ต่อ กลอุบาย 2 (3/3)
ขณะเดียวกัน ในห้องที่ไม่ไกลจากจุดที่ผู้สูงศักดิ์ทั้งสองอยู่มานัก
จางเหลียนกำลังอารมณ์ไม่ดีถึงขีดสุดแล้ว ตะเกียบไม้เนื้อดีที่อยู่ในมือสั่นระริกคล้ายจะหักกลางได้ทุกขณะ แววตาเกรี้ยวกราดจ้องมองไปที่เจ้าของเรือนผมสีดำสนิทเบื้องหน้าที่ยังคงรับประทานอาหารเงียบๆคล้ายไม่รู้สึกถึงอารมณ์คุกรุ่นของเขา
"นายเจ้า ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่"
หานหลงซานเหลือบตาขึ้นมามองใบหน้าอีกฝ่ายเล็กน้อย แล้วคีบอาหารเข้าปากต่อไปไม่ยอมตอบ
"ทำไม เดี๋ยวนี้เจ้ากลายเป็นคนของต้าเสียงแล้ว เชลยศึกเช่นข้าคงหาได้มีสิทธิ์ที่จะถามเจ้าแล้วสินะ" จางเหลียนเอ่ยเสียงเย็น คราวนี้ไม่ได้เสียดสีอะไรต่อแม้แต่คำเดียว ก้มหน้าก้มตาทานอาหารไม่สนใจอีกฝ่ายอีก
ผู้ที่ถูกเมินผ่อนลมหายใจเบา ทั้งยังรู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก ท่านแม่ทัพใหญ่ให้เขาทำงานนี้ แทนที่จะเรียกว่าไว้ใจ ควรพูดว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันมากกว่า...
หรือควรจะเรียกว่าบทลงโทษของคนที่กำลังโลเล?
หานหลิงซานทานต่อได้อีกไม่กี่คำก็วางตะเกียบลง ยกชาร้อนหอมกรุ่นขึ้นจิบเป็นการจบมืออาหาร
"ต่อไปนี้เจ้าต้องอยู่ที่นี่ ห้ามก้าวออกจากห้องเด็ดขาด นี่เป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพลู่ หากขัดขืน จะโทษว่าเราดูแลองค์ชายไม่ดีไม่ได้"
"เจ้าขู่ข้า..." จางเหลียนคำรามเสียงต่ำในลำคออย่างโกรธแค้น
"จากวันเวลาที่เจ้ารู้จักท่านผู้นั้น เจ้าไม่ควรถือว่าคำพูดของเขาเป็นการข่มขู่" หานหลงซานเพียงเอ่ยเสริมประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ออกยืนที่หน้าห้อง ทิ้งให้บัณฑิตหนุ่มยืนหน้าดำหน้าแดงอยู่เพียงผู้เดียว
เจ้าคนทรยศ น่าตายนัก จางเหลียนแค่นในใจ ขณะที่กำลังจะกวาดข้าวของบนโต๊ะระบายอารมณ์ ดวงตาก็เหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษสีหม่นที่วางนิ่งอยู่ข้างชามข้าวของตนเอง หลังจากหันซ้ายหันขวาสำรวจว่าไม่มีใครอยู่รอบๆแล้ว มือเรียวจึงยื่นไปคว้าแผ่นกระดาษนั้นขึ้นมาอ่าน
.....นี่..มัน...
*********
ท่ามกลางความจอแจของตลาดยามเช้าของฉานโจว หนึ่งในเมืองใต้ปกครองของต้าเสียง รถม้าหรูหราคันหนึ่งแล่นเข้ามาช้าๆ ชาวบ้านร้านตลาดที่คราแรกยังเดินกันอยู่แน่นเต็มถนนก็พากันหลีกเข้าริมทาง แหวกพื้นที่ให้รถม้าคันนั้นวิ่งผ่านไป
ชาวเมืองพากันมองไล่หลังรถม้าคันนั้นเต็มอยากรู้อยากเห็น เพราะไม่ค่อยมีชนชั้นสูงคนไหนขี่รถม้าเข้ามาในเขตตลาดเช่นนี้มาก่อน แต่ถึงจะสงสัยมากแค่ไหน อย่างไรก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปขวางรถม้าคันนั้นอยู่ดี
ภายในรถม้าเตาอุ่นเล็กๆถูกตั้งไว้ไม่ไกลจากร่างของผู้โดยสารเท่าใดนักกำลังคุกรุ่นส่งไอร้อนขับไล่ความหนาวเย็นจากหิมะสีขาวโพลนซึ่งโปรยปรายอยู่ด้านนอก พู่แพรไหมสีทองที่ประดับอยู่ริมหน้าต่างแกว่งเบาๆไปตามจังหวะการเคลื่อนไหวของตัวรถซึ่งกำลังวิ่งลึกเข้าไปในตลาดมากขึ้น มากขึ้น...
"ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ" คนขับรถม้าเอ่ยขึ้นมาในจังหวะที่กระโดดลงจากรถ เลิกผ้าไหมหนาหนักตรงประตูรถม้าเปิดออกให้คนด้านในก้าวออกมา ชายเสื้อสีขาวปักลายเมฆเป็นสิ่งแรกที่โผล่พ้นกรอบประตู ก่อนชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าในชุดผ้าไหมสีขาวผู้หนึ่งจะออกมาจากรถม้าและก้าวลงโดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้ใด ท่วงท่าการเคลื่อนไหวดูคล่องแคล่วปราดเปรียวอย่างคนฝึกยุทธ์ ดวงหน้ากระจ่างภายใต้แสงอาทิตย์แลดูปลอดโปร่งผ่อนคลาย
สถานที่ที่รถม้ามาจอดอยู่นั้นเป็นเหลาอาหารขนาดเล็ก เหนือกรอบประตูมีป้ายไม้ที่มีอักษรตวัดอยู่เป็นคำว่า 'โหร่วเหลียน' ภายในเหลามีลูกค้านั่งอยู่ไม่มากนักล้วนเป็นคนที่แต่งตัวเช่นชนชั้นสามัญที่มีฐานะเล็กน้อยทั่วไป เถ้าแก่ร้านเห็นรถม้าหรูหราขนาดนี้มาจอดอยู่หน้าร้านก็ไม่กล้าชักช้า แล่นเข้ามาต้อนรับขับสู้ด้วยตนเอง เชื้อเชิญให้ชายหนุ่มในชุดขาวขึ้นไปชั้นบนที่จัดไว้เป็นห้องส่วนตัว
เมื่อขึ้นมาถึงด้านบน ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง ริมฝีปากของผู้มาใหม่ก็ขยับโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้าง เร่งฝีเท้าเข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหารด้านใน บนโต๊ะมีอาหารวางอยู่เต็มส่งกลิ่นหอมยวนเย้ากระตุ้นให้คนได้กลิ่นอยากอาหาร รายการที่วางอยู่แต่ละอย่างเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมาปรากฎอยู่บนโต๊ะของเหลาอาหารเล็กๆแห่งนี้ได้พอๆกับร่างในชุดหรูหราสีดำสนิทซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว
"พี่ใหญ่หลี่" ชายหนุ่มชุดขาวเรียกชายชุดดำที่นั่งอยู่ก่อนด้วยน้ำเสียงสนิทสนม ทิ้งตัวลงนั่งที่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเชิญ ฝ่าย 'พี่ใหญ่หลี่' คิ้วกระตุกน้อยๆ
"ข้าอายุน้อยกว่าเจ้าแม่ทัพหน้าตายนั่นแท้ๆ เหตุใดข้าถึงกลายเป็นพี่ใหญ่แล้วเจ้านั่นเป็นพี่รองไปได้? ฝ่าบาทคำนวนอะไรผิดไปหรือไม่" หลี่รุ่ยเต๋อเปิดปากมาก็แย้งวิธีการเรียกของอีกฝ่ายทันที ฝ่ายคนฟังได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มบนหน้าก็ยิ่งเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม
"นั่นเพราะตอนเด็กๆท่านอยากเป็นพี่ใหญ่ไม่ใช่หรือ ข้าจะขัดท่านได้อย่างไร" ชายหนุ่มชุดขาวตอบด้วยน้ำเสียงระรื่น ทำเอาคนร่ำร้องจะเป็นพี่ใหญ่ต่อคำไม่ได้ พ่นเสียงหึแล้วถอนหายใจออกมาหนัก พัดในมือพัดเอาลมเข้าหาตัวแรงๆทั้งที่อากาศตอนนี้เรียกได้ว่าหนาวเสียดกระดูก
