-15-
ง้อกระต่ายก็ไม่ยากเท่าไหร่หรอก(มั้ง)
กระต่ายของผมงอนตุ๊บป่องซะแล้ว...
หลังสงบศึกกับกลุ่มหมาป่าสีหมอกหันมาจับมือเป็นพันธมิตรกันแทน เจ้าม่วงก็จับผมอุ้มในท่าเจ้าสาว เดินดุ่มๆ ตามการนำของนายกองที่หนึ่งแห่งกองกำลังอะไรซักอย่างนั่นไปโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ บรรยากาศอึมครึมคลับคล้ายพายุจะเข้าเล่นเอาผมไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกปลายตีนให้กระต่ายหน้าบูดแถวนี้ขุ่นข้องหมองใจเพิ่ม แม้แต่เจ้าตัวพูดมากอย่างเซริมยังเฉาลงเหมือนผักเปื่อยเพราะถูกเจ้านายตัวเองหมายหัวเอาไว้เต็มกระบาล
“นี่…” ผมจิ้มอกเจ้าม่วงเรียกกระต่ายตัวโตที่ทำหน้าเครียดแบบไม่กลัวตะคริวแดกหน้า
“เชอเชส~~~” เพิ่มระดับเสียงเง้างอดขึ้นอีกนิด เวลาอ้อนอยากได้ของอะไรจากแม่ ผมก็ใช้วิธีนี้ทุกที แล้วมันก็ใช้ได้ผลแทบจะทุกครั้งด้วยถ้าคุณป๋าไม่โผล่เข้ามาซัดก้านคอผมซะก่อนข้อหาไปออเซาะเมียแก (แต่นั่นก็แม่ผมนะเฮ้ย!)
“นี่จะไม่พูดกับผมจริงๆ ใช่มั้ย!” ผมงัดตัวขึ้นมาจ้องหน้าเขา จับล็อคสองแก้มของเขาเอาไว้ไม่ให้หันหน้าหนีได้
“ทำอย่างนี้มันอันตรายนะครับท่านวี” เขาเตือนผมให้รู้ว่าเรากำลังอยู่บนทางลาดชันที่พร้อมจะกลิ้งโค่โร่ตกเขาไปได้ทุกเมื่อ ทำเป็นเสียงเข้มนะเจ้ากระต่ายนี่...
“บอกมาก่อนว่างอนผมเรื่องอะไร” ผมทำเสียงเข้มแข่ง ไม่ชอบเลยที่จู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายโกรธ? งอน? น้อยใจ? ไม่พอใจ? หรืออะไรก็ช่างเหอะ มีอะไรก็พูดมันออกมาสิ แมนๆ อ่ะเขาคุยกันด้วยคำพูดนะเฮ้ย คุยไม่รู้เรื่องก็ค่อยใช้หมัดคุย ไอ้มาเงียบให้ผมมานั่งเดาใจนี่... ไม่ใช่แนวว่ะ
“ท่านวีไม่ทราบจริงๆ หรือครับ?”
ถ้ากระผมทราบ กระผมจะลงทุนง้อ(?)อย่างที่เป็นอยู่นี่ไหมล่ะครับ?
จากตาดุๆ ที่เฉียงขึ้นยี่สิบห้าองศาเริ่มผ่อนคลายลง ผมเห็นนะว่ามุมปากมีแอบกระตุกยิ้มด้วยอ่ะ
“ไม่ชอบที่ผมไปกอดเซริม?” ก็ไม่ได้อยากจะคิดว่าเขาหึงผมหรอกนะ เพราะเขาก็ผู้ชาย ผมก็ผู้ชาย มาหงมาหึงกันมันจั๊กกะจี้น้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ
“ท่านเป็นชายาของข้า การไปอยู่ในอ้อมกอดผู้อื่นนับว่าไม่เหมาะสม”
อ้อ ที่แท้ก็ห่วงในเรื่องของความเหมาะสม
“อีกอย่าง...”
อีกอย่าง?
