-5-
พระชายาวีกับเจ้าชายแห่งดวงจันทร์
หลังเชอเชสพาผมเดินโชว์ตัวกับทุกคนในวังเป็นที่เรียบร้อย เขาก็พาผมกับไอ้ธาไปส่งที่ห้องรับรองที่โอ่โถงยิ่งกว่าบ้านผมทั้งหลังรวมกันซะอีก
นาเทลวางร่างเพื่อนสนิทผมที่ยังไร้สติลงบนเตียงหนานุ่มขนาดหกฟุต จากนั้นทั้งเขาและเชอเชสต่างก็ขอตัวไปทำธุระต่อ ก่อนไปไม่ลืมกำชับไว้ด้วยว่าพวกผมมีนัดต้องเข้าพบพระราชาตอนพลบค่ำ และที่นั่นผมจะได้พบกับบรรดาเจ้าชายแห่งดวงจันทร์ที่ผมจะต้องเลือกหนึ่งในนั้นมาเป็นสามีในอนาคต
ฮืออออ ผมอยากลาตายสามวัน ไม่เจอได้ไหมเจ้าชายอะไรนั่นอ่ะ
“อืม... ไอ้วี...?”
เสียงโอดครวญของไอ้ธาดังขึ้น เรียกสติผมที่หลุดลอยไปไกลถึงดาวมฤตยูให้กลับคืนสู่ร่าง
“มึงตื่นแล้วเหรอ รู้สึกเป็นไงมั่ง” ผมไถตูดไปทีเดียวถึงตัวไอ้ธา มันค่อยๆ ยันตัวขึ้น เอามือกุมหัวเหมือนคนเมาค้างแต่ที่จริงคือช็อคสลบเพราะตกจากที่สูง(?)
“ปวดหัวตุ้บๆ เลยว่ะ ว่าแต่เราอยู่ที่ไหนกันแล้ววะ”
มันหันซ้ายแลขวามองรอบห้องที่ตบแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูก็รู้ว่าเครื่องเรือนแต่ละชิ้นนั้นแพงระยับ ห้องที่พวกเราได้เข้าพักเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ปูพรมแดงเต็มพื้นห้อง เตียงเป็นเตียงไม้แบบสี่เสาประดับผ้าม่านสีแดงหรูหรา กลางห้องมีโต๊ะรับแขกแบบฟูลเซ็ทตั้งอยู่ ฝั่งตรงข้ามเป็นโต๊ะเขียนหนังสือกับตู้เสื้อผ้าแบบบิ้วอิน ประตูกระจกบานใหญ่เชื่อมต่อระหว่างห้องนอนกับพื้นที่ตรงส่วนระเบียง หากว่างอยากจิบน้ำชายามบ่ายก็สามารถไปนั่งชมวิวข้างนอกได้
“นี่มันพระราชวังอังกฤษชัดๆ !” ไอ้ธาร้องว้าวแทบจะหายป่วยเป็นปลิดทิ้ง
“เชอเชสบอกว่านี่เป็นห้องรับรองแขกจากต่างเมือง ไว้พวกเขาจัดการเรื่องห้องให้พวกเราเสร็จเมื่อไหร่ค่อยย้ายกันอีกที” ผมบอกกับไอ้ธาที่กระโดดดึ๋งลงไปสำรวจรอบห้องอย่างตื่นเต้นแบบลืมป่วย
บางทีมึงก็ฟื้นตัวเร็วยิ่งกว่าอะมีบาอีกนะ ไอ้เพื่อนยาก...
“แล้วไงต่อ พวกเขาได้บอกมั้ยว่าเมื่อไหร่เราจะได้เจอว่าที่สามีของมึง?”
คำพูดของไอ้ธาทำให้ผมต้องเด้งขึ้นจากเตียง เอาหมอนปาใส่มันรัวๆ
ไอ้ธา ไอ้เพื่อนเวร เพิ่งฟื้นขึ้นมาได้ก็ปากหมาหาเรื่องแซวผมซะแล้ว!
“มึงอย่าอยู่เลยยยยยยยย”
ผมวิ่งเอาหมอนไล่ฟัดไอ้ธาจนขนสีขาวปลิวกระจายทั่วห้อง ไอ้ธาแม่งก็ไม่มียอมผมอ่ะครับ คว้าหมอนอีกใบได้ก็ซัดผมกลับชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร เราวิ่งพล่านกันจนเหนื่อยสุดท้ายก็มานอนแผ่กันบนเตียงที่เต็มไปด้วยขนๆ เหมือนขนเป็ด ต่างคนต่างหัวเราะคลายเครียดไปได้อีกเยอะ
“ไงมึง สบายใจขึ้นยัง”
ผมเลิกคิ้วขึ้น หันไปมองหน้ามัน ดวงตาสีดำรับกับเรือนผมสีเดียวกันมองรออยู่ก่อนแล้ว
“วิธีคลายเครียดให้คนอื่นของมึงนี่ เล่นซะกูหอบเลยแสรดดด”
ผมด่ามันไปที เรียกรอยยิ้มเต็มหน้าจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ ทั้งสองซี่ที่แสนจะน่าภูมิใจของมัน ตานี่เหลือแค่เส้นเดียว ท่าทางภูมิใจมากที่ทำให้ผมยิ้มได้
“ก็มึงเล่นทำหน้าซะเครียดเลยนี่หว่า อุตส่าห์ได้มาถึงดวงจันทร์ทั้งที มาทำหน้าบูดเป็นหมาเน่าตายแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนวะ” ว่าแล้วมันก็โบกหัวผมดังป้าบ ผมเลยเอาคืนด้วยการยันมันกลิ้งโค่โร่ตกเตียง
“จะไม่ให้กูเครียดได้ไงเล่า กูไม่ได้แพ็คกระเป๋ามาเที่ยวเหมือนมึงนี่ อีกเดี๋ยวก็จะมีคนมารับตัวกูไปดูว่าที่เจ้าบ่าวแล้ว กูยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงต่อไปดี”
ไอ้ธาปีนขึ้นเตียงมานอนหนุนหัวบนพุงผม พวกเราชอบนอนกันแบบนี้ประจำ มันบอกพุงผมนิ่มนอนแล้วสบายหัวดีเลยชอบยึดพื้นที่ตรงนี้เป็นหมอนส่วนตัวของมัน “ก็ไม่เห็นจะต้องทำไงเลย ปิดตาเลือกๆ ไปสักคน ให้คนๆ นั้นได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ แค่นี้หน้าที่ของมึงก็สำเร็จลุล่วงแล้วนี่ จากนั้นเราค่อยให้นาเทลกับเชอเชสพาเที่ยวให้ทั่วแล้วค่อยกลับโลกกัน เป็นไง มึงว่าดีไหม?”
