มาแล้วคับ ปั่นซะร้อนเลย ------------------------------------
ตอนที่ 36
“ไมมึงไปนานจังวะ” - ผมถามเดช
“ไอ้เดชนั่นแหล่ะ เลือกของนาน ไม่รู้แม่งจะเลือกไรนักหนา” – ไอ้เต้บอกผม เป็นการฟ้อง
“เชี่ยละ มึงเลยไอ้เต้ มัวแต่เลือกสบู่อยู่นั่นแหละ กูน่ะเสร็จตั้งนานแล้ว”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น คราวนี้เพื่อนมันเข้ามาอีก 4 คน ก็ครบ 7 คนแล้วดิคับ กว่าจะรวมตัวครบก็เกือบ 5 โมงแล้ว แล้วจะไปทันขึ้นรถไฟกันป่ะเนี๊ย เราทั้ง 7 คนลงมาจากห้องของเดชทันที เรียกแท๊กซี่เพื่อไปสถานีรถไฟสามเสน ก็อย่างว่านะคับว่า การจราจรในกรุงเทพฯ ตอนเย็นๆ มันก็ช่างติดเหลือเกิน แล้วยิ่งเป็นเย็นวันศุกร์แล้วล่ะก็ ไม่อยากจะคิดเลยคับ แยกที่ผมจะต้องผ่านได้ชื่อว่าเป็นสี่แยกที่ค่อนข้างจะมีรถติดนานมากด้วย
แท๊กซี่พาเรามาถึงสถานีรถไฟตอนหกโมงสิบนาที แทบว่าเส้นยาแดงผ่าแปดกันเลยทีเดียว เป็นโชคดี(หรือเปล่า) ที่รถไฟเข้าสถานีช้ากว่ากำหนด เกือบสิบนาที เพราะฉะนั้นเราจึงพอมีเวลาทำธุระส่วนตัว เข้าห้องน้ำ ซื้อขนมที่สถานี แล้วก็มานั่งรอรถไฟที่ชานชลา
“ที่นี่ สถานีสามเสน ที่นี่ สถานีสามเสน รถไฟเข้าเทียบชานชลาที่ 1 เป็นรถเร็วขบวนที่ 167 เดินทางออกจากสถานีกรุงเทพ ปลายทางสถานีกันตัง ผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางไปกับขบวนรถไฟสายนี้ โปรดตรวจสอบสัมภาระของท่านให้เรียบร้อยก่อนขึ้นขบวนรถครับ”
“รถเร็วขบวน 167 ออกจากสถานีสามเสน และจะแวะรับส่งผู้โดยสารที่สถานีบางซื่อเป็นสถานีถัดไปครับ”พวกเราไม่ต้องรอให้สิ้นสุดเสียงของนายสถานีหรอกคับ เราทั้ง 7 คนต่างรีบขึ้นไปจับจองที่นั่ง ซึ่งเป็นที่นั่งที่ได้จองไว้ตั้งแต่แรก ปกติรถไฟชั้น 3 ถ้าเดินทางระยะใกล้ๆ จะไม่มีการเลือกที่นั่ง แต่ถ้าเดินทางไกล จะต้องมีการเลือกที่นั่ง เพราะถ้าไปไกลๆ คงจะยืนไปไม่ไหวหรอกคับ
ที่นั่งที่ได้จองไว้เป็นที่นั่งสำหรับ 6 คน นั่งหันหน้าฝั่งละ 3 คนทั้งสองฝั่ง และมีที่นั่งติดกันแต่อยู่ด้านหน้าอีก 1 ที่นั่ง ผมเป็นคนขึ้นช้าที่สุด และผมก็เป็นเพื่อนต่างห้องด้วย ผมจึงยินดีที่จะนั่งที่นั่งคนเดียว เรื่องของเรื่องก็คือผมจะได้นั่งดูโน่นดูนี่ไปด้วย และอีกอย่างผมก็ขึ้นรถไฟครั้งแรก (เท่าที่จำความได้ตั้งแต่เด็กๆ เคยขึ้นอยู่บ้าง แต่ไม่เคยมาขึ้นกับเพื่อนเลย) อออออ
รถไฟเริ่มออกวิ่งแล้ว จากสถานีสามเสน ยอมรับว่าตื่นเต้นเหมือนกัน ผมจะได้มาเที่ยวต่างจังหวัดครั้งแรกกับเพื่อน ผมมองโน่นนี่ตลอดเวลา มองวิวที่ผมเคยเห็น(จริงๆแล้วก็เป็นวิวเดิมๆแหล่ะคับ เพียงแต่มันมองจากรถไฟ)
“มึงเป็นไรใหญ่” - เดชตะโกนข้ามหัวเพื่อนมันมา
“เปล่า ดูวิว”
“มึงไม่เคยเห็นเหรอวิวในกรุงเทพน่ะ”
“เคย แต่ไม่เคยมองจากรถไฟ” – ผมตอบมัน เสร็จแล้วมันก็หันหลังไปคุยกับเพื่อนเหมือนเดิม
“เข้ม กูยืม MD หน่อยดิ” – ผมขอยืมเครื่องเล่น MD จากไอ้เข้ม มันก็ส่งมาให้ผมโดยดี ตอนนี้ผมกำลังเข้าสู่โหมดโลกส่วนตัว
เพลงใน MD เพลงแรกชื่อเพลง “รอ” ของกะลา คุ้นหูผมเหลือเกิน
ระหว่างกำลังชมวิวข้างทาง พร้อมฟังเพลงที่เป็นแนวรักที่ไม่สมหวังอีกหลายเพลง
“เฮ้ย+++!!!”
