春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5  (อ่าน 16952 ครั้ง)

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
Special I: First time that we met




เขาไม่อยากไปโรงเรียน เขาเกลียดโรงเรียน ยิ่งพ่อทิ้งเขาไปด้วยแล้ว ยิ่งไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม

เด็กชายเงยหน้ามองครูประจำชั้นซึ่งกวักมือเรียกเขาให้เดินตามเข้าไป เขาก้มหน้าลงก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปอย่างเชื่องช้า แม้ไม่ได้เงยหน้ามองรอบตัวแต่กลับรู้สึกได้ถึงทุกสายตาที่จับจ้องมา ทำราวกับเขาเป็นตัวประหลาด หูของเขาอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงใดๆ กระทั่งครูสาวสะกิดให้เขาพูดแนะนำตัว

“มิอุระ ฮารุโตะ”เขาพูดออกไปด้วยเสียงที่แสนเบาแต่ไม่ได้สนใจว่าใครจะได้ยินหรือไม่

“เพื่อนชื่อมิอุระ ฮารุโตะนะคะ ดูแลเพื่อนใหม่ด้วยล่ะ”

คุณครูบอกให้เขาเข้าไปนั่งที่ เขารีบก้าวเท้าไปยังโต๊ะของตัวเอง ฮารุโตะได้ที่นั่งซึ่งอยู่หลังห้อง มันทำให้เขาเริ่มรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น เขาเงยหน้าเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา และเมื่อได้สบสายตากับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง สายตาคู่นั้นทำให้เด็กชายรีบก้มหน้ามองโต๊ะเรียนทันที

เขาเกลียดโรงเรียนเพราะทุกโรงเรียนมักจะคนแบบเด็กผู้ชายคนนั้น

ถึงจะบอกว่าเกลียดโรงเรียนแต่เขาชอบมื้อเที่ยงของโรงเรียนที่สุด อาหารที่โรงเรียนอร่อยและไม่ซ้ำซากเหมือนที่เขาทำกินเอง แถมยังมีขนมให้กินอีกด้วย

ฮารุโตะค่อยๆละเลียดทานอาหารด้วยความเสียดาย เขาไม่อยากให้มันหมดเร็ว แต่สุดท้ายมันก็ต้องหมดลงอยู่ดี เขาถือถาดอาหารไปเก็บ เพื่อนที่เป็นเวรตักอาหารวันนี้จึงถามเขาว่า

“อร่อยไหม”

ฮารุโตะเงยหน้ามองเธอเล็กน้อยก่อนก้มหน้าลง หมุนตัวและเดินกลับไปยังที่นั่งของตน

หลังเลิกเรียน ฮารุโตะไปยืนรอคนที่จะมารับที่หน้าประตู ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่อยู่กับพ่อ เขาจะเดินกลับบ้านเอง แต่เพราะเขาได้ย้ายมาอยู่บ้านเด็กกำพร้า ครูประจำบ้านจึงให้พี่อีกคนเป็นคนดูแลเขา พี่คนนั้นเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล และเมื่อเช้าอีกฝ่ายก็บอกให้เขารอเจ้าตัวมารับตอนเย็น แต่ทว่า เขารอจนท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีส้มแดงแล้ว อีกฝ่ายยังไม่มาเสียที จากยืนรอจนกลายเป็นนั่งรอ กระทั่งท้องฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงิน จึงได้เห็นครูประจำบ้านและพี่คนนั้นกระหืดกระหอบวิ่งมาหา เขาลุกขึ้นยืน นึกดีใจว่าจะได้กลับเสียที

“หายไปไหนมา”เสียตวาดถามของครูประจำบ้านทำให้เขาก้มหน้าลงโดยอัตโนมัติ “คนอื่นเขาเป็นห่วงขนาดไหนรู้ไหม”

“ขอโทษครับ”เขาบอกเสียงเบาทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไรด้วยซ้ำ แต่มันเป็นคำที่ทุกคนอยากได้ แล้วก็ทำให้เสียงของหญิงสาวตรงหน้าอ่อนลงได้

“ครั้งหน้า จะไปเที่ยวเล่นที่ไหนให้กลับมาที่บ้านก่อนนะ”

“ครับ”ฮารุโตะพูดพร้อมพยักหน้ารับคำ

เวลาที่กลับไปถึงบ้านเป็นช่วงเวลาที่เลยอาหารเย็นแล้ว เขายังคิดกังวลว่าอาจจะไม่ได้กินข้าเย็น แต่ครูประจำบ้านยังเก็บมื้อเย็นไว้ให้ เขาจึงเริ่มรู้สึกว่าการอยู่บ้านเด็กกำพร้าก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่นัก

ด้วยความที่ฮารุโตะเกลียดโรงเรียน เขาจึงไม่อยากคุยกับใครที่โรงเรียน เอาแต่นั่งอ่านหนังสือเรียนเพราะไม่รู้จะทำอะไร

“นี่นาย ไปเล่นกันไหม”เด็กผู้ชายหน้าตาเหมือนเด็กเกเรเอ่ยชวนเขา ในมืออีกฝ่ายกำลังถือลูกฟุตบอล

และฮารุโตะเกลียดลูกบอลกลมๆทุกชนิด เขาจึงเมินอีกฝ่ายด้วยการก้มหน้าลงจดจ้องหนังสือเรียนสำหรับชั้นประถมหกเหมือนเดิม

“ไปเหอะ คนอะไรวะ แม่งโคตรหยิ่งเลย ตั้งแต่เข้ามายังไม่เห็นคุยกับใครสักคำ”

คำว่าขานนั้นเข้าหูเขาทุกคำ ฮารุโตะประสานสองมือซึ่งอยู่ใต้โต๊ะไว้แน่น  โดนว่าว่าหยิ่งมันก็ดีกว่าโดนล้อเลียนด้วยคำอื่น หรือคำว่าขี้แยแล้วถูกกลั่นแกล้งทุกวัน เขาไม่สนใจหรอก เขามาโรงเรียนเพราะต้องมา มาเพราะขนมที่โรงเรียนอร่อย ไม่ได้อยากมีเพื่อนซะหน่อย ฮารุโตะบอกกับตัวเองเช่นนั้นในใจ

แต่เด็กเกเรคนนั้นไม่ยอมจบง่ายๆ ตอนนั่งเรียนอยู่ อีกฝ่ายจึงโยนยางลบมาที่โต๊ะของเขา

“นายๆ เก็บยางลบให้หน่อย”

ฮารุโตะมองยางลบในมือ และมองอีกฝ่ายที่แบมือมารอรับ เขาจึงโยนยางลบส่งกลับเข้ามือฝ่ายนั้น ทว่าอีกสองสามนาทีต่อมา ฝ่ายนั้นได้โยนยางลบมาอีกครั้ง เขาจึงโยนส่งกลับไปให้ และเหตุการณ์ก็วนเวียนซ้ำอย่างนั้นอยู่อีกสองสามเที่ยว ฮารุโตะจึงไม่ส่งยางลบเจ้าปัญหาไปให้อีกฝ่าย แต่วางมันไว้มุมโต๊ะเสียแทน หมดคาบเด็กเกเรคนนั้นจึงย่างสามขุมเข้ามาหา

“ทำไมไม่โยนยางลบคืนมาให้ เนี่ยไม่มีใช้เลยเห็นไหม”

ฮารุโตะจึงเลื่อนยางลบที่วางอยู่มุมโต๊ะเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอีกนิด ทั้งยังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่เช่นนั้น เขาไม่ได้เงยหน้ามองแต่เห็นจากหางตาว่าอีกฝ่ายคว้าหยิบยางลบเจ้าปัญหากลับไปแล้ว เขาจึงพรูลมหายใจออกอย่างโล่งอก

หลังจากนั้นกลับเป็นก้อนกระดาษที่ถูกโยนมา โดนโต๊ะบ้าง โดนศีรษะบ้างแต่เพราะมันไม่เจ็บ เขาจึงได้แต่อดทนไว้ เพราะถ้าเขาร้องไห้หรือร้องโวยวาย อีกฝ่ายคงจะชอบใจแล้วแกล้งเขามากขึ้นเรื่อยๆ และถึงแม้เขาจะอยากร้องไห้จริงๆ แต่พ่อทิ้งเขาไปแล้ว คงไม่มีใครอยากปลอบเขาอีก ฮารุโตะน้ำตาไหลแต่เขารีบปาดน้ำตาและสั่งให้ตัวเองหยุดร้องในทันที

เด็กชายเดินออกจากประตูโรงเรียนหลังจากโรงเรียนเลิก เขาจำทางกลับบ้านได้ แต่ต้องแวะไปรอพี่ที่ครูประจำบ้านสั่งให้ดูแลเขาที่โรงเรียนมัธยมก่อน วันก่อนเขากลับบ้านไปเอง พอพี่กลับไปถึงบ้านเขาก็โดนดุว่าทำไมไม่รอให้ไปรับ พี่จึงบอกว่าถ้าอยากกลับบ้านให้มาหาพี่ที่โรงเรียนก่อน ฮารุโตะได้แต่คิดสงสัย เขากลับบ้านเองได้ทำไมไม่ปล่อยให้เขาเดินกลับไปเอง ต้องรอไปรอมาอย่างนี้มันเสียเวลา เมื่อพี่ออกมากลับบอกว่าให้เขากลับไปก่อน เพราะว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อน ฮารุโตะไม่เข้าใจผู้ใหญ่จริงๆ

ถึงจะไม่เข้าใจแต่เขาจำเป็นต้องทำตามที่พวกผู้ใหญ่พูดบอก เขาไม่อยากโดนตีและไม่อยากโดนลงโทษให้อดข้าว ถึงกระนั้นช่วงเวลาที่เขารอคอยที่สุดในการไปโรงเรียนกลับถูกทำลายลงเสียได้ ฮารุโตะมองพุดดิ้งซึ่งนอนกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยความเสียดาย เขามองคนทำที่พูดคำว่าขอโทษพร้อมเสียงหัวเราะ นึกโมโหอีกฝ่ายแต่เพราะถ้าอีกคนขอโทษต้องยกโทษให้ เขาจึงพยักหน้ารับ และใช้มือประคองพุดดิ้งกลับมาใส่ถ้วย เดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง เขากินข้าวไปพลางมองของหวานของตัวเองด้วยความเสียดาย แล้วเหลือบตามองเพื่อนๆในห้องอีกครั้ง

คุณครูเคยสอนว่าห้ามกินของที่ตกพื้น แต่มันก็ดูไม่สกปรกนี่นา ฮารุโตะคิดขัดแย้งกันในใจ เขายังละเลียดทานข้าวมื้อกลางวันเหมือนเดิม กระทั่งเด็กเกเรคนเดิมลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ

“เดี๋ยวฉันแบ่งพุดดิ้งของฉันให้นายกิน”

ฮารุโตะมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจระคนหวาดระแวง

“นายกินข้าวช้าเนอะ”ฝ่ายนั้นชวนคุย แต่ฮารุโตะยังจะค่อยๆเคี้ยวต่อไป อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายยังคงนั่งรอจนเขาทานข้าวหมด และเลื่อนพุดดิ้งของตัวเองมาที่ตรงหน้าเขา

“ฉันให้นายตักก่อน”

ฮารุโตะตักขนมนุ่มๆเข้าปาก รู้สึกราวกับว่ากำลังล่องลอยสู่สวรรค์

เขามองคนที่หน้าตาเกเรตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ต่างจากเดิม บางทีหน้าตาคนเราก็ไม่สามารถตัดสินนิสัยภายในได้ หลังจากนั้น เขาก็เห็นอีกฝ่ายในมุมมองที่ไม่เคยเห็น เด็กคนนั้นมักจะมีของเล่นใหม่ๆมาอวดเสมอ แต่ทุกครั้งก็จะแบ่งให้เพื่อนคนอื่นๆเล่นด้วย

ครั้งหนึ่งอีกฝ่ายเอารถบังคับมาเล่นในเวลาเรียน แล้วก็บังคับให้มันวิ่งมาชนที่เท้าของเขากับขาโต๊ะซ้ำๆ จนครูที่สอนวิชานั้นเห็น ของเล่นชิ้นนั้นจึงโดนยึด เจ้าตัวโวยวายยกใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนได้ทั้งห้อง

อีกอย่างที่เขาเกลียดในโรงเรียน คือวิชาพละ เขาเกลียดดอจบอลที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถปาบอลใส่เขาได้โดยไม่โดนดุ เขาเกลียดวิ่งแข่งที่ทำให้เขารั้งท้ายได้ที่โหล่เสมอ แล้ววิชาพละที่เขาต้องเรียนกลับเป็นมินิมาราธอน ฮารุโตะไม่เข้าใจว่า ผู้ใหญ่บรรจุหลักสูตรวิ่งระยะยาวมาให้เด็กประถมเรียนได้อย่างไร

กว่าเขาจะกลับถึงเส้นชัย เขาก็หอบแฮ่กๆหมดแรง ฮารุโตะพาร่างอันสะโหลสะเหลเข้าไปนั่งพักใต้ร่มอาคาร ทั้งที่แดดร้อนยังให้เด็กประถมมาวิ่งกลางแดดอีก กระนั้นกลับเหนื่อยเกินกว่าที่จะแสดงสีหน้าขุ่นขวาง ต่างกับอีกคนที่ยังวิ่งอย่างร่าเริงเข้ามาหา

“เหนื่อยเหรอ อะนี่ ฉันให้”อีกฝ่ายล้วงหยิบลูกอมออกมาให้ พลางบรรยายสรรพคุณ

“เขาว่ากินของหวานช่วยเพิ่มน้ำตาล ทำให้หายเหนื่อย”

“ขอบคุณ”ฮารุโตะกล่าวบอกพร้อมลงมือแกะลูกอมกิน และทันทีที่รสหวานของกลิ่นผลไม้ปรุงแต่งกระจายซ่านไปทั่วปาก เขาก็ยกยิ้มออกมา

“อร่อยไหม”อีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งยองๆพลางเอ่ยปากถาม

“อร่อยมาก”เขาตอบ หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็หิ้วขนมจากบ้านมาฝากเขาทุกวัน เขากับเด็กหน้าตาเกเรคนนั้น ที่ฮารุโตะเพิ่งจะมาจดจำชื่อได้ในภายหลังว่า ซากุราอิ ชุน เริ่มสนิทกันเรื่อยๆ จนเขาได้ไปเที่ยวที่บ้านของชุน ที่นั่นมีขนมให้กินจนพุงกาง แต่ส่วนใหญ่ชุนจะบอกกับพ่อว่า พาเขามาทำการบ้านด้วยกัน

“พ่อบอกว่าต้องขยันเรียนถึงจะมีเงินเยอะๆ แต่ตอนนี้ฉันก็มีเงินเยอะอยู่แล้ว เลยไม่รู้จะขยันเรียนทำไม”

“นั่นมันเงินของพ่อนาย ไม่ใช่เงินของนาย”

“แต่ฉันก็ไม่ได้อยากได้อะไรนี่”

“ไม่อยากได้เลยเหรอ ผมมีของที่อยากได้เต็มไปหมด”ฮารุโตะบอก

“อยากได้อะไรละ ถ้าฉันมีฉันจะยกให้”

“จริงเหรอ แต่ของที่ผมอยากได้แพงมาก นายไม่ต้องยกให้หรอก ไว้โตขึ้นผมจะเก็บเงินซื้อเอง”

“อะไรละที่แพงมาก”

“อยากได้บ้าน อยากได้ทีวี อืม...ประมาณนี้มั้ง”

“ไม่เห็นแพงเลย พ่อฉันมีบ้านตั้งหลายหลัง แล้วพ่อบอกว่าโตขึ้นก็จะยกให้ฉันอยู่แล้ว ทีวีที่บ้านนี้ก็มีตั้งหลายเครื่อง ในห้องฉันก็มี”ชุนชี้ไปที่โทรทัศน์ซึ่งตั้งวางอยู่ชิดผนัง ฮารุโตะมองด้วยความอิจฉา ในขณะที่ชุนมีทุกอย่างที่เขาอยากมีอย่างเหลือเฟือ ตัวเขากลับไม่มีอะไรสักอย่าง

“ฉันยกให้นาย ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันมีสิ่งที่อยากได้อย่างเดียว”

“อะไร”

“นาย”ชุนมองหน้าเขา และพูดต่อไปว่า “แลกกันไหม ฉันให้บ้านให้ทีวีที่นายอยากได้ แลกกับตัวนาย”

“แต่ผมกินไม่ได้”ฮารุโตะร้องตอบออกไปหน้าตาตื่น ถ้าเขาต้องตายแล้วเขาจะเอาบ้านกับโทรทัศน์ที่อยากได้ไปทำไม

“ไม่ได้เอาไปกิน ยังไม่รู้เหมือนกันแต่ฉันดูมาจากละคร ไม่รู้อ่ะ อยู่กับนายแล้วมีความสุข ไม่อยากให้นายสนิทกับคนอื่น”

“ผมก็ไม่สนิทกับใครอยู่แล้ว”ฮารุโตะบอกเสียงเบา

“ไม่รู้ แต่นายก็ยิ้มให้คนอื่นมากขึ้น ทั้งที่ฉันพยายามแทบตายกว่าจะชวนนายคุยได้”

ฮารุโตะยิ้มออกมา รู้สึกมีความสุขที่ตัวเองมีความสำคัญกับชุนมากขนาดนั้น

“อืม อย่างนั้นก็ได้”

“ตกลงยอมแลกแล้วเหรอ”

“อืม”เมื่อเขาพยักหน้าตอบตกลง ชุนจึงชูมือโห่ร้องด้วยความดีใจ

“สัญญานะ”ชุนยื่นนิ้วก้อยมาให้เขา ซึ่งฮารุโตะได้ยื่นนิ้วเดียวกันไปเกี่ยวทำสัญญาไว้ “นายเป็นของฉันแล้วนะ”

“แต่นายจะเอาบ้านกลับไปยังไงอ่ะ ส่วนทีวีเดี๋ยวฉันให้คนขนไปส่งให้”

“หือ ถ้าผมเอาทีวีไปแล้วต้องย้ายมาอยู่บ้านนายป่ะ”

“อืม ก็ต้องอย่างนั้นสิ”

“อ้าว แล้วผมจะได้ดูทีวีที่นายยกให้ยังไงล่ะ”ฮารุโตะหัวเราะ “เอาไว้ที่บ้านนายนี่ละ ไว้ผมอยากดูทีวีผมจะมาที่นี่เอง”

ฮารุโตะรู้สึกได้ว่าทุกวันที่เขามีซากุราอิ ชุน เด็กผู้ชายหน้าตาเกเรอยู่ข้างๆ เขามีความสุขมาก แม้แต่โรงเรียนที่เขาเกลียดยังสว่างสดใสขึ้นมา มันทำให้เขาอยากไปโรงเรียนทุกวัน วิชาพละที่ไม่ชอบก็รู้สึกสนุกขึ้นมา แม้แต่เวลาอาหารกลางวันซึ่งเป็นเวลาเดียวที่เขามีความสุข เขายังมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกร้อยเท่า



-End#Special I-

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แกล้ง เเพราะอยากได้รับความสนใจ
แกล้ง เพราะอยากพูดคุยด้วย
ความต้องการ อยากได้แต่ละคนไม่เหมือนกันจริงๆ
คนขาด ก็อยากได้สิ่งมาเติมเต็ม
คนที่มีจนเหลือเฟือ ไม่ต้องการของ กลับต้องการคน
ชุนวัยเด็ก รู้ว่าอยากได้ฮารุโตะ มาเป็นของตัวเอง
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ไม่รู้ว่าจะเมนท์ยังไง
ชุนฝังใจกับฮารุมากเกินไป obsessed เลย
ถ้าหากว่าสองคนนี้เติมเต็มให้กันได้ก็ดี
แต่ชีวิตจริงมันไม่บาลานซ์กันหรอกค่ะ
จริงอยู่ว่าฮารุอยากเป็นที่ต้องการที่รักของใครสักคน
ชุนก็ต้องการฮารุมากเกินไป
ถ้าเป็นคู่ชุน-ฮารุนี่น่าจะจบสไตล์อ.โคโนฮาระได้เลยนะ
ขื่นๆขมๆปนหวานไปสไตล์แอบนอร์มอล
รับได้ไหม? รับได้นะถึงจะไม่ชอบชุนก็ตาม
ไม่รู้จะอธิบายยังไง หาเหตุผลไม่ได้แต่คหสตคือชุนมันตกขอบความปกติไปแล้ว
ถึงมาตอนนี้จะปรับตัวให้ดีขึ้นแต่มันก็ยังไม่พอสำหรับเราอยุ่ดี
เพราะเราเกรงว่าชุน-ฮารุไม่ได้อยู่ในขอบเขตของความปกติ
มีอะไรจะปกป้องฮารุในอนาคตได้ถ้าหากว่าชุนเกิดไม่พอใจจะทำร้ายฮารุอีก?

ซากิที่เราคิดว่าเป็นพระเอกแต่ก็นะ จบแบบแบดเอ็นด์ก็โอเคค่ะ
คือสำหรับเราซากิได้มาแต่ไม่รู้จักถนอม
อาจจะอย่างที่คุณเกรย์ว่าไว้ว่าซากิอาจจะแอบรักนาโอโตะอยุ่ถึงได้ออกตัวแรงตอนที่เรย์นอกใจไปกับมินามิ  แต่ตอนเริ่มเรื่องฮารุก็แอบปลื้มเรย์อยู่
เอาจริงๆถ้าหากว่าท้ายที่สุดแล้วฮารุจะไม่ลงเอยกับซากิเราก็โอเค  เพราะสำหรับเรานั้นเราตามฮารุมากกว่า  ดีใจที่เห็นฮารุเริ่มเสียใจ เริ่มสู้ เริ่มแสดงอาการ  ถึงแม้ว่าตอนล่าสุดนี้ฮารุจะจิตตกจากชุน จากซากิ จากอาซาฮินะจนมายึดติดกับทาคุมิก็ตาม
เราเห็นการเติบโตของฮารุที่มากขึ้นทีละน้อย

ใจจริงถ้าฮารุจะลงเอยกับทาคุมิหรือนาโอโตะเราว่าชีวิตฮารุน่าจะมีความสุขตามที่ควรมากกว่าฝ่ายรุกอย่างซากิหรือชุนเสียอีก

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 22
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ฮารุโตะหายไปอีกแล้ว ซากิใช้เวลาเกือบทั้งคืนก็ยังไม่พบ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พยายามนั่งพักให้ใจเย็น เขาก็นึกถึงสถานที่หนึ่งออก.....






春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 22




ชิมิซึ ซากินั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเช้า ส่วนเพื่อนสนิทและหนุ่มรุ่นน้องอีกคนนั่งหลับคอพับคออ่อนอยู่ไม่ไกล เมื่อวานพวกเขาใช้เวลาค่อนคืนในการตระเวนตามหาฮารุโตะตามโรงพยาบาล คลินิกและสถานีตำรวจในเขตนี้และเขตใกล้เคียง ทว่าพวกเขาก็ยังไม่พบเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่หายตัวไป

หลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขากระวนกระวายร้อนรนบ้าคลั่งและไม่มีสติ แต่หลังจากที่หายใจทิ้งไปสามชั่วโมง ได้นั่งเรียบเรียงเหตุการณ์ความคิด ราวกับว่าสติปัญญาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ไตร่ตรองของเขาจะกลับมาอีกครั้ง

ซากิหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก กรอกเสียงลงไปทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย

“พอดีมีเรื่องให้ช่วย”

“อือ”ปลายสายงัวเงียคล้ายเพิ่งตื่น

“แกช่วยทำหมายค้นให้หน่อย”

“มันต้องใช้เวลาสองสามวัน กว่าศาลจะออกหมายค้นให้”

“เปล่า ฉันไม่ได้ให้แกขอจากศาล ฉันอยากให้แกปลอมมันขึ้นมา แล้วก็ขอคนปลอมเป็นตำรวจสักสองคน”

“เฮ้ย!!! จะบ้าเรอะ แกจะเอาไปทำอะไรวะ”

“มิอุระหายตัวไปตั้งแต่เมื่อวาน ฉันเลยอยากจะไปเช็คที่บ้านซากุราอิ ชุน”

“แล้วไม่โทรบอกตั้งแต่เมื่อวานวะ เอางี้ แกใจเย็นๆรอก่อน เดี๋ยวฉันติดต่อกลับไป”เอคิจิกดตัดสายไปหลังจากนั้น ขณะที่เขายังคงถือโทรศัพท์อยู่ในมือเช่นเดิม ชายหนุ่มนั่งรออยู่เฉยๆโดยไม่คิดจะขยับตัวทำอะไร ราวๆครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น โมริ เอคิจิจึงโทรกลับมา เสียงสัญญาณโทรศัพท์ทำให้ชายหนุ่มอีกสองคนสะดุ้งตื่น

“ฉันจัดการให้แล้ว แปดโมงไปเจอกันที่ลานจอดรถหน้าร้านซุปเปอร์มาเก็ตแถวบ้านพักของซากุราอิ”

ซากิรับคำและกดวางสาย ก่อนหันไปพูดกับเรียวตะที่มองมายังเขาด้วยดวงตาปรือปรอย “ไปกินข้าวที่บ้านแกได้หรือเปล่าวะ”

“อ่อ ได้”เรียวตะกดโทรศัพท์โทรออกเพื่อบอกที่บ้าน จากนั้นจึงถามว่า “เจอฮารุจังแล้วหรือวะ”

“เปล่า แค่จะไปดูในที่ที่คิดว่าน่าจะเจอ”

“ที่ไหนวะ”

“เออ เดี๋ยวถึงเวลานัดแล้วจะบอก ตอนนี้ลุกขึ้นก่อน”

ทั้งสองคนจึงกระวีกระวาดเดินตามออกมาจากห้อง

ทาคุมิแอบเหล่มองชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าซึ่งมีสีหน้าอาการนิ่งเฉยต่างจากเมื่อวาน หันมองรุ่นพี่ฮายาชิที่ตนสนิทสนมด้วยก็หุบปากเงียบไม่พูดอะไร เขาจึงไม่กล้าเอ่ยถามให้มากความ มื้อเช้าที่บ้านของรุ่นพี่ฮายาชิวันนั้นอึมครึมกดดันด้วยบรรยากาศหนักหน่วงจนเขากินอะไรไม่ค่อยลง

พวกเขาออกเดินทางกันอีกครั้งตอนเจ็ดโมงครึ่ง ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ซากิก็พารถยนต์มาจอดยังที่นัดหมาย

“เดี๋ยวเราจะไปดูที่บ้านซากุราอิ ชุน”

“ฮารุโตะอยู่ที่นั่นหรือครับ”ทาคุมิยื่นหน้าผ่านช่องว่างระหว่างเบาะคู่หน้าพร้อมกับเอ่ยปากถาม

“ไม่รู้แต่ต้องลองไปหาดู”

“แล้วซากุราอิจะยอมให้พวกเราเข้าไปดูในบ้านหรือครับ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เอคิจิจะจัดการให้เอง นายหาให้ทั่วแล้วกัน”

“ถ้าหมอนั่นจงใจลักพาตัวฮารุจังจริงๆ แกคิดว่าจะหาเจอง่ายๆหรือวะ”เรียวตะพูด เขานั่งอยู่ที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับ

ซากิเงียบไม่ตอบ เขาเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง มองดูรถยนต์นั่งสี่ประตูติดป้ายตรากรมตำรวจขับมาจอดเทียบด้านข้าง แล้วพูดขึ้นมาว่า“ถ้าไม่เจอก็คงต้องทำใจแล้ว”

เขาลดกระจกลง รถยนต์ที่จอดอยู่ด้านข้างลดกระจกหลังลงเช่นกัน เอคิจิยื่นหน้ามาคุยกับเขา

