พิมพ์หน้านี้ - เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] [The end] (แจ้งข่าวเรื่องรวมเล่ม) 13/3/2560

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: jaengsRU ที่ 06-01-2016 11:57:56

หัวข้อ: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] [The end] (แจ้งข่าวเรื่องรวมเล่ม) 13/3/2560
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 06-01-2016 11:57:56
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ลงใหม่แก้ไข ตอนที่ 1] 6/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 06-01-2016 12:04:05
มีเพจแล้วฝากติดตามด้วยจ้า
https://www.facebook.com/jaengsruchengschan/
[/size]

********************************************************************************************
(http://i68.tinypic.com/2qu21b8.jpg)

++++ เปิดจอง เธอ...คือหนึ่งในไม่กี่คน ++++
ระยะเวลาจอง 31 พ.ค. - 30 มิถุนายน 2560
จัดส่งหนังสือได้หลังจากปิดจอง 15 วัน
----------------- รายละเอียดเพิ่มเติม ---------------

- ราคา 269 บาท
- เนื้อหาในเล่มมีประมาณ 250+
- ขนาด A5
- มีที่คั่น + โปสการ์ด
- มีของแถมให้ในรอบจอง
- ตอนพิเศษ 3 ตอน
- ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงภาษาให้สละสลวย
- แก้ไขคำผิด
- ปรับเปลี่ยนเนื้อหาบางช่วงเพื่ออรรถรสในการอ่านดีขึ้น
-----------------------------------------------------------------
- เมื่อทำการจองหนังสือเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งโอนเงินจนกว่าจะได้รับอีเมลแจ้งยอดโอน
- การสั่งซื้อจะแล้วเสร็จก็ต่อเมื่อได้รับอีเมลยืนยันยอดโอน
- หากมีข้อสอบถามเพิ่มเติมสามารถสอบถามมาได้ทาง
inbox เพจ : Writer book หรือ Dm ทางทวิตเตอร์ค่ะ
- ค่าจัดส่ง ธรรมดา 25 / ลทบ 40 / Ems 60
*** กรณีซื้อ 1 เล่ม จะเปลี่ยนจากใส่ซองเป็นกล่อง เพิ่มเงิน 15 บาท
*** ซื้อ 2 เล่มขึ้นไป ส่งแบบใส่กล่องให้ค่ะ
สนใจกรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้เลย
https://goo.gl/forms/hWxHRihj0mvGTCpz2 (https://goo.gl/forms/hWxHRihj0mvGTCpz2)[/size]





********************************************************************************************



เรื่องก่อนหน้า

 เริ่มต้นเรื่องร้าย ลงท้ายเรื่องรัก http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54740.msg3422187#top (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54740.msg3422187#top)

 Glad to meet LoVe.ยินดีที่ได้รู้จัก...ความรัก http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55745.msg3475213#msg3475213 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55745.msg3475213#msg3475213)


*******************************************************************************************

ลงนิยายแต่ละครั้งต้องใช้ความกล้า เพราะการเขียนนิยายแต่ละเรื่องมันเป็นการแสดงออกทางด้านความคิด มุมมอง ทัศนคติผู้แต่งแทรกลงไป

ลงนิยายแต่ละตอน ต้องอาศัยหลายอย่าง กลัวลงไปแล้วคนอ่านไม่ชอบ และคาดหวังความสนุกในตอนต่อไป

นิยายเรื่องแรกเป็นการประจานตัวเองว่า มีสามารถอ่อนด้อย แต่เรื่องต่อๆมาจะเป็นเรื่องที่คนเอ่านเปรียบเทียบว่าคนแต่งมีพัฒนาการรึเปล่า

คนแต่งยายมีหลากหลาย

- นั่นหมายถึงนิยายไม่ตายมีการพัฒนาเรื่อยๆ เหมือนที่แต่ก่อน

พระเอก ต้องแสนดี หล่อราวเทพบุตร รวย แต่โง่มักถูกนางอิจฉามอมเหล้าลากไปข่มขืน หูเบาใครบอกอะไรก็เชิ่อยกเว้นนางเอก

นางเอก ก็ต้องแสนดี สวย เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ จิตใจดีราวนางฟ้ามาจุติ ชีวิตโคตรน่าสงสาร จนแต่ดิ้นรนสู้ชีวิตและมีศักดิ์ศรี

แต่นิยายแบบเก่าก้ไม่ค่อยมีให้เห็น แต่กลับกัน

นางเอกต้องสู้คน เก่ง ฉลาด

พระเอกก้ไม่โง่เหมือนแต่ก่อน

นั่นทำให้เห็นวิวัฒนาการนิยาย ทัศนคติ มุมมอง การชีวิตของคนปัจจุบันที่แปลกไป

และปัจจุบันยังมีนิยายวายน (ชาย+ชาย) (หญิง+หญิง) เป็นทางเลือกให้เลือก สังคมเริ่มกว้าง ผู้อ่านมีโอกาสได้เสพนิยายแปลกใหม่
(นิยายไทยไม่มีที่นิยมแต่ถ้าบอกว่านิยายแปลจากต่างประเทศ ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เล่มนั้นจะขายดีเป็นพิเศษ ถึงแม้เนื้อเรื่องภาษาจะสู้นิยายไทยไม่ได้เลยก็ตามแต่ก็ขายได้ ทำให้คนแต่งนิยายไทนไม่เกิดเพราะสำนักพิมพ์ไม่กล้าเสี่ยง ทำให้มีนิยายบนเว็ไซด์ขึ้น)

ถึงนิยายบางเรื่องจะเน้น nc บ้าง / ใช้คำไม่สุภาพ/เนื้อเรื่องแปลกใหม่จนถึงขั้นผู้ชายท้อง ฯลฯ นั่นเป็นทางเลือกให้ผู้อ่าน ถ้าคน

อ่านเปิดใจกว้าง ถ้าชอบงานเขียนเก่าๆ เดิมๆ คุณผู้อ่านก็จะอ่านแต่สำนวนเดิมๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ (ไม่ได้บอกว่าของเก่าไม่

ดี)แต่สักวันก็ต้องมีคลื่นลูกใหม่มาแทน ต้องให้เวลาโอกาสพวกเขา เพราะกว่านักเขียนมีชื่อแต่ละคนจะประสบผลดั่งเช่นทุกวัน

ก็ต้องหัดตั้งไข่ก่อนที่จะเริ่มเดินก่อนทุกคน

*******************************************************************************************

**คนทุกคนเกิดมาบนโลกนี้มีใครบ้างไม่เคยทำผิดพลาด เขาก็เป็นคนหนึ่งที่ทำความผิดพลาดลงไปจนความผิดพลาดครั้งนั้นกลับมาทำร้ายชีวิตเขา

***แต่จะมีซักกี่คนที่สามารถกลับไปแก้ตัว หรือแก้ไขทำในสิ่งที่ตัวเองเคยทำผิดพลาดไป เขาเป็นคนที่โชคดีที่ได้รับโอกาสนั้นอีกครั้ง



เธอ...คือหนึ่งในไม่กี่คน
[/size]

ตอนที่1

 “ช่วย...ช่วยด้วย..ช่วยผมด้วย..ใครก็ได้..ใครก็ได้ช่วยผมด้วย ..กัณฑ์คุณอยู่ที่ไหน คุณมาช่วยผมด้วย..ช่วย.......”

นี่คือเสียงร้องอ้อนวอนของผม ไม่รู้ว่าผมตะโกนมันออกมานานเท่าไหร่  ดังขนาดไหน พยายามร้องขอความเมตตาจากพวกมัน

ทั้งน้ำตา น้ำตาใสใสค่อยค่อยไหลลินออกมาจากตา แต่พวกมันกลับไม่สนใจคำอ้อนวอนปานจะขาดใจนี้เลยแม้แต่นิด

ชื่อของผมคือ นนท์ นนท์ทนิตย์  กิจการเลิศล้ำพัฒนไพบูลย์ อายุ 24 ปี จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังสาขาการจัดการตลาด

ภาคอินเตอร์ เป็นบุตรชายคนเดียวของบ้าน ที่บ้านของผมมีฐานะดีตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณย่า เพราะทำธุรกิจเกี่ยวกับ IMPORT

EXPORT และมีหุ้นส่วนในบริษัทเกี่ยวกับการสื่อสารแห่งหนึ่งในประเทศ ไม่ได้เป็นผู้บริหารเป็นเพียงผู้ถือหุ้นรายใหญ่คนหนึ่ง

เท่านั้น ส่วนผมเป็นเจ้าของห้องเสื้อชื่อดัง ภายใต้แบรด์น “นนท์ทนิตย์” คือชื่อของผมเอง สินค้าของผมทุกชิ้นต้องมีคุณภาพ

ราคาที่ทุกคนจับต้องได้ มีเพียงสาขาเดียวในกรุงเทพเท่านั้น เพื่อป้องการการดูแลที่ไม่ทั่วถึงอาจทำให้คุณภาพสินค้ามีปัญหา

ภายหลัง ไม่ต้องเดินทางไปหลายที่ เลยตัดปัญหาที่จะตามมาไป ร้านของผมแต่ก่อนเคยเป็นตึกแถวให้คนอื่นเช่า แต่นานไปห้อง

แถวทรุดโทรมไม่มีใครเข้ามาเช่าก็ปล่อยทิ้งร้าง อยู่มาวันหนึ่งบริเวณใกล้ๆก็มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่มาเปิด ประกอบกับผม

ต้องการทำร้านเสื้อผ้าจึงรื้อห้องแถวทิ้งสร้างตึกขึ้นมาใหม่ ชั้นแรกด้านหน้าเป็นหน้าร้านขายสินค้ามีพนักงานดูแล ด้านหลังเป็น

ห้องออกแบบตัดเย็บ ห้องเก็บผ้า ชั้นสองเป็นห้องทำงาน ห้องประชุม ห้องพักผ่อนพนักงาน มองเห็นป้ายร้านขนาดใหญ่

แล้วขับรถเลี้ยวเข้ามาที่จอดรถของร้าน 

“สวัสดีค่ะคุณนนท์/สวัสดคีรับคุณนนท์” พนักงานต้อนรับหน้าร้านชายหญิงทักทาย เมื่อผมเปิดประตูร้านเข้ามา

“สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักทายพนักงานทั้งสอง พร้อมส่งรอยยิ้มให้แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเพื่อไปที่ห้องทำงานเปิดประตูเข้าไปวาง

กระเป๋าสีดำที่มีเอกสารข้อมูลแผนงานและเอกสารสำคัญอยู่ในนั้นลง พร้อมทั้งเช็คเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ

“สวัสดีค่ะพี่นนท์ วันนี้เข้าร้านแต่เช้าเลยนะคะ”เสียงหวานใสของเลขาคนสวยเอ่ยทักทายยามเช้า

“อ้อ พอดีพี่นอนไม่ค่อยหลับนะครับ”

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ ร้านเราก็ไม่ปัญหานะคะ”เธอแสดงสีหน้าเป็นห่วง

“เรื่องอื่นนะครับ”

“ยังไงคุณนนท์รักษาสุขภาพด้วยนะคะน้ำรินเป็นห่วง” ยิ้มรับความเป็นห่วงของเลขารุ่นน้องคนสวย

น้องน้ำรินเป็นเลขาของผมทำงานด้วยกันมาตั้งแต่ที่เปิดร้านนี้ใหม่ใหม่ ล้มลุกคุกคลานมาด้วย จากที่เคยวิ่งหาลูกค้า ต้องวิ่งบาก

หน้าขอความช่วยเหลือจากคนอื่น โปรโมทสินค้าผ่านทุกช่องทางเท่าทีจะสามารถทำได้ พวกเราวางแผนงานจนดึกดื่น

แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว แต่ก็ยังไม่เคยหลงลืมช่วงเวลาเหล่านั้นเลย ถ้าไม่มีช่วงเวลานั้นก็ไม่สามารถเข้มแข็งได้เหมือนทุกวันนี้

มือผมไล่เปิดแผ่นกระดาษสรุปยอดสินค้าเมื่อวาน ยอดสั่งจอง ยอดสั่งตัด อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าทางร้านจะเปิดคอลเลคชั่นใหม่

จึงได้มีการเจรจาพูดคุยกับบริษัทรับจัดงาน เพื่อหาสถานที่ในการจัดงานและนางแบบนายแบบที่จะสามารถสวมชุดได้เหมาะสม

   ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องทำงานที่ถูกเปิดอยู่ดังขึ้น

“พี่นนท์คะผ้าที่เรานำเข้าล็อตล่าสุดมาแล้วค่ะ พี่นนท์จะเช็คก่อนไหมคะ” น้องน้ำรินเลขาเดินเข้ามาแจ้งเรื่องสินค้าที่นำเข้า

มาจากต่างประเทศ ผ้าที่ใช้ตัดเสื้อผ้ามีทั้งผ้าไทยและผ้าที่นำเข้า ผ้าทอมือ ผ้าทอพื้นเมือง รวมไปถึงผ้าสั่งทอพิเศษ

ปกติผ้าที่นำเข้าจะเป็นสินค้าจากโรงงานเดิมแต่เพื่อความแน่ใจไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด จึงต้องมีการตรวจสอบทุกครั้ง

“พี่นนท์รบกวนน้ำรินช่วยเช็คของให้ได้ไหมครับ พี่ขอเคลียเอกสารตรงหน้านี้ก่อนแล้วจะตามไป” เงยหน้าขึ้นพูดกับคนที่ตรงหน้า
 
หลังจากที่ไหว้วานน้ำรินแล้วก็กลับมาทำงานตรงหน้าต่อ

“พี่นนท์ผ้าเข้ามาล็อตนี้สวยดีนะคะ น้ำรินสั่งคนเก็บเข้าห้องเก็บผ้าแล้ว”

“ขอบคุณครับน้ำริน”

“พี่นนท์เที่ยงแล้ว พักบ้างเถอะค่ะ เราออกไปหาอะไรอร่อยทานกันดีไหมคะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาข้อมือแบรนด์ดังราคาหรู

ตัดสินใจวางงานตรงหน้าลงปิดพักหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วออกไปทานข้าวเที่ยงกับน้ำริน รถยุโรปคันหรูของผมเลี้ยวเข้าจอด

ลานจอดรถร้านอาหารแห่งหนึ่ง พอลงจากรถก็มีสิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจ

“พี่นนท์...พี่นนท์ เป็นอะไรรึเปล่าคะ น้ำรินเรียกตั้งหลายครั้งไม่ตอบ”

“อ้อเปล่าครับพอดี คิดอะไรนิดหน่อย” รถยุโรปคันสวยขับผ่านไปทำให้รู้สึกแย่นิดหน่อย ผมจำได้จำป้ายทะเบียนรถคันนั้นได้

 รถคันนั้นคือรถของผมเอง รถที่ผมให้แฟนยืมไปใช้แต่คงไม่รู้สึกแย่ถ้าคนที่นั่งมากับแฟนผมเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง และผู้หญิงคนนั้น

กำลังนั่งกอดแขนแฟนของผมอยู่ในรถ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้ที่เห็นแต่ไว้ใจคนที่ตัวเองรัก ในเมื่อคนที่รักปฏิเสธก็ต้องเชื่อใจใช่ไหม

ครับ แต่ว่าวันนี้มันคงถึงเวลาที่ผมกับเขาต้องคุยกันให้รู้เรื่องสักที

“พี่นนท์ลองทานอันนี้ดูไหมคะ ลองทานดู” มองอาหารตรงหน้าที่น้ำรินตักใส่จานให้ชิมด้วยความรู้สึกโหวงโหวงที่ใจ

“อื้มอร่อยดีนะครับ” จะให้อร่อยกว่านี้ถ้าความรู้สึกตอนนี้มันคงที่ เราทานอาหารไปเรื่อย ความรู้สึกแย่ๆก็ดีขึ้น ทานอาหารอร่อย

แล้วทำให้สบายใจขึ้นเยอะ เพราะมีน้ำรินเป็นเพื่อนชวนคุยเรื่องต่างๆ

“อิ่มแล้วเรียกเก็บตังค์ เลยไหมคะ” น้ำรินควักมือเรียกพนักงานเก็บเงิน มื้อนี้ทำหน้าที่เป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าว มองดูรายการอาหาร

กับราคา บนใบเสร็จที่พนักงานยื่นมาให้ ราคาไม่แพงเลยถ้าเทียบกับรดชาติกับบริการที่ได้รับ

ตอนบ่ายกลับไปเคลียงานที่เหลือให้เสร็จ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่หน้าร้านด้านล่างปิดแล้วเรียบร้อย

“พี่นนท์ น้ำรินกลับก่อนนะคะ มีงานอะไรด่วน วางไว้บนโต๊ะน้ำรินได้เลย”

“ครับผม ขับรถดีดีนะครับน้ำริน”

“พี่นนท์ก็อย่าหักโหมมากเกินไปนะคะ เหลืองานไว้ทำพรุ่งนี้ด้วย เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ บาย”

ยืนมองรถญี่ปุ่นที่ขับออกจากบริเวณลานจอดรถของร้าน ตอนนี้มีเพียงรถของผมคันเดียวที่จอดอยู่

ผมจอดรถไว้หน้าบ้าน แล้วเดินลงไปเปิดประตูรั้ว ไฟในบ้านสว่าง แสดงว่าวันนี้กัณฑ์กลับบ้าน เลื่อนรถเข้าไปจอดในโรงจอดรถ

 มองรถที่อยู่จอดด้านข้างรถยุโรปของผม ที่เห็นขับผ่านหน้าไปตอนมื้อเที่ยง พร้อมกับผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเบาะข้างข้าง เปิดประตู

เข้าไปในบ้านกวาดสายตา มองหาคนที่ทำความรู้สึกของผมไม่คงที่มาตลอดทั้งบ่าย

“อ้าวนนท์กลับมาแล้วหรอ ผมคิดถึงคุณจังเลยเมื่อคืนผมทำงานเยอะเลยไปนอนที่คอนโดนะ”

“อืม แล้ววันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”

“ครับ...อ้องานเรียบร้อยแล้วครับ เคลียงานเสร็จกัณฑ์ก็รีบกลับบ้านมาหานนท์ทันทีเลย” กัณฑ์เดินเข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง

รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้สัมผัสอ้อมกอดนี้ แต่ก็เหมือนมีก้อนจุกๆขมขึ้นมาที่คอเมื่อคิดถึงเรื่องที่เห็นมากับตาเมื่อตอนเที่ยง

“วันนี้กัณฑ์ไปทานข้าวเที่ยงกับใครมา” เข้าใจว่าอาจดูงี่เง่าที่ถามเขาเรื่องแบบนี้ แต่ต้องการรู้ความจริงมีเพียงแค่ต้องถามเท่านั้นถึงจะได้คำตอบ

“ไปทานข้าวกับเพื่อนครับ”เขายังสวมกอดผมอยู่ เสียงตอบของเขาดังอยู่ข้างหูผม

“ผู้หญิงหรือผู้ชาย” กัณฑ์ผละออกเรายืนเผชิญหน้ากัน เขาขมวดคิ้วทำหน้าแต่ไม่พอใจกับคำถาเมื่อครู่ ผมจ้องมองคนตรงหน้า

เพื่อบังคับให้เขาพูดความจริงออกมา ถ้าเขาโกหก เราคงต้องยุติทุกอย่างไม่เพียงแค่นี้ ถ้าพูดความจริงผมพร้อมยอมอภัย

“ผู้ชายครับ ทำไมหรอ..หรือมีใครเอาเรื่องอะไรไปฟ้องนนท์อีก นนท์เชื่อกัณฑ์สิ กัณฑ์มีนนท์คนเดียวนะ”ผมเลือกที่จะเงียบกัณฑ์

จะเริ่มโวยวายทุกครั้งที่พูดเรื่องประเภทนี้ และที่สำคัญครั้งนี้ เขา-โก-หก-ผม

“อ๋อนี่นนท์ หาว่าผมโกหกใช่ไหม ได้ได้..ใช่สินนท์ ผมมันไม่น่าไว้ใจ อย่างนั้นเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกัน” กัณฑ์ตะโกนเสียงดัง

เดินไปหยิบกุญแจ เปิดประตูรั้วแล้วขับรถออกไป ยืนมองรถที่ขับห่างออกไปจนลับสายตานี่ผมผิดใช่ไหมผิดที่เห็นเขาไปกินข้าว

กับผู้หญิงคนอื่น ก่อนหน้านี้เคยได้รับการบอกเล่าจากเพื่อนว่าเห็นกัณฑ์ไปเดินห้างซื้อของให้ผู้หญิง พาผู้หญิงขึ้นคอนโด

จนในที่สุดจนต้องจ้างนักสืบตาม ภาพที่ผมเห็นในภาพถ่าย คนรักของตัวเองกำลังจูบอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ไปเที่ยวกับผู้หญิงคนอื่น

และทำให้ถึงกับจุกเพราะเขาจูงมือผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าขึ้นคอนโดของผม คอนโดที่ผมที่ซื้อให้เขา แต่เพราะความรัก รักมากจึงให้

โอกาสและพยายามที่จะดึงเขาคืนมา แต่มันอาจสายเกินไปแล้วรึเปล่าผมรู้สึกว่ากัณฑ์ไม่มีผมแล้วในหัวใจ

เข้าสู่เช้าวันใหม่ผมยังนอนลืมตาอยู่บนที่นอน เฝ้าวนเวียนคิดถึงสาเหตุที่ทำให้ความรักของกัณฑ์เปลี่ยนไปจากเดิม

 กัณฑ์เริ่มไม่มีเวลาให้ผม เขาไม่ค่อยกลับบ้านอ้างว่างานยุ่งต้องค้างที่คอนโด เขาหาเรื่องออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆบ่อยขึ้น

เขาปฏิเสธที่จะมีเซ็กกับผม ลุกขึ้นนั่งบนเตียงปรับสภาพร่างกายก่อนลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำชำระความปวดร้าวในใจให้หมดสิ้น

เพื่อเผชิญสิ่งต่างๆในวันใหม่ต่อไป

วันนี้ตัดสินใจออกมาทำงานแต่เช้าไม่อยากอยู่ที่บ้านนานนาน เพราะอยู่ที่นั่นก็มองเห็นแต่ความทรงจำของเราทั้งสองตลอดเวลา

สภาพจราจรบนท้องถนนไม่แย่มากเพราะยังเช้า ใช้เวลาไม่นานก็ขับรถถึงร้าน

“คุณนนท์สวัสดีครับ วันนี้มาแต่เช้าเลยนะครับ” เลื่อนกระจกลงทักทายคุณลุงรปภ.ที่ทักทายผมทุกวัน

“สวัสดีครับคุณลุง” คิดว่าตัวเองมาทำงานเช้าแล้วแต่มีคนมาเช้ากว่าซะได้

“สวัสดีค่ะพี่นนท์” คุณป้าแม่บ้านกำลังทำความสะอาดพื้น ผมยิ้มและเอ่ยปากทักทายเธอกลับ

เดินขึ้นมาบนชั้นใช้สองก็ได้กลิ่นอาหารออกมาจากห้องอาหาร เดินตามกลิ่นอาหารเข้าไปในห้อง

“สวัสดีครับน้ำริน ทำอะไรแต่เช้าเลยครับ”

 “สวัสดีค่ะคุณนนท์ น้ำรินกำลังทำอาหารเช้า สนใจฝากท้องไว้กับน้ำรินไหมคะ ทำไมวันนี้หน้าตาคุณนนท์ดูหน้าซีดซีดคะ

 ไม่สบายรึเปล่า” ไม่ตอบแต่ยิ้มให้เธอแทน คงเป็นเพราะเมื่อไม่ได้นอนทั้งคืนทำให้มีสภาพอิดโรย โรคที่ป่วยทางใจ

รักษามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาย

“อร่อยจังครับ น้ำรินนี่สวยแล้วยังทำอาหารอร่อยอีกนะครับ”อดออกปากชมไม่ได้

“แน่นอนค่ะ ง่ายง่ายแค่ฉีกซองแล้วเข้าไมโครเวฟ สามนาทีก็เรียบร้อย เห็นไหมคะง่ายจะตาย”


มีต่อด้านล้าง
[/b]
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ลงใหม่แก้ไข ตอนที่ 1] 6/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 06-01-2016 12:12:22
ต่อจากด้านบน
[/b]

“5555 พี่ก็นึกว่าน้ำรินทำเองซะอีก”

“แหม ใครจะทำอาหารอร่อยเหมือนพี่นนท์ของน้ำรินล่ะคะ”

“ทำอร่อยยังไง ก็ยังสู้สปาเก็ตตี้สามนาทีของน้ำรินไม่ได้หรอกครับ” เสียงหัวเราะดังลั่นครัว

เช้านี้เป็นมื้ออาหารที่อร่อยอีกวันมีน้ำรินชวนคุยเรื่องต่างๆไปเรื่อย ความรู้สึกแย่ก็ค่อยๆดีขึ้น

พร้อมที่จะลุยงานแล้วครับอยู่นิ่งๆเฉยก็ทำให้รังแต่จะคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ปวดหัวไม่พอยังพาลไปปวดที่ใจอีก

งานจึงเป็นที่ระบายออกที่ดี

ดวงตะวันคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ แสงสีแดงส้มส่องผ่านเข้าทางกระจกห้องทำงานชั้นสอง งานวันนี้ไม่ค่อยเยอะ เพราะเคลียร์ไปแล้ว

ส่วนหนึ่งเมื่อวาน นั่งมองออกไปยังท้องถนนเห็นผู้คนเดินไปมาบางคนเพิ่งจะเลิกงาน ดูเวลาแล้วตอนนี้เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว

บางคนเพิ่งไปรับลูกหลานจากโรงเรียนที่อยู่ในละแวกนี้ ส่วนบางคนเพิ่งเดินทางออกมาจากบ้านไปที่ทำงาน

“พี่นนท์ กลับได้แล้วค่ะ น้ำรินกลับก่อนนะคะ พอดีว่าวันนี้ไม่ได้เอารถมา มีคนมารับเลยอยู่ดึกเป็นเพื่อนพี่นนท์ไม่ได้”

“ไม่เป็นไร เดินทางปลดภัยนะครับ” น้ำรินขอตัวกลับแล้วอีกสักครู่ผมเองก็คงต้องกลับ แต่ยังไม่อยากกลับไปตอนนี้เลย

กลับไปก็ไม่มีอะไรทำ กลับไปเจอสภาพแบบเดิม การโหมทำงานอย่างหนักทำให้ลืมช่วงเวลาที่แย่แย่ แต่เมื่อไม่ได้ทำอะไรก็

กลับมาคิดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา

ความมืดเข้ามาแทนที่แสงสว่าง ตอนกลางวันกลางเมืองใหญ่มหานครแห่งนี้ดูวุ่นวายผู้คนพลุกพล่าน พนักงานออฟฟิต

ออกมาหาอะไรกินบริเวณนี้ แต่ยามค่ำคืนกลางเมืองใหญ่หานครแห่งนี้กลับดูเงียบเหงายิ่งนัก ตัดสินใจเก็บข้าวของ

ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ปิดเครื่องปรับอากาศและปิดไฟ ล็อคประตูร้าน เดินไปยังลานจอดรถที่มีรถผมเพียงคันเดียวที่จอดอยู่

ขับรถไปบนท้องถนนอย่างไม่เร่งรีบนัก สุดท้ายก็กลับมาถึงบ้านจนได้ บ้านของผมบ้านที่เงียบสงัดไม่มีคนอยู่ บ้านที่มืดมิด

ไม่มีแสงไฟลอดออกมา วันนี้คืออีกวันที่กลับมาจากที่ทำงานด้วยสภาพร่างกายหัวใจที่เหน็ดเหนื่อย

เปิดประตูบ้านก้าวเข้าไปข้างใน เดินไปเปิดสวิตซ์ไฟเพื่อให้ห้องสว่างขึ้น แต่ไม่ทันที่มือจะเอื้อมไปสัมผัสสวิตซ์ไฟ 

“อย่าขยับไม่อย่างนั้นมึงตาย” ได้ยินเสียงผู้ชายกระซิบอยู่ใกล้ แล้ว มันเอามีดจ่อเข้ามาที่คอของผมแล้วกระซิบขู่

ของมีคมสัมผัสลมที่คอรู้สึกเย็นยะเยียบไปทั้งตัวเพราะความกลัว ผู้ชายอีกสองคนยืนมองมาที่ผมแล้วแสยะยิ้มอย่างน่ารังเกียจออกมา

"ลองร้องสิ ถ้ามึงอยากตาย" เสียงลมหายใจของพวกมันอยู่ข้างข้างหูผม มันเก็บมีดลงแล้วส่งสัญญาณอะไรให้กันสักอย่าง
 
"พวกแกต้องการอะไร ถ้าอยากได้เงินฉันจะให้แต่อย่าทำอะไรฉันเลย"

ผมขอร้องพวกมันเสนอเงินให้พวกมันและออกแรงดิ้นด้วยเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมด ทั้งพยายามเตะต่อย ขัดขืนทุกอย่างแต่ก็สู้แรงพวก

มันสามคนไม่ไหว

“พวกกูไม่ต้องการการเงิน พวกกูต้องการมึง” หมายความว่าอย่างไรไม่เข้าใจ พวกมันลากผมขึ้นไปชั้นสองและตรงไปยังห้อง

นอน พยายามดิ้นขัดขืน พวกมันผลักผมลงไปนอนบนเตียง จากนั้นพวกมันสองคนก็เดินเข้ามาจับแขนขาตรึงไว้กับที่นอน

ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจนร่างกายสั่นขึ้นมา สายตากวาดไปรอบๆห้องมองหาทางเอาตัวรอด ไม่ทันที่จะคิดอะไรได้ชายอีกคนก็นั่งนั่ง

ลงหว่างขา แล้วชกลงที่ท้องของผมอย่างแรง หมัดแล้วหมัดเล่า จนผมนิ่งไปมันจึงหยุดมือ

“ที่จริงพวกกูไม่ได้ความแค้นกับมึงหรอก กูจะบอกมึงเอาบุญ คนที่จ้างกูมานะคือ.....” ลมหายใจผมสะดุดกับชื่อที่พวกมันบอก

 ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหม เขาต้องไม่ทำกับผมอย่างนี้ ผมรักเขา เขารักผม เรารักกัน ไม่ใช่สวะพวกนี้มันต้องโกหก โกหกใช่มันเป็น

คนเลวคนเลวชอบโกหก

แควก แควก เสียงฉีกขาดของเสื้อผ้า พวกมันดึงทึ้งเสื้อผ้ามออกจากตัวผม ร่างเปลือยเปล่าของผมปรากฏอยู่ต่อหน้าพวกมันทั้ง

สาม พวกมันแสยะยิ้มอย่างพออกพอใจ น้ำตาของผมค่อยๆไหลออกจาตาเสียใจที่ไร้เรี่ยวแรงต่อสู่ขัดขืนพวกมัน ตอนนี้มันจับขา

ผมทั้งสองข้างแยกออกจากกัน มือทั้งสองข้างกำลังลูบไล้ไปทั่วร่างกายผม

“เนียน สวยว่ะเหมือนที่มันบอกไว้เลย กูทนไม่ไหวขอก่อนแล้วกัน”

ช่วย...ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยผมที พยายามเปล่งเสียงแต่ไม่มีเสียงออกมาจากปากเลย พวกมันปลดกระดุมรูดซิบลงอย่างรีบ

ร้อน แล้วควักท่อนเนื้อของมันออกมาจากกางเกงชั้นในแล้วชักรูดขึ้นลง ผมมองสบสายตาของมันที่มองมาด้วยสายหื่นกระหาย
 
หลับตกลงเพื่อยอมรับชะตาที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า น้ำตาไหลลงอาบสองแก้ม  มันใช้ท่อนเนื้อของมันยัดเยียดเข้ามาช่องทาง

ของผม ไม่มีการเบิกทาง ไม่มีความปราณี ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วบริเวณ ช่องทางคงฉีกขาด

“แม่งโคตรเสียวว่ะ” จากนั้นมันเริ่มขยับเร็วขึ้นแรงขึ้น ร่างกายผมสะเทือนไปตามแรงของมันไม่นานมันก็ฉีดน้ำคาวลงมาที่ตัวผม

ผละออกให้คนต่อไปมาแทนที่ คนแล้วคนเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า

“น้องนนท์เก่งจังเลย วันนี้แม่มีของขวัญมาให้”

“น้องนนท์อาทิตย์หน้าพ่อจะพาไปเที่ยวทะเล”

“คุณแม่ครับ เพื่อนแกล้งน้องนนท์ครับ”

“น้องนนท์มานี่เร็วมาถ่ายรูปกัน”

ภาพความสุขของคำว่าครอบครัวลอยปรากฏอยู่ต่อหน้าผม ใบหน้าของพ่อแม่ค่อยค่อยชัดเจน ใกล้เข้ามาเหมือนจะสามารถใช้มือ

เอื้อมไปสัมผัสได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เสียงหัวเราะนั่นดังก็องเหมือนอยู่ข้างข้างหู ทำไมนะทำไมผมถึงลืมช่วงเวลาที่สำคัญ

ของชีวิตไป ลืมคนที่รัก โดยไม่มีข้อแม้ ไม่มีเงื่อนไข ไร้ซึ่งการเสแสร้ง ความรักที่แท้จริงมาจากใจ ลืมรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น

 มือใหญ่ที่คอยโอบอุ้มผม อ้อมกอดที่คอยปลอบประโลมผมยามที่ผมทุกข์และคอยให้กำลังใจผมยามที่เหนื่อยล้า
 
“พ่อกับแม่ไม่เคยเข้าใจนนท์ พ่อแม่ไม่เคยรักนนท์”

“พ่อกับแม่รักนนท์นะลูก อย่าทำอย่างนั้น อย่าไปมันเป็นคนไม่ดีเชื่อพ่อ”

“ทำไม..ทำไมพ่อต้องขัดขวางความรักของเราทั้งสอง”

“ไม่ใช่ลูก ไม่ใช่ลูก เชื่อพ่อเขานะลูก”

“กัณฑ์ไม่ใช่คนอย่างนั้น พ่อแม่ใส่ร้ายเขา ใส่ร้ายเขาทำไม”

“ไปเลยพ่อกับแม่จะไหนก็ไป ไม่ต้องมาสนใจนนท์ นนท์ไม่รักพ่อกับแม่แล้ว”

“นนท์อย่าทำอย่างนั้นลูก พ่อกับแม่รักลูก รักมากด้วย”

“ได้งั้นนนท์จะไปจากที่นี่เอง นนท์ไปอยู่กับกัณฑ์ เรารักกัน พ่อกับแม่ไม่มีทางที่จะแยกพวกเราออกจากกันได้หรอก

 เชิญนอนกอดสมบัติของพ่อกับแม่ไปเถอะนนท์ไม่อยากได้หรอก"

ภาพที่พ่อกับแม่พยายามห้ามไม่ให้ผมออกจากบ้านมาอยู่กับคนรัก ภาพที่พ่อแม่พยายามขัดขวางผมด้วยน้ำตาเพื่อจะไม่ให้เดิน

ออกจากบ้าน ยังจำภาพที่แม่ร้องไห้ห้ามผมไม่ให้จากมาเหมือนคนจะขาดใจ แล้วหมดสติไปในอ้มกอดพ่อ พ่อครับแม่ครับตอนนี้

นนท์รู้แล้วว่าพ่อกับแม่รักนนท์มากแค่ไหน ขอโทษครับ ขอโทษที่ดื้อกับพ่อ ขอโทษที่ดูถูกความรักของแม่ นนท์ไม่รู้ว่าคำขอ

โทษนี้จะส่งไปถึงท่านสองไหม แล้วท่านทั้งสองจะอภัยให้ลูกเลวเลวอย่างผมรึเปล่า ได้โปรดเถิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ลูกคนนี้บาปหนา

เหลือ แต่ได้โปรดฟังคำวิงวอนครั้งสุดท้ายของลูกได้หรือไม่ หากชาติหน้ามีจริง หากยังมีความดีที่ยังหลงเหลือ

 ขอให้ได้มีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่อีกครั้งเกิดเป็นลูกของพ่อแม่อีกครั้ง จะไม่ดื้ออีกแล้ว จะเชื่อฟังพวกท่านทุก

อย่าง

“เฮ้ยพอแค่นี้แหล่ะ จัดการมันซะเดี๋ยวจะมีคนมาเห็น”

“เฮ้ยถ้ามึงจะแค้นมึงไปแค้นผัวมึงนะที่จ้างพวกกูมา” มันวางหมอนไว้บนหน้าผมแล้วกดลงมามันทำอยู่อย่างนั้น อยู่นาน

พ่อแม่รักษาตัวด้วยนะครับลูกอกตัญญูคนนี้คงต้องไปแล้ว ขอโทษครับ...ขอโทษ...


ตอนนี้ผมไม่รู้เจ็บปวดใดใดอีกแล้ว เบาความรู้สึกเบาเข้ามาแทนที่ ล่องลอยล่องลอยเหมือนอยู่ในอากาศ เคว้งขว้างไม่มีที่ยึด

เหนี่ยว ยืนดูร่างไร้วิญญาณของตัวเองที่นอนสงบอยู่บนเตียงเหมือนคนกำลังหลับ ร่างกายเปล่าเปื่อยที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบ

น้ำกามของพวกมัน น้ำตาที่เป็นคราบอยู่บนแก้ม รอยเลือดที่ไหลซึมออกมาจากช่องทางของผม ทำไมผมต้องตายอย่างทรมานอย่างนี้

“รีบเก็บของดิวะ เอาของมีค่าไปให้หมดอย่าให้เหลือ”

“โหพี่ของในเซฟเยอะเลยพี่”

“ก็ผัวมันรวย ใครใช้ให้มันมีชูผัวมันเลยสั่งเก็บ”

“หน้าตาก็ดีไม่น่ามีชู้”

“ก็หน้าตาดีไงล่ะคนเขาถึงอยากเป็นชู้ด้วย ไปไปเก็บของต่อ”

พวกโจรหยิบของมีค่าของผมไปหมดแล้ววิ่งออกไปจากบ้าน ภาพห้องนอนของผมที่ถูกรื้อค้นข้าวของ กรอบรูปสีเหลี่ยมที่บรรจุ

ภาพผมกับกัณฑ์ยืนถ่ายรูปคู่เมื่อไม่นาน ตกลงพื้นและถูกเหยียบเป็นรอยรองเท้าของพวกมัน ผมยืนร้องไห้โดยที่ไม่มีใครได้ยิน

เสียง ยืนร้องไห้ที่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว แต่ความเจ็บปวดยังคงอยู่ ยังคงรับรู้ได้

แต่อยู่ดีดีวิญญาณของผมก็ค่อยค่อยจางไป เหมือนลอยคว้างอยู่กลางอากาศอีกครั้ง แล้วปรากฏสถานที่หนึ่งอยู่ต่อหน้าที่ที่ผม

รู้จักดี มันคือห้องคอนโดผมที่ซื้อให้กัณฑ์  กัณฑ์คงอยู่ที่นี่ ผมเดินเข้าไปห้อง ผ่านห้องนั่งเล่น ห้องนอน สุดท้ายเจอกัณฑ์นั่งอยู่

ในห้องทำงาน คนรักของผมกำลังนั่งอยู่โต๊ะทำงานบนโต๊ะมีโน๊ตบุ๊ควางอยู่

 แก๊ก เสียงประตูห้องถูกเปิดออก ผมหันไปมองต้นเสียง

“ที่รัก ที่รักคะนอนได้แล้วนะคะดึกแล้ว” ผมตกใจทันทีที่เห็นใบหน้าผู้หญิงที่เดินเข้ามาในห้อง น้ำริน เธออยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ

สภาพเหมือนคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เธอเรียกกัณฑ์ว่ายังไงนะ น้ำรินเรียกกัณฑ์ว่า ที่รัก ที่รักอย่างนั้นหรอถ้าน้ำรินเป็นที่รักแล้วผม

ล่ะ ผมเป็นอะไรสำหรับเขากันแน่ แล้วที่ผ่านมามันหมายความว่ายังไง หมายว่ายังไง ทำไมน้ำรินต้องหลอกผม ทำไมกัณฑ์ต้อง

นอกใจผมร้องไห้อีกแล้ว ผมต้องร้องไห้อีกกี่ครั้ง ต้องเสียใจอีกกี่ครั้ง

“เดี๋ยวผมเคลียงานตรงนี้ก่อน”

“แล้วงานนั้นเรียบร้อยรึเปล่าคะ”

“เชื่อมือเถอะดึกขนาดนี้แล้วป่านนี้มันคงกลายเป็นศพไปแล้ว ว่าแล้วผมก็ขยะแขยงที่ต้องทนคบกับมันแกล้งรักมัน

 ถ้ามันไม่รวยผมคงไม่ยุ่งกับมัน และที่สำคัญไม่ใช่คำสั่งคุณผมคงไม่ยอมนอนกับมันหรอก”

“เอาเถอะค่ะผ่านวันนี้ไปเราก็ไม่ต้องเห็นหน้ามันแล้ว น้ำรินก็เบื่อที่ต้องเล่นละครเต็มที คอนโดนี้ก็ชื่อคุณ บ้าน รถ

เงินในบัญชี อีกอย่างเอกสารเกี่ยวกับร้านน้ำรินก็จัดการไปเกือบหมดแล้วไม่นานร้านก็จะตกเป็นของเรา ต่อไปเราก็สบายแล้ว”

ไม่จริงใช่ไหมผมเชื่อใจน้ำรินมาตลอด เชื่อว่าน้ำรินซื่อสัตย์มาตลอด เชื่อมั่นมันมาตลอด มันคือเรื่องโกหกจริงจริงสินะ

ผมนี่มันโง่ที่ถูกเขาและเธอหลอกได้  กัณฑ์ตอบแทนความรู้สึกรักของผมได้เจ็บปวดจริงจริง ส่วนน้ำรินคือคนที่คิดว่าเธอคือคนใน

ครอบครัว ไม่ใช่พนักงานเพียงในร้านแต่สิ่งที่เธอตอบแทน ไม่รู้ว่าทั้งคู่วางแผนเรื่องทั้งหมดมานานเท่าไหร่ หรือตั้งแต่วันแรกที่

พวกเขาก้าวเข้ามาในชีวิตผม คนโง่ก็คือคนโง่สินะ

********************************************************************

แก้ไขเนื้อหานิดหน่อยเลยลบกระทู้เนื้อหาเก่าออก

ขออภัยในความไม่สะดวก

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 2] 6/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 06-01-2016 12:21:02
ตอนที่ 2
[/size][/b]

“กัณฑ์ชอบนนท์นะ”

“กัณฑ์รักนนท์นะ”

ทุกถ้อยคำที่กัณฑ์เคยพูดกับผม ยังดังก็องกังวานอยู่ในห่วงความทรงจำเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ผมยังจดจำวันแรกได้

ดีวันที่กัณฑ์เข้ามาในชีวิตผม

“นี่นนท์เพื่อนของเราชอบนนท์ คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเขาให้มาขอเบอร์นนท์”

“ทำไมเขาไม่เข้ามาเบอร์เองล่ะ”

“เฮ้ย ไอ้กัณฑ์มึงมาขอเองนนท์ไม่ยอมให้”

“หวัดดีเราชื่อกัณฑ์อยู่ การจัดการการตลาด แต่เป็นภาคไทย ปี 3 เราชอบนนท์นะคือเราแอบชอบมาตั้งนานแล้วแต่ไม่กล้าเข้ามา

ขอเบอร์ พอดีเพื่อนเราบอกว่ารู้จักกับนนท์....”

วันนั้นเป็นครั้งแรกที่กัณฑ์ เข้ามาคุยกับผมแล้วสารภาพว่าแอบชอบมานานแต่ไม่กล้าเข้ามาขอเบอร์ จึงให้เพื่อนที่รู้จักเข้ามาขอ

เบอร์ให้ แต่ผมยังไม่ไห้เบอร์กัณฑ์ในทันทีเพราะคิดว่ามันอาจจะเร็วไป ตั้งแต่นั้นกัณฑ์ก็แวะเวียนมาหาบ่อยบ่อย เพื่อนในกลุ่ม

ต่างช่วยดูความประพฤติของกัณฑ์

“เฮ้ยแก กัณฑ์มันก็ดีนะเช้าถึงเย็นถึง” นีน่าพูด

“เออว่ะ นี่ก็หลายเดือนแล้วนะยังไม่ใจอ่อนเป็นแฟนมันอีกหรอ ถ้าเป็นฉันได้ตั้งแต่อาทิตย์แรกแล้ว” มิคกี้พูด

“ได้อะไรยายมิกกี้พูดมาให้เคลียนะ” นีน่า

“ได้เป็นแฟน” มิคกี้

ตั้งแต่ที่กัณฑ์เข้ามาในชีวิตผม ทุกอย่างค่อยเริ่มเปลี่ยน กัณฑ์เป็นผู้ชายที่เอาใจเก่งมาก จากที่เพื่อนผมไปสืบประวัติที่แล้วแล้ว

มา กัณฑ์เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงถูกบอกเลิกเพื่อนๆของเขาบอกว่า กัณฑ์เฮิร์ธอยู่นานกว่าจะดีขึ้น แล้วก็ไม่มีข่าวยุ่งกับใครอีกเลย

แต่ก็มีคนที่เข้ามาหากัณฑ์บ้างเพราะเขาเป็นคนหน้าตาดี ฐานะทางบ้านก็พอใช้ได้ ในที่สุดผมจึงยอมให้โอกาสกัณฑ์

“กัณฑ์ นนท์มาคิดเรื่องของเราแล้วนะ นนท์ว่านนท์จะให้โอกาสกัณฑ์”

“จริงหรือนนท์ นนท์พูดจริงจริงใช่ไหม กัณฑ์ขอบใจมากนะที่นนท์ให้โอกาส”

ผมเริ่มเปิดใจให้กัณฑ์ ทีละนิดรับกัณฑ์เข้ามาในหัวใจของผม กัณฑ์ดีกับผมเสมอต้นเสมอปลาย

ตลอดเวลาปีกว่าในที่สุดผมก็รับกัณฑ์ เข้ามาอยู่ในหัวใจทั้งดวง

“นนท์ กัณฑ์ รักนนท์นะเราไม่รู้ว่านนท์คิดยังกับกัณฑ์ แต่ตอนนี้กัณฑ์รักนนท์มากเป็นแฟนกันนะ”

คืนวันวาเลนไทน์วันที่ความรักของผมสุขงอม เมื่อกัณฑ์ลงทุนคุกเข่าขอผมเป็นแฟน แล้วมอบช่อดอกไม้ช่อใหญ่ให้ และคืนนั้น

ผมก็ตกเป็นของกัณฑ์โดยสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและหัวใจ

“นนท์คืนนี้กัณฑ์ไปงานวันเกิดเพื่อน นนท์ไปกับกัณฑ์นะ”

“กัณฑ์เอานนท์ไปด้วยไม่อึดอัดบ้างหรอ เดี๋ยวคนอื่นล้อว่านนท์ไปนั่งคุม”

“ไม่อึดอัดถ้าอึดอัดแล้วกัณฑ์ จะชวนนนท์ไปด้วยทำไม ไปกับกัณฑ์นะ”

ผมตัดสินใจไปงานวันเกิดเพื่อนของกัณฑ์ โดยที่ผมไม่รู้อะไรเลย งานนี้ไม่มีเพื่อนของกัณฑ์ที่ผมเคยรู้จักเลย ภายในงาน

บรรยากาศเป็นกันเอง ผมนั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างข้างกัณฑ์ เพื่อนของกัณฑ์มองผมด้วยสายตาแปลกแปลก แต่ไม่ได้สนใจกัณฑ์ก็ดื่ม

ไปคุยกับเพื่อนไปปกติ จนรู้สึกเมาเพื่อนกัณฑ์บอกให้พาผมเข้าไปนอนในห้อง นอนไปสักพักรู้สึกเหมือนมีคนเข้ามาในห้องคิดว่า

เป็นกัณฑ์ เข้ามาเพระเมา ภายในห้องมืดสนิท คนที่เข้ามาในห้องถอดเสื้อผ้าผมออก ใช้มือสัมผัสร่างกายของผมไปทั่ว

เขาจูบป้อนอะไรซักอย่างให้กิน สมองมึนงงไปหมด และตอนนี้มีความต้องการอย่างมากคิดว่าสิ่งที่เขาป้อนผมคงเป็นยา

ค่ำคืนนั้นผู้ชายคนนั้นมอบความสุขให้ผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าคนที่นอนอยู่ข้างผมคือกัณฑ์ แต่ผมรู้ดีว่าคนที่มี

อะไรด้วยไม่ใช่กัณฑ์ ถึงจะเมาและโดนยาแต่ก็รู้ตัวเกือบทั้งหมด สภาพร่างกายภายนอกผมดูปกติคนที่นอนกับผมไม่ทิ้งร่องรอย

อะไรไว้เลย แต่เชื่อมั่นว่าไม่ใช่ความฝันเพราะรู้สึกเจ็บที่ช่องทางรัก ตัดสินใจไปที่โรงพยาบาลตรวจร่างกาย พบน้ำอสุจิผู้ชายใน

ช่องทางรักของผมถึงสามคน มารู้ทีหลังว่าเป็นทั้งสามคนนั้นคือเพื่อนของกัณฑ์ ตกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่กล้าบอกกัณฑ์ว่าถูก

วางยาแล้วถูกเพื่อนของเขาข่มขืน กลัวเป็นเรื่อง กลัวกัณฑ์รับไม่ได้แล้วเลิกกับผมไป ผมไม่อยากสูญเสียกัณฑ์ไป ผมรักเขามาก

ในที่สุดวันเวลาก็ช่วยเยียวยาให้ค่อยๆลืมเหตุการณ์นั้นไปได้ โดยที่กัณฑ์ไม่รู้

“ฮัลโหล กัณฑ์ ทำงานวันนี้เป็นไงบ้างครับ”

“ก็ดีที่หอพักมันไกลจากที่ทำงาน กัณฑ์ว่าจะซื้อคอนโดใกล้ใกล้ที่งานดีไหม”

“ก็ดีนะนนท์จะได้ไปพักกับกัณฑ์ด้วย เดี๋ยวเราไปดูด้วยกัน”

หลังจากที่เรียนจบผมก็เริ่มทำธุรกิจร้านเสื้อผ้าของผม กัณฑ์ก็เข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง เขาเริ่มเรียกร้องสิ่งต่างต่าง

 แต่ผมก็ยินยอมพร้อมใจให้ แล้วตัดสินใจซื้อคอนโดโดยใช้เป็นชื่อของกัณฑ์เพราะความโง่ของผม ต่อมาสิ่งที่กัณฑ์ ต้องการ

ก็ตามมา

“นนท์ กัณฑ์มีเรื่องจะบอก กัณฑ์ไปดาวน์บ้านไว้ แต่มีเงินไม่พอผ่อนตอนนี้ธนาคารจะมายึดบ้านแล้ว กัณฑ์อยากให้บ้านหลังนี้

เป็นบ้านของเราสอง อยากให้นนท์แปลกใจ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวนนท์จะช่วยเพราะมันเป็นบ้านของเรา เราก็ต้องช่วยกัน”

แล้วเราทั้งสองก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน โดยที่มีเสียงที่บ้านคัดค้านการออกมา เพราะที่บ้านผมรู้มาว่ากัณฑ์ เป็นคนไม่ดี แต่ผมเลือก

กัณฑ์ แทนที่จะเลือกที่บ้าน นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุดในชีวิต ผมช่วยออกค่าผ่อนบ้านทั้งหมดแต่ชื่อ

เจ้าของบ้านเป็นชื่อกัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นชื่อใครเราก็คือคนเดียวกัน ผมทำงานหนักขึ้นเพราะเพิ่งทำร้านได้ไม่นาน ร้านของผมกำลัง

ไปได้สวยหลังจากที่ดิ้นรนอยู่นานแล้วตอนนี้เองที่เริ่มได้ยินข่าว จากคนรอบข้างว่ากัณฑ์ ไปกับผู้หญิง และพาผู้หญิงขึ้นคอนโด
 
“ทำไมนนท์ ทำไม ไม่เชื่อใจกัณฑ์ หรือนนท์ไม่รักกัณฑ์แล้ว”

“เชื่อสิ นนท์เชื่อกัณฑ์ นนท์รักกัณฑ์”

สุดท้ายผมตัดสินใจจ้างนักสืบสืบเรื่องของกัณฑ์ ภาพที่นักสืบส่งมาให้ทางอีเมล์ ภาพของกัณฑ์กับผู้หญิง และภาพเคลื่อนไหว

มองไม่ชัดที่ผมแอบเอากล้องไปติดไว้ในห้องนอนบนคอนโด เห็นกัณฑ์มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น โดยที่ไม่เอะใจเลยว่าผู้หญิงที่อยู่

กับกัณฑ์ เกือบทุกครั้งคือคนที่อยู่ข้างผมเกือบตลอดเวลาเช่นกัน ผมเลือกจะเก็บความรู้สึกไว้ ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร แล้ววันนั้นผม

ตัดสินใจไปดื่มหล้าที่บาร์แห่งหนึ่งเพื่อให้รู้สึกดีขึ้นแล้วผมก็ได้พบคนคนหนึ่ง

“นนท์หรอ นนท์ใช่ไหม”

“เรารู้จักกันด้วยหรอ”

“ที่วันนั้นนนท์ไปงานวันเกิดเพื่อนของกัณฑ์ไง”

ภาพอดีตคืนนั้นค่อยกลับคืนมา คนที่นั่งดื่มอยู่บนโต๊ะเดียวกันกับพวกผม เพื่อนของกัณฑ์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นทั้งหมดให้ผม

ฟัง ผมตกใจและเสียใจในสิ่งที่ได้ยิน กัณฑ์ติดหนี้เพื่อนที่เจ้าของวันเกิด เพื่อนของกัณฑ์คนนี้ชอบผม กัณฑ์จึงพาผมไปที่งาน

เพื่อใช้ผมขัดดอก และเพื่อนคนอื่นร่วมแจม โดยที่กัณฑ์บอกกับทุกคนว่าผมไม่มีทางเปิดเปากบอกคนอื่นแน่นอน

ส่วนเพื่อนกัณฑ์ คนที่อยู่กับผมปฏิเสธการชักชวนของกัณฑ์ เขาไม่ชอบผู้ชาย ได้แต่คิดว่ากัณฑ์ไม่มีส่วนรู้เห็นแต่มันไม่ใช่

แต่มันเป็นฝีมือของกัณฑ์ทั้งหมด วันต่อมาออกไปกินข้าวข้างนอกกับน้ำริน เห็นกัณฑ์นั่งรถไปกับผู้หญิงคนอื่น

ผมจึงตัดสินใจที่จะจบทุกอย่าง
 
ยืนมองภาพสุดท้ายคนที่ผมเคยรัก กำลังร่วมรักกับผู้หญิงคนนั้นอย่างมีความสุข ตอนนี้น้ำตาผมไม่มีให้ไหลแล้ว

ความรู้สึกที่เคยเจ็บปวดตอนนี้ไม่หลงเหลืออีกแล้ว หลับตาลงก่อนที่วิญญาณผมหายลับไป

เสียงหมาเห่า หอน ต้อนรับผม ตอนนี้วิญญาณผมปรากฏอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านหลังใหญ่ ตั้งอยู่บนพื้นไร่กว่ามีรถยุโรปรถ

ญี่ปุ่นจอดอยู่ในโรงรถ เดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่นที่พ่อของผมเคยนั่งเป็นประจำ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือผู้ชายอายุใกล้ย่าง

ห้าสิบปียืนชะเง้อออกไปนอกประตูบ้าน

“ใครมาหรอคะคุณ”

“ไม่มีสงสัยหมามันเห่าแมวมั่ง”

“ไปนอนได้แล้วมั้งคุณ ดึกแล้วนะ”

“เดี๋ยวผมนั่งเล่นอีกซักหน่อย”

“ได้ค่ะเดี๋ยวฉันไปชงอะไรอุ่นๆให้ดื่มนะคะ” แม่เดินหายเข้าไปครัว ผมเดินตามแม่ไป

“ฮึก..ฮึก..นนท์เมื่อไหร่ลูกจะกลับมา..เมื่อไหร่ลูกจะหายโกรธพ่อกับแม่ พ่อเขายืนรอนนท์ที่ห้องนั่งเล่นจนดึกทุกวันเลยนะ

ฮึก...ฮึก..กลัวว่านนท์กลับมาแล้วไม่เจอใคร” ผมเหมือนถูกชกไปที่หน้าอย่างแรง ฮึก..ฮึก พ่อ พ่อยังรอผมทุกวันยังรอผมกลับ

บ้าน

“แม่ แม่เห็นนนท์ไหมนนท์อยู่ตรงนี้ไงแม่ อยู่ตรงหน้าแม่แล้ว นนท์ขอโทษแม่ นนท์ขอโทษ”

ผมพยายามตะโกนสุดเสียงออกมาแต่ยังไม่ได้ยินเสียง พยามเข้าไปสวมกอดแม่เพื่อปลอมโยน เหมือนที่แม่เคยทำ

แต่สัมผัสแม่ไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ แม่เช็ดคราบน้ำตาไหลอาบสองแก้ม แล้วเดินถือแก็วโอวัลตินอุ่นอุ่นไปให้พ่อ

“โอวัลตินค่ะ”

“คุณ..คุณว่านนท์จะหายโกรธเรายัง แล้วพรุ่งนี้นนท์จะมาหาเราไหม”

“ฮึก..ฮึก..กลับมาค่ะ เชื่อสิคะลูกต้องกลับ นนท์เป็นเด็กดี แค่ตอนนี้งานยุ่งยังกลับมาไม่ได้ก็เท่านั้น”
 
ผมมองสายตาที่เหม่อลอยของพ่อมองทอดออกไปทางประตูรั้วบ้านที่มืดสลัว ที่มีเพียงไฟหน้าเปิดไว้เท่านั้น หลายเดือนแล้วที่

ผมออกจากบ้านไม่เคยคิดที่จะกับมาที่นี่เลย ไม่มีเลยสักครั้ง แค่คิดว่ามีความสุขที่ได้อยู่กับคนที่ผมรักและรักผมโดยไม่มีใครคอย

ห้าม ไม่มีใครคอยขัดขวางความรักของเรา แต่กลับมีคนอยู่สองคนที่รอผมตลอด รอว่าเมื่อไหร่ผมจะกลับมา

รอว่าเมื่อไหร่ผมจะหายโกรธ แม้กระทั่งโทรศัพท์ผมยังไม่เคยหยิบขึ้นมาโทรหาที่บ้าน ในขณะที่ผมออกไปกินข้าวกับคนที่ผมรัก

แต่ผมทิ้งคนที่รักผมไว้ที่บ้าน ผมดีใจที่ได้อยู่กับคนที่ผมรักแต่คนที่รักผมต้องชะเง้อรอผมรอผมกลับมาทุกวัน
 
“พ่อ นนท์ขอโทษ นนท์ผิดไปแล้วนนท์ไม่ได้ตั้งใจ” เป็นเพราะผมพ่อถึงมีอาการอย่างนี้

ผมคุกเข่าลงแล้วก็มกราบเท้าผู้กำเนิดทั้งสอง ขอโทษครับ ไม่รู้ว่าต้องขอโทษอีกกี่ร้อย กี่พันกี่หมื่นครั้ง

 ถึงจะส่งไปถึงคนทั้งคู่ นั่งมองคนทั้งคู่นอนด้วยกันอยู่บนเตียง แล้วทิ้งตัวลงช่องว่างที่เหลือไว้ครั้งสุดท้ายที่ผมนอนกับพ่อแม่คือ

ตอนไหน ครั้งสุดท้ายที่บอกพ่อแม่บอกว่า ฝันดี คือตอนไหน ครั้งสุดท้ายที่บอกว่ารักพ่อแม่คือตอนไหน

แต่ที่สำคัญก่อนที่จะออกจากบ้านนี้ผมบอกกับพ่อแม่ว่าไม่รักพ่อแม่แล้ว นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ผมจำได้

อ้อมกอดของพ่อแม่จะยังอุ่นเหมือนเดิมไหม ความห่วงใยจากพ่อแม่จะยังรู้สึกดีเหมือนเดิมรึเปล่า

นอนอยู่บนเตียงซักพักก็ออกมาจากห้องพ่อแม่เดินมาที่ห้องนอนของผมห้องนอนที่ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง

ยืนมองลิ้นชักบนหัวเตียงที่เก็บของส่วนตัวไว้ในนั้นถ้าไม่ใช่ผมก็ไม่มีใครสามารถเปิดได้ แต่ตอนนี้แม้กระทั่งผมก็เปิดไม่ได้

กริ้ง กริ้ง เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น คิดว่ามันคงใกล้เวลาที่จะต้องไปแล้วซินะ

ก๊อก ก๊อก “โทรศัพท์ค่ะคุณผู้หญิง” พี่แจ่มยื่นโทรศัพท์ให้คุณแม่

“ค่ะ ..ใช่ค่ะ..ค่ะ..อะไรนะคะ..ฮึก ฮือ..ค่ะเราจะรีบไป” คุณแม่ร้องไห้อีกแล้ว ตอนนี้คุณแม่นั่งทรุดลงไปกับพื้นโดยมีพี่แจ่มช่วยพยุง

“แจ่ม บอกลุงชมให้เอารถออก ฉันจะไปรับศพนนท์...โธ่นนท์...นนท์ลูกแม่..” พ่อกับแม่สวมชุดสีดำขึ้นรถโดยมีผมไปด้วย

พ่อคงไม่รู้เรื่องที่เกิด แต่แม่เหมือนคนกำลังจะขาดใจ ใบหน้าแดงกล่ำ น้ำตาที่ไหลไม่หยุด พี่แจ่มเอายาดมให้แม่ดมตลอดเวลา

 จะทำยังไง เป็นผม ผมทำร้ายคนที่ผมรักละรักผมครั้งแล้วครั้งเล่า

รถจอดที่หน้าโรงพยาบาลแล้ว พ่อแม่พี่แจ่มพยุงกันไปติดต่อสอบถามที่ประชาสัมพันธ์

“รอสักครู่นะคะ....คนไข้บริจาคหัวใจไว้ค่ะ.....” ใช่...ใช่แล้วผมได้เคยบริจาคหัวใจไว้ สิ่งสุดท้ายที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อคน

อื่นได้ ถึงจะไถ่บาปที่ทำลงไปไม่ได้แต่เป็นการทดแทนความรู้สึกผิดของผม

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด เสียงดังก็องในหูผม ผมเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อยเรื่อยจนถึง “ห้องผ่าตัด”  ป้ายหน้าห้องเขียนไว้อย่างนั้น

ก้าวเข้าไปอย่างช้า ภายในห้องเงียบได้ยินเพียงเสียง สัญญาณชีพที่เป็นจังหวะ เด็กชายคนหนึ่งบนอยู่บนเตียงสวมเครื่องช่วย

หายใจ เสียงเครื่องวัดสัญญาณชีพนี้คงเป็นของเด็กคนนี้ หมอพยาบาลกำลังผ่าตัดอะไรซักอย่างให้เด็กผู้ชายคนนี้

ผมเหลือบไปเห็นอีกเตียงเตียงที่มีร่างร่างหนึ่งที่นอนอยู่และร่างนั้นเป็นผมเอง อย่างนั้นหรือเด็กคนนั้นคือคนที่ได้หัวใจของผมไป

“นี่นายดูแลหัวใจพี่ให้ดีนะ..ไม่อย่างนั้นพี่จะกลับมาทวงคืนไม่รู้ด้วย” ดูเหมือนการรักษาจะเป็นไปอย่างราบลื่น

“ไม่ได้หรอกครับพี่” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอยู่ข้างผมเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารัก ตากลมโตดวงตากระจ่างใส

“นี่เราเป็นใคร เข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง ที่สำคัญเรามองเห็นพี่ด้วยหรอ”

“ผมนอนอยู่ตรงนั้นครับ นอนอยู่ข้างข้างพี่ชาย” เด็กผู้ชายชี้ไปที่ร่างที่นอนอยู่เตียงผ่าตัด แล้วยิ้มให้

“เราป่วยเป็นอะไร”

“ผมป่วยเป็นโรคหัวใจตั้งแต่เกิด แต่คืนนี้ผมถูกรถชน”

“แล้วทำไมวิญญาณเรามาอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่เข้าร่าง” ผมถามอย่างสงสัย

“ผมกลับเข้าไปไม่ได้ ” ไม่นานมีมีวิญญาณผู้ชายหนึ่งปรากฏขึ้นข้างข้างน้อง

“ พี่ชายพ่อผมมารับผมแล้ว” ผมไม่เข้าใจที่น้องพูด

“ เราจะไปไหน” ผมถามน้อง

“ผมคงต้องไปแล้วครับ เวลาของผมกำลังจะหมดแล้ว” น้องไม่ตอบคำถามของผม เสียงสัญญาณชีพดังขึ้น หมอพยาบาลวิ่งวุ่น

ทุกอย่างในห้องผ่าตัดวุ่นวาย ผมยังพยายามคุยกับน้อง ตกใจในคำพูดของน้อง ผู้ชายคนนั้นจูงมือน้องแล้วทั้งสองเดินจากไป

ด้วยร้อยยิ้ม พร้อมกับแสงสีขาวสว่างจ้าจนผมต้องหลับตา



***********************************************************************
 :hao5: :hao5: :mew6: :mew6: :mew4: :mew4:
จบลงไปอีกตอน
โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 2] 6/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-01-2016 12:52:55
หลายคนเวลามีความรักมักจะลืมนึกถึงคนที่บ้านที่คอยดูแลฟูมฟักมาแต่เด็กเสมอ พอนนท์มานึกได้ตอนนี้ก็อาจเรียกได้ว่าสายไป
แต่คิดว่านนท์อาจมีหนทางได้แก้ตัวอยู่นะ น่าสงสารก็แต่พ่อกับแม่ของนนท์ที่คิดว่าเสียลูกไปแล้ว กว่านนท์จะฟื้น(ในร่างใหม่)ก็ไม่รู้จะจำเรื่องของตัวเองได้หรือไม่(คิดว่าน่าจะจำได้นะ)
การกระทำของกัณฑ์กับน้ำรินเรียกได้ว่าโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมากๆ อยากเห็นสองคนนี้ได้รับผลกรรมจริงๆ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 2] 6/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: Alice111 ที่ 06-01-2016 12:56:32
มาเจิมเรื่องใหม่ค่ะ  น่าติดตาม นนท์จะกลับมาเข้าร่างอีกใช่ไหม..มาต่ออีกนะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 2] 6/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 06-01-2016 16:10:12
สงสารนนท์ ขอให้คนชั่วได้รับกรรม สงสารที่สุดคือพ่อแม่ของนนท์ ขอให้นนท์ได้แก้ตัวด้วยเถอะนะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 2] 6/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: 98NooNid0831 ที่ 06-01-2016 17:01:06
อย่าบอกนะว่า เด็กคนนั้นตาย แล้วนนก็ได้ไปอยู่ร่างของเด็กคนนั้นแทน  :ruready
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 2] 6/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 07-01-2016 01:06:07
นั่นสิ นนท์จะเข้ามาอยู่ในร่างน้องคนนั้นแทนใช่มั๊ย??  ให้คนชั่วได้รับผลกรรมที่ก่อเหอะ แล้วให้นนท์ได้แก้ไขอดีตที่ผิดพลาดไป
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 2] 6/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 07-01-2016 09:14:02
หวังว่า ไอ้กัน คงไม่ใช่พระเอกนะ เลวมาก อยากเห็นมันรับกรรมอะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 3] 21/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 21-01-2016 11:08:35

ตอนที่ 3
[/size][/b]

กระพริบ ระยิบระยับ เจ้าดาวดวงน้อย
ฉันสงสัย เจ้าคืออะไรกัน
พร่างพราวอยู่เหนือสูงขึ้นไป
ดุจอัญมณีบนท้องฟ้า
กระพริบ ระยิบระยับ เจ้าดาวดวงน้อย
ฉันสงสัย เจ้าคืออะไรกัน
เมื่อแสงแดดอันร้อนแรงของพระอาทิตย์ได้ผ่านพ้นไป
เมื่อไม่มีสิ่งใดส่องแสงอยู่เบื้องบนท้องฟ้า
เมื่อนั้นเจ้าก็จะส่องแสงอันน้อยนิดของเจ้าออกมา
กระพริบ ระยิบระยับ ผ่านคืนค่ำที่มืดมิด
กระพริบ ระยิบระยับ เจ้าดาวดวงน้อย
ฉันสงสัย เจ้าคืออะไรกัน
นักเดินทางที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิด
ได้ขอบคุณสำหรับแสงน้อยนิดนั้นของเจ้า
เขาไม่อาจเห็นหนทางที่เขาจะไปได้
หากเจ้าไม่กระพริบ ระยิบแสงให้
 กระพริบ ระยิบระยับ เจ้าดาวดวงน้อย
ฉันสงสัย เจ้าคืออะไรกัน

“กระพริบ ระยิบระยับ เจ้าดาวดวงน้อย“ ผมได้เสียงเพลง เพลงที่แม่ร้องกล่อมเป็นประจำตอนเด็ก พยายามขยับปากร้องตาม

 และต้องสะดุ้งตื่นตกใจ ปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างของหลอดไฟที่อยู่บนเพดาน ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน ผมนอนอยู่บนเตียง

ภายในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวอย่างนั้นหรอ ว่าแต่มันเป็นห้องอะไรเจ็บหน้าอกความรู้สึกเจ็บที่หน้าอก ผมมีแผลที่หน้าอกตั้งแต่เมื่อ

ไหร่ แล้วทำไมถึงรู้สึกปวดตามตัวไปหมดและปวดบริเวณขมับนี่ด้วย ความรู้สึก ความรู้สึกอย่างนั้นหรือผมมีความรู้สึก

ทำไมทำไมถึงรู้สึกเจ็บได้ในเมื่อผมตายไปแล้ว ยกมือขึ้นดู

นี่ไม่ใช่มือผม มือผมไม่เล็กอย่างนี้ร่างกายผมหดเล็กลงรึไง มองไปรอบรอบห้องอีกครั้ง ไม่มีใครอยู่ในห้อง

ไม่มีใครสักคนที่จะอยู่คอยตอบคำถามของผม ได้โปรดเถิดใครที่กำลังเล่นตลกกับชีวิตของผมอยู่ขอให้หยุดที

หากทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นฝันร้ายขอให้ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งขอให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม กลับมาเป็นผมคนเดิม

ไม่นานความง่วง ความอ่อนเพลียก็เข้าจู่โจม ทำให้ต้องหลับตาลงอีกครั้งไม่รู้ว่าครั้งนี้จะหลับไปนานเท่าไหร่หรืออาจจะตลอด

กาลก็เป็นไปได้

จนกระทั้งได้ยินเสียงน้ำ เสียงคนพูด รู้สึกเย็นเย็นชื้นชื้นสัมผัสที่ผิวหนัง พยายามลืมตาขึ้น ผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดสีขาวสวมหมวก

มีผ้าปิดหน้า พยาบาลอย่างนั้นหรอ เธอกำลังเช็ดตัวให้ผม อีกคนกำลังเช็คน้ำปริมาณน้ำเกลือที่ห้อยอยู่บนเสา

“คนไข้รู้สึกตัวแล้วหรอคะ เป็นยังไงบ้างไม่สบายตรงไหนบ้างคะ” พยาบาลสาวสวยทักทายผมทันทีที่ลืมตาตื่น

 เธอมองเห็นผม เป็นไปไม่ได้ มันหมายความยังไง

“เดี๋ยวเรียกคุณหมอให้นะคะ” ผมเป็นอะไร ป่วยหรอ แต่ก่อนอื่นขอไขข้อข้องใจที่น้องได้พูดกับผมก่อนที่จะจากไปก่อน

“ขอ..ขอโทษนะครับ ผมขอยืมกระจกได้ไหมครับ” นี่..นี่ไม่ใช่เสียงผม นางพยาบาลเดินไปหยิบกระจกให้

เธอยื่นกระจกขนาดกลางส่งให้ ผมยื่นมือที่ไม่ใช่ของผมออกรับ ผมยังไม่กล้าส่อง ยังไม่กล้าเผชิญหน้าความจริง

ค่อยๆยกกระจกขึ้น น้ำตาของผมไหลออกมา

“ฮึก..ฮือ...อึก..” คนที่อยู่ในกระจกไม่ใช่ผม ไม่ใช่ผม นั่นหมายความว่าเรื่องทั้งหมดเป็นคนจริง

 “คนไข้เจ็บตรงไหนคะ ตามหมอให้แล้วเดี่ยวคุณหมอก็มา”   

“เปล่า..เปล่าครับ” ผมพยายามทบทวนความจำครั้งสุดท้ายก่อนที่ฟื้นขึ้นมา
 
“ผมคงต้องไปแล้วครับ เวลาของผมกำลังจะหมดแล้ว”

“หมายความยังไง พี่ไม่เข้าใจ”

“พ่อมารับผมแล้ว แต่ผมเป็นห่วงแม่ พี่ครับเวลาของผมหมดแล้ว ผมต้องไป ผมได้ตายไปแล้วร่างกายนี้จะกลับมามีชีวิตอีก

เพราะหัวใจของพี่  เวลาของพี่ยังไม่หมด พี่ยังมีเวลา พี่ช่วยผมดูแลแม่ได้ไหม ช่วยผมดูแลนะผมขอร้อง” วิญญาณของน้องและ

พ่อค่อยเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม เสียงสัญญาณชีพยังดังเตือนไม่หยุด ในที่สุดผมเห็นแสงสีขาวสว่างจนแสบตาจนต้องหลับตา

ตื่นลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็อยู่ในร่างของน้อง แล้วน้องเป็นใคร อยู่ที่ไหน แล้วทำไมต้องมานอนที่โรงพยาบาลผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยว

กับน้องเลยสักอย่าง

สูดอากาศหายใจเข้าปอดอีกครั้ง นี่สินะคือความรู้สึกของการมีชีวิตน้ำตาไหลออกมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความเสียใจแต่เป็นการ

ขอบคุณ การมีชีวิตอยู่ได้มีลมหายใจมันดีอย่างนี้เอง ผมสัมผัสใบหน้าในกระจก คิ้ว ตาจมูก ปาก เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนน่าตาดี

คนหนึ่งแต่น้องเรียกว่าหน้าตาดีมาก บนศีรษะมีผ้าก๊อตสีขาวปิดอยู่ดวงตากลมโตกระจ่างใส ทำไมดวงตาคู่นี้ถึงได้สวยอย่างนี้

ต่อไปร่างกายนี้เป็นของผม ผมก็คือเจ้าของร่างกายนี้

ก๊อก ก๊อก เสียงคนเคาะประตู

“สวัสดีครับ..คนไข้อาการเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บแผลที่ผ่าตัดรึเปล่า หรือมีอาการปวดหัวบ้างรึเปล่า” คุณหมอมีอายุ รูปร่างสูง

ท่าทางใจดีเดินเข้ามาสอบถามอาการและหยิบแผ่นชาร์ตเพื่อเช็คอาการของผม นิน นินทนัฐ สีขาว อายุ 17 ปี

ประวัติที่ปรากฏอยู่แผ่นชาร์ต ชื่อผมอย่างงั้นหรอ

“คุณหมอครับ...ผมจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่ชื่อตัวเอง”

“ไม่ต้องตกใจนะครับ อาจจะเกิดจากศีรษะได้รับการกระแทรกอย่างแรง  ไม่นานความทรงจำก็จะกลับมา หมอให้คำตอบไม่ได้ว่า

จะเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เดือนนี้ ปีนี้ เรื่องนี้ต้องใช้เวลา” คุณหมอสอบถามอาการป่วยของผมเพิ่มเติม พูดคุยเรื่องทั่วไปกลัวผมเกิด

อาการเครียดหลังจากผ่าตัดอาจจะกระทบต่อแผลได้ คุณหมอบอกว่าแผลผมหายเร็วมากและหัวใจเข้ากับร่างกายใหม่ได้อย่างดี

หลังจากการผ่าตัดผมหลับไปนานถึง 48 ชั่วโมงคุณหมอบอกว่าผมตื่นขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งและก็หลับไปอีก ผมต้องพักในห้อง

ปลอดเชื้อมาสองวันแล้วเพิ่งถูกย้ายมาที่ห้องพักฟื้นหากไม่มีผิดพลาด ผมจะพักรักษาร่างกายอีกหกสิบวันก็จะดีขึ้น

หลังจากนั้นคุณหมอขอตัวไปตรวจคนไข้คนอื่นต่อ

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังจากที่คุณหมอออกไปได้ไม่นาน เป็นผู้หญิงสองคนเดินเข้ามาในห้อง คนหนึ่งอายุน่าจะยี่สิบ

ต้นต้น เธอมีใบหน้าที่สวย ผิวขาว แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงมีอายุ ใบหน้ามีริ้วรอยที่บอกว่าผ่านอะไรมา

เยอะ แต่งกายด้วยเสื้อผ้ากลางกลางใหม่ ทั้งสองจ้องมองมาที่ผมที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย

“นินฟื้นแล้วหรอลูก”คนนี้เรียกผมว่าลูก ถ้าอย่างนั้นน่าจะเป็นแม่ของผม เธอบอกว่าช่วงที่ผมหลับอยู่โรงพยาบาลห้ามเยี่ยมกลัว

แผลจะติดเชื้อ เธอคงเป็นห่วงผมมาก ก่อนที่เธอจะมาพบผมเธอไปพบหมอเจ้าไข้ก่อน เธอบอกว่าเธอทราบอาการความจำเสื่อม

ของผมแล้ว เธอน่าจะรักผมมากดูจากแววตาที่แสดงความรัก ความห่วงใย ออกมาอย่างชัดเจนจากดวงตาคู่นั้น

“น้องนินพักผ่อนเยอะๆนะคะ” ผู้หญิงอีกคนเธอบอกว่าชื่อเจนมี่เป็นคนขับรถชน และเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างใน

ระหว่างที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้

น้องช่วยแม่ขายพวงมาลัยที่สี่แยกไฟแดง พี่เจนมี่ดื่มจากงานปาร์ตี้ทำให้ชนน้องเข้าหลังจากนั้นถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

แต่โรคหัวใจที่เป็นมาตั้งแต่เกิด อาการกำเริบจึงต้องการการเปลี่ยนถ่ายหัวใจด่วนและโชคดีที่นนท์ได้บริจาคหัวใจไว้

พี่เจนมี่เป็นลูกคนมีฐานะ น่ายินดีที่เธอรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น

“พี่กลัวว่าน้องนินจะเหงาเลยซื้อหนังสือมาให้อ่าน” ยกมือไหว้รับหนังสือที่พี่เจนมี่ซื้อมาให้ เป็นหนังสืออ่านเล่น นิยาย การ์ตูน

ใช่แล้วตอนนี้ผมไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว มองหน้าคนทั้งสองที่อยู่ข้างๆเตียงมีแม่แม่ของผมที่ต้องดูแลอีกคน จากนั้นพี่เจนมีก็ขอตัว

กลับบอกว่าวันหลังเธอจะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง ส่วนแม่พิมพ์ก็ต้องกลับก่อนเพราะหมอยังไม่อนุญาติให้นินเฝ้า

หลายวันต่อมาอาการของผมก็ดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับไม่โรคแทรกหรืออาการอาการที่หน้าเป็นห่วง

“ข่าวความคืบหน้าคดีปล้นบ้านเจ้าของธุรกิจห้องเสื้อชื่อดัง นายนนท์ทวัฒ...... จากการสืบสวนยังไม่สามารถตามจับคนร้ายได้

 ......” มองภาพข่าวที่นักประกาศข่าวรายงานความคืบหน้าคดีของผม ข่าวที่ออกมาบ้านผมถูกปล้น เรื่องที่ถูกข่มขืนคงถูกปิดข่าว

ไว้ ภาพข่าวที่มีพ่อและแม่ให้สัมภาษณ์เรื่องานศพ ท่านทั้งสองจะเก็บศพไว้จนครบหนึ่งร้อยวันแล้วหลังจากนั้นค่อยทำพิธีกรรม

ทางศาสนา ใบหน้าทั้งคู่ดูเศร้า เหมือนไม่ได้พักผ่อน ภาพทั้งคู่ร้องไห้ทำไห้อดร้องตามไม่ได้ ผมอยากพบพ่อกับแม่ของผมอยาก

ไปกราบท่าน อยากบอกว่าผมยังไม่ตายผมยังไม่ไปไหน แต่มันเป็นไปไม่ได้ถ้าทำเช่นนั้นอาจจะหาว่าบ้าก็เป็นได้ มีทางไหนที่ไป

เจอท่านทั้งสอง พ่อครับแม่ครับรอนนท์นะครับนนท์จะหาทางไปกราบเท้าทั้งสองให้ได้ คนร้ายยังหาตัวไม่เจอ แต่ก่อนไม่เคยเชื่อ

เรื่องกฎแห่งกรรม แต่เรื่องที่เกิดกับผมทำให้เริ่มเปลี่ยนความคิดใหม่

“อ้าวนิน ดูอะไรอยู่ลูก”

“ปะ...เปล่าผมแค่ดูภาพเฉยๆ” ผมตกใจที่แม่พิมพ์เข้าในห้อง ผมรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา วันนี้แม่พิมพ์มาเยี่ยมเหมือนทุกวันแม่

พิมพ์เล่าเรื่องตอนเด็กให้ฟัง ผมสงสารแม่พิมพ์เหลือเกินผมไม่ใช่น้อง และผมไม่มีทางจะแทนน้องได้ด้วยถ้าอยู่อย่างนี้ต่อไป

คนที่เป็นทุกข์ที่สุดคงเป็นแม่พิมพ์ ถ้าตัดสินใจพูดความจริงออกไปเรื่องทุกอย่างจะจบ“วันนี้แม่เอาไดอารี่ของลูกมาให้อ่านด้วย

นะ เผื่อลูกจะจำอะไรได้บ้าง” แม่พิมพ์ยื่นสมุดธรรมดาเล่มหนึ่งให้ ซึ่งดูแล้วหน้าตามันดูยังไงก็ไม่เหมือนไดอารี่ ผมค่อยๆเปิดอ่าน

ไปทีละหน้า ทีละหน้าเรื่อยเรื่อย

วันที่ 7 มกราคม ..

 วันนี้เป็นวันที่ผมต้องสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปหนึ่งคน คือ พ่อ ของผม วันที่เกิดเหตุการณ์ผมไม่อยู่ที่นั่นด้วย

วันที่ท้องฟ้าเป็นสีครามปกติ ร้อนยังร้อนเหมือนเช่นทุกวัน ผมยังคงนั่งเรียนในห้องเรียน พร้อมเพื่อนักเรียนคนอื่นๆ กว่าสามสิบคน

อาจารย์กำลังยืนสอนอยู่หน้าชั้นเรียนหันหลังให้พวกผม หันหน้าเข้าหากระดาน กำลังเขียนโจทย์คณิตศาสตร์ให้พวกผมแก้

 ผมกำลังลอกโจทย์บนกระดานลงในสมุดแล้วก็มีอาจารย์จากฝ่ายปกครองเรียกผมออกไปพบหน้าห้อง ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการพบ

ผมเรื่องอะไร คุณครูบอกผมให้เก็บของลงกระเป๋าผมเริ่มใจไม่ดี ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับที่บ้านผมรึเปล่า ผมขึ้นรถออกไปนอกโรงเรียน

กับคุณครูฝ่ายปกครองคนหนึ่ง ผมตัดสินใจถามคุณครูคนนั้นว่าจะพาผมไปที่ไหน คุณครูบอกผมว่าโรงพยาบาล ตอนนี้ผมเริ่มจะ

เดาออกแล้วว่าคนที่บ้านต้องมีใครซักคนหรือทั้งสองคนที่เป็นอะไร ผมภาวนาอย่าให้เกิดเหตุอะไรที่มันร้ายแรง ขอให้เขาทั้งคนที่

ผมรักปลอดภัย ผมมาถึงโรงพยาบาลแห่งหนึ่งพร้อมคุณครูฝ่ายปกครอง คุณครูเดินไปที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์แล้วแจ้งชื่อ..พ่อของ

ผม นั่นหมายความว่าคนที่กำลังอยู่ที่นี่เป็น พ่อ ผมเดินตามคุณครูไปเงียบเงียบแต่ในใจของผมไม่เงียบอย่างภายนอก

น้ำตาผมไหลออกมา ผมหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้อง เก็บศพ เป็นแม่ แม่ที่วิ่งมากอดผมไว้  มันร้ายแรงมากร้ายแรงกว่าที่ผมคิดไว้

พ่อจากผมจากแม่ไปแล้ว จากไป




                                                                          มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 3] 21/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 21-01-2016 11:16:06
                                                                     

                                                                 ต่อจากด้านบน

อย่างไม่มีวันกลับ ผมกับแม่เข้าไปดูหน้าพ่อครั้งสุดท้าย เจ้าหน้าที่เปิดผ้าคลุมหน้าของพ่อออก ผู้ชายผิวขาวซีด มีริ้วรอยบ่งบอก

อายุอยู่ตามใบหน้า กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ดูสภาพพ่อไม่เหมือนคนตายแต่เหมือนพ่อหลับอยู่ ผมไม่รู้ว่าก่อนจากไปพ่อเจ็บ

ปวดทรมานมากขนาดไหน แต่ตอนนี้พ่อคงไปสบายแล้ว แม่ผมยังคงกอดผมยืนร้องไห้ปานจะขาดใจ แม่บอกผมว่าพ่อถูกรถชน

พ่อกำลังเดินขายพวงมาลัยที่สี่แยกเป็นปกติเช่นทุกวัน ส่วนแม่นั่งร้อยมาลัยอยู่ข้างถนน กับเพื่อนคนอื่น คนที่ขับรถมาขับรถมา

ความเร็ว พ่อของผมตายคาที่ คนที่ชนพ่อบอกจะรับผิดชอบเรื่องงานศพและเงินค่าชดเชย แต่ชีวิตพ่อของผม ผมคิดว่าไม่มีอะไร

แทนกันได้ แต่เมื่อพ่อได้ตายไปแล้ว ก็ไม่สามารถเรียกร้องอะไรกลับมาได้ พ่อครับผมรักพ่อ หลับให้สบายนะครับพ่อ

ไม่มีอะไรที่ต้องห่วงอีกแล้ว ผมสัญญา สัญญาว่าผมจะเข้มแข็งและสัญญาว่าจะดูแลแม่ ให้ดูที่สุด ผมและแม่รับศพพ่อไปไว้ที่วัด

มีเพื่อนของพ่อแม่มาร่วมงาน มีคุณครูของผม ผมไม่กล้าชวนเพื่อนมากลัวเพื่อนรังเกียจและไม่อยากรบกวนใคร

ผมขึ้นไปวางดอกไม้จันและถ่ายรูปกับรูปของพ่อที่ผมเป็นคนถือไว้ในมือผมยืนมองพ่อครั้งสุดท้ายที่กลายเป็นควันสีขาวลอยสูง

ขึ้นไปบนท้องฟ้า อย่างสงบ     

วันที่ 12 สิงหาคม ...

วันนี้เป็นวันแม่ผมจะเป็นเด็กดีผมเคยได้สัญญากับแม่ ผมตื่นแต่เช้าอาบแต่งตัว ผมจะใช้เงินเก็บของผมจะพาแม่ไปเที่ยววันนี้

พวกเราเดินทางออกจากบ้านแต่เช้า เพื่อจะไม่ต้องเผชิญกับรถติด จุดหมายแรกที่ผมจะพาแม่ไปคือ ไปกราบพระ ขอพร ทำบุญ

ให้พ่อ ตอนนี้แม่คือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับผม ผมจึงอยากให้แม่พักจากการทำงานบ้าง ผมกับแม่แวะทานอาหารเช้าข้าวราดแกง

ริมทาง ที่จริงผมอยากมีเงินเยอะๆพาแม่เข้าไปกินอาหารฝรั่ง หรูหรู นั่งอยู่ห้องแอร์เย็นเย็นสบายสบาย ผมมองดูแม่กินข้าวอย่างมี

ความสุข แม่ทำทุกอย่างเพื่อผม ผมป่วยภาระทุกอย่างจึงตกมาอยู่ที่แม่ ถ้าผมดื้อดึงที่จะช่วยอาการผมจะทรุด หนักลง บางครั้ง

ผมต้องเข้าโรงพยาบาล ทำให้มีปัญหาค่าใช้จ่าย สุดท้ายคนที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างก็คือแม่ ตอนนี้ผมไม่ดื้อกับแม่อีกแล้ว

แม่ของผมเข้มแข็งมาก แม่ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานแม่ไม่เคยบ่นให้ผมฟังว่าแม่เหนื่อย แม่ท้อ หลังจากที่พ่อจากไปไม่นาน

แม่ก็กลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม หลังนั้นผมก็ไม่เคยเห็นแม่ไปแอบนั่งร้องไห้ในห้องน้ำอีกเลย ผมพาแม่ไปดูหนังเป็นที่นั่งธรรมดา

ผมมีเงินเท่านี้ แม่บอกด้วยเสียงเครือน้ำตาคลอว่าเป็นครั้งแรกที่แม่เดินเข้าโรงหนัง แม่รู้สึกดีใจมากที่ได้มีโอกาสเข้ามาดูหนังจอ

ใหญ่ที่นั่งสบาย แอร์เย็น เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสมานั่งดูนั่งกับแม่สองคน ถ้าพ่อยังอยู่เราคงได้มีโอกาสมาดูหนังสามคนพ่อ

ลูก กลับบ้านตอนเย็นวันนี้แม่ทำกับข้าวของโปรดของผม ทุกวันผมต้องกินแต่ผัก อาหารที่ดีต่อหัวใจ แต่วันนี้มีเนื้อปลาด้วย

ผมกับแม่ทานข้าวไปด้วยกันอย่างมีความสุข ก่อนเข้านอนผมเอาพวงมาลัยที่แอบซื้อมา มาไหว้แม่ ผมกราบแม่ลงที่เท้าขอโทษ

ที่ผมทำให้แม่เหนื่อย ขอโทษที่ผมเป็นภาระ ขอโทษที่ผมดูแลแม่ได้ไม่ดีพอ และผมอยากขอบคุณแม่ที่แม่รักผม ดูแลผม

เช็ดตัวให้ผมทุกครั้งที่ผมป่วย อาการป่วยของผมมันทรมานแต่มีแม่อยู่ข้างๆผมก็ดีใจ และผมมีอีกอย่างที่ผมต้องบอกแม่

ผมรักแม่นะครับ

วันที่ 9 มีนาคม .....

วันนี้เป็นวันที่ผมดีใจมากที่สุดอีกวัน และเป็นวันที่แม่ภาคภูมิใจเช่นกัน ในที่สุดผมก็จบมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้ว ผมไม่มีของเป็นที่

ระลึกเหมือนเพื่อนคนอื่นในวันพิธีปัจฉิมนิเทศ เพราะผมไม่มีเงินมากพอ ผมต้องเก็บเงินไว้เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมมองดู

เพื่อนแลกของที่ระลึกบริเวณสนามของโรงเรียน มีเพื่อนเอาของมาให้ผมด้วยแต่ผมต้องบอกไปตามความจริงว่าผมไม่มีเงินซื้อมา

ให้ เพื่อนบางคนรู้จักผมมานานเขารู้ฐานะทางครอบครัวของผมดี บางคนบริจาคเสื้อผ้าให้กับผม ผมมีวันนี้ได้เพราะเพื่อนหลาย

หลายคนในห้อง คุณครูในโรงเรียน พ่อและแม่ ผมมีโรคประจำตัวไม่สามารถที่ทำงานหนักได้ ทุกคนรู้และพยายามเข้าใจผม

ผมต้องตื่นแต่เช้านั่งรถเมล์ไปโรงเรียน ส่วนตอนกลับผมไปนั่งรถเมล์ไปแถวสี่แยกที่พ่อแม่ขายพวงมาลัยอยู่ผมไปนั่งรอเพื่อจะได้

กลับบ้านพร้อมกัน แม่บอกว่าให้ผมอยู่บ้านคนเดียวเป็นห่วง เพื่อนผมบางคนมีพ่อแม่ขับรถราคาแพงมาส่งหรือขับรถมอเตอร์ไซด์

มาเอง เมื่อมาถึงโรงเรียนผมต้องมารวบรวมการบ้านแล้วเอาไปส่งให้เพื่อนนี่คือหน้าที่ผมได้รับมอบหมาย บางวันผมต้องไปช่วย

งานคุณครูในห้องพักครู ถ้าอยู่ใกล้ครูหากเป็นอะไรไปครูจะได้ดูแลผมได้ทันท่วงที ทำให้ผมไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก ผมแอบมอง

เพื่อนเพื่อนเขียนเฟรนด์ชิฟแรกกันผมอยากเขียนบ้างอยากเขียนความรู้สึกว่าผมอยากขอบคุณเพื่อนแต่ละคนที่เคยช่วยเหลือ

อะไรผมไว้บ้าง ผมไม่สามารถตอบแทนเป็นสิ่งอื่นได้แต่ที่ผมทำได้คืออยากบอกว่าขอบคุณเพื่อนเพื่อนทุคน ผมมีสมุดเฟรนชิพ

ของตัวเองที่ผมซื้อมาแต่ไม่กล้าให้เพื่อนเขียนกลัวเพื่อนปฏิเสธไม่มีใครอยากเขียนให้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมีโอกาสเขียนลงใน

สมุดไดอารี่ของผมเอง  ผมสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีเสียงอันดับต้นๆของประเทศได้ แต่แม่ผมก็ต้องหาเงินเพื่อเตรียม

จ่ายค่าที่ผมต้องเข้ารายงานตัว แต่ไม่ว่ายังไงผมก็จะพยายามต่อไปเพื่อแม่และเพื่อตัวของผมเอง 
                 
วันที่ 25 มีนาคม ....

ผมป่วยผมเกิดมาพร้อมกับโรคหัวใจ ตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ไม่เคยให้ผมทำงานหนัก ผมตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นเพราะอาการป่วยของผม

แต่โชคดีที่ผมมีสมองที่ดี เรียนรู้จดจำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เหมือนสวรรค์ก็ไม่ใจร้ายไปกับผมซะทุกอย่างที่ยอมมอบสิ่งที่

ชดเชยกันได้มาให้ เพราะไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีประโยชน์อะไรเลย ตอนเด็กผมมักนั่งมองเพื่อนวิ่งเล่นอยู่สนามเด็กเล่นที่กำลัง

ขี่ชิงช้า เล่นสไลน์เดอร์ จับกลุ่มเล่นซ่อนหา และเล่นวิ่งไล่จับ เสียงหัวเราะของเพื่อนทำให้ผมยิ้มได้ ผมเล่นกับเพื่อนไม่ได้แต่

สามารถนั่งดูเพื่อนได้  พอเริ่มโตขึ้นมาหน่อยผมสามารถเล่นกับเพื่อนได้ แต่ห้ามออกกำลังมากจนเกินไป มีครั้งหนึ่งที่ผมเล่นกับ

เพื่อนเพลินจนลืมเวลาว่าผมเล่นนานจนเกินไป ทำให้อาการของผมกำเริบ ผมถูกส่งโรงพยาบาลเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่

อาการผมหนักถึงขนาดเข้าโรงพยาบาล ตั้งแต่นั้นผมก็ห้ามการออกกำลังเกินควรอย่างจริงจัง แม่บอกว่าเห็นสภาพผมนอนทรมาน

อยู่บนเตียงแล้วแม่สงสาร ผมไม่เคยรู้ว่ามันอาการอย่างไรผมไม่เคยเห็นสภาพตัวเอง  ยิ่งผมโตขึ้นมากเท่าไหร่อาการผมยิ่ง

ชัดเจนขึ้นเรื่อย แต่ก่อน ผมเคยแอบได้ยินหมอที่ดูแลผมบอกว่าหัวใจของผมทำงานหนักและคงใกล้ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนหัวใจ

แต่ผมคงไม่เงินค่าผ่าตัดเยอะขนาดนั้น แต่พ่อกับแม่กำลังหาโอกาสให้ผม พ่อแม่ทำงานหนักขึ้น จนในที่สุดผมก็เสียพ่อของผม

ไป เหลือแม่เพียงคนเดียว ผมรู้เวลาของผมมันใกล้เข้ามาทุกที แต่ขอเถอะครับใครก็ได้โปรดให้เวลาผม ให้ผมดูแลแม่ให้นาน

กว่านี้

ก๊อก ก๊อก

ผมปิดสมุดบันทึกลงมองคนที่เดินเข้าเป็นคุณหมอมาตรวจอาการประจำวันและเอายามาให้ทานก่อนทานข้าว

“เป็นไงบ้างครับวันนี้อาการเป็นไง ขยับตัวบ้างก็ได้นะ”

 “สวัสดีครับคุณหมอ ปวดแผลบ้างนิดหน่อยครับ” สงสัยนอนนานเกินไปรึเปล่าไม่รู้ อยากออกไปเดินเล่นบ้าง

“เดี๋ยวอีกสองสามวันให้แผลสมานตัวมากกว่านี้ เดี๋ยวหมอจะอนุญาตให้ออกไปเดินเล่นข้างนอก ถ้าไปตอนนี้หมอไม่แน่ใจกลัวติด

เชื้อ แล้วจะมีอาการแทรกซ้อนได้” คุณหมออธิบายให้ฟัง

แต่ความคิดยังวนเวียนอยู่กับไดอารี่ของน้องเคยคิดว่าชีวิตตัวเองแย่ทำงานหนักไม่มีเวลาจะกินข้าว ชีวิตน้องนั้นต้องดิ้นรนกว่าที่

จะได้มีข้าวกินแต่ละมื้อ ผมขับรถยุโรปหรูไปทำงาน แต่น้องดีใจที่ได้แค่รถเมล์ประจำทางไปโรงเรียน แม่ของน้องมีอาชีพเป็นคน

ขายพวงมาลัย ไปรับดอกไม้มาร้อยพวงมาลัยเอง ต้องจ่ายค่าที่ ค่าดอกไม้ แย่งลูกค้ากับแม่ค้าคนอื่น วันหนึ่งได้ไม่กี่ร้อย

โชคดีที่น้องเรียนหนังสือเก่งแล้วได้ทุนเรียนฟรี พ่อของน้องถูกรถชนตายบนสี่แยกที่น้องถูกรถชน น้องเป็นโรคหัวใจไม่สามารถ

ทำงานหนักได้ ไม่มีเงินผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ แต่อุบัติเหตุครั้งนี้ก็ได้เปลี่ยนชีวิตคนถึงสองคนในคราวเดียว ผมที่บริจาคหัวใจให้น้อง

 ส่วนน้องให้ชีวิตกับผมอีกครั้ง ไม่ว่าวันข้างจะเป็นยังไงมันคงไม่เลวร้ายไปกว่าไปกว่านี้อีกแล้ว


***********************************************************************

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน

 :mew6: :mew4: :mew6: :mew4: :mew6: :mew4:

โปรดติดตามตอนต่อไป [คงเป็นต้นเดือนก.พ.]

หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 3] 21/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 21-01-2016 12:36:15
สู้ชีวิตมากนินเอ้ย รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 3] 21/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 21-01-2016 12:55:12
โอ๊ยสงสารน้องนิน
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 3] 21/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 21-01-2016 13:10:01
โหยยยย ดีอ่ะ เศร้า และก็ได้เรียนรู้ ขอตามอ่านต่อเลย
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 3] 21/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 21-01-2016 13:54:33
รออ่านต่อ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 3] 21/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 21-01-2016 16:38:00
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 3] 21/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 21-01-2016 16:39:35
นนท์ก็เก่งน้องก็เก่ง กลับมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดนะนนท์ กลับมาทวงของๆตัวเองคืน แก้แค้น5นเลวๆพวกนั้น
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 3] 21/01/59
เริ่มหัวข้อโดย: Alice111 ที่ 21-01-2016 17:25:44
อ่านแล้วน้ำตาซึมเล็กน้อยสงสารน้องนิน... :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:
รออ่านต่อนะคะ .....เป็นกำลังใจให้คนแต่งค่ะ :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 4] 8/02/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 08-02-2016 19:58:30

ตอนที่ 4
[/size]

     ต้นไม้สีเขียวขนาดน้อยใหญ่ ผิวพื้นทางเดินถูกปูทับด้วยอิฐตัวหนอนสลับกับต้นหญ้าสีเขียวเล็กๆ ที่นี่คือสวนหย่อมของ

โรงพยาบาลเป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนของคนไข้ คนไข้จำนวนไม่น้อยเดินออกมารับอากาศสดชื่นยามเช้า หลายคนกำลังนั่งพูด

คุยกับญาติที่ทางโรงพยาบาลอนุญาตให้เยี่ยมได้ ผู้ป่วยบางคนกำลังนั่งอยู่บนรถเข็นแล้วมีพยาบาลกำลังป้อนข้าว

บางคนออกมานั่งผ่อนคลายอารมณ์ไม่อยากทนนอนอยู่บนเตียงคนป่วยอุดอู้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมอย่างนั้น เช่นเดียวกันกับผม

หลังจากที่คุณหมอเจ้าของไข้อนุญาตให้ออกข้างนอกได้ ที่นี่ก็กลายเป็นที่สิงสถิตใหม่ของผม ถือโอกาสหยิบหนังสือที่พี่เจนมี่

ซื้อมาให้ติดมือมานั่งอ่านบนม้านั่งสีขาวตัวยาวที่นั่งเป็นประจำเกือบหนึ่งสัปดาห์ได้แล้วที่ผมใช้ที่นี่เป็นสถานที่นั่งอ่านหนังสือ

“ขอโทษนะหนู ตรงนี้ว่างไหมจ๊ะ” หันไปมองตามเสียง เห็นผู้หญิงสูงวัยท่าทางใจดีคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากผม

เธอมองมาที่ผมแล้วยิ้มให้ด้วยยิ้มที่ดูเป็นมิตร หญิงสูงวัยสวมแว่นสายถือไม้เท้าสำหรับค้ำ อาจจะเป็นขาหรือเข่าที่มีปัญหา

เป็นเรื่องปกติของคนวัยนี้ที่ป่วยด้วยโรคข้อหรือกระดูก ผมไม่แน่ใจว่าเธออายุเท่าไหร่น่าจะประมาณหกสิบปีได้มั้ง

ไม่ใช่รูปร่างภายนอกแต่เป็นสีผมของเธอที่มีสีขาวแซม เธอสวมชุดคนไข้ของโรงพยาบาลเช่นเดียวกันกับผม 

“อ๋อ ว่างฮะ” ไม่รู้ว่าญาติใครปล่อยให้คนแก่มาเดินคนเดียวอันตราย ถ้าหกล้มเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ

“มานั่งอ่านหนังสือที่นี่ทุกวันเลยหรอจ๊ะหนู”เธอพยายามพูดคุยกับผม

 “ฮะ ผมไม่ยากอ่านในห้องเลยออกมาเปลี่ยนบรรยากาศ”หยุดอ่านหนังสือในมือแล้วใช้ที่คั่นหนังสือคั่นไว้แล้วปิดหนังสือลง

แล้วหันหน้าไปคุยกับคนตรงหน้า ที่ตอนนี้เธอนั่งลงบนม้านั่งสีขาวตัวเดียวกันกับผม

“แล้ว คุณย่าละครับ ให้ผมเรียกคุณย่าได้ไหมครับ”

“ได้จ๊ะ ย่าเข้ามารักษาตัวที่นี่ได้สัปดาห์หนึ่งแล้ว อออกมาเดินเล่นที่สวน เห็นเรามานั่งอ่านหนังสือที่ม้านั่งตรงนี้เกือบทุกวัน

ตอนแรกย่านึกว่าเป็นเด็กผู้หญิง ทั้งรูปร่าง หน้าตา น่ารักน่าเอ็นดูจริง ท่าทางหนูไม่เหมือนคนป่วย แต่ก็ผอมไปนะ”

“ฮะ ผมชื่อ นินจา ผมป่วยเพราะผมถูกรถชนฮะและต้องผ่าตัดเปลี่ยนตัวใจด้วย แล้วคุณย่าละครับป่วยเป็นอะไร”

“เป็นโรคคนแก่ลูก โรคไขข้อ ที่จริงโรคของย่าก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นแต่ที่บ้านอยากให้รีบมารักษาเพราะปล่อยนานไปจะรักษา

ได้ยาก”

“ที่บ้านเขาคงเป็นห่วงคุณย่านะครับ”

ทั้งท่าทาง รอยยิ้มของคุณย่าดูอบอุ่นและอ่อนโยนจังเลย คนแก่นี่เป็นอย่างนี้ทุกคนรึเปล่านะ ตอนนี้ผมได้เพื่อนใหม่ในโรง

พยาบาลแล้วต่อไปผมคิดว่าเขาคงไม่เหงาอีกแล้ว คุณย่าเป็นคนแก่ที่คุยเก่งมาก ไม่รู้เอาเรื่องมากมายจากไหนมาเล่าให้ฟัง

แต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องของครอบครัวของเธอ คนแก่คงเหงาคิดถึงลูกหลาน เลยพูดถึงบ่อยๆ เป็นคนแก่ที่ใจดีมากเลยเป็นที่รัก

ของทุกคนในบ้าน แล้วคุณย่าของผมล่ะเป็นยังไงบ้างนะ ตั้งแต่จำความได้พ่อแม่ก็บอกว่าคุณย่าเสียไปแล้ว

ถ้าคุณย่ายังอยู่ก็คงจะใจดีเหมือนพ่อ ใช่เหมือนพ่อไม่รู้ว่าพ่อแม่จะเป็นยังไงบ้างทำใจเรื่องการตายของผมได้แล้วยัง

รึยังกินไม่ได้นอนไม่หลับ

“คุณย่าเคยทำเรื่องไม่ดีกับคนที่เรารักและรักบ้างรึเปล่าครับ” อยากรู้ว่าจะมีคนที่เคยเดินทางผิดพลาด ทำให้คนที่เรารักเสียใจ

บ้างไหม  แล้วเขาคนนั้นต้องทนอยู่กับความรู้สึกเช่นไร จัดการกับความรู้สึกสำนึกผิดอย่างไร

“เคยสิ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนเคยทำผิดพลาด ทำให้คนที่เรารักและรักเราเสียใจได้ทั้งนั้น แล้วเราล่ะทำเรื่องอะไรให้พ่อแม่

เสียใจล่ะ”

“คุณย่าทราบ” ผมมองหน้าเธอครั้ง คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนนี่ดูเหมือนจะรู้อะไรมากจริงจริง ไม่ว่าผมจะปกปิดสีหน้าความรู้สึกไว้

 ก็คงรู้สึกได้ตามวัย ผมไม่กล้าบอก ไม่ใช่สิผมจะบอกยังไงจะเล่ายังไง

“ไม่ว่าเราทำอะไรไว้  สิ่งที่ผ่านมามันคือ อดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว ร้องไห้เสียใจให้ตายยังไงก็ไม่มีทางกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้

 แต่อนาคตคือสิ่งที่มันยังมาไม่ถึงเราสามารถเปลี่ยนแปลงมันและทำให้ดีกว่าอดีตที่ผ่านมาจะได้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้เสียใจอีกครั้ง

 มีไม่กี่คนหรอกนะที่จะสามารถได้โอกาสแก้ตัวอีกครั้ง จงรับโอกาสนั้นไว้ แล้วทำมันให้ดีที่สุด”ผมมองคนตรงหน้านิ่ง

ยอมรับว่าคำพูดของคุณย่าช่วยให้คิดอะไรได้หลายอย่าง ใช่คนเราไม่มีใครที่ไม่เคยผิดพลาดแต่จะมีสักกี่คนที่ได้โอกาสแก้ตัว

ใหม่เหมือนผม เธอยื่นมือมากุมมือของผมไว้เหมือนจะให้กำลังใจผม 

“คุณย่าอยากไปเดินเล่นบ้างไหมครับ เดี๋ยวผมพาไป” ผมชวนคุณย่าออกเดินเล่น

ช่วยพยุงเธอลุกขึ้น แล้วเดินรอบรอบสวนสีเขียวของโรงพยาบาล ยามเช้าอากาศเย็นสบายเธอชวนผมคุยไม่หยุดปาก

จนเริ่มสายพระอาทิตย์ส่องแสงแรงขึ้นทำให้เราทั้งสองต้องเดินออกจากสวน ผมเดินมาส่งที่ห้องด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าเธอจะ

หกล้มระหว่างทาง

“เข้ามาข้างในก่อนสิ” ผมเดินมาส่งคนย่าที่หลังจากที่พาเธอเดินเล่น ที่แปลกใจคือเธออยู่ห้องถัดไปจากห้องของผมไม่กี่ห้อง

นั่นหมายความว่าผมสามารถมาเยี่ยมเธอได้บ่อยๆ  ตอนนี้เธอชวนผมเข้าไปนั่งเล่นในห้อง

“ถ้าอย่างนั้นผมรบกวนด้วยนะครับ” เปิดประตูให้เธอเดินเข้าไปในห้องแล้วเดินตามเธอเข้าไปช้าๆ ภายในห้องผู้ป่วยมีทีวีจอยักษ์

 ตั้งอยู่ปลายเตียงผู้ป่วย โซฟารับแขก และโซฟาสำหรับคนนอนเฝ้าคนไข้ ผมพยุงเธอให้ขึ้นนั่งบนเตียง วางไม้เท้าของเธอไว้

ข้างเตียง ปรับเตียงนอนให้เธอนั่งสบายแล้วใช้หมอนสอดเข้าที่หลังของเธอ คุณย่าหยิบรีโมทข้างเตียงขึ้นเปิดทีวีขึ้น

ผมลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียง

“คุณย่าไม่มีพยาบาลพิเศษ หรือคนที่บ้านมาคอยเฝ้าหรือครับ”การที่ปล่อยผู้สูงอายุไว้ตามลำพังน่าเป็นห่วง

“ย่าไม่ต้องการพยาบาลพิเศษ แต่จะมีพยาบาลเข้ามาดูเป็นระยะ ส่วนเด็กรับใช้ที่บ้านตอนบ่ายๆก็คงมา”

อ้อ ก็ดีครับผมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ผมเหลือบไปเห็นของเยี่ยมไข้ที่เป็นตะกร้าผมไม้ อาหารเสริมหลายตะกร้า แสดงว่ามีคนมา

เยี่ยมคุณย่าบ่อยๆ 

“10 โมงแล้วคุณย่าหิวรึยังครับเดี๋ยวผมจะปอกผลไม้ให้ทาน” ไม่รอให้เธอตอบหยิบตะกร้าผลไม้เดินเข้าครัว หยิบสาลี่

แอ๊ปเปิ้ล แก้วมังกร ออกมาจากตะกร้าปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นชิ้นพอดีคำจัดใส่จานสองจาน จานหนึ่งห่อด้วยพลาสติกใสเก็บใส่ตู้

เย็น
“คุณย่าครับทานผมไม้” วางจานผลไม้ไว้บนโต๊ะค่อมเตียง แล้วหยิบส้อมจิ้มผลไม้แล้วยื่นให้เธอ

“ขอบใจลูก”เธอรับส้อมจิ้มผลไม้ไปจากผม

เหลือบไปเห็นหนังสือหลายเล่ม ที่วางไว้บนที่อยู่ตู้ข้างหัวเตียง มีทั้งหนังสือนิยายภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ จากที่อ่านสัน

หนังสือผมไม่รู้จักและน่าจะยังไม่เคยอ่านมาก่อน

“นินสนใจหยิบไปอ่านไหมลูก” เธอหยิบหนังสือที่อยู่ข้างตู้หัวเตียงมา แล้วยื่นให้ ผมรับมาเปิดดู Wedding for me เป็นหนังสือ

แปลครับ เลื่อนสายตาไล่มองไปตามตัวหนังสือไปทีละบรรทัดเพื่ออ่านเรื่องโดยคร่าวคร่าวจากบทนำในหนังสือ

“คุณย่าชอบหนังสือเล่มนี้หรอครับ”

“เปล่าหรอกลูกแต่หลายชายย่าเอามาให้ลองอ่าน” ก็นึกว่าคุณย่าเคยอ่านจะได้รู้เรื่องย่อทั้งหมดว่ามันสนุกรึเปล่า

“คุณย่าอยากให้ผมอ่านให้ฟังไหมครับ”

“นินจะอ่านให้ย่าฟังหรอลูก ก็ดีเหมือนกัน” รอยยิ้มบางบางปรากฏบนใบหน้าหญิงชราตรงหน้า

“เขาว่ากันว่าผู้ชาย-จะสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ไหม หรือว่าบุคลิกและอุปนิสัย ได้ก่อตัวเป็น................” ผมเริ่มอ่านบทนำให้

คุณย่าฟัง

“เรานี่อ่านหนังสือเก่งนะ อ่านให้แม่ฟังบ่อยล่ะซิ”

“คะ...ครับ” ผมค่อยค่อยอ่านไปทีละบรรทัดพร้อมชำเลืองดูสีหน้าท่าทางคนฟัง ถามว่าบ่อยไหมที่อ่านหนังสือให้แม่ฟังต้องตอบ

ว่าไม่เคยมากกว่า ถ้าลองจินตนาการว่าคนตรงหน้าเป็นแม่ของผมที่กำลังนั่งฟังผมอ่านหนังสือให้ฟังท่านจะมีความรู้สึกอย่างไร

จะดีใจไหม จะสนุกไปกับเรื่องที่ผมอ่านไหม แต่สำหรับผม มีความสุขสนุกดีใจทุกครั้งที่แม่อ่านนิทานให้ฟังทุกวันก่อนนอน

Cinderella  คือนิทานที่ชอบเด็กสาวที่เกิดมาพร้อมกับความรักและจิตใจที่ดี ต้องพบกับชะตากรรมที่ตกต่ำ ในเมื่อเธอเป็นคนดี

 มีนางฟ้ามาช่วยให้เธอได้ไปงานเต้นรำกับเจ้าชายรูปงาม แต่ความรักต้องมีอุปสรรคมากมายเขาบอกว่าความรักที่แท้จริงจะ

สามารถฝ่าฝันและก้าวพ้นอุปสรรคต่างๆไปได้ เช่นเดียวกันสุดท้ายแล้วเธอก็ได้ครองคู่กับเจ้าชายรูปงาม เคยคิดว่า นางฟ้า

มีอยู่จริงแม่บอกว่าเขาจะช่วยเหลือเด็กที่คนดีเชื่อฟังพ่อแม่ ตอนเด็กๆผมคอยมองออกไปที่หน้าต่างรอคอยว่าจะมีนางฟ้ามาหา

ผมเหมือนนิทานที่แม่เคยเล่า โดยที่ไม่รู้ว่าที่แท้ผมมีนางฟ้าประจำตัวของผม นั่นก็คือแม่ของผมนั่นเอง เหลือบมองดูคนบนเตียง

ผู้ป่วยอีกครั้ง เห็นเธอกำลังปิดแล้วปากหาว สงสัยเธอคงจะง่วงนอนแล้ว

“คุณย่าครับผมว่าคุณย่างีบซักหน่อยดีกว่าไหมครับ”
 
“ก็ดีเหมือนกัน สงสัยวันนี้ตื่นเช้ากว่าปกติ” เธอยิ้มให้ ถอดแว่นสายตาแล้ววางไว้บนตู้หัวเตียง ผมปรับเตียงให้อยู่ในท่านอนสบาย

 เธอนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว ผมหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมไว้บนร่างของเธอเบาเบา ปิดทีวี ปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ

เก็บจานผลไม้ที่เหลือเข้าตู้เย็น เดินกลับมาที่เตียงอีกครั้งคุณย่าก็เข้าสู้นิทราเรียบร้อย ค่อยๆเปิดประตูห้องแล้วปิดลงแล้วเดิน

ออกจากห้องไป
 
เดินแวะไปห้องอ่านนิตยสารอ่านข่าวรายวันจากหนังสือพิมพ์ว่ามีข่าวอะไรที่น่าสนใจบ้าง ถึงจะอยู่ที่นี่แต่โลกภายนอกก็สำคัญไม่

ต่างกัน โลกยังหมุนถึงผมจะหยุดอยู่กับที่แต่ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไปเหมือนเช่นทุกวัน เศรษฐกิจยังแย่ คนจนยังเกลื่อนเมือง

เด็กวัยรุ่นยังขายตัว รถในกรุงเทพยังคงติดน้ำยังท่วมทุกครั้งที่ฝนตก โรคติดต่อยังมีมาเรื่อยๆ และที่สำคัญคดีผมยังไม่คืบหน้าจับ

คนร้ายยังไม่ได้

เมื่ออัพเดตข่าวสารเรียบร้อยเก็บหนังสือพิมพ์เข้าที่ แล้วเดินกลับไปที่ห้องของผม เปิดประตูเดินเข้ามาห้องที่ผมอยู่มานานตั้งแต่

ที่กลับมาลืมตาดูโลกนี้อีกครั้ง คุณพยาบาลกำลังถืออาหารเที่ยงกับยาเข้าในห้อง นั่งลงทานข้าวแล้วทานยา หยิบรีโมทขึ้นมาดู

รายการสารคดีแก้เบื่อ ถึงแม้จะดูว่าไม่สนใจว่าตำรวจจะจับคนร้ายที่ฆ่าผมได้หรือไม่ที่จริงแล้วกังวลมาก หากคนร้ายรับสารภาพว่า

ฆ่าผมเพราะถูกจ้างวานโดยคนรักของผมซึ่งเป็นผู้ชาย ผมไม่อายไม่ใช่ว่าตายไปแล้วแต่เพราะนั่นคือตัวผม สิ่งที่ผมกำลังกังวลคือ

ที่ยังอยู่ พ่อแม่ จะมองหน้าคนอื่นอย่างไร สังคมจะมองทั้งสองคนยังไง  ผมยังเชื่อว่าคนบนฟ้าจะไม่ปล่อยให้คนร้ายลอยนวล

ไม่วันใดก็วันหนึ่งพวกเขาจะได้รับกรรมที่พวกเขาก่อไว้ และได้ชดใช้มันอย่างสมเหตุสมผล

มองออกไปนอกหน้าต่างมองดูแสงตะวันที่อ่อนแสงลง และกำลังจะลาลับขอบฟ้าไปในอีกไม่กี่ชั่วโมง อีกไม่นานความมืดจะ

เข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ แสงสว่างของหลอดไฟจะเข้ามาแทนที่

มองนาฬิกาอีกไม่นานก็จะถึงเวลาทานยาและอาหารของผม แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหนียวตัวอยากอาบน้ำ

เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบชุดผู้ป่วย ผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ แผลบริเวณที่ได้มาการผ่าตัดตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้วอีกไม่นานจะได้ไปตัด

ไหม แผลมีขนาดไม่ใหญ่มากรอยเย็บไม่น่ากลัวนักความรู้สึกเจ็บไม่มากเหมือนวันแรกที่รู้สึกตัว แผลฟกช้ำตามร่างกายรวมถึงบน

บริเวณศีรษะดีขึ้นมาก ผอมบอกว่าคำเดียวว่าร่างกายของผมผอม คงต้องออกกำลังกาย ร่างกายนี้ไม่สามารถออกกำลังออกแรง

ได้ตั้งแต่เกิด ทำไห้ไม่มีกล้ามเนื้อเหมือนผู้ชายทั่วไป แม้กระทั่งคุณย่าที่เจอผมครั้งแรกก็ยังคิดว่าผมเป็นเด็กผู้หญิง ใช้ผ้าชุบน้ำ

เช็ดไปตามผิวสีขาวที่เนียนนุ่มเหมือนผิวเด็ก ไล่ไปตามลำคอกระดูกไหปลาร้า ท่อนแขนเรียวเล็ก และเว้นบริเวณที่ห้ามโดนน้ำ

จากนั้นเปิดน้ำชำระร่างกายส่วนล่าง ใช้สบู่ถูบริเวณหน้าท้อง สะโพก ไปจนถึงท่อนขาเรียว แล้วเปิดน้ำจากฟักบัวล้างฟองสบู่ออก

และหยิบผ้าเช็ดตัวซับหยดน้ำที่ติดอยู่บนผิวกาย ใบหน้าขาวใส คิ้วสวย ตากลมโต ขนตายาว จมูกสวยได้รูป ริมฝีปากบางสีชมพู

หัวทุยผมเส้นเล็กยาวเคลียไหล่ ปรากฏอยู่บนกระจกเงา ไม่รู้ว่าผมมองใบหน้านี้กี่ครั้งแล้วในกระจก แต่ผมยังคงไม่ชินกับมันเท่า

ไหร่ ถ้าผมเป็นคนที่คิดจะทำศัลยกรรม ใบหน้านี้คงเป็นใบหน้าที่หลายคนเลือกที่อยากทำตาม

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องน้ำ คงจะเป็นคุณพยาบาลที่เข้าเอายาและอาหารมาให้

“ครับ เดี๋ยวผมออกไป” ตะโกนบอกคนข้างนอกให้รู้ จัดการสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเปิดประตูออกมา เห็นคุณพยาบาลกำลัง

จดรายละเอียดลงบน Nurse  Note

“นี่คือยาทานก่อนอาหารนะคะ ทานข้าว ส่วนนี่คือยาทานหลังอาหารนะคะ” คุณพยาบาลคนสวยรวบผมสวมหมวกสีขาว

แต่งหน้าบางบาง สวมชุดสีขาวทั้งตัว บอกผมอย่างนี้เกือบทุกครั้งที่เข้าเอายาและอาหารมาส่ง ส่วนคุณหมอช่วงนี้เว้นระยะการ

ตรวจ ช่วงแรกแรกคุณหมอเข้ามาตรวจอาการเช้าเย็น อาการผมดีขึ้นเรื่อยๆคุณหมอก็เข้ามาดูวันเว้นวัน

จนตอนนี้สามสี่วันเข้ามาที อาการแทรกซ้อนไม่มี ร่างกายตอบรับหัวใจนี้ จนคุณหมอยังแปลกใจ คิดว่าหัวใจนี้เป็นของผมเอง

ผมกินยาตามที่คุณพยาบาลสั่ง มันไม่เรื่องยากที่กินยาตามนั้น

หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านฆ่าเวลารอทานข้าว เขาว่ากันว่าชีวิตคนเราก็เหมือนกันกับละครหลังข่าว หรือนิยายสักเรื่อง

มันอาจจะจริงก็ได้  ถ้าผมจะเล่าเรื่องราวชีวิตของผมลงบนกระดาษไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง ผมคงจะคิดมากไป เปิดฝาที่ครอบถ้วย

อาหารออก ข้าวสวย ต้มจืด ผัดผักรวม ผลไม้สดและน้ำส้ม 1 แก้ว ฮื้อเมื่อไหร่จะได้ออกจากโรพยาบาลกันนะ แต่ถ้าออกไปแล้ว

ต้องทำอะไรอย่างไรต่อไปเอาไว้ก่อน ผมต้องจัดการสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมก่อน แล้วค่อยวางแผนเมื่อออกไปจากที่นี่จะต้องเริ่มต้น

นับหนึ่งอย่างไรดี อาหารโรงพยาบาลไม่ค่อยถูกปาก แต่ก็ต้องกินพยายามทานอาหารตรงหน้าให้หมด เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง

และสมบูรณ์ขึ้น ซักพักหยิบยาขึ้นมาทาน เข้าไปในห้องน้ำหยิบแปรงสีฟันขึ้นมาบีบยาสีฟันลงบนแปรง ขยับแปรงขึ้นลงแล้วบ้วน

ปากเรียบร้อย ตัดสินใจปรับเตียงให้ตรงสำหรับนอนแล้วก้าวขึ้นเตียง หยิบผ้าห่มขึ้นห่มแล้วหลับตาพักผ่อน ผ่านไปหลายวันผม

ยังใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ทานยาทานอาหารตามเวลา ตอนเช้าของทุกวันออกมาเดินสูดอากาศ

นั่งเล่นอ่านหนังสือที่สวนหย่อมบางวันก็ได้มีโอกาสพบคุณย่า ตอนเย็นแม่พิมพ์มานอนเฝ้าเป็นเพื่อนทำให้หายเหงาได้มาก

แผลผ่าตัดเริ่มดีขึ้นตามลำดับ

ผมรู้สึกตัวแล้วลืมตาขึ้นมองไปที่นาฬิกาที่แขวนไว้บนผนังห้องเป็นเวลา 7.15 นาฬิกา นี่หลับยาวถึงเช้า

ท่าทางเมื่อวานจะเหนื่อยไปหน่อย แม่พิมพ์ของผมมาเฝ้าเช่นทุกวัน วันนี้คงออกไปแต่เช้าเหมือนเดิม

เมื่อวานก็ไม่ได้เจอแม่พิมพ์เพราะคงจะกลับดึก หลังจากที่ทานยาก็รู้สึกง่วง หมอบอกว่าต้องการให้ร่างกายพักผ่อนเยอะๆ

ฮ้าว..บิดขี้เกียจเดินลงจากเตียงเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา  ทำไมรู้สึกเพลียเหมือนยังไม่ได้นอนเลย

ผมว่าผมออกไปเดินเล่นที่สวนหย่อมไปสูดอากาศบริสุทธิ์บางทีอาจจะรู้สึกสดชื่นขึ้น ว่าไปแล้วมีคุณย่าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนก็ดีไป

อีกแบบ ป่านนี้คุณย่าคงตื่นนอนแล้วเดินไปรับคุณย่าที่ห้องดีกว่า เดินออกจากห้องแล้วปิดประตูลงเดินตามโถงทางเดินเพื่อที่จะ

ไปห้องคุณย่า การที่ได้รู้จักกับหญิงชราคนนี้ผมรู้สึกว่าเธอกำลังเหงา เธอมักเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟัง สามีของเธอเสียชีวิตไปหลายปี

แล้วอาศัยอยู่กับลูกชายคนโต ลูกสะใภ้ และหลานๆ เธอคงรักหลานของเธอ เธอบอกว่าหลานของเธอชอบมีเรื่องปวดหัวมาให้

ลูกชายของเธอบ่อยๆ ภายนอกดูว่าเธอเข้มแข็งแต่แท้จริงแล้วเธอกำลังเหงา พ่อกับแม่ของผมก็คงจะเป็นอย่างนี้เหมือนกัน

ผมมักจะเจอคุณย่าที่สวนหย่อม หลังจากที่เดินเล่นเสร็จผมจะเดินมาส่งเธอที่ห้อง อ่านหนังสือให้เธอฟัง จนเธอหลับไปผมก็กลับ

มาที่ห้อง อ่านหนังสือของตัวเองอีกครั้ง  ห้องพิเศษนี่เงียบจริงจริงไม่มีพยาบาลหรือญาติคนป่วยเดินผ่านมาเลย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก ผมเคาะประตูห้องเพื่อคนให้คนภายในรู้ว่าจะเข้าไป ตอนบ่ายทุกวันจะมีเด็กรับใช้มาฝ้าคุณย่า

“คุณย่า คุณย่าครับ อยู่รึเปล่า” เงียบ ไม่มีคนคนมาเปิดประตูให้ ผมตัดสินจับลูกบิดแล้วหมุนผลักประตูให้เปิดเข้าไป ไม่มี

ไม่มีคนอยู่ในห้อง แต่ทำไมเครื่องปรับอากาศยังเปิดอยู่ ทีวียังเปิดไว้ แล้วคุณย่า คุณย่าไปไหน อาจจะออกไปข้างนอกแล้วลืม

ปิดไว้ก็ได้ อุตส่ามาชวนคุณย่าไปเดินเล่น คุณย่าไม่อยู่กลับไปนั่งดูทีวีที่ห้องดีกว่า  ไม่รู้อะไรที่ดลใจผมทำให้ผมเดินไปดูที่

ห้องน้ำ

“คุณย่า คุณย่าครับ คุณย่าเป็นอะไร” ผมเห็นคุณย่านอนอยู่ที่พื้นห้องน้ำ ผมตัดสินใจรีบไปกด Nurse call เพื่อเรียกพยาบาล

 ไม่กล้าเข้าไปเตะต้องร่างกายคุณย่ากลัวจะทำให้กระดูกแตกหักหรือเคลื่อนที่ ผมรอ รอ พยาบาล

“เกิดอะไรขึ้นคะ” เป็นพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามา

“พยาบาลครับคุณย่าครับคุณย่าเป็นอะไรไม่รู้” รีบบอกเธอทันทีที่เห็นเธอเดินเข้ามา

“อย่าเพิ่งแตะตัวคนไข้นะคะเดี่ยวพี่จะแจ้งคุณหมอ” เธอเดินที่เครื่องสื่อสารกดโทรออกไปติดต่อใครสักคน

ไม่นานผู้ชายสวมชุดสีขาวสามคนเข็นเตียงคนไข้เข้ามาในห้อง ผมยืนมองผู้ชายทั้งสามตรวจชีพจร และเคลื่อนย้ายคุณย่าออก

จากห้องน้ำมาไว้ที่เตียงเข็นที่จอดรออยู่แล้ว ผู้ชายทั้งสามเข็นเตียงคุณยายออกไปจากห้อง และผมที่วิ่งตามออกไป

จนถึงหน้าห้องฉุกเฉินเตียงของคุณย่าถูกเข็นเข้าไปแล้ว ผมไม่มีสิทธิ์เข้าไปต้องรออยู่ข้างนอก  เสียงคนกำลังวุ่นวายภายในห้อง

ฉุกเฉินลอดออกมาข้างนอก คุณย่าจะเป็นอะไรบ้างรึเปล่า เธอจะปลอดภัยไหม ผมนั่งลงที่เก้าอี้ที่หน้าห้องฉุกเฉินรอฟังอาการ

ของคนข้างใน ไม่อยากสูญเสียอีกแล้วไม่อยากเศร้า ผมคิดว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น เริ่มทำใจยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผมได้

แล้ว กำลังจะเริ่มต้นใหม่ ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว ใบหน้าร้อนผ่าว น้ำตาผมกำลังจะไหลออกมาอีกแล้ว ไม่อยากร้องอีกแล้ว

ประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออก คุณหมอเดินออกมาแล้วตรงมาที่ผม

“คุณเป็นญาติของคนไข้รึเปล่า”คุณหมอถามผม

“ชะ..ใช่ครับอาการคุณย่าเป็นยังไงบ้าง”ผมต้องการฟังคำตอบของหมอ

“หมอ...หมอเสียใจด้วย”เหมือนเป็นเสียงฟ้าผ่าลงมา หัวใจของผมเต้นแรงมาก และรู้จักปวดหนึบ น้ำตาของผมมันไหลออกมา

แล้วมันกำลังไหลออกมาผมกลั้นมันไม่ได้อีกต่อไป หูผมอื้อไม่ได้ยินเสียงรอบๆข้าง นี่ผมช่วยคุณย่าไม่ได้หรอเนี่ย

ผมเข้าไปพบเธอช้าไปใช่ไหม

“เอ่อ..คุณครับ..คุณ”คุณหมอพยายามเรียกผม

“คะ..ครับคุณหมอ” ผมขานรับคุณหมอ ผมเกือบลืมไปเลยว่ามีคนยืนอยู่ข้างหน้าผม

“คุณเข้าไปพบเธอครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะย้ายออกจากห้อง”

“ครับ ขอบคุณครับ”

ผมเดินผละออกมาจากคุณหมอพยายามก้าวเท้าไปข้างหน้า พยามก้าวเท้าเข้าไปที่ห้องนั้น ภายในห้องเงียบมีร่างหญิงสูงวัยไร้

วิญญาณนอนอยู่บนเตียง ผมก้าวเข้าไปใกล้ใกล้เธอทีละก้าว และหยุดอยู่ข้างๆเตียงมองดูใบหน้าที่ขาวที่เริ่มซีด

เหมือนเธอกำลังหลับอยู่

“ตื่นเถอะครับคุณย่า คุณย่านอนนานไปแล้วนะครับ” คุณย่ากำลังล้อผมเล่นรึเปล่า

เสียงข้างนอกเอะอะ เหมือนคนกำลังคุยอะไรกันสักอย่าง ประตูห้องถูกเปิดออก

“คุณแม่ คุณแม่ ฮือ ฮึก ฮือ” ผู้หญิงและผู้ชายเดินเข้ามาผู้หญิงกำลังร้องไห้ส่วนผู้ชายกำลังโอบไหล่ของเธอไหล ส่วนมืออีกข้าง

ปิดปากตัวเองไว้คงแล้วตาน้ำตาก็ไหลออกมา 

“คุณแม่ครับ ....เป็นความผิดของพวกเราเอง พวกเรา....ดูแลคุณแม่ไม่ดี” ผมยืนดูคนทั้งสองร้องไห้แล้วโทษตัวเองไปมา

จากที่ผมฟังผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นลูกชายของคุณย่าส่วนผู้หญิงคงเป็นภรรยาของเขาลูกสะใภ้ของคุณย่า ผมค่อยๆเดินออกจาก

ห้องเงียบๆเพื่อให้คนทั้งสองได้อยู่กับคุณย่าในห้อง

เดินกลับออกมานั่งหน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง มีคนเดินเข้าไปในห้องอีกหลายคนสงสัยคงเป็นญาติๆของเธอ ที่ทราบข่าวแล้วรีบมา

เสียงร้องไห้ จากในห้องยังดังเป็นระยะ ผมนั่งก้มหน้าใช้มือทั้งสองข้างปิดปากไว้ไม่ให้เสียงร้องไห้ของผมทำให้คนที่จากไปต้อง

มีห่วง

“คุณย่า คุณย่าทำไมต้องไป”ผมเห็นวิญญาณของเธอ มองวิญญาณที่อยู่ต่อหน้าผม

“อย่าเสียใจไปเลยลูก หนูทำดีที่สุดแล้ว แต่มันคงถึงคราวของย่า”รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของหญิงชรา รอยยิ้มอันอบอุ่น

มองทีไรทำให้รู้สึกดีทุกครั้ง แต่ต่อไปนี้จะไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้อีกแล้ว จะไม่มีคนไปเดินเล่นกับผมที่สวน ผมจะไม่ได้อ่านนิยายให้

เธอฟังอีกแล้ว แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่กี่วันที่ได้รู้จักกับหญิงชราคนนี้แต่ผมกับความรู้สึกผูกพันกับเธอ

“คุณย่า ฮึก ฮึก ไม่ไปไม่ได้หรอครับ”ยังไม่อยากสูญเสียเธอไป ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่จะต้องมองวิญญาณของคนที่รู้จักต้อง

หายไปต่อหน้า

“ย่าขออะไรได้ไหม” ผมองวิญญาณโปร่งแสงของเธอ

“อะไรครับคุณย่า ถ้ามีอะไรที่ผมช่วยได้ผมจะทำ”

“ฝาก....บอกคนที่บ้านของย่าด้วยว่าย่า....รักพวกเขาทุกคน” แล้ววิญญาณของเธอก็ค่อยค่อยหายไป

“ไม่..ไม่..คุณย่าผมไม่รับฝาก...อย่าไป อย่าไป”” ผมพยายามเอื้อมมือไปคว้าเธอไว้แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสเธอได้


*************************************************************************

มาต่อแล้วจ้า จบไปอีกตอน

ขอบคุณทุกความคิดเห็นจ้า และขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน

หนึ่งคนเข้ามาอ่าน และทุกๆหนึ่งความคิดเห็นนั่นคือแรงกำลังใจ ที่ให้คนแต่ง มีแรงสัมผัสปลายนิ้วลงแป้นพิมพ์

โปรดติดตามอ่านตอนต่อไปจ้า ฝากติดตามด้วยจ้า

หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 4] 8/02/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-02-2016 20:50:52
แสดงว่านินมองเห็นวิญญาณได้ซินะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 4] 8/02/59
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 08-02-2016 21:27:58
มองเห็นวิญญาณด้วย ใจหายเลย คุณย่ามาแปบเดียวก็ไป
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 4] 8/02/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 08-02-2016 21:54:31
มองเห็นวิญญาณได้สินะหนูนิน
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 5] 23/02/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 23-02-2016 15:17:59


ตอนที่ 5
[/size]


“ฝาก....บอกคนที่บ้านของย่าด้วยว่าย่า....รักพวกเขาทุกคน”

“ไม่..ไม่..คุณย่าผมไม่รับฝาก...อย่าไป อย่าไป”

ผมสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา หอบอากาศรอบตัวเข้าปอด ฮือ ฮื้อ ฮือ เสียงหายใจหอบเหนื่อยของผม ตึก ตัก ตึก ตัก เสียงหัวใจเต้น

แรง มือเลื่อนเช็ดคราบน้ำตาที่แก้ม ผมยังนอนอยู่บนเตียง นอนอยู่บนเตียงแล้วเหตุการณ์ที่ผ่านมามันหมายความว่าฝัน

ผมฝันอย่างนั้นหรอ ไม่มีเหตุการณ์นั้นหรือว่ามันผ่านไปแล้ว ลุกขึ้นจากเตียงวิ่งไปดูปฏิทินที่ติดไว้บนผนังและเงยหน้าดูนาฬิกา

 7.05 นาฬิกา เวลาเหมือนในความฝันที่ตื่นขึ้นมาเกือบเวลาเดิม ตัดสินใจเดินอย่างเร็วออกจากห้อง ไม่รู้ว่าเป็นเพียงความฝันหรือ

ลางบอกเหตุแต่ผมมีโอกาสจะแก้ไขมัน ผมก็พร้อมที่จะเสี่ยงความรู้สึกเสียใจยังอยู่ในความรู้ของผมไม่จางหายมันชัดเจนมาก

จนรู้สึกว่ามันเหมือนจริง ผมมายืนอยู่ที่หน้าห้องคุณย่าแล้วไม่รอช้าเคาะประตูเรียกคนในห้อง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก เร็วสิคุณย่าเปิดประตูสิ เงียบไม่มีใครเปิดประตู ตัดสินใจผลักประตูเข้าไปอย่างเร็วกวาดสายตาไปทั่วห้องไม่มีคน

อยู่แต่เครื่องปรับอากาศยังทำงาน โทรทัศน์ยังเปิดไว้สาวเท้ารีบเดินตรงไปที่ห้องน้ำ เป็นภาพที่ผมเห็นเหมือนในความฝัน

ตัดสินรีบกดปุ่มเรียก Nurse call และจับร่างคุณย่าที่นอนคว่ำอยู่ให้เงยหน้าขึ้น

“สาเหตุการตายหมอเชื่อว่าคนไข้ขาดอากาศหายใจ เพราะคนไข้นอนคว่ำหน้าลง”

“คุณย่า คุณย่าครับ ได้ยินผมไหมครับ ได้ยินผมไหม”

พยายามเรียกคุณย่า บริเวณศีรษะของเธอมีเลือดไหลออกมา เธอลื่นล้มในห้องน้ำหัวฟาดพื้น ร่างกายของเธอขยับเหมือนเธอจะ

ได้สติ พยาบาลเข้ามาในห้องถามว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาโทรหาใครสักคนไม่นานผู้ชายสามคนกับ

เตียงเข็นก็เข้ามาในห้อง นำคุณย่าขึ้นเตียงแล้วเข็นไปที่ห้องฉุกเฉิน ทั้งหมดเป็นภาพที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เป็นภาพเดิมในความ

ฝันของผม นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่

“คุณครับ คุณเป็นญาติไข้หรือเปล่าครับ”

“ครับ”

“เธอปลอดภัย .....”ถอนหายออกด้วยความโล่ง ทำได้แล้วช่วยคุณย่าได้แล้ว อยู่ดีดีผมรู้สึกหูเริ่มอื้อ ไม่ได้ยินเสียงคุณหมอว่าเขา

กำลังพูดอะไร ตาพร่าเรี่ยวแรงของผมหายไปไหน

“คุณ คุณ พยาบาลมาช่วยผมหน่อย คนไข้อาการหนัก”ได้ยินเสียง เสียงของคนกำลังเรียกผม แต่ไม่รู้เป็นใครไม่มีแรงขานรับ

เสียงฝีเท้าคนวิ่งวุ่นวายเต็มไปหมด มีคนเข้ามามุงดูผมเต็มไปหมดแล้วสติผมก็ดับวูบไป

“เจ็บ เจ็บ แม่ช่วยนนท์ด้วย พ่อนนท์เจ็บ ฮึก ฮือ”

ทำไมผมรู้สึกเจ็บ เจ็บแต่ไม่รู้ตรงไหน เสียงคนพูดกันผมได้ยิน พยายามลืมตาขึ้น พยาบาลกำลังยืนข้างเตียง เธอกำลังให้น้ำ

เกลือ

“คุณหมอ คุณหมอคะ คุณไข้รู้สึกตัวแล้วค่ะ” ลืมตาขึ้นมองพยาบาลคุณหมอ

“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง เจ็บแผลไหม” แผล...ใช่แผลผมเจ็บแผล คุณหมอที่เป็นเจ้าของไข้ถาม ทำไมยังรู้สึกมึนมึนงงงง

“เจ็บ เจ็บ แผล” ผมบอกหมอ

“แผลคุณเปิด .......” คุณหมอพูดอะไรสักอย่างแต่สมองผมยังรับรู้ไม่เต็มร้อย ได้ยินเสียงแต่ไม่เข้าใจ

“พยาบาล พาคนไข้กลับห้อง เดี๋ยวติดป้ายห้ามเยี่ยมด้วย ผมไม่อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยม กลัวแผลจะติดเชื้อ” เตียงผมคลื่นที่ไป

เรื่อยๆ ตามทางเดินที่มีหลอดไฟสีขาวสว่างจ้า พร้อมพี่พยาบาลที่เดินไปกับผม เตียงของผมหยุดลง ผมถูกผู้ชายยกตัวขึ้นจาก

เตียงเข็นแล้ววางลงอีกเตียง ผมจำกลิ่นนี้ได้ ผมกลับมาแล้วกลับมาที่ห้องแล้ว ในห้องเงียบลงแล้วไม่ได้ยินเสียงคนคุยกันแล้ว

ตาเริ่มหนักอีกแล้วทำให้ต้องหลับตาลงอีกครั้งเพราะร่างกายต้องการการพักผ่อน

“น้ำ น้ำ น้ำ” หิวน้ำใครก็ได้ ผมหิวน้ำ งัวเงียรู้สึกตัวตื่นเพราะความกระหายน้ำ

“น้ำค่ะ จิบนะคะ ยังดื่มไม่ได้”เป็นคุณพยาบาลยื่นหลอดให้ ดูดน้ำจากแก้วแต่รู้สึกแค่ว่าปากผมสัมผัสแค่น้ำไม่ได้ดื่ม

ผมอยากดื่มน้ำ

“พี่ครับผมอยากดื่มน้ำ”

“คุณหมอสั่งงดอาหารและน้ำค่ะ ยังทานไม่ได้”

“ผมเป็นอะไรไปครับ”

“คนไข้แผลเปิดค่ะ คุณหมอเลยทำการรักษาใหม่”

“แล้ว..แล้วผมหลับไปนานเท่าไหร่”

“ 30 ชั่วโมงค่ะ เดี๋ยวจะแจ้งคุณหมอเจ้าของไข้ว่าคุณฟื้นแล้ว”

ผมหลับไปนานขนาดนั้นเลย แผลที่หน้าอกยังเจ็บอยู่ คุณพยาบาลเดินออกไปจากห้องแล้ว

ก๊อก ก๊อก ก๊อก เป็นคุณหมอเจ้าของไข้ที่เดินเข้ามา

“ เป็นยังไงบ้าง เจ็บแผลมากไหม”

“ครับ”

“ช่วงนี้หมอจะงดเยี่ยมป้องกันแผลติดเชื้อ ส่วนน้ำอาหารอีกสามชั่วโมงก็สามารถทานได้ และพยายามขยับตัวบ่อยๆนะครับ”

คุณหมอใจดีมาก ผมรู้ว่าผมผิดที่ทำให้แผลเปิด คุณหมอคงโกรธแต่ไม่แสดงอาการออกมา คุณหมอพูดคุยอะไรกับคุณพยาบาล

อะไรสักอย่างไม่ค่อยรู้เรื่องและไม่ได้ยิน คุณพยาบาลเดินมาถอดสายน้ำเกลือออกจากแขนผม 

“ถ้าอย่างนั้นหมอขอตัวไปตรวจคนไข้คนอื่นนะครับ”คุณหมอและคุณพยาบาลออกไปจากห้องแล้ว ในห้องเงียบอีกครั้งตอนนี้ผม

หิวแล้ว แต่จากที่สายตาของผมมองไปรอบๆ ไม่มีอะไรให้ทานได้เลย พยายามลุกจากเตียงช้าๆอย่างที่คุณหมอบอก

ปวดตึงตึงที่แผล เข้าไปในห้องน้ำไปเปิดเสื้อออกดูแผลที่ถูกปิดผ้าด้วยก๊อตสีขาว คงต้องอยู่ที่นี่นานกว่าเดิมรึเปล่านะ

แล้วคุณย่าล่ะเธอเป็นยังไงบ้างคิดว่าเธอน่าจะปลอดภัยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ผมถูกห้ามเยี่ยมแล้วแม่พิมพ์จะเป็นยังไงบ้างคง

ตกใจเป็นห่วงน่าดู แล้วเมื่อไหร่จะหายป่วยออกจากโรงพยาบาลได้นะ กลับไปนั่งบนเตียงเปิดทีวีดูนั่นคือสิ่งเดียวที่สามารถทำได้

ตอนนี้ ละคร เพลง เกมส์โชว์ ผ่านสายตาผมไป ไม่มีอะไรสนุกน่าสนใจสักอย่าง

แก็ก เสียงประตูถูกเปิดเข้ามา

“ข้าวมาแล้วค่ะ ทานข้าวแล้วทานยานะคะ”

“ครับ”ในที่สุดก็รอดตายแล้ว คุณพยาบาลยกอาหารเข้ามาให้ สามสิบกว่าชั่วโมงหรือนานกว่านั้นที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องแม้แต่น้ำก็

ยังไม่ได้แตะ เปิดฝาครอบถ้วยออกเป็นโจ๊กครึ่งถ้วยที่ส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำย่อย กับน้ำส้มหนึ่งแก้ว ค่อยๆตักโจ๊กขึ้นมาจัดการช้าๆ

เพราะไม่อยากสำลัก ไม่นานทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าก็ถูกจัดการ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ครับ ผมลุกเดินย่อยอาหารไปมาช้าๆ

ในห้องเจ็บแผลครับ

แก็ก ประตูห้องถูกเปิดออก พี่พยาบาลเดินเข้ามา พร้อมลากรถอุปกรณ์อะไรมาสักอย่าง

“น้องนินพี่มาดูแผลให้ค่ะ ไปนั่งที่เตียงเร็ว” เดินกลับไปที่เตียง แล้วนั่งบนนั้นห้อยขาลงมา พยาบาลถอดเสื้อผมออก แล้วจัดการ

ล้างแผล พยาบาลที่เข้ามาดูแลผมมีหลายคนแต่ละคนหน้าตาคล้ายกันผมจำไม่ค่อยได้

“แผลเริ่มดีขึ้นมากแล้วนะคะ อย่าให้โดนน้ำ อย่าออกกำลังมากเกินไป” ผมโดนดุ ผมขอโทษครับ คุณพยาบาลส่งยิ้มให้ เมื่อ


จัดการแผลเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกง่วงนอนแล้วคงเป็นเพราะยาที่ผมทาน

“พักผ่อนนะคะจะได้หายป่วยเร็วเร็ว”

“ขอบคุณครับ” บอกขอบคุณเธอ เธอจากไปพร้อมรถเข็นอุปกรณ์ทำแผล ผมก้าวลงจากเตียงเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว

กลับออกมาจากห้องน้ำยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามีเมฆครึ้มสายลมเย็นๆพัดโชยเอาความเย็นมากระทบใบหน้า

เสียงฟ้าร้อง ครืน ครืน ส่งเสียงคำรามมาแต่ไกล สายฟ้าแลบเป็นประกายอยู่บนท้องฟ้า อีกไม่นานฝนคงเทลงมา

ผมจัดการปิดและล็อกหน้าต่างและรูดผ้าม่านปิดไม่ให้แสงเข้ามาในห้อง แล้วกลับขึ้นเตียงหลับพักผ่อนไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่า

ไหร่รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงหยดน้ำตกกระทบวัตถุอะไรซักอย่างเสียงดัง ตึก ตึก ตึก อยู่นอกหน้าต่าง อากาศเย็นชื้น

เสียงสายฝนเทกระหน่ำลงมาทั้งคืนจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก แต่ได้ซาลงมากแล้ว อุณหภูมิในห้องกับข้างนอกแตก

ต่างกันมากจนทำให้กระจกในห้องขึ้นฝ้า อากาศชื้นทำให้ไม่สบายตัวเท่าไหร่ เปิดผ้าม่านมองดูสายฝนที่เทลง

สายฝนทำให้รู้สึกเหงาผมอยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมถึงจะไม่กว้างแต่ก็โล่ง นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องกับคุณย่า

หลายวันแล้วหลายวันที่ผ่านมาทุกคนจะเป็นห่วงผมบ้างรึเปล่า

“ตื่นแล้วหรอคะ ท่าทางวันนี้ฝนคงตกทั้งวัน” คุณพยาบาลคนสวยเข้ามาปลุกผมเหมือนเช่นทุกวัน เธอปิดเครื่องปรับอากาศเปิด

พัดลมเปิดผ้าม่านที่เหลือและหน้าต่างออก กลิ่นไอน้ำฝนลอยเข้า น้ำฝนท่วมขังบริเวณพื้นหญ้าข้างล่าง มีคนข้างล่างกางร่ม

หลากสีสันเดินไปมา

“ได้เวลาทานอาหารเช้าและทานยาแล้วค่ะ” พยาบาลอีกคนเดินเข้ามา วางอาหารไว้บนโต๊ะ คุณหมอบอกว่าจะอนุญาติให้คนเข้า

เยี่ยมผมได้ นั่นหมายความว่าผมจะสามารถออกจากห้องไปเยี่ยมคุณย่าได้ ผมอยากรู้ว่าเธอเป็นยังไงบ้าง หลังจากเกิดเหตุการณ์

นั้น ผมไม่กล้าถามพยาบาลเพราะผมทำให้ทุกคนวุ่นวาย โทรติดต่อไม่ได้เพราะไม่รู้เบอร์ติดต่อ ออกจากห้องไม่ได้โดนกักบริเวณ

 ทานอาหารเช้ากับยาให้เรียบร้อยเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัว แล้วเดินออกจากห้อง เดินไปที่ห้องคุณย่า

.........................................................................................


 “อร่อยไหมครับ คุณย่า”

“อร่อยจ้า”

ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆเตียงคุณย่า เรากำลังนั่งทานผลไม้ที่ผมเป็นปลอกใส่จานให้ ในตอนที่เข้ามาในห้องเห็นเธอ

นอนอยู่บนเตียงมีพยาบาลคอยเฝ้า


“ต้องขอบคุณ นินมากเลยที่เข้ามาเจอย่าวันนั้น ถ้าไม่ได้นินย่าคงแย่”เธอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นให้ผมฟังเธอบอกว่าเธอเข้า

ห้องน้ำแต่ไม่ทันระวังลื่นล้ม หมดสติไปและต่อมาเธอได้ยินเสียงของผมเรียกเธอให้ตื่น คงเป็นตอนที่ผมพลิกตัวเธอให้นอนหงาย

แล้วเรียกสติเธอและคงเป็นตอนนี้เองที่ทำให้แผลผมเปิด คุณหมอบอกเธอว่าอุบัติที่เกิดขึ้นทำให้ต้องผ่าตัดเข่า

เธอบอกว่าจะไปเยี่ยมผมหลายครั้งแต่คุณหมอไม่อนุญาติให้เยี่ยม 

“บังเอิญนะครับ”ถ้าไม่บังเอิญเห็นความฝันนั่น ผมคงเข้ามาช่วยเธอไม่ทันเหมือนกัน ช่วยเธอได้สำเร็จและตอนนี้เธออยู่ต่อหน้า

ผมกำลังยิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น

“เดี๋ยวสักหน่อยคนที่บ้านก็จะมาเฝ้าย่า”เธอบอกตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นคนที่บ้านก็ผัดกันมาเฝ้าเธอทุกวัน พวกเขาคงตกใจกับสิ่งที่

เกิดกับเธอ


                                                                        มีต่อข้างล่าง

หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 5] 23/02/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 23-02-2016 15:23:51

                                                                             ต่อจากข้างบน


“ที่บ้านย่าอยากเจอฮีโร่คนเก่งที่ช่วยชีวิตย่าไว้”เป็นฮีโร่ที่เกือบเอาตัวไม่รอดถ้าไม่หมดสติต่อหน้าหมอหน้าห้องฉุกเฉินคนที่ไม่

รอดอาจจะเป็นผมก็ได้

“แล้วร่างกายของนินเป็นยังไงบ้างลูก”

“ผมดีขึ้นแล้วครับ”ดีขึ้นมากไม่นานคงจะหายเป็นปกติ

ก๊อก ก๊อก แก็ก เสียงคนเคาะประตู ประตูเปิดออก เป็นผู้หญิงมีอายุหน้าตาสวยแต่งตัวดี เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเด็กรับใช้ที่มา

เฝ้าคุณย่าบ่อยๆ ก็คือพี่จิ๋ว ในมือถือของเต็มไม้เต็มมือ

“คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ” เธอเดินเข้ามาก็ทักทายคุณย่าทันที ส่วนอีกคนเถือของเดินเข้าไปในครัว

“ก็เหมือนทุกวัน ไม่ต้องลำบากกันมาเฝ้าทุกวันกันก็ได้”

“คุณแม่หิวรึยังคะหนูซื้อของโปรดมาฝากคุณแม่เยอะเลย” เธอเดินไปวางกระเป๋าไว้ที่โซฟา

“นี่แม่สุคนนี้ไง หนูนินคนที่เข้ามาพบแม่” เธอเดินมาที่ข้างเตียงของคุณย่าอีกฝั่ง คุณย่าแนะนำผมให้เธอรู้จัก

“ส่วนนี่ลูกสะใภ้ย่าแม่สุพัตรา”เธอมองมาที่ผมแล้วส่งยิ้มให้

“สวัสดีครับ”ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วยกมือขึ้นไหว้ทักทาย

“สวัสดีจ๊ะ เด็กคนนี้นี่เอง น่าตาน่ารัก น่าเอ็นดูกว่าที่คิดอีกนะคะนี่ ”

“ใช่ไหม คิดเหมือนแม่เลย”

“ไม่เหมือนเด็กผู้ชายเลย หนูเห็นตอนแรกนึกว่าเด็กผู้หญิง”

“แม่เห็นหน้าครั้งแรก ยังอดเอ็นดูไม่ได้”

ผู้หญิงสองคนกำลังคุยกันโดยมีผมเป็นหัวข้อสนทนา ตอนนี้คุณสุพัตราเธอนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงอีกฝั่ง ลูกสะใภ้คุณย่าดูใจดี

มาก และทั้งคู่ดูเข้ากันได้ดี

“หนูนินทานขนมกับคุณย่านะลูก แม่ซื้อมาฝาก” พี่จิ๋วเดินถือจานอะไรไม่รู้มาวางไว้ บนโต๊ะสองสามจาน หน้าตาน่าทานครับ

“นินทานนี่ลูก ทานเยอะๆจะได้มีน้ำมีนวล เราผอมไปนะ” คุณย่าบอกให้ผมทานขนม

“ใช่คุณแม่ตัวเล็กด้วย ทานเยอะๆนะวันหลังแม่จะซื้ออย่างอื่นมาให้ทานด้วย”

“ขอบคุณครับ” เพื่อไม่เป็นการเสียมารยาทผมจึงทาน อร่อยครับเบื่อข้าวโรงพยาบาลเต็มแก่แต่ไม่กล้าทานเยอะกลัวมีผลข้าง

เคียงกับแผล ถึงต้องอดทนทานอาหารโรงพยาบาล สองสาวยังคุยกันอย่างสนุกสนาน ผมก็นั่งฟังเงียบเงียบ

“คุณแม่ตอนเย็นให้ตาเทียนมานอนเฝ้านะคะ”ท่าทางน้ำเสียงของคนพูดเปลี่ยนไป

“ตาเทียนว่างด้วยหรอเห็นทำแต่งาน”คุณย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดน้ำเสียงเหมือนแปลกใจ

“ว่างสิคะ บริษัทเขาเริ่มเข้าที่แล้ว งานไม่หนักเหมือนแต่ก่อนหายห่วงไปอีกคน ที่ห่วงก็คงเป็นเรื่องคนที่เขาจะคบด้วย”

“ทำไม พ่อตัวยุ่งมีปัญหาอะไรอีก”

“เปล่าค่ะ คุณแม่ก็ทราบเขาชอบแบบไหน นี่ก็ไม่มีใครมานานแล้ว”

“ก็ไม่มีใครห้ามเขานิ แต่เขาไม่เคยพาใครให้มารู้จัก”

ทั้งสองกำลังพูดถึงคนชื่อเทียน รึว่าจะเป็นตัวปัญหาเหมือนผมรึเปล่านะ เวลาที่พ่อกับแม่พูดถึงผมจะเป็นแบบนี้รึเปล่า

ผมก็เคยทำแต่งานอย่างหนักโดยที่ลืมพ่อกับแม่ไป ไม่มีเวลาให้ทั้งสองทั้งทั้งที่มีพร้อมทุกอย่างแต่ก็ยังไม่พอ

ยังดิ้นรนหาทุกอย่างอีก ที่จริงผมน่าจะพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ในมือ สัมผัสได้ พ่อกับแม่ก็คงไม่ต้องเป็นห่วงผมอย่างนี้เหมือนกัน

มองเวลาใกล้เที่ยงแล้วใกล้เวลาที่ต้องทานยา จึงขอตัวกลับห้อง

“โอ้ย อิ่มจังเลย” ถ้าทานข้าวเที่ยงเข้าไปหมดท้องแตกแน่แน่ ทานยาแล้วรู้สึกอึดอัดเดินออกจากห้องเดินย่อย

ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ยังไม่เดินสำรวจตึกอื่นเลย นั้นเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เพราะพยาบาลคงไม่อนุญาตให้ออกไปจากหวอดนี้แน่

ตัดสินใจเดินไปอ่านหนังสือที่โซนอ่านหนังสือ หยิบหนังสือจากชั้นออกมาอ่าน โซนหนังสือจะมีหนังสือเยอะมากแต่ไม่อนุญาต

ให้หยิบออกจากห้อง ต้องเข้ามาอ่านที่นี่เท่านั้น คงป้องกันการสูญหาย ภายในโซนมีโต๊ะสำหรับนั่งอ่านหนังสือหลายสิบโต๊ะ

ชุดโซฟาอีกสองชุด  ที่นี่ไม่ค่อยมีคนไข้เข้ามานั่งมากนักเพราะคุยเสียงดังไม่ได้ ผมยังยืนเลือกหนังสือจากชั้น

ยังหาเรื่องที่ถูกใจไม่ได้เลย แต่เริ่มง่วงแล้ว คิดว่าคงต้องกลับไปนอนพักแล้ว เก็บหนังสือเข้าชั้นแล้วเดินออกมาจากโซนหนังสือ

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ประหลาดใจ หยุดเดินยืนมองเข้าไปในร้านกาแฟ

“แม่” ผมพูดกับตัวเอง ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ในร้านกาแฟ เธอกำลังนั่งดื่มกาแฟที่โต๊ะคนเดียว ใช่แน่ๆเธอคือแม่ของผม

จำไม่ผิดและที่แน่ๆไม่มีทางจำแม่ตัวเองไม่ได้ แล้วแม่มาทำอะไรที่นี่ที่โรงพยาบาล แล้วพ่อ??พ่อล่ะ?? พ่อหรือว่าใครเป็นอะไร

อยากเดินเข้าไปถามแต่ทำไม่ได้ เดินกลับเข้าไปโซนหนังสือหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาวางลงตรงหน้า ทำท่าเหมือนกำลังอ่าน

หนังสือ แต่สายตายังจ้องมองคน ที่นั่งอยู่ร้านกาแฟ สายตาที่ดูเศร้าใบหน้าอิดโรย ที่อยู่บนใบหน้าแม่ของผม ไม่รู้ว่าแม่กำลังคิด

อะไรแต่ดูแล้วเธอไม่สบายใจ แม่คงเจอเรื่องมามาก อาการง่วงนอนของผมตอนนี้หายไปหมดแล้วเหลือแต่ความแปลกใจ

ความสงสัย ของการปรากฏตัวของคนที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟ จากวินาที เป็นนาที จากนาทีเปลี่ยนเป็นชั่วโมง แม่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรง

นั้นไม่ยอมลุกไปไหน นาฬิกายังเดินต่อไปเรื่อยๆ และผมยังไม่สามารถละสายตาจากแม่ไปได้ ผมกลัวแม่หายไปกลัวว่าหันกลับ

มาอีกทีเธอที่อยู่ตรงนั้นจะหายไป กลัวสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้ามันเป็นความฝัน หยิกแขนตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่านี่คือความจริงไม่ใช่

ความฝัน ไม่ได้เพ้อคิดถึงที่บ้านมากจนเห็นภาพหลอนแม่นั่งอยู่ตรงนั้นจริงๆ

ลุกขึ้นแล้ว เธอลุกขึ้นในที่สุด เธอก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วกำลังเดินออกจากร้านกาแฟ ผ่านโซนหนังสือที่ผมนั่ง รีบเก็บหนังสือเข้า

ชั้น แล้วเดินตามเธอไปห่าง ห่าง มองแผ่นหลังบางๆแต่อบอุ่นนั้น เธอผอมลงรึเปล่านะหรือเสื้อที่เธอสวมตัวใหญ่ แม่เดินไปเรื่อยๆ

แล้วหยุดลงที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่งและเปิดประตูเข้าไป เธอเข้าไปแล้วเข้าไปในห้อง ผมรอให้ประตูปิดลงแล้วเดินไปยืนที่หน้า

ห้องนั้น

“พิรัช กิจการเลิศล้ำพัฒนไพบูลย์” นั่นชื่อของพ่อผม ชื่อผู้ป่วยที่ติดอยู่หน้าห้องนั้นคือชื่อพ่อของผม ส่วนแพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้

เป็นแพทย์จากอายุรศาสตร์ แสดงว่าไม่มีอะไรร้ายแรงมาก ผมไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจที่ได้เห็นแม่ที่นี่ คนที่นอนป่วยอยู่ข้างในคือ

พ่อ พ่อของผม ไม่รู้ว่าเป็นอะไรบ้าง

เขาว่ากันว่าชีวิตคนเรามักถูกขีดเส้นมาด้วยพรมลิขิต การที่ผมได้มาอยู่ที่นี่ได้มาเจอแม่อีกครั้งหลังจากที่ผ่านเรื่องร้ายๆมา คงมี

คนที่ลิขิตมา ในขณะที่ผมพยายามคิดหาวิธีที่จะไปพบแม่กับพ่อแต่ก็มีคนลิขิตที่ทำให้ได้มาเจอกัน ไม่ว่าจะโดยบังเอิญหรือไม่

หรือใครขีดเส้นนี้ไว้มันก็ไม่สำคัญสิ่งที่สำคัญนี่คือโอกาสของผม ผมจะหยิบฉวยมันเอาไว้

ผู้ชายตัวโตใบหน้าหล่อเหลาสวมเสื้อผ้าด้วยชุดลำลอง กำลังยืนอยู่หน้าตู้กดน้ำ เขาหยอดเหรียญลงไปเลือกกดปุ่มน้ำอัดลม

กระป๋องน้ำอัดลมหล่นลงมา ชายคนนั้นใช้มือหยิบขึ้นมาแล้วกำลังเปิดฝา แขนข้างขวายาวมาถึงมือผู้ชายคนนั้นใส่เฝือกสีขาวใส่

ผ้าตาข่ายสีฟ้าพยุงแขนไว้ ท่าทางเขาคงจะลืมไปว่าตัวเองใส่เฝือกที่แขนทำให้เขาเปิดฝากระป๋องน้ำอัดลมไม่ได้

“ให้ตายสิ แล้วจะเปิดยังไงวะเนี่ย”ผมเดินเข้าไปใกล้ผู้ชายคนนั้น

“ให้ผมช่วยไหมครับ”ผมเสนอตัวช่วยเปิดน้ำอัดลมกระป๋องนั้น ท่าทางคนตรงหน้าผมไม่ไว้ใจผมหรือตกใจอะไรสักอย่าง

เขาจ้องมองผมอยู่นาน

“คุณครับให้ผมช่วยไหม”ผมเรียกเขาอีกครั้ง เหมือนเขาได้สติยิ้มแบบเขินแล้วรีบยื่นน้ำอัดลมกระป๋องนั้นให้ผม รับมาแล้วจัดการ

เปิด แก็ก ซ่า เสียงกระป๋องถูกเปิดแรงดันอากาศถูกระบายออกมา แล้วส่งคืนให้เจ้าของ

“ขอบคุณครับ” เขาขอบคุณผมด้วยรอยยิ้ม เขาเป็นผู้ชายที่หล่อมาก โดยรอยยิ้มนั้นยิ่งทำให้เขาดูดีขึ้นไปอีก ผมว่าเขาน่าจะยิ้ม

บ่อย แทนการทำหน้าบึ้งอยู่หน้าตู้กดน้ำ อิอิ

“ครับ”ผมรับคำขอบคุณ แล้วเดินจากไป เหนื่อยจังเลย เถลไถลทั้งวันยังไม่ได้นอนกลางวันเลยวันนี้ “แม่ จะเป็นยังไงบ้างสบายดี

ไหนน้า” เปิดประตูกลับเข้าห้องก็เห็นแม่พิมพ์อยู่ในห้อง เธอเดินเข้ามากอดผม

“เป็นยังไงบ้างลูกอาการดีขึ้นยัง หมอห้ามเยี่ยมหลายวันแม่ใจไม่ดีเลย”

“ผมขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงครับ”

“ไม่เป็นไรแค่เห็นลูกสบายดีแม่ก็ดีใจมากแล้ว”

“แม่มานานรึยังครับ”

“มาไม่นานหรอก กะว่าจะมาทันเวลาทานข้าวเย็นเราไม่ได้ทานข้าวด้วยกันนานแล้วนะ วันนี้แม่ทำกับข้าวของโปรดหนูมาด้วย

ไม่ต้องห่วงแม่ปรึกษาคุณหมอแล้ว คุณหมอบอกว่านินทานอาหารได้แต่ห้าม หวาน มัน เค็ม รสจัดเท่านั้นเอง มาลูกมาแม่จัดใส่

จานไว้หมดแล้ว กำลังร้อนๆ”ใช่ครับนานแล้วที่ผมไม่ได้ทานข้าวกับพ่อแม่ ครั้งสุดท้ายที่นั่งทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันมัน

ตอนไหนกัน ภาพที่แม่พิมพ์ตักอาหารใส่จานข้าวของผมเกิดเป็นภาพทับซ้อนปรากฏภาพผม และคนที่บ้านกำลังนั่งทานข้าวกัน

บนโต๊ะอาหารที่มีอาหารจานโปรดของผมเต็มโต๊ะพ่อแม่ตักอาหารให้ผมผมตักอาหารให้คนทั้งสอง และพ่อตักกับข้าวให้แม่ภาพ

ความอบอุ่น รอยยิ้ม และเสียงพูดคุย ยังคงอยู่ในความทรงจำเสมอไม่เคยจางหาย

“อร่อยไหมลูก ทานเยอะๆนะหนูดูผอมลงไปมากเลยนะ อาหารที่นี่ไม่อร่อยใช่ไหม วันหลังแม่จะทำของโปรดหนูมาให้ทาน

อีก”อาหารราคาไม่แพง ไม่ใช่วัตถุดิบชั้นเลิศ ไม่ใช่ฝีมือเชฟระดับภัตตราคาร แต่รสชาติอร่อยมาก อาหารฝีมือแม่คงเป็นอาหารที่

อร่อยที่สุดและน่าคิดถึงที่สุด สักวันผมจะมีโอกาสได้ทานกับข้าวฝีมือแม่อีกครั้งรึเปล่านะ “พ่อครับแม่ครับผมอยากบอกว่าผมรัก

และคิดถึงพ่อกับแม่เหลือเกิน”
 


**************************************************************************************

จบไปอีกตอน

_ _ _ _ _ __ _ __ _ __ _ __ _ __ _ __ _ __ _ __ _ _โปรดติดตามตอนต่อไป_ _ __ _ __ _ __ _ __ _ __ _ _



หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 5] 23/02/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-02-2016 15:46:01
รู้สึกว่าบทหนึ่งก็ไม่ได้สั้นนะ แต่ทำไมไม่ทันใจเราเลย สงสัยใจร้อนไป
อยากอ่านบทต่อไปเร็วๆค่ะ
ให้กำลังใจคนเขียน
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 5] 23/02/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 23-02-2016 20:47:26
ในเมื่อมีโอกาสที่จะแก้ไขก็คว้าไว้แล้วทำในสิ่งที่ดีกว่านะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 5] 23/02/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 23-02-2016 21:14:39
รอตอนต่อไป :katai4: :katai4: :katai4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 5] 23/02/59
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 24-02-2016 22:20:49
ใช้โอกาสให้เต็มที่นะ รอตอนต่อไปค่าสา
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 5] 23/02/59
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 25-02-2016 00:17:47
งื้ออออเอาอีกกกก
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 5] 23/02/59
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 25-02-2016 15:32:44
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 6] 11/03/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 11-03-2016 20:06:53

เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน
[/b]

ตอนที่ 6
[/size]


ผู้ชายตัวโตใบหน้าหล่อเหลา คมคาย รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวสวมเสื้อผ้าในชุดลำลอง อายุประมานยี่สิบกว่า แววตาและ

ท่าทางที่ดูดุดัน กำลังนั่งอยู่ข้างๆคุณย่าแต่สายจ้องมองมาที่ผม

“พอเถอะตาเทียน จะจ้องน้องอีกนานไหม”

“โทษที ครับคุณย่าผมกำลังสงสัยว่าน้องเป็นผู้ชายจริงๆรึเปล่า”

ผู้ชายคนนี้คือคุณเทียนหลายชายของคุณย่า วันนี้เขามาทำหน้าที่เฝ้าเธอ ผมเข้ามาเยี่ยมคุณย่าเป็นปกติเช่นทุกวันและกำลังจะ

อ่านหนังสือให้เธอฟัง คุณเทียนก็เข้ามา เธอแนะนำคุณเทียนให้ผมรู้จัก สวัสดีทักทายเขา และเธอแนะนำผมให้เขารู้จัก คุณ

เทียนแสดงท่าทางตกใจที่รู้ว่าผมเป็นผู้ชาย ถ้าเขาจับผมแก้ผ้าได้คงทำไปแล้ว หลังจากที่ทักทายกันเสร็จ คุณเทียนยังนั่งข้างๆ

คุณย่าจ้องผมตาแทบไม่กระพริบ จนรู้สึกเกร็งไปหมด กับสายตาที่เขามองมาที่ผม ตาบ้ามองอยู่ได้

“ย่าก็นึกว่าสเป็คเราเลยมองใหญ่ ดูสิน้องแก้มป่องแล้ว”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณย่านี่รู้ใจผมเลย ผมขอได้ไหมครับ”

“อย่ายุ่งคนนี้ย่าหวง ไม่ใช่ของเล่น”

“ก็ไม่ได้เล่น ผมไม่มีใครมาเป็นปีปีแล้วครับย่าทำแต่งาน”

“ใครจะรู้ว่าแกเอาไปซุกไว้ไหนบ้าง อีกอย่างเขายังเด็ก”

ไม่รู้ว่าทั้งสองคนกำลังคุยเรื่องอะไรกัน ท่าทางดูเป็นซีเรียสน้ำเสียงคุณย่าเหมือนดุดุ

“นินไม่ต้องไปสนใจเจ้าเทียนอ่านหนังสือให้ย่าฟังดีกว่า”

“โถ่คุณย่าครับ”

“อิ อิ อิ”เสียงหัวเราะของผม

“หัวเราะอะไรเจ้าตัวเล็ก ตลกอะไร”คุณเทียนถามเสียงเขียว ผมคงไปขัดขวางการพูดคุยของเขากับคุณย่า

“ปะ...เปล่าครับแค่คิดว่าคุณย่ากับคุณเทียนดูรักกันดี”คุณเทียนนี่ดุจัง เขาจะหักคอผมไหม ไม่ได้ตั้งใจหัวเราะสักหน่อย คุณย่า

ช่วยผมด้วย

“ตาเทียน แกไปว่าน้องทำไม ไปโน่นไปนั่งทำงานที่โซฟาโน่นเลยเอางานมาทำด้วยไม่ใช่รึไง”คุณย่าดุเลยครับดุคุณเทียนเลย

ไล่ไปไกลๆเลย ชิ่วๆ ไปๆ สมน้ำหน้า

“ครับ ครับ ใช่สิผมมันหัวเน่าแล้วนิ”คุณเทียนส่งสายฆาตโทษมาที่ผม ท่าทางเขาไม่ค่อยสบอารมณ์แล้วกลับไปนั่งที่โซฟาเปิด

กระเป๋าออกแล้วหยิบโน้ตบุ๊ก ออกมาวางไว้บนเก้าอี้ทำงานไปอย่างเงียบๆ เฮ้อในที่สุดทุกอย่างก็เข้าสู่ภาวะปกติซะที ผมกลับมา

สนใจหนังสือในมือแล้วเริ่มอ่านหนังสือให้คุณย่าฟังเหมือนเดิม เสียงพิมพ์เอกสาร เสียงกระดาษรบกวนสมาธิการอ่านของผม จน

ต้องเงยหน้าขึ้นมองที่มาของเสียงดูเหมือนคุณเทียนกำลังหัวเสียกับโน้ตบุ๊กและเอกสารตรงหน้า

“ตาเทียนแกเป็นอะไร”คุณย่าคงสงสัยเหมือนผมว่าคุณเทียนแกเป็นอะไรของแก

“เปล่าครับ ผมทำงานไม่ถนัดนิดหน่อย”คุณเทียนเงยหน้าขึ้น หัวคิ้วทั้งสองข้างแทบจะผูกโบว์

“หนูนินไปช่วยดู ตาเทียนให้ย่าหน่อย”คุณย่าหันกลับมาคุยกับผม บอกให้ผมไปช่วยคุณเทียน

“คะ ครับ” ผมตอบรับคุณย่าแล้วเดินไปหาคุณเทียนที่นั่งอยู่บนโซฟา

“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”

“เอ่อ ..ช่วยพิมพ์อันนี้ให้หน่อย” คุณเทียนยื่นโน้ตบุ๊กกับกระเอกสารที่ต้องการพิมพ์ให้ผม ไม่ใช่เรื่องยากผมจัดการพิมพ์เอกสาร

ตรงหน้าที่มีแต่ภาษาอังกฤษ คนข้างๆผมเขยิบเข้ามาใกล้ผม จนได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อนๆออกมาจากตัวเขา เสียงเปิดอ่าน

เอกสารยังดังอยู่ข้างผมเป็นระยะมีเสียงขีดเขียน เสียงอ่านพึมพำเบาๆ เสียงกดแป้นพิมพ์ของผมยังดังเป็นระยะ ผมชำเลืองมอง

คนที่อยู่ข้างผม คุณเทียนก็คงเหมือนผมแต่ก่อนที่เคยทำงานตลอดตื่นแต่เช้ารีบออกไปทำงาน ขับรถฝ่าความวุ่นวายบนท้องถนน

รีบเร่ง แข่งขันความเร็วบนท้องถนนเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางให้ทันเวลา ชีวิตที่รีบเร่ง นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ต่อสู้กับ

กองเอกสารวางอยู่บนโต๊ะ ทำงานทั้งวันไม่มีเวลาจะทานข้าว ไม่มีเวลาไปเดินเที่ยวตามห้าง หนังเรื่องสุดท้ายที่เคยเข้าไปดูใน

โรงหนังเรื่องอะไรผมจำไม่ได้ ไปเที่ยวต่างจังหวัดล่าสุดที่ไหนกับใครนึกไม่ออก ไม่มีเวลาพักผ่อนแต่มีเวลาทำงาน เจอหน้า

พนักงานที่ร้านบ่อยกว่าเจอหน้าพ่อแม่ เหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เวลาเขาทำงานหน้าตาดูจริงจัง     

“ผมพิมพ์เสร็จแล้วครับ”บอกคุณเทียน

“อ้าวหรอ เร็วดีจัง ขอบใจนะ”คุณเทียนแสดงสีหน้าแปลกใจที่ผมสามารถทำงานตรงหน้าเสร็จเร็ว

“คุณเทียนทานอะไรไหมฮะ เดี๋ยวผมไปเอามาให้”รู้สึกอึดอัดคุณเทียนที่นั่งเบียด ที่นั่งออกจะกว้างไม่รู้จะเบียดมาทำไม

“ก็ดีเหมือนกัน”ผมเดินเข้าไปในครัว ของกินเยอะทีเดียวเพราะพี่จิ๋วเอาของกินมาส่งทุกวัน หยิบคุกกี้ใส่จานกับชงโอวัลตินอุ่นๆให้

คุณเทียน เพราะในครัวไม่มีกาแฟ นั่งลงข้างๆคุณเทียนแล้ววางขนมกับโอวัลตินไว้บนเก้าอี้อีกตัว มองคนตรงหน้าที่กำลังอ่าน

เอกสารในมืออย่างตั้งใจมองไปที่เตียงนอนตอนนี้คุณย่าหลับแล้ว คิดว่าคงต้องกลับห้องปล่อยให้คุณเทียนนั่งทำงานเงียบๆดีกว่า

“คุณเทียน ผมต้องกลับห้องก่อนนะครับใกล้ถึงเวลาที่ผมต้องทานยาแล้ว”

คุณเทียนวางมือจากงานตรงหน้าแล้วมองมาที่ผม

“เราป่วยเป็นอะไร”คุณเทียนถามผมด้วยหน้าตาที่สงสัย

“เอ่อ ผมถูกรถชนและผ่าตัดหัวใจ”เขาพยักหน้าและขมวดคิ้วเล็กน้อย

“แล้วใกล้หายยัง”ถามผมไกลๆก็ได้ครับทำไมต้องเขยิบเข้ามาใกล้ขนาดนี้

“คงอีกนานมั้งครับ แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว”

“อือ แล้วมาเยี่ยมคุณย่าทุกวันเลยหรอ”เขารำคาญผมรึเปล่านะ รึผมทำอะไรให้เขาไม่พอใจรึเปล่า

“ครับผมมาเล่นกับคุณย่าเกือบทุกวัน คุณย่าเหงาไม่มีเพื่อน”คุณเทียนสัมภาษณ์ผมเสร็จก็ไล่ผมกลับห้องไป

กลับมาที่ห้องทานข้าวทานยาให้เรียบร้อยวันนี้จะไปรอพบแม่ที่โซนหนังสือ ผมเดินออกมาจากห้องตรงไปที่โซนหนังสือ วันนี้มา

เร็วกลัวจะไม่ได้เจอแม่เลยต้องออกมารอกำลังยืนเลือกหนังสือ

“นี่เธอ เธอ” มีคนเรียกผมนะ ผมแน่ใจว่าอย่างนั้น ผมหันกลับไป

“คุณเรียกผมหรอครับ” เอ๊ะ คนที่เห็นอยู่หน้าตู้กดน้ำ คนที่ผมช่วยเปิดกระป๋องน้ำอัดลม

“จำฉันได้รึเปล่า” จำได้หน้าตาดีแล้วแขนหักอย่างคุณคงมีคนเดียว

“ครับ ผมจำคุณได้ วันนี้มาดื่มน้ำอีกหรอครับ”เขาแสดงท่าทางเขินๆ ออกมา คงจะอายที่ผมเห็นเขาในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่

ได้

“เปล่า พอดีฉันมารอเธอ เอ่ออยากขอบคุณที่ช่วยเปิดกระป๋องน้ำอัดลมให้”

“ครับ”ว้าว แค่ช่วยเปิดฝาน้ำอัดลมคุณต้องเสียเวลามายืนรอขอบคุณผมเลยหรือครับน่าดีใจมาก

“เราไปนั่งคุยที่ร้านกาแฟตรงนั้นไหม”เขาเสนอให้ผมไปนั่งที่ร้านกาแฟทำไมต้องไปคุยที่นั่นละครับ อ๋อรึว่าอยากดื่มกาแฟเลย

ชวนผมไปเป็นเพื่อน

“แต่ผมไม่มีตังค์”ผมไม่มีเงินติดตัวมาแม้แต่บาทเดียว

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง ถือเป็นการขอบคุณก็ได้”

“อ้อ ครับ”ก็ดีเหมือนกัน ถ้ารอแม่ในร้านจะได้เห็นเธอได้ใกล้ขึ้นเพราะยังไงแม่ก็จำผมไม่ได้อยู่ดี พวกเราเดินเข้าไปนั่งในร้าน

กาแฟ เขาสั่งกาแฟร้อน ส่วนผมขอเป็นน้ำผลไม้ก็พอ

“คุณมาเยี่ยมญาติหรอครับ”ผมถามออกไป

“เพื่อน”อาจจะเป็นแฟนก็ได้

“แล้วแขนคุณไปโดนอะไรมาครับ”ผมสงสัย

“อุบัติเหตุทางรถยนต์” เขาตอบพร้อมกับส่งยิ้มบางๆมาให้ผม

“เหมือนผมเลยผมก็ถูกรถชนเหมือนกัน”เขาแสดงออกแปลกใจ ว่าทำไมผมไม่มีแผลบนร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว

“อ้อ ลืมแนะนำตัวผมน่าจะเป็นพี่คุณเรียกผมว่าพี่พัฒณ์ก็แล้วกันแล้วเราล่ะ”เขาทำหน้าตาเหมือนคิดอะไรออกสักอย่าง

“ผมชื่อนินจาครับ”

“ชื่อน่ารักเหมือนตัวเองเลย”ขอบคุณครับ

“ทำไมหรือครับ”

“ปะ..เปล่าตอนแรกที่เข้ามาทักพี่นึกว่าเราเป็นเด็กผู้หญิง แล้วอยู่ที่นี่นานรึยัง”

“นานแล้วครับยังไม่มีกำหนดออกด้วย”

พี่พัฒณ์น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับคุณเทียนแต่ พี่เขาดูใจดีคุยสนุกไม่เหมือนอีตาเทียนหน้าดุ ชอบแกล้งผม พี่คงเหงาไม่มีเพื่อน

เลยออกมาเดินหาเพื่อนคุย เหมือนผมที่ออกมาหาหนังสืออ่านเป็นเพื่อน

“เพื่อนพี่อาการหนักมากเลยหรอครับ”

“อ๋อ ไม่หรอกพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว พี่แค่รู้สึกเสียดายที่พี่จะไม่ได้เจอหน้าเราอีก”

ผมก็ไมรู้จะพูดยังไงอีกแต่ก็ดีใจด้วยที่เพื่อนพี่เขาหายป่วยแล้ว ส่วนแขนพี่เขาไม่นานก็จะหายเป็นปกติไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พี่เขา

ถามถึงเบอร์ติดต่อผมไม่มีมือถือครับก็เลยไม่ได้ให้ แต่พี่เขาให้เบอร์ติดต่อผมไว้ถ้ามีเรื่องอะไรติดต่อพี่เค้าได้ พี่พัฒน์ออกไปจาก

ร้านแล้วบอกว่าต้องไปทำธุระต่อ รถที่บ้านมารอรับข้างล่างแล้ว ส่วนผมยังนั่งรอแม่ในร้านกาแฟ แต่มองดูนาฬิกาแล้วแม่คงไม่มา

ผมก็คงต้องรีบกลับไปห้องรอแม่พิมพ์กลับมา

“นินกลับมาแล้วหรอลูกไปไหนมา”

“ไปเดินเล่นแก้เบื่อครับ แล้ววันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”

“ก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”

แม่พิมพ์พาผมไปนั่งที่โซฟากอดผมไว้แล้วโยกตัวไปมาเบาๆ เหมือนแม่ของผมเคยกอดแบบนี้ตอนเด็กๆเลย อ้อมกอดแม่นี่มัน

อบอุ่นอย่างนี้ทุกคนเลยรึเปล่า  ไม่รู้ว่าภายในใจของเธอคิดอะไรอยู่ เธอจะเสียใจรึเปล่าเมื่อรู้ความจริง เธอเป็นอีกคนที่ผมไม่

อยากทำร้าย แต่ตราบใดที่ผมยังอยู่ผมจะดูแลตามคำสัญญาที่ให้กับเจ้าของร่างนี้ แม้ครั้งหนึ่งจะเคยเป็นลูกที่ไม่ดีมาก่อนแต่ตอน

นี้ไม่ใช่แล้ว แม่พิมพ์คอยเล่าเรื่องของน้องตอนเด็กๆให้ฟังบ่อยๆ เล่าเรื่องต่างๆมากมาย ดูหน้าตาเธอมีความสุขทุกครั้งที่พูดถึง

มัน เป็นคุณหมอที่แนะนำอย่างนั้น สมองนี้ไม่มีความทรงจำของน้อง แต่เรื่องความฉลาดจากการคิดวิเคราะห์ การเรียนผมมีความ

สามารถส่วนนี้เพิ่มขึ้นจากแต่ก่อน

คืนนั้นผมหลับตาลงโดยมีแม่พิมพ์นั่งอยู่ข้างเตียงเล่านิทานให้ฟัง เธอบอกเป็นนิทานที่น้องชอบฟังตอนเด็กๆ และคืนนั้นผมก็ได้

ฝันเห็นน้องอีกครั้ง ฝันว่าทุกคนได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกันอีกครั้งมันหมายความว่าอย่างไร

แสงแดดทอแสงอ่อนยามเช้าวันนี้ผมออกมารับแสงแดด เสียงนกร้อง กลิ่นดอกไม้พัดโชยมาตามสายลม สายลมพัดทำให้ต้นไม้

ใบไม้ไหวไปตามแรงลม เหมือนพวกมันกำลังโยกไหวไปตามจังหวะเพลงธรรมชาติ ชั่งเป็นเช้าที่อากาศสดชื่นจริงๆ ผมนั่งลงที่ม้า

ยาวตัวเดิมหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน วันนี้เป็นอีกวันที่ผมตื่นขึ้นไม่เห็นแม่พิมพ์เห็นเพียงข้อความบอกว่าออกไปทำงานแล้ว ตอน

เย็นจะรีบกลับ นั่งมองคนไข้คนอื่นที่ออกมาเดินเล่นที่สวนแห่งนี้ และคนที่รอที่จะพบก็มา พ่อของผมกับพยาบาล

“คุณลุงครับ ทางนี้”คนที่เป็นพ่อแม่ลูกกันมันจะสายใยบางๆเชื่อมความสัมพันกันไว้โดยที่เรามองไม่เห็นไม่มีอะไรที่จะสามารถตัด

ขาดความสัมพันนี้ได้แม้แต่ความตาย ผมโบกมือเรียกชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีคุณพยาบาลเป็นคนเข็นมา เรื่องมันมีอยู่ว่าผม

มานั่งรอพบแม่ทุกวันหลังจากวันนั้นแต่ก็ไม่เคยพบ ขณะที่นั่งรอพบแม่ ได้ยินเสียงเหมือนสิ่งของหล่นลงมา ผมรีบวิ่งไปดู เป็นพ่อ

ของผมสวมชุดคนไข้ กำลังนั่งอยู่บนพื้นกุมข้อเท้าไว้ มีหนังสือที่หล่นลงมาอยู่ข้างๆและเก้าอี้หนึ่งตัวที่ล้มลงอยู่ข้างๆตัวพ่อ ในมือ

อีกข้างพ่อผมถือหนังสือไว้หนึ่งเล่ม Cinderella นั่นคือหนังสือนิทานเล่มโปรดที่ผมชอบให้แม่เล่าให้ฟังก่อนนอนทุกคืน พ่อคง

พยายามจะหยิบหนังสือเล่มนั้นที่อยู่สูงโดยใช้ เก้าอี้ปีนขึ้นไปคงไม่ทันระวังแล้วตกลงมา

“พ่อ เอ่อคุณลุงเป็นยังไงบ้างครับ” มือพ่อยังกุมอยู่ที่ข้าคงเจ็บที่ข้อเท้า

“นนท์ นนท์ ลูกพ่อกลับมาแล้ว นนท์กลับมาหาพ่อแล้ว”พ่อโผเข้ากอดทันทีที่ผมเดินเข้าไปหา ใบหน้าของพ่อแสดงความดีใจ

ออกมาอย่างชัดเจน ผมตกใจมาก ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้พ่อเจอผมแล้วเรียกชื่อนนท์ออกมาอย่างนั้น ทั้งตัวมีเพียงดวงวิญญาณและ

หัวใจดวงนี้ที่เป็นของผมนอกจากนั้นเป็นของคนอื่นที่เขาให้มา

“เอ่อคนลุงผมว่าไปหาหมอก่อนดีไหมครับ” ผมกลัวว่าพ่อจะเป็นอะไรมากกว่าที่ตาเห็นพยุงเขาให้ลุกขึ้นพาไปหาพยาบาลประจำ

หวอดเขายังจับมือผมไว้แน่นตลอดเวลาและยิ้มให้ผมทั้งน้ำตา น้ำตาผมก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว หมอเข้ามาตรวจอาการกระดูก

ข้อเท้ามีปัญหาใส่ต้องใส่เฝือกอ่อนสักระยะ ผมยังต้องอยู่ในห้องตรวจไม่อย่างนั้นพ่อไม่ยอมให้หมอตรวจ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย

แล้วพยาบาลจึงเข็นรถผู้ป่วยส่งพ่อที่ห้องโดยมาผมมาด้วย เปิดประตูเข้าไปในห้อง แม่ผมกำลังนั่งอยู่ข้างใน

“เกิดอะไรขึ้นคะคุณพยาบาล ทำไมสามีดิฉันมีสภาพเป็นอย่างนี้”แม่ดูตกใจที่เห็นสภาพของที่เท้าใสเฝือกอ่อนนั่งรถเข็นเข้ามาใน

ห้อง

คุณพยาบาลพช่วยยุงคุณพ่อขึ้นเตียง

“นนท์ อย่าไปจากพ่ออีกนะ พ่อขอโทษพ่อจะไม่ขัดใจนนท์อีกแล้ว นนท์กลับบ้านเรานะ”พ่อพยายามเรียกผมในขณะที่ผมยืน

ข้างๆแม่

“มันเกิดอะไรขึ้นคะคุณ ฉันขอโทษที่ปล่อยคุณไว้ฉันแค่ออกไปทำธุระนิดหน่อย”ผมเล่าเหตุการณ์ที่ผมไปพบพ่อตกจากเก้าอี้เพื่อ

จะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่เกินเขาเหยียบเก้าอี้ขึ้นไปแล้วพลัดตกลงมา

“ที่รัก นี่นนท์ นนท์กลับมาแล้วกลับมาหาเราแล้ว”เธอมองมาที่ผม แล้วน้ำตาคลอสิ่งที่ผมอยากพูดมากที่สุดในตอนนี้คือ พ่อครับ

แม่ครับผมกลับมาแล้ว

“ขอโทษนะ เอ่อ เอ่อ สามีของฉันป่วยอาจจะพูดจาแปลกๆ หนูอย่าได้ถือสานะ”

“คุณลุงครับผมชื่อนินครับ”ผมมองพ่อที่นอนอยู่บนเตียง น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง ผมจะทำยังไงผมจะบอกกับพ่อยังไง สายตาที่

พ่อมองมาที่ผมมันช่างอบอุ่นเสมอ พ่อดูซูบโทรมลงมาก ผมเริ่มมีสีขาวแซม เขาคงกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นห่วงและคิดถึงผมอยู่

ตลอด แม้กระทั่งแม่ก็ดูแก่ตัวลงมากนี่ผมจากไปนานหรือเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองกันแน่

“ได้ๆ นิน...นิน”

“หนูคือนิน นินทนัฐหรือ”เธอมองมาที่ผมใบหน้าเธอแสดงสีหน้าตกใจและแปลกใจในตอนแรกและเปลี่ยนเป็นดีใจที่ได้ยินชื่อของ

ผม

“เอ่อ..คุณรู้จักผมด้วยหรอครับ”ผมแปลกใจที่เธอรู้จักชื่อของผม

“หนูคือคน..เอ่อ....ที่ลูกชายฉันบริจาคหัวใจให้ บางทีหนูอาจไม่เชื่อคิดว่าฉันเป็นบ้า แต่..แต่....”แม่รู้ว่าผมตกใจที่แม่รู้ แต่ไม่ใช่

เรื่องยากที่จะสืบ

“คะ..ครับ ผมเชื่อ ผมเชื่อคุณ” เธอมองผมด้วยน้ำตาคลอ แปลกใจที่ผมพูดออกไปอย่างนั้น

“เอ่อ...นี่คงเป็นเหตุผลที่สามีฉันพบหนูแล้วรู้สึกเหมือนได้เจอลูกชาย ฉะ...ฉันเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน ......ที่จริงสามีของฉัน

ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ที่พวกเรามาที่เพราะต้องการพบหนู”แม่พูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก ดูเธอตื่นเต้น จนจับต้นชนปลายไม่ถูก

น้ำตาเธอเริ่มไหลออกมาแล้ว

“เชื่อ...ผมเชื่อคุณครับ ผมเชื่อคุณ”ผมยิ้มให้เธอแล้วกุมมือเธอไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นสวมกอดเธอแทน อ้อมกอดนี้เป็นอ้อมกอดที่ผม

รอมานานในที่สุดผมก็ได้ครอบครองมัน ได้ครอบครองอ้อมกอดนี้อีกครั้ง อ้อมกอดนี้มันคือของผมไม่ยอมปล่อยอ้อมกอดนี้อีก

แล้ว ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น กลิ่นของแม่ยังหอม ผิวแม่ยังนุ่มเหมือนเดิม

“ฮึก..ฮึก เอ่อป้าขอโทษนะ ที่หนูต้องมาเจอคนแก่บ้าๆสองคน พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่ แต่หนูอย่าถือสาเลยนะ เราไม่ได้มีเจตนา

ร้าย...แต่...แต่.หนูเหมือนลูกของป้า จริง จริง ฮือ ฮือ”เป็นอันว่าเราทั้งสามคนร้องไห้ในห้องนั้น ผมกับแม่ยืนกอดกันร้องไห้

โดยที่พ่อนอนร้องไห้มองเราทั้งคู่อยู่บนเตียง เป็นอีกครั้งที่น้ำตาของผมไหลออกมาด้วยความดีใจ มีความสุขมากจนเอ่อล้นไหล

ออกมาจากตา ความสุขผมกลับคืนมาแล้ว

สายลมยังพัดเอื่อยๆ หอบเอาความสบายกระทบผิวของผม พ่อนั่งอยู่กับผมบนม้านั่งสีขาวตัวยาวในสวน ผมมองรอยยิ้มที่ปรากฏ

บนใบหน้าพ่อ รอยคล้ำ ใบหน้าที่ดูอ่อนล้า ตอนนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว

“คุณป้า ไม่มาด้วยหรอครับ”

“อ๋อ เธอมีธุระนิดหน่อยเลยทิ้งพ่อไว้กับพยาบาลพิเศษ”พ่อผมแทนตัวเองว่าพ่อ ผมไม่อยากขัดใจ

“แผล ผ่าตัดเป็นยังไงบ้างใกล้หายรึยัง”

“ดีขึ้นบ้างแล้วครับ คุณลุงอยากฟังนิทานไหมไหมครับผมจะเล่าให้ฟัง”พ่อผมแปลกใจ ผมชูหนังสือนิทาน Cinderella ขึ้น เขายิ้ม

ให้ผมแล้วพยักหน้า ผมเริ่มอ่านนิทานให้เขาฟัง เขานั่งอยู่ข้างๆตั้งใจฟัง สายตาจับจ้องที่ใบหน้าผมตลอด ขอบคุณคนบนฟ้านะ

ครับที่ให้โอกาสผมอีกครั้งและครั้งนี้ผมจะทำมันให้ดีที่สุดผมจะรักษาความรักนี้ไว้ ไม่ปล่อยให้หลุดมือไปอีกครั้ง

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตู

“คุณย่าผมมาแล้วครับ คุณย่าต้องแปลกใจแน่เลยว่าผมพาใครมาด้วย” เสียงคุณเทียนได้ยินมาถึงในครัวผมกำลังจะปลอกผลไม้

ให้คุณย่า

“ทำอะไรเจ้าตัวเล็ก”อะ คุณเทียนยืนซ้อนอยู่ข้างหลังผม คุณเทียนมาเงียบๆผมตกใจหมด แล้วทำไมต้องมากระซิบที่หูผมด้วย

“ผมกำลังปลอกผลไม้ให้คุณย่า คุณเทียนผมชื่อนินนะไม่ได้ชื่อตัวเล็ก”คนเขามีชื่อหัดเรียกชื่อเขาบ้างดิ

“ตัวเล็กเหมาะกว่าดูซิ ตา จมูก ปาก มือ ตัว ดูเล็กไปหมดเลย”อือ เล็กก็เล็กไม่ใหญ่บ้างให้มันรู้ไปไม่ต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม

ขนาดนั้นก็ได้ เดี๋ยวจิ้มด้วยมีดปลอกผลไม้เลย

“คุณเทียนทานอะไรมารึยังครับ เดี๋ยวผมหาอะไรให้ทาน” ถามคุณเทียนเผื่อยังไม่ได้ทานอะไรมา รู้สึกเหมือนมีใครมาดึงที่ขา

กางเกงผม

“หม่ำ หม่ำ” เป็นเด็กชายสองคนยืนเงยหน้ามองผมตาแป๋วเชียว

“ลูกคุณเทียนหรอครับ น่ารักเชียว ชื่ออะไรกันบ้างครับ”

“พี่ชื่อนินนะครับ”ผมแนะนำตัวเองก่อน

“ชื่ออะไรตัวแสบบอกพี่เขาไปสิ”

“ปมชื่อ หนึ่ง”เด็กชายตัวกลมคนนี้น่าจะเป็นพี่ แก้มป่อง สวมเสื้อผ้าลายอุลตร้าแมนบอกชื่อตัวเอง

“ปมชื่อ สอง” ส่วนเด็กชายอีกคนที่มีใบหน้าเหมือนกันแนะนำตัว

 “น่ารักจังเลยครับ กี่ขวบครับคุณเทียน”ผมนั่งคุกเข่าลงคุยกับเด็กทั้งสอง คงยังอายไม่คุ้นกับคนแปลกหน้า ผมยื่นไปจับแก้ม

ป่องๆ นุ่มนิ่ม น้องหัวเราะคิก คักอย่างชอบใจอีกคนเดินเขามาหาผมแล้วพยายามจะนั่งตักผม

 “24 ครับ”เอ๊ะคุณเทียน

“ครับ”

“เห็นถามอายุ เลยบอก”

“ผมถามเด็กๆ”ไม่ได้ถามอายุคุณเลยนะ ที่สำคัญผมจะอยากรู้ไปทำไม

“หนึ่งสามขวบ สองสองขวบครับ” ก็แค่เนี่ย โอ๊ยผมปวดกะบาล

“คุณเทียนน้องทานอะไรได้บ้าง”เห็นบอกว่าหิว คุณเทียนชี้ไปที่ตะกร้าอาหาร

“หิว หิว ปี้สาว”เจ้าตัวเล็กอีกคนเดินเข้ามากอดรอบคอผมไว้ แล้วหอมลงที่แก้มผม

“ปี้สาวหอม หอม จุ๊บ”

“เอ่อ พี่เป็นผู้ชายครับไม่ใช่ผู้หญิงเรียกพี่ชาย”

“5555” เสียงหัวเราะคุณเทียน คุณเทียนกำลังหัวเราะผม ทำไม ตลกอะไร ตลกมากนักรึไง ผมจับเจ้าตัวเล็กออกจากตักและแกะ

อีกคนออกจากรอบคอยืนขึ้น แล้วหยิบผลไม้ที่ปอกไว้ยัดเข้าปากคุณเทียน

“อุ๊บ ขอบคุณรู้ได้ยังไงว่ากำลังอยากกินพอดี”ผมหันไปสนใจอาหารในตะกร้า มีผัดมักโรนีน่าจะทำไว้ให้เด็กๆ

“คุณเทียนช่วยเอาผลไม้ไปให้คุณย่าทีครับ คุณย่าคงหิวแล้ว” ผมไล่คนตัวโตออกจากห้องไปได้สำเร็จ แล้วตักผัดมักกะโรนีใส่

ถ้วยพลาสติกที่อยู่ในตะกร้า

“อุนตราแมง อุนตาแมง ของหนึ่ง”แสดงความเป็นเจ้าของไม่ต้องถามเลยว่าถ้วยไหนของใคร ผมยื่นถ้วยอุลตร้าแมน ให้น้องหนึ่ง

เจ้าตัวได้ของกินก็เดินออกไป

“เบนเทน เบนเทน ของสอง” ส่วนอีกถ้วยเป็นของน้องสอง ผมยื่นให้น้องน้องก็เดินตามก็นกันออกไป ผมพาทั้งสองไปนั้งที่โต๊ะ

อาหาร ปกติโต๊ะที่ห้องไม่มีตัวใหญ่ขนาดนี้

“เด็กๆอย่าไปกวนพี่เขาล่ะ”คุณย่าตะโกนบอก เด็กๆนั่งกินเงียบๆ ได้ยินแต่เสียงเคี้ยว แจ๊บๆ

ส่วนคนตัวโตกำลังจ้องโน้ตบุ๊คอยู่  ผมเดินกลับเข้าไปในห้องครัวเห็นแซนวิสในตะกร้าผมจัดใส่จานและชงโอวัลตินอุ่นๆ วางไว้

ข้างคนตัวโต

 “คุณเทียนทานอะไรบ้างนะครับ แอ๊ปเปิ้ลชิ้นเดียวคงไม่อิ่มหรอกผมว่า” อิอิ มีกัดนิดหน่อย

“หึ หึ หึ” เสียงหัวเราะคุณเทียนฟังแล้วรู้สึกขนลุกยังไงชอบกล ผมกลับไปนั่งกับเด็กดีกว่า

“อร่อย ไหมครับเด็กๆ”

“อร่อยครับ ปี้สาวน่ายักจัง ปี้สาวจะมาเป็นแม่ใหม่พวกเราหยอ”ผมนี้แทบสำลักน้ำลายตัวเอง เด็กแค่นี้คิดได้ไง ใครสั่งใครสอน

ผมอุ้มน้องสองนั่งตักผม มักกะโรนีในถ้วยหมดไปแล้ว สองกำลังดื่มน้ำจากแก้ว

“สองกินหมดแย้ว ปะ ปี้สาว ปะเราไปเล่นกัน”ผมหยิบทิชชู่ขึ้นเช็ดปากน้องสอง หันไปมองน้องหนึ่ง เล่นหุ่นยนต์อุลตร้าแมนกับ

กันดัมในมือ

“น้องหนึ่งทานข้าวหมดยัง อย่าเพิ่งเล่น”น้องหนึ่งพยักหน้า แต่ก็ยังเล่นเจ้าหุ่นยนต์อยู่ ผมตักมักกะโรนีป้อนใส่ปากน้องหนึ่ง น้อง

หนึ่งอ้าปากงับแล้วเคียวหยุบหยับ น้องสองปีนลงจากตักผมวิ่งไปหยิบตุ๊กตาเบนเทนจากกระเป๋า

“ปี้นิน ของสองก็มี” น้องสองโชว์ของเล่นของตัวเองให้ผมดู ผมป้อนมักกะโรนีน้องหนึ่งจนหมดก็เก็บถ้วยเข้าไปล้างในครัวเด็กๆ

ยังเล่นอยู่ที่โต๊ะอาหาร ผมเหลือบไปเห็นเสื่อปิกนิกผมจัดการปูให้เรียบร้อยแล้วอุ้มเด็กๆไปเล่นบนเสื่อ ปล่อยให้ทั้งคู่เล่นกัน ผม

เดินไปหาคุณย่าที่นอนดูทีวี

“คุณย่าฟังผมอ่านนิยายต่อจากเมื่อวานไหมครับ”

“ก็ดีเหมือนกัน ไม่มีอะไรดูแล้วมีแต่ข่าวไฟไหม้”คุณย่าหยิบรีโมทย์ปิดทีวี ผมหยิบหนังสือเปิดหน้าที่คั่นไว้ แล้วเริ่มอ่านออกเสียง

เบาๆให้คุณย่าฟัง ไม่รู้ว่าผมอ่านไปนานเท่าไหร่เงยหน้าขึ้นเห็นคุณย่านอนหลับไปแล้วมีน้องหนึ่งนอนอยู่ข้างๆ ส่วนน้องสองนั่ง

หลับอยู่บนตักผม ผมอุ้มน้องสองไปนอนกับคุณย่าแล้วห่มผ้าให้ทั้งสาม หันมาอีกคนคุณเทียนนั่งฟุบหลับหน้าโน้ตบุ๊ก

“คุณเทียน คุณเทียนครับ” ผมเรียนคุณเทียนเบาๆ

“อือ อื้อ”เขาตอบรับเสียงเรียกผม

“คุณเทียนไปนอนบนโซฟาดีกว่าครับ จะได้สบาย” ผมพาคุณเทียนไปนอนที่โซฟา คุณเทียนนั่งลงที่โซฟา

“แล้วสองแสบล่ะไปไหนแล้ว”

“หลับแล้วครับนอนอยู่บนเตียงกับคุณย่า”

“อ้าวหรอ ขอบใจที่ช่วยดูให้เดี๋ยววันหลังจะซื้อขนมมาฝาก”แล้วคุณเทียนก็ล้มตัวลงนอน ผมหยิบผ้าห่มจากในตู้มาห่มให้คนตัวโต

คุณเทียนลืมตาขึ้นมองผมที่ห่มผ้าให้แล้วยิ้ม ผมปิดประตูลงเงียบๆแล้วเดินกลับห้องตัวเอง วันนี้เหนื่อยจังเลยแต่เด็กๆก็น่ารักดี


****************************************************************

มาต่อให้แล้วจ้า ช้าไปหน่อยเพราะลืม อิอิ หวังว่าจะถูกใจ

**********************   โปรดติดตามตอนต่อไป     ********************
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 6] 11/03/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-03-2016 20:19:31
ใครเป็นพระเอกหนอ พี่เทียน พี่พัฒน์ หรือจะมีคนอื่นอีก รอตอนต่อไป

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 6] 11/03/59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-03-2016 22:11:29
ใครเป็นพระเอกนะ อีตาเทียนจอมกวนรึป่าว
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 6] 11/03/59
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 11-03-2016 22:28:46
น่ารักน้อ ดีใจจังที่พ่อแม่ลูกเค้าได้มาเจอมากอดกัน ีก
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 7] 25/03/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 25-03-2016 20:44:13

เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน
ตอนที่ 7



“แม่กินนี่สิ ผมตักให้”

“ลูกก็กินด้วยสิ”

“แม่ไม่ได้เจอพ่อนานแล้วคงคิดถึงพ่อใช่ใหมครับ”

“ผมกับพ่อคิดถึงแม่นะครับ”


ผมเห็นภาพครอบครัวของน้องนิน กำลังนั่งทานข้าวพร้อมหน้าหน้าตา ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้มมีความสุข พูดคุยกันเสียงหัวเราะ

ของน้องดังก็องกังวานในหูของผม

ลืมตาตื่น รู้สึกถึงความสุขที่ได้เห็นเมื่อครู่ในความฝันยังชัดเจนเหมือนอยู่ตรงหน้า วันนี้เป็นอีกวันที่ผมลืมตาตื่นขึ้นในห้องพัก

คนไข้ห้องห้องนี้ แม่พิมพ์ออกไปทำงานแต่เช้าเช่นทุกวัน ไม่เคยตื่นทันเห็นเธอออกไปทำงานสักวัน เจ็ดโมงเช้าเป็นเวลาที่รู้สึก

ตัว เดินเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว ผมได้ยินเสียงข้างนอกคุณพยาบาลคงเข้ามาปลุกผมและเอาอาหารและยามาส่ง ระบบย่อย

อาหารผมดีขึ้นแล้วเพราะคุณหมออนุญาตให้ทานอาหารปกติได้ แม่พิมพ์ซื้ออาหารที่ชอบมาให้ทานแทบทุกวัน

“คุณหมอ สวัสดีครับ”ผมเปิดประตูออกเป็นคุณหมอที่มารอผม

“สวัสดีครับ ทานยาครบทุกมื้อที่บอกรึเปล่า”คุณหมอพูดเหมือนผมเป็นเด็กเลยครับ

“ทานครบทุกมื้อครับ”

“เดี๋ยววันนี้หมอจะตรวจดูอาการถ้าดีขึ้น จะได้ตัดไหม หมอก็จะหยุดและลดยาบางตัว”วันนี้ต้องไปเอ็กเรย์ ตรวจเคลื่อนหัวใจ

ตรวจร่างกายและตัดไหมด้วย คุณหมอเขียนรายงานลงชาร์ต

“เดี๋ยวหมอจะให้คุณพยาบาลพาไปห้องตรวจ หลังจากที่ทานข้าวทานยาให้เรียบร้อย”

“ครับผม”

“งั้นเดี๋ยวหมอขอตัว แล้วเจอกัน”คุณหมอเดินออกไปแล้ว เป็นคุณพยาบาลเตรียมอาหารและยาเข้ามาให้

“ทานข้าวแล้วทานยานะคะ เดี๋ยวพี่จะพาไปพบคุณหมอ”

“ครับ”รับคำของพี่พยาบาล ตักอาหารเข้าปากและเปิดทีวีดูรายการต่างๆในทีวี ทำไมช่วงนี้มีข่าวไฟไหม้บ่อยจัง เลิกสนใจทีวีหัน

มาทานอาหารให้หมดแล้วและทานยา หยิบผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าชุดใหม่เดินเข้าห้องน้ำจัดการเช็ดตัวชำระล้างส่วนที่ถูกน้ำได้

เสียงน้ำกระทบลงพื้นน้ำกระเซ็นไปทั่วห้องน้ำ รู้สึกสดชื่นเมื่อผิวสัมผัสโดนน้ำ นั่งลงบนชักโคกก้มศีรษะลงใช้น้ำจากฝักบัวลาดลง

บนศีรษะจนทั่วหยิบยาสระผมของโรงพยาบาลให้มาเทลงบนฝ่ามือแล้วนวดลงบนศีรษะเบาๆจนทั่วกลิ่นหอมอ่อนๆของยาสระผม

ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเปิดน้ำจากฝักบัวไล่ฟองออกจากศีรษะเรื่อยๆจนหมดหยิบผ้าเช็ดตัวซับน้ำที่เกาะบนผมออกจนหมาด สวม

ชุดคนไข้ชุดใหม่แล้วออกมารอไปตรวจ

ก๊อก ก๊อก พยาบาลและเจ้าหน้าที่เข็นรถเข็นเข้ามา

“พร้อมรึยังเดี๋ยวพี่จะพาไปพบคุณหมอ”

“พร้อมแล้วครับไปได้เลยครับ” ขึ้นนั่งบนรถเข็นเจ้าหน้าที่เข็นออกจากห้องผ่านห้องพักหมายเลขต่างๆไปเรื่อย ไปจนถึงหน้า

หวอดที่มีพยาบาลนั่งเฝ้าอยู่หลายคน

ติง คุณพยาบาลกดเรียกลิฟต์โดยสาร ลงไปชั้นสาม เข้ามาในลิฟต์แล้ว เพิ่งได้ใช้บริการลิฟต์ครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ภายในตู้

สี่เหลี่ยมมีโปสเตอร์แนะนำ โรงพยาบาล ภาพถ่ายตึกโรงพยาบาลคุณหมอที่มีชื่อเสียงประจำอยู่ที่นี่ ข่าวประกาศ ติง ลิฟต์หยุด

แล้วเปิดออกเป็นชั้นสามมีคนยืนรอหน้าลิฟต์เพื่อลงไปชั้นล่าง ห้องตรวจ คือป้ายที่ติดไว้ก่อนจะเข้ามา

ก๊อก ก๊อก พี่พยาบาลเคาะประตู

“คุณหมอคะคนไข้มาแล้วค่ะ”

“เชิญครับ”ประตูห้องตรวจเปิดออก ผมลุกขึ้นจากรถเข็นเดินเข้าไปในห้อง

“เชิญนั่งบนเตียงได้เลย เดียวหมอตรวจร่างกายคร่าวๆก่อน”ขึ้นไปนอนบนเตียงโดยมีคุณพยาบาลช่วย รู้สึกในห้องนี้จะเย็นๆมี

กลิ่นยา กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ คุณหมอหยิบไฟฉายขึ้นมาตรวจที่ตาของผม เปิดเสื้อของผมออกใช้หูฟังแพทย์ (Stethoscope)วางลง

ที่หน้าปอด หน้าอก

“เรียบร้อยแล้ว โดยรวมถือว่าดีมาก เดี๋ยวพยาบาลจะพาไปเอ็กเรย์ ตรวจคลื่นหัวใจ แล้วตัดไหม เชิญครับพยาบาลพาตัวคนไข้ไป

ได้เลย”เย้ผ่านครับ ดีใจมากเลย ผมไม่ต้องนั่งรถเข็นแล้วเพราะห้องเอ็กเรย์ไม่ไกลจากห้องตรวจเท่าไหร่ ห้องเอกเรย์ หยุดอ่าน

ป้ายที่ติดไว้หน้าห้อง มีคำเตือน คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่จะเข้าไปในห้อง

“คนไข้ถอดสิ่งของที่เป็นโลหะด้วยนะครับ” เจ้าหน้าที่ห้องเอ็กเรย์สามชุดสีขาวบอกผม

ในห้องสี่เหลี่ยมโล่งๆมีเครื่องเอ็กเรย์หน้าตาแปลกๆ

“เดี๋ยวคนไข้ยืนชิดแป้นนี้นะครับวางคางไว้ตรงนี้ แล้วหายใจเข้าให้เต็มปอด”หันหลังให้เครื่อง มีเสียงกึก กัก สองสามทีเป็นอัน

เสร็จ ไม่ต้องรับฟิล์มเอ็กเรย์ที่นี่มีระบบเป็นไฟล์คอมพิวเตอร์ เพราะตอนนี้หลายโรงพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่

กำลังประสบปัญหาไม่มีที่เก็บฟิล์ม ฟิล์มมีราคาแพง จึงได้มีหลายโรงพยาบาลทุ่มงบซื้อเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้ถึงราคาจะสูงแต่มี

ผลดีในระยะยาว ไม่ต้องจ่ายค่าซื้อฟิล์ม ไม่ต้องหาที่จัดเก็บ

ห้องต่อไปที่จะต้องไปคือห้องตรวจคลื่นหัวใจ คนไข้ตามห้องตรวจไม่ค่อยเยอะเพราะที่นี่คือโรงพยาบาลเอกชนค่ารักษาค่อนข้าง

สูงแต่บริการก็ดีนะครับสมกับราคา เครื่องมือแพทย์ดูทันสมัย พนักงานทำความสะอาดก็เดินทำความสะอาดตลอด คุณหมอบอก

ว่าผมผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ และเสี่ยงต่อถาวะการปฏิเสธหัวใจใหม่ แต่ของผมไม่พบอาการเหล่านั้น แถม

ร่างกายยังเข้ากับหัวใจใหม่ได้ดีมาก

“คนไข้ขึ้นนอนบนเตียงเลยนะคะ”คุณพยาบาลให้ผมนอนบนเตียง เธอเปิดเสื้อผมขึ้นแล้วใช้เครื่องมือแปะบริเวณรอบหัวใจของ

ผม

“คนไข้นอนสักครูนะคะเครื่องกำลังประมวลผล”เสียงเครื่องกำลังอ่านค่าหัวใจของผมฟังดูน่าตื่นเต้นดีจังเลย เสียงเต้นของหัวใจ

ของผมเต้นตึก ตัก สงสัยผมคงตื่นเต้นอยู่ 

“เรียบร้อยแล้วค่ะ” คุณพยาบาลบอกแล้วแกะเครื่องมือออกจากหน้าอกผม

“ขอบคุณครับ”สวมเสื้อและลุกจากเตียง เดินตามพยาบาลไปอีกห้อง ห้องทำแผล ป้ายหน้าห้อง คุณพยาบาลจะตัดไหมให้ผม

“เชิญนั่งเลยนะคะ มาตัดไหมใช่ไหมคะ เจ็บนิดๆนะคะ”นั่งรอที่เก้าอี้คุณพยาบาลสวมถุงมือสีขาว เปิดเสื้อผมออก เธอหยิบเครื่อง

มือแพทย์ขึ้นมาเหมือนเป็นกรรไกร ผมไม่กล้ามองกลัว ได้ยินเสียงตัดไหม เธอเปลี่ยนเป็นเครื่องมืออีกอันแล้วดึงไหมออกรู้สึก

เจ็บนิดๆ เวลาที่เธอดึงมันออก ผมรู้สึกเหมือนเลือดผมจะไหลออกมา เธอใช้สำลีซับเลือดผม

“อะ เรียบร้อยค่ะอย่าให้แผลโดนน้ำเหมือนเดิมนะคะ ไม่นานแผลก็จะหาย”

“ขอบคุณครับ”ผมตัดไหมออกแล้วแต่มีผ้าก็อตสีขาวมาแทน ดูเหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อยแล้ว

“กลับขึ้นห้องเลยนะคะ ไปพักผ่อนแผลจะได้หายเร็วๆ”

“ครับ”เจ้าหน้าที่เข็นรถมารับผม รู้สึกว่าวันนี้จะเหนื่อยกว่าทุกวันเดินไปตรงโน้นมาตรงนี้ สงสัยร่างกายผมยังไม่ฟื้น เคลื่อนไหวแค่

นี้ก็เพลียแล้ว กลับขึ้นลิฟต์ตัวเดิมที่ลงมา ถ้าเดินบ่อยเคลื่อนไหวบ่อยแผลจะเปิดอีกไหมนะ

ประตูห้องปิดลง ตอนนี้รู้สึกเริ่มง่วง และรู้สึกเจ็บแผลนิดนิด เป็นเพราะขยับตัวตอนกินข้าวรึเปล่านะ ไม่ไหวแล้วเพลียมาก กดปุ่ม

ปรับเตียงให้เหมาะสำหรับนอน ห่มผ้าแล้วหลับตาลง ดำดิ่งลงสู่ความสงบเงียบอย่างช้าๆ

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

“คะ..คุณลุงเอ่อมีอะไรรึเปล่าครับ”ตกใจเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นพ่อของผมนั่งมองผมอยู่ข้างเตียง

“วันนี้พ่อยังไม่ได้คุยกับนิน พ่อคิดถึงเลยมาเยี่ยมที่ห้อง สีหน้าลูกไม่ค่อยดีเลยนะ”มองไปที่นาฬิกาที่แขวนไว้บนผนัง หลับไปแค่

ชั่วโมงเดียว

“ผมรู้สึกเจ็บแผลนิดหน่อยครับ เพราะวันนี้ต้องเคลื่อนไหวทั้งวัน”

“พ่อมารบกวนรึเปล่า ให้พ่อออกไปก่อนดีไหม”

“ปะ...เปล่าไม่เป็นไรครับ”พ่อคงอยากเจอหน้าผมมาก ถึงมาพบผมที่ห้อง

“คุณลุงมานานรึยังครับ”

“ซักพักเห็นนินนอนอยู่เลยไม่อยากกวน”แสดงว่าพ่อนั่งมองผมนอนนานเป็นชั่วโมงเลย

“แล้วคุณลุงมายังไงครับ”

“พ่อให้พยาบาลเข็นรถมาส่ง”

อาการผมตอนนี้ดีขึ้นหลังจากที่ได้พักผ่อน ร่างกายผมยังไม่แข็งแรงแล้วอย่างนี้คงไม่ต้องนอนอยู่โรงพยาบาลไปจนแก่ตายเลยรึ

ไง

“นินเจ็บแผลอนอยู่เฉยๆก็ได้ เดี๋ยวพ่อจะเล่านิทานให้ฟัง”ยิ้มดีใจไม่ได้ฟังพ่อเล่านิทานมานานมากแล้ว เวลาที่คุณแม่ไปต่าง

ประเทศไปทำงาน สัมมนาประชุมผู้ถือหุ้น ผมจะอยู่กับคุณพ่อ พ่อแม่จะไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวถ้าคนหนึ่งไปทำงานอีกคนต้อง

อยู่ส่งผมเข้านอนทุกคืน แม่จะชอบอ่านนิทานให้ฟังก่อนอนหนังสือนิทานทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษเก็บไว้อยู่บนชั้นหนังสือเต็ม

ไปหมด ของฝากจากแม่หนังสือนิทานคือหนึ่งในนั้น ส่วนพ่อจะชอบเล่านิทานให้ฟังนิทานของพ่อไม่มีขายในร้านหนังสือ หาไม่

ได้ในหนังสือเล่มไหน นิทานแต่ละเรื่องที่พ่อเล่าไม่เคยซ้ำกันเลยสักเรื่อง นิทานของพ่อสนุก แปลกใหม่ ตื่นเต้นตลอดเวลา และ

ที่สำคัญนิทานทุกเรื่องจะมีผมเป็นตัวเอก ไม่ได้เป็นเจ้าชายเจ้าหญิง เป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นนั่นคือบทบาทที่พ่อให้

ผมเป็นในนิทานของพ่อ ใบหน้าของพ่อดูเปี่ยมสุข มีชีวิตชีวา ผิดจากวันแรกที่เจอ พ่อกำลังเล่านิทานให้ฟังเสียงของพ่อดังอยู่

ข้างๆผม เหมือนตอนนี้ผมกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ลูกชายที่น่ารักของพ่อกับแม่ อยากไปเที่ยวทะเลกับครอบครัว ไปดูหนัง ไปเดิน

ห้างซื้อของ เข้าครัวทำอาหารที่พ่อกับแม่ชอบชมผมบ่อยๆว่าผมทำอาหารเก่ง ทำอาหารอร่อย คิดถึงวันเวลาเหล่านั้นจริงๆ

“คุณลุงเล่านิทานเก่งจังเลยนะครับ”

 “นานมากที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง นอกจากลูกชายของพ่อ”

“ถ้าไม่รังเกียจคุณลุงก็มาเล่าให้ผมฟังบ่อยๆนะครับ”

“ได้ พ่อจะมาเล่าให้นินฟังบ่อยๆ”

……………………………………………………………………………………………

สายตาทอดยาว แสงตะวันคล้อยต่ำ ช่วงเวลาพลบค่ำกำลังจะมาเยือน เสียงเตือนนกกาเรียกขานกันกลับรัง หนึ่งวันได้ผ่านผันไป

อีกครั้ง ท้องฟ้ามืดลงแล้วตอนนี้ มีเพียงแสงดาวและแสงไฟส่องสว่าง

แก็ก

“นินทำไมวันนี้อยู่ห้องได้ล่ะลูก ทุกวันถ้าไม่ถึงเวลากินข้าวก็ไม่กลับ”

“พอดีนิน เพลียๆนะครับแม่”

“ดีแล้วพักผ่อนซะบ้าง วันนี้มีกับข้าวอร่อยมาฝากเหมือนเคย เดี๋ยวแม่เทใส่จานให้นะแล้วเรามากินพร้อมกัน เดี๋ยวคุณพยาบาลก็

จะเอาอาหารมาส่งแล้วหล่ะ”ผมลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ เปิดดูผ้าก็อตสีขาวมีเลือดซึมออกมา ผมคงต้องบอกคุณพยาบาลให้เปลี่ยน

ผ้า แม่พิมพ์ทำงานเสร็จต้องกลับไปอาบเปลี่ยนเสื้อผ้าแวะซื้อกับข้าวมาทานกับผมตอนเย็นทุกวัน ช่วงที่ผมงดเยี่ยมหลายวันแม่

พิมพ์คงเหงามาก กลับไปบ้านก็ไม่มีใคร มาที่โรงพยาบาลก็เข้าเยี่ยมไม่ได้ ถ้าผมต้องอยู่คนเดียวจะเข้มแข็งได้อย่างเธอรึเปล่า

คงร้องไห้วันละหลายๆครั้งแน่นอน ล้างหน้าเพื่อให้รู้สึกสดชื่น วันนี้นอนไปชั่วโมงเดียวจากนั้นก็นอนคุยกับพ่อตลอดทั้งบ่าย เพิ่ง

ได้ขยับตัวลุกจากเตียง หยิบผ้าเช็ดตัวซับหน้าเบาๆยืนมองแม่พิมพ์เทอาหารใส่จาน จัดวางไว้บนโต๊ะอาหาร

“นินทานอันนี้ลูก อันนี้หนูทานได้ ทานเยอะๆนะลูกแม่” แม่พิมพ์ตักกับข้าวใส่ถ้วยของผม ชั่วโมงนี้ผมกินทุกอย่างครับไม่อยาก

นอนอยู่ที่นี่ไปจนแก่ตาย ไม่อยากให้ทุกคนที่รักเป็นห่วง จึงต้องหายป่วยเร็วๆ แม่พิมพ์เก็บจานไปล้าง ผมเดินกลับไปนั่งที่เตียง

“วันนี้แม่จะเล่านิทานให้หนูฟังก่อนอนอีกนะ”

“ครับ”ผมยิ้มรับ การที่เราได้รับความรักจากคนรอบข้างมันมีความสุข เป็นพลังงานที่ทำให้เราต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ

ไป ความรักที่แม่มีต่อลูก คงเป็นพลังงานตัวเดียวที่คอยขับเคลื่อนชีวิตของของแม่พิมพ์ ให้สามารถทำงานหนักได้อย่างไม่

เหน็ดเหนื่อย เดินไปข้างหน้าโดยไม่ต้องหยุดพัก

*************************************************************
ภาพครอบครัวพ่อ แม่ ลูก ของน้องปรากฏขึ้นต่อหน้าผมอีกแล้ว ผมเห็นทั้งสามคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ

ของพวกเขาเริ่มชัดเจนขึ้น

“พี่ชายขอบคุณนะที่ช่วยดูแลแม่ของผม”น้องเดินเข้ามาใกล้แล้วส่งยิ้มให้

“เราสบายดีไหม”


“ผมสบายดีแค่คิดถึงแม่ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว.......”น้องพูดอะไรผมฟังไม่ค่อยชัดเสียงน้องค่อยๆหายไป แล้วเป็นเวลาเดียวกับ

ที่ผมลืมตาขึ้น ฝันแบบนี้อีกแล้วหรอ
...