“เป็นอ่ะไรล่ะมึง เปลี่ยวเชียวนะ” – ไอ้เดชมานั่งกับผม
“เปล่า ไม่ได้เป็นไร” – ผมบอกมัน ผมไม่ได้เป็นไรจริงๆนะตอนนั้น คงจะเป็นความรู้สึกแปลกแยกล่ะมั้งคับที่ผมเป็นเด็กต่างห้องคนเดียวที่มาเที่ยวกับพวกมัน
“งั้นกูนั่งกับมึงนะ” - ไอ้เดชบอกผม
“แล้วถ้าคนขึ้นมาจะทำไง”
“ค่อยย้ายกลับ แล้วมึงก็ต้องไปนั่งกับพวกกูด้วย อย่ามานั่งเปลี่ยวอย่างงี๊” - มันสั่งผม
“กูนั่งตรงนี้ได้ ไม่เป็นไร” – ผมยืนยันที่จะนั่งตรงนี้
“มึงอย่าทำตัวอย่างงี๊ดิ”
“กูทำอะไร”
“มึงมาเที่ยวกับพวกกูนะเว้ย มึงก็ช่วยไปนั่งกับพวกกูหน่อยเหอะ”
“แล้วที่นั่งตรงนี้ล่ะ”
“ช่างมันดิ มาด้วยกันก็ต้องนั่งด้วยกัน”
“..............”
“มึงอย่าทำตัวอย่างงี๊อีกนะเว้ย”
“........อืม”
“มึงฟังเพลงไรอยู่วะใหญ่” – มันถามผม ไม่ถามเปล่า ดึงหูฟังข้างขวาไปจากผมด้วย
“อ้า...........”
“กูขอนั่งกับมึงก่อนนะใหญ่”
“เอ่อ.......ก็ ...... ก็เอาดิ”
เราสองคนนั่งด้วยกัน โดยไม่ได้พูดอะไรกันอีก เรานั่งฟังเพลงใน MD กันไปเรื่อยๆ ส่วนข้างหลังของผมก็มีเพื่อนอีก 5 คน ซึ่งคุยกันเสียงดังมาก เพราะต้องคุยแข่งกับเสียงรถไฟ ซึ่งมันดังเหลือเกิน แต่ความดังของรถไฟก็ไม่เท่าเสียงคุยของพวกมันหรอกคับ ดีนะว่าคนยังขึ้นมาไม่เยอะ ไม่งั้นคงรำคาญแย่
ถึงสถานีนครปฐมแล้วคับ ตู้ของพวกเราเริ่มมีคนขึ้นมาหนาแน่นมากขึ้น รวมถึงที่นั่งข้างผมก็มีคนมานั่งแล้วด้วย เดชจึงชวนผมกลับไปนั่งกับเพื่อนๆมัน ตอนนี้ก็มีกัน 7 คน แต่มี 6 ที่นั่ง ทำไงดีล่ะ ตอนแรกพวกเราก็ยอมนั่งเบียดกัน 4 คน โดยผมก็ต้องนั่งเบียดกับเดช เพราะพวกมันลงความเห็นว่าเราสองคนสนิทกันมากเกินพอดี
เมื่อครบองค์ประชุม เดชแนะนำเป็นทางการซักที ก็ผมรู้จักก็แค่เข้ม เอก แล้วก็ไอ้เต้ปากหมาแหล่ะคับ ที่เหลืออีก 3 คนไม่รู้จักหรอก สามคนที่เหลือก็มีเล็ก (คนที่ซ้อมการแสดงตอนงานโรงเรียนน่ะคับ) แล้วก็ โส รวมผมกับเดชก็เป็น 7 คนพอดี เล็กเป็นคนที่ค่อนข้างจะไม่ถูกชะตาเท่าไหร่เมื่อเห็นตอนแรกๆ แต่ตอนนี้ก็คุยกันดี ส่วนโสเป็นคนผิวขาว สูงพอประมาณ แต่ก็เตี๊ยกว่าผมอยู่ดี ผอม หน้าตาก็โอเคนะคับ
เราทั้งหมดก็คุยกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปจนถึงเกือบๆ สี่ทุ่มแล้ว ผมคงเหนื่อยมากไปละมั้งคับ หาวมาตั้งแต่นครปฐมแล้ว จนผมเคลิ้มๆไปนิดหน่อย หัวเริ่มโงนเงน ไม่อยู่ในแนวตรงกลางแล้ว