“คิดง่ายนะมึงอ่ะ” ผมผลักหัวมันอย่างหมั่นไส้ ให้ไอ้ธาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากที่ผมชอบทำรุนแรงใส่
“ก็แล้วจะคิดให้มันยากไปทำไมล่ะ เขาบอกแค่ให้มึงเลือก ไม่ได้บอกให้มึงรักเจ้าชายพวกนั้นสักหน่อย ถ้าเป็นอย่างหลังค่อยมาคิดหนักเหอะ”
“เออ ก็จริง” ผมเริ่มคล้อยตามมัน ไอ้ที่หนักๆ อยู่ในใจเริ่มผ่อนคลายลง
“ว่าแต่...” มันพลิกตัวมานอนเท้าคางมองหน้าผมแทน “พวกเราออกไปเดินเล่นข้างนอกได้ป่าววะ อยู่แต่ในนี้อุดอู้เกิ๊นนน อุตส่าห์ได้มาถึงดวงจันทร์แล้วทั้งที อาณาจักรกระต่ายเลยนะเว้ย”
ผมโคลงหัวคิด “พวกเชอเชสไม่ได้บอกไว้ด้วยสิว่าให้ออกไปไหนได้รึเปล่า บอกแค่ว่าตอนเย็นจะมีคนมารับไปพบพระราชา แต่ก่อนหน้านั้นต้องอาบน้ำเตรียมตัวให้เรียบร้อย อีกเดี๋ยวจะมีคนเอาชุดมาให้”
“ต้องแต่งองค์ทรงเครื่องซะด้วย ป้าดๆๆ พระชายาวี นี่กูมีเพื่อนเป็นถึงเมียว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไปเลยเหรอวะ ฟังดูดีชะมัด”
“ดูดีพ่อง” ผมด่ามันให้ ไอ้ธาเลยหัวเราะก๊ากอย่างสะใจให้ผมไล่ถีบมันอีกรอบ
“หูย ทำไมว่าที่เจ้าสาวนายนี้ถึงได้อารมณ์ร้ายจังวะ อนาคตข้างหน้าสามีมึงไม่กลัวหัวหดหมดเรอะ” เจ้าเพื่อนตัวดียังมิวายหยุดแหย่
คำก็เมียสองคำก็สามี นี่กูชักจะทนกับความกวนประสาทของมึงไม่ไหวแล้วน้า!
สุดท้ายพวกผมก็ไม่สามารถออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนได้แม้แต่ในเขตสวนของพระราชวัง
ทหารยามในชุดสีเขียวที่เฝ้าอยู่หน้าห้องบอกว่าอีกเดี๋ยวจะมีข้ารับใช้มาพาผมกับไอ้ธาไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ถ้ายังไงขอให้ช่วยอดทนรอในห้องไปก่อนจะได้ไม่คลาดกับคนเหล่านั้นจนต้องวิ่งวุ่นตามหากันอีก
ทั้งผมและไอ้ธาเลยเดินคอตกกลับมานอนกลิ้งบนเตียง ผ่านไปสักยี่สิบนาทีก็มีคนมาเคาะประตูห้อง พอผมเอ่ยอนุญาตให้เข้ามาได้ ข้ารับใช้ที่ทหารยามพูดถึงจำนวนสิบคนก็เดินกรูกันเข้ามา ในมือมีเสื้อผ้าสีสันสดใสกว่าสิบชุดกับเครื่องประดับมากมายหลายเซ็ทที่เห็นแล้วตาลายอยากหน้ามืดจิ๊กกลับบ้านไปเป็นของฝากให้แม่สักอัน
“คารวะพระชายาวี สหายพระชายา นี่เป็นเสื้อผ้าที่สำนักทอจันทร์นำมาถวายให้พวกท่านเลือกสำหรับใส่ในค่ำคืนนี้ขอรับ” พวกเขายื่นเสื้อผ้าโทนสีสดใสมาให้ผม ส่วนของไอ้ธานั้นเป็นสีโทนเข้มเกือบทั้งหมด
“เอ่อ... ผมขอชุดสีดำแบบเพื่อนผมได้ไหมครับ”
พอเห็นบรรดาสีแสบสันตรงหน้าแล้วเนื้อตัวมันคันยิบๆ ผมเลยลองถามเด็กรับใช้ตรงหน้าดู เขาเป็นเด็กชายที่น่าจะอายุไม่ถึงสิบห้าปี บนหัวมีหูกระต่ายสีเทาอ่อน ดวงตาสีฟ้าครามใสแจ๋วดูน่ารักน่าหยิกเป็นที่สุด
“ขออภัยขอรับพระชายา นั่นเป็นชุดสำหรับแขกบ้านแขกเมือง ท่านมิสามารถสวมใส่ชุดเหล่านั้นได้ขอรับ”
“แต่ผมก็เป็นแขกของที่นี่เหมือนกันนี่นา...”
