บทที่ 9
.
.
.
เสียงดังซู่ของน้ำตกดังอยู่ไม่ไกล ตะวันลืมตาขึ้นก่อนจะกระพริบหลายครั้ง
ตอนนี้ฟ้าเริ่มจะมืดลงแล้ว มองไปรอบๆก็พบแต่ต้นไม้และน้ำตกที่ดังอยู่ไม่ไกล
ตะวันยกมือขึ้นกุมหัวแล้วเขาก็ต้องพบกับเลือดที่ติดมือมาด้วย ตะวันเลื่อนตาลงมามอง
เห็นภุมรินที่ยังคงไม่ได้สตินอนซบอกเขาอยู่ ร่างสูงพยายามยันตัวลุกขึ้น หัวยังคงเจ็บจี๊ดไม่หาย
“น้องริน ริน!” จับหัวไหล่บางแล้วเขย่าเบาๆ เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนและตัวเขาและภุมรินตกลงมาไกลมากแค่ไหน
ตะวันและภุมรินนั้นอยู่บริเวณริมน้ำที่เต็มไปด้วยก้อนหินก้อนเล็กๆและน้ำตื้นๆพัดเอ่ย
ช่วงล่างของภุมรินที่ยื่นลงไปในลำธารนั้นเปียกโชก จนตะวันตะวันต้องค่อยๆดึงคนตัวบางขึ้นมาทั้งๆที่ภุมรินยังไม่ได้สติ
แสงสุดท้ายของวันเริ่มลดลงเรื่อยๆ ตะวันตัดสินใจช้อนร่างของภุมรินขึ้นอุ้มก่อนจะมองไปรอบๆ คนตัวโตซวนเซเล็กน้อยก่อนจะเดินไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลอย่างทุลักทุเล
“ริน ริน” เขย่าเรียกภุมรินอีกรอบ
ตะวันกุมหัวที่มีแผลขนาดใหญ่อยู่ เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า
เขาจำได้ทุกเหตุการณ์ ไม่รู้ว่าตอนนี้คนข้างบนจะตามหาพวกเขามั้ย คนที่มาแข่งด้วยคงจะบอกแล้วว่าพวกเขาตกลงมาที่นี่
เขาเชื่อว่ารัชพลไม่อยู่เฉยแน่นอน ห่วงก็แต่ภุมรินที่ยังไม่ยอมฟื้นเนี่ยแหละ ไม่รู้จะเป็นอะไรมากรึเปล่า
“พี่... ตะวัน” ร่างบางเริ่มได้สติ
“น้องริน” เมื่อได้ยินเสียงเรียกนั้นก็ยกมือขึ้นเกลี่ยผมของภุมรินออกก่อนจะจูบเบาๆที่หน้าผากอย่างดีใจ
“พี่ตะวัน รินเจ็บ” ภุมรินร้องน้ำตาไหล มือบางเลื่อนไปกุมที่ขาแล้วจับแน่น
“ไหน รินเจ็บตรงไหน” ตะวันก้มสำรวจร่างบาง ภุมรินยังคงร้องไห้ไม่หยุด มีเสียงสะอื้นเบาๆให้ได้ยิน
“เจ็บขา รินเจ็บขา” วาดแขนกอดตะวันไว้ หน้าภุมรินซบลงกับไหล่ของตะวัน
“พี่ขอดูหน่อยนะ” ตะวันบอก ภุมรินพยักหน้าเบาๆ ตอนนี้เขาเจ็บที่ขามากที่สุด
ตะวันเหมือนลืมความเจ็บที่หัวไปพร้อมกับพลิกดูขาของภุมริน
ตอนนี้แสงมืดลงแล้วมีแต่แสงจันทร์ที่ไม่สว่างมากส่องลงมาเท่านั้น
ตะวันเห็นผ้ายีนส์ขาดเป็นทางยาวบริเวณเหนือเข่าของภุมรินลงไปถึงน่อง เมื่อเอามือสัมผัสก็พบว่ามีเลือดอยู่และกางเกงของภุมรินนั้นตอนนี้มันเปียกมากซะจนชุ่มไปหมด
แต่สิ่งที่เขาคิดได้ตอนนี้คืออย่างแรกต้องก่อกองไฟก่อน อย่างน้อยก็ทำให้มีแสงและช่วยเรื่องสัตว์ป่าได้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าบริเวณนี้มีสัตว์ป่ามั้ย