“ไปเลยไหม”

“นำไปเลย”เขาบอกพลางบังคับถอยหลังรถยนต์และเคลื่อนที่ตามรถตำรวจคันนั้นไป




ชุนมาเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องนอนตัวเองตั้งแต่ลืมตาตื่น หลังจากลองหมุนลูกบิดและพบว่ามันล็อค จึงเดินไปบอกมิชิโอะที่อยู่ในห้องครัว

“อยู่เฉยๆเถอะน่า เพราะเมื่อวานทำตัววุ่นวายแบบนี้ไง มิอุระซังถึงได้หนีเตลิดออกไป”

“ฉันเป็นห่วง”

“คำพูดนายน่ะ ไม่มีใครเชื่อหรอก เจอหน้าแต่ละทีก็เตะซะเต็มแรงเลย ทำไมตอนนั้นไม่ห่วงบ้าง รักด้วยลำแข้งเนี่ยถ้าไม่ใช่นักมวยด้วยกันใครที่ไหนจะชอบ”

ชุนเถียงไม่ออก เขาเบ้หน้าเดินกระทืบเท้า ลากเก้าอี้โต๊ะทานอาหารออกมานั่งด้วยอาการกระแทกกระทั้น

“คิดดู ถ้าคบกันไป แล้วเกิดนายโรคพิษสุนัขบ้ากำเริบไปเตะเขาตัวขาด มิอุระซังคงรู้สึกเสียใจที่โง่มาคบกับคนแบบนาย”

“เออๆ รู้แล้วโว้ย ไม่ต้องมาย้ำ” แต่อย่าเผลอเชียว ชุนคิดในใจ

มิชิโอะถอดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้ที่ประจำของมัน หยิบถาดใส่ข้าวต้มขึ้นมาถือ “เดี๋ยวฉันขึ้นไปดูเอง”

“ฉันไปด้วย”ชุนลุกขึ้นเดินตาม

ห้องนอนของชุนยังคงถูกล็อคจากด้านในตอนที่พวกเขาทั้งไปถึง มิชิโอะจึงส่งถาดอาหารให้ชุนถือ และเดินกลับไปที่ห้องตัวเองเพื่อหยิบกุญแจสำรอง เมื่อไขเปิดประตูเข้าไปกลับพบว่าภายในห้องว่างเปล่า

“อ้าว ฮารุโตะล่ะ”ชุนเอ่ยถาม เขาถือถาดอาหารไปวางบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา 

“อิซามุพาไปส่งแล้วมั้ง”

“ไอ้บ้านั่น”ชุนเข่นเขี้ยวก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้อง มิชิโอะจึงเดินไปดูในห้องน้ำ ก่อนจะหันมองประตูโคลเซ็ต(closet)

“เนี่ยมาดูเลย แกพาฮารุโตะไปไว้ไหน”เสียงชุนโวยวายดังลั่นตั้งแต่ยังก้าวเท้ามาไม่ถึงห้อง

“จะโวยวายทำไมวะ”อิซามุถามเสียงดัง เจ้าตัวปิดปากหาวเพิ่งตื่นนอนเพราะการกระชากปลุกจากเพื่อนร่วมบ้านอย่างชุน

“เอ้า หายไปจริงเหรอ ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนดอดหนีไปอีกแล้วล่ะ”

“เฮ้ย!!!” ชุนร้องออกมาแค่นั้นก่อนจะหุนหันรีบวิ่งออกไปจากห้อง เขาทั้งสองคนได้ยินเสียงฝีเท้าตึงๆ วิ่งลงบันได ตามด้วยเสียงปิดประตูดังโครม

“ท่านประธานจะยกบริษัทให้มันจริงๆหรือวะ”อิซามุหันไปถามเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ

“ก็เป็นหน้าที่ของนายไง”มิชิโอะหัวเราะ เดินตรงไปเปิดประตูโคลเซ็ต ทันเห็นการเคลื่อนไหวที่ปลายหางตา

“มิอุระซัง ออกมาเถอะครับเดี๋ยวผมจะพาไปส่ง”ทุกอย่างยังคงนิ่งสงบ

“คุณ ถ้าไม่รีบเดี๋ยวชุนกลับมาก็ไม่ได้กลับหรอก”อิซามุตามมาพูดสำทับ

ฮารุโตะยังคงลังเล แต่กระนั้นเขาก็ยอมก้าวเท้าออกมา 

สภาพของเด็กหนุ่มร่างเล็กดูแย่กว่าเมื่อวานที่พวกเขาทั้งคู่เจอครั้งสุดท้าย ทว่าพวกเขาทำเพียงเร่งให้อีกฝ่ายก้าวเท้าเดิน มิชิโอะหยิบเสื้อโค้ทกันหนาวของชุนให้ฮารุโตะสวมใส่อีกตัว จากนั้นจึงพาขึ้นรถ รีบติดเครื่องยนต์เพื่อพาเด็กหนุ่มออกจากบ้าน




รถยนต์ทั้งสองคันจอดเทียบฟุตบาทหน้าบ้านพักของซากิราอิ ชุน ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนลงไปกดกริ่งหน้าประตูและยืนรอ ขณะที่คนอื่นๆทยอยเดินตามลงมาสมทบ

คนที่เดินออกมาเปิดประตูเป็นโองาวะ อิซามุ เขามีสีหน้าแปลกใจที่เห็นตำรวจสองนายยืนอยู่หน้าบ้านทว่าก็ยกยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”

“สวัสดีครับ พอดีคุณผู้ชายท่านนี้แจ้งความว่าคุณกักขังหน่วงเหนี่ยวรุ่นน้องในชมรมของเขา ผมจึงขออนุญาตเข้าตรวจค้นครับ และนี่ครับเอกสาร”

อิซามุยังยิ้มรับขณะรับเอกสารฉบับดังกล่าวมาอ่านรายละเอียด ก่อนจะเชิญตำรวจทั้งสองนายเข้าบ้าน

“หมายค้นใช้ได้เฉพาะตำรวจนะครับ คนอื่นไม่มีสิทธิ์”

“หนอย...”ทาคุมิร้องออกมาอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะร้องตะโกนเรียกชื่อฮารุโตะออกมาเสียงดัง วิ่งเข้าวิ่งออกห้องโน้นห้องนี้จนทั่ว เปิดประตูตู้ประตูห้องน้ำทุกบาน ทว่าก็ยังไม่เจอฮารุโตะ ซ้ำไม่เจอแม้กระทั้งซากุราอิ ชุน

“รุ่นพี่ครับ ไม่เจอใครอยู่ในบ้านเลย ผมว่าซากุราอิเนี่ยแหละที่เป็นคนลักพาตัวฮารุจังไป”

“นี่นาย กล่าวหากันลอยๆระวังเจอแจ้งความกลับนะ”อิซามุพูดออกมา

จังหวะนั้นซากุราอิ ชุนได้ก้าวเข้ามาในบ้าน เขาชะงักงันเพราะตำรวจและกลุ่มคนที่เขาจำหน้าได้ขึ้นใจ

“นายพาฮารุโตะไปไว้ไหน คืนฮารุโตะมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”ทาคุมิปรี่เข้าไปหาพร้อมกระชากคอเสื้อเด็กหนุ่มผู้ซึ่งมีร่างกายใหญ่โตกว่า

“ทำไมฉันต้องบอกแกด้วย”ชุนตอบกลับ จนอิซามุต้องส่งเสียงห้ามปรามจากนั้นจึงกล่าวตัดบทไล่ทุกคนออกจากบ้าน

“สรุปว่าในบ้านไม่มีคนที่พวกคุณตามหาใช่ไหนครับ เพราะฉะนั้นผมขอเชิญให้พวกคุณกลับไปได้แล้ว”อิซามุเปิดประตูพร้อมกับผายมือ ขับไล่แขกที่ไม่ได้เชื้อเชิญด้วยทางท่าสุภาพ

ทั้งเอคิจิและเรียวตะต่างเหลือบมองหน้าเพื่อนสนิท เห็นซากิพยักหน้ารับหมุนตัวเดินนำหน้ากลับไปที่รถยนต์ พวกเขาจึงก้าวเท้าตาม ส่วนทาคุมิหันไปจ้องหน้าเชิงหาเรื่องกับซากุราอิ ชุนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวเท้าตามไป

เมื่อมาหยุดยืนอยู่ข้างรถยนต์ เอคิจิจึงเอ่ยถามว่า

“แล้วจะเอาอย่างไรต่อ”

“ก็กลับ”

“แล้วฮารุโตะละครับรุ่นพี่”ทาคุมิร้องถาม

“ไม่เจอคือไม่เจอ”ซากิบอกด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญ

เอคิจิจึงหันไปกล่าวขอบคุณกับตำรวจทั้งสองนาย ยืนรอส่งจนคุณตำรวจขับรถห่างออกไป จากนั้นจึงก้าวเท้าขึ้นรถยนต์ที่มีชิมิซึ ซากิเป็นสารถี

ทาคุมิหน้ามุ่ยด้วยความไม่ชอบใจแต่กระนั้นเขาไม่ได้กล่าวอะไรขึ้นมาอีก ในรถยนต์จึงเงียบสนิทมีเพียงเสียงลมของเครื่องปรับอากาศ และเสียงเครื่องยนต์กระทั่งถึงบ้านเช่าซึ่งฮารุโตะเช่าห้องไว้สำหรับพักอาศัย

ซากิยังเป็นฝ่ายเดินนำก้าวเท้าขึ้นไปยังชั้นสอง  ทว่าต้องชะงักหยุดยืนนิ่งเมื่อเห็นร่างที่กอดเข่านั่งหลับอยู่หน้าห้อง ต่างกับทาคุมิ เขาวิ่งรี่เข้าไปหาเพื่อนสนิททันที

“ฮารุโตะ ฮารุจัง นายเป็นอย่างไรบ้าง”ส่งเสียงถามพร้อมกับยกมือลูบคลำตัวอีกฝ่าย “รุ่นพี่ชิมิซึครับ ฮารุจังตัวร้อนมากเลย”

เพราะคำพูดนั้นซากิถึงรู้สึกตัว เขาโยนกุญแจรถยนต์ให้เอคิจิก่อนจะสาวเท้าเข้าไปช้อนอุ้มตัวฮารุโตะ ก้าวเท้าลงบันได พาหนุ่มรุ่นน้องก้าวขึ้นที่นั่งตอนหลังของรถยนต์ซึ่งเรียวตะเปิดประตูไว้ให้

เอคิจิขับรถพาพวกเขาไปยังโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย หลังส่งตัวฮารุโตะเข้าห้องฉุกเฉิน พวกเขาจึงทำได้เพียงยืนรออยู่ด้านนอก

“ตลกชะมัด หากันทั้งคืน ตอนเช้ากลับมาเจออยู่หน้าห้อง”

“รุ่นพี่ฮายาชิพูดอย่างนี้คิดว่าฮารุจังแกล้งปั่นหัวพวกเราหรือครับ”ทาคุมิถามเสียงดังอย่างขุ่นเคือง

“เปล่าเว้ย ยังไม่ได้พูดอย่างนั้นเลย”

“แต่คิดใช่ไหมล่ะ”

“เอ๊ะ!!! ไอ้เด็กนี่”

“เลิกเถียงกันได้แล้วน่า”ซากิตะเบ็งเสียงพูดดุ ชายหนุ่มสองคนที่ทำท่าเหมือนจะตีกันจึงแยกย้ายไปอยู่คนละมุม

“แกเห็นเสื้อโค้ทที่ฮารุจังใส่ไหม”เอคิจิเข้ามาชวนซากิคุย “ตัวใหญ่กว่าตัวฮารุจังตั้งเยอะ เจ้าของเสื้อคงจะเป็นผู้ชายตัวใหญ่ ถ้าคิดในแง่ดี คนคนนั้นคงตั้งใจช่วยจริงๆและพาฮารุจังมาส่งตอนเช้าหลังจากที่แกออกไป”

“พามาส่งทั้งๆที่มิอุระกำลังมีไข้”

เอคิจิยักไหล่ “ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าตัวต้องมานั่งอยู่หน้าห้องนานแค่ไหนแล้วนี่”

คำพูดของเอคิจิก็มีความเป็นไปได้ ซากิคิด

ฮารุโตะถูกหมอสั่งให้นอนพักฟื้นเฝ้าดูอาการต่อที่โรงพยาบาลเพราะอาการไข้และปอดบวม ซึ่งคนป่วยถูกระงับห้ามเยี่ยมในช่วงวันแรก วันนั้นพวกเขาจึงต้องพากันกลับ ซากิขับรถพาเรียวตะและทาคุมิไปส่งถึงบ้าน กล่าวบอกขอบใจที่มาช่วยตามหาฮารุโตะทั้งคืน

“ฮารุจังก็เพื่อนผม”ทาคุมิตอบกลับมาเช่นนั้น แม้จะสะดุดใจกับว่าเพื่อนของเด็กหนุ่มรุ่นน้องกระนั้นเขาก็ไม่ได้เอ่ยทักอะไรออกมา และหันไปถามเอคิจิที่นั่งอยู่ฝั่งที่นั่งข้างคนขับ

“ว่างไปคุยกันหน่อยไหม”

“ที่บ้านแก?”

“เออ”เขาตอบรับ

“หน้าตาแกเหมือนยังไม่ได้นอน”เอคิจิชวนคุยขึ้นมาอีก

“อืม”

และต่างคนต่างก็เงียบกันไปอีกหน ก่อนที่ซากิจะพูดขึ้นมาอีกว่า

“ฉัน...อาจจะอกหักอีกแล้วว่ะ”น้ำเสียงคนพูดเรียบนิ่งไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ

“รักเขาแล้วหรือ ถึงบอกว่าอกหัก”เอคิจิถามกลับมาทันควัน เหลือบสายตามองใบหน้าด้านข้างของเพื่อนสนิท

คำถามของเอคิจิทำให้เขาได้คิด

บางครั้งตัวเขาเองก็สงสัย ...ความรักคืออะไรกันแน่ ต้องรู้สึกอย่างไรถึงจะเรียกว่าความรัก ต้องเจ็บปวดหรือต้องมีความสุขถึงจะเรียกว่าความรัก ต้องเสียสละหรือต้องแย่งชิงถึงจะเรียกว่ารัก

ครั้งหนึ่งเขาเคยเสียสละเพื่อให้คนที่รักมีความสุขโดยแลกกับความเจ็บปวดแสนสาหัสของตัวเอง เพราะฉะนั้นในยามที่เขาอยากจะเปิดใจเพื่อมีรักครั้งใหม่ เขาจึงพยายามแย่งชิงบังคับใช้ทุกวิธีการเพื่อให้ตัวเองได้เป็นผู้ชนะในเกมแห่งความรัก ทว่านั่นกลับเป็นสิ่งที่ผิดพลาดเช่นเดียวกัน

จู่ๆ ซากิก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา

“เป็นไร”

“เปล่า”เขาตอบ “เดี๋ยวฉันไปส่งแกที่บ้านแล้วกัน ไม่มีเรื่องอะไรอยากจะคุยแล้ว ฝากโทรบอกนาโอโตะเรื่องมิอุระด้วย”

“แล้วแกจะไปไหน”

“ไปนอน”เขาตอบลากเสียงพร้อมรอยยิ้มมุมปาก วนรถยนต์ไปจอดส่งเอคิจิหน้าบ้าน บังคับขับเคลื่อนรถยนต์ให้ห่างจากบ้านของโมริ เอคิจิไปไม่กี่นาทีก็มาถึงบ้านของเขา

ซากิขับรถเข้าไปในโรงจอดก่อนจะเดินกลับมาปิดประตูรั้วหน้าบ้าน จากนั้นจึงมาไขเปิดประตูบ้าน

“กลับมาแล้วครับ”ลองส่งเสียงออกไปทว่าสิ่งที่ตอบรับเขากลับมายังคงเป็นความเงียบงันเช่นเดิม เขาเปลี่ยนรองเท้าก้าวขึ้นไปบนชั้นสอง เปิดประตูเข้าห้องตัวเองแล้วเปิดเครื่องทำความร้อน ถอดเสื้อโค้ทโยนพาดไว้กับพนักเก้าอี้ ก่อนจะพุ่งตัวล้มนอนบนเตียง

ดวงตาปวดล้าจนแม้แต่การหลับตาเฉยๆ ยังสร้างความทรมาน

ห้องของเขาเงียบสนิทไร้เสียงรบกวน ม่านบังหน้าต่างยังคงถูกปิดอยู่เช่นเดิมทำให้ห้องของเขามืดครึ้มน่านอน กระนั้นสมองของเขายังคงฟุ้งซ่านจนทำให้นอนไม่หลับ ชายหนุ่มพลิกตัวนอนตะแคง เสียงความเงียบที่ได้ยินกลับทำให้เขาเหงาจับใจ แต่เพราะร่างกายของเขาเหนื่อยล้าทำให้หมดแรงลุกขึ้น

บางที... เขาอาจจะต้องทำใจให้ชินกับการอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต




“พวกแกทำบ้าอะไรเนี่ย”ซากุราอิ ชุนตะโกนโวยวายเมื่อรู้ว่าตนถูกหลอกให้ตีโพยตีพายวิ่งออกไปตามหาฮารุโตะที่นอกบ้าน จนทั้งสองคนใช้ช่วงเวลานั้นพาฮารุโตะออกไป

“ทำอะไร ยังไม่ได้ทำอะไรเลย มิชิโอะแค่พามิอุระซังไปส่งที่บ้านก็เท่านั้น”อิซามุเป็นฝ่ายตอบ

“ฮารุโตะป่วยอยู่ยังจะพาไปทิ้งให้อยู่คนเดียวอีก”

“โอ๊ะ ทีแบบนี้ละทำมาเป็นห่วง”

ชุนสะอึกเมื่อโดนจี้ใจดำอีกครั้ง เขาหมุนซ้ายหมุนขวาหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่เป็นครู่ก่อนจะกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟาอีกตัว

“เออ แล้วจะให้ทำยังไง”เขาถามกระชากเสียงห้วน

“ก็ไปขอโทษ ไปทำดีไถ่โทษ”

“น่าจะยาก”มิชิโอะพูดขึ้นมาบ้าง “ดูเหมือนมิอุระซังจะกลัวชุนขึ้นสมอง”

“หน้าที่พวกแก คิดมาดิ”

“ใช่ซะที่ไหน ผมมีหน้าที่ทำให้คุณหนูซากุราอิ ชุนเรียนจบให้ได้ภายในสี่ปีเท่านั้นครับ”อิซามุรีบพูด พาลให้ชุนฮึดฮัดโมโหหันรีหันขวางมองไปทางไหนก็ขวางหูขวางตา

“ใจเย็นๆน่าชุน”มิชิโอะเอ่ยเตือน “หัดใช้สมองซะบ้าง ไม่อย่างนั้นจากเจ้านายจะกลายเป็นลูกไล่เสียแทน”

“นี่แกว่าฉันโง่หรือวะ มิชิโอะ”ไม่พูดเปล่า ชุนยังกระโดดไปกระชากคอเสื้อเจ้าของประโยคนั้นอีกด้วย ทว่าอีกฝ่ายยังไม่มีอาการเดือดเนื้อร้อนใจ เขาเพียงแค่พูดเตือนชุนด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“แล้วก็หัดใจเย็นลงซะบ้าง”

ชุนเงื้อมือด้วยความโมโห กระนั้นต้องยอมลดมือลง เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีฝีมือเหนือกว่าตน ชุนยอมถอยกลับไปนั่งที่

“ตอนนี้อยู่เฉยๆไปก่อนเถอะน่า”มิชิโอะพูดต่อ “เมื่อเช้านายก็เห็นว่ามีคนมาตามหามิอุระซัง ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดเดี๋ยวก็โดนเกลียดไปมากยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้เขาไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อนที่จำเป็นต้องยอมอยู่ในอุ้งมือนายอย่างที่นายเข้าใจอีกแล้ว”

“อยู่เฉยๆ”ชุนตะเบ็งเสียงถาม “อยู่เฉยๆจนโดนใครที่ไหนคาบไปแดกแล้วไม่เห็นเรอะ พวกแกอวดตัวว่าฉลาดนักหนา ทำไมไม่คิดวิธีที่มันดีกว่านี้วะ”

“แล้วใครมันไปทำให้มิอุระซังรู้สึกว่าแค่หน้าก็ไม่อยากมองกันวะ”อิซามุเถียงกลับไปบ้าง

“ใครสนกัน ฮารุโตะเป็นของฉัน เขาเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น”ชุนพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“ชุน!!!”มิชิโอะปรามเสียงดัง “ถามตัวเองดีๆ ว่าอยากได้แค่ตัวอย่างเดียวหรือเปล่า ฉันอยากจะเตือนไว้ก่อน ถ้านายหุนหันทำอะไรแบบไม่คิดอีกมันจะเหมือนเวลาหกปีที่นายเคยเสียไป”

ชุนหยุดฟังคำพูดของอีกฝ่ายแค่จบประโยค ทว่าหลังจากนั้นเขาได้ก้าวเท้าออกจากบ้าน พร้อมทั้งขับรถยนต์ด้วยความฉุนเฉียวมาหยุดจอดที่หน้าบ้านเช่าซึ่งฮารุโตะพักอาศัยอยู่

เขาโง่จริงๆนั่นละ เสียเวลาหกปีไปกับการกระทำไร้สาระที่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ

หลังจากทะเลาะกับฮารุโตะเรื่องไอ้เด็กคาราเต้ เขาจึงไปฮึดเรียนศิลปะการต่อสู้มาบ้าง และด้วยความร้อนวิชาเขาจึงไปหาเรื่องตีรันฟันแทงกับเขาไปทั่ว จนติดอันดับเด็กเกตอนมัธยมต้นปีสาม ตอนนั้นเขาภูมิใจที่ตนแข็งแกร่งกว่าคนอื่น แล้วมันเป็นธรรมเนียมที่ต้องแสดงอำนาจทำตัวกร่างข่มทับคนที่อ่อนแอกว่า

มานึกย้อนในตอนนี้แล้ว ชุนอยากจะเอาศีรษะตัวเองชนกำแพงให้ขี้เลื่อยร่วงออกมาบ้าง ปีกว่าๆที่เขาทิ้งฮารุโตะให้อยู่คนเดียว สนใจแต่ความต้องการของตัวเอง ปีกว่าๆที่ทำให้เขากลับไปคุยกับฮารุโตะเหมือนเดิมไม่ได้อีก ปีกว่าๆที่ทำให้เขาต้องเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่ายด้วยเรื่องโง่ๆที่มันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนึกเขาก็ยิ่งโขกศีรษะกับพวงมาลัยรถยนต์อีกหลายๆรอบ

เขาไม่อยากให้เรื่องทุกอย่างลงเอยเช่นนี้ ไม่อยากต้องเสียอีกหกปีไปอย่างไร้ค่า ไม่อยากให้ตัวเขาและฮารุโตะต้องห่างกันไปตลอดกาล




เขาลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงในโรงพยาบาลอีกครั้ง นึกสงสัยว่าทำไมตัวเองไม่ตายๆไปสักที ต้องให้เขาอยู่ทรมานทรกรรมแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ เผชิญกับความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮารุโตะหลับตาลงและปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา ทว่ากลับมีสัมผัสนุ่มนวลปาดเช็ดหยาดน้ำให้เขาอย่างอ่อนโยน

ฮารุโตะลืมตามองเจ้าของมือข้างนั้น พาลให้น้ำตาไหลออกมาอีก

“ร้องไห้อีกแล้ว”ชายหนุ่มเอ่ยปากทัก เขายกยิ้มบางเบาให้คนที่นอนบนเตียง เอ่ยปลอบไปอีกประโยค “เดี๋ยวซาโต้ก็มา”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ กระนั้นใช่ว่าน้ำตาของเขาจะเหือดหายไป หนุ่มรุ่นพี่จับมือเขาไว้พลางดึงกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตาให้ กระทั่งซาโต้ ทาคุมิมาถึง อีกฝ่ายดึงเขาเข้าไปกอด ขณะที่เขาร่ำไห้ไม่หยุด

ซากิจึงใช้โอกาสนี้ถอยเท้าออกไปยืนนอกห้อง เรียวตะที่มาโรงพยาบาลพร้อมทาคุมิจึงตามออกมาด้วย

“แกโอเคหรือเปล่าวะ”เรียวตะเอ่ยปากถามซากิเสียงเบา คนถูกถามเหลือบตามองเพื่อนสนิทก่อนตอบกลับไปว่า

“อืม โอเค”

ทว่าฝ่ายนั้นยังทำหน้าไม่เชื่อ ซากิจึงยกยิ้มให้เป็นการยืนยัน “ฉันโอเคจริงๆ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด”
“เห็นแกทำหน้าแบบนี้แล้วนึกถึงตอนมอปลายว่ะ”เรียวตะชวนคุย “ที่จู่ๆแกก็ทำตัวเฟรนด์รี่ ร่าเริงแจ่มใสเป็นหนุ่มโลกสวยอยู่ช่วงหนึ่ง”

คู่สนทนาหัวเราะในลำคอ นึกย้อนไปช่วงเวลานั้นอย่างไม่ตั้งใจ และพูดในสิ่งที่ต่างกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นอย่างสิ้นเชิง “ทำไมล่ะ เห็นแกร่าเริงมีคนคุยเยอะเลยอยากทำตามบ้าง อิจฉาแกนะเนี่ยที่มีแต่สาวๆมารุมล้อม”

“อ่อเรอะ”

ซากิแสร้งเลิกคิ้วมองตาใสพร้อมส่งสายตาแสดงความสงสัยให้เพื่อนสนิท เพียงแต่เรียวตะไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

“แล้วจะทำอย่างไรต่อล่ะ”คำถามของเรียวตะจริงจังขึ้นอีกครั้ง

“ฉันอยากให้มิอุระไปอยู่ที่บ้านสักพัก อย่างน้อยให้อาการดีขึ้นแล้วจัดการเรื่องซากุราอิ ชุนให้เรียบร้อย แต่ไม่รู้เขาจะยอมหรือเปล่า”

“แกคิดว่าหมอนั่นเป็นคนลักพาตัวฮารุจังจริงๆ”

“อาจจะไม่ใช่ แต่ที่มิอุระหายไปฉันว่าต้องเกี่ยวกับซากุราอิ และถึงมิอุระจะไม่ได้หายไป แต่หมอนั่นก็คุมคามมิอุระมากเกินไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรฉันว่ามันไม่ใช่เรื่องสมควร”

“แกรู้ว่าหมอนั่นทำเพราะอะไรหรือ”

ซากิไม่ตอบ เขาเลี่ยงหันไปยกมือทักทายนาโอโตะกับเรย์ซึ่งตนบังเอิญเหลือบไปเห็นที่ปลายสายตา พวกเขาพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนนาโอโตะจะขอตัวเข้าไปเยี่ยมหนุ่มรุ่นน้อง  ชายหนุ่มมองตามคนทั้งคู่ผ่านช่องกระจกบนบานประตู มองดูเรย์และนาโอโตะโอบกอดลูบหลังปลอบโยนคนป่วยอยู่ครู่หนึ่ง และเพราะภาพนั้นทำให้เกิดความรู้สึกปวดหน่วงในอก เขาจึงหันกลับมาหาอีกหนึ่งเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ

“วันนี้ฉันกลับก่อนแล้วกัน”

“อ้าว”

“ดูไม่มีอะไรแล้ว”เขาพูดแค่นั้นก่อนโบกมือลา




กว่าจะหยุดร้องไห้ได้ ฮารุโตะรู้สึกเหนื่อยจนอยากจะนอนหลับอีกสักรอบ แต่เพราะมีทาคุมิและรุ่นพี่ยืนอยู่ข้างเตียง เขาจึงยังไม่อยากหลับตา

