•HANDSOME GHOST•
[15] - Past...
ในตอนที่ผมเจอโฬมมายืนคอยเจ้าของห้อง613คนปัจจุบัน ซึ่งก็คือปาร์ค ผมยอมรับเลยว่าความทรงจำทั้งหมดที่เกี่ยวกับเขาไหลเข้ามาในหัวผมอย่างกับน้ำป่าไหลหลาก ความจำเมื่อ7ปีที่แล้วที่ว่า
ผมกับโฬมรักกัน
...................................................
“น้องๆอยากให้ใครเป็นเดือนคณะคะ เสนอชื่อมาได้เลย” พี่ปีสองตะโกนขึ้นถามเด็กปีหนึ่งที่นั่งหน้าสลอนกันอยู่ใต้ตึกคณะ ตอนนี้กำลังเข้าใกล้การประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ละคณะจึงต้องค้นหาคนหน้าตาดีและมีความสามารถเพื่อไปประกวดแข่งกับคณะอื่นๆในมหาวิทยาลัย แต่หลังจากสิ้นเสียงของพี่ปีสองคนนั้น กลับไม่มีชื่อของใครถูกเสนอออกมาเลย ปีหนึ่งทุกคนรวมถึงผมต่างก็นั่งเงียบ ผมรีบก้มหน้าหลบทันที.... แต่ก้มหน้าไปก็เท่านั้น
“ถ้าไม่มีใครเสนอชื่อ พี่จะเลือกออกมาแล้วนะคะ” ผมก้มหน้าลงไปมากกว่าเดิม ถึงจะพอรู้จากเพื่อนๆมาบ้าง ว่าเพื่อนๆในคณะอยากให้ผมเป็นเดือนคณะ แต่ผมเป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ไม่มีความสามารถอะไรเลย จะร้องเพลงให้ตรงทำนองยังยากเลย กีตาร์ที่เป็นเครื่องดนตรีกระจอกๆ แค่จับคอร์ดCผมยังจับไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ
“น้องคริส ออกมาค่ะ” ผมหลับตาปี๋ แล้วยกมือสองข้างขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง เสียงเพื่อนโห่ร้องเรียกให้ผมลุกออกไป ผมตัดสินใจลุกขึ้นยืน เสียงปรบมือจากเพื่อนๆก็ดังกระหึ่ม..... แต่ขาผมนี่สิ ทำไมมันสั่นได้ขนาดนี้วะ
ผมเดินออกไปยืนข้างๆพี่ปีสองที่ยืนอยู่ข้างหน้าเพื่อนๆของผม ผมหันหน้ามาทางเพื่อนๆปีหนึ่ง ให้ทุกคนได้มองหน้าผมแบบเต็มๆสองตา ผมบีบมือของตัวเองเข้าหากัน รู้สึกได้เลยว่ามันชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่มันกลับเย็นชืด
พี่ปีสองเรียกผู้ชายปีหนึ่งออกมาอีกสี่หรือห้าคน แล้วก็เรียกผู้หญิงออกมาอีกประมานสิบกว่าคนเห็นจะได้ ให้มายืนเรียงกัน แล้วเราก็ถูกพี่ปีสองที่เป็นดาวและเดือนคณะของปีที่แล้วเรียกไปคุย
“พี่ชื่อเชนนะครับ เป็นเดือนคณะปีที่แล้ว คำถามแรก ใครอยากเป็นดาวเดือนคณะบ้าง ?” พี่เชนพูดจบทุกคนก็เงียบไป.... ผมรู้เลยว่าไม่มีใครอยากเป็น ไม่มีใครอยากมีหน้าที่เพิ่ม แค่รับน้องกับเรียนก็แทบจะตายกันไปข้างหนึ่งอยู่แล้ว นี่ถ้าให้ต้องไปเป็นดาวเดือนคณะ ซ้อมเดินแบบ ซ้อมร้องเพลง คงอยากจะมีคนเป็นหรอก
“โอเค ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวค่อยให้เพื่อนๆเลือกกันอีกที ตอนนี้พี่จะมอบหมายให้น้องๆไปเตรียมการแสดงเพื่อแสดงให้เพื่อนๆดูในวันพุธหน้า เดี๋ยวให้น้องๆเขียนชื่อพร้อมเบอร์โทรใส่กระดาษแผ่นนี้นะครับ”แล้วพี่เชนก็ยื่นกระดาษกับปากกามาให้ผม ผมยื่นมือของตัวเองที่กำลังสั่นไปรับกระดาษแผ่นนั้นมา เขียนชื่อกับเบอร์โทรตัวเองลงไปแล้วส่งกระดาษแผ่นนั้นให้ผู้ชายที่อยู่ข้างๆผม