“ข้าไม่ชอบที่เห็นท่านไปกอดใคร และไม่ชอบ...ที่เห็นท่านตกอยู่ในวงแขนคนอื่นด้วย”
ชัดไหมล่ะไอ้วี...เจ้ากระต่ายนี่มันหึงมึงอยู่ชัดๆๆๆๆๆๆๆๆ
“โอเค ผมเข้าใจแล้ว” ผมยกมือหนึ่งขึ้นปิดหน้า อีกมือยกขึ้นยอมแพ้ รู้แล้วว่าตัวเองทำพลาดที่ตรงไหน “ทีหลังจะไม่เที่ยวกอดใครสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว เพราะงั้นเลิกงอนผมนะ”
“อืม... ถ้ายอมจูบข้าสักที ข้าจะทำเป็นไม่เห็นอะไรที่มันบาดใจก่อนหน้านี้ก็ได้ครับ”
เจ้ากระต่ายที่ถือไพ่เหนือกว่าฉีกยิ้มโรคจิตออกมาให้เห็น แถมเดี๋ยวนี้ยังฉลาดรู้จักต่อรองกับผมซะด้วย อย่าเห็นว่าผมทำผิดแล้วคิดจะเอาเปรียบผมได้ง่ายๆ นะเอ้ย!
“จริงด้วยสิ ข้ายังไม่ได้ไตร่ตรองความผิดของเซริมเลย โทษฐานที่บังอาจกอดชายาของรัชทายาทนี่ต้องได้รับโทษอย่างไรบ้างนะ ฟาฮา” เจ้าชายลำดับสามหันไปถามองครักษ์สีเงินของตนเอง ให้หนึ่งกระต่ายตัวดำๆ กับผมที่เป็นคนพากระต่ายตัวนั้นซวยพากันสะดุ้งโหยงพร้อมเพรียง
หน้าเจ้าดำเซริมนี่เบ้ไปแล้วครับ อีกนิดได้มีน้ำตาไหลพรากอ่ะที่รู้ว่าจะต้องถูกทำโทษ เขาหันมาสบตากับผมปิ๊งๆ ที่มีรหัสมอสแฝงมาบอกให้ผมช่วยเขาด้วย
เออ ทีนี้ล่ะมาทำหน้าอ้อนนะ ปรกตินี่ขยันแซวกันชิบหายวายป่วง
“เท่าที่ข้าจำได้ ผู้ใดก็ตามที่ล่วงเกินชายาแห่งดวงจันทร์จักต้องถูกโบยด้วยไม้จันทร์ยี่สิบครั้ง อดข้าวอดน้ำสามวัน และถูกปลดออกจากราชการ ห้ามเข้าวังอีกตลอดชีวิตขอรับ”
เหอออออ แค่กอดกันนิดเดียว(เพื่อป้องกันผมหนาวตาย)นี่ถึงกับโดนโบย งดข้าว งดน้ำ งดหนม(?) ถูกปลด โดนไล่ออกจากวังกันเลยเรอะ!?
โหดร้ายกันเกินไปแล้ว!!!
“เชอเชส นั่น(เบ๊)คนสำคัญของนายเลยนะ!” สองมือผมตะปบแก้มเจ้าม่วงอีกครั้ง พูดเตือนสติให้เขาเห็นถึงข้อดีของเซริมเข้าไว้ “ถ้านายลงโทษแล้วไล่เซริมออก ต่อจากนี้ใครจะช่วย(แบกของให้)นายห๊ะ เวลาที่นายต่อสู้ ใครจะเป็นโล่เป็นหอกให้นาย(ถ้าไม่ใช่เจ้าบ้านี่ที่ออกหน้าแทนตลอด) ไหนจะตอนกินข้าว ก็เป็นเจ้าดำนี่ไม่ใช่รึไงที่เป็นคน(หนู)ทดลองพิษให้น่ะ คิดสิคิด องครักษ์ที่(หลอก)ใช้งานง่าย ทำได้สารพัด ไม่เกี่ยงงอนว่าจะเป็นงานหนักงานเบาแบบนี้ นายจะไปหาที่ไหนได้อีก!”