“เดช กูง่วง”
“นอนดิ”
“นอนไงล่ะ ไอ้ห่า”
“มึงพิงไหล่กูเด่ะ กูยังไม่ง่วง”
“อืมๆๆ” – ผมก็เอาหัวของผมไปพิงไหล่เดช ตอนนั้นนอกจากง่วงแล้ว ผมไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นจริงๆ
“เดช”
“อะไรวะ”
“อีกไกลป่ะวะ”
“ก็ถึงประมาณตีสองครึ่งน่ะ”
“ถ้ามึงเมื่อยมึงบอกกูนะเดช กูจะได้ไปนั่งที่เดิมกู”
“มึงนั่งตรงนี้แหล่ะไอ้ใหญ่”
“ขอบใจว่ะ”
แล้วผมก็หลับไป ตอนนี้สภาพของแต่ละคนก็งัวเงียไม่ต่างกัน ไอ้เข้มขอ MD คืน มันจะฟังมั่ง ที่เหลือก็หลับกันไปแล้ว พิงกันไปพิงกันมาแหล่ะคับ เหลือแต่ไอ้เดชกับไอ้เข้มที่มันยังไม่ง่วงกัน จะว่าไปเพื่อนๆมันดูรักกันมากนะคับ ไม่รู้ดิผมยังรู้สึกได้ถึงความรักแบบเพื่อนที่พวกมันมี พวกมันไม่ต้องปรุงแต่งอะไรทั้งสิ้น ขนาดผมเป็นคนที่เป็นเด็กต่างห้องคนเดียว พวกมันก็คุยกับผมอย่างกับเป็นเพื่อนที่อยู่กันมานานแล้ว ส่วนใหญ่ก็ถามเกี่ยวกับเรียนห้องคิงเป็นไง ยากป่ะ กดดันไม๊ แล้วก็จบลงที่การชวนมาอยู่ห้องของพวกมัน
“เดชๆ”
“อะไรวะมึงไอ้ใหญ่”
“กูมีไรจะบอกมึงว่ะ”
“อ่ะไรล่ะ ว่ามาดิ”
“ห้องน้ำบนรถไฟอยู่ตรงไหนวะ กูปวดฉี่”
“เชี่ยใหญ่ กูนึกว่ามีอะไร”
“ก็เอ่อ ไม่เคยเข้าห้องน้ำรถไฟอ่ะดิ”
“มึงเห็นอ่างล้างมือตรงหัวตู้ป่ะ” - มันชี้ไปที่หัวตู้
“อืม”
“ข้างๆ มันจะมีห้องน้ำอยู่น่ะ”
“เหรอ”
“เออ ขอบใจว่ะ”
การเดินทางด้วยรถไฟชั้น 3 อันสุดแสนจะทรมานใกล้จะสิ้นสุดลง ดูเหมือนว่าผมจะเอาเปรียบเดชมาตลอดทาง ผมพิงไหล่มันมาตลอด แต่มันไม่ได้นอนเลย แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ยังง่วงอยู่ดี เราลงที่สถานี “ปะทิว” แม่ไอ้เข้มมารอพวกเราตั้งแต่ตีสองแล้ว พวกเรามาถึงที่นี่กันตอนเกือบตีสามครึ่ง สงสัยเป็นเพราะมัน late มาตั้งแต่แรกที่เรามากันแล้ว
ไม่พูดพร่ำทำเพลง พวกเราขึ้นรถแม่ไอ้เข้มกันทันที อากาศตอนนั้นหนาวพอสมควร แต่ไม่ถึงกับหนาวมาก รถแม่มันเป็นรถกระบะที่เอาไว้ขนผลไม้ออกจากสวนของมัน (มันเล่าให้ฟังระหว่างเดินทางไปที่บ้านมัน) จากสถานีรถไฟไปบ้านมันตอนแรกยังพอมีความเจริญอยู่บ้าง แต่จากนั้นพบว่าความเจริญได้หายไปในระยะทางไม่ถึง 5 กิโลเมตร เสาไฟฟ้าไม่มีซักเสา ไฟส่องสว่างตอนนั้นมีเพียงไฟจากรถกระบะคันนี้เท่านั้น ผมได้รับเกียรติไปนั่งข้างหน้ากับไอ้เข้มและไอ้เต้ ส่วนที่เหลือต้องไปนั่งข้างหลังกันตามระเบียบ จริงๆถ้าจะเบียดก็คงพอ