เอาตรงๆนี่ก็เปิดเทอมมาได้เกือบเดือนหนึ่งแล้ว แต่ผมแทบจะไม่รู้จักชื่อใครเลย ผมเป็นคนขี้อายมากๆ และไม่รู้จะเข้าหาคนอื่นยังไง ผมจึงมีเพื่อนสนิทอยู่แค่คนเดียวคือไอ้ไกรซึ่งมันนั่งอยู่ในแถวรวมกับปีหนึ่งคนอื่นๆนู่น
“โอเคครับ เจอกันพุธหน้า อย่าลืมเตรียมการแสดงมาด้วยนะครับ”พี่เชนสั่งให้พวกผมแยกย้าย พร้อมๆกับปีหนึ่งคนอื่นๆที่ซ้อมร้องเพลงกันจบและกำลังแยกย้ายกันกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว ผมรีบวิ่งเข้าไปหาไอ้ไกรที่หันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาผม
“เป็นไงบ้างวะไอ้คริส”ไกรถามผมทันทีที่ผมถึงตัวมัน
“พี่เขาให้กูเตรียมการแสดงหวะ”
“แล้วมึงจะทำไรวะ ร้องเพลงไหม ?”ไกรถามต่อ
“จะให้กูร้องเพลงเนี่ยนะ แค่พูดธรรมดากูยังเพี้ยนเลยไอ้ไกร”
“งั้นเอางี้ กูมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง อยู่ชมรมการแสดง กูว่ามันต้องช่วยมึงได้”
แล้วไอ้ไกรก็พาผมไปที่ตึกคณะศิลปศาสตร์ มันเดินเข้าห้องๆหนึ่งเป็นห้องโถงที่มีข้าวของอยู่เต็มไปหมด นักศึกษาหลายคนนั่งคุยกันอยู่บนพื้นบ้าง บนโซฟาบ้าง ไอ้ไกรหันมองรอบๆก่อนจะตะโกนเรียกใครคนหนึ่งมา
“ไอ้โฬม มานี่หน่อยดิ้”คนที่ชื่อโฬมเดินมาทางพวกผม โฬมตัวค่อนข้างสูง.... แต่ก็คงจะเตี้ยกว่าผมนิดหน่อย โฬมเป็นคนขาวๆ หน้าตาดูดีพอสมควร
“ไอ้โฬม นี่คริส เพื่อนกูที่คณะ.... ไอ้คริส นี่ไอ้โฬม เพื่อนกูตอนม.ปลาย” ไกรแนะนำผมกับใครอีกคนเสร็จสรรพ ผมส่งยิ้มให้แต่อีกคนกลับหันหน้าหนีผม....อ้าว
“ไอ้โฬม สอนการแสดงให้ไอ้คริสหน่อย พุธหน้ามันต้องแสดงคัดตัวเดือนคณะหวะ”ไกรพูดขึ้น โฬมดูมีสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก
“กูไม่ว่างหวะ มึงให้คนอื่นช่วยมันเถอะ”
“ช่วยเพื่อนกูหน่อยนะ หาไรง่อยๆให้มันทำก็ได้ ดีดกีต้าร์เป็นไง ?”ไอ้ไกรยังหาทางกล่อมเพื่อนมัน แต่คงจะไม่สำเร็จง่ายๆเพราะโฬมทำท่าจะปฏิเสธอีกแล้ว
“เออ มึงสองคนไปตกลงกันเอาเองนะ กูไปรีบไปรับกิ๊ฟหวะ กูไปช้าเดี๋ยวแดกหัวกูอีก ไปละ โชคดีเว้ย” ไอ้ไกรพูดจบก็ปลีกตัวออกไป ทิ้งผมไว้กับเพื่อนของมันที่ชื่อโฬม
“โทษทีนะ แต่นายไปหาคนอื่นช่วยเถอะ เราสอนคนอื่นไม่เป็นหวะ” แล้วโฬมก็ทำท่าจะเดินออกไปอีกคน แต่ไอ้ไกรที่ยังเดินไปไม่ถึงไหนก็ตะโกนกลับมาก่อน
“มึงอย่า ไอ้โฬม ในชมรมกูเห็นมึงสอนรุ่นพี่ด้วยซ้ำ เอางี้ ถ้ามึงช่วยไอ้คริสกูจะกลับไปคิดเรื่องช่วยมึงจีบยัยกิ๊ฟ โอเคนะ” แล้วคราวนี้ไอ้ไกรก็เดินออกไปจริงๆ โฬมมีท่าทีลังเลนิดหน่อย แต่เขาก็ยังคงปฏิเสธผม...