“รินรออยู่ตรงนี้แป๊บนึงนะ” ค่อยๆวางร่างของภุมรินให้พิงต้นไม้ไว้
“พี่ตะวันจะไปไหน” ภุมรินคว้ามือของตะวันไว้เมื่ออีกคนเหมือนจะไปไหนซักที่ ทั้งๆที่ตอนนี้มันมืดมากแล้ว
“ไปหาอะไรมาก่อไฟน่ะ รินรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวพี่มา”
ตะวันลูบหัวน้องเบาๆก่อนจะพยายามมองหาเศษไม้หรืออะไรที่พอจะมาก่อไฟได้
อีกด้านหนึ่งนั้น ไร่น้ำรินยังไม่มีใครกลับแม้งานจะเลิกไปนานแล้วก็ตาม รัชพล บุรินทร์และภูผายืนคุยกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ดูแลบริเวณนี้ด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด
คนที่เข้าร่วมแข่งขันรถเอทีวีนั้นลงมาบอกกับทางผู้จัดงานว่ามีคนตกเขาไปสองคน เขาภาวนาให้ไม่ใช้ตะวันกับน้องชายของตัวเอง แต่มันก็ไม่เป็นผล เมื่อหมวกกันน็อคที่เอามาด้วยนั้นเป็นของภุมริน
เมื่อขึ้นไปดูข้างบนก็พบรถเอทีวีที่ภุมรินขับล้อหลุดไปหนึ่งข้างโดยมีรถของตะวันอยู่ใกล้ๆ คนที่มาบอกนั้นพูดว่ารถของภุมรินล้อหลุดและเบี่ยงตัวออกนอกเส้นทาง ตะวันจึงตามลงไปช่วย ทำให้ทั้งคู่ค้างอยู่บริเวณที่เป็นทางชันลงเขา
พวกเขาพยายามช่วยแล้วแต่ทางมันชันมากทำให้ทั้งคู่ไถลตกลงไป
ทางจังหวัดยินดีรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากรถของทางงาน
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ถูกเรียกตัวมาคุยเรื่องนี้ พวกเขาบอกว่ายังค้นหาตอนนี้ไม่ได้เพราะมันมืดแล้ว กอปรกับทางที่ทั้งสองคนตกลงไปนั้นเป็นป่าลึกและทางลงชันมาก
รัชพลหัวเสียไม่น้อย เขาอยากจะลงไปหาน้องเองด้วยซ้ำแต่ก็ถูกบุรินทร์ต่อว่าเบาๆ ทุกคนล้วนอยากจะช่วยตะวันกับภุมรินทั้งนั้น แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้มาก ทำได้แค่รอให้เช้าก่อนเท่านั้น
เป็นอันตกลงว่าทั้งหมดจะนอนที่งานโดยจะเริ่มค้นหาทั้งคู่ในวันรุ่งขึ้น รัชพล บุรินทร์และภูผาเครียดไม่น้อย เพราะไม่รู้ว่าทั้งคู่นั้นยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า
ไหนจะเสี่ยงกับสัตว์ป่าที่ออกหากินตอนกลางคืนอีก ไม่รู้ป่านนี้ตะวันกับภุมรินจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง ก็คงได้แต่ภาวนาให้ทั้งคู่ปลอดภัย
ตะวันใช้ก้อนหินทำให้เกิดสะเก็ดไฟก่อนจะจุดลงบนใบไม้แห้งและกิ่งไม้เล็กๆที่กองสุมกันอยู่