ไอ้ข้อความที่ละไว้ในวงเล็บนั่นผมไม่ได้พูดออกไปหรอก แต่คนที่สามารถอ่านใจผมได้ย่อมต้องมองออกแน่ว่าผมต้องการจะสื่ออะไร ร่างเจ้าตัวโตที่อุ้มผมอยู่เลยดูสั่นๆ เล็กน้อย ใบหน้าเริ่มหลุดจากการเก๊กขรึม ผมก็อยากจะตบไหล่เขาแล้วบอกว่า ‘เฮ้ น้องชาย อยากขำก็ขำมาเลยดิ จะกั๊กเอาไว้ทำไม’ อยู่หรอกนะ แต่คิดอีกที...ไม่เอาดีกว่า เจ้าม่วงเวลานี้ยิ่งผีเข้าผีออกอยู่ เกิดพูดไปแล้วเขาไม่เล่นด้วยนี่มีแป้กนะวีนะ
ผมทิ้งตัวกลับมานอน(?)เรียบร้อยเหมือนเก่าเมื่อคุณนายกองหมาป่าเอ่ยปากเร่งให้พวกเราเดินตามให้ทัน บรรยากาศมาคุก่อนหน้านี้ดีขึ้นหนึ่งระดับอันเป็นผลมาจากการ(หลอก)ด่าเจ้าดำเซริมไปหนึ่งยก เจ้าม่วงดูจะอารมณ์ดีขึ้นหลายส่วน อย่างน้อยก็ไม่แผ่รังสีกดดันจนผมเผลอเกร็งตามไปด้วยแล้ว
ในระหว่างที่นอนโดยสารยานพาหนะสีม่วงไปเรื่อยๆ ผมก็คิดหาทางง้อ(?)ต่อ ปรกติเจ้าม่วงไม่ใช่เด็กขี้งอน น้อยครั้งนักที่เขาจะทำตึงตังใส่ผม นั่นแปลว่าเขาคงน้อยใจจริงอะไรจริงที่ผมไปซุกคนอื่นนอกจากเขา
เฮ้อออ เกิดมาสิบเจ็ดปีแฟนยังไม่เคยมี ทำไมกูถึงข้ามขั้นมาได้สามีแล้วมาเรียนรู้วิธีง้อหนุ่มในภาคปฏิบัติแทนที่จะเป็นสาวน้อยตาหวานรูปร่างอวบอึ๋มด้วยวะ... ก็ได้แต่บ่นไปงั้นแหละครับคุณกรวี แกมีทางเลือกอื่นอีกไหมล่ะ เพราะงั้นคิดสิคิด ทางอื่นที่จะทำให้เจ้าม่วงของนายหายงอนโดยไม่ต้องจูบปากง้อน่ะ
“เชอเชสครับ”
เอาดิ กูเริ่มพูดสุภาพด้วยแล้วนะ จะไม่หายงอนก็ให้มันรู้ไป
“หายงอนวีนะ”
ผมช้อนตาอ้อน แทนตัวเองด้วยชื่อแทนที่จะเป็นคำว่าผม ปิดท้ายด้วยการยกสองมือขึ้นคล้องคออ้อนกระต่ายขี้น้อยใจด้วยมารยาทั้งหมดที่มี(ทำไมกูเริ่มรู้สึกว่าตัวเองแรดจังวะ)
“นะ” กระเซ้าอีกนิดเพื่อสร้างดาเมจที่รุนแรงขั้น MAX
และผลลัพธ์ที่ได้...
“อ๊ากกกกกก หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะเชอเชส หยุด! หยุด!! ผมบอกให้หยุดไงเล่า!!!!!!!!”
โฮ...
ผมไปเป็นเจ้าบ่าวให้ใครไม่ได้อีกแล้ว!
ในขณะที่ผมยกสองมือขึ้นปิดหน้าไม่กล้าสบตาใคร ไอ้ตัวต้นเหตุดันเดินยิ้มแฉ่งอย่างกับอมดวงตะวันเข้าไปทั้งลูก แม่งงงงง คิดแล้วก็อยากจับกระต่ายแถวนี้ยัดลงหม้อ ต้มน้ำให้เดือด ตุ๋นให้เปื่อย เอาให้เนื้อยุ่ยจนจำสภาพไม่ได้เลยว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ไหนมาก่อน
เชอเชสนะเชอเชส กล้าดียังไงมาจับผมจูบต่อหน้ากระต่ายสองตัว บวกกับพวกหมาป่าที่จำนวนล่อไปอีกครึ่งร้อย อ๊ากๆๆๆ แค่คิดก็อยากจะลงไปกระซิกที่พื้น แดดิ้นด้วยความโกรธ เอาหน้าแนบหิมะให้หายร้อน ถ้าให้ดี เอาเจ้าตัวต้นเรื่องฝังแม่งทั้งเป็นใต้กองหิมะได้จะเป็นอะไรที่แหล่มเป็ดที่สุดในสามโลก!
