•HANDSOME GHOST•
[11]-แค่คนที่ตายไปแล้ว
“นี่โฬม แฟนฉันเอง” สิ้นเสียงคริสผมก็หันไปมองคนตรงหน้าทันที งั้นก็แปลว่าคนที่กำลังคุยกับผมอยู่คือ แฟนเก่า มันงั้นหรอ ?
ผมคิดหนัก ไม่คิดว่าคนที่ควรอยู่ในคุกจะออกมาอยู่ตรงนี้ได้ คนตรงหน้ายังคงพูดรบเร้าขอเข้าไปในห้องของผม ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร ใจนึงผมอยากปฏิเสธ แต่ใจนึงก็อยากรู้ ว่าเขามาเพื่ออะไร
คิดไปคิดมาผมก็ตัดสินใจปฏิเสธเขาไป ถ้าเขาอยากเข้าไปที่ห้องผมจริงๆ เขาก็ต้องกลับมาอีกครั้งแน่ๆ เขามีสีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ผมเกือบจะสงสารแล้วเชียว แต่ติดที่ว่าผมอินดี้ ผมเลยไม่กลับคำที่ปฏิเสธเขาไป แต่ถ้ามาพรุ่งนี้ก็ไม่แน่ บางทีความอยากรู้....หรือความเสือกของผมนั่นแหละ มันอาจจะชนะเหตุผลอื่นๆไปหมดก็ได้
เขาเดินคอตกออกไปจากหอ ผมค่อนข้างแปลกใจกับท่าทีแบบนั้น เขาคงกำลังกังวลอะไรซักอย่าง แล้วผมก็เดินขึ้นบันไดเพื่อตรงไปยังห้องของตัวเอง โดยมีคริสที่เดินตามมาด้วยสายตาเศร้าปนสงสัย
“ปาร์ค....ฉันสงสัย....ว่าเขาออกจากคุกมาได้ยังไง” ทันทีที่ผมปิดประตูห้อง คริสก็พูดขึ้น เขาดูมีสีหน้าเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“อาจจะทำตัวดีจนได้ลดโทษมั้ง” คริสเงียบไป ส่วนผมก็เข้าห้องน้ำอาบน้ำ อาบเสร็จก็กินข้าวที่ซื้อมาจากโรงอาหารในมหาลัย กำลังจะแบ่งใส่ถ้วยให้คริส แต่หันไปมองมันที่เอาแต่นั่งเงียบๆ มันคงไม่หิวละมั้ง
ดี ! กูจะได้แดกคนเดียว !
พอกินเสร็จผมก็เข้านอนทันที วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน เพราะกิจกรรมมันเยอะเหลือเกิน พรุ่งนี้ก็ต้องเรียนอีก แล้วไหนตอนเย็นจะต้องโดนประชุมเชียร์อีก ถึงมันจะไม่หนักหนาสำหรับผมก็เถอะ แต่ผมก็เหนื่อยที่ต้องไซโคเพื่อนตัวเองว่าไอ้ฟานมันโหดขนาดไหน ทั้งๆที่ตัวจริงขี้แยชิบหาย หันไปมองคริส มันก็นั่งอยู่ที่ปลายเตียงเหมือนเดิม ไม่ขยับไปไหน ผมปิดไฟแล้วหลับตาลง ความเหนื่อยจากทั้งวันทำให้ผมหลับลงไปแทบจะในทันที.....
...............................................
“ฮึก...ฮึก..” ผมสะลึมสะลือตื่นเพราะได้ยินเสียงเหมือนคนร้องไห้ ความจริงอาจจะไม่ใช่คนหรอก แต่คงเป็นไอ้คริสที่กำลังก้มหน้าร้องไห้อยู่ที่เดิม ผมมองตัวเองที่มีผ้าห่มห่มจนถึงคอ คืนนี้อากาศเย็นเป็นพิเศษ ผมจึงไม่ได้ถีบผ้าห่มออกอย่างเคย คุณรู้ไหมว่าใครห่มผ้าให้ผม......
ผมถามนี่ไงว่าใครห่ม - - รู้ก็บอกผมสิ !