ก๊อก ก๊อก ผมเคาะประตูห้องคุณย่า แล้วเปิดเข้า

“นินเองหรือลูกวันนี้มาเร็วนะ” ผมยังไม่กล้าออกไปเดินเล่นที่สวนกลัวแผลติดเชื้อ

“ครับนินเอง วันนี้คุณย่าเข้าห้องผ่าตัดกี่โมงครับ”เดินเข้าไปหาคุณย่า คุณย่าอ้าแขนรับผมเข้าไปในอ้อมกอดแล้วหอมแก้มผม

เบาๆ รู้สึกอายยังไงไม่รู้เมื่อก่อนมีแต่พ่อกับแม่ที่ชอบหอมแก้มผม ตอนนี้มีคุณย่ากับแม่พิมพ์เพิ่มเข้ามา

“ประมาณเที่ยงๆ ผ่าตัดเล็กน่าจะใช้เวลาไม่นาน”คุณย่าปล่อยผมให้นั่งลงเก้าอี้ข้างเตียง

“คุณย่ากลัวหรือกังวลไหมครับ”

“555 ย่าอายุปูนนี้แล้ว นินผ่าตั้งหัวใจยังไม่กลัว ย่าผ่าตัดเล็กแค่เข่าจะกลัวอะไร” รู้สึกดีใจที่คุณย่าไม่กลัวหรือกังวล มันจะเป็นผล

ดีกับการผ่าตัด

แก๊ก เสียงประตูถูกข้าเปิดเข้ามา เป็นแม่สุกับลูกชายคุณย่าที่เดินเข้ามา

“หนูนิน แม่ดีใจจังเลยได้เจอหนูไม่เจอตั้งนานคิดถึงจังเลย นี่คุณพ่อ”

“สวัสดีครับ คุณแม่ คุณพ่อ”

“เออ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนที่คุณพูดจริงๆ ตามสบายนะลูกไม่ต้องเกรงใจ”ลูกชายคุณย่าท่าทางใจดีเหมือนคุณย่าเลย ผม

เดินไปนั่งที่โซฟาปล่อยให้ผู้ใหญ่ได้คุยกัน

แก๊ก ประตูเปิดขึ้นอีกแล้ว คุณเทียน กับใครไม่รู้ผู้หญิง ผู้ชายสองคนและเด็กๆ

“ปี้นิน ปี้นิน”เป็นน้องหนึ่งน้องสองวิ่งขึ้นมาหาผมที่โซฟา

“ฟอด น้องหนึ่ง ฟอด น้องสองสบายดีไหมครับ”น้องสองขึ้นมานั่งบนตักน้องหนึ่งขึ้นมานั่งข้างผมแล้วกอดคอผมไว้

“สนิทกันจังเลยนะ เจ้าตัวแสบ” คุณเทียนพูดแล้วนั่งลงข้างๆผม คุณเทียนมาเบียดผมทำไมที่ตั้งกว้าง ตอนนี้คนมาใหม่ที่ผมไม่รู้

จักมองมาที่ผมแล้วนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว  แต่ที่น่ากลัวที่สุดคงเป็นผู้หญิงที่นั่งอยู่อีกข้างของผม เธอจ้องผมตาไม่กระพริบเลย

“คุณย่าน่ารักจังเลย หนูอยากได้ ”พูดอะไรกัน ผมไม่รู้เรื่อง

“แกพูดอะไร แกไม่เห็นเจ้าของ เขานั่งหวงอยู่ข้างๆรึไง”ผู้ชายอีกคนเป็นคนพูด

“เราชื่อนินใช่ไหม พี่ชื่อทิม”เธอแนะนำตัวเองเข้ามากอดผม ฟอด แล้วหอมแกล้มผม

“ยายทิม แกทำเขาตกใจนะ”คุณเทียนดุคุณทิม แต่กำลังเล่นกับน้องหนึ่งน้องสอง

“โอ้ย พี่เทียนทำหนูทำไม ก็น้องน่ารัก ดูสิหน้าแดงเลย มองหนูตาแป๋วเชียว”ผมกำลังอึ้งมองดูหน้าผู้หญิงที่หอมแก้มผม ผมรู้ว่า

เธอกำลังแกล้งผม

“หนูว่าแล้วทำไมพี่เทียนถึงมาเฝ้าคุณย่าบ่อยๆ” สองพี่น้องกำลังคุยกัน ทะเลาะกันโดยมีผมนั่งขั้นกลาง น้องสองนั่งอยู่บนตักผม

เล่นหุ่นยนต์กับน้องหนึ่งที่นั่งข้างผม

“อาเทียง อาทิงโตแย้วอย่าทะเยาะกัน” ใช่แล้วครับโตแล้วอย่าทะเลาะกัน

“อิ อิ อิ “ผมหัวเราะสมน้ำหน้าถูกเด็กสั่งสอน

“หัวเราะอะไร เจ้าตัวเล็ก”

“ป...เปล่าครับ โอ๊ย คุณเทียนเจ็บ”คุณเทียนบีบแก้มผม ผมร้องแล้วหันไปว่า แต่คุณเทียนยิ้มกวนๆแล้วยักคิ้วให้ผม ผมเอามือลูบ

แก้มตัวเอง

“โอ่ โอ๋ ไม่เจ็บเดี๋ยวน้องสองเป่าให้ ฟอด”น้องสองหอมแก้มผมเบาๆแล้วยิ้ม ผมนี้หัวเราะเลยที่ถูกเด็กปลอบ

น้องหนึ่ง น้องสองเป็นลูกชายคุณเทพพี่ชายคนโตเป็นพ่อหม้ายเลิกกับภรรยา คุณเทียนเป็นคนรอง คุณแทนเป็นคนที่สาม

สุดท้ายคือคือคุณทิมหลานสาวแสนสวยของคุณย่า ทั้งหมดนี้พี่จิ๋วเป็นคนบอก ครอบครัวคุณย่าดูเป็นครอบครัวใหญ่ อบอุ่น ถึงแม้

จะดูวุ่นวายไปบ้างแต่ก็ดูทุกคนมีความสุขดี หลานคุณย่าแต่ละคนดูแสบ และร้ายกันทุกคน เสียงหัวเราะเสียงพูดคุยของคุณย่า

แว่วมาคุณย่ายังคุยกับลูกชายและลูกสะใภ้อย่างผ่อนคลายก่อนเข้าห้องผ่าตัด ทุกคนต่างมาเป็นกำลังใจให้คุณย่าก่อนเข้าห้อง

ผ่าตัด กำลังใจจากครอบครัวคงเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

“เป็นห่วงคุณย่าหรอเรา”เสียงคุณเทียนพูดอยู่ข้างๆหูผม ผมหันกลับไปมองสายตาดุคู่นั้นที่กำลังจ้องมองผมอยู่

“เอ่อ ครับ”ตอบคุณเทียน สงสัยแสดงความกังวลมากเกินไปคุณเทียนถึงรู้

“คุณย่าเข้มแข็งที่เราคิด”รู้สึกว่าคุณเทียนกำลังปลอบใจผมไม่ให้กังวล

“ใช่น้องนินคุณย่านะเป็นหญิงแกร่ง”คุณทิมพูดอีกคน  ผมอาจจะกังวลมากเกินไปเวลานี้ผมควรจะเป็นกำลังให้ถึงจะถูก

ก๊อก ก๊อก แก๊ก คุณพยาบาลเปิดประตูเข้ามาพร้อมเจ้าหน้าที่เข็นรถเข็น

“ขออนุญาตค่ะ คุณย่าค่ะหนูมารับแล้วค่ะ”คุณพยาบาลเดินไปที่เตียงคุณย่า พร้อมเจ้าหน้าที่ คุณย่าลุกจากเตียงคุณพ่อของคุณ

เทียนพยุงให้ท่านนั่งลงบนเก้าอี้รถเข็น พวกเราทั้งหมดยืนเดินตามไปส่งคุณย่าที่ คุณเทียนอุ้มน้องสองขึ้นจากตักผม ผมกับน้อง

หนึ่งเดินจูงมือกันเดินตามไป เดินตามคุณพยาบาลไปห้องอีกฝั่งหนึ่งของตึก ห้องผ่าตัด ป้ายหน้าห้องติดไว้ คุณย่าต้องไปเตรียม

ตัวอยู่อีกห้องก่อนถึงเวลาผ่าตัด พวกเราไม่สามารถเข้าไปห้องพร้อมคุณได้ จึงได้ยืนส่งกำลังใจให้รถเข็นของคุณย่าถูกเข็น

เข้าไปในห้องแล้ว คุณหมอออกมายืนคุยกับคุณพ่อคุณแม่คุณเทียนซักครู่ก็เดินกลับเข้าไปในห้อง

“พวกเราคงต้องกลับไปรอที่ห้องอีกประมาณสองชั่วโมงคุณย่าถึงจะออกจากห้องผ่าตัด”คุณพ่อพูด

“เดี๋ยวผมพาเด็กๆไปทานข้าว”คุณเทพ

“ถ้างั้นก็แยกย้ายกันไป กลับมาเจอกันตอนบ่าย”คุณแม่

ครอบครับคุณคุณย่าแยกย้ายไปแล้ว ผมก็ต้องขอตัวกลับไปพักผ่อน อาจจะไม่ได้มาเยี่ยมคุณย่าตอนบ่ายเพราะต้องไปเจอคุณพ่อ

ของผม ผมโบกมือลาน้องหนึ่งน้องสอง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้หนึ่งมานะ”

“สองมาด้วย”ทั้งสองโบกมือลาผม มืออีกข้างถูกคุณเทพจูงอยู่

คุณเทียนบอกจะเดินมาส่งที่ห้อง เขาบอกว่าผมหน้าซีดเดี๋ยวจะเป็นลมไประหว่างทางเดี๋ยวโดนคุณย่าดุว่าดูแลหลานคนโปรดไม่

ดี เดินไปตามโถงทางเดินโดยมีคุณเทียนเดินไปอยู่ข้างๆเงียบๆ

“นิน”

“คะ..ครับ”อยู่เฉยๆคุณเทียนเรียกผมชื่อผมขึ้นมา

“เราอายุเท่าไหร่แล้ว”

“ย่าง 18 ครับ”

“เรียนจบม.ปลายแล้วหรอ นึกว่ายังอยู่ม.ต้นอยู่เลย”คุณเทียนหยุดเดินหันหน้ามามองผมแสดงสีหน้าแปลกที่รู้อายุของผม

“อีกไม่นานก็จะเข้าปี 1 แล้วครับ”อีกไม่นานผมต้องกลับไปเรียนกลับไปใช้ชีวิตปกติ

“อืม”คุณเทียนส่งเสียงรับทราบในลำคอ แล้วเดินต่อไปผู้ชายตัวโต ใบหน้าหล่อเหลาแต่ติดดุแต่ก็ใจดี คนเราคงมองภายนอกไม่

ได้สินะ

“อะ..ถึงแล้วครับผมอยู่ห้องนี้ ”ผมเปิดประตูห้อง

“อื้ม เข้าห้องไปแล้วรีบพักผ่อนซะจะได้หายเร็วๆ”คุณเทียนพยักหน้ารับรู้ สายตามองเข้าไปห้องเหมือนสำรวจว่ามีใครอยู่ในนั้น

หรือเปล่า

“ครับ ขอบคุณนะครับที่เดินมาส่ง”เดินเข้าไปแล้วค่อยๆปิดประตูลง หันหลังผิงประตูไว้ ฟังเสียงรองเท้ากระทบพื้นค่อยๆห่างอ

อกๆไปจากหน้าห้องผม ผมปีนขึ้นเตียงแล้วนอนพักผ่อนตามคำบอกคุณเทียน


*********************************************************************

ขอโทษที่มาช้า อากาศมันร้อนมาก สมองไม่ไหล ความคิดไม่เดิน  :mew2:

แต่ก็จะพยายามให้ถึงที่สุด ขอบคุณทุกคนติชม

โปรดติดตามต่อไป
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 7] 20/03/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 26-03-2016 17:13:36
ถามอายุอย่างงี้ ถ้าจะจีบน้องต้องจริงจังนะ อย่าทำน้องเสียใจ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 8] 11/04/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 11-04-2016 13:17:22

เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน

บทที่ 8
[/size]


“พี่.....พี่ครับผมจะมาขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนแม่”น้องนินวิ่งมาหาผม แล้วกอดผมไว้ และยิ้มให้น้องยังน่ารักเสมอทุกครั้งที่ผมเห็น

“พี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”ส่ายหน้ายิ้มด้วยความรู้สึกผิด มันไม่ใช่ ผมช่วยอะไรใครไม่ได้เป็นเพียงภาระคนอื่นไปวันๆ

“ไม่....ไม่พี่ช่วย พี่ช่วยให้แม่มีความสุขมาก ผมไม่เคยเห็นแม่ยิ้มอย่างนี้มานานแล้ว”น้องส่ายหัวกลมทุยนั้นไปมา น้องดีใจมากที่

ได้เห็นรอยยิ้มนั้น

“รอยยิ้มนั้นเป็นของนิน ไม่ใช่ของพี่ แม่ยิ้มให้นิน”น้องพยักหน้ารับรู้ที่ผมบอก

“ตอนนี้ผมไม่มีห่วงแล้ว.......”เสียงงน้องเบาลงอีกแล้วน้องพูดอะไรผมไม่ได้ยิน แต่น้องยังยืนต่อหน้าพูดด้วยท่าทางดีใจ แสงสี

ขาวสว่างวาบขึ้นมา


ลืมตาตื่นมองเพดานสีขาวที่คุ้นเคย ปรับสายตาให้ชินกับความมืดสลัวของห้องมีเพียงลำแสงเล็กๆที่ลอดผ่านช่องผ้าม่านที่แง้ม

อยู่เข้ามาในห้อง ลุกขึ้นจากเตียงใช้มือเลื่อนผ้าม่านออกเปิดหน้าต่างออกรับลมธรรมชาติเข้ามาในห้อง เจ็ดโมงเช้าเวลาปกติที่

ผมตื่น บิดขี้เกียจแล้วเคลื่อนไหวร่างกายเบาๆได้ปกติแล้ว ตอนนี้ร่างกายดีขึ้นมากแผลไม่มีอาการเจ็บ ช่วงนี้ฝันว่าน้องนินมาหา

บ่อยๆ แล้วบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เหมือนน้องต้องการที่จะบอกอะไรแต่ผมก็ไม่ได้เสียงของน้องแล้วต้องตื่นขึ้นมาก่อน น้องน่าจะสบายดี

เพราะใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้มไม่ดูเศร้าเหมือนวันที่น้องจากไป แต่น้องยังไม่ไปไหนยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆผมตลอด เดินเข้า

ห้องน้ำรู้สึกแปลกๆ รู้สึกวันนี้มีอะไรแปลกยังไงไม่รู้ คงไม่มีหรอกผมคงคิดมากไป ยืนมองแผลที่หน้าอกตอนนี้ตกสเก็ตแล้ว รู้สึก

คันๆบ้างเป็นเพราะยังเด็กร่างกายสามารถซ่อมแซมเองได้ตามธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนี้ต้องคอยลุ้นว่าหน้าตาแผล

เป็นของผมจะมีหน้าตาอย่างไรหลังแผลหายสนิท ผมเช็ดตัวทำความสะอาดร่างกาย สระผม ล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าเดิน

ออกจากห้องน้ำ อาหารเช้าถูกวางไว้บนโต๊ะ ต้มจืดผักรวมลูกชิ้นปลา ผัดผักรวมเต้าหู้ น้ำผลไม้ กำลังจะกลายเป็นมนุษย์ผักผล

ไม้

ก๊อก ก๊อก คุณพยาบาลเดินเข้ามา คงมาดูว่าผมทานอาหารรึเปล่า ส่งยิ้มให้เธอบอกว่าผมกำลังทานครับใกล้หมดแล้วด้วยเห็น

ไหมครับผมเป็นเด็กดี

“น้องนินมีคนมาขอเยี่ยมค่ะ เขาขออนุญาตทางโรงพยาบาลแล้ว”เห็นผู้ชายตัวโตสวมชุดตำรวจเต็มยศในมือถือซองเอกสาร

น้ำตาลในมือ และผู้ชายอีกหนึ่งคนที่สวมชุดสูทสีดำถือกระเป๋าเอกสารทั้งสองเดินเข้ามาในห้อง แล้วมองมาที่ผม

“ขอโทษที่มารบกวนแต่เช้านะครับ แต่ทางโรงพยาบาลให้เราเข้าเยี่ยมตอนนี้ ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อนผมคือคนที่รับผิดชอบ

คดีนี้”ผมอ่านชื่อคุณตำรวจที่ติดอยู่ที่หน้าอก เขาแนะนำตัวเสร็จแล้วนั่งลงบนเก้าอี้

“ส่วนผมเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันชีวิต”ผู้ชายสวมสูทเหมือนนักกฎหมายแนะนำตัวว่าเจ้าหน้าที่บริษัทประกันชีวิตเขา

แนะนำตัวเสร็จนั่งลงแล้วยื่นนามบัตรให้ ผมมองนามบัตรที่เขายื่นให้แล้วรับมาดู

“ครับ” คือว่าผมรู้จักคนทั้งสองหรอ

“ไม่ต้องตกใจนะคับ คุณคือ นายนินทนัฐ สีขาว ถูกใช่ใหมครับ”ผู้ชายสวมสูทถาม

“เอ่อ อ้อ ครับใช่”แปลกใจมีคนแปลกหน้ามาเยี่ยม มาตามหาผม หรือผมอะไรผิดกฎหมายรึเปล่า หรือเขามาขายประกัน

“เราต้องแสดงความเสียใจด้วยนะครับ แม่ของคุณ นางพิมพ์ระพัตรน์ สีขาวเธอได้เสียชีวิตแล้ว”คุณตำรวจที่นั่งบนเก้าอี้มองนิ่งมา

ที่ผม

“คะ..ครับ คุณพูดว่าอะไรนะครับ”ผมยังงงที่บอกมาเมื่อครู่ คืออะไรนะผมฟังไม่ชัดใครนะใครเป็นอะไร

“คือ ทางเราพบศพของแม่คุณเสียชีวิตในกองเพลิง.......”เหมือนโลกทั้งโลกหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วคราว คุณตำรวจยังพูดต่อไป

เรื่อยแต่ตอนนี้สมองผมเบลอไปหมดมันหมายความว่ายังไงศพแม่พิมพ์ อะไร เมื่อไหร่ ยังไง ที่ไหน

“คุณตำรวจบอกว่าอะไรนะครับ.... ในกองเพลิง.... ตั้งแต่สองอาทิตย์ที่แล้ว”ผมถามคุณตำรวจอีกครั้งว่าผมฟังไม่ผิด แล้วตลอด

เวลาที่ทุกเย็นแม่พิมพ์กลับมาหาผมทุกวัน แล้วหายไปตอนเช้าทุกวัน ผมฝันไปหรอ อันไหนเป็นความจริงกันแน่ หรือ หรือว่าที่

น้องมาหาผมพยายามจะบอกผมคือเรื่องนี้ ทุกวันที่แม่พิมพ์คอยเล่านิทานให้ผมฟัง กอดผมบอกว่ารักผมทุกวัน เล่าเรื่องต่างๆให้

ฟัง

“ทางเราพึ่งพบศพของเธอและผลชันสูตรศพพึ่งออก แล้วอีกอย่าง......เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้มีคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แล้วกว่า

เราจะเข้าไปในพื้นที่ได้”ในข่าวบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ ชาวบ้านบอกว่าเป็นการวางเพลิงเกิดจากการขัดแย้งของคนหลายกลุ่ม ทำให้

คนที่ไม่รู้เรื่องต้อรับเคราะห์

“แล้วศพของแม่อยู่ไหนครับ”

“ไม่เหลือแล้ว เราพบเพียงเศษเนื้อและกระดูกไม่กี่ชิ้น”คุณตำรวจยื่นผลตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอ ที่ออกมาให้ผมดู แม่พิมพ์จาก

ผมไปแล้วจริงๆ แม่พิมพ์จะโกรธผมไหมจะเกลียดผมไหมถ้ารู้ความจริงว่าผมไม่ใช่ลูกของเธอ ข่าวไฟไหม้ที่ผมเห็นบ่อยๆช่วงนี้ก็

คือสาเหตุการตายของเธอหรอเนี่ย ถ้าผมสนใจข่าวหรือใส่ใจมันสักนิดผมก็คงรู้ว่าเธอได้จากผมไปแล้ว น่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่

น้องมาวนเวียนรอบๆผม น้อง-มา-รับ-แม่ ป็อก ป็อก เสียงน้ำตาหยดลงแผ่นกระดาษที่คุณตำรวจยื่นให้ผม ผมส่งเอกสารคืนให้

คุณตำรวจ ใช้มือปาดน้ำตาที่ไหลออกมา ในที่สุดรอยยิ้มและภาพครอบครัวของน้องที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาก็เป็นความจริงไม่ใช่

ความฝัน

“เราทำพิธีที่วัดราชฏรณ์ ที่นั่นเก็บชิ้นส่วนผู้เสียชีวิตไว้หลายคน ทางเราจัดการเผาและทำพิธีกรรมไปแล้วเรียบร้อยแล้ว”คุณ

ตำรวจ บอกว่าทางการจัดการเรียบร้อยเพราะผ่านมานานพร้อมอีกหลายศพที่ไม่มีญาติมารับ ไม่มีเหลือแม้กระทั้งเถ้าอัฐิ

“เอ่อ..ผมเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลประกันชีวิตของแม่คุณ คนที่รับผลประโยชน์เป็นชื่อของคุณครับ พอดีเรื่องมันนานแล้วผมเลยอยาก

รบกวนอยากทำให้เรียบร้อยภายในวันนี้”ผู้ชายใส่สูทบอกับผม

“แล้วผมต้องทำยังไงบ้างครับ”ผมหันหน้าไปสนใจผู้ชายสวมสูท

“คุณต้องออกไปกับผมที่สำนักงาน เอ่อ..ผมขออนุญาตกับทางโรงพยาบาลแล้ว”ผมมองไปทางคุณพยาบาลที่ยืนอยู่เธอพยักให้

เป็นคำตอบ งั้นคงต้องไปจัดการทุกอย่างให้เสร็จ ผู้ชายทั้งสองออกจากห้องของผมไป เจ้าหน้าที่ประกันชีวิตออกไปรอข้างนอก

ให้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินไปที่หน้าตู้เสื้อเปิดประตูออกแล้วเอื้อมมือไปสัมผัสชุดลำลองหนึ่งชุดที่เตรียมไว้

“นิน แม่ซื้อชุดใหม่ให้ลูกเปลี่ยน เอาไว้ใส่ในวันที่นินออกจากโรงพยาบาล น่ารักไหม”

“ผมชอบครับ”

“แม่ว่าแล้วหนูต้องชอบ แม่อยากเห็นวันนั้นเร็วๆจังเลย แม่จะได้ทำอาหารที่นินชอบทาน แม่อยากนอนกอดหนูมากเลย”

ภาพที่แม่พิมพ์เอาชุดใหม่ที่ซื้อมาให้ผมเตรียมใส่ในวันที่ออกจากโรงพยาบาลมาให้ดู เธอไปหาซื้อชุดใหม่เตรียมไว้ให้ผม กลิ่น

หอมอ่อนๆจากน้ำยาปรับผ้านุ่มยังติดอยู่นั่นเป็นเหมือนการคอยยืนยันว่า แม่พิมพ์เตรียมไว้ให้ไม่นานมานี้เอง มองตัวเองที่สวมกาง

เกงยีนต์เสื้อลายเจ้าแมวตัวอ้วนสีเหลือง รองเท้าผ้าใบ ตาจมูกแก้มผมแดงไปหมดคงร้องให้เยอะไป เดินออกไปพบเจ้าหน้าที่

บริษัทประกันชีวิตที่กำลังยืนรอที่หน้าห้อง

“ผมพร้อมแล้วครับ”เดินตามผู้ชายคนนั้นไป ขึ้นลิฟต์ไปลงชั้นใต้ดิน ลิฟต์เปิดออกมีรถจอดอยู่เต็มไปหมด เขาพาผมไปหยุดที่รถ

ญี่ปุ่นสีดำคันหนึ่ง ขึ้นไปนั่งบนรถ เขาสตาร์ทเครื่องพายานยนตร์ญี่ปุ่นออกจากที่จอดรถของโรงพยาบาล แล้วขับเคลื่อนไปบน

ท้องถนน ช่วงเวลานี้ไม่ใช่เวลาเร่งด่วนทำให้ถนนไม่ติดมากนัก ครั้งแรกที่ออกจากห้องสี่เหลี่ยมสีขาวออกมาไกลขนาดนี้ ผ่านตึก

อาคารน้อยใหญ่ ผ่านสี่แยก รอบข้างที่ผมมองออกจากนอกหน้าต่างรถคันนี้รู้สึกมันแปลกใหม่แปลกตาสำหรับผม เสียงเพลงจาก

เครื่องเสียงรถดังขึ้น ทำให้ความรู้สึกแย่ๆของผมรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง รถตีไฟเลี้ยวเข้าที่ลานจอดรถอาคารสำนักงานขนาดใหญ่

เดินลงจากรถตึกขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หน้า บริษัทประกันชีวิตIII

“เดี๋ยวเดินตามผมมา”เขาบอกให้ผมเดินตามเขาเข้าไป ผลักประตูกระจกใสเข้าไปอากาศข้างนอกกับข้างในต่างกันนิดหน่อย

ประชาสัมพันธ์ หนุ่มหล่อสาวสายยืนอยู่ประจำหลังเคาเตอร์ต้อนรับ เดินเข้าไปในเป็นห้องทำงานเหมือนบริษัททั่วไป

“คุณนั่งรอในห้องนี้ก่อนเดี๋ยวผมไปหยิบเอกสาร”ผมถูกพาไปห้องข้างๆเหมือนห้องสำหรับประชุม ห้องกระจกล้อมรอบ โต๊ะ

ทำงานถูกจัดเป็นตัวยู หัวโต๊ะมีจอโปรเจ็คเตอร์สีขาวกางอยู่ นั่งบนเก้าอี้ล้อตัวนุ่ม รอเจ้าหน้าที่บริษัทประกันชีวิตคนนั้น วางซองสี

น้ำตาลในมือของผมลงบนโต๊ะข้างในนั้นมี บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้านและเอกสารส่วนตัวของผม

“นี่คือเอกสารที่ต้องลงลายมือชื่อ คุณอ่านก่อนแล้วค่อยลงลายมือชื่อก็ได้”เขายื่นเอกสารมาให้ผมอ่านหลายแผ่น เป็นเอกสาร

ประกันชีวิตทั่วไป

“ส่วนเงินประกันเราจะโอนเข้าธนาคารให้”เขาชี้จำนวนตัวเลขที่อยู่ในเอกสารให้ผมดู

“เอ่อ..ถ้าผมจะบริจาคทั้งหมดได้ไหมครับ ในนามของแม่”มันไม่ใช่เงินของผม ผมละอายใจที่จะรับมัน อยากบริจาคเงินให้คนที่

น่าจะได้ประโยชน์มากกว่า

“ทั้งหมดเลยหรอครับ แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไป”เขาพยายามที่จะให้ผมเปลี่ยนใจที่จะบริจาคเงินทั้งหมด

“ไม่เป็นไรครับ แค่มีคนให้ชีวิตผมมันก็เกินที่จะทดแทนได้หมดแล้ว”อย่างน้อยผมยังชีวิตนี้ ยังมีลมหายใจนี้อยู่ ลงลายชื่อเอกสาร

ต่างๆ รวมถึงการยินยอมบริจาคเงินให้มูลนิธิแห่งหนึ่ง โดยใช้ชื่อของแม่พิมพ์

“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ”ยื่นเอกสารที่ลงลายมือชื่อเรียบร้อยให้เจ้าหน้าที่บริษัทประกันชีวิต

“ครับเรียบร้อยแล้ว เอ่อ..ขอโทษนะครับที่ผมไปส่งไม่ได้”เขายื่นเงินให้ผมเป็นค่าแท็กซี่กลับ ผมจำเป็นต้องรับมาเพราะทั้งเนื้อทั้ง

ตัวไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว ชีวิตต้องเริ่มต้นจากศูนย์จริงๆก่อนอื่นต้องหาทางกลับไปที่โรงพยาบาลแล้วกลับไปตั้งหลัก เดินออก

ไปเรียกแท็กซี่

“ไปสำนักงานทนายความบริสุทธิ์ครับ”แจ้งสถานที่ปลายทางทันทีที่ขึ้นไปบนแท็กซี่ ก่อนกลับต้องไปเอาของของผมก่อน รถ

แท็กซี่มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่ผมบอกออกไป ต้องไปเอาของที่ผมเคยฝากไว้กับสำนักงานคุณทนายบริสุทธิ์ก่อนที่จะ

เกิดเรื่องกับผม และเชื่อว่าเขายังคงเก็บมันไว้อย่างดี

“เท่าไหร่ครับ”ผมยื่นเงินค่าแท็กซี่ให้ สำนักงานทนายความบริสุทธิ์ อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ การที่จะเข้าข้างในไม่เรื่องง่าย

และไม่ใช่เรื่องยาก มองหาร้านอินเตอร์เน็ตไม่นานก็เห็น ผมต้องการปริ้นเอกสารบางอย่างออกมา

กรุงกริ้ง เสียงผมเปิดประกระจกเข้าไป คอมพิวเตอร์เกือบร้อยตัวตั้งเรียงรายเป็นแถว เก้าอี้โซฟาตัวใหญ่สอดอยู่ใต้โต๊ะ

คอมพิวเตอร์แต่ละตัวมีสีสันฉูดฉาด ภาพสติกเกอร์ตัวละครในเกมส์โลดแล่นอยู่บนกระจกใสข้างร้าน

“พี่หนึ่งชั่วโมงครับ”ผมบอกพนักงานเฝ้าร้าน เขายื่นคูปองให้ผม ผมจ่ายเงินให้เขา คนในร้านไม่เยอะคงยังเช้าไปรึเปล่า บ่ายๆคน

น่าจะเต็มร้าน ผมเลือกนั่งลงตัวที่ใกล้ที่สุด กดปุ่มเปิดเครื่องรอเครื่องทำงาน เปิดเข้าไปที่อีเมล์ของผม ชื่อผู้ใช้ชื่อเดิม รหัสผ่าน

เดิมยังใช้ได้ ไม่มีจดหมายใหม่เข้าจดหมายที่สำคัญต่างๆยังอยู่ เลื่อนดูชื่อเมล์ที่ผมต้องเห็นแล้วเปิดเข้าไปสั่งพิมพ์เอกสารออก

มา จัดการเปลี่ยนชื่อเมล์และรหัสผ่านให้เรียบร้อย ของที่ต้องการได้มาแล้ว

ผู้คนเดินเข้าออกสำนักงานจำนวนมาก พนักงานเปิดประตูต้อนรับ ผมเดินเข้าไปในสำนักงานทนายบริสุทธิ์เดินตรงไปที่จุดรับฝาก

สิ่งของ ทันที่เดินไปจะเจอเคาเตอร์เจ้าหน้าประชาสัมพันธ์อยู่ทางด้านขวากำลังทำหน้าที่ให้คำแนะนำอยู่ตรงนั้น ผู้ชายร่างโตสวม

ชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยกำลังนั่งมองผู้คนไปมาที่โต๊ะประจำของตัวเอง ระหว่างรอรับบริการมีเก้าอี้โซฟาไว้สำหรับรับรอง

แขก มีลูกค้าหลายคนจับกลุ่มคุยกัน มีเด็กๆกำลังแย่งของเล่นกันไปมา

“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ”พนักงานสาวสวยสวมชุดยูนิฟอร์มบริษัท ติดป้ายชื่อตำแหน่งที่หน้าอก รวบเก็บผมแต่งหน้าทาปา

กบางๆ ทักทายและถามผม

“มารับของครับ”ผมยื่นเอกสารให้เธอ

“คุณลูกค้า รอสักครู่นะคะ”เธอรับเอกสารจากผมไปเดินไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ เสียงกดแป้นพิมพ์ดังซักพัก ผมมองไปฝั่งที่เป็นที่

รับฝากของ พนักงานกำลังตรวจสิ่งของผ่านระบบสแกนแบบเดียวกันที่ใช้กับสนามบิน ที่นี่มีบริการรับฝากของ ผมจะฝากของให้

ลูกค้ามารับ คนที่จะสามารถฝากของที่นี่ต้องไม่มีประวัติไม่ดี มีหลายเคาเตอร์ที่กำลังรับลูกค้า มีทั้งชาวไทยและต่างชาติมาใช้

บริการที่นี่ พนักงานสาวสวยเธอลุกขึ้นจากโต๊ะคอมพิวเตอร์ แล้วก็เดินไปที่ตู้เก็บของเปิดประตูแล้วหยิบกระเป๋าเดินสีเทาขนาด

เล็กสีล้อออกมาแล้วเดินตรงมาที่ผม

“ลูกค้าเช็คดูของนะคะ แล้วลงชื่อผู้รับตรงนะคะ”ลงชื่อผู้รับแล้วส่งคืนให้เธอ ใช้บริการที่นี่มานานคิดว่าน่าจะเชื่อใจได้

“เรียบร้อยค่ะ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ ขอบคุณค่ะ”รับกระเป๋าเดินทางใบเล็กมาจากเธอแล้วเดินไปนั่งที่โซฟารับรองแขกวาง

กระเป๋าบนตักผม กดรหัสสิบสามหลักลงไป แก็ก กระเป๋าถูกเปิดออกเปิดดูของข้างในเอกสารต่างๆ เงินสดจำนวนหนึ่งล้านเงิน

ส่วนนี้คือเงินที่เตรียมไว้ให้กัณฑ์ยืมเขาบอกว่าจะยืมไปลงทุนกับเพื่อนแต่ผมสืบได้ว่ามันไม่ใช่และตอนนั้นผมเริ่มตาสว่างจึงเก็บ

เงินส่วนนี้ไว้ก่อน ไม่เก็บเข้าบัญชีเพราะกัณฑ์แอบเช็คสมุดบัญชีผม ผมบอกเขาไปว่าเพื่อนของผมยืมเงินส่วนนี้ไปก่อนยังไม่มี

เงินให้เขายืม เงินสดของผมจึงอยู่ที่นี่ผมปิดกระเป๋าลงเดินไปที่ห้างสรรพสินค้าที่ผมมองเห็นอยู่ไม่ไกลนัก

“พี่ครับผมขอโทรศัพท์เครื่องนี้ครับ”ผมชี้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนขนาดเท่าฝ่ามือหน้าจอสี่เหลี่ยมเครื่องสีขาวให้พนักงาน จากที่ลอง

ใช้เครื่องที่มีตัวอย่างใช้ลองใช้สัมผัสหน้าจอ ดูลูกเล่นและราคาแล้วตัดสินใจซื้อ เปิดบัญชีไว้สองธนาคาร เอาเงินไปนอนไว้ในนั้น

ไม่กี่แสนซื้อฉลากเงินออมกับทางธนาคาร ป้องการการตรวจสอบที่มาของเงินแล้วใช้เงินส่วนหนึ่งซื้อโน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่งเอาไว้ใช้

ทำงาน โทรศัพท์หนึ่งเครื่อง ซื้อของจำเป็นและเหลือเงินสดไว้บางส่วน มองดูเวลาบ่ายโมงแล้วต้องรีบกลับโรงพยาบาลไป

จัดการเรื่องอื่นต่อให้เสร็จ เรียกแท็กซี่หน้าห้างสรรพสินค้า

“ไปโรงพยาบาลรวยสุขครับ”ปิดประตูลงแท็กซี่มุ่งหน้าไปโรงพยาบาล ถนนกำลังโล่ง

“ลุงครับนั่นอะไรครับที่อยู่หน้ารถ”เห็นมีดอกไม้เล็กๆที่หน้ารถลุงมีหลายดอก

“อ้อ เหรียญโปรยทางนะ”ทำไมมันน่าตาแปลกๆ

“ขอดูได้ไหมครับ”อยากเห็นใกล้ๆ

“ได้ เดี๋ยวลุงหยิบให้”ลุงขับแท็กซี่ยื่นให้ผมดู จริงๆด้วยมีเงินเหรียญในนี้

“มันเอาไว้ทำอะไรครับ”สงสัยว่าเขาทำขึ้นมาทำไม

“ลูกชายลุงบวช”บวช

“ลุงครับผมอายุ 17 บวชได้ไหมครับ”

“ได้ลูก บวชทดแทนบุญคุณให้พ่อแม่หรือผู้มีพระคุณได้ทั้งนั้นแหล่ะมันไม่ได้ขึ้นกับอายุแต่มันขึ้นอยู่กับเจตนาและความตั้งใจของ

เรา”ผมรู้แล้วว่าจะทำอะไรผมจะบวชให้พ่อแม่และครอบครัวน้อง ผมว่านี่คือสิ่งที่พอจะทำได้

ลงจากรถแท็กซี่เดินลากกระเป๋าเข้าไปในลิฟต์กดชั้นบนสุด วันนี้เจอเรื่องหลายเรื่องตั้งแต่เช้าปัญหานี้มันใหญ่เหลือเกินไม่มีญาติ

เหลือแล้วแม้แต่บ้านก็ไม่เหลือให้อยู่ ไม่มีที่ให้กลับไป เปิดประตูเข้าไปในห้อง

“นินเป็นยังไงบ้างลูก”เป็นแม่ของผมที่เข้ามากอดผมไว้

“คือพวกเรารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว”พ่อของผมเดินเข้ามาหาผมกับแม่พ่อไม่ได้สวมชุดคนไข้แล้ว

“ครับ ขอบคุณครับ”ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกันผมอธิบายไม่ได้บอกไม่ถูก

“หนูไม่ต้องเสียใจนะ หนูยังมีเราทั้งคู่อยู่”

“ผมรู้ครับ ผมรู้”รู้มาตลอดว่าพ่อกับแม่จะอยู่เคียงข้างผมทุกครั้งที่ผมอ่อนแอ หมดกำลังใจทั้งสองจะคอยมอบกำลังใจให้ แม่

กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ครับขอบคุณครับที่รักผมพ่อเข้ามากอดผมกับแม่

“อย่าเสียใจเลยนะ ชีวิตคนเราอะไรก็เกิดขึ้นได้ ทำใจให้ได้นะ”คิดว่าเริ่มทำใจสูญเสียได้ตั้งแต่ที่มันเกิดกับผมแล้ว ไม่รู้ว่ารอบตัว

ผมผมจะต้องสูญเสียใครไปอีกบ้าง ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุดมีความสุขที่สุดเพราะพรุ่งนี้ผมอาจจะไม่ได้ทำมันอีกก็เป็นได้

“ผมไม่เหลือใครแล้ว ผมไม่มีใครอีกแล้ว”น้ำตาผมไหลออกมาอีกแล้ว แต่คนที่เช็ดน้ำตาให้ผมไม่ใช่มือนี้อีกแล้วแต่เป็นมือของ

แม่ที่เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาให้ผม

“ร้องเลยลูกร้องออกมา ร้องให้พอ”ตอนนี้ผมกลั้นไม่อยู่แล้ว ผมอาจจะพยายามทำตัวเข้มแข็งแต่ไม่ใช่เลย ผมแค่หลอกตัวเอง

เท่านั้น ผมยังต้องการอ้อมกอดนี้ อ้อมกอดที่รักผมห่วงผม

ผมหยุดร้องไห้แล้วเดินเข้าห้องน้ำชำระร่างกายวันนี้ต้องออกไปเจอมลภาวะและเชื้อโรคข้างนอกกลับออกมาอีกครั้งเปลี่ยนเป็น

ชุดคนไข้เหมือนเดิม

“นินสบายใจขึ้นรึยัง อยากให้แม่อยู่เป็นเพื่อนไหม”อยากครับ อยากครับผมอยากตอบโดยไม่ต้องคิดอะไรอยากพูดในสิ่งที่ใจตัว

เองต้องการอยากบอกออกไปอย่างนั้นดังๆ

แก๊ก คุณพยาบาลเดินเข้ามา เอาอาหารเข้ามาให้ผม

“น้องนินเป็นยังไงบ้างคะ เหนื่อยไหมออกไปข้างนอกวันนี้”

“นิดหน่อยครับ เอ่อ พี่ครับผมมีกำหนดออกจากโรงพยาบาลวันไหนครับ”

“เรื่องนี้ เดี๋ยวพี่จะลองถามคุณหมอให้นะคะ แต่ตอนนี้ได้เวลาทานข้าวแล้วค่ะ อย่าลืมทานยาด้วยจะได้หายเร็วๆ”

“ขอบคุณครับ”คุณพยาบาลเดินออกไป เป็นคุณพ่อที่เดินเข้ามาพร้อมอาหารเป็นญี่ปุ่น เป็นร้านที่ผมชอบทาน เป็นร้านที่ครอบครัว

เราไปทานกันบ่อยๆ

“หนูนินทานข้าวลูก พ่อเขาไปซื้ออาหารญี่ปุ่นมาวันนี้พ่อกับแม่ขอทานข้าวกับหนูนะ”

“ครับ”ดีใจมากเลยที่พ่อกับแม่มาทานอาหารกับผม

“เอ่อ..คุณลุงออกจากโรงพยาบาลแล้วหรอครับ เท้าไม่เป็นอะไรแล้วหรอครับ”

“ไม่เป็นอะไรแล้ว หายดีแล้วล่ะ ว่าจะมาเยี่ยมหนูไม่เห็นหนูในห้อง ถามพยาบาลพวกเขาเลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง พวกเราเลย

รอพบหนู”

“ขอบคุณครับที่เป็นห่วงผม”เย็นวันนี้ผมก็ได้นั่งทานข้าวกับพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตา ดูมันจะทำให้ผมลืมเรื่องเศร้าๆไปได้ชั่วขณะ

พ่อกับแม่พยายามชวนผมคุยเรื่อยๆผมจะได้ไม่คิดมาก และคืนนี้คนที่ส่งผมเข้านอนก็คือพ่อ พ่อเป็นคนเล่านิทานให้ผมฟัง รู้สึก

เหมือนตัวเองเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตติดพ่อแม่ แต่ก็มีความสุขไปอีกแบบ หลับตาลงด้วยความเหนื่อยที่ต้องออกไปข้างนอกทั้งวัน

และฤทธิ์ยา เสียงนิทานของพ่อค่อยๆเบาลง เบาลง จนไม่ได้ยิน

“พี่ พี่ผมมารับแม่ ผมจะได้อยู่ด้วยกันแล้วและมาลาพี่ด้วย”

“นิน นินพี่ขอโทษที่ดูแลแม่ให้นินไม่ดีนินอย่าโกรธพี่เลยนะ พี่ขอโทษ”

“ไม่เป็นไรลูก มันไม่ใช่ความผิดของหนู มันถึงเวลาของแม่”

“แม่พิมพ์ แม่พิมพ์ ผมขอโทษที่ดูแลแม่พิมพ์ไม่ได้”

“พอเถอะลูกแม่ไม่เคยโทษหนู หนูก็อย่าได้โทษตัวเอง ไม่ใช่ความผิดหนูถ้าหนูอยู่กับแม่ก็ช่วยอะไรไม่ได้”

“ผมขอโทษนะครับที่โกหกว่าผมเป็นน้องผมไม่อยากให้แม่เสียใจ”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แม่รู้มาตลอดเพราะแม่เป็นคนเลี้ยงน้องมาทำไมแม่จะรู้”

“แม่รู้ว่าผมไม่ใช่น้อง”

“ใช่แม่รู้ ไม่ว่าหนูมาอยู่ในร่างของน้องด้วยเหตุผลอะไร หนูก็คือลูกของแม่อีกคน”

สามคนพ่อแม่ลูกยิ้มให้ผม ไม่มีใครโทษว่าเป็นเพราะผม เหมือนเป็นสิ่งที่ปลดปล่อยผมออกจากพันธนาการที่รู้สึกผิด แม่พิมพ์รู้มา

ตลอดว่าผมเป็นใครก็ยังรักผมเหมือนผมเป็นลูกของเธอ


ผมรู้สึกอะไรเย็นๆ ชื้นๆมาสัมผัสที่ผิวหน้าของผม

“แม่”ผมพูดออกมา

“รู้สึกตัวแล้วหรอลูก”

“ครับ ผมเป็นอะไรไปครับ”

“หนูร้องไห้ แล้วพูดอะไรคนเดียวไม่รู้ตลอดทั้งคืน แม่นึกว่าหนูไข้ขึ้นจนเพ้อ เลยเอาผ้ามาเช็ดตัวให้”ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมเห็นเป็นความ

ฝัน ที่อยู่ภายใต้จิตใต้สำนึกของผมรึเปล่าหรือเป็นความจริงที่ผมเห็นคนทั้งสาม แต่สิ่งที่ผมไม่คิดไปเองคือผมได้รับความรักแม่

พิมพ์ และการได้รับชีวิตจากน้อง

“แม่ครับ ผมจะบวช”นั่นคือสิ่งที่ผมจะตอบแทนพวกเขาได้บ้างไม่มากก็น้อย


*********************************************************************


โปรดติดตามตอนต่อไป



หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 8] 11/04/59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-04-2016 15:11:15
เฮ้อออออ.  บวชเสร็จแล้วกลับมาแก้แค้นอีหญิงชั่วชายเลวสองคนนั้นให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 8] 11/04/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-04-2016 16:46:44
สงสารน้องนิน :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
พี่เทียนไม่มาดูแลน้องหน่อยล่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 8] 11/04/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 12-04-2016 20:49:34
บวชเสร็จแล้วกลับมาแก้แค้นไอ้พวกคนเลวๆพวกนั้นให้หมดเลยนะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 9] 24/04/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 24-04-2016 11:17:16

เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน

ตอนที่ 9


นโม ตสฺส ภควโต  อรหโต  สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส  (ว่า ๓ จบ)

ผมกำลังเข้าพิธีบวชเณร โดยมีพ่อแม่นั่งยิ้มดีใจ น้ำตาคลอ เพราะผมบอกว่าจะบวชให้พวกท่านด้วย คุณย่าและครอบครัวก็มา

      พระพี่เลี้ยงกำลังแต่งกายให้ผมโดยการคล้องผ้าขึ้นมาในลักษณะคล้ายนุ่งผ้าขาวม้าจากนั้น จับปลายผ้าขึงไปข้างหน้าให้สุด แล้ว

จับจีบใหญ่พอประมาณ พับซ้าย พับขวา สลับกันไปมาจนมาสุดที่บั้นเอว พระพี่เลี้ยงให้ผมถือไว้อย่างนั้นก่อน แล้วจึงหยิบผ้าประ

คตเอวมาทาบด้านหน้าตรงจีบพับ ม้วนสายรัดพันไปรอบเอว วกกลับมาแล้วผูกให้แน่น ชิ้นที่สอง ก็เป็นผ้าอังสะใช้สวมศีรษะลงไป

จัดผ้าให้เฉวียงเปิดบ่าขวา ชิ้นที่สามเป็นจีวรพับผ้าในลักษณะจำเพาะพับเสร็จจึงค่อยนำมาพาดที่บ่าซ้าย แล้วค่อยๆ ดึงปลายผ้า

ที่พับไว้อ้อมจากทางด้านหลังในลักษณะเฉวียงบ่ามาคล้องเข้าใต้รักแร้ข้างขวาก่อน แล้วจึงนำไปสอดเข้าใต้ผ้าพับที่พาดไว้ตรง

บ่าซ้าย สอดให้พออยู่ไม่หลุดลงมา ชิ้นสุดท้ายก็เป็นผ้ารัดอก ใช้ผ้าผืนนี้ทับจากข้างหลังแล้วดึงมาใต้รักแร้ด้านซ้ายและด้านขวา

อ้อมมาผูกให้อยู่ระหว่างอก เพื่อให้ปมออกมาดูเป็นระเบียบ กว่าจะแต่งเสร็จ



         คุณย่าหายอาการของโรคไขข้อแล้ว ท่านออกจากโรงพยาบาลมาได้สัปดาห์หนึ่งแล้ว ช่วงที่อยู่โรงพยาบาลผมยังไปที่

ห้องคุณย่า ยังไม่ได้เล่าเรื่องแม่พิมพ์คุณย่าก็รู้เรื่องหมดแล้ว เธอบอกว่าคุณพยาบาลเล่าให้ฟัง

“เป็นไงบ้างตัวเล็กทำใจได้ยัง”คุณเทียนเข้ามาคุยกับผมหลังจากที่คุณย่าหลับ

“ดีขึ้นแล้วครับ”

“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกฉันได้”คุณเทียนหยิบโทรศัพท์ของผมไปแล้วกดอะไรซักอย่าง

“เป็นเบอร์โทรศัพท์และไลน์ของฉันมีอะไรก็โทรมาไม่ต้องเกรงใจคนกันเอง”

“ขอบคุณครับ เอ่อ คุณเทียนครับผมจะบวชให้แม่”

“อืมก็ดี”

“มาให้ได้นะครับ”

“ได้”คุณเทียนยิ้มแล้วขยี้หัวผม

จากวันที่ได้รับข่าวว่าแม่พิมพ์เสียชีวิตผมก็รักษาตัวต่ออยู่ที่โรงพยาบาลอีกหนึ่งสัปดาห์

ช่วงสัปดาห์นั้นพ่อแม่มาเยี่ยมผมทุกวันและพยายามพูดโน้มน้าวใจให้ผมไปอยู่กับท่านทั้งสองและอยากรับผมเป็นลูกบุญธรรม

ตามกฎหมาย

“นิน ออกจากโรงพยาบาลแล้วไปอยู่กับแม่นะลูก”

“นินไปอยู่กับพ่อนะลูกไปอยู่คนเดียวอันตราย ถ้าป่วยขึ้นมาใครดูแล”

“ไปอยู่กับพวกเรานะลูก”

“ไปอยู่กับพวกเราก่อนถ้ามีที่อยู่แล้วค่อยย้ายออกก็ได้”

สุดท้ายก็เป็นผมที่ใจอ่อน ที่จริงนั่นคือสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว

หลังจากนั้นหมอก็อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้

“ดีใจไหมได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว”

“ดีใจมากเลยครับ”

“คนไข้มีร่างกายที่แข็งแรงมาก ไม่มีอาการร่างกายปฏิเสธการรับหัวใจใหม่ แผลผ่าตัดหายสนิท ไม่มีอาการโรคแทรกซ้อน เป็น

เคสที่ประสบผลสำเร็จมาก แต่คนไข้ก็ต้องรักษาสุขภาพตัวเองให้ดีด้วย”

“ขอบคุณครับคุณหมอ”

“อ้อ..หมอลืมบอกพี่เจนมี่ตอนนี้ถูกที่บ้านเณรเทศไปอยู่เมืองนอกเรียบร้อย ส่วนค่าใช้จ่ายยายเจนมี่จัดการเรียบร้อยแล้ว”

“ผมฝากขอบคุณพี่เจนมี่ด้วยนะครับ”


อาการป่วยของผมหายดีแล้วคุณหมอบอก แต่ต้องกลับมาตรวจสุขภาพปีละครั้งหรือทุกครั้งที่มีอาการผิดปกติ ผมได้คู่มือรักษา

สุขภาพเกี่ยวกับผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมาด้วยหลายเล่ม ผมจะดูแลสุขภาพให้ดีครับ ผมรู้ว่ามันทรมานแค่ไหนที่ต้องอยู่ที่นี่ แต่ดี

ที่ทำให้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง

ทำให้ผมได้เจอคนที่ดีกับผมหลายคน ที่นี่จะอยู่ในความทรงของผมตลอดไป คุณย่าก็ออกจากโรงพยาบาลตามผมมา พ่อแม่ของ

ผมและคุณย่าและแม่คุณเทียนจะบวชพราหมณ์แต่หลังจากที่ผมบวชสามเณรได้ซักสัปดาห์หนึ่งก่อน ผมมาเรียนรู้ศึกษาพระธรรม

และบวชที่วัดที่พ่อกับแม่เอาศพผมมาไว้และวัดนี้ก็อยู่ใกล้ๆบ้านผมด้วย



         มีอีกเรื่องที่แปลกใจก็คือคุณย่าคือเพื่อนบ้านคนใหม่ของผม วันนั้นผมออกมาเดินออกกำลังกายแถวสวนสาธารณหมู่บ้าน

“คุณเทียน คุณเทียนทางนี้”โบกมือเรียกคุณเทียน

“อ้าว ตัวเล็กไม่ได้เจอกันนานเลย”

“ไม่ใช่แล้วคุณเทียนคุยไลน์กับผมเกือบทุกวันเลยไม่ใช่รึไง”

“555 แต่ไม่ได้เจอหน้ากันอย่างนี้ไง แล้วมาทำอะไรแถวนี้”

“บ้านใหม่ผมอยู่แถวนี้”

“จริงดิหลังไหน เดี๋ยวฉันเดินไปส่ง ไว้ว่างๆจะได้พาคุณย่าไปเยี่ยม”

“ครับ”

“หลังนี้ครับคุณเทียน”

“เฮ้ย..อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น”


คุณเทียนบอกว่าแต่ก่อนไม่ได้อยู่ที่นี่แต่คุณย่ามาอยู่ด้วยและคุณเทพเอาเด็กๆกลับมาอยู่ที่บ้านหลังจากที่หย่ากับภรรยา ทำให้

ต้องขยายบ้าน มีคนแนะนำที่ดินเปล่าข้างๆบ้านผม บ้านของคุณย่าเพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน เพิ่งย้ายมาอยู่ไม่ถึงเดือนเลย ผมยัง

ไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวบ้านคุณย่าเลยเพราะผมต้องมาเรียนพระธรรมทุกวันเพื่อเตรียมตัวบวช วันที่กลับมาอยู่ที่บ้านกับพ่อแม่ผม

อยู่ห้องใหม่ไม่ใช่ห้องเดิม ผมไม่อยากให้ทั้งสองลืมนนท์ ใครจะลืมนนท์ก็ได้แต่พ่อกับแม่ต้องห้ามลืมเด็ดขาด ห้องของผมพวก

เราทั้งสามช่วยกันจัด ผมว่ามันเหมือนห้องเด็กยังไงไม่รู้ ตอนเช้าผมต้องไปเรียนธรรมะที่วัดได้พ่อแม่ไปส่ง เรียนเสร็จพ่อแม่ก็ไป

รับ ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่กลับไปทำงานที่บริษัทแล้วอาการทางประสาทของคุณพ่อหายดีแล้วผมดีใจมากเลย หลังจากที่ผมบวช

แล้วผมก็จะถึงเวลาที่ผมกลับมาดูแลท่านทั้งสองอย่างเต็มที่

นินแม่ซื้อเสื้อผ้ามาให้หนู แม่เห็นน่ารักดีน่าจะเหมาะกับหนู”เป็นเสื้อผ้าลายการ์ตูน สงสัยแม่เห็นผมใส่เสื้อลายเจ้าแมวตัวอ้วนสี

เหลืองแล้วน่ารักแน่เลย

“ทำไมมันเยอะอย่างนี้ครับ”มีหลายลายหลายสีมาก

“ไม่เยอะหรอกนินไม่มีเสื้อผ้าเลยแต่ตัวเดียว”แม่กำลังเห่อผม ซื้อของมาให้ผมเยอะเลยห้องนอนเต็มไปด้วยตุ๊กตา ดีนะไม่มีของ

เล่น

“คุณทวดพี่นินเป็นอิคคิวซัง”น้องหนึ่งทักผมเพราะตอนนี้ผมห่มผ้าเหลืองแล้วกว่าผมแต่งตัวเป็นต้องฝึกอยู่นาน แผลเป็นที่หน้าอก

จางลงมากมองแทบไม่เห็นแต่แม่ก็หาครีมมาให้ทา



          พิธีบวชสามเณรของผมผ่านไปได้ด้วยดี ใช้เวลาท่องจำบทสวดมนต์ และฟังพระธรรมที่หลวงตาสอนเกือบทุกวัน จน

สามารถท่องได้ขึ้นใจ วันนี้มีเด็กๆหลายคนมาเข้าพิธีบวชเหมือนผมด้วยเพราะช่วงนี้เป็นปิดเทอมฤดูร้อน หลายครอบครัวนิยมให้

ลูกหลานบวชเรียนศึกษาธรรมะการเข้าใกล้ธรรมะทำให้เด็กๆดูอ่อนโยน ใช้สติปัญญาควบคุมอารมณ์ มากกว่าใช้กำลัง พ่อแม่

แต่ละคนที่พาลูกๆมาเข้าพิธีต่างยิ้มแย้มมีความสุข ตอนเด็กๆผมไปอยู่ไหนทำไมไม่ได้มีกิจกรรมอย่างนี้กับครอบครัว อยู่ที่นี่ผมคง

ไม่เหงามีเด็กเป็นเพื่อน ดูเหมือนครอบครัวผมเข้ากับครอบครัวคุณย่าเข้ากันได้ดีต่อไปพ่อแม่ผมไม่เหงาแล้วมีเพื่อนบ้านใหม่ น้อง

หนึ่งน้องสองยืนจ้องผมตาแป๋วเชียวคงสงสัยว่าทำไมผมถึงกลายเป็นอิกคิวซังตามที่เด็กๆเรียก

“ทุกคนครับ มาถ่ายรูปกับเณรหน่อย”

“ให้เณรอยู่ตรงกลางนะ”

“น้องหนึ่งน้องสองมายืนข้างๆเณร”

“ทุกคนพร้อมนะครับ”คุณเทียนทำหน้าที่เป็นตากล้อง กับคุณพ่อตามถ่ายรูปผมตลอดเลย ตอนนี้เราถ่ายรูปรวมโดยกดปุ่มตั้งเวลา

“หนึ่งสองสาม”คุณเทียนวิ่งเข้ากล้อง ไม่นานเสียงชัดเตอร์ก็ดังขึ้นพร้อมแสงแฟต คงเป็นภาพอีกหนึ่งความประทับใจ


            กุฏิพระในวัดเขตพื้นที่วัดมีสองสามหลัง พวกผมเดินตามพระพี่เลี้ยงไปกุฏิที่ผมต้องจำวัดตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ทางเดินที่

ปูด้วยอิฐตัวหนอนเป็นทางยาวไปถึงกุฏิ ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นอยู่เต็มบริเวณวัด ต้นไม้กำลังผลัดใบ ใบไม้เล็กใหญ่ร่วงลงสู่พื้นผิวดิน

ตามแรงโน้มถ่วง กองใบไม้ที่ถูกกวาดไว้เป็นกอง ไม้กวาดทางมะพร้าว ที่โกยผง ถังขยะวางไว้ใกล้ๆ มองดูพื้นดินที่ชื้นและมีรอย

ดินที่เพิ่งขุดเห็นมีพระบางรูปกำลังรดน้ำต้นไม้และกำลังลงต้นไม้ใหม่ เสียงพระหลายรูปพูดคุยกันแว่วมาตามลม แป๊ก แป๊ก เสียง

ลูกมะขามแก่ตกลงกระทบพื้นอิฐตัวหนอน เจ้ากระรอกตัวน้อยกระโดดเล่นหยอกล้อกันอยู่บนกิ่งไม้ ส่งเสียงร้องชูหางเป็นพวงไป

มา น้องหมากำลังนอนเล่นใต้ต้นไม้เพราะพื้นดินที่ชื้น มันได้ยินเสียงพวกผมเดินผ่านบางตัวชูคอขึ้นดู บางตัวแค่เหลือบตามอง

แล้วหลับต่อ จากบริเวณศาลาที่มีพิธีบวชมาถึงที่เหมือนอยู่คนละโลก ที่นี่เงียบสงบ เย็นสบาย มีร่มจากเงาที่คอยบังแดดจากกิ่ง

ก็านสาขาของต้นไม้ใหญ่แผ่ออกมา กุฏิหลังงามเรือนทรงไทยติดแอร์สองชั้นเป็นของท่านเจ้าอาวาส อีกอาคารหลังขนาดใหญ่

เป็นของพระลูกวัดและท่านรองเจ้าอาวาส อาคารหลังสุดท้ายของเป็นพระใหม่เณรใหม่และเด็กวัดพักที่ตึกนี้พระประจำที่วัดนี้มีไม่

ถึง สิบรูป

“ห้องนี้ เป็นของพวกเณร”พระพี่เลี้ยงเปิดห้องให้พวกผมเข้าไป ประตูไม้ถูกเปิดออก ภายในห้องโล่งกว้างมีหน้าต่างมีพัดลมบน

เพดาน

“มีผีเปล่าครับ”

“หิวข้าวจัง”

“มีทีวีให้ดูรึเปล่า”

เสียงเด็กๆถามคำถามพระพี่เลี้ยง ไม่มีที่นอนแต่มีฟูกผ้าห่มหมอนวางไว้มุมห้อง ท่าทางผมต้องช่วยเด็กๆ ทุกคนต่างเลือกมุมส่วน

ตัวของตัวเอง ผมวางย่ามของผมลงแล้วเปิดออกดูในนั้นมีหนังสือสวดมนต์ หนังสือธรรมะ และชุดสามเณรของผมอีกชุด

”ง่วงนอนจังเลย พี่ พี่ชื่ออะไรผมชื่อเนม”เด็กชายตัวกลมหาวปากกว้าง อายุน่าจะประมาณเจ็ดแปดขวบเดินเข้ามาคุยผม

“พี่ชื่อนินจา เรียกว่านินก็ได้”

“พี่น่ารักจัง”น้องเนมจ้องมองผม

“ใช่ใช่ ตอนแรกที่ยังไม่โกนผมใส่ผ้าเหลืองผมนึกว่าเด็กผู้หญิง”ผมมองเด็กผู้ชายอีกคนที่พูดขึ้น

“ผมชื่อหมอกอายุ 12 ปี พี่ผมนอนข้างพี่นะ”ผมยิ้มให้

“จัดของเสร็จยัง เดี๋ยวลงไปข้างล่าง”พระพี่เลี้ยงมาตามพวกผม คงพาไปทัวร์รอบรอบวัด พวกผมเดินออกจากห้องปิดประตู

ป้องกันแมลงเข้าและสัตว์เข้าไปในห้อง เพราะต้นไม้เยอะและชื้นทำให้มีแลงและสัตว์เยอะ พวกผมออกมาข้างล่างกันแล้ว มีพระ

หลายรูปยืนรอพวกผมอยู่

“เดี๋ยวจะพาเณรเดินดูรอบวัด และจะคอยบอกกฎระเบียบว่าต้องตัวอย่างไรแล้วในแต่ละวันเราต้องทำอะไรบ้าง”วัดกินพื้นที่กว้าง

ต้นไม้ที่อยู่ที่นี่เป็นต้นไม้เก่าที่เกิดเองตามธรรมชาติ บางต้นมีอายุเกือบร้อยปี พวกผมต้องตื่นแต่เช้าไปทำวัตร และออกเดิน

บิณฑบาตสำหรับพระและเณรใหม่แบ่งออกเป็นสองสาย จากนั้นกลับมาที่วัดจะมีญาติโยมมารับศีลและถวายอาหารที่นี่จำนวน

หนึ่ง ส่วนตอนเที่ยงจะมีชาวบ้านทำอาหารมาถวายที่วัด ตอนเย็นงดอาหารแต่ทานน้ำได้ ที่วัดนี้เปิดเป็นสวนปฏิบัติธรรมด้วยแต่

อาคารที่พักและที่ปฏิบัติธรรมอยู่คนละฝั่งกับที่พักของพวกผม ด้านหลังของวัดเป็นป่าช้า ที่เก็บกระดูก เจดี

“เอาล่ะเดี๋ยวพระจะบอกให้รู้ว่าแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง”กวาดลานวัดเรื่องนี้คือเรื่องใหญ่ เพราะพื้นที่วัดไม่ใช่เล็กๆ เณรมีหน้า

กวาดพระพี่เลี้ยงจะขนไปเผาที่เตาเผาขยะ ล้างห้องน้ำรับผิดต่อคนห้อง ทำความสะอาดศาลากลาง ศาลาพิธี เรือนรับรอง กุฏิ

อื่นๆ และนั่งสมาธิศึกษาพระธรรม แค่ฟังก็เหนื่อยครับ

แสงตะวันส่องแสงแรงกล้าทั้งวันตอนนี้อ่อนแสงลงแล้ว เสียงนกกากลับรัง อากาศเริ่มเย็น ยุงออกหากินแสงจากหลอดไปเปิดขึ้น

ท่านเจ้าอาวาสเดินนำพระรูปอื่นเข้าไปในโบสถ์กลิ่นธูปเทียนหอมอ่อนๆพระทุกรูปนั่งประจำตำแหน่ง การทำวัตรเย็นก็เริ่มขึ้น

“ง่วงนอนจังเลยพี่นิน ผมไม่รู้เขาท่องอะไร ท่องไม่ทัน”น้องเนมตัวอ้วนบอกผม

“ธรรมดาวันแรกก็คงประมาณนี้แหล่ะ พระท่านบวชมานาน”พวกผมเดินออกจากโบสถ์ พระพี่เลี้ยงที่นี่เข้มงวดมาก กฎ ระเบียบ

เวลา ต้องรักษาแต่ก็ดีมันช่วยให้คนเรามีวินัยมากขึ้น ก็ถึงว่าทำไมผู้ปกครองถึงนิยมพาลูกหลานมาบวชเรียนที่นี่ ทางเดินกลับกุฏิ

ค่อนข้างมืด ต้องระวังงู ตะขาบ แมงป่อง เสียงแมลงกลางคืนส่งเสียงร้องเรียกคุยกันส่งเสียงดังก็องวัดไปมาไม่รู้ว่ากำลังคุยกัน

หรือทะเลาะกัน

“ไปอาบน้ำเถอะ ดึกแล้วจะได้พักผ่อนพรุ่งนี้ต้องตื่นทำวัตรแต่เช้า”ผมชวนหมอกและเนมไปอาบน้ำ

“พี่นิน รอผมด้วย”เจ้าเนมวิ่งตามมา ที่อยู่ข้างหน้าพวกผมตอนนี้คือห้องน้ำและห้องอาบน้ำอยู่ไม่ห่างจากตัวอาคารเท่าไหร่ ห้อง

นอนเด็กวัดอยู่ชั้นล่าง ห้องถัดจากพวกผมไปเป็นห้องพระใหญ่ แต่ตอนที่พวกผมลงมาทุกห้องต่างปิดไฟนอนกันแล้ว ไปอาบน้ำ

กันตอนไหนเนี่ย

“อึย พี่นินน้ำเย็นมากเลย”

“รีบอาบเถอะเดี๋ยวจะดึก”ไม่แน่ใจว่านี่คือเรียกว่าอาบน้ำ หรือวิ่งผ่านน้ำน้ำเย็นมากดึกมากด้วย ผมกลัวร่างกายรับไม่ไหวเดี๋ยวต้อง

กลับเข้าไปนอนที่โรงพยาบาลเหมือนเดิม ผมราดไปบนตัวแค่สามขัน แล้วเช็ดตัวสวมสบงกับอังสะออกจากห้องอาบน้ำ น้องๆก็

เสร็จออกมาจากห้องอาบน้ำเกือบพร้อมกัน เดินขึ้นห้องชั้นบนที่พวกผมอยู่เป็นไม้เวลาเดินจะมีเสียงเอียดอาดเสียงไม้เสียดสีกัน

ประมาณว่าอาคารนี้เก่าแล้วส่วนข้างเป็นตึก

แอ๊ด เสียงประตูที่ผมเปิดออก เณรอีกสองรูปจำวัดไปแล้วพวกผมเลยต้องเดินเข้าไปเงียบๆ ผมยกที่นอนหมอนผ้าห่มไปที่ของตัว

เองจัดการปูลงพื้น แล้วสวดมนต์สั้นก็มลงกราบพระก่อนอนสามครั้ง ค่อยล้มตัวลงนอน เสียงลมพัดต้นไม้ เสียงต้นไม้เสียดสีกัน

ตามแรงลม อากาศในห้องเย็นสบาย กลิ่นยากันยุงลอยมาตามลมถึงจะมีมุงลวดแต่คิดว่ายุงน่าจะมีไม่น้อย ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว

ผมรู้สึกว่าอากาศเย็น

“เณร เณร”เสียงใครไม่รู้เหมือนกำลังเรียกผม

“ครับ” เรียกผมทำไม

“เณรทำไมถึงมาบวชล่ะ”ผมลืมตาขึ้นเห็นชายสูงอายุสวมชุดสีขาวทั้งตัว ผมขาวใบยิ้มแย้ม รอบตัวเขามีแสงสีขาวส่องออกมา

“ผมอยากบวชให้พ่อแม่และผู้มีพระคุณ คุณตาอยู่ที่นี่หรือครับ”

“ใช่ตาอยู่ที่นี่อยู่มานานแล้ว ไม่ต้องกลัวนะตาแค่มาทักทายเราเฉยๆ”คุณตาใช้มือเย็นลูบศีรษะผมเบาๆ”เราทุกคนเกิดมาล้วนมี

กรรมติดตัวมา ปล่อยให้เรื่องราวทุกอย่างเป็นไปตามกรรม อย่าได้สร้างกรรมต่อไป”คำพูดของคุณตาทำให้ผมต้องหยุดคิด ถ้า

อย่างนั้นทุกอย่างที่เกิดกับผมตอนนี้ก็คงเป็นกรรมที่ผมเคยทำไว้เจ้ากรรมนายเวรเลยมาเอาชีวิตของผมคืน

“อย่าจองเวรจองกรรม ตัดวงเวียนแห่งกรรมที่ผูกมัดกันซะ”ภาพชายชราตรงหน้าหน้าค่อยๆจางหายไป ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาไม่รู้ว่า

เมื่อครู่คือความฝันรึเปล่าแต่ตัวผมยังรู้สึกถึงความเย็นที่สบายๆสดชื่นนั้นได้อยู่

ก๊อก ก๊อก

“เณรตื่นได้แล้ว......ไปอาบน้ำเตรียมตัวทำวัตรเช้า”เสียงพระพี่เลี้ยงตะโกนเรียกผ่านประตูเข้ามา

“เนม หมอก  เณร ตื่นได้แล้ว”ผมเรียกน้องๆที่กำลังหลับสบายให้ตื่น

วันนี้พระพี่เลี้ยงยังช่วยพวกผมแต่งตัวเหมือนเดิม เดินตามหลังพระพี่เลี้ยงและพระรูปอื่นเข้าไปในโบสถ์เพื่อทำวัตรเช้า ธูปเทียน

ถูกจุดขึ้น พระทุกรูปนั่งประจำตำแหน่ง การทำวัตรเช้าก็เริ่มขึ้นมันอาจจะดูน่าเบื่อที่ต้องอะไรซ้ำซ้ำไปมาบ่อย แต่นี่คือหน้าที่ที่ต้อง

ทำ มีพระใหม่หลายรูปยังสวดมนต์ไม่คล่อง บางรูปยังมีอาการง่วงนอน ฟังไปฟังมาเสียงสวดมนต์ที่ประสานกันก็ช่วยให้รู้สึกง่วง

จริงๆ ก่อนที่ผมจะหลับไป เสียงสวดมนต์บทสุดท้ายจบลง

“เดี๋ยวตอนเช้าเณรต้องจะออกไปบิณฑบาต”วันนี้แบ่งออกเป็นสองสายแต่ละสายจะมีพระอาวุโสสองรูปพระพี่เลี้ยงหนึ่งและเณร

พระพี่เลี้ยงบอกว่าไม่สามารถพาเณรออกไปบิณฑบาตได้ทุกรูปกลัวดูแลได้ไม่ทั่วถึงและต้องแข่งกับเวลา วันนี้ผมมีโอกาสได้ออก

ไป เส้นทางของผมไม่รู้ว่าต้องผ่านที่ไหนบ้าง พระเณรมาพร้อมกันแล้วพระอาวุโสก็เดินนำหน้าไปผมอยู่เกือบท้ายสุดโชคดีมีเด็ก

วัดอยู่รั้งท้าย ต้องออกบิณฑบาตโดยไม่สวมรองเท้าและต้องอุ้มบาตรไปด้วยน่าตื่นเต้นจัง จะมีคนใส่บาตรให้ผมไหมนะ

             แสงอาทิตย์ขึ้นเร็วมากในช่วงฤดูร้อนพวกเราเดินผ่านหญ้าสูงที่อยู่บนที่ดินเปล่าผ่านบ้านคนหมายหลังมีทั้งคนที่ออกมายืนรอและบอกให้รอ

"นิมนต์เจ้าค่ะท่าน" ผู้หญิงอายุน่ารุ่นเดียวกันกับแม่มองมาที่ผม เธอยกของใส่บาตรขึ้นเอามาทูนไว้ที่หัวแล้วอธิษฐาน ถอด

รองเท้า ยืนด้วยเท้าเปล่าเธอใส่ข้าวสวยกับข้าวลงในบาตรหลวงตา

“เณรบวชใหม่หรอคะ รูปงามเชียว”เธอถามผม เธอใส่ขนมและนมลงไปในบาตรผม เธอต้องคิดว่าผมเป็นเด็กแน่เลย เมื่อใส่บาตร

เสร็จแล้วเธอก็ย่อตัวลงนั่งยองๆประนมมือขึ้นก้มศีรษะเล็กน้อย หลวงตากล่าวบทกรวดน้ำและให้พร พากเราก็เดินต่อไป

 “นิมนต์ค่ะหลวงพ่อ”เอ๊ะเสียงนี้คุ้นๆ

“เณรรูปงามจังเลยค่ะ”เป็นแม่ที่ใส่บาตรให้ผมแล้วส่งยิ้มให้ผมโดยมีพ่อผมเป็นคนช่วยถือของให้

“ย่านึกว่ามาไม่ทันซะแล้ว”คุณย่าใส่อาหารลงในบาตรของผมมีคุณเทียนถือถาดอาหารให้

“คุณย่า เอานี่ให้อิคคิวซัง”น้องหนึ่งน้องสองยื่นขนมลงบาตรของผมช่วยแม่คุณเทียน และเป็นคุณเทียนวางสาลี่ลูกโตลงในบาตร

ของผม

         
                                                                    มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 9] 24/04/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 24-04-2016 11:18:54
 
                                                                      ต่อจากด้านบน



        หลวงตาเดินนำพวกเราเข้าประตูวัด เด็กวัดช่วยผมยกบาตรขึ้นไปวางไว้ข้างบน ส่วนผมต้องไปล้างเท้าเดินขึ้นศาลากลางเจ็บเท้า

นิดหน่อยไม่ค่อยชิน

เดินขึ้นศาลาบนศาลาหลังใหญ่ที่สามารถบรรจุคนได้จำนวนมาก พื้นที่เป็นนั่งของพระสงฆ์ถูกยกพื้นให้สูงขึ้น มีเบาะรองนั่งพระ

สงฆ์วางไว้ประจำของแต่ละรูปพร้อมกับตาลปัตรอยู่ด้านข้าง บนศาลามีญาติโยมกำลังนั่งรอรับศีลรับพร บางคนกำลังยกอาหาร

คาวหวานไปประเคนให้พระสงฆ์ที่นั่งอยู่ บางคนกำลังเข้าแถวตักบาตรของพระที่ไม่ได้เดินออกบิณฑบาต

ชาวบ้านเริ่มทยอยมาขึ้นมาบนศาลา พ่อแม่ผม คุณย่า คุณแม่คุณเทียน คุณเทียนน้องหนึ่งและน้องสอง ขึ้นมาบนศาลาแล้วกำลัง

หาที่นั่งกัน เด็กวัดและชาวบ้านช่วยกันจัดอาหารใส่ถาด อาหารถูกจัดเป็นถาดประเคนไว้ที่หน้าที่นั่งพระแต่ละรูปไล่มาเรื่อยจนมา

ถึงที่นั่งของเณร ไม่นานทุกอย่างก็พร้อมพระทุกรูปก็ลงมาที่ศาลาครบแล้ว ท่านเจ้าอาวาสก็นั่งประจำที่ ธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย

ก็ถูกจุดขึ้น พร้อมกับเสียงมัคทายกที่เริ่มสวดมนต์นำดังขึ้น เป็นอันรู้ว่าต่อจากนั้นเหล่าพุทธศาสนิกชนก็ว่าตาม เสียงสวดมนต์

พร้อมคำกล่าวถวายภัตราหารแด่พระสงฆ์ดังไปทั่วทั้งศาลา ช่วงนี้เป็นช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนจึงเห็นผู้ปกครองพาบุตรหลานเข้า

วัด ไหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตา ดีกว่าที่จะเอาเวลาไปทำสิ่งที่ไม่ควร แต่สภาพสังคมปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยี ความ

สะดวกสลายที่เข้ามาแทนที่ ทำให้คนมีเวลาน้อยลงและสนใจทำสิ่งอื่นกันมากกว่าการเข้าวัดไหว้พระสวดมนต์ หรือการประกอบ

พิธีกรรมทางศาสนาบ้านกับวัดเริ่มห่างกันเนื่องจากการแปลงไปของสังคม ภาพที่ทุกคนกำลังพนมมือขึ้นรับพร ปากก็ว่าตาม

จนถึงบทสวดมนต์บทสุดท้ายก็จบลง  อาหารมื้อแรกของการเข้าสู่เส้นทางความสุขสงบอันเป็นนิรันด์ตามความเชื่อชาวพุทธเชื่อ

กัน เสียงพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งกำลังเทศนาให้ชาวบ้านฟังส่วนพระเณรรูปอื่นก็ฉันอาหารหันไปมองญาติโยม เห็นโยมพ่อโยมแม่กำลัง

มองมาที่ผมแล้วยิ้มให้เป็นสายตาและรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข มีโยมพ่อของเณรบางรูปเขยิบมานั่งมองเณรนั่งฉันภัตราหารใกล้ๆ คนเป็น

พ่อไม่เห็นหน้าลูกได้เห็นลูกกินอิ่มก็สุขใจแล้ว อาหารของคาวของหวานที่จัดใส่ถาดประเคนวางไว้ตรงหน้าไม่นานก็หมด เสียง

สวดมนต์ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับทุกคนพนมขึ้น สิ้นเสียงสวดมนต์อาหารที่เหลือก็ถูกยกไปให้ชาวบ้าน พระเณรเสร็จกิจต่างแยก

ย้ายไปทำหน้าที่ตนเองได้รับผิดชอบ กวาดลานวัดคือหน้าที่ของเณรหลังจากบรรพชา เณรทุกรูปต่างได้รับอุปกรณ์ทำความ

สะอาดไล่กวดไปตามจุดต่างๆ จนถึงเวลาฉันเพลวางของทุกอย่างลงไปฉัน

“ตอนบ่ายพวกเราต้องล้างห้องน้ำใช่ไหมเณรพี่นิน”น้องเนมถามว่าเหมือนวัดเส้าหลินไหมเวลาบวช ต้องมีศิษย์พี่ศิษย์น้องรึเปล่า

อันก็น่าคิด

“อืม ใช่ตอนบ่ายทำความสะอาดห้องน้ำและศาลากลาง”

“เนม ฉันเพลเยอะไปหน่อยรู้สึกง่วงจังเลย”ไม่พูดเปล่ายังอ้าปาก หาวให้ดูอีก

“นี่ เณรตั้งใจทำงานสิ คุยกันอยู่ได้เมื่อไหร่จะเสร็จ”เด็กวัดคนหนึ่งชื่อ จ้อย เดินเข้ามาตำหนิที่เห็นผมกับน้องคุยกัน

“แล้วพี่ล่ะอาตมายังไม่เห็นอะไรเลยมีแต่สั่ง”หมอกถามขึ้นมาเห็นเด็กวัดคนนี้สั่งงานทั้งแต่ไม่เห็นช่วยอะไร

“ก็มันงานของพวกเณรๆ อีกอย่างฉันมาทำหน้าที่ดูความเรียบร้อย ถ้าไม่คุมจะทำกันไหมลูกคุณหนูทำอะไรก็ไม่เป็นกวาดพื้นถูพื้น

ใช้เวลาเป็นวันๆ”ว่าเสร็จแล้วก็ส่ายหัว ใจจริงก็อยากเถียงแต่ในเมื่อความจริงที่ว่าไม่เคยทำอย่างนี้เณรทุกรูปก็ได้แต่มองหน้ากัน

เพราะเถียงไม่ออก

“บ้านใครจะกว้างขนาดให้คนเป็นร้อยมานั่งได้ พูดไม่คิด”

“บ่นอะไรเณร”

“เปล่า เณรก็พูดไปเรื่อย”ดูเหมือนเณรหมอกยังไม่ยอมแพ้แอบบ่นออกมา

“อ้อ วันนี้หลังทำวัตรเย็นเสร็จให้พวกเณรไปรอพระพี่เลี้ยงที่หลังโบสถ์ด้วยพระท่านสั่งมา”

“มีเรื่องอะไรโยมจ้อย”

“ก็ ไม่มีอะไรพระพี่เลี้ยงไปพาไหว้เจ้าที่เจ้าทางก็เท่านั้น อย่าลืมล่ะ ทำงานต่อได้แล้วเผลอทีไรคุยกันทุกทีซะน่า”

           เณรทุกรูปช่วยกันกวาด ถูพื้น ไม่นานก็เสร็จแต่ก็กินเวลานานทีเดียวเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดเข้าที่แล้วต้องอาบน้ำ

เพราะเหงื่อคาบไคลบวกกับอากาศฤดูร้อน จากนั้นเดินเข้าโบสถ็เข้าทำวัตรเย็น คิดว่างานวันนี้ไม่ค่อยเยอะแต่ทำไมยกมือขึ้นพนม

ได้ไม่นานก็ปวดแขน เณรเนมเณรหมอกหันมามองสงสัยไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย เณรรูปอื่นยังเด็กอยู่ความ

อดทนยังไม่มากพอมีสัปหงกบ้าง ห้าวบ้าง ท่าทางวันแรกเณรจะโดนเด็กวัดรับน้องซะแล้ว ทำวัตรเสร็จเณรๆก็ไปรวมตัวหลังโบสถ์

ตามคำสั่งที่ฝากบอกเด็กวัดที่ชื่อจ้อยมา

“อ้าว โยมจ้อยพระพี่เลี้ยงไปไหนซะล่ะ ไหนบอกให้พวกเณรมารอ”

“พระพี่เลี้ยงไม่ว่าง เลยให้เราเด็กวัดพาไปไหว้กันเอง ตามมา”

เมื่อพระพี่เลี้ยงไม่มาจะยืนรอทำไม ก็เดินตามเด็กวัดจ้อยไป แต่ยิ่งเดินตามไปยิ่งรู้สึกว่ามันแปลกบริเวณที่เดินผ่านมืดมากมองไม่

เห็น อาศัยแสงจากดวงจันทร์ถึงมองเห็นข้างทาง

“เฮ้ย พี่นินนั่นมันอะไร”เสียงเณรเนมตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจชี้ไปทางที่เขาบอกว่าเห็นเป็นเงาสีดำอะไรแปลก

“ไหนเณรเนม ไม่มีเห็นมีอะไร”พยายามมองผ่าความมืดไปก็ยังไม่เห็น แต่ไม่ทันที่จะเห็นอะไรก็ได้ยินเสียงร้องตกใจของเณรรูป

อื่น ตอนนี้ต่างคนต่างวิ่งหนีหายไปกันคนละทาง มีเพียงเณรเนมและหมอกยืนกอดผมอยู่กับเสียงหัวเราะชอบใจของจ้อย

“จ้อย ทำอย่างนี้ทำไม”

“น่าเณร แค่รับน้องเล็กๆน้อย”

“พระพี่เลี้ยงไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหม”

“คิดจะฟ้องรึไง คิดว่ากลัวรึไงใจปลาซิวไปได้ลูกคุณหนูก็เงี้ย”

“แต่ถ้าพวกเณรกลัวแล้ววิ่งไปชน ล้มแข้งขาหัก อีกอย่างสัตว์มีพิษตอนกลางคืนอีก จะตอบกับผู้ปกครองของเณรยังไง”

“เอ้อ ๆ ขอโทษแล้วกัน”

“อีก อย่างนะจ้อยถึงพวกเณรจะเป็นลูกคุณหนูหรือไม่พวกเณรไม่เคยเอาไปคุยอวดใคร กินข้าวกินอาหารเหมือนกัน นอนบนพื้น

กระดาษแข็งมีเพียงผ้ากับสื่อปูเท่านั้นไม่ได้บ่นเลยสักคำ”

“ใช่ๆ นอนดึกตื่นแต่เช้า ทำงานทั้งวันเณรยังทนได้เลย”เณรเนมเลิกกลัวแต่ยังกอดผมไว้อยู่

มีคำพูดว่าขอโทษออกจากปากของจ้อย แล้วเขาก็พาทุกคนกลับมาที่กุฏิ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้จ้อยคิดและทำกับพวกเรา

อย่างนี้แต่เขาคงมีเหตุผลของเขา เชื่อว่าสักวันเขาคงหลุดพ้นจากความคิดร้ายของในสักวัน หลับตาลงคืนนี้ก็ฝันเห็นผู้ชายใส่ชุด

ขาวทั้งตัวคนนั้นอีกแต่คืนนี้เขามานั่งคุยด้วย ท่านบอกว่าเป็นเจ้าที่ดูแลปกปักรักษาพื้นที่บริเวณนี้มานาน
        

                    ปฏิบัติตามกิจวัตรประจำ ทำวัตรเช้า ฉันภัตราหารเช้า-เพล จากนั้นพวกผมก็ต้องช่วยกวดลานวัดเงยหน้ามอง

ใบไม้ที่ร่วงปลิวหมุดติ้วๆลงมาตามกฎแรงโน้มถ่วงของโลกเต็มลานวัดเมื่อใบเก่าล่วงลงพื้นใบใหม่ก็ขึ้นมาใหม่นั่นแหล่ะคือ

สัจธรรม ผมก็ควรที่ปล่อยวางซินะเพราะชีวิตของคนเรามันสั้น ไม่ควรที่จะเอาตัวไปผูกมัดกับความแค้น ควรใช้ที่ได้มาทำให้คน

ที่รักมีความสุขมากกว่า และการที่ผมเลือกเข้ามาอยู่ในร่มศาสนาทำให้ผมได้คิดอะไรได้มากขึ้น จิตใจสงบลงมาก

“เณรพี่นิน จำวัดที่นี่หลายคืนแล้วฝันบ้างไหม”เณรเนมหันมาถาม

“ทำไมหรือเณรฝันอะไรแปลกๆ”

“ถ้าฝันก็ดีสิ นี่หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย”

“อ้าวแล้วเณรถามพี่ทำไม”

“ก็เมื่อเช้า โยมพ่อบอกว่าโยมแม่ฝากมาถามว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ฝันเห็นอะไรบ้างรึเปล่า”

“อ้อ โยมแม่ของเณรจะไปซื้อหวยละสิ”เณรหมอกเงียบอยู่นานพูดขึ้นมา ทำให้ผมนึกถึงเรื่องความฝันของตัวเองที่ทุกคืนจะฝัน

เห็นชายชราผมขาวสวมชุดขาวมาหาผมทุกคืนตั้งแต่มาอยู่ที่นี่

“เณรก็ไม่รู้หรอกว่าโยมแม่ต้องการถามไปทำไม”

“ฝันสิ ลองเอาเรื่องที่พี่ฝันไปเล่าให้โยมแม่ฟังดูสิ”ผมเล่าเรื่องความฝันติดต่อกันหลายคืนให้เณรทั้งสองฟัง ทั้งสองทำหน้าแตก

ต่างกันไป ไม่ได้สนับสนุนให้งมงาย แต่ที่ผมฝันเป็นจริงก็แค่เอาไปเล่าต่อเฉยๆ

“เจ้าที่หรอฟังแล้วขนลุก”

“ไม่หรอกเราไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ควรก็ไม่ต้องกลัว อีกอย่างวัดนี้ก็เก่ามากแล้วจะมีก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”สายตาโมงไปที่โบสถ์ เจดีย์

สิ่งก่อสร้างที่อยู่ในบริเวณวัดที่บ่งบอกอายุของวัดได้เป็นอย่างดี พวกเราจบบทสนทนาแล้วลงมือทำงานต่อ กวดใบไม้กองกันไว้

จากนั้นพระรุ่นพี่ตามไปเรียนพระธรรมนั่งสมาธิเดินจงกรม จนใกล้ถึงเวลาบ่ายแก่ๆพวกเราถูกปล่อยให้กลับมาพักผ่อนเตรียมตัว

ทำวัตรเย็น
                 

                   ต่อจากนั้นหลายวันหลังที่ฉันเพลเสร็จเดินลงจากศาลา เห็นโยมพ่อโยมแม่ของเณรเนมมาพบเจ้าอาวาสด้วย

หน้าตายิ้มแย้มไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรดีๆ ถึงทำให้คนทั้งสองแสดงสีหน้าว่ากำลังมีความสุข

“เณรพี่นิน เณรเอาเรื่องความฝันไปเล่าให้โยมพ่อโยมแม่ฟัง ท่านทั้งสองบอกว่าไปซื้อล็อตเตอร์รี่ถูกด้วย”

“อืม จริงหรอเณรอย่ามุสานะ”แปลกใจแค่เล่าเรื่องความฝันให้ฟังเท่านั้น แล้วทำยังไงถึงไปซื้อล็อตเตอร์รี่ถูกได้

“จริงๆ วันนี้โยมแม่เอาเงินมาบริจาคเข้าวัดหลายหมื่นเลยนะ”

ถ้าเป็นอย่างนั้นที่เขาเห็นโยมทั้งสองเดินไปกับท่านเจ้าอาวาสคงมาด้วยเรื่องนี้ ยิ้มดีใจกับความโชคของคนทั้งสอง แล้วเดินไป

ปฏิบัติตามกิจวัตรของตัวเองเหมือนเช่นทุกวัน



******************************************************************************

ขอบคุณทุกคนที่เอาใจช่วยน้องนินจ้า

โปรดติดตามตอนต่อไป



หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 9] 24/04/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-04-2016 12:26:15
เณรฝันแล้วมีญาติโยมไปซื้อหวยถูกแบบนี้คงไม่โดนชาวบ้านมากราบไหว้ขอเลขเด็ดหรอกนะ
ชีวิตนินจะเป็นยังไงต่อนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 9] 24/04/59
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 24-04-2016 15:13:24
ตามๆๆๆ
ดีมากเลย รออ่าน
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 9] 24/04/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 26-04-2016 13:06:04
ตัวเล็กน่ารักใช่ม่ะ?? คุณเทียน อิอิ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 9] 24/04/59
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 28-04-2016 20:26:36
รอๆๆ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 9] 24/04/59
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 29-04-2016 14:35:20
น่าสนใจดี
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 9] 24/04/59
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 29-04-2016 15:22:02
 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:เข้ามารอตอนต่อไปจ้า :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 9] 24/04/59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 29-04-2016 16:30:30
มาต่อเรื่อยๆ นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 9] 24/04/59
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-04-2016 19:51:11
สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 10] 3/05/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 03-05-2016 18:10:58



เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน
ตอนที่ 10
[/size]


     กลิ่นแดดอ่อนๆยามเช้าลอยมาตามลม ผมสูดรับกลิ่นเข้าเต็มปอด พระอาทิตย์ดวงโตกำลังส่องแสงสว่างโบกมือทักทายผม

ตอนรับเช้าวันใหม่อยู่บนเส้นขอบฟ้าอันแสนไกล สายลมหอบพัดเอาความเย็นมาสัมผัสผิวเบาๆ ต้นไม้น้อยใหญ่โยกไหวตามแรง

ลม เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ต่างตื่นนอนและท่องเที่ยวออกหากินนานแล้ว “สวัสดียามเช้า” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วยิ้มบางๆ กำลัง

มองออกไปบริเวณสวนของบ้าน ผมกลับอยู่บ้านแล้ว ภาพที่ผมนั่งปฏิบัติธรรม สวดมนต์ เดินบิณฑบาต มันเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อ

วาน พ่อแม่ คุณย่าและแม่คุณเทียนเข้าพิธีบวชพราหมณ์ตามที่บอกกับผมไว้ พวกท่านได้นั่งสมาธิ เดินจงกรม ฟังธรรมะ ใบหน้า

ของพ่อแม่ดูสดใสขึ้น ธรรมะคงทำให้ท่านคิดอะไรได้

     ยังจำวันนั้นได้วันที่ต้องทำพิธีเผาศพของนนท์ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ผมเห็นพ่อยืนมองยังไปศาลา ที่เก็บร่างไร้วิญญาณของ

นนท์ ที่นอนอยู่ในโลงสีขาวใบใหญ่นั้น ผมคิดว่ามันคงถึงเวลาที่พวกเราจะต้องปลดปล่อยกายหยาบของนนท์ได้แล้ว ความอาลัย

อาวรณ์ ความรัก ความคิดถึงคือบ่วงที่ผูกมัดพวกเราไว้กับอดีต พวกเรากำลังเอาตัวเราไปผูกไปยึดไปติดไว้กับอดีตแต่ถ้าหากคน

เราไม่มีแล้วนั้น ก็คงไม่มีปัจจุบันและอนาคตใช่ไหม หากแต่ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องเลือกเลือกที่จะตัดอดีตทิ้งไปแล้วเดิน

ต่อไปข้างหน้า อดีตคือครูครูที่สอนบทเรียนต่างๆให้เราให้รู้ให้จดและจำ นำบทเรียนราคาแพงนี้เป็นแนวทางเพื่อการดำเนินชีวิต

ต่อไปในอนาคต และอย่าลืมที่จะทำปัจจุบันหรือทุกๆวันเป็นวันที่ดีที่สุด ภาพถ่ายของนนท์ที่วางหน้าโลงศพ ผมเคยเป็นผู้ชายคน

นี้คนที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มบนผมยิ้มแย้มอย่างมีความสุข รอยยิ้มนั้นคือรอยยิ้มของนนท์ยิ้มให้ครอบครัวยิ้มให้คนทั้งสองเป็นครั้ง

สุดท้ายที่นนท์จะจากไปตลอดกาลโดยไม่มีวันหวนกลับ

“พ่อแม่ครับผมว่าจะถึงเวลาสมควรที่เราจะปล่อยให้พี่นนท์ได้จากไปอย่างสงบซะที ปล่อยเขาไว้อย่างนี้เหมือนขังเขาไว้ไม่ไห้ไป

ไหน”

“พ่อก็ว่าถึงเวลาแล้วพ่อก็ไม่อยากรั้งนนท์ไว้อีก หลับให้สบายนะลูก”

“นนท์แม่จะปลดปล่อยนนท์แล้วนะลูกไปเถอะลูก.....ไปที่ที่ลูกควรไปแม่จะไม่เหนี่ยวรั้งหนูไว้อีกแล้ว แม่ขอโทษนะถ้าต้องทำให้

หนูเป็นทุกข์”

        ดอกไม้จันทน์จากมือพ่อแม่และผมวางไว้บนที่ถูกเตรียมไว้ เจ้าหน้าที่ทางวัดหยิบแล้วโยนดอกไม้จันทร์เข้าไปในเตาเผา ที่

มีโลงศพบรรจุร่างไร้วิญญาณนนท์ไว้ข้างใน “ไปไม่กลับหลับไม่ตื่นฟื้นไม่มีหนีไม่พ้น”ผมอ่านคำที่เขียนไว้หน้าเมรุ ซักวันคนที่

เข้าไปนอนในนั้นก็ต้องเป็นผมประตูเตาเผาค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ แล้วล็อคลง ครืน ครึ้ม เสียงจุดไฟดังขึ้นเตาเผาเริ่มทำงาน ผม

พยุงแม่ลงบันไดอีกฝาก วันนี้แม่กับพ่อไม่ร้องไห้แต่ยังมีน้ำตาคลอให้เห็น ส่วนผมรู้สึกดีที่ได้ปลดปล่อยตัวเอง เรากลับเข้ามาใน

ศาลาพวกเรานั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกสีแดงของวัดที่จัดไว้วางเรียงรายไว้สำหรับให้ผู้ร่วมงานนั่ง พิธีทางการเสร็จสิ้นแล้วมีเพียง

ญาติไม่กี่คนที่มาร่วมงานครั้งนี้เป็นงานศพเล็กๆที่เงียบสงบ ผมนั่งมองดูควันสีขาวที่ลอยขึ้นมาจากปล่องไฟแล้วลอยสูงขึ้นไป

เรื่อยๆ ลาก่อนชาติที่แล้วของผม



“นิน ลงไปทานข้าวลูกมองอะไรอยู่”แม่ของผมเดินเข้ามาตามผมลงไปทานข้าว วันนี้แอบเกเรไม่ไปช่วยงานในครัว

“ผมคิดว่าอยากปลูกต้นไม้ ต้นเล็กๆ”แม่เดินเข้ามากอดผม

“ก็ดีสิ แม่เห็นด้วยไว้เราไปเดินดูต้นไม้กัน”พ่อคงไม่มีเวลา ไม่มีกะใจดูแลต้นไม้พวกนี้ทำให้พวกมันเหี่ยวเฉาบางต้นก็ตาย ลุงชม

แกก็อายุมากแล้วคงดูแลไม่ทั่วถึง เวลาว่างพ่อจะหาต้นไม้แปลกๆมาลงบ่อยๆ ตลาดต้นไม้ในกรุงเทพหรือแถบชานเมืองผมเคย

ไปเดินดูต้นไม่กับคุณพ่อบ่อยๆ

“ครับ”

“แต่ตอนนี้ต้องลงไปทานข้าวก่อน”

“ครับ เดี๋ยวผมขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วผมตามไปครับ”แม่เดินออกไปจากห้องแล้ว

       ผมหยิบผ้าเช็ดตัวลายการ์ตูนแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น แล้วเปิดน้ำจากฟักบัวให้ตกลงมากระทบศีรษะ

และผิวของผมไปจนทั่ว เปิดขวดยาสระผมกลิ่นผลไม้เทลงฝ่ามือแล้วนวดคลึงเบาๆไปทั่วศีรษะ เปิดฝาขวดครีมอาบน้ำเนื้อเจล

กลิ่นผมไม้เป็นแม่ที่ซื้อมาให้เทลงบนฝ่ามือแล้วลองสูดกลิ่นสดใสสดชื่นที่แอบซ่อนไปด้วยความซุกซนไว้ แล้วลูบไล้ครีมอาบน้ำ

ไปตามต้นคอไหลปาร้าไหลรักแร้แขนหน้าอกหน้าท้องยาวลงไปถึงเท้าจนตัวผมเต็มไปด้วยฟองสีขาว จากนั้นเปิดน้ำอีกครั้งล้าง

ยาสระผมและครีมออกจากตัวให้หมด ใช้ผ้าเช็ดตัวซับน้ำออกจากผมที่ตอนนี้ยาวขึ้นมากแล้ว เดินออกจากห้องน้ำทิ้งเสื้อผ้าที่ใส่

แล้วลงในตะกร้าที่พี่แจ่มเตรียมไว้ให้ ชโลมครีมบำรุงผิวให้ทั่วตัว แล้วเปิดประตูเสื้อผ้าหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมากางเกงขาสั้นกับ

เสื้อยืดแขนสั้น พร้อมแล้วเดินออกจากห้องนอนเดินผ่านห้องนอนเก่าของตัวเองหยุดเท้าลงที่หน้าห้องนั้นแล้วมองโกศบรรจุอัฐิรูป

ร่างสี่เหลี่ยมที่วางไว้บนหิ้งบนหัวเตียง ต่อไปจะไม่มีนนท์  นนท์ทนิตย์  กิจการเลิศล้ำพัฒนไพบูลย์ ไปตลอดกาล มีเพียง

ผม นินจา นายนินทนัฐ สีขาวคนนี้เท่านั้น หันหลังให้ห้องนั้นแล้วเดินลงบันได พ่อแม่กำลังนั่งรอที่โต๊ะอาหารทั้งสองมองมาที่ผมแล้ว

ยิ้ม

“มาเร็วลูก มาทานข้าวกัน มีแต่ของชอบของนินทั้งนั้น”แต่เป็นของโปรดที่ต้องไม่ใช่อาหารที่ส่งผลร้ายต่อหัวใจของผม อาหาร

ของผมยังผัก เต้าหู้ และเนื้อปลา ไม่ใช่ปัญหาผมจะรักษาชีวิตนี้ไว้ไห้ดี

“ลองอันนี้ลูก แม่เพิ่งเจอในหนังสือ”หนังสืออาหารสุขภาพเกี่ยวกับผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่คุณหมอให้มามีสูตรอาหาร

