เอาต้นฉบับเล่มนี้ไปรีไรท์มาใหม่ค่ะ รีไรท์ที่เหมือนจะเขียนใหม่ทั้งเรื่อง 555 ปรับพล็อตใหม่ ปรับคาแรคเตอร์ตัวละครใหม่หมด ไปอ่านเองแล้วเห็นข้อผิดพลาดกับความไม่สมเหตุสมผลเยอะ หนูแดงเลยตัดสินใจรื้อใหม่ทั้งเรื่องเลยค่ะ
อันนี้จะเอาลงให้อ่านพาร์ทละ 4 ตอนเช่นเคย จะทยอยมาอัพให้นะคะ
------------------------------------------
[Kyta’s Part]
Prologue
ผมเป็นลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาว...
ครับ ฟังไม่ผิดหรอก ผมเป็นลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ยูนิกมาที่ว่ากันว่าเป็นชาติพันธุ์ฮิวมานอยด์ที่สูงส่งในอันดับต้น ๆ ของจักรวาล สูงส่งขนาดที่ไปที่ไหนก็ต้องมีคนรู้จักและให้ความเคารพยำเกรง ทว่าอีกสายเลือดหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในกายผมกลับเป็นเลือดของมนุษย์โลก หรือที่รู้จักกันไปทั่วทั้งอวกาศว่าชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสายพันธุ์ฮิวมานอยด์ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่สุดในอวกาศ พูดง่าย ๆ ก็คือล้าหลัง ถ้าเทียบกับชาติพันธุ์บนโลก ก็ออกแนวคนป่า มีอารยธรรมแต่ไม่เจริญอะไรเทือกนั้น
ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจนัก เพราะไม่ว่าอย่างไร ผมก็ได้รับการเคารพยกย่องจากชาติพันธุ์อื่นอย่างที่ลูกหลานชาวยูนิกมาควรจะเป็น
ทำไมน่ะเหรอ?
ก็พ่อฝั่งที่เป็นมนุษย์ต่างดาวอย่างพ่อคีธเป็นชาวยูนิกมาน่ะสิ ไม่ใช่ชาวยูนิกมาธรรมดาด้วยนะ เป็นถึงผู้พิทักษ์ขององค์ราชารัชกาลปัจจุบันแห่งยูนิกมา ทั้งยังมีวีรกรรมที่เรียกได้ว่าสร้างประโยชน์แก่มวลสิ่งมีชีวิตในอวกาศมามาก ผมซึ่งเป็นลูกก็เลยได้รับการพูดถึงไปด้วย แต่ไม่ได้ถูกพูดถึงในฐานะลูกคนแรกของเขา
ถูกพูดถึงในฐานะผู้พิทักษ์ของเจ้าชายอาร์ทูโร รามูเอลี ที่เก้า ซึ่งเป็นพระโอรสพระองค์เดียวและมีสิทธิ์ในการครองบัลลังก์ต่อจากองค์ราชาพระองค์ปัจจุบันต่างหาก
ถ้าถามว่าผมมาเป็นผู้พิทักษ์ได้ยังไง อาจจะต้องบอกว่ามันเป็นการสืบทอดตำแหน่งทางสายเลือด และแน่นอนแหละว่าพ่อผมอีกคนอย่างพ่อกวินทร์ซึ่งเป็นมนุษย์โลกไม่เห็นด้วยอย่างแรงกล้า ไม่สนับสนุนให้ผมไปทำหน้าที่ใด ๆ เกี่ยวกับผู้พิทักษ์เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเจ้าชายอาร์ทูโร หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า อาร์ จะเป็นลูกชายของเพื่อนสนิทพ่อกวินทร์ก็ตาม
และเพราะเหตุนี้ ผมเลยไม่ได้เจอกับองค์ชายอีกเลยตั้งแต่ที่เราแยกกันเมื่อตอนผมอายุสิบขวบ ได้ยินลุงแอสตันกับลุงริชาร์ดบอกว่าส่งอาร์ไปเรียนรู้อารยธรรมของชาวยูนิกมากับองค์ราชาพระองค์ก่อน
แล้วก็ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมผมถึงเรียกเจ้าชายอาร์ทูโรว่าอาร์เฉย ๆ แล้วเรียกองค์ราชารัชกาลปัจจุบันกับพระชายาว่าลุงอย่างสนิทสนม นั่นเป็นเพราะพ่อกวินทร์สั่งห้ามน่ะครับ ที่สั่งห้ามเป็นเพราะพ่อกวินทร์กลัวว่าผมจะถูกแบ่งลำดับชั้นแล้วจะถูกข่มอะไรประมาณนั้น แรก ๆ ผมก็ไม่กล้าทำตามพ่อกวินทร์เหมือนกันด้วยพ่อคีธไม่เห็นด้วย แต่พอลุงริชาร์ดกับลุงแอสตันเอ่ยปากอนุญาตด้วยไม่ได้คิดอะไรมาก ผมเลยเรียกทั้งหมดด้วยสรรพนามนี้มาตลอด
หากแต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่ากับตอนที่ผมอายุสิบแปดเช่นตอนนี้ เพราะตอนนี้ผมกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก
มองเผิน ๆ ก็เหมือนจะไม่มีปัญหาเพราะผมใช้ชีวิตเหมือนเด็กไฮสคูลมนุษย์โลกทั่ว ๆ ไป ที่พอเรียนจบไฮสคูลแล้วก็เลือกทางเดินของชีวิตตัวเองว่าจะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยหรือจะไปทำงาน ใจจริงผมอยากจะทำงานด้วยผมไม่ใช่คนหัวดีสักเท่าไหร่ เป็นสตั๊นแมนของกองถ่ายฮอลลีวูดอย่างพ่อคีธก็ได้ ผมเองก็มีเส้นสายและพอจะมีแมวมองมาติดต่ออยู่เหมือนกันด้วยพ่อคีธเทรนผมให้รู้จักศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เด็ก ทว่าพ่อกวินทร์ที่ทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ค่ายหนังกลับไม่เห็นด้วย สนับสนุนผมให้เรียนต่อเสียอย่างนั้น เหตุผลก็เพราะว่า...