ฮืออออ ผมอยากได้ยาลบล้างความจำ จะสาดแม่งล้างตาทุกคนที่ได้เห็นฉากอันไม่พึงประสงค์เมื่อครู่ จากนั้นก็เอามากลั้วปากต่อค่อยแดกแม่งให้ลืมเอง แต่ประเด็นคือผมไม่รู้จะไปหาไอ้ยาที่ว่านี่ที่ไหน ไว้เจอตัวคุณเชษฐ์เมื่อไหร่คงต้องลองถามเฮียแกดู เป็นเทพกระต่ายมาหลายปีถึงขั้นสร้างอาวุธและโล่สุดเจ๋งขึ้นมาได้ มันก็ต้องมีอะไรเด็ดๆ ให้ผมเอามาใช้ได้บ้างล่ะน่า
หรือผมจะจับเจ้าพวกนี้โหม่งต้นไม้เรียงตัวเลยดีวะ... เอาแม่งให้ความจำเสื่อมกันไปเลย
แต่ดูจากจำนวน...
เออ กูยอม
“กลุ้มใจขนาดนั้นเชียวหรือครับ?” พาหนะกระต่ายที่ยิ้มหน้าบานแข่งกับจานดาวเทียมบ้านผมถามยิ้มๆ เล่นเอาผมหน้าบูดหนักกว่าเก่าสิบเท่า ชิชะ ยังมีหน้ามาถาม
“ท่านเป็นชายาของข้า เรื่องพวกนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องอายใคร”
ผมรีบหันขวับไปถลึงตาใส่เขา
นี่มันตรรกะอะไรของเอ๊งงงงง!?!?!?
“หยุดเลยๆ” ผมยกมือขึ้นห้ามเจ้าตัวหน้าไม่อายที่กล้าปล้ำจูบผมต่อหน้าธารกำนัลกว่าครึ่งร้อย “ฟังนะเชอเชส ที่ประเทศของผมเขาค่อนข้างถือเรื่องพวกนี้ ไม่ว่าจะกอด จูบ ลูบ คลำ หอมแก้ม หรืออะไรที่มันมากกว่านั้น ควรทำเวลาอยู่กันสองต่อสอง ไม่ใช่ต่อหน้าคนเป็นสิบๆ แบบนี้ เข้าใจไหม!?”
“แปลว่าถ้าอยู่กันสองคน ข้าสามารถทำได้สินะครับ”
“ชะ...” ผมเกือบหลวมตัวพูดคำว่าใช่ไปแล้ว ดีนะยังไหวตัวทัน เงยหน้ามองกระต่ายที่นับวันยิ่งเจ้าเล่ห์ขึ้นทุกทีแล้วตีหน้าเครียดขึ้นบ่งบอกว่าผมไม่เล่นด้วยนะเอ้ย “จะบ้าหรอ คนเราเวลาจะจูบกันมันต้องเต็มใจทั้งสองฝ่ายเซ่ ไม่ใช่มาบังคับจูบกันแบบนี้!”
“ท่านวีไม่อยากจูบกับข้าหรือ...”
เอาแล้วไง เจ้าม่วงนี่มันเริ่มงัดลูกอ้อนขึ้นมาใช้กับผมละไง ตานี่วิ้งๆ มาเลย ขาก็หยุดเดินอีกแล้ว เฮ้ยๆๆ เลิกตีหน้าเศร้าแล้วก้าวต่อไปได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปไม่ทันที่ท่านลุงหมีดาเนสนัดหรอก
“เชอเชส มันไม่ใช่อย่างนั้น...”
“แล้วมันอย่างไหนครับ”
โว๊ะ ทำไมต้องมาทำตาอ้อนเร่งเอาคำตอบด้วยวะ กูคิดไม่ทันนะเอ้ย!
“ก็...” คือแบบว่าคิดคำแถไม่ออกไงครับ เลยลากคำว่าก็ไปเสียยาวจนแทบจะกลายเป็นงูกินหางได้อยู่แล้ว
“ก็...?” ไอ้นี่ก็เร่งจัง
“อ่า...มันก็แบบว่า...ต้องดูอารมณ์ตอนนั้นด้วยมั้ง”
โอยยย เจ็บสีข้างแปล๊บๆ เลยว่ะไอ้วี แถไปแบบนี้เจ้าชายกระต่ายมันจะทรงเก็ทป่ะวะ ขนาดกูยังงงเลยว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เหอๆๆ
“อารมณ์สินะครับ...” เชอเชสผงกหัวเหมือนเข้าใจ แต่เข้าใจในทางไหนนี่ผมไม่คิดจะเอ่ยปากถามหรอกนะ เดี๋ยวงานเข้ากูอี๊กกกกกก
“ไอ้วี!!!”