“ขอโทษอีกทีหวะ นายไปหาคนอื่นเถอะ เราต้องซ้อมการแสดงของเราเหมือนกัน เพราะเราเป็นเดือนคณะหวะ”พูดจบก็เดินออกไปเลย ผมรีบเดินตามไปแล้วคว้าไหล่บางนั่นไว้
“ขอร้องหละ ช่วยเราหน่อยนะ” ผมพยายามทำหน้าเว้าวอนเขา โฬมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ๆแล้วในที่สุดเขาก็พยักหน้าให้ผม
“แล้วนายทำไรเป็นบ้าง ?”
“ไม่เป็นเลย”
“มีดีแค่หน้าตาว่างั้น”
เอ่อ.... ไม่รู้สิ ผมไม่รู้ว่าตัวเองหน้าตาดีไหม? หรือผมอาจจะมีดีแค่หน้าตาอย่างที่โลมว่าจริงๆ แต่ทำยังไงได้หละ ถ้าผมไม่พยายามแสดงอะไรซักอย่างในวันพุธหน้าผมก็ต้องอายคนทั้งคณะแน่ๆ แค่คนตรงหน้าว่าผมว่ามีดีแค่หน้าตาแค่นี้ผมยังรู้สึกเสียศูนย์เลย แล้วถ้าผมต้องโดนคนทั้งคณะว่าจะเป็นยังไงหละ
“เอางี้ ไปห้องเราก่อนละกัน แล้วเดี๋ยวค่อยคิดกันอีกทีว่าจะแสดงอะไร”
“อะ..อืม” แล้วเราสองคนก็เดินออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอพักของโฬม
เราสองคนเดินมาจนถึงซอยหลังมหาวิทยาลัย โฬมเรียกวินมอเตอร์ไซต์หน้าปากซอยแล้วคุยกันท่าทางสนิทสนม ผมรีบนั่งวินแล้วตามโฬมไป
หอของโฬมเป็นหอพักที่อยู่ในสุดของซอย เป็นตึกสีขาวรูปตัวยู ดูร่มรื่นและเย็นสบายดี ผมเดินตามโฬมขึ้นไปยังห้องของเขา
613… ห้องของโฬมอยู่ชั้นบนสุด โฬมเปิดประตูเข้าไปปล่อยกระเป๋าของตัวเองวางไว้ข้างๆโต๊ะหนังสือ ถัดจากโต๊ะหนังสือมีกีตาร์โปร่งวางอยู่ ข้างๆก็มีไวโอลินอยู่ด้วย
“ร้องเพลงได้ไหม ?” พูดไปพลางเริ่มปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของตัวเองออก
“ไม่ได้อะ” ผมส่ายหัว โฬมถอดเสื้อแล้วโยนทิ้งไว้ในตะกร้า จากนั้นก็ไปหยิบกีตาร์โปร่งขึ้นมา นั่งลงปลายเตียง นิ้วเรียวเกี่ยวลงบนเส้นลวด เกิดเป็นเสียงโน้ตไพเราะ
The sun is filling up the room
And I can hear you dreaming
Do you feel the way I do right now?
I wish we would just give up
Cause the best part is falling
Call it anything but love
And I will make sure to keep my distance
Say "I love you" and you're not listening
How long can we keep this up, up, up?
(Christina Perri ft. Jason Mraz – Distance)
ผมไม่รู้ตัวว่าผมจ้องเขาอยู่นานเท่าไหร่ แต่ตลอดเวลาที่เขาร้องเพลงนี้ทำให้ผมคิดว่าเขากำลัง’รักษาระยะห่าง’กับใครซักคนอยู่จริงๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั่นดูเศร้าตามความหมายของเพลง และในทันทีที่เขาเกลาโน้ตตัวสุดท้าย สายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นปกติ
“แล้วสรุปจะให้เราทำอะไรหละ”โฬมเดินไปหยิบหนังสือเพลงที่อยู่บนโต๊ะมาสองสามเล่ม แล้ววางไว้บนเตียง ข้างๆกับกีตาร์โปร่ง
“ภาษาอังกฤษแน่นไหม ?”