ผมเป็นตัวอันตรายสำหรับคนอื่น
ฟังเหมือนเป็นเรื่องน่ากลัว ทว่าจริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้ไปทำร้ายอะไรใครอย่างนั้นหรอกนะ เพียงแต่ด้วยความที่ผมเป็นลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาว ผมจึงได้ความสามารถและทักษะพิเศษบางอย่างที่ชาวยูนิกมาติดตัวมาด้วย ซึ่งนั่นก็คือประสาทสัมผัสที่ดี ทั้งหู ตา จมูก ที่รับรู้ได้ไวและมากกว่ามนุษย์โลกทั่วไป และการที่มีพลังกายมากผิดปกติ
จริง ๆ พ่อคีธใช้คำว่า ‘แข็งแรงสมบูรณ์สมเป็นชาวยูนิกมา’ แต่ในสายตาพ่อกวินทร์ เขาว่ามันผิดปกติน่ะ นั่นก็เพราะผมยังยั้งแรงของตัวเองไม่ค่อยได้ในบางครั้ง เขาเลยกลัวว่าถ้าผมไปทำงาน ผมอาจจะทำอันตรายให้คนอื่นได้ อะไรไม่ว่า เขากลัวผมจะถูกตำรวจจับเข้าซังเตในข้อหาทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจอะไรประมาณนั้น ทำให้การที่จะไปเป็นสตั๊นแมนถูกปัดตกไป และกลายเป็นถูกส่งตัวเข้ามหาวิทยาลัยแทน
สงสัยใช่มั้ยล่ะว่าไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยมันช่วยให้ผมไม่ไปเป็นตัวอันตรายสำหรับคนอื่นได้ยังไง
ผมจะบอกให้ จริง ๆ แล้วในดาวเคราะห์ดวงนี้ มีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่มากมาย หลายเชื้อชาติ หลายสายพันธุ์ ซ้ำยังแทรกซึมเข้าไปทำงานในองค์กรระดับโลกอีกเพียบ ดังนั้นการที่จะมีลูกหลานของมนุษย์ต่างดาวมาเพ่นพ่านแฝงตัวกับมนุษย์โลกแท้ ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก และเพราะเหตุผลนี้ ทำให้มนุษย์ต่างดาวที่แฝงตัวเคลื่อนไหวอยู่ในองค์กรการศึกษาก่อตั้งชมรมหรือกลุ่มสำหรับรวบรวมลูกหลานมนุษย์ต่างดาวเอาไว้ด้วยกัน
นั่นแหละ ผมเลยถูกส่งตัวเข้ามหาวิทยาลัยล่ะ... มหาวิทยาลัยที่มีกลุ่มองค์กรสำหรับดูแลลูกหลานมนุษย์ต่างดาวโดยเฉพาะ
องค์กรที่มีชื่อว่า ‘เอเลี่ยนคิดส์’
พ่อกวินทร์เชื่อว่านอกจากผมจะไม่ไปทำให้คนอื่นตกอยู่ในอันตรายแล้ว ผมเองยังจะปลอดภัยด้วยหากอยู่ที่นี่ ผมเลยไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไร ในเมื่อเขาอยากให้ผมเรียนต่อก็ไม่มีปัญหา ก็พ่อกวินทร์เป็นคนที่รักและห่วงลูก ๆ มากกว่าใครอยู่แล้วนี่นา เชื่อเถอะว่าเขาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผมแล้ว
“คีตา เดี๋ยวไปเอากระเป๋าหลังรถแล้วเช็คก่อนนะว่าเอาของที่จำเป็นมาครบมั้ย ถ้าไม่ครบ เดี๋ยวพ่อกลับไปเอามาให้วันหลัง”
พ่อกวินทร์ว่าขึ้นหลังจากที่พ่อคีธขับรถแวนครอบครัวประจำบ้านเรามาถึงยังมหาวิทยาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะลงจากรถไปจัดการตามที่พ่อกวินทร์สั่ง ไม่นาน พ่อ ๆ ทั้งคู่ก็ลงจากรถตามมาบ้าง มายืนมองผมเปิดกระเป๋าสัมภาระที่พ่อกวินทร์จัดให้เมื่อหลายวันก่อนเพื่อเช็คของเงียบ ๆ
“ไง ตกลงไม่ลืมอะไรนะ”
“ไม่ลืมครับ” ผมตอบรับ สงสัยว่าพ่อกวินทร์จะลืมไปแล้วว่าเป็นคนจัดกระเป๋าให้ผม ถ้าลืมอะไรก็แปลกแล้วล่ะ
“ไม่ลืมก็ดี จะได้ไม่ต้องพะว้าพะวงอะไร” พ่อกวินทร์ว่าไปตามเรื่อง ทำให้พ่อคีธที่ยืนมองอยู่นานแทรกขึ้นมา
“คนที่พะว้าพะวงน่ะ กวินทร์ต่างหาก”