“นอนก็ได้ ไม่สบายต้องพักผ่อนเยอะๆ”รุ่นพี่อาโอกิพูดพลางลูบศีรษะคล้ายพยายามกล่อมเขานอน

“ใช่แล้วรีบหายเร็วๆ อีกสองอาทิตย์ต้องสอบแล้วนะ”ทาคุมิย้ำให้เขาฟัง

เด็กหนุ่มฝืนแรงโน้มถ่วงของเปลือกตาได้เพียงเท่านั้น แม้อยากจะนึกบอกทาคุมิกลับไปว่า ภาคการศึกษานี้เขาพร้อมทำข้อสอบเต็มที่แล้วก็ตาม

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งหลังตื่นนอน ทั้งทาคุมิและรุ่นพี่ทั้งสามคนต่างกลับไปหมดแล้ว ความรู้สึกเงียบเหงาหดหู่จึงได้กลับมาโจมตีเขาอีก ฮารุโตะมองเพดานห้องด้วยสายตาเหม่อลอยจนพยาบาลนำอาหารมื้อเย็นมาส่งให้ เตียงนอนของเขาถูกปรับยกให้เขานั่งขึ้น ตอนนั้นเขาจึงเห็นกระดาษซึ่งถูกผูกติดกับนิ้วมือ เด็กหนุ่มจึงแกะมันออกมาดู

‘ทานเยอะๆ พักผ่อนเยอะๆ จะได้หายไวๆ เป็นห่วง’

ข้อความดังกล่าวทำให้เขายกยิ้ม รู้สึกมีแรงใจขึ้นมา เขาพับกระดาษแผ่นนั้นผูกติดนิ้วไว้เหมือนเดิมก่อนจะเริ่มลงมือทานอาหาร หลังจากนั้นจึงนอนหลับพักเยอะๆตามที่กระดาษแผ่นนั้นแนะนำ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-04-2017 05:38:44 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
อีกราวๆสี่วันหลังจากนั้น ฮารุโตะจึงได้ออกจากโรงพยาบาล

“ไปอยู่ที่บ้านของรุ่นพี่ชิมิซึก่อนนะฮารุจัง”ทาคุมิบอกในวันที่เขาต้องออกจากโรงพยาบาล เด็กหนุ่มเหลือบสายตามองหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งยกยิ้มติดมุมปากอยู่ไม่ไกล รอยยิ้มที่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายพยายามหลอกลวงคนทั้งโลก ก่อนจะหันเหสายตากลับมาหาทาคุมิอีกครั้ง

“ฉันก็จะไปอยู่ด้วย แถวนั้นเป็นระแวกเดียวกับบ้านรุ่นพี่อาโอกิ รุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่โมริด้วย”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ คนพูดจึงยกยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ แล้วลุกขึ้นยืนเข็นรถเข็นที่ฮารุโตะนั่งพาออกไปหน้าโรงพยาบาล

“เดี๋ยวฉันไปวนรถมาก่อนนะ”ซากิพูดก่อนเดินนำหน้าไป ฮารุโตะมองตามแผ่นหลังกว้างที่สาวเท้าก้าวห่างออกไปทุกที แล้วก้มมองสองมือที่บีบจับกันไว้

“ซาโต้ซัง”เขาเอ่ย ทาคุมิขานรับพลางโน้มหน้ามาหา
“รุ่นพี่ชิมิซึโกรธหรือเปล่า”

ทาคุมิอยากตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน ทว่าเขากลับถามไปว่า “โกรธ? หมายถึงเรื่องไหนล่ะ”

“ทุกเรื่อง”ฮารุโตะบอก เริ่มใช้ปลายเล็บจิกหลังมือตัวเองอย่างไม่รู้สึกตัว เขากังวลอึดอัดหลายความรู้สึกผสมปนเปกันจนเหมือนจินตนาการเห็นเมฆดำก้อนใหญ่ลอยอยู่กลางอก

“พูดไม่ดีและทำให้ลำบากตั้งหลายอย่าง”

ทาคุมิถามเขา ว่าคืนนั้นหายไปไหน ทั้งเล่าว่ารุ่นพี่ชิมิซึ รุ่นพี่ฮายาชิ และเจ้าตัวตามหาเขาเกือบทั้งคืน ฮารุโตะจึงยอมเล่าให้ฟังตามตรงทั้งยังกล่าวขอโทษซ้ำๆ จนอีกฝ่ายต้องเอ่ยปากดุ แต่เขาเสียใจจริงๆที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วงและต้องลำบาก แม้อีกใจหนึ่งจะตื้นตันดีใจที่มีคนเป็นห่วงเขาถึงเพียงนี้

“ถ้าคิดว่าพูดไม่ดีก็แค่ขอโทษ ปกติชอบขอโทษคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยอยู่แล้ว ครั้งนี้คงไม่ลำบากหรอกนะ”ทาคุมิเอ่ยแซว

ลำบากซิ เอ่ยปากยากด้วย ฮารุโตะตอบเช่นนั้นอยู่ในใจ เพราะครั้งนี้รุ่นพี่ชิมิซึดูเย็นชากว่าเดิมเป็นล้านเท่า ทั้งที่ปากยกยิ้มตลอดเวลา แต่เขากลับรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังสวมหน้ากากอยู่เสียมากว่า

ฮารุโตะลุกขึ้นก้าวขึ้นรถโดยมีทาคุมิช่วยพยุง ตลอดทางจากโรงพยาบาลจนถึงบ้านของหนุ่มรุ่นพี่ ภายในรถยนต์มีแต่ความเงียบ แม้ว่าเขาและทาคุมิจะนั่งอยู่เบาะหลังด้วยกันปล่อยให้หนุ่มรุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของรถยนต์ทำหน้าที่คนขับรถ แต่เพราะฮารุโตะเอาแต่จมจ่ออยู่กับความคิดของตัวเอง และทาคุมิก็ปล่อยให้เพื่อนสนิทได้ทำเช่นนั้น

เขามารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อรถยนต์จอดนิ่งอยู่ภายในโรงจอดรถ ฮารุโตะเปิดประตูก้าวเท้าลงเดินตามหนุ่มรุ่นพี่เข้าไปในบ้าน และทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปเสียงพลุกระดาษได้ดังรัวขึ้นมา

“ดีใจด้วยที่หายป่วยแล้ว”นาโอโตะร้องบอก 

ฮารุโตะมองกลุ่มรุ่นพี่ด้วยความหลากประหลาดใจ ที่จริงอาการของเขาแค่ทุเลาลงจนแพทย์เจ้าของไข้อนุญาตให้กลับบ้านได้ กระนั้นก็ยังดีใจจนต้องเผยยิ้ม เขาได้แต่เอ่ยขอบคุณ แม้เมื่อครั้งที่เขาถอดเฝือกคราวก่อนพวกรุ่นพี่จะฉลองให้เขาเช่นเดียวกัน แต่ครั้งนี้มันกลับต่างออกไป เพราะก่อนหน้าที่เขาจะป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล อารมณ์ความรู้สึกของเขาดิ่งลงเหว คิดว่าไม่มีใครต้องการเขาอีกแล้ว

หลังจากนั้น พวกรุ่นพี่พาเขาไปยังโต๊ะอาหารซึ่งมีอาหารมากมายวางอยู่ พวกเขาทานอาหารร่วมกัน พูดคุยกัน มีแต่เสียงหัวเราะและมุขตลกล่องลอยฟุ้ง ฮารุโตะหัวเราะจนเหมือนหายใจไม่ทัน หัวเราะไม่หยุดต่อเนื่องกระทั่งเมื่อยไปทั้งแก้มปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ใครคิดอยากจะลุกจากโต๊ะ ถึงกระนั้น งานเลี้ยงล้วนต้องมีวันเลิกรา

ฮารุโตะหาวหวอด ร่างกายอ่อนเพลียเรียกร้องการพักผ่อน

“เอาละ เจ้าของงานง่วงแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเราแยกย้าย”นาคามูระ เรย์เอ่ยปากพูด แม้ใจหนึ่งฮารุโตะอยากให้พวกรุ่นพี่อยู่คุยกันต่อ แต่ทว่าไม่อาจฝืนหนังตาซึ่งกำลังหนักขึ้นเรื่อยๆได้ เขาโบกมือก่อนจะยกขึ้นปิดปากหาวอีกรอบ

“พามิอุระขึ้นไปนอนเถอะ ห้องติดบันไดขวามือ”ซากิพูดกับทาคุมิ ก่อนจะหันไปเก็บจานชามเพื่อล้างทำความสะอาด 

เด็กหนุ่มสองคนเดินตามกันไปจนถึงห้องที่หนุ่มรุ่นพี่บอก

“ห้องของรุ่นพี่ชิมิซึ”ฮารุโตะหันไปพูดกับเพื่อน

“อือ ทำไมหรือ”

“จะให้นอนห้องนี้จริงๆหรือ”

“ก็คงจะอย่างนั้นแหละ”ทาคุมิตอบอย่างไม่คิดอะไรมาก “เข้าไปเถอะ เดี๋ยวเช็ดตัวให้”

จากที่ง่วงนอน ฮารุโตะจึงรู้สึกเหมือนตื่นเต็มตา เขากังวลที่ต้องนอนห้องเดียวกับหนุ่มรุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของบ้าน สีหน้าพะวงอมทุกข์จนทาคุมิต้องเอ่ยปากทัก

“เป็นอะไร”

“ไม่อยากนอนกับรุ่นพี่ชิมิซึ”

“ไม่ต้องกังวล รุ่นพี่ยกห้องนี้ให้ฉันกับนายนอนกันสองคน”

ฮารุโตะใจชื้น ผ่อนลมหายใจอย่างปลอดโปร่ง จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้าให้ทาคุมิช่วยเช็ดตัว สวมเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จเรียบร้อยจึงล้มตัวลงนอน เวลาผ่านไปแค่ครู่เดียว เจ้าตัวก็หลับสนิท

ทาคุมิลุกขึ้นยืนเดินออกไปจากห้อง ลงบันไดไปชั้นล่าง เป็นจังหวะพอดีกับที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านจัดการเก็บกวาดโต๊ะอาหารจนเสร็จเรียบร้อย

“ฮารุจังหลับไปแล้วครับ”เด็กหนุ่มรุ่นน้องพูด

“อืม แล้วนายอาบน้ำหรือยัง”

“รุ่นพี่จะให้ผมค้างที่นี่จริงๆหรือครับ”ทาคุมิถามกลับไปเสียแทน

“มันคงจะดีกว่า ถ้านายอยู่กับมิอุระ”

“ผมรักฮารุโตะก็จริง แต่เป็นความรักแบบเพื่อนนะครับ เขาน่าสงสารแล้วเหมือนเพื่อนคนหนึ่งตอนสมัยเรียนมัธยม เพื่อนคนนั้นโดนแกล้งเป็นประจำจนวันหนึ่งเขากระโดดจากดาดฟ้าโรงเรียนฆ่าตัวตาย ที่นั่งของผมอยู่ข้างหน้าต่างเลยเห็นร่างของเขาร่วงผ่านตาไป”ทาคุมิกลืนน้ำลายลงคอ กระบอกตาร้อนผ่าวรู้สึกเหมือนน้ำในตากำลังเอ่อคลอยามที่นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต

“ผมไม่อยากให้ฮารุโตะเป็นแบบนั้น”

ซากิไม่ได้พูดตอบกลับไป เขารับฟังแต่เหมือนจะไม่ได้ตั้งใจฟัง เด็กหนุ่มจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ แม้จะรับรู้เรื่องราวความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ แต่เขาไม่รู้ว่าปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน

“รุ่นพี่มีอะไรอยากให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”

เมื่อถูกถามมาเช่นนั้น ชายหนุ่มร่างสูงจึงล้วงหยิบของในกระเป๋ากางเกง นำมันออกมาวางไว้ตรงหน้าอีกฝ่าย

“ฝากให้มิอุระหน่อย ให้เขาสวมไว้แล้วไม่ต้องบอกว่าได้มาจากฉัน”

“ทำไมล่ะครับ”

“นายคิดว่าช่วงนี้เขาจะรับของจากฉันหรือ”ซากิถามกลับ

ทาคุมินิ่งเงียบเพราะไม่อาจปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่ายได้เต็มปาก เขาหยิบกล่องกำมะหยี่สีดำขึ้นมาเปิดดูของข้างใน และทันทีที่เห็น เขารีบร้องถามไปว่า “ของจริงหรือเปล่าครับ”

“เปล่า สร้อยเงินกับเพชรปลอม”

เด็กหนุ่มรุ่นน้องมีสีหน้าโล่งใจ

“นายรู้ความหมายของมันใช่ไหม”

ทาคุมิพยักหน้ารับ คิดในใจว่าคงไม่มีใครไม่รู้ความหมายของเครื่องรางชนิดนี้ กระนั้นหนุ่มรุ่นพี่กลับพูดย้ำเขาอีกรอบว่า “นายต้องพูดให้มิอุระเชื่อว่า ทันทีที่เขาสวมมันไว้ ต่อจากนี้ไปในชีวิตของเขาจะมีแต่สิ่งดีๆเข้ามา”

และเป็นซาโต้ ทาคุมิเองที่ตื่นเต้นกระตือรือร้น เขาอาจจะได้รับอิทธิพลจากคำพูดของรุ่นพี่ชิมิซึ แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี เด็กหนุ่มจึงตื่นแต่เช้าอย่างผิดปกติวิสัยเพื่อนั่งรอเวลาที่เพื่อนสนิทจะตื่นขึ้นมา

ดังนั้นเมื่อฮารุโตะลืมตา เขาจึงเห็นทาคุมินั่งมองตาแป๋ว เขาเอ่ยปากถาม “มีอะไรหรือ”

“มีของจะให้”ทาคุมิรีบดึงตัวฮารุโตะให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบกล่องใส่เครื่องประดับซึ่งวางอยู่หัวเตียงมาเปิด หยิบสร้อยสีเงินเส้นเล็กๆออกมา

“สวยไหม”

เพชรเม็ดเล็กๆซึ่งถูกฝังอยู่ในจี้ใบโคลเวอร์รูปหัวใจสี่ดวงสะท้อนแสงสว่างมองคล้ายดวงดาวกำลังกระพริบส่องแสง ตัวเรือนด้านนอกเป็นสีเงินด้าน

“สวย เมื่อกี้ซาโต้บอกจะให้?”หลังตอบคำถาม ฮารุโตะจึงถามย้ำกลับไป “ให้ทำไมล่ะ”

“อ้าว ไม่รู้จักใบโคลเวอร์สี่แฉกหรือ ถ้ามีไว้จะได้โชคดีไง”

“เรื่องนั้นรู้” ครั้งหนึ่งเขาก็เคยพยายามหาใบไม้นำโชคชนิดนี้จากในสวนเหมือนกัน

ทาคุมิขยับตัว คล้องสร้อยเข้ากับคอของเพื่อนสนิท อ้อมไปด้านหลังและติดตะขอให้ “ต่อไปนี้ นายจะได้มีแต่เรื่องดีๆเข้ามาในชีวิต”

เด็กหนุ่มหยิบจี้เล็กๆ ซึ่งถูกแขวนอยู่กลางอกขึ้นมาดูอีกครั้ง

“แพงหรือเปล่า”ฮารุโตะถาม ซึ่งเป็นคำถามที่ทาคุมิตอบไม่ได้เพราะเมื่อวานเขาลืมถามราคาจากเจ้าของตัวจริงเช่นเดียวกัน แต่เมื่อนึกประมาณราคาตามวัสดุที่หนุ่มรุ่นพี่บอกไว้ เขาจึงบอกว่าไม่กี่พันเยนเท่านั้น

“ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินหรอก ถ้าแพงมากอย่างฉันก็ไม่มีปัญญาซื้อมาให้อยู่แล้ว”ทาคุมิพูดพร้อมหัวเราะ ฉุกคิดขึ้นมาว่า อย่างรุ่นพี่ชิมิซึอาจจะซื้อของจริงให้ก็เป็นได้ แต่เนื่องจากเคยถามย้ำมาแล้ว เขาจึงไม่คิดเก็บมาใส่ใจอีก ก่อนจะชวนให้เพื่อนสนิทลุกขึ้นแต่งตัวเตรียมไปมหาวิทยาลัย

ลงมาที่ห้องทานอาหารชั้นล่าง เขาทั้งคู่เห็นหนุ่มรุ่นพี่เจ้าของบ้านกำลังวุ่ยวายกับโต๊ะทานอาหาร ชายหนุ่มร้องทักเมื่อเงยหน้าเห็นรุ่นน้องทั้งสองคน

“ลงมาแล้วหรือ มานั่งสิ ฉันเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว”

ฮารุโตะมีสีหน้าแปลกใจ ในขณะที่ทาคุมิจับมือเขาจูงเดินให้เข้าไปใกล้พร้อมเอ่ยปากถามอีกฝ่าย “รุ่นพี่ทำอาหารเป็นด้วยหรือครับ”

“ได้แค่นี้แหละ เอาใส่กระทะทอดกับต้มบะหมี่”

ฮารุโตะมองชุดอาหารเช้าแบบอเมริกันตรงหน้าด้วยความทึ่ง มันดูสวยงามน่าทานในแบบฉบับของมืออาชีพ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกว่าชายหนุ่มเจ้าของบ้านเงียบไปนาน ทว่ากลับต้องพบกับสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาทางตน อย่างไรก็ดี คนที่เป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อนกลับเป็นชายหนุ่มร่างสูง

“ทานเถอะ เดี๋ยวฉันจะได้ไปส่งที่มหาวิทยาลัย”ซากิลากเก้าอี้ออกมาทรุดตัวลงนั่ง และเริ่มทานอาหารในส่วนของตนเงียบๆ

ทาคุมิลากเก้าอี้ออกมานั่งด้วยอาการดี๊ด๊าแสดงออกว่าชอบอาหารมื้อนี้ไม่น้อย

ฮารุโตะจึงทรุดตัวลงนั่งตาม ยกมือขึ้นพนมบอกกล่าวก่อนทานอาหารตามธรรมเนียม แล้วหยิบส้อมกับมีดขึ้นมาถือ หลังผ่านทริปการท่องเที่ยวกับชมรมมาหลายต่อหลายครั้ง ได้เข้าพักตามโรงแรมหลายแห่งทักษะการใช้มีดและส้อมของเขาจึงพัฒนาขึ้นบ้าง กระนั้นมันยังคงดูเก้ๆกังๆบ้างอยู่ดี

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองผู้ร่วมโต๊ะเมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจับจ้อง “อ...อะไร”

“เปล่า”เสียงตอบของทาคุมิสูงผิดปกติ มีรอยยิ้มขำขันติดอยู่ที่ริมฝีปาก นั่นยิ่งทำให้ฮารุโตะเขินประหม่า

“มาช่วยหั่นให้เลย”เด็กหนุ่มหันไปพูดกับเพื่อน ทำหน้างอกลบเกลื่อนอาการขัดเขิน

“เรื่องดิ ฮารุจังแหละต้องทำเอง หัดไว้จะได้เก่ง”จบประโยคคนพูดไม่ได้สนใจคู่สนทนาอีก ปล่อยให้ฮารุโตะมุ่ยหน้าจำต้องก้มหน้าก้มตาทานอาหารในส่วนของตนต่อไป

ซากิทานอาหารเสร็จก่อน เขาลุกขึ้นจะนำจานไปเก็บทว่าทาคุมิได้เอ่ยปากขัดไว้ “รุ่นพี่ เดี๋ยวผมล้างเองครับ รุ่นพี่ทำอาหารให้พวกเราทานแล้ว เดี๋ยวผมล้างให้เอง”

เขายืนชั่งใจอยู่แค่ชั่ววินาทีเดียวก่อนจะตอบตกลง ทิ้งจานเปล่าไว้บนโต๊ะจากนั้นจึงลุกขึ้นไปดูสตาร์ทเครื่องรถยนต์ ทางเดินหน้าบ้านเต็มไปด้วยหิมะ ชายหนุ่มจึงหยิบอุปกรณ์มากวาดเกล็ดน้ำแข็งที่ทับถมกันเป็นชั้นออก กว่าจะเสร็จก็เป็นจังหวะพอดีที่หนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนเดินออกมาจากบ้าน

หลังเปิดประตูที่นั่งฝั่งคนขับออก ซากิหยิบถุงมือหนังมาส่งให้รุ่นน้องทั้งสองคน “ฉันให้”

ทาคุมิกล่าวขอบคุณก่อนจะยื่นมือไปรับและส่งอีกคู่ให้ฮารุโตะ เด็กหนุ่มสวมถุงมือเรียบร้อยจึงเดินไปเปิดประตูที่นั่งตอนหลังของรถยนต์ ฮารุโตะจึงออกอาการเก้ๆกังๆ เพราะไม่รู้ว่าควรขึ้นไปนั่งตรงไหนดี เขายังไม่อยากนั่งข้างรุ่นพี่ แต่ถ้าตามไปนั่งข้างหลัง มันดูจะเป็นการไร้มารยาทเช่นเดียวกัน

“ไปนั่งข้างหลังกับทาคุมิก็ได้”

แม้จะได้ยินคำอนุญาต ฮารุโตะก็ยังคงลังเล จนหนุ่มรุ่นพี่ต้องพูดย้ำด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น เขาจึงยอมก้าวเท้าขึ้นรถ




ความอดทนของชุนหมดลงแล้วหลังจากที่พยายามทำตัวอยู่เฉยๆอย่างที่มิชิโอะแนะนำมาหลายวัน เขารู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกหลอกให้อยู่ในโอวาทของคนคุมทั้งคู่อีกครั้ง แต่กระนั้นใช่ว่าจะออกอาการอะไรได้ เขาได้แต่แสร้งทำเป็นปกติทั้งที่ภายในหงุดหงิดกระสับกระส่าย

วิชาเรียนผ่านไปอย่างเชื่องช้า และเขายังคงคิดหาหนทางที่จะสลัดสองคนนี้ไม่ได้

ที่จริงก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามหาวิทยาลัย พ่อจะให้เขาไปเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนในจังหวัดซึ่งใกล้หูใกล้ตากว่านี้ พ่อไม่เคยห้ามปรามที่เขาไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใคร และไม่เคยบอกว่ามันดีหรือเลว ผู้เป็นบิดาแค่ยื่นมือมาช่วยเหลือเขายามที่จำเป็นและทำให้เขารู้ว่าอำนาจเงินเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้เขาเห็นว่า เมื่อไม่มีเงิน เขาจะเป็นเพียงกุ๊ยข้างถนน

ทว่าเมื่อเขาเอ่ยปากว่าจะเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ พ่อกลับยื่นข้อเสนอบังคับแลกเปลี่ยนกับการใช้เงินยัดเขาเข้ามาโดยให้เหตุผลว่า

‘ถ้าแกไม่มีเงิน แกก็ต้องมีสมอง แต่ถ้าแกไม่มีทั้งสองอย่าง แกก็ต้องยอมเสียอะไรบางอย่างเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่แกอยากได้’

ข้อแลกเปลี่ยนของผู้เป็นบิดาไม่มีอะไรมากมาย แค่ต้องเรียนให้จบและทำตัวให้ดีขึ้นไม่ทำตัวเป็นอัธพาลเกเรแบบเดิมอีก เขารับปากเพราะมันฟังดูง่ายเหลือเกิน เขาได้เริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัยด้วยอารมณ์ลั่นล้ามีความสุข ไปดักรอฮารุโตะที่ทางเข้ามหาวิทยาลัยแต่เช้า แม้เช้าวันแรกจะไม่ได้เจอ ทว่าวันถัดมาเขาก็ได้พบอีกฝ่าย เขาเอาข้าวกล่องและเงินของฮารุโตะมา เพราะหวังว่าฮารุโตะจะมาหามาอ้อนวอนขอให้เขาคืนของให้ แต่เหตุการณ์ทุกอย่างกลับตาลปัตรจากที่คิด

และอิซามุก็ด่าว่าเขาเป็นพวกสมองกลวง ‘ชอบก็บอกว่าชอบ ทำไมต้องทำอะไรไร้สาระแบบนั้น’

เขาปฏิเสธ เพราะคิดว่าถ้าทั้งสองคนรู้ เขาจะโดนกำจุดอ่อนไว้ทั้งหมด และทำให้ทั้งคู่เห็นว่าเขาไม่ได้คิดอะไรจริงๆ กระทั่งได้รับคำสั่งห้ามจากบิดา

‘เด็กคนนั้นเป็นนักเรียนทุนของบริษัทเราไม่ใช่หรือไง ถ้าแกไปทำอะไรเขาจนเป็นเหตุให้เขาไม่สามารถทำงานใช้ทุนได้ ต่อให้แกเป็นลูก ฉันก็จะทำให้แกกลายไปเป็นขยะข้างทาง’

สำหรับเขา พ่อไม่ใช่คนดุแต่เรื่องที่จริงจัง พ่อมักจะทำมันให้เป็นจริงตามที่ลั่นวาจา

แต่แล้วจู่ๆ ฮารุโตะกลับยอมยิ้มให้เขาง่ายๆ รอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

วันที่ได้พูดคุยได้นั่งกินข้าวด้วยกัน มันทำให้เขาพร่ำเพ้อจนโดนล้อเลียน ก่อนที่อิซามุจะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ดี ‘การมีคนที่ชอบ มันทำให้คนเราพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อเขา อย่างนายถ้าอยากให้ดูเหมาะสมกับมิอุระซัง จะต้องตั้งใจเรียนมากกว่านี้’ ชุนรู้ว่าประโยคสุดท้ายของอิซามุที่พูดออกมาเพราะเป็นหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ เขาคิดว่าตัวเองเหมาะสมกับฮารุโตะอยู่แล้วแม้ว่าจะถูกอิซามุด่าว่าสมองกลวงก็ตาม และถึงจะมีเสี้ยนบางอย่างที่ตำใจเขาอยู่บ้าง แต่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา

กระทั่งได้เห็นฮารุโตะจูบกับไอ้หมอนั่นตำตา

เขาเลือดขึ้นหน้า ควันออกหู จนไม่คิดยับยั้งสติต่อไปอีกและมันก็เลวร้ายลง

ชุนฟุบหน้าลงกับโต๊ะเรียน มิชิโอะกับอิซามุไม่ช่วยเขา และเขายังไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขเรื่องคราวนี้อย่างไรดี เขาโขกศีรษะกับโต๊ะเรียน ด้วยคิดว่าถ้าเคาะเอาแกลบออกจากสมองไปบ้าง เขาคงจะคิดอะไรดีๆออก ก่อนจะเริ่มโขกซ้ำจนนักศึกษาในห้องหันมามอง มิชิโอะจึงต้องกระชากคอเสื้อให้ชุนเงยหน้าขึ้น ก่อนจะยิ้มแหยๆเพื่อบ่งบอกว่าไม่มีอะไร แล้วกระซิบบอกตัวต้นเรื่อง

“ถ้ายังไม่นั่งเรียนดีๆ นายได้ย้ายมหา’ลัยแน่”

ชุนยังคงก้มหน้าด้วยอาการเครียดขึง ฉับพลันเขาหุนหันลุกขึ้นก้าวเท้าออกจากห้อง ทั้งมิชิโอะและอิซามุจึงต้องลุกขึ้นเดินตาม ก่อนจะต้องหยุดชะงักเพราะโดนมิชิโอะคว้าไหล่ไว้

“จะไปไหน”

“ฉันจะไปหาฮารุโตะ”

“นายจะไปหาเขาทำไม ไปทำเพื่อให้เขาเกลียดกลัวนายมากขึ้นอย่างนั้นหรือ”