ต่างๆ

“ขอบคุณครับ”ขอบคุณแล้วตักอาหารให้พ่อแม่ด้วย ท่านทั้งสองยอมทานอาหารเหมือนผม แต่นั่นเป็นข้อดี เพราะทั้งสองอายุเพิ่ม

ขึ้นผักผลไม้ เต้าหู้ และเนื้อปลา ดีต่อสุขภาพผู้สูงอายุ

ตึง ตึงๆๆๆๆ เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น

“สวัสดีครับ...ผมทานข้าวอยู่....ครับ...ผมต้องถามที่บ้านก่อน...ครับ ....สวัสดีครับ”

“ใครโทรมาหรือลูก”

“คุณเทียนครับ คุณเทียนบอกว่าน้องหนึ่งน้องสองให้โทรชวนผมเล่นน้ำที่สระบ้านคุณย่า คุณพ่อคุณแม่ไปกับผมนะครับคุณเทียน

บอกคุณย่าชวนเราทานข้าวเที่ยงที่บ้านด้วย”

“อืม ก็ดีเหมือนกัน นินจะได้ออกกำลังกายบ้าง”

“เดี๋ยวแม่จะเตรียมของว่างไปด้วย”บรรยากาศเหมือนไปปิกนิกเลย แต่ทำไมเพื่อนผมถึงเป็นน้องหนึ่งกับน้องสองได้ล่ะเนี่ย

พวกเราทานอาหารเสร็จแล้วผมช่วยแม่และพี่แจ่มเก็บถ้วยจานเข้าไปในครัว ผมวิ่งขึ้นห้องไปหาชุดเล่นน้ำ กางเกงขาสั้นกับเสื้อ

ยืดคงใช้เล่นได้มั้ง ผมหยิบกระเป๋าสะพายหลังรูดซิปเปิดแล้วหยิบเสื้อผ้าสำหรับเล่นน้ำและสำหรับเปลี่ยนผ้าเช็ดตัว ใส่ลงกระเป๋า

แล้ววิ่งไปรอพ่อกับแม่ข้างล่างผมนอนกลิ้งไปมาบนโซฟาตัวนุ่ม

ตึง เสียงไลน์ของผมดังขึ้น

คุณเทียน: จะมากันไหม

หนูนินจา: ยิ้ม

หนูนินจา: ผมไม่มีครีมกันแดด คุณเทียนมีให้ยืมไหมครับ

คุณเทียน : ยิ้ม

“นินพร้อมยังลูก”เสียงแม่เรียกผม

“ผมอยู่นี่ครับ”พ่อผมถือตะกร้าน่าจะของกินอยู่ในนั้น พวกเราเดินออกจากบ้านเดินไปที่บ้านคุณย่าแดดแรงขึ้นแล้วแต่เป็นแม่ที่

กางร่มขึ้น ผมน่าจะสวมหมวกมาด้วย ระยะทางจากบ้านผมไปบ้านไม่ไกลเท่าไหร่เพราะรั้วบ้านติดกัน บ้านคุณย่าหลังใหญ่กว่า

บ้านของผมและบริเวณก็กว้างกว่า บ้านคุณย่ามีบ้านใหญ่หนึ่งหลัง และอีกสองหลังไม่รู้ว่าเป็นของใคร แล้วเราก็มาถึงบ้านคุณย่า

บ้านหลังใหญ่สองชั้นจากประตูรั้วต้องเดินเข้าไปอีกกว่าจะถึงตัวบ้าน ผมกดออดที่ติดไว้หน้ารั้ว

“มาหาใครครับ”

“คุณลุงผมมาหาคุณย่า”

“อ้อ หนูนินจานี่เองเดี๋ยวลุงเปิดประตูให้”คุณลุงคนสวนผมรู้จักแก แกเป็นพ่อของพี่จิ๋ว

พวกเราเดินเข้ามาสองข้างทางมีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นเต็ม มีต้นไม้ที่มีอยู่เดิมบ้างเพราะดูจากขนาดลำต้น

“พี่นิน มาแย้ว”น้องหนึ่ง น้องสองวิ่งตรงมาที่ผมแล้วกอดแข้งกอดขา

“พี่จะมาเล่นน้ำกับน้องหนึ่งน้องสอง”

“เย้ เย้ ดีใจจังเลย”เด็กๆร้องดีใจ กระโดดทีแผ่นดินแทบสะเทือน

“เด็กๆพาพี่นินกับคุณตาคุณยายเข้าบ้านก่อน แดดร้อนเดี๋ยวไม่สบาย” เสียงคุณเทียนตะโกนบอก

 “คุณลุงคุณป้าสวัดดีครับ เชิญเข้าบ้านก่อนครับคุณย่า คุณพ่อคุณแม่อยู่ข้างใน”คุณเทียนเดินมาแล้วและทักทายพ่อกับแม่แล้วไป

รับตะกร้าจากคุณพ่อผม

“สวัสดีลูก”ทั้งสองรับไหว้คุณเทียน

คุณเทียนเดินนำเข้าไปในบ้าน ส่งตะกร้าอาหารให้พี่จิ๋ว แล้วพาพวกผมไปยังห้องห้องหนึ่ง ผมจูงเจ้ามือตัวแสบทั้งสองไปด้วย

“คุณย่า คุณพ่อคุณแม่สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้ทักทายคนทั้งสามที่นั่งอยู่โต๊ะกลมในห้องนั้น คุณย่าดึงผมเข้าไปกอดแล้วหอม

แก้ม แล้วเปลี่ยนเป็นแม่คุณเทียนที่สวมกอดผมอีกคน

“สวัสดีค่ะ/ครับคุณย่า”พ่อกับแม่ผมทักทายคุณย่า

“ไหว้พระเถอะลูก เป็นไงบ้างสบายดีไหม”

“ดีค่ะก็ตั้งแต่น้องมาอยู่ด้วย”

“สวัสดีค่ะคุณพี่นั่งก่อนสิคะ เดี๋ยวน้องไปเอาของว่างมาให้”คุณแม่คุณเทียนทักทายคุณแม่ผม

“ไม่เป็นไรค่ะ เรียบร้อยมาแล้ว”

“คุณพิรัชเชิญนั่งครับ”พ่อคุณเทียนเชิญพ่อของผมนั่ง ผมมองห้องกระจกที่เปิดประตูออกไปแล้วมีสระว่ายน้ำ

“คุณย่านินไปดูสระว่ายน้ำนะครับ”

 “ระวังตกน้ำนะลูก น้องหนึ่งน้องสองมาหาย่าก่อนปล่อยพี่นินได้แล้ว ตาเทียนไปเดินเล่นเป็นเพื่อนน้องไป”สองแสบรีบวิ่งไปหา

คุณย่า

“คุณย่าน้องหนึ่งอยากเล่นน้ำกับพี่นิน”

“น้องสองเล่น เล่นด้วย”

“ได้ได้....เดี๋ยวให้พี่จิ๋วพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”คุณแม่ผมกับคุณแม่คุณเทียนพาเดินหายไปไหนไม่รู้ คุณพ่อทั้งสองก็เดินแยกออกมา

คุยกัน คุณย่ากับพี่จิ๋วอยู่กับสองแสบ ผมเดินแยกออกมากับคุณเทียนเดินดูรอบๆสระน้ำที่ปลูกต้นไม้ไว้รอบ ตกแต่งได้สวยมาก

เลย

“เป็นไงบ้างสบายดีไหมเรา”คุณเทียนถามผม

“ทำใจได้แล้วครับ ไม่คิดมากแล้ว”ผมตอบคุณเทียน แล้วยิ้มให้ช่วงที่ผมรู้สึกแย่มีคุณเทียนคอยปลอบใจผมบ่อย คุณเทียนไลน์

เข้ามาคุยกับผมบ่อยๆ เขากำลังยืนจ้องมองผม เหมือนที่ชอบทำบ่อยๆ สายตาที่มองมาผมแปลความหมายไม่ออก ผู้ชายตัวโต

ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหว บางทีแอบเข้าข้างตัวเองว่าคุณเทียนชอบผม แต่ชอบแบบไหนนั้นไม่ชัดเจน

ตู้ม ตู้ม เสียงเหมือนอะไรตกลงไปในน้ำ ผมหันหน้าไปตามเสียง

“พี่นิน อาเทียน ลงมาเล่นน้ำกับน้องหนึ่งเร้ว”น้องหนึ่งน้องสองสวมกางเกงว่ายน้ำ หมวกว่ายน้ำและชูชีพว่ายน้ำ น่ารักเชียว คุณ

แทนกำลังนั่งดูเด็กๆอยู่บนเก้าอี้อาบแดด ยกมือโบกทักทายมาทางผม

“พี่นิน น้องสองอยู่ตรงนี้”ผมเห็นน้องสองกำลังรอยคออยู่ในน้ำ เห็นเด็กๆเล่นน้ำแล้วผมอยากเล่นบ้างน่าสนุก

“คุณเทียนผมลงเล่นน้ำได้ไหม”

“ก็ยังเด็กอยู่นี่นะ”อ้าว คุณเทียนพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง

“เอ่อ คุณเทียนผมไม่มีกางเกงว่ายน้ำ ผมใส่ชุดนี้ลงน้ำได้ไหมครับ”คุณเทียนหันหน้ามามองผมแล้วพยักหน้า คุณเทียนพยักหน้า

แสดงว่าเล่นได้ เย้ ผมเดินไปหยุดที่เก้าอี้อาบแดด ผมกำลังจะถอดเสื้อออก

“ทำอะไรนะเรา”คุณเทียนเดินมานิ่วหน้าใส่ผม

“ถอดเสื้อครับ”

“ถอดทำไม”ก็ผมจะเล่นน้ำ คุณอนุญาตแล้วนี่ครับ

“ผมจะเปลี่ยนเป็นเสื้อกล้าม”

“แล้วทำไมไม่ไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย”

“ไม่ต้องหวงขนาดนั้นก็ได้พี่เทียน”คุณแทนคนที่มีใบหน้าคล้ายกับคุณเทียนที่กำลังนั่งเล่นอยู่บนเก้าอี้อีกตัวพูดขึ้น

“อยู่เงียบๆไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอกเจ้าแทน โน่นไปดูเด็กๆโน่น”คุณเทียนแสดงท่าทางไม่พอใจที่คุณแทนพูดขึ้น

“ครับ ครับ”คุณแทนเดินไปดูเด็กๆแล้ว

“คือ เสื้อกล้ามผมซ้อนอยู่ข้างใน”ผมก็เลยไม่ต้องเข้าห้องแค่ถอดตัวนอกออกเท่านั้นเองครับ

“แล้วไม่บอก”ก็คุณเทียนไม่ถามผม เดินมาก็ดุผมเลยขนาดคุณแทนยังโดนดุเลย

ผมจัดการถอดเสื้อตัวนอกและกางตัวนอกออกเหลือเสื้อกล้ามและกางเกงบ็อกเซอร์ ผมวางเสื้อผ้าไว้บนเก้าอี้แล้วต้องกับสะดุด

กับสายตาคุณเทียนที่กำลังนั่งจ้องผมใหญ่เลย ผมมีอะไรแปลกไปรึเปล่า ผมเลิกสนใจคุณเทียนหันหน้ามองไปที่สระน้ำผมค่อยๆ

เดินลงบันไดไปในน้ำ สระนี้น้ำไม่ค่อยลึกผมว่ายตรงไปหาเด็กที่กำลังว่ายน้ำป๋อมแป๋มอยู่

“พี่นิน น้องหนึ่งอยู่ทางนี้”น้องหนึ่งโบกมือตะโกนเรียกผมทันทีที่เห็นผมลงมาในสระ

“น้องสองด้วย”ผมว่ายน้ำไปสองแสบทันที ฮ้า ไม่ได้ออกกำลังว่ายน้ำนานแล้วเสียงน้ำที่อยู่รอบรอบตัวผม น้ำกำลังสัมผัสกับทุก

ส่วนบนร่างกายผม ร่างกายผมยังสามารถจดจำวิธีว่ายน้ำได้ ผมค่อยๆว่ายไปเรื่อยๆ ออกกำลังโดยการว่ายน้ำก็ดีเหมือนกัน มัน

ทำให้ผมนึกถึงวันแรกที่ผมไปที่สระว่ายน้ำกับครอบครัว พ่อคือครูคนแรกที่สอนว่ายน้ำ

”นนท์ ดูพ่อนะลูกพ่อจะทำให้หนูดูก่อนหนูต้องจำท่าทางที่พ่อสอนให้ได้เข้าใจไหมครับ

“ครับผม”

“อะงั้นพ่อจะเริ่มแล้วนะ”พ่อสอนผมนอนคว่ำไปในน้ำโดยหัวก้มไปที่ก้นสระ และทำตัวให้ขนานไปกับระดับน้ำ

“ไม่ต้องกลัวนะพ่อจับตัวลูกไว้อยู่ จากนั้นหนูใช้มือของหนูจ้วงซ้ายขวาสลับกัน อะ อย่างนั้นลูก อย่างนั้นใช่แล้ว ว่ายต่อไปลูกไม่

ต้องกลัว พ่อจับหนูไว้อยู่ หนูผ่อนคลายลูกไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องกลัว ใช้ได้แล้วเก่งมากเลยลูก”

“ต่อไปลูกมาดูท่าต่อไปดูนะพ่อจะยกแขนข้างหนึ่งออกมาเหนือน้ำพร้อมกับงอข้อศอก ในขณะที่แขนข้างของพ่อไม่ได้ยกขึ้น

เหนือน้ำพ่อก็จะพายไปข้างหลังอย่างนี้ เห็นไหมลูก”

“เห็นครับ”

“ดีลูกต่อไปพ่อจะจ้วงไปข้างหน้าโดยการยืดแขนและจ้วงไปข้างหน้าให้ได้ไกลที่สุด หนูมองมือพ่อที่จ้วงมือพ่อนิ้วเรียงชิดติดกับ

และโค้งงอเล็กน้อยเห็นไหม อย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนี้ โอเค ดีมาก ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งก็ให้พายไปข้างหลังจนกระทั่งขนานกับลำ

ตัวอย่างนี้ ใช่ลูก ใช่เก่งมาก”

“ต่อไปเป็นการเตะขา พ่อจะทำให้หนูดูก่อน หลังจากที่เตะขาได้แล้ว เราจะใช้แขนไปด้วยพร้อมกัน แต่ตอนนี้มาลองเตะขาก่อน

เตะขาถี่ๆนะลูก อย่างนั้น ลูก ถี่ๆ เก่งมากอนาคตทีมชาติเลยเนี่ย”

“ผมเหนื่อยแล้วครับพ่อ”

“555 เก่งมากเลยลูกพ่อ ค่อยเป็นค่อยไปลูกไม่ต้องรีบ”

“พ่อพานนท์ มาว่ายน้ำบ่อยๆนะครับ”


“ว่ายน้ำเก่งจังเลยนะเรา”ผมหันหน้าไปมองคุณเทียนที่หย่อนเท้าลงมาในสระ นั่งดูผมกับเด็กเล่นน้ำกันอย่างสนุก

“ครับ คุณเทียนไม่เล่นหรือครับ”อยากจะสาดน้ำใส่แต่ไม่กล้า กลัวคุณเทียนขย้ำคอ

“ไม่ล่ะ นั่งดูสนุกว่า” มันสนุกตรงไหน

“เด็กๆขึ้นจากน้ำได้แล้ว หนูนินขึ้นได้แล้วเดี๋ยวไม่สบาย จิ๋วพาเด็กๆขึ้นอาบน้ำบนห้อง ตาแทนพาหลานๆขึ้นเร็วลูก ตาเทียนพาหนู

นินไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องด้วย”แม่คุณเทียนมาจากไหนไม่รู้มาถึงก็สั่งแล้วก็เดินหายไป

คุณแทนเรียกเด็กๆขึ้นจากน้ำแล้วเจ้าตัวแสบทั้งกำลังว่ายไปที่คุณแทนที่ยืนรออยู่ คุณแทนอุ้มเด็กๆขึ้นน้ำแล้วต่อไปเป็นหน้าที่

ของพี่จิ๋วต้อนเด็กขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

“นินขึ้นได้แล้วเดี๋ยวไม่สบาย”คุณเทียนเรียกผมให้ขึ้นจากสระ ผมว่ายน้ำมาที่บันไดแล้วเดินขึ้นจากฝั่ง หนาวมีผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่

มาห่มตัวผมไว้ เป็นคุณเทียนเอามาห่มให้ผม

“ขอบคุณครับ”คุณเทียนพยักหน้า แล้วเดินนำผมไปห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทางไปบ้านอีกหลัง

“ทางไปบ้านใครหรือครับคุณเทียน”

“บ้านพี่เอง”บ้านหลังนี้เป็นของคุณเทียนเป็นเรือนหอรึเปล่านะ ผมเดินไปทางเดินที่ปูไปด้วยตัวหนอนและหินกรวดข้างๆทาง มีไฟ

สนามที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์วางไว้ตามข้างทาง พุ่มดอกเข็มและต้นเทียนทองที่ตัดตกแต่งให้สวยงามอยู่สองข้างทาง

แก๊ก คุณเทียนเปิดประตูบ้านเข้ามา ข้างในเหมือนยังตกแต่งไม่เรียบร้อย มีข้าวของเครื่องใช้ไม่กี่ชิ้นคุณเทียนพาผมเดินวนขึ้น

บันไดชั้นสอง ข้างบนมีห้องหลายห้องคุณเทียนหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่งแล้วเปิดเข้าไปเป็นห้องนอนของคุณเทียน

“ห้องน้ำอยู่ตรงนั้น นี่เสื้อผ้า”คุณเทียนชี้ไปที่ห้องน้ำและยื่นกระเป๋าของผมให้ผม ทำไมผมถึงลืมหยิบมานะ เดินเข้าห้องน้ำพร้อม

กับของในกระเป๋าเลื่อนกระจกห้องน้ำออก ห้องน้ำกว้างที่ถูกปูไปด้วยกระเบื้องสีขาวลายสวย ด้านซ้ายมือเป็นกระจกเงาขนาด

ใหญ่และอ่างล้างหน้า ด้านข้างเป็นชั้นวางผ้าเช็ดตัวและตู้แขวนเสื้อผ้าตรงข้ามกระจกบานใหญ่นั้นเป็นชักโครกสีขาว เมื่อยืน

เผชิญหน้ากับชักโครกด้านซ้ายเป็นกระจกเงาบานใหญ่เต็มตัวด้านขวามือจะเป็นพื้นต่างระดับก้าวขึ้นไปสองก้าวซ้ายมือจะเป็น

อ่างอาบน้ำสีขาวขนาดไม่ใหญ่มากที่สามมารถมองทะลุออกไปเห็นวิวข้างนอกได้และมีม่านเลื่อนขึ้นลงได้ และมีตู้เล็กๆสำหรับ

เก็บขวดครีมอาบน้ำ ยาสระผม ถัดไปจะเป็นห้องอาบน้ำกระจกผมจัดการถอดเสื้อผ้าที่เปียกกองไว้ที่พื้นเปิดประตูเดินเข้าไปใน

ห้องอาบน้ำหมุนก๊อกเปิดฟักบัวที่แหงนหน้าอยู่บนศีรษะผม ผมเหลือบไปเห็นยาสระครีมอาบน้ำหลายยี่ห้อที่วางอยู่บนชั้นวาง ขอ

อนุญาตใช้นะครับคุณเทียนอย่าว่ากันนะ เปิดยาสระแล้วเทออกมากลิ่นนี้ผมจำได้เป็นกลิ่นของคุณเทียน เปิดผาขวดครีมอาบน้ำ

ออกกลิ่นนี้ก็เป็นของคุณเทียนเคยได้กลิ่นเวลาอยู่ใกล้เขาอาบน้ำสระผมและล้างครีมอาบน้ำออกซับผิวและผมให้แห้งสวมเสื้อผ้า

ที่เตรียมมาแล้วเดินออกจากห้องน้ำ

“ทำไมอาบน้ำนานจัง ปกติก็อาบนานอย่างนี้หรอ”

“เปล่าครับ พอดีห้องน้ำสวยเลยเดินดูนิดหน่อยครับ”

“ไอ้เราก็นึกว่าอะไรไปรึเปล่า”

“คุณเทียนมีถุงพลาสติกไหมครับผมจะใส่ผ้าเปียกกลับบ้าน”

“ถุงพลาสติกไม่มีแต่ถุงอย่างอื่นนะมี”

“ถุงอะไรครับ”

“ทิ้งเสื้อผ้าไว้นี่แหล่ะเผื่อวันหลังได้มาค้าง”จะมาค้างทำไมบ้างผมอยู่แค่นี้

“ครับ ก็ได้ครับ”แขวนเสื้อผ้าที่ผมบิดจนหมาดแล้วไว้ในตู้ในห้องน้ำ

“ผมยังไม่แห้งเลยทำไมไม่เช็ดให้เรียบร้อยเดี๋ยวก็ไม่สบาย”คุณเทียนหยิบผ้าเช็ดผืนใหม่มาเช็ดหัวให้ผม เอ่อคุณเทียนใกล้ไปรึ

เปล่าครับ คุณเทียนก้มลงมาใกล้ๆศีรษะ

“แชมพูนี่หอมดีนะ”ได้ข่าวว่าเป็นแชมพูของคุณพี่ไม่ใช่หรอครับ

หลังจากนั้นผมกับคุณเทียนเดินกลับออกมาจากบ้านคุณเทียนเพื่อไปทานข้าวเที่ยงที่บ้านใหญ่ คุณเทียนบอกว่าคุณย่าโทรมา

ตามตอนนี้เวลาใกล้เที่ยงแล้วแต่บ้านคุณเทียนไม่ค่อยมีแดดเพราะต้นไม้เยอะแสงแดดลงมาไม่ค่อยถึงทำให้อากาศไม่ร้อน

อบอ้าว ผมยังไม่มีโอกาสเดินเล่นรอบๆบ้านเลย

“หนูนินมาทานข้าวลูก ตาเทียนพาน้องไปไถลที่ไหนมา”คุณแม่คุณเทียนเรียกเข้าไปทานข้าวตอนนี้ทุกคนที่อยู่บ้านมากันครบ

แล้วเหลือผมกับคุณเทียนแค่สองคนที่พึ่งมา

“ปะ...เปล่าครับผมอาบน้ำนานไปหน่อยครับ”ผมหันหน้าไปมองคุณเทียนเป็นเชิงขอโทษที่ทำให้โดนตำหนิ

พ่อแม่ผม พ่อแม่คุณเทียน คุณย่า คุณแทน น้องหนึ่งน้องสอง

ผมนั่งลงเก้าอี้ว่างที่เหลืออยู่คุณเทียนก็นั่งลงข้างผม

“เล่นน้ำสนุกไหมลูก”คุณแม่ถามผม

“สนุกมากเลยครับ เดี๋ยววันหลังจะขอคุณย่ามาเล่นอีก”

“มาเลยลูกย่าไม่หวง มาเล่นกับย่าบ่อยๆ ตาหนึ่งตาสองบ่นหาเราตลอด”

“ลองทานอันนี้ดูลูก”คุณแม่ตักกับข้าวให้ผม อะ มีคนตักกับข้าวให้ผม

“อันนี้ก็อร่อยลองชิมดู วันหลังจะได้มาทานบ่อยๆ”คุณเทียนตักเต้าหู้ปลาผัดผงกะหรี่ให้ผม

“ขอบคุณครับ”ผมขอบคุณคุณเทียนแล้วลงมือทานต่อ คุณเทียนยังส่งยิ้มบางๆอยู่ข้างๆผม เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร

“น้องหนึ่ง นั่งทานข้าวดีๆลูก ไม่งั้นเย็นนี้ไม่ได้ของขวัญจากพี่นินนะ”คุณย่าขู่น้องหนึ่ง

“ไม่ ไม่ น้องหนึ่งจะเอาของขวัญของพี่นิน”น้องหนึ่งรีบเป็นเด็กดีทันทีกลัวไม่ได้ของขวัญ ใช่แล้วครับวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของ

น้องหนึ่ง เย็นวันนี้จะมีงานเลี้ยงและถือโอกาสเลี้ยงต้อนรับคุณย่ากลับมาอยู่บ้านหลังใหม่ ยังไม่บอกว่าจะให้อะไรเป็นของขวัญให้

น้องหนึ่ง เป็นของที่ผมสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตเพิ่งมาส่งที่บ้านไม่กี่วันนี่เอง

“ตาเทียน เดี๋ยวลูกออกไปซื้อของให้แม่หน่อยนะ พาหนูนินไปเป็นเพื่อนด้วยก็ได้”ห๋า ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าผมจะไป

“หนูนินไปเพื่อนพี่เขาหน่อยนะ พอดีแม่ไม่ว่างออกไป”ผมมองไปที่พ่อแม่ ทั้งสองยิ้มและพยักหน้าให้ผม ถ้าอย่างนั้นผมก็คงต้อง

ไป

เสียงพูดคุยเบาๆบนโต๊ะอาหาร มีเสียงหัวเราะบ้าง ภาพบรรยากาศบนโต๊ะอาหารของครอบครัวใหญ่เป็นอะไรที่น่าประทับใจมาก

อาหารมื้อนี้คงเป็นแม่ผมและแม่คุณเทียนช่วยกันทำ ดูทุกคนมีรอยยิ้มกัน

................................................................................................

ตอนนี้ทำไมน้อยจัง ยัง งงอยู่ เดี๋ยวต่อตอนไปเลยทดแทนจ้า

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 11] 03/05/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 03-05-2016 18:54:09

เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน
ตอนที่ 11
[/size]
     รถยนต์ต่างยี่ห้อต่างสัญชาติต่างกำลังวิ่งแข่งกันบนท้องถนน ตอนนี้ผมออกทำธุระเป็นเพื่อนคุณเทียนตามคำขอร้องของ

แม่คุณเทียน รถสัญชาติยุโรปสีดำภายในรถดูเรียบร้อยสะอาดหอมกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศ ข้างหลังมีกระเป๋าเอกสาร กระเป๋า

โน้ตบุ๊กสำหรับทำงานและเสื้อผ้าสองสามชุดที่ห้อยอยู่ด้านหลัง ดูปกติเหมือนรถของคนทำงานทั่วไป ปกติเกินไปผมใช้มือล้วงลง

ไปใต้เบาะ

“นั่งนิ่งๆ สิหาอะไร”คุณเทียนหันหน้าแล้วทำหน้าดุ เสียงเขียวใส่ผม

“หาชุดชั้นในผู้หญิง”

“ทำไม”คุณเทียนนิ่วหน้าถามผม

“เผื่อผู้หญิงคนเทียนลืมไว้”ผมตีคิ้วแล้วยิ้มกวนๆให้คุณเทียน

“ชุดชั้นในไม่มีหรอก มีแต่อย่างอื่น แล้วเราจะหาไปทำไม”

“คุณย่าบอกให้คอยจับผิดคุณเทียน ว่าคุณเทียนแอบสาวไว้รึเปล่า”คุณเทียนฟังผมพูดเสร็จก็หัวเราะลั่นรถ แล้วส่ายหัว มัน

หมายความว่ายังไงอะ

แล้วคุณเทียนก็พาผมมุ่งหน้าไปทำธุระที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง วันนี้เป็นวันอาทิตย์รถไม่ค่อยติดซะเมื่อไหร่ เวลาเที่ยงกว่าๆคือ

เวลาที่แสดงอยู่หน้าจอโทรศัพท์ของผม ระยะทางจากบ้านไปที่ห้างไม่ห่างกันเท่าไหร่ ไม่นานรถคันโตก็ตบไฟเลี้ยวเข้าที่จอดรถ

ของห้างชื่อดัง รถหยุดสนิทผมจึงเปิดประตูออกแล้วลงมาจากรถ เดินตามคุณเทียนไปเงียบๆตาก็มองดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย ไม่ได้มา

เดินห้างเรื่อยเปื่อยนานแล้ว

“คุณเทียน คุณเทียน”ผมเรียกคนเทียนไว้ ขาจะยาวไปไหน เขาหยุดเดินตามเสียงเรียกของผมแล้วหันหน้ามา ผมชี้ไปที่ร้าน

หนังสือร้านหนึ่งที่มีหนังสือนำเข้าจากหลายประเทศ

“อยากแวะหรอ”คุณเทียนเดินย้อนกลับมาที่ที่ผมยืนอยู่ ผมพยักหน้าแล้วเดินนำคุณเทียนเข้าไปในร้านหนังสือที่มีชาวต่างชาติ

มากกว่าคนไทย มีหนังสือใหม่ หนังสือแนะนำที่ได้รับรางวัล หนังสือที่ได้รับความนิยมจนได้แปลเป็นหลายภาษา แสดงไว้ที่หน้า

ร้าน เดินไปหยุดลงที่ชั้นหนังสือวรรณกรรมนิยายยื่นมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นแล้วเปิดดูข้างใน

“อ่านออกหรือเรา”คุณเทียนหยุดยืนข้างหลังผม เขายืนอยู่ใกล้มากจนรู้สึกได้ ผมหันหน้าไปแล้วเงยหน้าขึ้นมองคุณเทียน เขาก็

โน้มใบหน้าลงมา

“ผะ..ผมดูรูปเอาครับ”รีบหันหน้ากลับที่หนังสือเกือบหาเสียงตัวเองไม่เจอ คุณเทียนเล่นอะไรเนี่ย ใจผมเต้นแรงมากเลย ได้เสียง

หัวเราะในลำคอเบาๆของเขาด้วย เลือกหนังสือต่อคุณเทียนก็เดินดูไปเรื่อยไม่มากวนแล้ว ตัดสินใจซื้อหนังสือภาษาต่างประเทศ

เป็นหนังสืออ่านเล่นสามเล่ม ไม่หนามากขนาดกำลังดี เดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วชำระเงินค่าหนังสือ พนักงานยื่นหนังสือที่ใส่ถุง

แล้วยื่นให้แต่เป็นคุณเทียนที่หยิบไปถือ เราเดินออกมาจากร้านหนังสือ แล้วเดินผ่านร้านค้าต่างๆ  ร้านค้าต่างตกแต่งให้น่าสนใจ

เพื่อเรียกลูกค้าเข้าไปในร้าน มีเสื้อผ้าหลายร้านเป็นแบบที่ผมชอบ แต่ตอนนี้รูปร่างไม่เหมือนเดิมการแต่งกายและรูปแบบการใช้

ชีวิตจึงต้องเปลี่ยนไปให้เหมาะสม แล้วก็หยุดอยู่ที่หน้าโรงหนัง อ้าวไหนว่าทำธุระให้คุณแม่

“ของที่สั่งยังไม่ได้ต้องรอก่อน”คุณเทียนตอบข้อสงสัยของผมทันที

“คุณเทียนจะดูหนังหรอครับ”

“อีกนานกว่าของที่สั่งจะได้ ขี้เกียจไปนั่งรอเฉยๆ”ก็คุณเทียนรีบออกมาทำไมละครับ

“แล้วจะดูเรื่องอะไรครับ”ผมดูได้หมด

“เรื่องนี่ดีไหมเพื่อนพี่มาดูแล้วบอกว่าสนุกดี”

“อืม ก็ได้ครับ”ผมล่วงกระเป๋าตังค์ออกมาแล้วหยิบเงินออกมายื่นให้คุณเทียน

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่เลี้ยง ที่เป็นเพื่อนมาทำธุระ”

“อ้อ ขอบคุณครับ”

คุณเทียนเดินไปเข้าแถวซื้อตั๋วหนัง

“เธอดูผู้ชายคนนั้นสิหล่อจังเลย ”สาวสาวมองกันตาเป็นมัน คุณเทียนเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมาก สุภาพอยู่ใกล้ๆแล้วรู้สึกอบอุ่นเสีย

อย่างเดียวชอบทำหน้าดุตลอดเวลา

“เออ จริงด้วย เฮ้ย เบาๆดิ เขามากับแฟนรึเปล่านั่น แฟนเขาก็สวยนะ”

“เออใช่ๆ ดูเหมาะกันดีนะ”ผู้หญิงสองคนหันไปมองคุณเทียนสลับมองมาที่ผม ทำไมคุณเทียนหล่อแล้วทำไมผมถึงสวยล่ะไม่

ยุติธรรม คนยืนรอบริเวณหน้าโรงหนังไม่ค่อยเยอะเพราะที่นี่ไม่ใช่ห้างที่เป็นศูนย์รวมวัยรุ่น แต่คนก็ไม่ได้บางตามากนัก คุณเทียน

ซื้อตั๋วเสร็จกำลังเดินตรงมาที่ผม

“ได้รอบไหนครับ”ผมถามคุณเทียน คุณเทียนยื่นตั๋วให้ผม ผมรับมาแล้วอ่านดูเป็นที่นั่งโซฟา และอีกสิบนาทีหนังจะฉาย วัยรุ่น

ใจร้อนอยากดูมาก

“คุณเทียนนี่เสน่ห์แรงนะครับ ดูซิครับสาวๆมองเต็มเลย”คุณเทียนหันหน้าไปดูไล่สายตามองสาวๆที่มองที่เขา บางคนส่งยิ้ม ส่ง

สายตามาให้ แต่ผมเห็นคุณเทียนไม่มีท่าทีอะไร

“อือ ก็สวยแต่แฟนในอนาคตพี่สวยกว่า”คุณเทียนแสดงท่าทีไม่ใส่ใจ อ้อแสดงว่ามีคนหมายตาไว้แล้ว

“ผมก็จะมีแฟนสวยเหมือนกันครับ”

“หา เรานี่นะจะมีแฟนสวย คงหาสวยไปกว่าเราไม่ได้แล้วละ”ครับ ว่าแต่เอ่อมันหมายความว่าอะไรครับคุณเทียนผมฟังแล้วรู้สึก

แปลกๆยังไงไม่รู้

ขอตัวเข้าห้องน้ำถึงแม้หนังชั่วโมงเดียวก็ไม่อยากลุกระหว่างที่หนังยังฉายอยู่ เดินแยกจากคุณเทียนเพื่อไปเข้าห้องน้ำ MEN ป้าย

ที่ติดไว้หน้าประตูห้องน้ำ ผลักประตูเข้าไปห้องน้ำเข้าไปทันที ว่างห้องน้ำว่างไม่มีคนเลือกเดินเข้าห้องด้านในปิดประตูลงล็อค

กลอนแล้วทำธุระของตัวเอง เดินกลับออกมาที่อ่างล้างมือหลังทำธุระเสร็จเรียบร้อย กดสบู่เหลวลงในมือแล้วถูจนเกิดฟอง วางมือ

ไว้ใกล้ก๊อกน้ำน้ำไหลออกมาจากก๊อกลงบนมือ

“จ้า ที่รักเดี๋ยวเย็นนี้เจอกัน ....ครับ..รักนะครับ...ครับ..แล้วเจอกัน..บาย”ผมกำลังล้างฟองสบู่ออกจากมือแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

กระจกมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างๆผม น้ำเสียงฟังดูออดอ้อนเอาใจ 

“กัณฑ์”ปากผมเรียกผู้ชายคนนั้นออกมา สายตาผมจับจ้องเขาในกระจก ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังหน้าซีด น้ำลายรู้สึกเหนียว

ตัวสั่นเล็กน้อย คนที่คิดว่าชาตินี้ผมไม่อยากที่จะเจอและไม่คิดว่าจะได้เจอ ใบหน้านี้ รอยยิ้มนี้ เสียงเสียงนี้จำได้ผมไม่มีทางลืม

ผมยังคงยืนค้างแข็งมองผู้ชายคนนั้นในกระจกเงา เขาวางโทรศัพท์หลังจากที่คุยเสร็จมองมาที่ผม แล้ว

“สวัสดีครับ”เขาเอ่ยทักทายผม ผมไม่แปลกใจที่ผู้ชายอย่างเขาจะมีนิสัยอย่างนี้ ผมไม่ตอบแต่ยิ้มเจื่อนๆให้เขาเป็นมรรยาท

พยายามอย่างมากพยายามสงบสติอารมณ์ที่จะไม่วิ่งเข้าไปต่อยผู้ชายตรงหน้า แล้วตะโกนถามเขาดังๆว่าผมไปทำอะไรให้เขา ทำ

อะไรให้คุณต้องเจ็บช้ำจนคุณมาต้องทำลายชีวิตผม ทำร้ายผม ถ้าไม่เคยรักผมแล้ว ทำไม ทำไมต้องหลอกผม หลอกให้เชื่อคำ

พูดหลอกลวงนั้น หลอกให้โง่อยู่อย่างนั้นเป็นปีๆ ทำไม ทำไม ภาพความทรงจำในอดีตของผู้ชายคนนี้ที่ทำไว้กับผมค่อยๆผุดขึ้น

มาเรื่อยๆ ชัดเจนขึ้นทีละน้อย ผมเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคิดว่าซักวันที่ได้เจอผู้ชายที่ทำร้ายผมอีกครั้งจะอภัยให้เขาได้ เคยคิดว่า

ผมทำได้ ผมจะลืมเรื่องเลวร้ายที่เขาเคยทำไว้กับผม แต่ตอนนี้รู้แล้วผมโกหกตัวเอง ผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้น ตาผมรู้สึกพร่าเหมือน

จะมีน้ำใสๆพยายามที่จะไหลออกมา ผมมองเขาเปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินออกไปจนประตูนั้นค่อยๆปิดลง

“นิน นิน เป็นอะไรรึเปล่าทำหน้าซีดๆ” คุณเทียนผู้ชายกำลังยืนอยู่ข้างหลัง เรียกชื่อผมอยู่คือคุณเทียน

 เขาขวดคิ้วเล็กน้อยท่าทีร้อนใจที่เห็นผม ไม่รู้เขาเดินเข้ามาในห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ และยืนเรียกผมสติผมนานรึยัง

“อ้อ เอ่อ สงสัยเหนื่อยคนเยอะนิดหน่อยครับ”ผมพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ก้มหน้าลงหน้าลงน้อยๆแล้วสูดหายใจลึกๆเข้า

ปอดแล้วค่อยๆปล่อยออกมา เหลือบมองดูสารรูปตัวเองในกระจกไม่ไหลโชคดีที่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา คงเป็นคุณเทียนที่เข้ามา

ห้ามไว้ ห้ามไม่ไห้น้ำตาผมไหลออกมา

“ไม่เป็นไรแล้วงั้นเราเข้าไปในโรงหนังกันเถอะ หนังจะเริ่มฉายแล้ว”เดินตามหลังคุณเทียนเข้ามาในโรงหนังที่นั่งโซฟาคือที่นั่ง

ของพวกเรา หันไปมองรอบๆโรงหนัง คนไม่ค่อยเยอะที่นั่งไม่เต็มซักแถวหนังกำลังจะฉายเพราะพวกเราเข้ามาช้า

“ที่รัก ทานน้ำไหมผมหยิบให้”

“ขอบคุณค่ะ”หันไปมองที่นั่งโซฟาข้างๆ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าโลกกลมมานานแล้วแต่ผมเพิ่งค้นพบว่ามันเป็นความจริง

เสียงผู้ชายผู้หญิงคุยกันกระหนุงกระหนิงอยู่ไม่ไกลนักแต่ได้ยินตลอดที่เสียงหนังภายในโรงเงียบเสียงลง น่าสมเพช น่าสมเพช

ตัวเองที่เคยไปหลงรักผู้ชายแบบนี้ผู้ชายที่เห็นแก่ตัว เลวไม่ใช่ยิ่งกว่านั้นไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนได้เหมาะสมกับผู้ชายคนนี้ดี ผู้

หญิงที่มากับเขาไม่ใช่คนเดิมคงจะเป็นเหยื่อรายใหม่ ผมกำมือแน่นพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้เดินเข้าไปต่อยหน้าผู้ชายคนนั้น

“เป็นอะไรรึเปล่านิน หรือว่าไม่สบาย”ผมสะดุ้ง คุณเทียนกระซิบอยู่ใกล้ๆหูผม แล้วใช้ผ่ามือสัมผัสลงมาที่หน้าผากของผม

“เปล่าครับ”ผมส่ายหัวเบาๆ แล้วกลับมาสนใจหนังตรงหน้า ผมไม่มีอารมณ์ที่จะดูหนังตรงหน้า ดูหนังไม่ค่อยรู้เรื่อง ผู้ชายคนนั้น

ทำให้อารมณ์ของผมแย่

“นิน นิน ลุกเถอะหนังจบแล้ว”

“คะ..ครับ”ตั้งสติมองไปที่จอภาพข้างหน้า ตอนนี้หนังจบแล้ว มีเพียงตัวหนังสือสีขาวที่วิ่งไปมาบนหน้าจอสีดำ คนอื่นกำลังทยอย

เดินออกไปแล้ว ลุกขึ้นเดินตามคุณเทียนออกไป

“เป็นอะไรเรา ไม่สบายรึเปล่า เป็นอะไรบอกพี่ได้นะ”ไม่รู้จะบอกยังไง จะบอกเรื่องอะไรตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรกัน

แน่

“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ ผมแค่สงสัยอยากรู้ว่าชีวิตเราจะมีโอกาสได้พบรักแท้เหมือนตัวเอกในหนังที่เราดูรึเปล่านะ”เงยหน้ามอง

คนที่ยืนมองลงที่ผม

คุณเทียนพาเข้าไปนั่งในร้านไอศกรีม แปลกใจนิดหน่อยผู้ชายตัวโตกับร้านไอศกรีมดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่

“อะ ลองทานดูทานอะไรหวานๆจะได้อารมณ์ดีขึ้น ที่นี่เป็นไอศกรีมผลไม้ไม่ใช่นมทานได้”คุณเทียนยื่นถ้วยไอศกรีมที่สั่งมาให้

ขวดคิ้วแปลกใจเขารู้หรอ เขารู้ว่าผมรู้สึกไม่ค่อยดี จึงพามานั่งทานไอศกรีม หยิบช้อนขึ้นมาตักไอศกรีมเนื้อนุ่มเข้าปาก

“อะ อร่อยจัง”รู้สึกมีเนื้อผลไม้ในปากรู้สึกถึงรสหวานหอมอมเปรี้ยวนิดๆ

“บอกแล้วว่าอร่อย ที่นี่คือร้านโปรดเจ้าสองแสบ”คุณเทียนยิ้มให้ ได้ทานอะไรหวานๆเย็นๆแล้วรู้สึกดีขึ้นมาเลย คิดว่าผมควรที่ลืม

อดีตไป แล้วมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ถ้าผมยังมองแต่อดีตแล้วคนที่อยู่กับผมปัจจุบันคงเศร้าไปด้วย ตักไอศกรีมเข้าปาก

ตามองคุณเทียนที่กำลังกินไอศกรีมแล้วยิ้มให้ คุณเทียนยิ้มบ่อยไปแล้วสาวๆที่นั่งมองเดี๋ยวใจละลายกันหมด

“คุณเทียน”คุณเทียนเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยไปศกรีมแล้วเลิกคิ้วมองผม ผมชี้ที่มุม คุณเทียนยิ้มแล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆผม อะคุณ

เทียนผมหยิบทิชชู่ขึ้นมาแล้วเช็ดที่มุมปากคุณเทียน คุณเทียนหัวเราะชอบใจ 

“ของที่สั่งได้แล้วค่ะ”พนักงานที่ร้านเดินนำกล่องอะไรซักอย่างมาให้คุณเทียน ผมแปลกใจแต่ไม่ได้ถามพวกเราอิ่มแล้วก็เรียก

พนักงานมาเก็บเงิน และเดินทางกลับบ้าน  ตอนนี้อารมณ์ผมนิ่งลงแล้วต้องขอบคุณคนข้างๆที่ช่วยให้ดีขึ้น 

“เดี๋ยวพี่ส่งเราที่บ้าน อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ไปที่บ้านพี่”ผมเปิดประตูลงจากรถ

“ขอบคุณครับ”แล้วรถของคุณเทียนก็เลื่อนออกไป

เดินเข้าบ้านเห็นลุงชมรถน้ำต้นไม้ พี่แจ่มน่าจะอยู่ในครัว

“อ้าว กลับมาแล้วหรอลูก เดี๋ยวแม่กับพ่อจะช่วยงานที่บ้านคุณย่าก่อน หนูแต่งตัวเสร็จแล้วตามไปนะ”

“ครับเดี๋ยวผมตามไป”ยืนดูพ่อกับแม่ที่เดินออกจากประตูรั้วบ้านแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน

เดินขึ้นห้องด้วยอารมณ์ดีเพราะวันนี้ได้หนังสือถูกใจมา จะได้อ่านหนังสือให้ฉ่ำปอดเลย วางหนังสือไว้บนโต๊ะ เดินไปหยิบของ

ขวัญของน้องหนึ่งมาวางเตรียมไว้ แล้วไปเปิดตู้เสื้อผ้าเตรียมชุดที่จะใส่ไปงานคืนนี้ มองดูเวลาเหลือเวลาอีกนาน ขออ่านหนังสือ

ผ่อนคลายอารมณ์สักนิดดีกว่า เปิดอ่านหนังสือที่ซื้อมาเริ่มอ่านบทนำ ไล่สายตาลงไปบนตัวหนังสือแต่ละบรรทัดไปเรื่อยๆจนผ่าน

ไปหน้าหนึ่ง สองหน้าสามหน้า

แสงตะวันลอดส่องผ่านเข้ามาในห้องตอนนี้อ่อนแสงลงแล้ว ลมยามเย็นพัดมาเอื่อยๆ เย็นสบาย ละสายตาจากหนังสือที่อ่านวางที่

คั่นหนังสือไว้คั่นหน้าที่อ่านถึง และปิดหนังสือลง ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่คงถึงเวลาต้องไปที่งานซะที หยิบผ้าเช็ดตัว

และเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ตอนนี้รู้สึกหิวจังเลย บ้านคุณย่ามีอะไรให้ทาน

บ้างน้า รีบอาบน้ำชำระร่างกายและสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่มองดูความเรียบร้อยแล้วเปิดประตูเดินออกมา

“หยุดอยู่เฉยๆอย่าขยับ”เสียงผู้ชายดังขึ้นข้างหลังผม รู้สึกเหตุการณ์นี้เหมือนมันเคยเกิดขึ้นกับผม มันกำลังจะเกิดขึ้นกับผมอีก

ครั้ง ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย ใครก็ได้ช่วยผมด้วยภาพที่ผมถูกพวกโจรรุมข่มขืน อย่างไม่ปราณีปรากฏอยู่ต่อหน้าผมอีกครั้ง รู้สึก

ร่างกายของผมชาไปหมด ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะยืนก้มหน้าลงกอดเข่าเข้าหาตัว เริ่มสั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยความกลัว ใบหน้าผมคง

ซีดไม่สีเลือดแล้วตอนนี้ หายไม่ออกเหมือนคนกำลังจะขาดอาการหายใจ หรือว่าผมกำลังตายอีกครั้งไม่นะผมยังไม่อยากตาย ผม

ยังอยากอยู่กับพ่อแม่

“นิน นินจา นิน”เสียงคนเรียกผม มีใครสักคนกำลังเรียกผมอยู่แต่เขาคนนั้นเป็นใคร ผมมองไม่เห็นใครเลย

“ช่วยด้วย ฮึก ช่วยด้วย ฮึก” ผมยังก้มหน้าซบลงที่เข่า พูดประโยคเดิมซ้ำซ้ำ เหมือนคนบ้า

“นินจา นิน นิน”มีเสียงเรียกผมอีกแล้ว

“นิน นินจา”มีคนจับผมเขย่าให้เงยหน้าขึ้นมองเห็นแล้ว ผมเห็นแล้ว คุณเทียน คุณเทียน

“คุณเทียน คุณเทียน ช่วยผมด้วย ผมกลัว”ผมโผเข้ากอดคนที่อยู่ตรงหน้าผม

“เป็นอะไรไป ไม่เป็นอะไรแล้ว พี่ขอโทษพี่ไม่ได้ตั้งใจให้เราตกใจ” คุณเทียนดึงผมออกมาจากอ้อมกอดจับต้นแขนทั้งสองข้างผม

ไว้แล้วมองหน้าผมที่กำลังร้องไห้ สะอื้น อย่างตกใจ

“คุณเทียน ฮึก คุณเทียน ฮึกฮือ”ผมร้องไห้ สะอื้นแล้วโผเข้ากอดคุณเทียนแน่นขึ้นซบหน้าลงบนไหลกว้างนั้น

“นินจาเป็นอะไรไป พี่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ ทำพี่ตกใจแทบแย่ ใจเย็นๆนะ ไม่มีอะไรแล้ว พี่ขอโทษ”คุณเทียนกอดผมไว้แล้วลูบ

หลังผมเบาๆ เขาจูบลงที่ศีรษะผมเบาๆ

“คุณเทียน ฮึก ฮึก”ไม่รู้ว่ากอดอยู่นานเท่าไหร่ แต่เริ่มรู้สึกตัวใช้มือปาดน้ำตาออกจากแก้ม ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่บนตักคุณเทียน

ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง

“รู้สึกดีขึ้นยัง เป็นอะไรรึเปล่า พี่ตกใจหมดเลย พี่เรียกเราเท่าไหร่ก็ไม่ขานสักที พี่ขอโทษที่ทำให้เราตกใจ”คุณเทียนกำลังทำ

หน้าตาตกใจอยู่ ใบหน้าคุณเทียนอยู่ใกล้ผมแค่คืบรู้สึกถึงลมหายใจของเขากระทบลงที่แก้มของผม ผมอยากจะลุกขึ้นแต่ผมไม่มี

แรง ซบหน้าลงที่ไหลกว้างอีกครั้งด้วยความอาย ไม่กล้าสู้หน้าคุณเทียนได้ คิดว่าผมลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่แค่มีอะไรมาสะกิด

บาดแผลเก่าเบาๆแค่นิดเดียว ความรู้สึกที่ถูกกดเก็บไว้ภายในส่วนลึกของจิตใจก็ระเบิดออกมา ยันตัวออกจากอ้อมกอดของคุณ

เทียน

“คุณเทียนอย่าเล่นอะไรบ้าๆอย่างนี้อีกนะครับ”ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำล้างหน้าล้างตาแล้วซับหน้าด้วยผ้าขนหนู

“พี่ขอโทษจริงๆ พี่ไม่ได้ตั้งใจ เป็นอะไรมากไหม หน้าเรายังไม่หายซีดเลย”น้ำเสียงที่ขอโทษด้วยความจริงใจนั้นผมรู้แต่ผมก็

ตกใจจริง โตแล้วเล่นเป็นเด็กไปได้

“อื้ม”ผมพยักหน้าแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“คุณเทียนเข้ามาบ้านยังไง”

“ลุงชมเปิดประตูให้เข้ามา”

“อืม”

“เอ่อ พี่มารับไปบ้านเห็นว่าเย็นแล้วยังไม่ไปเลยเป็นห่วง เพราะคุณลุงกับคุณป้าก็อยู่ที่โน่น”

“อื้ม ขอคุณที่มารับ ผมว่าเราไปที่งานกันเถอะ”

พวกเราเดินเข้าไปในงานที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เสียงเครื่องดนตรีคลาสสิกบรรเลงเพลงเบาๆ เข้ากับบรรยากาศงาน โต๊ะ

ด้านข้างถูกวางด้วยของกินที่วางไว้เป็นถาด ไว้หลายอย่าง มีของหวาน ขนม ผลไม้และเครื่องดื่ม โต๊ะกลมที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว

แล้วมีเก้าอี้วางรอบโต๊ะแต่ละตัวถูกตั้งไว้หลายตัว มีโต๊ะหลายโต๊ะ ทีเริ่มเต็มแล้ว ผมวางกล่องขวัญไว้บนโต๊ะรวมกับของคนอื่น

“พี่นิน น้องหนึ่งอยู่นี่”เสียงตะโกนของหนึ่งดังมาแต่ไกล พร้อมกับวิ่งเข้ามาผม วันนี้เจ้าของงานแต่งตัวเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ตัวจิ๋วที่ตัว

เองชอบ อ้าน่ารักเลย

“น้องสองด้วย”ตะโกนตามพี่ชายแล้ววิ่งตามมาอีกคน น้องสองก็น่ารัก

ทั้งสองวิ่งมาถึงก็กอดแข่งกอดขาผมใหญ่เลย เป็นคุณเทียนที่อุ้มน้องสองขึ้น

“พี่นินมีของขวัญให้น้องหนึ่งด้วย พี่ว่าน้องหนึ่งต้องชอบแน่นอนเลย”ผมนั่งยองๆลง ก็มลงหอมแก็มนุ่มๆของน้องหนึ่ง น้องหนึ่ง

หัวเราะคิกคักชอบใจ

“พี่นินไม่มีให้น้องสองหรือครับ”น้องสองพูดทำหน้าตาเศร้า คงน้อยใจที่พี่ได้ของขวัญแต่ตัวเองไม่ได้

“น้องสองยังไม่ถึงวันเกิดของเรา พอถึงวันนั้นอาจะซื้อของขวัญให้เหมือนกัน” คุณเทียนพูดปลอบน้องสอง

“หนูนินมาแล้วหรอลูก ทานอะไรรึยัง ตามสบายเลยนะลูก ตาเทียนดูน้องด้วยล่ะ น้องหนึ่งน้องสองมากับย่าเร็ว”เป็นคุณแม่คุณ

เทียนที่ออกมาจากโต๊ะที่มีคุณย่า พ่อแม่ผม พ่อคุณเทียน และแขกผู้ใหญ่หลายคนที่ผมไม่รู้จัก คุณเทียนวางน้องหนึ่งลง คุณ

แม่คุณเทียนเดินจูงมือเด็กๆไปส่งที่โต๊ะคุณเทพที่กำลังนั่งอยู่กับเพื่อนๆ น้องหนึ่งกับน้องสองยังไม่เข้าโรงเรียนเพราะเพิ่งย้ายมา

อยู่ที่นี่ได้ไม่นาน เด็กๆจึงยังไม่มีเพื่อน งานวันเกิดน้องหนึ่งจึงไม่มีเพื่อนคนอื่น มีแต่ญาติญาติ และเพื่อนๆของคุณเทพ

“นิน กินอะไรไหม เดียวพี่ตักให้” ไม่ตอบแต่เป็นคุณเทียนที่ตักอาหารใส่จานให้ผม แล้วเดินไปนั่งโต๊ะที่ว่างอยู่

“น้องนิน ไม่ได้เจอกันานเลยคิดถึงจังเลย”เสียงคุ้นๆ ผมหันหน้าไปตามเสียงนั้นคุณทิมเธอยืนยิ้มให้ผมและเดินเข้านั่งลงข้างผม ผู้

หญิงอันตรายมาแล้ว

“ยายทิมเลิกแกล้งน้องได้แล้ว”คุณเทียนเดินกลับมาโดยในมือถือแก้วน้ำอยู่

“แหม ไม่เจอตั้งนานก็อยากมาคุยด้วยไม่ได้รึไง หวงจังน้า”

“รู้แล้วก็รีบไป ไปซะ”

สองพี่น้องรักกันอีกแล้ว ฮื้อ ผมไม่สนใจทั้งคู่แล้วแต่กลับมาสนใจอาหารตรงหน้า อาหารหน้าตาน่ากินจังนะ เสียงเพลงในงานยัง

ดังอยู่ ส่วนเด็กๆซุปเปอร์ฮีโร่ก็กำลังวิ่งเล่นอยู่ในงานอย่างสนุก มีพี่จิ๋ววิ่งตาม 

“เอ๊ะ พี่นุนี่นา พี่นุทางนี้”คุณทิมเห็นใครสักคน แล้วตะโกนโบกมือเรียก เป็นผู้ชายคนหนึ่ง หน้าตาดี  แต่งตัวดี กำลังเดินมาทางนี้

“คือเขา”อย่างนั้นหรอ ผมกำลังตกใจที่เห็นใบหน้าผู้ชาย ผมจ้องมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่วางตา ใช่เขาจริงๆ ผมจำเขาได้

แต่เขาคงไม่รู้จักผม รู้สึกเหมือนมีใครเตะเท้าผม

“มองนานไปแล้ว”หะ หา อะไรนะครับคุณเทียนผมหันไปมองที่คุณเทียนที่ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกำลังทานอาหารในจาน

“น้องนิน นี่พี่นุเป็นญาติของพวกเราเอง”คุณทิมแนะนำตัวผู้ชายที่ยืนตรงหน้า

“สวัสดีครับ”ผมไม่อยากรู้จักเขา

“พี่นุ นี่น้องนินน้องของทิมเองค่ะ”

“สวัสดีครับน้องนิน ยินดีที่ได้รู้จัก”เขายิ้มกริ่มทักทายให้ผม

“พี่นุ หิวไหมเดี๋ยวทิมพาไปหาอะไรกิน”คุณทิมเรียกผู้ชายที่กำลังจ้องมอง ตาแทบไม่กระพริบ

“อ้อ ไปครับ”คุณทิมลากผู้ชายคนนั้นไปที่มุมอาหารแล้ว ก่อนเดินไปเขายังหันหลังกลับมาส่งยิ้มให้ผมอีก

“ชอบหรอ”

“คะ..ครับ”มองหน้าคุณเทียนที่สายตาดุและสีหน้าไม่พอใจมาก  ผมทำอะไรผิด

“เห็นมองตาแทบไม่กระพริบ ชอบสินะ”

“ผมแค่คุ้นหน้าเฉยๆ อีกอย่างผมไม่ได้ชอบคนที่มีดีแต่ภายนอกแต่ข้างในเน่า ผมชอบคนที่นี่”ผมยื่นมือไปชี้ที่หน้าอกของคุณ

เทียน เอ๊ะ ผมสบตากับคุณเทียนที่ยิ้มมุมปากน้อยๆ ผมหลุบตาลงแล้วก้มหน้าลงน้อยนี่ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่านะ รู้สึกเหมือนทำ

อะไรพลาดไปอย่างนั้นแหล่ะ ว้า อายจังเลย รู้สึกหัวใจผมเต้นแรงขึ้น อ๊าคุณหมอครับช่วยด้วยโรคหัวใจผมกำเริบ

ผู้ชายคนนั้นกับคุณทิมกลับมาที่โต๊ะในมือถือจานอาหารและแก้วน้ำ

“น้องนิน ขนมพี่ตักมาเผื่อ”ผู้ชายคนนั้นวางจานขนมหวานลงต่อหน้าผม

“ขอบคุณครับ”แต่ไม่ต้องก็ได้ ผมยิ้มส่งๆให้เขา เหลือบไปเห็นคุณเทียนจ้องมองเขาตาเขียวเชียว

ผมยังทานอาหารในจานต่อไป อุตส่าจะแอบทานไก่ทอดซะหน่อย แต่คุณเทียนยืนมองอยู่เลยไม่กล้า ดูเวลาแล้วน่าจะใกล้เวลา

เปล่าเทียนของน้องหนึ่งแล้ว น้องหนึ่งยังวิ่งเล่นสนุกกับน้องสองอยู่เลย ถ้าน้องเห็นของขวัญของผมต้องดีใจแน่ๆเลย อิอิ เห็นคุณ

ทิมแอบมองผู้ชายคนนั้นบ่อยหรือว่าคุณทิมชอบเขา แต่เขาไม่มีทีท่าจะบอกว่าชอบคุณทิมเลย

“น้องหนึ่งมีนี่เร็ว ได้เวลาเป่าเค้กแล้ว จิ๋วพาน้องมาเร็ว”เสียงตะโกนเรียกของคุณแม่คุณเทียน ทำให้พวกผมลุกขึ้นจากเก้าอี้เดิน

ไปรวมตัวกัน เอ๊ะ เค้กนี้เหมือนเคยเห็น

“ไหน ไหน เค้กของหนึ่ง คุณย่ารู้ได้ยังไงว่าหนึ่งชอบเค้กร้านนี้”น้องหนึ่งวิ่งมาดูเค้กของตัวเอง เทียนถูกปักลงบนขนมเค้ก สี่แท่ง

ไฟในงานดับลงทันที เทียนบนเค้กมีดวงไฟปรากฏขึ้น

“HAPPYBIRTHDAY TO YOU

HAPPYBIRTHDAY TO YOU

HAPPYBIRTHDAY TO……. YOU”สิ้นเสียงเพลงจบลงน้องหนึ่งรีบเป่าเทียนอย่างรู้งาน พร้อมกับเสียงทุกคนปรบมือ คุณแม่คุณ

เทียนช่วยน้องหนึ่งตัดเค้กให้ทุกคน คุณย่าเป็นแรกที่รับเค้ก ตามอาวุโสครับ อิอิ ในที่สุดผมก็ได้เค้กมาอยู่ในครอบครอง แต่น่า

แปลกใจที่ไม่มีใครห้ามผมไม่ให้กิน ได้โอกาสในขณะทุกคนไม่สนใจรีบตักขนมเค้กเข้าปาก อ้า ผมจำได้แล้วผมเคยเห็นเค้กนี้

ที่ไหน มันเป็นรดชาติเดียวกับไอศกรีมที่คุณพาผมไปทานเมื่อบ่ายนี่เอง อร่อยจังเลย กินแล้วรู้สึกสดชื่น ระหว่างที่ผมกำลังกินเค้ก

แสนอร่อยอยู่นั้นรู้สึกมีสายตาจ้องมองผมอยู่ หันหน้าไปมอง ผู้ชายคนนั้นกำลังมองมาที่ผม เขาต้องการอะไรกับผม ผมว่ามันควร

จะจบนะ ผมทำทีไม่สนใจกินเค้กตรงหน้าต่อ

“ทิม เดี๋ยวพี่ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

“แล้วรีบมานะ” 

เขาบอกว่าจะไปห้องน้ำใช่ไหม นั่นแปลว่านั่นคือโอกาสของผมรึเปล่า เดินตามเขาไปเงียบๆ

ยืนรอเขาที่หน้าห้องน้ำ รอจนเขาเปิดประตูออกมา ปรากฏตัวมายืนมองเขาในกระจก

“เราเคยรู้จักกันรึเปล่าครับ”ผมส่ายหน้าเบาๆ

“ผมมีเรื่องเรื่องหนึ่งอยากจะเล่าให้คุณฟัง”

“พี่ว่าเราไปคุยกันที่อื่นดีไหม”

ผมพยักหน้าแล้วเดินนำเขาออกไป เดินออกมาจากบริเวณงานไม่ไกลนัก ยังได้เสียงเพลงเสียงคุยเสียงหัวเราะแว่วมา

หยุดเท้าลงแล้วหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเขา


                                                                       มีต่อด้านล่าง



   
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 10] 03/05/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 03-05-2016 18:56:46
 
                                                                          ต่อจากด้านบน

“มีอะไรก็พูดมา”

“คุณยังจำวันเกิดของคุณเมื่อสองปีที่แล้วได้รึเปล่า มันอาจจะนานสำหรับคุณแต่สำหรับคนนั้นแล้วเขาไม่เคยลืมมันเลยแม้แต่วัน

เดียว คุณรู้ไหมว่าการกระทำของคุณในคืนนั้นมันเปลี่ยนชีวิตคนคนหนึ่งไปตลอดชีวิต”ผมก้าวเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้น

“เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ไม่ต้องการอะไรจากคุณแค่อยากให้คุณได้รับรู้ความรู้สึกของเขาคนนั้น คืนนั้นเป็นวันคล้ายเกิดของคุณ ปี

นั้นจัดงานที่บ้านของคุณ” หยุดพูดมองสีหน้าคนฟังแต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง“พูดมาถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าคุณพอจะนึกอะไรออกมาได้

บ้างรึเปล่า ถ้ายังผมก็เล่าต่อ คืนนั้นคุณเรียกเพื่อนที่ติดหนี้คุณไปด้วย เขาเสนอให้คุณนอนกับแฟนเขาเพื่อล้างหนี้”ใบหน้าผู้ชาย

คนนี้ยังเรียบเฉย ตอนนี้น้ำตาผมไหลออกมาแล้ว ผมพยายามแล้วที่ไม่อ่อนแอ ไม่เสียใจ แต่ผมทำไม่ได้

“และคืนนั้นเพื่อนของคุณก็เดินเข้ามาในงานพร้อมกับแฟนของเขาตามที่คุณและเขาตกลงกันไว้ เพื่อนของคุณพยายามมอมเหล้า

แฟนของเขาจนเมา แล้วคนเสนอให้เพื่อนของคุณนำแฟนของเขาไปนอนในห้องห้องหนึ่งจากนั้นคุณก็เข้าไปในห้องนั้นป้อนยา

ปลุกเซ็กให้เขา คุณข่มขืนเขาพร้อมกับเพื่อนคุณอีกสองคน “

“ต้องการอะไร เงินหรืออะไร แล้วอีกอย่างฉันจำหน้าคู่นอนไม่ได้หรอกนะ”

“เพี้ยะ ต้องการเงินหรอเก็บเงินของคุณไว้เถอะ”พูดมาได้ยังไงว่าต้องการเงิน ใช้สมองส่วนไหนคิด เพราะเก็บกดอารมณ์ไว้ไม่

ไหวทำให้ต้องใช้รุนแรงลงไปด้วยความไม่ตั้งใจ ใบหน้าของผู้ชายตรงหน้าหันไปแรงของฝ่ามือ ถึงจะไม่รุนแรงมากแต่ก็น่าจะพอ

ให้เขาได้รู้สึกอะไรบ้าง

“แล้วต้องการอะไร”น้ำเสียงเขามีแววหงุดหงิดขึ้นมา แล้วมือข้างหนึ่งสัมผัสที่บริเวณที่ผมฟาดผ่ามือลงไป

“คุณรู้ไหมว่าเขาต้องเข้าโรงพยาบาลไปตรวจเลือดกินยา เพราะกลัวที่จะติดเชื้อ คืนนั้นพวกคุณไม่ป้องกันทำให้เขาไปตรวจ

ร่างกายพบน้ำอสุจิของพวกคุณทั้งสามคน แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าคนที่ต้นคิดเป็นแฟนของตัวเองเลยไม่กล้าที่เปิดปาก เหมือนที่พวก

คุณคิดนั่นแหล่ะ คุณรู้ไหมว่าทำให้เขาต้องนอนฝันร้าย และเสียใจกับเรื่องที่ขึ้นมากขนาดไหน ผมแค่อยากบอกว่าให้คุณได้รู้เขา

คนนั้น ตาย-ไป-แล้ว และขอให้ทำกับเขาคนนั้นเป็นคนสุดท้าย ก็เท่านั้น และที่สำคัญอย่าทำแบบนี้กับใครอีก เพราะซักวันเรื่อง

แบบนี้อาจจะเกิดกับคนที่คุณรักเข้าซักวัน”ผู้ชายตรงหน้านิ่งเงียบ ไม่มีคำพูดซักคำออกมาจากปากเขา มีเพียงแววตาของเขาที่ดู

เหมือนกำลังสับสน ถามว่าผมต้องการอะไร ผมยังต้องการคำขอโทษจากใจของเขา ผมอยากให้เขาขอโทษผมในสิ่งที่ทำกับผม

เท่านั้นที่ต้องการแต่ดูเหมือนว่าผมคงต้องการมันมากเกินไป ตัดสินใจหันหลังเดินออกมาที่นั่นปล่อยให้เขายืนที่นั่นเพียงคนเดียว

“มันเรื่องอะไรกัน มันเกิดอะไรขึ้น”ตกใจนิดหน่อยที่เห็นคนเทียนยืนอยู่ข้างหลังผม เขายืนหน้านิ่ว

“มะ..ไม่รู้ ฉันเดินมาก็เห็นน้องเขายืนร้องไห้อยู่แล้ว ก็ว่าจะถามว่าเขาร้องไห้ทำไม แกก็มาก่อน”

“ใช่ที่ไอ้นุมันพูดไหมนิน”

“ครับ ผมร้องไห้ของผมเองไม่เกี่ยวกับพี่เขาเลย”

เดินผละออกมาจากตรงนั้น ไม่นานคุณเทียนก็เดินตามมา

“คุณเทียนมาตอนไหน ได้ยินเรื่องทั้งหมดรึเปล่า” คุณเทียนก้มหน้าต่ำลงไม่สบตาผมแล้วพยักหน้า

“เขาคนนั้นเป็นเพื่อนของนินหรอ”

“ฮึก..ฮือ..ฮือๆ”ผมไม่สามารถหยุดน้ำตาได้ อยากร้องไห้ อยากร้องมันออกมาไม่อยากเก็บมันไว้อีกแล้ว คุณเทียนเดินเข้ามากอด

ผมไว้ในอ้อมกอด คุณเทียนอุ้มผมขึ้น อุ้มท่าเจ้าสาวไปไหนสักที่ผมยังร้องไห้และซบหน้าลงหน้าอกแกร่งนั้น คุณเทียนวางผมลง

บนโซฟา นี่มันห้องนอนคุณเทียน คุณเทียนค่อยๆนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกันกับผม แล้วจ้องมองหน้าผมที่มีหยดน้ำตาไหลออกมา

เรื่อย

“ทำไมวันนี้ร้องไห้ งอแงทั้งวันเลยเรา”

“ไม่รู้” ผมส่ายหัว

“มีเรื่องอะไรก็เล่าออกมาบ้าง อย่าเก็บไว้คนเดียว”คุณเทียนใช้มือเช็ดน้ำตาของผมที่ไหลออกมา

“คุณเทียน คุณรู้ไหมเรื่องบางเรื่องมันก็ไม่สามารถเล่าให้ฟังได้”ผมพยายามจ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้น

“เล่าไม่ได้.... ก็เลิกร้องเถอะ ร้องไห้นานๆ ไม่เหนื่อยรึไง”

“เหนื่อย เหนื่อยมาก”

“ถ้าอย่างนั้นก็หยุดร้องแล้วไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตา จะได้รู้สึกดีขึ้น”ผมพยักหน้า แล้วเดินเข้าห้องน้ำ

ผมยืนมองสภาพตัวเองในกระจก ตาบวม จมูกแดง เปิดน้ำอุ่นชะล้างเรื่องราวต่างๆที่เจอมาทั้งวันให้มันไปตามน้ำแล้วไม่ต้องกลับ

มาอีก

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตู

แก็ก ผมเปิดออกยื่นหัวออกไป

“คุณเทียนจะใช้ห้องครับ”เขาไม่ตอบแต่ยื่นเสื้อผ้าให้ผม รับมาแล้วกลับเข้าห้องน้ำ สวมเสื้อผ้าที่คุณเทียนเอามาให้เปลี่ยน ตัว

ใหญ่จัง ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ ไม่มีใครอยู่ คุณเทียนไปไหน ผมได้ยินเสียงและกลิ่นอะไรซักอย่าง เดินตามกลิ่น เดินตามไป

เรื่อย

“อาบน้ำเสร็จแล้วหรอ มาทานอะไรก่อนพี่ทำไว้แล้ว”ฮือ คุณเทียนทำอาหารผมเลิกคิ้วขึ้นแปลกใจ เดินเข้าไปนั่งในครัวนั่งบน

เก้าอี้ ดูคนหล่อนั่งทำกับข้าว

“คุณเทียนทำอะไรฮะ”สงสัยไอ้กลิ่นหอมๆนี่มันอะไร

“นี่เลยข้าวต้มปลา เป็นไงน่ากินเปล่า” คุณเทียนตักข้าวต้มลงในถ้วยสองถ้วย ตีคิ้วแล้วยิ้มกวนให้ผม

“พี่เทียนน้องนินยังไม่อยากกลับไปนอนโรงพยาบาลนะครับ”ผมพูดเสียงออดอ้อนกวนคนตัวโต

“พูดว่าอะไรนะเมื่อกี้”คุณเทียนเหมือนแปลกที่ผมพูดประโยคเมื่อกี้

“ผมยังไม่ยาก..”

“ไม่ใช่ก่อนหน้านั้น”

“พี่เทียน”

“ใช่คำนี้แหล่ะ ต่อไปเรียกว่าพี่ด้วยเรียกแทนตัวเองว่านินด้วย”

“อื้ม”ผมรับปาก คุณเทียนกำลังทำผมเขินนะ คุณเทียนบ้า

“มา มากินกันเถอะก่อนที่มันจะเย็นซะก่อน”

“พี่เทียนแน่ใจนะครับว่ากินได้”ผมไม่ไว้ข้าวต้มในถ้วย

“น่า เชื่อมือพี่ชั้นนี้แล้ว”ถ้วยข้าวต้มถูกนำมาวางข้างหน้าผม ผมตัดสินใจหยิบช้อนแล้วตักข้าวต้มเข้าปาก

“อร่อยอะ ไม่น่าเชื่อ”ไม่น่าเชื่อว่าพี่เทียนจะทำกับข้าวอร่อย

“อร่อยก็ทานเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ”ไม่รู้ว่าข้าวต้มพี่เขาอร่อยหรือผมหิวกันแน่ ไม่นานข้าวต้มในถ้วยของผมก็หมด ส่วนของพี่เทียน

เองก็หมดเหมือนกัน พี่เทียนหยิบถ้วยของตัวเองและของผมไปวางไว้ในอ่างล้างจานผมเดินเข้าไปใกล้พี่เทียน

“พี่เทียนครับ ช่วยลืมเรื่องที่ได้ยินที่นินคุยกับคุณนุได้ไหมครับ เพราะนินก็จะลืมมัน”

“อื้ม”พี่เทียนพยักหน้า ขอบคุณครับ

“ห้าว!! ง่วงแล้ว พี่เทียนจะให้นินนอนที่ไหน”ผมได้นอนค้างที่บ้านพี่เทียนจริงๆ ทั้งที่บ้านผมอยู่แค่นี้ ดีที่พี่เทียนโทรบอกพ่อกับ

แม่ผมแล้ว ทั้งสองจะได้ไม่เป็นห่วงผม  พี่เทียนพาผมเดินกลับขึ้นมาบนห้องแล้ว

“นอนบนเตียงกับพี่นี่แหล่ะ”

“ฮืม ได้เหรอนินนอนดิ้นนะเดี๋ยวถีบพี่เทียนตกเตียงทำไง”แฮ่ะๆพูดไปงั้นแหล่ะ ผมนอนไม่ดิ้นหรอก

“ไม่เป็นไรพี่ก็นอนดิ้นเหมือนกัน”ฮ่าๆๆ เราเข้าได้พี่เทียน พี่เทียนทำอะไรไม่รู้ แต่เห็นเขาเดินเข้าห้องน้ำ ตาผมเริ่มไม่ไหวแล้วมัน

เริ่มเกเรไม่ฟังคำสั่งของผมแล้ว โอ๊ย วันนี้เหนื่อยจังเลย ปีนขึ้นเตียงเลือกนอนฝั่งซ้ายของเตียงวางหัวบนหมอนแล้วดึงผ้าห่มขึ้น

คลุมตัวอากาศเริ่มเย็นสบายแล้ว หมอนก็นุ่มสบาย เตียงก็นิ่ม ผ้าห่มผืนใหญ่นี่ชอบจังเลย หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาบน

หน้าจอเกือบจะตีหนึ่งแล้วมิน่าถึงง่วงขนาดนี้ หลับตาลง ได้ยินเสียงคุณเทียนออกกมาจากห้องน้ำ ลืมตาขึ้นไม่ได้แล้ว

กระดุกกระดิกตัวไม่ได้แต่หูผมยังได้ยิน

“หลับแล้วหรอเจ้าตัวเล็ก”รู้สึกเตียงยุบตัวลง ก่อนที่สติผมจะหลุดลอยไป รู้สึกว่ามีคนจูบลงมาเบาๆที่หน้าผากของผม

 อื้ม อากาศภายในห้องยังเย็นแต่ทำไมไม่รู้ตรงนี้อุ่นดีจัง ไม่อยากตื่นเลย แต่เอ๊ะนี่มันอะไรมือผมสัมผัสโดนอะไรสักอย่างนุ่มๆ

ลื่น ค่อยๆลืมตาขึ้น

“อรุณสวัสดิ์” ภาพแรกที่เห็นคือพี่เทียนนอนตะแคง มองผมอยู่

“พะ..พี่เทียน” รีบลุกขึ้นนั่ง พี่เทียนยันตัวลุกขึ้นตามผม

“ท่าทางจะฝันดีนะเราเห็นลูบพี่ใหญ่เลย”ฉ่า หน้าผมนี่แดงแน่เลย อาการหน้าเลือดกำเริบพี่เทียนพูดอะไรเขาเขินนะ

“ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะนั่นมันหมายความว่ายังไงกัน บ้า ตัดสินใจวิ่งเข้าห้องน้ำเสียงหัวเราะนั้นยังแว่วตามหลังผมเข้ามาในห้องน้ำ

ยืนมองตัวเองในกระจก หน้านี่แดงหมดเลย อายจัง

ก๊อก ก๊อก พี่เทียนเคาะประตูห้องน้ำ

“จะอยู่ในนั้นอีกนานไหม วันนี้พี่ต้องไปทำงานนะ”ตัดสินใจเปิดประตูออกมา เห็นพี่เทียนยืนอยู่หน้าห้องน้ำ

“กลับไปบ้านก็พักผ่อนซะนะ ดูสิตาบวมเชียว”พี่เทียนบอกผม

“ครับ”

“งั้นรอพี่เดี๋ยว พี่อาบน้ำแต่งตัวจะส่งที่บ้าน”ผมพยักหน้า พี่เทียนเดินเข้าในห้องแล้วถอดเสื้อทันที

“พะ...พี่เทียน เดี๋ยวอย่าเพิ่งถอด ให้นินออกไปก่อน”ตกใจห้ามเกือบไม่ทันรีบวิ่งออกมา คนใจร้ายชอบแกล้งเขา

ภายในห้องเงียบลงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ตื่นขึ้นมาเจอหน้าพี่เทียนอยู่ห่างผมแค่คืบเดียว ที่สำคัญผมกำลังกอดพี่เขาอยู่ เป็น

อะไรที่น่าอายมาก เสียงหัวใจผมยังเต้นแรงอยู่ด้วยความตื่นเต้น เสียงน้ำไหลลงตกกระทบพื้นเบาๆ พี่เทียนกำลังอาบน้ำอยู่ที่ห้อง

ข้างๆผม มีเพียงกำแพงกำแพงนี้กั้นเอาไว้ ผมหันหน้ามองไปทางห้องน้ำเสียงน้ำยังดังอยู่ เอ๊ะ นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่รีบสะบัดหน้า

ตัวเองให้เลือกคิดบ้าๆ ก่อนที่ความคิดผมจะไปไกลมากกว่านี้พี่เทียนก็เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมสวมเสื้อผ้าแต่งกายแล้ว

เรียบร้อย ผมโล่งอกไปที แต่อดที่จะแปลกใจไม่ได้ ว่าทำไมพี่เทียนอาบน้ำแต่งตัวเร็วมาก

“ทำไม เสียดายหรอที่ไม่ได้เห็นพี่โป๊”พี่เทียนใครเขาอยากดูมีเหมือนกันบ้า รึเปล่า

“นินลงไปรอข้างล่างนะครับ”งอลแล้ว

“โอ๋ พี่ไม่แกล้งแล้วอย่างอลพี่เลยน้า”พี่เทียนจับแขนผมไว้ ผมโตแล้วนพครับอย่าง้อเหมือนเด็กสิ

“ปะ ไปพี่แต่งตัวเสร็จแล้ว”อ้าพี่เทียนนี่หล่อจังเลย ยิ่งใส่ชุดทำงานยิ่งดูดี ผู้ชายตัวโตสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวเข้ารูปกางเกงสีดำขา

ยาว

“นะ พี่หล่อละสิมองตาค้างเชียว”อื้มยอมรับ ชิแต่ไม่พูดหรอกเดี๋ยวได้ใจ ผมกับพี่เทียนออกมาจากบ้านแล้วตรงไปที่ลานจอดรถ

แต่วันนี้ไม่ใช่คันเมื่อวาน

“พอดีพี่ต้องเอารถคันนี้ไปเช็ค ทางศูนย์โทรมาตาม”อ้อ ดีจังเลย พี่เทียนขับรถออกจากบ้านแล้วตรงไปที่บ้านผม

“พี่เทียนจะเข้าไปข้างในไหมครับ”ผมถามพี่เทียนก่อนที่จะลงจากรถ

“อืม”ผมเดินเข้าไปในบ้านพร้อมพี่เทียน ยังเช้าอยู่พ่อกับแม่คงยังไม่ไปทำงานผมเดินเข้าไปในบ้านก็เห็นทั้งคู่นั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าว

“นิน มาแล้วหรอลูกเป็นไงบ้าง แม่เป็นห่วงมากเลย ไม่เป็นไรมากใช่ไหมลูก”เป็นคุณแม่ที่เดินมาเข้าหาผม

“ตอนแรกที่คุณเทียนโทรมาบอกว่าหนูไม่สบายแม่เป็นห่วงมากเลยกลัวหนูเป็นอะไรมาก ขอบคุณคุณเทียนนะคะที่ดูแลน้อง

ให้”แม่ท่าทางเป็นห่วงผมมาก ไม่รู้ว่าพี่เทียนบอกอะไรแม่ไปบ้างแต่ก็ดีใจที่พ่อแม่ไม่เห็นสภาพผมเมื่อคืน

“นินดีขึ้นแล้วครับ ขอโทษนะครับที่ทำทุกคนเป็นห่วง”ผมเข้าไปกอดแม่เพื่อปลอบใจ

“เป็นความผิดผมด้วยที่ดูแลน้องได้ไม่ดี”

“ไม่ใช่หรอถ้าไม่ได้คุณเทียนไปเจอน้องเข้าก็คงแย่ ”

“คุยกันเสร็จแล้วก็มาทานข้าวกันได้แล้ว หนูนินคงหิวแล้ว”เสียงคุณพ่อดังมาจากโต๊ะกินข้าวส่วนผมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำ ผมยังสวม

ชุดพี่เทียนอยู่ รีบอาบน้ำทำธุระส่วนตัวเร็วที่สุดของผมก็ว่าได้เพราะกลัวทุกคนรอทานข้าว  เมื่อผมกลับลงมาทุกคนยังนั่งอยู่ที่โต๊ะ

อาหาร

“นิน ทานข้าวก่อนลูกเดี่ยวไม่สบาย”แม่เรียกให้ผมทานข้าว

“นั่น สิลูกทานข้าวก่อน”ครับผมยิ้มรับแล้วลงมือทานข้าว ส่วนคุณพ่อกับคุณเทียนก็คุยกัน

มองดูเวลาแล้วต้องเตือนพี่เทียนให้รู้ว่ามันสายแล้ว ควรที่จะไปทำงานได้แล้วเดี๋ยวรถติด

เดินออกมาส่งพี่เทียนหน้าบ้านที่พึ่งขับรถออกไป

“อยู่บ้านดูแลตัวเองด้วยนะลูก”แม่บอกผมก่อนที่จะขึ้นรถไปกับพ่อแล้วขับออกจาก ยืนมองรถของทั้งคู่เคลื่อนออกไปห่างสายตา

ไปเรื่อยๆ เฮ้อ ถอนหายใจทุกคนออกไปหมดแล้ว

หันหลังกลับเดินเข้าบ้าน ขึ้นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า มองภาพตัวเองในกระเงาที่สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว สวมกางเกงสีดำ วันนี้ถึง

กำหนดที่ผมต้องรายงานตัว เอกสารรายงานตัวที่เตรียมไว้ในแฟ้มเอกสาร กระเป๋าปากกา ถูกหยิบลงในกระเป๋าสะพาย

“น้องนิน ออกไปไหนคะ ให้ลุงชมไปส่งไหมคะ”พี่แจ่มถามผม ยืนมองผมที่เดินลงมาจากชั้นสอง พ่อแม่กับบอกไว้ว้าหากผมต้อง

ออกไปไหนให้ลุงชมเป็นคนขับรถให้ ที่จริงผมก็คิดถึงเจ้าเต่าน้อยของผมเหมือนกัน อยากขับแต่ตอนนี้ผมยังไม่มีใบขับขี่ ก็เลย

ต้องปล่อยให้มันนอนเล่นอยู่ในนั้นอีกอย่างผมก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับของๆนนท์กลัวพ่อกับแม่ไม่สบายใจ แค่นี้ท่านทั้งสองก็ดีกับ

ผมมาก ถึงทั้งคู่จะดีกับผมยอมรับผมแต่ความเป็นจริงผมก็เป็นคนอื่นไม่ใช่ลูกแท้ๆ และไม่ใช่ตัวแทนของใคร

“รบกวนลุงชมด้วยนะครับ พี่แจ่ม”

“ค่ะ เดี๋ยวพี่ไปบอกลุงให้”

ผมจำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่พี่แจ่มกับลุงชมอยู่กับพวกเรามานานแค่ไหนทั้งสองเป็นเหมือนคนในครอบครัว มองตามร่างผู้

หญิงหน้าตาพอใช้ อายุประมาณสามสิบต้นๆ ผมสั้น สวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ เดินไปทางหลังบ้าน ผมนั่งลงบนโซฟาหยิบ

ถุงเท้าสีดำขึ้นมาสวมวางรองเท้าคัทชูสีดำที่ขัดจนเป็นเงาลงพื้นแล้วสวม ไม่นานชายหน้าตาใจดีก็เดินมาพร้อมรอยยิ้ม ลุงชมรีบ

ถอยรถออกแล้วผมก็ขึ้นรถโดยมีพี่แจ่มเป็นคนเปิดประตูให้ รีบแจ้งจุดหมายปลายทางแก่ลุงทันที แต่ก่อนตอนเด็กๆที่ผมยังขับไม่

เป็นก็ได้ลุงชมนี่แหล่ะที่ขับรถไปรับไปส่งผมเสมอ เมื่อโตขึ้นมีรถขับแล้ว รถคันนี้คือรถที่ลุงชมขับไปรับไปส่งผมบ่อยถึงจะนาน

แล้วสภาพยังดูเหมือนใหม่ เพราะลุงชมช่วยดูแลรักษารถทุกคันในบ้านเป็นอย่างดีและนานๆทีทีพ่อก็เอาออกมาขับบ้าง สายแล้ว

รถเริ่มติดแต่ไม่มากเพราะไม่ใช่ช่วงเปิดเรียน นั่งอยู่บนเบาะหลังตรวจเอกสารดูที่เตรียมมาอีกครั้ง ไม่นานป้ายมหาวิทยาลัยชื่อดัง

ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของผม ลุงชมขับรถรถเลี้ยวเข้าไปข้าในมหาวิทยาลัย

“ลุงชมกลับได้เลยนะครับ เดี๋ยวนินกลับเองได้”ไม่ใช่ผมคนเดียวทีมารายงายตัววันนี้ คงหาที่จอดไม่ได้ง่ายๆ

ปิดประรถลงลุงชมก็เลื่อนรถจากไป ช่วงเช้าเป็นเวลารายงานตัวของคณะของผมสำนักทะเบียนผมยืนอยู่หน้าตึก ตามที่จดหมาย

แจ้งไปต้องมารายงานตัวที่นี่ ตึกสำนักงานขนาดใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์บอกให้คนรู้ว่าที่นี่คือตึกอะไร ด้านหน้าทางเข้ามาป้าย

อธิบายวิธีการเข้ารายงานตัวของนักศึกษาใหม่หยุดยืนอ่านรายละเอียดอีกครั้ง  เวลาเริ่มเปิดลงทะเบียนแปดนาฬิกาสามสิบนาที

ผมผลักประตูกระจกเข้าไปด้านใน มีโต๊ะลงทะเบียนหลายโต๊ะเจ้าหน้าที่นั่งประจำที่แล้วมีคนข้ามารายงายตัวแล้วแต่ละโต๊ะจะมี

หลายเลขติดด้านหน้าและมีเก้าอี้สำหรับนั่งรอ มีผู้ปกครองบางส่วนกำลังนั่งรอบุตรหลานของตัวเองกำลังรายงานตัว มีโต๊ะหลาย

ตัวสำหรับกรอกเอกสารกาวน้ำสีขาวตั้งอยู่ตรงกลางโต๊ะตัวใหญ่และมีเก้าอี้ล้อมรอบ มีรุ่นพี่ที่เป็นนักศึกษาแต่งกายถูกระเบียบที่

หน้าอกติดป้ายว่าเจ้าหน้าที่นั่งอยู่โต๊ะติดต่อ-สอบถาม ซึ่งหมายความว่าถ้าใครสงสัยเรื่องอะไรสามารถเดินเข้าไปขอความช่วย

เหลือได้  เก็านาฬิกาเข็มสั้นชี้ที่เลขเก็าเข็มยาวชี้ที่เลขสิบสอง เวลาที่อยู่บนนาฬิกาข้อมือสายหนังสีดำตัวเรือนเป็นโลหะชั้นดี

ดีไซน์ทันสมัย ผมดึงซองเอกสารออกจากระเป๋าสะพายหลังแล้วเดินไปที่โต๊ะลงทะเบียนหมายเลขหนึ่ง

“สวัสสดีครับ”เดินเข้าไปตรงโต๊ะลงทะเบียนที่ว่างอยู่ นั่งลงแล้วทักทายเจ้าหน้าที่ ผู้หญิงสูงอายุแต่งกายสุภาพ

“สวัสดีค่ะยื่นเอกสารได้เลยนะคะ” หยิบเอกสารออกมาแล้วยื่นให้เจ้าหน้าที่ เธอรับเอกสารของผมไปเปิดดูทีละแผ่น โชคดีที่ผม

ตัดสินใจออกมาแต่เช้าถ้ามาช้ากว่านี้คนคงเยอะ

“เอาเอกสารชุดนี้ไปกรอกแล้วไปยื่นที่โต๊ะหมายเลขสองนะคะ “

“ขอบคุณครับ”รับเอสารชุดนั้นแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะเอกสาร เปิดดูทีละหน้ามีที่ต้องกรอกไม่กี่หน้า

“ขอโทษนะ เอ่อ เราขอยืมปากกาได้ไหม”มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมานั่งข้างๆ ขอยืมปากกาผม

“ได้สิ”ผมยื่นปากกากาให้ หยิบรูปถ่ายออกมาแล้วใช้กาวติดรูปถ่ายลงบนเอกสารที่กรอกเสร็จเรียบร้อย แล้วเดินไปต่อคิวโต๊ะ

หมายเลขสอง คนเริ่มทยอยมากขึ้นแล้ว บางคนยังสวมชุดนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายมารายงานตัว ผมมองดูคนอื่นๆพวกเขา

คือคนที่ผมจะเรียนด้วยกัน เป็นเพื่อนร่วมคณะร่วมคณะ

“เอกสารเรียบร้อยนะคะนี่ค่ะใบเสร็จ ส่วนนี่เป็นคู่มือนักศึกษา คู่มือลงทะเบียน...”ในที่สุดการลงทะเบียนของผมก็สุดลงที่โต๊ะ

สุดท้าย หยิบใบเสร็จรับเงิน คู่มือนักศึกษา คู่มือการลงทะเบียนและกระดาษตารางเรียนภาคเรียนที่หนึ่งเก็บลงในกระเป๋า แล้วเดิน

ออกมาผมต้องลงทะเบียนตามรายวิชาเหล่านี้ สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ในวันที่ระบุไว้ในกระดาษ

“นี่ นายหยุดก่อน”มีคนเรียกผมนะ เป็นคนที่ยืมปากกาผมเขาวิ่งมาหยุดยืนข้างหน้าผม

“มีอะไรกับผมรึเปล่า”

“เอ่อ เราแค่จะเอาปากกามาคืน ขอบคุณนะ”เขายื่นปากกาคืนให้ผมแล้วเดินหายไปจากฝูงคน

ใช้เวลาเพียงไม่นานแต่ก็เหนื่อยใช่เล่น เห็นร้านสวัสดิการนักศึกษาที่นำเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายต่างๆมาขายให้นักศึกษา เดิน

แวะเข้าไปเข้าซื้อของซักหน่อย

“ผมออกมาทำธุระข้างนอก... มาเจอลูกค้า...ค่ะ..ค่ะ..แล้วเจอกันค่ะ”

“พี่กัณฑ์ ทำอะไรอยู่คะฟ้ารอตั้งนาน”

หันหน้าไปตามเสียงชายหญิงคู่หนึ่งกำลังคุยกันอยู่ไม่ห่างจากผมนัก มองลอดสายผ่านซุ้มร้านสวัสดิการนักศึกษา ผู้หญิงสาวสวย

สมชุดนักศึกษารัดรูปกระโปรงสั้นสะพายกระเป๋ายี่ห้อดังยืนทำหน้าไม่พอใจผู้ชายที่ยืนหันหลังให้ผม กัณฑ์ชื่อที่ผู้หญิงคนนั้นเรียก

คงเป็นชื่อที่คุ้นหูนี้เองที่ทำให้ผมรู้สึกสนใจจนต้องมองลอดผ่านร้านอย่างนี้ ผู้ชายคนนี้อีกแล้วผู้หญิงที่มากับเขาวันนั้นไม่ใช่คนนี้

แสดงว่าเขาคงมีหลายคน วันนี้มาหาเหยื่อที่นี่หรอเนี่ย ผู้หญิงเขาจะรู้ไหมว่าแฟนของเขามีผู้หญิงหลายคน เขาที่กล้าทิ้งผมไป

ทั้งๆที่ผมดีขนาดนี้ หรือที่ผมดีกับเขาขนาดนี้ยังกล้าหลอกผมได้ คงไม่มีใครแล้วที่จะผูกมัดผู้ชายที่ไม่รู้จักพอคนนี้ไว้ได้ ไม่นาน

ทั้งสองก็พากันเดินเข้าไปข้างในตึก

ไหนๆวันนี้ก็ได้ออกมาข้างนอกแล้วผมจึงถือโอกาสแวะไปดูร้านเสื้อผ้าของซักหน่อย ถึงแม้จะปิดตัวไปแล้วแต่ก็อยากไปเห็นกับ

ตา ร้านที่ผมเพียรพยายามสร้างขึ้นด้วยสองมือ ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ครั้งหนึ่งมันคือความภาคภูมิใจของผม รถแท็กซี่จอด

ที่หน้าร้านเสื้อผ้าเก่าของผม เดินลงจากแท็กซี่แล้วยืนมองร้านเสื้อผ้าที่ครั้งหนึ่งเคยมีคนเดินเข้าออก มีลูกค้าเข้ามาซื้อเสื้อผ้าที่นี่

ลานจอดรถที่เคยมีรถจอด ตอนนี้ป้ายหน้าร้านถูกยกออกไปแล้ว กระจกรอบๆร้านเริ่มถูกฝุ่นควันเกาะเต็มไปหมดเงยหน้ามองขึ้น

ไปชั้นบนของตึกนั่นชั้นสอชั้นบนนั้นผมเคยนั่งทำงานบนนั้นเคยมองลงมาผ่านกระจกใสบานนั้นแต่วันนี้เป็นผมที่ต้องมองผ่าน

กระจกบานนั้นขึ้นไป น่าดายทั้งที่ทุกอย่างกำลังจะเป็นได้ด้วยดี กำลังมีงานแสดงเสื้อผ้าคอลเล็คชั่นใหม่แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นก่อน

มองจากข้างนอกเข้าไปเห็นอะไรมากนักเพราะข้างในปิดม่านไว้ป้องกันคนเข้าไปขโมยของในนั้น เฮ้ยเสียงผมถอนหายใจ อากาศ

วันนี้ร้อนเป็นใจเสียจริงรู้สึกกระหายขึ้นมายืนมองหาร้านอาหารหรือร้านกาแฟหลบอากาศร้อน  จนสายตาเหลือบไปเห็น

ตึกหรือบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่นัก มองดูแล้วน่าจะเป็นบริษัทอะไรซักอย่างนั้นมันทำให้ผมสนใจ ลานจอดรถ

กว้างมีรถหลายคันกำลังจอดอยู่ มีคนเดินเข้าออกประตูด้านหน้าตึก YOUR DREAM คือชื่อบริษัทตัดสินเดินเข้าไปประตูกระจกถูก

ผลักก้าวเท้าเข้าไปรู้สึกเหมือนร้านขายเครื่องเขียนเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์อยู่ด้านขวามือส่วนด้านซ้ายมีมุมโต๊ะเก้าอี้โซฟาหลาย

ชุดสำหรับนั่งพักผ่อน ไม่ห่างกันมากนักมีน้ำตกจำลองขนาดเล็กไว้สำหรับผ่อนคลายอารมณ์ พนักงานต้อนรับไม่ได้สวมชุด

ยูนิฟอร์ม แต่แต่งกายที่สุภาพรวบผมและแต่งหน้าบางๆ ยืนส่งยิ้มทักทายผู้ที่เดินเข้ามาข้างใน ถัดไปเป็นร้านกาแฟกลิ่นเมล็ด

กาแฟคั่วหอมโชยมากระทบจมูก ถัดจากร้านกาแฟเป็นร้านหนังสือขนาดใหญ่ ร้านหนังสือแบบนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“สวัสดีค่ะมาสมัครงานรึเปล่าคะเชิญตรงนั้นได้เลยค่ะ”มีพนักงานสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาทักผมแล้วยื่นเอกสารให้ผม แล้วชี้ไปที่

ห้องห้องหนึ่งที่มีคนเดินเข้าไปในนั้น

 “เอ่อ คือ” ผมยังไม่ทันตอบหรือปฏิเสธ

“เดินตามมาทางนี้เลยค่ะ”เธอก็บอกให้ผมเดินตามเธอไปที่ห้องดังกล่าว ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าการแต่งตัวของงผมวันนี้มันคงเหมือน

คนมาสมัครงานจริงๆ เพราะหลายคนในห้องแต่งตัวคล้ายกันกับผม ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พนักงานสาวจะเข้าใจผิด ห้องห้องนี้น่าจะ

เป็นห้องอะไรสักอย่างแต่จุคนได้เยอะทีเดียว ท่าทางน่าสนใจ นี่คงเป็นประสบการณ์ใหม่ของผม ผมไม่เคยไปเที่ยวสมัครงานมา

ก่อน เคยแต่มีบริษัทเป็นของตัวเอง ทำงานเหมือนกันแต่บทบาทหน้าที่ต่างกันจะรู้สึกยังไงบ้างนะ เคยแต่สั่งคนอื่นถ้ารับคำสั่งจาก

คนอื่นจะเป็นยัง เดินหาที่วางแล้วนั่งลงอ่านเอกสารสมัครงานที่พนักงานสาวยื่นให้ผม ที่นี่เป็นสำนักพิมพ์หรอรับสมัครงาน

พนักงานหลายตำแหน่ง สายตาผมไล่ไปตามข้อความในกระดาษนั้น ตำแหน่งนักแปล(Freelance)ไม่กำจัดอายุเพศ อ้าน่าสนใจ

มากผมตัดสินใจกรอกรายละเอียดลงไปในใบสมัคร แนบเอกสารเอ๊ะเหมือนผมเตรียมตัวมาสมัครงานเลยผมมีพร้อมทุกอย่างเลย

ส่งคืนเอกสารที่กรอกเรียบร้อยให้เจ้าที่หน้าจากนั้นเขาพาผมมาอีกห้อง แล้วส่งเอกสารกับดิกชันนารีหนึ่งเล่มให้ผม

“นี่เป็นแบบทดสอบนะคะ วิธีทำบอกไว้ในนี้แล้ว ให้เวลาสามชั่วโมงนะคะเสร็จ......”เจ้าหน้าที่หน้าห้องบอกรายละเอียดผม รับ

เอกสารไว้ในมือแล้วเดินเข้าไปในห้อง ตื่นเต้นสำหรับสมัครงานครั้งแรก ว่าแต่ต้องมีแบบทดสอบเยอะขนาดนี้เลยหรอ เปิดดู

เอกสารได้มาคร่าวๆ เป็นการแปลจากภาอังกฤษเป็นภาษาไทย และภาษาไทยเป็นอังกฤษ มีทั้งเป็นแบบร้อยแก้วร้อยกรอง ภาษา

ที่เป็นทางการ และภาษาทั่วไป ลองเหลือบดูคนอื่นๆที่เข้ามาก่อนผม ท่าทางเคร่งเครียดกันจริงๆ ผมที่ชอบอ่านนิยายทั้งจากใน

และต่างประเทศบ่อยๆตั้งแต่เด็ก นี่อาจจะเป็นโอกาสวัดความสมารถของผม อาจจะเป็นความโชคดีของผมในช่วงปิดเทอมตั้งแต่

เด็กได้ไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศบ่อยๆ ทำให้ภาษาต่างประเทศไม่เป็นอุปสรรคกับผม

เวลาเริ่มเดินไปเรื่อย ผ่านไปหนึ่ง สองชั่วโมง และสามชั่วโมง

“ส่งเอกสารได้แล้วค่ะ”พนักงานแจ้งทุกคนให้วางมือเดินเก็บเอกสารของแต่ละคน ผมเงยหน้าขึ้นจากระดาษ เห็นดาวระยิบระยับ

เลย ไม่นึกว่าสอบเข้าทำงานจะตื่นเต้นสนุกว่าสอบในมหาวิทยาลัยซะอีกเขียนซะจินตนาการสุดขอบฟ้าไปจนถึง ณ แดนดินอัน

พิศวง

“เรียบร้อยนะคะแล้วทางเราจะติดต่อไปตามที่อยู่และเบอร์โทรที่ให้ไว้”ขอบคุณครับ ผมมองตามกองเอกสารที่ถูกพนักงานสาวยก

ออกไปเอ๊ะผมเกือบลืมไปแล้วว่าผมเข้ามาทำอะไรรู้สึกว่าผมอยากดื่มอะไรเย็น แต่ดูท่าที่นี่คงไม่เหมาะผมเดินออกจากห้องนั้น

ด้านนอกยังมีคนมาสมัครงานรอสอบสัมภาษณ์อีกเยอะ ผมว่าผมไปหากินอะไรที่ห้างสรรพสินค้าแถวนี้ดีกว่า มองห้างสรรพสินค้า

ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านนอยู่ไกลพอสมควร





*************************************************************************

ทำไมตอนนี้ยาว ขออภัยหากมีอะไรผิดพลาด ตัดแบ่งเนื้อหลายรอบมากกว่าจะโพสได้ อาจจะมีข้อความหายหรือเกินหรือซ้ำก็

ขออภัยมาด้วยจ้า


เจอกันใหม่ตอนหน้า
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 11] 03/05/59
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-05-2016 20:15:04
ชีวิตดีมีความสุข
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 11] 03/05/59
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 03-05-2016 20:53:34
ชอบที่เรื่องนี้ไหลเรื่อยๆ สบาย ตามต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 11] 03/05/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-05-2016 22:10:47
น้องนินทั้งทำงานทั้งเรียนอีกหน่อยคุณเทียนสงสัยแน่ๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 11] 03/05/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 03-05-2016 23:47:08
คุณเทียนชัดเจนกว่านี้หน่อย น้องนินเค้าไม่เข้าใจอ่า
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 12] 24/05/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 24-05-2016 13:44:41
เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน

ตอนที่ 12

ตึ่งตึงตึง ตึ่งตึ๋งตึง ตึ่งตึงตึง ตึ่งตึ๋งตึง ตะลึงตะลึงตะลึง ตึงตึ่ง เสียงกลองทอมบ้าคู่กำลังถูกรุ่นพี่นักศึกษาชายคนหนึ่งตีดังขึ้นเป็น

จังหวะอย่างสนุกสนาน ทำให้คนที่ฟังรู้สึกครึกครื้นสนุกสนานไปตามกัน เสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณโรงยิมสนามบาสขนาดใหญ่

สนามบาสขนาดใหญ่มีขนาดเล็กลงเมื่อมีจำนวนมีนักศึกษาจำนวนมากที่มารายตัว รุ่นพี่มาดูแลน้องค่อนข้างเยอะใส่เสื้อเป็นทีม

เดียวกันเป็นเสื้อสีประจำมหาวิทยาลัยวันนี้ที่มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมเข้ากลุ่มสัมพันธ์หรือเชียร์รวม เป็นการสร้างความสัมพันธ์

นักศึกษาใหญ่เตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียน ละลายพฤติกรรมหาเพื่อนต่างคณะบางคนก็ใช้โอกาสนี้หาเพื่อนคู่ใจ วันนี้ทุกคน

ต่างสวมใส่ชุดลำลองมาร่วมกิจกรรม ใครที่รายงานตัวแล้วจะได้ทราบว่าตัวเองกลุ่มไหนแยกออกเป็นตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ

จะมีป้ายห้อยคอที่เขียนชื่อเล่นคณะและกลุ่มของตัวเอง เมื่อทราบแล้วว่าอยู่กลุ่มไหนก็ไปนั่งเข้าแถวกับเพื่อนๆ 

“สวัสดีค่ะ น้องชื่ออะไรคะ”รุ่นพี่สาวยิ้มทักทายผม ขณะที่ผมตรวจดูรายชื่อว่าชื่อผมอยู่กลุ่มไหนผมลงลายมือหลังชื่อ

“สวัสดีครับ ผมชื่อนินจาครับ”ผมบอกชื่อเล่น คณะ ให้เธอทราบ เธอเขียนชื่อผมลงป้ายสี่เหลี่ยมที่ห้อยด้วยด้ายสำหรับใช้คล้อง
คอ

“ชื่อน่ารักจังเลย ตัวก็น่ารัก”เธอเงยหน้าขึ้นจากการเขียนป้ายชื่อให้ผมแล้วยื่นมันให้ผม

“ขอบคุณครับ”ผมรับป้ายชื่อมาแล้วเดินไปที่กลุ่มของผม

“สวัสดีค่ะ/ครับน้องๆนักศึกษาใหม่....”ด้านหน้าสุดมีรุ่นพี่ชายหญิงสองกำลังแนะนำตัว เท่าที่ดูไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าที่ควร

นักศึกษายังไม่เยอะบางคนที่มาก็ก้มหน้าก้มตาดูจอสี่เหลี่ยมของใครของเราไม่สนใจรอบข้าง เงยหน้าขึ้นมาบ้างยกโทรศัพท์ขึ้น

มาถ่ายรูปแล้วก้มหน้าลงเหมือนเดิม

“นี่เธอนี่ไงพี่บีมกับพี่ฟ้าเดือนดาวมหาวิทยาลัยปีที่แล้วดูหล่อดูสวยทั้งคู่เลย”

“ไหนๆ เออดูดีอะ”เสียงคนคุยกัน เหมือนพี่ทั้งสองคนจะมีชื่อเสียงทำให้หลายคนเงยหน้าขึ้นมาสนใจได้ แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกเบื่อๆ

แล้วเหมือนกัน แต่เอ๊ะเดี๋ยวนะผมว่าผมเห็นคนรู้จักด้วย

“นี่ นาย”ผมยื่นมือไปสะกิดผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นหันหน้ามา

“นาย นั่นเองนึกว่าใคร รอแปบนะ”เขาจำผมได้ดีจังเลย ผมมีเพื่อนคุยด้วยแล้ว เขากำลังลุกจากที่นั่งเปลี่ยนมานั่งใกล้กับผม

“เจอกันอีกแล้ว เราขอบคุณอีกครั้งนะสำหรับปากกา”

“ไม่เป็นไร เราชื่อนินจาเรียกนินเฉยๆๆก็ได้”

“เราชื่อช๊อป”ผมนั่งมองหนุ่มน้อยหน้าสวย ดวงตากลมโต แก้มใส ที่นั่งอยู่ข้างผม 

“เราน่าจะเรียนคณะเดียวกันนะเพราะเราไปลงทะเบียนวันและช่วงเวลาเดียวกัน”

“ใช่เราเอกภาษาอังกฤษ แล้วช๊อปล่ะ”

“เหมือนกันเลย นินมาเรียนที่นี่คนเดียวหรอหรือมีเพื่อนมาด้วย”ผมเล่าเรื่องที่ผมประสบอุบัติเหตุทำให้ผมจำเรื่องในอดีตไม่ได้

รวมถึงเพื่อนเลยไม่รู้ว่ามีเพื่อนเก่ามาเรียนที่นี่ด้วยรึเปล่า

“ไม่เป็นไรนินก็มีช๊อปเป็นเพื่อนแล้ว เพื่อนสนิทช๊อปไม่มีใครมาเรียนที่เลยพวกเราแยกย้ายกันไปที่อื่นหมด อ้าตอนนแรกนึกว่าจะ

แย่ซะแล้วถ้านินไม่ให้ยืมปากกาคงแย่ อีกอย่างเราก็มีเพื่อนแล้วนึกว่าจะไม่เพื่อนแล้วซะอีก” ผมรู้สึกถูกชะตากับช๊อฟ เขาเป็นคน

น่ารักคุยสนุก

“นี่พวกเธอเรียนเอกภาษาอังกฤษหรอ”พวกเราหันหน้าไหมองผู้หญิงคนหนึ่งถามขึ้น

“อืม ใช่”ช๊อปตอบผู้หญิงคนนั้น

“เราก็เรียนเหมือนกัน เราชื่อ แต้มต่อ”เธอแนะตัวยกป้ายชื่อที่ห้อยขึ้นให้พวกเราดู หญิงสาวที่สวมเสื้อยืดกางเกงยีนต์เข้ารูป