ผมเห็นด้วยกับพ่อคีธอย่างแรง ก่อนจะรีบย้ายฝั่งเมื่อเขาถูกพ่อกวินทร์หันไปต่อยหน้าอกดังอั้ก ถึงจะรู้ว่าแรงของพ่อกวินทร์ไม่ทำให้พ่อคีธสะทกสะท้านได้ แต่ผมก็ไม่เสี่ยงเข้าข้างพ่อคีธหรอก ขืนโดนพ่อกวินทร์บ่นไปด้วยขึ้นมา มีหวังหูชาแน่
“ไม่ต้องพูดมาก ฉันเป็นห่วงลูกฉัน นายมีปัญหาอะไร”
ไม่ใช่แค่ต่อยอย่างเดียว ตอนนี้ทำท่าหาเรื่องด้วย พ่อคีธทำหน้านิ่ง ๆ แล้วส่ายหน้า
“ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
“ไม่มีปัญหาอะไรก็หุบปาก”
พ่อคีธหุบปากสนิทเลย
เป็นไงล่ะ พ่อบ้านใจกล้า เป็นผู้พิทักษ์ชื่อดังที่มีแต่คนทั่วจักรวาลหวั่นเกรงก็เท่านั้น โดนพ่อกวินทร์สวนเข้าหน่อยก็ไปไหนต่อไม่ถูกแล้ว
ผมแอบขำพ่อทั้งสองในใจ แต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า ผมค่อนข้างจะเป็นพวกแสดงสีหน้ายากสักหน่อย ทั้งนี้ก็ต้องโทษพ่อคีธนั่นแหละที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ตอนเด็ก ๆ พ่อคีธเคยสอนว่าการเป็นผู้พิทักษ์ต้องไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ให้คนที่เราดูแลอยู่ลำบากใจ ดังนั้นผมเลยเป็นพวกเก็บอาการตั้งแต่นั้นเรื่อยมา แน่นอนล่ะว่าพ่อกวินทร์ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ก็พ่อกวินทร์น่ะ เป็นพวกที่รู้สึกอะไรแล้วก็แสดงออกมาเลยมากกว่า เหมือนกับคินน์ไม่มีผิด
เอ้อ คินน์นี่คือน้องชายผมน่ะ เราอายุห่างกันปีนึง แต่คินน์ไม่ได้อยู่กับเราตั้งแต่อายุเก้าขวบแล้ว ถูกพ่อกวินทร์ส่งไปอยู่กับย่าและป้า ๆ ที่ประเทศไทยด้วยเหตุผลว่าถูกเพื่อนซึ่งเป็นลูก ๆ ของเพื่อนพ่อ ๆ อีกทีแกล้งจนเข้าขั้นวิกฤต เลยให้ไปเจอสังคมดี ๆ ที่ทำให้คินน์หายจากอาการหวาดผวาได้
ผมยืนมองพ่อกวินทร์บ่นพ่อคีธต่ออีกยาวเหยียด จากเรื่องที่ขัดคอพ่อกวินทร์เมื่อครู่นี้ ตอนนี้เริ่มกลายเป็นเรื่องงานบ้านที่พ่อคีธยังทำไม่เสร็จ เรื่องงานสตั๊นแมนที่พ่อคีธไปรับทั้งที่พ่อกวินทร์บอกแล้วว่าให้อยู่บ้านเฉย ๆ ด้วยช่วงนี้พ่อคีธขยันทำงานเกินไป สาเหตุก็มาจากมีอยู่ช่วงนึงที่พ่อกวินทร์ป่วยนั่นแหละ พ่อคีธเลยรับหน้าที่หาเงินเข้าบ้านแทน แล้วตอนนี้ก็เริ่มลามไปบ่นเรื่องอื่น ๆ จนลืมไปแล้วว่าอันที่จริง พวกเขามาส่งผมเข้ามหาวิทยาลัยวันแรก ไม่ได้มาเปิดฉากบ่นกันโชว์ในที่สาธารณะ
และดูท่าพ่อกวินทร์คงจะบ่นอีกนานแน่ถ้าหากว่าโทรศัพท์ของเขาไม่ดังขึ้นมาก่อน พ่อกวินทร์ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงได้ ก็ย่นคิ้ว พึมพำเบา ๆ เป็นภาษาไทย
“ไอ้เจ๊กนี่หว่า โทรมาทำไมวะ”
บ่นแต่ก็รับ ส่วนไอ้เจ๊กนี่ เป็นฉายาของลุงริชาร์ดที่พ่อกวินทร์ใช้เรียกบ่อย ๆ ผมได้ยินลุงริชาร์ดถามว่าพวกเราอยู่ไหน พอรู้ว่าอยู่ที่มหาวิทยาลัยของผม ลุงริชาร์ดก็บอกให้รอก่อนเพราะกำลังมุ่งหน้ามาหา พอพ่อกวินทร์ถามว่ามาหาทำไม อีกฝ่ายก็ไม่ตอบ ได้แต่บอกให้รอเท่านั้น พ่อ ๆ ของผมจากที่ตั้งใจว่าจะส่งผมแล้วกลับ กลายเป็นว่าต้องรอลุงริชาร์ดอีก
รออยู่สักพัก พ่อกวินทร์ก็บ่นอีกพักใหญ่ ลุงริชาร์ดถึงโผล่มา แต่เป็นถึงพระชายา จะให้โผล่มาแบบธรรมดาได้ยังไง มีลุงแอสตันตามมา แถมผู้พิทักษ์อีกเป็นพรวน ดูอย่างกับเป็นขบวนของคนใหญ่คนโตที่ไหนสักที่ ทำเอาคนรอบข้างมองไปยังรถคันหรูสองสามคันที่เรียงรายมาจอดในลานจอดรถเป็นตาเดียว
