่เห็นแก่ตัว เลวไม่ใช่ยิ่งกว่านั้นไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนได้เหมาะสมกับผู้ชายคนนี้ดี ผู้

หญิงที่มากับเขาไม่ใช่คนเดิมคงจะเป็นเหยื่อรายใหม่ ผมกำมือแน่นพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้เดินเข้าไปต่อยหน้าผู้ชายคนนั้น

“เป็นอะไรรึเปล่านิน หรือว่าไม่สบาย”ผมสะดุ้ง คุณเทียนกระซิบอยู่ใกล้ๆหูผม แล้วใช้ผ่ามือสัมผัสลงมาที่หน้าผากของผม

“เปล่าครับ”ผมส่ายหัวเบาๆ แล้วกลับมาสนใจหนังตรงหน้า ผมไม่มีอารมณ์ที่จะดูหนังตรงหน้า ดูหนังไม่ค่อยรู้เรื่อง ผู้ชายคนนั้น

ทำให้อารมณ์ของผมแย่

“นิน นิน ลุกเถอะหนังจบแล้ว”

“คะ..ครับ”ตั้งสติมองไปที่จอภาพข้างหน้า ตอนนี้หนังจบแล้ว มีเพียงตัวหนังสือสีขาวที่วิ่งไปมาบนหน้าจอสีดำ คนอื่นกำลังทยอย

เดินออกไปแล้ว ลุกขึ้นเดินตามคุณเทียนออกไป

“เป็นอะไรเรา ไม่สบายรึเปล่า เป็นอะไรบอกพี่ได้นะ”ไม่รู้จะบอกยังไง จะบอกเรื่องอะไรตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรกัน

แน่

“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ ผมแค่สงสัยอยากรู้ว่าชีวิตเราจะมีโอกาสได้พบรักแท้เหมือนตัวเอกในหนังที่เราดูรึเปล่านะ”เงยหน้ามอง

คนที่ยืนมองลงที่ผม

คุณเทียนพาเข้าไปนั่งในร้านไอศกรีม แปลกใจนิดหน่อยผู้ชายตัวโตกับร้านไอศกรีมดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่

“อะ ลองทานดูทานอะไรหวานๆจะได้อารมณ์ดีขึ้น ที่นี่เป็นไอศกรีมผลไม้ไม่ใช่นมทานได้”คุณเทียนยื่นถ้วยไอศกรีมที่สั่งมาให้

ขวดคิ้วแปลกใจเขารู้หรอ เขารู้ว่าผมรู้สึกไม่ค่อยดี จึงพามานั่งทานไอศกรีม หยิบช้อนขึ้นมาตักไอศกรีมเนื้อนุ่มเข้าปาก

“อะ อร่อยจัง”รู้สึกมีเนื้อผลไม้ในปากรู้สึกถึงรสหวานหอมอมเปรี้ยวนิดๆ

“บอกแล้วว่าอร่อย ที่นี่คือร้านโปรดเจ้าสองแสบ”คุณเทียนยิ้มให้ ได้ทานอะไรหวานๆเย็นๆแล้วรู้สึกดีขึ้นมาเลย คิดว่าผมควรที่ลืม

อดีตไป แล้วมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ถ้าผมยังมองแต่อดีตแล้วคนที่อยู่กับผมปัจจุบันคงเศร้าไปด้วย ตักไอศกรีมเข้าปาก

ตามองคุณเทียนที่กำลังกินไอศกรีมแล้วยิ้มให้ คุณเทียนยิ้มบ่อยไปแล้วสาวๆที่นั่งมองเดี๋ยวใจละลายกันหมด

“คุณเทียน”คุณเทียนเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยไปศกรีมแล้วเลิกคิ้วมองผม ผมชี้ที่มุม คุณเทียนยิ้มแล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆผม อะคุณ

เทียนผมหยิบทิชชู่ขึ้นมาแล้วเช็ดที่มุมปากคุณเทียน คุณเทียนหัวเราะชอบใจ 

“ของที่สั่งได้แล้วค่ะ”พนักงานที่ร้านเดินนำกล่องอะไรซักอย่างมาให้คุณเทียน ผมแปลกใจแต่ไม่ได้ถามพวกเราอิ่มแล้วก็เรียก

พนักงานมาเก็บเงิน และเดินทางกลับบ้าน  ตอนนี้อารมณ์ผมนิ่งลงแล้วต้องขอบคุณคนข้างๆที่ช่วยให้ดีขึ้น 

“เดี๋ยวพี่ส่งเราที่บ้าน อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ไปที่บ้านพี่”ผมเปิดประตูลงจากรถ

“ขอบคุณครับ”แล้วรถของคุณเทียนก็เลื่อนออกไป

เดินเข้าบ้านเห็นลุงชมรถน้ำต้นไม้ พี่แจ่มน่าจะอยู่ในครัว

“อ้าว กลับมาแล้วหรอลูก เดี๋ยวแม่กับพ่อจะช่วยงานที่บ้านคุณย่าก่อน หนูแต่งตัวเสร็จแล้วตามไปนะ”

“ครับเดี๋ยวผมตามไป”ยืนดูพ่อกับแม่ที่เดินออกจากประตูรั้วบ้านแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน

เดินขึ้นห้องด้วยอารมณ์ดีเพราะวันนี้ได้หนังสือถูกใจมา จะได้อ่านหนังสือให้ฉ่ำปอดเลย วางหนังสือไว้บนโต๊ะ เดินไปหยิบของ

ขวัญของน้องหนึ่งมาวางเตรียมไว้ แล้วไปเปิดตู้เสื้อผ้าเตรียมชุดที่จะใส่ไปงานคืนนี้ มองดูเวลาเหลือเวลาอีกนาน ขออ่านหนังสือ

ผ่อนคลายอารมณ์สักนิดดีกว่า เปิดอ่านหนังสือที่ซื้อมาเริ่มอ่านบทนำ ไล่สายตาลงไปบนตัวหนังสือแต่ละบรรทัดไปเรื่อยๆจนผ่าน

ไปหน้าหนึ่ง สองหน้าสามหน้า

แสงตะวันลอดส่องผ่านเข้ามาในห้องตอนนี้อ่อนแสงลงแล้ว ลมยามเย็นพัดมาเอื่อยๆ เย็นสบาย ละสายตาจากหนังสือที่อ่านวางที่

คั่นหนังสือไว้คั่นหน้าที่อ่านถึง และปิดหนังสือลง ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่คงถึงเวลาต้องไปที่งานซะที หยิบผ้าเช็ดตัว

และเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ตอนนี้รู้สึกหิวจังเลย บ้านคุณย่ามีอะไรให้ทาน

บ้างน้า รีบอาบน้ำชำระร่างกายและสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่มองดูความเรียบร้อยแล้วเปิดประตูเดินออกมา

“หยุดอยู่เฉยๆอย่าขยับ”เสียงผู้ชายดังขึ้นข้างหลังผม รู้สึกเหตุการณ์นี้เหมือนมันเคยเกิดขึ้นกับผม มันกำลังจะเกิดขึ้นกับผมอีก

ครั้ง ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย ใครก็ได้ช่วยผมด้วยภาพที่ผมถูกพวกโจรรุมข่มขืน อย่างไม่ปราณีปรากฏอยู่ต่อหน้าผมอีกครั้ง รู้สึก

ร่างกายของผมชาไปหมด ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะยืนก้มหน้าลงกอดเข่าเข้าหาตัว เริ่มสั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยความกลัว ใบหน้าผมคง

ซีดไม่สีเลือดแล้วตอนนี้ หายไม่ออกเหมือนคนกำลังจะขาดอาการหายใจ หรือว่าผมกำลังตายอีกครั้งไม่นะผมยังไม่อยากตาย ผม

ยังอยากอยู่กับพ่อแม่

“นิน นินจา นิน”เสียงคนเรียกผม มีใครสักคนกำลังเรียกผมอยู่แต่เขาคนนั้นเป็นใคร ผมมองไม่เห็นใครเลย

“ช่วยด้วย ฮึก ช่วยด้วย ฮึก” ผมยังก้มหน้าซบลงที่เข่า พูดประโยคเดิมซ้ำซ้ำ เหมือนคนบ้า

“นินจา นิน นิน”มีเสียงเรียกผมอีกแล้ว

“นิน นินจา”มีคนจับผมเขย่าให้เงยหน้าขึ้นมองเห็นแล้ว ผมเห็นแล้ว คุณเทียน คุณเทียน

“คุณเทียน คุณเทียน ช่วยผมด้วย ผมกลัว”ผมโผเข้ากอดคนที่อยู่ตรงหน้าผม

“เป็นอะไรไป ไม่เป็นอะไรแล้ว พี่ขอโทษพี่ไม่ได้ตั้งใจให้เราตกใจ” คุณเทียนดึงผมออกมาจากอ้อมกอดจับต้นแขนทั้งสองข้างผม

ไว้แล้วมองหน้าผมที่กำลังร้องไห้ สะอื้น อย่างตกใจ

“คุณเทียน ฮึก คุณเทียน ฮึกฮือ”ผมร้องไห้ สะอื้นแล้วโผเข้ากอดคุณเทียนแน่นขึ้นซบหน้าลงบนไหลกว้างนั้น

“นินจาเป็นอะไรไป พี่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ ทำพี่ตกใจแทบแย่ ใจเย็นๆนะ ไม่มีอะไรแล้ว พี่ขอโทษ”คุณเทียนกอดผมไว้แล้วลูบ

หลังผมเบาๆ เขาจูบลงที่ศีรษะผมเบาๆ

“คุณเทียน ฮึก ฮึก”ไม่รู้ว่ากอดอยู่นานเท่าไหร่ แต่เริ่มรู้สึกตัวใช้มือปาดน้ำตาออกจากแก้ม ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่บนตักคุณเทียน

ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง

“รู้สึกดีขึ้นยัง เป็นอะไรรึเปล่า พี่ตกใจหมดเลย พี่เรียกเราเท่าไหร่ก็ไม่ขานสักที พี่ขอโทษที่ทำให้เราตกใจ”คุณเทียนกำลังทำ

หน้าตาตกใจอยู่ ใบหน้าคุณเทียนอยู่ใกล้ผมแค่คืบรู้สึกถึงลมหายใจของเขากระทบลงที่แก้มของผม ผมอยากจะลุกขึ้นแต่ผมไม่มี

แรง ซบหน้าลงที่ไหลกว้างอีกครั้งด้วยความอาย ไม่กล้าสู้หน้าคุณเทียนได้ คิดว่าผมลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่แค่มีอะไรมาสะกิด

บาดแผลเก่าเบาๆแค่นิดเดียว ความรู้สึกที่ถูกกดเก็บไว้ภายในส่วนลึกของจิตใจก็ระเบิดออกมา ยันตัวออกจากอ้อมกอดของคุณ

เทียน

“คุณเทียนอย่าเล่นอะไรบ้าๆอย่างนี้อีกนะครับ”ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำล้างหน้าล้างตาแล้วซับหน้าด้วยผ้าขนหนู

“พี่ขอโทษจริงๆ พี่ไม่ได้ตั้งใจ เป็นอะไรมากไหม หน้าเรายังไม่หายซีดเลย”น้ำเสียงที่ขอโทษด้วยความจริงใจนั้นผมรู้แต่ผมก็

ตกใจจริง โตแล้วเล่นเป็นเด็กไปได้

“อื้ม”ผมพยักหน้าแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“คุณเทียนเข้ามาบ้านยังไง”

“ลุงชมเปิดประตูให้เข้ามา”

“อืม”

“เอ่อ พี่มารับไปบ้านเห็นว่าเย็นแล้วยังไม่ไปเลยเป็นห่วง เพราะคุณลุงกับคุณป้าก็อยู่ที่โน่น”

“อื้ม ขอคุณที่มารับ ผมว่าเราไปที่งานกันเถอะ”