รองเท้าผ้าใบนั่งขัดสมาธิเธอมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ผิวขาว คิ้วตาจมูกปากรับกับใบหน้ารูปไข่นั้นเหลือเกิน เธอส่งยิ้มสดใสที่เห็น

ฟันขาวเรียงตัวสวยนั้นมาให้พวกผม

“ส่วนนี่เพื่อนเราชื่อ ข้าวขาว เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม”แต้มต่อแนะนำเพื่อนของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆให้ผมกับช๊อปได้รู้จักผู้

หญิงอีกคนที่แต่งตัวไม่ต่างกัน แต่เธอมีหน้าตาสวยหวาน

“หวัดดีเรา นิน/หวัดดีเรา ช๊อป”ผมทั้งสองแนะนำตัว

“ข้าวว่าพวกเรามาแลกเบอร์โทรศัพท์และไลน์กันดีกว่า”ข้าวเสนอให้พวกเราทั้งสี่คนแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์และไลน์กัน พวก

เราตอนนี้ไม่มีใครสนใจรุ่นพี่ที่กำลังพูดผ่านไมโครโฟนที่อยู่ด้านหน้าเลยสักคน ผมกำลังนั่งฟังสองสาวคุยเรื่องนั้นรื่องนี้อย่างสนุก

เย้ ตอนนี้ผมมีเพื่อนแล้วอย่างนี้สิค่อยสนุกหน่อยเวลาทำกิจกรรม ตอนนี้รุ่นพี่สั่งให้พวกเรานักศึกษาทั้งหมดยืนขึ้นแล้วเดินตามรุ่น

พี่ที่ถือป้ายกลุ่มไปพวกผมทั้งสี่คนก็เดินตามกลุ่ม

“วันนี้เราต้องทำกิจกรรมทั้งวันเลยรึเปล่า”แต้มต่อถามขึ้นขนาดที่เดินตามคนอื่นไป

“เราคิดว่าน่าจะใช่นะ”ผมตอบคำถามของเพื่อน

“ว้าแย่จัง วันนี้เราน่าจะกินไอศกรีมเลี้ยงฉลองที่เราได้เป็นเพื่อนกันนะ”ผมรู้สึกสองสาวเพื่อนผมเป็นอะไรที่โลกสวย เธอทั้งสองน่า

รักดีนะ เส้นทางที่ผมและเพื่อนเดินตามคนอื่นไปเป็นพื้นที่ถูกปูไปด้วยอิฐหนาทางขนาดกว้าง ข้างทางมาต้นไม่พุ่มประดับไว้ เดิน

เข้าไปเรื่อยๆก็เจอเหมือนสวนที่มีต้นไม่ใหญ่ล้อมรอบมีพื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าสีเขียวเป็นลานกว้างกลุ่มอื่นมาถึงก่อนแล้ว

กำลังเตรียมทำกิจกรรม

“น้องกลุ่ม N รวมกลุ่มกันตรงนี้นะคะ”เสียงรุ่นพี่ประจำกลุ่มเรียกให้คนรวมกลุ่มกัน กลุ่มของผมมีคนเยอะเหมือนเมื่อถูกจัดเป็นแถว

ตอนแถวละสิบคน พี่คงไม่ให้พวกผมออกไปแนะนำตัวทีละคนนะครับ   

“พี่จะแจกหนังสือเล่มเล็กนี้ให้ทุกคนนะครับ”รุ่นพี่อีกคนบอกหนังสือเล็กถูกส่งผ่านมือทุกคนในกลุ่มไปเรื่อยจนครบทุกคน ผมเปิด

ดูเนื้อหาข้างใน

“นินดูสิมีเรื่องเล่าเรื่องผีด้วย”ผมเปิดไปหน้าที่ข้าวขาวบอกผม มันเป็นเรื่องเล่าที่รุ่นพี่เล่าต่อๆกันมามมหาวิทยาลัยผีเยอะจริงมีผี

ทุกที่เลย มีเกือบทุกสถานที่ในมหาวิทยาลัยก็เป็นเรื่องธรรมดามหาวิทยาลัยเก่าแก่ขนาดนี้ก็ต้องมีบ้าง

“หนังสือเล่มนี้เป็นสิ่งที่พวกรุ่นพี่ได้รวบรวมไว้รุ่นน้องทุกคน มีเพลงประจำมหาวิทยาลัย ส่วนเพลงประจำคณะน้องจะได้รู่ก็เมื่อเข้า

คณะแล้ว มีเรื่องเล่าของมหาวิทยาลัย.....”รุ่นพี่กำลังแนะนำหนังสือว่าข้างในมีอะไรบ้าง ผมเปิดเนื้อหาข้างคงมีประโยชน์บ้าง

สำหรับนักศึกษาใหม่

“ช๊อป ช๊อปลงทะเบียนเรียนแล้วรึยัง”

“ครบแล้ว นินล่ะ”

“เหมือนกัน”ผมหยิบตารางเรียนขึ้นมาดูว่าเราได้เรียน SECTION เดียวกันรึเปล่า

“ข้าวกับแต้มดูด้วย”สองสาวเอาตารางขึ้นมาเปรียบเทียบตกลงเราทั้งสี่คนเรียนเหมือนกันทั้งหมด ไม่มีใครหลุดไปเรียนคนเดียว

เสียงกลองเสียงหัวเราะเสียงปรบมือเสียงจากกลุ่มอื่นๆดังแว่วมาแล้ว มีบางกลุ่มให้ตัวแทนออกไปเต้นด้านหน้า บางกลุ่มลุกขึ้น

เต้นตามรุ่นพี่ เสียงแต่ละกลุ่มเริ่มดังขึ้นแข่งกัน กลุ่มผมรุ่นพี่กำลังสอนร้องเพลง กิจกรรมดำเนินไปเรื่อยๆ ทุกคนต่างให้ความร่วม

มืออย่างดี พื้นที่ลานกิจกรรมนี้ปกคลุมไปต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกมา ทำให้บริเวณแต่ละกลุ่มที่ทำกิจกรรมนั้นมีร่มเงา แต่

อากาศก็ยังไม่เป็นใจเท่าทีควร เพราะตอนนี้กำลังเคลื่อนมาตรงที่ศีรษะแล้วนั่นเป็นการบอกให้รู้ว่าตอนนี้ใกล้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว

“วันนี้พวกพี่ขอบคุณน้องๆมากที่ร่วมกิจกรรมกับพวกพี่ในวันนี้”รุ่นพี่ที่ดูแลกลุ่มพวกผมยืนแถวเรียงหน้ากระดานโค้งคำนับ พวกผม

ปรบมือให้

ผ่านไปแล้วกิจกรรมการเข้ากลุ่มสัมพันธ์ ตอนนี้พวกผมกำลังนั่งกินข้าวกล่องที่พี่แจกให้ พวกผมกลับมาที่โรงยิมที่เรารวมตัวกัน

เมื่อเช้า ข้างนอกอากาศร้อนจึงเข้ามานั่งกินข้าว อาหารยังเป็นปัญหาของผมเหมือนเดิมผมจำต้องทนกินประทังชีวิตไปก่อน โรง

ยิมขนาดใหญ่พวกเรานั่งบนสแตนเชียร์ มีหลายกลุ่มที่น้องกลับไปแล้ว พวกผมตกลงกันว่ากินเสร็จก่อนแล้วค่อยหาที่ไปกัน

“ข้าวดูนั่นสิ”แต้มต่อกำลังคุยอะไรกันซักอย่าง

“นั่นพี่แทนนิ ยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะ”

“อยากเข้าไปทักจัง”

“พี่เขาคงรู้จักข้าวหรอกนะ”ผมหันไปมองคนที่สองสาวกำลังพูดถึง

“นั่นพี่เขามองมาทางนี้แล้ว”

“เขาต้องมองแต้มแน่เลย”ผู้ชายคนนั้นกำลังมองมาที่ผม

“พี่เขาเดินมาแล้วข้าว เขาต้องหลงเสน่ห์แต้มแน่เลย”

“จ้า”สาวทั้งสองตื่นเต้นที่ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาพวกเรา

“พี่แทนสวัสดีค่ะ”

“สวัสดีค่ะ”

“พี่แทนมีอะไรรึเปล่าเห็นมองพวกเราตั้งนาน”

“ไม่มีอะไรพี่แค่มอง”พี่แทนยังพูดไม่จบผมรีบพูดแทรกขึ้นทันที ก่อนที่พี่แทนจะพูดอะไรแปลกออกไป หลานๆบ้านนี้น้ามีแต่คน

แปลกๆ แสบๆ ร้ายๆ กันทั้งนั้น แต่ละคนรับมือยากกันจริงๆ

“สวัสดีครับพี่แทน ผมเพิ่งรู้นะครับว่าพี่แทนก็เรียนที่นี่เหมือนกัน”ผมไหว้ทักทายส่งยิ้มให้พี่แทนผู้ชายหน้าตาดีที่สองสาวต่างชื่น

ชอบ สองสาวมองหน้าผมงงที่รู้จักพี่แทนและพี่แทนรู้จักกับผม มีคนหลายคนกำลังมองมากลุ่มผม เพราะพี่แทนเดินเข้ามาคุยกับ

กลุ่มของผมรีเปล่านะ

“พี่ก็เพิ่งรู้ว่าเรามาเรียนที่นี่ นึกว่ายังอยู่ม.ต้นอยู่เลย ไม่คิดว่าเด็กที่ชื่อนินจาที่เพื่อนๆพูดถึงจะเป็นเรา ยายทิมก็เรียนที่นี่นะ ถ้ามี

โอกาสเดี๋ยวคงได้เจอกัน”พูดถึงคุณทิมผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที

“ถ้าพี่เทียนรู้ว่าเรียนที่นี่ คงมีเรื่องสนุกแน่”ฮะ หมายความว่ายังไงครับพี่แทน แล้วไม่ต้องยิ้มอย่างนั้นเลย พี่แทนนี่ก็ร้ายไม่แพ้คุณ
ทิม


“พี่แทนทานข้าวด้วยกันไหมค่ะ”แต้มต่อชวนพี่แทนทานข้าว

“ไม่เป็นพี่เรียบร้อยร้อยแล้ว พี่ไปก่อนนะ”พี่แทนเดินไปแล้ว ทั้งสองสาวหันหน้ามามองผม

“นิน นินรู้จักกับพี่แทนด้วยหรอ”ทำไมต้องทำเสียงหวานน่าขนลุกอย่างนั้น

“เป็นเพื่อนบ้านกัน”

“จริงหรอ เราอยากไปเที่ยวบ้านนินบ้างจังเลย”

“อยากเที่ยวบ้านนินหรือไปเที่ยวบ้านพี่แทน”ช๊อปพูดขึ้นมา ทั้งกลุ่มหัวเราะทันที พี่แทนจะเดินจากไปแล้วแต่ยังมีอีกหลายคนที่

ยังมองมาที่กลุ่มที่ผมและเพื่อนนั่งอยู่

“นินไปเข้าห้องน้ำกับเราไหม”

“เราไปด้วย ข้าวเราฝากกระเป๋าด้วยนะ”ผมฝากของไว้กับข้าว ผมและช๊อปแยกกันเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว ผมออกมาจากห้อง

ห้องเปิดก๊อกน้ำล้างมือแต่ช๊อปยังไม่ออกมาจึงออกมายืนรอข้างนอก

“ทำตัวเด่นจังเลยนะกลุ่มนี้นะ ระวังตัวไว้ตัวล่ะ”มีผู้หญิงสองคนเดินผ่านผมไป พวกเธอพูดกับผมรึเปล่าหรือทั้งสองคุยกัน มอง

ตามผู้หญิงทั้งสองคน แล้วหนึ่งในนั้นก็หันหน้ามามองผมแล้วทำหน้าแสยะยิ้มให้ผม แสดงว่าคำพูดเมื่อครู่เธอต้องการพูดกับผม

“ตอนบ่ายเราไปกินไอศกรีมไหม”ข้าวขาวทำลายบรรยากาศที่เงียบ

“แต่นินกินไม่ได้”แต้มต่อ

“ไม่ใช่ปัญหา เรารู้จักร้านที่นินกินได้ ชื่อใจเราได้”ช๊อป

เป็นอันว่าพวกเราไว้ใจเชื่อว่าช๊อปต้องพาไปกินไอศกรีมร้านอร่อยแน่ๆ ข้าวขาวกับแต้มต่อไปรถคันเดียวกัน ส่วนผมติดรถไปกับ

ช๊อป ช๊อปพาเราไปห้างที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก ตอนนี้พวกเราทั้งหมดมายืนอยู่ที่ร้านหน้าตาน่ารัก ICE CREAM Café 

เข้ามาในร้านจะเห็นเป็นไอศกรีมโชว์อยู่ในตู้สีสันน่าทานมาก

“เป็นยังไง ร้านนี้พอได้ไหม”

“แปลกตาจัง เรามาที่นี่หลายครั้งแต่ยักเห็นร้านนี้เลย”แต้มต่อยังมองดูไปรอบๆร้าน ผมก็รู้สึกแปลกตารูปแบบของร้านร้านนี้กลุ่ม

ลูกค้าคงไม่ใช่เด็ก

“ใช่ เราก็ไม่เคยเห็น”ข้าวขาวมองดูไอศกรีมในตู้ใส

“ที่นี่เป็นร้านสำคนรักสุขภาพ พี่สาวเราชอบมาทานบ่อยๆ”พวกเราเข้ามาในร้านมองดูรอบๆหาที่นั่ง ร้านเล็ก ๆ

บนห้างใจกลางเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่ว่าภายในร้านนั้นดูเงียบได้ยินเสียงเพลงบรรเลงดนตรีเบาๆ อวลไปด้วยกลิ่นอาย

อบอุ่นแบบฉบับ ICE CREAM Café น่าจะเป็นสไตล์ญี่ปุ่น ทำให้นึกถึงร้านกาแฟในเมืองใหญ่ในญี่ปุ่นในร้านถูกตกแต่งด้วยโทนสี

ขาวดูสบายตาส่วนอีกฝั่งเป็นกระจกใสรับแสงแสงธรรมชาติมองเห็นวิวข้างนอกได้ด้วยเมื่อเข้ามาข้างในจะเห็น โต๊ะขนาดเล็ก

สำหรับนั่งเป็นคู่ มีเฟอร์นิเจอร์สีสบายตาคู่กับหมอนอิงรูปทรงน่ารักลายแปลกตา  มีโซนนั่งพื้นที่ปูด้วยพื้นไม้แบบญี่ปุ่นโต๊ะเตี้ยสี่

ขา มีเบาะรองนั่งวางรอบโต๊ะนั้น ด้านข้างมุมนั้นมีต้นไม้ในกระถางวางอยู่รอบๆทำให้เหมือนกำลังนั่งอยู่ในสวนสวย ที่นี่ยังมีมุม

จำหน่ายขายของจุกจิกเอาใจสาวสาว กระจก ที่ห้อยโทรศัพท์ พวงกุญแจ กระเป๋าผ้า

พวกเราเดินเข้ามานั่งลงแล้ววางสัมภาระ หยิบเมนูของร้านขึ้นมาดูไอศกรีมที่นี่เขาบอกว่าหมดห่วงเรื่องคุณภาพ เพราะทำแบบ

โฮมเมดเลือกใช้แต่วัตถุดิบเกรดดีเป็นมิตรต่อสุขภาพ แคลลอรี่ต่ำ ไขมันน้อยเหมาะสำหรับผู้ต้องการรักษาน้ำหนักและผู้เป็นโรค

เบาหวาน ไอศครีมผลไม้ส่วนใหญ่ใช้ผลไม้ Organic  ไอศกรีมนมรสชาติปกติก็มีแต่เป็นแบบไขมันต่ำ จากที่อ่านดูในเมนูน่าจะมี

ไอศครีมมากกว่า 60 รส ที่นี่ยังมีน้ำผลไม้ ขนมหวาน อีกด้วย พนักงานเดินมารับออร์เดอร์ของพวกเราแล้วกลับที่เคาร์เตอร์ ไม่

นานไอศกรีมน่าอร่อยก็มาอยู่มาบนพวกผม ก่อนกินพวกผมก็ถ่ายรูปรวมคนละรูป

“รสชาติใช้ได้เลยนะก็เหมือนไอศกรีมปกติ”ข้าวขาว

“เรานึกว่ามันจะไม่อร่อยไม่น่าทาน”แต้มต่อ

“เห็นไหมเราบอกแล้วให้เชื่อเรา”ช๊อป

“อร่อยจริงๆนั่นแหล่ะ ต้องขอบใจช๊อปนะเนี่ยที่พาเรามาเปิดหูเปิดตาวันนี้” ผม

“วันนี้ตอนที่ทำกิจกรรมมีคนมองกลุ่มเราตลอดเลย”แต้มต่อเห็นเหมือนผมเลยผมนึกว่าผมคิดไปเองรึเปล่า

“ใช่ เราก็สึกว่าเขามองมาที่กลุ่มเรา พวกรุ่นพี่ก็มองด้วย”ช๊อป

“พวกเราคงไม่ได้ทำอะไรประหลาดๆนะ แต้มต่อแน่เลยเธอชอบทำอะไรแปลกแบบไม่รู้ตัวอยู่เรื่อย”ข้าวขาว

“ถ้ายังงั้นคงไม่ใช่เขามองว่าเราน่าตาดีอยากรู้อยากเข้ามาทักไง อิอิ”คำพูดของแต้มต่อทำให้ทุกคนต้องหัวเราะออกมา หลังจาก

ที่ทานไอศกรีมกันหมดแล้วทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับ

วันนี้สนุกจังเลยผมวางกระสะพายหลังไว้บนโต๊ะแล้วกระโดดขึ้นเตียงแล้วนอนหงายมองที่เพดานสีขาวนั้น แล้วปลดปล่อยหัวใจ

ล่อลอยไปเรื่อย ให้สมองคิดเรื่องราวต่างๆไปเองโดยไม่ไปบังคับมัน ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แต่ผมได้ยินเสียงเลี้ยวเข้ามาในบ้านได้

ซักพักแล้ว

ก๊อก ก๊อก

“นิน แม่เข้าไปได้ไหมลูก”

“ครับ”ผมรีบลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตูให้แม่

“เป็นยังไงบ้างลูก เหนื่อยไหม”

“ไม่ครับ สนุกมากกว่า”

“ถ้าไม่เหนื่อยงั้นมาช่วยมาทำกับข้าวดีกว่า”

“ครับ”ผมเดินตามแม่ลงไปข้างล่างเข้าไปในห้องครัว ดินเข้าไปในครัวเห็นพี่แจ่มกำลังเตรียมของทำกับข้าว

“พี่แจ่ม วันนี้มีอะไรทานบ้างครับ ตอนเที่ยงกินข้าวกล่องได้นิดเดียวเอง ตอนนี้หิวมากเลย”

“วันนี้มีแกงจืดเต้าหู้สาหร่าย ผัดบ็อคโคลี่เต้าหู้ปลา ทอดมันปลา แกงส้มปลาช่อนมะละกอ”

“โอ้โห มีแต่กับข้าวน่ากินทั้งนั้นเลย มีอะไรให้นินช่วยไหมครับ”คิดถึงเมื่อก่อนที่ผมเข้ามาช่วยคุณแม่กับพี่แจ่มในครัวบ่อยๆทำให้

ผมทำกับเป็น เสียงน้ำเดือดในหม้อพี่แจ่มตักเกลือลงไปหนึ่งช้อนชา วางรากผักรากคึ่นไช่ทุบลงในหม้อตามด้วยผักกาดหัว

แครอทและฟักเขียวที่หั่นเป็นชิ้นชิ้นพอดี อีกด้านคุณแม่กำลังตั้งหม้อทำแกงส้มปลาช่อนมะละกอ เครื่องแกงส้มในถ้วยที่พี่แจ่ม

เป็นคนตำ ปลาช่อนที่หั่นเป็นท่อนๆ มะละกอที่ฝานเป็นชิ้นพอดีคำ ที่ถูกเตรียมไว้ผมยืนมองภาพแม่กำลังทำกับข้าวพลันรู้สึก

อบอุ่นขึ้นมาในใจ

“เสียงรถใครมาจอดที่หน้าบ้านเราลูก”ผมโผล่หัวออกไปทางประตูหลังบ้านชะเง้อหน้าออกไปดู  เห็นรถแต่ไม่เห็นคน

“นิน ออกไปซิลูกใครมา”

“ครับ”ผมเดินออกไปดูว่าใครมาเวลานี้ เดินออกมาจากครัวผ่านห้องโถงเห็นร่างคนคุ้นตากำลังยืนอยู่หน้าบ้านไม่ยอมเดินเข้ามา

“นึกว่าจะมีคนใจร้ายไม่ออกมารับซะแล้ว”ผมเดินไปเปิดประตูให้

“พี่เทียน สวัสดีครับมาทำไมครับ”

“อืม ใจร้ายมากคนเราคำถามนี้เหมือนไม่อยากให้พี่มาเลย”พี่เทียนทำหน้าหงอย

“ไม่ใช่ ถ้ามีธุระทำไมไม่บอกก่อนหรือถ้ามีธุระกับพ่อผมก็จะตามให้”ผมหน้ายู่พูดแค่นี้น้อยใจไปได้หัวก็ได้ล้าน แก่ก็ยังไม่เท่าไหร่

“พี่ล้อเล่นน่า มีธุระกับคุณลุงคุณป้าเรื่องของเรานั่นแหละ”ผมเอียงคอขมวดคิ้วมองหน้าพี่เทียนเรื่องอะไรอีกละเนี่ย พี่เทียนยื่นมือ

มาวางที่หัวผมแล้วขยี้หัวผม

“เข้าบ้านเถอะ ไม่ต้องยืนงงทำตาแป๋วหรอก เดี๋ยวก็รู้เอง”พี่เทียนเดินนำหน้าผมเข้าบ้าน

“คุณป้าสวัสดีครับ”

“อ้าว ตาเทียนมาหรอลูกนึกว่าใคร มาหาน้องหรอ เดี๋ยวอยู่กินข้าวก่อนนะแล้วค่อยกลับ แม่กำลังทำใกล้เสร็จแล้ว นินพาพี่เขาไป

นั่งดูทีวีก่อนลูก”

“คุณลุงสวัสดีครับ”

“ตาเทียนมาหรอลูกนึกว่าพ่อนึกว่าใคร ตามสบายนะลูก”พ่อเดินลงมาชั้นสองแล้วเดินไปห้องนั่งเล่นที่พ่อชอบไปนั่งอ่านหนังสือ
เงียบบ่อยๆ

“พี่เทียนไปนั่งที่ห้องโน้นดีกว่า”ผมพาพี่เทียนเดินไปอีกห้องแล้วเปิดทีวี ขึ้น ผมนั่งบนโซฟานุ่มส่วนพี่เทียนนั่งลงบนโซฟาอีกตัว

“พี่เทียนวันนี้นินไปมหาวิทยาลัยเจอพี่แทนด้วย สาวๆกรี๊ดเต็มเลย”

“ฮึ เรา อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับเจ้าแทนหรอ”

“ครับ”

“ดีแล้ว พี่จะได้ฝากให้เจ้าแทนยายทิมดูแล” ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะครับ

“น้องนินพาพี่เขามาทานข้าวก่อนเร็วลูกแม่ตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว เรียกคุณพ่อด้วยนะลูก”คุณแม่เดินเข้ามาเรียกผมที่ห้องดูทีวี

“พี่เทียนไปทานข้าวครับคุณแม่เรียกแล้ว”ผมพาพี่เทียนเดินไปโต๊ะอาหาร ส่วนคุณพ่อก็เดินออกมาจากห้องนั่งเล่นคงได้ยินเสียง

คุณแม่เรียก ผมเดินไปช่วยหยิบโน่นนี่นั้นออกมาจากครัว พี่พี่แจ่มกำลังตักข้าวใส่จานให้คุณพ่อพี่เทียน ผมกับแม่เดินมาที่โต๊ะ

อาหารแล้วเราเริ่มทานข้าวกันอย่างเงียบๆ วันนี้มีสมาชิกเพิ่มมาอีกคน




*******************************************************************************



แล้วเจอกันใหม่ในตอนหน้า
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 12] 24/05/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-05-2016 14:35:15
พี่เทียนมาคุยธุระอะไรเรื่องน้องนินหนอ
กลุ่มเทียนหน้าตาดีเลยถูกอิจฉาซินะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 12] 24/05/59
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-05-2016 16:34:42
มาแล้วๆ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 12] 24/05/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 25-05-2016 00:59:38
อย่างนี้นินจะเป็นอันตรายรึป่าว
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 13] 6/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 06-06-2016 11:30:24


ตอนที่ 13
[/size]

          เดินเข้ามาในห้องสิ่งแรกที่เห็นคือโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่วางอยู่เยื้องๆกับประตู บนโต๊ะทำงานนั้นมีจอคอมพิวเตอร์ตั้ง

โต๊ะ เทียนตระกาล  ไพศาลพีรวัฒนพงษ์ ป้ายชื่อกรรมการผู้จัดการตั้งอยู่บนโต๊ะ เอกสารจำนวนหนึ่งวางไว้อย่างเป็น

ระเบียบอยู่บนนั้น เก้าอี้เลื่อนสำนักงานตัวใหญ่สีดำหุ้มหนังชั้นดีเข้าคู่กับโต๊ะทำงาน ตู้เก็บเอกสารน้อยใหญ่สูงต่ำวางอยู่บ้านหลัง

ฝั่งขวามือเป็นชุดโซฟาสำหรับรับแขก และตู้วางหนังสือหลายตู้ที่เต็มไปด้วยหนังสือ ฝั่งซ้ายมือเป็นชุดโต๊ะเก้าอี้หนึ่งชุด ผมเดิน

นั่งไปนั่งที่โซฟารับแขกตัวโตสีทึบเครื่องปรับอากาศถูกเปิดไว้แล้ว 

“นั่งเล่นที่นี่ไปก่อนนะ ถ้าอยากได้อะไรก็บอกพี่ ส่วนหนังสือที่วางไว้ในตู้อ่านได้นะ”ผมวางกระเป๋าสะพายไว้ข้างๆตัว คนตัวโตเดิน

ไปวางกระเป๋าเอกสารไว้ข้างๆโต๊ะทำงานแล้วเปิดกดเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แล้วนั่งบนเก้าอี้  เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่วาง

ไว้บนโต๊ะขึ้นมาเปิดดูเสียงเปิดเอกสารจากแฟ้มเสียงแป้นพิมพ์เสียงคลิกเมาส์ อยู่ไม่ห่างจากผมใบหน้าเขากำลังเวลาจริงจังกับ

การทำงานนี่มันน่าดูไปอีกแบบ ผมแอบมองพี่เทียนที่ทำงานเงียบๆอยู่บนโต๊ะเหตุผลที่ผมต้องมานั่งอยู่ในห้องนี้ก็คือว่าผู้ชายที่

กำลังนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะไม่รู้ร้อนรู้หนาวคนนี้ไปกินข้าวที่บ้านผมและเอาเรื่องที่ผมมาสมัครงานไปบอกพ่อกับแม่อีกอย่างก็คือ

บริษัทนี้เป็นของพี่เทียนทำไมผมถึงไม่รู้มาก่อน เพราะผมไม่เคยสนใจถาม

“ขอโทษด้วยนะครับที่ผมมารบกวนเวลานี้”

“ไม่เป็นไรหรอกลูก น้องจะได้มีเพื่อนกินข้าวด้วย”แล้วมันเกี่ยวกับผมด้วยละครับเนี่ย

“คือผมอยากมีเรื่องจะถามนะครับ ว่าคุณลุงกับคุณป้าทราบเรื่องที่น้องสมัครงานรึเปล่า”

“นินไปหาสมัครงานมารึลูก”

“เอ่อคือ”ผมแทบสำลักข้าว

“เทียนรู้ได้ยังไงลูก”

“น้องไปสมัครงานที่บริษัทของผม โดยที่ผมเองก็เพิ่งทราบจากฝ่ายบุคคล” อ้าว เอาแล้วไงจุดไต้ตำตอ

“ทำไมละลูก มีอะไรทำไมไม่บอกแม่หรือน้องนินมีปัญหาอะไรต้องใช้เงิน”หน้าแม่หนักใจมากที่ผมจะทำงาน คือว่าผมจะไป

ทำงานนะครับไม่ได้ไปออกรบที่ไหน แล้วอีกอย่างผมยังไม่ได้ทำด้วย ทุกสายตาจ้องมองมาที่ผมต้องการคำตอบ ผมวางช้อน

ส้อมลง

“คือมันเป็นงาน ตำแหน่งนักแปล(Freelance) ผมอยากลองหาประสบการณ์ดู แล้วอีกอย่างมันไม่กระทบการเรียนด้วย และอีก

อย่างมันไม่ใช่สาเหตุที่ผมไม่ยอมรับเงินจากพ่อกับแม่แต่ผมอยากหาด้วยตัวเองก่อนแค่ที่พ่อกับแม่ให้ผมมาอยู่ด้วยทุกวันนี้

ยอมรับดูแลเหมือนผมเป็นลูกอีกคนผมก็ดีใจมากแล้วผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”

“พ่อกับแม่ก็ไม่ได้จะว่าอะไรแต่อยากให้น้องนินบอกพ่อกับแม่ด้วย”ผมไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปสมัครมันบังเอิญ และก็บังเอิญที่ได้งาน

ด้วย มันช่างบังเอิญจริง แฮะๆ

“ครับ ผมขอโทษที่ไม่บอกพ่อกับแม่ก่อน คราวหน้าถ้ามีเรื่องอะไรผมจะบอกพ่อแม่ทุกอย่าง พ่อกับแม่จะได้ไม่เป็นห่วงผมอีก”ผม

ยกมือไหว้ขอโทษคนทั้งสอง

“แม่ไม่ห้ามนินนะลูกแต่น้องนินมีเรื่องอะไรต้องบอกพ่อกับด้วย หนูไม่ได้อยู่คนเดียวนะลูก”เหมือนที่แม่ไม่เคยห้ามนนท์ แค่ครั้ง

เดียวที่พ่อกับแม่ห้ามเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ผมรู้ว่าทั้งคู่เป็นห่วงผม อาจจะลืมตรงส่วนนี้ไป ส่วนที่ผมไม่รับเงินจากทั้งสอง

เพราะมีเงินส่วนของผมอยู่ อีกส่วนหนึ่งที่ผมเก็บไว้ในห้องนอนเก่าของผม มีผมคนเดียวที่รู้ว่ามันซ่อนอยู่ที่ไหน และเปิดตู้เก็บนั้น

ได้อย่างไร


“หมิวพี่ขอของว่างเป็นน้ำส้มกับขนมมาให้แขก ส่วนของพี่ขอเหมือนเดิม”เสียงพี่เทียนคุยโทรศัพท์ สงสัยเขาคงคุยกับเลขาของ

เขาแน่เลย

ก๊อก ก๊อก แสดงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ผู้หญิงสาวสวยหน้าตาดี สวมชุดกระโปรงสีหวานเนื้อผ้าเนื้อดีดีไซน์ทันสมัย สวมรองเท้า

ส้นสูงยิ่งทำให้รูปร่างของเธอยิ่งดูโดดเด่นขึ้น เธอเดินเข้ามาในห้องในมือถือถาดของว่างแล้วส่งยิ้มเหมือนคุณทิมมาให้ผม เธอ

วางแก้วน้ำส้มและขนมไว้บนโต๊ะของผม

“สวัสดีค่ะ แฟนพี่เทียนหรือคะ น่ารักจังเลย พี่ชื่อหมิวนะคะเป็นเลขาพี่เทียน”

“เอ่อ..”ผมไม่ใช่นะครับคุณหมิวเข้าใจผิดแล้ว แต่ผมต้องตอบว่ายังไงละเธอคงเห็นหน้าผมที่เปลี่ยนไปเธอจึงหัวเราะเบาๆ

“หมิววันนี้พี่มีงานอะไรด่วนไหม”เธอหันหน้าไปตามเสียงเรียกแล้วเดินถือถาดของว่างไปอีกชุดไปวางไว้ที่โต๊ะคุณเทียน

“ไม่มีอะไรด่วนค่ะ มีแค่งานที่อยู่บนโต๊ะค่ะ”เสียงพูดคุยเจ้านายกับลูกน้องกำลังพูดคุยกันด้วยท่าทางจริงจัง

คุณหมิวกำลังชี้แจงเอกสารในแฟ้มให้คุณเทียนฟัง และบอกรายละเอียดงานวันนี้ให้พี่เทียนทราบ ส่วนผมดึงสายตาจากทั้งคู่กลับ

มามองหาอะไรทำ ผมลุกขึ้นจากโซฟาช้าๆเงียบๆไม่อยากรบกวนคนทั้งคู่แล้วเดินไปตรงตู้หนังสือหันหลังให้คนทั้งคู่แล้วเปิดตู้

ออกมา ไล่สายตาอ่านชื่อตามสันหนังสือ ที่มีทั้งชื่อที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ดูจากหนังสือแล้วสำนักพิมพ์นี้ได้ลิขสิทธิ์

แปลหนังสือต่างไประเทศเยอะเหมือนกัน ต่อไปบนหน้าปกหนังสือจะมีชื่อผมบ้างไหมนะ หนังสือตู้นี้มีตั้งหมดสี่ชั้นแยกหนังสือ

ออกเป็นปีที่พิมพ์ มีแค่ไม่กี่ปีเองหรอ ซุ่มหยิบหนังสือเล่มหนังออกมาจากชั้นวางแล้วเปิดดูเนื้อหาข้างในโดยคร่าวๆ หนังสือเล่มนี้

ใช้กระดาษถนอมสายตา การออกแบบหน้าปกขนาดตัวอักษร รูปเล่มน่าสนใจดี

“แฟนพี่เทียนหรอคะ น้องชื่ออะไรคะ น่ารักจังเลย”

“อยากรู้ถามเขาดูเองซิ”

“พี่เทียน..ขี้หวง ถามแค่นี้ก็ไม่บอก”

“เลิกยุ่งเรื่องของคนแล้วไปทำงานได้แล้ว”

“ค่า ค่า เจ้านาย”

เสียงคุยเจ้านายลูกน้องแว่วเข้ามาในหูผม แล้วทำไมต้องเอาผมไปเป็นหัวข้อสนทนาด้วยนะ ในที่สุดคุณหมิวก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้ต่อ

พี่เทียนแล้วต้องเดินออกจากห้องทำงานไปด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก เสียงในห้องเงียบลงอีกครั้งแล้วผมเหลือบมองคนตัวโตบน

ทำงาน พี่เทียนกำลังมองมาที่ผม

และกำลังเดินตรงมาที่ผม

“เป็นไงเจอหนังสือที่ถูกใจบ้างรึยัง”พีเทียนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

“ยังเลยครับ”

“เบื่อไหม”ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ แล้วกลับมาสนใจหนังสือตรงหน้าต่อ

“ตำแหน่งงานของเราเดี๋ยวพี่ฝ่ายบุคคลเขาจะเข้ามาคุยรายละเอียดให้เราฟัง ถ้าไม่เข้าใจหรือสงสัยตรงไหนก็ถามพี่ได้นะ”

“ขอบคุณครับ”ที่จริงให้ผมเดินไปหาพี่เขาที่ฝ่ายบุคคลก็ได้นะครับ ไม่ต้องให้พี่เขามาหาที่นี่ก็ได้เหมือนเป็นเด็กเส้นยังไงไม่รู้

พี่เทียนก็เดินกลับไปนั่งลงทำงานต่อที่ทำงาน หนังสือหลายร้อยเล่มที่วางอยู่บนชั้นมีแต่หนังสือน่าสนใจทั้งนั้นเลยถ้าตั้งใจอ่าน

ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะอ่านหมด ยืนนานเริ่มเมื่อยขาเปลี่ยนไปนั่งบนโซฟา เริ่มหิวก็หยิบของว่างขึ้นมาทานรองท้อง อ่าน

หนังสือจากหน้าที่หนึ่ง สอง สาม จนใกล้จะหมดเล่ม ผมเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆห้อง พี่เทียนยังนั่งอยู่ที่เดิม หยิบ

โทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาบนหน้าจอสิบโมงเช้าแล้ว ผมอ่านหนังสือนานขนาดนี้เชียว

“พี่เทียน”ผมเรียกพี่เทียนทำลายความเงียบในห้อง

“อืม ว่าไงเรา”พี่เทียนถามผม

“เอ่อ..นินอยากเข้าห้องน้ำ”

“เข้าห้องน้ำ อยากให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม”ขอโทษครับแต่ผมโตแล้วไม่ต้อง

“ฮึ ฮึ ออกจากห้องแล้วเลี้ยวซ้าย แน่ใจไม่ให้พี่ไปเป็นเพื่อน”แน่ยิ่งกว่าแน่ ผมไม่สนใจพี่เทียนแล้วเดินออกไปข้างนอกเพื่อไป

ห้องน้ำ  แต่ถือโอกาสนี้เดินดูรอบก่อนเพราะต่อไปผมจะได้เข้ามาทำงานที่นี่ ห้องทำงานที่นี่จะแยกออกเป็นแผนกต่างๆ ผมเดิน

มาถึงด้านหน้าทำงานห้องหนึ่งเห็นมีคนนั่งรอบนเก็าหน้าห้อง บนผนังหน้าห้องมีโปสเตอร์แสดงรายชื่อหนังสือที่จะออกวาง

จำหน่ายในแต่ละเดือน และรายชื่อหนังสือที่ได้ลิขสิทธิ์

“นี่น้อง เอางานมาเสนอเหมือนกันหรอเรา”ผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังผมกำลังยืนดูโปสเตอร์ที่ติดอยู่ผนังเขาส่งยิ้มให้ผม

หน้าตาเหมือนคนไม่ได้นอนมาหลายวัน

“เอ่อ คือ”

“พยายามแล้วกันพี่ก็กว่าจะมีวันนี้ได้ก็ผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน”ผมมองดูกระดาษเล่มหนึ่งในมือผู้ชายคนนั้น

“ผมขอดูได้ไหมครับ”

“ได้ ไม่มีปัญหาเพราะมันยังไม่ผ่านแก้มาหลายรอบแล้ว”เขายื่นกระดาษเล่มนั้นให้ผม นิยายอย่างนั้นหรอ เขาเป็นนักเขียน

“พี่เป็นเขียนหรอครับ”

“อือ แต่ไม่ดังอะไรหรอก”

“อ้อ แล้วพี่เอาพ็อตเรื่องแต่ละเรื่องที่แต่งมาจากไหนครับ”

“ก็เรื่องของตังเองบ้าง คนรอบข้างบ้าง เสริมเติมแต่งเข้าไปให้สนุก ตื่นเต้นนิยายขอแค่สนุกตื่นเต้นให้คนอ่านมีความรู้สึกร่วมแค่

นั้นก็พอ อ่านแล้วเข้าใจไม่ใช่อ่านไปแล้วต้องมานั่งตีความอีก คนเขาอ่านเพื่อผ่อนคลายถ้าอยากอ่านอะไรที่เครียดเขาคงไปอ่าน

หนังสือวิชาการแล้ว”

พูดก็ถูก“แล้วอย่างผมจะแต่งนิยายดีดีได้บ้างไหมครับ”

“ได้ใครก็สามารถแต่งได้ทั้งนั้น มันก็เหมือนเขียนเหตุการณ์ที่เกิดกับเรา”

“แล้วไม่ต้องผ่านงานประกวดหรอ”

“หึหึ การเข้าประกวดงานเขียนเป็นเหมือนการทดสอบความสามารถของนักเขียน ว่าเราจะสามารถตีโจทย์หัวข้อที่เราส่งเข้า

ประกวดได้หรือไม่ มันเป็นประสบการณ์ที่ดี”ผมยืนฟังผู้ชายที่เป็นนักเขียนคนหนึ่งกำลังพูดเรื่องการเขียนของเขาให้ผมฟังอย่างมี

ความสุข ถ้าผมคิดอยากจะแต่งนิยายผมจะเอาเรื่องของผมมาแต่งได้ไหมนะ ถึงเรื่องของผมจะบอกหรือเล่าให้ใครฟังไม่ได้แต่ผม

เขียนได้ใช่ไหม

“เดี๋ยวพี่ต้องไปแล้ว ขอบคุณละกันที่ยืนฟังเรื่องที่พี่เพ้อเจ้อ โชคดีนะน้อง”ผมยื่นนิยายเรื่องนั้นคืนให้ผู้ชายคนนั้น เขาเก็บมันลงใน

กระเป๋าแล้วเดินจากไป ผมหันหลังเดินกับไปที่ห้อง

“อ้าวมาแล้วนึกว่าเป็นอะไร ไปซะนานเชียว”

“พอดีนินไปเดินดูอะไรรอบๆมานะครับ”

“เป็นไงที่นี่น่าทำงานไหม”

“ก็ดีครับ”

“หิวรึยัง ใกล้เที่ยงแล้วพี่ว่าเราออกไปหาอะไรทานกันดีกว่า”ผมมองดูเวลาหน้าปัดนาฬิกาบอกว่าใกล้ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว

“แล้วพี่เทียนจะไปทานที่ไหนครับ”ถามพี่เทียนที่วางปากกาลงบนโต๊ะปิดแฟ้มเอกสารลงแล้วเดินมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกันกับผม

“เราอยากทานอะไรเป็นพิเศษบ้างรึเปล่า”ฮึ ถ้าผมบอกว่าว่าอยากกินไก่ทอด พิซซ่า พี่จะพาผมไปกินรึเปล่าครับ ถ้าไม่ก็อย่าถาม

“นินทานอะไรก็ได้ง่ายๆ จะได้ไม่กวนเวลางานพี่เทียนด้วย”ไม่อยากรบกวนเวลางานของพี่เทียน

“ปะ เก็บของเดี๋ยวพี่พาออกไปหาอะไรกิน”พี่เทียนเดินกลับไปที่โต๊ะหยิบกระเป๋าเอกสารและของสำคัญใส่ในนั้น ส่วนผมก็หยิบ

กระเป๋าขึ้นสะพาย เขาพาผมเดินออกมาจากห้องกรรมการผู้จัดการ พนักงานแผนกอื่นๆยังนั่งทำงานเพราะยังไม่ถึงเวลาพัก ห้อง

ทำงานที่นี่เป็นกระจกทำให้มีพนักงานหลายคนมองพวกเราทั้งสองเดินคู่กันไป ก้าวขึ้นลิฟต์ลิฟต์ค่อยๆเลื่อนลงไปข้างล่างจนสิ้น

สุดที่ชั้นที่ต้องการลง ก้าวตามหลังหนาของผู้ชายตัวโต เดินออกจากออฟฟิตช่างเป็นจุดสนใจของสาวๆเสียจริง รถเคลื่อนที่ออก

จากลานจอดรถเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางหลักผ่านแหล่งชุมชน ตึกสูงใหญ่ในเมืองหลวง สี่แยกไฟแดง แดดใกล้เที่ยงนี่ช่างร้อนเสียจริง

นั่งอยู่รถแต่แสงแดดที่ส่องเข้ามาทางกระจกใสก็ทำให้รู้สึกร้อนใช่เล่น

ผ่าแดดอันแรงกล้าตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นป้ายชื่อร้าน Japanese Restaurant ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น

ร้านตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้ามีชื่อแห่งหนึ่ง ช่วงเวลาเกือบบ่ายโมงลูกค้าภายในร้านเริ่มซาลงแล้ว หน้าร้านมีตู้โชว์อาหารเมนู

แนะนำของร้าน พร้อมทั้งมีเมนูเล่มโตวางไว้หน้าร้านให้ลูกค้าเปิดดู โคมไฟญี่ปุ่นขนาดใหญ่แขวนคู่กันอยู่หน้าร้าน ป้ายไม้ตั้งพื้น

เขียนบอกโปรโมชั่นประจำวัน รายการอาหารขึ้นชื่อและเวลาเปิด-ปิดของร้าน เมื่อเดินเข้าในร้านประตูกระจกใสเลื่อนอัตโนมัติเข้า

มาในร้านเหมือนได้สัมผัสบรรยากาศญี่ปุ่น

“เพื่อนพี่แนะนำมา มันบอกว่าร้านนี้อร่อย พอดีเห็นเราอาหารญี่ปุ่นเลยพาลอง” เราเดินไปนั่งที่โต๊ะมองไปรอบๆร้านอย่างสนใจ

เปิดรายการอาหารของร้านไม่ต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นปกติทั่วไปที่นี่จะมีทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทยประกอบใต้

ภาพอาหาร จากที่ดูหน้าร้านเขาบอกว่าราเมงขึ้นชื่อที่นี่มีสองขนาด S และ L อาหารเซตก็ขึ้นชื่อ ดูจากราคาค่อนข้างสูงกว่าร้า

นอื่นๆที่มีตามห้างทั่วๆไปพนักงานหนุ่มหล่อในชุดพนักงานประจำร้านสวมเสื้อคอจีนสีเขียวเข้มแขนสั้นกางเกงขายาวสีดำสวมทับ

ด้วยผ้ากันเปื้อนครึ่งตัวสีเทาริ้วขาว สวมหมวกเปเล่ย์สีดำ เดินเข้ามาที่โต๊ะของผมเพื่อรับออเดอร์ในมือถือเครื่องมือไว้สำหรับ

บันทึกรายการที่ลูกค้าสั่งผมสั่งเป็นอาหารเซ็ตปลาแซลมอนส่วนพี่เทียนเป็นเมนูอาหารเซตปลาหิมะและอาหารทานเล่นอีกสอง

สามอย่างแล้วพนักงานก็เดินกลับเข้าไปในครัว

“ร้านนี้บรรยากาศดีนะครับ ไม่นึกว่าที่นี่จะมีร้านอาหารแปลกตาแบบนี้ด้วย”

“ ถ้าอร่อยไว้วันหลังพี่พามาทานบ่อยๆ”ผมยิ้มรับแทนคำตอบ มองไปตรงครัวเปิดมีที่นั่งไว้ให้ลูกค้าที่ต้องการนั่ง ครัวเปิดทำให้

นึกถึงร้านอาหารที่ประเทศญี่ปุ่น เวลาที่ทานอาหารแล้วนั่งมองดูพ่อครัวทำอาหารไปด้วย พ่อครัวน่าตาคล้ายคนต่างชาติเจ้าของ

ต้นตำรับอาหารสวมเสื้อสีขาวที่เป็นเอกลักษณ์ชุดพ่อครัวแดนอาทิตย์อุทัย สวมหมวกพ่อครัวญี่ปุ่นสีขาว สมผ้ากันเปื้อนแบบครึ่ง

ตัวสีดำ กำลังทำซูชิวางบนจานให้ลูกค้าที่นั่งอยู่หน้าครัวเปิด

“เฮ้ย ไอ้เทียน”ผู้ชายที่ไหนไม่รู้เดินเข้ามาทักทายพี่เทียนด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่ดูสนิทคงจะเป็นเพื่อนของพี่เทียน ผู้ชาย

หน้าตาดีน่าจะสูงไล่เลี่ยกับพี่เทียน สามชุดลำลองถือถุงกระดาษเสื้อผ้ายี่ห้อดัง มีถุงเครื่องสำอางผู้หญิง สองสามใบในมือ ร้อง

เรียกทักพี่เทียนอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ ท่าทางน่าจะเป็นคนอัธยาศัยดีด้วย ความรู้สึกของผมบอกวาเขาเป็นผู้ชายที่ไม่น่า

ไว้วางใจ

“อ้าว ไอ้ฟรอยด์มาทำอะไรวะ”ผู้ชายคนนั้นเดินตรงมาที่โต๊ะที่เราทั้งสองคนนั่งอยู่ ผู้ชายหน้าตาเทรนเกาหลีผิวขาว สวมเสื้อยืดคอ

วีสีขาวสวมทับด้วยสูทแฟชั่นสีดำพับแขนขึ้นเห็นนาฬิกายี่ห้อดังราคาหรูบนแขนซ้ายสวมกางเกงผ้าสีน้ำตาลเข้ารูปกับรองเท้าหนัง

ชั้นดีสีดำ เดินมานั่งลงเก้าอี้ฝั่งที่ผมนั่ง สายตาแอบเหลือบมองมาที่ผม

“มารอแอนนี่ว่ะ เดินซื้อของจนเหนื่อย หิวด้วย เฮ้ยแกเป็นไงออกมาจากถ้ำได้ไงเห็นทำแต่งาน ชวนไปไหนก็ไม่ไปมาเป็นปีๆ

ตั้งแต่เลิกกับน้องเพียว”ท่าทางจะไม่ได้เจอกันนานพูดไม่มีหยุดหายใจเลย

“ก็ เรื่อยๆว่ะ งานเพิ่งอยู่ตัว โทษทีที่ไม่ได้ไปไหนมาด้วย”

“เอ่อ แต่ว่านี่แฟนใหม่หรอวะแกเปลี่ยนแนวหรอวะ คนนี้สวยน่ารักดีว่ะแต่เด็กไปเปล่าวะมึง”

“นิน เพื่อนพี่ไอ้ฟรอยด์”เพื่อนพี่เทียนยื่นหน้ามามองผมใกล้

“สวัสดีครับ”ผมยกมือขึ้นไหว้ทักทาย

“นี่น้องนิน”พี่เทียนแนะนำผมให้พี่ฟรอยด์ได้รู้จัก

“สะ..สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก พี่ขอโทษด้วยนึกว่าเด็กผู้หญิง น่ารักว่ะเทียน”

“เอ้อ กูรู้ของกู ไม่ต้องให้มึงมาบอก”

“แล้ว”เหมือนพี่ฟรอยด์กำลังรอให้พี่เทียนผู้อะไรต่อสักอย่าง

“ไม่มีอะไร”พี่เทียนทำหหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้

“เทียนกูมองสายตามึงกูก็รู้”

“เออน่ารู้แล้วก็เงียบ ไม่พูดไม่มีใครว่ามึงเป็นใบ้”พี่ฟรอยด์เรียกพนักงานมาสั่งอาหารได้ยินข่าวว่าหิวเข้ามาในร้านตั้งนานแต่เพิ่ง

สั่งอาหาร ผู้ชายทั้งสองคนยังคุยกันพี่ฟรอยด์ยังเหลือบมองผมบ่อยๆทำเหมือนที่พี่เทียนเจอผมครั้งแรก

“มองอะไรบ่อยนักวะ นินกินข้าวไม่ลงแล้วนะ หิวข้าวไม่ใช่รึไงทำไมไม่กิน”ดุเลยพี่เทียนจ้องทำไมจ้องอยู่ได้ ผมจะกินข้าวเลย

ไม่มีสมาธิ

“หวง ก็น้องเขาน่ารักดีว่ะ มึงดูดิน้องนินตาโต แก้มชมพู จมูกอีกแล้วยังปาก”พี่ฟรอยด์มองหน้าผมแล้วเริ่มวิจารณ์ แล้วก็หันไป

มองพี่เทียนแล้วหยุดลงแทบทัน

“มึงว่าอะไรนะ ”น้ำเสียงของพี่เทียนบอกว่ากำลังหงุดหงิด

“ไม่ใช่อย่างนั้น ก็จะบอกว่าน้องน่ารักดี มึงก็ จริงจังหรือวะ”

“เออ อย่าให้มากกว่านั้น”ดีสมน้ำหน้าโดนพี่เทียนดุ

“ส่วนเราก็กินเยอะๆ เอ้า กินเนื้อปลานี่จะได้โตเร็วๆ”พี่เทียนหันมามองที่ผมแล้วตักกับข้าวใส่ถ้วยของผม แล้วทั้งสองก็หัวเราะขึ้น

เบาๆ มันน่าตลกตรงไหน 

“เออคืนนี้มีนัดรวมพลกัน ไปไหม”

“ที่ไหนวะ”

“ยังตกลงกันไม่ได้ น้องนินไปเปิดหูเปิดตากับพวกพี่ไหม”

“เอ่อ คืนนี้มีนัดเลี้ยงสายแล้วครับคงไปด้วยไม่ได้”

“ที่ไหน กี่โมง บอกที่บ้านยัง”

“หืมไอ้เทียนมาเต็มเลยนะมึง ไม่นั่งเฝ้าเลยล่ะ”

“ได้ก็ดี”

“เอางี้กูว่า เราไปร้านเดียวกันกับน้องดีกว่าไหนๆก็ยังหาร้านไม่ได้ ดีไหมน้องนินไอ้เทียนจะได้ไปรับไปส่งเราด้วย”

“ก็ได้ครับผมไม่ปัญหาอยู่แล้ว”

“เอาตามนี้แหละคุณลุงคุณป้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงด้วย”ก็ดีเหมือนกันถ้ามีพี่เทียนที่บ้านผมจะได้อุ่นใจ

“เฮ้ย เดี๋ยวเจกันคืนนี้ น้องนินพี่ไปก่อนนะคืนนี้เจอกัน”พี่ฟรอยด์รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากร้าน มองตามพี่ฟรอยด์เห็นผู้หญิงร่าง

โปร่งบาง ผมยาว ยืนสวยอยู่หน้าร้านเหมือนกำลังมองหาใครสักคน พี่ฟรอยด์เดินตรงเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นพร้อมรอยยิ้ม

“แฟนพี่ฟรอยด์หรอครับสวยจังเลย”

“ไม่รู้สิเห็นมันคบไม่ซ้ำหน้าสักคน”อ้าวทำไมพี่เทียนขายเพื่อนอย่างนี้ละครับ ผมยังมองตามพี่ฟรอยด์ที่เดินผ่านหน้าร้านไปพร้อม

กับสาวสวยคนนั้น




***************************************************************

                 คำผิด ประโยคมีเยอะ อ่านหลายรอบแล้วยังมีให้เห็นบ้างขออภัยด้วย ตาลายมาก

  อย่าพึ่งเบื่อหนีหาย ตอนนนี้มาได้ครึ่งทาง อีกไม่นานก็ถึงปลายทาง ขอให้อยู่เป็นเพื่อนร่วมทางไปจนสุดทางด้วยจ้า

                                เจอกันใหม่ตอนหน้า





หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 13] 6/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-06-2016 11:46:50
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 13] 6/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-06-2016 14:00:35
นินไม่แย้งเลยเนอะ พี่เทียนถือโอกาสเลย
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 13] 6/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 10-06-2016 22:01:32
พี่เทียนก็เนี๊ยนนนนนน เนียน

น้องนินยังดูงงๆอยู่เลยนะนั่น
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 13] 6/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 11-06-2016 00:05:04
พี่เทียนนี่ก็เนียนได้เนียนดี แต่ถึงจะเนียนยังไง นินก็ยังใสๆไม่เข้าใจอยู่ดี
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 13] 6/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: Zxjmm ที่ 16-06-2016 16:34:18
พี่เทียนเป็นผู้ชายอบอุ่นมากก
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 13] 6/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: Nunnaly ที่ 21-06-2016 11:27:18
น้องนินใสซื่อ~~
พีเทียนดูแลดีๆนะ อย่าทำนินเสียใจ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 14] 22/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 22-06-2016 09:54:48


ตอนที่ 14
[/size]


ก๊อก แก๊ก ก๊อก แก๊ก เสียงกดแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊กมือผมกำลังเคลื่อนไหวสัมผัสเบาๆไปบนแป้นที่ผมกดพิมพ์ลงไปตามตัวอักษร

ส่วนสายตาผมกำลังจับจ้องอยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดพอดีตัวอักษรภาษาไทยแต่ละตัวกำลังปรากฏขึ้นมาบนหน้ากระดาษสีขาว

ในโปรแกรมใช้งานโปรแกรมหนึ่งจากตัวอักษรหนึ่งตัวรวมกันมากขึ้นจนเป็นคำเป็นประโยค บรรยายเรียบเรียงเรียงร้อยถ้อยคำของ

ผมลงบนหน้ากระดาษแผ่นนั้น ผมมองดูมุมซ้ายล่างแถบสถานะจากที่แสดงหน้าหนึ่งหน้าสองตอนนี้เปลี่ยนเป็นหน้าที่สิบ จำนวน

คำที่แสดงจากที่เป็นหลักหน่วย เปลี่ยนเป็นหลักร้อยจนถึงตอนนี้ก็ขึ้นหลักพัน เหลือบมองเวลาที่มุมด้านขวาของโน้ตบุ๊กตอนนี้

เวลาเย็นแล้วตัดสินใจหยุดมือลงจัดการบันทึกแฟ้มงาน My story ตั้งชื่อไว้ว่าอย่างนั้นเพราะยังหาชื่อที่เหมาะสมไม่ได้บันทึกกด

ปุ่มนั้นลงไปชื่อแฟ้มงานของผมก็ปรากฏขึ้นมาที่หน้าจอเลื่อนลูกศรไปที่ปุ่มปิดเครื่องแล้วรอให้เครื่องตรงหน้าดับลง ยกขึ้นเหนือ

ศีรษะยืดตัวขึ้นบิดแขนไปมานั่งทำงานหน้าจอเป็นเวลานานทำหน้าร่างกายรู้สึกล้า ใช้นิ้วนวดคลึงที่หัวคิ้วเบาๆผ่อนคลายอาการล้า

ของสายตา พับหน้าจอลงแล้วเก็บไว้บนโต๊ะทำงานให้เรียบร้อย เดินไปรับลมที่ระเบียง วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนของใครหลายคน

ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นวันพักผ่อนที่แสนเรียบง่าย และสงบเงียบของผม ราวตากผ้าข้างล่างเต็มไปด้วยผ้าที่พี่แจ่มเอาออกไปซัก

ตั้งแต่เช้า ตอนนี้กำลังปลิวไปตามลม คงจะแห้งหมดแล้ว แดดช่วงกลางวันแรงมากพอจะช่วยให้ผ้าแห้งได้หมด ตอนนี้แดดเริ่ม

อ่อนแสงลงพ่อกำลังยุ่งกับต้นไม้ในสวน ส่วนแม่น่าจะอยู่ในบ้าน เดินลงชั้นล่างตามเสียงเข้าไปในครัว สองสาววัยไล่เลี่ยกันกำลัง

ยุ่งวุ่นวายกันอยู่ในครัว

“น้องนินหิวข้าวแล้วหรอคะ”

“นินหิวหรอลูกตามกลิ่นอาหารลงมาจากชั้นบน”

“เปล่าครับ ว่าแต่แม่กับพี่แจ่มกำลังทำอะไรอยู่ครับ”

“แม่กับพี่แจ่มกำลังลองทำขนมให้หนูทาน และเตรียมอาหารเย็น”

“แล้วน้องนินจะออกไปข้างนอกตอนไหนคะ”

“อีกสักหน่อยครับ พี่เทียนจะมารับ”

“ตาเทียนไปด้วยหรอลูก อย่างนี้แม่ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย”

“ครับ พอดีพี่เทียนมีนัดกับเพื่อน”เลยไปร้านเดียวกันกับผม

คุกกี้ขนมที่แม่กำลังทำอยู่น่าจะใช้ แป้งทำขนม ผงฟู ข้าวโอ๊ต ลูกเกด เนย วางไว้อยู่บนโต๊ะ ในเตาอบที่กำลังทำงานก็คงมีขนม

อยู่ในนั้น ผมกลับขึ้นห้องเตรียมตัวรอพี่เทียนมารับตามเวลาที่นัดกันไว้ เปิดตู้เสื้อผ้าเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะที่สวมไปเที่ยวคืนนี้ หยิบ

ผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าแล้วชำระร่างกายด้วยน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติแรงน้ำไหลสม่ำเสมอที่ออกมาจากฟักบัวกระทบ

ลงบนศีรษะผิวสีขาวของผม ปิดน้ำแล้วชำระคราบเหงื่อไคลออกด้วยยาสระผมและครีมอาบน้ำผสมน้ำนมกลิ่นหอมหวานเหมือน

ลูกกวาด ลูบไล้ครีมอาบน้ำไปทั่วร่างกายแล้วเปิดน้ำล้างออกไล่ฟองจากศีรษะลงมาจนถึงปลายเท้าให้หมดแล้วชโลม สครับกลิ่น

เดียวกันแต่มีเม็ดบีทขนาดเล็กละเอียดช่วยขัดเอาผิวหนังชั้นกำพร้าออกไป ผมใช้มือที่สัมผัสเม็ดสครับค่อยๆวนไปบนผิวตั้งแต่คอ

ไหล่ข้อศอกหน้าท้องหัวเข่าและขารู้สึกสบายตัวสบายผิวเหมือนเป็นการช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นล้างทำความสะอาด

ด้วยน้ำเปล่าหยิบผ้าเช็ดตัวซับหยดน้ำที่เกาะบนผมและผิวออกแล้วหยิบครีมบำรุงผิวกลิ่นน้ำนมบำรุงผิวก่อนสวมเสื้อผ้าที่เตรียมไว้

เสื้อยืดสีขาวแขนสั้นคอวีพิมพ์ลายกับกางเกงยีนต์ขายาวเข้ารูปมีรอยขาดบ้างเล็กน้อยหยิบนาฬิกาสายหนังยี่ห้อดังขึ้นมาสวมที่

แขนซ้าย กระเป๋าตังค์และโทรศัพท์หยิบลงในกระเป๋ากางเกง สำรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งแล้วเดินลงไปข้างล่าง

“พี่เทียนมานานรึยังครับ”พี่เทียนกำลังนั่งรอผมอยู่ข้างล่าง

“ไม่นานพี่เพิ่งมาถึง”

“นินจะไปเลยหรรอลูก ดูแลตัวเองด้วยนะ เทียนดูน้องด้วยนะลูก”แม่เดินเข้ามาถามผม ผมเดินไปนั่งลงโซฟาหยิบถุงเท้าขึ้นมา

สวม

“ครับ”

“นินไปแล้วนะครับ”

“เดินทางปลอดภัยนะลูก”

ผมกับพี่เทียนเดินขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน ผู้ชายตัวโตสวมเสื้อยืดสีขาวสวมทับด้วยสูทลำลอง กางเกงยีนต์รองเท้าหนังสาวใน

ร้านอาหารเห็นคงมองตาเป็นมันเชียว

“วันนี้แต่งตัวดูดีนะ ”

“แสดงว่าทุกวันดูแย่”

“ทุกวันดูน่ารัก วันนี้ดูดีไปอีกแบบ”

“พี่เทียนก็แต่งหล่อเหมือนกัน แต่น้อยกว่านิน”

“แล้วนี่ต้องเปลี่ยนน้ำหอมใหม่ด้วยหรอ”

“ไม่ใช่น้ำหอมครีมอาบน้ำ พอดีกลิ่นเดิมหมด”

“อืม”

แล้วรถยุโรปคันโตก็เคลื่อนออกจากหน้าบ้าน พระอาทิตย์เคลื่อนตัวต่ำลงเรื่อยๆ แสงสุดท้ายของวันกำลังจะหายไป แสงจาก

หลอดนีออนข้างถนนกำลังมาแทนที่ ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างถนนกำลังตั้งร้าน มีบางคนที่เพิ่งจะเลิกงาน บนรถเมล์บางสายยังมีคนเยอะ

เป็นปกติ รถแท็กซี่ รถตู้ ต่างวิ่งแข่งกับเวลาเพื่อส่งผู้โดยสารไปถึงจุดหมายปลายทาง ตอนนี้มหาวิทยาลัยของผมเปิดมาได้นาน

แล้ว ผมยังจำวันแรกที่เดินเข้าไปเหยียบในคณะได้ เหมือนที่นั่นมีแต่นักศึกษาปีหนึ่งหันไปทางไหนก็แต่งกายคล้ายกันไปหมดแต่

ผ่านกิจกรรมเชียร์มาเท่านั้นหล่ะเสื้อนักศึกษาเริ่มหดกระโปรงเริ่มสั้น ส้นรองเท้าก็สูง สีผมก็เริ่มเปลี่ยน เชียร์คณะนี้ไม่ได้เข้มงวด

มากเหมือนบางคณะแต่ที่เข้าร่วมเพื่อคะแนนและเรียนรู้อยู่กับคนอื่นเพราะต้องอยู่ที่นี่ตั้งสี่ปี อาคารเรียนคณะนี้มีหลายตึกมีหลาย

ภาควิชาที่สำคัญนักศึกษาทุกคณะต้องมาเรียนภาษาอังกฤษที่นี่ ลานจอดรถขนาดกว้างแต่มีไว้สำหรับจักยานเท่านั้นรถยนต์จะหา

ที่จอดยากมากเพราะในมหาวิทยาลัยมีรถฟรีบริการทั้งวัน

      โรงอาหารขนาดกว้างต้องรองรับนักศึกษาภายในคณะและคณะใกล้เคียง ร้านกาแฟสี่ร้านตั้งอยู่ในบริเวณคณะ ส่วนเรื่องการ

เรียนของผมไม่มีปัญหาเพราะภาษาเป็นเรื่องที่ผมถนัด ผมกับเพื่อนก็เข้ากันได้ดีไม่มีปัญหาอะไร กิจกรรมต่างๆก็ผ่านไปได้ด้วยดี

แต่คืนนี้มีนัดเลี้ยงสายกับพวกรุ่นพี่ที่ร้านอาหารกึ่งบาร์แห่งหนึ่ง พี่เทียนเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่จอดรถของร้านเปิดประตูเดินลงมา

จากรถเงยหน้ามองป้ายชื่อร้าน “กินเพลิน” ที่เป็นตัวหนังสือนีออนขนาดใหญ่ติดอยู่หน้าร้าน

“พวกมึงอยู่ไหนก็มาถึงแล้ว..เออ...เออ...”พี่เทียนกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคน

“เพื่อนเรามารึยัง”

“น่าจะยังนะครับยังไม่ถึงเวลานัด แต่ผมไลน์บอกพี่ๆเขาแล้วว่าผมมารอที่ร้านแล้ว”

“ไปนั่งกับพี่ก่อน”พี่เทียนเดินนำผมเข้าไปร้าน ร้านอาหารบรรยากาศดีเหมาะกับการมานั่งแฮงเอาส์ ต้นไม้กระถางตั้งวางไว้รอบๆ

ร้านเหมือนเป็นรั้ว แสงไฟกลางคืนส่องสลัวจากโคมไฟที่ห้อยลงมาจากเสา มีที่นั่งโซนด้านนอกโต๊ะเก้าอี้สีดำเข้าชุดวางไว้หลาย

ตัวสำหรับคนที่ชอบบรรยากาศด้านนอกสูบบุหรี่ พื้นที่ปูด้วยหินกรวดและแผ่นอิฐรูปทรงสี่เหลี่ยม ส่วนด้านในเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้มี

เบาะรองนั่ง ร้านเพิ่งเปิดได้ไม่ถึงสองชั่วโมงเริ่มมีคนทยอยเข้ามาแล้วส่วนมากมาเป็นกลุ่มเพื่อน บริเวณด้านในถูกจำจองแล้ว

หลายโต๊ะลูกค้าที่นั่งประจำโต๊ะมีเครื่องดื่มอาหารถูกเสิร์ฟลงโต๊ะแล้ว พวกเราเดินเข้ามาด้านในมีหลายคนที่สนใจหันมามอง ด้าน

ในยังมีห้องกระจกใสสองสามห้องบริการสำหรับหมู่คณะที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมองเข้าไปข้างในมีจอทีวีขนาดใหญ่และ

ไมโครโฟนน่าจะใช้เป็นห้องเลี้ยงฉลองได้ มีบาร์ไว้สำหรับบริการเครื่องดื่ม เพลงในร้านเป็นเพลงเปิดจากแผ่นฟังสบายๆไม่ใช่

ดนตรีสด มีบันไดเดินวนขึ้นบนชั้นสองเมื่อขึ้นไปสิ่งแรกที่เห็นจะเห็นเวทีสำหรับแสดงดนตรี ที่มีเครื่องดนตรีครบชุดวางอยู่บนนั้นมี

คนอยู่บนนั้นสองสามคนน่าจะกำลังเตรียมร้องคืนนี้ มองจากชั้นนี้ลงไปจะสามารถเห็นโต๊ะที่นั่งอยู่โซนด้านนอกได้ เฟอร์นิเจอร์ชั้น

สองจะเป็นโซฟาทั้งหมด ชั้นนี้ก็มีห้องกระจกใสอยู่สองสามห้องเหมือนห้องข้างล่าง และมีบาร์เครื่องดื่มตั้งอยู่ตรงข้ามเวที

“เทียน น้องนินทางนี้”เป็นพี่ฟรอยด์ที่ตะโกนเรียกแข่งกับเสียงเพลงโบกมือเป็นสัญญาณให้รู้ว่าอยู่ตรงไหน ผมกับพี่เทียนตรงไป

หาพี่ฟรอยด์ที่ตอนนี้ที่นั่งมีคนหลายคนนั่งอยู่ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

“เฮ้ย มาเร็วนี่หว่านึกว่าจะเบี้ยวซะแล้ว”พี่ฟรอยด์ไม่วายกัดพี่เทียน พี่เทียนนั่งฝั่งที่มองเห็นเวทีมองเห็นก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น

เพราะไกลขนาดนี้ เกือบหลังสุดเลยทีเดียว

“น้องนินอยากทานอะไรสั่งเลยนะ ตามสบาย”มองยิ้มแทนคำตอบผมมองไปรอบๆโต๊ะมีผู้ชายที่น่าจะเป็นเพื่อนพี่เทียนสี่คนรวมพี่

ฟรอยด์ มีผู้หญิงอีกสามคนเป็นใครนั้นเดาไม่ออก แต่ทุกคนต่างมองมาที่ผมและพี่เทียน

“ไม่เจอกันนานเลยว่ะเทียน สบายดีเปล่าวะ”

“เรื่อยๆ แล้วมึงล่ะ....”พี่เทียนกำลังคุยกับเพื่อนๆ ส่วนผมก็นั่งเงียบพี่เทียนสั่งอาหารที่คาดว่าผมน่าจะกินได้มารองท้องเพราะออก

มาโดยที่ไม่มีอะไรรองท้องเสียงเพลงเบาๆสบายลมกลางคืนพัดโชยมาทำให้รูสึกเย็นสบายแต่ดึกกว่านี้น่าจะหนาว

“ใครวะเทียน มึงไม่คิดจะแนะนำให้พวกกูรู้จักเลยรึไง”เพื่อนพี่เทียนเห็นมองผมอยู่นานก็พูดขึ้นส่วนผมกำลังจัดการปลานึ่งมะนาว

ปลาช่อนทอดกระเทียม ต้มจืดผักรวมอย่างอร่อย

“ทำไม พวกมึงอยากรู้จักน้องเขา”

“เออดิวะ”เพื่อนพี่เทียนพูดพร้อมกันเกือบทั้งโต๊ะ

“แล้วถามน้องเขารึยังว่าอยากรู้จักกับพวกมึง”พี่เทียนเล่นแรงไปเปล่าครับ

“แหมคุณเทียนนี่อารมณ์ขันจังเลยนะคะ”ผู้หญิงน่าตาสวย ผมยาว หุ่นดีสวมชุดกระโปรงสั้นเกาะอกสีขาว เห็นแล้วรู้สึกหนาวแทน

ส่งสายแพรวพราว มองพี่เทียนด้วยสายตาเยิ้มเชียวท่าทางคืนนี้พี่เทียนคงจะได้ไปส่งผมที่บ้าน

“เออๆ นี่น้องนิน”

“สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้ทุกคน ถ้าผมคิดไม่ผิดเหมือนผู้หญิงคนนี้เธอมองมาที่ผมอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ อ้าพี่เทียนหาศัตรูให้

ผมซะแล้ว

“นิน ส่วนนี่พี่กัปตัน พี่ต้นตอ และพี่วัฒน์”แนะนำแต่ผู้ชายแสดงว่าพี่เทียนก็ไม่รู้จักพวกผู้หญิง

กลุ่มนี้ผู้ชายน่าตาดีทุกคน ฐานะก็น่าจะดีด้วยดูจากแต่งกาย

“ผู้ชายหรือวะนึกว่าว่าเด็กผู้หญิง”พี่กัปตัน

“ไอ้เราก็นึกว่ามึงเปลี่ยนรสนิยม”พี่ต้นตอ

"น้องนินน่ารักจริงนะโว้ยนั่งมองใกล้ๆยิ่งหน้ารัก”พี่วัฒน์มองเฉยๆก็ได้มั้งครับไม่ต้องยื่นหน้ามาใกล้ก็ได้ขณะที่ทุกคนมองมาที่ผม

แล้วคุยเรื่องของผมอยู่เป็นผู้หญิงคนเดิมสะกิดพี่ฟรอยด์เบาๆ

“เอ่อนี่พวกมึงนี่ หลิน เหมียว ใหม่ เพื่อนเราเอง”เพื่อนพี่ฟรอยด์แต่มองพี่เทียนตาเป็นมัน รู้สึกตลกกับท่าทางที่แสดงออกอย่าง

ชัดเจนของผู้หญิงคนที่ชื่อใหม่ เธอยังทอดสายมองมาทางพี่เทียนอยากรู้ว่าคนข้างผมกำลังทำหน้าตาอย่างไรแอบชำเลืองดูพี่

เทียนยังไม่สนใจกำลังคุยกับพี่กัปตันและพี่ต้นตอไม่รู้ว่าพี่เทียนไม่รู้จริงๆหรือไม่สนใจเธอกันแน่ ที่ผมยังสบายใจอยู่ได้คงเป็น

เพราะพี่เทียนไม่ได้แสดงท่าทีสนใจผู้หญิงคนนั้น ถ้าลองนึกภาพว่าเธอมานั่งข้างๆพี่เทียนเกาะแขนข้างนี้ซบลงที่ไหล่กว้างพูดจา

ออดอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน ผมก็คงไม่พอใจแต่ในฐานะอะไร ผมกลัวที่จะเจอผู้ชายแบบที่เคยเจอหรือความรักที่ผิดหวัง ไม่รู้ว่า

สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นมอบให้มันความรู้สึกรักหรือการหลงกันแน่ยังไม่สามารถแยกแยะความรู้สึก รักกับหลงออกจากกันได้ สักวันอาจ

จะสามารถสัมผัสความรู้สึกรักได้หรือเปล่านะ แล้วใครกันจะสามารถสอนให้ผมรู้ซึ้งถึงความหมายของคำคำนี้กัน อาจจะคาดหวัง

กับความรักมากเกินไปว่าความรักของผมต้องสวยงาม ผมยอมรับว่าผมคิดกับพี่เทียนมากกว่าพี่ชายคนหนึ่งไม่รู้ว่ามันเริ่มหรือเกิด

ขึ้นได้อย่างไรแต่พอรู้สึกตัวผมก็สึกดีทุกครั้งที่เขาอยู่ข้างๆ เสียงของเขาทำให้หายทุกข์ฟังแล้วรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่เขาโทรเข้า

มา ดีใจทุกครั้งที่เห็นข้อความผ่านไลน์เด้งขึ้นมานั่นหมายความว่าเขาคิดถึงผมเหมือนที่ผมคิดถึงเขา เขาไม่ได้แสดงท่าทางที่เกิน

เลยกับผมเลย ยังไงผู้หญิงก็คงจะดีกว่าผู้ชายด้วยกันเองซินะ ผมหันไปมองพี่ต้นตอกำลังชงเครื่องดื่มให้เพื่อนๆนักดื่มทั้งหลาย

ปล่อยให้พี่เทียนดื่มให้สบายเลยผมขับรถเป็นเดี๋ยวเป็นหน้าที่ผมขับไปส่งที่บ้านเอง

ครืน ครืน โทรศัพท์ของผมสั่น รุ่นพี่ของผมมาแล้ว ชะเง้อมองหา เห็นแล้ว

“พี่เทียนรุ่นพี่นินมาแล้ว”ผมสะกิดแขนพี่เทียนเบาๆแล้วกระซิบเบาๆที่หูพี่เทียนและชี้ที่โต๊ะที่มีรุ่นพี่นั่งรออยู่ซึ่งห่างจากโต๊ะนี้ไป

สองสามโต๊ะมองจากตรงนี้สามารมองเห็นได้

“พี่เทียนคืนนี้จะไปต่อก็บอกนินนะ นินจะได้กลับก่อน”ผมขอตัวแล้วเดินไปที่โต๊ะรุ่นก่อนเดินออกมา ไม่รอคำตอบจากพี่เทียน

“พี่ปุ๊กกี้ พี่เที่ยงคืน พี่พิกเจอร์ สวัสดีครับ”

“หวัดดีเจ้าตัวเล็ก นั่งก่อน”พี่พิกเจอร์พี่รหัสผม

“นั่งๆ”พี่เที่ยงคืนลุงรหัส

“น้องนิน  มานานรึยังจ๊ะ พี่สั่งอาหารเครื่องดื่มแล้ว อะไรทานไม่ได้ก็ไม่ต้องทานนะ”พี่ปุ๊กกี้นี่ปีสี่ครับ นั่งลงบนเก้าอี้ที่พี่ๆเขยิบให้

ตรงที่ผมนั่งมองเห็นโต๊ะที่เทียนและเพื่อนของเขานั่งอยู่ เอ๊ะผมพลาดอะไรไปรึเปล่า ผมยิ้มรีบปิดปากหัวเราะแทบไม่ทันผมมอง

ไปโต๊ะที่ผมลุกจากมาตอนนี้ที่นั่งของผมผู้หญิงคนนั้นเธอไปนั่งแทนผมแล้ว คืนนี้พี่เทียนจะรอดเงื้อมมือเธอไปได้รึเปล่า พี่เทียน

ทำหน้าไม่สบอารมณ์อีกแล้วคงรำคาญ เธอคงรุกเขามากเกินไป หันสายตากลับมาที่โต๊ะเวลาเริ่มเดินไปเรื่อยๆลูกค้าเข้ามาในร้าน

เพิ่มขึ้นแต่โต๊ะชั้นสองไม่เต็มเหลือว่างหลายโต๊ะ มีเพียงกลุ่มใหญ่ไม่กี่กลุ่มใหญ่ นักร้องนักดนตรีพร้อมแล้วต่างเดินขึ้นประจำที่บน

เวที เสียงเพลงเบาๆฟังสบายเข้ากับบรรยากาศร้าน

“พี่ครับผมไม่ได้สั่ง”

“โต๊ะโน้นสั่งมาให้ครับ”พนักงานเสิร์ฟวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะ ผมมองไปตามนิ้วที่พนักงานเสิร์ฟชี้ไป เป็นกลุ่มผู้ชายสี่คนคนที่สั่ง

ไวน์ให้ผมยกแก้วไวน์ขึ้นแล้วดื่ม เขาคงเข้าใจผิดว่าผมเป็นผู้หญิงรึเปล่านะ ที่สำคัญผมดื่มไม่ได้ผมเพียงยิ้มเป็นการขอบคุณ

เท่านั้น

“ใครหรอนินรู้จักรึเปล่า”พี่ปุ๊กกี้

“ไม่ครับผมไม่รู้จัก”

“น่าตาดีซะด้วย น้องเรานี่เสน่ห์แรง”พี่ปุ๊กกี้

“ใช่ดูสิมีแต่คนมองมา”พี่พิคเจอร์

“อยู่ในมหาวิทยาลัยก็มีแต่คนมอง มาที่นี่มีคนมองก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่มองซิแปลก”พี่เที่ยงคืน

“เออ ใช่พี่เพื่อนๆพิคเจอร์มีแต่คนชอบน้องทั้งนั้นเลย”

“เพื่อนๆพี่ก็เหมือนกัน”พี่เที่ยงคืน

“คนมันหน้าตาดีนะ ทำอะไรมันก็น่ามองไปหมด”พี่ปุ๊กกี้

จากนั้นก็โต๊ะข้างๆดินข้ามาชนแก้วพวกเราเรื่อยๆ ผมก็ชนน้ำเปล่าของผมไปเรื่อย ดูเหมือนพี่ๆของผมเริ่มมีอาการกันบ้างแล้ว

“นิน พาพี่ปุ๊กกี้ไปล้างหน้าหน่อยสิ ท่าจะไม่ไหวแล้ว”ผมหันไปมองหน้าปุ๊กกี้ตามที่พี่เที่ยงคืนบอก

“ฉันยังไหว ใครว่าฉันเมา แต่นินไปเป็นเพื่อนพี่ก็ดี”แล้วจะเถียงทำไมละครับผมล่ะไม่เข้าเลย

ลุกขึ้นเดินตามพี่ปุ๊กกี้ไปห้องน้ำพี่เขายังไม่เมาจริงๆยังเดินได้ปกติ เดินมาถึงหน้าห้องน้ำผมก็ยืนรอพี่ปุ๊กกี้หน้าห้องน้ำ

“ยังไงผู้หญิงก็ดีกว่าผู้ชาย คืนนี้เขาเสร็จฉันแน่”ผมเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มองตามเสียง

“ผู้ชายเขาคงเล่นๆเดี๋ยวเขาก็เบื่อหรือไม่งั้นก็คงลองของแปลก”

“คริ คริ วิปริต”

เสียงผู้หญิงสามคนที่เป็นเพื่อนพี่ฟรอยด์พูดเสียงดังผ่านหน้าผมไป แล้วหันหน้ามายิ้มเยาะให้ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ผมคง

ลืมไปว่าเรื่องแบบนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมผมกับพี่เทียนมาด้วยกันทำให้พวกเธอเข้าใจผิดว่าผมกับพี่เทียนเป็นอะไรกันรู้สึก

ปวดหนึบขึ้นมาผมควรที่หยุดมันไว้แค่นี้ซินะก่อนที่มันทำร้ายคนรอบข้างผมอีกครั้งเพราะผมดึงดันที่จะรัก ความรักนี่มันไม่ง่ายเลย

เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องคนสองคน แต่ตอนนี้มันเป็นเรื่องที่เราต้องคอยแคร์คนรอบข้างด้วย ไหนจะครอบครัว เพื่อนสนิท เพื่อนร่วม

งาน

“กัณฑ์”ผมเห็นผู้ชายคนนั้นเดินหายเข้าไปในห้องน้ำฝั่งตรงข้าม รีบเดินตามเข้าไปในห้องทันทีมีห้องน้ำห้องหนึ่งเพิ่งปิดลงหลัง

จากที่เดินเข้ามาผมเลือกเข้าห้องที่อยู่ใกล้ห้องนั้น

“ฮัลโหลพี่ ผมเอาเด็กมาให้พี่แล้วเดี๋ยวพี่มารับได้เลย”เสียงผู้ชายคนนั้นกำลังคุยกับใครสักคนผ่านทางโทรศัพท์หมายความว่ายัง

ไง หาเด็กให้ ใครคือเด็กคนนั้นแล้วหาให้ใคร ผมรีบเปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วเดินตามผู้ชายคนนั้นออกไปดูที่หน้าร้าน ทันสิ

ต้องทัน ขอให้ผมตามไปทันด้วยเถอะ ออกมาหน้าร้านแล้วแต่ไม่ทันผมตามเขาไม่ทันผู้ชายคนนั้นขึ้นรถญี่ปุ่นแล้วขับรถออกไป

ให้ตายเถอะ เสียงเอะอะโวยวายของผู้หญิงดังแว่วมาจากลานจอดรถที่มีแสงไฟสลัวไม่รู้ว่าพูดอะไรไม่รู้ว่าผมยืนอยู่ไกลเกินไป

หรือเสียงดนตรีจากร้านอาหารข้างหลังผมที่เปิดเสียงดังกันแน่ มันอันตรายเกินไปผมไม่กล้าเอาตัวเองเข้าไปใกล้อันตรายกว่านี้


******************************     มีต่อข้างล่าง   ***********************

หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 14] 22/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 22-06-2016 09:56:26

                  ********************   ต่อจากด้าบบน   ************************

“ฐิตา” ผู้หญิงคนนั้นคือฐิตาอย่างนั้นหรอผมเห็นผู้ชายสองคนพยายามลากเธอไปที่รถจะช่วยเธอได้ยังไงลานจอดรถห่างจากร้าน

บวกกับเสียงดนตรีทำให้คนในร้านไม่มีใครได้ยินเสียงของเธอดูท่าทางคงจะมีอาการเมาด้วย

ปรี้น ๆๆๆๆ เสียงแตรรถคันหนึ่งดังขึ้น เมื่อรถคันเลี้ยวเข้าไปที่ลานจอดรถทำให้ผู้ชายสองคนนั้นตกใจปล่อยมือจากผู้หญิงคนนั้น

ทำให้เธอวิ่งไปที่รถคันนั้น พวกมันรถขับออกไป ไปแล้วพวกมันไปกันแล้ว ผมมองร่างบางที่นอนขวางอยู่หน้ารถยนต์ที่บีบแตรนั่น

คนที่อยู่ในรถยังไม่ลงมาผมตัดสินใจรีบเดินเข้าไปดูคนที่กำลังนอนอยู่บนพื้น

“ฐิตา ฐิตาเป็นยังไงบ้าง”ผมเขย่าตัวและเรียกชื่อเธอ เธอนอนหลับตาร่างกายกำลังสั่น

“อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”ร่างที่นอนตะแคงไปกับพื้นเสียงพูดของเบาเหมือนคนกำลังละเมอ พยามพยุงตัวเธอให้นั่ง

เรียกชื่อเธอเพื่อให้เธอมีสติ

“ฐิตา ฐิตา นี่เราเองนะ เรานินไง”มือทั้งสองข้างผมจับต้นขาของเธอไว้แล้วเขย่าเรียกเธอให้สติ

“นินไหน นิน นิน ใช่นิน”เธอลืมตาขึ้นจองมองที่ผมไม่ว่าเพราะแสงน้อยหรืออาการตกใจผสมกับความมึนเมา ทำให้เธอตั้งสติไม่

ได้ เธอยังเรียกชื่อผมซ้ำๆเรียกความทรงจำ

“ใช่เราเอง นินไง”เธอจำผมได้แล้ว เธอคงไม่เป็นอะไรมาก ใช้มือสัมผัสตามแขนขาของเธอไม่มีเลือดหรือบาดแผลที่เป็นห่วง

“นิน นิน แล้วเธอมาอยู่นี่ได้ไง แล้ว แล้วนินช่วยเราด้วย พวกมันจะพาเราไปไหน..”เธอสติกับคืนมาก็เริ่มโวยวาย แล้วโผเข้ากอด

ตามร้องไห้ออกมา

“ไม่มีอะไรแล้ว มันไปแล้ว ฐิตาปลอดภัยแล้ว”ผมกอดตอบลูบหัวเธอเบาๆ

“คุณเป็นอะไรบ้างรึเปล่าครับ”เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างหลังผม ดันฐิตาออกแล้วหันหลัง

“เอ่อ ผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรมากรึเปล่า พอดีผมรีบไปหน่อย”ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ข้างหลังผมชะเง้อดูผู้หญิงที่ยังนั่งขวางอยู่หน้ารถ

และใช้มือข้างหนึ่งกุมไว้ที่หน้าผาก เขาคงตกใจเหมือนกันขับรถเลี้ยวเข้ามาที่ลานจอดรถดีดีแล้วมีคนไมรู้ที่ไหนวิ่งเข้ามาตัดหน้า

รถกะทันหันยังโชคดีที่เขามีสติเบรครถได้ทัน

“ไม่เป็นอะไรมากครับ แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง คุณไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ”ผมชี้ไปที่หน้าผากที่เขาใช้มือกุมไว้ ผมหัน

ไปมองฐิตาที่ตอนนี้น้ำตาหยุดไหลแล้วกำลังใช้มือเช็ดน้ำตา เธอยืนขึ้นผมเข้าไปช่วยพยุงเธอ แล้วหยิบกระเป๋าใบเล็กของเธอขึ้น

มายื่นให้เธอหยิบกุญแจรถออกมาเดินไปที่รถมีผมและผู้ชายคนนั้นเดินตามหลังไปดูว่าจะมีอะไรช่วยได้บ้าง เธอคงสร่างเมาแล้ว

“นิน เราขอบคุณนะที่ช่วย”เธอเปิดประตูรถออกแล้วหันหน้าก้มลงต่ำมองพื้นขอบคุณ

“ส่วนคุณขอโทษด้วยนะคะ”เธอก้าวขึ้นรถคันหรูปิดประตูสตาร์ทเครื่องยนต์ขับออกจากที่นั่นทันที มองตามรถที่แล่นออกไปวันนี้

ช่วยเธอได้ แต่มันคงไม่จบลงแค่นี้ผู้ชายคนนั้นคงต้องทำอะไรอีกแน่

“ผมว่าเธอคงไม่เป็นอะไรแล้วหล่ะ”หันไปมองดูหน้าผากเขา ที่เริ่มบวมปูดขึ้นมา บอกให้เขาไปหาหมอหรือกลับไปพักดีกว่าเดี๋ยว

อาการจะแย่ไปกว่านี้ กลับเข้าร้านเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะรุ่นพี่

“ไปไหนมานิน พี่นึกว่าหนีกลับไปแล้วซะอีก หนุ่มๆแถวนี้เขาเดินมาถามหาใหญ่เลย”พี่ปุ๊กกี้

“พอดีเจอเพื่อนเลยคุยกันเพลินครับ”มองหน้าปัดจอโทรศัพท์เที่ยงคืนกว่าแล้วพี่เทียนไลน์เข้ามาหลายครั้งแล้ว คงแปลกใจว่าผม

หายไปไหนมา

“พี่ปุ๊กกี้ผมว่ากลับเถอะครับ พี่ผมเริ่มเมาเดียวขับรถไม่ได้ ส่วนไอ้พิคเดี๋ยวผมไปส่ง”

“ก็ดีพี่ก็เริ่มไม่ไหว แล้วนินกลับยังไง”

“ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอก มีคนรอไปส่งเยอะ เอาตัวให้รอดเถอะพี่นะ”

“เออ งั้นก็กลับ”พี่ๆเรียกพนักงานมาเก็บเงิน โบกมือลาพี่ๆกลับไปแล้ว แล้วเดินย้ายกลับมานั่งที่โต๊ะเดิม หนุ่มๆโต๊ะนี้สายแข็งยัง

ไม่มีใครแสดงอาการ นั่งลงเก้าอี้ที่วางอยู่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร

“รุ่นพี่ กลับกันหมดแล้วหรอ”

“ครับ”พี่เทียนก็ไม่ได้นั่งที่เดิม ดูเหมือนทุกคนสลับที่นั่งกันทุกคนแอบเล่นเก้าอี้ดนตรีไม่ชวน

“พี่เทียนเมายังครับ”ยื่นหน้าเข้าไปใกล้มองหน้าคนหน้าตาดีไม่มีอาการเมาให้เห็น

“นิดหน่อย ว่าแต่เราอยากกลับยัง”หันไปมองผู้หญิงสวมชุดแดรสสีขาวที่จ้องจะกินพี่เทียน อ้าว เมาฟุบไปแล้ว สาวๆอีกสองคนก็

อยู่อาการมึนๆ

“เทียนแกพาน้องกลับเถอะดึกแล้ว เดี๋ยวเคลียแก้วนี้หมดก็จะกลับแล้ว”พี่กัปตัน

“เออ เอางั้นก็ได้กูกลับก่อนละกัน เฮ้ยฟรอยด์ ต้นตอ วัฒน์กูกลับก่อนนะ”

“เออ ขับรถดีๆนะมึง”พี่ฟรอยด์

“เออ ไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอก”

“กูไม่ได้ห่วงมึงกูห่วงน้องนินกลับดีดีนะครับ ฝากดูแลเพื่อนพี่ด้วย”พี่ฟรอยด์ ฮ่า ฮ่า กล้าเล่นนะพี่เทียนเดินนำผมไปแล้วมีเซบ้าง

นิดๆ พี่เทียนล้วงกุญแจรถออกจากกระเป๋าผมรีบแย่งจากมือหนานั้นที

“ทำอะไร”

“พี่เทียนเมาแล้ว เดี๋ยวขับไม่ถึงบ้าน”

“แล้วใครบอกว่าจะกลับบ้าน ดึกแล้วไม่มีใครเขารอเปิดประตูบ้านให้หรอก”

“แล้วจะไปไหนครับ ไม่รู้แหล่ะจะไปไหนก็บอกมาเดี๋ยวนินขับให้ พี่เทียนนั่งสบายๆอยู่ข้างๆก็พอเดี๋ยวนินบริการเอง”

“ขับเป็นรึไงเรา”หลังผมพิงอยู่ประตูรถฝั่งคนขับพี่เทียนเดินเข้ามาใกล้ มือข้างซ้ายเขายันรถไว้ ผมต้องเงยหน้าขึ้นพูดด้วยเพราะ

เขาเข้ามาใกล้พี่เทียนโน้มใบหน้าลงมา

“เชื่อมือนินเถอะ”พี่เทียนแสดงอารมณ์เหมือนไม่พอใจแต่ก็เดินไปนั่งบนรถแต่โดยดี

“แล้วตกลงเราจะไปที่ไหนครับ”ถามถึจุดหมายปลายทางให้ขัดเจนอีกครั้ง

“คอนโดพี่”


       หนักจังเลยเหมือนมีอะไรทับผมอยู่ หมอนนุ่มๆผ้าห่มอุ่นๆ รู้สึกสบายจังไม่อยากตื่นเลย หนักจังเลยค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมอง

เพดานยังสีขาวเหมือนเดิม แต่ของในห้องเปลี่ยนไปแล้วที่สำคัญมีหัวใครสักคนทับอยู่บนท้องผมไม่พอยังกอดด้วย พี่เทียนจำได้

แล้วเมื่อคืนพวกเรามานอนที่คอนโดพี่เทียนเพราะพี่เทียนดื่มมาก แต่เป็นผมที่ขับรถมาถึงคอนนี้ตามที่พี่เทียนบอกทาง คอนโดหรู

ในเมืองใหญ่ ผมง่วงมากยังไม่สังเกตว่ามันตั้งอยู่ที่ไหนแม้แต่ชื่อยังไม่สนใจพอจอดรถก็พยุงพี่เทียนไปเอากุญแจที่ฝากไว้แล้วขึ้น

ลิฟต์ตรงไปที่ห้องทันที จัดการพี่เทียนเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าถ้าให้อาบน้ำคงไม่ไหวส่วนผมก็ถือวิสาสะเปิดตู้หยิบเสื้อผ้าออกมา

เปลี่ยนแล้วก็โดดขึ้นเตียงเข้าสู่นิทราตามพี่เทียนไป

“พี่เทียน พี่เทียนตื่นนินหนัก ตัวเท่าบ้านนอนทับลงมาได้”เขาไม่ใช่หมอนกอดนะจะได้มานอนกอดสบายใจอย่างนี้ ยันตัวขึ้นนั่งหัว

พี่เทียนเลื่อนมาอยู่บนตักผู้ชายตัวโตใบหน้าหล่อเหลาเวลานอนหลับตาขนยาวๆจมูกปากน่าดูจังเลย เป็นเพราะความใกล้ชิดนี้รึ

เปล่านะที่ทำให้เผลอใจ หรือเพราะพี่เทียนไว้ใจผมมากเกินไปไม่คิดอะไรมากทำตัวสบายเป็นกันเองไม่มีกำแพงคอยขวางกั้นไว้

“อืม ตื่นเช้าจังเลย”เสียงพี่เทียนปลุกผมออกจากจินตนาการอันฟุ้งซ่าน

“ฮ่า ฮ่า เช้ายังไงจะเที่ยงแล้วครับ”พี่เทียนเปลี่ยนท่านอนแล้วโดนเข้ากับจุดไว้สัมผัสของผม

“หัวเราะอะไร บ้าจี้หรอเรา”พี่เทียนเข้าจู่โจมผมทันที

“อย่าๆพี่เทียน ฮ่า ฮ่า ผมยอมแล้ว แฮก แฮก”ผมดิ้นจนหมดแรงหอบหายใจเข้าปอดอยู่บนเตียงกว้าง พี่เทียนแกล้งผมอยู่ดีๆก็รีบ

เดินหายเข้าไปในห้องน้ำเป็นอะไรของเขานะ ลุกขึ้นจากเตียงสำรวจห้องชายโสดซะหน่อยเผื่อจะเจอชุดชั้นในซุกไว้ในที่ไหนสัก

ที่ ห้องนอนขนาดไม่กว้างมากภายในห้องมีทีวีจอใหญ่วางไว้บนตู้เก็บของเอนกประสงค์ ด้านซ้ายเป็นประตูปิดออกไปเป็นระเบียง

ด้านขวาโซฟาตั้งอยู่ใกล้เตียงนอนเอานั่งผ่อนคลายอารมณ์ ตรงข้ามโซฟาเป็นห้องน้ำอีกห้องในห้องนั้นมีทั้งอาบน้ำขนาดใหญ่

และตู้อาบน้ำ ประตูบานเลื่อนเมื่อเปิดออกไปด้านซ้ายจะเป็นอีกห้องที่จัดไว้เป็นห้องทำงานโต๊ะทำงานตัวโตตรงอยู่กลางห้อง บน

โต๊ะเครื่องคอมพิวเตอร์โคอมไฟหนังสือเอกสารซ้อนกันเป็นชั้นวางไว้ข้างโต๊ะ ตู้เก็บหนังสือเอกสารวางชิดติดพนังหลายตู้ ชุด

โซฟาสีเข้มทำจากหนังชั้นดีวางไว้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน ส่วนด้านขวาเป็นห้องแต่งตัวตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่แยกออกเป็นตู้เสื้อผ้า

และลิ้นชักสำหรับเก็บผ้าชิ้นเล็ก กระจกเงาบานใหญ่เต็มตัวและชั้นวางหวี น้ำหอม แป้งเดินออกไปด้านห้องแต่งตัวจะเป็นห้องโถง

รับแขกขนาดกว้าง โซฟาชุดใหญ่วางไว้เผชิญหน้ากับทีวีจอแบนขนาดใหญ่ ด้านหลังของห้องเป็นเคาเตอร์บาร์สำหรับนั่งดื่มหลัง

เคาร์เตอร์เป็นโต๊ะทานข้าวสำหรับแปดที่ ตู้เก็บแก้วรูปทรงต่างๆ ตู้เก็บเหล้านอกไวน์ปีต่างๆ ตั้งโชว์ในตู้ใกล้ตู้เย็น ห้องสุดท้ายคือ

ครัวเตาไฟฟ้าสองหัวเครื่องดูดอากาศอ่างล้างจานตู้เก็บของเป็นห้องที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย เดินไปนั่งเล่นโซฟาหน้าทีวีในห้อง

โถงเปิดทีวีฆ่าเวลา พี่เทียนอาบน้ำสวมชุดคลุมอาบน้ำ เดินเข้าไปในห้องแต่งตัว แล้วผมก็เดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำจัดการธุระส่วน

ตัวให้เรียบร้อยใส่กางเกงตัวเดิมส่วนเสื้อต้องเป็นของพี่เทียน มองเวลาตอนนี้เที่ยงกว่าแล้วมิน่าถึงหิว

“หาอะไรทานก่อนไหม”พี่เทียนถามขนาดขับรถเลี้ยวเข้าร้านอาหารร้านหนึ่ง

“ครับ”เราทั้งสองเดินเข้าไปในร้านวันนี้วันหยุดวันครอบครับ ในร้านมีลูกค้าหลายโต๊ะที่มาพร้อมกับครอบครัว เสียงเด็กๆพูดเจื้อย

แจ่ว ทางร้านหามุมเงียบๆให้ ผมพี่เทียนสั่งอาหารทานง่ายๆพร้อมข้าวเปล่า สีหน้าคนตรงหน้าผมไม่มีทีท่าอาการเมาค้างให้เห็น
เลย

“เราขับรถเก่งนิ ไปเรียนมาจากที่ไหน”พี่เทียนเริ่มบทสนทนาก่อน

“พรสวรรค์ วันไหนขี้เกียจขับเรียกใช้บริการได้”

“อืม ฮึฮึ”

“เมื่อคืนนึกว่าพี่เทียนจะไปต่อกับเพื่อนคุณฟรอยด์ซะแล้ว”

“ทำไม”

“เห็นเธอรุกหนักขนาดนั้น แล้วพี่เทียนไปทำยังไงให้เธอถอดใจได้”

“แก่แดดนะเรา ยุ่งเรื่องผู้ใหญ่”

“แหม ก็กลัวผู้ใหญ่ทิ้งแล้วไปต่อไม่บอก แล้วจะกลับไงล่ะจริงปะ”

บทสนทนาของเราจบลงแค่นั้นเมื่อพนักงานเสิร์ฟนำอาหารมาวางตรงหน้า ความสนใจทุกอย่างจึงไปอยู่ที่อาหารตรงหน้าเป็นมื้อ

อาหารอีกมื้อที่อร่อยไม่แพ้มื้อไหนๆ ผมมองยังแอบมองผู้ชายตรงหน้าอยู่ เขาดูแลผมแต่มันก็การทำร้ายความรู้สึกผมทางอ้อม

เหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปผมจะหยุดความรู้สึกนี้ได้ยังไง งั้นตอนนี้ผมขอรับความรู้ดีๆนี้ไว้ก่อน เอาไว้วันหลังค่อยหักห้ามใจ

แล้วกัน




*********************************************************************



                 เจอกันใหม่ตอนหน้า


หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 14] 22/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: Nunnaly ที่ 22-06-2016 11:18:28
น้องนินหวั่นไหว~~
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 14] 22/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-06-2016 14:07:39
ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 14] 22/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-06-2016 18:55:03
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 14] 22/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 22-06-2016 21:30:16
สนุกดี อ่านรวดเดียวถึงตอนล่าสุดเลยจ้า รอติดตามตอนหน้าค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 15] 7/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 07-07-2016 10:02:57

เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน

บทที่ 15
[/size]


ห้องเรียนขนาดกว้างอยู่บนตึกชั้นสามหน้าต่างกระจกใสเปิดรับอากาศยามเช้าแปดนาฬิกา ห้องเรียนที่ปกติต้องเปิดเครื่องปรับ

อากาศแต่เวลาเช้าๆอย่างนี้ลมธรรมชาติเป็นอีกทางเลือกที่นักศึกษาเลือก ห้องโล่งกว้างเก้าอี้เป็นร้อยว่างเกินกว่าครึ่ง เช้าเกินไป

คือสาเหตุที่ไม่ค่อยมีนักศึกษาลงเรียนSECTION นี้ อีกไม่ถึงสิบนาทีจะถึงเวลาเรียนอาจารย์มาแล้วกำลังให้นักศึกษาลงชื่อเข้า

เรียน มองไปรอบๆหลายคนยังนั่งหาวอาการเหมือนคนยังไม่ตื่นนอนไม่ต่างจากเพื่อนผมหน้าแต่ละคนสภาพแต่ละคนดูไม่จืด

เทอมที่หนึ่งได้หมดลงไปแล้วสอบปลายภาคของผมและผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีอะไรผิดพลาดตามความคลาดหมาย เปิดเทอมใหม่

ได้ไม่นานทำให้นักศึกษาที่ไม่ค่อยโผล่หน้าจะมาก็ต่อเมื่อช่วงใกล้สอบหรือมีทดสอบย่อย

“นักศึกษาวันนี้มีงานให้ทำ อาจารย์จะแจกเอกสารชุดนี้ให้ทุกคนให้นักศึกษาจับกลุ่มทำงาน....”อาจารย์สาวสวยไซน์ขนาดเล็ก

สวมชุดสูทรวบผมเรียบร้อยชูเอกสารในมือแล้วอธิบายให้นักศึกษาไม่ถึงครึ่งร้อยฟังผ่านไมโครโฟน เอกสารถูกส่งมาเรื่อยๆจนมา

อยู่ในมือผม

“เรื่องสั้น”อ่านเอกสารที่รับแจกมาแต่งเรื่องสั้นขึ้นมาแล้วมีภาพประกอบเหมือนการ์ตูนเป็นช่องๆ จากนั้นทำเป็นภาพเคลื่อนไหวอนิ

เมชั่น ยากไปเปล่าครับ

“โฮ ยากไปไหมเนี่ย”ช๊อปบ่นก่อนที่ผมจะพูดออกมา

“ก็คงทำให้คุ้มกับคะแนนที่ให้”ชี้ไปที่คะแนนที่อยู่ในกระดาษให้เพื่อนดู

“ดีนะไม่โพสลงเว็บมหวิทยาลัยให้คนเข้าไปโหวตให้คะแนน”

“ก็ไม่แน่นั่นมันเรื่องของอนาคต”

“ช๊อป นิน อาจารย์ให้จับกลุ่มข้าวกับแต้มอยู่ด้วยนะ”ผมกับช๊อปพยักหน้า เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แจ้งให้รู้ส่วนเวลาส่งต้องเริ่มจาก

ส่งเนื้อเรื่องเมื่อผ่านจะเข้าสู้ขั้นตอนที่สองวาดรูปประกอบทำเป็นรูปเล่มสุดท้ายทำเป็นอนิเมชั่น

“งานชิ้นนี้ส่งตามเวลาที่กำหนดไว้ในเอกสารนะคะ ส่วนวันนี้เรามาขึ้นเนื้อหาใหม่....”เวลาผ่านมาได้ครึ่งชั่วโมงมีนักศึกษาบางคน

เพิ่งเดินเข้ามาในห้องก็มี บางคนเตรียมเดินออกจากห้องเรียนหลังที่ลงชื่อเสร็จเรียบร้อย ที่จริงตามความคิดของผมไม่ต้องเช็ค

เวลาให้อิสระว่าใครก็เข้าเรียนหรือไม่ก็ได้ การศึกษาของไทยมีปัญหานั่งล้อมวงพูดกันทั้งวันทั้งคืนก็ไม่หมด

“ฮื้อในที่สุดก็หมดคาบ”ช๊อปยืนขึ้นบิดขี้เกียจ อาจารย์กำลังเก็บของลงกระเป๋าเตรียมเดินออกจากห้อง

“ข้าวเห็นช๊อปมีแต่นอนไม่เห็นจะตั้งใจเรียนตรงไหนเลย”

“ก็มันน่าเบื่อนี่นา ช๊อปไม่ชอบบรรยายชอบปฏิบัติ”โกหกเถอะช๊อป เราไม่เห็นนายจะตั้งใจเรียนสักคาบ

“แล้วทำไมไม่เป็นเกษตรซะล่ะ จะได้ปฏิบัติทั้งวัน”ฮ่า ฮ่า อันนี้จริงแต้มต่อพูดถูกใจมาก

“เออใช่”ข้าวขาว

“เราว่าเราหิวข้าวล่ะ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”เบรคความคิดของเพื่อนๆไว้ก่อนที่จะไปไกลกว่านี้


          เสียงคนพูดคุยเสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณโรงอาหารกลิ่นอาหารเสียงเรียกลูกค้า ร้านอาหารตามสั่งทีมีป้ายรายการ

อาหารติดไว้ด้านบนของร้านตู้โชว์วัตถุดิบบอร์ดเขียนขึ้นโชว์รายการอาหารแนะนำปากากับสมุดเล่มเล็กวางไว้หน้าร้านสำหรับ

เขียนรายการหารที่ต้องการสั่งพ่อครัวสวมผ้ากันเปื้อนและหมวกคลุมศีรษะกำลังสาระวนกับกับข้าวในกระทะ ร้านข้าวราดแกงมี

แม่ค้าพ่อค้าหลายคนช่วยกันตักอาหารตามที่ลูกค้าแต่ละคนสั่งเมื่อได้อาหารตามที่ต้องการเดินไปจ่ายเงินด้านหลังพร้อมรับช้อน

ส้อม ร้านส้มตำเสียงครกดังเป็นจังหวะกลิ่นปลาร้าพริกกระเทียมเรียกน้ำลายใครหลายๆคน ร้านก๋วยเตี๋ยวกลิ่นน้ำซุปเฉพาะที่ส่ง

กลิ่นหอมมาแต่ไกล เวลาใกล้เที่ยงมีนักศึกษาที่เรียนเพิ่งเสร็จหรือเตรียมขึ้นเรียนในตอนบ่าย ถึงแม่ว่าคนจะไม่ค่อยหนาตามาก

เหมือนในตอนเที่ยง แต่ที่นั่งก็ถูกจับจอง ร้านอาหารสิบกว่าร้านก็มีลูกค้าเดินเข้าออกเรื่อยๆ

“ช๊อป กินอะไรกินดี”หลังจากที่เดินหาที่นั่งแล้ววางกระเป๋าลงแต้มต่อก็ถามขึ้น

“ข้าวแกงเถอะง่ายๆดี”

“เราขอผ่านนะยังอิ่มมื้อเช้าอยู่เลย”

“มิน่าล่ะทำไมข้าวดูง่วงๆคงกินมากเกินไปล่ะซิ แล้วกินอะไรเข้าไปล่ะเมื่อเช้า”แต้มต่อ

“น่าจะใช่ เมื่อเช้าร้านนั้นเขาอาซูชิมาขายเราเลยกินไปกล่องหนึ่งกับข้าวปั้น”ข้าวขาวชี้ทางร้านน้ำที่เธอซื้อซูชิกับข้าวปั้นเมื่อเช้า

“งั้นข้าวเฝ้าโต๊ะนะ”พวกเราเดินแยกย้ายไปซื้ออาหารกินอาหารเรียกน้ำย่อยได้เหลือเกินตัดสินไม่ถูกว่าจะเลือกร้านไหน

“ข้าวไม่กินอะไรหรอเดี่ยวเราเฝ้าโต๊ะให้เอง”กลับมานั่งที่โต๊ะวางข้าวต้มปลาลงบนโต๊ะ

“อือ งั้นเราจะไปร้านกาแฟนินจะฝากเราซื้ออะไรไหม”

“งั้นเราฝากซื้อน้ำผลไม้แล้วกัน”ฝากข้าวขาวซื้อน้ำผลไม้มองดูเธอที่เดินตรงไปที่ร้านกาแฟคิดว่าอีกนานกว่าจะได้

“นั่นข้าวเขาไปไหนของเขานะนิน”แต้มต่อวางก๋วยเตี๋ยวข้างๆตามด้วยอาหารตามสั่งของช๊อปอะไรกันสองคนนี้ไหนบอกว่ากินข้าวแกง

“พอดีตามกลิ่นอาหารไป พอรู้ตัวอีกทีก็ไปอยู่หน้าร้านแล้ว”ช๊อปยิ้มแห้งให้กำลังแก้ตัว ผมยิ้มแล้วส่ายหัวให้เพื่อน

“นี่นินรู้จักผู้ชายคนนั้นไหม”แต้มต่อสะกิดผมให้มองดูผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่กลุ่มเพื่อน

“เราเห็นเขามองมาที่โต๊ะเรานานแล้วนะ”จริงๆด้วยเขากำลังมาที่โต๊ะที่พวกผมนั่งอยู่

“ไม่อะเราไม่รู้จัก”

“แต้มยังไม่ชินรึไงไม่ใช่แค่ผู้ชายคนนั้นคนเดียวซะเมื่อไหร่ มองไปรอบๆดิ”ช๊อป

“เออ จริงด้วย”แต้มตอบรับ พวกเราก็นั่งกินข้าวกันต่ออย่างไม่รีบนักเพราะตอนบ่ายไม่เรียนแต่วันนี้ผมต้องเข้าเอางานไปส่งพี่ๆที่

สำนักนักพิมพ์งานแปลช่วยให้ภาษาของผมมีพัฒนาการดีขึ้นและน่าดีใจที่พี่ๆเขาชอบภาษาการแปลของผม ทำงานเสร็จนานแล้ว

แต่ยังไม่เข้าไปส่งเพราะกลัวที่ต้องเจอกับเขา พยายามตัวให้ยุ่งใช่ผมกำลังหลบหน้าเขาอยู่ที่จริงมันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยแต่

ผมมันบ้าที่ทำไปอย่างนั้นผมให้เหตุผมง่ายว่าต้องทำงานส่งอาจารย์เพราะเป็นช่วงใกล้สอบ ต้องอ่านหนังสือสอบ เคลียร์งานส่ง

อาจารย์ เขาโทรมาหาผม ผมรับแต่กรอกเสียงลงไปปลายสายว่าไม่ว่าง ตอบไลน์บ้างไม่ตอบบ้างทั้งที่ทุกครั้งผมต้องจ้องมอง

ข้อความที่เขาส่งมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนที่จะลบมันทิ้งไป ช่วงเวลาสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ผมคิดว่าผมน่าจะทำใจได้บ้างถ้าได้

เจอเขาอีกครั้ง ช่วงแรกที่ต้องหักห้ามใจตัวผมต้องรู้สึกทรมานมาก  แต่ยังอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่อยากให้ความรู้สึกของ

ผมคนเดียวทำร้ายเขา

“นิน”มีเสียงผู้หญิงเรียกชื่อผม

“ฐิตา”เธอยิ้มให้ผมบาง

“เราขอนั่งด้วยนะ”

“เดี๋ยวช๊อปกับแต้มไปซื้อน้ำก่อนนะ นินจะเอาอะไรรึเปล่า”ผมส่วยหัวเป็นการปฏิเสธ ทั้งสองลุกออกไปจากโต๊ะคงให้ผมกับฐิตาคุย

กันได้สะดวก

“ฐิตาขอโทษนะที่เคยพูดไม่ดีกับนินมาตลอด”

“ไม่เป็นไรเรื่องมันผ่านไปแล้ว เราไม่ได้คิดอะไรหรอก ฐิตาสบายใจได้”

“ก็จริงนะถ้าไม่อย่างนั้น นินคงไม่เข้ามาช่วยเรา เราขอบคุณอีกครั้งนะสำหรับเรื่องวันนั้น”

“เราบังเอิญไปเห็นเข้านะ ถ้าเป็นคนอื่นเห็นก็เข้าไปช่วยทุกคนนั่นแหล่ะ ฐิตาอย่าคิดมาก”

“ที่จริงฐิตาอยากเข้ามาคุยกับนินนานแล้วแต่ไม่กล้าเข้ามา เอ่ออีกอย่างอยากเข้ามาขอบคุณอย่างจริงจังซักครั้ง อีกไม่นานจะถึง

วันเกิดเราเราอยากชวนไปงานวันเกิดที่บ้านฐิตา ฐิตาอยากให้นินไปนะ ถ้านินไม่ไปแสดงว่านินยังไม่เคืองที่เราพูดไม่ดีกับนิน”

“เอ่อ....”