“เชี่ยธา!!!”
“แสรดดด ทักกูได้น่าถีบมากกกกกกกก”
ผมหัวเราะฮ่าๆ เมื่อโดนเจ้าเพื่อนบ้าไล่ถีบจริงๆ อย่างที่ปากมันพูด ตอนนี้พวกเรามารวมพลกันใต้ต้นไม้ที่ออกผลสีทองคำกันครบหมดแล้วครับ โดยกลุ่มผมมาถึงเป็นกลุ่มสุดท้าย โดนท่านลุงหมีเอ็ดไปชุดใหญ่เลยที่ทำอะไรชักช้า แต่พออธิบายสถานการณ์ให้ฟังพร้อมกับแนะนำผู้ร่วมขบวนการคนใหม่ให้รู้จัก จากที่โดนถล่มน้ำลายด่าใส่ไม่ยั้งเลยแปรเปลี่ยนกลายเป็นคำชมโดยพลัน เรียกได้ว่าพลิกหน้ามือเป็นหลังตีนกันเลยทีเดียว
“ไม่พบหน้ากันเสียนาน หวังว่าท่านคงสบายดีนะขอรับ ท่านลุงดาเนส” เจ้าสีหมอกโค้งตัวคำนับแม่ทัพร่างหมีที่แย้มยิ้มอย่างยินดีที่ได้เจอลูกชายของเพื่อนสนิท
“ข้าสบายดี ไม่คิดเลยว่าเจ้าสามจะไปป๊ะกับเจ้าเข้าโดยบังเอิญ นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายของมันแล้ว” ชายร่างใหญ่คล้องคอเจ้าม่วงไว้แน่น ให้นายกองหมาป่ารับรู้ว่าเจ้าสามที่ท่านดาเนสพูดถึงนั้นหมายถึงใคร
“ท่านลุงกล่าวเกินไปแล้ว ฝีมือของท่านเชอเชสยังเหนือกว่าข้าอยู่หลายขุมนัก หากมีอันต้องปะทะกันจริง คงเป็นฝ่ายข้าที่อาจพลาดพลั้งเสียทีก่อน”
“เจ้าก็ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ฮ่าๆๆ มาๆ เดี๋ยวข้าจะแนะนำเจ้าหนูพวกนี้ให้เจ้าได้รู้จัก” ว่าแล้วก็ฟาดฝ่ามืออรหันต์ลงกลางหลังเจ้าสีหมอกดังป้าบจนผมเผลอสะดุ้งแทน เหอๆๆ ไม่ยั้งมือกันเลยสักนิด...
ไอเย็นๆ ที่แผ่ออกมาร่างเจ้าสีหมอกอาจไม่สะเทือนคนหนังหนาอย่างลุงหมีได้ แต่กับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กตัวน้อยอย่างผมที่ไม่มีเวทย์ทำให้ตัวอุ่นอย่างคนอื่นเขานี่รับเคราะห์เต็มๆ เลยนะครัช...แกร๊ซซซ
แล้วกิจกรรมสานสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรก็เริ่มต้นขึ้น ท่านดาเนสแนะนำให้พวกเราได้รู้จักกับ 'เทรซัส เพอนาเชส' บุตรชายคนที่สิบสี่ของแม่ทัพสี่คทาผู้เป็นสหายร่วมรบของท่านแม่ทัพเจ็ดดาบ กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ก็ลูกของเพื่อนสนิทที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ยืนยันอีกแรงว่าไว้ใจได้ ผู้ใหญ่การันตีมาแบบนี้ทุกคนเลยอ้าแขนต้อนรับแต่โดยดี ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันอีกนิดก็กลับเข้าเรื่องที่ว่าจะบุกเข้าไปชิงตัวเทพกระต่ายคืนมาอย่างไรไม่ให้มันเอิกเกริกจนเกินไป
“นี่เป็นแผนที่ปราสาทหลังนี้ขอรับ”
บุตรชายแม่ทัพสี่คทาใช้เวทย์เสกแผนที่สามมิติขึ้นมาให้ผมกับไอ้ธาตาพราว มันเป็นแบบจำลองสมจริงที่มีบอกไว้หมดว่าห้องหับมีทั้งหมดกี่ห้อง มีชั้นทั้งหมดกี่ชั้น กระทั่งเส้นทางใต้ดินก็ยังมี ไม่ทราบเหมือนกันว่าพี่แกไปก๊อปปี้มาจากไหนถึงได้หาข้อมูลได้ละเอียดยิบขนาดที่กับดักมีกี่ชั้น วางไว้ตรงไหนบ้างก็ยังระบุไว้หมด