เราแวะกันที่ร้านขายของชำร้านหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะตั้งอยู่กลางป่า มีถนนลาดยางความกว้าง 2 เลนใหญ่อยู่หน้าบ้าน (คิดว่าที่เป็นเลนใหญ่เพราะรถบรรทุกต้องวิ่งผ่านมั้งคับ) รอบข้างเป็นป่ามืดทึบ มองด้านข้างไม่เห็นอะไร แต่เมื่อมองไปบนท้องฟ้าเห็นดาวเยอะแยะสวยงามมาก แต่ผมก็ไม่ค่อยตั้งใจดูเท่าไหร่หรอกคับ มันหนาวนี่นา ไม่เห็นใครบอกผมเลยว่าอากาศตอนตีสามมันจะหนาวอะไรอย่างงี๊ ร้านขายของชำนั้นเป็นของครอบครัวไอ้เข้มมันคับ มันมีบ้านสองหลัง หลังนี้เอาไว้เผื่อพ่อค้ามาติดต่อซื้อของ ส่วนบ้านอีกหลังที่เราจะไปพักอยู่ลึกไปด้านในอีก
หลังจากที่พวกเราแวะร้านขายของชำ เพื่อเอาเสบียงและของใช้ที่จำเป็นเรียบร้อย ก็ขับรถเข้าบ้านกันต่อ แม้ไอ้เข้มเลี้ยวรถเข้าซอยเล็ก ๆ ที่ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นซอยได้ ทุกอย่างมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากรถเท่านั้น บางครั้งก็เห็นหิ่งห้อยบินด้วย เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็น ส่วนเสียงก็มีแต่เสียงเครื่องยนต์เท่านั้น ไม่มีเสียงคุยกันเลย สงสัยจะหนาวกันละมั้ง หนาวจนอ้าปากกันไม่ออก แม่ไอ้เข้มพาเราขับเข้ามาลึกพอสมควร จากปากซอยจนถึงตอนนี้ผมเห็นบ้านไม่ถึง 5 หลังเลย
แล้วเราก็มาถึงบ้านไอ้เข้มกัน บ้านมันเป็นบ้านปูน 2 ชั้น ที่ค่อนข้างใหญ่ แต่ก็ไม่ใหญ่แบบในหนังนะคับ มีบริเวณกว้างเหมือนกัน ที่บ้านมันมีหมาอยู่ 2 ตัวคับ เมื่อพวกเราลงรถไปมันก็เห่าต้อนรับ จากนั้นพวกเราก็ขนสัมภาระจากรถเข้าบ้านกัน
“ใครไปนอนห้องกูบ้าง” ไอ้เข้มถามเพื่อนๆ
“กู”
“กูอ่ะ”
“มั่งดิ”
“อ่ะ งั้นไอ้เอก ไอ้เล็ก ไอ้โสนอนกับกูข้างบนนะมึง”
“เฮ้ยแล้วที่เหลือล่ะ” ไอ้เต้ถาม
“ข้างล่าง”
“เฮ้ย ไม่เอาน้า....” ไอ้เต้โอดครวญ
“ห้องเนี๊ยะ” – ไอ้เข้มพาไปที่ห้องที่อยู่ข้างล่าง เป็นห้องสีขาว มีเตียงขนาดใหญ่ 1 เตียง มันบอกว่าห้องนี้สำหรับเวลาแขกมาที่บ้านจะให้นอนห้องนี้ “ก็พวกมึงสามคน ไอ้เดช ไอ้เต้ แล้วก็ไอ้ใหญ่”
“เออ กูนอนนี้แหล่ะ เย็นดี” – ไอ้เดชบอก แล้วก็โยนกระเป๋าไปที่มุมห้องทันที ไอ้เต้เหมือนกำลังปรับสภาพให้ยอมรับว่าต้องนอนที่นี่ ส่วนผมก็เดินเอากระเป๋าไปวางที่มุมห้องเช่นเดียวกัน