“ก็พอตัว”ผมพูดจบโลมก็หยิบหนังสือเพลงสากลขึ้นมา เปิดไปเรื่อยๆ จนมาหยุดที่เพลง Crazy in love ของ beyonce
“รู้จักเพลงนี้ไหม ?”
“แต่มันเป็นเพลงเร็วไม่ใช่หรอ เราไม่ไหวหวะ”แน่นอนว่าเพลง Crazy in love เป็นเพลงจังหวะเร็วจนแทบจะแดนซ์เลยด้วยซ้ำ ผมมองไม่เห็นทางว่ามันจะเข้ากับกีตาร์ตรงไหน
“ฟังฉันเล่นแล้วกัน” โลมหยิบกีตาร์ขึ้นมาไว้บนตัก บดบังผิวขาวๆ นิ้วเรียวเกลาเป็นจังหวะช้าๆ แตกต่างกับเพลง Crazy in love ที่ผมเคยฟังผ่านหู
I look and stare so deep in your eyes,
I touch on you more and more every time,
When you leave I'm begging you not to go,
Call your name two or three times in a row,
Such a funny thing for me to try to explain,
How I'm feeling and my pride is the one to blame.
'Cuz I know I don't understand,
Just how your love your doing no one else can.
Got me looking so crazy right now, your love's
Got me looking so crazy right now
Got me looking so crazy right now, your touch
Got me looking so crazy right now
Got me hoping you'll page me right now, your kiss
Got me hoping you'll save me right now
Looking so crazy in love's,
Got me looking, got me looking so crazy in love.
ผมกระพริบตาเรียกสติตัวเองกลับมา เผลอมองเขาจนหูแทบจะไม่ได้ฟังเพลง โฬมวางกีตาร์ลงข้างตัว หยิบดินสอขึ้นมาขีดเขียนในคอร์ดเพลง แต่ไม่รู้ทำไมสายตาของผมถึงไปโฟกัสที่หน้าอกเปลือยเปล่า กับผิวขาวใสของคนตรงหน้า
“พุธหน้าใช่ไหม ที่นายจะแสดง ฉันว่างแค่ตอนเย็น นอกจากนั้นฉันเรียนกับเข้าชมรม นายจะมาหาฉันที่ชมรมก็ได้ ถ้าฉันไม่ติดสอนคนอื่นฉันจะสอนนายให้ แต่ตอนเย็นนายต้องมาที่นี่ทุกวัน”
“อืม”
“เริ่มเลยแล้วกัน ฉันจะร้องให้นายฟังทีละท่อน แล้วนายก็ร้องตาม โอเคไหม ?” ผมกำลังจะอ้าปากตอบ แต่โฬมกลับเริ่มเกลากีตาร์ไปแล้ว
“I look and stare so deep in your eyes”นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองสบตากับผม ราวกับกำลังมองลึกเข้ามาในดวงตาของผม ราวกับเขากำลังค้นหาว่ามีใครสะท้อนอยู่หรือไม่..... ถ้าเป็นตอนนี้คงมีแค่เขา “เอ้า ร้องสิ เอาใหม่นะ” แล้วโฬมก็เกลากีตาร์ใหม่อีกรอบ
“I look and stare….” โฬมหยุดเกลากีตาร์กลางคัน เขากลับไปดีดโน้ตตัวเริ่มต้นใหม่อีกรอบแล้วร้องประโยคเดิมให้ผมฟัง
“I look and stare so deep in your eyes”โฬมร้องจบท่อนเขาก็วนโน้ตเริ่มใหม่ เขาจ้องผมจนผมต้องหลบสายตา
“I look and stare….” โฬมหยุดดีดอีกแล้ว