“งั้นก็ช่วยทำอะไรสักอย่างดิวะ”ชุนพูดตะโกนเสียงดัง

“ชุน นายคิดว่าคนที่ถูกรังแกตลอดหกปี เขาจะยอมยกโทษให้นายเพียงเพราะนายไปคุกเข่าขอโทษอย่างนั้นหรือ”อิซามุถาม

“แล้วจะให้ทำอย่างไร โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้”

“ปล่อยเขาไปไม่ได้หรือ”

ชุนนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเค้นเสียงออกมา “ไม่ปล่อย!!! ต่อให้ตายก็ไม่ปล่อย!!!” เขาสลัดมือของมิชิโอะ กระนั้นกลับโดนคว้าไว้อีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นอยู่เฉยๆ อย่าทำอะไรที่พวกฉันไม่ได้บอก”มิชิโอะพูด ก้าวเท้าเดินนำออกจากอาคารตรงไปยังตึกเรียนของมิอุระ ฮารุโตะ

พวกเขาทั้งคู่ต่างรู้ตารางเรียนของเด็กหนุ่มร่างเล็ก เพียงแต่ไม่เคยบอกให้ชุนรู้ ทั้งคอยกันคอยเลี่ยงไม่ให้ชุนได้เจอกับอีกฝ่ายง่ายๆ แต่ครั้งนี้พวกเขาต้องเดินตรงดิ่งก้าวเท้าขึ้นบันไดไปยังห้องเรียนของมิอุระ ฮารุโตะอย่างไม่ลังเล ชุนออกอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ยืนรออยู่พักใหญ่นักศึกษาในห้องจึงทยอยเดินออกมา

มิอุระ ฮารุโตะและเพื่อนสนิทเดินออกมาเป็นกลุ่มท้ายๆ ทั้งสองคนไม่ทันเห็นพวกเขาจนกระทั่งมิชิโอะไปยืนขวาง แล้วยิ่งออกอาการตื่นตระหนกเมื่อชุนไปยืนดักอยู่ด้านหลัง อิซามุนึกอยากจะตบศีรษะชุนแรงๆสักหลายๆทีขณะลากคอให้ชุนถอยห่างออกมา

“เคยพูดไว้ว่าไม่ให้ทำอะไรที่ไม่ได้บอกไม่ใช่หรือไง”อิซามุกระซิบพูด ชุนยังคงฮึดฮัดไม่พอใจพร้อมมองมิชิโอะที่ยืนคุยอยู่กับฮารุโตะ

“สวัสดีครับ อาการป่วยเป็นอย่างไรบ้าง”

“ไม่ต้องแกล้งมาทำเป็นห่วงเลย”ทาคุมิพูดแทรก กระนั้นมิชิโอะกลับไม่ได้มีท่าทีโมโห เขาอธิบายให้ทาคุมิฟังด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า

“พวกผมขอโทษครับ ที่จริงวันนั้นอยากจะดูแลให้มิอุระซังหายป่วยก่อนเหมือนกัน แต่มิอุระซังคงจะไม่สบายใจที่จะอยู่ที่บ้าน”

ฮารุโตะกระตุกแขนเพื่อนสนิท พร้อมกับพยักหน้าบอกว่าเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด

“แล้วทำไมถึงไม่พาฮารุจังกลับมาส่งที่ห้อง”

“อ่า... เรื่องนี้คงต้องคุยกันอีกยาว พวกคุณพอจะมีเวลาว่างไหมละครับ เป็นหลังหมดชั่วโมงเรียนวันนี้ได้ไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธ ทว่าทาคุมิกลับตอบตกลง นัดหมายเวลาเป็นช่วงเย็น จากนั้นมิชิโอะและอิซามุจึงพาชุนกลับไป

“ผมไม่อยากคุยกับพวกซากุราอิซัง”ฮารุโตะร้องบอก

“เราหนีไปตลอดไม่ได้หรอกฮารุโตะ บางครั้งเราก็ต้องเผชิญหน้าเพื่อต่อสู้กับปัญหาและเพื่อให้ตัวเราแข็งแกร่งขึ้น นายอยากหนีไปตลอด อยากนึกเสียใจที่ก่อนหน้านั้นไม่ทำแบบนั้นไม่ทำแบบนี้หรือ”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ เขาเล่าให้ทาคุมิฟังว่า แวบหนึ่งเขารู้เสียใจที่ไม่ได้ไปเรียนศิลปะการต่อสู้อย่างที่ทาคุมิเสนอ

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เย็นนี้ไม่ได้มีนายแค่คนเดียวซะหน่อย”เด็กหนุ่มผู้เป็นเพื่อนพูด ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นกดโทรออกหารุ่นพี่อาโอกิเพื่อขอยืมใช้ห้องชมรม ให้อีกฝ่ายประกาศลงกลุ่มสนทนาห้ามสมาชิกทุกคนเข้าใช้ห้องในตอนเย็น และโทรแจ้งรุ่นพี่ชิมิซึเป็นคนสุดท้าย

เย็นวันนั้น หลังหมดชั่วโมงเรียน ทาคุมิจึงกอดคอลากพาฮารุโตะให้ไปห้องชมรมด้วยกัน พร้อมพูดกรอกหูกล่อมเพื่อนร่างเล็กไปพลาง

“ไม่ต้องห่วงน่า ไม่มีใครทำอะไรนายได้ มีรุ่นพี่ชิมิซึ รุ่นพี่โมริ รุ่นพี่ฮายาชิ รุ่นพี่นาคามูระแล้วก็รุ่นพี่อาโอกิด้วย ฉันไม่คิดจะให้นายคุยกับพวกนั้นแค่คนเดียว ฝั่งเรามีคนเยอะกว่าไม่ต้องกลัวหรอก”

“ตอนมัธยม ซากุราอิซังชนะนักเลงที่อายุมากกว่าได้ตั้งหลายคน”ฮารุโตะพูดเล่าข่าวลือตามที่ตนได้ยินมา พาให้ทาคุมิเริ่มขนลุกเกรียวด้วยความกลัว กระนั้นเด็กหนุ่มที่ตัวสูงกว่ายังคงต้องทำให้เป็นฮึกเหิมเข้มแข็ง

“แล้วไง พวกรุ่นพี่ก็ไม่อ่อนให้โดยสอยร่วงง่ายๆหรอก” หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ทาคุมิคิดในใจ






+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//เนื่องจากเราคิดว่า เหตุการณ์ตอนที่ 23 มันค่อนข้างเชื่อมโยงกับตอนที่ 22 อยู่มาก เราจึงตัดสินใจลงตอนที่ 23 ต่อเนื่องเลย พบกับตอนที่ 23 ได้ใน Reply ถัดไปค่ะ//*

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-04-2017 05:39:16 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'



ตัวละครประกอบ
1. ชิมิซึ เคนจิโร่ พ่อของชิมิซึ ซากิ
2. ชิมิซึ มานาบุ  พี่ชายของชิมิซึ ซากิ



春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 23




ตอนที่พวกเขาไปถึงห้องชมรม กลุ่มรุ่นพี่ที่ทาคุมินัดไว้ได้มานั่งรอพร้อมกันอยู่แล้ว รุ่นพี่อาโอกิเดินเข้ามาหาฮารุโตะทันทีที่เห็นหน้า ดึงเข้าไปกอดพลางลูบศีรษะลูบหลังเป็นเชิงให้กำลังใจ แล้วเอ่ยปากถามเรื่องราวเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย

ทาคุมิจึงรีบเข้าไปหาฮายาชิ เรียวตะ หนุ่มรุ่นพี่ที่ตนสนิทด้วยกระซิบพูดคุยถามถึงสิ่งที่ตนกังวล

“รุ่นพี่ครับ พร้อมไหม”

“พร้อมอะไร”

ทาคุมิจึงเล่าเรื่องที่ฮารุโตะพูดให้ฟัง เรียวตะเลิกคิ้วแสร้งทำท่าตกใจ “จริงดิ”

“ผมอยากให้ฮารุจังฟังมาผิดอ่ะ”

“ทำไมกลัวหรือ”

“กลัวดิ ตัวอย่างซากุราอิ ผมโดนแค่หมัดเดียวก็ปลิวไปไกลแล้ว”แล้วพูดต่อไปอีกว่า “ไม่แปลกใจที่ฮารุจังจะกลัวหมอนั่นมาก”

“นี่ตกลงว่าพวกนั้นจะยกพวกมาตีหรือแค่มาคุยด้วยเฉยๆกันแน่”เรียวตะถามอย่างสงสัย

“คิดเผื่อไว้ไงครับ พวกอันธพาลไม่ว่าอย่างไรก็ทำตัวเป็นอันธพาลอยู่ดี”

บทสนทนาของเขาทั้งคู่ถูกขัดจังหวะลงเมื่อกลุ่มคนที่นัดไว้มาปรากฏตัว ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนจับจ้องสายตาไปยังชายหนุ่มทั้งสาม ก่อนเรียวตะจะตบบ่าเด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ข้างตัวพลางพยักพเยิดให้ลุกขึ้นยืน

“คงไม่ว่ากันใช่ไหม ถ้าจะให้พวกรุ่นพี่อยู่ด้วย”

อิซามุกับมิชิโอะมองหน้ากัน จากนั้นจึงพยักหน้าตกลง พาชุนมานั่งที่ชุดโซฟา ฟากหนึ่งเป็นที่นั่งของฮารุโตะ เพื่อนสนิทอย่างทาคุมิ และนาโอโตะหนุ่มรุ่นพี่ปีสี่ ส่วนเรียวตะย้ายมานั่งโซฟาเดี่ยวด้านข้าง และหนุ่มรุ่นพี่อีกสามคนที่เหลือจับจองที่นั่งอยู่ที่โต๊ะประชุมไม้ตัวยาว

“ผมจะตอบคำถามที่คุณถามเมื่อตอนกลางวัน”มิชิโอะเริ่มพูด เขาเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงความคิด และกล่าวต่อ “คิดว่าพวกคุณคงรู้ว่ามิอุระซังกับชุนเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน”

ทาคุมิพยักหน้ารับ

“วันนั้นพวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายกับมิอุระซัง ชุนบังเอิญเห็นมิอุระซังกำลังจะเป็นลม เลยเข้าไปช่วยและพากลับไปที่บ้าน พวกเราได้เชิญหมอมาตรวจอาการด้วย”

ฮารุโตะหน้าเสีย เขาก้มหน้าลงรู้สึกเหมือนกำลังโดนต่อว่า เหมือนอีกฝ่ายกำลังพูดว่าเขาเป็นพวกตื่นตูมไปเอง

“ผมเข้าใจว่ามิอุระซังอาจจะมองว่าชุนไม่ใช่คนดี เขาเคยทำร้ายคุณแต่ที่ผมอยากบอกว่าชุนเปลี่ยนไปแล้ว เขาสำนึกผิดกับทุกสิ่งที่เขาทำไป”

“ง่ายๆอย่างนี้เลยหรือ พวกคุณคิดว่าแค่พูดว่าสำนึกก็สามารถชดเชยกันได้หรือไง”ทาคุมิพูดแทรกกลับไปทันควันอย่างมีน้ำโห 

“ทาคุมิ”นาโอโตะร้องปรามให้หนุ่มรุ่นน้องใจเย็นลง แล้วหันไปถามฮารุโตะ

“แล้วฮารุจังละ จะว่าอย่างไร”

เด็กหนุ่มร่างเล็กทำเพียงก้มหน้าและสั่นศีรษะ นาโอโตะจึงกล่าวสรุปความ “เป็นอันว่าฮารุจังรับรู้ว่านายสำนึกผิดแล้ว หลังจากนี้ก็เลิกแล้วต่อกัน”

ชุนยิ้มดีใจเมื่อได้ยินประโยคนั้น ทว่าประโยคถัดมากลับทำให้เขาขมวดคิ้วทันควัน

“และหลังจากนี้ นายก็ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับฮารุโตะอีก”

“หมายความว่าไง”ชุนถาม

“เอ้า พูดขนาดนี้ยังไม่เข้าใจอีก ที่นาโอโตะพูดหมายความว่า ไม่ให้นายมาให้ฮารุจังเห็นหน้าอีก”เรียวตะตอบพร้อมน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

ชุนตวัดสายตามองคนพูด ก่อนจะหันมามองชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่านาโอโตะ “ฮารุโตะยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แกมาเสือกอะไรด้วยวะ”

“อ้าว!!!”

“ชุน!!!”

ทั้งทาคุมิและมิชิโอะร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน

“ผมขอโทษครับ พอดีชุนเขาเป็นคนที่อารมณ์ร้อนนะครับ”มิชิโอะพูดพลางส่งสายตาปรามชุนอีกรอบ

“เจ้าตัวเขาสำนึกผิดจริงหรือครับ ไม่เห็นเขาพูดอะไรในทำนองนั้นสักคำ”เสียงถามดังลอยมาจากเอคิจิ พาให้คนทั้งห้องหันมองคนพูด จะมียกเว้นเพียงชิมิซึ ซากิที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

มิชิโอะจึงหันไปส่งสายตาให้เจ้าของชื่อ ชุนพยักหน้ารับหันมองฮารุโตะที่ยังคงก้มหน้าอยู่เช่นนั้น เขาสูดลมหายและผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะเปิดปากพูด

“ฉันขอโทษ”ชุนพูดเสียงดังพร้อมก้มศีรษะลงต่ำ “ฉันรู้ว่าฉันทำไม่ดีหลายอย่าง แต่ฉันก็อยากให้นายให้อภัย มันฟังดูเหมือนคำแก้ตัวแต่ฉันอยากแค่ให้นายสนใจฉันเท่านั้น”

“ด้วยการทำร้ายรังแกผมสารพัดเนี่ยนะ”ฮารุโตะถามกลับทันทีทันใด เสียงถามสั่นเครืออย่างเจ็บปวด คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขาเหมือนคนบ้าที่ตีโพยตีพายระแวงหวาดกลัวไปอย่างไร้สติ

“ฉันรู้ว่าฉันผิด โง่งี่เง่า สมองกลวง แต่ที่ฉันทำไปทั้งหมดเพราะฉันชอบนาย อยากกลับไปเป็นเพื่อน กลับไปคุยกับนายเหมือนเดิม”

“แล้วทำไมไม่เข้ามาคุยดีๆ”เขาถามเสียงเบา ปวดศีรษะจนต้องยกมือขึ้นบีบนวดคลายความเครียดขึง รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะบ้าไปแล้วจริงๆ เหตุการณ์ต่างในอดีตปรากฏขึ้นเป็นมโนภาพ หวนย้อนกลับมาให้เขายิ่งมึนงงสับสน

“ฉันพยายามทำแล้ว แต่นายก็หลบหน้าฉันทุกครั้ง ฉันเคยเอาขนมไปให้นาย แต่นายก็โยนมันทิ้ง”

ฮารุโตะหัวเราะ เขาหัวเราะเสียงดังขึ้นทั้งที่ดวงตาพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตา เขาหัวเราะแม้ว่าภายในใจจะเจ็บปวด ทุกอย่างเป็นเพราะเขาตื่นตูมหวาดระแวงไร้สติไปเอง ไม่มีใครกลั่นแกล้งรังแกเขา ไม่มีใครรังเกียจเดียดฉันท์ตัวเขา ทุกอย่างล้วนเป็นเขาที่คิดเพ้อเจอไปเอง

“ปวดหัว”เด็กหนุ่มยกมือขึ้นกุมศีรษะ ดึงทึ้งเส้นผมด้วยหวังว่าจะคลายอาการลงบ้าง

“ฮารุโตะเป็นอะไร”ทาคุมิเอ่ยปากถาม ใบหน้าของเพื่อนสนิทแดงก่ำ เส้นเลือดข้างขมับปูดโปนนูนชัด

“ปวดหัว”ฮารุโตะได้แต่ย้ำคำนั้น ภาพตรงหน้าพร่ามัวอึมครึมมองไม่เห็นสิ่งใด

นาโอโตะเห็นหนุ่มรุ่นน้องร่วมชมรมอาการไม่ดี จึงหันไปบอกกล่าวกับชายหนุ่มทั้งสามว่า “วันนี้พวกคุณกลับไปเถอะ ฮารุโตะไม่อยากคุยกับพวกคุณแล้ว”

“ไม่”ชุนบอกปฎิเสธพลางลุกขึ้นก้าวเดินมาหา เขาก้าวอ้อมโต๊ะเตี้ยของชุดโซฟาเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงตัวฮารุโตะ จับข้อมือโดยหวังที่จะรั้งร่างเล็กบางเข้ามากอด ทว่ากลับต้องถูกทาคุมิปัดมือออกห่าง

“ไปไกลๆเลย”

“แล้วแกเป็นใครวะ มาเจ้ากี้เจ้าการ”ชุนกระชากคอเสื้อทาคุมิอย่างไม่พอใจ มิชิโอะและอิซามุต้องมาดึงรั้งห้ามชุนไว้

“ปล่อยดิวะ ฮารุโตะกำลังทรมาน ฉันจะไปดูเขา”

“พอได้แล้วชุน”อิซามุร้องห้ามพลางดึงชุนให้ออกจากห้อง เกิดเป็นความชุลมุนเมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ไม่ยินยอมทำตามง่ายๆ ฝ่ายฮารุโตะได้แต่บ่นว่าปวดหัว ทั้งยังอ้าปากหอบหายใจคล้ายหายใจไม่ออก กระทั่งนาโอโตะร้องบอกให้ใครสักคนพาหนุ่มรุ่นน้องไปหาหมอ ซากิถึงได้สาวเท้าก้าวเข้าไปหา ช้อนตัวเด็กหนุ่มขึ้น อุ้มผ่านซากุราอิ ชุนไปต่อหน้าต่อตา เจ้าตัวจึงดิ้นรนโวยวายจะตามไปให้ได้

“ชุนพอได้แล้ว”มิชิโอะตะคอกเสียงดัง “มิอุระเขาปฎิเสธ เขาไม่ยอมรับนาย นายยังไม่เข้าใจอีกหรือ”

“ไม่ ไม่ใช่”ชุนปฏิเสธเสียงดัง ได้แต่ย้ำว่าไม่ใช่แบบนั้น ยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความสับสน

นาคามูระ เรย์ที่ยังยืนเลียบๆเคียงๆอยู่ไม่ห่างเห็นได้โอกาสจึงเดินเข้าไปหา

“ขอโทษนะ ขอเบอร์นายหน่อยได้ไหม”เขาชี้มือไปที่ชุน “วันนี้ฮารุจังเขาอาการไม่ค่อยดี เอาไว้ให้เขาอารมณ์เย็นกว่านี้ พวกเราจะกล่อมให้เขาคุยกับนายอีกครั้ง”

“จริงหรือ”ชุนถามอย่างมีความหวัง

เรย์พยักหน้า หยิบล้วงโทรศัพท์ออกมาส่งให้อีกฝ่าย อิซามุจึงถามขึ้นมาบ้าง

“ทำไมคุณถึงคิดอยากจะช่วยชุน”

“ไม่ได้อยากช่วยพวกนาย แต่กำลังช่วยฮารุจัง คิดว่านายก็คงรู้ว่าฮารุจังเป็นนักเรียนทุน ฉันไม่อยากให้นายมายุ่งวุ่นวายกับเขาช่วงนี้ เพราะการกระทำที่ไม่รู้จักยั้งคิดของนายอาจจะไปส่งผลอะไรกับผลการสอบของเขา”

คำพูดเรียบๆของเรย์ทำให้ชุนสะอึกสำนึกในความไม่รู้จักคิดของตน

“ครับ”เด็กหนุ่มตอบรับสั้นๆ คอตกไหล่ลู่เพราะความผิดที่ได้กระทำ เรย์ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาเพียงรับโทรศัพท์มือถือของตนกลับมา และก้าวเท้าตามไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนที่ป่านนี้คงเพิ่งถึงโรงพยาบาล 

เรย์กดโทรศัพท์หาคนอื่นตอนที่เขามาจอดรถยังที่จอดรถของโรงพยาบาล หลังได้คำตอบเรื่องตำแหน่งที่อยู่จึงก้าวเท้าออกเดิน เมื่อถึงจุดหมายเขาตรงดิ่งเข้าไปหาชิมิซึ ซากิที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์ พร้อมยื่นโทรศัพท์มือถือของตนเองที่แสดงเบอร์ของซากุราอิ ชุนไปให้

“อ่ะ ที่แกอยากได้ จะเอาไปทำอะไรวะ คงไม่ได้เอาไปให้ฮารุจังตามบทที่ให้ฉันพูดหรอกใช่ไหม”เรย์รัวคำถามตามที่สงสัย ขณะที่ซากิหยิบกระดาษและปากกาจากในกระเป๋าขึ้นมาจดเบอร์ จากนั้นจึงเงยหน้ามองเพื่อนสนิทซึ่งยังคงยืนรอคำตอบ

“ไม่อยู่แล้ว แต่ถ้ามิอุระอยากคุยกับซากุราอิมันก็อีกเรื่องหนึ่ง”

“แกว่าฮารุจังจะอยากคุยหรือ”

ซากิโคลงศีรษะ เขาไม่รู้คำตอบเช่นกัน ทั้งยังไม่กล้าคาดเดาสิ่งใด

ประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออกพร้อมแพทย์ผู้ดูแลอาการเอ่ยปากขอพูดคุยกับญาติ แต่เพราะฮารุโตะไม่มีญาติพี่น้อง นาโอโตะจึงรับอาสาเข้าไปคุยรายละเอียดแทนทุกคน ยืนรอไม่นาน นาโอโตะจึงกลับมาอีกครั้ง

“หมอว่าอย่างไรบ้างครับ”

“เขาว่าเพราะเครียดน่ะ ส่วนวันนี้ให้กลับบ้านได้เลย หมอให้ยานอนหลับก็จริงแต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก”

“ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ โดนรังแกมาตลอดแล้วจู่ๆวันหนึ่งคนทำกลับมาบอกว่า ที่แกล้งเพราะชอบ ใครจะทำใจรับได้ทัน”ทาคุมิพูดออกมา เรียวตะจึงหันไปคุยกับซากิและเอคิจิ

“พวกแกว่าซากุราอิ ชุนทำรุนแรงแค่ไหน”

“จำได้ไหม ที่ฮารุจังป่วยหลังงานวันเกิดของเรย์กับนาโอโตะเมื่อปีก่อน”เอคิจิพูด

“นายคิดว่ารอยเขียวช้ำพวกนั้นเป็นฝีมือของซากุราอิ ชุนอย่างนั้นหรือ”นาโอโตะถาม ทาคุมิจึงรบเร้าให้หนุ่มรุ่นพี่เล่าให้ฟัง

“มันตรงกับที่พวกเราคาดเดากันไว้ ต้องเป็นคนที่ฮารุจังรู้จักและรู้ว่าไม่มีทางทำอะไรอีกฝ่ายได้”เอคิจิย้ำให้ฟัง

“ทำกันขนาดนั้นแล้วยังหน้าด้านมาบอกให้ยกโทษให้อีก”ทาคุมิพูดด้วยอาการเข่นเขี้ยวโมโห ออกอาการเจ็บแค้นราวกับเป็นผู้ถูกกระทำเสียเอง

เรื่องที่พวกเขาสนทนาถูกระงับไว้ชั่วคราวเมื่อฮารุโตะถูกพาออกมาจากห้องฉุกเฉิน เด็กหนุ่มกำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง หลังจากจัดการค่ารักษาพยาบาล พวกเขาจึงแบ่งจำนวนคนขึ้นรถสองคันของซากิและเรย์ ขับตามกันเพื่อไปรวมตัวอีกครั้งที่บ้านของชิมิซึ ซากิ

รถยนต์สีดำสองคันที่จอดอยู่บนถนนบริเวณหน้าบ้านทำให้กลุ่มเพื่อนที่มาด้วยหันมองด้วยความสนใจ ซากิขับรถยนต์เข้าไปจอดยังที่ประจำของตน ขณะที่เรย์ขับมาจอดต่อท้าย ชายฉกรรจ์สองคนในชุดสูทสีดำทำให้พวกเขาลงจากรถยนต์ด้วยอาการตื่นตัว

“ใครอ่ะครับ”ทาคุมิพูดถามพลางชะเง้อชะแง้มองคนแปลกหน้า ศีรษะของฮารุโตะยังวางอยู่ตัก

“คนของพ่อซากิ”เรียวตะเป็นคนตอบคำถาม

ทาคุมิหน้าเหวอเพราะจินตนาการเพ้อเจ้อไปว่า บิดาของรุ่นพี่ชิมิซึอาจจะทำงานอยู่ในแก็งยากุซ่า

ขณะที่ซากิยังมีอาการเฉยๆ เขาเปิดประตูที่นั่งตอนหลังรับร่างของหนุ่มรุ่นน้องมาอุ้มแนบอก เดินนำเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูก้มศีรษะให้เขาเล็กน้อยพร้อมเปิดประตูบ้านให้ และเดินสวนกับบิดาตอนที่กำลังจะขึ้นบันได

ชิมิซึ เคนจิโร่มองคนที่อยู่ในอ้อมแขนของลูกชายนิ่ง

“ขอโทษครับ ช่วยหลีกทางหน่อย”ซากิเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

เคนจิโร่จึงก้าวเท้าเบี่ยงตัวหลบ กลุ่มเพื่อนสนิทของลูกชายก้าวเท้าตามมาทีหลัง ก้มศีรษะและกล่าวทักทายเขา ชายวัยกลางคนจึงเอ่ยปากชวนพูดคุยปราศรัยด้วยรอยยิ้มไมตรีจิต กระทั่งซากิกลับลงมาสมทบเขาจึงเอ่ยขอตัวลา ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้เป็นลูกชายก้าวเท้าตามเขามา เพราะรู้ว่าตัวเขามีเรื่องจะพูดคุยด้วย

“เด็กคนนั้นเป็นใครหรือ”

“รุ่นน้องที่ชมรมครับ”ซากิไม่ได้อธิบายอะไรต่อ ผู้เป็นบิดาจำต้องเอ่ยปากถามพลางมองลูกชายที่ปล่อยสายตามองบรรยากาศรอบกายด้วยอาการเฉยเมย

“เขาเป็นอะไรทำไมถึงต้องพามาที่บ้าน”

“เขาอยู่คนเดียวครับ และไม่สบายเลยพามาอยู่ด้วย”ซากิเบือนหน้ากลับไปมองบิดาอีกครั้งพร้อมพูดตอบ

“อ่อ”เคนจิโร่ทำได้แค่ครางรับในลำคอ ลูกชายคนเล็กของเขาเป็นเด็กหัวดื้อที่มักจะปฏิเสธคำพูดของเขามาตั้งแต่เด็ก และมาหนักข้อขึ้นเมื่อภรรยาของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อนข้างห่างเหินอยู่แล้ว เคนจิโร่จึงไม่กล้าห้ามปรามอะไรให้อีกฝ่ายเตลิดห่างออกไปมากกว่านี้

เขาเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นเสียแทน

“ได้ยินว่าสอบติดแล้ว ดีใจด้วยนะ”และแม้ซากิจะชอบทำตัวรั้นไม่ฟังคำเขา แต่กลับเป็นลูกชายที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจ เพราะทั้งผลการเรียนและความสามารถในกิจกรรมอื่นๆล้วนดีเด่นทั้งคู่

“จะย้ายเข้าไปโตเกียวเมื่อไหร่ล่ะ ฉันจะได้ให้คนหาบ้านไว้ให้ บ้านเดิมฉันยกให้มานาบุไปแล้ว เห็นว่ากำลังจะแต่งงานปีหน้า”

“ผมคงไม่ย้ายไปหรอกครับ”

“ทำไมล่ะ ถ้าเลือกที่โตเกียวจะมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่านะ”

“ผมตั้งใจจะทำงานอยู่ที่นี่”