“แค่แวะมาหาแค่นี้ เอาซะเว่อร์” พ่อกวินทร์ยังบ่นเป็นภาษาไทยไม่เลิก ขณะที่พ่อคีธเอ่ยปากขึ้นมา
“อย่าจาบจ้วงพระชายาสิกวินทร์”
“ช่างหัวพระชายาเถอะ มันเป็นเพื่อนฉัน ฉันจะพูดกับมันยังไงก็ได้”
นั่นแหละ พ่อคีธเลยเงียบไปอีกรอบ ปล่อยให้ผมอดขำกับสีหน้าของพ่อคีธที่ดูคล้ายจะไม่พอใจ แต่ทำได้แค่ขมวดหัวคิ้วเล็ก ๆ ไม่ได้
ผมเบนความสนใจไปยังรถพวกนั้นอีกครั้งเมื่อผู้พิทักษ์คนหนึ่งลงจากรถมาเปิดประตูรถให้กับลุงริชาร์ดและลุงแอสตัน เห็นแล้ว ผมก็รีบตรงเข้าไปทักทายโดยไม่รอให้พ่อ ๆ บอก ทำเอาลุงริชาร์ดชมผมเป็นการใหญ่
“เจอกันครั้งไหนก็ยังวางตัวได้น่ารักตลอดเลยนะคีตา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเควินถึงได้ภูมิใจนักหนาว่ามีลูกดี”
“ก็แน่ล่ะ ลูกฉันก็ต้องดีเหมือนฉันสิวะ” พ่อกวินทร์ยืดอกรับเสียอย่างนั้น ก่อนดึงผมเข้าไปยืนข้าง ๆ พร้อมทำหน้าภูมิใจสุดฤทธิ์ ขณะที่ลุงริชาร์ด ลุงแอสตันและพ่อคีธต่างมองหน้ากันราวกับระอา
คือ...ผมก็พอรู้อยู่หรอกนะว่าก่อนที่ผมเกิด พ่อกวินทร์เคยสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้บ้าง เห็นพวกยูนิกมาเคยพูดกันอยู่ว่าพ่อกวินทร์เป็นชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่โผล่ไปที่ไหน ที่นั่นป่วนไปหมด แม้ว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ดาวยูนิกมากับดาวศัตรูปรองดองกันได้ก็ตาม ที่ทำหน้าระอากันอย่างนั้น คงเป็นเพราะจู่ ๆ ก็พร้อมใจกันนึกถึงอดีตแหง
ทว่าก็ไม่ได้มีใครสนใจอะไรนัก นอกจากพ่อกวินทร์ที่ถามขึ้นอย่างสงสัยเมื่อจู่ ๆ ก็เห็นเพื่อน ๆ มาโผล่ตรงนี้
“แล้วพวกนายมาที่นี่ทำไมวะ ไหนว่ามีธุระต้องไปวอชิงตันหลายวัน แล้วไหงมาโผล่หัวอยู่นี่”
ผมนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน ลุงริชาร์ดกับลุงแอสตันแวะมาที่บ้านของพวกเราเพื่อทานมื้อค่ำ แล้วบอกว่าอาทิตย์นี้ต้องไปจัดการธุระสำคัญที่รัฐอื่น คือพวกเราอยู่ในแอลเอน่ะ ลุง ๆ ก็อยู่บ้านใกล้ ๆ พวกเรา ถึงจะไม่ได้ใกล้มาก แต่ก็ไปมาหาสู่กันบ่อย
หากแต่ลุงริชาร์ดไม่ตอบ ยกยิ้มขึ้นมาจนตาหยีแล้วถามกลับหน้าตาเฉย
“ทายสิว่าทำไมฉันมาอยู่นี่”
“ใครจะไปรู้กับมึงวะ” พ่อกวินทร์พ่นคำหยาบภาษาไทยออกมาทันที
ความจริงชาวยูนิกมามีความสามารถพิเศษในการพูดได้หลายภาษาด้วย แต่ผมไม่ได้ความสามารถพิเศษด้านนั้นมา ทว่าก็พอจะฟังออกอยู่บ้างว่าพ่อกวินทร์พูดอะไรเวลาเขาพูดภาษาบ้านเกิด
ก็เวลาเขาอารมณ์เสียหรือบ่นอะไร เผลอหลุดพูดภาษาไทยออกมาทุกทีเลยนี่นา ผมก็ต้องฟังออกบ้างแหละ
“ทายสิ” ลุงริชาร์ดว่าขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าพ่อกวินทร์ไม่พูดอะไรสักที
พ่อกวินทร์นิ่งไป ก่อนจะเอ่ย
“นายได้งานโปรเจ็กต์ใหม่ที่อยากทำ?” หมายถึงโปรเจ็กต์หนังน่ะ ลุงริชาร์ดเองก็ทำงานบริษัทเดียวกับพ่อกวินทร์ เพียงแต่มีตำแหน่งเป็นผู้กำกับ
“ไม่ใช่” ส่วนลุงริชาร์ดก็ทำหน้าทะเล้นเมื่อพ่อผมทายไม่ถูก ก่อนพ่อกวินทร์จะพูดขึ้นมาอีก
“แอสตันวางไข่ใส่นายอีกรอบ จะมีลูกคนที่สอง?”