“มิได้ขอรับ ถึงท่านจะมาจากแดนไกลเหมือนกัน แต่ฐานะของท่านนั้นมิอาจใช้เสื้อผ้าสีโทนทึบมาทำให้หม่นหมองแก่ตัวท่านได้” เจ้าสีเทาพูดจาฉะฉาน ชี้ให้เห็นต่างถึงธรรมเนียมปฏิบัติที่ชาวกระต่ายยึดถือ ผมนี่ถึงขั้นกุมขมับ สีชมพูนี่จ่ออยู่ตรงหน้ากูเลยครับ
“ก็แค่สีชุดเองน่า มึงจะเรื่องมากทำไมวะ หลับตาหยิบๆ ไปสักชุดก็หมดเรื่อง” ไอ้ธาให้คำแนะนำได้เหมือนกับที่มันบอกให้ผมใช้วิธีนี้เลือกสามีไม่มีผิดเพี้ยน มักง่ายเกินแล้วมึงอ่ะ
“เออๆๆ ก็ได้วะ” ผมกวาดตาดูชุดพวกนั้นอีกรอบก่อนจะเลือกตัวที่เสื้อชั้นในเป็นสีขาว ทับด้วยผ้าสีฟ้าครามรัดด้วยผ้าสีเหลืองสดใสที่ปักเป็นลายหงษ์ดูวิตรงดงาม ตัวนี้ดูเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผมแล้วเมื่อเทียบกับตัวอื่นๆ ที่เป็นสีเหลืองบ้าง ชมพูบ้าง ไอ้สีพวกนั้นผมยังทำใจใส่มันไม่ลง
หลังจากเลือกเสื้อผ้ากันเสร็จเรียบร้อย บรรดาเด็กชายในร่างครึ่งคนครึ่งกระต่ายก็พาพวกเราไปยังห้องอาบน้ำ เด็กที่มีหูกระต่ายเป็นสีเทาอ่อนบอกว่าที่นี่มีแต่ห้องอาบน้ำรวม หนึ่งชั้นต่อหนึ่งห้อง มีทั้งแบบน้ำร้อนและน้ำเย็น จะเข้ามาใช้งานเมื่อไหร่ก็ได้
“นี่ เธอชื่ออะไรเหรอ” ผมถามเจ้าตัวน้อยที่สูงประมาณอกผมเท่านั้น ต้องมีพ่อแม่หน้าตาดีขนาดไหนกันนะถึงผลิตลูกหน้าตาน่ารักน่ากอดออกมาได้แบบนี้
“กระผมชื่อยาอุลขอรับ” ทั้งหูและหางต่างพากันดุ๊กดิ๊กเหมือนดีใจที่ผมถามชื่อเขา เด็กน้อยโปรยกลีบดอกไม้สีชมพูอ่อนลงในสระก่อนหยดน้ำมันหอมลงไป คนอื่นๆ ช่วยกันจัดเตรียมอย่างอื่น พอทุกอย่างดูลงตัวก็เข้ามาช่วยกันรุมทึ้งผมกับไอ้ธาจนพวกเราแหกปากกรี๊ด(?)กันเสียงหลง
“พวกนายจะทำอะไรกันน่ะ!?” ผมกับไอ้ธาเบียดตัวเข้าหากัน แน่นอนว่าผมอยู่หน้า ไอ้ธาอยู่หลัง แม่งใช้ผมเป็นโล่กำบังอีกแล้ว!
ยาอุลและคนอื่นๆ เอียงคอไปด้านข้างพร้อมกัน “ก็ช่วยพระชายากับสหายอาบน้ำยังไงล่ะขอรับ”
“แค่อาบน้ำพวกเราทำกันเองได้น่า!” ไอ้ธาตะโกนข้ามหัวผมไปบอกเด็กพวกนั้น โดยมีผมพยักหน้าช่วยยืนยันอีกแรง
“มิได้ขอรับ พวกเราต้องช่วยกันขัดตัวพระชายาเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่พิธีต้อนรับในคืนนี้ขอรับ จะทำลวกๆ ไม่ได้เด็ดขาด” เด็กที่ดูโตที่สุดในสิบคนนั้นเป็นคนกล่าว
“งั้นก็จัดการแค่ไอ้วีไปแล้วกัน ส่วนของฉัน ฉันดูแลตัวเองได้” ไอ้ธาได้ทีรีบขายเพื่อนเอาตัวเองรอด มันรีบวิ่งไปถามเด็กพวกนั้นว่าฝั่งไหนเป็นฝั่งน้ำเย็น พอเจ้าเด็กที่ดูตัวโตสุดชี้นิ้วบอก มันก็รีบเอาเสื้อผ้าที่มันเลือกกับบรรดาผ้าที่เหมือนผ้าขนหนูวิ่งไปฝั่งนั้นทันทีโดยมีเด็กรับใช้วิ่งตามไปด้วยสองคน ปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับบรรดาครึ่งคนครึ่งกระต่ายจำนวนแปดชีวิตอยู่เพียงลำพัง
ฮือออออ ไอ้ธา ไอ้เพื่อนเลว จบจากนี่ไปเมื่อไหร่กูจะเอาคืนมึงเป็นเท่าตัวเลยคอยดู!