“เอ้า ตามใจ”เคนจิโร่เห็นว่าถ้าตั้งใจพูดโน้มน้าวคงต้องใช้เวลาอีกนาน ทั้งตัวเขาเองถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางแล้วด้วย “ถ้าอยากให้ช่วยอะไรก็ติดต่อมา” และแม้พูดออกไปเช่นนั้นแต่ใช่ว่าลูกชายคนเล็กจะมาขอความช่วยเหลือจริงๆ

ซากิยืนส่งบิดาจนกระทั่งรถยนต์เคลื่อนที่หายลับที่มุมถนน เขาจึงก้าวเท้ากลับเข้าไปในบ้าน กลุ่มเพื่อนย้ายมารวมกลุ่มกันที่ห้องด้านล่าง ส่วนนาโอโตะกำลังทำอาหารมื้อเย็นอยู่ในครัว

“มีอะไรหรือเปล่าวะ”เอคิจิถาม

“เปล่า เขาคงกลับมาทำอะไรสักอย่าง”

“แล้วพ่อแกไม่ได้ว่าเรื่องฮารุจังใช่ไหม”

“ไม่เห็นพูดอะไร”

“พ่อของรุ่นพี่เป็นยากุซ่าหรือครับ”ทาคุมิถามขึ้นมาบ้าง แต่ทว่าเรียวตะกลับเป็นฝ่ายเปิดปากชิงตอบคำถามเสียแทน

“อ้าว นี่นายยังไม่รู้หรือ พ่อซากิมันเป็นข้าราชการอยู่กระทรวงเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นยากุซ่า”

“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ”

“แล้วพ่อแกจะไม่ว่าหรือวะ ถ้าแกจะคบกับฮารุจังน่ะ”เรียวตะถามบ้าง

ซากิไม่ตอบกลับหมุนตัวเดินเข้าไปช่วยนาโอโตะในครัว ปล่อยให้คนถามหน้าเหวองงงวย หันมองเพื่อนสนิทอีกสองคนที่เหลือ กระนั้นก็ไม่มีใครตอบคำถามเขาได้ จนหนุ่มรุ่นน้องหนึ่งเดียวในกลุ่มต้องกวักมือเรียกให้เขาเอาหูเข้าไปใกล้ กระซิบเล่าเหตุการณ์ก่อนที่ฮารุโตะจะหายไป

“ตั้งแต่นั้นมา ถึงรุ่นพี่ชิมิซึจะดูแลฮารุโตะอย่างดี แต่ไม่เห็นเข้าไปคุยด้วยอีกเลยครับ”

ทั้งเอคิจิและเรียวตะต่างพยักหน้ารับรู้ เหมือนจะเข้าใจความหมายของคำพูดและท่าทางแปลกๆของเพื่อนสนิทในช่วงนี้ อย่างไรก็ดี นาคามูระ เรย์กลับโพล่งขึ้นมาว่า

“ชอบก็บอกว่าชอบดิว่ะ จะมาทำตัวลึกลับซับซ้อนอยู่ทำไม”

เอคิจิเหลือบมองคนพูด เขาเข้าใจสิ่งที่เรย์ต้องการจะสื่อ ทว่าก็เข้าใจซากิด้วยเช่นกัน ซากิเคยอยู่ในเหตุการณ์ที่ตนมาทีหลัง และการกระทำของตนเองอาจจะกลายเป็นมือที่สามของคนที่ตนเองแอบชอบและเพื่อนสนิท แม้ในตอนนั้นคนที่ซากิแอบชอบและเพื่อนสนิทยังไม่ได้คบกันก็ตาม แต่เพราะกลัวจะเสียทุกอย่างไป ซากิจึงต้องยอมถอยกลับมายืนมองห่างๆอย่างเงียบๆ ไม่มีความคิดแม้แต่จะพยายามเพื่อให้ตนเองสมหวังด้วยซ้ำ

“ถ้าไม่พูด อีกฝ่ายจะรู้ไหม”

ทาคุมิร้องสนับสนุนขึ้นมาทันที เรย์จึงหันไปพยักพเยิดเออออเข้าไปกอดคอกระซิบกระซาบคุยอะไรกันสองคน และเป็นเอคิจิที่ต้องออกปากปราม

“อย่าทำอะไรแผลงๆ แค่เรื่องซากุราอิ ชุน ฮารุจังก็รับมือไม่ไหวแล้ว”

“เออน่า”เรย์บอกปัด ก่อนลุกขึ้นยืนเมื่อมีเสียงร้องเรียกว่าอาหารเสร็จแล้วดังมาจากในครัว

หลังทานอาหารมื้อเย็นเสร็จพวกเขาจึงแยกย้ายกลับบ้าน ทาคุมิยังคงนอนค้างที่บ้านของชิมิซึ ซากิเช่นเดิม ชายหนุ่มเจ้าของบ้านรอจนหนุ่มรุ่นน้องอาบน้ำเสร็จและเข้าห้องนอน เขาจึงขับรถออกจากบ้าน

ซากิขับรถยนต์มาจอดยังอพาร์ทเมนต์ความสูงห้าชั้นแห่งหนึ่งในเขตบล็อกที่สามของเมือง กดอินเตอร์คอมแจ้งเจ้าของห้องให้ปลดล็อคประตูแล้วก้าวขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นจุดหมาย เจ้าของห้องเดินมาเปิดประตูให้เมื่อเขามาถึง เชื้อเชิญให้เขาก้าวเข้าไปด้านใน

“นี่ครับ ของที่รุ่นพี่สั่ง”อีกฝ่ายยื่นโทรศัพท์มือถือส่งให้ ซากิจึงรับมาแล้วเปิดดูตรวจสอบโปรแกรมที่เขาสั่งให้ชายหนุ่มตรงหน้าทำให้

“วันนี้ฉันจะโอนให้ก่อนห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าใช้งานได้ไม่มีปัญหาจะโอนที่เหลือให้”

“ได้ครับ”

จากนั้นจึงส่งโทรศัพท์และกระดาษจนเบอร์โทรส่งให้ “ส่วนอันนี้สำหรับที่คุยกันเมื่อกลางวัน”

“งานนี้ผมต้องขอค่าจ้างเยอะหน่อยนะ”คนพูดยิ้มกว้างพลางชูมือบอกตัวเลข ซากิมองหน้าก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโอนเงิน อีกฝ่ายจึงเช็คยอดที่เข้าบัญชีพลางผิวปากหวือ หักลบกับครึ่งหนึ่งของงานที่แล้วหนุ่มรุ่นพี่ได้จ่ายอีกครึ่งหนึ่งของงานที่เพิ่งสั่งมาให้ด้วย

“ขอบคุณคร้าบ”

ซากิกลับออกมาจากห้องนั้นเมื่อคุยธุระเสร็จ สถานที่ต่อไปที่เขาไปเยือนเป็นร้านจำหน่ายเครื่องดื่มของมึนเมาที่เปิดให้บริการยามค่ำคืน บนเวทียกสูงประมาณสองถึงสามเมตรกำลังมีนักร้องชายหน้าตาดีทำหน้าที่ขับกล่อมคนฟัง เพียงแต่เขาไม่ได้มาฟังเพลง และถึงแม้เขาจะเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์บาร์ก็ใช่ว่าเขาต้องการมาดื่ม อย่างไรก็ดี ซากิได้สั่งเครื่องมาตั้งตรงหน้าเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต

“ว่าอย่างไรได้เจอบ้างไหม”เขาถามบาร์เทนเดอร์เรื่องที่เคยฝากไว้

“ครับ เขามาเมื่อวานแต่เขาไม่ได้ตอบว่าตกลง คืนนี้คุณจะลองอยู่รอเพื่อเจอเขาไหมล่ะครับ”หนุ่มบาร์เทนเดอร์แนะนำเพิ่มเติม

ซากิพยักหน้ารับ ยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ จากนั้นเอาแต่มองแก้วที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยอาการเหม่อลอย เขาปล่อยให้เวลาค่อยๆเคลื่อนผ่านไป รอจนค่อนดึกกระทั่งถึงเวลาร้านปิด

“ขอโทษครับ”บาร์เทนเดอร์บอกแก่เขา

“อ่อ ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างไรผมฝากจดหมายให้เขาได้ไหม”ซากิร้องขอกระดาษและหยิบปากกาขึ้นมาเขียนข้อความถึงคนที่เขาใช้เวลานั่งรอเกือบทั้งคืน พับทบและแนบกับแบงค์พันเยนส่งให้พนักงานหนุ่ม อีกฝ่ายรับปากว่าจะจัดการให้ เขาจึงก้าวเท้าจากมา

กว่าที่ซากิจะกลับถึงบ้าน เวลาได้ล่วงผ่านเข้าวันใหม่ไปแล้วหลายชั่วโมง ทว่าเสียงกุกกักและแสงไฟที่สว่างลอดออกมาจากครัวเป็นตัวดึงดูดความสนใจให้เขาก้าวเท้าไปดู

“มิอุระ”

ร่างนั้นสะดุ้งก่อนจะหันมามอง ขยับปากพึมพำเหมือนส่งเสียงเรียกชื่อของเขา

“หิว?”เขาถามพลางมองแก้วน้ำในมือของอีกฝ่าย “นมอุ่นๆสักแก้วไหม” กระนั้นเขาไม่ได้รอให้หนุ่มรุ่นน้องตอบรับ เปิดประตูตู้เย็นหยิบนมสดมาเทใส่แก้วและนำเข้าเตาไมโครเวฟ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเสียงเตือนก็ดังขึ้น ซากิหยิบนมอุ่นแก้วนั้นส่งให้ฮารุโตะ

เด็กหนุ่มรับมันมาถือไว้ในมือ ความอุ่นร้อนแผ่กระจายลามไล่มาตั้งแต่ปลายนิ้วทันทีที่ได้สัมผัส กลิ่นหอมของมันเย้ายวนให้ต้องยกขึ้นจิบชิม รสชาติที่ปลายลิ้นสัมผัสแม้จะจืดชืดแต่กลับเร่งเร้าให้เขาดื่มกิน มารู้ตัวอีกครั้งเป็นตอนที่เขาดื่มนมอุ่นแก้วนั้นจนหมดแก้ว

“เอาอีกไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ ความอบอุ่นของมันแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

ซากิจึงยื่นมือไปรับแก้วจากหนุ่มรุ่นน้อง นำมันมาล้างคว่ำเข้าที่ เช็ดมือพร้อมกับหันไปบอกอีกฝ่าย “กลับไปนอนได้แล้ว”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ กระนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ก้มหน้ามองพื้น ซากิจึงเอ่ยปากถาม “เป็นอะไรหรือเปล่า” ฮารุโตะนิ่งเงียบอยู่นานกว่าจะเอ่ยปาก

“ผม... ไม่แน่ใจว่าอะไรคือเรื่องจริง หรือเป็นสิ่งที่คิดไปเอง”แม้จะเริ่มพูดออกมาแล้ว แต่ฮารุโตะยังต้องใช้เวลาอีกหลายนาทีกว่าจะพูดประโยคต่อไป

“ผมคิดว่าตัวเองโดนซากุราอิซังรังแกมาตลอด แต่เขากลับพูดว่าเขาแค่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากผม สิ่งที่ผมรับรู้ สิ่งที่ผมเห็นตลอดเวลาที่ผ่านมามันเป็นภาพหลอนที่ผมคิดขึ้นมาเองหรือครับ”เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองซากิ ภายในแววตามีแต่ความสับสนกังวล

ชายหนุ่มวางมือบนไหล่ของหนุ่มรุ่นน้อง บีบจับให้อีกฝ่ายคลายความเครียดถึงสิ่งที่พะวงครุ่นคิด “ฉันคงไม่สามารถตอบว่าไม่ใช่ได้อย่างเต็มปาก การกำหนดนิยามของการกระทำมันขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละบุคคล ยกตัวอย่าง ทาคุมิยื่นเท้ามาขัดขานาย ทำให้นายสะดุดล้ม นายในฐานะที่เป็นคนเจ็บตัวอาจจะบอกว่าทาคุมิจงใจทำร้ายนาย แต่ทาคุมิอาจจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ หรือต่อให้ตั้งใจเขาอาจจะบอกว่า ไม่ได้คิดให้ล้มจนเจ็บตัว คนเราทุกคนล้วนต่างพูดให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูก”

“แล้วรุ่นพี่เชื่อคำพูดผมไหมครับ”

“เชื่อ”ซากิตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด ฮารุโตะจึงยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ และพูดต่อว่า

“ผมกับซากุราอิซังเคยสนิทกันก็จริง แต่ตอนเข้ามอต้น เราสองคนทะเลากันเพราะมีเด็กคนหนึ่งมาแกล้งพวกเรา เด็กคนนั้นชอบพูดจาล้อเลียนผม ปาขยะใส่บ้าง หนักเข้าซากุราอิซังเลยโมโหเข้าไปชกเด็กคนนั้น แต่โดนทำร้ายกลับมา ผมไม่อยากให้เขาเจ็บตัวเลยบอกว่าไม่ให้ทำแบบนั้นอีก ซากุราอิซังเลยโมโห เขาถามผมว่า ‘ไม่เชื่อว่าฉันจะดูแลนายได้อย่างนั้นหรือ’ ผมไม่ได้ต้องการอะไรอย่างนั้นเลย ไม่ต้องคอยดูแลก็ได้ แค่อยู่ด้วยกัน”เสียงของฮารุโตะสั่นเครือ ซากิจึงดึงร่างเล็กบางเข้ามากอด พลางลูบหลังปลอบโยน

“ตอนที่เขาหายไป ผมเสียใจมากเพราะรู้สึกเหมือนโดนทิ้งทั้งที่สัญญากันไว้ ไปหาที่ห้องเรียนก็ไม่เคยเจอ ส่วนเรื่องที่เขาเอาขนมมาให้ผมไม่รู้จริงๆว่าเป็นของเขา ก่อนหน้านั้นมีคนเอาดินน้ำมันสอดใส่ไส้ขนมปังมาให้กิน บางครั้งก็เอาเกลือเทใส่ในถ้วยแกง ผมเลยไม่ค่อยกล้ากินของที่ผ่านมือคนอื่นอีก”

แค่ได้ฟังซากิยังรู้สึกโมโหแทน เพราะนั่นหมายความว่า แม้แต่ตอนที่ทานข้าว ฮารุโตะยังไม่สามารถทำได้อย่างเป็นสุข

“ไม่ต้องกลัวแล้วนะ ตอนนี้ไม่มีใครทำอะไรนายได้อีกแล้ว”ซากิผละร่างเล็กออกห่าง ยกมือช่วยเช็ดน้ำตาให้

ฮารุโตะพยักหน้ารับ เพราะถึงรุ่นพี่จะใจร้ายกับเขาในบางครั้ง แต่สิ่งที่ชายหนุ่มทำให้กลับมีมากมายจนนับไม่ถ้วน

“ผมจะคุยกับซากุราอิซังอีกครั้ง ถ้าเขาขอโทษผมจะยกโทษให้”

แม้ซากิจะเคยเตรียมใจมาอยู่แล้ว ทว่าภายในอกกลับรู้สึกแปลบวาบขึ้นมา

“อืม ดีแล้ว”และถึงจะพูดคำนั้นออกไป แต่นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้จะพูดคำใดให้ดีกว่านี้





ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'




อาโอกิ นาโอโตะและนาคามูระ เรย์มากดออดที่หน้าบ้านเพื่อนสนิทแต่เช้าพร้อมตะกร้าอาหารในมือ และทันทีที่ประตูตรงหน้าเปิดออก ชายหนุ่มร่างเพรียวยกยิ้มร้องบอกกล่าวและเดินฉับๆเข้าไปในบ้าน ขณะที่เรย์ยังมีอาการหาวหวอด อย่างไรก็ดี เสียงออดได้ปลุกให้อีกสองหนุ่มรุ่นน้องตื่นขึ้นมาด้วย ทั้งทาคุมิและฮารุโตะเดินหน้าตางัวเงียลงมาจากชั้นบน

“อ้าว มาปลุกหรือเนี่ย”นาโอโตะร้องถาม

“ไม่หรอกครับ มันใกล้เวลาตื่นแล้ว”ทาคุมิหาวซ้ำอีกรอบ มองอาหารบนโต๊ะแล้วถามหนุ่มรุ่นพี่ว่า “รุ่นพี่อาโอกิตื่นขึ้นมาทำตั้งแต่กี่โมงอ่ะ”

“ตีห้ามั้ง”

“โห เช้าจัง”

“หัดนอนแต่หัวค่ำจะได้ตื่นแต่เช้า”

“ผมก็นอนแต่หัวค่ำนะ แต่ตอนเช้าก็อยากนอนอีก ยิ่งอากาศหนาวๆแบบนี้ด้วย”ทาคุมิบ่นให้ฟัง นาโอโตะจึงไล่ให้ไปล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนจะเดินเข้าไปหาฮารุโตะที่ยืนอยู่ไม่ห่าง

“เป็นอย่างไรบ้าง ยังปวดหัวอยู่ไหม”

“ไม่ครับ”ฮารุโตะตอบพร้อมสั่นศีรษะ “ขอบคุณครับที่เป็นห่วง”

“เรื่องปกติน่า ฮารุจังอาจจะเจอคนไม่ดีมามาก แต่คนดีๆที่พร้อมจะช่วยเหลือและมีความจริงใจให้กันก็มีอยู่เยอะแยะมากมายเหมือนกัน เราแค่ต้องเลือกคบคนและตอบโต้คนที่ทำไม่ดีกับเรา การยอมเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียวไม่ได้บ่งบอกว่าเราเป็นคนดีหรอกนะ”

ฮารุโตะก้มหน้า ฝ่ามืออบอุ่นของหนุ่มรุ่นพี่ยังคงวางอยู่บนศีรษะ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาอาจจะเถียงอยู่ในใจ ไม่มีใครรู้ว่าเขาต้องเผชิญอะไรมาบ้าง คำพูดปลอบหรือคำแนะนำทั้งหลายแหล่ มันเหมือนคำโกหกที่คนพูดพยายามแสร้งทำเป็นคนดี ไม่มีใครยื่นมือเขามาช่วยเขาจริงๆ แต่ทุกอย่างมันได้ถูกพิสูจน์แล้ว ต่อให้เขายอมถูกทำร้ายไม่ต่อสู้ขัดขืน เขายังถูกหาว่าผิดอยู่วันยังค่ำ มันรู้สึกแย่มากกว่ากับการที่ถูกมองว่าความหวาดกลัวที่เขามีมันเป็นเรื่องที่ไร้สติไร้สาระ

รุ่นพี่อาโอกิบอกให้เขาไปล้างหน้าแปรงฟัน และรีบกลับมาทานข้าว ฮารุโตะจึงยกมือขึ้นปาดน้ำตารีบไปทำตามที่หนุ่มรุ่นพี่บอก กลับออกมายังโต๊ะอาหาร ทุกคนต่างมานั่งประจำที่พร้อมหน้าพร้อมตา เป็นอีกวันที่เขาได้ทานอาหารอย่างมีความสุข ทั้งกับข้าวฝีมือของรุ่นพี่อาโอกิก็อร่อยมาก

กระทั่งหลังทานอาหารเช้าเสร็จ ฮารุโตะจึงได้รวบรวมความกล้า และพูดขึ้นว่า “ผมจะคุยกับซากุราอิซังอีกครั้ง”

“ไม่เห็นจำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลย”ทาคุมิแย้งขึ้นมาทันควัน

“หมอนั่นมันหน้าด้านมาก ทำถึงขนาดนั้นแล้วยังกล้ามาพูดขอให้ยกโทษให้อีก”

“แล้วคนทำผิดไม่มีสิทธิ์สำนึกผิดหรือไง”นาโอโตะถามแทรก “สมมติถ้าเป็นตัวนาย นายจะรู้สึกอย่างไรถ้าอีกฝ่ายไม่แม้จะรับคำขอโทษ”

ทาคุมิหน้ามุ่ยที่โดนรุ่นพี่ที่แสนใจดีอย่างนาโอโตะพูดดุ

“พี่เห็นด้วยที่ฮารุจังคิดอย่างนั้น พี่เชื่อว่านายเป็นเด็กดี ที่ถึงแม้นายจะถูกเอาเปรียบทำร้ายรังแกอย่างไรก็ไม่คิดจะทำในสิ่งที่คนไม่ดีพวกนั้นทำ”

ฮารุโตะน้ำตาไหล ที่ผ่านมาสาเหตุที่เขาพยายามอดทนมาตลอดเพราะเขารู้สึกว่าสิ่งที่คนอื่นกระทำต่อตัวเขามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี และเขารู้สึกเจ็บปวดที่โดนปฏิบัติอย่างนั้น ทว่าเขาเพียงแค่ไม่อยากทำตัวเป็นเลวเหมือนที่เขาเคยว่าคนอื่น

“แต่การเป็นเด็กดีไม่ได้หมายความต้องยอมให้คนอื่นกลั่นแกล้งรังแกง่ายๆ”นาโอโตะเห็นได้ทีจึงพูดเทศนา “อย่างคราวที่เราตกเขาเมื่อคราวนั้นก็เหมือนกัน การปิดปากเงียบแบบนั้นไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับใคร คนที่ทำเขาจะได้ใจเที่ยวไประรานรังแกคนอื่นเขาไปทั่ว การยอมคนไม่ใช่เรื่องผิด แต่เราต้องคิดถึงความถูกต้อง ต้องคิดถึงผลดีผลเสียที่กระทบต่อคนอื่นด้วย การกระทำทุกอย่างต้องให้ตัวเองมีความสุข แต่ไม่ใช่ความสุขของตัวเองไปกระทบผู้อื่นให้คนอื่นมีความทุกข์ แล้วก็ไม่ใช่ยอมให้คนอื่นมีความสุข ในขณะที่ตัวเราต้องทนทุกข์ เข้าใจไหม”

ฮารุโตะผงกศีรษะรับ ขณะที่เรย์ปรบมือให้

“ไม่ตลก”นาโอโตะตวาดดุ เรย์จึงต้องยอมลดมือลง

“แต่เรื่องที่จะคุยกับชุนอีกรอบให้รอไปก่อนแล้วกัน รอให้สอบเสร็จก่อนจะดีไหม”ซากิเสนอขึ้นมา เรียกความสนใจให้เรย์มองหน้าเพื่อนสนิท ขณะเดียวกันนาโอโตะก็กล่าวสนับสนุนความคิดนี้

“ช่วงนี้ ฮารุจังควรตั้งสมาธิกับการสอบไว้ก่อนน่าจะดีกว่า ถึงเทอมนี้จะว่างให้อ่านหนังสือมาตลอด แต่ถ้าประมาทไปอาจจะมีอะไรผิดพลาดได้ พี่ไม่อยากให้นายคิดอะไรมากจนปวดหัวหนักแบบเมื่อวานอีก”

ฮารุโตะพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

หนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนถูกไล่ให้ไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย นาโอโตะลุกขึ้นเก็บจานชามไปล้าง เรย์จึงใช้จังหวะนั้นกระซิบคุยกับซากิ

“แล้วแกจะทำอะไรต่ออะไรต่อไหม”เรย์รู้ว่าซากิกำลังวางแผนอะไรอยู่แน่นอน

“ยัง คงหยุดไว้ก่อน”

คนถามพยักหน้ารับรู้ กลับมานั่งประจำที่เหมือนเดิมปล่อยให้เพื่อนหนุ่มไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นเดียวกัน

พวกเขาพร้อมออกจากบ้านหลังจากนั้นราวๆครึ่งชั่วโมง แยกย้ายกันขึ้นรถยนต์ นาโอโตะไปรถยนต์คันเดียวกันกับเรย์ ส่วนหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนไปรถยนต์คันเดียวกับซากิ โดยหนุ่มรุ่นพี่วนรถยนต์ไปส่งพวกเขาถึงหน้าตึกเรียน ทาคุมิและฮารุโตะกล่าวขอบคุณก่อนจะก้าวลงจากรถ ทว่าพวกเขาก้าวเท้ายังไม่ถึงบันไดตึกกลับโดนขวางไว้เสียก่อน ซากิที่มองเห็นเหตุการณ์จากกระจกรถจึงรีบจอดรถยนต์และลงไปดู

ทาคุมิก้าวมายืนขวางบังฮารุโตะไว้ด้านหลัง

“ฮารุโตะ ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว”ชุนพูด ยื่นมือไปพยายามคว้าร่างของเด็กหนุ่มร่างเล็ก เป็นจังหวะที่ซากิก้าวถึงตัวชุนพอดี เขาปัดมือและผลักชุนให้ออกห่าง

“เรย์ไม่ได้บอกนายว่าช่วงนี้ไม่ควรมายุ่งกับมิอุระอย่างนั้นหรือ”

“ทำไมฉันแค่มาหาฮารุโตะ มันจะอะไรหนักหนาวะ”ชุนตะคอกใส่ ผลักอกซากิให้ถอยไปบ้าง

“แต่ที่นายทำอยู่เขาเรียกว่ากำลังคุกคาม”

“มึงเป็นใคร ทำไมชอบมาเสือกเรื่องของคนอื่นนัก หรือมึงถือดีเพราะว่ามึงได้นอนกับฮารุโตะแล้ว”

พลั่ก!!!