อาจจะเป็นไอ้คริสก็ได้ที่ห่มผ้าให้ผม เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะละเมอแล้วดึงผ้าห่มที่พับไว้อย่างดีมาห่มตัวเองซะเรียบร้อยแบบนี้
ผมหันไปมองคริสที่ยังคงร้องไห้อยู่เงียบๆ มันอาจจะดูเหมือนคน....เอ่อ......ที่จริงเป็นผี.....ผีร่าเริง ในวันแรกๆที่เราเจอกัน แต่ผมก็รู้ว่ามันเป็นคน...โว้ยเป็นผีโว้ยยยยย มันเป็นผีที่เก็บความรู้สึกเก่ง
ผมค่อยๆลุกขึ้น ขยับไปใกล้ๆคริสที่อยู่ปลายเตียง..........
เพี๊ย !
“ร้องไห้ทำห่าอะไร” ผมตบหัวมันเสียงดังเพี้ย ผมทรงอันเดอร์คัทนี่ตบมันส์มือจริงๆครับ มันหันหน้ามามองผมด้วยสายตาเศร้าๆ คงจะคิดว่าทำไมผมถึงได้ซ้ำเติมมันแบบนี้...
ก็นะ.... นี่ไอ้ปาร์ค ปลอบใครไม่เป็น ดีแต่ปากหมาไปวันๆ
“ฮึก !”
“เห้ย !” แล้วไอ้คริสมันก็พุ่งเข้ามากอดผมจนเราล้มลงไปทั้งคู่ ผมนึกถึงตอนที่มันพุ่งเข้าใส่ผมเพื่อจะสิง ยังจำความรู้สึกการอดกินมาม่าครั้งนั้นได้อยู่เลย พูดแล้วก็เสียบวาบ ดีนะที่ตอนนี้กินข้าวมาแล้ว
“ฮึก !” ไอ้คริสไม่ได้ทำอะไรนอกจากการร้องไห้อยู่บนอกผม ผมค่อยๆยกมือหนึ่งขึ้นลูบหัวมันช้าๆ ปล่อยให้มันได้ร้องไห้ออกมาให้พอ บางทีการเก็บความรู้สึกมากไป มันอาจจะรู้สึกแย่ที่สุดตอนเราระเบิดมันออกมาก็ได้
เห้ยไอ้ปาร์ค คมมาก ! ง้อวววว
ง้อวพ่อง ! ผมกอดปลอบมันจนมันเริ่มสงบลง ผมเองก็เริ่มง่วงอีกรอบ จนหลับไปในที่สุด หลับไปทั้งๆที่กอดกับไอ้คริสนั่นแหละ
แสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามามันช่างสดใสเหลือเกิน. กี่โมงแล้วนะ..... อื้ออออ ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางข้างๆหมอนขึ้นมา 8:10 น. อ้า แปดโมงแล้วหรอเนี่ย มีเรียนกี่โมงนะ แปดครึ่งหรือเปล่า
อืมมมม เรียนอะไรนะ เคมีใช่ไหม
อืมมมม ใช่ๆ เช็คชื่อด้วยหนิ
“ฟรรคคคคคคคค !! ไอ้คริสสสสสส ทำไมมึงไม่ปลุกกู !!”ผมมองรอบห้อง แต่ก็พบว่าผมอยู่ในห้องคนเดียว แต่ผมไม่มีเวลามาคิดว่าไอ้คริสมันไปไหนของมันเพราะผมสายแล้ว
ผมรีบพุ่งเข้าห้องน้ำจัดการทำธุระส่วนตัวให้เสร็จภายใน5นาที อาบเสร็จผมก็รีบแต่งตัวอีก5นาที ดีนะที่รีดชุดนักศึกษาไว้แล้วเมื่อวันก่อน พอทำอะไรเสร็จหมดผมก็รีบออกจากห้องทันที แต่ก็ไม่ลืมจะล็อคห้องให้เรียบร้อยซะก่อน
ผมวิ่งมาจนถึงกลางซอย รีบนั่งวินแล้วบอกให้พี่วินใช้โหมดพาวเวอร์ฟูลทันที พอมาถึงตึกเรียน ผมก็มองเวลาในโทรศัพท์ พบว่าเลยคาบมา 5นาทีแล้ว แต่ก็ยังเหลือเวลาอีก10นาที ก่อนที่อาจารย์จะเช็คชื่อ พอผมเข้าห้องเรียนมาได้ นักศึกษาทั้งห้องก็หันมามองผมเพราะผมดันเปิดประตูเสียงดัง อาจารย์เองก็หันมามองผมเช่นกัน แต่อาจารย์ก็หันไปสอนต่อ นักศึกษาเองก็หันไปตั้งใจเรียนต่อโดยไม่มีใครสนใจผม