ภุมรินเลิกร้องไห้แล้ว เจ้าตัวนั่งพิงต้นไม้มองตะวันก่อไฟโดยที่ยังรู้สึกเจ็บที่ขาไม่น้อย
เจ้าตัวสังเกตเห็นรอยเลือดเป็นทางยาวบนหัวของตะวัน นิ้วเรียวนั้นลูบเบาๆที่แผลนั้น ตะวันหันมามองคนตัวเล็กที่จ้องเขาโดยไม่พูดอะไร
“อะไรน้องริน แต๊ะอั๋งพี่เหรอ” ตะวันพูดติดตลกทำให้ภุมรินตีไหล่แกร่งนั้นเบาๆ
“ยังจะมาพูดเล่นอีก แผลใหญ่ขนาดนั้นไม่เจ็บรึไง” ว่าตะวันที่ไม่รู้จะยิ้มทำไมทั้งๆที่เลือดอาบขนาดนั้น แล้วยังมีกะจิตกะใจมาห่วงเขาอีก
“มันก็ยังเจ็บอยู่ แต่เดี๋ยวมันก็หาย น้องรินล่ะ เจ็บขาไม่ใช่เหรอ”
ตะวันจับเรียวขาของภุมรินพลิกดูอีกครั้ง พอมีแสงก็ทำให้เห็นแผลที่พาดผ่านขานวลของภุมรินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“มันตึงๆอ่ะ” ภุมรินบอกอาการ แม้เลือดจะหยุดไหลแล้วแต่เขาก็ยังเจ็บไม่หาย
“ถอดกางเกงได้มั้ย กางเกงรินมันรัดแน่นขนาดนี้ถอดให้พี่ดูแผลหน่อย แล้วจะได้ตากกางเกงด้วย”
ตะวันพูด กางเกงยีนส์รัดรูปของภุมรินนั้นรัดแน่นไปซะหมดแล้วยังจะเปียกอีก
“ถอดเลยเหรอ” ภุมรินไม่อยากจะถอดเลยสักนิด
เขาใส่แค่กางเกงในซ้อนมาเท่านั้น ถึงแม้จะผู้ชายด้วยกันแต่การมาถอดกางเกงต่อหน้าคนอื่นแบบนี้มันก็น่าอายยู่ดี
“ไม่ถอดแล้วพี่จะดูยังไง” ตะวันไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการดูแผลให้อีกคนเท่านั้น
“แต่มัน...” เจ้าตัวเล็กยังคงอิดออด ตะวันเลิกคิ้วมอง ภุมรินหลบสายตานั้น
“ทำไม อายเหรอ” ตะวันยิ้มล้อๆ ภุมรินหันมาค้อนเมื่ออีกคนจี้ตรงจุด
“ก็ใช่น่ะสิ ใครจะหน้าด้านเหมือนพี่ตะวันล่ะ” คำตอบที่ได้ทำให้ตะวันหัวเราะลั่น
“ทำอายเป็นผู้หญิงไปได้ ถอดมาเถอะน่า พี่จะได้เอาไปผึ่งไฟให้ด้วย ถ้าอายก็เอานี่ไปคลุมไว้”
ตะวันถอดเสื้อแจ็คเกตตัวนอกออกแล้วยื่นให้ภุมริน
ภุมรินมองคนตรงหน้าที่จ้องหน้าพร้อมกับพยักพเยิดให้เขาเอาเสื้อไปจากมือของตัวเอง
มือบางนั้นคว้าเอาเสื้อตัวหนาของตะวันมาคลุมไว้ก่อนจะเริ่มถอดกางเกงออก
ตะวันลุกขึ้นไปหาท่อนไม้แถวนั้นมาก่อนจะเอากางเกงเปียกๆที่ภุมรินยื่นให้มาแขวนไว้แล้วปักลงข้างๆกองไฟ
ภุมรินรู้สึกไม่ชินเลยสักนิดที่อยู่ในสภาพกางเกงในตัวเดียวกับเสื้อแจ็คเกตตัวหนา เจ้าตัวพันเสื้อนั้นรอบเอวก่อนจะขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆกองไฟ
“ไหนดูซิ” ตะวันขยับเข้ามานั่งใกล้ๆคนตัวเล็ก
ภุมรินค่อยๆดึงเสื้อที่คลุมขาอยู่ขึ้นสูงพอที่จะเห็นแผลเท่านั้น