ซากิปล่อยหมัดใส่ชุนโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ทันตั้งตัว ร่างกายใหญ่โตของชุนเซถลาล้มลงกับพื้นและทันทีที่ตั้งตัวได้ เขาลุกขึ้นยืนสวนหมัดใส่หนุ่มรุ่นพี่อย่างไม่ลังเล คล้ายจะเกิดการตะลุมบอลย่อมๆ ทว่ามิชิโอและอิซามุกลับมาคว้าตัวชุนไว้ได้ก่อน

“ปล่อยดิวะ กูบอกให้ปล่อย แม่งต่อยกู กูจะเอาคืน บอกให้ปล่อยไงวะ”ชุนโวยวายดิ้นรน กระชากตัวด้วยแรงโมโหจนมิชิโอะต้องล็อคคอล็อคแขนลากพาไปขึ้นรถ กระนั้นชุนยังคงโวยวายไม่หยุด

ซากิขมวดคิ้วมองตามรถยนต์ที่แล่นห่างออกไป รู้สึกปวดตุบๆที่มุมปากขึ้นมา ประกายนัยน์ตาฉายแววแค้นเคืองขุ่นข้อง ก่อนจะต้องสะดุ้งตวัดสายตากลับไปมองเมื่อมีคนแตะสัมผัสแผลแตก

ฮารุโตะหน้าตื่นขยับเท้าถอยด้วยความเคยชิน กระทั่งหนุ่มรุ่นพี่คว้าจับมือของเขาที่ถือกระดาษทิชชู่กลับไปเช็ดแผลอีกครั้ง เขาจึงกล้าซับเลือดที่ไหลซึมด้วยความเป็นห่วง

“ผมขอโทษนะครับ”

“ขอโทษทำไม”เสียงของเขายังแข็งกระด้าง

ฮารุโตะลดมือพร้อมก้มหน้าลง

“นายไม่ได้ทำผิดสักหน่อย ทำไมต้องขอโทษแทนคนอื่น”ซากิถามอย่างมีอารมณ์จนทาคุมิต้องเข้ามาห้ามปราม

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ ใจเย็นๆก่อนนะ”

ซากิขบกรามแน่น เขาเบือนหน้าหนี ก่อนจะหันกลับมาตั้งคำถามกับฮารุโตะอีกครั้ง “นายรู้สึกผิดเพราะอะไร เพราะรู้สึกต้องรับผิดชอบการกระทำของซากุราอิ หรือรู้สึกผิดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ”

“เพราะผมเป็นต้นเหตุ”เด็กหนุ่มตอบเสียงเบา เงยหน้าตามแรงมือของหนุ่มรุ่นพี่ที่ประคองอยู่ข้างแก้ม

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรที่ต้องขอโทษ นายไม่ได้เป็นคนไปสั่งให้ซากุราอิมาชกฉัน และฉันเองเป็นคนเริ่มชกฝ่ายนั้นก่อน นายไม่ได้ทำอะไรผิด”

“แต่เพราะเข้ามาช่วยผม รุ่นพี่ถึงต้องเจ็บตัว”

“ไม่เลย ฉันเริ่มทะเลาะวิวาทด้วยอารมณ์เป็นเหตุ และฉันก็ยอมรับผลของมันอยู่แล้ว”พร้อมเอ่ยแนะนำอีกว่า “นายเป็นคนฉลาด แต่เวลาคิดต้องรู้จักใช้เหตุและผลเข้ามาวิเคราะห์ ไม่ใช่ใช้แค่อารมณ์เพียงอย่างเดียวเข้ามาเกี่ยว การกระทำทุกอย่างต้องคิดอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลความเป็นจริงก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงค่อยวิเคราะห์ร่วมกับอารมณ์ความรู้สึก”

“มานั่งคิดอย่างนั้นทุกครั้ง ไม่เสียเวลาแย่หรือครับ”ทาคุมิถามแทรกทะลุกลางปล้อง

“มนุษย์ที่การกระทำอยู่กับร่องอยู่กับรอยเขาทำแบบนี้ทั้งนั้น”ซากิจงใจว่ากระทบทาคุมิ แต่กลับทำให้อีกคนหน้าเสียไปด้วย เขาจึงแกล้งกระแอมกระไอ

“ก็เริ่มจากเรื่องที่สำคัญๆก่อน ฝึกไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ชิน” ชายหนุ่มพูด ก่อนจะวกเข้าสู่ประเด็นที่เขาต้องการจะสื่อ

“เวลาเจอเรื่องกระทบใจที่ทำให้นายรู้สึกเศร้า รู้สึกเสียใจ รู้สึกไม่ดีทั้งหลายแหล่ ให้เริ่มคิดแบบนี้ทุกครั้ง นายรู้สึกไม่ดีเพราะอะไร ให้คิดทบทวนว่าต้นเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกนั้นเกี่ยวกับตัวนายไหม นายเป็นเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้นจริงๆหรือ นายอาจจะมีอารมณ์ร่วมในผลลัพธ์นั้น แต่ต้องไม่เก็บมันมาใส่ใจ ต่อให้ทุกคนบอกว่าโลกหยุดหมุนเพราะนาย ถ้านายไม่ได้ทำมันก็คือนายไม่ได้ทำ จำไว้อีกอย่างว่า ธรรมชาติของมนุษย์มักบอกว่าคนอื่นผิด ขณะเดียวกันก็ชอบพูดว่าตัวเองถูกเสมอ”

สองหนุ่มรุ่นน้องยื่นฟังนิ่ง ไม่มีใครกล้าพูดแทรกหรือเอ่ยเถียง

ทาคุมิกำลังนึกย้อนรอยเหตุการณ์ในอดีต ว่าเขาเคยเอาแต่ปรักปรำใครหรือไม่ ขณะที่ฮารุโตะคิดว่า ตนเองได้แต่ยอมก้มศีรษะทำเรื่องที่ไม่มีคุณค่าในสายตาของคนอื่นไปตั้งมากมาย




“เลิกบ้าได้หรือยังชุน อยากทำให้เรื่องมันเลวร้ายไปกว่านี้หรือไง”มิชิโอะตะคอกใส่เมื่อเขาทั้งสามคนกลับขึ้นมาอยู่บนรถยนต์ด้วยกันอีกครั้ง โดยมีอิซามุทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถพาพวกเขาทั้งสามคนออกนอกมหาวิทยาลัย เพราะชุนคงจะไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนแล้ว

“ฉันพูดจริงนะ ถ้านายยังทำตัวเป็นหมาบ้าอย่างนี้ ฉันจะส่งรายงานให้นายได้ย้ายมหาวิทยาลัยแน่ๆ”

“กูไม่กลัว ตอนนี้กูไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ต่อให้โดนย้ายมหา’ลัย กูก็จะมาเฝ้าเมียกู”

อิซามุโคลงศีรษะด้วยอ่อนใจ ฟังเสียงโวยวายของชุนขณะกดโทรศัพท์ตามคนมาเฝ้าลูกชายของเจ้านายเพิ่ม

ซากุราอิ ชุนถูกขังให้ห้องนอนพร้อมคนดูแลอีกสองคน ป้องกันการหลบหนี เพราะครั้งนี้ชุนอุตส่าห์ไปดักรอมิอุระ ฮารุโตะที่มหาวิทยาลัยแต่เช้า แอบพวกเขาไปโดยใช้บริการรถสาธารณะเนื่องจากมิชิโอะยึดกุญแจรถไว้ พวกเขากำลังรอเจ้านายใหญ่ที่มีอำนาจเหนือลูกชายเจ้านายมาจัดการปัญหาซึ่งเกินกว่าความสามารถของพวกเขาทั้งคู่ 

ชุนถูกปล่อยตัวในรุ่งขึ้นอีกวันเพื่อให้มาพบกับซากุราอิ ฮิเดอากิที่ห้องทานอาหารแต่เช้าตรู่ ชายวัยกลางคนกำลังจิบน้ำชาอุ่นร้อน ขณะรอให้มิชิโอะเสิร์ฟอาหารเช้า

“นั่งสิ”ฮิเดอากิพูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง “นานๆทีถึงได้ทานข้าวด้วยกันสักมื้อ”

ผู้เป็นลูกชายไม่กล้าขัด เพราะด้านหลังของบิดามีบอดี้การ์ดยืนอยู่สองคน ด้านหลังเขาอีกสองคน รวมมิชิโอะด้วยเป็นห้า ต่อให้เขาคิดว่าตัวเองแน่แค่ไหนก็ไม่กล้าหือกับพวกที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี  เด็กหนุ่มพอจะเดาออกว่าผู้เป็นบิดาต้องการพูดเรื่องอะไร ดังนั้งจึงยิ่งอึดอัดเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ทานอาหารด้วยท่าทีเอื่อยๆ อย่างไรก็ตามเขาทำได้เพียงแค่อดทน

ฮิเดอากิวางตะเกียบ จิบน้ำชาอีกเล็กน้อยหลังทานอาหารเสร็จ เมื่อวางแก้วชาลงกับโต๊ะถึงจะพูดขึ้นว่า “ได้ข่าวว่าเมื่อวานแกไปอาละวาดที่มหาวิทยาลัย”

“ครับ”ชุนตอบรับด้วยคำสั้นๆ แม้ว่าจะคาดเดาได้แต่ใช่ว่าเขาจะตอบโต้ได้ เขาแค่อยากให้มันจบๆไปเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับความรู้สึกกดดัน

“ยังอยากจะเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ต่อหรือเปล่า”ผู้เป็นพ่อไม่ได้ปล่อยให้เขาตอบ กลับพูดต่อไปอีกว่า “ถึงฉันจะใช้เงินยัดแกเข้าไปเรียนได้ ก็ใช่ว่าจะจ่ายแค่เงินเพื่อให้แกคงสถานภาพนักศึกษาไว้ได้ อีกอย่างก่อนเข้ามหาวิทยาลัยแกเป็นคนยอมตกลงแลกเปลี่ยนกับฉันเอง ถ้าตอนนี้แกเปลี่ยนใจฉันจะถือว่าข้อตกลงที่ผ่านมาเป็นโมฆะ”

“ผมไม่ได้ตั้งใจ”ชุนตอบเสียงอ่อน นิสัยของพ่อต่างกับเขา เพราะแม้อีกฝ่ายจะโมโหเดือดดาลน้ำเสียงที่ใช้พูดยังเรียบเรื่อยไม่แฝงอารมณ์ ทว่าหนักแน่นจริงจัง

“ชุน ฉันไม่เคยห้ามถ้าแกอยากจะทำอะไร ฉันถือว่าฉันเป็นพ่อมีหน้าที่ต้องเลี้ยงลูกจนกว่าตัวฉันจะตาย ต่อให้แกไม่อยากได้บริษัทของฉัน ฉันก็จะเตรียมเงินไว้ให้แกได้ชีวิตอย่างสบายๆ”ฮิเดอากิยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ “แต่ถ้าแกทำให้ฉันเสียผลประโยชน์ หรืออยากจะผันตัวไปเป็นนักเลงจริงจัง ฉันคงต้องตัดหางปล่อยวัด แกเข้าใจหรือเปล่า”

“ครับ”

“ดี เข้าใจอะไรง่ายดี ฉันหวังว่าแกคงไม่ทำอะไรให้มิชิโอะกับอิซามุปวดหัวอีกหรอกนะ เพราะถ้ามีครั้งหน้า ต่อให้แกคร่ำครวญอ้อนวอน ฉันก็จะไม่ใจดีกับแกแล้ว”ฮิเดอากิเอ่ยเตือนผู้เป็นบุตรชายก่อนลุกขึ้นยืน

“ฉันกลับล่ะ”

ชุนลุกขึ้นยืนและเดินตามไปส่งบิดาถึงรถยนต์ จากนั้นจึงเดินคอตกกลับเข้าบ้าน ไปขังตัวเองไว้ในห้องอีกรอบ ถึงอย่างนั้นมิชิโอะและอิซามุยังคงหวั่นใจ เพราะเจ้าตัวทำเหมือนจะสำนึกได้มาหลายรอบ แต่พอนึกฮึดอะไรขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็กลับไปสร้างเรื่องให้มิอุระซังถอยห่างไปอีก 
 



การสอบเริ่มต้นขึ้นเมื่อสัปดาห์ใหม่มาเยือน ฮารุโตะทำข้อสอบด้วยความคิดอย่างมีสติและสมองอันปลอดโปร่ง เพราะชีวิตอันสงบราบเรียบและผู้คนรอบกายที่คอยเป็นกำลังใจให้  ใช่ว่าเขาจะไม่กังวลเรื่องของซากุราอิ ชุนแต่เพราะโองาวะ อิซามุมาบอกเขาว่า ตนจะรับประกันไม่ให้ชุนมาระรานเขาในช่วงนี้ แต่หลังจากพ้นช่วงการสอบ ขอให้เขาได้พูดคุยปรับความเข้าใจกับชุนอีกครั้ง ฮารุโตะตอบรับเนื่องจากตนตั้งใจไว้เช่นนั้นอยู่แล้ว แม้จะยังรู้สึกสงสัยว่า เป็นไปได้ด้วยหรือที่เขากับซากุราอิ ชุนจะกลับมาเป็นเพื่อนกัน ...คำตอบที่อยู่ภายในใจของเขามีแต่ความว่างเปล่า

เสียงสัญญาณเตือนข้อความในโทรศัพท์มือถือทำให้เขาละความสนใจจากตัวอักษรบนหน้าหนังสือตรงหน้า ทั้งยังเรียกความสนใจของทาคุมิซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่อีกฝั่งให้เงยหน้าขึ้นมามอง ฮารุโตะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดดูข้อความ

“จำงานที่เคยบอกไว้ได้ไหม ถ้าช่วงนี้พี่จะให้ฮารุจังมาเป็นแบบให้ก่อน จะโอเคหรือเปล่า”

“วันไหนครับ”เขาส่งข้อความกลับไปถามรุ่นพี่อาโอกิ

“เย็นวันพุธ ทางร้านเขานัดคนอื่นมาถ่ายรูปรวมด้วย”

ฮารุโตะเปิดดูตารางสอบอีกรอบก่อนจะตอบกลับ “ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

อาโอกิ นาโอโตะส่งสติ๊กเกอร์คำว่าขอบคุณกลับมาให้ เมื่อเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมา ทาคุมิจึงยิงคำถามใส่ทันที

“อะไรหรือ”

“รุ่นพี่อาโอกินัดให้ไปถ่ายรูป”

“งานนั้นอ่านะ”

ฮารุโตะพยักหน้า ก้มหน้าอ่านหนังสือไปครู่เดียวก็เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยปากถามทาคุมิเรื่องมารดาของอีกฝ่ายบ้าง

“คุณน้าไม่ได้ว่าอะไรใช่ไหม”

“ไม่อ่ะ พอเล่าเรื่องนายให้ฟัง แล้วบอกว่าจะมาติวหนังสือด้วย ก็ยอมให้มาเลย”

ทาคุมิทำหน้าเบื่อ ตั้งแต่หมดชั่วโมงสอบของวัน ฮารุโตะยังบังคับให้เขาอ่านหนังสือสำหรับเตรียมสอบของวันพรุ่งนี้ต่อ ซ้ำอุณหภูมิอากาศในบ้านของรุ่นพี่ชิมิซึยังอุ่นน่านอน จนเขาอยากจะฟุบหลับอยู่หลายรอบ ทาคุมิอ้าปากหาว

“ง่วงก็นอนได้ ไม่ได้ว่าซะหน่อย”

ทาคุมิจึงฟุบลงบนโต๊ะและปิดเปลือกตา

พวกเขายึดเอาโต๊ะทานอาหารในบ้านของรุ่นพี่ชิมิซึเป็นที่ใช้ในการอ่านหนังสือ ในห้องนอนของเจ้าของบ้านมีโต๊ะเขียนหนังสือเช่นกัน แต่เพราะห้องข้างบนมีเก้าอี้แค่ตัวเดียว ทั้งโต๊ะเตี้ยตัวเล็กๆอย่างโต๊ะอุ่นขาก็ไม่มี พวกเขาจึงต้องหอบหิ้วข้าวของลงมาด้านล่าง

เสียงออดดังขึ้นทำให้ทาคุมิลืมตาตื่น เขาไม่ได้หลับจริงจังเพียงแค่พักสายตา ตอนที่ยันตัวลุกขึ้นกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้งจึงไม่มีอาการง่วงงุน รอจนออดที่สองดังขึ้น เด็กหนุ่มเอ่ยปากบอกเพื่อนสนิทพร้อมลุกเดินไปเปิดประตู

ที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นหญิงสาวสวยผู้ซึ่งทาคุมิจำได้ถนัดตา เนื่องจากเคยเห็นอีกฝ่ายอยู่กับรุ่นพี่ชิมิซึบ่อยๆ หญิงสาวตรงหน้าเมื่อเห็นเขาก็มีท่าทางแปลกใจ หันซ้ายหันขวาเหมือนจะตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่ได้เข้าบ้านผิด

“มาหาใครครับ”ทาคุมิถาม

“บ้านชิมิซึหรือเปล่าคะ มาหาพี่ซากิค่ะ”เธอบอกด้วยความลังเล

“ใช่ครับ แต่รุ่นพี่ยังไม่กลับมา”

“อ่อ รุ่นน้องที่มหา’ลัยของพี่เขาใช่ไหมคะ ยังคิดอยู่ว่าละเมอมาผิดบ้านหรือเปล่า ขอเข้าไปได้ไหม”

เธอไม่ได้รอให้เขาตอบ แต่ก้าวเท้าฉับๆเข้ามาด้านในทันที ทาคุมิมองอีกฝ่ายด้วยความระแวง

“ฉันไม่ใช่คนร้าย เป็นน้องสาวของพี่ซากิค่ะ”เธอหันมาบอกพลางถือปิ่นโตเดินเข้าไปในครัว

“รุ่นพี่ไม่มีน้องสาวนี่ครับ”ทาคุมิพูด ขณะที่ฮารุโตะมองหญิงสาวที่มาใหม่ไม่วางตาเช่นเดียวกัน

“ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ เป็นลูกของป้าพี่ซากิค่ะ อยู่บ้านที่ห่างถัดไปสามหลัง”เธอพูดพลางลากเก้าอี้ของโต๊ะทานอาหารออกมานั่ง

“โอ๊ะ อ่านหนังสือสอบกันอยู่ อ่อ... ชื่อฮาระ อายากะค่ะ”

ฮารุโตะก้มศีรษะทักทายพร้อมกับเอ่ยแนะนำตัวเองและเพื่อนหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันบ้าง

“แล้วนี่พวกคุณจะอยู่บ้านพี่ซากิไปถึงเมื่อไหร่หรือ”

ฮารุโตะหน้าเผือดสีไปเล็กน้อย เพราะคำถามนั้นฟังดูเหมือนญาติของหนุ่มรุ่นพี่เจ้าของบ้านจะไม่ได้เต็มใจให้เขาอยู่ที่นี่เสียเท่าไหร่

“ก็อยู่จนกว่ารุ่นพี่ชิมิซึจะไล่ล่ะครับ”ทาคุมิตีสีหน้าตอบแบบไม่นึกเดือดร้อน เมื่อฮารุโตะหันไปมองก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้ พลางเดินไปนั่งยังที่เดิมของตัวเอง

“แล้วคุณละครับ มาทำอะไรกันแน่ รุ่นพี่ก็ไม่อยู่ ของก็ส่งเสร็จแล้ว จะอยู่ไปถึงเมื่อไหร่”

อายากะมองหน้าทาคุมิตาไม่กะพริบ แล้วยกยิ้มส่งเสียงหัวเราะออกมา “คุณนี่ตลกเนอะ บ้านตัวเองก็ไม่ใช่ยังมีหน้ามาไล่คนอื่นเขาอีก”

“ไม่ใช่บ้านคุณเหมือนกันนั่นแหละ แต่ผมน่ะ รุ่นพี่ชิมิซึเขาอนุญาตให้มาอยู่ได้”

“พี่ก็เคยอนุญาตให้ฉันมานั่งเล่นนอนเล่นที่บ้านหลังนี้เหมือนกัน”

ทั้งสองคนเถียงกันไปเถียงกันมา จนฮารุโตะกลัวว่าจะกลายเป็นการทะเลาเบาะแว้งจึงเอ่ยส่งเสียงห้ามปราม

“เอ่อ... อย่าทะเลาะกันเลยครับ”

ใช่ซะที่ไหน”ทาคุมิและอายากะตอบประสานเสียงพร้อมกันราวกับนัดกันไว้ ทั้งสองคนหันมองหน้ากันเองเล็กน้อย และหันมาพูดกับฮารุโตะต่ออีกว่า

ทำไมต้องทะเลาะ...”คราวนี้ทั้งคู่พูดพร้อมกันอีกรอบ เรียกสายตาประหลาดใจจากบุคคลที่สามได้เป็นอย่างมาก อายากะจึงผายมือเป็นเชิงให้ทาคุมิพูดก่อน

“ไม่มีอะไรหรอกคิดมาก ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนจะมาทะเลากันได้อย่างไร”

ฮารุโตะโคลงศีรษะรับรู้ พยายามจดจำไว้ว่า วิธีการพูดและน้ำเสียงแบบที่ทั้งคู่ใช้อาจจะไม่ได้เกิดจากความขัดแย้ง และคิดย้อนกลับไปว่า ประโยคแรกที่อายากะถามเขา อาจจะถามเพราะอยากรู้โดยไม่แฝงความรู้สึกอื่นก็เป็นได้ เมื่อคิดได้แบบนี้ ฮารุโตะจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น

“ฮาระซังจะรอเจอรุ่นพี่ชิมิซึด้วยใช่ไหมครับ”ฮารุโตะพูดถามบ้าง

“ทีแรกก็คิดอย่างนั้นค่ะ เพราะก่อนมานี่โทรบอกพี่แล้ว พี่บอกว่ามาได้มีคนอยู่บ้าน ไอ้เราไม่ได้ถามให้ละเอียด”ประโยคหลังเจ้าตัวคล้ายจะพึมพำกับตัวเอง

ฮารุโตะจึงหันมองนาฬิกา “น่าจะรออีกไม่นานนะครับ”

“ค่ะ”เธอตอบรับและเงียบเสียงไป เห็นคู่สนทนาทำท่าเหมือนไม่ได้ให้ความสนใจตัวเขาแล้ว ฮารุโตะจึงก้มหน้าลงอ่านหนังสือ

อายากะลุกขึ้นไปเปิดโทรทัศน์อย่างคุ้นเคย เสียงเพลงและเสียงพูดคุยที่ดังออกมาจากลำโพงเรียกความสนใจของสมองหนุ่มให้เงยหน้ามอง หญิงสาวจึงก้มศีรษะเป็นเชิงขอโทษก่อนจะปรับลดความดังเสียงลง ทาคุมิจึงใช้โอกาสนี้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดเล่นเกม ปล่อยให้เพื่อนสนิทนั่งอ่านหนังสือต่อไป

จนเวลาค่อนมืด ชายหนุ่มผู้นับได้ว่าเป็นเจ้าของบ้านตัวจริงจึงกลับมา

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ”ทาคุมิหันไปกล่าว

“อืม กลับมาแล้ว”ชายหนุ่มตอบรับแล้วหันมองหญิงสาวอีกคนที่ตนรู้จักดี

“อ้าว ทำไมยังไม่กลับ”ซากิถามอายากะ เดินถือถุงอาหารที่เขาซื้อมาจากข้างนอกนำวางบนโต๊ะ

“รอพี่ซากิอยู่นั่นแหละ”

“มีอะไรหรือเปล่า”

“จะมาขอหนังสือข้อสอบค่ะ”

“อืม อย่างนั้นรอแป็บ”ชายหนุ่มเดินหายขึ้นไปบนชั้นสอง ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงกลับลงมาพร้อมหนังสือสองสามเล่ม ในระหว่างนั้น หนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนทำการเก็บกวาดหนังสือบนโต๊ะ พร้อมทั้งจัดกับข้าวทั้งที่หนุ่มรุ่นพี่ซื้อมาและปิ่นโตของอายากะลงจาน

“กินข้าวด้วยกันก่อนไหม”ซากิเอ่ยชวน

“ไม่ดีกว่าค่ะ แม่รอกินข้าวอยู่ ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ”

“เดี๋ยวพี่ไปส่ง นายสองคนกินไปก่อนได้เลยนะ”ประโยคหลังเขาบอกหนุ่มรุ่นน้อง กระนั้นทาคุมิและฮารุโตะยังคงไม่กล้าทาน เพราะอาหารแต่ละมื้อหนุ่มรุ่นพี่เป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น

“ทำไมยังไม่กินล่ะ”ซากิถามด้วยความสงสัย เมื่อกลับมาแล้วเห็นสองหนุ่มรุ่นน้องก้มหน้าก้มตาอยู่กับกิจกรรมของตัวเองโดยไม่ยอมลงมือทานอาหารตามที่เขาบอก

“พวกผมรอรุ่นพี่ครับ”ทาคุมิตอบ

“รอทำไม ไม่หิวแย่แล้วหรือ”ซากิพูดพร้อมทรุดตัวลงนั่ง ประนมมือบอกกล่าวก่อนทานอาหารตามธรรมเนียม สองรุ่นน้องจึงทำตามและลงมือทานมื้อเย็น

“รุ่นพี่ครับ ถ้าเรื่องอาหารแต่ละมื้อให้ผมเป็นคนทำให้ไหมครับ”ฮารุโตะเอ่ยถาม เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขาได้อยู่อย่างสบายโดยไม่ต้องหยิบจับอะไรสักอย่าง ช่วงแรกๆเป็นเพราะอาการป่วยจึงมีคนคอยช่วยเหลือดูแลตลอด แต่หลังจากหายป่วยแล้ว นอกจากจะไม่ได้กลับไปอยู่ที่ห้อง เขายังได้ใช้ชีวิตอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องทำอะไรอีก เด็กหนุ่มจึงรู้สึกแปลกๆ

“นายหายดีแล้วหรือ”

“ครับ ร่างกายปกติดีทุกอย่าง”ฮารุโตะย้ำยืนยัน

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้”

“อ่อ เรื่องทำความสะอาดด้วยเหมือนกัน...”เด็กหนุ่มโดนพูดขัดทั้งที่ยังพูดไม่จบ

“เรื่องนั้นไม่ต้อง บ้านกว้างขนาดนี้ นายทำคนเดียวไม่ไหวหรอก อีกอย่างนายจะมาอยู่ที่นี่ถาวรแล้วหรือ”

ฮารุโตะสลดลงทันทีที่โดยถามด้วยคำถามนั้น ถ้าเจ้าของบ้านไม่อนุญาต อย่างเขาจะมาอยู่ได้อย่างไร

เจ้าของบ้านเห็นหนุ่มรุ่นน้องนิ่งเงียบไม่ตอบคำจึงกล่าวสรุปความ “ถ้าอยากทำอาหารก็ได้ แต่เรื่องทำความสะอาดน่ะ ให้แม่บ้านทำเหมือนเดิมนั่นแหละ ส่วนเงินค่ากับข้าวฉันจะให้พรุ่งนี้เช้า”

“ไม่ต้องหรอกครับ เรื่องค่ากับข้าวเดี๋ยวผมจ่ายเอง”ฮารุโตะแย้ง

“นายยังไม่มีงานทำนะ เก็บเงินไว้ก่อนเถอะ”

ข้อนี้ ฮารุโตะเถียงไม่ออกเช่นเดียวกัน เขาจึงต้องยอมทานข้าวต่อไปเงียบๆ

หลังทานอาหารเสร็จ ฮารุโตะเก็บจานชามไปล้าง และบอกให้ทาคุมิไปเปิดน้ำลงอ่าง ซากิจึงลุกเดินขึ้นบันไดไปยังห้องพี่ชายที่อยู่ชั้นสอง ซึ่งปัจจุบันได้ยึดมาเป็นห้องนอนของตน

ทาคุมิเดินมาเคาะประตูห้องของหนุ่มรุ่นพี่เมื่อเขารอจนน้ำร้อนเต็มอ่าง

“รุ่นพี่ชิมิซึไปอาบน้ำได้แล้วครับ”

“เคยบอกไปแล้วไง ว่าพวกนายอาบไปก่อนเถอะ ไม่ต้องรอฉัน”

“แหม ผมอุตส่าห์ติดเชื้อขี้เกรงใจมาจากฮารุจัง ไม่ดีหรือครับ”ทาคุมิถามติดตลก 

“ดี แต่ตอนนี้ไปอาบน้ำได้แล้วป่ะ”

“คร้าบ”ทาคุมิขานรับเดินกลับเข้าห้องนอนที่เขายกให้อยู่กับฮารุโตะ ซากิจึงปิดประตูลง นั่งอ่านหนังสือรอเวลาให้ดึกขึ้นอีกนิดจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำบ้าง ทว่าขณะที่กำลังจะแปรงฟัน สายตาพลันเห็นสร้อยคอของฮารุโตะเสียก่อน เขาจึงถือมันกลับไปคืนเจ้าของที่ห้อง

คนที่เดินออกมาเปิดประตูเป็นหนุ่มรุ่นน้องร่างเล็กซึ่งยังคงตาใสคล้ายยังไม่ง่วงนอน

“สร้อยของนายหรือเปล่า”พูดพร้อมยื่นของไปให้

“อ๊ะ ใช่ครับ ขอบคุณรุ่นพี่มากครับ”

“สร้อยใบโคลเวอร์เขาไม่ให้ถอดนะ ว่ากันว่าจะไม่ศักดิ์สิทธิ์”

ฮารุโตะมองอย่างแปลกใจ “ไม่คิดว่ารุ่นพี่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วย”

“ความเชื่อบางอย่างที่มันไม่ได้เลวร้ายหรือลำบากจนเกินไปนัก เชื่อไว้บ้างก็ดี”

“ครับ อย่างนั้นราตรีสวัสดิ์นะครับ”ฮารุโตะบอกก่อนจะปิดประตูห้อง ชายหนุ่มจึงได้ฤกษ์ไปอาบน้ำจัดการสภาพตัวเองจริงๆเสียที   




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++




ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ซากิ จู่ๆดูจะยอมแพ้ ถอดใจจากฮารุโตะ ถอยห่างออกมา
ทั้งที่ฮารุโตะ หายไป ก็ตามหา
หรือรู้ใจตัวเองว่า ไม่ได้รักอารุโตะจริงๆ
เพราะเห็นชุน แสดงอาการชอบฮารุโตะ
แบบที่ตัวเองไม่เคยทำ
ชุน มีเพื่อนดีคอยให้คำแนะนำ
ชุน คิดได้ สำนึกได้ก็ดี ทำดีซะบ้างเพื่อหัวใจตัวเอง
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ซากิทำเพื่อฮารุเยอะมากๆเลย
แต่ถ้าไม่พูดก็จะไม่รู้ใจกัน
เราชอบนะที่เห็นฮารุเหมือนดอกไม้ที่ค่อยเบ่งบานขึ้น
มโนไปถึงว่ากำลังค่อยๆแย้มบาน
ที่ซากิทำนั้นเหมือนกับการตัดใจเสียก่อนที่จะเจ็บไปมากกว่านี้
คนเรามีวิธีจัดการรับมือกับความผิดกวังที่ไม่เหมือนกัน

ฮารุจะก้มหน้ารับ
ซากิเลือกที่จะตัดฉับ
ชุนนั้นคิดไม่เป็นเลย  เดินหน้าท่าเดียว
เรามองยังไงชุนก็ไม่ควรเป็นคนที่ฮารุลงเอยด้วย
ชุนไม่มีการยั้งคิดเลยแม้แต่น้อย
ชั่วชีวิตชุนจำเป็นต้องมีปลอกคอคอยรั้งไว้เสมอ
ฮารุไม่ได้เป็นอะไรกับชุนเป็นแค่คนที่ตัวเองชอบแต่ก็ออกปากเรียกเมียเต็มปากเต็มคำ
คิดว่ายากที่ฮารุจะอยู่กับชุนไปชั่วชีวิตโดยต้องมีปลอกคอ
แล้วคนอย่างฮ่ารุไม่น่าที่จะเป็นปลอกคอให้ชุนได้หรอกค่ะ
ซากิเองก็น่ากลัวเพราะซากิทำทุกอย่างไปด้วยความมีสติ
ไม่รู้ว่าซากิไปตามหาแม่ของฮารุหรือเปล่า

โตขึ้นมาอีกหน่อยแล้วนะฮารุ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
อ่านแล้วเสียวสันหลังแทนชุนครับ...

