❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly
ตอนที่ 20 ✢ วิวาห์ใต้ฟ้าดาราพราว สองมือที่ประคองน้ำสังข์รดให้เจ้าสาวของผมดูสั่นไหว เจ้าตัวคงเสียใจไม่น้อยที่รู้ว่าพี่ชายที่รักมานานแสนนานกำลังจะเป็นของคนอื่น พ่อ แม่และน้องสาวของผมมองมาที่นัทพร้อมกัน ไม่รู้ว่าคิดอะไรกันบ้าง พอเห็นหน้าทั้งสามคนแล้วผมก็ใจหาย กลัวว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้ผมไม่ได้กลับมาหาครอบครัวที่ผมรักอีกเลย แม้ว่าจะคิดและตัดสินใจมาแล้ว พอจะทำจริงกลับไม่ง่าย
แล้วเพียวล่ะ ผู้หญิงที่ถูกครอบครัวบีบบังคับ ถูกคนรักหักหลัง และกำลังจะถูกฉีกหน้าให้อับอายเพราะงานแต่งล่ม ผมไม่รู้เลยว่าเธอจะทนรับความเจ็บปวดมากกว่านี้ได้ แม้เราไม่ถึงกับรักกันมากเพราะไม่ได้เกิดจากความผูกพันที่ลึกซึ้ง แต่เราสองคนก็เคยรักกัน ผมจะกล้าทำร้ายผู้หญิงคนนี้ที่เคยรักกันให้เจ็บหนักยิ่งกว่าเดิมอีกหรือ?
หรือว่าผมควรจะเปลี่ยนใจ!? แต่งงานแล้วค่อยเจรจากันทีหลัง!
ก่อนจะคิดอะไรต่อนัทก็มายืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว มองตากันเพียงครู่เดียวนัทก็เอ่ยคำอวยพรออกมาจากปากที่ผมเคยหลงใหลในรสจูบแสนหวาน
"พี่แฟรงค์ นัทขอให้พี่แฟรงค์มีความสุขมากๆ นะครับ ดูแลเพียวให้ดีๆ รักกันให้มากๆ รักกันตลอดไปนะครับ"
ผมแทบไม่ได้ยินคำอวยพรเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนัทพูดเบาเกินไปหรือสมองผมไม่รับกันแน่ ผมได้ยินแต่คำพูดนั้นของนัทในคืนที่เมามายไม่ได้สติ
"แล้วทำไม...พี่แฟรงค์ถึงไม่กลับมาหานัทล่ะ นัทเหงา เหงามาก นัทรอพี่แฟรงค์ทุกวันเลย..."นั่นสิ ผมควรจะทิ้งนัทให้รอคอยพี่ชายคนนี้อีกหรือ? ก่อนที่น้ำสังข์จากนัทจะไหลรดลงมา ผมก็พลันนึกถึงวันนั้นเมื่อสิบสามปีที่แล้วที่นัทเคยร้องไห้อ้อนวอนผม
"นัทไม่มีพ่อแล้ว นัทมีพี่แฟรงค์คนเดียว นัทมีพี่ชายคนเดียว พี่แฟรงค์ไปแล้วนัทจะอยู่กับใคร พี่แฟรงค์ไม่สงสารนัทเหรอ"ถ้าไม่ใช่เพราะรักผมมาก เด็กคนหนึ่งคงไม่ลงทุนขอร้องอ้อนวอนกันถึงขนาดนี้ "พี่แฟรงค์ไม่สงสารนัทเหรอ" ใครไม่เคยเจอคำถามนี้จากคนที่รักและผูกพัน ก็คงไม่รู้ว่ามันเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหน
นั่นสิ ผมไม่สงสารนัทหรือถ้าเปลี่ยนใจตอนนี้ หรือเรา...ไม่ได้เกิดมาคู่กันอย่างที่ผมคิดไปเองเสียแล้ว หรือว่า...ผมจะยอมทิ้งนัทไว้ข้างหลังแล้วก้าวเดินไปตามทางของตัวเอง ไม่ต้องสนใจว่าชีวิตที่เหลือจะมีความสุข มีชีวิตอยู่กับงานและภาระเหมือนผู้ใหญ่ทั่วไป แม้ไม่มีรักก็ยังอยู่ต่อไปได้ แสดงว่าผมกำลังจะยอมแพ้และล้มเลิกความตั้งใจอย่างนั้นหรือ?