พวกเราเดินเข้าไปในงานที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เสียงเครื่องดนตรีคลาสสิกบรรเลงเพลงเบาๆ เข้ากับบรรยากาศงาน โต๊ะ

ด้านข้างถูกวางด้วยของกินที่วางไว้เป็นถาด ไว้หลายอย่าง มีของหวาน ขนม ผลไม้และเครื่องดื่ม โต๊ะกลมที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว

แล้วมีเก้าอี้วางรอบโต๊ะแต่ละตัวถูกตั้งไว้หลายตัว มีโต๊ะหลายโต๊ะ ทีเริ่มเต็มแล้ว ผมวางกล่องขวัญไว้บนโต๊ะรวมกับของคนอื่น

“พี่นิน น้องหนึ่งอยู่นี่”เสียงตะโกนของหนึ่งดังมาแต่ไกล พร้อมกับวิ่งเข้ามาผม วันนี้เจ้าของงานแต่งตัวเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ตัวจิ๋วที่ตัว

เองชอบ อ้าน่ารักเลย

“น้องสองด้วย”ตะโกนตามพี่ชายแล้ววิ่งตามมาอีกคน น้องสองก็น่ารัก

ทั้งสองวิ่งมาถึงก็กอดแข่งกอดขาผมใหญ่เลย เป็นคุณเทียนที่อุ้มน้องสองขึ้น

“พี่นินมีของขวัญให้น้องหนึ่งด้วย พี่ว่าน้องหนึ่งต้องชอบแน่นอนเลย”ผมนั่งยองๆลง ก็มลงหอมแก็มนุ่มๆของน้องหนึ่ง น้องหนึ่ง

หัวเราะคิกคักชอบใจ

“พี่นินไม่มีให้น้องสองหรือครับ”น้องสองพูดทำหน้าตาเศร้า คงน้อยใจที่พี่ได้ของขวัญแต่ตัวเองไม่ได้

“น้องสองยังไม่ถึงวันเกิดของเรา พอถึงวันนั้นอาจะซื้อของขวัญให้เหมือนกัน” คุณเทียนพูดปลอบน้องสอง

“หนูนินมาแล้วหรอลูก ทานอะไรรึยัง ตามสบายเลยนะลูก ตาเทียนดูน้องด้วยล่ะ น้องหนึ่งน้องสองมากับย่าเร็ว”เป็นคุณแม่คุณ

เทียนที่ออกมาจากโต๊ะที่มีคุณย่า พ่อแม่ผม พ่อคุณเทียน และแขกผู้ใหญ่หลายคนที่ผมไม่รู้จัก คุณเทียนวางน้องหนึ่งลง คุณ

แม่คุณเทียนเดินจูงมือเด็กๆไปส่งที่โต๊ะคุณเทพที่กำลังนั่งอยู่กับเพื่อนๆ น้องหนึ่งกับน้องสองยังไม่เข้าโรงเรียนเพราะเพิ่งย้ายมา

อยู่ที่นี่ได้ไม่นาน เด็กๆจึงยังไม่มีเพื่อน งานวันเกิดน้องหนึ่งจึงไม่มีเพื่อนคนอื่น มีแต่ญาติญาติ และเพื่อนๆของคุณเทพ

“นิน กินอะไรไหม เดียวพี่ตักให้” ไม่ตอบแต่เป็นคุณเทียนที่ตักอาหารใส่จานให้ผม แล้วเดินไปนั่งโต๊ะที่ว่างอยู่

“น้องนิน ไม่ได้เจอกันานเลยคิดถึงจังเลย”เสียงคุ้นๆ ผมหันหน้าไปตามเสียงนั้นคุณทิมเธอยืนยิ้มให้ผมและเดินเข้านั่งลงข้างผม ผู้

หญิงอันตรายมาแล้ว

“ยายทิมเลิกแกล้งน้องได้แล้ว”คุณเทียนเดินกลับมาโดยในมือถือแก้วน้ำอยู่

“แหม ไม่เจอตั้งนานก็อยากมาคุยด้วยไม่ได้รึไง หวงจังน้า”

“รู้แล้วก็รีบไป ไปซะ”

สองพี่น้องรักกันอีกแล้ว ฮื้อ ผมไม่สนใจทั้งคู่แล้วแต่กลับมาสนใจอาหารตรงหน้า อาหารหน้าตาน่ากินจังนะ เสียงเพลงในงานยัง

ดังอยู่ ส่วนเด็กๆซุปเปอร์ฮีโร่ก็กำลังวิ่งเล่นอยู่ในงานอย่างสนุก มีพี่จิ๋ววิ่งตาม 

“เอ๊ะ พี่นุนี่นา พี่นุทางนี้”คุณทิมเห็นใครสักคน แล้วตะโกนโบกมือเรียก เป็นผู้ชายคนหนึ่ง หน้าตาดี  แต่งตัวดี กำลังเดินมาทางนี้

“คือเขา”อย่างนั้นหรอ ผมกำลังตกใจที่เห็นใบหน้าผู้ชาย ผมจ้องมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่วางตา ใช่เขาจริงๆ ผมจำเขาได้

แต่เขาคงไม่รู้จักผม รู้สึกเหมือนมีใครเตะเท้าผม

“มองนานไปแล้ว”หะ หา อะไรนะครับคุณเทียนผมหันไปมองที่คุณเทียนที่ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกำลังทานอาหารในจาน

“น้องนิน นี่พี่นุเป็นญาติของพวกเราเอง”คุณทิมแนะนำตัวผู้ชายที่ยืนตรงหน้า

“สวัสดีครับ”ผมไม่อยากรู้จักเขา

“พี่นุ นี่น้องนินน้องของทิมเองค่ะ”

“สวัสดีครับน้องนิน ยินดีที่ได้รู้จัก”เขายิ้มกริ่มทักทายให้ผม

“พี่นุ หิวไหมเดี๋ยวทิมพาไปหาอะไรกิน”คุณทิมเรียกผู้ชายที่กำลังจ้องมอง ตาแทบไม่กระพริบ

“อ้อ ไปครับ”คุณทิมลากผู้ชายคนนั้นไปที่มุมอาหารแล้ว ก่อนเดินไปเขายังหันหลังกลับมาส่งยิ้มให้ผมอีก

“ชอบหรอ”

“คะ..ครับ”มองหน้าคุณเทียนที่สายตาดุและสีหน้าไม่พอใจมาก  ผมทำอะไรผิด

“เห็นมองตาแทบไม่กระพริบ ชอบสินะ”

“ผมแค่คุ้นหน้าเฉยๆ อีกอย่างผมไม่ได้ชอบคนที่มีดีแต่ภายนอกแต่ข้างในเน่า ผมชอบคนที่นี่”ผมยื่นมือไปชี้ที่หน้าอกของคุณ

เทียน เอ๊ะ ผมสบตากับคุณเทียนที่ยิ้มมุมปากน้อยๆ ผมหลุบตาลงแล้วก้มหน้าลงน้อยนี่ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่านะ รู้สึกเหมือนทำ

อะไรพลาดไปอย่างนั้นแหล่ะ ว้า อายจังเลย รู้สึกหัวใจผมเต้นแรงขึ้น อ๊าคุณหมอครับช่วยด้วยโรคหัวใจผมกำเริบ

ผู้ชายคนนั้นกับคุณทิมกลับมาที่โต๊ะในมือถือจานอาหารและแก้วน้ำ

“น้องนิน ขนมพี่ตักมาเผื่อ”ผู้ชายคนนั้นวางจานขนมหวานลงต่อหน้าผม

“ขอบคุณครับ”แต่ไม่ต้องก็ได้ ผมยิ้มส่งๆให้เขา เหลือบไปเห็นคุณเทียนจ้องมองเขาตาเขียวเชียว

ผมยังทานอาหารในจานต่อไป อุตส่าจะแอบทานไก่ทอดซะหน่อย แต่คุณเทียนยืนมองอยู่เลยไม่กล้า ดูเวลาแล้วน่าจะใกล้เวลา

เปล่าเทียนของน้องหนึ่งแล้ว น้องหนึ่งยังวิ่งเล่นสนุกกับน้องสองอยู่เลย ถ้าน้องเห็นของขวัญของผมต้องดีใจแน่ๆเลย อิอิ เห็นคุณ

ทิมแอบมองผู้ชายคนนั้นบ่อยหรือว่าคุณทิมชอบเขา แต่เขาไม่มีทีท่าจะบอกว่าชอบคุณทิมเลย

“น้องหนึ่งมีนี่เร็ว ได้เวลาเป่าเค้กแล้ว จิ๋วพาน้องมาเร็ว”เสียงตะโกนเรียกของคุณแม่คุณเทียน ทำให้พวกผมลุกขึ้นจากเก้าอี้เดิน

ไปรวมตัวกัน เอ๊ะ เค้กนี้เหมือนเคยเห็น

“ไหน ไหน เค้กของหนึ่ง คุณย่ารู้ได้ยังไงว่าหนึ่งชอบเค้กร้านนี้”น้องหนึ่งวิ่งมาดูเค้กของตัวเอง เทียนถูกปักลงบนขนมเค้ก สี่แท่ง

ไฟในงานดับลงทันที เทียนบนเค้กมีดวงไฟปรากฏขึ้น

“HAPPYBIRTHDAY TO YOU

HAPPYBIRTHDAY TO YOU

HAPPYBIRTHDAY TO……. YOU”สิ้นเสียงเพลงจบลงน้องหนึ่งรีบเป่าเทียนอย่างรู้งาน พร้อมกับเสียงทุกคนปรบมือ คุณแม่คุณ

เทียนช่วยน้องหนึ่งตัดเค้กให้ทุกคน คุณย่าเป็นแรกที่รับเค้ก ตามอาวุโสครับ อิอิ ในที่สุดผมก็ได้เค้กมาอยู่ในครอบครอง แต่น่า

แปลกใจที่ไม่มีใครห้ามผมไม่ให้กิน ได้โอกาสในขณะทุกคนไม่สนใจรีบตักขนมเค้กเข้าปาก อ้า ผมจำได้แล้วผมเคยเห็นเค้กนี้

ที่ไหน มันเป็นรดชาติเดียวกับไอศกรีมที่คุณพาผมไปทานเมื่อบ่ายนี่เอง อร่อยจังเลย กินแล้วรู้สึกสดชื่น ระหว่างที่ผมกำลังกินเค้ก

แสนอร่อยอยู่นั้นรู้สึกมีสายตาจ้องมองผมอยู่ หันหน้าไปมอง ผู้ชายคนนั้นกำลังมองมาที่ผม เขาต้องการอะไรกับผม ผมว่ามันควร

จะจบนะ ผมทำทีไม่สนใจกินเค้กตรงหน้าต่อ

“ทิม เดี๋ยวพี่ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

“แล้วรีบมานะ” 

เขาบอกว่าจะไปห้องน้ำใช่ไหม นั่นแปลว่านั่นคือโอกาสของผมรึเปล่า เดินตามเขาไปเงียบๆ

ยืนรอเขาที่หน้าห้องน้ำ รอจนเขาเปิดประตูออกมา ปรากฏตัวมายืนมองเขาในกระจก

“เราเคยรู้จักกันรึเปล่าครับ”ผมส่ายหน้าเบาๆ

“ผมมีเรื่องเรื่องหนึ่งอยากจะเล่าให้คุณฟัง”

“พี่ว่าเราไปคุยกันที่อื่นดีไหม”

ผมพยักหน้าแล้วเดินนำเขาออกไป เดินออกมาจากบริเวณงานไม่ไกลนัก ยังได้เสียงเพลงเสียงคุยเสียงหัวเราะแว่วมา

หยุดเท้าลงแล้วหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเขา


                                                                       มีต่อด้านล่าง



   

ออฟไลน์ jaengsRU

  • ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-1
    • https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/
 
                                                                          ต่อจากด้านบน

“มีอะไรก็พูดมา”

“คุณยังจำวันเกิดของคุณเมื่อสองปีที่แล้วได้รึเปล่า มันอาจจะนานสำหรับคุณแต่สำหรับคนนั้นแล้วเขาไม่เคยลืมมันเลยแม้แต่วัน