ถ้าผมอ่านไม่ผิด ชนชั้นระดับไคเร็ตสึโผล่ออกมาแล้ว ออร่าแผ่สมกับเป็นกลุ่มควบคุมการเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นจริงๆครับ โคตรน่ากลัวเลย ถ้าชุนยังไม่ตระหนักว่าตัวเองยืนอยู่บนจุดไหนของพีระมิด มันก็น่ากลัวนะครับ

เพราะไคเร็ตสึเป็นกลุ่มที่เริ่มเปิดประเทศและสนับสนุนความก้าวหน้า และยังอยู่เบื้องหลังการคืนอำนาจจักรพรรดิและการปฏิรูปเมจิอีก กระทั่งยากูซ่าหรือพรรครัฐบาลอย่าง LDP ก็ยังต้องระวังปากคำพอสมควรเมื่อเจอกับกลุ่มนี้ตรงๆ ในญี่ปุ่น พวกเขายืนอยู่ในเงามืดของกลุ่มบริหารระดับสูงสุด ซึ่งอันตรายมากๆ เพราะไคเร็ตสึแม้จะอำนาจล้นฟ้าก็จริง แต่การควบคุมอำนาจนั้นไว้ภายใต้สังคมกฏระเบียบอย่างญี่ปุ่นก็ต้องใช้ความเด็ดขาด ทรงพลัง และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลระดับหนึ่ง ข้อดีก็คือไคเร็ตสึมีประมาณแปดตระกูลหลัก และพวกเขาไม่ขัดขากันเองครับ พวกเขามีมุมมองที่ทำเพื่อประเทศชาติและคนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดต้องเป็นกลุ่มไคเร็ตสึ ดังนั้นต่อให้มีการคอรัปชั่น แต่ญี่ปุ่นก็จะพัฒนาไปได้ไกลทีเดียว

อย่างชุน ถ้ารู้ตัวว่าเขาอยู่ตรงไหน อำนาจของไคเร็ตสึนี่ช่วยฮารุโตะได้ง่ายแค่กระดิกนิ้วนะครับ แต่ถ้าชุนจะทำอย่างนั้นได้ เขาต้องพิสูจน์ก่อนว่าสมควรเป็นผู้สืบทอดและมีความคู่ควรจริงๆในการใช้อำนาจนั้น

แต่ถ้าไม่รู้ตัว ฮิเดอากินี่สุดยอดในฐานะพ่อ และในฐานะผู้นำแบบไคเร็ตสึจริงๆครับ
ในฐานะพ่อคือ เขารู้ว่าลูกชายเขาไม่เอาอ่าวเท่าไหร่ ดังนั้นเขาก็จะปล่อย อยากทำอะไรทำไปภายใต้ระเบียบ ไม่ได้คาดหวังว่าลูกจะต้องเก่งมารับสืบทอดอำนาจและรู้ว่าตัวเองอยู่ในจุดไหนของพีระมิด ประมาณว่าปล่อยให้ลูกเจอแต่ด้านทั่วๆไปของสังคม และด้วยเขาเป็นไคเร็ตสึ ฮิเดอากิจึงรู้ว่าในสังคมต้องใช้อะไร แต่ถ้าชุนหาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ในฐานะพ่อ เขาหาไว้ให้ได้ แต่ชุนก็ต้องยอมรับว่าจะไม่สามารถเข้าถึง ‘ความคู่ควร’ ที่ชาติกำเนิดเอื้อให้
และขณะเดียวกันในฐานะหนึ่งในผู้นำของไคเร็ตสึ ถ้าแม้แต่เป็นลูก แต่ทำเรื่องที่จะมีปัญหาและสั่นคลอนผลประโยชน์ของกลุ่มไคเร็ตสึ เขาพร้อมจะละทิ้งและจัดการให้เด็ดขาด ในฐานะไคเร็ตสึ ซากุราอิ ฮิเดอากิ มีวิสัยทัศน์และความเด็ดขาดสมบูรณ์พร้อมจริงๆครับ สามารถบริหารครอบครัวด้วยวิธีเด็ดขาดที่สร้างผลลัพธ์ทรงประสิทธิภาพแบบไคเร็ตสึได้ชัดมาก ยังไม่นับถึงการมีมารยาทดั้งเดิมแบบญี่ปุ่นเพื่อสะท้อนความชาตินิยมด้วย (มารยาทเป๊ะประมาณปู่ยามาโมโตะในบลีชน่ะครับ)

ฮารุโตะขาดความสุขวัยเด็กมากครับ ดังนั้นการกระทำบางครั้งของเขาจึงดูเหมือนเด็กๆ
เขาไม่ค่อยได้ทานขนมอร่อยๆ...เพราะต้องเจียดเงินเก็บไปซื้อของประทังชีวิต (ของชอบยังเป็นเค้กเนยที่เด็กๆชอบเลย)
ไม่ค่อยได้ดูการ์ตูนและยิ้มหัวเราะ ร้องเพลงหงุงหงิงเพื่อใช้ชีวิตวัยเด็กให้มีความสุข...เพราะว่าของที่จะให้ความสุขในวัยเด็กถูกพรากออกไปด้วยมรสุมชีวิตหมด
แม้แต่การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในวัยเด็กที่จะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดีขึ้น เขาก็ไม่มี...เพราะเด็กทุกคนล้วนรุมแกล้งเขา ทำเหมือนเขาเป็นของเล่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม จากฐานะของเขาที่ยากจน
เขาขาดการรู้สึกมีค่า...เพราะทุกๆคนล้วนทำกับเขาอย่างไม่ให้ความสำคัญมาตั้งแต่เด็ก แม้แต่พ่อแม่ สุดท้ายก็ทิ้งเขา

ดังนั้นถ้าชุนรู้ตัว(สักที) แล้วก็หยุดบ้าสักหน่อย เขาจะรู้ว่าไอ้ปมของฮารุโตะน่ะ ถ้าเป็นชุนในฐานะผู้สืบทอดที่คู่ควรของไคเร็ตสึ สามารถปกป้องดูแลคุ้มภัยและให้ความสุขฮารุโตะได้แน่ๆครับ

เพราะแม้ไคเร็ตสึจะมีความชาตินิยมและอิงประเพณีเดิมๆสูง แต่เนื่องพวกเขามีมุมมองหัวก้าวหน้าและเป็นกลุ่มที่ริเริ่มการเปิดประเทศ ค้าขายกับตะวันตกภายใต้กฏเกณฑ์ที่เขาตรา คืนอำนาจให้จักรพรรดิเพื่อสร้างเสถียรภาพของการปกครอง และปฏิรูปเมจิเพื่อวางรากฐานการพัฒนา ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็แสดงได้ชัดเจนว่าเขาพร้อมจะเปิดรับอะไรใหม่ๆตราบใดที่สิ่งใหม่นั้นเอื้อประโยชน์ให้กับญี่ปุ่นและพวกเขา และมันต้องอยู่ใต้กฏที่พวกเขาวางไว้ ดังนั้นการเป็นโฮโมก็ถือเป็นเรื่องปกติมาก (เพราะเอาจริงๆในสมัยซามูไร ก็มีประเพณีการส่งผ่านวิญญาณและความรู้ของซามูไรรุ่นก่อนโดนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างซามูไรชาย-ชายนะครับ แต่ผมจำชื่อพิธีไม่ได้แล้ว)

แล้วก็มีบางข้อที่ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ แต่สันนิษฐานเผื่อไว้ครับ นั่นคือ ตอนแรกผมคิดว่าชุนบอกพ่อให้ช่วยฮารุโตะเรื่องทุน แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ ชุนพูดเองว่าเมื่อฮิเดอากิพบว่าคนที่ชุนกลั่นแกล้งคือมิอุระ ฮารุโตะที่รับทุนของบริษัทอยู่ ก็เลยสั่งห้ามยุ่งเพราะจะทำให้บริษัทเสียประโยชน์ แสดงว่าชุนไม่รู้ว่าฮารุโตะรับทุนบริษัทพ่อตัวเอง (ซึ่งก็สมเหตุสมผลกับนิสัยเลือดร้อนไม่สืบอะไรของชุนดี) จุดนี้มองเผินๆก็มองได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ที่ฮารุโตะรับทุนบริษัทพ่อชุนอย่างที่เอคิจิพูด แล้วพอพ่อชุนรู้เข้าก็เลยสั่งห้ามตามนิสัยของไคเร็ตสึทั่วๆไปที่ปกป้องผลประโยชน์บริษัท

แต่ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องความบังเอิญครับ...ยิ่งกับไคเร็ตสึ ผมยิ่งไม่ค่อยวางใจ มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญตามข้างต้น หรือไม่ก็...ซากุราอิ ฮิเดอากิ สังเกตว่าตอนประถม ลูกชายพาเพื่อน ‘คนเดิม’ มาที่บ้านบ่อยเข้าๆ ด้วยความแปลกใจ เลยสั่งสืบประวัติ และเมื่อประเมินแล้ว ฮิเดอากิเห็นว่า ‘มิอุระ ฮารุโตะ’ น่าจะเป็นบุคลากรที่ใช้งานได้ในอนาคต (คนญี่ปุ่นเห็นว่า คนขยัน น่าสนใจกว่าคนมีพรสวรรค์ ครับ มันเลยเกิดค่านิยมทำงานล่วงเวลาดึกๆดื่นๆ) เลยสั่งคนให้ติดตามผลการเรียนเพื่อเสนอทุนให้ เพราะการตัดสินใจนี้จะสร้างประโยชน์สองเด้ง คือหนึ่ง บริษัทเขาจะได้บุคลากรที่สร้างประโยชน์ได้ดีขึ้นมาสมกับเม็ดเงินที่ลงทุนไป สอง ถ้ามิอุระ ฮารุโตะ เข้ามาทำงานที่เดียวกับชุน ลูกชายของเขาก็จะมีคนคอยควบคุมพฤติกรรมให้อยู่กับร่องกับรอย

ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ก็นับว่า ซากุราอิ ฮิเดอากิ เป็นคนที่มีความคิดแยบคายและวิสัยทัศน์ไกลน่ากลัวมากนะครับ เพราะทั้งหมดนี้ต้องคิดในช่วงที่ทั้งชุนและฮารุโตะยังอยู่ประถม แล้วฮิเดอากิมาเห็นพฤติกรรมของลูกตัวเอง หลังจากสืบประวัติฮารุโตะ ก็สั่งให้คนติดตามผลการเรียนอยู่ห่างๆเพื่อประเมินความเหมาะสม (ก็ลงล็อกว่าทำไมตอนชุนอันธพาลใส่ฮารุโตะตอนแรกฮิเดอากิถึงไม่รู้ เพราะดูแค่ระดับผลการเรียน และคนระดับฮิเดอากิคงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องส่วนตัวของหนึ่งใน ‘ทรัพยากร’ ที่เขาหว่านเมล็ดไว้ คนติดตามชุนทั้งสองคนก็อาจจะมาด้วยการตัดสินใจแบบนี้เหมือนกัน แค่ฮิเดอากิประเมินความโดดเด่นคนละด้านไว้)

ผมสังเกตว่าถ้าเป็นแบบข้างต้น ฮิเดอากิไม่ได้สนใจว่าชุนจะรักใครชอบใครด้วยซ้ำครับ ฮิเดอากิแคร์แค่อยู่ในกรอบกฏระเบียบ สร้างประโยชน์ให้เขาชัดเจน นอกนั้นจะทำอะไรก็ทำไปในขอบข่ายอำนาจที่มี(ซึ่งมหาศาล) ก็นับว่าเป็นแนวคิดที่สมกับเป็นไคเรตสึที่อยู่ในเงามืดดีครับ

ส่วนซากิ มุขสร้อยนี่ไม่เนียนนะครับ (หัวเราะ)  ขนาดผมยังมองออกเลยครับว่าน่าจะเป็นเครื่องติดตามตัว มันจะหวงไปหน่อยแล้วมั้ง เกิดชุนรู้เข้าเดี๋ยวก็มีเรื่องอีก หมอนี่ยิ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2017 10:06:25 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 24
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
การได้นัดหมายคุยกับซากุราอิ ชุนไม่ได้ทำให้ฮารุโตะรู้สึกดีขึ้นเพราะมันเหมือนอีกฝ่ายได้มาปลดล็อคความทรงจำที่ไม่ดีที่เขาพยายามฝังมันไว้ออกมา แต่เพราะเขาฮารุโตะอยากก้าวไปข้างหน้า อยากพยายามเข้มแข็งและหยัดยืนด้วยตัวเองให้ได้ เขาจึงตัดสินใจเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง







春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย





Chapter 24




ฮารุโตะนัดกับรุ่นพี่อาโอกิไว้ที่ห้องชมรมเช่นเคย เวลานัดเป็นช่วงบ่ายๆ เขาและทาคุมิจึงไปทานข้าวกลางวันก่อนจะมานั่งเล่นนอนเล่นกันอยู่ที่ห้องชมรม ทาคุมิอารมณ์ดีมากเพราะไม่โดนบังคับอ่านหนังสือเช่นวันสองวันก่อน เพื่อนร่วมรุ่นร่างสูงจึงเอาแต่เล่นเกมทั้งยังหันมาชวนให้เขาดาวน์โหลดมาเล่นด้วย

“ไม่เอาหรอก ถ้าติดแล้วจะมัวแต่นั่งเล่นเกมเหมือนนาย”

“แหมไม่ได้เล่นตลอดเวลาซะหน่อย ว่างๆก็มานั่งเล่นไง”

“ถ้าว่างควรจะเอาเวลามาอ่านหนังสือน่าจะดีกว่า”

“ง่า ชีวิตมันต้องมีการรีแลกซ์สังสรรค์กันบ้าง ไม่อย่างนั้นเครียดตายเลย”คนพูดไม่ว่าเปล่าๆ ยังเอาแขนรั้งคอฮารุโตะเข้าไปใกล้ บังคับให้ดูเกมบนหน้าจอ ทั้งยังกดโน่นกดนี่พร้อมกับพูดอธิบายวิธีการเล่น

“ยากอ่ะ”ฮารุโตะบอก มีแต่อะไรที่เขาไม่รู้จัก ค่าพลัง เอชพี ค่าชีวิต สกิล เด็กหนุ่มยกมือยอมแพ้

“งั้นเอาเกมนี้”

ทาคุมิคว้าโทรศัพท์มือถือของเขาไปกดโหลด “เข้ากับนายแน่ๆ” รอจนแอพพลิเคชั่นถูกติดตั้งบนโทรศัพท์มือถือแล้ว ทาคุมิจึงกดเล่นโปรแกรม

“นายก็เลื่อนไอ้ที่มันเป็นแบบเดียวกันให้มันเรียงกัน”ทาคุมิอธิบายวิธีการเล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีสายเรียกเข้าจากหนุ่มรุ่นพี่ที่ฮารุโตะนัดไว้ พวกเขาจึงลุกขึ้นเก็บของ บอกลาสมาชิกที่อยู่ในห้อง ก้าวเท้าลงจากอาคารไปขึ้นรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านหน้า

“อาจจะกลับดึกหน่อยนะ”นาโอโตะบอกเมื่อทั้งสองคนขึ้นมานั่งอยู่บนรถเรียบร้อย พวกเขาตอบรับอย่างไม่มีปัญหา 

รถยนต์ที่มีนาคามูระ เรย์เป็นสารถีค่อยๆเคลื่อนที่ออกจากมหาวิทยาลัย

ทิวทัศน์ข้างทางเปลี่ยนไปตามเวลาที่ผันผ่าน ช่วงเวลาที่หิมะตกหนักติดต่อกันค่อยๆเบาบางห่างหาย มีแค่หยาดน้ำฝนที่ร่วงหล่นโปรยปรายบ้างในบางวัน เกล็ดน้ำแข็งพูนหนาซึ่งเกาะตัวจับกันอยู่ตามกิ่งไม้ สนามหญ้าและอาคาร ค่อยๆละลายไปตามอุณหภูมิที่อุ่นขึ้น

ฮารุโตะมองภาพเหล่านั้นผ่านบานกระจกรถยนต์ด้วยอารมณ์รื่นรมย์ ทว่าต้องชะงักฉับพลัน เมื่อเห็นเด็กหนุ่มร่างสูงอยู่ในระยะสายตา และฝ่ายนั้นดูคล้ายจะจับจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน ก่อนจะหมุนร่างหันหลังเดินจากไป ให้เหลือเพียงแผ่นหลังที่ค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆเมื่อพวกเขาเคลื่อนที่ห่างกันมากขึ้น ภาพนั้นทำให้เกิดความปวดแปลบในอกด้วยความสงสาร

ทำไมต้องสงสารด้วยล่ะ ฮารุโตะถามตัวเอง

ซากิราอิ ชุนทำเรื่องที่ไม่ดีต่อเขาตั้งมากมาย แค่อีกฝ่ายยอมขอโทษก็จะยอมให้อภัยแล้วอย่างนั้นหรือ เด็กหนุ่มตั้งคำถามซ้ำๆ

ความคิดวุ่นวายวนเวียนของฮารุโตะถูกขัดจังหวะลงอีกครั้งเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงจุดหมาย สถานที่ทำงานในครั้งนี้เป็นสตูดิโอให้เช่าซึ่งทางร้านทำการติดต่อไว้ เมื่อไปถึงปรากฏว่าแบบถ่ายภาพทั้งชายหญิงหลายคนมารวมตัวพร้อมกันอยู่แล้ว พาลให้ฮารุโตะรู้สึกประหม่า เพราะแต่ละคนหน้าตาดีๆทั้งนั้น

“อาโอกิคุง”เสียงทักนั้นเป็นของชายหนุ่มวัยประมาณสามสิบกลางๆ

“สวัสดีครับ มากันครบแล้วหรือครับ”นาโอโตะถามพร้อมเดินตามชายหนุ่มคนนั้นไปที่ห้องหนึ่ง เรย์สะกิดให้ทาคุมิเดินตามมาอีกทาง และบอกฮารุโตะที่หันรีหันขวางให้เดินตามนาโอโตะไป

เด็กหนุ่มเดินตามหนุ่มรุ่นพี่เข้าไปยังห้องแต่งตัว ได้พบกับรุ่นพี่โอคาดะ  ทซึคิโยะ และสมาชิกชมรมการแสดงที่เคยเจอเมื่อเทอมที่แล้ว รุ่นพี่อาโอกิกล่าวทักทายกลุ่มเพื่อนก่อนจะคว้าเซ็ตเครื่องสำอางมาจัดการลงมือกับพวกนายแบบนางแบบ

“รุ่นพี่ให้ผมช่วยก่อนไหมครับ”ฮารุโตะถามเมื่อเห็นแบบถ่ายภาพซึ่งรออยู่ในห้องมีจำนวนมากโข

“แต่งหน้าไม่มีค่าจ้างนะ”นาโอโตะชิงพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเล่นไม่จริงจัง “โดนจิกมาให้ทำฟรี”

“ไม่เป็นไรครับ ผมตั้งใจจะช่วยจริงๆ”ฮารุโตะย้ำ

“งั้นมานี่”นาโอโตะกวักมือเรียกเด็กผู้ชายคนหนึ่งให้มานั่งที่เก้าอี้ หยิบเอารูปภาพในมือของอีกฝ่ายขึ้นมาดู

“เดี๋ยวฮารุจังแต่งหน้าผู้ชายแล้วกันเนอะ ง่ายและเร็วหน่อย”นาโอโตะบอกและอธิบายต่อไปว่า “เขาจะมีต้นแบบเมคอัพ ให้เราแต่งตามนี้เลย ปรับได้ตามรูปหน้าแต่ให้คุมโทนตามต้นฉบับ”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ ถึงอย่างไรเขาก็อยู่ในชมรมถ่ายภาพที่ต้องทำกิจกรรมประเภทนี้มาร่วมสองปี แค่แต่งหน้าตามต้นฉบับถือว่าเป็นเรื่องง่ายๆ

“ล้างหน้าลงครีมมาหรือยัง”เขาเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้

“อือ นายแต่งหน้าเป็นจริงๆหรือ”

ฮารุโตะจึงซับมันก่อนลงรองพื้น และตอบกลับไปสั้นๆ“เป็นครับ”

“ทำไมแต่งเป็นล่ะ นายชอบเรื่องแบบนี้เหรอ หรือต้องแต่งหน้าก่อนออกจากบ้าน”

เด็กหนุ่มชะงักมือ รู้สึกเหมือนโดนมองว่าแปลกประหลาดเพราะคำถามนั้น แต่เมื่อตั้งสติคิด รุ่นพี่อาโอกิหรือคนอื่นๆในชมรมถ่ายภาพหรือคนจากชมรมการแสดงยังไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องแปลก เขาเองก็ไม่ควรคิดเช่นนั้น

“แล้วหน้าผมตอนนี้เหมือนแต่งหน้ามาหรือไง หลับตา”เขาบอกซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตาม แต่กระนั้นปากยังคงยังคงขยับไม่หยุด

“เหมือน แก้มแดงเชียว”

ฮารุโตะละมือออกมาจับแก้มตัวเองคว้ากระจกมาส่องดูหน้า ถ้าอากาศร้อนจัดๆ หน้าของเขาจะขึ้นสีแดงในบางครั้ง เด็กหนุ่มมองด้วยความแปลกใจก่อนจะกลับมาลงมือทำงานอีกครั้ง

คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้จึงลืมตาขึ้น “เหมือนเด็กเลยอ่ะ อายุเท่าไหร่”

“สิบเก้า หลับตายังไม่เสร็จ”

“จริงดิ หน้าดูเด็กเว่อร์ๆ ใช้ครีมอะไรเนี่ย จะได้ไปบอกพี่สาวบ้าง”

ฮารุโตะจึงบอกชื่อผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันออกไป

“นั่นมันครีมทาตัวไม่ใช่หรือ พี่สาวฉันมีทุกกลิ่นอ่ะ นายใช้สตอเบอรี่ใช่ไหม”

“คุณก็รู้ดีนะ”นึกสงสัยในใจว่า เหมือนอีกฝ่ายจะใช้เองมากกว่าจะเป็นพี่สาว เพราะถึงขั้นเดากลิ่นโลชั่นที่เขาใช้ได้ถูก

“ลืมตาครับ”เขามองตรวจสอบน้ำหนักสีตาทั้งสองข้าง ก่อนจะหยิบดินสอมาเขียนคิ้ว

“เป็นของพี่สาวจริงๆ ยัยนั่นเอามาวางเรียงเป็นตับอยู่ในห้องน้ำ แต่ช่วงหน้าหนาวบางครั้งก็ขโมยใช้บางแหละ”คนพูดหัวเราะ

“อยู่เฉยๆนะ”ฮารุโตะใช้พู่กันลงสีปาก เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงส่งกระจกให้อีกฝ่าย

“นึกว่าแต่งออกมาแล้วจะดูแต๋วซะอีก หล่อเว่อร์อ่ะ หล่อเพิ่มขึ้นอีกร้อยยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

“อย่างนั้นเชิญลุกครับ ผมจะทำงานต่อ”อีกฝ่ายหัวเราะลุกขึ้นไปรับเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยน ฮารุโตะจึงหันไปจัดการคนต่อไป

ฮารุโตะแต่งตัวเสร็จและมารวมกลุ่มเป็นคนสุดท้าย บางส่วนกำลังตั้งท่าถ่ายรูปอยู่บนหน้าฉากขาว ส่วนกลุ่มที่ยังต้องรอคิวต่างจับกลุ่มใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพกันเอง

“นักเวทย์สาว”เด็กผู้ชายคนที่คุยกับเขาตอนแต่งหน้าเอ่ยแซว ฮารุโตะหน้ามุ่ยอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก

“ทำไมอ่ะ น่ารักดีออก”

“แล้วทำไมผมถึงได้แต่งชุดผู้หญิงล่ะ”

คู่สนทนาส่งเสียงหัวเราะ “เอ้า ถ้าอยากใส่ชุดผู้ชายก็ไปเพิ่มความสูงให้มากกว่านี้ แต่สิบเก้าแล้วคงเพิ่มไม่ได้แล้วล่ะ”

ฮารุโตะเบือนหน้าหนีไม่อยากคุย

“งอนหรือ”อีกฝ่ายยื่นหน้ามาถาม แต่เด็กหนุ่มไม่อยากพูดด้วย

“ดีกันเถอะนะ”เด็กหนุ่มร่างสูงข้างๆยื่นนิ้วก้อยมาให้ ยกยิ้มเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง ทว่ามีเสียงของรุ่นพี่นาคามูระเรียกให้กลุ่มต่อไปมาถ่ายภาพเสียก่อน เขาจึงรีบเดินเข้าไปยืนบนหน้าฉาก มีไฟสว่างจ้าส่องเข้าตาแบบนี้ทำให้ฮารุโตะรู้สึกเกร็งขึ้นมา

“ทำตัวตามสบาย พยายามแสดงออกตามคาแรกเตอร์ตัวละครนะครับ”

 ฮารุโตะนึกถึงข้อมูลรายละเอียดตัวละครซึ่งถูกพิมพ์อยู่ด้านหลังของรูปภาพ แล้วก็ยกยิ้มออกมา

“นี่ๆ เธอ ทำท่าแบบนี้กัน”หญิงสาวที่อยู่ข้างๆสะกิดเรียกและยกมือทำท่าให้เขาดู เด็กหนุ่มจึงยกมือทำตาม