ตะวันดูตกใจไม่น้อยเพราะแผลที่เห็นนั้นมันลึกกว่าที่เขาคิดไว้พอสมควร ภุมรินคงไปเกี่ยวเอากิ่งไม้เข้าแน่ๆ
“รอแป๊บนึงนะ” ตะวันแกะกระดุมก่อนจะถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออก
“ทำอะไรน่ะพี่ตะวัน” ภุมรินถามอยากไม่ไว้ใจพร้อมเบี่ยงตัวหนีเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าตะวันถอดเสื้อออก
“แค่จะถอดเอาเสื้อกล้ามเนี่ย ทำไมน้องรินต้องร้องเสียงหลงขนาดนั้นด้วยล่ะครับ”
ตะวันยื่นเสื้อกล้ามสีขาวตัวในให้ภุมรินดู ร่างสูงยิ้มกริ่มพร้อมกับยื่นหน้าเข้าใกล้ภุมริน
ภุมรินเบือนหน้าหนี ดวงหน้าหวานนั้นขึ้นสีแดงระเรื่อ เขาคิดอยากจะตบหัวตัวเองดังๆซักที ที่เผลอคิดอะไรเพี้ยนๆเข้า ก็อยู่ๆไอ้พี่ตะวันก็เกิดนึกถอดเสื้อไม่บอกไม่กล่าว
“หึๆ พี่จะเอาเสื้อไปชุบน้ำมาเช็ดเลือดให้ เต็มขาไปหมดแล้วเนี่ย”
ตะวันหัวเราะน้อยๆก่อนจะลุกพรึบเดินไปลำธารที่อยู่ไม่ไกล
ร่างสูงเอาเสื้อกล้ามของตัวเองชุบลงไปในน้ำก่อนจะบิดพอหมาดแล้วเดินมาหาภุมรินที่นั่งรออยู่
มือสากนั้นจับเรียวขาของภุมรินขึ้นมา คราบเลือดยังคงไม่ให้เห็นอยู่ไม่น้อย
“เดี๋ยวก่อนพี่ตะวัน”
ภุมรินรีบผลักมือของตะวันที่กำลังจะเช็ดเลือดให้เขาออกก่อนที่จะเอาผ้าเปียกๆนั้นมาถือไว้เอา
“เลือดเต็มหน้าไปหมดแล้ว เช็ดก่อนสิ เห็นแล้วสยอง”
ภุมรินยกผ้าขึ้นไปเช็ดบริเวณเหนือคิ้วของตะวันที่มีแต่คราบเลือดแห้งกรัง
ตะวันยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยืนนิ่งๆให้คนตรงหน้าเช็ดคราบเลือดนั้นออกให้
ภุมรินเห็นรอยยิ้มนั้นก็เสสายตามองไปที่มือของตัวเองที่กำลังเช็ดเลือดอยู่แค่นั้น
หน้าเห่อร้อนขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ รอยยิ้มที่ตะวันส่งมานั้นทำให้เขารู้สึกวูบวาบกว่าทุกครั้ง เพราะตะวันชอบยิ้มกวนๆหรือไม่ก็ยิ้มแบบล้อเลียนเขา พอมาเจอตะวันยิ้มให้ตรงๆแบบนี้มันก็รู้สึกแปลกไม่น้อย
“เสร็จแล้ว” ภุมรินพูดเมื่อเช็ดหน้าให้ตะวันเสร็จแล้ว ดวงตากลมหันมาสบตากับตะวันที่ยังคงมองไม่วางตา
ตะวันจ้องไปในดวงตาของคนตรงหน้า แสงของกองไฟสะท้อนในนั้น
ภุมรินเองก็ยังมองไม่ละเหมือนถูกสะกดให้มองแต่ดวงตาของตะวัน
ตะวันเอื้อมมือไปจับมือของภุมรินที่ค้างอยู่บนหน้าของเค้า ภุมรินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะปล่อยผ้าให้อีกคนถือส่วนตัวเองก็เบือหน้าหนี
“ขอบคุณครับ” ตะวันพูดแค่นั้นก่อนจะยิ้มอยู่คนเดียว