ผมเดินมานั่งตรงเก้าอี้ว่างหลังห้อง หยิบสมุดขึ้นมาแล้วรีบจดตามโปรเจ็คเตอร์ รีบแทบตายก็จดไม่ทันครับ ถ้าผมเรียนวิชานี้ไม่รู้เรื่องนะ ผมจะโทษไอ้คริสคนเดียวเลย
แต่ความจริงแล้วผมจะโทษมันคนเดียวก็ไม่ได้ ในเมื่อผมไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกเอง แล้วไอ้คริสมันไปไหน ทำไมมันไม่มาปลุกผม เป็นห่วงมันเหมือนกันนะ ถ้าเกิดว่าไม่มีมันอยู่ด้วยผมคงเหงาแย่
การเรียนของผมผ่านไปเหมือนเดิม ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ผมก็ยังไม่มีเพื่อนสนิทเหมือนเดิม ก็จะมีแต่เพื่อนที่เข้ามาถามผมในวิชาแล็ป เพราะผมโคตรถนัดการใช้แล็ปเลย เพื่อนเลยลงความเห็นว่าผมเทพแล้วก็เข้ามาถามคำตอบจากผมแทบจะทุกกลุ่ม แต่ถ้าถามหาเพื่อนสนิท ก็คงไม่มีเหมือนเดิม
จนมาถึงตอนเย็นที่ทุกคนต้องเข้าประชุมเชียร์ วันนี้ไอ้ฟานก็โหดเหมือนเดิม เพื่อนๆต่างนั่งเงียบ ฟังมันดุด่า เรื่องที่ด่าผมก็ไม่ใช่เรื่องอะไร แค่มีคนร้องเพลงมหาลัยผิด ใครร้องผิดก็ต้องยกมือ แต่เพื่อนดันยกมือกันเยอะไปหน่อย เลยโดนจัดชุดใหญ่ ส่วนผมหนะหรอ ถึงจะนั่งอยู่โซนคนป่วยก็ต้องร้องเพลง แต่ผมไม่ได้ยกกับเขาหรอก.... เพราะผมอินดี้ไง ฮ่าๆ กูร้องผิด แต่ไม่ยก มีไรไหมมมมม
“พวกคุณทำให้ผมผิดหวัง ! ทำไมพวกคุณถึงยังร้องเพลงไม่ได้ !” อู้ว ตะคอกซะด้วย น่ากลัวจริงๆเลยพี่ฟาน~
มึงดูที่พวกกูต้องเรียนสิไอ้พี่ฟาน จะเอาเวลาที่ไหนไปหัดร้องเพลงกันหละจ๊ะ แล้วมหาลัยมีเพลงตั้งกี่เพลง โอ้โหหหห ไม่อยากจะพูด !
“........”
“เงียบทำไม ! ผมถามทำไมไม่ตอบ !” อ้า ฟินนนน ตะคอกน้องปาร์คแรงๆเลยพี่ฟาน
“พวกเราขอโอกาสร้องเพลงอีกรอบครับ” ประธานรุ่นลุกยกมือขึ้นแล้วพูดเสียงแข็งกร้าว ไอ้ฟานมีท่าทีตกใจเล็กน้อย แต่ปีหนึ่งไม่มีใครมองเห็นเพราะถูกสั่งห้ามสบตารุ่นพี่
“คุณถามเพื่อนคุณหรือยัง ประธานรุ่น !” จึ้ก !
“.....” ประธานถึงกับอ้ำอึ้งไป ...คือมันตอกกลับง่ายมากเลยนะเว้ย อยู่ที่ว่าจะกล้าหรือเปล่า
“เงียบทำไม !” แล้วทุกคนก็เงียบ ไม่มีใครกล้าตอบ ผมไม่อยากตามกระแส จึงยกมือขึ้นแล้วขออนุญาต พอสิ้นสุดคำว่าเชิญของรุ่นพี่ผมก็พูดขึ้นทันที
“พวกเราปรึกษากันไว้ก่อนหน้านี้ครับ ว่าถ้าผิดพลาด จะให้ประธานรุ่นเป็นคนขอโอกาสอีกครั้งครับ !” เอาเส่ ไอ้ฟานเจอแบบนี้เข้าไป หน้าหงายแน่ๆ ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็ดีกว่าเพื่อนๆนั่งเงียบไปเรื่อยๆ ผมมองหน้าไอ้ฟานไม่ยอมก้มหน้า มันเองก็ทำหน้าประมาณว่า น้องหักหน้าพี่ทำไม ฮ่าๆ สะใจจริงๆ คิดจะดุ ต้องเจอคนเกรียน !