“นินไปนะไปหลายคนสนุกดี”

“แต่....”

“ส่วนเรื่องวันเวลาฐิตาจะบอกอีกทีนะ ฐิตาไปก่อนนะ ฐิตามีเรียนนะ”ฐิตาก็ยังเป็นฐิตาเอาแต่ใจตัวเองยังไม่ได้ตกปากรับคำเลยนะ

มองตามร่างฐิตาที่เดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆของเธอ ฐิตาไม่ใช่เป็นคนไม่ดีโดยเนื้อแท้ผมเชื่ออย่างนั้นอาจจะเป็นการเลือกคบ

เพื่อน สังคมที่เธออยู่ สาวสวย เก่ง ฐานะทางบ้านดี ทำไมต้องมาคอยอิจฉาเด็กกำพร้าธรรมดาคนหนึ่ง แล้วอีกเรื่องคือทำไมเธอ

ถึงได้ไปรู้จักผู้ชายอย่างกัณฑ์ได้ผมเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นยังไม่ปล่อยฐิตาแน่นอนมันต้องมีอะไรมากกว่านั้น

“ยายนั่นมาหาเรื่องอะไรนินอีกรึเปล่า”อ้าวข้าวกลับมาแล้ว

“ไม่มีอะไรฐิตาเข้ามาทักเห็นเรานั่งอยู่คนเดียว”

“แน่ใจนะ วันนี้หิมะคงไม่ตก ยัยฐิตาเข้ามาพูดด้วยดีดี นินก็อย่าไว้ใจคนอื่นไปทั่วล่ะ”

“แล้วน้ำที่ฝากซื้อล่ะ”

“อะนี่ น้ำผักผลไม้ปั่นเจ้าของร้านบอกสดจากสวนเลย อิ อิ ”

“ฮ่า ฮ่า ข้าวไปไหนมาตั้งนาน”

“ไปหาอะไรดื่มที่ร้านกาแฟแต่เข้าไปในร้านแล้วอากาศเย็นเค้กอร่อยเลยนั่งเพลินไปหน่อย ขอโทษด้วย”

“ช่วงนี้กินเยอะข้าวระวังอ้วนด้วยล่ะ”ช๊อปทักขึ้นเดินกลับที่โต๊ะพร้อมน้ำในมือ

“ว๊าย ช๊อปใจร้ายว่าข้าวอ้วนหรือ แต้ม นิน ข้าวอ้วนขึ้นหรือไม่นะชีวิตข้าวต้องโสดไปอีกนานเท่าไหร่ แค่นี้ยังไม่มีผู้ชายมอง ถ้า

อ้วนไปกว่านี้ข้าต้องขึ้นคานแน่....”ข้าวกำลังสูญเสียความมั่นใจเธอมักจะเป็นอย่างนี้เสมอถ้าพูดถึงเรื่องน้ำหนัก

“ฮ่า ฮ่า  ฮ่า”เสียงเพื่อนหัวเราะกับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของข้าวขาว เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาดีมีคนเข้ามาขายขนมจีบบ่อยๆแต่ก็ไม่

เห็นเธอสนใจสักคนเธออาจจะมีใครที่แอบซ่อนอยู่ในซอกความรู้สึกที่ไม่อาจบอกหรือเปิดเผยให้ใครรู้ได้เหมือนผมรึเปล่านะ แต่

ตราบใดที่ยังรู้สึกสบายดีไม่ได้เจ็บป่วยจนล้มลงลุกขึ้นต่อไปไม่ไหว ก็คงต้องเก็บรักษาความรู้มันไว้ต่อไปจนกว่าจะทนไม่ไหวจน

มันระเบิดออกเองนั่นแหล่ะ ยอมรับความกล้าของคนที่เดินเข้าสารภาพว่าชอบหรือรักใครสักคนมันเป็นอะไรที่เสี่ยงกับการ

เปลี่ยนแปลงสูญเสียอะไรหลายๆอย่าง และถึงแม้จะถูกปฏิเสธแต่ใครหลายๆคนก็บอกว่าดีใจที่ได้บอกความของตนเองรู้ที่มีกับคน

ที่ตัวเองรู้สึกดีๆด้วยออกไป การที่ต้องทนเก็บความรู้นั้นไว้กับตัวเองมันทรมานเจ็บปวดและเสียดาย ผมเข้าใจดีว่าความรักเป็น

เรื่องธรรมดาที่ต้องมีผิดหวังสมหวังผมรู้ดีผมเคยผิดหวังเสียใจร้องไห้ ผมกลัว ผมยอมรับ ผมขี้ขลาดผมรู้ ผมถึงเลือกทางที่จะไม่

บอกออกไปเก็บมันเอาไว้ ให้มันลึก ลึกลงไป ลึกลงไปในหัวใจที่สุดเท่าที่จะทำได้

“บ่ายโมงกว่าเดี่ยวเราต้องไปทำธุระต่อ ขอตัวก่อนนะ”

“แล้วเจอกันพรุ่งนี้”แต้มต่อ

“นินไปแถวไหนติดรถช๊อปไปไหม”

“อืมงั้นรบกวนด้วยละกัน”ผมและเพื่อนเก็บถ้วยชามไปไว้ที่เก็บแล้วต่างแยกย้ายกัน

ระยะทางจากมหาวิทยาลัยไปยังสำนักพิมพ์ไม่ไกลการเดินทางก็แสนจะสะดวก แต่ผมก็ไม่อยากขัดใจเพื่อนที่อุส่ามีน้ำใจ

“ช๊อปส่งนินตรงนี้ก็ได้เดี๋ยวนินเดินเข้าไปเอง”

“อือ ก็ได้เจอกันพรุ่งนี้”

“ขอบคุณที่มาส่ง”ขอบคุณช๊อปที่แวะมาส่ง รถของช๊อปขับออกไปแล้ว เดินเข้าไปในสำนักพิมพ์ เห็นรถยุโรปคันโตคุ้นตาจอดอยู่

ที่เดิมขนาดเห็นแค่รถยังอดรู้สึกคิดถึงไม่ได้เลย

เอี๊ยด ปี๊ด ปี๊ด เสียงเบรก ตามมาด้วยเสียงบีบแตร ผมตกใจหันไปตามเสียงสิ่งที่เห็นทำให้ผมตกใจแล้วล้มลง

“นี่อยากตายรึไง เดินใจลอยอยู่ได้ อยากตายก็ไปที่อื่น”ผู้หญิงหน้าสวยหุ่นสวยสวมชุดเดรสเซ็กซี่กระโดดลงมามองดูรถคันหรู

ของเธอแล้วด่ากราดรัวผมไม่หยุด หน้ากลัวจัง

“ขอโทษฮะ ขอโทษผมไม่ได้ตั้งใจ”ยกมือไหว้ขอโทษเธอ เป็นผมเองที่ผิดผมผิดจริง

“รู้แล้วก็ดีระวังด้วยถ้าฉันเหยียบเบรกไม่ทันตอนนี้แกไปอยู่ในนรกแล้ว”

“ขอโทษฮะ”ผมขอโทษเธออีกครั้งเธอคงตกใจมากและโกรธ

“เสียเวลา รู้ไหมว่าฉันรีบ ลุกออกไปจาหน้ารถได้แล้วฉันไปแล้ว”เธอไล่ให้ผมลุกขึ้นเพราะตอนนี้ผมนั่งบนพื้นถนนขวางทางขอ

เธออยู่ ผมพยายามลุกขึ้น โอ้ย รู้สึกเจ็บแปบที่ข้อเท้าแต่ก็ยังลุกขึ้นได้

“ผมขอโทษอีกครั้งครับ”ผมยืนขึ้นหลีกทางให้

“คนอะไรเป็นผู้หญิงดีดีไม่ชอบอยากเป็นทอม วิปริตจริงๆ ท่าทางโลกจะร้อนขึ้นทุกวัน”เธอมองผมตั้งหัวจรดเท้าส่ายหัว ทำหน้า

แสยะยิ้มแล้วพูดเบาๆ แต่ผมได้ยิน เธอกลับขึ้นรถแล้วปิดประตูแล้วขับไปจอด ผมไม่ได้เป็นผู้หญิงซะหน่อยปัดฝุ่นที่ติดตาม

เสื้อผ้าโชคยังดีที่ไม่มีแผลแต่ข้อเท้ายังเจ็บอยู่แต่ซักพักก็คงหายดี

“คุณเป็นอะไรไหม”พี่ยามเดินเข้ามาถามผมแกคงเห็นมาที่นี่บ่อยๆ

“ไม่เป็นอะไรมากครับ ขอบคุณครับ”

ผมค่อยๆเดินผลักประตูเข้าตูไปเดินตรงไปที่ลิฟต์เดินออกมาแล้วตรงไปที่ห้องที่ผมมาส่งงานบ่อยๆ

“พี่ชัช พี่นพ พี่ภีม พี่หนิง สวัสดีครับ”ยกมือขึ้นไหว้สวัสดีพี่ๆ

“น้องนินของพี่หนิงมาแล้ว”พี่หนิงวิ่งเข้ามาทักทาย

“สวัสดี นินมาส่งงานหรอ”พี่ภีม

“ตายยากจริง กำลังบ่นคิดถึงอยู่เลย”พี่นพ

“หวัดดี หวัดดี นั่งก่อนนั่งก่อน”พี่ชัช

“ผมเข้าเอางานมาส่งนะครับ”

“เออ ดีนะเราทำงานได้เร็ว ตรงเวลาดี ทำไมคนอื่นไม่เป็นแบบนี้บ้างหวะ”พี่ชัช

“บ่นเป็นคนแก่ไปได้พี่คนเราก็หลายประเภท น่ารักแบบเจ้านินมีคนเดียวก็ดีแล้ว” พี่หนิง

“ทำไมวะ/ทำไม”พี่พี่

“พี่พี่ก็ดูดิน้องมันน่ารักว่ากว่าหนูที่เป็นผู้หญิงอีกนะ แบบนี้อนาคตหนูขึ้นคานชัวร์”พี่หนิง

“จริงของไอ้หนิงมันพี่ ตอนแรกผมยังนึกว่าเจ้านินมันเป็นเด็กผู้หญิงเลย เกือบไปแล้ว”พี่ภีม

“เอ้ยพูดไปนะ เดี๋ยวเจ้านายมาได้ยินเข้ามันจะไม่ดี”พี่ชัช

“ทำไมหรอครับพี่ชัช”สงสัยหรือว่าพี่เทียนเขาจะไม่ชอบ

“เออน่า เรื่องของผู้ใหญ่อยู่ไปนานๆเดี๋ยวนินก็รู้เองแหล่ะ ไอ้หนิงพาน้องเข้าไปตรวจงานในห้องไป”พี่ชัช

“นิน มากับพี่มะ”พี่หนิง

เดินตามพี่หนิงเข้าไปตรวจเช็คงานเบื้องต้นก่อนส่ง

“ทำไมวันนี้พี่ชัชแกดูเครียดครับ”

“อ้อ อย่าไปสนแกเลยช่วงนี้กำลังจะมีโชคใหญ่ กำลังระดมความคิดกันประชุมมาหลายวันแล้วยังหาข้อสรุปไม่ได้ ช่วงนี้เจ้านายก็

ดูเครียดๆอารมณ์ไม่ดี พี่ๆเขาเลยดูเกรงๆสงสัยทะเลาะกับแฟนรึเปล่าไม่รู้”หายใจสะดุดทันทีที่ได้ยิน ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่เทียนมี

คนรักรึเปล่า ไม่ใช่หรอกเป็นผมเองที่ขี้ขลาดที่จะยอมรับความจริงว่าเขามีคนรักแล้ว อยากหลอกตัวเองไปเรื่อยๆว่าเขายังไม่มีใคร

ผมยังมีสิทธิ์นั่นคือคำพูดที่คอยปลอบตัวเองมาตลอด ผมยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองว่าผมรู้สึกยังไงกับเขากันแน่

“เจ้านายมีแฟนแล้วหรอครับ เอ่อขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไร ขนาดพวกพี่ยังอยากรู้นินก็เป็นพนักงานคนหนึ่งก็ต้องอยากรู้เป็นธรรมดา เห็นเขาบอกว่ามีแล้วนะมีคนเคยเห็นมานั่ง

เฝ้าที่ทำงานด้วย สวยน่ารัก เรื่องปกติล่ะนะเจ้านายเราหล่อขนาดนั้นไม่มีแฟนก็คงเป็นเรื่องแปลก....”ได้ยินเสียงพี่หนิงว่าพูด สวย

น่ารักที่สำคัญเป็นผู้หญิงถ้าคิดจะสู้ผมคงแพ้ตั้งแต่คิดแล้วดีแล้ว ดีจังเลยที่รู้ตัวเองไม่เหมาะ ที่เดินออกมาก่อน ก่อนที่จะเจ็บไป

มากกว่านี้ ฮึ ฮึ น่าสมเพทตัวเองชะมัด

“นิน นิน เป็นอะไรรึเปล่าหน้าดูซีดๆ”

 “อ้อ กำลังคิด เรื่องโปรเจคของพวกพี่คงยุ่งยากมากเลยนะครับ แค่ผมได้ยินยังรู้สึกเครียดไปด้วยเลย”

“เราเป็นบริษัทเปิดใหม่นักเขียนประจำยังไม่มี ก็เลยต้องหาพวกนักเขียนอิสระแต่ผลงานก็ไม่ต่อเนื่อง เราอยากได้นักเขียนของเรา

เองก็กลัวเรื่องปั้นให้ดังแล้วทิ้งเราไป โอ๊ยปัญหามันเยอะมันเรื่องของผู้ใหญ่ปล่อยให้เขาคิดไป”

“แต่ผมว่ามันว่าจะมีทางนะครับ เช่น ประกวดหานักเขียนหน้าใหม่ให้ส่งนิยายเข้าประกวด”

“อย่างนั้นใครก็ทำกัน”

“แต่ถ้าเราไม่เหมือนละครับ เราคัดเลือกผู้ผ่านเข้ารอบมาสักสิบคนมาทำเวิร์คช๊อป เอาผลงานของพวกเขามาสู้กันเอง เช่น โจทย์

ให้แต่งนิยายโรแมนติกแล้วให้ทำเป็นหนังสั้น”

“มันก็น่าสนใจแต่เรื่องงบล่ะ”

“ไม่ต้องออกรายการทางทีวี เปลี่ยนเป็นยูทูป โซเชียลมีเดียละครับ ทำเหมือนรายกานประกวดร้องเพลงที่ติดตามชีวิตในบ้านแต่

เราเป็น ตามติดชีวิตนักเขียน มันจะช่วยให้คนทั่วๆได้รู้ด้วยว่ากว่าที่เราจะมีงานเขียนออกมาแต่ละเรื่องมันต้องผ่านอะไรมาบ้าง”

“เออ น่าสนใจ”เอ่ออันนี้ไม่ใช่พี่หนิงพูดแต่เป็นพี่ชัชที่ยืนพิงประตูในมือถือถ้วยกาแฟกลิ่นหอมควันลอยขึ้นมาจากถ้วย

“คือ”

“เฮ้ยน่าสนใจพี่ชอบ ไอ้นพ ไอ้ภีมมานี่สิ”พี่ชัชเรียกพี่ๆเข้าในห้อง

“มีอะไรพี่ มีอะไรหนิง”พี่นพเดินเข้ามาบนหน้ามีเครื่องหมายคำถามอยู่บนนั้น

“มาแล้วก็นั่งเงียบๆ อ้าวนินพูดต่อ”

“คะ ครับหลังจากที่แต่งนิยาย เรื่องสั้นตามโจทย์แล้วก็ทำเป็นหนังละครสั้นจากนั้นก็เอาลงโซเชียลมีเดียให้คนเข้าไปให้คะแนน

แสดงความคิดเห็น เราไม่ต้องคัดออก แข่งนับเอาคะแนนรวมว่าใครเก่งที่สุดคือผู้ชนะต้องเซนต์สัญญาทางเรา มันน่าจะเป็นการ

เปิดกว้างเพราะแต่ละคนน่าจะมีความสามารถไม่หมือนกัน.....” ผมลองเสนอความคิดเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้างพวกพี่เขามีความ

สามารถอยู่แล้วผมเชื่ออย่างนั้น

“ฟังๆก็น่าสนนะพี่ สมัยนี้ใครก็เล่นโซเชี่ยวมีเดียกันทั้งนั้นการแชร์ข่าวสารเรื่องราวต่างๆก็รวดเร็วไม่ยุ่งยากเหมือนเดิม”พี่ภีม

“งั้นพี่จะลองเสนอที่ประชุมดูแล้วกัน ขอบใจนะเราสำหรับไอเดียดีๆ”พี่ชัช

“ไม่หรอกครับผมก็เป็นพนักงานที่เหมือนกันอยากทำอะไรให้บริษัทบ้าง”

“ไอ้หนิงตรวจงานน้องเสร็จยัง ถ้าเสร็จแล้วก็ไปรับเงินให้น้อง”พี่นพ

“เรียบร้อยแล้วพี่ นินรอพี่อยู่นี่ก่อนนะเดี๋ยวไปรับเงินมาให้”พี่หนิงรับครับจากพี่นพแล้วกันมาคุยกับผม พี่หนิงเดินออกไปจากห้อง

พี่ๆก็กลับๆปทำงานตามปกติ

       ไหนไหนผมก็เข้ามาแล้วมาบริษัทน่าจะไปทักทายเจ้าของบริษัทซะหน่อย ต้องลองเผชิญหน้าไปพบหน้าพี่เทียนหลังจากที่

ไม่เจอกันเลย สบายดีรึเปล่าก็ไม่รู้แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าจังเลยท่าทางมันคงจะบวมแน่เลยผมจะเป็นอะไรมากรึเปล่านะ

“พี่เทียนนี่ละก็ วันหลังออกไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันนะคะ”

“ครับ พี่นะว่างเสมอแต่เชอร์รีนไม่รู้ว่าว่างรึเปล่า”

เสียงผู้หญิงผู้ชายกำลังคุยกัน เสียงหัวเราะแว่วออกมาจากห้องผมลดมือแล้วเดินหันหลังให้ประตู ผมคิดว่าเขาคงไม่เป็นอะไรมาก

แล้วหล่ะคงมีแต่ผมมั้งที่คิดเป็นห่วงเขา คนที่อยู่ในนั้นเป็นแฟนของเขารึเปล่านะไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้พูดคุยแต่ได้ยินเสียงหัวเราะ

ดังแว่วมาแค่นี้ก็พอใจแล้ว

“ไปโรงพยาบาลรวยสุขครับ”ผมบอกแท็กซี่ให้ไปโรงพยาบาลข้อเท้าผมท่าทางมีปัญหาไม่ใช่น้อยตอนนี้มันบวมขึ้นและห้อเลือด

ผมกลัวว่ามันจะมีผลต่อร่างกายเลือกลับไปตรวจที่โรงพยาบาลเดิมถือเป็นการกลับไปตรวจร่างกายอีกครั้งหลังจากที่ออกมาโรงง

พยาบาลได้สักพักแล้ว





******************************************


ขอบคุณทุกความคิดเห็น ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่าน และชอบคุณทุกการรอคอย


โปรดติดตามต่อไป

หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 15] 7/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-07-2016 11:50:25
สรุปน้องนินคิดมาก หรือพี่เทียนแค่หมาหยอกไก่ :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 15] 7/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-07-2016 12:46:34
 :mew2:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 15] 7/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: chaichan ที่ 07-07-2016 13:11:52
อยากได้ความชัดเจน
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 15] 7/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 07-07-2016 16:33:41
พี่เทียนช่วยชัดเจนหน่อยได้มั๊ย?? ถ้ามีคนรักอยู่แล้วก็ไม่ควรจะมาทำตัวให้ความหวังใครนะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 16] 21/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 21-07-2016 13:17:47
เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน

บทที่16
[/size]


“พี่นนท์ พี่นนท์ ฮือ ฮึก ฮือ หนูขอโทษ หนูขอโทษ”

“พี่นนท์ พี่นนท์ ฮือ ฮึก ฮือ หนูผิดไปแล้ว หนูผิดไปแล้ว”

“พี่นนท์ พี่นนท์ ฮือ ฮึก ฮือ ช่วยหนูด้วย ช่วยหนูด้วย”

“ใคร ใคร อะ เธอเป็นใคร”

“พี่นนท์ พี่นนท์ ฮือ ฮึก ฮือ หนูอยู่ตรงนี้”

“ใคร ใคร ผมถามว่าใคร”

“พี่นนท์ พี่นนท์ ฮือ ฮึก ฮือ ช่วยหนูด้วย”

ผู้หญิงคนนึ่งผมสีดำยาวนั่งยองๆเธอสวมชุดสีขาวก้มหน้าเอามือปิดหน้าไว้ ร้องให้เรียกชื่อผมซ้ำไปซ้ำมา เธอเป็นใครทำไมถึง

เอาแต่เรียกชื่อผม เธอรู้จักผมอย่างนั้นหรอแต่เธอเป็นใครกันแน่แล้วต้อการให้ผมช่วยอะไรผมเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้นผมรู้สึก

กลัวๆกล้าๆ

“นี่ คะ..คุณต้องการให้ผมช่วยอะไร ช่วยเรื่องอะไร”

“พี่นนท์ พี่นนท์ ฮือ ฮึก ฮือ ขอโทษ ขอโทษ”

“ขอโทษผมทำไม ขอโทษผมเรื่องอะไร ผมไม่เข้าใจ”เธอยังก้มหน้าเอามือปิดหน้าไว้ส่วยหายหัวไปมา หมายความว่ายังไงเธอ

ไม่รู้อย่างนั้นหรอ

“พี่นนท์ พี่นนท์ ฮือ ฮึก ฮือ ผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว”ผมเดินไปอยู่ข้างหน้าเธอแล้วคลุกเข่าลง ผู้หญิงคนนี้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นใบหน้า

ของเธอทำให้ผมต้องผงะออก


สะดุ้งตัวตื่นมาจากที่นอน บอกได้คำเดียวว่าผมกลัว กลัว กลัวผู้หญิงคนนั้นมากเสียงของเธอยังติดหูเหมือนยังอยู่ใกล้ๆผมตลอด

เวลา ใบหน้าผู้หญิงคนนั้นยังติดตาอยู่เลย ขนที่แขนรู้สึกลุกขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย อาการในห้องเย็บยะเยียบ รีบคว้าผ้าห่มขึ้นมา

คลุมโปงพนมมือขึ้นท่องบทสวดมนต์เท่าที่จำได้ ท่องผิดท่องถูก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่

ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด เสียง..เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเปิดผ้าห่มออกรีบควานหาโทรศัพท์เพื่อปิดเสียง

หกโมงเช้าแล้ว เช้าแล้ว เช้าแล้ว รอดแล้ว ฮื้อ ฮึก ผมกลัวแล้วอยากมาหลอกมาหลอนกันเลยแล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้

ใครกันที่ต้องการความช่วยเหลือ ผมหรือผู้หญิงคนนั้นกันแน่ เปิดผ้าห่มออกช้าๆสิ่งแรกที่เห็นแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านผ้าม่านที่ปิด

ไม่สนิทเข้ามา รีบลุกขึ้นจากเตียงเปิดผ้าม่านแล้วเปิดประตูรับแสงแดด เขาบอกว่าผีกลัวแสงแดดต้องเปิดให้แสงแดดเข้ามาใน

ห้องในเธอจะได้ไม่ต้องมาหาผม แสงแดดอ่อนๆยามเช้าสายลมเบาๆพัดมากระทบผิวรู้สึกหนาว หนาวมากใช่แล้วลืมไปเลยว่ามัน

เป็นฤดูหนาววิ่งกลับเข้าไปในห้องกลับไปนอนขดใต้ผ้าห่มเหมือนเดิม กลัวผีจนลืมหนาวให้ตายเถอะ ที่สำคัญผมว่าผมลืมอะไรไป

อีกอย่างวันนี้ต้องไปเที่ยวกับพี่เทียนและเพื่อนพี่เทียน รีบหยิบเสื้อผ้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำชำระร่างกายด้วยน้ำอุ่นและจัดการ

ธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยพร้อมแต่งตัวชุดเตรียมเดินทางออกมาจากห้องน้ำ เฮ้อถอนหายใจยืนมองกระเป๋าเดินทางที่เตรียมไว้

เรียบร้อย ถ้าไม่เตรียมกระเป๋าไว้แต่แรกวันนี้คงต้องวุ่นวายน่าดู

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“นิน ตื่นยังลูกเดี๋ยวสายนะ”

“เสร็จแล้วครับ”

“เสร็จแล้วลงไปทานข้าวโจ๊กรองท้องก่อนจะได้ไม่เมารถ”

“ครับ”รับคำแล้วลากระเป๋าเดินทางสี่ล้อใบเล็กออกมาห้อง เห็นคุณแม่ยืนรอข้างหน้าห้อง

“ทำไมกระเป๋าใบเล็กจังเลยลูกที่โน่นอากาศหนาวนะ เอาเสื้อกันหนาวไปไหม”

“เอาไปครบตามที่แม่บอกเลยครับ”

“ดีมากเลยลูก แต่ทำไมหน้าหนูซีดๆ”

“สงสัยนินตื่นเต้นจะได้ไปเที่ยว เลยนอนไม่ค่อยหลับ”

“เดี๋ยวเอาผ้าห่มกับหมอนขึ้นรถไปด้วยหนูจะได้นอน เดี๋ยวแม่บอกตาเทียนให้”ฮ้าว พูดแล้วก็รู้สึกเพลียๆเหมือนกันไม่รู้ว่าจะสนุก

หรือจะเป็นภาระใครบ้างรึเปล่า

“นินมาลูกทานข้าวเป็นเพื่อนพ่อก่อนไปเที่ยว”

“พ่อกับแม่ไปเที่ยวอย่าลืมของฝากด้วยนะครับ”

“ฮ่า ฮ่า พ่อกับแม่ไปทำงานถ้าหมออนุญาตพ่อก็อยากพาเราไปด้วย”วันนี้ต้องแยกทางกันพ่อกับแม่ต้องไปสัมนากันที่ต่างประเทศ

ตอนแรกว่าจะหนีบผมไปด้วยแต่โดนคุณหมอเบรกไว้ยังไม่อยากให้เดินทางไกลออกนอกประเทศโดยเครื่องบิน ทำให้ต้องถูกทิ้ง

ให้อยู่บ้านแต่พอดีกับที่พี่เทียนจะไปเที่ยว

“เอ้อ เทียนมึงรู้ยังเพื่อนนัดกันไปเที่ยวไอ้กัปตันบอกให้ชวนมึงไปด้วยมึงจะไปเปล่า ชวนน้องนินได้ด้วย”

“ดูก่อน”

“มึงนี่ตลอดเลย น้องนินสนใจอยากไปเที่ยวกับพวกพี่ไหม”

“เที่ยวหรอครับน่าสนุกจัง ไปที่ไหนครับ”

“ยังตงลงกันไม่ได้เลยครับ เห็นไหมมึงน้องนินอยากไป”

“เออ เออก็ได้นัดวันเวลามาเดี๋ยวกูเคลียงานไว้รอ”


ตั้งแต่ตอนที่เจอพี่ฟรอยด์และได้สัญญากันไว้ในที่สุดพวกพี่เขาก็ได้เวลาตรงกับที่พ่อแม่ไม่อยู่พอดี ทำให้พ่อแม่ฝากผมไว้กับพี่เทียน

“เดี่ยวแม่จะซื้อของมาฝากนะ”

“เอาหนังสือที่แม่ชอบซื้อมาฝากก็ได้”กำลังทานโจ๊กอย่างอร่อยหยุดมือเหมือนคิดได้ว่าพูดอะไรออกไป ผมไม่กล้าหันหน้าไปมอง

หน้าพ่อกับแม่ไม่รู้ว่าทั้งคู่กำลังทำหน้าตาอย่างไรอยู่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมหลุดคำพูดประมาณนี้ออกไป ให้ตายเถอะทำไมผมไม่

เคยจำสักที มันเป็นนิสัยของผมมาตั้งแต่เด็กจะให้เปลี่ยนภายในไม่กี่วันคงไม่ใช่เรื่องง่าย

“พะ พี่เทียนมาแล้วหรอครับทานโจ๊กรองท้องก่อนไหมครับ”ไม่เคยดีใจที่ได้เจอพี่เทียนครั้งไหนเท่าครั้งนี้มาก่อน เขามาช่วยชีวิต

ผมชัดๆอัศวินขี่ม้าขาว อยากโผเข้ากอดเขาจังเลย

“อ้าวตาเทียนนั่งลงก่อนลูกทานโจ๊กกับน้องก่อนไหม”

“ก็ได้ครับ งั้นรบกวนด้วยนะครับ”ไม่รอวิ่งเข้าครัวไปตักโจ๊กใส่ถ้วยให้พี่เทียน

“พี่เทียนอีกตั้งนานก็กว่าจะถึงเวลานัดทำมาเร็วจัง”วางถ้วยโจ๊กลงแล้วถาม

“พอดีตื่นเช้าเลยออกมาก่อน”

“ตื่นเต้นเหมือนน้องนินรึเปล่ารายนั้นก็ตื่นเต้นจนนอนไม่ค่อยหลับ”

“ฮ่า ฮ่า อาจจะเหมือนกันก็ได้ครับ ผมก็ไม่ได้ไปเที่ยวนานแล้ว”

“แม่ฝากน้องดูแลด้วยนะ ให้งีบในรถไปด้วย”

“ไม่ต้องห่วงจะผมดูแลเป็นอย่างดีเลยครับ”

“นินให้พี่แจ่มเตรียมอาหารของเราในตะกร้า น้ำผลไม้ก็อยู่ในนี้นะลูก”

“คิดถึงตอนที่เราไปเที่ยวทะเล..”ปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน วันนี้เป็นอะไรไปนะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยอาการผมคงหนักน่าดู

เหลือบขึ้นมองแม่และพ่อดูทั้งคู่ยังนิ่งๆอยู่

“แม่ว่ารีบออกเดินดีกว่าอากาศจะได้จะได้ไม่ร้อน”

“ใช่ๆ”ตอนนี้ผมเริ่มจะเหงื่อแตกแล้วด้วย

“งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ขับรถดีๆ ระวังๆนะลูกพ่อกับแม่เป็นห่วง”ผมกับพี่เทียนยกมือไหว้คนทั้งคู่พี่เทียนลากกระเป๋าของผมขึ้นหลังรถที่มีกระเป๋าอีกใบ

นอนอยู่ในนั้น วันนี้รถพี่เทียนเป็นSUV พี่เทียนวางตะกร้าอาหารไว้เบาะหลังส่วนผมเปิดประตูขึ้นรถก็เห็นหมอนใบเล็กกับผ้าห่ม

วางไว้สงสัยมาเตรียมไว้ให้

“กล้องถ่ายรูปสวยดีนิใช้เป็นรึเปล่าเรา”

“นี่หรอครับ ผมนะมืออาชีพ”ชูกล้องDSLRระดับมืออาชีพยี่ห้อดังพร้อมเลนส์ขยายขนาดสูงสุดหนึ่งร้อยราคาไม่ถึงสี่หมื่นขึ้น อย่า

บอกนะว่าที่แม่มองผมบ่อยๆเป็นเพราะเจ้ากล้องตัวนี้แต่เท่าที่จำได้ผมเพิ่งซื้อมาได้ไม่นานนี้เองยังไม่เคยใช้ที่ไหนเก็บไว้ในเซฟ

ห้องนอนของนนท์หันไปมองพ่อกับแม่ที่ยืนส่งผมอยู่หน้าบ้าน รถคันใหญ่เคลื่อนที่ออกไปสู่ถนนใหญ่เราต้องไปเจอกับกลุ่มเพื่อน

พี่เทียนที่ปั้มน้ำมันทางออกไปนอกเมืองเพื่อเติมน้ำมันนัดแนะเรื่องการเดินทาง ไม่นานก็ถึงสถานที่นัดแนะรวมตัวกัน

เห็นSUVสองคันจอดเรียงกันในปั๊มน้ำมันหน้าห้องน้ำมีชายหญิงกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บริเวณนั้น

“เฮ้ย ไอ้เทียนแกขโมยอุ้มลูกเขามาจากเตียงเลยหรอวะ”พี่ฟรอยด์

“แน่นอน”

“อย่าบอกนะว่าเพิ่งลุกจากเตียง ร้ายนะมึง”พี่กัปตัน

“พวกมึงก็พูดไป”

“พี่พี่หวัดดีครับ”ผมเดินตามหลังพี่เทียนเข้าไปไหว้สวัสดีทักทาย

“น้องนินไม่ได้เจอกันตั้งนานยังน่ากว่าเดิมอีกนะ”พี่ฟรอยด์ยิ้มทักทายพร้อมยักคิ้วให้ผมไอ้หน้าตาท่าทางเจ้าชู้กรุ่มกริ่มนี่ผมขอได้

ไหมรู้ว่าล้อเล่นแต่เห็นแล้วชวนขนลุก

“นินชุดเราน่ารักไปเปล่า แต่โคตรเข้ากับเราเลย”พี่ต้นตอ

“เอ่อวะหมีทั้งตัวเลย ไอ้ที่เกาะอยู่บนเสื้อก็หมีใช่เปล่าน่ารักว่ะมึง”พี่วัฒน์ยังตกใจเหมือนเดิมที่เจอผมพี่อย่ามุงผมไม่ใช่หมีในสวน

สัตว์นะ

“ก็เราจะขึ้นเขาเข้าป่าแม่เลยบอกใส่ชุดหมีถ้าหมีมันเห็นเราจะได้คิดว่าเป็นเพื่อนมันไงครับ”

“ฮ่า ฮ่า ไอ้เทียนเด็กมึงน่ารักว่ากูชอบ”พี่กับตันหัวเราะชอบใจผมใหญ่

ตอนนี้ยังเช้าอยู่อากาศยังเย็นมากผมสวมเสื้อแขนยาวที่มีหมีเกาะติดอยู่หน้าอกกางเกงขายาวเสื้อคลุมถุงเท้า

“นินเข้าห้องน้ำ ไปซื้ออะไรในร้านสะดวกซื้อไหม”พี่เทียนถามผม

“ไม่แล้วครับ”แต่คิดอะไรออกแล้ว เดินเข้าไปในรถแล้วหยิบกล้องขึ้น

“พี่ๆครับ แช๊ะ”เรียกพี่หันหน้ามาแล้วกดชัดเตอร์

“เฮ้ยน้องนินเอาใหม่ พี่ไม่หล่อไม่ยอมนะ”ตอนนี้เลยกลายเป็นการถ่ายรูปที่ระลึกรอสามสาวที่เคยไปเที่ยวกับพวกผมที่ร้านอาหาร

เห็นบอกว่าสาวๆทำธุระเข้าร้านสะดวกซื้อและแวะร้านกาแฟ

“เฮ้ย เทียนไม่ว่านะโว้ยกูก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง”พี่ฟรอยด์

“เอ้อ ไม่เป็นไรกูไม่ได้ว่าอะไร แต่กูขอแค่อย่าล้ำเส้นอย่ายุ่งกับคนของกูก็พอไม่งั้นกูก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน”

“น่ามึงไม่ต้องห่วงกูไอ้ต้นตอไอ้วัฒน์จะดูให้ไม่ต้องห่วง”พี่กัปตัน

“ ปะ พวกมึงสาวๆมาแล้วจะแวะเข้าห้องน้ำกินข้าวที่ไหนก็โทรบอกแล้วนะ ไปไอ้วัฒน์ไปขับรถ กูจะนอนกับน้องนิน นินเราไปนอน

กันเถอะ”

“เนียนไปแล้วมึงไอ้กัปตัน”พี่เทียน

“ฮ่า ฮ่า กูล้อเล่นเห็นพวกมึงทำหน้าเครียดเนอะน้องนิน ถ้าเบื่อไอ้เทียนก็มานั่งรถคันพี่ได้”แล้วผมต้องว่ายังไงดีละครับ พวกผม

แยกย้ายกันขึ้นรถพี่กัปตันพี่ต้นตอและพี่วัฒน์นั่งด้วยกัน พี่ฟรอยด์กับสามสาวอีกคันเป็นผมกับพี่เทียน จอดมาซะนานจนเครื่องเย็นหมดแล้ว

“แอร์เย็นไปไหมเรา ถ้าเย็นก็บอก ง่วงนอนก็นอนนะเห็นแม่บอกว่าเราเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับหรอเป็นอะไรรึเปล่า”

“นินฝันร้ายนิดหน่อย น่ากลัวมากเลย เลยหลับไม่ลง”

“เขาบอกว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดี”หันหน้าไปมองพี่เทียนคนที่พูดให้กำลังใจผมตลอด รู้สึกง่วงจริงขึ้นมาปรับเบาะนั่งให้เอนลงไป

หยิบหมอนรองหัวล้มตัวลงนอนแล้วห่มผ้ามองผู้ชายแสนดีที่นั่งอยู่ที่คนขับแล้วหลับตาลงช้าๆ พยายามหนีความรู้สึกของตัวเอง

มากเท่าไหร่ยิ่งเข้าใกล้มันมากเท่านั้นผมไปจากเขาไม่ได้ ผมขาดผู้ชายคนนี้ไม่ได้ผมอยากครอบครองเขาทั้งร่างกายและหัวใจ

เลือกที่จะหันหน้าหนีแล้วหันหลังเดินจากไปแต่ทุกอยากเหมือนเป็นใจให้ผมต้องมาเจอเขาอยู่ตลอดเวลา ถ้าเลือกจะสู้เลือกที่

เอาชนะเอาใจเขามาเป็นของผมให้ได้ บางทีสักวันเขาอาจจะเห็นมันก็ได้ ถึงแม้ผมอาจไม่ได้ครอบครองแต่ขอได้อยู่ข้างๆเขาก็

รู้สึกดีแล้ว อาการทุรนทุรายไม่สบายใจเมื่อไม่ได้เจอหน้าเขาก็หายไปเมื่อได้เห็นเขา ไม่รู้ว่าการตัดสินใจมาเที่ยวกับพี่เขาครั้งนี้

เป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือผิดรู้แต่เพียงว่าผมจะสู้จะทำเท่าที่ทำได้ เป็นเพราะเมื่อคืนจัดกระเป๋าดึกและผู้หญิงคนนั้นมาเข้าฝัน

ทำให้ผมนอนไม่พอ



“นิน นิน”มีคนกำลังเรียกผมเสียงอยู่ใกล้อยู่ข้าง ค่อยๆลืมตาขึ้นมา

“พี่เทียน”กำลังจ้องมองอยู่พอเห็นผมลืมตาขึ้นก็ยิ้มให้

“ตื่นได้แล้วคุณหมี จำศีลนานไปแล้วได้เวลาออกไปหาอาหารได้แล้ว”

“กี่โมงแล้วครับพี่เทียน”

“เที่ยงแล้วครับคุณหมี”

“นินหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรอครับ แล้วเราถึงไหนแล้ว”พี่เทียนช่วยปรับเบาะให้นั่งมองไปรอบๆบริเวณรถ

“เป็นไงบ้างน้องหมีหลับสบายเลยสิท่า”พี่กัปตันเดินมาทักผมที่รถ

“เทียนพาน้องไปกินข้าวสั่งอาหารไว้แล้ว”เสียงพี่วัฒน์ตะโกนเรียกพี่เทียนไม่รู้ว่ามาจากทางไหน

“เดี่ยวตามไป มึงเดินไปก่อนไปเดี๋ยวกูดูน้องก่อน”

“เอ้อ คุณหมีรีบตามมานะเดี๋ยวพี่กินหมดไม่รู้ด้วย”พี่กัปตันเดินไปยังตะโกนทิ้งท้ายมาอีก ผมยังรู้สึกแปลกๆร่างกายน่าจะยังปรับ

สภาพไม่ได้ เดินลงจากรถมีพี่เทียนเดินพาเดินไปที่ร้านอาหาร ว้าวร้านอาหารมองเห็นวิวด้วยตอนนี้เราอยู่บนภูเขาสูงต้นไม้เยอะ

ผมและพี่เทียนเดินที่นั่งรวมกับคนอื่นๆ

“ไม่มีมารยาททำให้คนอื่นต้องรอ”เสียงผู้หญิงดังขึ้นเบาๆข้างผม อ้อพี่ใหม่ผมนึกว่าเสียงผีที่ไหนมาขอส่วนบุญ ทำไมผมรู้สึกไม่

ค่อยดีเลยหงุดหงิดนิดหน่อยด้วย

“คุณเทียนมานั่งตรงนี้สิคะตรงนี้มีที่ว่าง”เสียงพี่ใหม่พูดขึ้นเธอนั่งขั้นผมกับพี่เทียนไว้ ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ขอเอาตัวเอง

ให้รอดก่อนอาจจะเป็นท้องว่างรึเปล่าทำให้ผมรู้สึกไม่ดีไม่รอคำตอบจัดการอาหารตรงหน้าช้าๆ ปลาช่อนน้ำปลา ผัดเห็ดสาม

อย่าง ยำสามกรอบ ต้มยำไก่น้ำข้น แกงโฮะ รู้สึกเหมือนได้เดินทางไปทั่วประเทศเลยมีอาหารเกือบทุกภาค รู้สึกดีขึ้นรึเปล่านะ

“พี่เทียน นิน”ผมเรียกพี่เทียน

“เฮ้ย นิน”พี่เทียนรีบอุ้มผมขึ้นจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปที่รถ

พี่เทียนวางผมลงบนเบาะให้ก้มหน้าออกมาทางด้านข้างรถแล้วสตาร์ทเครื่อง

“เอานี่น้ำแข็งประคบ น้องเป็นอะไรมากรึเปล่าวะ”พี่ฟรอยด์

“ไม่หรอก น่าจะแค่อาการร้อน”

“เออมีอะไรก็บอกแล้วกัน”พี่ฟรอยด์เดินกลับไปที่โต๊ะอาหาร

“ดีขึ้นยัง”

“ดีขึ้นแล้วครับ พี่เทียนกลับไปทานข้าวเถอะยังไม่อิ่มไม่ใช่หรอครับ”เห็นพี่เทียนเดินไปเปิดประตูแล้วหยิบตะกร้าที่แม่เตรียมให้

เมื่อเช้า

“นี่ไงอาหารเรามานั่งกินในรถดีกว่าข้างนอกอากาศร้อน ร่างกายเรายังปรับตัวไม่ได้”ทานอาหารเข้าไปเยอะแล้วไม่รู้สึกหิวตอนนี้

รู้สึกดีขึ้นมากแล้วเฮ้ยคิดไม่ผิดจริงๆมาเที่ยวครั้งนี้เป็นภาระของคนอื่นจริงๆ ก็จะทำยังไงได้ผมเพิ่งออกจากโรงพยาบาลได้ไม่ถึงปี

เลย ไม่นานการเดินทางก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นเธอมองมาที่รถพี่เทียนก่อนที่จะขึ้นรถไป อ้าผมป่วยนี่ก็คงจะดีเหมือนกัน

พี่เทียนจะได้อยู่ข้างผม เธอคงจะไม่พอไม่น้อยที่พี่เทียนไม่สนใจเธอแต่เลือกที่จะสนใจผม

            ภาพภูเขาสูงใหญ่ทับซ้อนกันเรียงรายกันมองดูด้านข้างเห็นหน้าผาสูงชันเส้นทางถนนที่ตัดผ่านภูเขาแต่ละลูกคดเคี้ยว

ไปมา ป้ายจราจรบอกให้ลดความเร็วห้ามแซงให้ระวังทางติดอยู่ข้างทาง หลักกิโลเมตรสีขาวตั้งอยู่ข้างทางบอกระยะเป้าหมาย

ของเราอยู่อีกไม่ไกลแล้ว ป้ายบอกทางขนาดใหญ่พื้นสีเขียวตัวหนังสือสีขาวตัวขนาดใหญ่เขียนด้วยภาษาไทยภาอังกฤษในที่สุด

ก็เข้าเขตเมือง มองนาฬิกาใกล้จะสี่โมงเย็นไกลเหมือนนะเนี่ย

“เออ....ว่าไงวะ...ได้..ได้ ไม่มีปัญหา”พี่เทียนกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคน

“เดี๋ยวเราแวะซื้อของก่อนนะ พี่หมีเหนื่อยไหม”

“ไม่เท่าไหร่ครับ เดี๋ยวพักผ่อนเยอะๆก็คงดีขึ้น”

คืนนี้จะมีปาตี้ดื่มกินกันนิดหน่อยรถคันของพี่ฟรอยด์รีบกลับไปเช็คอินห้องพัก พี่กัปตันพี่ต้นตอกับพี่วัฒน์ไปซื้อเครื่องดื่ม ส่วนผม

กับพี่เทียนจัดการเรื่องกับแก้มอาหาร ห้างสรรพสินค้าอยู่ค่อนข้างไกลเราจึงแวะตลาดซื้อของไปเพิ่มสองสามอย่าง

ใกล้ค่ำแล้วอาการเริ่มเย็น ถึงไม่ใช่ตลาดใหญ่มาก แต่ก็เป็นตลาดที่ถูกสุขลักษณะแยกโซนของสดของแห้งผักผลไม้อาหารปรุง

สำเร็จผักที่นี่สดมากมีชาวเขาเอาผักลงมาขายด้วยมีของร้านขายของสดไม่กี่ร้าน

“พีเทียนแบ่งของบางส่วนเดี่ยวเอาไปเก็บที่รถก่อน”

ผมเดินกลับมาที่รถเพื่อเอาของมาเก็บส่วนพี่เทียนยังเดินซื้อของต่ออีก อ้าท่าทางจะนานผมหยิบกล้องติดมือเดินเก็บภาพ

บรรยากาศตลาดรอบนอกที่มีชาวบ้านชาวเขาเอามาป่าของแปลกมาแบขายกับพื้นแสงแดดช่วงเย็นตอนบ่ายสี่โมงเย็นแสงกำลังดี

แต่เป็นช่วงหน้าหนาวจะค่ำเร็วกว่าปกติผมยกกล้องตัวใหญ่ขึ้นมองผ่านเลนส์ปรับโฟกัสภาพให้ได้ตามที่ต้องการแล้วกดชัดเตอร์

ลงไปภาพวิธีชีวิตชาวบ้านก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ

    เลื่อนปุ่มกดไปที่ปุ่มแสดงภาพที่ได้ถ่ายไว้กดปุ่มไล่ดูภาพที่ถ่ายไปเมื่อครู่เช็คโหมดที่เลือกใช้ว่าภาพที่ออกมาจะน่าพอใจรึ

เปล่าภาพถ่ายเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนต้องสะดุดตากับภาพของคนที่อยู่ในนั้นผมรีบเงยหน้าขึ้นจากภาพแล้วเดินไปตรงบริเวณที่

ปรากฏในภาพถ่ายผมกวาดสายตาไปรอบๆเหลียวมองหาคนที่บังเอิญมาอยู่ในรูปของผม

“จับมันเลยครับคุณตำรวจ”

“อ้าวทำไมพูดแบบนี้”เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากลุ่มคน พวกเขากำลังยืนมุงดูอะไรซักอย่างผมเดินตรงไปที่กลุ่มคนพวกเขา

กำลังมุงดูอะไรมองไม่เห็นมันไกลเกินไปต้องเข้าไปใกล้กว่านี้พยายามเขย่งเท้าให้สูงจะได้มองเห็นแต่มันไม่ช่วยอะไรได้เลยผม

ตัดสินเบียดแล้วมุดเข้าไปผ่านช่องว่างในที่สุดก็เห็นผู้ชายสองคนกำลังยืนทะเลาะกัน ผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวดีส่วนอีกคนแต่งตัว

เหมือนชาวบ้านธรรมดาสวมหมวกดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นถ้าผมไม่เคยเห็นเขามาก่อน ชายสวมหมวกเขากดด้านหน้าหมวกลงไว้

หนวดเคราสายตาหลุกหลิกผมว่าเขาน่าจะหาทางหนี้ทีไล่ เพราะตอนนี้มีคุณตำรวจอยู่ในเหตุการณ์ตำรวจพยายามให้ทั้งสองไป

พูดคุยกันที่โรงพักใกล้ๆ ฮึไปโรงพักไม่มีทางหรอกมันไม่ยอมไปแน่นอนและมันกำลังจะหาทางหนีแต่ไม่ใช่เรื่องง่ายมีคนกำลังยืน

ล้อมอยู่

“จับมันเลยคุณตำรวจ”

“ไม่มีหลักฐานอย่ามากล่าวหากันได้ไง”

โอ้ ต้องการหลักฐานก็ไม่บอกงั้นจัดไป
               

              โรงพักบริการประชาชน สภอ.ย่อยในต่างจังหวัดเปิดบริการโดยมีเจ้าหน้านั่งประจำอยู่ที่โต๊ะ โต๊ะทำงานไม่เกินสิบตัว

เรียงคู่ตู้เก็บเอกสารขนาดใหญ่หลายหลังตั้งอยู่ด้านข้างด้านหลังล้อมโต๊ะทำงาน

“ขอบคุณนะน้องที่ให้ความร่วมกับเจ้าหน้าที่”คุณเจ้าหน้าที่ของรัฐกินเงินภาษีประชาชนยื่นเม็มโมรี่การ์ดที่ผมบังเอิญเก็บภาพ

เหตุการณ์ผู้ชายคนหนึ่งถูกล้วงกระเป๋าได้

“ไม่เป็นไรครับคนไทยเหมือนกัน”ไม่ได้ทำเพื่อคนอื่นแต่ผมทำเพื่อตนเองครับ

นั่งมองเจ้าหน้าที่กำลังสอบปากคำคนทั้งสองยังไม่ลุกไปไหน เสียงเครื่องพิมพ์ดีดที่พิมพ์ด้วยความเร็วรัวหยุดพิมพ์หยุดพิมพ์เป็น

ระยะจากที่ฟังดูมันเป็นโทษไม่ร้ายแรงมันอาจจะได้เข้าไปนอนในคุกจ่ายค่าเสียหายไม่กี่บาทผมคิดว่าผมคงต้องทำอะไรซักอย่าง

ถ้ามันหลุดไปได้คราวนี้อีกคงหาตัวมันอีกไม่ง่ายแน่ๆ

”ผมว่าเขาหน้าคล้ายๆภาพประกาศจับที่ติดไว้บนบอร์ดนี้เลยนะครับ”ชี้ไปที่บอร์ดที่ติดประกาศต่างๆของทางราชการ ทุกคนในที่

นั้นหันไปมองรูปชายที่ถูกสเก็ตด้วยดินสอสีดำ โอ้โหมีรางวัลนับจับด้วยร้ายไม่ใช่เล่น

“คุณโจรนี่ไม่ธรรมดาเลยนะครับ ดังใช่เล่นมีภาพประกาศจับด้วย”

ตอนนี้เจ้าหน้าที่ไม่สนใจคดีเล็กแล้วแต่เปลี่ยนมาสนใจคดีใหญ่ผู้ชายคนนั้นถูกคุณตำรวจใส่กุญแจแล้วลากเขาไปยังห้องขัง ผม

เดินตามเข้าไปดูห่างๆ โรงพักเล็กๆไม่ค่อยมีคดีห้องขังโล่งกว้างคงนอนสบายตัวเลยทีเดียว

“ปล่อยกูนะ ปล่อยกู กูไม่ได้ทำ...”เสียงร้องเอะอะโวยวายนี้รู้สึกฟังแล้วคงเหมือนตอนที่ผมร้องขอความช่วยเหลือขอความเมตตา

จากพวกมันแต่ก็ไม่ใครได้ยินไม่ได้รับความเห็นใจจากพวกมันเลยมันจะเป็นความรู้สึกเดียวกันไหมนะเขาพยามยามดิ้นขัดเขินจาก

การจำกุมของตำรวจ

“อย่าขัดขืนถ้าไม่ใช่แล้วจะกลัวทำไม ยังไงก็ต้องเข้าไปนอนในห้องขังอยู่แล้ว”เสียงเจ้าหน้าพูดขึ้นหลังจับผู้ชายคนนั้นเข้าไปขัง

ไว้ในห้องขังได้

“ผมไม่ทำจริงๆนะครับ เชื่อผม เชื่อผม...”เขายังโวยวายเสียงดังลั่นโรงพักอยู่ เขาใช้มือทั้งสองข้างเกาะซี่กรงตรงหน้าไว้

“ขอโทษด้วยนะอย่าว่ากันเลยอ้อถ้าจะอาฆาตกันให้อาฆาตคนที่จ้างวานนายดีกว่า แล้วอีกอย่างถ้าอยากรอดก็ขอให้ สารภาพ ซัก

ทอด จะได้ลดโทษ ขอโชคดีนะ”เขาจ้องมองนิ่งเหมือนจะถามผมว่าผมเป็นใครทำไมถึงรู้ ผมส่งยิ้มให้เขาแล้วเดินออกมาจากโรง
พัก

“น้องๆ”มีคนเรียกผมจากด้านหลังผมหันหลังกลับไปดู

“ขอคุณน้องมากเลยนะ”

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ”มาเดินตลาดก็ต้องระวังสิ่งของมีค่าให้ดีแต่อีกในหนึ่งก็คงต้องขอบคุณเขา

เหมือนกันไม่อย่างนั้นผมคงเจอคนที่เคยทำร้ายผม

 “ไปไหนมา คุณหมีพี่กำลังโทรตามอยู่เชียว”

“ปวดท้องครับ เลยไปขอเข้าห้องน้ำที่โรงพักใกล้ๆ”

“อื้ม งั้นเรากลับกันเถอะเดี่ยวจะมืดซะก่อน”

       สายลมเย็นเย็นประทะหน้าเบาๆสายลมกำลังพัดมายินดีกับผมรึเปล่านะเค้าว่ากันว่าเวรกรรมนั้นมันเร็วเหมือนติดจรวดคุณ

อาจจะไม่ได้เจอในชาตินี้แต่ก็ขอให้จำไว้ว่ากรรมมันจะตามติดคุณไปตลอด





********************************************************************************

--- หลายคนสงสัยว่าทำไมน้องนิน(นนท์) ไม่แก้แค้นคนที่ทำร้ายตัวเองสักที

   ***นนท์(นิน) ขอโอกาสแก้ตัว ไม่ได้ขอโอกาสแก้แค้น เขาต้องการกลับมาอยู่กับครอบครัว กลับมาดูแลพ่อแม่ ชดเชยในสิ่งที่ไม่ได้ทำ ใช้ชีวิตให้ดี

--- เรื่องนนท์ถูกฆ่า เขาคิดว่านั่นคือกรรมของเขา ที่ทำให้ พ่อแม่เสียใจและเป็นทุกข์ 

--- และเชื่อว่ากรรมจะติดตามคนที่ทำร้ายเขาไปเอง โดยที่ไม่ต้องทำอะไร เขาแค่นั่งดูคนที่ทำร้ายทยอยรับผลกรรมไปทีละคน


*** ฝากติดตามเรื่องใหม่ด้วยจ้า "เริ่มต้นเรื่องร้าย ลงท้ายเรื่องรัก"


***************************************************************************

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกการติดตาม และขอบคุณทุกการรอคอย


โปรดติดตามตอนต่อไป



หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 16] 21/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-07-2016 15:01:49
ชะนีใหม่มาด้วยนี่พามาส่งคืนป่าใช่ไหม

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 17] 22/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 22-07-2016 18:57:50


เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน

บทที่ 17
[/size]


รีสอร์ทเคียงขุนเขา


ผมกำลังช่วยพี่ๆย่างอาหารหน้าเตาย่าง  เตาเช่าจากทางรีสอร์ทโต๊ะอาหารขนาดสิบที่นั่งมี เครื่องดื่มหลากดีกรีจัดเตรียมไว้สำหรับคืนนี้

“อาหารน่าทานจังเลยนะคะคุณเทียน”เสียงพี่ใหม่ที่เพิ่งเดินลงมาจากที่พักเดินเข้าไปหาพี่เทียนกำลังหั่นเนื้อจัดใส่จานวางไว้บนโต๊ะ

“อ้อ ทุกคนช่วยๆกันครับ”

“งั้นคุณเทียนสอนให้ใหม่หั่นบ้างสิคะใหม่อยากช่วย”ดูเธอกระตือรือร้นออกมาอย่างชัดเจน

“ผมว่าคุณใหม่ไปนั่งรอทานดีกว่าครับจะได้ไม่เปื้อน”

“ถ้าคุณเทียนพูดอย่างนั้น งั้นใหม่ขอนั่งดูคุณเทียนดีกว่าค่ะ”เธอนั่งส่งสายตาเหมือนจะอยากกินพี่เทียนมากกว่าเนื้อที่เขากำลังหั่นซะอีก

“อะ เสร็จแล้วชิ้นสุดท้ายแล้วนินเอาไปให้ไอ้เทียนมันหั่นใส่จานได้เลย”พี่กัปตันยิ้มเนื้อย่างชิ้นสุดท้ายใส่ถาดแล้วบอกผมยกไปให้พี่เทียนหั่นใส่จาน

“พี่เทียนถาดสุดท้ายแล้ว”

“คุณหมียกจานกุ้งไปวางบนโต๊ะให้พี่หน่อย”

“ครับ”ยกจานกุ้งปลาหมึกและเนื้อที่หั่นเสร็จแล้วไปวางบนโต๊ะแค่นี้ก็เรียบร้อย มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลย ตอนเที่ยงกินไปแค่นิด

เดียวตอนเย็นนี่แหล่ะจะกินให้เต็มที่เลย อาหารที่สั่งจากทางรีสอร์ทพนักงาน ทยอยนำอาหารมาเสริร์ฟทีละอย่างจนเกือบเต็มโต๊ะ

 ที่นี่มีผักสดที่ปลูกโดยไม่ใช้ดินด้วยผลไม้สดน่ากินอีกตะหาก

“ทุกคนอาหารพร้อมแล้วเทียนวางมือได้แล้ว สาวๆอาหารพร้อมแล้วครับ เลือกที่นั่งตามสบายเลยครับ”ผมเดินไปช่วยพี่เทียนเก็บของแล้วเข้าห้องน้ำไปล้างมือ

“คุณเทียนมานั่งตรงนี้ซิคะ ตรงนี้ว่าง”เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด ซื้อหวยนี่แจ็กพ็อตเลยนะนั่น

“น้องนินมานั่งข้างๆพี่ก็ได้”พี่วัฒน์พี่ต้นตอเรียกผมให้ไปนั่งข้างๆ

“คุณเทียนทานกุ้งไหมคะเดี๋ยวใหม่ช่วยแกะให้”

“ไม่เป็นไรครับผมจัดการเองดีกว่า”

ในห้องอาหารที่ทางรีสอร์ทเตรียมให้รู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติและอากาศได้เป็นอย่างดีไม่รู้ว่าเสียงเพลงมาจากไหนแต่เข้า

บรรยากาศยามค่ำคืนทีเดียวเหมือนกำลังมาตั้งแคมป์ไฟยังไงไม่รู้ส่วนตอนนี้กำลังเที่ยวดูส่องสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีนอกำลังทอด

สะพานให้ผู้ชายอยู่มีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องดูคนทั้งสอง

“น้องนินแกะกุ้งให้พี่ทานหน่อยสิครับ”มาไม้ไหนอีกละครับพี่วัฒน์ พี่วัฒน์มองไปหาพี่เทียนส่งยิ้มให้เขาแล้วยักคิ้วให้ผู้ชายคนอื่นในโต๊ะอาหารกำลังอมยิ้มเหมือนกำลังพอใจอะไรซักอย่าง

“อะ น้องหมีชิมปลากะพงทอดกระเทียมอร่อยมาก”พี่กัปตัน

“อันนี้ก็อร่อยปลาทับทิมนิ่งมะนาว น้องหมีกินเยอะๆจะได้โตทันใช้”เหมือนความหมายจะดีนะครับพี่วัฒน์หรือว่าผมคิดมากไปเอง

“น้องนินชนแก้วครับ”พี่ต้นตอ

“น้องนินตักต้มยำใส่ถ้วยให้พี่หน่อยครับพี่ตักไม่ถึง”ไม่รู้พวกเขากำลังเล่นอะไรกันพี่ฟรอยด์ก็เอากับเขาด้วย ผมเกือบตกใจตายกับสายตาของพี่เทียนจ้องมองมาที่ผมและเพื่อนๆของเขาเหมือนไม่พอใจอะไรซักอย่าง

“ดู คุณวัฒน์กับน้องนินเข้ากันได้ดีนะคะ เหมาะสมกันดี”เกือบสำลักข้าวทุกอย่างเงียบลงเหมือนโดนปิดสวิตซ์ลงเพราะคำพูดของพี่ใหม่เธอดูไม่ออกหรือง่าวกันแน่ที่ไม่รู้ว่าพี่ๆเขาเขากำลังแกล้งผมเล่น

“อ้าวแล้วผมไม่เหมาะหรอ”พี่กัปตัน

“กูว่าน้องน่าจะเหมาะกับกูมากกว่าคนน่ารักต้องคู่กับคนหน้าตาดี คิดอย่างนั้นไหมเทียน”พี่ฟรอยด์พยายามพูดเปลี่ยนบรรยากาศ

ให้ดีขึ้นหรือเปล่า ทุกคนเล่นสนุกกันแล้วก็กลับมาทานอาหารตรงหน้ากันต่อตอนนี้พี่กัปตันกับพี่ต้นตอเปลี่ยนหน้าที่เป็นพนักงาน

เสิร์ฟเครื่องดื่มให้ทุกคนรอบโต๊ะยกเว้นผมที่ต้องดื่มน้ำส้ม อาหารบนโต๊ะถูกเก็บไปแล้วเปลี่ยนเป็นกับแก้ม พี่เทียนเปลี่ยนมานั่ง

ข้างผมแทนพี่กัปตันต้องคอยชงเครื่องดื่มบริการ

“เย็น พี่เทียน”พี่เทียนใช้แก้วเครื่องดื่มแนบลงที่แก้มผม

“ตาจะปิดแล้ว ง่วงมากหรอ”

“เพลียมากกว่าครับ เพิ่งเคยเดินทางไกลขนาดนี้หลังออกจากโรงพยาบาล อากาศด้วยร่างกายเลยปรับไม่ทัน”

“อือ พี่ก็ลืมไป ดีนะไม่มีไข้”พี่เทียนใช้มือสัมผัสที่แก้มหน้าผากผมเบาๆ

“นี่ก็ดึกแล้ว พาน้องขึ้นไปพักเดี๋ยวจะป่วยซะก่อนแล้วเที่ยวไม่สนุก”พี่วัฒน์

“ไม่ต้องห่วงพวกกูหรอกเดี๋ยวก็ขึ้นไปพักกันแล้ว”พี่กัปตัน

“คุณเทียนจะขึ้นห้องหรอคะ ช่วยไปส่งใหม่ที่ห้องด้วยได้ไหมค่ะ พอดีใหม่รู้สึกมึนๆ”รู้สึกว่ากินไปนิดเดียวเองไม่ใช่หรอครับ
ในแก้วยังเหลือตั้งเยอะ

“เดี๋ยวใหม่ขึ้นไปกับผมก็ได้ห้องเราไปทางเดี๋ยวกัน ให้ไอ้เทียนไปส่งลำบากมันไกล”พี่ฟรอยด์

“อ้าวแล้วคุณเทียนไม่ได้พักแถวเดียวกันกับเราหรอคะ”

“พอดีโซนนั้นห้องไม่พอไอ้เทียนกับน้องเลยต้องไปพักอีกที่แทน”พี่ฟรอยด์ อ้าวหรอผมก็เพิ่งรู้ห้องพักของผมน่าพักมาก

“แล้วพักอยู่โซนไหนคะ”เธอยังตั้งหน้าตั้งตาถามคงจะอยากรู้จริงๆ

“เทียนมึงพาน้องนอนไปตาจะปิดยืนไม่อยู่แล้วนั่น”หา ตาจะปิดแล้วหรอทำไมผมไม่เห็นรู้ตัวเลย ทุกคนเลิกสนใจพี่ใหม่หันมา
สนใจผมแทน

“นินเดินไหวไหม”พี่เทียนหันมาถามผม พี่เทียนก็เอาก็เขาด้วย

“น้องเดินไม่ไหวมึงก็อุ้มขึ้นห้องไปเลย”พี่กัปตันนี่ชอบพูดให้คิดนะครับ

“นินเดินเองได้ครับ”พี่เทียนอย่าบ้าจี้ตามเพื่อนๆสิครับ

               ทางเดินกลับที่ห้องพักมีไฟตามทางเดินหลอดเล็กๆตลอดทางอากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยคงเพราะดึกมากแล้วพี่เทียน

เปิดประตูเข้าไปจากนั้นผมก็ตรงเข้าห้องน้ำอาบน้ำเพราะรู้สึกเหนื่อยเหนี่ยวตัวมาก เดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่เป่าผมให้

แห้งอากาศหนาวต้องเป่าผมไม่อย่างนั้นจะไม่สบายเดี๋ยวเที่ยวไม่สนุก ตอนนี้สวมเสื้อแขนยาวกางเกงขายาว อ๊ะ ๆไม่ใช่คุณหมีแต่

เป็นคุณกระต่าย โอ้สุดยอดรู้สึกดีเป็นบ้าเลยถ้าไม่คิดว่ามีพี่เทียนรออาบน้ำอยู่ผมอยากนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบซะหน่อยหยิบ

โทรศัพท์เดินไปนั่งลงบนโซฟาใหญ่

“จุ๊บ”พี่เทียนนั่งลงบนโซฟาข้างๆผมแล้วจูบผม

“อื้อ พี่เทียนทำอะไรครับ”ผมพยายามดิ้นขัดขืน

“ให้พี่กอดหน่อยคนดี”พี่เทียนรวบตัวผมเข้าสู่อ้อมกอดเขา กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยออกจากตัวเขา

“เอ่อ นินว่าพี่เทียนเมาแล้วนะครับ”ไม่นะพี่เทียนเมาแล้ว อย่าทำกับผมอย่างนี้ผมไม่ใช่สิ่งของไม่ใช่ตัวแทนของใครอย่าทำเหมือนกับผมไม่มีความรู้สึกอย่าเล่นตลกกับความรู้สึกของผม

“พี่ไม่ได้เมา ถ้าพี่เมาเราคงไม่ได้มาพูดอยู่อย่างนี้หรอกแต่คงกำลังครางอยู่มากกว่า”พี่เทียนโน้มใบหน้าลงจนผมต้องก้มหน้าลงหลบสายตาและริมฝีปากนั้น

“พะ...พี่เทียน ทำไมพูดแบบนี้”ทำไมเอาความรู้คนอื่นมาล้อเล่นอย่างนี้ไม่สนุกนะผมไม่ชอบอย่างนี้เลย ผมรู้สึกอึดอัดผมอยากร้องไห้

“พี่ไม่ขอโทษนะในสิ่งที่พี่ทำลงไปเพราะพี่ตั้งใจ”พี่เทียนเป็นอะไรไปแล้วหมายความว่ายังไงพี่เทียนเป็นอะไรไปแล้ว

“หมายความว่ายังไง นินไม่เข้าใจ”ผมชักเริ่มโมโหแล้วนะพยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดอุ่นๆแต่ผมรู้สึกว่าอ้อมกอดนี้มันยิ่งกอดผมกระชับแน่นขัดเหมือนผมจะหายเข้าไปอกแกร่งนี้

“พี่ รัก นิน นะ”พี่เทียนกระซิบลงข้างหูผม หมาย หมายความว่ายังไงนี่ผมฝันไปรึเปล่า ผมลองหยิกตัวเองก็รู้สึกเจ็บนะ

พี่เทียนกำลังเล่นตลกอะไรรึเปล่ามีกล้องซ่อนไว้ไหมเอ่อ.....โอ๊ยความคิดของผมมันกำลังสับสนจับค้นชนปลายไม่ถูก

อันไหนหัวอันไหนก้อย หูผมต้องฝาดไปแน่ๆเลยรึผมบ้าไปแล้ว พี่เทียนคลายออ้อมกอดออกจับต้นแขนทั้งสองผมไว้เราทั้งสอง

กำลังนั่งหันหน้าให้กันบนโซฟานุ่มตัวใหญ่ ผมจ้องมองเข้าไปดวงตาของเขาคู่นั้น ที่ต้องการจะสื่อความหมายของมันออกมาดวง

ตาคู่นั้นเหมือนมีพลังดังดูดผมไว้ให้ผมรู้สึกสงบขึ้น

“เอ่อ พี่เทียนเป็นเกย์หรอครับ”ผมถามอะไรออกไป

“อื้อเป็นมาตั้งแต่เกิด”หาไม่ได้เพิ่งเป็น

“แล้วที่บ้าน..”

“รู้”หารู้ด้วย

“แล้ว..”

“เอาอย่างนี้อยากรู้อะไรพี่จะตอบให้หมด แต่แรกกับจูบถามหนึ่งคำถามแลกกับคำตอบพร้อมจูบดีไหม”เฮอะ ดีกับผีอะไรเสีย

เปรียบชัดๆกว่าจะถามครบผมคงต้องถูกจูบจนปากแตกแล้วมั้ง พี่เทียนผมอยากรู้แต่ยังไม่อยากเสร็จ เอ้ยไม่อยากเสี่ยงสีหน้า

ท่าทางคุกคามของพี่เทียน ตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยไม่เคยเห็นเขาในลักษณะแบบนี้มาก่อนไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับเขา

ยังไง รู้สึกถึงรังสีความอันตรายที่แผ่ออกมารอบๆตัวเขา ไอ้สายตาวิบวับกับมือที่ลูบแขนผมอยู่นี่อีก

“ไม่อยากรู้แล้วหรอ”

“ไม..ไม่ครับไม่อยากรู้แล้ว แต่พี่เทียนรักผมจริงๆหรอกำลังล้อผมเล่น”ผมรีบปฏิเสธแทบจะทันทีพี่เทียนไม่ตอบคำถามผมเอาแต่

ยิ้มน้อยที่มุมปากเหมือนคนที่ได้รับชัยชนะ จากนั้นเขาใช้มือข้างหนึ่งดันท้ายทอยผมขึ้นแล้วกดริมผีปากลงมาที่ริมฝีปากผมค่อยๆ

บดเบียดเขาพยายามจะเปิดริมฝีปากของผมแต่ผมไม่ยอมผมใช้มือทั้งสองข้างดันหน้าอกคนตัวโตออก ดูท่าเขาคงไม่ได้เอาจริง

แค่ต้องการหยอกล้อผมเล่นเท่านั้นเพราะแรงของเขาถ้าจะทำผมจริงผมคงสู้ไม่ได้

“อ้า ใจร้ายจังเลยจูบแลกกับคำตอบไง ใช่พี่รักเรารักมากด้วย”พี่เทียนจับที่มือของผมแล้วยกมือขึ้นจุมพิตที่มือเบาๆ

“ตั้งแต่ตอนไหนครับ”ผมอยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่

“ตอนไหนหรอก็คงตั้งแต่เห็นเด็กผู้ชายน่ารัก ตัวเล็กกำลังอ่านหนังสือให้คุณย่าฟังอยู่ข้างเตียงคนป่วยละมั้งครั้งแรกที่เห็นพี่ก็รู้สึก

ชอบทันทีนานวันเข้ายิ่งอยู่ใกล้ได้เรียนรู้ได้รู้จักมันก็มากขึ้นทุกวันจนกลายเป็นขาดไม่ได้และอยากครอบครองเป็น

เจ้าของ”หมายความว่าตั้งแต่แรกเห็นอย่างนั้นหรอไม่เร็วไปรึไงนะ

“แล้วทำไมพี่เทียนไม่บอกนินเลย”รู้สึกยังไงกับเค้าทำไมไม่บอกรู้ไหมว่าทำให้คนอื่นเขาเสียใจและคิดไปเองต่างๆนาๆ

“ไม่ใช่ไม่อยากบอกแต่สัญญาไว้กับคุณย่า คุณพ่อคุณแม่ว่าต้องให้เราโตกว่านี้ก่อนและต้องพิสูจน์ให้พวกท่านเห็นว่าพี่รักเราจริง
อื้อหอมจังเลย”อื้อไอ้พี่เทียนบ้ามาหอมเค้าทำไม

“พะ..พี่เทียนอย่า คุณย่าคุณพ่อคุณแม่พี่เทียนรู้หมดเลย”ผมร้องห้ามพี่เทียน

“อื้ม ไม่ใช่เขารู้กันทั้งบ้าน”

“พะ..พี่เทียนอยากแกล้งนิน อื้ม”

“แล้วเราล่ะรักพี่บ้างรึเปล่า รู้สึกยังไงกับพี่”เสียงพี่เทียนยังอยู่ข้างหู เขาใช้ใบหน้าจมูกปากซุกไซร้อยู่ตรงซอกคอ ใบหู ลมหายใจร้อนไหลรดผิวของผมรู้สึกแปลกเหมือนกำลังล่องลอยเบาหวิว

“เป็นแฟนกับพี่นะ ห้ามปฏิเสธไม่งั้นพี่จะปล้ำ รู้ไหมพี่ต้องอดทนแค่ไหนที่ต้องพยายามไม่จับเรากด รู้ตัวไหมว่าน่า...มากเลยเรานะ”

“บ้า พี่เทียนพูดอะไรบ้าๆ”

“ไม่บ้าหรอกเวลาไปไหนมาไหนกับเรามีแต่คนมองตามเราตลอด รู้ไหมว่าพี่ทั้งห่วงและหวง ขนาดไอ้ฟรอยด์ ไอ้กัปตัน ไอ้วัฒน์ ไอ้ต้นตอ พวกมันเห็นเราครั้งแรกยังจ้องตาเป็นมัน”อ่า ก็เหมือนที่พี่เทียนนั่งจ้องผมตั้งแต่แรกที่เห็นใช่ไหมครับ

“แล้วพี่เทียนไม่ได้มีแฟนอยู่แล้วหรอครับ”

“แล้วเห็นพี่ไปมาไหนกับใครไหม นอกจากนิน”เอออันนี้ก็น่าคิดถ้ามีแฟนแล้วเขาคงมีเวลาโทรมาหาผมไปทานข้าวไปดูหนังกับผมหรอกเสาร์อาทิตย์พี่เขาก็อยู่กับผมตลอด วันปกติก็ชอบมากินข้าวเย็นที่บ้าน

“พี่ชัดเจนกับเราขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีกหรอครับคุณกระต่าย”

“ก็พี่เทียนเดินเข้ามาหาผมไม่ได้ถือป้ายไว้ในมือ แล้วชูขึ้นว่าเข้าจีบผมซะหน่อยบนหน้าก็ไม่ได้ติดป้ายไว้ แล้วอีกอย่างก็ผมได้ยิน
ว่าพี่เทียนมีแฟนแล้วสวยด้วย...”ใครจะไปรู้ไม่เคยมีคนเข้ามาจีบแต่เอ๊ะเข้ามาเยอะแต่ไม่รู้ตัวรึเปล่านะผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องแบบนี้ซะด้วยจีบใครก็ไม่เคย จะรู้ไหมล่ะพี่เทียนบ้า

“แล้วช่วงนั้นใครเข้าไปบริษัทไปกับพี่บ่อยๆ”อะ คงไม่หมายความว่า

“ฟอด แก้มนี่นุ่มจริงๆ ฟอด พี่คอยจินตนาการตลอดเลยว่ามันจะนุ่มไหมน้ามันจะหอมเหมือนที่คิดไหมน้า”พี่เทียนเหมือนกำลังพูดกับเด็กเลยครับ

“เอ่อ พี่เทียนจะทำอะไรครับ”

“พาคุณกระต่ายไปนอน นอนดึกเดี๋ยวไม่มีแรงไปเที่ยวพรุ่งนี้นะ”

“นินลุกเดินไปเองได้ครับ”อย่าทำแบบนี้ผมอายจะแย่แล้ว

“ไม่เป็นไรพี่อยากอุ้ม”แล้วพี่เทียนก็อุ้มผมท่าเจ้าสาวไปที่เตียงกว้าง อ๊ายเหมือนส่งตัวเข้าหอเลยอายจัง

“จุ๊บ นอนนะคุณกระต่ายอย่าเที่ยวไปกระโดดเล่นที่ไหน พี่ไปก่อนอาบน้ำก่อนนะไม่ไหวแล้ว”อะพี่เทียนคนบ้า ผมรีบหยิบผ้าห่มขึ้น
มาห่มแล้วซุกหน้าลงบนหมอน

“ฮึ ฮึ ฮึ”เสียงพี่เทียนหัวเราะแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ

เฮ้อ หัวใจของผมเต้นแรงจังเลยเหมือนผมจะทะลุออกมาจากอกซะให้ได้อย่างไงอย่างนั้น ผู้ชายคนนี้อันตรายกับหัวใจของผม

จริงๆ ใช่ทุกๆอย่างที่เขามันชัดเจน มันชัดเจนจนเหมือนอยู่ตรงหน้าผม เขาดูแลผมไม่ใช่หน้าที่ไม่ใช่เพราะเหตุผลอย่างอื่นแต่เขา

รัก..รักผมเขารู้สึกเหมือนที่ผมรู้สึกแต่ผมมันโง่เอง ฮึก ฮือ ดีใจ ดีใจจังเลยดีใจจนอยากกระโดดดึ๋งดึ๋งเป็นคุณกระต่าย ถ้านี่เป็น

ความฝันก็คงเป็นฝันที่ผมไม่อยากตื่นอยากหลับไปนานๆตลอดกาลก็ได้

“คุณกระต่ายหลับรึยัง พี่ขอนอนกอดหน่อยนะ ฟอด จุ๊บ”พี่เทียนกลับออกมาจากห้องน้ำแล้วเขามุดเข้ามาผ้าห่มผมสวมกอดผมไว้

จากด้านหลังแล้วก้มหอมที่แก้มผมและจูบเบาที่ขมับผมเบาๆเหมือนที่เขาทำบ่อยๆ อบอุ่นจังเลยอุ่นไปถึงหัวใจนี่สิคืออ้อมกอด

ของผม นี่สินะคือที่ของผม รู้สึกหวงอ้อมกอดนี้จังเมื่อผมได้มันมาแล้วผมจะรักษามันให้ดีและจะไม่มีวันปล่อยอ้อมกอดนี้ไปอีก

เสียงลมหายใจของเขาที่ดังอย่างสม่ำเสมอดังเป็นจังหวะเสียงหัวใจของเขาที่ดังอยู่ข้างหูไม่รู้ว่าความเหนื่อยล้าหรือความสุขที่มัน

เอ่อล้นอยู่ในตัวผม กดทับลงมาบนร่างกายผมทำให้ต้องเข้านิทราพร้อมอ้อมกอดคนตัวโตที่หลับไปก่อนหน้าอย่างช้าๆ ต่อแต่นี้ไป

ฝากช่วยดูแลหัวใจของผมให้ดีดีด้วยนะครับที่รักของผม 



                                                                มีต่อข้างล่าง

หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 17] 22/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 22-07-2016 19:00:08


                                                                        ต่อจากด้านบน


นี่มันความฝันรึเปล่านะเสียงนกร้องไก่ขันแว่วมาแต่ไกล เอก อี เอ๊ก เป็นสัญญาณให้รู้ว่าตอนนี้เข้าสู่วันใหม่อากาศเย็นสบายซุกตัว

ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ ผมกำลังนอนมองหน้าคนตัวโตที่นอนอยู่เตียงเดียวกันเขานอนอยู่ข้างๆหนุนหมอนใบเดียวกัน ห่มผ้าห่มผืน

เดียวกันไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้นอนบนเตียงเดียวกันกับเขา แต่ครั้งนี้มันมีอะไรที่มากกว่านั้น เขากำลังนอนหลับตาอยู่อยากรู้จังเลยว่า

เขากำลังฝันถึงเรื่องอะไรอยู่ฝันถึงใครอยู่ ไม่รู้ว่ามีผมอยู่ในนั้นบ้างรึเปล่าน้า รู้สึกอิจฉาคนที่เขาคนนี้กำลังฝันถึงจังเลย คิ้วหนาตา

ที่มีขนตายาวเป็นแพจมูกโด่งที่กดดมกลิ่นของผมบ่อยๆริมฝีปากได้รูปที่จูบผมเมื่อคืน อ๊ายแค่คิดผมก็เกิดอาการหน้าเลือดขึ้นมา

ทันทีคนบ้า

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณกระต่าย จุ๊บ”อ้าวไม่ได้หลับอยู่รึไงพี่เทียนลืมตาขึ้นส่งยิ้มให้ผมแล้วดึงผมเข้าไปกดจูบที่ริมฝีปาก

“อะ..อรุณสวัสดิ์ครับพี่เทียน”ผมหาเสียงตัวเองแทบไม่เจอ

“ทำไมตื่นเช้าจังคุณกระต่ายตื่นเต้นจะได้ไปเที่ยวหรอครับ”ผมไม่ใช่เด็กนะจะได้ตื่นเต้นเวลาออกไปเที่ยว จะให้บอกยังไงว่ามันตื่น

เต้นดีใจที่ได้อยู่กับพี่เทียนแล้วนอนไม่หลับ บวกกับฝันร้ายเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว เมื่อนอนไม่ได้ก็ตื่นมามองคนตัวโตนอนดีกว่า

มีความสุขไปอีกแบบผมยันตัวเองลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินไปที่ประตูเลื่อนผ้าม่านออกเปิดประตูออกไป ความรู้สึกแรกที่ผมสัมผัส

ได้หนาวมากมีลมเย็นๆพัดมาด้วย มองตามอากาศเห็นละอองน้ำในอากาศ ผมว่าน่าจะเป็นหมอก ที่พักของพวกผมเป็นรีสอร์ทอยู่

บนเขา ให้ตายเถอะทะเลหมอกยามเช้าสวยมาก

“คุณกระต่ายออกมาข้างนอกไม่สวมเสื้อไม่หนาวหรอครับ”พี่เทียนเดินออกมาสวมเสื้อคลุมให้ผมเขากอดผมจากด้านหลังแขนทั้ง
สองข้างกอดอยู่ที่เอวของผม

“สวยจังเลยครับพี่เทียน”

“ชอบไหมถ้าชอบคราวหน้าเราชวนคุณย่าและคนอื่นมาด้วย”อ้า เป็นความคิดที่ดีนะครับแต่ถึงวันนั้นผมคงต้องมีเรื่องที่บอกทุกคนให้รู้เสียก่อนไม่อย่างนั้นผมคงเดินหน้าต่อไปไม่ได้

“ลงข้างล่างกันเถอะ น่าจะถึงเวลาอาหารเช้าแล้วล่ะ”อ้า พระอาทิตย์ขึ้นมาแล้วกำลังยิ้มแฉ่งเชียว

พวกเราจัดการล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อย เดินลงไปรวมตัวกับทุกคนในห้องอาหารเช้าที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ เมื่อวานรีบเข้า

ที่พักจนไม่มีโอกาสได้เดินรอบๆที่พัก ผมว่าที่นี่บรรยากาศเป็นกึ่งๆโรงแรมรีสอร์ต

“น้องนินวันนี้เป็นคุณกระต่ายหรอ”ผมกับพี่เทียนนั่งลงโต๊ะที่สี่หนุ่มนั่งอยู่ผมไม่เห็นสาวๆ

“คุณกระต่ายนั่งอยู่นี่ก่อนพี่ไปตักอาหารมาให้”

“ขอบคุณครับ”

“แหมหวานแต่เช้าเลยนะมึง อิจฉาว่ะ”พี่ฟรอยด์อ๊ะพี่ฟรอยด์ก็รู้ด้วย

“อย่างมึงนะไอ้ฟรอยด์อิจฉากูกูเห็นมึงควงแต่ละคนไม่ซ้ำหน้า”ใช่ๆแต่ละคนหน้าตาดีๆทั้งนั้นเป็นพี่นั่นแหล่ะเอาเค้าแล้วทิ้งคนนิสัยไม่ดี

“แต่ก็ไม่ได้จริงจังนี่หว่า”พี่ฟรอยด์

“มึงหรือพวกเค้าที่ไม่ได้จริงจังกันแน่”เริ่มต้นกันด้วยความไม่จริงใจมันก็ต้องจบลงแบบนั้นเป็นธรรมดาครับพี่แหมพูดซะเหมือนคนผ่านความรักมาซะเยอะเลยนะเรานะเรื่องตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย แหะแหะ

“เออ มึงนี่รู้จักเหมือนมานั่งอยู่ในใจกูเลยนะ”พี่ฟรอยด์

“ไป ไปน้องหิวแล้ว”อ้าวพี่เทียนเกี่ยวอะไรกับผมสองหนุ่มเดินไปตักอาหารแล้ว

“ไอ้เทียนดูมันรักเรามากเลยนะ ไม่เคยเห็นมันมีความสุขอย่างนี้มานานแล้ววันๆเห็นทำแต่งานถ้าไอ้ฟรอยด์บอกให้ชวนเรามาด้วยถ้าไม่อย่างนั้นไอ้เทียนก็คงไม่มา”พี่กัปตัน

“ครับ”

“พี่ไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้มาก่อนไอ้เทียนเป็นคนจริงจังจริงใจ คบใครคบทีละคนแต่เราเป็นคนแรกที่ทางบ้านรู้และพาไปไหนมาไหนด้วย ถ้ามันไม่แน่ใจมันไม่เคยให้พวกพี่เห็นหน้าหรอกแต่ลองมาเปิดตัวบ่อยๆอย่างนี้ชัวร์แน่นอน”พี่วัฒน์

“แฟนคนเก่าที่เลิกไปเพราะมันไม่มีเวลาให้เค้า อีกอย่างมันก็ไม่ยอมบอกจนพวกพี่ต้องตามไปถึงรู้เค้าเข้ามาหามันเพราะเงินและหน้าตา”พี่ต้นตอ

“พวกพี่ทุกคนรู้ว่าไอ้เทียนชอบแบบไหนพวกพี่ไม่ได้รังเกียจเข้าใจมัน”พี่วัฒน์

“ยังไงฝากดูแลเพื่อนพี่ด้วยแล้วกัน”พี่กัปตัน

ปกติพี่ๆจะพูดเล่นพูดจาไร้แก่นสารพูดจาไร้สาระไปวันๆ แต่วันนี้พูดอะไรที่มีสาระขึ้นมาดูเป็นคนละคนเลย ออกแนวจะบอกให้รู้ว่า

ถ้าทำให้เพื่อนพี่เสียใจ น้องไม่ตายดีแน่หรือจะบอกว่าน้องโชคดี ที่ได้พี่เทียนเป็นแฟนอะไรประมาณรึเปล่านะ

“ขอนั่งด้วยนะคะหนุ่มๆ”สามสาววางจานอาหารลงบนโต๊ะแล้วเลื่อนเก้าอี้ออกนั่ง

“คุณเทียนคะตรงนี้ยังว่างค่ะ”พี่เทียนเดินกลับมาที่โต๊ะในมือถือจานมาสองใบ พี่เทียนหันหน้ามามองผม ผมยิ้มให้บอกให้พี่เทียน
ไปนั่งเถอะผู้หญิงอุส่าให้ท่าแล้ว ไม่ใช่อุส่ามีที่ว่าง ผมรับจานอาหารที่พี่เทียนยื่นให้

“คุณเทียนวันนี้เราจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างคะ”ผมล่ะอยากหัวเราะกับท่าทางชัดเจนของผู้หญิงคนนี้ซะเหลือเกิน

“หรอคะน่าสนุกจังเลย อุ๋ยขอโทษคะน้องนินพี่ไม่ได้ตั้งใจ”ผมก็ว่าผมอยู่เฉยๆนะไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องเช็ดหรอกครับ”น้ำส้มหกใส่ผมครับ เธอพยายามช่วยผมเช็ดแต่ดูเหมือนมันไม่ใช่อย่างนั้น

“นินขึ้นไปอาบเถอะ”พี่เทียนจูงมือผมขึ้นห้อง ชุดคุณกระต่ายของคุณแม่ซื้อมาให้จากเมืองนอกเลอะหมดเลยดีนะที่เป็นแค่น้ำส้มถ้าเป็นซุปหรือข้าวต้มไม่จบแค่นี้แน่

“เป็นอะไรมากไหม”

“ไม่เป็นไรมากครับแค่โดนน้ำส้มหกใส่”

“อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะเดี๋ยวออกไปหาอะไรกินข้างนอก”

“ครับ พี่เทียนจะลงไปทานต่อก็ได้นะครับ”

“นินอยู่นี่ไม่ได้อยู่ข้างล่างอีกอย่างพี่ก็รำคาญ”แหมน่ารักจังเลยครับแฟนใครไม่รู้ แต่ที่แน่ๆน่าจะเป็นแฟนผมนะ

เปิดกระเป๋าเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่วันนี้แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ยืนมองตัวเองในกระจกดูรอยเปื้อนจากน้ำส้ม อ้าผู้หญิงคนนี้เธอ

ต้องการประกาศสงครามกับผมรึเปล่านะ หรือแค่อุบัติเหตุเท่านั้นผู้หญิงนี่น่ากลัวแบบนี้ทุกคนรึเปล่านะ ถอดเสื้อผ้าออกใช้หมวก

คลุมอาบน้ำครอบผมไว้ แล้วเดินเข้าห้องอาบน้ำเปิดฝักบัวล้างตัวให้เปียกปิดฝาขวดครีมน้ำอาบกลิ่นที่ผมชอบลูบไล้ไปทั่วตัวให้

เกิดฟองกลิ่นหอมๆฟองนุ่มๆ อาบแล้วรู้สึกเพลินดีเปิดน้ำจากฝักบัวล้างฟองครีมอาบน้ำออกให้หมดจนเหลือแต่ผิวเนียนนุ่มอม

ชมพู หยิบผ้าเช็ดตัวซ้ำหยดน้ำที่เกาะอยู่ตามผิวแล้วใช้ครีมบำรุงทาลงไปที่ผิวโลชั่นเนื้อบางเบา แต่บำรุงล้ำลึกกำลังซึมซาบเข้าสู่

ผิว กลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวจะอยู่บนตัวทั้งวันตามที่เขาโฆษณาในโทรทัศน์  จากนั้นจึงสวมเสื้อผ้าเดินออกจากห้องน้ำเห็นพี่

เทียนกำลังนั่งดูโทรทัศน์ อยู่บนโซฟาตัวใหญ่

“พี่เทียนครับห้องน้ำว่างแล้วครับ”ผมนั่งลงข้างพี่เทียน

“เปลี่ยนเสื้อกลายคุณหมูแล้ว หอมจังเลย”

“กลิ่นปกตินี่ครับนินก็ใช้กลิ่นนี้บ่อย”

“ต้องพิสูจน์พี่จำกลิ่นของนินได้”พูดซะติดเรทมากเลยพี่เทียน เขาพยายามจะเข้ามาดมกลิ่นจากตัวผมแต่ผมเป็นฝ่าเขยิบออกให้
ห่างจากเขา พี่เทียนครับกลิ่นผมผมรู้ครับ

“หิวไหมเดี๋ยวรอแปบหนึ่งพี่อาบน้ำก่อนแล้วค่อยลงไปหาอะไรกินกัน”

“ครับ”ผมรับคำพี่เทียนแล้วเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

ก๊อก ก๊อก มีคนมาเคาะประตู

“เอาอาหารมาส่งครับ”

“เอ่อ ไม่ได้สั่งนะครับส่งผิดห้องรึเปล่าครับ”พนักงานยื่นโน้ตให้ผมอ่านอ้อ

“งั้นเชิญเลยครับวางไว้บนโต๊ะได้เลย”พนักงานหนุ่มเดินถือถาดอาหารวางลงที่โต๊ะหน้าโซฟาแล้วเดินออกไป อาหารที่วางอยู่บน
โต๊ะเป็นข้าวผัดหนึ่งจาน พร้อมตกแต่งอย่างสวยงามอีกจานเป็นสลัดผักจานที่สามเป็นผลไม้สดน่าตาน่าทานมากผมหยิบผลไม้ขึ้นมากิน

 “นิน กินอะไร”อื้อพี่เทียนอย่าทักดิเกือบสำลักแล้วไหมล่ะผู้ชายตัวโตแต่งตัวเรียบร้อยเดินตัวหอมออกมาจากห้องน้ำรู้สึกว่ากลิ่นนี้มันกลิ่นครีมอาบน้ำผมรึเปล่านะ

“สตอเบอรี่อร่อยนะครับ เดี๋ยวนินหยิบให้ชิม”ผมยื่นสตอเบอรี่เข้าปากคนหน้าหล่อ

“เอ่อ พี่เทียนครับนั่นมันนิ้วผมไม่ใช่สตอเบอรี่”เขาทั้งดูดทั้งเลียนิ้วมือผมใหญ่เลย รู้สึกจักกะจี้เหมือนมีกระแสไปวิ่งผ่านไปทั่วตัวยังไงไม่รู้

“อ้าวหรอมิน่ามันหนุ่มๆหวาน ขนาดนิ้วยังนุ่มยังหวานขนาดนี้ถ้าเป็นที่อื่นจะนุ่มจะหวานเหมือนนิ้วไหมนะอยากลองชิมดูบ้างจัง ฮึ พี่เทียนทำหน้าหื่นใส่ผมอีกแล้ว

“พี่ฟรอยด์สั่งอาหารมาให้ครับ”

“อ้าวหรอพอดีเลย”เอ่อคือแล้วทำไมต้องมานั่งเบียดผมด้วย

“กินรองท้องก่อนแล้วกันเดี๋ยวไปเที่ยวแล้วเราไปหาอะไรอร่อยทานกัน”ผมหยิบสลัดผักกับผลไม้เข้าปาก ตามโปรแกรมที่คุยกัน
วันนี้จะขึ้นดอยไปไหว้พระธาตุ หลังจากนั้นไปที่ไหนอันนี้จำไม่ได้เราทั้งคู่นั่งทานข้าวด้วยกันเงียบเงียบรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ที่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองคน

ไม่นานอาหารตรงหน้าก็หมดลงผมมองดูเวลาน่าจะใกล้ที่เรานัดรวมพลกันแล้ว ผมกับพี่เทียนจึงพากันเดินลงมาจากห้องไปเดินเล่นรอคนอื่นไม่ยังลงมาจากห้อง

“พี่เทียน แช๊ะ”ผมถ่ายรูปพี่เทียนขณะที่กำลังเดินเล่นดูรอบๆบริเวณรีสอร์ท

“อ้า แอบถ่ายรูปคนหล่อได้ไงไหนไหนให้พี่ดูหน่อย”ผมยื่นกล้องให้พี่เทียนเปิดเลื่อนดูภาพที่ผมถ่าย ภาพผู้ชายหน้าตาดีหันหน้า
มาส่งยิ้มบางๆมาให้ผมวันนี้เขาสวมเสื้อยืดกับเสื้อกันหนาวกางเกงยีนต์รองเท้าผ้าใบ

“ฝีมือดีนิถ่ายรูปสวย เอ๊ะหรือว่าพี่หน้าตาดีน่าจะเป็นอย่างหลัง”ไม่ค่อยหลงตัวเองเลยนะแต่มันก็เป็นเรื่องจริงให้อภัยได้ พี่เทียน

สวมกอดผมจากด้านหลังใช้คางวางไว้บนไหล่ผม มือทั้งสองข้างถือกล้องกดปุ่มบนกล้องเลื่อนดูสภาพอากาศยามเช้ายังหนาว

มาก บริเวณโดยรอบของรีสอร์ทมีทั้งต้นไม้น้อยใหญ่ สายลมที่พัดมาเอื่อยๆพัดเอาความหนาวเย็นมากระทบใบหน้าของผม

“อากาศตอนเช้ายังหนาวอยู่เลย เสื้อบางไปไหม แก้มเย็นจังจับมือก็เย็น”พีเทียนใช้มือจับแก้มและมือของผม

“ไม่เป็นครับเดี๋ยวสายแล้วอากาศก็อุ่นขึ้น”ผมสวมเสื้อแขนยาวสวมทับด้วยเสื้อแขนสั้นมีหมวกกับกางเกงยีนต์สีซีดรองเท้าผ้าใบ

“มาเที่ยวด้วยกันแต่เรายังไม่มีรูปคู่ไปอวดคุณย่าเลย”พี่เทียนพูดอยู่ข้างๆหูผมแต่มือยังกดเลื่อนดูภาพในกล้อง

“แล้วจะให้ใครถ่ายให้”ผมหันหน้าไปถามคนที่กำลังกอดผมอยู่

“ไม่ต้อง”อ้าวแล้วจะถ่ายยังไงพี่เทียนผมกำลังขมวดคิ้วงงอยู่พี่เทียนคืนกล้องให้ผมถือไว้ในมือส่วนมือข้างหนึ่ง

ล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมา แล้ววางไว้ตรงหน้าหน้าจอปรากฏภาพที่ผมอยู่ในอ้อมกอดโดยมีพี่เทียนยืนอยู่ข้างหลัง พี่เทียนใช้

มือข้างหนึ่งที่ไม่ถนัดกอดเอวผมไว้พี่เทียนกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น แล้วเลื่อนใบหน้าของเขาเข้ามาแนบชิดกันกับแก้มของผม

เห็นภาพตัวเองในกล้องแล้วอายมากแต่ดูแล้วเหมือนคู่รักกันเลย

“ยิ้มเร็ว”รู้สึกว่ามันใช่รูปคู่แต่มันมองไม่เห็นวิวรอบข้างแล้วจะรู้ได้ไงว่ามาเที่ยว อายไม่รู้ว่าคุณย่าจะมีโอกาสได้เห็นรูปนี้รึเปล่า พี่

เทียนกดถ่ายรูปจนพอใจก็ปล่อยผมออกจากออ้อมกอดแล้วเปลี่ยนไปกดจิ้มๆอะไรสักอย่างที่โทรศัพท์แล้วยิ้มอยู่คนเดียวเขาคง

ไม่ได้ทำอะไรแปลกๆกับรูปของผมนะ

“มาอยู่กันที่นี่เองไปหาที่ห้องไม่เจอ”พีฟรอยด์เดินมาตามผมกับพี่เทียนทุกคนคงพร้อมกันแล้ว พวกเราเดินไปรวมตัวกับคนอื่นๆที่

ลานจอดรถ พี่เทียนกับเพื่อนกำลังคุยกันถึงเรื่องเส้นทางที่จะไปเที่ยว ส่วนผมก็ถ่ายรูปธรรมชาติบริเวณข้างๆ เช้าๆแดดยังไม่ค่อย

แรงอากาศยังเย็นอยู่

“นินขึ้นรถปะ หนาวมากไหมคุณหมู”ไม่ตอบแต่ยิ้มให้เขาแทนผมเดินตามพี่เทียนไปที่รถ

“คุณเทียนคะ คุณเทียนรอใหม่ด้วยค่ะ”สาวสวยหุ่นดีในชุดรัดรูปสวมรองเท้าสั้นตึกวิ่งมาหาพี่เทียน อืมเสื้อจะรัดไปไหนครับ

“มีอะไรหรอครับ”ผมรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีผู้หญิงคนนี้เข้ามาใกล้ทีไรผมได้เรื่องทุกที

“ขอใหม่ขึ้นรถไปด้วยคนนะคะพอดีเพื่อนอีกคนเขาเมารถนะคะเลยต้องมานั่งข้างหน้าใหม่เลยอยากมาข้างหน้าใหม่ก็เมารถนั่งข้าง

หลังไม่ได้เหมือนกัน”แรงส์ได้อีก แสดงว่าผมต้องเสียสละให้เธอนั่งกับพี่เทียนหรอเนี่ยรู้สึกไม่ค่อยพอใจยังไงไม่รู้ ปฎิเสธได้ไห
มอะ

“งั้นรอสักครู่นะครับ”พี่เทียนเดินไปไหนไหม่รู้ปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ยิ้มดีใจเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว

“ยังไงของแปลกก็สู้ของจริงไม่ได้จริงไหม”เธอยิ้มอย่างผู้มีชัย อ้อ จะอวดว่าตัวเองเป็นปอดบวมว่างั้น ผู้หญิงคนนี้รูปร่างเธอสูง
ใหญ่กว่าผมอีกนะแต่ก่อนผมว่านนท์ตัวเล็กแล้วนะมาเจอนินคนละเรื่องเลย

“คุณใหม่ครับ”พี่เทียนเรียก

“คะ.คะไปกันแล้วใช่ไหมคะ”ไม่ค่อยดีใจออกนอกหน้าเลยนะครับ

“ไม่ใช่ครับ แต่คุณใหม่ไปนั่งคันโน้นครับ”หา นี่ผมหูฝาดไปรึเปล่า

“ทำไมละคะ ทำใหม่นั่งคันนี้ไม่ได้”เธอก็ตกใจไม่แพ้กันที่โดนไล่ไปนั่งรถอีกคันทั้งที่ตั้งใจจะมานั่งคันนี้หน้าตาเธอบอกได้ชัดเจน
เลยว่าไม่พอใจอย่างมาก

“น้องไม่สบายน้องนั่งเบาะหลังไม่ได้ เมื่อวานคุณก็เห็นว่าน้องไม่ค่อยสบาย คันนั้นคุณนั่งข้างหน้าได้ไม่มีใครเมารถ”ผมหันไปมองรถอีกคันของพี่กัปตันพี่ต้นตอกับพี่วัฒน์ที่กำลังชะลอรอเธออยู่

“ตะ แต่คุณเทียน”เธอไม่ยอมไปง่ายๆ

“ไปเถอะครับทุกคนจะได้เดินทางซะทีผมว่ามันสายแล้วนะครับ”ว้าวพี่เทียนน่ารัก ผู้หญิงคนนั้นเธอยอมเดินไปขึ้นรถอีกคันด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด

“นินนึกว่าจะได้ข้างหลังซะแล้ว”ถอนหายใจออกอย่างโล่งใจ

“ไม่ได้ ใครจะบ้าให้คนที่ตัวเองรักไปนั่งเบาะหลังแล้วให้ใครไม่รู้มานั่งข้างๆ ขึ้นรถเถอะ”พี่เทียนทำหน้าดุตลอดเลยเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นเป็นใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ผิดกับเวลาที่อยู่กับผมสองต่อสอง




*********************************************************************


โปรดติดตามตอนต่อไป






หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 17] 22/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-07-2016 21:06:38
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:

สมน้ำหน้ามากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แฟนเขาจะจู๋จี๋กันยังจะมาขัด
ชะนีจะรู้ไหมว่าพี่เทียนเกย์ตั้งแต่เกิด

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 17] 22/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-07-2016 22:00:09
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 17] 22/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 22-07-2016 22:45:22
เป็นแฟนกันแล้ว ดีค่ะ ไม่ชอบให้นายเอกช้ำใจ  :laugh:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 17] 22/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-07-2016 16:25:05
อย่าเยอะนะคุณนี
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 17] 22/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 23-07-2016 17:28:30
สมน้ำหน้าชะนีค่าาา
น้องน่ารักมากมายยยยยย
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 17] 22/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: chaichan ที่ 23-07-2016 19:29:12
ต้องชัดเจนอย่างนี้จ้ะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 17] 22/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 23-07-2016 20:24:36
แร่ดจนเกินงามไปเลยนะชะนีเนี่ยะ // เค้าบอกรักกัน เค้าเป็นแฟนกันแล้วววววว น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 18] 2/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 02-08-2016 12:24:38

เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน

ตอนที่ 18


          รถทั้งสามคันทยอยออกจากที่จอดรถขับตามกันไป ยังเช้าอยู่ถนนเส้นที่ผ่านไม่ได้เข้าในเมืองถนนยังโล่งอยู่สองข้างทาง

ยังมีบ้านเรือนสมัยเก่าให้เห็น ร้านค้าต่างๆริมทางยังไม่เปิดเรามุ่งหน้าขึ้นดอยเพื่อไปไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต

ดีเหมือนกันช่วงนี้ผมถูกรังครวญทั้งในความฝัน ที่ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเกือบทุกคืนเธอรู้จักผม แต่ผมจำเธอไม่ได้ เห็นหน้าไม่ชัด

แต่เธอขยันมาร้องไห้โหยหวนพูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ไม่รู้ว่าจะขยันมาหาผมทำไมบ่อยๆแล้วพูดแต่คำเดิมๆ ส่วนกลางวันก็เจอ