เดียว คุณรู้ไหมว่าการกระทำของคุณในคืนนั้นมันเปลี่ยนชีวิตคนคนหนึ่งไปตลอดชีวิต”ผมก้าวเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้น

“เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ไม่ต้องการอะไรจากคุณแค่อยากให้คุณได้รับรู้ความรู้สึกของเขาคนนั้น คืนนั้นเป็นวันคล้ายเกิดของคุณ ปี

นั้นจัดงานที่บ้านของคุณ” หยุดพูดมองสีหน้าคนฟังแต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง“พูดมาถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าคุณพอจะนึกอะไรออกมาได้

บ้างรึเปล่า ถ้ายังผมก็เล่าต่อ คืนนั้นคุณเรียกเพื่อนที่ติดหนี้คุณไปด้วย เขาเสนอให้คุณนอนกับแฟนเขาเพื่อล้างหนี้”ใบหน้าผู้ชาย

คนนี้ยังเรียบเฉย ตอนนี้น้ำตาผมไหลออกมาแล้ว ผมพยายามแล้วที่ไม่อ่อนแอ ไม่เสียใจ แต่ผมทำไม่ได้

“และคืนนั้นเพื่อนของคุณก็เดินเข้ามาในงานพร้อมกับแฟนของเขาตามที่คุณและเขาตกลงกันไว้ เพื่อนของคุณพยายามมอมเหล้า

แฟนของเขาจนเมา แล้วคนเสนอให้เพื่อนของคุณนำแฟนของเขาไปนอนในห้องห้องหนึ่งจากนั้นคุณก็เข้าไปในห้องนั้นป้อนยา

ปลุกเซ็กให้เขา คุณข่มขืนเขาพร้อมกับเพื่อนคุณอีกสองคน “

“ต้องการอะไร เงินหรืออะไร แล้วอีกอย่างฉันจำหน้าคู่นอนไม่ได้หรอกนะ”

“เพี้ยะ ต้องการเงินหรอเก็บเงินของคุณไว้เถอะ”พูดมาได้ยังไงว่าต้องการเงิน ใช้สมองส่วนไหนคิด เพราะเก็บกดอารมณ์ไว้ไม่

ไหวทำให้ต้องใช้รุนแรงลงไปด้วยความไม่ตั้งใจ ใบหน้าของผู้ชายตรงหน้าหันไปแรงของฝ่ามือ ถึงจะไม่รุนแรงมากแต่ก็น่าจะพอ

ให้เขาได้รู้สึกอะไรบ้าง

“แล้วต้องการอะไร”น้ำเสียงเขามีแววหงุดหงิดขึ้นมา แล้วมือข้างหนึ่งสัมผัสที่บริเวณที่ผมฟาดผ่ามือลงไป

“คุณรู้ไหมว่าเขาต้องเข้าโรงพยาบาลไปตรวจเลือดกินยา เพราะกลัวที่จะติดเชื้อ คืนนั้นพวกคุณไม่ป้องกันทำให้เขาไปตรวจ

ร่างกายพบน้ำอสุจิของพวกคุณทั้งสามคน แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าคนที่ต้นคิดเป็นแฟนของตัวเองเลยไม่กล้าที่เปิดปาก เหมือนที่พวก

คุณคิดนั่นแหล่ะ คุณรู้ไหมว่าทำให้เขาต้องนอนฝันร้าย และเสียใจกับเรื่องที่ขึ้นมากขนาดไหน ผมแค่อยากบอกว่าให้คุณได้รู้เขา

คนนั้น ตาย-ไป-แล้ว และขอให้ทำกับเขาคนนั้นเป็นคนสุดท้าย ก็เท่านั้น และที่สำคัญอย่าทำแบบนี้กับใครอีก เพราะซักวันเรื่อง

แบบนี้อาจจะเกิดกับคนที่คุณรักเข้าซักวัน”ผู้ชายตรงหน้านิ่งเงียบ ไม่มีคำพูดซักคำออกมาจากปากเขา มีเพียงแววตาของเขาที่ดู

เหมือนกำลังสับสน ถามว่าผมต้องการอะไร ผมยังต้องการคำขอโทษจากใจของเขา ผมอยากให้เขาขอโทษผมในสิ่งที่ทำกับผม

เท่านั้นที่ต้องการแต่ดูเหมือนว่าผมคงต้องการมันมากเกินไป ตัดสินใจหันหลังเดินออกมาที่นั่นปล่อยให้เขายืนที่นั่นเพียงคนเดียว

“มันเรื่องอะไรกัน มันเกิดอะไรขึ้น”ตกใจนิดหน่อยที่เห็นคนเทียนยืนอยู่ข้างหลังผม เขายืนหน้านิ่ว

“มะ..ไม่รู้ ฉันเดินมาก็เห็นน้องเขายืนร้องไห้อยู่แล้ว ก็ว่าจะถามว่าเขาร้องไห้ทำไม แกก็มาก่อน”

“ใช่ที่ไอ้นุมันพูดไหมนิน”

“ครับ ผมร้องไห้ของผมเองไม่เกี่ยวกับพี่เขาเลย”

เดินผละออกมาจากตรงนั้น ไม่นานคุณเทียนก็เดินตามมา

“คุณเทียนมาตอนไหน ได้ยินเรื่องทั้งหมดรึเปล่า” คุณเทียนก้มหน้าต่ำลงไม่สบตาผมแล้วพยักหน้า

“เขาคนนั้นเป็นเพื่อนของนินหรอ”

“ฮึก..ฮือ..ฮือๆ”ผมไม่สามารถหยุดน้ำตาได้ อยากร้องไห้ อยากร้องมันออกมาไม่อยากเก็บมันไว้อีกแล้ว คุณเทียนเดินเข้ามากอด

ผมไว้ในอ้อมกอด คุณเทียนอุ้มผมขึ้น อุ้มท่าเจ้าสาวไปไหนสักที่ผมยังร้องไห้และซบหน้าลงหน้าอกแกร่งนั้น คุณเทียนวางผมลง

บนโซฟา นี่มันห้องนอนคุณเทียน คุณเทียนค่อยๆนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกันกับผม แล้วจ้องมองหน้าผมที่มีหยดน้ำตาไหลออกมา

เรื่อย

“ทำไมวันนี้ร้องไห้ งอแงทั้งวันเลยเรา”

“ไม่รู้” ผมส่ายหัว

“มีเรื่องอะไรก็เล่าออกมาบ้าง อย่าเก็บไว้คนเดียว”คุณเทียนใช้มือเช็ดน้ำตาของผมที่ไหลออกมา

“คุณเทียน คุณรู้ไหมเรื่องบางเรื่องมันก็ไม่สามารถเล่าให้ฟังได้”ผมพยายามจ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้น

“เล่าไม่ได้.... ก็เลิกร้องเถอะ ร้องไห้นานๆ ไม่เหนื่อยรึไง”

“เหนื่อย เหนื่อยมาก”

“ถ้าอย่างนั้นก็หยุดร้องแล้วไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตา จะได้รู้สึกดีขึ้น”ผมพยักหน้า แล้วเดินเข้าห้องน้ำ

ผมยืนมองสภาพตัวเองในกระจก ตาบวม จมูกแดง เปิดน้ำอุ่นชะล้างเรื่องราวต่างๆที่เจอมาทั้งวันให้มันไปตามน้ำแล้วไม่ต้องกลับ

มาอีก

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตู

แก็ก ผมเปิดออกยื่นหัวออกไป

“คุณเทียนจะใช้ห้องครับ”เขาไม่ตอบแต่ยื่นเสื้อผ้าให้ผม รับมาแล้วกลับเข้าห้องน้ำ สวมเสื้อผ้าที่คุณเทียนเอามาให้เปลี่ยน ตัว

ใหญ่จัง ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ ไม่มีใครอยู่ คุณเทียนไปไหน ผมได้ยินเสียงและกลิ่นอะไรซักอย่าง เดินตามกลิ่น เดินตามไป

เรื่อย

“อาบน้ำเสร็จแล้วหรอ มาทานอะไรก่อนพี่ทำไว้แล้ว”ฮือ คุณเทียนทำอาหารผมเลิกคิ้วขึ้นแปลกใจ เดินเข้าไปนั่งในครัวนั่งบน

เก้าอี้ ดูคนหล่อนั่งทำกับข้าว

“คุณเทียนทำอะไรฮะ”สงสัยไอ้กลิ่นหอมๆนี่มันอะไร

“นี่เลยข้าวต้มปลา เป็นไงน่ากินเปล่า” คุณเทียนตักข้าวต้มลงในถ้วยสองถ้วย ตีคิ้วแล้วยิ้มกวนให้ผม

“พี่เทียนน้องนินยังไม่อยากกลับไปนอนโรงพยาบาลนะครับ”ผมพูดเสียงออดอ้อนกวนคนตัวโต

“พูดว่าอะไรนะเมื่อกี้”คุณเทียนเหมือนแปลกที่ผมพูดประโยคเมื่อกี้

“ผมยังไม่ยาก..”

“ไม่ใช่ก่อนหน้านั้น”

“พี่เทียน”

“ใช่คำนี้แหล่ะ ต่อไปเรียกว่าพี่ด้วยเรียกแทนตัวเองว่านินด้วย”

“อื้ม”ผมรับปาก คุณเทียนกำลังทำผมเขินนะ คุณเทียนบ้า

“มา มากินกันเถอะก่อนที่มันจะเย็นซะก่อน”

“พี่เทียนแน่ใจนะครับว่ากินได้”ผมไม่ไว้ข้าวต้มในถ้วย

“น่า เชื่อมือพี่ชั้นนี้แล้ว”ถ้วยข้าวต้มถูกนำมาวางข้างหน้าผม ผมตัดสินใจหยิบช้อนแล้วตักข้าวต้มเข้าปาก

“อร่อยอะ ไม่น่าเชื่อ”ไม่น่าเชื่อว่าพี่เทียนจะทำกับข้าวอร่อย

“อร่อยก็ทานเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ”ไม่รู้ว่าข้าวต้มพี่เขาอร่อยหรือผมหิวกันแน่ ไม่นานข้าวต้มในถ้วยของผมก็หมด ส่วนของพี่เทียน

เองก็หมดเหมือนกัน พี่เทียนหยิบถ้วยของตัวเองและของผมไปวางไว้ในอ่างล้างจานผมเดินเข้าไปใกล้พี่เทียน

“พี่เทียนครับ ช่วยลืมเรื่องที่ได้ยินที่นินคุยกับคุณนุได้ไหมครับ เพราะนินก็จะลืมมัน”

“อื้ม”พี่เทียนพยักหน้า ขอบคุณครับ

“ห้าว!! ง่วงแล้ว พี่เทียนจะให้นินนอนที่ไหน”ผมได้นอนค้างที่บ้านพี่เทียนจริงๆ ทั้งที่บ้านผมอยู่แค่นี้ ดีที่พี่เทียนโทรบอกพ่อกับ

แม่ผมแล้ว ทั้งสองจะได้ไม่เป็นห่วงผม  พี่เทียนพาผมเดินกลับขึ้นมาบนห้องแล้ว

“นอนบนเตียงกับพี่นี่แหล่ะ”

“ฮืม ได้เหรอนินนอนดิ้นนะเดี๋ยวถีบพี่เทียนตกเตียงทำไง”แฮ่ะๆพูดไปงั้นแหล่ะ ผมนอนไม่ดิ้นหรอก

“ไม่เป็นไรพี่ก็นอนดิ้นเหมือนกัน”ฮ่าๆๆ เราเข้าได้พี่เทียน พี่เทียนทำอะไรไม่รู้ แต่เห็นเขาเดินเข้าห้องน้ำ ตาผมเริ่มไม่ไหวแล้วมัน