"นั่นเพราะตอนอายุยังน้อย ตัวข้ายังเป็นเด็กชายใสซื่อไร้เดียงสา หากรู้ว่าเป็นพี่ใหญ่แล้วต้องแบกภาระ วิ่งไปทางนั้นที ทางนี้ทีแบบนี้ ข้าไม่ขอนับพวกท่านเป็นพี่น้องเด็ดขาด" หลี่รุ่ยเต๋อบ่นพึมพำ ยิ่งเห็นคนฟังทำหน้าเป็นแล้วยิ่งอยากจะส่ายหน้าแรงๆ ตัดสินใจเข้าเรื่องทำงานดีกว่า หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ บนซองจ่าหน้าถึง 'องค์ชายสาม' อย่างชัดเจน
เมื่อหลี่รุ่ยเต๋อหยิบจดหมายฉบับนั้นออกมา สีหน้าของอมยิ้มของชายหนุ่มชุดขาวก็นิ่งขรึมลงทันตา หยิบจดหมายออกจากซองแล้วคลี่ออกไล่สายตาอ่านทีละตัวอักษรอย่างตั้งใจ เมื่ออ่านจบ แววตาของคนอ่านก็เปลี่ยนไปทันที เขาพักกระดาษในมือ แล้วสอดลงอกเสื้ออย่างบรรจง ถึงตอนนี้เพิ่งกลับมาสนใจคู่สนทนาอีกครั้งก็ตอนนี้ สีหน้ามีความกังวลใจฉายอยู่อย่างชัดเจน
"นี่ออกจะเสี่ยงอยู่มาก...แผนการนี้ ใช่เสี่ยงเกินไปหรือไม่?"
หลี่รุ่ยเต๋อเลิกคิ้ว พริบตาต่อมาก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น จวบจนโดนถลึงตาใส่นั่นแหละถึงจะเก็บอาการให้สงบลงมาได้ "องค์ชายสาม ท่านใช่เพิ่งรู้จักเจ้าบ้านนั่นวันนี้ ยังถามอีกหรือว่าเสี่ยงเกินไปหรือไม่?"
ชายหนุ่มในชุดขาว ซึ่งก็คือ องค์ชายสามหวงเว่ยหงแห่งต้าเสียงพลันกระจ่าง เพิ่งนึกออกตอนนี้เองว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายทันที
"เว่ยหงเข้าใจแล้ว พี่ใหญ่อย่าหัวเราะอีกเลย เดี๋ยวชาจะติดคอท่านตายเสียเปล่าๆ"
หลี่รุ่ยเต๋อสะดุ้ง นึงถึงตอน 'ชาติดคอ' ครั้งก่อนแล้วก็ต้องรีบกระแอมไอกลืนเสียงหัวเราะที่หลงเหลืออยู่ในคอลงท้องไปทันควัน หวงเว่ยหงเห็นเป็นเช่นนั้น รอยยิ้มสบายอารมณ์ก็กลับมาบนหน้าอีกครั้ง องค์ชายหนุ่งถึงกลับหยิบพัดขึ้นมาโบกเลียนแบบท่าทางของอีกฝ่าย
"พี่รองคิดแผนน่าสนุกเช่นนี้ออกมาได้ เว่ยหง จะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน"
"ข้าจะรอฝั่งเรื่องน่าสนุกก็แล้วกัน"
*********
หนึ่งเดือนต่อมา ค่ายทหารต้าเสียง เมืองโจว แคว้นต้าซาง
"ท่านมาอีกแล้ว" เจ้าของกระโจมตัวจริงเอ่ยกับแขกที่วนไปเวียนมาราวกับที่นี่เป็นที่ของตัวเองด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แฝงไปด้วยความไม่ต้อนรับ ซึ่งหาได้ทำอันใดคนฟังได้ไม่ ลู่ซือเหยียนถือวิสาสะนั่งลงข้างๆไม่ใส่ใจ
"ใช่ ข้าอีกแล้ว ท่านสบายดีหรือเปล่า'
"ถ้าไม่นับรวมที่ท่านมารบกวนข้าทุกวัน ก็นับว่าสงบสุขดี" หลิวช่างหลินตอบคำถามด้วยถ้อยคำที่ยังไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย ถึงจะรู้ว่าคำพูดพวกนี้ทำอะไรหนังหนาๆของท่านแม่ทัพใหญ่ข้างๆไม่ได้ก็ตาม
"กลัวแต่ว่าท่านจะรู้สึกไม่สบาย ย้ายเป็นระยะแบบนี้ ถ้ามีอะไรไม่สะดวกก็บอกข้าก็แล้วกัน" ลู่ซือเหยียนไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยจริงๆ...