สัมภเวสีที่ตามรังครวญผมกับพี่เทียนอันนี่อันตรายและน่ากลัวกว่าในฝัน ไม่รู้ว่าจะรับมือยังไงดีดูเธอคงไม่จบแค่นี้แน่ถ้าไม่เกรงใจ

ว่าเป็นเพื่อนพี่ฟรอยด์ พี่เทียนจะทำอะไรรุนแรงไหมนะไม่อยากให้พี่เทียนทำอะไรที่รุนแรง ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง รู้สึกหูอื้อแสดง

ว่าเรากำลังขึ้นเขา ทางถนนวนขึ้นเขาต้องคอยระวังรถที่สวนลงมา ป้ายข้างทางบอกระยะทางไม่ไกลก็จะถึงที่หมาย ทัศนียภาพ

ข้างทางเป็นเหวสูงที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใบเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองและสีส้ม ร่วงลงบนพื้นใบไม้ใบเล็กๆปลิวลงมาบนทาง

ถนนเรียบค่อนข้างอันตราย ไม่นานนักภาพยอดเจดีย์สีเหลืองทองก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า รถจอดสนิทแล้ว ผมและพี่เทียนเดินลงจาก

รถ รถรับจ้างสีแดงจอดเรียงรายรับส่งผู้โดยที่เป็นนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างประเทศอยู่เต็ม

“ถ้าเหนื่อยก็บอกพี่นะ”ผมยืนมองบันไดนาคจำนวน 300 ขั้นที่อยู่ตรงหน้า

“ทำไมจะให้นินขี่หลังรึไง”

“ไม่มีปัญหา ตัวเล็กๆเบาเหมือนนุ่นพี่เคยอุ้มบ่อยแล้ว”พี่เทียนยื่นมือมาขยี้หัวผม ผมยกกล้องขึ้นปิดตาข้างหนึ่งใช้ตาอีกข้างมอง

ผ่านเลนส์กดชัดเตอร์บันทึกภาพบันไดนาคสีเขียว

“น้องนินเดี่ยวรอพี่ก่อน”เสียงพี่กัปตันร้องตะโกนเรียกผมให้หยุด

“ไอ้วัฒน์ไอ้ต้นไอ้ฟรอยด์มาเร็ว”พี่กัปตันเรียกเพื่อนเข้ากล้องผมหันไปมองสามหนุ่มกำลังรีบวิ่งมาตามเสียงเรียกของเพื่อน

“น้องนินถ่ายออกมาหล่อๆนะ”ห้าหนุ่มหล่อกระชากใจสาวยืนรวมตัวถ่ายรูปตรงทางเดินขึ้นบันไดนาค ทำให้มีสาวๆสนใจมองกัน

เป็นแถวความหล่อกินกันไม่ลงเลยทีเดียว มีทั้งรูปเดี่ยวรูปหมู่รูปคู่ของผมกับพี่เทียนที่ได้พี่พี่สลับเป็นตากล้องจำเป็นถ่ายให้ ถ่าย

รูปจนพอใจพวกเราก็ได้ฤกษ์เดินขึ้นผมมีพี่เทียนเดินจูงต้นแขนไปด้วย ส่วนสาวๆเห็นบอกว่าไปเข้าห้องน้ำแล้วจะตามมาทีหลัง

“เป็นไงคุณหมูน้อย เหนื่อยไหมเรา”พี่เทียนทักเมื่อเท้าก้าวสุดท้ายเหยียบลงพื้นวัด หันหลังมองกลับลงไปสูงเหมือนกัน

เมื่อได้ขึ้นมาแล้วต่างคนต่างแยกย้ายเดินเที่ยวชมวัดถ่ายรูปวัด พระธาตุสีเหลืองสูงตระหง่านแสงแดดตกกระทบทำให้เหมือนมอง

แล้วกำลังเปล่งแสงสว่างออกมา เหล่าพุทธศาสนิกชนกำลังจุดธูปเทียนวางดอกไม้ปักธูปลงกระถาง แล้วกล่าวคำอธิฐานบางคน

เดินถือดอกไม้ธูปเทียนวนรอบพระธาตุสามรอบ ก่อนปักธูปลงกระถางเสียงช่างภาพรับจ้างถ่ายรูปเดินเรียกลูกค้าที่ต้องการถ่ายรูป

ด่วนสามารถยืนรอรับได้ พระพุทธรูปปางต่างๆประดิษฐานอยู่รอบๆพระธาตุ เสียงระฆังในวัดที่ถูกเหล่านักท่องเที่ยวตีเพื่อความ

เป็นสิริมงคลในชีวิตดังขึ้นเป็นระยะ

“พี่เทียนนินหิวแล้วเราลงไปหาอะไรทานกันไหมไปเดินดูของฝากด้วย”สลัดผักเมื่อเช้าไม่อยู่ท้องพยาธิในท้องกำลังต้องการ

อาหาร

“ได้ งั้นเราลงไปข้างล่างกัน”พี่เทียนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรบอกเพื่อนๆว่าจะลงๆไปรอข้างล่าง

         ของที่ระลึกวางขายเต็มสองทางเดินที่พ่อค้าแม่ค้าตั้งร้านขายของทั้งกินของที่ระลึก ผมกับพี่เทียนหยุดดูของที่ระลึกไป

เรื่อยๆตามแพงลอย ในมือผมมีถ้วยลูกชิ้นปลานึ่งราดน้ำจิ้มกินรองท้องก่อนถึงมื้อเที่ยงส่วนพี่เทียนทำหน้าที่ถือน้ำดื่ม

“ลูกชิ้นอร่อยไหม”พี่เทียนหันมาถามผม

“อ้าปากดิ”ผมจิ้มลูกชิ้นป้อนเข้าปาก

“อร่อยดีนะ โดยเฉพาะเวลามีคนป้อน”ครับเอาที่สบายใจครับ

“ได้อะไรมาเยอะเลยน้องนิน”พี่วัฒน์ทักขึ้นเห็นผมกับพี่เทียนเดินกลับมาที่รถ

“เดี๋ยวไปทานข้าวก่อนไปเที่ยวต่อจองร้านไว้แล้ว”พี่ฟรอยด์

“มึงขับนำไปเลยเดี๋ยวพวกกูตามไป”พวกผมกระโดขึ้นรถตามรถพี่ฟรอยด์เพื่อไปทานอาหารที่ร้านอาหารจองไว้

           รถของพวกเราวิ่งลงเขาสวนทางกับกับนักท่องเที่ยวคนอื่นที่กำลังทยอยขึ้นมา รถแดงรับส่งผู้โดยสารที่มาท่องเที่ยววิ่ง

สลับขึ้นลงเขาเป็นระยะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักเที่ยวได้ดีไม่น้อยทีเดียว ถึงแม้จะเป็นฤดูหนาวแต่สายๆแดดแรงมากยิ่ง

อยู่บนที่สูงอากาศก็ยิ่งร้อน เมื่อเข้ามาในรถเครื่องปรับอากาศช่วยให้อุณหภูมิในร่างกายของผมรู้สึกดีขึ้น ระยะทางจากสถานที่

ท่องเที่ยวมาถึงร้านอาหารไม่ไกลมากนัก พวกเราพักทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งอยู่ติดริมทางถนนเส้นหลัก รถสามคันเลี้ยว

เข้าไปจอดในลานจอดรถเดินเข้าไปในร้านบรรยากาศน่านั่งข้างในอากาศเย็นสบายกว่าที่คิดเพราะด้านในร่มรื่นมีต้นไม้เยอะ

“น้องนินทานอาหารง่ายๆไปก่อนเดี๋ยวคืนนี้พี่จะพากินอาหารพื้นเมืองร้านอร่อยๆบรรยากาศดี”

“ครับ”

“คุณเทียนร้อนไหมคะมานั่งตรงไหมคะจะได้โดนพัดลม”ขอโทษครับคุณใหม่มันก็ร้อนกันทุกล่ะครับไปเที่ยวที่เดียวกัน

“ไม่เป็นไรครับตรงนี้สบายกว่า”

“น้องนินอย่าลืมส่งรูปให้พี่นะครับ ว่าแต่อันนี้ใช่ไหมที่เป็นไลน์ของเรา”พี่วัฒน์

“ครับ”

“เฮ้ย ทำไมพี่ไม่มีไลน์น้องนินบ้าง”พี่กัปตัน

“แล้วมึงจะเอาเบอร์น้องไปทำไม”

“ก็มึงติดต่อยากคุยผ่านน้องดีกว่า”นี่พี่ๆเห็นผมเป็นทางผ่านหรือครับ

“ใช่ไงน้องนินพี่ๆจะช่วยคุมประพฤติถ้ามันทำอะไรไม่ดีจะได้รายงานได้ไง”พี่ฟรอยด์

“พอเถอะพวกมึงอย่าเสี้ยม”

ไม่รู้ว่าพวกพี่เขากับคุยกับหรือทะเลาะกันแน่แต่ไม่นานอาหารก็ตั้งตรงหน้าเป็นอาหารง่ายๆ เพราะต้องรีบไปต่อตอนบ่าย มื้อเที่ยง

เลยไม่ค่อยใส่ใจมากเห็นว่าจะไปหนักมื้อเย็นอีกที และระหว่างที่ไปเดินเที่ยวมีร้านของทานเล่นเยอะแยะ ท้องไม่น่าจะว่าง หลัก

จากกินข้าวเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางต่อไปที่ท่องเที่ยวอื่นที่ขึ้นเป็นเหมือนตลาดทั่วไป แต่ที่จะขายของพื้นเมืองของทำมือและ

อากาศไม่ร้อน เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ไปเรื่อย หยุดดูของที่ถูกใจบ้างเลือกดูของฝากให้เพื่อนๆบ้างสุดท้ายต้องมานั่งพักที่ร้าน

กาแฟข้างทาง

“มีของน่ารักเยอะครับพี่เทียน”

“ชอบหรอเรา”

“ก็น่ารักนะครับ เดี๋ยวซื้อไปฝากคุณพ่อคุณแม่ดีกว่า”

“ซื้อไปฝากให้ครบทุกคนนะ”อะ นี่ประชดรึเปล่าครับ

“พี่เทียนไม่สบายหรอครับ”ทำหน้าบูดตลอดเลย

“บอกตัวเองเถอะ กลับไปไม่สบายขึ้นมาจะแย่”พี่เทียนมองมาที่ผม

“ถ้าน้องป่วยจะให้พี่เทียนรับผิดชอบ”พูดแล้วส่งยิ้มกวนๆให้

“อื้อ อยากจูบจัง”หา พี่เทียนพูดอะไรเกือบสำลักน้ำ

“บ้า คิดแต่เรื่องนี้รึไง อยู่ดีดีก็พูดขึ้นมา”เมื่อกี้ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้นิ เรื่องของฝาก ครับของฝาก

“ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ จูบได้แค่นิดเดียว ยังไม่ได้สอดลิ้นเข้าไปเลย”พี่เทียนครับนี่มันใช่เรื่องมานั่งคุยกันกลางตลาดที่มีคน

เดินไปมารึเปล่าครับ พี่ไม่อายแต่ผมอายนะครับมิน่าทำหน้าตาไม่พอใจมาตั้งนาน ไอ้เราก็นึกว่าเป็นอะไรซะอีก

เดินดูของต่อสักพักทุกคนก็ย้ายที่ไปสวนอุทยานหลวงราชพฤกษ์สวนสาธารณะขนาดใหญ่ ใหญ่ขนาดมีรถบริการให้ขึ้นนั่งชม

แดดกำลังดีอากาศไม่ค่อยร้อนมากต้นไม้ดอกไม้ออกดอกสวยมีคนกำลังจัดบู๊ทเตรียมรับเทศช่วงปีใหม่ที่จะมาถึง

“ใหม่กับเพื่อนขอตัวนะคะ เดินมาทั้งวันแล้วเหนื่อย”

“งั้นรอที่ซุ้มน้ำศาลานั่นละกัน”พี่ฟรอยด์

“คุณเทียนไม่เหนื่อยบ้างหรอคะ เดินมาทั้งวันไปบ้างดื่มน้ำเย็นๆก่อนไหมคะ”

“ไม่ครับ เชิญตามสบายครับ”พี่เทียนปฏิเสธพี่ใหม่ไป แล้วก็เดินจูงมือผมไปเดินเที่ยว

เข้ามาสิ่งที่เห็นโดเด่นก็คือต้นสนดึกดำบรรพ์อายุกว่า 250 ล้านปี บริเวณประตูทางเข้าต้นใหญ่มากเดินเรื่อยจนถึงหอคำหลวง

ป้ายสีขาวเขียนด้วยตัวหนังสือสีทองพร้อมภาษาอังกฤษ ทางขึ้นขนาดกว้างมองตั้งแต่ทางเข้าจะเห็นเสาหน้าตาประหลาดเหมือน

เป็นหลังคาเล็กๆแล้วมีเสาเหล็กที่โค้งงอไม่แน่ใจว่าคือเสารึเปล่าตั้งคู่กันยาวไปจนถึงบันไดทางขึ้นหอคำ นักท่องเที่ยวต่างหยุด

ถ่ายรูปกันหลายคนไม่เว้นแต่พวกเรา

“สวยเหมือนฉากหนึ่งในละครยังไงไม่รู้”ผู้ชายตัวโตห้าคนสวมแว่นตาดำยืนมองดูหอคำที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า อดที่จะเก็บภาพความ

ประทับใจไม่ได้ ต่างคนต่างโพสท่าทางเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมาบ้างก็ไล่เตะกัน ทำให้ผมอดคิดถึงเพื่อนๆบ้างไม่ได้ เดิน

ร้อนมาตั้งแต่ทางเข้าหอหลวงเดินขึ้นบันไดมาหลายขั้น พอเข้าไปข้างรู้สึกอากาศเปลี่ยนทันที รู้สึกได้ว่าอากาศข้างในเย็นสบาย

เก็บภาพด้านในเสร็จ ก็ออกมาถ่ายภาพรอบนอกมองจากมุมที่อยู่บนหอคำ สามารมองเห็นสวนที่อยู่รอบๆ

“เหนื่อยไหม หิวรึยัง”คนตัวโตหันหน้ามาถาม

“นิดหน่อยครับ”

“เดี๋ยวหมดจากนี่ก็คงได้ทานข้าวแล้วแหล่ะ”

“พี่เทียนมาเที่ยวกับเพื่อนอย่างนี้บ่อยหรอครับ”เงยหน้าขึ้นถามคนที่ยืนข้างๆ

“แต่ก่อนก็บ่อยแต่ตั้งแต่ทำบริษัทก็ไม่ค่อยว่าง”ไม่มีเวลาเที่ยวแต่มีเวลาทำงานว่างั้น

“เห็นพี่ฟรอยด์บอกว่า แฟนเก่าพี่เทียนไม่ชอบเที่ยวแบบนี้ด้วยรึเปล่าครับ”ไม่ได้ตั้งใจถามแต่อยากรู้

“หึ หึ อยากรู้อะไรถามมาได้เลยพี่ไม่มีความลับอะไรหรอก ยิ่งเป็นคนที่พี่รักแล้วด้วย”

“ถามได้จริงดิ”

“แลกกับจูบดีไหมนะ”ว่าแล้วผู้ชายคนนี้ หื่นได้ตลอดสิน่า

“งั้นก็ไม่อยากรู้แล้ว”ไม่อยากเสียเปรียบ คิดถึงจูบเมื่อคืนรู้สึกใจเต้นขึ้นมาทันที

“ล้อเล่นน่า ล้อเล่น เพื่อนพี่มันเล่าอะไรให้ฟังบ้างล่ะ”

“พี่ฟรอยด์บอกว่าแฟนคนเก่าพี่เทียนเขาเข้ามาหลอก”

“อย่าไปเชื่อพวกมันให้มาก คนอย่างพี่ถ้าไม่เต็มใจให้ใครก็เอาไปไม่ได้ อีกอย่างเขาไม่ใช่แฟนเราคบกันแบบเงื่อนไขก็เท่านั้น

”อ้อ คบกันแบบนี้ก็มีด้วย

“แล้ว....แล้วแบบเราเรียกว่าอะไร”รู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที

“แฟน คนรัก คนที่พร้อมจะเดินเคียงคู่ไปด้วยกัน”ผมมองเข้าไปในดวงตาสีเข้มที่มีภาพของผมฉายอยู่ในนั้น

เป็นการสารภาพรักที่โรแมนติกที่สุด แม้คนตรงหน้าไม่ได้คุกเข่าขอความรักบนตึกสูงระฟ้า ในร้านอาหารหรู หรือบรรยากาศใต้

แสงเทียนแต่บรรยากาศในอุทยานที่มีต้นไม้หลายร้อยต้น หลากหลายพันธ์ หลายหลากชนิด รวมไปถึงดอกไม้หลากสีสันที่ช่วย

เป็นสักขีพยานในคำมั่นสัญญาในครั้งนี้ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว เป็นคำตอบของพี่เทียนทำให้ผมอดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ รู้สึกหัวใจเต้น

แรงมีความสุขตัวเบาหวิวยังไงไม่รู้

“เป็นครั้งแรกที่พี่เข้าหาคนอื่นก่อน เราต่างจากคนอื่นมาก”

“คือ”

“อย่างเรื่องทำงาน เราสามารถให้คุณลุงคุณป้าช่วยหรือให้คุณย่าช่วยก็ไม่ทำ ไม่รับเงินจากคุณลุงคุณป้า อย่างไปเดินห้างหรือมา

เที่ยวก็ไม่เคยเอ่ยปากอยากได้อะไร”ก็โตแล้วมีความรับผิดชอบส่วนเรื่องเงินมีอยู่แล้ว

“บางครั้งคนที่อยู่รอบข้างเขาก็อยากให้เราพึ่งพา เหมือนกับพี่ที่อยากให้แฟนตัวเองอ้อนอยากได้นั่นอยากได้นี่อยากให้เราพึ่งพา

พี่มากกว่านี้ เพราะเป็นคนสำคัญเลยอยากให้นินเชื่อใจ”

มันอาจจะเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเวลาที่เราอ่อนแอพึ่งพาคนอื่นก็เป็นเรื่องดีคิดมาตลอดว่าไม่อยากเป็นภาระไม่อยากให้คน

อื่นเดือดร้อนหรือไม่สบายใจ

“ถ้าอย่างนั้นต่อไปก็ฝากดูแลนินด้วยนะครับ”

“ยินดีครับ จะดูแลตลอดไป”

แสงตะวันอ่อนแสงลงแล้ว หลังจากที่เดินเที่ยวเก็บภาพเกือบสองชั่วโมงลมเย็นประทะหน้าแต่สายตาผมยังจ้องมองไปที่ดวงตาที่

บอกถึงความมั่นคงแน่วแน่จริงใจของผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า คนที่สัญญาว่าต่อแต่นี้ไปจะดูแลผม ดูแลตลอดไปมีแค่เพียงคำพูดที่

ออกจากปากเขาเท่านั้นไม่มีอะไรเป็นหลักประกันที่แน่นอน แต่แค่นี้ผมก็ความสุขแล้ว ต่อไปนี้ก็ขึ้นอยู่เราสองคนว่าจะช่วยกันประ

คับประคองรักนี้ไปได้นานเท่าไหร่


                     18.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นพระอาทิตย์กลับเข้านอนไปแล้ว ผลัดเปลี่ยนเวรให้พระจันทร์มาทำหน้าที่ส่องแสงยิ้ม

แฉ่งอยู่บนฟ้าแทน พวกเราก็เดินทางออกจากสวนราชฟฤกษ์ แล้วตรงมาที่ร้านอาหาร พวกเรานั่งรออาหารที่ทยอยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ

บรรยากาศร้านอาหารบ้านทรงไทยขับกล่อมด้วยเสียงเครื่องดนตรีพื้นเมือง พนักงานต้อนรับพนักงานเสิร์ฟสวมชุดผ้าพื้นเมืองบวก

กับการพูดคุยด้วยภาษาถิ่นของโต๊ะข้างๆ ทำให้ได้บรรยากาศเหนือเกินบรรยาย กลิ่นหอมเครื่องเทศของไส้อั่ว แกงฮังเล แกงแค

น้ำพริกอ่อง น้ำพริกพร้อมเครื่องเคียงผักสดและแคปหมู กำลังเรียกน้ำลาย เสียงดนตรีฟอล์คซองดังขึ้นบนเวทีเรียกเสียงปรบมือ

ให้ลูกค้าได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องรอให้อาหารครบพวกเราลงมือก่อนตักชิมอาหารทีละอย่าง มีบางอย่างที่สามารถทานได้แต่ก็ไม่ได้

คิดมากเพราะพี่เทียนสั่งอาหารที่ผมมาให้ด้วย มื้อเย็นอร่อยไปตามที่ฟรอยด์คุยไว้ นั่งย่อยฟังเพลงดนตรีพื้นเมืองไม่นานก็กลับ

เข้าที่พัก

“ง่วงจังเลย”อาบน้ำเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำก็บ่นทันที ไม่ได้กินอิ่มเที่ยวสนุกอย่างนานแล้ว

“มานั่งนี่ก่อนเดี๋ยวค่อยนอน หายปวดขารึยัง”

“อื้อ ได้นั่งพักก็ดีขึ้นบ้างแล้วครับ”เดินเข้าไปหาผู้ชายตัวโตที่นั่งดูอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์  นั่งลงพี่เทียนก็ดึงให้ไปนั่งบนตักให้

ผมซบหน้าลงบนอกกว้าง จมูกไม่อยู่สุขก็ดมกลิ่นหอมครีมอาบน้ำที่ตัวเองใช้อยู่บ่อยๆแต่ที่ตอนนี้มีกลิ่นติดอยู่บนตัวคนตัวโต

“อยากกอดอย่างนี้ทั้งวันเลย”พี่เทียนดึงผมออกจากอ้อมกอดเราทั้งคู่กำลังจ้องตากันอยู่

“จูบได้ไหม”บ้าเรื่องแบบนี้เขาเอามาถามกัน

แต่ยังไม่ทันที่จะให้คำตอบริมฝีปากเขาก็ลงมาทับริมฝีปากผมอย่างนิ่มนวล เขาใช้ลิ้นเลียบนริมฝีปากดูดเม้มเบาๆ สอดปลายลิ้น

เข้ามา

“อื้อ พอแล้วครับ”

“เฮ้ย ได้ไงยังไม่ได้จูบเลย”

“น้องง่วงแล้ว”ไม่ได้แกล้งแต่พี่เทียนน่าแกล้ง ไม่สนใจเสียงโวยวายรีบเดินเข้าไปในห้องคลานขึ้นเตียง ไม่นานพี่เทียนก็ตามมา

ขึ้นมาทับผมไว้ทั้งตัวเอาหน้าซุกไว้ที่ซอกคอ

“แสบนะเรา เอาไว้ถึงเวลาเมื่อไหร่จะทบทั้งต้นทั้งดอกเลย ฟอด ”จอมหื่นยังไม่ยอมแพ้ไม่ได้จูบแต่ได้หอมก็ยังดี

“พี่เทียนครับน้องง่วงแล้ว”แกล้งทำเสียงดุใส่จนพี่เทียนต้องยอมดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดแล้วหลับไปด้วยกัน



                   ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นทำให้ต้องตื่นเพราะวันนี้พวกเราจะไปเที่ยววัด ล่องขุน ลืมตาตื่นเห็นพี่เทียนกำลังจ้องผมอยู่

“อรุณสวัสดิ์ ครับ ฟอด”พี่เทียนจูบลงที่หน้าผากเบาๆ ทำไห้อดยิ้มไม่ได้

“อรุณสวัสดิ์ ครับ พี่เทียนตื่นนานแล้วหรอครับ”ลุกขึ้นนั่งแก้เขินแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำชำระร่ากาย

ยืนมองตัวเองในกระจกที่ตอนนี้บนใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏอยู่ ที่ผมสัมผัสอยู่ตอนนี้มันคงไม่ใช่ความฝันถ้ากลับไปแล้วทุกอย่างจะ

ยังเป็นอย่างเดิมหรือเปลี่ยนไปรึเปล่านะ

                     วันนี้ออกเดินทางแต่เช้าเพราะระยะทางค่อนข้างไกลและไม่อยากรีบเร่งจนเกินไป ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก็มา

ถึงจุดหมายปลายทาง วัดสีขาวกระทบกระแสงแดดยามเช้าและสระน้ำที่อยู่ด้านข้างนักท่องเที่ยวกำลังเยอะอากาศก็กำลังร้อน

เดินขึ้นไปบนสะพานมองดูรอบๆเข้าไปด้านในและเดินออกมา

“หิวรึยัง”

“ยังเลยครับ”มองนาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาอีกกี่นาทีก็จะเที่ยง ที่แท้ก็สายขนาดนี้แล้ว แสงแดดเริ่มคล้อยมาตรงศีรษะ จนต้นไม้
มีเงาซ้อน

“อ้าวพี่ฟรอยด์ วัดอยู่ทางนี้ไม่ใช่หรอครับ”เห็นพี่ฟรอยด์เดินเข้ามา

“พอดีมันเข้าวัดแล้วมันร้อนพี่เลยพาไปซื้อไอติมดับร้อนนะ นินสนใจไหม”พี่กัปตัน

“กัปตันมึงพูดซะกูเป็นสัมพะเวสีเข้าวัดแล้วร้อน” ถ้าพี่เป็นทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็เป็นกันหมดต่างคนต่างเดินหาที่หลบแดด

“แล้วที่เหลือไปไหนกันหมดวะ”พี่เทียน

“สาวๆไปห้องน้ำ ไอ้สองตัวโน่นอยู่หน้าร้านไอติม”

รอทุกคนรวมตัวครบก็มุ่งหน้าไปร้านอาหารมื้อเที่ยงที่รับการแนะนำจากคนในพื้นที่มาว่าอร่อยมาก ร้านอาหารเป็นลักษณะห้อง

แถวเล็กๆหน้าร้านเป็นตู้กระจกเหมือนตู้ขายก๋วยเตี๋ยว ด้านในเป็นโต๊ะไม้กับเก้าอี้ไม้หัวโล้นตั้งไว้หลายชุด จับจองที่นั่งได้ก็สั่ง

อาหารขึ้นชื่อมาทาน ร้านนี้ขายข้าวซอยเนื้อและไก่ หมี่กะทิ ขนมจีนน้ำเงี้ยว

“อิ่มจังเลย พี่เทียนน่องไก่น่องเบ้อเริ่มเลย”เดินขึ้นรถมาพรรณนาความอร่อยของอาหารมื้อเที่ยงไม่หยุดปาก

“กินเยอะๆเถอะ เห็นกินแต่ละทีเหมือนแมวดม เลยไม่โตสักที พอดีไม่ได้ใช้งานพี่ก็แก่ก่อนพอดี”

“ว่าไปนั่น น้องโตแล้วแต่ได้เท่านี้เถอะ”

อาหารอร่อยตามที่คนในพื้นที่แนะนำมาพี่ๆก็กินหมดไปหลายชาม สาวๆก็กินน้อยคงกลัวอ้วน ทุกคนต่างอิ่มหนำกับมื้ออาหารมุ่ง

หน้าหาร้านขายของฝาก

ถนนทอดยาวสุดลูกหูลูกตาข้างทางที่ปกคลุมไปด้วยธรรมชาติภูเขาเป็นทางผ่านกลับเข้าเชียงใหม่

“รู้สึกเวียนหัวไหม”

“อือ ไม่หูอื้อนิดหน่อย”


                                                                              มีต่อด้านล่าง



หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 18] 02/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 02-08-2016 12:32:55

                                                                          ต่อจากด้านบน


“ได้อะไรมาบ้างของฝาก”

“เป็นของโครงการหลวงนะครับ ได้กระเป๋าให้พี่จิ๋วกับพี่แจ่มเอาไว้ไปจ่ายตลาดด้วยเป็นกระเป๋าผ้าด้วยดิบกับกระสอบเป็นของทำ

มือ มีน้ำผลไม้ด้วย”

“พี่จิ๋วพี่แจ่มยังมีของฝากแล้วพี่จะได้กับเขาบ้างไหมเนี่ย”

“ก็มาเที่ยวด้วยกันจะมีของฝากให้ได้ไง”

“แสดงว่าไม่มี น่าน้อยใจเลยเราอุส่าขับรถพามาเที่ยวตั้งไกล”

“โอ๋ โอ๋ ไม่น้อยใจมีครับ แต่ยังไม่ยังบอกว่าคืออะไร”พอบอกว่ามีของจะให้เท่านั้นยิ้มอารมณ์ดีขึ้นมาทันที

นาฬิกาบอกเวลาสิบแปดนาฬิกาสิบห้านาทีผมนอนลงโซฟาหน้าโทรทัศน์ อย่างหมดแรง หลังจากที่ไปเดินเที่ยวและซื้อของฝาก

ร่างกายตอนนี้รู้สึกล้า

“เหนื่อยจังเลย แต่ก็สนุกได้มาเที่ยวกับพวกพี่ๆ”

“ดีแล้วที่สนุกพี่กลัวว่าเราจะไม่สนุก”ตอนนี้หัวผมกำลังหนุนอยู่บนตักพี่เทียนส่วนพี่เทียนกำลังนั่งอยู่บนซาตัวเดียวกับผมวางมือ

ไว้ที่หัวผมแล้วลูบไปมา พี่เทียนหอมจังเลยกลิ่นครีมอาบน้ำของผมอยู่บนตัวพี่เทียนนี่หอมไปอีกแบบ

“ไปอาบน้ำก่อนไหมจะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น แล้วจะได้ลงไปทานข้าว”ผมเดินเข้าห้องน้ำตาแทบปิดผมรีบอาบน้ำไม่อย่างนั้นคงหลับ

คาหลังน้ำแน่นอน

“น้องนินออกมาพอดี พี่มาชวนลงไปทานข้าว”พี่กัปตันพี่ๆเต็มห้องเหนื่อยจังผมรู้จักปวดเมื่อยไปหมด

“นินเป็นอะไรไหม ไม่สบายรึเปล่าตากแดดทั้งวันเลยเรา”พี่เทียนเดินมาวางมือที่หน้าผากผม

“ลงไปทานข้าวดีกว่าครับเดี๋ยวคนอื่นรอ”พวกเราลงไปทานอาหารที่ชั้นล่าง เดินลงข้างล่างอากาศเย็นลงอีกแล้วอากาศ

เปลี่ยนแปลงตลอดเดี่ยวร้อนเดียวหนาวกลัวร่างกายรับไม่ทันแล้วป่วยจังเลย โอ้โหร้านอาหารของที่มีคนมานั่งเยอะขนาดนี้เลย

หรอผมนึกว่าแขกที่นี่มีไม่กี่ห้อง

“ร้านอาหารที่นี่เขามีชื่อเสียง จึงมีคนมาใช้บริการบ่อย”พี่ฟรอยด์ตอบข้อสงสัยของผม พนักงานนำทางพวกเราไปโต๊ะที่จองไว้

เสียงเพลงสากลเบาๆเข้ากับบรรยากาศเย็นๆนี้เหลือเกิน พี่ๆจัดการสั่งอาหารพี่เทียนสั่งให้ผมด้วยผมไม่แรงแล้วตาจะปิดให้ได้

พนักงานรับรายชื่ออาหารแล้วเดินกลับไปในครัว

ขนาดที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุก ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาที่โต๊ะ

“เอื๊อก”เสียงผมกลืนน้ำลายลงคอ

“ฮึ ฮึ ถึงกับกลืนน้ำลายเลยหรอ เลิกมองได้แล้ว เดี๋ยวคืนนี้เจอดีแน่”เสียงพี่เทียนกระซิบกรอกลงหูผมทำให้สติผมกลับคืนกลับมา

เอ๊ะมีอะไรผิดพลาดรึเปล่าครับ เป็นผมรึเปล่าแทนที่จะหึงพี่ใหม่เธอแต่งตัวมายั่วพี่เทียนนะครับไม่ใช่ผม อีกอย่างที่ผมมองแล้ว

กลืนน้ำลายไม่ได้พิศวาสแค่ตกใจกับความใจกล้าของเธอไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น

“ขอโทษที่ช้านะคะ พอดีใหม่กับเพื่อนรู้สึกเพลียๆนิดหน่อย”เธอยิ้มส่งสายตามาให้พี่เทียนผมสงสัยจังเลยว่า ที่ผมเห็นมันเป็น

ของจริงหรือของเทียมกันแน่

อาหารที่สั่งเริ่มทยอยลงโต๊ะสาวๆมาทันเวลาพอดี ทุกคนคงหิวมากต่างกินอาหารเงียบๆ พี่เทียนตักอาหารให้ผม

“คุณเทียนช่วยตักกับข้าวให้ใหม่ได้ไหมคะใหม่ตักไม่ถึง”พี่เทียนลังเล

“อะ นี่”พี่กัปตันสลับจานที่เธอต้องการกับจานอื่น เธอรู้สึกเสียหน้าเธอมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรแต่ก็นั่งทานข้าวต่อไป

เสียงช้อนส้อมสัมผัสถ้วยจานจนเกิดเสียงเป็นระยะ แข่งกับเสียงเพลงที่เปิดอยู่สักพักแต่ละคนก็ลดความเร็วในการกินลง แสดงว่า

เริ่มอิ่มกันแล้วดูจากปริมารอาหารที่หายไปก็คงต้องอิ่มเป็นธรรมดา ผมว่าแค่รองท้องกันกันเฉยนี่แหล่ะเพราะน่าจะมีดื่มต่อเหมือน

เมื่อคืนก่อนดีตรงที่พี่ๆเค้าดื่มแล้วดูแลตัวเองได้ควบคุมการดื่มของตัวเองได้เมื่อคืนเห็นดื่มกันเยอะๆนึกว่าจะไม่ได้ไปเที่ยวซะแล้ว

 “พี่เทียนเดี๋ยวนินกลับขึ้นไปหยิบเสื้อรู้สึกอากาศเย็นมากเลย”เห็นพี่ใหม่แล้วผมยังหนาวแทน

หยิบกุญแจเดินขึ้นห้องเพื่อจะไปหยิบเสื้อแขนยาว ฮ้าวทำไมง่วงอย่างนี้นะหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน จากที่คนเต็มร้านตอนนี้

ลูกค้าเริ่มทยอยกลับแล้วเสียงเพลงที่เปิดจากแผ่นตอนนี้เปลี่ยนเป็นนักร้องขึ้นไปร้องเบาๆสบายบนเวทีอาหารบนโต๊ะหลายโต๊ะ

เปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มกับกับแก้มแล้ว

“น้องเอาเครื่องดื่มไปเสิร์ฟที่โต๊ะ15ใช่ไหม”

“เอ่อครับ”

“พี่สั่งเครื่องดื่มนะพี่ขอน้ำส้มอีกแก้วน้องวางไว้นี่แล้วไปเอาน้ำส้มให้พี่อีกแก้ว”

“ครับ ครับ”

“เฮ้ย ทำอย่างนี้จะดีหรอวะแก”

“ทำไมไม่ดียังไง สงสารมันรึไงฉันว่ามันคงจะดีใจไม่ว่าจะได้ผัวเยอะๆ แล้วพวกเธอก็เงียบหุบปากไว้นะฉันเป็นเพื่อนพวกเธอนะ

ไม่ใช่มันจำเอาไว้”

“น้ำส้มได้แล้วครับ ขอบคุณมากเดี๋ยวแก้วนี้พี่ถือไปที่โต๊ะเอง”

หมายความว่ายังไงผมเห็นผู้หญิงคนนั้นเธอใส่อะไรลงไปในแก้วน้ำส้ม ที่จะไปเสิร์ฟที่โต๊ะผมว่าน้ำส้มคงมีปัญหาแน่นอน เธอคง

ไม่ได้จะเล่นผมหรอกนะ ผมหลีกเลี่ยงไม่ตอบโต้เธอแล้วนะแต่ทำไมเธอถึงไม่หยุดไม่รู้จักพอ ทำไมเธอถึงอยากจะเอาชนะผมให้

ได้นะ เดินขึ้นห้องไปหยิบเสื้อด้วยอารมณ์สับสนวุ่นวายภายในจิตใจควรที่จะทำอย่างไรต่อไปถ้าหนีก็ต้องหนีไปเรื่อยๆเธอก็ยิ่ง

ได้ใจถ้าอย่างนั้นถ้าเธออยากได้ผัว ผมจะหาให้เธอเองเอาแบบเยอะๆเธอจะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกไล่ล่าตามหาอีกรึเอาแบบมี

ครั้งเดียวไม่คิดที่จะมีอีกเลยดีกว่าไหมน้าเดินคิดเรื่อยๆหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรออกหาใครบางคน

“ทำไมไปนานจังเลย พี่ว่าจะลุกไปตามแล้วนึกว่าเป็นอะไรไปซะอีก”

“พอดีไปแวะเข้าห้องน้ำด้วยคนเยอะ”

 “แล้วทำไมไม่เข้าที่ห้อง”

“ลืม”แฮะๆๆ เป็นข้อแก้ตัวที่ไม่ได้เรื่องที่สุด พี่เทียนมองอย่างนี้หมายความว่ายังไงครับไม่เข้าใจ แก้วน้ำส้มวางไว้อยู่บนโต๊ะ

เหลือบมองผู้หญิงคนนั้นเธอยังมองมาที่ผมคงกำลังลุ้นว่าผมจะดื่มมันลงไปรึเปล่า เหลือบมองไปรอบโต๊ะ อ้องั้นลองดูแล้วกัน

หยิบน้ำส้มขึ้นมาดื่ม ดูพี่ใหม่เธอจะยิ้มพอใจอย่างมาก ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เธอมองมาที่ผมกำลังรอเวลาต้องเท่าไหร่กันนะยาถึง

จะออกฤทธิ์

“พี่เทียนเดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”

“ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม”

“ไม่เป็นไรครับ”ลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำ เดินช้ารอผู้หญิงคนนั้นตามมา ตามที่คิดไว้พี่ใหม่เธอตามมาจริงๆ

“พวกวิปริต แค่เด็กใจแตก เกาะผู้ชายรวยกินไปวันๆ”ที่พูดนี่หมายถึงใคร

“พี่ใหม่ว่าใคร”เริ่มจะไม่ชอบใจในคำพูดสบประมาทของเธอ

“ว่าแกไงหน้าด้าน ด้านไม่อาย วิปริตคนเดียวไม่พอทำให้คุณเทียนของฉันต้องเป็นไปด้วยถ้าไม่มีแกเขาก็ต้องหันมาสนใจฉัน”ฮึ

คุณเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า

“ผมหรือครับ”

“ถ้าแกอยากได้ผัวมากฉันจะหาให้หาให้เยอะเลยเป็นไง ฮื้อ ฮื้อฉันเป็นอะไรไป”ยาคงเริ่มออกฤทธิ์แล้ว

“เคยได้ยินเรื่องกรรมติดจรวดไหมครับ เขาบอกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว”

“แก แกทำอะไรฉัน แกวางยาฉันหรอ”ร่างกายของเธอเหมือนคนหมดแรงเธอนั่งลงพิงผนังหน้าห้องน้ำ

“ฮื้อ อย่าใส่ร้ายกันอย่างนี้สิครับผมยังไม่ได้สัมผัสเครื่องดื่มของคุณเลยแล้วจะเวลาไหนไปวางยา”

“แก ฮื้อ อืม”เสียงหายใจของเธอบอกได้เลยว่ายาที่เธอใส่ลงในแก้วน้ำส้มของผมแรงน่าดู ถ้าพลาดขึ้นมาผมเป็นคนดื่ม แล้วเธอ

ลากผมไปให้คนอื่นข่มขื่นผมจะทำยังไง ผมไม่เคยทำร้ายหรือคิดเลยแต่ทำไมเธอต้องทำร้ายผมด้วย

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ฉันไม่ไหมแล้วทรมาน มันทรมาน”

“คุณใหม่ ผมอยากให้คุณได้รับรู้รสชาตินี้จดจำมันไว้นะครับ จำไว้ให้ดีนี่คือสิ่งที่คุณพยายามจะหยัดเยียดมันให้ผม แล้วอย่าคิดที่

จะทำอย่างนี้กับใครอีก ผมอาจจะใจดีกับคุณแค่สั่งสอนคุณแต่ถ้าเป็นคนอื่น คุณจะเจ็บจนอาจไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย

ก็ได้”

“นินเป็นยังไงบ้าง”พี่วัฒน์วิ่งมาหาผม

“ยาออกฤทธิ์แล้วครับพี่วัฒน์พาเธอไปเถอะ”

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ใครช่วยอธิบายได้ไหม”พี่ฟรอด์พี่เทียนพี่กัปตันพี่ต้นตอมากันพร้อมหน้าพร้อมตาเชียว

“เอ่อ กูว่าพวกมึงพากูแบกคุณใหม่ไปที่ห้องดีกว่า”พี่วัฒน์พูดถูกครับ ตอนนี้เธอกำลังจะถอดเสื้อผ้าของเธอออก พี่ฟรอยด์เรียก

พนักงานที่ร้านอาหารมาช่วยแบกเธอขึ้นไป

“นินเป็นอะไรไหม พี่สงสัยตั้งแต่ที่ไอ้วัฒน์มันเปลี่ยนแก้วน้ำส้มแล้วไม่นึกว่าเธอจะกล้าทำกับนินอย่างนี้ถ้านินเป็นอะไรไปพี่คงไม่

อภัยให้ตัวเอง”เอ่อพี่เทียนผมว่าพี่เทียนคงไม่ได้โดนยาไปอีกคนใช่ไหมครับ

ผมกับพี่เทียนตัดสินใจกลับห้องเราไม่ได้ไปดูพี่ใหม่ที่ห้องไปก็ช่วยอะไรไม่ได้สู้กลับไปนอนพักผ่อนดีกว่าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว

“นินจะไปไหน”

“นินอยากนอนแชร์น้ำอุ่นอยากลอง bubble bathที่ได้มาวันนี้ด้วย”

“ให้พี่แช่เป็นเพื่อนไหม”ทะลึ่งแล้วไงพี่เทียน ผมไม่ตอบแต่เดินเข้าห้องแล้วรีบลงกลอนทั้งที เสียงหัวเราะชอบใจของพี่เทียนตาม

ติดเข้ามาในห้องน้ำ หื่นได้ตลอดคนอะไรไม่รู้ เปิดน้ำอุ่นเท bubble bathใช้มือตีน้ำให้ฟองขึ้นจนได้ในระดับที่พอแล้ว ก็ก้าวเท้า

ลงไปในน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิที่พอเหมาะ รู้สึกสบายเลือดไหลเวียนซักพักผมก็ขึ้นจากน้ำล้างฟองออกจากตัวใช้ผ้าซับน้ำออกสวม

เสื้อผ้าเตรียมเข้านอนผมเปิดประตูออกไปไปในห้องถูกปิดแล้วเหลือไว้แต่ไฟหลอดเล็กพี่เทียนนอนอยู่บนเตียงหลับไปแล้ว

“อืม หอมจังเลย”

“พะ...พี่เทียนทำอะไรครับ เล่นเป็นเด็กๆไปได้”

“ฮึ ฮึแล้วผู้ใหญ่เล่นยังไงสอนพี่บ้างสิ”

ยังไม่ทันจะส่งเสียงร้องห้ามพี่เทียนโน้มใบหน้าลงมาใช้ริมฝีปากร้อนๆกดทบลงมาเบาปิดปากผม ใช้มือทั้งสองข้างจับข้อมือผม

ไว้แล้วตรึงไว้บนที่นอน เขาใช้ลิ้นไล่ลากและขบเม้มริมฝีปากเขาพยามยามทำให้ผมเปิดปากออก รู้สึกร่างกายไร้เรี่ยวแข็งขืน

เหมือนกำลังจะละลายไปด้วยจูบที่เขามอบให้ เขาสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของผมเหมือนกำลังครวญหาอะไรซักอย่างตัวผม

สั่นน้อยๆไม่ใช่ไม่เคยถูกจูบแต่ถูกคนที่ตัวเองรักมันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

 “อื้อ อื้ม หวานจัง”เสียงพี่เทียนครางออกมาอย่างพอใจในสิ่งที่เขาต้องการ พี่เทียนจูบเก่งจังเลยผมรู้เพียงเท่านี้เขาใช้ลิ้นไล่

สำรวจผมอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง จูบของเขาทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนคนกำลังจะสำลักความรู้สึกดีๆนี้

“อื้อ อื้ม พี่เทียน”ผมเรียกชื่อเขาอยากบอกให้เขาหยุดแต่เขากลับเปลี่ยนจากจูบที่อ่อนโยน เป็นจูบที่ดูดดื่มเรียกร้องต้องการโหย

หาเป็นคำตอบแทนคำพูด

“ดี ที่รัก ดีมาก”ผมเผลอจูบตอบเขาโดยอัตโนมัติ เสื้อยืดแขนสั้นของผมถูกปลดกระดุมออกไปแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้แสงไฟสลัว

ภายในห้องส่องให้เห็นร่างกายเปล่าเปลือยของผม ปรากฏต่อหน้าของเขาพี่เทียนยิ้มที่มุมปากสายตาของเขาที่จ้องมองร่างกาย

ผมบ่งบอกว่าเขากำลังพอใจที่ได้เห็น เขาใช้ปากจมูกซุกไซร้ขบเม้นอยู่ตรงซอกคอใบหูผมรู้สึกเหมือนโดนกระแสไฟฟ้าซ็อตเบาๆ

ไปทั่วทั้งร่าง ลมหายใจอุ่นและลิ้นสัมผัสลงบนผิวของผมเบาๆ

“อื้ม หอมจังเลย ชื่นใจจัง”เขาใช้ลิ้นลากไล่จากลำคอมาที่ตุ่มไตสีชมพูของผม ใช้ปากดูดเลียวนทั้งสองข้างสลับไปมาเบาๆ

“อื้ม อื้อ”พี่เทียนผมเสียว พี่เทียนใช้มือข้างหนึ่งถอดกางเกงของผมออก

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“นิน นิน เป็นอะไรรึเปล่า”เสียงใครสักคนเรียกผม ผมสะดุ้งตื่น ทำให้รู้ว่าตอนนี้ผมยังนอนแช่น้ำอยู่ให้ตายเถอะผมฝันหรือเนี่ย

“อะ....เอ่อ ไม่ได้เป็นอะไรครับ”ให้ตายทำไมผมถึงฝันเรื่องน่าอายอย่างนี้นะ ผมรีบอาบน้ำสวมเสื้อผ้าออกมา

“พี่เทียนมีอะไรรึเปล่าครับ”

“ไม่มีอะไรมีเห็นเข้าไปนานนึกว่าเป็นอะไรไปซะอีก”

“อ้อ เปล่าครับ”

“พักผ่อนเถอะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พี่อาบน้ำแปปหนึ่ง เดี๋ยวนินไม่ให้นอนกอดเพราะเหม็นเหล้า”ห้ามได้ด้วยหรอครับ

นั่งคิดเรื่องความฝันที่ครู่ที่เกิดขึ้นลึกๆในใจแล้วผมยังรู้สึกกลัวการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนที่ผมรัก

ก๊อก ก๊อก ดึกขนาดนี้ใครมากันนะ

“พี่ฟรอยด์”พี่วัฒน์พี่กัปตันพี่ต้นมายืนทำอะไรอยู่หน้าห้อง

“นิน พวกพี่ขอเข้าไปได้ไหม”ผมเปิดประตูให้พี่ๆเข้ามา

“เชิญครับ”ผมเดินนำทุกคนเข้ามาในห้อง

“อ้าว พวกมึงมาทำอะไรดึกๆดื่นๆที่ห้องกู”พี่เทียนออกมาจากห้องน้ำแปลกใจที่เห็นเพื่อนของตัวเองเต็มห้อง

“เอ่อน่า เรื่องของพวกกู”พี่ฟรอยด์

“อ้าว ก็นี่มันห้องของกู”

“นิน คือพี่ขอโทษแทนใหม่ด้วยนะ”

“ครับ”

“เพื่อนๆของเขาเล่าเรื่องทุกอย่างให้พี่ฟังหมดแล้ว พี่ไม่นึกว่าเขาจะกล้าทำเรื่องอย่างนี้ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนินไอ้เทียนมันคง
เอาพี่ตายแน่นอน”

“ชั่งเถอะครับ อีกอย่างผมก็ไม่เป็นอะไรด้วย แล้วพี่ใหม่เป็นยังไงบ้างครับ”

“ยาหมดฤทธิ์แล้วตอนนี้หลับไปแล้ว”

“กูขอโทษมึงด้วยนะเทียนกูไม่นึกว่าเรื่องราวมันยุ่งยากขนาดนี้ มันเป็นนิสัยชอบเอาชนะของเขา ครอบครัวเขาเลี้ยงมาแบบนี้”พี่ฟ
รอยด์

“ถ้านินบอกว่าไม่เป็นไรกูก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมากยังไงมันก็ผ่านไปแล้วแต่ต่อไป...”

“เอ่อ กูรู้แล้วกูคงจะไม่ใหม่มาเจอกลัวมึงกับน้องแน่นอน”พี่ฟรอยด์

“ผมก็ต้องขอบคุณพี่วัฒน์ด้วยที่ช่วยผม”

“ไม่เป็นไรน้องไอ้เทียนก็เหมือนน้องพี่”ไม่พูดเปล่าพี่วัฒน์เดินเข้ามาทำทีจะกอดผม

“มากไปแล้วมึงเห็นไหมเจ้าของเขามองตาขวางอยู่”พี่กัปตัน

“น่า ก็ล้อเล่นเห็นบรรยากาศเครียดแต่ถ้าได้ก็ดี....ไอ้กัปตันไอ้ต้นถีบกูทำไม”บรรยากาศแย่ๆรู้สึกจะผ่านไปได้ด้วยดีเปลี่ยนเป็น

เสียงหัวเราะและรอยยิ้มมิตรภาพของเพื่อน จะดีจะร้ายอะไรจะผ่านเข้ามาบ้างแต่คำว่าเพื่อนมักจะยังหลงเหลือและยังคงอยู่เสมอ

พี่กัปตันพี่วัฒน์พี่ต้นวิ่งไล่เตะกันในห้องเหมือนเด็กๆคำว่าเพื่อนของพวกเขาคงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงข้ามคืนไม่มีผลประโยชน์เข้ามา

เกี่ยวข้อง ความจริงใจสินะที่เค้ามีให้กัน พี่เทียนก็เดินไปจับมือพี่ฟรอยด์เพียงแค่นี้ก็แทนคำพูดเป็นร้อยได้พี่เทียนมองมาที่ผม

แล้วยิ้ม ผมรู้สึกดีที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี แต่ไม่ใช่ทุกครั้งไปจะจบลงด้วยดีอย่างนี้ พี่เทียนไม่ถามผมสักคำว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ถาม

ว่าใครผิดใครถูก ไม่ถามว่าใครเป็นคนเริ่มหาเรื่องใครก่อน เขาไม่พยายามซักไซ้เอาความจริงจากปากผมสักคำ ผมเลือกที่จะ

เงียบแทนที่จะพูดเขาก็อยู่ข้างผมเงียบๆมองข้ามเรื่องนั้นเพื่อให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น ผมคิดว่าเขาคงรอให้ผมเล่าเองถ้าพร้อมที่

บอกพร้อมที่จะเล่าก็คงจะบอกเองอย่างนี้เขาเรียกกว่าความไว้ใจความเชื่อใจในกันและกันรึเปล่านะ เขาเห็นผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่

บนพื้นแสดงอาการทุรนทุรายเขาเลือกวิ่งเข้ามาหาผมคำถามแรกที่เขาถามเขาถามว่าผมเป็นอะไรบ้างรึเปล่าต่อให้ทั้งโลกเข้าใจ

ผมผิด แค่เขาขอแค่เขาคนเดียวผู้ชายคนนี้คนที่อยู่ต่อหน้าเขาเชื่อในผม เชื่อใจผม แค่นี้ก็เพียงพอแล้วไม่ต้องการอะไรไม่

ต้องการไปมากกว่านี้ แค่ผู้ชายคนนี้ก็เพียงพอแล้ว


******************************************************************

จบไปแล้วอีกตอน ///// ใกล้จบแล้ว ใกล้จบแล้ว /////// อีกไม่กี่ตอน

ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกคำติชม ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน

โปรดติดตามตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 18] 02/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: raintear ที่ 02-08-2016 13:38:51
ยิ้มแก้มปริ ดีใจแทนน้องนินด้วยที่เจอรักที่แท้จริง รักจากชีวิตที่แล้วเจ็บเพราะความรัก ตอนนี้ก็เดินหน้าลุยเต็มที่ เสียดายฉากนั้นไม่น่าเป็นแค่ความฝันเลยเนาะ 555 รอลุ้นไอ้พวกเลวรอรับกรรมค่ะ หึหึ อยากบอกคนเขียนว่าเรื่องนี้สนุกมากกกกก รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 18] 02/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-08-2016 13:56:09
อุตส่าห์น้ำลายหกรอ ดันฝันซะนี่
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 18] 02/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-08-2016 14:31:50
ดีนะน้องนินไม่โดนยา
พี่เทียนก็หื่นแต่น้องนินหื่นกว่าถึงขนาดเอาไปฝันเลยอ่ะ :z1:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 18] 02/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-08-2016 16:19:45
  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 18] 02/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 08-08-2016 17:32:43
ดีนะที่น้องนิลไม่ได้โดนทำอะไร มีโอกาสกลับมาแล้วก็แก้ไขตัวเองเนาะ // นึกว่าหนูนินจะโดนกิน ที่ไหนได้ ฝัน แง๊งงงงๆไ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 19] 13/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 13-08-2016 21:00:58



เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน
[/size]

ตอนที่ 19
[/size]



..................หาว ทำไมวันนี้น่าเบื่ออย่างนี้นะ ผมอ้าปากหาวยกแขนขึ้นเหนือศีรษะแล้วบิดตัวไปมานั่งบนโซฟารับรองแขก ใน

ห้องกรรมการผู้จัดการใหญ่ วันนี้วันหยุดของผม อยากนอนตื่นสายอยากนอนบนที่นุ่มๆห่มผ้าห่มอุ่นๆถ้าจะให้ดีมีพีเทียนนอนอยู่

ข้างๆอยู่บนเตียงนั้น ห่มผ้าห่มผืนเดียวกันตื่นลืมตาขึ้นมามีเขาบอกอรุณสวัสดิ์ พร้อมด้วยจูบรับอรุณด้วยก็ไม่เลวนะ อ้าผมคิดอะไร

บ้าๆอีกแล้ว ที่จริงวันนี้เป็นวันหยุดบริษัทต้องหยุดงาน และผมกับพี่เทียนต้องได้ใช้เวลานี้อยู่ด้วยกันถ้าวันไหนพี่เทียนไม่มารับผม

ที่บ้านไปที่บ้านคุณย่าก็ออกไปข้างนอก

..................เราทั้งสองใช้เวลาด้วยกันบ่อยขึ้นเราให้เวลาซึ่งกันและกันโดยที่อยู่ในสายตาผู้ใหญ่ ผมมีโอกาสได้ทานกับข้าว

ฝีมือพี่เทียนบ่อยๆโดยมีผมเป็นลูกมือ มีความรู้สึกเหมือนเราทั้งสองเป็นคู่แต่งงานใหม่ยังไงยังงั้น ยิ่งเวลาที่อยู่กับน้องหนึ่งน้อง

สองยิ่งเหมือนครอบครัวเข้าไปใหญ่ บางทีผมก็รู้อายบ้างที่ผู้ใหญ่รู้เรื่องของเราแต่พี่เทียนทำทุกอย่างเป็นเหมือนเรื่องปกติ เขา

ชอบหนีบผมออกมาที่ทำงานด้วยถ้าวันไหนผมว่างๆ วันไหนถ้าเขาว่างเขาจะไปรับไปส่งผมที่มหาวิทยาลัย

..................ยิ่งรู้จักพี่เทียนผมก็ว่าเขาเป็นคนผู้ชายที่ขี้หึงขี้หวง เพราะมีบางครั้งมีผู้ชายเข้ามาคุยกับผม เขาจะแสดงอาการไม่

พอใจออกมาทันที ส่วนเขาก็มีทั้งผู้หญิงผู้ชายเข้ามาหาบ้าง แต่เขาก็ปฏิเสธไปเขาอย่างชัดเจนเสมอ ตัดปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ ผม

หันหน้าไปมองผู้ชายตัวโตที่นั่งทำงานอยู่ไม่ไกลจากผม รู้สึกเหมือนรู้จักเขาเมื่อวานนี้เองยิ่งได้รู้จัก ยิ่งได้เรียนรู้ ยิ่งได้ชิดใกล้เขา

ยิ่งทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองผู้ชายคนนี้เป็นบุคคลอันตรายต่อหัวใจผม เขาชอบทำให้หัวใจของเต้นแรงด้วยคำพูดหวานหวาน

หัวใจเต้นระส่ำเวลาที่ริมฝีปากนั่นประกบลงมา และหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะที่คิดถึงเขา ยังอยากได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเขาตลอด

อ้อมกอดของเขาที่คอยกอดผมไว้ยังอบอุ่นเสมอเหมือนครั้งแรกที่เขาสวมกอดผมไว้

..................ตอนนี้ผมกำลังนั่งอ่านหนังสือที่ต้องแปลเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องต่อไปที่จะมีคิววางแผลงในปีหน้า ช่วงนี้ว่างๆเพราะ

เพิ่งส่งงานแปลล่าสุดให้พี่ชัช ดูเหมือนงานที่ทำไม่ค่อยมั่นคงนักไม่ใช่พนักงานประจำแต่เป็นนักศึกษามีแต่งานนี้ที่พอจะทำได้

ไม่มีผลต่อการเรียน ที่บ้านก็อนุญาตผู้ใหญ่ก็เห็นด้วย ผมสามารถใช้ความสามารถของผมได้เต็มที่ ผมไม่มีอภิสิทธิ์เหนือพนักงาน

คนอื่นรวมถึงค่าตอบแทน เดี๋ยวนี้จะทำอะไรจะต้องผ่านความเห็นชอบหลายคนมาก เข้าใจทุกคนรักและหวังดีกับผมรู้สึกอบอุ่นยัง

ไงไม่รู้ที่มีแต่คนรัก บางทีพี่เทียนชอบล้อผมว่าผมเป็นลูกคนใหม่ของพ่อแม่พี่เทียน เป็นหลานคนโปรดคนใหม่ของคุณย่า ใน

อนาคตถ้าเรียนจบแล้วจะทำอะไรนะเรื่องนี้ยังคิดไม่ตก แต่พี่เทียนเคยบอกว่าเรียนจบแล้วให้มานั่งเฝ้าพี่เทียนที่ทำงานกะว่าจะให้

เป็นยามว่างั้นหรือจะให้ผมกลับไปทำร้านเสื้อผ้าแบบเดิมคงไม่เหมาะ หรือไม่อย่างนั้นอาจจะได้ไปช่วยงานบริษัทของคุณพ่อกับ

คุณแม่ดีนะ

..................ช่วงนี้ใกล้จะสอบปลายภาคแล้วการเรียนของผมไม่น่าห่วง โตแล้วมีความรับผิดชอบมากพอจัดลำดับความสำคัญ

ได้ หนึ่งปีการศึกษาชีวิตนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งของผมในรั้วมหาวิทยาลัยกำลังจะผ่านไป แล้วต่อไปจะได้รับบทหน้าที่เป็นรุ่นพี่ปี

สองจะมีน้องเรียกผมว่ารุ่นพี่ พี่ปุ๊กกี้พี่ปีสี่ก็จะจบแล้ววันเวลามันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน

“นินเป็นอะไร เบื่อมากเลยหรอ”

“นิดหน่อยครับพี่เทียน”

“อยากออกไปเดินเล่นข้างนอกกับพี่ไหม”

“พี่เทียนออกไปทำงานไม่ใช่หรอครับผมกลัวไปกวน”

“เราก็อย่าวิ่งเล่นไปทั่วสิ”ฮึ ผมไม่ใช่เด็กนะครับ

“ปะ ออกไปทำงานกับพี่ที่สตูดิโอ”พี่เทียนเดินเข้าจูงมือออกไปจากห้อง วันนี้มีงานโปรเจ็คใหญ่ของบริษัท โปรเจ็คที่ผมเคยคุย

กับพวกพี่ชัชทางบริษัทเห็นชอบด้วยเสียงในที่ประชุมเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์แต่ปรับเปลี่ยนอะไรบ้างเยอะแยะ ห้องด้านหลัง

สำนักงานปรับแต่งเป็นห้องสตูดิโอชั่วคราว ฉากหลังถูกเนรมิตขึ้นโดยทีมงานช่างฝ่ายศิลป์มืออาชีพและนักศึกษาฝึกงาน

..................วันนี้เป็นวันแรกของการรวมตัวผู้เข้ารอบทั้งสิบคนอย่างเป็นทางการและจะมีการถ่ายรูปโปรโมทผู้เข้ารอบทั้งหมด

สิบคนในโปรเจ็คตามล่าหานักปั้นเรื่อง หลังจากที่ใช้เวลานานในการเฟ้นหาคนที่มีความรู้ความสามารถความฝันและพรสวรรค์ตาม

ที่คณะกรรมการต้องการจากจำนวนผู้สมัครส่งเรื่องสั้นห้าสิบหน้าเข้ามาจากทั่วประเทศที่มีอายุตั้งแต่สิบแปดถึงยี่สิบสามปีตาม

ที่ทางบริษัทต้องการคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่ทางบริษัทสร้างขึ้นช่วงอายุนี้เท่านี้น่าจะตอบโจทย์ได้ดีในเรื่องของคิดสร้างสรรค์ กล้าคิด

กล้าแสดงออก

..................ห้องสตูดิโอขนาดกว้างมีผู้คนกำลังพลุ่งพล่านไปมากำลังเตรียมสถานที่สำหรับถ่ายภาพตากล้องมืออาชีพกำลังขน

กล้องไป อุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายภาพหัวหน้าแผนกและทีมงานที่มีหน้าที่กำลังตั้งใจทำงาน

“นิน ไปเดินรอบๆก่อนนะเดี่ยวพี่ไปคุยงานเดินระวังด้วยนะที่สำคัญห้ามซน เพราะพี่เป็นห่วง”

“ครับ”คนบ้าอยู่ใกล้ๆแค่นี้สั่งซะไปไกลเชียว

“คุณเทียนคะ มาแล้วหรอคะเชอร์รีนมารอตั้งนาน”

“สวัสดีครับเชอร์รีน”

“แล้วนี่ใครคะ อ้อเด็กฝึกงานที่นี่หรอคะ”

“นี่นินเป็น...”

“เธอไปทำงานช่วยคนอื่นสิมายืนทำตรงนี้ เราไปกันเถอะค่ะอย่าไปสนคนอื่นเลย”

“นินพี่ไปทำงานก่อนนะ”

พี่เทียนถูกหญิงคนที่ชื่อเชอร์รีนรู้สึกว่าจะเป็นชื่อนี้ ผมจำเธอได้เธอเป็นคนขับรถเฉี่ยวผมหน้าบริษัททำให้ผมต้องเข้าไปนอนใน

โรงพยาบาลอยู่สามวันเพราะข้อเท้าอักเศษหมอที่เป็นเจ้าของไข้กลัวมีอะไรแทรกซ้อนและต้องการให้อยู่เฉยข้อเท้าจะได้หายเร็ว

ขึ้น เธอลากแฟนผมไปแล้วเธอไม่ฟังด้วยซ้ำว่าพี่เทียนจะบอกว่าผมเป็นใครแถมยังเข้าผิดว่าผมเป็นเด็กฝึกงานอีกด้วย

ตึง ตึง เสียงข้อความของผมดังขึ้น ผมล้วงมือเข้าไปกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข้อความ เป็นข้อความที่ฐิตาส่งมา

อ้อ ผมเกือบลืมไปแล้วสิที่ฐิตาชวนผมไปงานวันเกิดของเธอที่บ้านเธอส่งวันเวลาและแผนที่สถานที่มาให้ผม ใกล้แล้วนี่นาอย่างนี้

ผมคงต้องหาของขวัญให้เธอแล้วซิว่าแต่จะเป็นอะไรดีน้า

“นิน มายืน อะไรตรงนี้คนเดียวไปดูพี่ทำงานไหม”เสียงผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักผม

“สวัสดีครับพี่ศิลป์ วันนี้มาช่วยพี่เค้าดูเรื่องงานหรอครับ”ผมทักทายพี่ศิลป์ผู้ชายนิสัยดีเหมือนหน้าตาเขาส่งยิ้มมาให้ผม

“อื้อ ก็เราเด็กฝึกงานเขาเรียกก็ต้องมาอุตส่าจะได้นอนตื่นสายซะหน่อย”ท่าทางบ่นไม่จริงจังของเขาดูน่ารักจังผมก็เห็นเขาบ่นไป

อย่างนั้นแหล่ะแต่เวลาทำงานนี่ขยันจริงๆนักศึกษาฝึกงานที่นี่ให้เงินค่าแรงเยอะขนาดนั้นเลยรึไงนะแต่ถ้าดูจากราคาค่างานแปล

ของผมก็ถือว่าเยอะนะ

“แล้วเราโดนพี่เทียนลากมาละซิ”

“ครับ”

“แล้วตอนนี้ไปไหนซะแล้วล่ะ ไม่มาเฝ้าเดี๋ยวพี่อุ้มกับบ้านซะเลย”เขาชะเง้อมองหา

“ฮ่า ฮ่า พี่ศิลป์พูดซะเหมือนผมเป็นลูกหมาอย่างนั้นเลย”

“ไม่ใช่ ๆลูกแมวเหมือนกว่า”พี่ศิลป์เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผมพี่เค้าเรียนคณะที่เกี่ยวกับศิลปะ

เหมือนชื่อพี่เค้าเลยผมกับพี่เขาเจอกันบ่อยๆที่ห้องพี่ชัชพี่ศิลป์มาคุยงานเรื่องปกหนังสือ ออกแบบรูปเล่มก็เลยได้มีโอกาสได้คุย

และรู้จัก พี่ศิลป์เขาเข้ามาจีบผมแต่พี่เทียนรู้เขาจึงต้องหยุดพี่ศิลป์เป็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งผิวสีเข้มสูงนิสัยดีฐานะทางบ้านก็ดี

ผมพึ่งรู้ว่าเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่เทียนเป็นเพื่อนสนิทของพี่แทนพี่ศิลป์เล่าให้ผมฟังว่าเขาเอาเรื่องที่เขาเข้ามาจีบผมแล้วโดน

พี่เทียนเบรกไปเล่าให้พี่แทนฟังพี่ศิลป์บอกพี่แทนหัวเราะชอบใจแล้วยังบอกอีกว่าเขารู้อยู่แล้วว่าถ้าพี่ศิลป์เห็นผมจะต้องชอบแล้ว

จีบผมแน่นอนอ้าผู้ชายบ้านนี้ร้ายทุกคนจริงๆ

“ได้ยินจากพี่ชัชว่าโปรเจคนี้เราเป็นช่วยคิดใช่ไหม”

“เอ่อ อ้อก็แค่เสนอความคิดนิดหน่อยในฐานะพนักงานคนหนึ่ง”มันก็ไม่ใช่ความคิดของผมทั้งหมดหรอกพี่ๆเขาช่วยปรับแผนให้

มันเข้าองค์กรที่ทำอยู่มันเลยออกมาค่อนข้างดี

“เก่งจังเลยนะเรา ตัวแค่เนี้ย”ขนาดร่างกายไม่ได้ตัดสินความรู้ความสามารถของคนหรือที่เราเรียกว่าอย่าตัดสินคนเราเพียง

ภายนอกเพราะเขาอาจจะมีกว่าที่เราเห็นก็ได้ที่สำคัญประสบการณ์สอนให้ผมรู้ว่าอย่าหัดมองคนแค่เพียงมุมเดียวต้องมองหลายๆ

มุมและมองนานๆ

“ผู้หญิงที่ยืนอยู่กับพี่เทียนใครหรอครับ”ผมมองนานแล้วไม่ค่อยชอบเลยอะไรจะชัดเจนขนาดนั้น

“อ้อ คุณเชอร์รีน เห็นพี่ๆบอกว่าเป็นพีอาร์ให้บริษัทอะไรประมาณนี้พี่ก็ไม่รู้หรอก แต่ที่ทุกคนในบริษัทรู้เธอกำลังจะรวบหัวรวมหาง

พี่เทียน”อ้อ มาอีกคนแล้วซินะเสน่ห์แรงจังเลยแฟนผม

“อื้อ”หึงอะ ผู้หญิงคนนั้นทำเหมือนเป็นเจ้าของพี่เทียนเลย

“เป็นไงหวงหรอเรา ไม่ต้องห่วงหรอกถ้าพี่เทียนเขาชอบแบบนั้นเขาคงไม่ปล่อยให้คุณเชอร์รีนไว้นานขนาดนี้เขาคงควงกันไป

นานแล้วเชื่อใจเขาเถอะน่า”ผมนะเชื่อใจพี่เทียนแต่ผมไม่ไว้ใจผู้หญิงคนนั้นต่างหากไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนบ้าง

“ศิลป์มาช่วยพี่ดูทางนี้หน่อย”เสียงพี่ทีมงานเรียกพี่ศิลป์

“ครับพี่ นินไปช่วยพี่ทำงานไหมจะได้ไม่คิดมาก”อะไรหน้าตาผมมันแสดงว่าคิดมากขนาดนั้นเลยหรอครับ เดินตามพี่ศิลป์ไปเขา

กำลังจะกล้องกัน อ้าเห็นกล้องตัวละหลายแสนไปจนถึงหลักล้านตั้งอยู่กับเลนส์ราคาแพงนี่แล้วอารมณ์ดีขึ้นเลย

“นิน นิน”กำลังเพลิดเพลินกำลังดูกล้องอยู่มีเสียงแรกให้ต้องออกมาจากความฝันซะได้

“ครับ พี่โชค”พี่ทีมงานอีกคน

“พี่ยืมตัวเราหน่อย ไปยืนเป็นแบบให้พี่หน่อยพี่จะลองกล้องปรับโฟกัส ลองแสง”

“ได้ครับ ตรงไหนครับ ตรงนี้ไหม”

“ใช่ๆ ตรงนั้นดียืนลองเปลี่ยนท่าซิ เหมือนกับกำลังถ่ายแบบนะไม่ใช่ถ่ายรูปติดบัตร ดี เปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆนะ ไอ้ศิลป์ไปปรับแสง

ตรงนั้นให้พี่หน่อย...”วันนี้ได้เป็นนายแบบรับเชิญเปิดกล้องด้วยรูปออกมาจะเป็นยังไงบ้างกล้องราคาแพงจะถ่ายรูปสวยสมใจไหม

น้าอยากได้รูปของผมจังเลย

“นิน พอก่อนมานี่ไอ้ศิลป์ มาช่วยพี่ดูรูปหน่อย”ว้าว จะได้ดูรูปของตัวเองด้วย วิ่งไปที่คอมพิวเตอร์ที่ตอนนี้พี่โชคเอาเมมโมรี่เสียบ
เข้าไป

“เฮ้ย เจ้านินมันขึ้นกล้องว่ะ”พี่โชค

“พี่ผมว่านะพี่มันตัดสินไม่ได้น้องมันดูดีอยู่แล้วแสงน้อยแสงมากน้องก็ยังดูดีเผลอๆตัวจริงยังดูดีกว่าในรูปอีก”พี่ศิลป์เดินเข้ามาดู
ภาพอีกคน

“พี่ก็ว่างั้น ดูดีเกินไปนะเรานะ”พี่โชค

“ดูอะไรกันนะ”ทุกคนหันกลับไปตามเสียงพี่เทียน

“อ้อ ผมลองทดลองกล้อง ทดสอบแสงก่อนถ่ายจริงนะครับเลยให้น้องมาเป็นแบบ”พี่โชค

“เออ น่ารักดีวะแล้วปรับแสงยังไงทำไมแต่ละรูปมันก็เหมือนๆกันต่างแค่ท่าโพส”พี่เทียน

“ฮ่า ฮ่า เห็นไหมพี่โชคคุณเทียนยังบอกเลยว่าไม่ต่างน้องมันดูดีเกินไปถ่ายยังไงก็ไม่ต่าง”พีศิลป์หัวเราะเพราะทุกคนมีความเห็นเดียวกัน

“พี่เทียนคะน้องๆทั้งสิบคนมาพร้อมแล้วค่ะ ทุกคุณคะนี่คือคุณเทียนคนที่ทำให้มีการประกวดครั้งนี้เกิดขึ้นค่ะ”พี่หมิวพาผู้เข้าประกวดมาแนะนำ

“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”เสียงผู้เข้ารอบทั้งสิบคนทักทายพี่เทียน

“สวัสดีครับเรียกพี่เทียนก็ได้จะได้ดูเป็นกันเองมากขึ้น”

“เดี๋ยวเราจะถ่ายรูปแนะนำตัวทั้งภาพนั่งภาพเคลื่อนไหว นี่คือพี่โชคพี่เขาจะดูแลเรื่องภาพถ่ายวีดีโอแนะนำตัว”

“สวัสดีครับ/ค่ะ”

“สวัสดีครับเรียกพี่โชคก็ได้”

“ทุกคนเดียวพี่หมิวจะพาไปเตรียมตัวที่แต่งตัวนะคะแล้วเรียกออกมาถ่ายรูปอัดวีดีโอทีละคน เดินตามพี่หมิวมาเลยค่ะ”

“พี่เทียนคะ พี่เทียนไปไหนมาคะเชอร์รีนหาตั้งนานไปเข้าห้องน้ำแปบเดียวเอง นั่นคือผู้เข้ารอบสิบคนที่จะถ่ายรูปวันนี้ใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ”

“แล้วนี่พี่เทียนกำลังทำอะไรอยู่คะ”

“ผมกำลัวช่วยพี่โชคดูความพร้อมอยู่นะครับ เชอร์รีนมีอะไรไหมถ้าไม่มีผมจะทำงานต่อ”

“อ้อ เอ่องั้นเชอร์รีนไม่กวนแล้วเชอร์รีนไปช่วยหมิวทำงานดีกว่าค่ะ”ผู้หญิงคนนั้นไปแล้วพี่เทียนหันกลับส่งยิ้มให้ผมแต่ผมแลบลิ้น

ทำหน้ายู่ใส่แล้วกลับมาสนใจรูปภาพตัวเองต่อ

“น้องๆเขามาแล้วเดี๋ยวเราก็เตรียมตัวเลยศิลป์นินว่างไหมพี่รบกวนไปช่วยไอ้ศิลป์มันหน่อย”

“ได้ครับ พี่โชคอย่าลืมเลี้ยงข้าวกลางวันผมนะ”

“โอ้ย เรื่องนั้นไม่มีปัญหาวันนี้พี่เลี้ยงหลายกล่องเลย”

“ฮ่า ฮ่า”เสียงหัวเราะทุกคนดังขึ้นใจร้ายชอบแกล้งผม

               เมื่อฉากแสงกล้องพร้อมก็ถึงเวลาที่เรียกผู้เข้าประกวดเดินเข้ากล้องเริ่มจากทีละคนเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมสไตล์มีพี่ๆช่วยคิด

เรียบร้อยการทำงานแบบนี้ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยทำตอนที่ผมทำร้านเสื้อผ้าเสื้อผ้าแต่ละชุดของผมก็ต้องหานางแบบนายแบบมาสวม

ใส่แล้วถ่ายรูปแต่คงแตกต่างกันตรงที่ครั้งนี้โฟกัสที่คนไม่ใช่เสื้อผ้า ต้องถ่ายรูปแสดงความเป็นตัวตนของแต่ละคนออกมาตามมา

ด้วยรูปคู่รูปกลุ่มรวมทั้งสิบคนถ่ายรูปนิ่งเรียบร้อยพี่โชคก็ให้ทุกคนพักเพื่อเชครูปที่ออกมาน่าพอใจหรือมีอะไรต้องแก้ไข

“เหนื่อยไหม ถ้าเหนื่อยก็พักนะพี่มาเที่ยวมาได้มาทำงาน”

“ไม่เหนื่อยครับสนุกดีแค่เดินเช็คแสงเฉยๆไม่ได้แบกอะไรเลย”

“สนุกก็ดี ไม่อยากให้อยู่เดียว มายืนเป็นกำลังใจให้พี่เวลาทำงานดีกว่า”

“บ้า พี่เทียนพูดอะไรไม่รู้”

“แปลกตรงไหนที่พูดว่าอยากให้แฟนมาเป็นกำลังใจในการทำงาน ฮึ”

“พี่เทียน พี่เทียนคะ”

“ครับ”

“เหนื่อยไหมคะ ดาวเอาน้ำมาให้เห็นพี่เทียนไม่ได้พักเลย”ดาวหนึ่งในสิบผู้เข้ารอบเดินถือน้ำมาให้พี่เทียน

“อ้อ ขอบคุณครับไม่เหนื่อยหรอกครับพี่ไม่ได้ทำอะไรมาก”พี่เทียนรับน้ำเปล่าขวดเล็กที่มีไอน้ำเกาะอยู่รอบๆขวดไว้แต่ไม่ได้เปิดดื่ม

“พี่เทียนมาอยู่ตรงนี้เองหรอคะเหนื่อยไหมเชอร์รีนเอาน้ำมาให้ดื่ม แต่...”รถไฟชนกัน

“ขอบคุณนะเชอร์รีนแต่น้องดาวเอามาให้พี่แล้ว”พี่เทียนชูขวดน้ำในมือขึ้น

“เดี่ยวพี่ขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะครับ ตามสบายนะครับ”พี่เทียนหนีไปแล้ว

“ไม่ทราบน้องดาวมาทำอะไรตรงนี้คะ ทำไมไม่แต่งตัวรอถ่ายวีดีโอ”

“แล้วพี่เชอร์รีนละคะไม่มีอะไรทำหรอคะถึงได้มาเดินอ่อยพี่เทียนเขาตลอด ไม่เห็นหรอคะว่าเขาไม่ชอบตัวเอง”

“นี่เธอ เธอพูดอะไรแล้วเธอรู้ได้ยังไง”

“เฮอะๆ ไม่อยากหรอกค่ะพอพี่เชอร์รีนพี่เทียนก็รีบเดินหนี อีกอย่าง หนูจะบอกคุณเชอร์รีนเอาบุญ คุณเทียนเขาไม่สนใจป้าแก่ๆ
อย่างคุณหรอกค่ะ”

“แก.แกรู้ยังไง”

“ฮึ ...ถ้าเค้าเอาคุณคุณคงไม่วิ่งไล่ตามจับเขาขนาดนี้หรอกค่ะ หนูพูดถูกไหมคะ”

“แล้วแกรู้ได้ยังว่าแกเป็นสเป็คเขา”

“แหม คุณป้า อุ๋ยคุณพี่คนหนึ่งก็แก่อีกคนทั้งน่ารักทั้งเด็กกว่าเขาก็ต้องเลือกหนูเป็นธรรมดา”

“แก แก นัง..ฉันไม่เห็นเขาจะสนใจแกเลยนังเด็กหลงตัวเอง”

“แรกๆก็เป็นอย่างนี้ทุกคนแหล่ะแต่ถ้าได้หนูแล้วรับรองเดินตามต้อยต้อยต้อย ฮึ ฮึ”

“อินังเด็กบ้าแกนะแก นังหน้าด้าน”

เอ่อคุณเชอร์รีนอย่าพยายามด่าคนอื่นเลยครับเดี๋ยวมันจะเข้าตัวเองนะครับ

“แล้วแก มองอะไรเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่ผู้ชายก็ไม่เชิงขนาดฉันมีพร้อมขนาดนี้เขายังไม่พร้อมอย่างแกก็คงไม่มีใครเอาหรอกนะ”อ้าว

แล้วไหนมาลงที่ผมละครับผมว่าคนที่เขารักเราเขาคงไม่เลือกมองที่หน้าตาอย่างเดียวมั้งครับมันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นเช่นนิสัย

ถ้าคุณง่ายกับเขามากเกินไปแล้วคุณไม่คิดบ้างรึไงครับว่าเขาจะไม่คิดว่าคุณก็คงง่ายกับคนอื่นด้วยต่อหน้าคนเยอะแยะคุณยังกล้า

แสดงออกแบบไม่ให้เกียรติตัวเองเลยแล้วลับหลังละครับคุณเชอร์รีน ผู้หญิงอย่างคุณเชอร์รีนไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่ผมว่าผมเจอ

คนที่น่ากลัวกว่านั้นเยอะ

“พี่ศิลป์เป็นยังไงบ้างครับ”

“ใกล้เสร็จแล้วเที่ยงก็น่าจะเรียบร้อย ทำไมอยากกลับแล้วหรอเรา”

“ดูดีนะครับ ถ่ายรูปออกมาได้ดีทีเดียว วีดีโอนี่ก็ดูดีใช้ได้ดึงความเป็นตัวเองออกมาได้ดีมากเลย”

“เขาเทรนมาดี กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ต้องพาน้องไปแปลงโฉมพัฒนาบุคลิกภาพสอนอะไรหลายๆอย่าง”น่าจะเป็นอย่างนั้นดูแต่ละ
คนมีความเชื่อมั่นตัวเองมากเวลาอยู่หน้ากล้อง

“อ้อ”

“ดูพี่เทียนนี่เนื้อหอมนะมีแต่สาวๆขายขนมจีบตลอดเลย นินไม่เปลี่ยนใจมาชอบผู้ชายใจดีนิสัยอบอุ่นเหมือนพี่บ้างหรอ”พี่ศิลป์คงเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่

“ฮ่า ฮ่า พี่ศิลป์นี่น่ารักดีนะครับ ไว้นินจะแนะนำเพื่อนน่ารักให้พี่ศิลป์รู้จักเพื่อนนินคนนี้นิสัยดีนินเห็นครั้งแรกยังชอบเขาเลย”

“จริงดิ อ้าเชื่อได้ไหมนะน้องนินแกล้งอำพี่รึเปล่า”

“เปล่าพี่ศิลป์นินจะโกหกพี่ชายใจดีนิสัยอบอุ่นได้ไง”

ผมว่านิสัยน่ารักเหมือนพี่ศิลป์น่าจะเหมาะกับช๊อปนะทั้งคู่น่าจะเข้ากันได้ดี

“อ้าว เรียบร้อยแล้วทั้งภาพนิ่งภาพคลื่นไหวพี่ถ่ายรูปกันเสียไว้เยอะด้วยเช็คดูคร่าวๆทีมงานก็ดูพอใจนะไม่น่ามีปัญหาอะไร ไอ้ศิลป์เก็บกล้องลงกล่องเลยส่วนอย่างอื่นเอาไว้ก่อน”

“พี่โชคใช้งานผมคุ้มไปเปล่าครับ”

“น่า นินมันยังไม่บนเลย เออ ว่าแต่วันนี้มาส่งงานกับพี่ชัชหรอเรา”

“เอ่อ ก็ประมาณนนั้นครับ”

“ขยันดีนะเราพี่เห็นเข้ามาช่วยงานบริษัทบ่อย ถ้าไม่บอกพี่นึกว่าเป็นเจ้าของบริษัทซะอีก”

“ฮ่า ฮ่า”พี่ศิลป์หัวเราะอะไร บริษัทของพี่เทียนมีคนรู้ว่าผมเป็นแฟนกับพี่เทียนไม่กี่คนเท่านั้นผมไม่อยากให้ทุกคนปฏิบัติกับผมเหมือนเดิมและป้องกันเรื่องที่บางคนยังไม่เปิดกว้าง

“พี่โชคครับเชิญทางนี้หน่อยครับ”

“ครับ พี่ไปพบผู้ใหญ่เดี๋ยวกับมาช่วย”พี่ทีมงานเรียกพี่โชค

                งานวันนี้เสร็จเร็วกว่าคิดไว้คงเพราะทีมงานเป็นมืออาชีพพอสมควรผู้เข้ารอบไม่ใช่ดารานางแบบชื่อดังทีมงานบอกทำอะไรก็ยังเชื่อฟังอยู่ พี่ศิลป์กับไปทำงานทิ้งผมให้นั่งเหงาอยู่คนเดียว

“นิน หิวยัง”พี่เทียนเดินมานั่งลงข้างผม

“ยังเลยครับ”เขาจับปลายผมที่เคลียอยู่บนคอเล่นรู้สึกจักจี้ยังไงไม่รู้ พี่เทียนชอบจับผมเล่นเขาบอกว่าผมของผมนุ่มมีกลิ่นหอม
อ่อนผมกับพี่เทียนเล่นเกมส์จ้องตากันอยู่นานถ้าตอนนี้ไม่มีคนหรืออยู่ที่บ้านเขาคงอดใจไม่ไหวดึงผมเข้าไปกอดจูบไปแล้ว

“ปะ เดี๋ยวไปเก็บของที่ห้องแล้วไปหาอะไรทานกัน เสียดายเวลาจังเลยวันนี้ว่าจะพาเด็กดีไปดูหนังเราไม่ได้ดูหนังด้วยกันนานแล้ว”

“ไม่เป็นไรครับมาทำงานที่พี่เทียนก็สนุกไปอีกแบบ”พูดง่ายๆก็คือขอแค่ได้อยู่กับพี่เทียนไม่ว่าที่ไหนผมก็มีความสุขทั้งนั้นแหละครับ

“อ้า แฟนพี่นี่รักจังเลยนะกลับไปต้องหารางวัลให้ซะแล้ว”รางวัลที่ว่ากลับแล้วต้องได้นี่ไม่น่าไว้ใจเลยครับพี่เทียนแล้วสายตาที่มองมานี่หื่นใช่เล่นเลยครับ

“พี่เทียนพี่เทียนไม่ทานข้าวหรอคะ ดาวเห็นพี่ๆทีมงานแจกข้าวดาวเลยเอาข้าวมาเผื่อนี่ค่ะ”ดาวเดินถือข้างกล่องมาให้พี่เทียน

“ขอบคุณครับ แต่ไม่ดีกว่าครับ..”พี่เทียนปฏิเสธ

“พี่เทียนคะมาทานข้าวเชอร์รีนเอาข้าวกล่องมาเผื่อ เอ่อนังดาว ไม่ใช่น้องดาวทำไมไม่ไปนั่งทานกับเพื่อนคะพี่เทียนนี่ข้าวกล่องของเชอร์รีนรับไปสิคะ”คุณเชอร์รีนอีกคนมีน้ำใจถือข้าวกล่องมาให้พี่เทียน

“ข้าวกล่องของดาวดีกว่าค่ะ”ดาวยื่นข้าวกล่องให้พี่เทียน

“ของเชอร์รีนดีกว่าค่ะ”เชอร์รีนยื่นข้าวกล่องให้พี่เทียน

สองสาวกำลังแย่งกันเสนอข้าวกล่องของตัวเองให้พี่เทียนอย่างเอาเป็นเอาตาย

“เอ่อ พอก่อนครับ พอก่อน พี่ขอบคุณทั้งสองคนมากแต่พี่จะออกไปทานข้าวกับแฟนพี่”
“แฟน”ดาว

“แฟน พี่เทียนมีแฟนตอนไหนทำไมเชอร์รีนไม่เห็นรู้เลยคะ”อ้าว แล้วเป็นอะไรกันไม่ทราบทำไมต้องไปคอยรายงานคุณเชอร์รีนด้วยว่าพี่เทียนมีแฟนหรือไม่มี

“มีแล้วมีมานานแล้วครับ”

“ไหน ไหน ไหนคะคนไหนแฟนพี่เทียน ฮึไม่มีอย่ามาหลอกเชอร์รีนหน่อยเลยค่ะ”คุณเชอร์รีนครับผมยืนอยู่ตรงนี้ครับ ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้

“คงจะหน้าตาไม่ดีใช่ไหมคะ พี่เทียนถึงไม่พาไปไหนมาไหนด้วยพี่เทียนคงอายคงถูกที่บ้านบังคับสินะคะ แต่ไม่เป็นไรค่ะมีแฟนแล้วดาวก็ไม่สนใจเพราะยังไงก็ยังไม่ได้แต่งงานเมื่อมีแฟนได้ก็เลิกได้ใช่ไหมคะ”แรงส์ได้อีกกว่านี้มีอีกไหม

“พี่ไม่รู้นะที่ดาวเคยเจอมานะแบบไหนแต่พี่รักแฟนพี่มาก พี่ไม่พอใจมากที่ดาวว่าแฟนพี่อย่างนั้น ที่พี่ไม่นอกใจเค้าไม่ได้ให้เกียรติ

เค้าคนเดียวแต่มันเป็นการให้เกียรติตัวพี่เองด้วย ถ้าวันนี้พี่นอกใจแฟนได้วันหน้าถ้าเราเป็นแฟนกันพี่ก็ต้องนอกใจเราได้เหมือน

กัน”อืม อันนี้จริงถ้าคนเคยทำก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ คิดว่ามันสนุกมันท้าทาย ผู้หญิงหลายคนถามว่าทำไมผู้ชายถึงชอบนอกใจแต่

คุณลืมคิดไปรึเปล่าว่าคนที่สอนให้ผู้ชายรู้จักคำนี้ส่วนหนึ่งก็คือผู้หญิงด้วยกันเองเรื่องอย่างนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังมันต้องทั้งสอง
ข้างเสียงดังดีด้วย

“พี่เทียนไม่ลองดูก่อนหรือคะบางทีอาจจะติดใจก็ได้”คำพูดนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากดาวผู้หญิงที่ดูภายนอกดูเรียบร้อย ขนาดคุณเชอร์รีนเธอยังตกใจ

“ดาวควรให้เกียรติตัวเองด้วยนะ พูดอะไรออกมา วันนี้พี่จะลืมคำพูดที่ดาวทำลงไปแต่ครั้งหน้าพี่ไม่เอาไว้แน่”

“แต่ พี่เทียน..”

เสียงของดาวยังดังไล่หลังเราทั้งคนมา พี่เทียนจูงมือผมกลับไปเก็บของที่ห้องแล้วรีบขึ้นรถ

“พี่เทียนอารมณ์ไม่ดีหรอครับ”

“นิดหน่อย”

“เรื่องอะไรบอกนินได้ไหมครับ”

“พี่ขยะแขยงผู้หญิงคนนั้น เธอมีความคิดอย่างนั้นได้ยังไง”

“ผู้ชายบางคนเขาอาจจะชอบแบบนั้น”

“แต่พี่ไม่ใช่”

“บางที นินก็คิดเรื่องที่ว่าพี่เทียนไม่ยอมมีอะไรกับนิน บางทีนินกลัวพี่เทียนเบื่อแล้วไปกับคนอื่น”พี่เทียนตบไฟเลี้ยวจอดรถข้าง
ทางแล้วหันมาคุยกับผม

“นิน นินกำลังดูถูกความรักพี่รึเปล่า”พี่เทียนคงโกรธผมมาก

“ไม่ใช่อย่างนั้น นินอยากให้พี่เทียนมีความสุข”

“แล้วพี่เคยบอกเราไหมว่าพี่ไม่มีความสุข”

“ไม..ไม่เคย”

“ที่พี่ไม่มีอะไรกับเราไม่ใช่ไม่อยาก แต่พี่ไม่อยากเห็นแก่ตัว นินยังเด็กอีกอย่างพี่ไปปรึกษาเรื่องนี้กับหมอประจำตัวเรามาแล้ว คุณ

หมอยากให้ระยะเวลานานกว่านี้ พี่ไม่อยากมีความสุขแค่ครั้งคราวแต่คนที่พี่รักต้องมานอนป่วย พี่ไม่อยากเป็นคนอย่างนั้น ก่อนที่

พี่จะมีเราพี่ไม่มีแฟนเป็นปีๆก็ยังอยู่ได้ไม่ตาย อีกอย่างพี่ต้องการอยู่กับคนที่พี่รักและจะมาอยู่ใช้ชีวิตกับพี่ไปจนตาย พี่ไม่ได้

ต้องการเซ็กอย่างเดียวถ้าพี่ต้องการเรื่องนั้นเรื่องเดียวพี่คงไปหาหิ้วเด็ก พอสมใจก็แยกทางอย่างนั้นไม่ดีกว่าหรอไม่ต้องมานั่ง

เอาใจไม่ต้องมานั่งห่วง พี่รักนินนะรักมากด้วย”

“นินขอโทษ ฮึก ฮือ นินไม่ได้ตั้งใจที่จะคิดอย่างนั้น ฮึก ฮือ พี่เทียนอย่าโกรธนินเลยนะอย่าทิ้งนินไปเลยนะนินก็รักพี่เทียนเหมือน

กัน”ผมโผเข้ากอดพี่เทียนปล่อยน้ำตาออกมา

“อย่าร้องเด็กดีพี่ไม่ได้โกรธเราพี่ไม่เคยคิดที่จะทิ้งเราไปไหนด้วย พี่ดีใจนะที่เปิดอกคุยกันเราได้เข้าใจกันมากขึ้น หยุดร้องได้แล้ว

คนดี”พี่เทียนใช้นิ้วมือเช็ดน้ำตาให้ผม บางทีความรักการเชื่อใจซึ่งกันและกันคงยังไม่พอความรักของเราสองคนมันเพิ่งเริ่มต้น

เท่านั้นเราต้องผ่านอุปสรรคและเรียนรู้มันไปพร้อมกันๆ



*************************************************************


จบไปอีกตอน //// ใกล้จะจบแล้ว/// ผลกรรมกำลังตามมาไปซื้อเทอร์โบติดจรวดมาแล้ว กรรมจะตามทันตอนต่อไป

ขอบคุณคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน ขอคุณทุกความคิดเห็น

*** ***ฝากเรื่องเริ่มต้นเรื่องร้าย ลงท้ายเรื่องรัก ด้วย*****

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 19] 13/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-08-2016 21:42:20
พ่อพระเอกของน้องนิน
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 19] 13/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-08-2016 22:08:24
อยากจะมอบรางวัลสุดยอดพระเอกให้พี่เทียนคนดีจริงๆ o13 o13 o13

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 19] 13/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-08-2016 01:36:22
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ตอนที่ 19] 13/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: chaichan ที่ 20-08-2016 16:37:54
ยังไม่มาอีกหรือค้า
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ก่อนถึงบทสุดท้าย] 7/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 07-09-2016 18:24:25

เธอ...คือหนึ่งในไม่กี่คน
[/b]

ก่อนถึงบทสุดท้าย


             เช้าวันหยุดอากาศกำลังดีผมรีบไปบ้านคุณย่าตั้งแต่เช้าหลังทานข้าวเสร็จเรียบร้อย เปิดประตูรั้วเดินเข้าไปเหมือนทุก

ครั้งสายตาสอดส่ายหาคนที่ต้องการเจอแล้วก็เห็น“พี่เทียนครับ!”ผมวิ่งเข้าไปกอดผู้ชายตัวโตกำลังยืนอยู่ในสวน

“ว่าไงเด็กดื้อ อ้อนพี่มีอะไรรึเปล่าเรา”

“ก็คืนนี้ไงที่นินเคยขออนุญาตพี่เทียนไว้ว่าจะงานวันเกิดเพื่อน”

“เพื่อนผู้หญิงที่เคยเล่าให้ฟังนะหรอ”

“ครับ”ผมยิ้ม

“ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม”

“เอ่อ พี่เทียนอยากไปกับนินหรอครับ”

“พี่ไปด้วยไม่ได้ใช่ไหม”

“ผมเกรงใจเจ้าของงานนะครับ”

“งั้นพี่ไปรับไปส่งน่าจะได้นะ”

“ฟอด พี่เทียนน่ารักจังเลย นินรักพี่เทียนนะครับ”ผมหอมแก้มพี่เทียนพร้อมบอกรักเป็นการตอบแทนสำหรับการอนุญาต ผมดีใจที่

สามารถรักษาสัญญากับฐิตาได้เพราะเธอทั้งส่งข้อความมาบอกและยังอุส่ามาชวนผมด้วยตัวเอง งานวันเกิดของเธอจะถูกจัดขึ้น

วันนี้ตอนเย็นที่บ้านของเธอที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะอยู่นานหรอกแค่เอาของขวัญไปให้อวยพรสักเล็กน้อยแล้วก็กลับรู้ว่าเธอชวน

เป็นเพียงมารยาทเท่านั้นผมก็ไปร่วมงานเพียงเพราะมารยาทเท่านั้น

“พี่เทียนทำสวนหน้าบ้านเอาต้นไม้มาลงใหม่หรอครับ”มองดูพื้นดินที่มีรอยกระถาง บางจุดดินถูกขุดขึ้นมากลบยังไม่ค่อยเรียบร้อย

“ชอบไหม พี่เห็นเราชอบต้นไม้เลยให้ลุงคนสวนหามาลงให้”เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าครับจะให้ผมนอนในสวนหรือครับเห็นจัดแต่สวน

ในบ้านไม่เห็นตกแต่งซักที

“ส่วนในบ้านเอาไว้ให้พี่ไปคุยกับผู้ใหญ่ของเราก่อน ย้ายมาอยู่กับพี่เราค่อยช่วยกันตกแต่ง ตกแต่งตอนนี้นินก็ไม่ได้มาอยู่ที่นี่”อ้อ

เข้าใจแล้วต้นไม้ในสวนใช้เวลานานกว่าจะสวย ส่วนเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งไปก็มีแต่เก่าเพราะไม่มีคนใช้ แต่ที่บอกว่าจะไปคุยกับพ่อ

แม่นี่ ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกดีชะมัด

“นึกว่าวันนี้จะไม่คิดถึงเราซะอีก พี่ก็รออยู่เมื่อไหร่จะมาหา”

“ก็ปกติพี่เทียนต้องไปหานี่นา”

“แต่วันนี้คุณย่าบอกว่าที่บ้านเรามาเที่ยวที่บ้านคุณย่า”

“พี่เทียนว่าในสวนน่ามีน้ำตก น้ำพุ หรือบ่อปลาดีไหมครับสวนจะได้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น”

“อือ พี่ว่าก็ดีนะเป็นน้ำตกดีไหมเอาปลามาปล่อย มีน้ำตกมีศาลาเล็กๆนั่งเล่นฟังเสียงน้ำไหลนั่งรับลมพัดเย็นสบายในวันหยุดพัก

ผ่อนก็น่าจะดีนะ”

“ดีเหมือนกัน”มองรอบๆนึกภาพว่าในสวนมีน้ำตกกับศาลาให้นั่งเล่นคงจะดีทีเดียว

“อยากลงต้นไม้ช่วยพี่ไหม”ผมพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วนั่งยองๆลงข้างๆ

“แป๊ะ”

“พี่เทียนตีขานินทำไม เค้าเจ็บนะ”ผมลูบต้นขาที่แดงขึ้นมาเล็กน้อย

“ใครให้ใส่กางเกงขาสั้น”

“น้องไม่ได้กางเกงขาสั้น แต่ขาน้องสั้นเองโอ๊ย เจ็บนะพี่เทียนมาบีบจมูกเค้าทำไมเค้าเพิ่งไปเสริมที่เกาหลีมานะถ้าเสียทรงทำไง

......อ๊ะ อ๊ะ ไม่เล่นแล้วก็ได้ มันก็ไม่สั้นมากนี่ครับ”มันเป็นกางเกงขาสั้นพอดีเข่า ไม่สั้นน้าครับ

“ก็ไม่ได้สั้นมากเลยโดนแค่นี้ ถ้าสั้นกว่านี้เราจะโดนดี”

“ครับ ต่อไปไม่ใส่แล้วครับคุณพ่อ อุ๊ยไม่ใช่คุณแฟน”

“พี่หวง เรารู้ว่าใช่ไหม แล้วเวลาไปไหนมาไหนมีแต่คนมองเราตลอดพี่หวงไม่อยากให้มองแฟนตัวเอง อยากเก็บไว้มองคนเดียว

ขนาดไม่ได้โชว์อะไรยังมีคนเข้ามาเรื่อยๆ อย่าคิดนะว่าอยู่ที่มหาวิทยาลัยพี่ไม่รู้เรื่องมีคนเข้ามาจีบนะ”รู้ครับว่าสายพี่เยอะทั้งรุ่น

น้องทั้งพี่แทนพี่ทิม

“พี่เทียนคิดมากเกินไปรึเปล่าเขาก็แค่มองเฉยๆ”แต่ก็อาจจะจริงก็ได้นะผมเองก็ยังชอบมองตัวเองในกระจกบ่อยๆเหมือนกัน

“แล้วจะจ้องทำไมพี่เทียน”ผมดุพี่เทียนน้ำเสียงไม่จริงจังนัก

“ก็มันน่ามอง ว่าแต่จับได้ไหมไม่ดีกว่าเปลี่ยนเป็นลูบแทนดีกว่า”หื่น บอกได้คำเดียวทั้งน้ำเสียงทั้งสายตา พี่เทียนแผ่รังสีหื่นออก

มาอีกแล้วไม่น่าใส่มาเลยผม ผมว่าพี่น่ากลัวอันตรายกว่าคนอื่นมองอีกนะ

“นินว่าเราไปลงต้นไม้ดีกว่าเดี๋ยวแดดจะแรงกว่านี้จะไม่สบาย”

“ไม่เอาแล้วพี่เหนื่อยแล้ว พี่ว่าเราไปนอนกลางวันดีกว่า”

“หา อะไรนะนี่มันยังไม่เที่ยงเลยนะครับ”

“พี่ง่วงแล้ว ห้าว ถ้าไม่ง่วงก็ไปนอนเป็นเพื่อนพี่ก็ได้”บอกเฉยๆกลัวผมไม่เชื่อต้องแสดงท่าทางหาวประกอบด้วยจะได้ดูเหมือนจริง

“ไม่เอานะพี่เทียน นินไม่เล่น”ผมรีบวิ่งหนีพี่เทียนทันที

“ฮ่า ฮ่า มาให้จับซะดีๆเด็กน้อย”พี่เทียนวิ่งตามผมมาพยายามจะจับตัวผมให้ได้ฝันไปเถอะ

“คุณย่า คุณย่าครับช่วยนินด้วยครับพี่เทียนแกล้งนิน”ผมวิ่งเข้าไปหาคุณย่ากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเสื่อที่ปูบนหญ้าสีเขียวใน
สวน

“เอะอะอะไรกัน ตาเทียนแกล้งอะไรน้องอีกเราเดี๋ยวน้องก็หกล้มแข้งขาหักพอดี นินมานี่ลูกมานั่งเล่นกับย่าดีกว่า”พี่เทียนโดนคน

ย่าดุเลยทำหน้าตาน่าสงสาร

“คุณย่าครับเดี๋ยวนินอ่านหนังสือให้ฟังนะครับ พี่เทียนมานั่งตรงนี้เร็วมาฟังด้วยกัน”กวักมือเรียกคนตัวโตมานั่งข้างๆบนเสื่อที่ปูไว้

บนหญ้าที่ถูกตัดจนสั้นเสมอกัน คุณย่ากำลังนั่งเอนตัวลงพิงหมอนอิงสามเหลี่ยมทรงสูงในมือถือหนังสือไว้ในมือ

“ก็ดีเหมือนกันย่าอ่านหนังสือนานก็รู้สึกสายตาล้าเหมือนกัน”รับหนังสือมาจากคุณย่าเปิดหน้าหนังสือที่มีที่คั่นหนังสือคั่นหน้าไว้

หยิบหมอนมาสองใบ ที่ไม่มีเจ้าของวางลงให้พี่เทียนหนุน เห็นบอกว่าง่วงใช่ไหมครับถ้าอย่างนั้นก็นอนซะ หมอนอีกใบวางไว้ที่

ตักแล้ววางหนังสือทับไว้บนหมอน

“ขอบคุณครับ”พี่เทียนรับหมอนไปหนุนแล้วนอนตะแคงมอง ผมก็เริ่มอ่านหนังสือให้คุณย่าฟังสายลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ รู้สึกเย็น

สบายกลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆลอยมาตามลม ไล่สายตามไปตามตัวอักษรแต่ละตัวออกเสียงหนักเบาๆพอประมาณให้คนฟังได้ยิน

จากหน้าหนึ่งผ่านเป็นหน้าสองสามเปลี่ยนท่านั่งจากขัดสมาธิ เปลี่ยนเป็นนั่งพับเพียบจนตอนนี้กำลังนอนคว่ำเอาหมอนรองไว้ที่
คาง

“คุณย่าหลับแล้ว”หันไปมองคุณย่าตามเสียงที่ดังอยู่ข้างๆ ตอนนี้คุณย่ากำลังนอนหลับเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นท่านอนสบายไปแล้ว

ผมหยิบผ้าห่มเนื้อแพรลื่นห่มให้กลัวว่าจะไม่สบาย

“แล้วพี่เทียนไม่หลับหรอครับ ไหนบอกว่าง่วง”โกหกนี่นาคนง่วงทำไมจ้องเค้าตาโตเชียวเดี๋ยวเอานิ้วจิ้มตาบอดเลย

“นอนมองหน้าแฟนตัวเองมีความสุขกว่าตั้งเยอะ”มองเฉยๆนะครับห้ามจินตนาการไปไกลเดี๋ยวเก็บเงินค่าคิดลึกเลย

“ฟอด มือนี่หอมจังนุ่มด้วย”พี่เทียนจับมือผมไปหอมซะงั้น บ้า เขาอายนะอีกอย่างคุณย่าก็อยู่ตรงนี้นะถึงจะหลับไปแล้วก็ตามที
เถอะ

“อ้าว คุณย่าหลับแล้วหรอลูกแม่อุส่าเอาของว่างให้”คุณแม่พี่เทียนโผล่เข้ามาในสวนพร้อมกับในมือถือถาดของวาง

“ยัง แม่ยังไม่หลับแค่พักสายตาเฉยๆ อ่านหนังสือนานเลยปวดตาหนูนินเลยมาช่วยอ่านให้ฟังเลยถือโอกาสพักสายตา”คุณย่าขยับ

ตัวลุกขึ้นนั่ง ตายแล้วไงผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนพี่เทียนนะพี่เทียน

“แล้ว นั่นน้องนินพี่เทียนหลับแล้วหรอลูก”ผมหันกลับไปเห็นพี่เทียนนอนหลับไปแล้ว ไม่นะพี่เทียน ฮื้ม ผมก็ลืมไปว่าลูกหลาน

แต่ละคนบ้านนี้ร้ายแค่ไหนเจ้าเล่ห์นักนะพี่เทียน

“อ้าว แม่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”พี่เทียนยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง อ้าปากห้าวบิดขี้เกียจเหมือนคนพึ่งตื่นนอน

“โอ๊ย”เสียงพี่เทียนร้องขึ้น

“เป็นอะไรลูกตาเทียน”แม่พี่เทียน

“อ้อไม่มีครับ พอดีมดกัดครับ มดน่ารักด้วย”ฮึ ให้ตายเถอะถูกหยิกแค่นิดเดียวทำเป็นร้องโอดโอยคนเจ้ามารยา

“คุณแม่ทานของว่างก่อนค่ะหนูเอาของว่างมาให้ หนูนินก็ทานได้นะลูก แต่อย่าทานเยอะนะอาหารเที่ยงใกล้เตรียมเสร็จ วันนี้คุณ

แม่หนูนินสอนหนูทำอาหารหลายอย่างเลยค่ะต่อไปคุณแม่จะได้ไม่เบื่ออาหารแบบเดิมๆ เดี๋ยวแม่กลับเข้าครัวไปช่วยแม่หนูนิน

เตรียมอาหารต่อดีกว่า”แม่พี่เทียนเดินกลับเข้าไปในครัว ผมมองอาหารว่างที่วางไว้ในจานผมยังไม่หิวเท่าไหร่

“นินลูกพาพี่เทียนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไป ดูสิถูกมดกัดจนแดงหมดเลย”

“อ้อ เอ่อฮะ”เออ แดงจริงๆด้วยผมบิดแรงขนาดนั้นเลยหรอผมลุกขึ้นยืน พี่เทียนลุกเดินตามผมเขายิ้มน้อยๆที่มุมปากแล้วยักคิ้วให้
ผม น่าหมั่นไส้จริงๆ

“อาบน้ำด้วยกันไหม”ไม่ต้องครับเกรงใจตามสบายเลยครับท่าทางพี่ไม่น่าไว้ใจผมเดินเข้าในบ้านพี่เทียนแล้วเดินไปนั่งหน้า

โทรทัศน์ เป็นคำตอบพี่เทียนเลิกคิ้วขึ้นแล้วเดินขึ้นชั้นสองไปอาบน้ำผมนั่งเปิดโทรทัศน์ ดูรอคนตัวโตอาบน้ำไล่เปิดรายการไป

เรื่อยๆแต่ยังไม่มีรายการอะไรน่าสนใจ สักพักพี่เทียนก็แต่งตัวหล่อลงมาจากชั้นบน

“แม่โทรมาตามแล้วไปกินข้าวกัน”พี่เทียนเดินเข้ามาใกล้ได้กลิ่นครีมอาบน้ำหอมฟุ้ง ผมหยิบรีโมทขึ้นมาปิดโทรทัศน์ แล้วเดิน

เข้าไปจูงมือคนตัวโตเดินไปที่บ้านใหญ่

“แหม เห็นเขาหล่อแล้วอยากควงละซิ”

“หวงเนอะจับมือแค่นี้”

“โอ๋ โอ๋ ไม่งอลพี่ล้อเล่นจับได้จับได้ จับมากกว่ามือได้ยิ่งอยากให้จับ ฮึ ฮึ”

“บ้า”

“บ้าอะไร จับแขนไงเราคิดอะไรอยู่”ไม่มั้งครับคำพูดของพี่แต่ละคำไม่ค่อยทำให้ผมคิดมากเลย

“ไม่อยากจับหรอกแขนเขาก็มี”

“แต่ไม่ใหญ่เท่าพี่นะถึงจะขาวนุ่มกว่าแต่ของพี่ใหญ่กว่า แข็งกว่านะ”

“พี่เทียน”

“หมายถึงแข็งแรงมีมัดกล้ามใหญ่ไงนี่ไงจับดูเนื้อแน่ด้วยนะ ฮ่า ฮ่า”

               เราทั้งสองจูงมือเดินไปบนทางที่ถูกปูด้วยอิฐตัวหนอนตัวใหญ่ และหนาเป็นทางยาวไปจนถึงบ้านหลังใหญ่ที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า ผมยังอยากให้ระยะทางมันไกลกว่านี้ ผมจะได้จับมือนี้ไว้ให้นานกว่านี้ ทางเดินเส้นนี้พาเราทั้งสองผ่านพุ่มต้นไม้ที่ตัด

ตกแต่งกิ่งก้านให้สวยงาม ผ่านต้นไม่ยืนต้นน้อยใหญ่ที่ปลูกไว้ให้ร่มเงากิ่งไม้น้อยใหญ่แข่งกันแผ่ขยายออกมาสร้างขนาดเขตของ

ตัวเอง ทำให้สัตว์น้อยใหญ่ต่างมาอาศัยร่มเงาหลบแสงแดดยามกลางวัน เสียงร้องเรียกหาเพื่อนของนกหลายชนิดที่กำลังเกาะ

ตามกิ่งไม้ รังนกอยู่บนต้นไม้สูงเสียงลูกนกตัวเล็กอยู่ในรังกำลังร้องเรียกพ่อแม่ให้เอาเหยื่อมาป้อนใส่ปาก

“เด็กๆ มาทานข้าวลูก”เสียงแม่พี่เทียนกวักมือเรียกเราทั้งสอง ในที่สุดเราก็เดินมาจนสุดทางเดินด้วยกันแม้จะพบเจออะไร

มากมายระหว่างทางแต่มือคู่นี้ยังคงเกาะกุมกับมือของผมอยู่ตลอดไม่ปล่อยไปไหน โต๊ะอาหารตัวใหญ่ของบ้านคุณย่ายังทำหน้า

รับแขกได้เป็นอย่างดี วันนี้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันเสียงน้องหนึ่งน้องสองนั่งบนเก้าอี้สูงเป็นพิเศษ เพื่อให้สูงพอดีกับ

ระดับของโต๊ะโดยมีพี่เทพพ่อหม้ายใจดีน่าตาดีเสน่ห์แรงเป็นที่รักของสองแสบ ทั้งสองยอมเชื่อฟังอยู่ในโอวาทตลอด พี่แทนหนุ่ม

นักศึกษาที่ป๊อปมากมาก สาวสาวต่างคลั่งไคล้แต่ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนไม่รู้ช่างเลือกมากหรือเรื่องมากเหมือนที่คุณแม่ของ

เขาเม้าส์ให้ฟังกันแน่ ทั้งสองคนนั่งขนาบสองแสบที่กำลังกินของโปรดในจานของตัวเอง ไม่สนใจใครคงจะหิวมาก วันนี้คุณทิม

สาวสวยของบ้านก็ว่างอยู่ติดบ้าน เธอเป็นสาวชอบเดินทางท่องเที่ยวตลอดบางทีก็เห็นคุณแม่พี่เทียนบ่นว่าเธอเหมือนผู้ชาย

มากกว่าผู้หญิง เธออาจจะดูทะมัดทะแมงเกินหญิงทั่วไปแต่อยู่มหาวิทยาลัยก็มีผู้ชายเข้ามาขายขนมจีบเธอตลอด คุณพ่อพี่เทียน

ผู้ชายที่รูปร่างสูงใหญ่เส้นผมเริ่มถูกแซมไปด้วยสีขาว เริ่มมีร่องรอยแสดงอายุ แต่ก็ดูหล่อสมวัย เขาเป็นผู้ชายใจดีไม่ค่อยพูดแต่มี

ความคิดสมัยใหม่ คุณแม่พี่เทียนผู้หญิงที่ย่างวัยจะห้าสิบอีกไม่กี่ปีแต่ยังดูสาวสวย ผมเห็นเธอยิ้มมีความสุขตลอด คุณย่าผู้ใหญ่

เป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลานเป็นศูนย์ของครอบครัวนี้ ผู้ใหญ่ใจดีแบ่งปันความรักความเมตตาให้กับทุกคนรวมไปถึง

ครอบครัวของผมด้วย คุณพ่อคุณแม่คนทั้งสองที่สำคัญกับชีวิตที่ครั้งหนึ่ง ผมเคยทำเรื่องที่เลวร้ายลงไปทำร้ายท่านทั้งสองโดย

ไม่ตั้งใจ เพราะความโง่เขลาของตัวเองไม่รู้ว่าความสุขนี้จะอยู่กับเราไปอีกนานเท่าไหร่แต่ผมจะรักษามันให้ดี และนานที่สุดหรือ

มันจะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเพราะในใจของผมและของท่านทั้งคงมีอะไรที่ยังค้างคาอยู่ภายในใจ ผมหันหน้าไปมองคนที่นั่งอยู่

ข้างๆเขาหันมามองผมแล้วยิ้มให้ ถ้าเรื่องจริงของผมเปิดเผยหรือผมเล่าให้ทุกคนฟังวันนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างความสุขนี้ยังอยู่

กับผมไหมหรือจะโบยบินจากผมไปตลอดกาลไม่มีวันกลับ



                         ดวงตะวันเลื่อนต่ำลงแสงตะวันค่อยๆจางหายไปจากขอบฟ้าแล้วเปลี่ยนเป็นพื้นสีดำสนิทที่ปกคลุมไปทั่ว

ท้องฟ้าแสงดาวดวงเล็กลอยเด่นเปล่งประกายแสงระยับระยับบนพื้นสีดำเสาไฟฟ้าสูงตั้งอยู่สองข้างทางส่องแสงสว่างด้วยหลอด

ไฟนีออน ตึกสูงเสียดฟ้าประดับประดาด้วยแสงไฟร้านอาหารร้านค้าต่างๆตกแต่งไปด้วยตัวหนังสือหลอดนีออน ป้ายโฆษณา

เคลื่อนไหวขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านนอยู่ในจุดที่ผู้คนสัญจรไปมา

“พี่เทียนจอดตรงนี้ก็ได้ครับ”ผมบอกให้พี่เทียนจอดรถหน้าบ้านของฐิตา

“แน่ใจใช่ไหมว่าไม่ให้เข้าไปเป็นเพื่อน”

“แน่ใจครับ นินไปไม่นาน ถ้านินจะกลับแล้วนินจะโทรหานะครับ”

“อื้ม มีอะไรก็โทรมาแล้วกัน”

             ผมเดินลงจากรถโบกมือลารถยุโรปคันหรูที่เลื่อนออกไป บ้านหลังใหญ่บริเวณกว้างในบ้านกำลังมีงานปาตี้ผมมอง

นาฬิกาที่ข้อมือยี่สิบนาฬิกาผมคงไม่ได้มาช้าเกินไปใช่ไหมท่าทางงานน่าจะเพิ่งเริ่มนานแล้วในงานเปิดเพลงกันเสียงดังเครื่องดื่ม

ผสมแอลกอฮอล์ตั้งวางอยู่บนโต๊ะมีหลากหลายยี่ห้อ

“นิน ทางนี้”เสียงฐิตาเรียกผมแล้วรีบเดินเข้ามาหาผม ด้วยสีหน้าท่าทางบอกว่าดีใจที่เห็นผมมา

“โอ้โหงานใหญ่จังเลยนะฐิตา”

“เอ่อ อ้อพอดีฐิตาเพื่อนเยอะนะ มานี่เลยเรานึกว่านินจะไม่มีซะแล้ว”

“มาสิ ฐิตาอุส่าชวน อะนี่ของขวัญ”

“ขอบคุณมากเลยนะที่จริงไม่ต้องลำบากก็ได้ แค่นินมาเราก็ใจมากแล้ว”ผมมองดูโต๊ะที่วางกล่องของขวัญหลายขนาดหลากสีสัน
วางอยู่บนนั้น

“นินเพิ่งมาดื่มอะไรหน่อยไหม เอ่อ น้ำส้ม น้ำส้มก็ได้เดี๋ยวฐิตาไปหยิบให้นะ..”