“ท่านลุง ข้าวางเขตแดนทับของเก่าเรียบร้อยแล้วนะขอรับ”
เจ้าสี่ที่หน้าซีดหน่อยๆ เพราะใช้พลังมากเกินไปเดินเซกลับมารวมกลุ่ม ข้างกายมีสององครักษ์หน้าตาน่ารักคอยดูแล เซริมเคยกระซิบบอกว่าอย่าได้ถูกหน้าตาองครักษ์ของซอโรหลอกเอาเด็ดขาด เห็นหวานๆ น่าแกล้งแบบนั้นแต่ดันโหดสุดในบรรดาองครักษ์ด้วยกัน ใครยังไม่อยากชะตาขาดก็อย่าได้เอาปากไปแกว่งวาจาหาเรื่องเจ้าโหดสองตัวนี้ให้เงาหัวหาย ดีไม่ดีจะได้กลายเป็นศพในวันรุ่งขึ้น โชคดีหน่อยก็อาจแค่บาดเจ็บปางตาย แต่ไม่ว่าทางไหนก็จบไม่สวยสักทาง
“เหนื่อยเจ้าแล้วน้องสี่ ไปพักผ่อนก่อนเถิด ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกข้าเอง”
นาเทลตบไหล่ซอโรแล้วยิ้มให้ เชอเชสเองก็ทำตามแล้วสั่งให้องครักษ์หน้าหวานทั้งสองพาน้องชายคนเล็กของตัวเองไปนั่งพักให้หายเหนื่อย ไม่ลืมกำชับย้ำว่าให้ดูแลให้ดี เป็นเด็กติดพี่ไม่พอยังเป็นโรคห่วงน้องจนเกินเหตุอีกด้วยแฮะ ครอบครัวนี้รักใคร่กลมเกลียวกันดีแต้ คนนอกอย่างผมเห็นยังปลื้มใจแทนพ่อแม่ที่เลี้ยงเจ้าพวกนี้มาเองกับมือ
“เอาล่ะ จากสายข่าวของข้าที่ได้รับรายงานมา จุดที่คาดว่าน่าจะใช้เป็นที่คุมขังเจ้าบ้านั่นมีอยู่สี่ที่ คือนี่ นี่ นี่ และนี่”
นิ้วชี้จิ้มลงไปบนภาพโฮโรแกรมเกิดเป็นมาร์คสีขาวบอกตำแหน่งขึ้นมาสี่จุด สถานที่แรกคือยอดปราสาทที่อยู่สูงได้ใจ ถัดไปเป็นห้องที่อยู่ชั้นสามฝั่งขวาของปราสาท จุดที่สามเป็นบริเวณห้องเก็บของที่อยู่ชั้นหนึ่งหลังห้องครัว และสุดท้าย ตำแหน่งที่ทำให้ทุกคนหนักใจและไม่อยากไปสำรวจมากที่สุด...ห้องคุมขังนักโทษที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทรมาน
'เชอเชส เราไปห้องฝั่งขวากันดีมั้ย'
ผมถามความเห็นเจ้าม่วงอย่างไว เจ้าตัวที่ยังไงก็ได้พยักหน้าบอกตามไหนตามนั้น กำลังจะเปิดปากบอกท่านลุงหมีว่าผมขอเลือกไปที่นี่กับเชอเชส แต่ก็ยังช้ากว่าใครอีกคนที่กลัวที่สูง และไม่ถูกจริตกับที่มืดแคบ คุกใต้ดินนี่มันยิ่งอยากหนีห่างให้ไกล
“ผมกับนาเทลรับอาสาไปดูที่นี่ให้เองครับ!” เจ้าเพื่อนบ้าของผมจิ้มจึกลงตำแหน่งเดียวกับที่ผมเล็งเอาไว้ตั้งแต่แรก สีหน้าแม่งมุ่งมั่นมาก ลองเอ่ยปากกล้าแย่งกับมันดูสิคงได้มีมวยต่อยตีกันไปข้าง
“ได้ ตกลงตามนั้น”
คำตัดสินของท่านลุงหมีเป็นใบเบิกทางให้ไอ้เพื่อนตัวดีหันมายักคิ้วใส่ผม ระดับไอ้ธาที่คบหากันมานานมีหรอจะไม่รู้ว่าผมเองก็อยากเลือกไปที่ห้องนี้เหมือนกัน มันเลยรีบตัดหน้าผมไงครับ แบบใครไวกว่าได้ก่อน ใครช้าก็อดแดกไปตามระเบียบ ผู้พ่ายแพ้มีแต่ต้องช้ำใจกลับไปเท่านั้น
และคนนั้นคือกรู...