“ดี ! จริงใจดี ! ผมจะให้โอกาสพวกคุณอีกรอบ ถ้าทำไม่ได้ ไม่ต้องมาเป็นรุ่นน้องผม” โอ้โห ดุโคตร !
พวกปีหนึ่งเริ่มร้องเพลงมหาลัยอีกครั้ง ครั้งนี้ดีกว่าครั้งก่อนมาก แต่ถ้าผมคิดไม่ผิด ไอ้ฟานมันจะต้องตะโกนออกมาว่า แย่ !
“แย่ !”
นั่นไง ซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างวะ
สุดท้ายพวกผมก็โดนไล่ออกจากตึกคณะเช่นเคย โดยมีพี่ปีสองช่วยกันพาพวกผมออกมา ส่วนรุ่นก็คงจะยังไม่ได้เร็วๆนี้ พี่ปีสองบอกให้พวกผมไปซ้อมมาให้หนักกว่าเดิม เพื่อครั้งหน้าจะได้ไม่ถูกไล่ออกมาจากตึกคณะแบบนี้อีก แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันกลับ
ผมเห็นไอ้ฟานเดินอยู่บนฟุตบาทข้างมหาลัย สงสัยกำลังจะเดินกลับบ้านมัน.... ผมจำได้ว่ามันก็มีรถ ทำไมไม่ใช้วะ จะเดินทำไม ...ผมรีบวิ่งเข้าไปหามันทันที
“พี่ฟาน !” มันหันมามองผม แล้วก็หันหน้าหนีทำหน้าเหมือนงอนผม โอ้โห ตุ๊ดมาก งอนแบบนี้คิดว่าน่ารักหรอ.... ไม่น่ารักหรอก แต่ผมว่ามันก็หล่อดีนะ หล่อเหมือนพี่มันเลย
“ผมไม่ง้อหรอกนะ ฮ่าๆ” แล้วผมก็เดินนำหน้าพี่ฟาน ขายาวๆของฟานรีบวิ่งเข้ามาก่อนจะดึงแขนผมไว้ โอ้ว ทำอย่างกับในละครแหนะ
“เดี๋ยวสิน้องปาร์ค......ไป....กินข้าวบ้านพี่ไหม”
“ไปครับ !” ตอบแบบไม่ต้องคิดกันเลยทีเดียว ฟานเดินเอาแขนมาพาดไหล่ผมแล้วเราก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆ เรื่องการเรียนบ้าง เรื่องรับน้องบ้าง ผมแอบล้วงความลับมาได้อย่างหนึ่ง คือ วันที่มันบอกว่าจะให้รุ่นพวกผม ปีสามจะแกล้งปีหนึ่งโดยการไม่ให้รุ่น เป็นการหักหน้าปีหนึ่งดีๆนี่เอง
นี่ถามจริง มึงอยากมีน้องไหมไอ้พวกปีสาม !
เราเดินมาจนถึงบ้านของฟาน เข้าไปถึงบ้านผมก็เห็นไอ้คริสนั่งอยู่บนโซฟากลางห้องนั่งเล่น แหม่ หายไปทั้งวันมาอยู่นี่นี่เอง ทำกูเกือบไม่ได้เช็คชื่อนะ
“ไอ้คริส มึงมาอยู่นี่ทั้งวันเลยหรอ ตอนเช้าก็ไม่ยอมปลุกกู กูเกือบเช็คชื่อวิชาเคมีไม่ทันละนะเว้ย !”