“ไม่ใช่”
“ซื้อชุดนอนไม่ได้นอนมาเซอไพรส์แอสตันอย่างที่ชอบทำ? ทำไม พักนี้มันหมดน้ำยาเหรอวะ”
“ไม่ใช่!”
ทายไปเรื่อย ไม่ถูกไม่พอ เริ่มเลอะเทอะไปเรื่อยจนลุงริชาร์ดหุบยิ้ม แผดเสียงออกมาดังลั่นเมื่อพ่อกวินทร์โพล่งออกมากลางวง ทำเอาบรรดาผู้พิทักษ์เสมองไปทางอื่นกันเป็นพัลวันทันทีที่รู้ว่าเจ้านายของตัวเองมีรสนิยมยังไง ขณะที่ลุงแอสตันหัวเราะร่วน ส่วนพ่อคีธก็เข้ามาจับแขนพ่อกวินทร์ไว้เป็นเชิงเตือนว่าอย่าพูดอะไรเรื่อยเปื่อยอีก
“แล้วอะไรล่ะวะ”
ตอนนี้พ่อกวินทร์เริ่มหงุดหงิดแล้วล่ะ ก่อนลุงริชาร์ดที่เพิ่งปรับสีหน้าเขินอายให้เป็นปกติได้จะกระแอมไอแล้วว่าออกมา
“ฉันพาใครบางคนมาต่างหาก”
“ใครบางคน?”
พ่อกวินทร์ทำหน้าสงสัย ผมเองก็เช่นกัน เกือบหลุดถามลุงริชาร์ดออกไปแล้วว่าใคร หากแต่จมูกผมก็ได้กลิ่นของใครบางคนจากในรถตรงหน้าขึ้นมาก่อน
“องค์ชายอาร์ทูโร”
ไม่ต้องรอให้ลุงริชาร์ดบอกว่าใคร พ่อคีธก็พูดออกมาแล้ว รายนี้ก็คงได้กลิ่นเดียวอย่างที่ผมได้กลิ่นเหมือนกัน ส่วนลุงริชาร์ดก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ
“ปิ๊งป่อง ถูกแล้ว ที่ฉันไปวอชิงตันมา ก็ไปรับอาร์มานี่แหละ”
พูดแล้วก็ทำท่าทางตื่นเต้น ผมเข้าใจว่าคงเพราะไม่ได้เจอลูกนานหลายปี พอเจอกันเลยดีใจเป็นพิเศษ เว้นแต่พ่อกวินทร์ที่พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง
“ลูกไอ้เจ๊กนี่เอง นึกว่าอะไร”
พ่อกวินทร์จะไม่ตื่นเต้นก็ไม่แปลก จำได้ว่าเขาไม่ค่อยชอบหน้าอาร์เท่าไหร่นัก ส่วนผมน่ะตื่นเต้นขึ้นมาที่จะได้เจออาร์ ก็ไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งแปดปีแล้วนี่นา ผมในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ ยังไงก็ต้องตื่นเต้นอยู่แล้ว อันที่จริง ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าอาร์จะมาเพราะพ่อคีธแอบบอกโดยที่พ่อกวินทร์ไม่รู้ แบบว่า...พวกเราวางแผนกันน่ะว่าผมต้องดูแลอาร์ในฐานะผู้พิทักษ์ตอนที่อาร์กลับมายังโลก และเราก็รู้กันว่าพ่อกวินทร์ต้องไม่ยอมแน่ เลยตัดสินใจมัดมือชกอย่างที่เห็น แต่ดูแล้วท่าทางตอนนี้พ่อกวินทร์จะยังไม่รู้ตัว
ลุงริชาร์ดส่งซิกให้ผมกับพ่อคีธเล็กน้อย ก่อนไปเรียกอาร์ลงจากรถ ผมมองไปยังชายหนุ่มรูปร่างสันทัดที่เดินลงมาด้วยใจเต้นระทึก พอเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนก็ตะลึงงันไปเล็กน้อยกับท่วงท่าสง่างามสมเป็นเชื้อราชวงศ์
ความจริงแล้ว อาร์ดูไม่ต่างจากตอนเด็กเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าออกไปทางโซนเอเชียเหมือนกับลุงริชาร์ดยังคงนิ่งเรียบเหมือนเดิม ทว่าแฝงไปด้วยความหยิ่งผยองตามแบบฉบับของชนชั้นสูง แต่ดูเหมือนว่าจะหยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะทันทีที่เขาสบตากับผมและพ่อ ๆ เขาก็เสมองไปทางอื่น เชิดใบหน้าขึ้นราวกับว่าไม่เห็นพวกผมอยู่ตรงนี้
ผมว่าเขาหล่อนะ หล่อมากเลยล่ะ มีเสน่ห์ด้วย แต่พ่อกวินทร์ไม่คิดอย่างนั้น ไม่สนใจว่าการที่อาร์มีทีท่าเฉยเมยนั่นเป็นเพราะเขาเป็นเจ้าชายด้วย พอเห็นอาร์ไม่ทัก ก็บ่นออกมาอีกแล้ว