ผมก้มหน้ารำพันในใจอย่างอดสู 'นัทน้องพี่...พี่ไม่มั่นใจแล้วว่าจะกล้าทำอย่างที่ตั้งใจหรือเปล่า'
นัทเอียงสังข์ลงมาแล้วแต่กลับไม่มีหยดน้ำสักหยด ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของใบหน้าแสนเศร้าจังหวะนั้นพอดี ดวงตาคู่นั้นมีหยดน้ำใสๆ เอ่อล้นออกมา ไม่นานหนึ่งหยดนั้นก็ร่วงลงมาใส่มือของผมโดยที่เจ้าตัวไม่ทันรู้ตัว แต่พอรู้ตัวก็ตกใจจนทำตัวไม่ถูก รีบส่งสังข์คืนให้เด็กที่รอรับ ก่อนจะหันหลังเดินจ้ำอ้าวตามหลังแม่กับพี่สาวไป
นัทไม่มีน้ำสังข์ให้ผมสักหยด แต่กลับมีน้ำตาหยดนี้ให้พี่ชายแทน คำพูดตัดพ้อที่แสนบาดใจของเด็กชายนัทเมื่อวันวานดังกึกก้องในใจผมอีกครั้ง
"พี่แฟรงค์ไม่สงสารนัทเหรอ"คนรดน้ำสังข์ถัดมาคงตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ ก็เห็นเจ้าบ่าวน้ำตาไหล ผมหันไปมองพ่อ แม่ น้องสาวและเพียวที่นั่งอยู่ข้างๆ แม้จะลำบากใจแต่ผมก็ต้องเลือกชีวิตของผมเองเสียที หวังใจว่าทุกคนจะเข้าใจผมเท่าที่จะพอเข้าใจได้ หวังใจว่าวันหนึ่งทุกคนจะให้อภัย และหวังใจว่าทุกคนคงรักษาบาดแผลครั้งนี้ได้เองเมื่อเวลาผ่านไป ความผิดบาปครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของผมแล้ว
ทำไมพี่จะไม่สงสารนัทล่ะ พี่ชายคนนี้...ยินดีจะให้คนทั้งโลกด่าประณามกับความผิดที่ทำ พี่ยอมเป็นคนเลวในสายตาของใครก็ได้ แต่พี่ชายคนนี้...จะไม่มีวันทิ้งน้องที่พี่รักให้รอคอยอย่างอ้างว้างเหมือนคราวนั้น และชีวิตที่เหลือของพี่ชายคนนี้...จะขออยู่ดูแลน้องของพี่ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ก่อนที่น้ำสังข์หยดต่อไปจะรดลงมา ผมก้มลงมองหยดน้ำตาของนัทบนมือของผมอีกครั้ง นับจากวันนี้ไป นัทจะไม่ต้องร้องไห้เพราะกลัวเสียพี่ไปอีกแล้ว
แม้ว่าเขาจะสูง ฟ้าจะกั้น ม่านประเพณีจะขวาง พลานุภาพของความรักชนะได้ทุกอย่าง บรรทัดฐานความถูกผิดใดๆ ก็หยุดความรักไม่ได้
ผมลุกขึ้นยืนแล้วถอดมงคลแฝดออก แม้ว่าจะสงสารเพียว แต่คนไม่รักอยู่ปลอบใจเธอนานแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ถึงเวลาที่เธอต้องเข้มแข็งและอยู่ต่อไปด้วยตัวเองแล้ว
"พี่ขอโทษนะเพียว"
พอสิ้นคำผมก็วางมงคลลงบนหมอน ก่อนจะออกแรงวิ่งตามนัทไปสุดชีวิต เสียงคนร้องเอะอะโวยวายดังขึ้นไปทั่วงาน พอไปถึงคนที่ต้องการแล้ว ผมก็ฉวยข้อมือของนัทพาวิ่งออกไป
"นัท! ไปกับพี่เร็ว!"
นัทคงตกใจไม่น้อย แต่พอรู้ว่าเป็นผม นัทก็วิ่งตามไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน ผมได้ยินเสียงพ่อสั่งให้คนวิ่งตามผมกับนัทมา เราจึงเร่งความเร็วจนสุดฝีเท้าเท่าที่คนๆ หนึ่งจะสามารถวิ่งได้ พอวิ่งมาเจอแนวพุ่มไม้สูงเกือบถึงเอวขวางหน้า แรงส่งจากความเร็วก็ช่วยให้เราสามารถกระโดดข้ามไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
'เก่งมากน้องพี่' ผมนึกชมในใจ
ผมไม่ได้จอดรถไว้ตรงลานจอดรถเหมือนเคย แต่จอดไว้บริเวณด้านหน้าเพราะคิดเผื่อไว้แล้วว่าจะหนีทันโดยไม่ถูกรถคันอื่นขวาง พอวิ่งมาถึงรถแล้วผมก็รีบปลดล็อกทันที เราสองคนแยกกันขึ้นประตูคนละด้านก่อนที่ผู้ชายสามคนจะวิ่งตามมาถึง ผมสตาร์ทรถได้แล้วก็รีบขับออกไป มองกระจกหลังก็เห็นสามคนนั้นวิ่งตามมา พอวิ่งไม่ไหวก็หยุดยืนหอบหายใจ
ผมเป็นอิสระแล้ว!