“อืม ขอโทษที”มันพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ แล้วก็หันไปมองน้องชายของมันแทน
“คริสอยู่นี่หรอ” ฟานหันมาถามผมแล้วมองไปรอบๆ ผมเลยชี้ให้มันดูว่าพี่มันนั่งอยู่ตรงโซฟา ฟานรีบกระโดดลงไปนอนบนโซฟาแล้วหยิบหมอนมากอด
“คิดถึงนะคริส” ฟานพูดคนเดียวแล้วยิ้ม ใบหน้าดูมีความสุขที่ได้รู้ว่าพี่มันอยู่กับมันที่นี่ คริสเองก็ยิ้มได้หลังจากที่ทำหน้าเศร้ามาตั้งแต่เมื่อวาน ผมมองภาพตรงหน้าแล้วก็มีความสุขตามไปด้วย แต่มันก็มีความเศร้าปะปนเต็มไปหมด
โครกกกก~~
แล้วเสียงท้องร้องของผมก็ทำลายทุกความสุขและความเศร้าลง ฟานหันมามองผมแล้วยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าครัวไปทำกับข้าว ส่วนผมก็เดินไปนั่งลงที่โซฟา ตบที่ตรงข้างตัวเป็นสัญญาณให้คริสนั่งลงข้างๆผม
“วันนี้เขามาที่นี่สองครั้ง ฉันคิดว่าเดี๋ยวเขาต้องมาอีก” คริสพูดขึ้น
“ใครวะ พี่โฬมหรอ”
“ใช่”ผมพยักหน้ารับรู้ ที่มันหายไปทั้งวันนี่ก็คงจะมาเฝ้าน้องชายของมัน
พอฟานทำกับข้าวเสร็จ เราก็นั่งกินข้าวแล้วคุยกันสองคนหนึ่งผี พอกินเสร็จสิ่งที่คริสคิดไว้ก็เป็นจริงๆ พี่โฬมมากดออดที่หน้าบ้าน ฟานชะเง้อคอมองว่าใครมา
“พี่โฬมมา วันนี้เขามาสองครั้งแล้วครับ” พอผมพูดจบฟานก็มองผมอึ้งๆ
“น้องปาร์ครู้ได้ไงครับ แล้วเขาออกจากคุกมาได้ยังไง”
“คริสบอกครับ แต่ผมไม่รู้ว่าเขาออกมาจากคุกได้ยังไง”
“ฟาน !! อยู่ไหม !!” เสียงตะโกนดังออกมาจากนอกบ้าน ฟานรีบวิ่งออกไปทันที ผมไม่ได้เดินตามไป เลยได้แต่นั่งมองหน้าคริสที่ตอนนี้คิ้วเข้มขมวดมุ่น สีหน้าวิตกกังวลอย่างมาก
ไม่นานสองคนนั้นก็เดินเข้ามาในบ้าน ฟานมีสีหน้ายิ้มแย้มดี ผิดกับคริสและผมที่ตอนนี้คิ้วแทบจะผูกเป็นปมแล้ว ทำไมฟานถึงพาพี่โฬมเข้ามาในบ้านนะ เขาดูไม่น่าไว้ใจเลยซักนิด
“น้องปาร์ค นี่พี่โฬม... พี่โฬมครับ นี่น้องปาร์ค น้องที่คณะ” ฟานแนะนำผมกับแฟนของคริส เขายิ้มให้ผมแบบเป็นมิตร แต่คนอย่างผมคงจะไม่ยิ้มตอบ หน้าผมตอนนี้คงจะมีแต่คำถามมากมาย ไม่ต่างจากใบหน้าหล่อๆของผีตัวข้างๆผมด้วย
“นายถามสิปาร์ค” ผมหันไปหาไอ้คริสทันที เห้ยคือ ถึงกูจะหน้าด้านแต่กูก็คงไม่ด้านถึงขนาดถามว่า พี่ๆ ออกจากคุกมาได้ไงงี้หรอกนะ
“ทำไมต้องกูหละสัส” ผมกระซิบกระซาบ แต่ก็ไม่วายกระแทกเสียงไปให้ไอ้ผีหน้าหล่อตัวข้างๆ
“ก็ฉันคุยกับใครได้ที่ไหน..” พูดจบแล้วก็ทำหน้าเศร้าๆใส่ผม ไอ้ผมก็ใจอ่อนไง เอาวะ ถามก็ถาม เขาพึ่งออกจากคุกมา คงไม่ฆ่ากูหรอก
“พี่โฬม ออกจากคุกมาได้ไงครับ ในเมื่อพี่จำคุก9ปี แต่นี่พึ่งผ่านมา7ปี” ทันทีที่ผมพูดจบ พี่โฬมก็มองหน้าผมแบบอึ้งๆคงจะคิดในใจว่าผมรู้เรื่องทั้งหมดได้ไง หึหึ *ยิ้มอ่อน*
“คือ พี่ได้รับการลดโทษครับ เลยออกมาก่อน แล้วน้องรู้ได้ไงว่า....”