หลังถูกขัดสีฉวีวรรณเสร็จเรียบร้อย ผมก็มานั่งน้ำตากระซิกอยู่ในห้องรับรองเพราะร่างกายเพิ่งผ่านมือผู้ชายมาหมาดๆ
แม้ว่านั่นจะเป็นแค่การทำความสะอาดร่างกายเท่านั้นก็เหอะ...
“มึงจะทำดราม่าอีกนานป่าววะ ก็แค่ถูกอาบน้ำให้เอง”
ไอ้ธาที่อยู่ในชุดสีดำตัดน้ำเงินเข้มนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงปลายเตียง ส่วนหัวเตียงนี่ผมยึด นอนขวางแบบผิดทิศคล้ายกับประกาศศักดาว่าเตียงนี้เป็นของข้าคนเดียว
“มึงไม่โดนมึงก็พูดได้นี่ ทิ้งกูไปอาบน้ำคนเดียว สบายใจเลยสิท่า”
มันไม่รู้หรอกว่าผมต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง ทั้งโดนแก้ผ้า จับขัดๆ ถูๆ ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ไหนจะส่วนตรงนั้นที่ยังไม่เคยผ่านมือใคร...กลับถูกทำความสะอาดทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่ช่องทางข้างหลังที่เด็กพวกนั้นย้ำกับเขาเป็นร้อยๆ รอบว่าต้องทำความสะอาดให้ดี มิเช่นนั้นอาจทำให้เทพกระต่ายพิโรธจนล่มพิธีต้อนรับเอาได้
แค่คิดถึงตรงจุดนี้ก็....
“โฮฮฮฮฮฮฮ กูเป็นเจ้าบ่าวให้ใครไม่ได้อีกแล้ว”
ไอ้ธาใช้นิ้วก้อยแหย่รูหูเหมือนรำคาญเสียงคร่ำครวญของผมนักหนา พลางพูดซ้ำเติมผมว่า “ยังไงมึงก็มานี่เพื่อเป็นเจ้าสาวอยู่แล้วนี่ จะคิดเรื่องเจ้าบ่าวให้มันปวดหัวทำไม”
“ไอ้ธา!” ผมแทบจะถลาไปฟัดกับมันอีกรอบทั้งที่เพิ่งแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จ แต่เจ้าเพื่อนตัวดีดันรู้ทัน แวบเดียววิ่งปรู้ดไปถึงโซฟา ลำบากผมที่ใส่ชุดยาวระพื้นต้องถกชายผ้าขึ้นวิ่งไล่มันอีก
รุ่มร่ามจริงเว้ยไอ้ชุดพิธีการบ้านี่!
ก๊อกๆ
“ขออนุญาตขอรับ ท่านวี ท่านธา ถึงเวลา... เอ่อ กำลังเล่นอะไรกันอยู่หรือขอรับ”
นาเทลเปิดประตูห้องเข้ามาก่อนโดยมีเชอเชสเดินตามหลัง เขามองผมที่ถกชุดยาวกรุยกรายวิ่งรอบห้องสลับกับไอ้ธาที่หัวเราะไม่หยุด หน้าแข็งค้างเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี
“อ้าว มากันแล้วเหรอ” เจ้าเพื่อนตัวแสบเห็นกำลังหนุน(?)มาถึงก็รีบวิ่งไปหาแนวร่วม มันดึงนาเทลที่ยืนค้างอยู่หน้าประตูห้องให้รีบเข้ามาข้างใน “ว่าไงๆ พระชายาของพวกนายสวยไหม” ได้ทีก็รีบถามกระต่ายในร่างคนที่ดูจะไม่รู้ว่ากำลังถูกไอ้ธาหลอกใช้เป็นเครื่องมือแกล้งผม
นาเทลยิ้มรับก่อนใคร “ดูดีมากเลยขอรับท่านวี” เขาชมผมจากใจจริง ทำให้ผมไม่กล้าอาละวาดฟาดงวงฟาดงาอีก
เชอเชสเดินเข้ามาใกล้ มือใหญ่ช่วยจัดชุดที่หลุดรุ่ยกลับเข้าที่
“ยิ้มทำไม ผมใส่ชุดนี้มันตลกนักรึไง” พาลครับพาล นาทีนี้อะไรก็ดูขัดหูขัดตาไปหมด
เจ้าหัวส้มหน้าตาตื่นเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด แค่ยิ้มเองนะ?