ผมหันไปยิ้มกับนัทแต่ก็ไม่ได้พูดคุยกัน ขอให้หนีออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ เพราะหลังจากนี้แล้วเราสองคนจะมีเวลาพูดคุยกันจนชั่วชีวิต
รถของผมแล่นฉิวไปตามถนนสุวินทวงศ์ มุ่งหน้ารามคำแหงเพื่อไปขึ้นทางด่วน ผมกับนัทหันมามองกันเป็นระยะๆ ยิ้มให้กันเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไม่พูดอะไรกันอยู่ดี หัวใจของเรายังคงเต้นตึ๊กตั๊กด้วยความตื่นเต้นไม่หาย คิดไปแล้วผมก็ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าอารมณ์วูบนั้นจะทำให้ผมกล้าหาญมากขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่ผมเลือกแล้ว แม้ว่าจะโหดร้ายแต่ผมก็ตัดสินใจแล้ว
ป่านนี้ทุกคนคงกำลังวุ่นวายและตื่นตระหนกตกใจกันไปหมด เพียวคงร้องไห้อย่างหนักเพราะความอับอายแขกเหรื่อที่มาในงาน พ่อผมคงโมโหมากและอาละวาดไปทั่ว แม่ผมคงเป็นลมล้มพับ ส่วนแม่ของนัทก็คงตกใจไม่แพ้กัน เผลอๆ ครอบครัวของผมก็คงโกรธน้านวลไปด้วย แต่ในเวลานี้ ผมขอเป็นพายุที่ไร้ซึ่งชีวิตจิตใจ พัดพาทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ราบคาบ แล้วปล่อยให้คนที่เหลือรอดจัดการดูแลชีวิตที่เหลือของตัวเองเท่าที่ศักยภาพจะเอื้ออำนวย
ผมขึ้นทางด่วนแล้วมุ่งหน้าไปทางลำลูกกา ก่อนจะเบี่ยงออกไปทางรังสิต ตรงไปยังห้างฟิวเจอร์พาร์ค พอถึงห้างก็เลี้ยวขึ้นที่จอดรถและวนหาที่จอดจนได้ที่ พอรถจอดสนิท ผมกับนัทก็หันมามองหน้ากันอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก
"พี่แฟรงค์"
"นัท"
เราสองคนเอ่ยชื่อเรียกของเราพร้อมกัน ก่อนจะโผเข้ากอดกันแน่นและร้องไห้อย่างคนเสียขวัญ
"เราจะไม่จากกันไปไหนอีกแล้วนะนัท ต่อไปนี้...พี่จะอยู่ดูแลนัทจนชั่วชีวิตของพี่ นัทดีใจหรือเปล่า"
ผมละล่ำละลักบอก กอดนัทแน่นราวกับกลัวว่าใครจะมาฉุดกระชากไปไหน
"พี่แฟรงค์ นัทรักพี่นะ นัทรักพี่คนเดียว"
ผมรู้ความหมายที่นัทพูดเป็นอย่างดี ที่ผ่านมานัทคงใจหายไม่น้อยที่รู้ว่าพี่ชายคนนี้จะเป็นของคนอื่น ความรู้สึกของนัทคงเหมือนคนที่ยื้อของรักไว้จนเกือบหมดแรงสู้ คิดว่าต้องสูญเสียไปแน่แล้ว แต่สุดท้ายก็ได้คืนกลับมาราวปาฏิหาริย์
เรากอดกันอยู่สักครู่ใหญ่จึงค่อยๆ ผละออกจากกัน ผมลูบผมของนัทเบาๆ อย่างรักใคร่ มองหน้าใสที่ผมคุ้นเคยแล้วก็ใจหาย ผมเกือบสูญเสียคนๆ นี้ไปแล้วแท้ๆ จากความลังเลของตัวเอง
ผมหยิบกระดาษเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้นัท จากนั้นนัทจึงเป็นฝ่ายซับน้ำตาให้ผมบ้าง ก่อนที่นัทจะวางมือลงผมก็จับมือนัทมากุมไว้ ก่อนจะดึงมาหอมเบาๆ
"นัทรู้แล้วใช่มั้ยว่าพี่รักนัทมากแค่ไหน"
นัทพยักหน้าแล้วก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ "พี่แฟรงค์จะชวนนัทร้องไห้อีกแล้วนะ"
ผมขำเบาๆ แล้วก็ดึงนัทมากอดไว้อีกครั้ง อดที่จะน้ำตาไหลอีกรอบไม่ได้เลย
"นัทจำไว้นะ ต่อให้คนทั้งโลกด่าพี่ โกรธพี่ หรือเกลียดพี่ พี่ก็จะไม่ยอมสูญเสียนัทไปอีกแล้ว พี่รู้ว่าที่พี่ทำมันโหดร้าย พี่รู้ว่ามีวิธีอีกมากมายให้เลือก แต่พี่จะไม่ยอมเสี่ยงเลือกทางเลือกอะไรก็ตามที่พี่ไม่มั่นใจว่าจะได้นัทกลับคืนมา นัทเข้าใจพี่ใช่มั้ย คนอื่นไม่เข้าใจพี่ก็ไม่เป็นไร พี่ขอแค่นัทคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจพี่ ให้อภัยพี่"
ผมเผลอปล่อยโฮอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเพราะสะเทือนใจกับเรื่องนี้มาก รู้ดีว่าที่ทำไปครั้งนี้คงทำให้ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว นอกจากคนๆ นี้ที่ผมกอดไว้
นัทกอดผมแน่นแล้วก็ละล่ำละลักบอกด้วยความสะเทือนใจไม่แพ้กัน "นัทเข้าใจพี่แฟรงค์ทุกอย่าง นัทรู้ว่าทั้งหมดที่พี่แฟรงค์ทำ...เพราะพี่แฟรงค์รักนัท นัทขอโทษที่หนีไป พี่แฟรงค์ยกโทษให้นัทด้วยนะ นัทผิดไปแล้ว"
ผมรู้ว่านัทคาใจเรื่องนี้ แต่คนอย่างผมจะโกรธนัทได้ด้วยหรือ
"พี่ไม่โกรธนัทหรอก คนดีของพี่ พี่รู้ว่านัทหนีไปเพราะความกดดัน ไม่ใช่เพราะไม่รักพี่ พี่แฟรงค์น่ะ...สงสารน้องของพี่จะตายไม่รู้เหรอ"
ในที่สุดผมก็ได้ตอบคำถามนั้นที่นัทเคยถามเมื่อสิบสามปีที่แล้วเสียที นัทคงเข้าใจความหมายที่ผมพูดก็เลยกอดผมแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม
"พี่แฟรงค์ นัทรักพี่ นัทไม่รู้จะบอกยังไงว่านัทรักพี่มากแค่ไหน ถ้าไม่ได้อยู่กับพี่ นัทก็ขอยอมตายดีกว่า ชาตินี้...นัทจะขอรักพี่จนลมหายใจสุดท้าย ถ้าจะตาย...นัทก็จะขอตายในอ้อมแขนของพี่คนเดียว"
พอได้ยินอย่างนี้แล้วผมก็มีกำลังใจมหาศาล แม้ว่าจะรู้สึกผิดบาปแค่ไหน ผมก็จะยังไปต่อได้อย่างแน่นอน
"พี่รู้ พี่ก็รักนัทมากนะ ใครจะว่าพี่เลวหรือผิดแค่ไหนก็ช่าง แต่พี่จะไม่มีวันทิ้งน้องของพี่ เราจะไปด้วยกันนะนัท ต่อจากนี้ไปเราจะอยู่ด้วยกัน ไปไหนไปด้วยกัน สร้างชีวิตของเราด้วยกัน"
นัทพยักหน้าหงึกๆ จนผมรู้สึกได้จากความสั่นไหวบนบ่า สักพักเราก็ผละออกจากกันอีกครั้ง แล้วก็เช็ดน้ำตาให้กันอีกรอบ เช็ดไปขำไปเพราะไม่รู้ว่าเราจะร้องไห้กันอีกหรือเปล่า
"พี่แฟรงค์พานัทมาที่นี่ทำไม" นัทถามขึ้นเมื่อสงบสติอารมณ์ได้
"ซื้อของใช้ไง พี่กลัวไปซื้อที่นู่นแล้วไม่มี"
"ที่นู่นคือที่ไหน พี่แฟรงค์จะพานัทไปไหนเหรอ" นัทถามอย่างงงๆ
ผมก็เลยขำตัวเองเบาๆ ที่พานัทหนีมาแต่ไม่บอกอะไรเลย "บ้านเกิดของเราไง เราจะไปอยู่ด้วยกันที่นั่น"
"จริงเหรอ" นัททำหน้าเหมือนไม่เชื่อ แต่ก็ยิ้มดีใจ
ผมพยักหน้าแล้วก็ยิ้มให้นัทบ้าง แม้จะกังวลแค่ไหนแต่ก็รู้ว่าโลกนี้ยังพอมีความสดใสเหลืออยู่ อย่างน้อยก็คนตรงหน้าของผม
"แล้วพี่แฟรงค์จะซื้ออะไรมั่ง"
"เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวบางอย่าง แล้วก็...ฮาเก้นดาสของโปรดนัทไง"
ผมทำเสียงตื่นเต้นตรงประโยคท้าย นัทถึงกับยิ้มร่าเลย
"ไปกันเถอะ เดี่ยวจะค่ำ พี่อยากไปถึงที่นั่นก่อนหกโมงเย็น"
"แล้วเราจะไปนอนที่ไหนล่ะ" นัทถามก่อนที่เราสองคนจะขยับตัวลงจากรถ
"เดี๋ยวพี่จัดการเอง"
.
.
.
ผมกับนัทเลือกซื้อเสื้อผ้าด้วยกันก่อนเป็นอันดับแรก ชอบแล้วหยิบเลย ไม่ต้องเสียเวลามาก พอผมพาไปซื้อชุดสูทหรูๆ นัทก็สงสัย ผมจึงบอกไปว่าเอาไว้ใส่ตอนทำธุรกิจ นัทดูเหมือนไม่เชื่อแต่ก็ไม่ว่าอะไร
ตอนกินข้าวด้วยกัน ผมแอบขอตัวไปห้องน้ำแล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรเพื่อจัดเตรียมงานพิเศษของผมไว้ก่อนจะไปถึง
"พิโน่ลาเต้รีสอร์ทนะครับ ตอนนี้มีห้องว่างมั้ยครับ โอเค...งั้นผมขอจองหนึ่งคืนครับ รบกวนช่วยเตรียม..."
จากนั้นผมก็โทรหาเพื่อนเก่าสมัยประถมอีกคน หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอผมก็บอกสิ่งที่ต้องการไป
"เฮ้ยโซ้ย มึงช่วยหาช่างภาพที่ถ่ายภาพสวยๆ ให้กูซักคนได้มั้ยวะ เออๆ ดีๆ กูต้องการพรุ่งนี้เช้าเลย ให้เค้ามาที่พิโน่ลาเต้รีสอร์ทนะ มึงรู้จักใช่มั้ย ดีเลย อ้อ...กูอยากให้มึงหาหมามาให้กูซักตัวด้วย โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ก็ได้ หรือหมาอะไรก็ได้ที่ตัวใหญ่ๆ หน่อย แต่ขอหมาที่หน้าไม่ดุ ไม่กัดคนนะเว้ย มีมั้ย อ๋อ...มึงมีตัวนึงเหรอ เออๆ งั้นพรุ่งนี้มึงเอามาให้กูหน่อย ที่รีสอร์ทนั่นแหละ..."
พอจัดการธุระเสร็จแล้วผมก็กลับไปนั่งกินข้าวกับนัทเหมือนเดิม แล้วก็ปิดเครื่องมื่อสื่อสารไปเพราะไม่ต้องการให้จิตใจถูกรบกวนจนวอกแวกอีก
เสร็จธุระหมดแล้ว เราสองคนก็ออกจากรังสิตตอนบ่ายโมงเศษๆ มุ่งหน้าสู่เขาค้อด้วยกัน ใช้เวลาจากนี้ไปประมาณสามชั่วโมงกว่าก็จะถึงที่หมาย แต่ถ้าหยุดพักเติมน้ำมันเข้าห้องน้ำบ้างก็อาจจะกลายเป็นสี่ชั่วโมงหน่อยๆ ก็ยังทันเวลาอยู่
ระหว่างเดินทาง ผมเอาอีเมล์ที่เฟิร์นเขียนให้นัทอ่าน ผมพิมพ์ใส่กระดาษเตรียมไว้รถแล้ว พอนัทอ่านจบก็ดูเหมือนจะอึ้งๆ ไปเหมือนกัน
"นัทสงสารเพียวจังเลยพี่แฟรงค์" นัทพึมพำเบาๆ คล้ายกับกำลังพูดกับตัวเอง
"พี่ก็สงสารเค้า แต่ไม่ว่าพี่จะสงสารเค้ามากแค่ไหน พี่ก็จะไม่ยอมเสี่ยง ก่อนแต่งงาน พี่พยายามจะไปคุยกับเค้าแล้ว พี่ก็ไม่อยากฉีกหน้าเค้าขนาดนี้หรอก ถ้าเจรจาก่อนแต่งงานได้ก็น่าจะดีกว่า แต่พี่โทรหาเค้าไม่ได้เลย เค้าไม่อยู่บ้านทุกวัน ไปหาก็ไม่เจอ พี่ก็เลยเดาว่า...พ่อกับแม่พี่คงไปคุยอะไรกับทางนั้นไว้ นัทจำได้ใช่มั้ยที่พี่เคยบอกว่ากลับบ้านแล้วไม่เจอใคร โทรหาพ่อหาแม่หรือเพียวก็ไม่ติด พี่ก็ไม่รู้ว่าเค้าแอบไปคุยอะไรกัน รู้แต่ว่า...หลังจากนั้นพี่ติดต่อเพียวไม่ได้เลย เจอเพียวอีกทีก็วันแต่งงาน เหมือนพ่อกับแม่ไม่ต้องการให้พี่เจรจาอะไรกับเพียวอีก"
นัทพยักหน้าเข้าใจ แล้วสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเศร้า "แล้วพี่แฟรงค์จะไม่กลับบ้านจริงๆ เหรอ"
ฟังแล้วผมก็ใจหายวาบ ผมไม่เคยจากพ่อจากแม่ไปไหนเลยนานเลย อยู่กับพ่อแม่มาตลอดชีวิต ถึงจะดุและเข้มงวดไปบ้างแต่ก็รักผมมาก สรรหาสิ่งดีๆ มาให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไม่เคยขาด ปู่ก็เตรียมจะมอบมรดกรีสอร์ทให้ ใครๆ ต่างก็ฝากความหวังไว้ที่ผมจนเฟิร์นน้อยใจ เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีบทบาทสำคัญในครอบครัวเลย แต่เฟิร์นก็พยายามพัฒนาตัวเองให้เก่ง คราวนี้เฟิร์นคงได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองให้พ่อกับแม่เห็นว่าเธอดูแลกิจการแทนพี่ชายได้
"พี่จะกลับไป แต่ไม่ใช่เร็วๆ นี้ วันที่พี่กลับ พี่จะกลับไปพร้อมกับความสำเร็จของเราสองคน ไม่อย่างงั้นแล้ว...พ่อพี่คงไม่ยอมรับเราแน่ๆ"
นัทพยักหน้าและยิ้มน้อยๆ ให้ผม "นัทจะอยู่ข้างๆ พี่แฟรงค์นะ"
ผมยิ้มพอใจแล้วก็เอื้อมมือไปลูบผมนัทเบาๆ "ขอบคุณมากน้องพี่ อ้อ...ถ้าอยากเข้าห้องน้ำหรือหิวก็บอกพี่นะ เดี๋ยวพี่แวะให้"
"ครับพี่ชาย" นัทรับคำแล้วยิ้มสดใส "นัทดีใจที่สุดเลยที่ได้พี่ชายใจดีของนัทกลับมา"
ได้ยินแล้วผมก็มีความสุขเหลือเกิน แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผมจะเอาชนะความรู้สึกผิดบาปในตอนนี้ แต่ผมก็มีกำลังใจที่ดีอยู่ข้างๆ แม้ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเจออะไรหรือชีวิตจะเป็นยังไง แต่ผมก็จะพยายามพาชีวิตของเราสองคนไปต่อให้ได้อย่างสุดความสามารถ
"พี่ก็ดีใจที่พี่ได้กลับมาอยู่กับนัทนะ นึกว่าจะต้องเสียน้องที่พี่รักไปแล้ว นัทไม่ต้องรู้สึกผิดอีกแล้วนะ เพราะเราสองจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ พี่เอง...ก็ทำผิดครั้งใหญ่ไปแล้ว แต่พี่จะไม่หันหลังกลับ ไม่ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถูกผิดของใคร เพราะไม่ว่าพี่จะเลือกอะไร ก็คงไม่มีทางทำให้ทุกคนพอใจอยู่แล้ว แต่พี่...ต้องเลือกชีวิตที่เป็นของพี่เอง ไม่ทำตามที่ใครเห็นว่าถูกหรือผิด ไม่เขวไปตามความคิดเห็นของใคร ไม่รอเวลา ไม่เสี่ยงในทางเลือกที่พี่ไม่เชื่อ เพราะชีวิตเป็นของพี่ คนอื่นๆ กำหนดชีวิตพี่มาพอแล้ว พี่จะขอกำหนดชีวิตของพี่เองนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป"
ผมย้ำหนักแน่น จะว่าไป...วิธีคิดนี้ผมก็ได้มาจากพ่อนั่นแหละ พอเลือกแล้วก็ต้องโฟกัส อย่าวอกแวก อย่าเขวกับคำวิพากษ์วิจารณ์ของใคร ตัดทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปให้หมด จดจ่อกับสิ่งที่เลือก เมื่อก่อนผมใช้วิธีคิดเหล่านี้กับธุรกิจ แต่ตอนนี้...ผมจะใช้กับความรักของผมบ้าง!
... ... ...
ผมพานัทมาถึงพิโน่ลาเต้รีสอร์ทตอนเกือบหกโมงเย็น พอผมยกกระเป๋าลงมาจากรถ นัทก็ถามด้วยความสงสัยและมีสีหน้ากังวล
"เราจะพักที่นี่เหรอพี่แฟรงค์ มันแพงนะ คืนนึงตั้งเป็นหมื่นแน่ะ"
"ไม่เป็นไร เราไม่ได้พักทุกวันซะหน่อย พอดีรีสอร์ทเก่าที่เราเคยไปพักคนเต็มแล้ว เหลือแต่ที่นี่ที่เดียวที่ว่างอยู่ พักที่นี่ซักคืนละกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยไปหาที่พักใหม่"
"เหรอ เอางั้นก็ได้" แม้จะยิ้ม แต่ดูท่าทางเจ้าตัวยังเสียดายเงินหมื่นที่ต้องจ่ายไม่น้อย
"หนาวหรือเปล่า"
ผมถามเพราะเราสองคนใส่เสื้อเชิ๊ตธรรมดาที่แทบจะกันหนาวไม่ได้เลย อากาศตอนนี้หนาวมากจนตัวแทบสั่น คนละเรื่องกับกรุงเทพเลย
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็เข้าห้องพักแล้ว"
.
.
.
พอเห็นข้างในห้องพัก นัทก็ตกตะลึงตาโตกับความสวยงามของมัน ทุกอย่างตกแต่งไว้อย่างดีมาก มีห้องนอนและโซฟารับแขกอย่างดี ด้านหลังเป็นกระจกใสบานใหญ่ มองออกไปเห็นภูเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนไกลสุดลูกหูลูกตา มีระเบียงให้เราออกไปนั่งชมวิวแบบพาโนรามาได้อีกด้วย
"โห...สวยจังพี่แฟรงค์ นัทไม่เคยพักห้องอย่างนี้มาก่อนเลย" นัทพูดพลางมองไปรอบห้อง ก่อนสายตาจะไปหยุดตรงระเบียงด้านหลังแล้วมองไกลออกไป
"ชอบมั้ย"
"ชอบมากเลย" นัทหันมาบอกพลางยิ้ม
น้องพนักงานชายที่มาด้วยแนะนำข้อมูลเรื่องการใช้ห้องและบริการต่างๆ ให้เราสองคนฟัง พอเห็นว่าเราเข้าใจดีแล้วก็ขอตัวกลับ
"นัทอาบน้ำเร็ว" ผมบอกด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า
"ทำไมต้องรีบอาบล่ะ เพิ่งหกโมงเอง" นัทเอียงคอถามอย่างสงสัย
"น่า...อาบน้ำก่อนนะคนดีของพี่แฟรงค์" ว่าแล้วผมก็เดินอ้อมไปกอดนัททางข้างหลัง "ถ้าไม่อาบ...ก็ตัวไม่หอมสิ เห็นมั้ย...พี่แฟรงค์ไม่กล้าหอมเลย"
ผมทำท่าจะหอมแต่ก็ไม่หอม นัทก็เลยหัวเราะ
"แล้วพี่แฟรงค์จะอาบเปล่า"
"อาบสิ เอางี้ดีกว่า...อาบด้วยกันเลย จะได้ประหยัดเวลา" ผมบอกพลางยิ้มมีเลศนัย
นัทหันมามองแล้วก็นิ่วหน้า "ไม่เอาหรอก นัทอาย"
"อายทำไม พี่เห็นหมดแล้ว นัทก็เห็นของพี่หมดแล้วเหมือนกัน อาบด้วยกันดีกว่านะ เดี๋ยวพี่ถูหลังให้ ขัดตัวให้ด้วย เราไม่เคยอาบน้ำด้วยกันเลยนี่ อาบด้วยกันนะ พี่ไม่ทำอะไรนัทหรอก พี่สัญญา ถ้าพี่แฟรงค์คนนี้ทำอะไรนัทในห้องน้ำนะ ขอให้ฟ้าผ่าเลยเอ้า" ผมอ้อนสุดฤทธิ์
"จะผ่าได้ไง ตอนนี้หน้าหนาว ไม่มีฝนซะหน่อย"
นัทขำเบาๆ ไม่เจอกันสามสัปดาห์ก็คงอายเป็นธรรมดา แต่ผมก็ไม่รอช้า ช้อนตัวนัทขึ้นมาอุ้มไว้
"พี่แฟรงค์จะทำอะไร"
นัทโวยวายเล็กน้อย แต่พอผมส่งสายตาซึ้งๆ ไปให้นัทก็เลยเงียบ
"อาบน้ำกับพี่นะ"
ผมทำเสียงอ้อนจนดูน่าสงสาร นัทก็เลยพยักหน้าตกลงอย่างอายๆ ผมอุ้มนัทเข้าไปในห้องน้ำทันที ไม่ได้ทำอะไรกันหรอกนอกจากอาบน้ำ สระผมให้กัน ถูหลังให้กัน มีกอดจูบลูบคลำบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยั้งเอาไว้ก่อนเพราะคืนนี้ยังอีกยาวไกล
พอเราสองคนอาบน้ำเสร็จแล้ว ผมก็พานัทมาแต่งตัวด้วยชุดสูทที่ผมซื้อมาใหม่ ผมทุ่มไปกว่าครึ่งแสนซื้อเสื้อผ้า กระเป๋าเดินทางและของใช้ต่างๆ ที่จำเป็นของเราสองคนเลยวันนี้
"ทำไมต้องแต่งตัวดีขนาดนี้ล่ะ" นัททำหน้าสงสัยเมื่อเห็นผมหยิบชุดสูทออกมาจากกระเป๋า
"ก็เราจะกินข้าวเย็นหรูๆ ด้วยกันไง"
นัทยังขมวดคิ้วสงสัยไม่หาย กระนั้นก็ให้ความร่วมมือและช่วยกันแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อย
"นัทหล่อมาก สมกับเป็นเจ้าชายน้อยของพี่เลย" ผมอดจะเอ่ยปากชมไม่ได้เมื่อเห็นเจ้าชายน้อยของผมในชุดสูทเข้ารูปสมัยใหม่สีขาวครีม ผูกหูกระต่ายอย่างหล่อ
"พี่แฟรงค์ก็หล่อ หล่อที่สุดเท่าที่นัทเคยเห็นเลย" นัทยิ้มเขิน คนถูกชมยิ้มแก้มแทบปริ
ผมโทรไปบอกพนักงานให้นำอาหารที่สั่งไว้มาให้ มีโต๊ะกินข้าวใต้แสงเทียนเตรียมไว้อยู่ก่อนแล้ว จึงนำแค่อาหารมาวางไว้พร้อมกับจุดเทียนให้สว่าง ผมขอให้ทางรีสอร์ทตกแต่งระเบียงด้วยดอกไม้และผูกผ้าบางๆ ให้ปลิวไสวไปมาพอสวยงามไว้ก่อนด้วย
"โห...โรแมนติกจัง" นัทพูดขึ้นหลังจากพนักงานออกไปหมดแล้ว
"สำหรับคนพิเศษของพี่ไง"
บอกแล้วผมก็จูงมือนัทไปที่โต๊ะอาหารตรงระเบียงหลังห้อง แม้อากาศจะหนาว แต่ชุดสูทของเราก็พอช่วยได้
"อาหารฝรั่งซะด้วย สเต๊กอะไรน่ะ"
นัทถามด้วยความอยากรู้ พอจะนั่งที่เก้าอี้ผมก็ฉุดมือไว้เสียก่อน
"เดี๋ยวก่อนสิ อย่าเพิ่งนั่ง ยังกินตอนนี้ไม่ได้"
"ทำไมล่ะ" นัททำหน้าฉงน คงสงสัยเหมือนกันที่วันนี้ผมทำแปลกๆ หลายอย่าง
"รอแป๊บนึงนะ"
ผมไม่ตอบคำถามแต่เดินกลับเข้ามาข้างในห้อง หยิบของสำคัญมาเตรียมไว้แล้วก็ปิดไฟทุกดวงจนหมด เหลือแต่แสงเทียนที่อยู่ในเชิงเทียนแก้วที่ช่วยกันลมหนาวได้อย่างดี
ผมเดินกลับมาหานัทที่ยืนข้างๆ โต๊ะอาหาร จูงมือนัทมาตรงมุมซ้ายของระเบียง แม้เพิ่งทุ่มเศษๆ แต่หน้าหนาวก็มืดเร็วกว่าปกติ พอปิดไฟเหลือแต่แสงเทียนจึงเห็นดวงดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้า เราสองคนยืนเคียงคู่แล้วมองดูดาวด้วยกัน
"นัทเคยเห็นดาวลูกไก่มั้ย มันจะมองหายากหน่อย ต้องเพ่งดีๆ อยู่ตรงนั้นน่ะ"
ผมชี้มือให้ดูแล้วนัทก็พยายามมองตาม
"ตรงไหน ไม่เห็นเลย" นัทถามพลางพยามเพ่งมอง หาใหญ่
ผมถือโอกาสนี้คุกเข่าลง พอนัทรับรู้การเคลื่อนไหวบางอย่างจึงหันมามอง เห็นผมนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าแล้วก็แปลกใจ ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับนัท ส่งยิ้มที่คิดว่าจริงใจที่สุดไปให้ เตรียมพร้อมบอกสิ่งสำคัญต่อจากนี้
"แต่งงานกับพี่นะ...เจ้าชายน้อยของพี่"
นัทเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง ผมหยิบแหวนที่เตรียมไว้ออกมาจากกระเป๋าสูท ดึงมือนัทมาจับไว้แล้วค่อยๆ สวมแหวนที่มีเพชรน้ำงามเม็ดเล็กๆ เข้าที่นิ้วนางอย่างเบามือ ไม่น่าเชื่อว่าผมเลือกมาได้พอดีเป๊ะเลย
"พี่แฟรงค์" นัททำท่าจะร้องไห้
"เจ้าชายน้อยของพี่แฟรงค์ แต่งงานกับพี่นะ" ผมถามย้ำอีกครั้ง ดึงมือนัทมากุมไว้เบาๆ
นัทเอามือข้างหนึ่งปิดปากตัวเองไว้ พยายามสะกดตัวเองไม่ให้ร้องไห้ กระนั้นผมก็รู้ว่านัทดีใจมากแค่ไหน เราเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกัน วันแต่งงานของเราสองคนในวันนี้ ไม่มีผู้ใหญ่แม้แต่คนเดียวเป็นสักขีพยานรักให้ มีเพียงดวงดาวบนท้องฟ้าเท่านั้นที่รับรู้และส่งแสงระยิบระยับแสดงความยินดีกับเราสองคน
เราหันหน้ากลับมาตามเดิม นัทยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนพยักหน้าตกลงอย่างช้าๆ ผมยิ้มกว้างดีใจสุดชีวิต
"มาสร้างชีวิตใหม่ของเราด้วยกันกับพี่นะ"
นัทพยักหน้าอีกครั้ง คราวนี้ห้ามน้ำตาแห่งความตื้นตันใจไว้ไม่ได้แล้ว
"พี่ไม่มีเจ้าสาว พี่มีแต่เจ้าชายตัวน้อยที่พี่รักและหวงแหน เฝ้ารักเฝ้าดูแลมาตั้งแต่อยู่ปอสาม เจ้าชายน้อยของพี่แฟรงค์ ถึงวันนี้เราสองคนไม่มีสักขีพยานเลย แต่ดวงดาวบนท้องฟ้าจะเป็นสักขีพยานให้เราสองคน พี่ขอสัญญาด้วยเกียรติของพี่ชายว่า...พี่จะรักและจะอยู่เคียงข้างเจ้าชายน้อยของพี่ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่"
ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืนโดยไม่ละสายตาจากนัทเลย จากนั้นนัทจึงเป็นฝ่ายพูดบ้าง
"นัทก็ไม่มีเจ้าบ่าว มีแต่เจ้าชายใหญ่คนนี้ที่คอยดูแลเป็นอย่างดีมาตลอด เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพี่ชาย แล้วก็เป็นคนที่นัทรักหมดหัวใจ เจ้าชายน้อยคนนี้ขอสัญญาต่อดวงดาวทุกดวงบนท้องฟ้าว่า...จะรักและอยู่เคียงข้างเจ้าชายใหญ่จนกว่าชีวิตจะหาไม่เช่นเดียวกัน"
นัทพูดเสียงสั่นเครือแต่ก็ชัดเจนทุกถ้อยคำ งานวิวาห์ใต้ฟ้าดาราพราวของเราเสร็จสิ้นลงแล้วในเวลาอันสั้น แต่ทว่ามีความหมายยิ่งใหญ่กับเราสองคนชั่วชีวิต
เราสวมกอดกันไว้ ปล่อยให้น้ำตาจากความซาบซึ้งไหลลงอย่างอิสระ จากนี้ไปจะไม่มีใครพรากเราสองคนได้อีกแล้ว แม้ว่าต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ผมก็ยอมแลกเพื่อให้ได้กลับมาอยู่ดูแลคนๆ นี้อีกครั้ง แม้ว่าทำผิดพลาดสักแค่ไหน ผมก็ยอมวางทุกอย่างไว้ข้างหลังแล้วเริ่มต้นใหม่
นับจากวันนี้ไป เราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเราอย่างถูกต้อง แม้ว่าไม่ง่ายเหมือนภาพฝัน แต่ด้วยพลานุภาพแห่งความรักและความมุ่งมั่นตั้งใจ ผมเชื่อว่าเราจะเจอหนทางที่สดใสอยู่ข้างหน้า
ขอเพียงเจ้าชายน้อยยังจับมือเจ้าชายใหญ่ไว้เสมอ ผมก็พร้อมมอบกายถวายชีวิต สร้างสิ่งฝันของเราสองคนให้เป็นจริงให้จงได้!- TBC -[/center]