“ลูกไอ้เจ๊กนี่หน้าตาเหม็นข้าวหมาบูดตั้งแต่เล็กยันโต ยิ่งโต ยิ่งหน้าบอกบุญไม่รับ แล้วนี่เจอหน้าผู้ใหญ่ยังจะไม่ทักทายอีก เสียมารยาท”
ก็จริงอย่างที่พ่อกวินทร์ว่า ถึงจะเป็นเจ้าชาย แต่อาร์ก็ยังเด็กกว่าอยู่ดี ซึ่งสมควรจะเป็นฝ่ายทักทายก่อน และถึงพ่อกวินทร์จะบ่นออกมาเป็นภาษาไทย ทว่าลุงริชาร์ดคงจะรับรู้ได้ เลยสะกิดให้อาร์ทักทาย
“ทักทายลุง ๆ เขาสิครับอาร์”
อาร์เหลือบมองหน้าคนพูด ก่อนสลับมามองหน้าลุงแอสตัน พอเห็นลุงแอสตันพยักหน้าเป็นเชิงให้ทำตามที่พ่ออีกคนว่า เขาก็ค้อมตัวลงเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรทั้งที่ควรจะเอ่ยปากว่า ‘สวัสดีครับ’ หรือเข้ามาจับมือทักทาย ไม่ก็เข้ามาดูดนิ้วอีกฝ่ายตามการทักทายแบบฉบับชาวยูนิกมาแท้ ๆ
ดูท่าทางจะถูกอบรมให้วางตัวอยู่คนละระดับกับคนที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์มากไปหน่อยถึงได้มีทีท่าแบบนี้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้พ่อกวินทร์เลิกค่อนแคะได้ ก่อนเขาจะหันไปถามลุงริชาร์ดอีกครั้ง
“นายแวะมาหาฉันแค่จะเอาลูกหน้าบูดของนายมาอวดว่ากลับมาที่โลกแล้วแค่นี้น่ะนะ เสียเวลาว่ะ ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังวุ่นวายกับการส่งคีตาเข้าบ้านพักนักศึกษาอยู่” พูดพลางพยักปลายคางมาทางผมที่ถือกระเป๋าลาก
อึดใจเดียว ลุงริชาร์ดก็ทำพ่อกวินทร์เบิกตาโตเมื่อเอ่ยขึ้นมา
“ใครว่าฉันจะเอาอาร์มาอวดว่ากลับมาแล้วล่ะ ฉันเอาอาร์มาส่งเข้าหอพักด้วยเหมือนกันต่างหาก”
“ฮะ? หมายความว่าลูกนายจะมาเรียนที่นี่เหรอ”
“อื้ม อายุครบสิบแปดแล้วนี่ ทางพ่อของแอสตันอนุญาตให้ออกมาหาประสบการณ์นอกวังได้แล้ว ฉันก็เลยเรียกให้อาร์กลับมาน่ะ”
สารภาพออกมาแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามแผน และเป็นไปตามการคาดการณ์ของผมด้วยว่าพ่อกวินทร์จะต้องตกใจ ส่วนเรื่อที่ลุงริชาร์ดพูดเมื่อครู่ ความจริงแล้ว ชาวยูนิกมาจะมีอายุมากกว่ามนุษย์โลกอยู่สองเท่า แต่สำหรับลูกครึ่งมนุษย์โลกอย่างพวกเราจะมีอายุเทียบเท่ากับมนุษย์โลกตามปกติเพราะร่างกายโตไวกว่าชาวยูนิกมา ไม่อย่างนั้น อาร์คงไม่ได้ออกจากวังมาหรอก เพราะถ้าเทียบอายุของชาวยูนิกมาแล้ว สิบแปดปียูนิกมาเท่ากับเก้าปีมนุษย์โลกเอง
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่จู่ ๆ พ่อคีธก็แทรกเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“งั้นกลับมาอย่างนี้ ก็แสดงว่าคีตาต้องรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ให้องค์ชายอาร์ด้วยล่ะสิ” เป็นการพูดที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนั้น แต่พูดเพื่อเป็นการเกริ่นให้พวกเราเตรียมพร้อมรับมือกับการโวยวายของพ่อกวินทร์น่ะ
และก็เป็นไปอย่างที่คิด เพราะพอสิ้นเสียงพ่อคีธเท่านั้น พ่อกวินทร์ก็ถลึงตา แล้วจัดการลากผมไปขนาบข้างทันที
“เรื่องเถอะ! มันใช่เรื่องอะไรที่ลูกฉันต้องไปดูแลไอ้เด็กหน้าบอกบุญไม่รับนี่มั้ย คีตามาเรียนเว้ย ไม่ได้มาเป็นคนรับใช้ ฝันไปเลย!”
“เป็นผู้พิทักษ์ ไม่ได้เป็นคนรับใช้” พ่อคีธแก้คำพูดให้ ทว่าพ่อกวินทร์ก็ไม่สน
“จะเป็นอะไรก็ช่าง แต่จู่ ๆ จะโผล่มาแล้วลากลูกฉันไปทำโน่นทำนี่โดยไม่ถามความเห็นฉันก่อนล่วงหน้าแบบนี้ ฉันไม่อนุญาตเว้ย!”
“แต่คีตาเป็นผู้พิทักษ์ขององค์ชายอาร์”
“แต่นี่ลูกฉันเว้ย ลูกคนอื่นจะเป็นไงก็ช่างหัวมัน ดูแลตัวเองสิวะ มาเดือดร้อนลูกฉันทำไม!”
เอาแล้ว เริ่มปฏิบัติการโวยวายหนักขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว และดูท่าจะลามไปมากกว่านี้ด้วยถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง ผมเลยเอื้อมมือไปจับมือพ่อกวินทร์ที่จับแขนผมอยู่เป็นเชิงบอกว่าให้ใจเย็น ๆ ก่อนว่า
“พ่อกวินทร์... ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วยดูแลก็ได้”
แต่พ่อกวินทร์ก็คือพ่อกวินทร์ ถ้าไม่ยอมก็หมายถึงไม่ยอม จากที่โวยคนอื่นอยู่ ก็กลายมาโวยผมด้วยเสียอย่างนั้น
“ไม่ต้องมาทำเป็นพ่อพระ อยู่เฉย ๆ ไปเลยคีตา พ่อจัดการเอง”
นี่แหละพ่อกวินทร์ อะไรที่เกี่ยวกับลูก ออกโรงปกป้องหมดแหละ
แล้วก็เข้าไปโวยวายกับลุงริชาร์ด ลุงแอสตันว่ายังไงก็ไม่ยอมให้ผมไปเป็นผู้พิทักษ์คอยดูแลอาร์อย่างแน่นอน แต่ลุง ๆ ไม่ได้อยากให้ผมมาเป็นผู้พิทักษ์หรอกจากที่คุยกันผ่านพ่อคีธในตอนแรก แค่อาร์ไม่ได้อยู่ที่โลกนาน และเรียนคณะเดียวกับผม ซ้ำยังอยู่บ้านพักนักศึกษาเดียวกัน ลุง ๆ เลยอยากให้ผมคอยแนะนำอะไร ๆ ให้อาร์หน่อยก็เท่านั้น ทว่าพ่อคีธไม่คิดอย่างนั้นไง การดูแลก็คือหน้าที่ของผู้พิทักษ์ จะมาดูแลนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้ ต้องทำอย่างเต็มที่
ผมก็เออออตามพ่อคีธไป รู้และเตรียมใจมาอยู่แล้วว่าสักวันต้องดูแลอาร์ เลยไม่ได้ปฏิเสธอะไร อีกอย่าง ผมกับอาร์ก็เคยเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เลยคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จะมีก็แต่พ่อกวินทร์ที่ยังยืนกรานคำเดิมว่าไม่ยอม ยืนเถียงกันไป เถียงกันมา ผมก็สังเกตเห็นว่าใบหน้านิ่งเรียบของอาร์เริ่มแสดงความหงุดหงิดออกมาให้เห็น เรียวคิ้วสวยเริ่มย่นยู่ แขนเรียวทั้งสองข้างก็ยกมือขึ้นกอดอก ถอนหายใจอย่างรำคาญ ก่อนเปล่งเสียงขึ้นแทรก
“ไม่ต้องให้ใครมาดูแลทั้งนั้นแหละครับ ผมอยู่เองได้”
พูดเท่านี้ ทุกคนก็เงียบ หันไปมองต้นเสียงทันใด ทว่าอาร์กลับไม่สนใจ คว้ากระเป๋าสัมภาระของตัวเองที่ผู้พิทักษ์คนหนึ่งถืออยู่มา แล้วบอกกับลุง ๆ
“ถ้าพ่อ ๆ ไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน”
จากนั้นก็เข้าไปสวมกอดลุง ๆ โดยที่ลุง ๆ ไม่ทันตั้งตัว ก่อนเดินจากไปท่ามกลางสายตางุนงงของทุกคน พอตั้งสติได้ พ่อกวินทร์ก็แขวะมาอีก
“ไอ้ลูกเจ๊กนี่มันอัธยาศัยแย่ไม่เปลี่ยนเลยแฮะ”
จริงอย่างที่พ่อกวินทร์ว่า มาก็ไม่ทัก ไปก็ไม่ลา ปล่อยให้ลุง ๆ ยิ้มตามหลังแห้ง ๆ
ส่วนผมก็เดาได้ว่าเดี๋ยวพ่อกวินทร์จะต้องบ่นต่อเรื่องอาร์แน่ ๆ และถ้าขืนผมยังอยู่ตรงนี้ต่อ มีหวังคงหาทางปลีกตัวไปจัดการเรื่องตัวเองไม่ได้แหง เลยตัดบทก่อนที่พ่อกวินทร์จะได้พูดอะไร
“งั้นผมไปบ้างดีกว่า ขอบคุณที่มาส่งครับพ่อกวินทร์”
แล้วก็เข้าไปสวมกอดพ่อกวินทร์แน่น ๆ ทีนึง กะให้พ่อกวินทร์อารมณ์ดีด้วยปกติแล้ว ผมไม่ค่อยเข้าหาพ่อกวินทร์เท่าไหร่เพราะต้องรักษามาดผู้พิทักษ์อย่างที่พ่อคีธสอน ซึ่งก็ได้ผล พ่อกวินทร์กอดผมตอบ หยุดบ่นฉับพลัน ปรี่เข้ามาหอมแก้มผมซ้ายขวาอีกหลายฟอดกว่าจะปล่อยได้ รวมถึงสั่งโน่นนี่ไปเรื่อย ตบท้ายด้วยการบอกว่า...