“เปล่าขอรับ แค่รู้สึกว่าท่านวีดูดีมาก ชุดนี้เหมาะกับท่านมากเลยขอรับ”
“เอาจริงดิ?” ผมยกสองแขนที่เป็นชายผ้ายาวๆ ขึ้นสำรวจตัวเอง ดูยังไงก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าแบบนี้มันไม่เหมาะกับผมหรอก
“กระผมไม่โกหกหรอกขอรับ” ถ้าเชอเชสว่างั้นผมจะยอมทนๆ ใส่ไปก่อนก็ได้...ทำอย่างกับมีทางเลือกนักล่ะ
“อ๊ะ จริงสิ ถึงเวลาแล้วเหรอ?” ผมเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อเห็นการแต่งกายของสองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ พวกเขาอยู่ในชุดเครื่องแบบสีกรมเต็มยศ บนบ่าและตามอกติดดาวและเครื่องหมายอะไรไม่รู้ละลานตาไปหมด บ่งบอกว่าเจ้าตัวน่าจะมียศอยู่ไม่น้อยในราชวังแห่งนี้
“ขอรับ พระราชาให้พวกกระผมมารับท่านกับท่านธาไปยังท้องพระโรง เหล่าขุนนางคนสำคัญก็อยู่ที่นั่นกันหมดแล้วขอรับ”
“ย...อย่างงั้นเหรอ...” รอยยิ้มผมชะงักไปทันตาเมื่อรู้สึกเหมือนมีใบมีดมาจ่ออยู่ตรงคอหอย จะเดินหน้าก็ตาย จะถอยหลังก็ทำไม่ได้ เป็นสถานการณ์ที่ชวนให้คิดถึงพ่อกับแม่มาก ถ้ากลับโลกได้ตอนนี้ผมคงไม่ลังเลที่จะกลับเลย
“ท่านวี” เชอเชสที่เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของผมยื่นมือมาบีบมือผมไว้คล้ายกับต้องการให้กำลังใจ “หากท่านไม่ประสงค์จะอภิเษกกับเจ้าชายจริง ท่านย่อมปฏิเสธกับพระราชาได้ แม้กระผมจะไม่ทราบถึงผลลัพธ์ที่ตามมา แต่ก็ยังดีกว่าที่ท่านวีรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็นนะขอรับ”
แรงบีบที่หลังมือเรียกให้ผมรู้สึกตัว เงยหน้ามองสบดวงตาสีเทาอมม่วงที่มองมาอย่างเป็นห่วง
“อื้อ” ผมรับคำทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ ตราประทับรูปมงกุฏยังฝังกบาลอยู่เลย ถ้าผมปฏิเสธไม่เท่ากับว่าผมจะมีไอ้มงกุฏบ้านี่ติดหัวไปตลอดชีวิตเรอะ “เชอเชส คุณว่ายังมีทางอื่นอีกไหมที่จะทำให้ไอ้มงกุฏนี่หายไปได้”
เจ้าหัวส้มทำหน้าหนักใจ “กระผมเองก็ไม่ทราบเช่นกันขอรับ แต่เทพกระต่ายอาจให้คำตอบเรื่องนี้แก่ท่านได้”
“เทพกระต่าย?” แค่ได้ยินชื่อนี้ผมก็อารมณ์ขึ้นแล้ว
ก็ไม่ใช่เพราะเทพองค์นี้เรอะผมถึงต้องมาอยู่ที่นี่ ต้องมาอภิเษกงี่เง่าเพียงเพราะเขาเลือกผมเป็นชายาแห่งดวงจันทร์ ฮึ้ยยย เจอหน้าล่ะจะหาทางเอาคืนสักยก จะได้รู้ว่ามนุษย์โลกน่ะไม่ได้เคี้ยวง่ายๆ นะเฮ้ย
“อีกเดี๋ยวท่านวีก็จะได้พบกับท่านเทพในพิธีต้อนรับแล้วขอรับ หากท่านวีอยากรู้อะไรก็ลองถามท่านเทพดูได้”
“เข้าใจล่ะ”
“เช่นนั้น ให้กระผมนำทางไปยังท้องพระโรงเลยไหมขอรับ” เชอเชสค้อมตัวลงอย่างให้เกียรติ ทำอย่างกับผมเป็นเจ้าหญิงในนิทานไปได้ ฮึ
พระราชวังที่ทำจากคริสตัลทั้งหลังดูงดงามอลังการยิ่งกว่าภาพวาดในฝัน ผมกับไอ้ธาเดินผ่านห้องโถงใหญ่ที่ประดับด้วยอัญมณีมากมายดูงดงามตระการตา ทั้งหมดส่องแสงแพรวพราวประชันกันยิ่งกว่าดวงดาราบนฟากฟ้า ผมกับไอ้ธาตาแทบบอดเมื่อเจอรัศมีเจิดจรัสพวกนี้ทำร้ายลูกกะตารัวๆ ต่อมโลภในใจปะทุขึ้นราวกับภูเขาไฟที่พร้อมระเบิด
“ถ้าแอบหยิบติดไม้ติดมือกลับบ้านไปสักเม็ดสองเม็ดจะมีใครรู้ป่าววะ”
นักศึกษาที่อยากผันตัวเองไปเป็นโจรกระซิบกระซาบกับผม ตอนนี้พวกเรากำลังเดินไปยังตำหนักใหญ่ของพระราชาซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในสุดของตัววัง ข้างหน้าของผมคือเชอเชสที่ติดผ้าคลุมสีดำยาวระพื้น ส่วนคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าไอ้ธาคือนาเทลที่อยู่ในชุดเครื่องแบบเหมือนกับเชอเชสทุกอย่าง
“ใจเย็นมึง อย่าเพิ่งหากรงมาขังตัวเอง แต่ถ้าว้อนนัก เอาไว้กลับไทยเมื่อไหร่กูจะสั่งกรงขังแบบพิเศษเตรียมไว้ให้เป็นของขวัญวันเกิดมึงเลยดีมั้ย?”