เริ่มเกเรไม่ฟังคำสั่งของผมแล้ว โอ๊ย วันนี้เหนื่อยจังเลย ปีนขึ้นเตียงเลือกนอนฝั่งซ้ายของเตียงวางหัวบนหมอนแล้วดึงผ้าห่มขึ้น

คลุมตัวอากาศเริ่มเย็นสบายแล้ว หมอนก็นุ่มสบาย เตียงก็นิ่ม ผ้าห่มผืนใหญ่นี่ชอบจังเลย หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาบน

หน้าจอเกือบจะตีหนึ่งแล้วมิน่าถึงง่วงขนาดนี้ หลับตาลง ได้ยินเสียงคุณเทียนออกกมาจากห้องน้ำ ลืมตาขึ้นไม่ได้แล้ว

กระดุกกระดิกตัวไม่ได้แต่หูผมยังได้ยิน

“หลับแล้วหรอเจ้าตัวเล็ก”รู้สึกเตียงยุบตัวลง ก่อนที่สติผมจะหลุดลอยไป รู้สึกว่ามีคนจูบลงมาเบาๆที่หน้าผากของผม

 อื้ม อากาศภายในห้องยังเย็นแต่ทำไมไม่รู้ตรงนี้อุ่นดีจัง ไม่อยากตื่นเลย แต่เอ๊ะนี่มันอะไรมือผมสัมผัสโดนอะไรสักอย่างนุ่มๆ

ลื่น ค่อยๆลืมตาขึ้น

“อรุณสวัสดิ์” ภาพแรกที่เห็นคือพี่เทียนนอนตะแคง มองผมอยู่

“พะ..พี่เทียน” รีบลุกขึ้นนั่ง พี่เทียนยันตัวลุกขึ้นตามผม

“ท่าทางจะฝันดีนะเราเห็นลูบพี่ใหญ่เลย”ฉ่า หน้าผมนี่แดงแน่เลย อาการหน้าเลือดกำเริบพี่เทียนพูดอะไรเขาเขินนะ

“ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะนั่นมันหมายความว่ายังไงกัน บ้า ตัดสินใจวิ่งเข้าห้องน้ำเสียงหัวเราะนั้นยังแว่วตามหลังผมเข้ามาในห้องน้ำ

ยืนมองตัวเองในกระจก หน้านี่แดงหมดเลย อายจัง

ก๊อก ก๊อก พี่เทียนเคาะประตูห้องน้ำ

“จะอยู่ในนั้นอีกนานไหม วันนี้พี่ต้องไปทำงานนะ”ตัดสินใจเปิดประตูออกมา เห็นพี่เทียนยืนอยู่หน้าห้องน้ำ

“กลับไปบ้านก็พักผ่อนซะนะ ดูสิตาบวมเชียว”พี่เทียนบอกผม

“ครับ”

“งั้นรอพี่เดี๋ยว พี่อาบน้ำแต่งตัวจะส่งที่บ้าน”ผมพยักหน้า พี่เทียนเดินเข้าในห้องแล้วถอดเสื้อทันที

“พะ...พี่เทียน เดี๋ยวอย่าเพิ่งถอด ให้นินออกไปก่อน”ตกใจห้ามเกือบไม่ทันรีบวิ่งออกมา คนใจร้ายชอบแกล้งเขา

ภายในห้องเงียบลงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ตื่นขึ้นมาเจอหน้าพี่เทียนอยู่ห่างผมแค่คืบเดียว ที่สำคัญผมกำลังกอดพี่เขาอยู่ เป็น

อะไรที่น่าอายมาก เสียงหัวใจผมยังเต้นแรงอยู่ด้วยความตื่นเต้น เสียงน้ำไหลลงตกกระทบพื้นเบาๆ พี่เทียนกำลังอาบน้ำอยู่ที่ห้อง

ข้างๆผม มีเพียงกำแพงกำแพงนี้กั้นเอาไว้ ผมหันหน้ามองไปทางห้องน้ำเสียงน้ำยังดังอยู่ เอ๊ะ นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่รีบสะบัดหน้า

ตัวเองให้เลือกคิดบ้าๆ ก่อนที่ความคิดผมจะไปไกลมากกว่านี้พี่เทียนก็เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมสวมเสื้อผ้าแต่งกายแล้ว

เรียบร้อย ผมโล่งอกไปที แต่อดที่จะแปลกใจไม่ได้ ว่าทำไมพี่เทียนอาบน้ำแต่งตัวเร็วมาก

“ทำไม เสียดายหรอที่ไม่ได้เห็นพี่โป๊”พี่เทียนใครเขาอยากดูมีเหมือนกันบ้า รึเปล่า

“นินลงไปรอข้างล่างนะครับ”งอลแล้ว

“โอ๋ พี่ไม่แกล้งแล้วอย่างอลพี่เลยน้า”พี่เทียนจับแขนผมไว้ ผมโตแล้วนพครับอย่าง้อเหมือนเด็กสิ

“ปะ ไปพี่แต่งตัวเสร็จแล้ว”อ้าพี่เทียนนี่หล่อจังเลย ยิ่งใส่ชุดทำงานยิ่งดูดี ผู้ชายตัวโตสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวเข้ารูปกางเกงสีดำขา

ยาว

“นะ พี่หล่อละสิมองตาค้างเชียว”อื้มยอมรับ ชิแต่ไม่พูดหรอกเดี๋ยวได้ใจ ผมกับพี่เทียนออกมาจากบ้านแล้วตรงไปที่ลานจอดรถ

แต่วันนี้ไม่ใช่คันเมื่อวาน

“พอดีพี่ต้องเอารถคันนี้ไปเช็ค ทางศูนย์โทรมาตาม”อ้อ ดีจังเลย พี่เทียนขับรถออกจากบ้านแล้วตรงไปที่บ้านผม

“พี่เทียนจะเข้าไปข้างในไหมครับ”ผมถามพี่เทียนก่อนที่จะลงจากรถ

“อืม”ผมเดินเข้าไปในบ้านพร้อมพี่เทียน ยังเช้าอยู่พ่อกับแม่คงยังไม่ไปทำงานผมเดินเข้าไปในบ้านก็เห็นทั้งคู่นั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าว

“นิน มาแล้วหรอลูกเป็นไงบ้าง แม่เป็นห่วงมากเลย ไม่เป็นไรมากใช่ไหมลูก”เป็นคุณแม่ที่เดินมาเข้าหาผม

“ตอนแรกที่คุณเทียนโทรมาบอกว่าหนูไม่สบายแม่เป็นห่วงมากเลยกลัวหนูเป็นอะไรมาก ขอบคุณคุณเทียนนะคะที่ดูแลน้อง

ให้”แม่ท่าทางเป็นห่วงผมมาก ไม่รู้ว่าพี่เทียนบอกอะไรแม่ไปบ้างแต่ก็ดีใจที่พ่อแม่ไม่เห็นสภาพผมเมื่อคืน

“นินดีขึ้นแล้วครับ ขอโทษนะครับที่ทำทุกคนเป็นห่วง”ผมเข้าไปกอดแม่เพื่อปลอบใจ

“เป็นความผิดผมด้วยที่ดูแลน้องได้ไม่ดี”

“ไม่ใช่หรอถ้าไม่ได้คุณเทียนไปเจอน้องเข้าก็คงแย่ ”

“คุยกันเสร็จแล้วก็มาทานข้าวกันได้แล้ว หนูนินคงหิวแล้ว”เสียงคุณพ่อดังมาจากโต๊ะกินข้าวส่วนผมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำ ผมยังสวม

ชุดพี่เทียนอยู่ รีบอาบน้ำทำธุระส่วนตัวเร็วที่สุดของผมก็ว่าได้เพราะกลัวทุกคนรอทานข้าว  เมื่อผมกลับลงมาทุกคนยังนั่งอยู่ที่โต๊ะ

อาหาร

“นิน ทานข้าวก่อนลูกเดี่ยวไม่สบาย”แม่เรียกให้ผมทานข้าว

“นั่น สิลูกทานข้าวก่อน”ครับผมยิ้มรับแล้วลงมือทานข้าว ส่วนคุณพ่อกับคุณเทียนก็คุยกัน

มองดูเวลาแล้วต้องเตือนพี่เทียนให้รู้ว่ามันสายแล้ว ควรที่จะไปทำงานได้แล้วเดี๋ยวรถติด

เดินออกมาส่งพี่เทียนหน้าบ้านที่พึ่งขับรถออกไป

“อยู่บ้านดูแลตัวเองด้วยนะลูก”แม่บอกผมก่อนที่จะขึ้นรถไปกับพ่อแล้วขับออกจาก ยืนมองรถของทั้งคู่เคลื่อนออกไปห่างสายตา

ไปเรื่อยๆ เฮ้อ ถอนหายใจทุกคนออกไปหมดแล้ว

หันหลังกลับเดินเข้าบ้าน ขึ้นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า มองภาพตัวเองในกระเงาที่สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว สวมกางเกงสีดำ วันนี้ถึง

กำหนดที่ผมต้องรายงานตัว เอกสารรายงานตัวที่เตรียมไว้ในแฟ้มเอกสาร กระเป๋าปากกา ถูกหยิบลงในกระเป๋าสะพาย

“น้องนิน ออกไปไหนคะ ให้ลุงชมไปส่งไหมคะ”พี่แจ่มถามผม ยืนมองผมที่เดินลงมาจากชั้นสอง พ่อแม่กับบอกไว้ว้าหากผมต้อง

ออกไปไหนให้ลุงชมเป็นคนขับรถให้ ที่จริงผมก็คิดถึงเจ้าเต่าน้อยของผมเหมือนกัน อยากขับแต่ตอนนี้ผมยังไม่มีใบขับขี่ ก็เลย

ต้องปล่อยให้มันนอนเล่นอยู่ในนั้นอีกอย่างผมก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับของๆนนท์กลัวพ่อกับแม่ไม่สบายใจ แค่นี้ท่านทั้งสองก็ดีกับ

ผมมาก ถึงทั้งคู่จะดีกับผมยอมรับผมแต่ความเป็นจริงผมก็เป็นคนอื่นไม่ใช่ลูกแท้ๆ และไม่ใช่ตัวแทนของใคร

“รบกวนลุงชมด้วยนะครับ พี่แจ่ม”

“ค่ะ เดี๋ยวพี่ไปบอกลุงให้”

ผมจำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่พี่แจ่มกับลุงชมอยู่กับพวกเรามานานแค่ไหนทั้งสองเป็นเหมือนคนในครอบครัว มองตามร่างผู้

หญิงหน้าตาพอใช้ อายุประมาณสามสิบต้นๆ ผมสั้น สวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ เดินไปทางหลังบ้าน ผมนั่งลงบนโซฟาหยิบ

ถุงเท้าสีดำขึ้นมาสวมวางรองเท้าคัทชูสีดำที่ขัดจนเป็นเงาลงพื้นแล้วสวม ไม่นานชายหน้าตาใจดีก็เดินมาพร้อมรอยยิ้ม ลุงชมรีบ

ถอยรถออกแล้วผมก็ขึ้นรถโดยมีพี่แจ่มเป็นคนเปิดประตูให้ รีบแจ้งจุดหมายปลายทางแก่ลุงทันที แต่ก่อนตอนเด็กๆที่ผมยังขับไม่

เป็นก็ได้ลุงชมนี่แหล่ะที่ขับรถไปรับไปส่งผมเสมอ เมื่อโตขึ้นมีรถขับแล้ว รถคันนี้คือรถที่ลุงชมขับไปรับไปส่งผมบ่อยถึงจะนาน

แล้วสภาพยังดูเหมือนใหม่ เพราะลุงชมช่วยดูแลรักษารถทุกคันในบ้านเป็นอย่างดีและนานๆทีทีพ่อก็เอาออกมาขับบ้าง สายแล้ว

รถเริ่มติดแต่ไม่มากเพราะไม่ใช่ช่วงเปิดเรียน นั่งอยู่บนเบาะหลังตรวจเอกสารดูที่เตรียมมาอีกครั้ง ไม่นานป้ายมหาวิทยาลัยชื่อดัง

ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของผม ลุงชมขับรถรถเลี้ยวเข้าไปข้าในมหาวิทยาลัย

“ลุงชมกลับได้เลยนะครับ เดี๋ยวนินกลับเองได้”ไม่ใช่ผมคนเดียวทีมารายงายตัววันนี้ คงหาที่จอดไม่ได้ง่ายๆ

ปิดประรถลงลุงชมก็เลื่อนรถจากไป ช่วงเช้าเป็นเวลารายงานตัวของคณะของผมสำนักทะเบียนผมยืนอยู่หน้าตึก ตามที่จดหมาย

แจ้งไปต้องมารายงานตัวที่นี่ ตึกสำนักงานขนาดใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์บอกให้คนรู้ว่าที่นี่คือตึกอะไร ด้านหน้าทางเข้ามาป้าย

อธิบายวิธีการเข้ารายงานตัวของนักศึกษาใหม่หยุดยืนอ่านรายละเอียดอีกครั้ง  เวลาเริ่มเปิดลงทะเบียนแปดนาฬิกาสามสิบนาที

ผมผลักประตูกระจกเข้าไปด้านใน มีโต๊ะลงทะเบียนหลายโต๊ะเจ้าหน้าที่นั่งประจำที่แล้วมีคนข้ามารายงายตัวแล้วแต่ละโต๊ะจะมี

หลายเลขติดด้านหน้าและมีเก้าอี้สำหรับนั่งรอ มีผู้ปกครองบางส่วนกำลังนั่งรอบุตรหลานของตัวเองกำลังรายงานตัว มีโต๊ะหลาย

ตัวสำหรับกรอกเอกสารกาวน้ำสีขาวตั้งอยู่ตรงกลางโต๊ะตัวใหญ่และมีเก้าอี้ล้อมรอบ มีรุ่นพี่ที่เป็นนักศึกษาแต่งกายถูกระเบียบที่

หน้าอกติดป้ายว่าเจ้าหน้าที่นั่งอยู่โต๊ะติดต่อ-สอบถาม ซึ่งหมายความว่าถ้าใครสงสัยเรื่องอะไรสามารถเดินเข้าไปขอความช่วย

เหลือได้  เก็านาฬิกาเข็มสั้นชี้ที่เลขเก็าเข็มยาวชี้ที่เลขสิบสอง เวลาที่อยู่บนนาฬิกาข้อมือสายหนังสีดำตัวเรือนเป็นโลหะชั้นดี

ดีไซน์ทันสมัย ผมดึงซองเอกสารออกจากระเป๋าสะพายหลังแล้วเดินไปที่โต๊ะลงทะเบียนหมายเลขหนึ่ง

“สวัสสดีครับ”เดินเข้าไปตรงโต๊ะลงทะเบียนที่ว่างอยู่ นั่งลงแล้วทักทายเจ้าหน้าที่ ผู้หญิงสูงอายุแต่งกายสุภาพ

“สวัสดีค่ะยื่นเอกสารได้เลยนะคะ” หยิบเอกสารออกมาแล้วยื่นให้เจ้าหน้าที่ เธอรับเอกสารของผมไปเปิดดูทีละแผ่น โชคดีที่ผม

ตัดสินใจออกมาแต่เช้าถ้ามาช้ากว่านี้คนคงเยอะ

“เอาเอกสารชุดนี้ไปกรอกแล้วไปยื่นที่โต๊ะหมายเลขสองนะคะ “

“ขอบคุณครับ”รับเอสารชุดนั้นแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะเอกสาร เปิดดูทีละหน้ามีที่ต้องกรอกไม่กี่หน้า

“ขอโทษนะ เอ่อ เราขอยืมปากกาได้ไหม”มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมานั่งข้างๆ ขอยืมปากกาผม

“ได้สิ”ผมยื่นปากกากาให้ หยิบรูปถ่ายออกมาแล้วใช้กาวติดรูปถ่ายลงบนเอกสารที่กรอกเสร็จเรียบร้อย แล้วเดินไปต่อคิวโต๊ะ

หมายเลขสอง คนเริ่มทยอยมากขึ้นแล้ว บางคนยังสวมชุดนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายมารายงานตัว ผมมองดูคนอื่นๆพวกเขา

คือคนที่ผมจะเรียนด้วยกัน เป็นเพื่อนร่วมคณะร่วมคณะ

“เอกสารเรียบร้อยนะคะนี่ค่ะใบเสร็จ ส่วนนี่เป็นคู่มือนักศึกษา คู่มือลงทะเบียน...”ในที่สุดการลงทะเบียนของผมก็สุดลงที่โต๊ะ

สุดท้าย หยิบใบเสร็จรับเงิน คู่มือนักศึกษา คู่มือการลงทะเบียนและกระดาษตารางเรียนภาคเรียนที่หนึ่งเก็บลงในกระเป๋า แล้วเดิน

ออกมาผมต้องลงทะเบียนตามรายวิชาเหล่านี้ สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ในวันที่ระบุไว้ในกระดาษ

“นี่ นายหยุดก่อน”มีคนเรียกผมนะ เป็นคนที่ยืมปากกาผมเขาวิ่งมาหยุดยืนข้างหน้าผม

“มีอะไรกับผมรึเปล่า”

“เอ่อ เราแค่จะเอาปากกามาคืน ขอบคุณนะ”เขายื่นปากกาคืนให้ผมแล้วเดินหายไปจากฝูงคน

ใช้เวลาเพียงไม่นานแต่ก็เหนื่อยใช่เล่น เห็นร้านสวัสดิการนักศึกษาที่นำเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายต่างๆมาขายให้นักศึกษา เดิน

แวะเข้าไปเข้าซื้อของซักหน่อย

“ผมออกมาทำธุระข้างนอก... มาเจอลูกค้า...ค่ะ..ค่ะ..แล้วเจอกันค่ะ”

“พี่กัณฑ์ ทำอะไรอยู่คะฟ้ารอตั้งนาน”

หันหน้าไปตามเสียงชายหญิงคู่หนึ่งกำลังคุยกันอยู่ไม่ห่างจากผมนัก มองลอดสายผ่านซุ้มร้านสวัสดิการนักศึกษา ผู้หญิงสาวสวย

สมชุดนักศึกษารัดรูปกระโปรงสั้นสะพายกระเป๋ายี่ห้อดังยืนทำหน้าไม่พอใจผู้ชายที่ยืนหันหลังให้ผม กัณฑ์ชื่อที่ผู้หญิงคนนั้นเรียก

คงเป็นชื่อที่คุ้นหูนี้เองที่ทำให้ผมรู้สึกสนใจจนต้องมองลอดผ่านร้านอย่างนี้ ผู้ชายคนนี้อีกแล้วผู้หญิงที่มากับเขาวันนั้นไม่ใช่คนนี้

แสดงว่าเขาคงมีหลายคน วันนี้มาหาเหยื่อที่นี่หรอเนี่ย ผู้หญิงเขาจะรู้ไหมว่าแฟนของเขามีผู้หญิงหลายคน เขาที่กล้าทิ้งผมไป

ทั้งๆที่ผมดีขนาดนี้ หรือที่ผมดีกับเขาขนาดนี้ยังกล้าหลอกผมได้ คงไม่มีใครแล้วที่จะผูกมัดผู้ชายที่ไม่รู้จักพอคนนี้ไว้ได้ ไม่นาน

ทั้งสองก็พากันเดินเข้าไปข้างในตึก

ไหนๆวันนี้ก็ได้ออกมาข้างนอกแล้วผมจึงถือโอกาสแวะไปดูร้านเสื้อผ้าของซักหน่อย ถึงแม้จะปิดตัวไปแล้วแต่ก็อยากไปเห็นกับ

ตา ร้านที่ผมเพียรพยายามสร้างขึ้นด้วยสองมือ ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ครั้งหนึ่งมันคือความภาคภูมิใจของผม รถแท็กซี่จอด

ที่หน้าร้านเสื้อผ้าเก่าของผม เดินลงจากแท็กซี่แล้วยืนมองร้านเสื้อผ้าที่ครั้งหนึ่งเคยมีคนเดินเข้าออก มีลูกค้าเข้ามาซื้อเสื้อผ้าที่นี่

ลานจอดรถที่เคยมีรถจอด ตอนนี้ป้ายหน้าร้านถูกยกออกไปแล้ว กระจกรอบๆร้านเริ่มถูกฝุ่นควันเกาะเต็มไปหมดเงยหน้ามองขึ้น

ไปชั้นบนของตึกนั่นชั้นสอชั้นบนนั้นผมเคยนั่งทำงานบนนั้นเคยมองลงมาผ่านกระจกใสบานนั้นแต่วันนี้เป็นผมที่ต้องมองผ่าน

กระจกบานนั้นขึ้นไป น่าดายทั้งที่ทุกอย่างกำลังจะเป็นได้ด้วยดี กำลังมีงานแสดงเสื้อผ้าคอลเล็คชั่นใหม่แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นก่อน

มองจากข้างนอกเข้าไปเห็นอะไรมากนักเพราะข้างในปิดม่านไว้ป้องกันคนเข้าไปขโมยของในนั้น เฮ้ยเสียงผมถอนหายใจ อากาศ

วันนี้ร้อนเป็นใจเสียจริงรู้สึกกระหายขึ้นมายืนมองหาร้านอาหารหรือร้านกาแฟหลบอากาศร้อน  จนสายตาเหลือบไปเห็น

ตึกหรือบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่นัก มองดูแล้วน่าจะเป็นบริษัทอะไรซักอย่างนั้นมันทำให้ผมสนใจ ลานจอดรถ

กว้างมีรถหลายคันกำลังจอดอยู่ มีคนเดินเข้าออกประตูด้านหน้าตึก YOUR DREAM คือชื่อบริษัทตัดสินเดินเข้าไปประตูกระจกถูก

ผลักก้าวเท้าเข้าไปรู้สึกเหมือนร้านขายเครื่องเขียนเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์อยู่ด้านขวามือส่วนด้านซ้ายมีมุมโต๊ะเก้าอี้โซฟาหลาย

ชุดสำหรับนั่งพักผ่อน ไม่ห่างกันมากนักมีน้ำตกจำลองขนาดเล็กไว้สำหรับผ่อนคลายอารมณ์ พนักงานต้อนรับไม่ได้สวมชุด

ยูนิฟอร์ม แต่แต่งกายที่สุภาพรวบผมและแต่งหน้าบางๆ ยืนส่งยิ้มทักทายผู้ที่เดินเข้ามาข้างใน ถัดไปเป็นร้านกาแฟกลิ่นเมล็ด

กาแฟคั่วหอมโชยมากระทบจมูก ถัดจากร้านกาแฟเป็นร้านหนังสือขนาดใหญ่ ร้านหนังสือแบบนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“สวัสดีค่ะมาสมัครงานรึเปล่าคะเชิญตรงนั้นได้เลยค่ะ”มีพนักงานสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาทักผมแล้วยื่นเอกสารให้ผม แล้วชี้ไปที่

ห้องห้องหนึ่งที่มีคนเดินเข้าไปในนั้น

 “เอ่อ คือ” ผมยังไม่ทันตอบหรือปฏิเสธ

“เดินตามมาทางนี้เลยค่ะ”เธอก็บอกให้ผมเดินตามเธอไปที่ห้องดังกล่าว ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าการแต่งตัวของงผมวันนี้มันคงเหมือน

คนมาสมัครงานจริงๆ เพราะหลายคนในห้องแต่งตัวคล้ายกันกับผม ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พนักงานสาวจะเข้าใจผิด ห้องห้องนี้น่าจะ

เป็นห้องอะไรสักอย่างแต่จุคนได้เยอะทีเดียว ท่าทางน่าสนใจ นี่คงเป็นประสบการณ์ใหม่ของผม ผมไม่เคยไปเที่ยวสมัครงานมา