“มองตาฉัน เหมือนที่ฉันมองนาย”พูดจบก็เริ่มดีดโน้ตเดิมอีกรอบ ผมมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้น
“I look and stare so deep in your eyes”
“โอเค เอาใหม่อีกรอบ พยายามอย่าดัดเสียง ร้องออกมาด้วยเสียงจริงๆของนาย ถ้านายดัดเสียงนายจะปวดคอตอนที่ร้องไปนานๆ”โน้ตตัวเดิมถูกดีดใหม่อีกครั้ง
หลังจากวันนั้นผมก็เข้าไปหาโฬมทุกวัน... ผมพยายามจะบอกกับตัวเองว่าผมแค่ต้องการเข้าไปฝึกร้องเพลงและเล่นกีตาร์ แต่ไม่ใช่เลย หัวใจของผมมันร่ำร้องว่าให้ผมไปเจอกับโฬมให้ได้ ไปนั่งฟังเสียงเพราะๆนั่นร้องเพลง นั่งมองใบหน้าน่ารักนั่นสื่ออารมณ์ตอนร้องเพลง ตอนเอ่ยคำชมผม หรือแม้แต่ตอนที่เขาดุผม ผมกลับเห็นว่าทุกกิริยาท่าทางของโฬมมันช่างน่ามองไปเสียหมด ผมกำลังตกหลุมรักเขา รักอย่างหมดหัวใจ
เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่ผมต้องแสดงให้คนในคณะดู โฬมเองก็เนียนๆเข้ามานั่งอยู่กับไอ้ไกรด้วย เพื่อนสองสามคนที่ขึ้นแสดงต่างงัดเอาการแสดงเด็ดๆของตัวเองมาทั้งนั้น มีแค่ผมที่เป็นการร้องเพลง ดีดกีตาร์ง่อยๆ มือผมสั่นและเย็นซะจนผมกลัวตัวเอง มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนขี้อายอย่างผม ผมพยายามนึกถึงคำพูดของโฬมไว้เสมอ
“มองหน้าฉันไว้ เล่นให้เหมือนกับตอนที่นายเล่นให้ฉันฟัง แค่ฉันคนเดียวที่นายต้องสนใจ คนอื่นจะเป็นยังไงชั่งมัน”
“แค่นายคนเดียว โฬม”ผมพึมพำกับตัวเองเพื่อเรียกความมั่นใจเข้ามาให้ตัวเอง แล้วเมื่อเพื่อนคนก่อนหน้าผมแสดงเสร็จ ก็ถึงตาของผม ผมกำกีตาร์ในมือแน่น มันเป็นกีตาร์ที่โฬมให้ผมยืมมา
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ ทุกคนในคณะต่างเงียบงัน รอว่าผมจะทำอะไร ผมไม่กล้าสบตาใคร เลยได้แต่มองไปทางโฬมเพียงแค่คนเดียว
ผมเริ่มเกลากีตาร์แล้วร้องเพลงเดิมที่เราร้องด้วยกันมาทั้งอาทิตย์ อยู่ด้วยกันจนผมแทบจะกลายเป็นบ้าเพราะว่ารักเขา ผมรักโฬมจนตัวเองแทบจะบ้า เวลาแค่อาทิตย์เดียว แต่ทำไมผมถึงเป็นได้มากมายขนาดนี้ โฬมเป็นคนมีสเน่มาก ทั้งตอนเล่นดนตรี ทั้งตอนร้องเพลง ตอนยิ้ม ตอนหัวเราะ หรือแม้แต่ตอนกินข้าว... ผมอยู่กับเขาแค่อาทิตย์เดียวผมก็แทบจะเป็นบ้าไปแล้ว... ถ้าผมอยู่กับเขาต่อนานกว่านี้อีกซักนิด ผมคงจะเผลอทำอะไรที่มันไม่ควรทำกับเขาแน่ๆ
เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อผมร้องเพลงจบ เสี่ยงโห่ร้องราวกับว่านี่เป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว ผมยิ้มรับเสียงปรบมือต่างๆ แล้วก็เดินออกมาเพื่อรอฟังผล....