“ห้องน้ำอยู่ด้านหลังนะ ตรงข้างๆ เครื่องซักผ้า” - ไอ้เข้มชี้ไปที่เครื่องซักผ้าที่อยู่ห้องถัดไป
“แล้วพรุ่งนี้พวกมึงต้องตื่นกัน 7 โมงนะเว้ย จะไปทำบุญกัน”
“เออ ยังไงมึงลงมาปลุกกูด้วยละกัน” – ไอ้เต้บอกไอ้เข้ม พยักหน้าหงึกๆ
“หลับสบายๆนะมึง คิดว่าเป็นบ้านพวกมึงละกัน”
“เออ กูไม่เกรงใจมึงหรอกเพื่อนรัก” – ไอ้เดชบอก มันหยิบเสื้อยืด ร.ด. มาตัวนึงจากกระเป๋า แล้วก็ถอดทันทีโดยไม่อายใครทั้งสิ้น
“……….”
แล้วไอ้เข้มกับเพื่อนอีก 3 คนก็เดินจากห้องนี้ไป เหลือผม ไอ้เดช แล้วก็ไอ้เต้ รวมแล้ว 3 คน แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นป่ะเนี๊ย นั่น ผมยังคิดไปถึงโน่น
แต่ไม่ไหวแล้ว ง่วงเหลือเกิน ขอนอนก่อนละกันนะ
“กูนอนกลาง” – ไอ้เต้บอก พร้อมกับโยนของส่วนตัวหนึ่งชิ้นไปบนที่นอนเพื่อการจับจองสถานที่
“กูเลย มึงอย่ามาเนียน” – ไอ้เดชด่าไอ้เต้ พร้อมกับปัดของไอ้เต้ออกมาไว้ริมขวา ซึ่งผมกำลังจะก้มลงนอน
“กูว่าพวกมึงตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนละกัน” – ผมบอกพวกมัน ก่อนผมจะเดินไปห้องน้ำเพื่อไปแปรงฟัน
“ใหญ่ ไปด้วยดิ” – ไอ้เต้บอกให้ผมรอมัน
“เดช มึงไม่ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนอนเหรอ” – ผมถามมัน หน้าตาง่วงนอนเต็มที่
“เหอะๆ.......” – แล้วมันก็ยึดที่ตรงกลางไปนอนเรียบร้อย
แล้วผมกับไอ้เต้ก็เดินออกมาล้างหน้าแปรงฟันกันที่ห้องน้ำ ซักพักไอ้เล็กกับไอ้โสก็เดินลงมาสมทบ
“แมร่งหนาววะ” – ไอ้เล็กบ่น
“.......อืม” – ผมยิ้มให้มันทั้งที่ในปากก็ยังคงมียาสีฟันอยู่เต็ม
“มึงรีบๆ เลย กูหนาว” – ไอ้เล็กบอกผม ผมจึงรีบๆ แปรงให้เสร็จ
“ข้างบนไม่มีห้องน้ำเหรอ” - ไอ้เต้ถาม
“ไอ้เอกมันเข้าไปขี้” – โสบอกพวกเรา
“เชี่ย ถึงว่า แมร่งเหม็นมาถึงข้างล่าง” – ไอ้เต้หันขึ้นไปด่าไอ้เอก
“กูเสร็จแล้ว ไปยัง” – ผมหันไปถามไอ้เต้
“ป่ะ เฮ้ยพวกมึง นอนฝันดีล่ะ” – ไอ้เต้บอกกับทุกๆคน
เมื่อกลับมาถึงห้อง ไอ้เดชนอนหลับไปเรียบร้อยแล้ว ผมกับไอ้เต้จึงต้องนอนริมกันคนละฝั่ง เก็บของกันเรียบร้อยแล้ว ผมจึงลุกไปปิดไฟ แล้วอยู่ดีๆ
“ใหญ่” - ไอ้เต้พูดขึ้นมา
“อะไรเหรอ”
“เปล่า แค่อยากบอกว่า ฝันดีนะเมิง”
“เออ เช่นกันเต้”
---------------------