แน่นอนว่าผมไม่ได้หมายถึงคุกขังคน แต่เป็นกรงขังหมาที่ดูเหมาะกับเพื่อนธาม๊ากมาก
“ปากดีไปก่อนเถอะมึง อีกเดี๋ยวเจอหน้าว่าที่สามีแล้วระวังจะพูดไม่ออก” มันหัวเราะหึๆ อย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ผมเลยแยกเขี้ยวใส่มันไปที ไม่รู้ว่าการที่พามันมาด้วยนี่เป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่
“ถึงแล้วขอรับ”
สิ้นเสียงของเชอเชส ประตูบานหนาหนักที่อยู่ปลายสุดของทางเดินก็ถูกเปิดออกโดยทหารยามที่ยืนรักษาการณ์อยู่ พวกเขาในชุดเครื่องแบบสีแดงต่างพากันทำความเคารพเชอเชสกับนาเทลด้วยท่าทางขึงขัง แต่ผมแอบเห็นนะว่าสายตาของพวกเขามีแอบเหล่มามองผมตอนที่ผมเดินผ่านน่ะ!
“พระชายาเสด็จ!”
ข้ารับใช้ในชุดพิธีการสีขาวประกาศเสียงดังก้องท้องพระโรง ผู้คนที่มาถึงก่อนแล้วต่างพากันหันขวับมองมาที่ผมเป็นตาเดียว
เล่นเอาซะก้าวขาไม่ออกเลย...
“โอ นี่น่ะหรือพระชายาแห่งดวงจันทร์ที่เทพกระต่ายทรงคัดเลือกเองกับมือ เป็นเด็กหนุ่มที่รูปงามนัก” พระราชาหนวดยาวเป็นผู้ตรัสขึ้นก่อนใคร เขาเป็นชายร่างใหญ่ที่ยังดูอายุไม่เยอะ ท่วงท่าเปี่ยมด้วยอำนาจของราชาที่ยืนอยู่เหนือทุกคนในแผ่นดิน ดวงตาสีเทาจนเกือบดำดูลึกล้ำคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม นี่หรือเปล่านะที่เขาเรียกว่าหน้ากากของพระราชา?
“ถวายพระพรองค์ราชา ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี” ผมกับไอ้ธาเลียนแบบคำพูดในหนังย้อนยุคที่พวกแม่ๆ ของพวกเราชอบดู คุกเข่าเลียนแบบซะเหมือนทั้งที่ไม่รู้เลยว่าทำแบบนี้มันถูกต้องรึเปล่า เรียกเสียงหัวเราะถูกใจจากคนที่เป็นใหญ่ที่สุดในที่นี้ได้ดีนัก
“ลุกเถิดๆ ชายาตัวน้อยอย่าได้มากพิธีเลย” กษัตริย์เมซาดิอุสกล่าวอย่างใจกว้าง ผมกับไอ้ธาเลยรีบลุกและแอบหันไปยิ้มล้อเลียนกันว่า มึงก็กล้าทำไปได้เนอะ
“ลำบากพวกเจ้าแล้วที่ต้องดั้นด้นเดินทางมาไกล ยังไงก็คิดว่าที่นี่เป็นบ้านอีกหลังของพวกเจ้าแล้วกันนะ ชายาตัวน้อยและสหายผู้มาจากโลก”
“ขอบพระทัยที่ทรงเมตตาพ่ะย่ะค่ะ”
ท้ายเสียงไอ้ธาติดสั่นน้อยๆ เพราะมันกำลังกลั้นขำสุดพลังกับความมั่วเลอะเทอะของเราสองคน น้อยๆ หน่อยเถอะมึง ดูด้วยว่ามีกี่สายตาที่จ้องเขม็งมาทางเรา เดี๋ยวเขาก็เอาไปนินทาลับหลังว่าชาวโลกเป็นพวกลิงกังเพราะมึงหรอก
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้ากันหมดแล้ว เราขอเวลาเพียงสักครู่ให้ชายาตัวน้อยได้ทำความรู้จักกับโอรสของเราก่อน เพื่อที่ชายาตัวน้อยจะได้มีเวลาตัดสินใจก่อนพิธีต้อนรับจะมาถึง ฮาซาดิยาส ในฐานะโอรสองค์โต เจ้าควรเป็นผู้แนะนำตัวเองก่อน”
กษัตริย์เมซาดิอุสทำหน้าที่พ่อสื่อในทันทีที่กล่าวทักทายกันเสร็จ ผมยิ้มแห้ง ส่วนไอ้ธาแม่งแอบกลั้นหัวเราะอยู่ข้างๆ เมื่อชายคนหนึ่งที่มีรูปลักษณ์สง่าผ่าเผยเดินก้าวออกมาจากตำแหน่งที่อยู่ใกล้กับพระราชามากที่สุด
“ข้า ฮาซาดิยาส อองเตรย์ ดี ทาคาล ยินดีต้อนรับพระชายาจากต่างแดน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะเห็นที่นี่เป็นบ้านอีกหลัง หากมีปัญหาอันใดก็สามารถมาปรึกษาข้าได้ทุกเมื่อ”