ก่อน เคยแต่มีบริษัทเป็นของตัวเอง ทำงานเหมือนกันแต่บทบาทหน้าที่ต่างกันจะรู้สึกยังไงบ้างนะ เคยแต่สั่งคนอื่นถ้ารับคำสั่งจาก

คนอื่นจะเป็นยัง เดินหาที่วางแล้วนั่งลงอ่านเอกสารสมัครงานที่พนักงานสาวยื่นให้ผม ที่นี่เป็นสำนักพิมพ์หรอรับสมัครงาน

พนักงานหลายตำแหน่ง สายตาผมไล่ไปตามข้อความในกระดาษนั้น ตำแหน่งนักแปล(Freelance)ไม่กำจัดอายุเพศ อ้าน่าสนใจ

มากผมตัดสินใจกรอกรายละเอียดลงไปในใบสมัคร แนบเอกสารเอ๊ะเหมือนผมเตรียมตัวมาสมัครงานเลยผมมีพร้อมทุกอย่างเลย

ส่งคืนเอกสารที่กรอกเรียบร้อยให้เจ้าที่หน้าจากนั้นเขาพาผมมาอีกห้อง แล้วส่งเอกสารกับดิกชันนารีหนึ่งเล่มให้ผม

“นี่เป็นแบบทดสอบนะคะ วิธีทำบอกไว้ในนี้แล้ว ให้เวลาสามชั่วโมงนะคะเสร็จ......”เจ้าหน้าที่หน้าห้องบอกรายละเอียดผม รับ

เอกสารไว้ในมือแล้วเดินเข้าไปในห้อง ตื่นเต้นสำหรับสมัครงานครั้งแรก ว่าแต่ต้องมีแบบทดสอบเยอะขนาดนี้เลยหรอ เปิดดู

เอกสารได้มาคร่าวๆ เป็นการแปลจากภาอังกฤษเป็นภาษาไทย และภาษาไทยเป็นอังกฤษ มีทั้งเป็นแบบร้อยแก้วร้อยกรอง ภาษา

ที่เป็นทางการ และภาษาทั่วไป ลองเหลือบดูคนอื่นๆที่เข้ามาก่อนผม ท่าทางเคร่งเครียดกันจริงๆ ผมที่ชอบอ่านนิยายทั้งจากใน

และต่างประเทศบ่อยๆตั้งแต่เด็ก นี่อาจจะเป็นโอกาสวัดความสมารถของผม อาจจะเป็นความโชคดีของผมในช่วงปิดเทอมตั้งแต่

เด็กได้ไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศบ่อยๆ ทำให้ภาษาต่างประเทศไม่เป็นอุปสรรคกับผม

เวลาเริ่มเดินไปเรื่อย ผ่านไปหนึ่ง สองชั่วโมง และสามชั่วโมง

“ส่งเอกสารได้แล้วค่ะ”พนักงานแจ้งทุกคนให้วางมือเดินเก็บเอกสารของแต่ละคน ผมเงยหน้าขึ้นจากระดาษ เห็นดาวระยิบระยับ

เลย ไม่นึกว่าสอบเข้าทำงานจะตื่นเต้นสนุกว่าสอบในมหาวิทยาลัยซะอีกเขียนซะจินตนาการสุดขอบฟ้าไปจนถึง ณ แดนดินอัน

พิศวง

“เรียบร้อยนะคะแล้วทางเราจะติดต่อไปตามที่อยู่และเบอร์โทรที่ให้ไว้”ขอบคุณครับ ผมมองตามกองเอกสารที่ถูกพนักงานสาวยก

ออกไปเอ๊ะผมเกือบลืมไปแล้วว่าผมเข้ามาทำอะไรรู้สึกว่าผมอยากดื่มอะไรเย็น แต่ดูท่าที่นี่คงไม่เหมาะผมเดินออกจากห้องนั้น

ด้านนอกยังมีคนมาสมัครงานรอสอบสัมภาษณ์อีกเยอะ ผมว่าผมไปหากินอะไรที่ห้างสรรพสินค้าแถวนี้ดีกว่า มองห้างสรรพสินค้า

ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านนอยู่ไกลพอสมควร





*************************************************************************

ทำไมตอนนี้ยาว ขออภัยหากมีอะไรผิดพลาด ตัดแบ่งเนื้อหลายรอบมากกว่าจะโพสได้ อาจจะมีข้อความหายหรือเกินหรือซ้ำก็

ขออภัยมาด้วยจ้า


เจอกันใหม่ตอนหน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-05-2016 11:46:51 โดย jaengs »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ชีวิตดีมีความสุข

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ชอบที่เรื่องนี้ไหลเรื่อยๆ สบาย ตามต่อค่ะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
น้องนินทั้งทำงานทั้งเรียนอีกหน่อยคุณเทียนสงสัยแน่ๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 729
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
คุณเทียนชัดเจนกว่านี้หน่อย น้องนินเค้าไม่เข้าใจอ่า

ออฟไลน์ jaengsRU

  • ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-1
    • https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/
เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน

ตอนที่ 12

ตึ่งตึงตึง ตึ่งตึ๋งตึง ตึ่งตึงตึง ตึ่งตึ๋งตึง ตะลึงตะลึงตะลึง ตึงตึ่ง เสียงกลองทอมบ้าคู่กำลังถูกรุ่นพี่นักศึกษาชายคนหนึ่งตีดังขึ้นเป็น

จังหวะอย่างสนุกสนาน ทำให้คนที่ฟังรู้สึกครึกครื้นสนุกสนานไปตามกัน เสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณโรงยิมสนามบาสขนาดใหญ่

สนามบาสขนาดใหญ่มีขนาดเล็กลงเมื่อมีจำนวนมีนักศึกษาจำนวนมากที่มารายตัว รุ่นพี่มาดูแลน้องค่อนข้างเยอะใส่เสื้อเป็นทีม

เดียวกันเป็นเสื้อสีประจำมหาวิทยาลัยวันนี้ที่มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมเข้ากลุ่มสัมพันธ์หรือเชียร์รวม เป็นการสร้างความสัมพันธ์

นักศึกษาใหญ่เตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียน ละลายพฤติกรรมหาเพื่อนต่างคณะบางคนก็ใช้โอกาสนี้หาเพื่อนคู่ใจ วันนี้ทุกคน

ต่างสวมใส่ชุดลำลองมาร่วมกิจกรรม ใครที่รายงานตัวแล้วจะได้ทราบว่าตัวเองกลุ่มไหนแยกออกเป็นตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ

จะมีป้ายห้อยคอที่เขียนชื่อเล่นคณะและกลุ่มของตัวเอง เมื่อทราบแล้วว่าอยู่กลุ่มไหนก็ไปนั่งเข้าแถวกับเพื่อนๆ 

“สวัสดีค่ะ น้องชื่ออะไรคะ”รุ่นพี่สาวยิ้มทักทายผม ขณะที่ผมตรวจดูรายชื่อว่าชื่อผมอยู่กลุ่มไหนผมลงลายมือหลังชื่อ

“สวัสดีครับ ผมชื่อนินจาครับ”ผมบอกชื่อเล่น คณะ ให้เธอทราบ เธอเขียนชื่อผมลงป้ายสี่เหลี่ยมที่ห้อยด้วยด้ายสำหรับใช้คล้อง
คอ

“ชื่อน่ารักจังเลย ตัวก็น่ารัก”เธอเงยหน้าขึ้นจากการเขียนป้ายชื่อให้ผมแล้วยื่นมันให้ผม

“ขอบคุณครับ”ผมรับป้ายชื่อมาแล้วเดินไปที่กลุ่มของผม

“สวัสดีค่ะ/ครับน้องๆนักศึกษาใหม่....”ด้านหน้าสุดมีรุ่นพี่ชายหญิงสองกำลังแนะนำตัว เท่าที่ดูไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าที่ควร

นักศึกษายังไม่เยอะบางคนที่มาก็ก้มหน้าก้มตาดูจอสี่เหลี่ยมของใครของเราไม่สนใจรอบข้าง เงยหน้าขึ้นมาบ้างยกโทรศัพท์ขึ้น

มาถ่ายรูปแล้วก้มหน้าลงเหมือนเดิม

“นี่เธอนี่ไงพี่บีมกับพี่ฟ้าเดือนดาวมหาวิทยาลัยปีที่แล้วดูหล่อดูสวยทั้งคู่เลย”

“ไหนๆ เออดูดีอะ”เสียงคนคุยกัน เหมือนพี่ทั้งสองคนจะมีชื่อเสียงทำให้หลายคนเงยหน้าขึ้นมาสนใจได้ แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกเบื่อๆ

แล้วเหมือนกัน แต่เอ๊ะเดี๋ยวนะผมว่าผมเห็นคนรู้จักด้วย

“นี่ นาย”ผมยื่นมือไปสะกิดผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นหันหน้ามา

“นาย นั่นเองนึกว่าใคร รอแปบนะ”เขาจำผมได้ดีจังเลย ผมมีเพื่อนคุยด้วยแล้ว เขากำลังลุกจากที่นั่งเปลี่ยนมานั่งใกล้กับผม

“เจอกันอีกแล้ว เราขอบคุณอีกครั้งนะสำหรับปากกา”

“ไม่เป็นไร เราชื่อนินจาเรียกนินเฉยๆๆก็ได้”

“เราชื่อช๊อป”ผมนั่งมองหนุ่มน้อยหน้าสวย ดวงตากลมโต แก้มใส ที่นั่งอยู่ข้างผม 

“เราน่าจะเรียนคณะเดียวกันนะเพราะเราไปลงทะเบียนวันและช่วงเวลาเดียวกัน”

“ใช่เราเอกภาษาอังกฤษ แล้วช๊อปล่ะ”

“เหมือนกันเลย นินมาเรียนที่นี่คนเดียวหรอหรือมีเพื่อนมาด้วย”ผมเล่าเรื่องที่ผมประสบอุบัติเหตุทำให้ผมจำเรื่องในอดีตไม่ได้

รวมถึงเพื่อนเลยไม่รู้ว่ามีเพื่อนเก่ามาเรียนที่นี่ด้วยรึเปล่า

“ไม่เป็นไรนินก็มีช๊อปเป็นเพื่อนแล้ว เพื่อนสนิทช๊อปไม่มีใครมาเรียนที่เลยพวกเราแยกย้ายกันไปที่อื่นหมด อ้าตอนนแรกนึกว่าจะ

แย่ซะแล้วถ้านินไม่ให้ยืมปากกาคงแย่ อีกอย่างเราก็มีเพื่อนแล้วนึกว่าจะไม่เพื่อนแล้วซะอีก” ผมรู้สึกถูกชะตากับช๊อฟ เขาเป็นคน

น่ารักคุยสนุก

“นี่พวกเธอเรียนเอกภาษาอังกฤษหรอ”พวกเราหันหน้าไหมองผู้หญิงคนหนึ่งถามขึ้น

“อืม ใช่”ช๊อปตอบผู้หญิงคนนั้น

“เราก็เรียนเหมือนกัน เราชื่อ แต้มต่อ”เธอแนะตัวยกป้ายชื่อที่ห้อยขึ้นให้พวกเราดู หญิงสาวที่สวมเสื้อยืดกางเกงยีนต์เข้ารูป

รองเท้าผ้าใบนั่งขัดสมาธิเธอมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ผิวขาว คิ้วตาจมูกปากรับกับใบหน้ารูปไข่นั้นเหลือเกิน เธอส่งยิ้มสดใสที่เห็น

ฟันขาวเรียงตัวสวยนั้นมาให้พวกผม

“ส่วนนี่เพื่อนเราชื่อ ข้าวขาว เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม”แต้มต่อแนะนำเพื่อนของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆให้ผมกับช๊อปได้รู้จักผู้

หญิงอีกคนที่แต่งตัวไม่ต่างกัน แต่เธอมีหน้าตาสวยหวาน

“หวัดดีเรา นิน/หวัดดีเรา ช๊อป”ผมทั้งสองแนะนำตัว

“ข้าวว่าพวกเรามาแลกเบอร์โทรศัพท์และไลน์กันดีกว่า”ข้าวเสนอให้พวกเราทั้งสี่คนแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์และไลน์กัน พวก