“ผมรู้ทุกเรื่องครับ ไม่ต้องถามว่าผมรู้ได้ยังไง” หึหึ ผมนี่เทพซ่า007 ครับ *ยิ้มมุมปาก*
“งั้นน้องก็ต้องรู้เรื่องของที่อยู่ในห้องน้องหนะสิ ให้พี่เข้าไปหาได้ไหมครับ ขอร้องหละ พี่ไม่สบายใจเลยจริงๆ” เขาแทบจะคุกเข่าอ้อนวอนผม สีหน้ามีความวิตกกังวลมากจริงๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่าของที่ว่านั้นคืออะไร คริสเองก็พยักหน้าบอกให้ผมอนุญาตให้เขาเข้าไปหาของในห้อง
เดี๋ยว ! ห้องกูไหมหละ
“ก็ได้ครับ”
..........................................
แล้วเราสามคนหนึ่งผีก็มาอยู่ในห้อง613แล้ว ทันทีที่ผมปิดประตูห้อง พี่โฬมก็เดินไปทั่วทั้งห้อง มองหาของที่เขาว่า ค้นทุกซอกทุกมุม ไม่เว้นแม้แต่ตู้เสื้อผ้าของผมที่อาจจะมีกางเกงในอยู่ด้วย
“พี่หาอะไรอยู่วะ” พี่เขาหาอยู่นานมาก ไม่เจอซักที ผมเลยโพล่งถามออกไป
“เอ่อ คือ....” เขามีท่าทีอึกอัก... บางทีสิ่งที่เขาหาอาจจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในคดีก็ได้ ผมเลยต้องมองเขาไม่ให้คลาดสายตา “ผ้าสีแดง.....น้องเห็นบ้างไหม” แล้วเขาก็มองไปรอบๆเพื่อมองหาผ้าผืนสีแดงที่ว่า หรือว่าจะเป็นยันต์ที่สะกดไอ้คริสเอาไว้วะ
“โยนทิ้งไปแล้ว” พอผมพูดประโยคนี้จบ เขาก็มองผมอย่างอึ้งๆ ก่อนสายตานั่นจะค่อยๆหมองลง เขาค่อยๆนั่งลงบนพื้น สายตาเศร้าๆมองไปรอบห้อง
“ดีแล้วหละ นายเป็นอิสระแล้วนะ....คริส” เขาพึมพำเบาจนผมแทบจะไม่ได้ยิน แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าไอ้คริสคงเป็นอิสระแล้ว
เออหวะ เป็นอิสระแล้วทำไมยังไม่ไปไหนอีกวะ
“ไปสู่สุขตินะคริส” ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรีบร้อนมาหาผ้ายันต์นั่น เขาไม่อยากให้ไอ้คริสถูกสะกดไว้ที่นี่งั้นหรอ งั้นก็แปลว่าเขารักคริสจริงๆ .....หรอวะ ?
คริสกับฟานที่นั่งเงียบมานานก็ยังไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา แต่สิ่งที่ผมสงสัยที่สุดตอนนี้มันกำลังจุกอกผมอยู่ นั่นคือทำไมพี่โฬมถึงบอกว่าตัวเองเป็นคนฆ่าคริส ความจริงแล้วเขาฆ่าคริสจริงๆหรือคนที่ฆ่าคริสคือแม่ของเขากันแน่ ถ้าเขาฆ่าคริส ทำไมต้องห่วงคริสมากมายขนาดนั้นทั้งๆที่ คริสมันก็ตายไปแล้ว
ห้องทั้งห้องยังคงเงียบเหมือนเดิม คริสกับฟานเองก็คงสงสัยไม่ต่างกับผม ทั้งสองคนก็คงจะอยากถามหาความจริงจากอีกคน แต่ติดที่ว่าไม่กล้า.... ในเมื่อเป็นแบบนี้ น้องปาร์คผู้อินดี้ ไม่ตามกระแสคนส่วนมาก ก็ต้องเป็นคนถามสินะ
“วันนั้นใครฆ่าคริสกันแน่ครับ ถ้าพี่ไม่ใช่คนที่ฆ่าคริส พี่จะปกป้องคนผิดทำไม”เขามองผมอย่างอึ้งๆ ฟานกับคริสเองก็มองผมแบบอึ้งๆเช่นกัน คงไม่คิดว่าผมจะกล้าถามออกไป
นี่ใคร !! นี่ปาร์คไงจะใครหละ !!
“ถ้าเป็นน้อง.....น้องจะเลือกปกป้องคนที่ตายไปแล้ว หรือคนที่ยังอยู่หละ”