ทั้งสองต่างคนต่างนั่งจิบชาของตัวเองดังเช่นทุกคราที่แม่ทัพใหญ่แห่งต้าเสียงผู้นี้มาเยือน ใช้ความเงียบเป็นหัวข้อสนทนาร่วม ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากก่อน และจะเป็นเช่นนี้จนกระทั่งมีคนมารายงานอะไรบางอย่างกับลู่ซือเหยียนจนต้องลุกออกไป
หลิวช่างหลินไม่เคยเข้าใจการกระทำนี้ของอีกฝ่าย หากกังวลว่าเขาจะหนีออกไป ส่งทหารฝีมือดีสักสี่ห้าคนมาเฝ้ายังได้ผลดีกว่าการแวะมาผลาญเวลาไปเปล่าๆเช่นนี้
ถึงเขาจะไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรกับความเงียบเช่นนี้ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะคิดไม่เหมือนกัน จังหวะลมหายใจของลู่ซือเหยียนแปลกไปเล็กน้อย ลึกขึ้น ช้าลงคล้ายกำลังครุ่นคิด
คิดเรื่องอะไรก็คิดไปเถอะ เขาไม่อยากจะเสียเวลาเดา
"ท่านแต่งงานหรือยัง?" อยู่ๆลู่ซือเหยียนก็โพล่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้คนถูกถามต้องขมวดคิ้วแน่นๆ..
"ข้าแต่งงานแล้วหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับท่าน?" คิดจะจับตัวประกัน มาถามอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ หรือว่าคิดจะข่มขู่อะไรเขาอีก สีหน้าของหลิวช่างหลินเย็นชาถึงขีดสุดแล้ว "ท่านไม่จำเป็นต้องใช้ใครมาข่มขู่ข้าอีก รอบกายข้าทุกวันนี้มีแต่คนของท่าน ต่อให้อยากทำอะไรก็ทำไม่ได้"
ใบหน้าของท่านแม่ทัพใหญ่แห่งต้าเสียงไม่น่าดูเท่าไหร่นัก คล้ายไม่ยินดีจะถามเช่นนี้ เสียแต่คนตาบอดไม่อาจมองเห็นความลำบากใจของเขาได้ จึงได้แต่พยายามข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบ
"ข้ามีข้อเสนอมาให้ท่าน"
ประโยคนี้กระตุ้นความสนใจของหลิวช่างหลินได้ในที่สุด เขาวางจอกชาลงเป็นเชิงรับฟัง ท่าทางประหนึ่งนายเหนือหัวบัญชาผู้ใต้บังคับบัญชา "ว่ามา"
"ข้าอยากให้ท่านมาเป็นคนรักของข้า" ลู่ซือเหยียนกล่าวออกมารวดเดียว "แค่แสร้งเป็นเท่านั้น หากท่านรับข้อเสนอ ข้าสัญญาว่าภายในสามปี ข้าจะละเว้นค่ายสุดท้ายของต้าซางที่หุบเขาดำ"
เทียบกับประโยคแรกแล้ว สิ่งที่ทำให้ดวงตาไร้แววเบิกกว้างขึ้นอย่างแท้จริงกลับเป็นประโยคหลัง สามปี นั่นเพียงพอกับการตั้งตัวและสร้างกำแพงที่แข็งแกร่ง ค่ายเฮยเซ่อเป็นด่านสุดท้ายที่เหลือของต้าซางแล้ว ไม่คิดว่าลู่ซือเหยียนถึงกลับกล้ายื่นข้อเสนอนี้
หากช้าไปก้าวเดียว ต้าซางอาจจะหลุดมือไปจริงๆ กับข้อเสนอที่ไร้แก่นสารเช่นนี้ลู่ซือเหยียนกล้าได้อย่างไร!
*************************
กลับมาแล้วค่า กลับมาช้าอย่างสมควรตาย ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านด้วยค่ะ ชีวิตช่วงนี้ของคนเขียนติดหล่มอย่างจริงจัง เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น จนเรื่องนี้จะกลายเป็นนิยายรายปักษ์แล้ว 5555 //โดนฆ่า
ตัวละครหลักๆออกมาครบแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มดำเนินเรื่องของคู่หลักได้สักที เรามาลุ้นไปพร้อมๆกันนะคะ ว่าสองหน่อด้านบนนั่นเขาจะรักกันได้ยังไง 555