ผลก็ไม่ต่างไปจากที่ผมและไอ้ไกรคิดมากนัก คือผมได้รับการคัดเลือกเป็นเดือนคณะ เหตุผลเพราะการแสดงและภาพลักษณ์ของผมดูดีที่สุดแล้ว เพื่อนๆทุกคนก็ยอมรับผม ผมยิ้มรับอย่างเขินๆเท่านั้น
“ดีกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ”โฬมเดินเข้ามาบอกกับผมแบบนั้น ไอ้ไกรที่ยืนอยู่ข้างๆก็เดินมาตบไหล่ผมแรงๆสองสามที
“สุดยอดเว้ยเพื่อนกู”
“ไปหาไรกินฉลองตำแหน่งเดือนคณะหน่อยไหม”โฬมเอ่ยปากชวน ผมกับไกรพยักหน้ารับ แต่ก่อนที่พวกผมจะได้เดินออกไป พี่เชนกับคนอื่นๆก็เข้ามารั้งไว้เสียก่อน
“ปะ ไปฉลองกัน พี่เลี้ยงเอง เอาเพื่อนไปด้วยนะ”
เราสามคนมาหยุดอยู่ที่ร้านเหล้าแบบนั่งชิว ด้านในมีพี่ๆหลายชั้นปี ทุกคนล้วนแต่ผ่านงานประกวดดาวเดือนมาแล้วทั้งสิ้น โต๊ะนี้จึงมีแต่คนหน้าตาดีถึงดีมากนั่งเรียงรายกันอยู่ ผมเดินเข้าไปหาโต๊ะนั้น เราสามคนยกมือไหว้พี่ๆ พี่จึงเรียกให้เรานั่งลงร่วมโต๊ะด้วย ผมเลือกที่จะนั่งระหว่างไอ้ไกรกับโฬม เพราะผมแทบจะไม่รู้จักพี่คนไหนเลยนอกจากพี่เชนเดือนคณะปีที่แล้ว
“คนไหนน้องเราวะ”พี่คนหนึ่งเอ่ยถาม ดูท่าว่าจะเรียบจบไปแล้ว เพราะไม่ได้อยู่ในชุดนักศึกษาเหมือนคนอื่นๆ
“คนนี้น้องคริส เดือนคณะครับ ส่วนนี่น้องไกร เพื่อนน้องคริส แล้วอีกคนก็....”
“คนนี้โฬมครับ ศิลปะศาสตร์ปีหนึ่ง เป็นคนสอนคริสเล่นกีตาร์กับร้องเพลงครับ”เป็นไอ้ไกรที่แนะนำต่อจากพี่เชน พี่ๆหลายคนทำหน้าแปลกใจ แต่มีคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะดูแลเรื่องกองกลางการประกวดดาวเดือน
“เห้ย น้องโฬมเดือนคณะศิลปะศาสตร์ปะ ?”
“เอ่อ...ใช่ครับ”
“อ้าว แล้วแบบนี้พี่ๆที่คณะจะไม่ว่าเอาหรอ มาสอนเดือนคณะพี่แบบนี้อะ”
“พี่ๆที่คณะไม่รู้ครับ ถ้ารู้ก็น่าจะเป็นเรื่องนิดหน่อย”โฬมตอบเสียงอ่อย ผมอึ้งมากเมื่อรู้ความจริงว่าถ้าพี่ๆที่คณะของโฬมรู้ เขาอาจจะมีปัญหาได้ แต่เขาก็ยังรับสอนผม.... ผมอึ้งมากจริงๆ
“ไม่เป็นไร ถ้าข่าวหลุดออกไปจากวงนี้นะ ฉันจะตามเก็บคนที่เอาข่าวไปบอกคณะนั้น”พี่คนนึงพูดขึ้นมา ดูท่าว่าจะอาวุสโสสุด โฬมกับผมได้แต่หัวเราะแห้งๆกับคำขู่นั้น
แต่ไม่นาน เมื่อเหล้าเข้าปาก เพลงสนุก เรื่องเครียดๆก็หายไป พวกเรานั่งดื่มกันจนเมา.... ที่จริงก็คงจะมีแค่ผมที่เมาเละมาก เพราะผมแทบจะคุมสติตัวเองไม่อยู่ จำได้ภาพสุดท้ายคือโฬมดึงแก้วเหล้าออกจากมือผมไปแล้วเอาไปดื่มเอง
ผมลืมตาตื่นอีกทีเพราะรู้สึกเย็นไปทั้งตัว หันไปมองรอบๆตัวก็พบว่าผมอยู่ในห้องของโฬม โดยมีโฬมนั่งเช็ดตัวให้ผมอยู่