เขาพลิกผ้าอีกด้านมาเช็ดขาให้ภุมรินบ้าง คนตัวบางได้แต่หน้าเห่อร้อนเสมองไปทางอื่นไม่ยอมมองคนตรงหน้าแม้แต่น้อย
เมื่อเช็ดเสร็จภุมรินก็รีบเอาเสื้อมาคลุมไว้เหมือนเดิม ตะวันลุกเอาเสื้อไปขยี้ที่ลำธารก่อนจะเอามาผึ่งข้างๆกางเกงของภุมริน เขาคว้าเสื้อเชิ้ตของตัวเองมาสวม แล้วนั่งลงข้างคนตัวเล็ก
“พี่ตะวันว่าคนอื่นจะตามหาเรามั้ย” ภุมรินหันไปถาม
เขายอมรับว่าตอนแรกนั้นผวาไม่และกลัวไม่น้อย แต่พอมีตะวันอยู่ด้วยก็คลายความกลัวไปได้บ้าง ถ้าเกิดต้องมาอยู่สภาพนี้คนเดียวเขาไม่อยากจะคิดเลย
“ทุกคนต้องตามหาเราอยู่แล้วล่ะ แต่ตอนนี้มันมืดแล้วคงจะเป็นพรุ่งนี้นู่นแหละ พี่ว่าเรานอนดีกว่ามั้ย เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
ตะวันพูดให้อีกคนสบายใจก่อนจะไปหักกิ่งไม้ที่เต็มไปด้วยใบไม้บริเวณใกล้ๆมากองๆรวมกันไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างๆกองไฟเพื่อทำเป็นที่นอนชั่วคราวสำหรับคืนนี้
ภุมรินล้มล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย โดยมีตะวันมาล้มตัวลงนอนข้างๆหลังจากเขาสุมไฟให้ลุกโชนอีกครั้ง
อากาศในป่าตอนดึกๆนั้นเย็นไม่น้อย ยังดีที่มีกองไฟพอให้ความอบอุ่นบ้าง แต่สำหรับคนที่ใส่แค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวเองตะวันความอบอุ่นในกองไฟนั้นช่วยเขาไม่ได้มาก
ร่างบางของภุมรินพลิกตัวหันหน้ามาหาตะวันก่อนจะโอบแขนไปกอดตะวันแล้วซุกหน้าลงกับอกนั้นเพื่อปิดซ่อนใบหน้าที่แดงไปเรียบร้อย
ตะวันตกใจเล็กน้อยก่อนจะเป็นฝ่ายกอดอีกคนเข้าแน่นแทน เขายิ้มกว้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“รินแค่กลัวพี่ตะวันหนาวตายแค่นั้นแหละ” รีบชิงแก้ตัว
เขาคิดแค่นั้นจริงๆนะ ก็ตะวันเอาเสื้อมาให้เขาคลุมขาเองนี่ ไหนจะเสื้อกล้ามที่เปียกไปเรียบร้อย มีแค่เสื้อตัวเดียวเดี๋ยวก็ได้หนาวตายกันพอดี
“ครับ พี่ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”
ตะวันหัวเราะให้คนที่ร้อนตัว เลยโดนภุมรินกัดลงไปที่หัวไหล่หนึ่งครั้ง แต่นั่นก็ทำให้ตะวันหัวเราะแรงกว่าเดิม
นี่อาจจะเป็นอีกคืนที่ตะวันฝันดีที่สุดก็เป็นได้
**********************************************************************************************
ตอนที่ 9 มาแล้วครับผมมมมมมมมมม
อิอิ ฝากด้วยนะคะ พี่ตะวันกับน้องรินจะเป็นยังไงต่อไปต้องมาติดตามกัน แล้วพี่รัชของเราจะมาช่วยได้มั้ยน๊า