“ฐิตา ไม่ต้อง ไม่เป็นเอ่อ...”ไม่ต้องเราเกรงใจเราไปหาอะไรดื่มเองได้แต่ไม่ทันแล้ว เธอเดินไปโน่นแล้วเดินเร็วชะมัด เธอดูดีใจ

มากที่ผมมางานวันเกิดเธอวันนี้ ผมมองดูแขกรอบๆงานที่นั่งโต๊ะดื่มบางคนก็ออกไปวาดลวดลายหน้าเวที ที่มีดีเจเปิดเพลงมันๆ

เอาใจวัยรุ่นทำให้วัยรุ่นบางคนที่นั่งดื่มอยู่โยกตามจังหวะไปด้วย รู้สึกเกร็งๆยังไงไม่รู้รู้สึกเหมือนมีสายตาหลายคู่กำลังจ้องมองผม

อยู่แต่พอมองไปรอบก็ไม่มีนี่นาคิดไปเองรึเปล่านะ รึผมมีอะไรแปลกติดอยู่ที่หน้ารึเปล่าทำยังไงดี ห้องน้ำใช่แล้วห้องน้ำผมไม่รอ

ช้าเดินหาห้องน้ำทันทีว่าแต่มัน เอ่อว่าแต่มันอยู่ที่ไหนแล้วผมต้องเดินไปทางไหนเนี่ยทำไมผมไม่รู้จักใครเลยสักคน

ขณะที่เดินหาห้องน้ำก็เห็นฐิติกังลังยืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่ตรงที่ผมยืนไม่ได้ยินเสียงแต่ดูท่าทาง

เดาว่าคงไม่ได้คุยน่าจะเป็นทะเลาะซะมากกว่า ผมเดินเข้าไปใกล้กว่านี้อยากรู้ว่าทั้งคู่กำลังคุยอะไรกันอยู่

“แกเอาของมาให้เดี๋ยวนี้นะ เอามา”

“อยากได้ของหรอมันยังไม่ถึงเวลา”

“แกโกหกฉันหรอ แกกล้าโกหกฉันเธอไอ้สารเลว”

“แหมว่าฉันเลวไม่ดูตัวเองเลยนะ”

“เลวยังไง แกว่าเลว เลวยัง”

“ก็เป็นเธอไม่ใช่รึไงที่หลอกเด็กนั่นมาให้ฉันเพื่อแลกกับคลิปวีดีโอกับยานี่”

“แล้วไงก็แค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งไม่มีหัวนอนปลายเท้า ดีเท่าไหร่แล้วฉันช่วยหาผัวดีๆให้ ดีไม่ดีมันติดใจก็ได้ใครจะไปรู้”

“เธอกับฉันนี่มันเลวพอๆกันเลยนะมิน่าถึงคบกันได้”

“ฮึ ที่ฉันมารู้จักกับคนอย่างแกเพราะฉันมันโง่”

“อย่าพูดมากเลยน่าไปทำงานของเธอให้เรียบร้อยแล้วเธอจะได้ของที่เธอต้องการ”

“ให้ตายเถอะทำไมคนอย่างฉันต้องมาทำเรื่องอะไรอย่างนี้ด้วยนะ”

เสียงคนสองคนคุยกันหยุดลง แล้วผู้ชายคนนั้นหันหน้ามาทำผมรู้ชายคนนั้นคือกัณฑ์ ฐิตายังไม่เลิกกับผู้ชายคนนั้นอย่างนั้นหรอที่

ทั้งสองคนคุยกันมันเรื่องอะไรกันแน่ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามันแปลกแปลกยังไงไม่รู้ แต่ผมก็ทำได้แค่นั้นและเดินกลับไปที่โต๊ะ

“อ้าว นินไปไหนมาเราเอาเครื่องดื่มมาให้แล้วนะ”กลับมาที่โต๊ะฐิตามานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เธอส่งแก้วน้ำส้มให้

“ขอบใจนะฐิตา ไม่ต้องมาดูเราก็ได้ไปสนุกกับเพื่อนเถอะ”ผมรู้สึกว่าเธอมีอะไรแปลกๆเหมือนมีอะไรปิดบังอยู่ และคิดว่าตอนนี้ต้อง

ออกไปจากที่นี่แล้วไม่ว่าคนที่ทั้งสองพูดถึงจะเป็นใครแต่ผมคิดว่าต้องไปจากที่นี่

“อือ ก็ได้ถ้านินอย่าลืมดื่มน้ำส้มให้หมดนะ เราไปก่อน”น้ำส้มนี้คงไม่ธรรมดาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ย้ำให้ผมดื่ม เธอเดินจากไป

แล้วแต่ยังหันหลังกลับมาดูผมเรื่อยๆชัดเจนมากเจตนาของเธอ ฐิตาหายเข้าไปในกลุ่มเพื่อนของเธอที่ผมไม่คุ้นหน้า โชคดีไม่น้อย

ที่ผมนั่งคนไม่ค่อยเยอะผมหยิบแก้วน้ำส้มทำทีเหมือนดื่มแล้วเททิ้งลงสนามหญ้าด้านล่าง ว่าแต่ต่อจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นกับผมรึ

เปล่า ไม่รู้วันนี้ผมก้าวเท้าไหนออกจากบ้าน

“น้องครับ สนใจดื่มกับพี่ไหม”นั่นไงพวกขี้เมาชายสามคนเดินมานั่งที่โต๊ะของผม

“เอ่อไม่ดีกว่าครับ พี่ๆดื่มกันเถอะครับ”

“นั่งอยู่คนเดียวไม่เหงารึไง ให้พวกพี่นั่งเป็นเพื่อนะ”

 “น่ารักๆ อย่างนี้อย่าปล่อยให้เสียของนะมึง”

“ผมว่าพวกพี่เมาแล้ว ผมขอตัวตัวนะครับ”เมื่อภัยมาถึงตัวผมก็ต้องหนีเป็นธรรมดา

“เฮ้ย มึงเล่นตัวด้วยว่ะกูชอบ”

“ไปไหนน้องมาสนุกกับพี่ๆก่อน”คงอยู่ให้โง่ ผมรีบเดินออกจากโต๊ะหาที่ตั้งหลักเพื่อโทรให้พี่เทียนมารับ ผมเดินหาที่ปลอดภัย

เงียบๆ เพื่อตั้งสติ และรีบลวงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเพื่อโทรหาพี่เทียน

“ไปไหน คิดจะหนีไปไหน”ผมหันกลับไปมองตามเสียงที่ดังขึ้นด้านหลัง ไอ้กัณฑ์มันมายืนอยู่ด้านหลังผมกับผู้ชายตัวโตท่าทาง

น่ากลัวอีกสองคน สถานการณ์ตอนนี้บอกเลยว่ารู้สึกไม่ดีเลย

“พี่ ต้องการอะไรกับผม ถอยออกไปให้ห้างจากผมด้วย”พูดเสียงเรียบมองคนทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงหน้า ตอนนี้ผมกำลังกลัวแต่กำลัง

ระงับอารมณ์ความรู้สึกไว้

“คงไม่ได้นะน้อง พอดีพี่ต้องการตัวน้อง กว่าจะเอาตัวมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่าตัวน้องแพงด้วย พวกมึงยืนอยู่เฉยทำไมจับมันไว้

ดิ”ผู้ชายสองคนเดินเข้ามาจับแขนขาทั้งข้างผมไว้แล้วไอ้กัณฑ์เดินเข้ามาหาผมแล้วหยิบผ้าสีขาวออกมากระเป๋า

“พี่ พี่จะทำอะไรผม อย่าทำอะไรผมเลยนะผมขอร้องล่ะ”ให้ตายไอ้สารเลวปล่อยกูไปเถอะ ทำไมชีวิตมึงนี่ชอบจองล้างจองผลาญ

กูเหลือเกินผมพยายามดิ้นจากผู้ชายทั้งสองคน ไอ้พวกหมาหมู่แน่จริงตัวต่อตัวดิ

“โอ๊ย”ถึงแขนทั้งสองจะถูกจับไว้แต่ไม่ลืมว่าเท้าของผมยังเป็นอิสระ มือของผมคงไม่เหมาะที่จะใช้กับคนอย่างมัน คนต่ำๆก็คง

ต้องเหมาะกับของต่ำ ทันทีที่เท้าประทับลงไปที่ท้องของมันมันก็ร้องออกมา ถึงแม้จะไม่แรงมากแต่ก็ทำให้คนอย่างมันรู้สึกได้บ้าง

“พี่เป็นไงบ้าง ฤทธิ์มากนะมึง”

“เฮ้ย อย่าใช้กำลังเดี๋ยวของมีตำหนิ กว่าจะหาของมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย”มันห้ามลูกน้องคนที่จับผมไว้กำลังจะฟาดฝ่ามือลงมาที่

หน้าผม ทำให้ต้องเอี้ยวตัวหลบพร้อมกับหลับตาด้วยความกลัว

“โอ๊ย”คราวนี้เป็นเสียงร้องผม เมื่อไอ้กัณฑ์มันชกเข้ามาที่ท้องของผม ไม่ใช่ฝ่ามือของลูกน้องมันอย่างที่คิด สายตาผมยังจับจ้อง

อยู่ที่ไอ้ผู้ชายสารเลว มันใช้มือข้างหนึ่งทาบลงบนท้ายทอยของส่วนอีกข้างมันวางผ้าสีขาวลงบนจมูกผมรีบโกยอากาศเข้าปอด

ก่อนที่ผ้าจะมาสัมผัสที่จมูก

“พวกมึงเอามันไปในห้องนอนที่กูเตรียมไว้ ไม่ต้องล็อกเดี๋ยวจะมีคนเข้าไป”ผมนึกว่าจะรอดแล้วแต่กับรู้มึนๆยานี่แรงใช่เล่น ผมรู้สึก

มึนๆจนต้องหลับตาลง ส่วนร่างกายเหมือนกำลังเคลื่อนที่พวกมันคงพาผมไปที่ไหนสักที่ในบ้านหลังนี้ ผมยังได้เสียงรอบๆข้าง

ตลอดเวลาแต่เสียงดนตรีภายในงานค่อยๆเบาลงและเงียบในที่สุด จนแผ่นหลังของผมสัมผัสกับเตียงนุ่มๆพร้อมกับความรู้สึก

เหมือนถูกตัดฉับไปในทันที



“พี่นนท์ พี่นนท์ตื่นเร็ว ตื่น ตื่น”

“พี่พัฒณ์ พี่พัฒณ์มาช่วยแล้ว

“ต้องออกไปจากที่นี่ เร็ว เร็ว เร็ว”ใคร เสียง ใคร ใครกำลังเรียกผมอยู่ รู้สึกมึนๆที่หัวไม่รู้ว่าโดนอะไรเข้าไป ค่อยๆลืมตาขึ้นปรับ

สายตาให้ชินกับความมืด มองหาเจ้าของเสียงที่ชื่อผมเมื่อครู่มองไปรอบๆแต่ไม่มีใครสักคนตอนนี้ผมอยู่สี่เหลี่ยม ห้องนอน ห้อง

นอนใครสักคนในห้องมืดสลัวโชคยังดีที่มีแสงสว่างจากหลอดไฟข้างนอกลอดเข้ามาในห้องนี้บ้าง เงียบไม่มีเสียงจากข้างนอกเข้า

มาแต่ได้ยินเสียงเรียกจากใครสักคนอย่างชัดเจน

“ใคร ใคร”อยู่ๆก็มีคนยืนปรากฏอยู่มุมห้อง ก่อนหน้านี้ทำไมมองไม่เห็น ผมถามออกไปแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาพยายามจ้องมอง

ขยี้ตาเพราะกลัวว่าตัวเองจะตาฝาด พยายามมองให้ชัดอีกครั้งยังมีคนยืนอยู่มุมห้องที่เดิม และผมจำได้นั่นคือผู้หญิงคนที่มาเข้า

ฝันผมบ่อยๆเป็นเธอแน่นอนผู้หญิงผมยาวปิดหน้า สวมชุดเดียวกับในฝัน ร่างโปร่งแสงของเธอปรากฏอยู่ต่อหน้าแต่กลับมองไม่

เห็นใบหน้าเธอ”คุณ..คุณเป็นใคร ต้องการอะไร”ถามออกไปอย่างกล้ากล้ากลัวกลัว ในใจตอนนี้คิด



                                                              มีต่อด้านล่าง


หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ก่อนถึงบทสุดท้าย] 7/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 07-09-2016 18:32:52


                                                                    ต่อจากด้านบน

ว่าเธอคงเป็นคนที่ผมรู้จักแน่นอน จ้องร่างตรงหน้าอีกครั้งในตอนนั้นสมองก็แวบคิดถึงใบหน้าใครคนหนึ่งขึ้นมารึว่าจะเป็น..... แต่

เธอกลับไม่ตอบคำถามและเดินผ่านทะลุประตูออกไป ก่อนที่ผมจะเรียกเธออีกครั้งประตูก็เปิดออกช้าๆ เธอคงไม่ได้หมายความว่า

ต้องการให้ผมตามออกไปหรอกนะ ผมพยุงตัวลุกขึ้นจากเตียงตอนนี้ไม่มีใครอยู่เป็นโอกาสดีที่จะหนี

“พี่นนท์ พี่นนท์”เสียงผู้หญิงคนเรียกผมซ้ำๆ เหมือนเธอต้องการให้ผมตามเธอไป โผล่หน้าออกไปมองรอบๆไม่มีคนอยู่ ทาง

สะดวก รีบก้าวเท้าออกจากห้องตามเธอไปช้าๆ แต่สายตายังสอดส่องไปรอบๆไม่รู้ว่าที่นี่คือส่วนไหนของบ้าน ผมยากถามผู้หญิง

คนนี้ว่าเธอจะพาผมไปไหน แต่ไม่กล้าพูดออกมากลัวคนอื่นได้ยินแล้วจะแห่ตามกันมาคราวนี้ผมคงไม่รอดแน่ มัวแต่มองไปรอบๆ

บ้านที่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านราคาแพงเผลอแผลบเดียวผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้วไม่รู้ เธอหายไปไหนแล้ว

ให้ตายเถอะ ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยาม แล้วโทรศัพท์ของผมไม่รู้ว่าหายไปไหน ป่านนี้แล้วพี่เทียนจะเป็นยังไงบ้าง จะเป็นห่วงผม

แย่แล้วรึเปล่า คงกังวลว่าผมไม่ออกจากงานไปสักทีจะทำยังไงดี ที่สำคัญผมจะออกจากที่นี่ได้ยังไงไม่ให้โดนจับ ต้องรีบหา

ทางออกให้เจอต้องออกจากที่นี่ให้ได้ท่องคำนี้ไปมาในหัวจนเหงื่อซึมมาตามฝ่ามือแผ่นหลัง เดินวนอยู่ในบ้านจนได้ยินเสียง

ดนตรีข้างนอกแว่วดังมาเป็นระยะทำให้รู้สึกใจชื้นจนยิ้มออกมาได้

“อย่าร้อง อย่างส่งเสียง”ขณะที่กำลังคิดหาทางออกอยู่นั้น มีมือข้างหนึ่งปิดปากผมไว้แน่นส่วนมืออีกข้างกอดเอวผมไว้ พยายาม

ดิ้นแต่ผู้ชายที่กอดผมไว้แรงเยอะเกินไป จากนั้นเขาลากผมไปที่แสงส่องถึงและเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก่อนหน้านี้

“พี่พัฒณ์”คนที่กอดผมไว้ปล่อยมือมือข้างหนึ่งออกจากปาก ผมเรียกชื่อผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ต่อหน้า นี่มันเรื่องอะไร หมายความว่า
ยังไง

“ใช่พี่เอง”

“พี่มาทำอะไรที่นี่ คงไม่ได้หมายความว่า..”

“ไม่ใช่อย่างนินคิดหรอก พี่ไม่ใช่คนที่พวกนั้นส่งมาสบายใจได้”

“แล้ว..”

“อยากรู้เรื่องอะไร ช่วยกรุณาดูสถานการณ์ก่อนได้ไหมถ้าพวกมันแห่กันมาให้เสร็จมันหมดนี่แน่”เออ ขอโทษแล้วกันก็คนมันตกใจ

นี่นาผมเกือบลืมผู้ชายอีกคนที่กอดผมอยู่ 

“แล้วมึงไอ้เขื่อนเมื่อไหร่จะปล่อยน้องเขาสีกทีวะ เห็นกอดอยู่ตั้งนานแล้ว”

 “เออ โทษทีเพลินไปหน่อย”

“กูเห็นมึงมองน้องเค้าตาแทบไม่กระพริบตั้งแต่เข้ามาในงานแล้ว”

“ช่างกูเถอะ”

ขอโทษเถอะครับ ผมว่ามันใช่สถานการณ์จะมาคุยกันไหมครับ แล้วที่คุณทั้งสองคนจะคุยกันอีกนานไหม ถ้ามีคนเห็นจะทำไง

ผู้ชายชื่อเขื่อนปล่อยผม จากนั้นทั้งสองเดินนำหน้าลัดเลาะเดินเรียบผ่านออกมาทางประตูหลังบ้าน จนออกมาเจอสวนกว้างและ

ได้ยินเสียงเพลงที่เปิดในงานดังแว่วมาเบาๆ

“เดินตามพี่มาต้องกลัว”

“กูว่าน้องกลัวมึงมากกว่านะ”

“เออ”พี่ครับบอกผมให้เดินตามผมก็รู้เรื่องแล้วไม่ต้องจูงมือผมก็ได้

เดินผ่านต้นไม้สูงใหญ่ผ่านพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งให้เป็นรูปทรวงสวยงาม ประตูแห่งอิสรภาพถูกเปิดออกรถยนต์ยุโรปคันโตจอดอยู่ต่อ

หน้าผมรีบเดินมาหลบอยู่ด้านหลังผู้ชายทั้งสองทันที

“ไม่ต้องกลัวนั่นรถพี่เอง”อ้าวหรอใครจะไปรู้

“เฮ้ย รีบขึ้นรถเถอะตำรวจน่าจะใกล้มาแล้ว”ผู้ชายที่ชื่อเขื่อนบอกให้พวกผมขึ้นรถ ผมรีบขึ้นไม่ต้องรอให้บอกซ้ำ ส่วนพี่เขื่อนเปิด

ประตูขึ้นฝั่งคนขับแล้วเหยียบคันเร่งออกไปจากทีนั่นทันที ผมหันหลังกลับไปมองบ้านหลังนั้นว่ามีคนตามออกมาหรือไม่ เราออก

ห่างจากบ้านหลังนั้นไปเรื่อยๆจนมองไม่เห็นบ้านหลังนั้น หัวใจของผมยังเต้นเร็วรัวด้วยความตื่นกลัวค่อยๆสงบลงแล้ว ตอนนี้ผม

ปลอดภัยแล้วใช่ไหม ผมรอดแล้วใช่ไหมขอบคุณ ขอบคุณทุกคนที่ช่วย ผมอยากร้องไห้ระบายความอัดอั้นออกมาไม่รู้ว่าทำไมผม

ต้องเจอเรื่องเดิมๆซ้ำๆ บางครั้งรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง แต่ตอนนี้มันคงไม่ใช่เวลาที่ต้องมานั่งน้อยใจหรือร้องไห้

“พี่พัฒณ์ พี่พัฒณ์รู้จักกับน้ำรินด้วยหรอครับ”ตัดสินใจทำลายความเงียบถามคำถามที่คาใจมาตลอด

“นิน รู้จักน้ำรินด้วยหรอ”พี่พัฒณ์แสดงสีหน้าบอกว่าแปลกที่ผมรู้จักน้ำรินและผมเดาว่าทั้งสองคนเกี่ยวข้องกัน

“เธอเป็นคนรักของกัณฑ์...เขาทั้งสองสมรู้ร่วมคิดฆ่าเพื่อนของผม”ผมไม่รู้ว่าทั้งสองคนเกี่ยวข้องกันอย่างไรถ้าพี่พัฒณ์รู้จักกับน้ำ

รินแล้วเปลี่ยนใจมาทำร้ายผมขึ้นมาเพื่อช่วยปกปิดความผิดของเธอล่ะเขาจะทำยังไง

“พี่ไม่รู้ พี่ไม่เคยรู้มาก่อน พี่มาที่นี่มาเพื่อดูไอ้สารเลวกัณฑ์...มันพยายามจะฆ่าน้ำริน”หมายความว่ายังไง น้ำรินตายแล้วเป็น

วิญญาณของเธอจริงๆที่มาเข้าฝันผมบ่อยๆและเป็นเธอที่มาช่วยปลุกผมให้รู้สึกตัว เธอตายแล้ว ตายตอนไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่

“พี่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้น พี่ถูกที่บ้านเรียกให้กลับบ้านเพราะน้ำรินประสบอุบัติเหตุจนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา”น้ำเสียง

คนเล่าเบาลงสีหน้าดูเศร้าลง หมายความว่าน้ำรินยังไม่ตาย”พี่ฝากเพื่อนให้สืบที่มาของอุบัติเหตุถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่แต่เป็นการ

ฆาตกรรม และได้รู้ว่าไอ้เลวนั่นมันพยายามฆ่าน้องสาวพี่ น้ำรินยังไม่ตายแต่ก็เหมือนตายทั้งเป็น”อย่างนี้นี่เองเธอถึงมาหาผมมา

ร้องให้ขอโทษผมเธอคงรู้สึกผิดจริงๆ ครั้งนี้ผมก็โชคดีที่ได้เธอมาช่วยไม่รู้ว่าได้อย่างนี้แล้วผมจะดีใจหรือสงสารดี

“พี่ให้ตำรวจมาล้อมจับปาตี้ครั้งนี้ ไอ้กัณฑ์ค้ายาแล้วนัดส่งของโดยใช้ปาตี้บังหน้า”

“ค้ายา”เขาไปไกลขนาดนี้เชียวหรอ

“ใช่ แต่ก่อนมันแค่เสพแต่เดียวนี้มันขายด้วยแล้วมันก็ใช้เราปลดหนี้ ตอนแรกพี่ไม่รู้ว่าพวกมันเลือกนิน”

“นี่ต้องชมสายตาพี่ พี่เห็นเราเดินน่าตาดีตั้งแต่เข้ามาในงานเลยนะ แอบดูไปเรื่อยๆถึงรู้ว่าเป็นคนที่มันหลอกมา”พี่เขื่อน ใช่คนที่

หลอกมาเป็นเพื่อนด้วยไม่นึกว่าจะทำกันได้

“แล้วบ้านหลังนั้นเป็นของใครครับ”ที่แน่แน่มันไม่ใช่บ้านของฐิตาแน่นอน

“อันนี้พี่ไม่แน่ใจ เห็นว่าเป็นบ้านของผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งทางภาคเหนือ”คนชื่อเขื่อนตอบ

“จับมันเข้าคุกในฐานะฆาตกรไม่ได้ แต่ต้องโทษค้ายาก็ไม่ต่ำกว่าตลอดชีวิต หลักฐานที่พี่รวบรวมได้ก็น่าจะเพียงพอให้มันได้ตาย

ในนั้น”แล้วเวรกรรมอย่างอื่นก็จะตามมา พี่พัฒณ์บอกว่าใช้เวลาอยู่นานในการตามเรื่องของกัณฑ์รู้ว่าเขาทำอะไรเลวๆไว้หลาย

อย่างมีทั้งผู้หญิงผู้ชายที่เจอในลักษณะเดียวกับผมอีกเยอะ แต่ไม่มีหลักฐานไม่มีใครเข้าไปแจ้งความเลยไม่มีทางจับเขาได้ เดน

มนุษย์อย่างเขาจึงยังลอยนวลใช้ชีวิตอย่างปกติดีมีความสุข

“พี่พัฒณ์ถ้ามีโอกาสผมอยากไปเยี่ยมน้ำริน...”ผมอยากไปอโหสิกรรมให้เธอไม่อยากให้เวรกรรมนี้ผูกพันมัดเกี่ยวกันไปจนถึงชาติ

หน้า คิดว่าผมน่าจะยกโทษให้เธอได้เพราะเธอคงได้รับผลกรรมของเธอที่ได้ก่อไว้แล้ว

“ได้ ถ้าน้ำรินรู้คงดีใจเพราะตั้งแต่ที่ประสบอุบัติเหตุไม่มีใครมาเยี่ยมเธอเลยนอกจากครอบครัว พี่ดีใจนะที่ได้ยินว่านินจะไปเยี่ยม

และขอโทษแทนน้ำรินด้วยถ้าน้องสาวพี่ทำอะไรผิดพลาดลงไป”คงไม่ต้องหรอกครับเธอมานั่งร้องห่มร้องไห้ขอโทษผมเกือบทุกคืน



                            สายลมอ่อนเย็นยะเยือกยามใกล้รุ่งปะทะแก้มผมเบาๆ พนักงานเก็บกวนถนนกำลังเร่งมือกวดขยะเศษฝุ่นบน

พื้นถนนแข่งกับเวลา รถขยะกรุงเทพมหานครกำลังเก็บขยะที่แยกอยู่ตามถังขึ้นรถ

“พี่เทียน ฮึก ฮือ “ผมวิ่งเข้าไปกอดพี่เทียนทันทีที่เขาลงจากรถ น้ำตาที่กลั้นไว้นานเริ่มไหลออกมาทันที

“เกิดอะไรขึ้นกับเรา ทำไมโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม”ผมกอดเขาไว้แน่นซุกหน้าลง

หน้าอกอุ่นและปลอดภัยแล้วส่ายหัวไปมาเป็นคำตอบ เพราะยังไม่รู้ว่าจะเล่าจากตรงไหนก่อน

“ต่อไปพี่จะไม่ให้เราไปไหนโดยที่ไม่มีพี่ไปด้วยอีกแล้วนะ”

“นินก็จะไม่ไปไหนโดยที่ไม่มีพี่เทียนอีกแล้ว”กลัวเหลือเกิน ความรู้สึกตื่นกลัวยังหลงเหลืออยู่ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าไม่มีใครไป

ช่วยผมออกมา จะเกิดอะไรยังไงกับผมบ้าง และยังจะมีโอกาสกลับมาพบพี่เทียนอีกครั้งไหมก็ไม่รู้

“ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว กลับบ้านกันเถอะคนดี”พี่เทียนพยายามปลอบผม เขาพาผมขึ้นรถออกจากที่นั่น หนังตาของ

ผมเริ่มหนักขึ้นมาอีกแล้วไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ยาสลบที่ยังหลงเหลืออยู่ หรือว่าความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยนี้ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อน

คลายแล้วหลับไปบนรถที่กำลังรีบวิ่งมุ่งหน้ากลับสู่บ้าน บ้าน บ้านที่มีทุกคนอยู่ มีทุกคนที่รักและรอผมกลับไปโชคดีที่ยังมีที่ที่ให้กลับไปอยู่


“นิน นิน ตื่นแล้ว”เสียงพี่เทียนกำลังเรียกผม ลืมตาขึ้นเห็นใบหน้าเขาอยู่ไม่ห่างจากสายตาเท่าไหร่นัก ผมนึกว่าจะได้ใบหน้าอีก
แล้ว

“ไปอาบน้ำเถอะ แล้วค่อยมานอนต่อจะได้สบายตัวขึ้นหรือจะให้พี่อาบน้ำให้”ได้ไหมล่ะ ผมยอมฝืนสังขารความเหนื่อยล้าเข้าไป

อาบน้ำเปิดน้ำอุ่นลงในอ่าง แล้วลงไปแช่ไล่ความเหนื่อยล้า ความวิตกกังวล ความหวาดกลัวไหลออกไปตามกระแสน้ำอุ่น

แก๊ก ผมเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่สวมเสื้อผ้าที่พี่เทียนเตรียมไว้ให้

“นิน มาทานข้าวต้มรองท้องก่อนพี่ทำมาให้”พี่เทียนเรียกผมให้ไปทานข้าวต้ม ดีเหมือนกันรู้สึกว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องผมเลย
ผมนั่งลงบนโซฟาหน้าโทรทัศน์

“ตอนที่พี่ติดต่อนินไม่ได้พี่ร้อนใจมากเลย กลัวว่านินจะเป็นอะไรไป ยังดีที่นินติดต่อมาไม่งั้นพี่ต้องบ้าตายแน่นอน”หลังจากที่หนี

ออกจากบ้านหลังนั้น ขึ้นรถผมขอยืมโทรพี่พัฒณ์เพื่อติดต่อพี่เทียน และโกหกเขาไปว่าโทรศัพท์หาย ตอนนั้นยังจำน้ำเสียงเป็น

ห่วงผ่านโทรศัพท์ได้พร้อมทั้งน้ำเสียงโล่งใจเมื่อรู้ว่าผมปลอดภัย

“นินขอโทษที่ทำให้พี่เทียนเป็นห่วง ต่อไปนินจะไม่ดื้อกับพี่เทียนอีกแล้ว นินรู้ว่าพี่เทียนไม่อยากให้ไปแต่ก็ยังดื้อไป นินขอโทษ

ครับ”ผมซบหน้าลงบนอกอุ่น

“ดีแล้ว คราวหน้าจะได้ไม่ดื้อกับพี่อีก”ก็ใครจะไปรู้ว่าแม้แต่เพื่อนก็ยังทำร้ายกันได้ลง

พี่เทียนใช้มือประคองหน้าผมไว้ในมือแล้วไว้แล้วโน้มใบหน้าหน้าลงมาใช้ริมฝีปากเขาประกบลงริมฝีปากของผมเบาๆ เหมือน

เป็นการปลอบโยนเขาใช้ปลายลิ้นเลียสัมผัสริมฝีปากและขบเม้นมันก่อนที่จะค่อยๆดูดดื่มอ่อนหวานขึ้น เขาสอดลิ้นดุนดันเข้าไป

ในปากของผม แล้วใช้ลิ้นของเขาหยอกล้อกับลิ้นเล็กๆของผมสลับกับขบเม้มเลียริมฝีปากล่างบาๆ และสอดลิ้นเข้าไปในโพรง

ปากผมอีกครั้งเข้าไปสำรวจหาสิ่งที่เขาชอบตอนนี้รู้สึกสมองของผมโล่งขาวโพลนไปหมด จนพอใจในที่สุดเขาก็ปล่อยผมเป็น
อิสระ

“นี่เป็นการลงโทษเด็กดื้อ ไม่มีคราวหน้าอีก”ผมหอบหายถี่แล้วรีบโกยอากาศเข้าปอดทันทีเมื่อเขาปล่อยผม ช่างเป็นการลงโทษที่รู้สึกดีอะไรอย่างนี้

“ทานข้าวต้มก่อนเถอะ แล้วจะได้พักผ่อน”ผมนั่งทานข้าวต้มเงียบๆ อายโดนพี่เทียนจู่โจมอีกแล้วนานๆเขาจะยอมจูบผมแบบ

จริงจังอย่างนี้ซักที รู้สึกมือไม้อ่อนไม่ค่อยมีแรงแต่มีความสุขทุกทีเลย ไม่นานข้าวต้มอุ่นๆในถ้วยก็หมดเพราะความหิว เป็นพี่เทียน

เก็บถ้วยลงไปเก็บให้ ตอนนี้ผมไม่รู้สึกง่วงเท่าไหร่เพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จจึงเปิดโทรทัศน์ พี่เทียนกลับขึ้นมานั่งลงข้างๆผม

“เด็กดื้อทำไมไม่นอน เดี๋ยวไม่สบายนะ”ถึงจะเป็นแฟนแต่นานๆทีถึงจะมีโอกาสได้อยู่สองต่อสองในห้องอย่างนี้อยากอยู่ด้วยกัน
อย่างนี้นานๆ

“พักผ่อนนะคนดี เดี๋ยวพี่จะกอดเราไว้ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วพี่จะอยู่ข้างๆเราเสมอ”พี่เทียนเดินไปที่เตียงหยิบหมอนและผ้าห่มมา

วางไว้บนที่โซฟา และทิ้งตัวลงนอนเขาดึงตัวผมลงไปนอนซุกอ้อมอกนั้นแล้วห่มผ้า อ้าผมเพิ่งรู้ข้อดีของโซฟาตัวใหญ่ก็วันนี้แห

ล่ะ เสียงโทรทัศน์ ที่เปิดทิ้งไว้ค่อยๆเบาเสียงลง เสียงหัวใจคนตัวโตดังเป็นจังหวะดังอยู่ข้างหูเป็นเสียงช่วยกล่อมเป็นอย่างดี พี่

เทียนใช้มือข้างหนึ่งกอดผมไว้อีกข้างลูบหลังผมเบาๆไม่นานผมก็เข้าสู่นิทราอีกครั้ง



                   ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเพราะอยากเข้าห้องน้ำ อื้อนี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วพี่เทียนของผมหายไปไหนแล้วผมหยิบรีโมทปิดโทรทัศน์ เลื่อนดูรายการต่างๆวันนี้วันอาทิตย์มีรายการอะไรน่าสนใจบ้างน้า

“เมื่อเวลา 23.00 นาฬิกาทางตำรวจได้บุกเข้าจับผู้ต้องหาค้ายาบ้ารายหนึ่งในงานปาตี้......”ผมจ้องมองหน้าจอสี่เหลี่ยม ที่ปรากฏ

ภาพข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมผู้ต้องหา ผู้สื่อสาวใบหน้าสวยบุคลิกดี ทางช่องหลายสีกำลังอ่านรายละเอียดของข่าว กวาด

สายตามองตามภาพข่าวที่อยู่บนหน้าจออย่างใจจดใจจ่อ ว่าจะมีชื่อหรือใบหน้าผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า มันเป็นเรื่องจริงสินะเขาถูก

จับแล้วภาพผู้ชายคนหนึ่งถูกเจ้าหน้าจับกุมใส่กุญแจมือ พี่พัฒณ์ทำได้แล้วต่อให้หนียังไงก็คงนี้ไม่พ้นจับได้คาหนังคาเขาขนาดนี้

แล้ว รู้สึกว่าแผ่นดินไทยผืนนี้สูงขึ้นอีกหลายเมตรเลย

“นิน ตื่นแล้วหรอ กำลังดูอะไรอยู่ท่าทางดูจริงจังเชียว”พี่เทียนเดินเข้ามาในห้องเห็นผมกำลังดูข่าวที่จริงผมไม่อยากให้เขารู้แต่ไม่

ว่ายังไงเขาก็ต้องรู้ผมไม่อยากปิดเขาอีกแล้ว

“พี่ว่าสถานที่ในข่าวมันคุ้นๆนะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนเราว่าไหม”ไม่ต้องพูดแล้วทำสายตาอย่างนั้นก็ได้พี่เทียนน้องกลัวแล้ว

“เรื่องมันยาวอะ”

“วันนี้พี่ว่างมีเวลาฟังทั้งวัน”

“แต่ว่า..”

“เอาไว้เราพร้อมเมื่อไหร่แล้วค่อยเล่าก็ได้”

“งั้นนินเล่าย่อๆให้ฟังก่อนก็ได้”

“อืม ว่ามา”แล้วทำไมต้องทำหน้าดุอย่างนั้นด้วยครับพี่เทียนอย่าทำเหมือนกับว่าน้องเป็นผู้ต้องหากำลังสอบปากคำน้องอย่างนั้น

ดีนะไม่ใช้ไฟมาส่องหน้าด้วยไม่อย่างนั้นใช่เลย

“นินถูกเพื่อนผู้หญิงคนนั้นหลอกให้ไปที่งาน แฟนของผู้หญิงคนนั้นบอกว่าถ้าหลอกให้นินไปที่งานได้ เขาจะเอาคลิปวีดีโอที่เคย

ถ่ายไว้คืนให้เธอ แฟนของเธอเขาจะเอานินไปขายแต่มีคนที่นินรู้จักช่วยไว้เพราะเขาตามแฟนของผู้หญิงคนนั้นอยู่ก่อนแล้ว เค้า

จึงแจ้งความและร่วมมือกับตำรวจเข้าจับคนร้าย ปาตี้เมื่อคืนเป็นเพียงการบังหน้า ที่จริงแล้วแฟนผู้หญิงคนนั้นนัดส่งยาบ้ากันที่

นั่น”ผมค่อยเล่าๆออกมาให้ได้ใจความที่สุด สั้นที่สุด และคอยสังเกตท่าทางคนฟังไปด้วยว่ามีอารมณ์แบบไหน พี่เทียนฟังที่ผม

เล่าแต่เขาดูนิ่งและเงียบจนผมรู้สึกกลัว สู้ให้เขาโกรธตอนนี้ ดีกว่ารู้ทีหลังแล้วโกรธมากกว่านี้มันจะเป็นเรื่องใหญ่

“แล้วเราเป็นอะไรมากรึเปล่า”ผมส่ายหน้าพี่เทียนดึงผมเข้าไปกอด

“นินแค่โดนวางยาในเครื่องดื่มกับโดนโป๊ะยาสลบพอดีพี่ๆเขามาช่วยทัน”

“แล้วทีนี้พี่จะดุเราดีหรือไปขอบคุณคนที่มาช่วยเราดีฮึ”อย่างหลังอย่างเดียวได้ไหมครับอย่างหน้าน้องกลัว

“ถ้าเราเป็นอะไรไปแล้วพี่จะเป็นยังไงคนที่บ้านเราล่ะแล้วไหนจะคุณย่าอีกคนทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบก่อนเสมอนะ ทำไมถึง

ชอบทำให้พี่เป็นห่วงเสมอเลยนะเรานะต่อไปคงต้องล่ามโซ่ไว้มั้งนิ”

“อื้อ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ น้องสัญญาจะเด็กดีพี่เทียนอย่าโกรธเลยนะ นะ ดีกันนะ”ผมยกนิ้วก้อยขึ้นพยายามออดอ้อนขอคืนดี
กับพี่เทียน

“ยังไม่ดีต้องดูความประพฤติก่อน เดี๋ยววันนี้ออกซื้อโทรศัพท์ไม่รู้ว่าไปทำหายไปไหน”ดีนะที่ในนั้นไม่มีอะไรสำคัญไม่อย่างนั้น

เสียดายแย่เลย

“ได้ครับผม ฮื้อ หอมจังกลิ่นอาหารฝีมือพี่เทียนแน่เลย กลิ่นน่ากินอย่างนี้”

“เปลี่ยนเรื่องเก่งจริงๆนะเราเดี๋ยวเถอะเดี๋ยวปล่อยให้อดเลย ดีไหม”ต้องรีบเปลี่ยนเรื่องไม่อยากให้โกรธนานไปกว่านี้

“อะ ไม่ดี โอ๊ยเจ็บนะ มาหยิกแก้มเขาทำไม”ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ ที่จริงก็ไม่ได้เจ็บหรอกก็แค่อยากอ้อนเฉยๆ

“โอ๋ ไหนไหนให้พี่ดูซิ ฟอด ข้างไหน ฟอด ฮ่า ฮ่า”

“พี่เทียนแกล้งน้องอีกแล้ว ไม่คุยด้วยแล้ว”

“ไม่แกล้งแล้วไม่แกล้งแล้วทานข้าวดีกว่า”ดีมากครับทานข้าวเถอะ

ในที่สุดเรื่องร้ายก็ผ่านไปอีกเรื่อง แต่ตอนนี้ยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ห้าว รู้สึกง่วงจังเลยกินอิ่มแล้วหนังก็ก็

หย่อนทันที วันหยุดพักผ่อนไม่ต้องออกไปไหนอยู่กับคนพิเศษทั้งทีแค่นี้ก็ดีที่สุดแล้ว




****************************************************************

จบไปแล้ว ก่อนถึงบทสุดท้าย มาช้าไปหน่อยพอดีแม่ไม่สบายเข้าผ่าตัดมะเร็งเลยต้องไปนอนเฝ้าที่โรงพยาบาล 10 กว่าวัน

 กลับออกมาเลยมารีบปั่นให้ทุกคนได้อ่าน

***ขอบคุณทุกการติดตาม ทุกการรอคอย

ตอนหน้าก็จะจบแล้วอย่าลืมติดตามกันน้า
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ก่อนถึงบทสุดท้าย]7/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-09-2016 19:13:48
ให้กำลังใจคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ก่อนถึงบทสุดท้าย]7/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: chaichan ที่ 07-09-2016 20:49:17
ขอให้คุณแม่หายไวๆค่ะ
เป็นกำลังใจให้ค่า
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ก่อนถึงบทสุดท้าย]7/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-09-2016 23:50:37
เกือบไปแล้วน้องนิน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอให้คุณแม่แข็งแรงขึ้นนะ :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ก่อนถึงบทสุดท้าย]7/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 08-09-2016 07:08:00
เขียนดีม้ากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[ก่อนถึงบทสุดท้าย]7/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 08-09-2016 17:05:56
อยากอ่านฉาก..เค้าจักกะดึ๋ย กิ๊วๆกันสักฉาก5555 // จะจบแล้วคิดถึงแย่เลย // ขอให้คุณแม่หายไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย]9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 09-09-2016 09:33:30


เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน
[/size]

บทสุดท้าย
[/size]


                  สายตาของคนทั้งหกกำลังจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่วางตา ทั้งสงสัยแปลกใจระคนกันไป โซฟาชุดใหญ่สีเข้ม

สำหรับต้อนรับแขกล้อมผมอยู่ตอนนี้ ผมกำลังนั่งอยู่บนพื้นในห้องรับแขกที่บ้านพี่เทียน โดยมีผู้ใหญ่ทุกคนนั่งบนโซฟา กว่าที่ผม

จะกล้ามานั่งอยู่ตรงนี้พร้อมเผชิญหน้ากับทุกคน ผมต้องรวบรวมความกล้ารวบรวมสมาธิและเรียบเรียงความคิด ว่าผมจะต้องเริ่ม

ต้นเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างไร ผมเลือกตัดสินใจที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้ทุกคนเกี่ยวข้องกับผมฟัง ผมไม่อยากที่โกหกไม่อยากเก็บมัน

ไว้คนเดียวอีกต่อไป อยากให้ทุกคนรู้ว่าที่แท้จริงแล้วคนที่อยู่ต่อหน้าของทุกคนนี้เป็นใครมาจากไหน ถึงแม้ว่าร่างกายนี้จะเป็น

ของนิน แต่ดวงวิญญาณลมหายใจที่เข้าออกหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะอยู่ในอกข้างซ้ายนี้เป็นของนนท์มาโดยตลอด มันเป็นความ

จริงที่ไม่มีวันไม่มีทางที่ปฏิเสธได้ วันนี้วันที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้าวันอาทิตย์ยามเย็น แต่อากาศไม่เย็นลงเลยอากาศคงยังร้อนระอุ

บนฝ่ามือของผมมีเหงื่อซึมออกมา บรรยากาศโดยรอบรู้สึกกดดันเกิน ผมกังวลผลที่จะตามเหลือเกิน

“มันอาจจะดูเหมือนโกหกหรือทุกคนอาจจะคิดว่าผมบ้าไปแล้ว แต่อยากให้ทุกคนช่วยฟังเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ให้จบก่อนนะ

ครับ แล้วค่อยคิดว่าผมบ้าไปแล้วมันเป็นเหลือเชื่อถ้าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดกับผมเองผมก็ไม่วันเชื่อเด็ดขาด”ผมมองไปบนโซฟาจ้อง

มองไปที่ผู้ให้กำเนิดผมทั้งสองท่าทางคงกำลังแปลกใจเหมือนกันว่าผมต้องการจะพูดอะไรกันแน่

“ผมคือ นนท์ทนิตย์  กิจการเลิศล้ำพัฒนไพบูลย์ ไม่ใช่ นิน นินทนัฐ สีขาว”สายตาหลายคู่ที่มองมาที่ผมเบิกตากกว้างด้วยตกใจ

สงสัยล้วนแตกต่างกันไป

“นิน นี่เราพูดอะไรออกมารู้ตัวไหม”คุณแม่ยืนขึ้นทันทีคงตกใจในสิ่งที่ผมพูดออกไปผมพยายามข่มกลั้นทุกความกลัวที่มีให้
เหมือนปกติที่สุด

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลกที่จะเอามาพูดเล่นได้นะ”เธอพยายามพูดย้ำออกมาว่าเธอไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ในตอนนี้

“ผมอยากให้ทุกคนฟังก่อน ช่วยฟังเรื่องที่ผมจะต่อไปนี้ก่อน นะครับ”ผมอ้อนวอนด้วยสายและคำพูดให้เธอนั่งลงฟังเรื่องที่ผมจะ

เล่าต่อไป ขอร้องเถอะครับขอให้ผมเล่ามันให้จบด้วยเถอะ

“คุณใจเย็นๆก่อนลองดูก่อนว่า นินเขาต้องการจะบอกอะไรกับเรากันแน่”คุณพ่อยืนขึ้นพยุงคุณนั่งลงบนโซฟาฟังผมเล่าต่อ

“เรา พูดต่อเถอะ”พ่ออนุญาตให้ผมพูดต่อ

ผมเล่าย้อนเหตุการณ์ที่ผมทะเลาะมีปากเสียงกับพ่อแม่ก่อน วันที่ผมจะออกจากบ้านไปวันนั้นเหมือนเป็นเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้น

เมื่อวาน เมื่อผมลูกที่รักที่ถูกเลี้ยงมาด้วยความรักความเอาใจของผู้ให้กำเนิด ต้องการที่ย้ายออกไปอยู่กับคนที่รักในบ้านหลังใหม่

ที่ผมเป็นคนจ่ายเงินค่าบ้านแต่ชื่อเป็นของคนรัก ผมแค่ต้องการบอกให้ที่บ้านรับรู้การไปครั้งนี้ของผมเท่านั้น แต่เหตุการณ์มันไม่

จบลงแค่นั้นเมื่อผู้เป็นพ่อของผมไปรู้มาว่าผู้ชายที่ผมรักนั้นเป็นคนไม่ดี ไม่รู้ว่าอะไรบังตาทำให้การตักเตือนด้วยความหวังดีของผู้

เป็นพ่อคิดว่าเป็นสิ่งผิด คิดว่าคนเป็นพ่อห้ามขัดขวางไม่เห็นด้วยกับความรักของตัวเอง เสียงห้ามแกมขอร้องของผู้เป็นแม่ร้องไห้

ปานจะขาดใจก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจคนเลวอย่างผมได้ แถมร้ายที่สุดผมทิ้งถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจผู้เป็นบิดามารดาอย่างให้อภัยไม่

ได้อีก ถ้าย้อนเวลาไปได้ผมเคยบอกตัวเองเสมอว่าจะไม่ทำอย่างนั้นและจะไม่มีวันพูดคำนั้น คำว่าผมเกลียดพ่อกับแม่ออกมาเป็น

ครั้งที่สองเด็ดขาด

“นนท์อยากบอกพ่อกับแม่ว่านนท์ขอโทษที่พูดออกไปวันนั้น ที่นนท์บอกว่าเกลียดพ่อกับแม่ นนท์ขอโทษนนท์ไม่ได้ตั้งใจ ที่จริง

นนท์ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น นนท์รักพ่อกับแม่มาก มาก ฮึก ฮึก”ผมก็มลงกราบเท้าทั้งสองนี่คือสิ่งที่ต้องการทำคือกราบขอโทษในสิ่ง

ที่ผมลงไปไม่ว่าวันนั้นผมจะตั้งใจหรือไม่แต่เมื่อลงไปแล้วก็คือผิดไปแล้วจะให้อภัยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับบุพการีทั้งสองท่าน

“หมายความว่ายังไง นินรู้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ยังไง”ใบหน้าของแม่ซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัดกำลังสงสัยว่าผมรู้เรื่องนี้ได้ยังไง

“พอก่อน ฟังที่นินเล่าก่อนคุณ”คุณพ่อห้ามคุณแม่ไว้ คุณพ่อกอดคุณแม่ไว้ สายตาทุกคนฉายแววความไม่อยากเชื่อออกมาอย่าง
ชัดเจน

“ผมได้รับเวรกรรมตามทันแล้วอย่างสาสมในสิ่งที่ทำลงไปกับพ่อแม่”

               ความรักของผมไม่สวยงามอย่างที่คิดไว้ สิ่งที่ผมวาดไว้มันเป็นได้เพียงความฝัน เมื่อคนรักของผมเริ่มเปลี่ยนไป เขามี

คนอื่นเขาไม่ได้มีผมเพียงคนเดียว ไม่เหมือนผมที่ยอมทิ้งครอบครัวเพื่อมาอยู่กับเขา เขาไม่ได้รักผมคนเดียวเหมือนที่ผมรัก คน

รอบข้างเริ่มพูดเริ่มบอกว่าเห็นเขาไปไหนมาไหนกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แต่ผมโง่ผมเลือกที่จะเชื่อใจเขา เชื่อในสิ่งที่เขาพูด เชื่อใน

คำพูดหลอกลวงที่เขาบอกว่าเขารักผมคนเดียวเท่านั้น ผมเชื่อจนไม่ลืมหูลืมตาว่าวันๆหนึ่งเขาทำอะไรอยู่กับใครอยู่ข้างนอก จน

มาถึงวันที่ผมเห็นกับตาทั้งสองข้าง ผมเริ่มที่ถอยออกห่างออกมามองดูทุกอย่างเผื่อว่าจะเห็นอะไรได้ชัดเจนมากขึ้น และผมก็ได้รู้

ว่าผมเหนื่อยแล้วที่จะหลอกตัวเองต่อไป เหนื่อยที่จะประคับประคองแก้วที่มันแตกไปแล้ว ยิ่งพยามยามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถ

ทำให้แก้วใบนั้นกลับมาดีเหมือนเดิมได้เพราะยังไงก็ยังมองเห็นรอยร้าวของมันอยู่ดี ผมจึงตัดสินใจสินใจที่จะจบกับผู้ชายคนนั้น

ซักที แต่สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผมกลับมาจากที่ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยเดินเข้าบ้านของตัวเอง เมื่อผู้ชายแปลก

หน้าสามคนเข้ามาบ้านของผม พวกมันไม่ได้ต้องการแค่เพียงสิ่งของมีค่าเท่านั้น พวกมันถูกจ้างวานให้มาข่มขืนแล้วฆ่า พวกมัน

ลากผมขึ้นบนชั้นสองของบ้าน เข้าไปในห้อง ผมทั้งพยายามดิ้นรนร้องขอชีวิตให้พวกมันให้ปล่อย แต่พวกมันไม่สนใจคำร้องขอ

ของผม พวกมันชกเข้าที่ท้องของผมพวกมันดึงฉีกกระชากเสื้อผ้าของผมออกจากร่างกายแล้วข่มขืนผมทีละคนทีละคนจนพวก

พวกมันพึงพอใจ และใช้หมอนกดลงที่ใบหน้าของผมจนผมหมดลมหายใจไปในที่สุด

“นิน นินกำลังเล่นตลกอะไรหนูกำลังพูดเรื่องอะไร”แม่ยังตกใจที่ได้ยินเรื่องที่ผมเล่าไป

ผมไล่สายตามองไปรอบดูสีหน้าท่าทางทุกคนที่อยู่ที่นั่นรวมถึงพี่เทียนเขาจะรู้สึกรังเกียจผมหรือไม่ที่เคยถูกข่มขืนมาก่อน ผมรู้ว่า

มันโหดร้ายแต่ผมต้องเล่าความจริงที่ทุกคนต้องได้รับรู้

“ในข่าวที่ออกมาไม่ได้บอกว่าผมถูกข่มขืนเพราะทุกคนต้องการปิดข่าวทำให้เป็นคดีฆ่าชิงทรัพย์เท่านั้นใช่ไหมครับ”แม่กับพ่อ

เบือนหน้าหนีไปอื่นไม่ยอมตอบคำถามของผม น้ำตาของแม่ไหลออกมาแล้ว

“แต่เรื่องของเรื่องมันไม่ได้จบลงแค่นี้เมื่อผมได้รับโอกาสอีกครั้ง”

             หลังจากที่ผมสิ้นสุดลมหายใจลงวิญญาณผมออกจากร่าง ให้เห็นได้รับรู้ความจริงที่ว่าใครที่เป็นคนจ้างวานให้มา

ทำร้ายผมในครั้งนี้ เขาก็คือคนที่เคยบอกว่ารักผมแต่นั่นไม่เสียใจเท่าที่ผมรู้ความจริงว่าเขาไม่เคยรักผมเลยแม้แต่นิด

นั่นหมายความว่าพ่อกับแม่ของผมพูดถูกมาโดยตลอด ความเสียใจที่รับรู้ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นน้ำตาได้อีกแล้ว และอีก

ครั้งผมได้รู้ว่าผู้ให้กำเนิดทั้งสองยังคงรอคอยผมกลับมาเยี่ยมพวกเขาทุกวันแต่ผมกลับไม่เคยคิดที่จะกลับมาหาพวกท่านเลย

แม้แต่นิด ภาพที่ผู้เป็นบิดานั่งอยู่ห้องนั่งเล่นทอดสายมองออกไปข้างนอกรอคอยผู้ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจกลับคืนมาสู่อ้อมกอด

ของตัวเองอีกครั้ง พ่อยังนั่งโทษตัวเองเสมอว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจออกบ้าน พ่อคิดว่าผมโกรธท่านมากจนไม่อยาก

กลับมาที่บ้านอีกแล้ว แต่ผมอยากบอกว่าผมอยากกลับอยากกลับไปกอดท่านอีกครั้ง แต่ผมไม่มีโอกาสแล้วไม่มีโอกาสนั้นอีกต่อ

ไป ผมอยากก้มกราบที่เท้าของท่านทั้งสอง แล้วบอกว่าผมขอโทษในทุกสิ่งที่ผมทำลงไป และดูเหมือนคนบนฟ้าจะเห็นใจผมจึง

ได้มอบโอกาสให้ผมอีกครั้ง วิญญาณของผมไปปรากฏในห้องผ่าตัดในห้องนั้นมีร่างเด็กวัยรุ่นหนึ่งนอนอยู่บนเตียง อีกเตียงมีร่าง

ไร้วิญญาณของผมนานอยู่หัวใจของผมถูกนำมาเปลี่ยนให้เด็ก ที่นอนอยู่บนเตียงนั้นผมได้พบกับวิญญาณเด็กคนนั้นเค้าบอกกับ

ผมว่าเขาหมดอายุไขแล้ว และวิญญาณน้องหายวับไปส่วนผมรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในร่างนี้แล้ว

“ร่างกายนี้เป็นของน้องนินจริง แต่ดวงวิญญาณและหัวใจที่เต้นอยู่ในอกซ้ายนี้เป็นของนนท์ นนท์ทนิตย์  กิจการเลิศล้ำพัฒน

ไพบูลย์ นี่คือเรื่องทั้งหมดที่ผมอยากเล่าให้ทุกคนฟังส่วนทุกคนจะเชื่อในสิ่งที่เล่ามาแล้วนั้นหรือไม่นั้น.....ผมไม่ต้องการอะไรแต่

ผมไม่รู้ว่าผมควรทำยังไงต่อไป และผมไม่อยากหลอกทุกคน ผมควรจะใช้ชีวิตที่ได้มาเป็นใครกันแน่ที่สำคัญผมไม่หลักฐานที่จะ

พิสูจน์ว่าผมเป็นนนท์จริงไหม แต่ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับนนท์ผมสามารถตอบได้หากพ่อกับแม่ยังสงสัยในตัวผม”หลังพูดจบ

แล้วผมเงยหน้ามองทุกคน รอคอยคำพูดของทุกคน แต่ให้ตายเถอะทำไมทุกคนเงียบเงียบจนผมกลัวใครก็ได้ช่วยพูดอะไรกับผม

บ้างได้ไหม

“เรื่องบางเรื่องมันอาจจะทำใจเชื่อได้ยากแต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะสามารถเกิดขึ้นได้ ในเมื่อมันเกิดขึ้นกับเราแล้วเราก็จงใช้ชีวิตที่ได้มา

ทำในสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้องไม่ว่าในฐานะใดเป็นใครแต่เลือกทำในสิ่งที่ดีทำในสิ่งที่ควรจะเป็นใครมันก็ได้ทั้งนั้น ชื่อเป็นเพียงคำที่

ใช้เรียกแทนตัวเราเท่านั้นแต่ตัวตนที่อยู่ข้างในเราตั้งหากที่จะตัดสินว่าเราเป็นใคร”คุณย่าจะบอกผมว่าผมจะเป็นใครไม่สำคัญสิ่งที่

สำคัญคือการกระทำของผมใช่ไหมครับ

“เรื่องที่ได้ฟังมาเป็นเรื่องที่ฟังแล้วไม่น่าเชื่อ......การที่พวกเรากลับมาเจอกันอีกครั้งไม่รู้ว่าโชคชะตาหรือพรมลิขิต แต่พ่อกับแม่ก็

ยินดีที่จะใช้เวลาทั้งชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ช่วยพิสูจน์ความจริงเอง”ขอบคุณครับคุณพ่อที่ให้โอกาสพิสูจน์ตัวเอง

“จะไม่เชื่อแต่เราก็รู้เรื่องของนนท์ จะเชื่อแต่ก็ยังทำใจไม่ได้ทั้งหมด แม่มองนินทุกครั้งแต่ต้องเห็นใบหน้าของนนท์ซ้อนทับขึ้นมา

ทุกที แต่เราอาจจะไม่รู้ตัว คำพูดบางคำ กิริยาท่าทางบางทีที่เราแสดงออกมามันคือนนท์”ตัวของผมก็คือตัวผมเองจะเปลี่ยนรูร่าง

หน้าตาแต่ตัวตนที่จริงของผมที่อยู่ข้างในนี้ยังชัดเจนเสมอ

“ขอบคุณนะลูกที่ยอมกลับมาหาพ่อกับแม่อีกครั้ง พ่อเชื่อเสมอว่านนท์จะต้องกลับมาหาพ่อกับแม่”พ่อแม่ผมเราทั้งสามคนโผเข้า

กอดกันอีกครั้ง แต่ความรู้สึกครั้งนี้มันหมดสิ้นแล้ว ผมไม่มีอะไรที่ค้างคาใจมันรู้สึกอิ่มเอม ไม่มีอะไรที่ปกปิดอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้อง

คอยหลอกตัวเองหลอกคนอื่นว่าผมเป็นใครอีกต่อไปเพราะต่อไปนี้ผมจะเป็นตัวของผมเอง

“อ้าว หยุดก่อนหยุดก่อนหลานย่าเขามีอะไรจะพูดกับเรานะ”ผมออกจากอ้อมกอดของพ่อแม่ใช้มือปาดน้ำตาของตัวเองหันหน้าไป

เผชิญกับพี่เทียน

“พี่เทียนยังรักผมเหมือนเดิมไหม”

“แล้วทำไมต้องไม่เหมือนเดิม พี่รักเราเพราะเราเป็นเรา ไม่ได้รักเพราะหน้าตานี้รูปร่างนี้สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแค่องค์ประกอบ

ภายนอกไม่นานก็เปลี่ยนแปลงร่วงโรยไปตามธรรมชาติ”

“แต่ผมเคย..”

“เรื่องที่ผ่านมันคืออดีตอีกอย่างมันผ่านไปแล้วไม่มีใครที่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองหรอกใช่ไหม”น้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้งผม

กอดผู้ชายตัวโตที่อยู่ต่อหน้าทันที ผมรักถูกคนแล้วใช่ไหมคนคนนี้คือคนของผมใช่ไหม เขาคือคนที่จะอยู่กับผมไปตลอดชีวิต

คือคนที่ผมจะฝากชีวิตใหม่ครั้งนี้ไว้กับเขาได้ใช่ไหม

“พ่อแม่ก็ไม่รังเกียจหนูนะเรื่องทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้ว เรามาทำทุกวันต่อจากนี้ให้ดีกว่าเดิมให้ทุกวันเป็นวันที่น่าจดจำดีกว่า จะ

ได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายทีหลัง”ผมถอยออกจากอ้อมกอดของพี่เทียน ไหว้ขอบคุณพ่อแม่ของพี่เทียนที่เข้ามากอดผม ผมตัดสิน

ใจถูกใช่ไหมที่เลือกพูดความจริงแทนที่จะปิดบังมัน ต่อไปผมมองท้องฟ้าแล้วเห็นเป็นสีฟ้าไม่ใช่สีหม่นอีกต่อไปแล้ว

“ทุกคนทานข้าวได้แล้วค่ะ วันนี้ฉันอุตส่าเข้าครัวแสดงฝีมือ ทานเยอะนะหนูนินดูสิคิดมากจนผอมหมดแล้ว ตาเทียนดูแลน้อง

หน่อยนะ”เสียงแม่ของพี่เทียนเรียกไปทานข้าวหลังจากที่นั่งฟังเรื่องของผมมาหลายชั่วโมง

นินตอนนี้พี่ทำได้แล้วนะในที่สุดพี่ตามหาครอบครัวของพี่เจอแล้ว เจอที่ของพี่แล้วขอบคุณนะสำหรับโอกาสที่นินมอบให้พี่ พี่จะ

รักษามันให้ดี

                 พวกเราเดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหารที่ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ความสุขมันอยู่รอบๆตัวเราจริงๆขึ้นอยู่กับใจของเรา

และสายตาที่มอง เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะสลับกับเสียงช้อนส้อมกระทบจานข้าว ผมหันหน้าไปมองคนที่นั่งข้าง เราทั้งคู่มองหน้า

กันแล้วยิ้มคงเป็นแรกที่ผมยิ้มออกมาจากก้นบึ้งหัวใจจริงๆไร้ความกังวลใดใด เราทั้งสองคนคงมีเรื่องอีกเยอะที่ต้องคุยกัน แต่

ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าในวันข้างหน้าผมเจออเรื่องที่หนักหนาขนาดไหนทุกคนในที่นี่จะคอยเป็นกำลังใจ และประคับประคองผม

ให้อยู่เสมอ



“รู้สึกว่ากับข้าวมื้อนี้อร่อยที่สุดมื้อหนึ่งที่เคยทานมาเลยนะ นินรู้สึกอย่างนั้นไหม”ผมหันหน้าไปมองผู้ชายตัวโตที่เดินมาหยุดยืน

ข้างๆผม ผมกำลังแหงนหน้ามองพระจันทร์ที่ส่องแสงสีเหลืองที่สว่างและอบอุ่นไปทั่วท้องฟ้าตอนกลางคืน

“ครับ ว่าแต่พี่เทียนยังโกรธรึเปล่าที่นินไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังมาก่อน”พี่เทียนเปลี่ยนมายืนสวมกอดผมจากด้านหลังผมใช้ศีรษะ

พิงที่อกอุ่นของเขา

“โกรธหรอ ไม่หรอกถ้านินเล่าเรื่องนี้ให้ฟังพี่ก็อาจจะคิดว่าเราโกหกก็ได้ แต่ก็เก่งนะที่สามารถทนเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจคนเดียว คง

แอบนอนร้องไห้บ่อยๆสิเรา”

“ฮึ ฮึ ช่วงแรกที่ลืมตาขึ้นมาก็ทุกวัน คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ ในตอนนั้นมันทั้งรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง คิดมากไหมก็จนเกือบเป็นบ้าเลย

แหล่ะ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากตั้งตัว ตั้งสติ แทบไม่ทันไม่รู้ว่า จะหันหน้า จะเดินหรือจะทำอะไรก่อนดี ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มี

ใครช่วยแก้ปัญหาหรือปรึกษา เหมือนกำลังเดินอยู่บนถนนทางเปลี่ยวที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีป้ายบอกทาง ไม่มีรถ

ผ่านมา มองไปรอบๆก็ไม่รู้ทิศทาง จนในที่สุดทุกคนเริ่มเดินเข้ามาทีละคน ทีละคนเข้ามาช่วยเติมสิ่งที่เคยหายไป ให้ค่อยๆกลับ

มาจนวันนี้ นินรู้สึกว่าไม่อยากที่จะหลอกตัวเองหลอกทุกคนอีกต่อไป”

“ต่อไปไม่มีความรู้สึกแบบนั้นแล้วพี่และทุกคนจะช่วยแบกรับความรูสึกนั้นของเราเอง ถึงแม้จะช่วยแบกรับคนละเล็กคนละน้อยแต่

ก็ช่วยผ่อนน้ำหนัก ที่อยู่บ่านี้ให้เบาลงได้บ้าง อีกอย่างมีเรื่องที่เราไม่สบายเรายังมีพี่คนนี้อยู่เสมอนะ”พี่เทียนกระชับอ้อมกอดให้

แน่นคงเป็นคำมั่นสัญญาว่าเขาพร้อมที่จะเดินเคียงข้างผมไปตลอด

“ขอบคุณครับ”ที่เข้าใจผมและรักผมจากหัวใจดวงนี้จริงๆ

สายลมเย็นพัดเอื่อยโอบกอดเราทั้งสองคนไว้ภายใต้แสงจันทร์ผมปล่อยอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองแย่ๆให้ล่องลอยออกไป

อย่างอิสระตอนนี้มีเพียงสองเราเราสองคนอยู่ที่นี่เท่านั้นไม่อยากคิดเรื่องอื่น




 “ช๊อป”ผมโบกมือเรียกเพื่อน เวลาเลยเที่ยงมาไม่กี่นาทีอย่างนี้ยังไม่ค่อยมีนักศึกษาบริเวณอาคารเรียนเท่าไหร่เพราะตอนนี้ไป

รวมตัวตัวกันที่โรงอาหาร วันนี้พวกผมต้องแยกเรียนวิชาโท ผมเลือกเรียนภาษาจีน ผมมีพื้นฐานภาษานี้ตั้งแต่เด็ก ผมพออ่านออก

เขียนได้สนทนาตอบโต้พอรู้เรื่องแต่ไม่เก่งมาก ภาษาจีนน่าจะเป็นอีกทางเลือกของผม

“นิน มานานยัง”ช๊อปเดินมานั่งกับผมที่ม้าหินอ่อนและวางหนังสือเรียนวิชาการจัดการสารสนเทศเล่มหนาลง

“ไม่ นินเพิ่งมาเหมือนกัน”

“เรานึกว่ามาช้าแล้วนะเนี่ย แล้วนั่นนินกำลังดูอะไรอยู่ในมือ”

“อ้อ เราว่าจะเรื่องขอจบเร็วขึ้นนะแต่ไม่รู้ว่าจะได้รึเปล่าต้องลองดูก่อน”

“ทำไม นินจะรีบจบไปไหนนินจะทิ้งช๊อปหรอ”

“ไม่ใช่ยิ่งเรียนนานจะมีผลกับเรื่องค่าเทอมและค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกเราเลยอยากรีบจบแล้วไปหางานทำดีกว่า”ไม่อยากใช้เวลาในรั้ว

มหาวิทยาลัยนานเกินไปเพราะผมเคยผ่านช่วงชีวิตนี้มาแล้ว

“เพื่อนๆทำอะไรกันจ๊ะ”

“คุยอะไรกันทำไมช๊อปทำหน้าตาเครียดๆจัง”

“นิน จะเรื่องขอจบก่อนอะดิ”

“จริงหรอนิน ข้าวก็สนใจเหมือนกันเราก็อยากไปทำในสิ่งที่เราต้องการเหมือนกัน”

“ข้าวจะไปไหนอีกคน”

“ข้าวจะไปเรียนต่อเมืองนอกหรือไปตามหัวใจก็ไม่รู้”

“ไม่พูดก็ไม่ใครว่าเป็นใบ้นะแต้ม”

“เอ๊ะ หรือนินจะรีบจบไปแต่งงานนะ”

“บ้า เราเอ่อทุกคนรังเกียจเราไหมที่เราชอบผู้ชาย”

“นิน สำหรับคนอื่นไม่รู้นะแต่แต้มนะเปิดกว้างอยู่แล้วเรื่องแบบนี้”

“ส่วนข้าวไม่มีปัญหาเราดีใจซะอีกที่นินยอมรับกับเพื่อนไม่ปิดบัง แฟนของนินหล่อมากด้วยเหมาะกับนินด้วยดูพี่เขาดูเหมือนจะรัก

นินมากด้วยใช่ไหม”

“อืม เรากลัวทุกคนจะรังเกียจไม่กล้าพูดออกมา แต่ได้ยินอย่างนี้เราก็ดีใจ”

“ช๊อป ไม่รังเกียจอยู่แล้วเพราะช๊อปก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน”

“เอ่อ ใช่เราเห็นช๊อปไปกับรุ่นพี่คณะอะไรน้า เห็นไปแบบถ่ายรูปบ่อยๆ แบบนี้คงไม่เหงาหรอกถ้าเรากับนินจะจบก่อน”

“อ้าว แล้วแต้มล่ะทำไง”

“บ้า เราจะช่วยไปเป็นแบบเฉยไม่มีอะไรมากกว่านั้น เขาเป็นรุ่นพี่ที่ไปฝึกงานที่บริษัทที่นินไปทำงานพิเศษคิดไปเอง”

“หรอ!!!”ผมแต้มต่อข้าวขาวพูดพร้อมกัน

“แต้มก็หาแฟนดีสักคนหรือจะทำเรื่องจบพร้อมข้าวก็ได้นะแล้วเราบินเรียนต่อด้วยกัน ว่าไงสนใจไหม”

“น่าสนใจนะเผื่อจะได้หนุ่มตาน้ำข้าวติดไม้ติดมือมาสักคน งั้นเราไปที่สำนักทะเบียนไปสอบถามรายละเอียดกันเถอะอยากมีแฟน
แล้ว”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า จะรีบไปไหนไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะเราหิวจะตายอยู่แล้ว”ช๊อปหัวเราะลั่นถูกใจกับคำพูดของแต้มต่อแถมประท้วง
อาการหิวข้าว

“นินไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเจอกันที่โรงอาหารเลยนะ”

 ผมเดินแยกกับเพื่อนที่หน้าอาหารเรียนขึ้นไปเข้าห้องน้ำชั้นบนถ้าเข้าบนอาคารเรียนห้องน้ำน่าจะว่างและไม่ค่อยสกปรกเหมือนที่
โรงอาหารกว่าแม่บ้านจะเข้าไปทำก็รอจะกว่าคนจะซา

“อุ๊ย ขอโทษครับ คุณเป็นอะไรไหมครับ”ผมไม่ทันระวังชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกมาจากห้องน้ำ

“นิน”

“ฐิตา ฐิตา”เธอวิ่งหนีผมทำให้ผมต้องวิ่งตามเธอ ตั้งแต่ที่ผมได้เจอเธอในงานวันเกิดที่จัดฉากขึ้นครั้งนั้นผมก็ไม่ได้มีโอกาสเจอกับเธออีกเลยและได้ยินข่าวไม่ดีเกี่ยวกับตัวเธอเยอะมาก

“แกจะตามฉันมาทำไม มาสมเพทฉันหรือไง เป็นไงสมใจแกไหม ฉันไม่รู้ว่าฉันด้อยกว่าแกตรงไหนทุกคนถึงรักและชอบแก แต่

กับฉันทำไมไม่มีใครสนใจ ฉันทั้งสวย ฐานะทางบ้านก็ดี การเรียนดี กลับแพ้ให้เด็กพร้าผู้หญิงก็ไม่ใช่ผู้ชายก็ไม่เชิงการเรียนก็

ธรรมดาแต่ก็เป็นอันหนึ่งของภาควิชาตลอดสินะอันนี้ฉันก็ลืมคิดไป ตอบทีซิว่าฉันด้อยกว่าแกตรงไหน”ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอต้อง

พยายามที่ชนะหรือยืนอยู่เหนือผมทุกอย่าง ใบหน้าที่เคยสวยดูอิดโรย ขอบตาคล้ำเธอคงเจออะไรมาเยอะ

“อาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยคิดที่จะแข่งกับใคร ผมไม่คิดจะเอาชนะหรือพยายามอยู่เหนือคนอื่น ผมพอใจในสิ่งที่ผมเป็น....”ถ้าฐิตายังหลงผิดอยู่อย่างนี้เธอจะเหมือนคนที่ตายทั้งเป็น

“ทั้งทั้งที่ทั้งชีวิตของฉันคิดอยู่ตลอดเวลาที่ชนะคนอื่นยังไง อยู่เหนือยังไง พยายามแข่งขันกับคนอื่นให้ตัวฉันเองโดเด่นแต่แกกับ

บอกว่าแกพอใจในสิ่งแกมีไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นแต่กลับได้มันมา คนที่มีพร้อมทุกอย่างอย่างฉันสิต้องเป็นคนพูดคำนั้น ไม่ใช่แก

คนที่ไม่มีอะไร ฮ่า ฮ่า ฮ่า”เธอหัวเราะประชด

“ฐิตา เป็นอะไรหน้าซีดๆจะกลับไหมเดี๋ยวผมไปส่งหรือจะให้ผมเรียนแท็กซี่ให้”

“คนอย่างแกนี่มัน ทั้งที่ฉันร้ายกับแกมาตลอดแม้กระทั่งจะทำลายชีวิตแกแต่แกยัง”

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ผมอยากให้ฐิตาลืมมัน ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นสิ่งที่ผ่านไปแล้วมันคืออดีตทิ้งมันข้างหลัง แล้วเดินต่อไปข้าง

หน้าชีวิตอนาคตของเรายังอีกยาวไกลอย่าจมอยู่กับอดีตแต่จงอยู่กับปัจจุบันและเดินต่อไปเพื่ออนาคต”

“ฉันไม่ขอบใจแกหรอกนะที่คนอย่างแกมาพูดให้กำลังใจ”

“แต่ผมยังอยากเห็นฐิตาคนเดิมที่แต่งตัวสวยๆสวมเสื้อหรูใช้ของราคาแพงคนนั้นอยู่นะครับ”

“หึได้ถ้าแกอยากเห็นรับรองว่าคราวหน้าฉันจะสวยจนแกต้องจำไม่ได้แน่นอนที่สำคัญคะแนนเทอมนี้ฉันต้องชนะแกให้ได้คอย

ดูเถอะ แต่ตอนนี้ฉันต้องไปแล้วฉันไม่มีว่างจะเสวนาคนอย่างแกหรอกนะ”ผมดีใจที่คำพูดของช่วยให้เธอรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง

ไม่ว่ามากหรือน้อยขอให้ช่วยเธอมีแรงยัดยืนขึ้นเดินหน้าต่อไปพร้อมสู้ปัญหาต่างๆที่รายรอบตัวเธออยู่ เธอน่าเข้มแข็งกว่าที่ตา

เห็นไม่อย่างนั้นคนอื่นคงเลือกที่ลาออกจากที่นี่ไปแล้ว


                                                                          มีต่อข้างล่าง



หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย]9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 09-09-2016 09:45:22

                                                                           ต่อจากข้างบน


                        วันหยุดวนมาถึงอีกผมนั่งอยู่บนโซฟามองภาพข่าวในหนังสือพิมพ์เป็นการตัดสินโทษของกัณฑ์ในที่สุดคดี

ของกัณฑ์ก็ถึงที่สุด เขาพัวผันหลายคดีแต่ต้องรับโทษที่หนักสุดคือประหารชีวิต นั่นเป็นคดีของผมเองโจรพวกนั้นยอมสารภาพ

และซักทอดไปจนถึงตัวการใหญ่อย่างเขา แต่กัณฑ์ไม่ได้ซักทอดต่อว่าน้ำรินเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เขาคงคิดว่าน้ำรินตายแล้ว

พี่พัฒณ์ยอมให้คดีของน้ำรินเป็นเพียงอุบัติเหตุตามที่ผมแนะนำ เพื่อจะกันเธอออกจากคดีและชื่อเสียง

ที่เสียหายเพียงแค่นี้พ่อแม่ก็ทุกข์ใจจะตายอยู่แล้ว หากรู้เรื่องที่เธอทำลงไปอาจจะเสียใจมากกว่านี้

ผมยังจำวันที่ผมเข้าไปเยี่ยมน้ำรินได้พี่พัฒณ์พาผมเดินเข้าไปในผู้ป่วย ร่างผู้หญิงคนหนึ่งนอนหลับอยู่บนเตียงใบหน้าของเธอ

ตอบลงน้ำรินคงกำลังต่อสู้กับความรู้สึกผิดบาปของเธออยู่

“พี่พัฒณ์รู้ไหมว่าเพื่อนผมถูกกัณฑ์และน้ำรินจ้างวานคนไปข่มขืนแล้วฆ่า เพื่อนของผมต้องตายอย่างทรมานในบ้านของตัวเอง

เขาพยายามร้องตะโกนเรียกขอให้คนช่วยแต่ก็ไม่มีมีใครเลย น้ำรินคือเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเพื่อนผม แต่เป็นเธอที่หักหลัง

เขา เป็นน้ำรินที่ให้กัณฑ์เข้ามาคบกับเพื่อนผมแล้วหลอกเอาทุกสิ่งทุกอย่างของเพื่อนผมไป ไม่เหลือไว้แม้แต่ชีวิตของเพื่อนผม

แต่สิ่งที่เธอกำลังลิ้มรสอยู่ตอนนี้ก็คงเป็นผลตอบแทนในสิ่งที่เธอเคยได้ทำเอาไว้”นั่นคือคำพูดที่ผมพูดออกไปผมรู้ว่าต้องทำให้

ใครคนเสียใจ แต่อยากให้พี่พัฒณ์รับรู้ ที่มาของผลที่เกิดกับเธอในครั้งนี้  ถึงเวลาแล้วผมจะปลดปล่อยเธอ

 ผมก้มหน้าลงไปกระซิบที่หูของน้ำรินผมไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะช่วยอะไรเธอได้บ้างหรือเปล่า แต่มันคือสิ่งน้ำรินต้องการมาตลอดเป็นเธอ

ที่มาหาผมร้องไห้ให้ผมฟังก็เพื่อคำคำนี้ ที่ผมทำลงไปไม่ใช่เพื่อตอบแทนที่เธอมาช่วยแต่เหนือสิ่งอื่นใดเพื่อตัวผมเอง ให้เรา

หมดเวรกรรมในชาตินี้เพียงเท่านี้ จากวันที่ผมไปเยี่ยมน้ำริน ก็ผ่านมานานผมได้ข่าวจากที่พัฒณ์ส่งมาว่าอาการของน้ำรินดีขึ้น ยัง

ไม่ฟื้นแต่โอกาสที่ฟื้นขึ้นมามีสูงขึ้นถ้าเธอยังมีกำลังใจที่สู้ต่อไป เธอคงจะลืมตาขึ้นมาเองสักวันผมเชื่ออย่างนั้น พ่อแม่ผมต้อง

คอยขึ้นศาลฟังคำไต่สวนคดีของผมหลายครั้ง คำให้การของเขาทุกคำฟังแล้วเหมือนตั้งใจ ไม่มีความสำนึกผิดเลยแม้แต่นิด ครั้ง

หนึ่งผมเคยรักผู้ชายนี้ได้ยังไงกันนะ เนื่องจากเขายอมรับสารภาพศาลจึงตัดสินลดโทษจากต้องประหารชีวิตเป็นโทษติดคุก

ตลอดชีวิต บวกกับคดีมียาเสพติดไว้ครอบครองทั้งเสพและจำหน่ายเท่านี้ ทั้งชีวิตต่อไปจากนี้เขาคงต้องอยู่ในนั้นไปตลอดสิ้นลม

หายใจ ที่คดีดำเนินไปเร็วเพราะได้พี่พัฒณ์กับเพื่อนช่วยกัน กัณฑ์ถึงเวลาที่คุณจะต้องได้รับโทษที่คุณได้ก่อไว้แล้ว ถ้ามีโอกาส

ผมจะไปขออโหสิกรรม เราจะได้ไม่ต้องมีเวรมีกรรมที่ต้องเกี่ยวข้องอีก

“อ่านข่าวอะไรอยู่ตัวเล็ก”พี่เทียนเดินมากอดคอผมจากด้านหลัง

“ข่าวคดีที่ค้างคามานาน ในที่สุดก็ศาลก็ตัดสินแล้ว”เขาเดินอ้อมเข้ามาในบนโซฟากับผม

“ตัดสินแล้วเป็นยังไงบ้างครับ”พี่เทียนหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดู

“ตลอดชีวิต”

“อื้ม พอใจใช่ไหม”

“ไม่ใช่พอใจ แต่มันเป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ นนท์ไม่ได้เป็นเหยื่อของเขาเพียงคนเดียวยังมีอีกหลายคนที่เราไม่รู้ไม่กล้าออกมาแจ้ง

ความชี้ตัวเขา”

“งั้นก็ดีแล้ว เรามาดูแบบห้องครัวต่อดีกว่านะ”พี่เทียนหยิบภาพห้องครัวแบบจำลองขึ้นมาให้ดู อีกไม่นานผมจะได้ย้ายเข้ามาอยู่

กับพี่เทียน เขาผ่านด่านเห็นชอบจากผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้ว ส่วนผมก็สามารถทำเรื่องจบเร็วขึ้นได้เหมือนกับข้าวขาวและแต้มตาทั้ง

สองตัดสินใจไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ มีเพียงช๊อปที่จบตามปกติแต่เราก็เลือกที่จะปริญญาพร้อมกับช๊อป นั่นคือสิ่งที่ทุกคน

สัญญากันไว้ ตอนนี้พวกเราช่วยกันช่วยตกแต่งบ้านของเรากำแพงบ้านคุณย่าฝั่งที่ติดกับบ้านผมมีประตูเข้าออกแล้วทำให้ผม

สามารถไปบ้านผมได้และมาที่บ้านคุณย่าได้สะดวก

“ห้องครัวตามที่เราไปดูมาก็ดีนะ นินชอบทำอาหารไม่ใช่หรอ ต่อไปพี่จะได้ทานอาหารฝีมือเราทุกวันเลย”พี่เทียนหนังสือจัด

ตกแต่งภายในบ้านอีกเล่มขึ้นมาดู

“อึม งั้นเดี๋ยวจะทำปิ่นโตให้ไปกินที่ทำงานด้วยดีไหมครับ”

“ไม่มีปัญหาถ้าที่รักทำให้”บ้านขนาดพอดีของเรากำลังไล่ตกแต่งไปทีละห้อง ตอนนี้ห้องนั่งเล่นเสร็จไปแล้ว เป็นห้องที่ผมมีเวลา
ว่างจะชอบมานั่งเล่นบ่อยๆ

“อีกตั้งนานกว่านินจะเรียนจบกว่าจะได้ย้ายเข้ามาพี่เทียนจะรีบทำไมครับ”

“ก็ต้องดีใจธรรมดาที่จะได้อยู่กับคนที่ตัวเองรัก อีกไม่นานจะนอนตื่นขึ้นมาเห็นใบหน้านี้ ตากลมนี้ จมูกนี้ แก้มนุ่มนี่แล้ว”จ้า

“เห็นมองอยู่ทุกวันไม่เบื่อรึไง”ก็ลองเบื่อดูซิ

“ไม่รู้สึกยิ่งเห็นยิ่งรักยิ่งขาดไม่ได้ แล้วตัดสินได้รึยังว่าเรียนจบแล้วจะไปช่วยงานพี่รึเปล่าหรือจะทำอะไร”

“พี่เทียนอยากให้นินไปทำงานด้วยหรอครับ ไม่กลัวคนเขาว่าแฟนมีคอยคุมรึไง”

“ไม่หรอกคนที่คุมคือพี่ ไม่อยากให้ไปทำงานอื่นเพราะหวงกลัวคนมาจีบถ้าอยู่กับพี่พี่คุมได้”

“คุณแฟนนี่ดุจังเลยนะครับ”

“ต่อไปเราเป็นคนคนเดียวกันแล้ว ของของพี่ก็เป็นของของเราทั้งหมดนั่นแหล่ะ อีกไม่นานพี่จะเป็นคุณสามีแล้วนะ”

“บ้า พูดอะไรน่าอายจะตาย พี่เทียนไม่อยากมีน้องเหมือนน้องหนึ่งน้องสองหรอครับ”กลัวพี่เทียนเหงา

“มีนินคนเดียวก็พอแล้ว แต่ถ้านินเหงาเราค่อยไปรับเด็กมาเลี้ยงดีไหม”

“เอาไว้ก่อนดีกว่าครับยังอยากใช้เวลาทั้งหมดให้คนคนนี้ก่อน”ผมใช้นิ้วชี้ที่หน้าอกพี่เทียน

“งั้นก็ไปช่วยงานที่บริษัทของเราดีกว่า นิยายที่เราแต่งก็เอาไปเสนอแล้วใช่ไหม”

“ครับพี่ๆเขาก็บอกว่าสนุกดี เนื้อเรื่องใช้ได้ต้องปรับภาษาและอะไรเล็กน้อย และยังไม่ตั้งชื่อเรื่องเลยครับไม่รู้ว่าใช้ชื่อเรื่องอะไร
ดี”เป็นนิยายเรื่องแรกที่ผมแต่งใช้เวลานานไปหน่อย

“ค่อยๆคิดเดี๋ยวก็ได้เองแหล่ะ เออแต่พี่รู้แล้วแหล่ะจะให้เราไปทำงานตำแหน่งอะไรดี”พี่เทียนคิดอะไรออกซักอย่าง

“ตำแหน่งอะไรครับ”ผมสงสัย

“ภรรยากรรมการผู้จัดการดีไหม แต่ทำงานหนักมากต้องทำทั้งที่บ้านและที่ทำงาน”

“ว่าแต่ถ้าผมจะปฏิเสธยังทันไหมครับ”พูดไปงั้นแหล่ะครับ อยากเป็นแทบตัวสั่น อิอิ

“ไม่ทันตั้งแต่ก้าวเข้าในชีวิตพี่ ไม่ทันตั้งแต่วันที่พี่เห็นเรานั่งอ่านหนังสือให้คุณย่าฟังในห้องผู้ป่วยแล้ว ตั้งแต่วันนั้นพี่ก็สัญญากับ

ตัวเองว่าจะทำให้นินตกหลุมรักพี่และเป็นของพี่ให้ได้ทั้งตัวและหัวใจ”ผมยิ้มรับกับคำพูดที่เขาพูดออกมา ตอนนี้เขากำลังนั่งมอง

หน้าผม สอดมือไปที่ท้ายทอยผม มืออีกข้างกอดเอวผมให้เข้าไปหา พี่เทียนโน้มใบหน้าลงกดจูบลงที่ขมับคิ้วตาแก้มแล้ว

สุดท้ายที่ปากของผมเขาเลียดูดเล็มริมฝีปากผมจนผมรู้สั่นเบาๆกับรสจูบที่เขามอบให้ผม แล้วเปลี่ยนเป็นกอด เขาเอนหลังพิงกับ

โซฟาแล้วเลื่อนตัวผมให้นั่งบนตักเขา ใช้มือกดหัวผมซบหน้าลงบนไหล่กว้าง ใช้แขนทั้งสองข้างกอดผมไว้ อ้อมกอดนี้ที่กอดผม

ไว้อบอุ่นเหลือเกินต่อแต่นี้ เขาคนนี้คือคนที่จะกอดผมไว้ด้วยความรักของเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม นี่เป็นคำมั่นสัญญาของ

ผู้ชายคนนี้ ต้องการจะบอกผม เป็นผมกระชับแขนที่โอบกอดรอบคอเขาไว้ เป็นคำตอบว่าผมชื่อและมั่นใจในตัวเขา จากนี้และ

ตลอดไป ช่วยดูแลดวงใจดวงเล็กๆดวงนี้ของผมด้วยนะครับ ที่รักของผม...ผมรักคุณ



***************************          Happy Ending        **************************************



- ขอบคุณที่ถามอาการคุณแม่มา คุณแม่ตัดไหมเรียบร้อยกลับบ้านมาได้สองสามวันแล้ว

แม่แข็งแรงมากดุจช้างสารกำลังใจดีมาก เหลือรอไปตรวจอีกครั้งเพื่อจะได้รู้ว่าต้องใช้ยาขนาดปริมาณไหนที่จะทำคีโม

-- จบไปแล้วในที่สุดก็จบลงไปแล้ว(ปาดเหงื่อ) ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตาม ที่ไม้ได้เอ่ยนามเพราะกลัวว่าจะตกหล่น

ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกข้อความแสดงความคิดเห็น(เป็นกำลังในการแต่งอย่างดี)

 ใช้เวลาลงเรื่องนี้นานมากตั้งแต่ มกราคม - กันยายน ถ้าไม่รบกวนยังไงกรุณาอ่านตั้งแต่ ตอนที่ 1 ใหม่ เผื่อว่าจะลืมไปว่านี่มัน

เรื่องอะไร หากผิดพลาดประการใดขออภัยมานะที่นี้ด้วย และขออภัยด้วยที่ไม่มีฉากกุ๊กกิ๊กเรื่องหน้าแก้ตัวใหม่

--- อย่าลืมติดตาม "เริ่มต้นเรื่องร้าย  ลงท้ายเรื่องรัก" ด้วยน้า อ้อ เรื่องต่อต่อไปด้วยนะ ขอบคุณจ้า


หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-09-2016 10:15:59
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:

มีความสุขซะทีนะน้องนิน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 09-09-2016 10:47:17
เขียนดีจุงเบยยยยยยยยยยยย ขอบคุณนะคับ มาตามอ่านตอนท้ายๆ แต่ชอบมากเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-09-2016 11:10:11
 :pig4:  :pig4:   :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: chaichan ที่ 09-09-2016 12:32:25
ชอบเนื้อเรื่องค่ะ
เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะค้า
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-09-2016 12:54:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 09-09-2016 13:13:59
ขอบคุฯมากค่าา โอ๊ยย จบแล้ว

เรื่องนี้เคยอ่านตอนต้นๆนานละ ติดอยู่ในหัวมาตลอดแต่หาไม่เจอ วันนี้เจอก็จบแล้ว


ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 09-09-2016 21:26:03
ขอบคุณคนแต่งมากค่ะ สนุกมากแถมจบดีมาก     ซึ้งค่ะ  :3123: :กอด1:ัั
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-09-2016 23:46:43
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 10-09-2016 12:01:02
สนุกมาก
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 10-09-2016 16:54:35
ติดตามมาตั้งแต่ตอนแรกยันตอนสุดท้าย สนุกดี มีข้อคิดและการปรับทัศนะคติในชีวิตประจำวันเยอะมากกกกก
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 11-09-2016 13:17:33
อ่านรวดเดียวจนจบเลย สนุกมากๆๆชอบที่สุด พี่เทียนโคตรแมนโคตรสุภาบุรุษ เรื่องนี้กรุณาตีพิมพ์เป็นหนังสือด้วยเถอะ อยากได้เก็บไว้มากๆๆเลย  และทางที่ดีผู้เขียนช่วยทำเฟจบุ๊คแฟนเพจด้วยสิ จะได้ติดตามข่าวคราวนิยาย
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 11-09-2016 15:22:06
แล้วช๊อปกับพี่ศิลป์ละ คู่นี้แยกมาเป็นอีกเรื่องใหม่เถอะ  อยากอ่านคู่นี้อีก :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: junchjaoka ที่ 11-09-2016 20:25:10
อ่านรวดเดียวจบ สนุกมาก :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 11-09-2016 20:37:13
ขอตอนพิเศษ ของพี่เทียนน้องนิน ฉาก nc 18++หน่อยสิครับ อยากเห็นฉากนี้
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 11-09-2016 20:52:46
ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่ชอบจ้าอยากบอกว่าดีใจมาก /// หายเหนื่อยเลย /// มีแรงจะแต่งเรื่องต่อๆไปเลย

ส่วนเรื่องหนังสือที่คุณ leemmm ถามมาคงไม่มีส่งไปทางสำนักพิมพ์หนึ่งผลออกมา ไม่ผ่าน ส่วนอีกสำนักพิมพ์ไม่สนตอบกลับด้วยซ้ำว่าได้รับต้นฉบับแล้ว ทั้งที่ส่งไปตั้งสองรอบ [เศร้า] อาศัยความกล้ามากที่ส่งไปทั้งที่เป็นแรกที่แต่ง

///ถ้าให้ทำหนังสือเองกลัวไปไม่รอด แต่ก็ขอบคุณมากค่ะmี่ถามถึง
 [คนแต่งก็อยากเก็บผลงานเป็นรูปเล่มสวยๆไว้ในตู้หนังสือตัวเองเหมือนกัน]

///ส่วนเฟสบุ๊ค ขอเวลาให้มีผลงานเยอะกว่านี้ค่อยว่ากัน

/// ช๊อปกับพี่ศิลป์ ไม่มีจ้า แต่***** จะมีแนวนี้ออกมาอีก เนื้อหาจะเน้นการแก้แค้น เข้มข้น ตอนนี้กำลังเริ่มวางโครงเรื่อง คาดว่าต้นปีหน้าจะได้มีตอนที่ 1 ให้อ่านแน่นอน (จะพยายามให้มากเพื่อคนอ่าน) //// ส่วนตอนนี้กำลังทุ่มเทให้เรื่อง "เริ่มต้นเรื่องร้าย  ลงท้ายเรื่องรัก" อยู่ เพราะเรื่องนี้ใช้ บุรุษที่ 3 ไม่ได้ใช้ที่ 1 ทำให้แต่งยากกว่าเรื่องนี้มาก


/// ตอนพิเศษ nc+ ต้องขออภัยที่ต้องบอกว่า ไม่มีจ้า อย่าทำหน้าเศร้าเอาไว้เรื่องหน้าๆๆๆนะ ขอบคุณคนอ่านทุกคนอีกครั้งจ้า



่ด้วยความปรารถนาดีจาก jaengsru



หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 11-09-2016 23:53:14

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

อภัยให้กันดีกว่าจริงๆ

หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 12-09-2016 00:23:06
ลองส่งไป สนพ.Every ในเครือแจ่มใสหรือยังครับ Every เหมือนจะไม่ยาก นสพ.รสิตา ก็ถือว่าโอเคนะครับ นสพ.hermitbook ก็ดีนะครับ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 12-09-2016 00:29:25
สู้ๆนะครับ จะคอยติดตามและสนับสนุนตลอด แต่เรื่องพี่เทียนน้อนนิน. คือพูดจากใจจริงว่าอยากได้ทำหนังสือเก็บไว้จริงๆครับ งานดีขนาดนี้ ต้องมี สนพ.เห็นแน่นอนครับว่ามันเป็นงานดีมากและเป็นนิยายที่ดีจริงๆ มีคุณค่าที่จะจัดพิมพ์เป็นหนังสือให้เป็นคุณค่าทางใจ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 25-09-2016 20:37:13
ขอบคุณมากค่ะ รู้สึกดีไปอีกแบบที่นิยายแนวย้อนกลับมาเกิดใหม่แล้วไม่แก้แค้น ^^
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-09-2016 20:05:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 06-10-2016 22:04:33
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 19-01-2017 20:04:46
อ่านจงพร้อมกับแบตที่เหลือเพียง 7% :fire: :katai1:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: Gear77 ที่ 20-01-2017 01:00:52
เรื่องนี้ดีต่อใจจริงๆ

อ่านแล้วรู้สึกดีมากกกก
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 22-01-2017 09:39:08
ฮอลลลล อย่างน่ารักกก  :-[
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 23-01-2017 11:58:40
อ่านรวดเดียวจนจบเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ
ตอนแรกลุ้นนนท์ว่าจะรอดมั้ย 555
สุดท้ายก็มีชีวิตใหม่ที่ดีจริงๆแล้วเนอะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 23-01-2017 19:28:35
เป็นเรื่องที่มีคติสอนใจดีจังค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: DREAM COME TRUE ที่ 24-01-2017 15:30:16
อ่านจบแล้ว
ชอบไอเดียในบางเรื่องครับ
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] ตอนจบ [The end] จบแล้ว จบแล้ว 9/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: tangMa ที่ 25-01-2017 22:14:05
ขอบคุณมากนะคะที่เขียนเรื่องดีๆแบบนี้มาให้เราได้อ่าน
ส่วนตัวชอบมากๆตั้งแต่เกริ่นเรื่อง ชอบกระบวนการคิดของผู้เขียน
ชอบเรื่องราวที่ดำเนินมาอย่างมีเหตุมีผล
และหลงรักตัวละครหลักในเรื่องนี้ทุกๆคน
ขอบคุณความตั้งใจในการนำเสนอเรื่องราว และข้อคิดในการดำเนินชีวิต
ข้อคิดในการปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัว
ขอเป็นส่วนหนึ่งในการให้กำลังใจผู้เขียนนะคะ
จะติดตามผลงานต่อไปค่ะ
 :bye2:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] [The end] (แจ้งข่าวเรื่องรวมเล่ม)1/6/2560
เริ่มหัวข้อโดย: jaengsRU ที่ 01-06-2017 09:40:45
(http://i68.tinypic.com/2qu21b8.jpg)

++++ เปิดจอง เธอ...คือหนึ่งในไม่กี่คน ++++
ระยะเวลาจอง 31 พ.ค. - 30 มิถุนายน 2560
จัดส่งหนังสือได้หลังจากปิดจอง 15 วัน
----------------- รายละเอียดเพิ่มเติม ---------------

- ราคา 269 บาท
- มีที่คั่น + โปสการ์ด
- มีของแถมให้ในรอบจอง
- ตอนพิเศษ 3 ตอน
- ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงภาษาให้สละสลวย
- แก้ไขคำผิด
- ปรับเปลี่ยนเนื้อหาบางช่วงเพื่ออรรถรสในการอ่านดีขึ้น
-----------------------------------------------------------------
- เมื่อทำการจองหนังสือเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งโอนเงินจนกว่าจะได้รับอีเมลแจ้งยอดโอน
- การสั่งซื้อจะแล้วเสร็จก็ต่อเมื่อได้รับอีเมลยืนยันยอดโอน
- หากมีข้อสอบถามเพิ่มเติมสามารถสอบถามมาได้ทาง
inbox เพจ : Writer book หรือ Dm ทางทวิตเตอร์ค่ะ
- ค่าจัดส่ง ธรรมดา 25 / ลทบ 40 / Ems 60
*** กรณีซื้อ 1 เล่ม จะเปลี่ยนจากใส่ซองเป็นกล่อง เพิ่มเงิน 15 บาท
*** ซื้อ 2 เล่มขึ้นไป ส่งแบบใส่กล่องให้ค่ะ
สนใจกรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้เลย
https://goo.gl/forms/hWxHRihj0mvGTCpz2 (https://goo.gl/forms/hWxHRihj0mvGTCpz2)[/size]
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] [The end] (แจ้งข่าวเรื่องรวมเล่ม) 13/3/2560
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 03-06-2017 20:42:36
อ่านรวดเดียวจบเลย แรกๆนี่แบบเริ่มมาก็โหดร้ายแล้ว อ่านไปๆกะมีแต่เรื่องดีๆ
ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายดีๆให้อ่าน :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] [The end] (แจ้งข่าวเรื่องรวมเล่ม) 13/3/2560
เริ่มหัวข้อโดย: pummy09 ที่ 04-07-2017 17:38:38
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับนิยายสนุกๆๆๆ อาจดูเหลือเชื่อ แต่มันก็อาจจะมีจริงๆๆ ก็ได้นะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกใบนี้

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] [The end] (แจ้งข่าวเรื่องรวมเล่ม) 13/3/2560
เริ่มหัวข้อโดย: natt lUcky ที่ 16-07-2017 22:25:32
สนุกๆ มากเลยค่ะ ชอบน้องนิน
น้องนินน่ารัก จองเรียบร้อยจ้า
อยากได้หนังสือเร็วๆ จัง
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] [The end] (แจ้งข่าวเรื่องรวมเล่ม) 13/3/2560
เริ่มหัวข้อโดย: vk_iupk ที่ 24-07-2017 00:01:13
ชอบเรื่องนี้มากค่ะ อ่านแล้วลื่นไหลไปหมด ขอบคุณนะค่ะ ที่แต่งนิยายดีๆๆ มาให้อ่านกัน
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] [The end] (แจ้งข่าวเรื่องรวมเล่ม) 13/3/2560
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 24-07-2017 21:24:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] [The end] (แจ้งข่าวเรื่องรวมเล่ม) 13/3/2560
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 30-10-2017 10:44:41
เรื่องสนุกดี แต่คำตกหล่นก็เยอะจัง และก็แอบเบะปากให้กับนามสกุลของนนท์นิดนึง

 :katai3: :katai3: :katai3:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] [The end] (แจ้งข่าวเรื่องรวมเล่ม) 13/3/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 30-10-2017 14:06:35
น่ารักมาก เลย :pig4:
หัวข้อ: Re: เธอ..คือหนึ่งในไม่กี่คน[บทสุดท้าย] [The end] (แจ้งข่าวเรื่องรวมเล่ม) 13/3/2560
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 06-03-2021 23:33:57
 o13