คำทักทายสั้นแสนสั้นดังมาจากปากชายหนุ่มที่ดูอายุอานามไม่น่าเกินสามสิบ เขาเป็นคนตัวสูงใหญ่ ใบหน้าคมคายหล่อเหลา ดวงตาสีเทารับกับเส้นผมสีน้ำเงินจัด ร่างกายดูแข็งแกร่งกำยำ ผิวทั่วร่างเป็นสีน้ำผึ้งสม่ำเสมอ มองปราดเดียวก็รู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่พวกราชวงศ์ที่ดีแต่หมกตัวอยู่แต่ในปราสาทท่องตำรา คุ้นๆ ว่าเชอเชสเคยบอกว่าเจ้าชายองค์โตทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการทหารนี่แหละ ดูๆ ไปแล้วเขาเหมาะจะเป็นแม่ทัพมากกว่าเจ้าชายซะอีก
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร ลืมเรื่องการใช้ราชาศัพท์ไปซะสนิท แต่อีกฝ่ายกลับดูเหมือนไม่ใส่ใจ เขาเพียงพยักหน้าให้ ก่อนกลับไปยืนเป็นรูปสลักตรงตำแหน่งเดิม
“เจ้าชายของมึงโคตรจะดูดีเลย! แต่ไม่ไหวว่ะ ทำตัวแข็งอย่างกับหิน เล่นมุกไปทีแม่งยืนนิ่งจนมึงเซ็งแน่” ไอ้ธาเขยิบมากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน ซึ่งผมก็พยักหน้าเห็นด้วยแบบไม่คิดต่าง คนแบบนี้ผมค่อนข้างแพ้ทางเพราะอยู่ข้างๆ แล้วไม่รู้จะคุยอะไรด้วย จะไร้สาระใส่ก็กลัวเขาจะรำคาญ จะวิชาการจ๋าก็ตัวผมนี่เองที่จะทนรับสภาพนั้นไม่ได้ซะก่อน
คนแรกแนะนำตัวเสร็จไป ไอ้เราก็คิดว่าจะได้เห็นหน้าเจ้าชายคนที่สองต่อ แต่กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าทะเล้นที่ยกมือขึ้นขออนุญาตพระราชา
“เสด็จพ่อ ลูกขอแนะนำตัวต่อจากพี่ใหญ่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กษัตริย์ในชุดฉลองพระองค์สีแดงเปี่ยมอำนาจหัวเราะอย่างนึกเอ็นดูบุตรชายคนเล็ก พระองค์ทรงอนุญาตในทันที ไม่สนว่านั่นจะเป็นการลำเอียงหรือไม่
ทำแบบนี้มันสปอยเด็กชัดๆ เลย อีแบบนี้ถ้าวันหนึ่งเจ้าเด็กนี่เสียคนขึ้นมาไม่ต้องโทษเลยว่าเป็นความผิดใคร
“คารวะพระชายา ข้ามีนามว่า เฮอเทนีลุส อองเตรย์ ดี ซอโร เจ้าจะเรียกข้าว่าซอโรเฉยๆ ก็ได้นะ” เด็กหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เขาคลี่ยิ้มเจิดจ้าทักทายทำให้เห็นถึงความต่างที่ชัดเจนระหว่างน้องคนเล็กกับพี่คนโต
ซอโรเป็นเด็กหนุ่มรูปงามพราวเสน่ห์ เส้นผมสีทองคำทำให้ดวงหน้าของเขาดูอ่อนเยาว์สดใส ขับให้ดวงตาเรียวรีสีทับทิมยิ่งดูโดดเด่นเปล่งประกาย เขาสวมชุดแบบชาวดวงจันทร์คล้ายที่ผมกำลังสวมใส่ เสื้อตัวในเป็นสีขาวยาวกรอมเท้า คลุมทับด้วยผ้าเนื้อบางสีม่วงอ่อนปักลายไม้พันเป็นเกลียว ช่วงเอวรัดด้วยเชือกมัดใหญ่สีฟ้าคราม ดูอย่างกับพระเอกที่เพิ่งหลุดออกมาจากหนังจีน
“งั้นเรียกผมว่าวีแล้วกันครับ” ผมเอ่ยกลับไปอย่างเป็นมิตร เด็กคนนี้ดูน่าจะอายุอ่อนกว่าสองถึงสามปี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดูร้ายไม่ใช่เล่น แค่เห็นแววตาก็พอเดาได้แล้วว่านี่มันหมาป่าในคราบกระต่ายชัดๆ
“ได้เลยวีวี่ หลังจากนี้ถ้ามีเวลาว่าง เจ้าอย่าลืมมานั่งดื่มชาพูดคุยกับข้าบ้างล่ะ” พูดจบก็ขยิบตาให้แล้วหมุนชายผ้าเดินกลับไปยืนที่เดิมด้วยรอยยิ้ม ทิ้งให้ผมขนลุกเกรียวกับคำเรียกที่สาวแตกอย่างกับกระเทย
“วีวี่...วีวี่ว่ะเฮ้ย กั่กๆๆ”
ไอ้ธาถึงกับต้องยกสองมือปิดปากไม่ให้ตัวเองหลุดหัวเราะออกมา นี่ถ้าไม่ใช่กำลังยืนอยู่ในท้องพระโรงมีหวังมันขำก๊ากไม่ไว้หน้าผมไปแล้ว