เราตอนนี้ไม่มีใครสนใจรุ่นพี่ที่กำลังพูดผ่านไมโครโฟนที่อยู่ด้านหน้าเลยสักคน ผมกำลังนั่งฟังสองสาวคุยเรื่องนั้นรื่องนี้อย่างสนุก

เย้ ตอนนี้ผมมีเพื่อนแล้วอย่างนี้สิค่อยสนุกหน่อยเวลาทำกิจกรรม ตอนนี้รุ่นพี่สั่งให้พวกเรานักศึกษาทั้งหมดยืนขึ้นแล้วเดินตามรุ่น

พี่ที่ถือป้ายกลุ่มไปพวกผมทั้งสี่คนก็เดินตามกลุ่ม

“วันนี้เราต้องทำกิจกรรมทั้งวันเลยรึเปล่า”แต้มต่อถามขึ้นขนาดที่เดินตามคนอื่นไป

“เราคิดว่าน่าจะใช่นะ”ผมตอบคำถามของเพื่อน

“ว้าแย่จัง วันนี้เราน่าจะกินไอศกรีมเลี้ยงฉลองที่เราได้เป็นเพื่อนกันนะ”ผมรู้สึกสองสาวเพื่อนผมเป็นอะไรที่โลกสวย เธอทั้งสองน่า

รักดีนะ เส้นทางที่ผมและเพื่อนเดินตามคนอื่นไปเป็นพื้นที่ถูกปูไปด้วยอิฐหนาทางขนาดกว้าง ข้างทางมาต้นไม่พุ่มประดับไว้ เดิน

เข้าไปเรื่อยๆก็เจอเหมือนสวนที่มีต้นไม่ใหญ่ล้อมรอบมีพื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าสีเขียวเป็นลานกว้างกลุ่มอื่นมาถึงก่อนแล้ว

กำลังเตรียมทำกิจกรรม

“น้องกลุ่ม N รวมกลุ่มกันตรงนี้นะคะ”เสียงรุ่นพี่ประจำกลุ่มเรียกให้คนรวมกลุ่มกัน กลุ่มของผมมีคนเยอะเหมือนเมื่อถูกจัดเป็นแถว

ตอนแถวละสิบคน พี่คงไม่ให้พวกผมออกไปแนะนำตัวทีละคนนะครับ   

“พี่จะแจกหนังสือเล่มเล็กนี้ให้ทุกคนนะครับ”รุ่นพี่อีกคนบอกหนังสือเล็กถูกส่งผ่านมือทุกคนในกลุ่มไปเรื่อยจนครบทุกคน ผมเปิด

ดูเนื้อหาข้างใน

“นินดูสิมีเรื่องเล่าเรื่องผีด้วย”ผมเปิดไปหน้าที่ข้าวขาวบอกผม มันเป็นเรื่องเล่าที่รุ่นพี่เล่าต่อๆกันมามมหาวิทยาลัยผีเยอะจริงมีผี

ทุกที่เลย มีเกือบทุกสถานที่ในมหาวิทยาลัยก็เป็นเรื่องธรรมดามหาวิทยาลัยเก่าแก่ขนาดนี้ก็ต้องมีบ้าง

“หนังสือเล่มนี้เป็นสิ่งที่พวกรุ่นพี่ได้รวบรวมไว้รุ่นน้องทุกคน มีเพลงประจำมหาวิทยาลัย ส่วนเพลงประจำคณะน้องจะได้รู่ก็เมื่อเข้า

คณะแล้ว มีเรื่องเล่าของมหาวิทยาลัย.....”รุ่นพี่กำลังแนะนำหนังสือว่าข้างในมีอะไรบ้าง ผมเปิดเนื้อหาข้างคงมีประโยชน์บ้าง

สำหรับนักศึกษาใหม่

“ช๊อป ช๊อปลงทะเบียนเรียนแล้วรึยัง”

“ครบแล้ว นินล่ะ”

“เหมือนกัน”ผมหยิบตารางเรียนขึ้นมาดูว่าเราได้เรียน SECTION เดียวกันรึเปล่า

“ข้าวกับแต้มดูด้วย”สองสาวเอาตารางขึ้นมาเปรียบเทียบตกลงเราทั้งสี่คนเรียนเหมือนกันทั้งหมด ไม่มีใครหลุดไปเรียนคนเดียว

เสียงกลองเสียงหัวเราะเสียงปรบมือเสียงจากกลุ่มอื่นๆดังแว่วมาแล้ว มีบางกลุ่มให้ตัวแทนออกไปเต้นด้านหน้า บางกลุ่มลุกขึ้น

เต้นตามรุ่นพี่ เสียงแต่ละกลุ่มเริ่มดังขึ้นแข่งกัน กลุ่มผมรุ่นพี่กำลังสอนร้องเพลง กิจกรรมดำเนินไปเรื่อยๆ ทุกคนต่างให้ความร่วม

มืออย่างดี พื้นที่ลานกิจกรรมนี้ปกคลุมไปต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกมา ทำให้บริเวณแต่ละกลุ่มที่ทำกิจกรรมนั้นมีร่มเงา แต่

อากาศก็ยังไม่เป็นใจเท่าทีควร เพราะตอนนี้กำลังเคลื่อนมาตรงที่ศีรษะแล้วนั่นเป็นการบอกให้รู้ว่าตอนนี้ใกล้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว

“วันนี้พวกพี่ขอบคุณน้องๆมากที่ร่วมกิจกรรมกับพวกพี่ในวันนี้”รุ่นพี่ที่ดูแลกลุ่มพวกผมยืนแถวเรียงหน้ากระดานโค้งคำนับ พวกผม

ปรบมือให้

ผ่านไปแล้วกิจกรรมการเข้ากลุ่มสัมพันธ์ ตอนนี้พวกผมกำลังนั่งกินข้าวกล่องที่พี่แจกให้ พวกผมกลับมาที่โรงยิมที่เรารวมตัวกัน

เมื่อเช้า ข้างนอกอากาศร้อนจึงเข้ามานั่งกินข้าว อาหารยังเป็นปัญหาของผมเหมือนเดิมผมจำต้องทนกินประทังชีวิตไปก่อน โรง

ยิมขนาดใหญ่พวกเรานั่งบนสแตนเชียร์ มีหลายกลุ่มที่น้องกลับไปแล้ว พวกผมตกลงกันว่ากินเสร็จก่อนแล้วค่อยหาที่ไปกัน

“ข้าวดูนั่นสิ”แต้มต่อกำลังคุยอะไรกันซักอย่าง

“นั่นพี่แทนนิ ยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะ”

“อยากเข้าไปทักจัง”

“พี่เขาคงรู้จักข้าวหรอกนะ”ผมหันไปมองคนที่สองสาวกำลังพูดถึง

“นั่นพี่เขามองมาทางนี้แล้ว”

“เขาต้องมองแต้มแน่เลย”ผู้ชายคนนั้นกำลังมองมาที่ผม

“พี่เขาเดินมาแล้วข้าว เขาต้องหลงเสน่ห์แต้มแน่เลย”

“จ้า”สาวทั้งสองตื่นเต้นที่ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาพวกเรา

“พี่แทนสวัสดีค่ะ”

“สวัสดีค่ะ”

“พี่แทนมีอะไรรึเปล่าเห็นมองพวกเราตั้งนาน”

“ไม่มีอะไรพี่แค่มอง”พี่แทนยังพูดไม่จบผมรีบพูดแทรกขึ้นทันที ก่อนที่พี่แทนจะพูดอะไรแปลกออกไป หลานๆบ้านนี้น้ามีแต่คน

แปลกๆ แสบๆ ร้ายๆ กันทั้งนั้น แต่ละคนรับมือยากกันจริงๆ

“สวัสดีครับพี่แทน ผมเพิ่งรู้นะครับว่าพี่แทนก็เรียนที่นี่เหมือนกัน”ผมไหว้ทักทายส่งยิ้มให้พี่แทนผู้ชายหน้าตาดีที่สองสาวต่างชื่น

ชอบ สองสาวมองหน้าผมงงที่รู้จักพี่แทนและพี่แทนรู้จักกับผม มีคนหลายคนกำลังมองมากลุ่มผม เพราะพี่แทนเดินเข้ามาคุยกับ

กลุ่มของผมรีเปล่านะ

“พี่ก็เพิ่งรู้ว่าเรามาเรียนที่นี่ นึกว่ายังอยู่ม.ต้นอยู่เลย ไม่คิดว่าเด็กที่ชื่อนินจาที่เพื่อนๆพูดถึงจะเป็นเรา ยายทิมก็เรียนที่นี่นะ ถ้ามี

โอกาสเดี๋ยวคงได้เจอกัน”พูดถึงคุณทิมผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที

“ถ้าพี่เทียนรู้ว่าเรียนที่นี่ คงมีเรื่องสนุกแน่”ฮะ หมายความว่ายังไงครับพี่แทน แล้วไม่ต้องยิ้มอย่างนั้นเลย พี่แทนนี่ก็ร้ายไม่แพ้คุณ
ทิม


“พี่แทนทานข้าวด้วยกันไหมค่ะ”แต้มต่อชวนพี่แทนทานข้าว

“ไม่เป็นพี่เรียบร้อยร้อยแล้ว พี่ไปก่อนนะ”พี่แทนเดินไปแล้ว ทั้งสองสาวหันหน้ามามองผม

“นิน นินรู้จักกับพี่แทนด้วยหรอ”ทำไมต้องทำเสียงหวานน่าขนลุกอย่างนั้น

“เป็นเพื่อนบ้านกัน”

“จริงหรอ เราอยากไปเที่ยวบ้านนินบ้างจังเลย”

“อยากเที่ยวบ้านนินหรือไปเที่ยวบ้านพี่แทน”ช๊อปพูดขึ้นมา ทั้งกลุ่มหัวเราะทันที พี่แทนจะเดินจากไปแล้วแต่ยังมีอีกหลายคนที่

ยังมองมาที่กลุ่มที่ผมและเพื่อนนั่งอยู่

“นินไปเข้าห้องน้ำกับเราไหม”

“เราไปด้วย ข้าวเราฝากกระเป๋าด้วยนะ”ผมฝากของไว้กับข้าว ผมและช๊อปแยกกันเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว ผมออกมาจากห้อง

ห้องเปิดก๊อกน้ำล้างมือแต่ช๊อปยังไม่ออกมาจึงออกมายืนรอข้างนอก

“ทำตัวเด่นจังเลยนะกลุ่มนี้นะ ระวังตัวไว้ตัวล่ะ”มีผู้หญิงสองคนเดินผ่านผมไป พวกเธอพูดกับผมรึเปล่าหรือทั้งสองคุยกัน มอง

ตามผู้หญิงทั้งสองคน แล้วหนึ่งในนั้นก็หันหน้ามามองผมแล้วทำหน้าแสยะยิ้มให้ผม แสดงว่าคำพูดเมื่อครู่เธอต้องการพูดกับผม

“ตอนบ่ายเราไปกินไอศกรีมไหม”ข้าวขาวทำลายบรรยากาศที่เงียบ

“แต่นินกินไม่ได้”แต้มต่อ

“ไม่ใช่ปัญหา เรารู้จักร้านที่นินกินได้ ชื่อใจเราได้”ช๊อป

เป็นอันว่าพวกเราไว้ใจเชื่อว่าช๊อปต้องพาไปกินไอศกรีมร้านอร่อยแน่ๆ ข้าวขาวกับแต้มต่อไปรถคันเดียวกัน ส่วนผมติดรถไปกับ

ช๊อป ช๊อปพาเราไปห้างที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก ตอนนี้พวกเราทั้งหมดมายืนอยู่ที่ร้านหน้าตาน่ารัก ICE CREAM Café 