“กินเหล้าแล้วเมาเหมือนหมา” เขาพูดประโยคนั้นออกมา ผมที่ยังรู้สึกเมาอยู่ได้แต่หัวเราะแหะๆ พลิกตัวไปมาเพื่อให้โฬมเช็ดตัวให้ ถึงแม้ว่าทั้งตัวของผมจะมีแค่กางเกงในสีขาวตัวเดียว แต่ผมกลับไม่รู้สึกอายเลย อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์เหล้า
และก็อาจจะเป็นฤทธิ์เหล้าเช่นกันที่ทำให้ผมพลิกตัวไปกอดโฬมตอนที่เขาล้มตัวลงนอนข้างๆผม
แปลก...ที่เขาไม่ขัดขืนผมเลย ผมจึงจัดการซุกไซร้ไปตามแผ่นหลังขาวเนียน กลิ่นหอมสบู่อ่อนๆทำเอาผมแทบคลั่ง โฬมหันหน้ากลับมา ผมจ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้น สองมือประคองใบหน้าน่ารักนั่นไว้ แล้วผมก็ประริมฝีปากลงไปบนกลีบปากได้รูปของเขา โฬมจูบตอบโดยไม่มีทีท่าขัดขืน ผมรู้สึกได้ถึงเลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกาย ผมพลิกตัวของโฬมให้ลงมาอยู่ด้านล่าง จากนั้นผมก็ขึ้นคร่อมเขาไว้ ฉีกกระชากเสื้อผ้าทุกชิ้นที่อยู่บนตัวของเขาออก ผมจ้องมองผิวขาวเนียน จากนั้นก็จัดการเลียชิมรสชาติผิวนั่นไปทุกส่วน เสียงครางหวานหูของร่างตรงหน้าทำเอาผมแทบสิ้นสติ ผมโถมร่างกายเข้าใส่ร่างข้างใต้อย่างหนักหน่วง ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งว่าเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน
เราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นเอง
“ออกไปจากห้องของกูได้แล้ว”ผมลืมตาขึ้นมาได้ก็แทบจะรับเสื้อผ้าของตัวเองไว้ไม่ทัน ในหัวผมมีแต่คำว่าเกิดอะไรขึ้น ผมมองร่างของโฬมก็ต้องพบกับร่องรอยสีแดงช้ำ ภาพเมื่อคืนก็ไหลเข้าหัวผมเป็นฉากๆ
ผมอ้ำอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ไม่กล้าแม้แต่จะพูดขอโทษ หรือพูดว่าไม่ได้ตั้งใจ... เพราะทั้งหมดนั้นผมตั้งใจทำ...
“เรา...ขอโทษ...”
“ไม่ต้องขอโทษ มึงไม่ผิด ผิดที่กูใจง่ายเอง คิดซะว่า เมื่อคืนมึงเมา กูก็เมา ก็เลยเกิดอุบัติเหตุขึ้น เท่านั้นเอง กูก็ผู้ชาย มึงก็ผู้ชาย ไม่มีใครเสียหาย ลืมๆมันไปเหอะ”
ไม่ มันไม่ใช่อุบัติเหตุ ผมตั้งใจให้มันเกิดขึ้น เป็นผมเองที่ผิด เขาจะไม่เสียหายได้ยังไง ในเมื่อร่องรอยมันเห็นกันชัดขนาดนั้นแล้ว
“ไปได้แล้ว หมดหน้าที่กูแล้ว”
ผมพูดอะไรไม่ออก.... ผมทำได้เพียงแค่ค่อยๆหยิบเสื้อผ้ามาใส่ทีละตัว แล้วก็เดินออกมาจากห้องนั้น
“คิดหรือยังว่ารอบการแสดงจะเอาอะไรไปแสดง บอกก่อนว่าร้องเพลงดีดกีตาร์มันธรรมดามาก”พี่เชนถามผมตอนที่เรามาซ้อนกัน ผมทำอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากร้องเพลง.... เพลงที่โฬมเป็นคนสอนผมร้อง..