“เก็บคำพูดหน่อยมึง” ผมแจกตาเขียวใส่มัน รู้สึกหน้าม้านไปเล็กน้อยแต่ก็ต้องฝืนยิ้มต่อไป
“งั้นต่อไปก็ถึงตาเจ้าแล้ว ลูกข้า”
เพราะมัวแต่ถลึงตาปรามไอ้ธาจึงไม่ได้ฟังว่ากษัตริย์เมซาดิอุสตรัสอันใดไปก่อนหน้า หันมาอีกทีพระองค์ก็ผายมือมาเบื้องหน้า มองตรงมาที่ที่พวกผมยืนอยู่จนผมกับไอ้ธาหันมาทำหน้างงใส่กัน ยังไม่ทันที่ไอ้ธาจะกระซิบถามอะไรออกมา ปากที่ปรกติมักจะพ่นแต่คำหมาๆ ก็อ้าปากค้างทำท่าพะงาบๆ เหมือนปลาขาดน้ำเมื่อเห็นนาเทลหมุนกายกลับมาค้อมตัวทำความเคารพพวกเรา
“ข้า ทาคานีออส อองเตรย์ ดี นาเทล ยินดีต้อนรับพระชายาวีและท่านธาสู่อาณาจักรแสงจันทร์ หากท่านทั้งสองประสงค์สิ่งใด อย่าได้เกรงใจที่จะเอ่ยปากบอกกับทางเรา หากไม่เหนือบ่ากว่าแรง พวกเราจะจัดหามาถวายให้พวกท่านให้จงได้”
ไม่แค่ไอ้ธาที่ช็อคค้างไปแล้วครับ ผมเองก็สะเทือนไตไม่แพ้ไอ้คนข้างๆ ที่ใช้บริการเจ้าชายแทนกระสวยอวกาศ บินลัดฟ้าจากโลกมาถึงดวงจันทร์ แถมยังได้เจ้าชายคนรองแห่งอาณาจักรแสงจันทร์คอยลูบหลังให้ตอนอ้วกแตกจนหมดไส้หมดพุงอีก
บุญหัวมึงแล้วไอ้ธาเอ๊ย ฮ่าๆๆๆ
“ไอ้เชี่ย... ทำไมเป็นหมอนี่ไปได้วะ”
ไอ้ธาทำหน้าเหมือนโลกจะแตกอยู่ตรงหน้า เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เรายังอยู่ที่คอนโดกันมันเล่นใช้งานเจ้าชายคนนี้สารพัด ทั้งใช้ให้ไปซื้อเครื่องดื่ม ซื้อของกิน ซักผ้า ตากผ้า กวาดพื้น ถูบ้าน ล้างจาน จนผมคิดว่านาเทลแปลงร่างเป็นเบ๊กลายๆ ของไอ้ธามันแล้วเพื่อแลกกับค่าห้องที่มันให้เชอเชสกับนาเทลพักอยู่ฟรีๆ โดยไม่คิดค่าน้ำค่าไฟ
ไงล่ะมึง ใช้งานเจ้าชายซะคุ้มเลยนะ ฮ่าๆๆ
“สมน้ำหน้า ไปแกล้งเขาไว้เยอะ ระวังเหอะจะโดนเขาเอาคืน” ได้ทีต้องรีบทับถมมันครับ เพื่อนล้มเราต้องรีบซ้ำ เป็นตรรกะที่ผมกับมันใช้มาตั้งแต่เด็กยันโตจนหมาเลียก้นไม่ถึงอย่างตอนนี้แหละ
จากอารมณ์ทิ้งดิ่งเลยเริ่มสดใสขึ้นเป็นกองเมื่อเห็นรอยยิ้มที่นาเทลจงใจส่งให้ไอ้เกลอเพื่อนผมโดยเฉพาะ หลังจากนี้คงได้มีเรื่องบันเทิงให้ผมติดตามฆ่าเวลาในระหว่างที่อาศัยอยู่บนดวงจันทร์แล้วล่ะ อั๊ดช่าา
ผมยิ้มร่า ทว่ายิ้มได้ยังไม่ทันถึงหนึ่งนาทีก็ต้องคิ้วกระตุกตามไอ้ธาไปติดๆ เมื่อเชอเชสดันเป็นอีกคนที่หันหน้ามาทางผม ดวงตาสีเทาอมม่วงแลดูมีเลศนัยคล้ายยิ้มแต่แกล้งทำเป็นไม่ยิ้ม
เฮ้ยๆๆ อย่านะ นั่นนายกำลังจะทำอะไรของนายน่ะ!
เชอเชสค้อมศีรษะให้ผมไม่ต่างจากที่นาเทลทำ แล้วพูดด้วยประโยคที่ทำให้ผมแทบกระอักเพราะเจอดาเมจสร้างความสะเทือนให้หัวใจรัวๆ
“ข้า เจ้าชายลำดับสามแห่งราชวงศ์แสงจันทร์ นาม คาเซดีนัส อองเตรย์ ดี เชอเชส หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านกับสหายจะพอพระทัยกับงานเลี้ยงต้อนรับที่ทางเราจัดขึ้นนะขอรับ พระชายาแห่งดวงจันทร์”
ผมผงะถอยหลังไปสามก้าว ไม่รู้ทำไมมันถึงได้คดีพลิกขนาดนี้...
จากคนที่คิดว่าเป็นแค่องครักษ์ มาบัดนี้บอกว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย...เจ้าชายเลยนะ!!!
พระเจ้า... พระองค์ทรงเล่นตลกกับลูกเกินไปแล้ว!
----------------------------------------------------------
พระเอกออกโรงงง หรือออกมาตั้งแต่ต้นละหว่า 55555555 //โดนถีบ
ปล. เค้าใส่ชื่อตอนและวันที่แล้วน้า ขอบคุณที่ช่วยแนะนำค่า