เข้ามาในร้านจะเห็นเป็นไอศกรีมโชว์อยู่ในตู้สีสันน่าทานมาก

“เป็นยังไง ร้านนี้พอได้ไหม”

“แปลกตาจัง เรามาที่นี่หลายครั้งแต่ยักเห็นร้านนี้เลย”แต้มต่อยังมองดูไปรอบๆร้าน ผมก็รู้สึกแปลกตารูปแบบของร้านร้านนี้กลุ่ม

ลูกค้าคงไม่ใช่เด็ก

“ใช่ เราก็ไม่เคยเห็น”ข้าวขาวมองดูไอศกรีมในตู้ใส

“ที่นี่เป็นร้านสำคนรักสุขภาพ พี่สาวเราชอบมาทานบ่อยๆ”พวกเราเข้ามาในร้านมองดูรอบๆหาที่นั่ง ร้านเล็ก ๆ

บนห้างใจกลางเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่ว่าภายในร้านนั้นดูเงียบได้ยินเสียงเพลงบรรเลงดนตรีเบาๆ อวลไปด้วยกลิ่นอาย

อบอุ่นแบบฉบับ ICE CREAM Café น่าจะเป็นสไตล์ญี่ปุ่น ทำให้นึกถึงร้านกาแฟในเมืองใหญ่ในญี่ปุ่นในร้านถูกตกแต่งด้วยโทนสี

ขาวดูสบายตาส่วนอีกฝั่งเป็นกระจกใสรับแสงแสงธรรมชาติมองเห็นวิวข้างนอกได้ด้วยเมื่อเข้ามาข้างในจะเห็น โต๊ะขนาดเล็ก

สำหรับนั่งเป็นคู่ มีเฟอร์นิเจอร์สีสบายตาคู่กับหมอนอิงรูปทรงน่ารักลายแปลกตา  มีโซนนั่งพื้นที่ปูด้วยพื้นไม้แบบญี่ปุ่นโต๊ะเตี้ยสี่

ขา มีเบาะรองนั่งวางรอบโต๊ะนั้น ด้านข้างมุมนั้นมีต้นไม้ในกระถางวางอยู่รอบๆทำให้เหมือนกำลังนั่งอยู่ในสวนสวย ที่นี่ยังมีมุม

จำหน่ายขายของจุกจิกเอาใจสาวสาว กระจก ที่ห้อยโทรศัพท์ พวงกุญแจ กระเป๋าผ้า

พวกเราเดินเข้ามานั่งลงแล้ววางสัมภาระ หยิบเมนูของร้านขึ้นมาดูไอศกรีมที่นี่เขาบอกว่าหมดห่วงเรื่องคุณภาพ เพราะทำแบบ

โฮมเมดเลือกใช้แต่วัตถุดิบเกรดดีเป็นมิตรต่อสุขภาพ แคลลอรี่ต่ำ ไขมันน้อยเหมาะสำหรับผู้ต้องการรักษาน้ำหนักและผู้เป็นโรค

เบาหวาน ไอศครีมผลไม้ส่วนใหญ่ใช้ผลไม้ Organic  ไอศกรีมนมรสชาติปกติก็มีแต่เป็นแบบไขมันต่ำ จากที่อ่านดูในเมนูน่าจะมี

ไอศครีมมากกว่า 60 รส ที่นี่ยังมีน้ำผลไม้ ขนมหวาน อีกด้วย พนักงานเดินมารับออร์เดอร์ของพวกเราแล้วกลับที่เคาร์เตอร์ ไม่

นานไอศกรีมน่าอร่อยก็มาอยู่มาบนพวกผม ก่อนกินพวกผมก็ถ่ายรูปรวมคนละรูป

“รสชาติใช้ได้เลยนะก็เหมือนไอศกรีมปกติ”ข้าวขาว

“เรานึกว่ามันจะไม่อร่อยไม่น่าทาน”แต้มต่อ

“เห็นไหมเราบอกแล้วให้เชื่อเรา”ช๊อป

“อร่อยจริงๆนั่นแหล่ะ ต้องขอบใจช๊อปนะเนี่ยที่พาเรามาเปิดหูเปิดตาวันนี้” ผม

“วันนี้ตอนที่ทำกิจกรรมมีคนมองกลุ่มเราตลอดเลย”แต้มต่อเห็นเหมือนผมเลยผมนึกว่าผมคิดไปเองรึเปล่า

“ใช่ เราก็สึกว่าเขามองมาที่กลุ่มเรา พวกรุ่นพี่ก็มองด้วย”ช๊อป

“พวกเราคงไม่ได้ทำอะไรประหลาดๆนะ แต้มต่อแน่เลยเธอชอบทำอะไรแปลกแบบไม่รู้ตัวอยู่เรื่อย”ข้าวขาว

“ถ้ายังงั้นคงไม่ใช่เขามองว่าเราน่าตาดีอยากรู้อยากเข้ามาทักไง อิอิ”คำพูดของแต้มต่อทำให้ทุกคนต้องหัวเราะออกมา หลังจาก

ที่ทานไอศกรีมกันหมดแล้วทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับ

วันนี้สนุกจังเลยผมวางกระสะพายหลังไว้บนโต๊ะแล้วกระโดดขึ้นเตียงแล้วนอนหงายมองที่เพดานสีขาวนั้น แล้วปลดปล่อยหัวใจ

ล่อลอยไปเรื่อย ให้สมองคิดเรื่องราวต่างๆไปเองโดยไม่ไปบังคับมัน ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แต่ผมได้ยินเสียงเลี้ยวเข้ามาในบ้านได้

ซักพักแล้ว

ก๊อก ก๊อก

“นิน แม่เข้าไปได้ไหมลูก”

“ครับ”ผมรีบลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตูให้แม่

“เป็นยังไงบ้างลูก เหนื่อยไหม”

“ไม่ครับ สนุกมากกว่า”

“ถ้าไม่เหนื่อยงั้นมาช่วยมาทำกับข้าวดีกว่า”

“ครับ”ผมเดินตามแม่ลงไปข้างล่างเข้าไปในห้องครัว ดินเข้าไปในครัวเห็นพี่แจ่มกำลังเตรียมของทำกับข้าว

“พี่แจ่ม วันนี้มีอะไรทานบ้างครับ ตอนเที่ยงกินข้าวกล่องได้นิดเดียวเอง ตอนนี้หิวมากเลย”

“วันนี้มีแกงจืดเต้าหู้สาหร่าย ผัดบ็อคโคลี่เต้าหู้ปลา ทอดมันปลา แกงส้มปลาช่อนมะละกอ”

“โอ้โห มีแต่กับข้าวน่ากินทั้งนั้นเลย มีอะไรให้นินช่วยไหมครับ”คิดถึงเมื่อก่อนที่ผมเข้ามาช่วยคุณแม่กับพี่แจ่มในครัวบ่อยๆทำให้

ผมทำกับเป็น เสียงน้ำเดือดในหม้อพี่แจ่มตักเกลือลงไปหนึ่งช้อนชา วางรากผักรากคึ่นไช่ทุบลงในหม้อตามด้วยผักกาดหัว

แครอทและฟักเขียวที่หั่นเป็นชิ้นชิ้นพอดี อีกด้านคุณแม่กำลังตั้งหม้อทำแกงส้มปลาช่อนมะละกอ เครื่องแกงส้มในถ้วยที่พี่แจ่ม

เป็นคนตำ ปลาช่อนที่หั่นเป็นท่อนๆ มะละกอที่ฝานเป็นชิ้นพอดีคำ ที่ถูกเตรียมไว้ผมยืนมองภาพแม่กำลังทำกับข้าวพลันรู้สึก

อบอุ่นขึ้นมาในใจ

“เสียงรถใครมาจอดที่หน้าบ้านเราลูก”ผมโผล่หัวออกไปทางประตูหลังบ้านชะเง้อหน้าออกไปดู  เห็นรถแต่ไม่เห็นคน

“นิน ออกไปซิลูกใครมา”

“ครับ”ผมเดินออกไปดูว่าใครมาเวลานี้ เดินออกมาจากครัวผ่านห้องโถงเห็นร่างคนคุ้นตากำลังยืนอยู่หน้าบ้านไม่ยอมเดินเข้ามา

“นึกว่าจะมีคนใจร้ายไม่ออกมารับซะแล้ว”ผมเดินไปเปิดประตูให้

“พี่เทียน สวัสดีครับมาทำไมครับ”

“อืม ใจร้ายมากคนเราคำถามนี้เหมือนไม่อยากให้พี่มาเลย”พี่เทียนทำหน้าหงอย

“ไม่ใช่ ถ้ามีธุระทำไมไม่บอกก่อนหรือถ้ามีธุระกับพ่อผมก็จะตามให้”ผมหน้ายู่พูดแค่นี้น้อยใจไปได้หัวก็ได้ล้าน แก่ก็ยังไม่เท่าไหร่

“พี่ล้อเล่นน่า มีธุระกับคุณลุงคุณป้าเรื่องของเรานั่นแหละ”ผมเอียงคอขมวดคิ้วมองหน้าพี่เทียนเรื่องอะไรอีกละเนี่ย พี่เทียนยื่นมือ

มาวางที่หัวผมแล้วขยี้หัวผม

“เข้าบ้านเถอะ ไม่ต้องยืนงงทำตาแป๋วหรอก เดี๋ยวก็รู้เอง”พี่เทียนเดินนำหน้าผมเข้าบ้าน

“คุณป้าสวัสดีครับ”

“อ้าว ตาเทียนมาหรอลูกนึกว่าใคร มาหาน้องหรอ เดี๋ยวอยู่กินข้าวก่อนนะแล้วค่อยกลับ แม่กำลังทำใกล้เสร็จแล้ว นินพาพี่เขาไป

นั่งดูทีวีก่อนลูก”

“คุณลุงสวัสดีครับ”

“ตาเทียนมาหรอลูกนึกว่าพ่อนึกว่าใคร ตามสบายนะลูก”พ่อเดินลงมาชั้นสองแล้วเดินไปห้องนั่งเล่นที่พ่อชอบไปนั่งอ่านหนังสือ
เงียบบ่อยๆ

“พี่เทียนไปนั่งที่ห้องโน้นดีกว่า”ผมพาพี่เทียนเดินไปอีกห้องแล้วเปิดทีวี ขึ้น ผมนั่งบนโซฟานุ่มส่วนพี่เทียนนั่งลงบนโซฟาอีกตัว

“พี่เทียนวันนี้นินไปมหาวิทยาลัยเจอพี่แทนด้วย สาวๆกรี๊ดเต็มเลย”

“ฮึ เรา อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับเจ้าแทนหรอ”

“ครับ”

“ดีแล้ว พี่จะได้ฝากให้เจ้าแทนยายทิมดูแล” ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะครับ

“น้องนินพาพี่เขามาทานข้าวก่อนเร็วลูกแม่ตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว เรียกคุณพ่อด้วยนะลูก”คุณแม่เดินเข้ามาเรียกผมที่ห้องดูทีวี

“พี่เทียนไปทานข้าวครับคุณแม่เรียกแล้ว”ผมพาพี่เทียนเดินไปโต๊ะอาหาร ส่วนคุณพ่อก็เดินออกมาจากห้องนั่งเล่นคงได้ยินเสียง

คุณแม่เรียก ผมเดินไปช่วยหยิบโน่นนี่นั้นออกมาจากครัว พี่พี่แจ่มกำลังตักข้าวใส่จานให้คุณพ่อพี่เทียน ผมกับแม่เดินมาที่โต๊ะ

อาหารแล้วเราเริ่มทานข้าวกันอย่างเงียบๆ วันนี้มีสมาชิกเพิ่มมาอีกคน




*******************************************************************************



แล้วเจอกันใหม่ในตอนหน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2016 14:19:11 โดย jaengs »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
พี่เทียนมาคุยธุระอะไรเรื่องน้องนินหนอ
กลุ่มเทียนหน้าตาดีเลยถูกอิจฉาซินะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด