49
ปิดเทอม 1 เดือนที่ผ่านมา ผมพยายามที่จะลืมทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเดช ผมตื่นเช้าขึ้น ไปเรียนพิเศษเช้ายันเย็นในช่วงแรก ส่วนช่วงหลังผมได้รับข่าวดี ว่าที่ผมไปสอบโอลิมปิกวิชาการนั้น ผมสอบติด (ตอนที่ประกาศผลสอบ ผมเองกับเพื่อนก็งงเหมือนกันว่าติดได้ไง ต่างคนก็ทำไม่ได้ทั้งคู่ แล้วเราก็หัวเราะ) ดังนั้นผมจึงต้องไปเข้าค่ายเก็บตัวรอบที่ 1 เพื่อสอบเข้ารอบที่ 2 เป็นเวลา 20 วัน ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่จะได้เจอเพื่อนใหม่ สถานที่ใหม่ และต้องตื่นเช้ากลับเย็น ดังนั้นเรื่องไอ้เดชจึงไม่มารบกวนหัวใจผมอีก
หลังจากผมกลับจากค่าย ซึ่งโรงเรียนเปิดไปแล้ว 3 วัน ผมจึงกลับมาที่โรงเรียน สิ่งแรกที่ผมเห็นที่โรงเรียน และเป็นสิ่งที่ผมเสียใจมากที่สุดก็คือ ผมเห็นเดชเดินลงมาจากตึกที่เรียนกับพวกไอ้เต้ และเพื่อนๆ ทุกคนยังคงทักผมเช่นเดียวกับปกติ ยกเว้นไอ้เดช ที่มันเองก็ยังไม่มองแม้แต่หน้า ผมมองเข้าไปแล้วผมไม่อยากจะคิดอะไรถึงมันอีก ภาพเก่า ๆ มันย้อนกลับมา ภาพที่ผมเคยเดินกับมัน สิ่งที่เราเคยบอกว่าเราจะเป็นเพื่อนกันไปตลอด
บัดนี้มันไม่มี ไม่มีอีกแล้ว
“คิดไรวะ รกสมอง” – ผมพูดคนเดียว
หลังจากที่ผมขึ้นห้องเรียน ทุกคนต่างถามเช่นเดียวกันว่า แกไปสอบติดได้ไง แล้วไปทำอะไรบ้าง ผมก็เล่า ๆ ไปตามเรื่องตามราว แต่ไอ้หัวหน้าห้องมันสนใจเป็นพิเศษ มันถามทุกรายละเอียดจริง ๆ แม้กระทั่งตอนที่ผมไปอยู่ค่าย ก็โทรหาเกือบทุกวัน ผมก็ต้องเหนื่อยเล่าให้มันฟังอีกแล้ว
หลังจากคาบพักกลางวัน ผมเดินลงไปกินข้าวกับพวกไอ้ไม้ ก็คงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว กินด้วยกันมากี่ปีแล้วล่ะ แต่พักกลางวันนั้นไม่เหมือนพักกลางวันอื่น ๆ ตรงที่หลังจากพักเสร็จ ผมเดินขึ้นมาบนห้อง และสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าห้องเรียนของผมก็คือ ต่ายนั่งคุยอยู่กับเดช
“หมายความว่าไงวะใหญ่ ตรงหน้ากูน่ะ” – ไอ้ไม้ถามผม อย่างมีอารมณ์โมโห
“กูเองก็ไม่รู้” - ผมก็โมโหเช่นกัน
“ไหนบอกว่ามันจะไม่ยุ่งกับต่ายแล้วไง”
“กูเองก็ไม่รู้ มึงเข้าใจป่ะ กูไม่รู้” – ผมโมโหมาก เผลอพูดเสียงดังออกไป
“มึงเป็นไรวะใหญ่” - ไอ้ไม้ถาม
“เปล่า”
ผมเดินผ่านไป ก่อนที่ผมจะเดินเข้าห้อง
“ใหญ่”
“อะไรเหรอ”
“เดชจะคุยกับแก” - ต่ายยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี
“แต่เราไม่มีอะไรจะคุยกับมัน” – ผมพูดจบก็เดินหันหลังเข้าห้องทันที สังเกตสีหน้ามันครั้งสุดท้ายก่อนเข้าห้อง มันเปลี่ยนจากสีหน้าที่มีความหวังเป็นหน้าสลด แต่ผมเองก็ใม่สนใจมันหรอกคับ
“ไอ้ไม้ ไอ้เชี่ยไม้” – ผมตะโกนเสียงดัง กะให้หน้าห้องได้ยิน
“อะไรวะ” – มันเองก็เสียงดังเช่นกัน เพราะมันนั่งพิงกำแพงหน้าห้องอยู่
“ถ้าจะแดกก็รีบ เดี๋ยวหมามันคาบไปแดกหมดแล้วมึงจะอด” – ผมพูดเสียงดังมาก ๆ พูดไปก็มองไอ้สองคนนั้นที่นั่งอยู่หน้าห้อง
หลังจากที่ผมพูดจบซักพักต่ายก็เดินเข้ามาหาผม
“ใหญ่ แกทำอย่างงี๊ทำไม” - ต่ายถามผม
“เราทำไรล่ะ”
“เรื่องเดช”
“ก็ไม่มีอะไรจะคุยกับมันนี่หว่า”
“มันมาปรึกษาเรา ว่าทำไมแกไม่คุยกับมัน” – ต่ายออกแนวเป็นห่วงเดชเล็ก ๆ
“แกห่วงมันเหรอ”
“ก็เปล่าหรอก ตอนนี้เรากับมันก็เป็นเพื่อน แล้วเพื่อนกับเพื่อนไม่คุยกัน เราก็ไม่สบายใจ”
“ก็ต่ายไม่ลองถามมันดูล่ะ ที่ว่ามันไม่คุยกับเราก่อน เพราะอะไร”
“มันบอกว่า ก็แกไม่คุย”
“เราคุยกับมันก่อนนะต่าย แต่ว่าตอนนั้นน่ะ ทำไมไม่คุยกับเรา”
“มันบอกว่า มันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อืม งั้นเราก็คงบอกได้ว่า เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“มันเครียดมากเลยนะใหญ่” - ต่ายยังคงแสดงความเห็นใจให้เดช
“แล้วทีเราล่ะ มันเคยคิดบ้างป่ะ”
“เราไม่รู้นะว่ามันทำไรแกไว้ แต่แกจะยกโทษให้มันได้ป่ะ”
“ขอไม่ตอบตอนนี้แล้วกันนะต่าย”
.
.
.
.
ตอนเย็นหลังเลิกเรียน
“ใหญ่ ใหญ่ รอด้วย” – ไอ้เดชเรียกผม ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“..............”
“ไอ้ใหญ่ แฮ็ก ๆ ๆ ” - มันคงเหนื่อยจากการวิ่งตามผม
“มีธุระอะไรกับเรางั้นเหรอ” – ผมถามเสียงเรียบ ๆ
“จะไปไหนเหรอ”
“ธุระ”
“ธุระอะไรล่ะ”
“ธุระส่วนตัว” - พูดเสร็จผมกำลังจะเดินหนี
“แกเป็นอะไรวะ”
“ไม่นี่ ไม่ได้เป็นไร”
“แล้วแกทำอย่างงี๊ทำไม”
“เราทำอะไรเหรอ”
“ไหนบอกว่าเราจะเป็นเพื่อนกันไงล่ะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
“เหรอ เหมือนว่า...เราจำไม่ได้”
“เพราะ............”
“แกทำอย่างงี๊กับเราก่อนนะ”
“เราขอโทษ ไม่รู้ตอนนั้นเราเป็นอะไร เราสับสน เหมือนว่า บางที.......เราเองก็เหมือนจะรักเพื่อนอย่างแกมากเกินไป”
“เหรอ”
“แกจะให้อภัยเพื่อนคนนี้ได้ป่ะ”
“แกไปคิดดูดี ๆ ก่อนละกันนะ บางที คนอย่างเราไม่สมควรจะเป็นเพื่อนแกหรอก ไม่สมควร จริง ๆ”
“เอ่อ..............”
“ขอตัวก่อนนะ” – ผมเดินออกจากตรงนั้นทันที
ผมเสียใจมากที่พูดอย่างงั้นออกไป แต่อย่างน้อยสิ่งที่ผมอยากให้มันรู้ก็คือ ช่วงที่มันทำกับผม อยากให้รู้ว่าผมรู้สึกยังไง แม้ว่ามันอาจจะไม่เท่ากับที่ผมรู้สึก เพราะมันไม่ได้รักผม แต่ผมรักมัน
และสิ่งที่ผมทำ ก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมคุยกับมัน เพราะหลังจากวันนั้น เราสองคนก็เหมือนคนที่ไม่รู้จักกัน ยอมรับว่าช่วงนั้นผมร้องไห้บ่อยมาก บอกตัวเองทุกครั้งว่าพอแล้ว พอซักที แต่พอเห็นหน้ามันอีกครั้ง ผมก็ทำใจไม่ได้ เดินก้มหน้าก้มตา แล้วก็เก็บเอามาคิดมากคนเดียว
คาบเรียนวิชาคณิตศาสตร์
“เป็นไรใหญ่” - ต่ายถาม
“..............”
“เป็นไร เงยหน้ามาหน่อย” – ต่ายคะยั้นคะยอ ผมเงยหน้ารับคำ
“เปล่า เราไม่ได้เป็นไร” – นัยน์ตาผมแดง สายน้ำไหลออกจากตา
“ใครทำไรแก”
“เปล่า”
“บอกเรามาดิ”
“แกจะไปทำไรได้วะต่าย”
“ได้สิ เราจะไปบอกมันเอง”
“บอกอะไร”
“ทำไมใหญ่ ทำไมแกต้องทำอย่างงี๊”
“เราทำไร”
“แกร้องไห้เพราะเดชใช่ไม๊”
“ใช่ต่าย”
“แล้วทำไมแกไม่คุยกับมันซักที”
“ให้มันจบเหมือนตอนเริ่มต้นเถอะ จะได้ไม่หลงทางอีก”
“...............”
แล้วการเรียนในระดับชั้น ม.5 ก็ใกล้จะสิ้นสุดลง ด้วยการเลือกประธานคณะสี เพื่อทำงานให้กับคณะสีในปีหน้า ซึ่งผมเองอยู่สีเขียว ไอ้เดชอยู่สีฟ้า ต่างคนต่างก็ได้รับเลือกในการเป็นประธานทั้งคู่ วันที่เรียกประชุมประธานคณะสีที่ห้องคณะกรรมการนักเรียนวันแรก ซึ่งเป็นวันที่ยังไม่ปิดเทอม ม.5 เลย เราใช้ห้องคณะกรรมการนักเรียนในการประชุม (โรงเรียนนี้ถือว่า ประธานคณะสีจะต้องเป็นคณะกรรมการนักเรียนไปโดยบริยาย)
ผมเดินเข้าไปห้องคณะกรรมการนักเรียนตามปกติ ซึ่งห้องนั้นผมก็รู้จักกันดี
“มารับตำแหน่งเหรอ” - พี่ส้มเจ้าเก่าแซว
“ตำแหน่งไร ผู้มาสายแห่งชาติอ่ะดิ”
“รู้ตัวด้วยเหรอว่าสายน่ะ”
“ไอ้ยอมันยังไม่มาเลยพี่” – ผมหาข้ออ้าง ไอ้ยอมันเป็นคณะกรรมการเช่นเดียวกับผม และมันก็ได้รับเลือกเป็นประธานสีแสดด้วย
“ไปนั่งกับเพื่อนมึงเลยป่ะ มันมานั่งนานแล้ว” – พี่กลอ์ฟบอกให้ผมไปนั่งกับไอ้เดช ผมเห็นมันเองก็มองหน้าผมเช่นเดียวกัน
“เดี๋ยวผมไปห้องน้ำก่อนนะ ไปตามไอ้ยอมัน”
“ไม่ต้องเลย เดี๋ยวแกก็หายไปอีก ประชุมไม่ได้” – พี่ส้มดักทาง กลัวผมชิ่ง
“พี่เดี๋ยวผมไปเก็บของผมมุมโน่นก่อนนะ” – ผมบอกกับพี่ส้ม ในเมื่อผมหาข้ออ้างไม่ได้ ผมก็อยู่ในห้องนั้นนั่นแหล่ะ แต่อยู่ด้วยกันคนละมุม
แล้วก็เริ่มประชุมกันซักที โดยที่ผมกับมันไม่พูด แม้แต่จะมองหน้ากันก็ยังไม่ทำ จนจบการประชุม เราก็ไม่ได้พูดอะไรกัน
จน ม.6 ครั้งสุดท้ายที่ต้องเจอกัน ก็คืองานกีฬาสี ที่ ม.6 จะต้องส่งท้าย แต่ละสีต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ส่วน ม.6 เองก็ไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากประสานงาน และก็เป็นหน้าที่ประธานสีอย่างผมที่จะต้องไปดูแลกิจการงานต่าง ๆ
พอถึงวันแข่งกีฬาสี ประธานแต่ละสีจะต้องถือธงประจำสี แล้วก็เดินสวนสนามแฟนซีกันอย่างสวยงาม และก็มีตอนที่จะต้องให้ประธานสีแต่ละสีมารวมกันตรงกลาง แล้วก็กล่าวคำปฏิญาณ ว่าข้าพเจ้าเป็นนักกีฬาสมัครเล่น อะไรประมาณนั้นน่ะ แล้วด้วยตำแหน่งอะไรก็ไม่รู้ ผมเองก็ต้องยืนติดกับไอ้เดช
แต่ผมก็ไม่มองหน้ามันหรอก ผมไม่กล้าขนาดนั้น
จนกระทั่งวันสุดท้ายของ ม.6 ผมก็ไม่เห็นมัน แม้แต่เงา
1 ปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา ผมไม่เคยลืมแม้แต่วันเดียว แต่ทำไมก็ไม่รู้ คำว่า “ขอโทษ” จากปากมัน ผมเองก็ยังไม่เคยได้ยินเลยจากมัน แม้ว่าผมเองก็รอให้มันมาพูดกับผมตรง ๆ แต่มันก็ไม่ทำ ไม่รู้เพราะผมหรือมันที่ไม่กล้า
ช่วงเวลาสุดท้ายที่เราจะได้เป็นเพื่อนกัน ผมก็ยังทำไม่ได้ เพราะทิฐิของผมเอง
ห้องผมจบ ม.6 ต่างก็แยกย้ายกันไปเรียนตามคณะที่ตัวเองไฝ่ฝัน ผมเองก็สอบเอ็นเข้ามหาลัยของรัฐชื่อดังแห่งหนึ่งได้ ส่วนต่ายก็ไปเป็นวิศวะกรหญิงรั้วเหลืองแดง ไอ้ไม้ก็เตร็ดเตร่แถวมหาลัยใกล้บ้านมัน ส่วนไอ้เดช เท่าที่มีคนบอกมา ก็เข้าไปเรียนวิศวะลาดกระบัง สรุปแล้วมันก็ทำตามความฝันของมันได้ ส่วนเพื่อน ๆ ห้อง 8 ผมไม่รู้ข่าวของใครอีกเลย
ทุกคนต่างก็มีความฝันเป็นของตัวเอง บางครั้งก็อาจจะมีความรัก ความสุข ความเศร้า ความเหงาในวัยเรียนบ้าง แต่เมื่อโตขึ้น ก็จะรู้เองว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร บางครั้งมาลองนั่งนึกเรื่องราวเก่า ๆ ที่เคยเกิดขึ้นตอนนี้ ก็ยังคิดว่าตัวเองอยู่ ว่าทำไมตอนนั้นไม่คุยกับมันวะ ทุกอย่างจะได้จบ ปล่อยให้ทิฐิครอบงำอยู่ได้ แต่ก็อย่างว่านั้นแหล่ะคับ ตอนนั้นเป็นวัยรุ่น คึกคะนอง ความคิดความอ่านอะไรก็คงไม่เข้าที่หรอกคับ มามองตอนนี้ ก็กว่า 6 ปีแล้ว
“เดช แกยังคงเป็นเพื่อนรักของกูเสมอ”
------------------------------------
ขออุทิศเรื่อง รักดั่งเส้นขนาน ให้กับเพื่อน ๆ ทุกๆคน ที่มีตัวตนอยู่ในโลกของความจริง แม้เขาจะไม่รู้เรื่องราวใด ๆ ที่ถูกนำมาแต่งเป็นนิยาย แต่ขอบอกไว้ว่า ทุกครั้งที่เรานัดเจอกัน ผมก็ยังคงคิดถึงเรื่องนี้เสมอ เพราะมันเป็นประสบการณ์ และความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตของผม
-------------------------------
ปล. กำลังคิดว่าอาจจะมีตอนพิเศษ ดีป่ะคับ แต่คงไม่ยาวมากนักนะคับ