“งั้นผม...”
ผมกำลังจะจิ้มตำแหน่งใหม่ที่ดูไฉไลไม่แพ้ห้องทางปีกขวา แต่ก็ยังช้ากว่าเจ้าสี่ที่อยากขึ้นที่สูงไปสูดอากาศเย็นๆ ให้ชุ่มปอด ตำแหน่งหอคอยสูงละลิ่วที่น่าจะเห็นวิวทิวทัศน์ของอาณาจักรน้ำแข็งเกือบหมดจุดนี้เลยตกเป็นสถานที่สำรวจของเจ้ากระต่ายตาแดงไป ซอโรยิ้มพอใจก่อนกลับไปนอนตักองครักษ์ตัวเองเพื่อฟื้นฟูพลังต่อ เล่นเอาผมพูดไม่ออกไปครู่หนึ่งที่ถูกตัดหน้าไปถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน (ซึ่งคนหลังบ่นแม่งไม่ได้ด้วยดิ เพราะองครักษ์แม่งโหดสลัดจนไม่อยากมีเรื่องด้วย)
ตอนนี้เลยเหลืออีกแค่สองห้องที่ห้องหนึ่งโคตะระจะไม่พิสมัยสำหรับผมเลย ครั้งนี้ผมจึงไม่รอช้า รีบจิ้มจึกลงไปยังตำแหน่งที่อยู่โซนหลังของปราสาทแบบไม่กะยกพื้นที่สำรวจตรงส่วนนี้ให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น
แต่คุณครับ เคยได้ยินประโยคที่ว่า 'ฟ้ากลั่นแกล้ง' กันบ้างไหมครับ
วินาทีที่ผมก้าวขาไปข้างหน้า พร้อมกับพุ่งปลายนิ้วไปยังตำแหน่งที่ต้องการ เล็งแบบกะไม่พลาดด้วยใจที่ตั้งมั่น ทว่าจังหวะที่ส้นเท้าย่ำลงไปบนพื้น ความลื่นที่เกิดจากน้ำแข็งเกาะกุมพื้นหินจึงบังเกิด
อย่างกับเป็นภาพสโลโมชั่นที่ผมเห็นตัวนิ้วตัวเองค่อยๆ ชี้ขึ้นฟ้า ขาที่ลื่นปรื้ดชี้โด่ชี้เด่ตามแรงหมุน ตัวไถลเข้าไปใต้ภาพโฮโลแกรมรูปปราสาทที่สร้างขึ้นจากเวทย์ของมนุษย์หมาป่าตาสีฟ้าที่เย็นเจี๊ยบถึงใจ แล้วมันก็ดันพอดี๊พอดีกับที่ปลายนิ้วชี้ของผมจิ้มจึกไปตรงห้องที่อยู่ชั้นล่างสุดของปราสาทที่ไม่ต้องบรรยายก็คงพอทราบว่าแม่งจะโคตรหลอนชวนจิตป่วงขนาดไหน
เห็นมาร์คสีขาวระบุตำแหน่งที่ผมจิ้มลงไปประหนึ่งว่าที่นี่กูจองแล้ว ห้ามใครหน้าไหนมาแย่งเด็ดขาด มันทำให้ผมอยากจะแหกปากร้องตะโกนออกมาดังๆ
งานเข้าตูข้าอีกแล้ว ไอ้วีเอ๊ยยยยย!!!!
--------------------------------------------------------------------
สโลแกนของนุ้งวีที่เจ๊ํขอตั้งให้ > เป็นนายเอกเรื่องนี้ต้องอดทน เจอกระต่ายชนต้องไม่ตาย
ซวยไม่บันยะบันยังต่อไปค่ะลูก แม่ชอบเห็นหนูดิ้นรน 555555555