“อย่าไปยุ่งกับลูกไอ้เจ๊กเชียว ถ้ามันบังคับข่มเหงอะไร คีตาต้องรีบโทรมาฟ้องพ่อนะรู้มั้ย เดี๋ยวพ่อไปตบกบาลสั่งสอนมันเอง”
ผมพยักหน้าไปตามเรื่อง เผลอนึกถึงตอนเด็ก ๆ ที่ผมกับอาร์เล่นวางไข่กัน แล้วอาร์พยายามกดผมจนถูกพ่อกวินทร์ตบกะโหลกเสียงดังสนั่นขึ้นมา ขำในใจอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยไปกอดลาพ่อคีธและบอกลาลุง ๆ บ้าง ตอนที่ผมจะผละออกมา พ่อคีธก็อาศัยจังหวะที่พ่อกวินทร์เผลอส่งแผ่นชิปสื่อสารให้ผม มันเป็นแผ่นชิปสื่อสารจากยูนิกมาที่เอาแปะตรงขมับก็ส่งโทรจิตสื่อสารกันได้ ตอนแรกพ่อกวินทร์ไม่ให้เอามันมา ด้วยไม่ต้องการให้ผมติดต่อกับพ่อคีธโดยที่เขาไม่รู้ เหมือนกับว่าเขาพ่อจะรู้มาบ้างแล้วล่ะว่าตามกฎมณเฑียรบาลของชาวยูนิกมา หากเจ้าชายรัชทายาทอายุครบสิบแปดปี ก็จะออกจากวังได้ เขาเลยกลัวว่าอาร์จะกลับมายังโลกแล้วผมจะถูกจับให้กลับไปรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์
แต่ไม่ทันแล้วล่ะ เราเตรียมการกันมาตั้งนานแล้ว และคงไม่มีใครกล้าหลุดปากบอกพ่อกวินทร์ในตอนนี้แน่ว่ามันเป็นแผน ไม่อย่างนั้น ราชวงศ์ยูนิกมาล่มสลายแน่นอน
ผมรับแผ่นชิปนั้นมาแล้วรีบยัดลงกระเป๋ากางเกง ปล่อยให้พ่อกวินทร์สั่งลาอีกนิดหน่อยก่อนทั้งพ่อ ๆ และลุง ๆ จะขึ้นรถขับออกไปนอกมหาวิทยาลัย ทิ้งให้ผมยืนส่งจนรถของพวกเขาหายไปลับสายตา
ผมคว้ากระเป๋าตัวเอง เตรียมตัวจะเดินไปที่บ้านพักนักศึกษาบ้าง ทว่าเสียงเรียกเข้าของชิปสื่อสารก็ส่งสัญญาณเตือนขึ้นมาเสียก่อน ผมล้วงออกจากกระเป๋ามาแปะที่ขมับ ก่อนเสียงของลุงริชาร์ดจะดังมาให้ได้ยิน
‘ขอฝากอาร์ด้วยนะคีตา อาร์ไม่ได้อยู่ที่โลกนาน พฤติกรรมเลยอาจจะแปลก ๆ ไปบ้าง ยังไงก็ช่วยดูด้วยนะ ลุงกลัวว่าอาร์จะอยู่ไม่ได้ ไม่ต้องดูในฐานะผู้พิทักษ์ก็ได้ ถือว่าดูในฐานะเพื่อนสมัยเด็กแล้วกัน ช่วยลุงหน่อย อดทนอาร์นิดนึงนะ’
‘ครับ ผมจะดูแลให้’
ผมรับปากโดยไม่ได้คิดอะไรมากทั้งที่รู้สึกแปลก ๆ ตอนได้ยินลุงริชาร์ดบอกว่าให้อดทนอาร์นิดนึง แล้วก็ตัดสัญญาณไป
อดทนเหรอ? หมายถึงนิสัยหยิ่ง ๆ ของอาร์หรือเปล่านะ?
เอาเถอะ ถึงจะหยิ่ง แต่ก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงสำหรับการดูแลเท่าไหร่ ยังไงผมก็เป็นผู้พิทักษ์ให้กับอาร์อยู่แล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรก็ค่อยโทรไปปรึกษาพ่อคีธแล้วกัน เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ อย่าให้พ่อกวินทร์รู้ว่าผมกลับมาเริ่มหน้าที่ผู้พิทักษ์ให้อาร์ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คนที่จะถูกพ่อกวินทร์ตบกะโหลกแยกคงหนีไม่พ้นผมกับพ่อคีธนี่แหละ