“ผมอยากเล่นเปียโนครับ”
“หืม เปียโนหรอ... ก็โอเคนะ พี่น้ำเล่นเป็น เดี๋ยวให้พี่น้ำสอนให้ หรือคริสจะให้เพื่อนสอนหละ คนที่เป็นเดือนศิลปศาสตร์อะ”
“เพื่อนผม...เขา.....เขาต้องไปซ้อมการแสดงของเขาหนะครับ” ผมได้แต่บอกไปเท่านั้น พี่เชนก็ไม่ซักไซ้อะไรอีก ได้แต่พยักหน้าแล้วเรียกพี่น้ำเข้ามา โชคดีที่ห้องสโมฯคณะมีเปียโนอยู่หลังหนึ่ง ผมจึงใช้ห้องสโมฯในการซ้อมร้องเพลงและเล่นเปียโน
พี่น้ำเล่นเปียโนเก่งมาก สอนให้ผมเล่นได้แค่ภายในไม่กี่วัน พี่น้ำก็ชม บอกว่าผมมีหัวทางด้านนี้... ก็อาจจะจริงนั่นแหละ
“จะร้องเพลงนี้ให้ใครหรือเปล่าคะ”พี่น้ำถามผม ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆส่งไปให้ ก็มีแค่คนเดียวนั่นแหละที่ผมอยากให้เขารับรู้
....ว่าผมต้องการให้เขากลับมา
ผมไปหาโฬมที่ชมรมมาก็หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ไปกลับไม่เจอโฬมเลย ไปดักเจอเขาที่หน้าหอก็ไม่เคยเห็นเขากลับหอเลยซักครั้ง เรียกได้ว่า หลบหน้าผมแบบเต็มรูปแบบ
วันประกวดดาวเดือนมาถึง ผมมองหาโฬมตลอด เห็นเขาอยู่ไกลๆ แต่ไม่กล้าเข้าไปหา....ไม่กล้าจริงๆ
การประกวดรอบต่างๆผ่านไปด้วยดี...สำหรับผู้เข้าประกวดคนอื่นๆนะ แต่สำหรับผมถือว่าแย่มาก...เพราะผมตื่นเต้น เลยเผลอทำท่าทางตลกๆไปบ้าง จนมาถึงรอบการแสดง ผมพกความมั่นใจมาเต็มที่ เพลงที่ผมจะร้องกับเปียโนที่ผมจะเล่น ผมฝึกมันอย่างจริงจังเป็นเดือนๆ ไม่ใช่เพื่อคณะ แต่เพื่อคนๆเดียว
ผมค่อยๆกดนิ้วลงบนคีย์บอร์ด เรียงตัวโน้ตตามที่ผมฝึกมาอย่างดี กลั่นกลองความรู้สึกที่ผมมีให้กับคนเพียงคนเดียว ไม่สนใจเสียงรอบข้าง ต่อให้คนอื่นจะว่ายังไงผมไม่สน นับตั้งแต่วินาทีนี้ ผมมอบให้โฬมคนเดียว
If you come back to me
I’ll be all that you need
Baby, come back to me......
เสียงปรบมือดังระงม ผมแทบจะไม่สนใจเสียงนั้นเลย ผมสนใจแค่คนๆเดียว คนที่ยืนอยู่หลังเวที
The rain falls on my windows
And the coldness runs through my soul
When the rain falls, oh when the rain falls
I don’t want to be alone
I wish that I could photoshop on
Our bad memories
Because the flashbacks, oh the flashbacks
Won’t leave me alone
If you come back to me
I’ll be all that you need
Baby, come back to me
Let me make up for what happened in the past
Baby come back to me(Come back)
I’ll be everything you need(Come back)
Baby come back to me(Come back)
Boy, you’re one in a million(Come back)
Baby come back to me(Come back)
I’ll be everything you need(Come back)
Baby come back to me(Come back)
You’re one in a million
Come back to me
Please...
กลับมาหาฉันได้ไหม.....
เป็นไปตามคาดของผมที่ผลการประกวดผมได้แค่รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง หรือก็คือที่สาม แต่รางวัลไม่สำคัญอะไรเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมได้คือ...โฬม
เขากลับมาหาผม ที่หลังเวที เขาวิ่งเข้ามากอดผม พร่ำบอกแต่ว่าเขากลับมาแล้ว จะไม่ไปไหนอีกแล้ว ผมกอดเขาไว้แน่น สัญญากับเขา ว่าต่อแต่นี้ไปจะดูแลความรักของเราสองคนให้ดีที่สุด ขอโทษที่ล่วงเกินเขา แต่ที่ทำไปเพราะผมรักเขา... ใครจะว่ามันเร็วเกินไปสำหรับความรักของเรา แต่ผมกลับมองว่า ยิ่งรู้ตัวเร็ว เราก็ไม่ต้องเสียเวลาอะไร รู้ว่ารักแล้วก็บอกไป ใครจะรู้ ว่าเวลาที่เหลืออยู่ จะพรากเราออกจากกันเมื่อไหร่
สัญญาว่า...ไม่ว่ายังไง จะไม่มีวันทิ้งเขาไปไหน...