กว่าจะได้รูปตามที่รุ่นพี่นาคามูระต้องการ ฮารุโตะรู้สึกเหนื่อยจนหมดแรง เขาแค่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดเดิมที่ใส่มา ส่วนใบหน้าปล่อยทิ้งไว้โดยตั้งใจจะกลับไปล้างที่บ้าน

“ดีกันได้หรือยัง”เด็กหนุ่มคนนั้นยังเดินตามมาถาม

“ไม่ได้โกรธอะไรสักหน่อย”ฮารุโตะพูด

“ไม่ได้โกรธแต่งอน”

ฮารุโตะหน้างอ

“โอ๊ะๆ ไม่แซวแล้ว ขอไอดีหน่อยดิ ว่างๆจะได้คุยกัน”

ทว่าคนตอบคำถามกลับเป็นทาคุมิที่เพิ่งเดินมาหา “ไม่ให้” แล้วหันไปพูดกับฮารุโตะ “ฮารุจังกลับกันเหอะ พวกรุ่นพี่รออยู่ด้านหน้าแล้ว”

“อือ”

“บ๊าย บายนะ ฮารุจัง”เด็กหนุ่มคนนั้นพูด พาลให้ทาคุมิหันกลับไปเขม่นมอง เด็กหนุ่มตัวเล็กจึงต้องเร่งจูงข้อมือเพื่อนให้รีบเดินออกไปด้านนอก

พวกเขาแยกย้ายกับรุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระที่หน้าบ้าน รุ่นพี่ทั้งสองมาส่งพวกเขาที่บ้านของรุ่นพี่ชิมิซึเช่นเดิม ทาคุมิประตูเข้าไปพร้อมร้องบอกว่ากลับมาแล้วครับ ฮารุโตะส่งเสียงตามไปติดๆ หยิบรองเท้าสำหรับใส่อยู่กับบ้านมาเปลี่ยนสวม และเก็บรองเท้าคู่ที่เพิ่งถอดเข้าตู้

“กินอะไรมาหรือยัง”ชายหนุ่มเจ้าของบ้านยืนส่งเสียงถามมาจากกรอบประตูห้องนั่งเล่น

“เรียบร้อยแล้วครับ เขามีข้าวเลี้ยง”ทาคุมิตอบ

“อืม อย่างนั้นรีบไปอาบน้ำนอน พรุ่งนี้ยังมีสอบอีกใช่ไหม”

“ครับ”ทาคุมิตอบรับ เดินนำเพื่อนสนิทร่างเล็กขึ้นไปยังชั้นสอง พวกเขาใช้เวลาอาบน้ำชำระล้างร่างกายไม่นาน และเมื่อศีรษะถึงหมอน แต่ละคนต่างหลับสนิทลงทันที




คำขอนัดเวลามีส่งมาถึงเขาทันทีที่ตารางสอบของเขาจบลง ในใจของฮารุโตะมีแต่ความตื่นเต้น เพราะยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรทำอย่างไร เมื่อนึกย้อนคิดถึงสิ่งที่ซากุราอิ ชุนเคยทำกับเขา เด็กหนุ่มรู้สึกว่า ตนไม่ควรที่จะให้อภัยอีกฝ่าย เพราะมันเหมือนกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญมาหลายปีจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาคนอื่น แต่ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยคิดแม้แต่จะหวังให้อีกฝ่ายมาขอโทษหรือมาชดใช้ให้  ไม่เฉพาะแค่ซากุราอิ ชุน แต่เขาหมายรวมถึงทุกคนที่เคยทำไม่ดีกับเขา ฮารุโตะคิดเพียงว่า การไม่พบปะเจอะเจอคนพวกนั้นอีกนับว่าเป็นเรื่องที่ประเสริฐที่สุดแล้ว

นาโอโตะวางมือกุมทับมือของหนุ่มรุ่นน้อง ฮารุโตะมีท่าทีกระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุข เหตุเพราะซากุราอิ ชุนขอนัดเจออีกครั้ง โดยสถานที่นัดยังเป็นห้องชมรมถ่ายภาพเช่นเดิม เวลานัดงวดใกล้เข้ามาพวกเขาจึงมารวมตัวกันอยู่ที่นี่

“ไม่ต้องคิดมาก ทำในสิ่งที่อยากทำ จะไม่มีใครคิดว่าการตัดสินใจของนายเป็นเรื่องผิด ขอให้เลือกสิ่งที่ตัวเองสบายใจ ไม่อึดอัดฝืนใจทำ พวกพี่จะช่วยสนับสนุนเอง”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ สูดลมหายใจเข้าปอดพยายามทำใจให้สงบ หลายวันมานี้เขาครุ่นคิดทบทวน ตั้งคำถามพลางหาเหตุผลที่สอดรับกับการกระทำของซากุราอิ ชุนในอดีต

ชุนเคยพูดว่าอยากให้เขาสนใจและที่ทำไปเพราะชอบเขา แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ฮารุโตะยังไม่เข้าใจสักทีว่าสิ่งที่ชุนทำกับเขา มันจะทำให้เขาสนใจอีกฝ่ายได้อย่างไร

“สวัสดีครับ”

กลุ่มของชุนเปิดประตูเดินเข้ามาแล้ว ฮารุโตะมองทั้งสามคนด้วยอาการตื่นเต้นหวั่นใจมากกว่าเดิม จนรุ่นพี่อาโอกิต้องบีบกระชับมือของเขาไว้ เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าและพรูลมหายใจออก ก่อนเงยหน้ามองอีกฝ่ายเต็มตา

ซากุราอิ ชุนที่อยู่ตรงหน้าดูโทรมเซียวกว่าเมื่อหลายวันก่อน ฮารุโตะใจแกว่งอ่อนยวบต้องก้มหน้าเบือนหลบ ภายในห้องนิ่งเงียบราวกับทุกคนรอให้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปาก

“ฮารุโตะฉันขอโทษจริงๆ”ชุนย้ายไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น “ฉันขอโทษกับสิ่งที่เคยทำในอดีต ทุกอย่างที่ฉันทำไปเพราะฉันชอบนายมาก แต่ฉันโง่เองที่ทำแบบนั้นกับนาย ฉันมันเลว”ชุนไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียว เขายังตบหน้าตัวเองคล้ายพยายามลงโทษให้สาสมกับความผิดที่ก่อ

ไม่มีใครเอ่ยห้ามปรามการกระทำนั้น ส่วนฮารุโตะทำเพียงแค่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง  เสียงฝ่ามือซึ่งกระทบกับผิวเนื้อเป็นจังหวะราวกับเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เขาเอ่ยปาก

“ผมมีเรื่องจะถาม”ประโยคคำพูดของเขาจบลงพร้อมกับเสียงฝ่ามือของชุน ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

“ที่คอนโดะซังถูกทำร้ายเป็นฝีมือของคุณหรือเปล่า”คอนโดะเป็นชื่อสกุลของเด็กชายผู้ซึ่งเป็นตัวต้นเรื่องให้พวกเขาทั้งสองทะเลากัน

“ใช่”น้ำเสียงของชุนยังคงมีความเคียดแค้นอย่างปกปิดไม่มิด

“หลังจากวันนั้นทำไมคุณต้องหายไปด้วย”

“วันสองวันแรกเพราะละอายใจ ทั้งที่น่าจะรู้ว่าการที่นายเข้ามาห้ามเพราะเป็นห่วงแต่กลับตะคอกใส่ ส่วนหลังจากนั้นเพราะอยากเก่งขึ้นเร็วๆ เลยไปท้าตีท้าต่อยกับเขาไปทั่ว”

“หลังจากนั้นแล้ว ทำไมไม่กลับมาหาดีๆ”

“ตอนนั้นฉันได้เป็นหัวหน้าคุมกลุ่มแล้วก็เลยกลัวลูกน้องไม่เชื่อฟัง”ชุนหน้าจ๋อยตอบเสียงเจื่อน “แต่ก็อยากกลับไปคืนดีกับนายเหมือนเดิม เลยแอบเอาขนมไปวางไว้ให้บนโต๊ะ ตอนที่นายกลับมาที่ห้องฉันก็ยืนแอบดูอยู่ เลยเห็นนายเอาขนมของฉันไปทิ้งอย่างไม่ลังเล ตอนนั้นเลยคิดว่านายคงโกรธมาก”

“เรื่องนั้นผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นของใคร”

“อ้าว”ชุนร้องหน้าเหลอหลา ขมวดคิ้วยกมือขึ้นเกาศีรษะ

“แต่ว่าหลังจากนั้น คุณก็ตามมาแกล้งผมตลอด”

“ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรนายถึงจะยอมคุยด้วย เลยทำเป็นแย่งกับข้าวบ้าง เอารองเท้าไปซ่อนบ้าง แล้วตอนอยู่มอปลายมันมีคนตั้งกลุ่มขึ้นมาแข่ง แล้วมันดันรู้ว่าฉันกับนายเคยสนิทกัน และที่ฉันทำเรื่องมุ้งมิ้งแกล้งนายเหมือนที่เด็กประถมเขาทำกันเพราะฉันชอบนายอยู่ ฉันไม่อยากให้นายโดนลูกหลงไปด้วย ฉันก็เลย...”เสียงของชุนเบาลงเรื่อยๆพร้อมกับใบหน้าที่ก้มต่ำลง

“เหตุผลของคุณมันปัญญาอ่อนมาก”ฮารุโตะตะโกนว่าเสียงดัง

ชุนได้แต่ก้มหน้าสำนึกผิด ตอนที่เขาเล่าเรื่องนี้ให้อิซามุกับมิชิโอะฟังก็โดนด่าเหมือนกัน

“ฉันถึงบอกว่าฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันมันโง่ ถ้าตอนนั้นฉันเลิกยุ่งกับนายไปซะ มันก็คงจะดีกว่านี้”ชุนละล่ำละลักพูด

“แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยมาแล้ว ทำไมคุณต้องตามมาราวีผมอีก”ฮารุโตะถามด้วยอารมณ์

“เพราะคิดว่า... ที่นี่นายไม่รู้จักใคร ถ้าฉันเอาของของนายไปนายก็ต้องไปหาฉัน”

“เหอะ”ฮารุโตะแค่นเสียง ยิ่งได้ฟังเหตุผลของชุนในอกของเขายิ่งอึดอัดเหมือนจะระเบิดมากขึ้นทุกที ขณะที่เขาวิ่งวนตื่นตระหนกเหมือนหนูติดอยู่ในกับดัก ชุนทำเพียงยืนมองหัวเราะขำขัน คำว่าชอบของชุนน้ำหนักเบามากเมื่อเทียบกับเหตุผลของการกระทำที่ผ่านมา เพราะถึงซากุราอิ ชุนจะพูดเต็มปากเต็มคำว่าชอบเขา แต่ชุนยังรักศักดิ์ศรีและหน้าตาของตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด

“ผมจะบอกอะไรให้ฟังนะครับ ซากุราอิซัง”ฮารุโตะพูด น้ำเสียงนิ่งเฉยทว่าข่มขื่น “ถึงแม้ว่าคุณจะพยายามช่วยผมด้วยการผสมโรงแกล้งผมอย่างจริงจังขึ้นมันก็ไม่ได้ช่วยผมสักเท่าไหร่หรอกนะ ผมไม่รู้ว่ากลุ่มที่ตั้งตัวเป็นใหญ่แข่งกับคุณ มันหมายถึงกลุ่มเดียวกับที่ผมจะเล่าให้ฟังหรือเปล่า แต่ผมอยากบอกคุณว่า การกระทำของคุณไม่มีประโยชน์เลย”ฮารุโตะนิ่งเงียบคล้ายตั้งสติ

“ตอนอยู่มอปลาย นอกจากคุณแล้วยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่คอยมารังแกผม พอมานึกๆดู ผมรู้สึกเหมือนว่าพวกคุณกำลังแข่งกันว่าใครจะทำให้ผมตายได้ก่อนกัน”ฮารุโตะยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังไหล พูดเล่าด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นที่พยายามควบคุมให้เรียบนิ่งที่สุด

“จำได้ไหม ครั้งหนึ่งคุณเคยให้ผมใช้ลิ้นเลียรองเท้าที่คุณสวม ขณะที่กลุ่มเพื่อนของคุณหรือคุณจะเรียกว่าลูกน้องก็แล้วแต่ ตะโกนเชียร์เย้วๆด้วยความสะใจ ส่วนอีกกลุ่มก็ใช้หัวของผมเป็นที่เช็ดพื้นรองเท้า ทั้งกลุ่ม... สิบกว่าคน ตอนนั้นผมคิดว่าตายๆไปซะก็น่าจะดีนะ”เสียงของเขาสั่น น้ำตาไหลจนต้องยกมือขึ้นเช็ดซ้ำแล้วซ้ำเล่า รุ่นพี่อาโอกิส่งกระดาษทิชชู่ให้เขาพร้อมบอกให้เขาหยุดพูดได้แล้ว ไม่ต้องพูดแล้วก็ได้ แต่ฮารุโตะอยากบอกให้ชุนรู้ไว้ว่าเหตุผลอันไร้สาระของชุนมันทำร้ายเขาแค่ไหน ถึงเขาจะอ่อนแอจนต้องเป็นเหยื่อตลอดเวลา แต่ชุนไม่ควรที่จะหักหลังทำร้ายเขาเหมือนที่คนอื่นทำ

“ผมเคยคิดที่จะกระโดดตึกฆ่าตัวตายหลายครั้ง แต่ที่แย่ที่สุดคือผมกลัวตอนที่ร่วงลงไปแล้วร่างกายกระทบพื้น ผมกลัวตอนที่ตัวเองยังมีลมหายใจได้แต่นอนมองเลือดที่ไหลนองพื้น”ฮารุโตะหยุดน้ำตาตัวเองได้ในที่สุด

“ผมให้อภัยคุณได้ แต่อย่ากลับมาเจอกันอีกเลย”

“ไม่นะ ฮารุโตะ ฉันขอโทษ นายจะให้ฉันชดใช้อย่างไรฉันก็ยอม”ชุนถลาเข้าไปกอดขาของฮารุโตะไว้ ร้องไห้ออกมาไม่ต่างกัน พร่ำด่าตัวเองอีกหลายประโยค “เมื่อก่อนฉันคึกคะนองไม่รู้จักคิด สมองกลวงปัญญาอ่อน แต่ต่อไปฉันจะไม่ทำอีก ฉันสัญญา ให้สาบานก็ได้ ให้โอกาสฉันได้แก้ตัวสักครั้งนะ ขอร้องเถอะ”

ชุนสะอึกสะอื้น หากไม่ถึงวันที่รับรู้ว่า เขาจะต้องเสียฮารุโตะไปจริงๆ เขาก็คงทำเลวต่อไปเรื่อยๆ และคิดว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในกำมือเรื่อยไป อย่างไรก็ดีตอนนี้ทั้งในสมองและในหัวใจของเขา รู้แล้วว่าสิ่งที่ตนเองทำ มันทำร้ายอีกฝ่ายอย่างร้ายกาจ เขาสำนึกผิดแล้ว และอยากจะชดใช้ให้จริงๆ

“พอได้แล้ว ฮารุโตะบอกว่าไม่อยากเจอแกแล้วไง ปล่อยได้แล้ว”ทาคุมิพยายามกระชากตัวของชุนออก เขามีน้ำตานองหน้าไม่ต่างกัน เรื่องราวที่ฮารุโตะเคยเล่าให้ฟังมันน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เจ้าตัวต้องเจอจริงๆ

เหตุการณ์เริ่มชุลมุนมากขึ้น เมื่อชุนคว้ากอดเอวของฮารุโตะไว้ทั้งตัว จับยึดชายเสื้อของร่างเล็กไว้แน่น ปากพร่ำพูดขอโทษและขอโอกาสสักครั้ง ไม่ว่าใครแกะดึงก็ไม่ยอมปล่อย อิซามุและมิชิโอะต่างจนใจ เพราะกลัวว่าถ้าลงแรงมาก คนเจ็บจะเป็นมิอุระ ฮารุโตะ

ซากิซึ่งยืนดูความชุลมุนวุ่นวายตรงหน้าอยู่นาน สาวเท้าก้าวเข้าไปหาส่งเสียงตวาดตะคอกเสียงดังจนทุกคนเงียบกริบ

“แกจะมาขอโอกาสหาพระแสงอะไร แค่ความต้องการของมิอุระตอนนี้ แกยังไม่อยากจะฟัง”

“มึงจะมารู้อะไรวะ ใช่ซี ถ้ากูเข้ามา กูก็คือมือที่สามขัดความสุขมึงนี่”ชุนแค่ตวัดสายตามอง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ

“ฮารุโตะเป็นของของกู ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมยกให้”

ชุน!!!”มิชิโอะและอิซามุประสานเสียงร้องปรามพร้อมกัน

“จนป่านนี้แล้ว ซากุราอิซังยังเห็นผมเป็นแค่สิ่งของอยู่อีกหรือ”ฮารุโตะถามเสียงเศร้า ชุนได้สติจึงรีบร้อนปฏิเสธ

“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่เลย เพราะฉันหวงนายมาก ฉันไม่อยากยกนายให้ใคร ไม่ได้เห็นนายเป็นแค่สิ่งของอย่างที่นายเข้าใจ”


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'

ฮารุโตะได้แต่นิ่งเงียบฟัง มองดวงตาเรียวที่ดูคล้ายจะคอยหาเรื่องตลอดเวลาซึ่งบัดนี้กลายเป็นสีแดงก่ำ ก่อนจะปล่อยสายตาล่องลอยไม่จับจ้องที่จุดใด เขาปวดหัวอีกแล้ว คิดอะไรไม่ออก กระนั้นกลับไม่นึกอยากที่จะเชื่อคำพูดของชุน เขากวาดสายตามองผู้คนที่อยู่รอบกาย รุ่นพี่อาโอกิบอกไว้ว่า ทุกคนพร้อมที่จะสนับสนุนคำพูดของเขา สิ่งที่เขาเลือกไม่มีคำว่าผิด ขอให้เขาเลือกสิ่งที่เขาต้องการเท่านั้น แต่คู่กรณีอย่างชุนไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น

ฮารุโตะรู้ดีว่าบนโลกนี้ไม่มีใครแบกใครสักคนหนึ่งเดินไปข้างหน้าได้ตลอดเวลา และไม่มีใครอยากแบกคนอ่อนแอให้เดินไปด้วยกัน เขาจึงถูกทิ้งไว้ข้างหลังให้โดนเหยียบย่ำถูกก้าวผ่านไปเสมอ และชุนเป็นคนสอนบทเรียนนั้นให้เขา แต่ตอนนี้มีคนที่พร้อมจะพยุงให้เขาลุกขึ้น มีคนที่ยื่นมือมาหา เพียงแต่รอให้เขาลุกขึ้นยืนด้วยสองขาของเขาเท่านั้น

“ได้ ผมจะให้โอกาสคุณ ให้คุณได้ทำดีชดใช้ความผิด”

ชุนยกยิ้มเมื่อทบทวนคำพูดนั้นจนเข้าใจชัดเจน  ในใจโล่งโปร่งราวกับก้อนหินหนาหนักซึ่งเคยวางทับอกถูกทำให้สลายไป “ฉันสัญญาฉันจะดูแลนายให้ดี ฉันจะไม่ทำร้ายนายอีก”

ฮารุโตะยกยิ้มบางที่มุมปาก ทั้งที่ภายในใจกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง คำพูดของรุ่นพี่ชิมิซึดังซ้ำก้องขึ้นมาในศีรษะ ชุนสัญญาว่าจะดูแลเขา จะไม่ทำร้ายเขาอีก แต่แค่ความต้องการของเขากลับไม่สามารถให้ได้

“อือ ไม่เป็นไร คนเรามันทำผิดกันได้”

“งั้นวันนี้เรากลับกันเถอะ ฉันจะพานายไปกินอาหารอร่อยๆฉลองที่เรากลับมาคบกันอีกครั้ง”

“ไม่ไป วันนี้ผมยังไม่อยากไปไหนกับคุณทั้งนั้น”

ทำไม!!! นายตกลงแล้ว”ชุนถามเสียงแข็ง

“ผมยินยอมให้โอกาสคุณเพื่อชดใช้ความผิด แต่ไม่ได้ยอมเป็นตุ๊กตาให้คุณลากไปไหนมาไหนก็ได้ อ่อ... ผมไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็นตุ๊กตานี่เอง”

“ไม่ใช่นะ นายไม่ใช่ทั้งสิ่งของหรือตุ๊กตาทั้งนั้น”ชุนร้อนรนปฏิเสธ “โอเคๆ ไม่ไป อย่างนั้นเรากลับกันเถอะ”

“ชุนพอก่อน อย่าบังคับมิอุระซังนักเลย”อิซามุพูดเตือน

ฉันไม่ได้บังคับ”ชุนพูดตอบอย่างแข็งกร้าวด้วยน้ำเสียงอันดัง “ฉันแค่ไม่อยากให้ฮารุโตะอยู่กับคนพวกนี้ เดี๋ยวจะเสี้ยมความคิดแปลกๆให้ฮารุโตะอีก”

“แต่ผมไม่ได้อยากกลับไปกับคุณ”ฮารุโตะตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเคย

“ผมให้โอกาสคุณชดใช้ความผิด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะฟังคำพูดหรือคำสั่งของคุณ”

ซากุราอิ ชุนนิ่งอึ้งไป สิ่งที่เขาวาดหวังไว้มลายหายไปในพริบตา

“แต่ถ้าคุณไม่อยากได้โอกาสนี้แล้วก็ไม่เป็นไร”

ฮารุโตะมองชุนที่ก้มหน้าลงด้วยสายตาว่างเปล่า อีกฝ่ายค่อยๆปล่อยมือออกจากตัวเขา ท่าทางล้าแรงคล้ายหมดอาลัยตายอยาก เขาถูกใครสักคนคว้าเข้ากอด จากนั้นเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างของรุ่นพี่ชิมิซึและรุ่นพี่โมริที่ย้ายมายืนขวางอยู่ด้านหน้า

“ไม่เป็นไรแล้วนะ”ทาคุมิกระซิบพูดเสียงเบา เขาพยักหน้าให้ ซบศีรษะลงกับลาดไหล่ของอีกฝ่าย ปวดหัวจนไร้เรี่ยวแรงหยัดยืน ฮารุโตะหลับตาลง หมดสติไปอย่างไม่รู้ตัว

ตอนที่ถูกกลั่นแกล้งทำร้าย เขาเคยคิดแค้นแต่ความแค้นเหมือนไฟคอยลุกไหม้เผาผลาญในอกตลอดเวลา มันทำให้เขาแสบร้อนไม่เป็นสุข ความแค้นทำให้ความคิดเขาวนเวียนทรมานมากกว่าความเจ็บปวดทางกายที่ได้รับ ความคิดที่ร้อนเร้าดั่งเปลวเพลิงวิ่งวนอยู่ในสมองคล้ายไม่มีวันหยุด ไม่ว่าลืมตาหรือหลับตา ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น เพลิงแค้นเผาไหม้เขาซ้ำๆ หลอกหลอนจนเขาคิดว่าตัวเองเหลือแต่กระดูก เป็นเปลวเพลิงที่ทำให้เขาฮึดสู้ก่อนจะถูกเหยียบซ้ำๆให้ตระหนักถึงความอ่อนแอของตัวเอง และวันนั้นฮารุโตะจึงได้เข้าใจว่า ...คนอ่อนแอก็เป็นได้แค่คนอ่อนแอ

เขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความอ่อนล้า ร่างกายปวดเมื่อยหนักอึ้งจนแม้การขยับนิ้วยังทำได้ลำบาก และแม้กระทั่งการบังคับยกเปลือกยังทำได้ยาก

“ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นฉันอยู่ข้างนาย ฉันจะปกป้องนายเอง”น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบบอกเขาอยู่ข้างหู สัมผัสได้ถึงแรงบีบกระชับที่ฝ่ามือ ศีรษะถูกลูบไล้ด้วยความอ่อนโยน

“หลับนะ พักผ่อนอีกนิด ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”เสียงนั้นกระซิบบอกซ้ำอีกครั้ง เขาจึงยอมละความพยายามปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งสู่นิทราอีกรอบ

ในอีกครั้งหลังจากนั้นที่เขารู้สึกตัว เด็กหนุ่มได้ลืมตามองเพดานด้านบนอยู่เป็นครู่ กว่าความทรงจำในช่วงเวลาก่อนหมดสติไปจะย้อนคืนมา เขาไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่กระนั้นภาพห้องคุ้นตาที่สะท้อนผ่านม่านจักษุได้ทำให้เขารู้สึกเบาใจ ฮารุโตะขยับตัวพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่โลกกลับโคลงเคลงจนต้องยอมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เสียงการเคลื่อนไหวนั้นทำให้ทาคุมิซึ่งนั่งพิงหลังกับเตียงและเล่นโทรศัพท์มือถือในมือหันมามอง

“ฮารุจัง!!!”อีกฝ่ายร้องเรียกเขาเสียงหลงพร้อมคว้าจับมือเขาไว้ สีหน้ามีแต่ความเป็นห่วง

“เป็นอย่างไรบ้าง ดีจังที่นายรู้สึกตัวแล้ว รู้หรือเปล่าเมื่อคืนนายไข้ขึ้นสูงมากแล้วเพ้อทั้งคืนเลย”
“ขอโทษนะ ทำให้ซาโต้ซังลำบากไปด้วย”ฮารุโตะยกยิ้มบางเบา น้ำเสียงแหบแห้งจนตัวเองยังแปลกใจ เขากลืนน้ำลายลงคอด้วยอาการกระหาย

“เรื่องนั้นไม่ต้องคิดมาหรอกถึงอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนกัน ฉันเป็นห่วงมากกว่า อย่างเรื่องที่นายโดนซากุราอิ ชุนกลั่นแกล้งขนาดนั้น ถ้าเล่าให้ฉันฟังสักนิด ฉันจะไม่ยอมให้นายคุยกับมันหรอก อ๊ะ...ฉันไม่ได้ว่านายนะ แต่รู้สึกว่าตัวเองจุ้นจ้านจนทำให้นายป่วยอย่างนี้ ขอโทษนะฮารุโตะ”ทาคุมิหน้าหงอย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่ผมไม่อยากเล่าให้ฟังเพราะผมเองก็อยากลืมเหมือนกัน” 

เห็นผู้เป็นเพื่อนนิ่งเงียบหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้น ฮารุโตะจึงเอ่ยว่า “ซาโต้ซัง ผมหิวน้ำครับ รบกวนหยิบน้ำให้หน่อยได้ไหม”

“อ่อ ได้สิ รอเดี๋ยวนะ”

ทาคุมิเดินหายออกไปด้านนอก ทว่าสักพักพวกรุ่นพี่ก็กรูกันเข้ามารั้งท้ายด้วยคนที่บอกว่าจะไปหยิบน้ำให้เขา

“ดีขึ้นบ้างไหมฮารุจัง พี่เป็นห่วงแทบแย่”นาโอโตะมีสีหน้าโล่งใจ คนอื่นๆก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน

“รุ่นพี่อาโอกิ ฮารุจังหิวน้ำ ให้เพื่อนผมดื่มน้ำก่อนซิครับ”ทาคุมิพูดแทรก นาโอโตะจึงขานรับช่วยพยุงตัวเด็กหนุ่มร่างเล็กให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วดุทาคุมิว่า ทำไมไม่เอาหลอดมาด้วย

“ไม่เป็นไรครับ ทานอย่างนี้ก็ได้”ฮารุโตะพูดพร้อมรับน้ำมาจิบ

“เดี๋ยวพี่ไปตักข้าวต้มมาให้นะ สามคนนั้นน่ะ ใครสักคนไปหาอุปกรณ์มาให้ฮารุจังล้างหน้าดิ”

เอคิจิจึงอาสาว่าจะไปจัดการให้ ชายหนุ่มเดินออกไปพร้อมนาโอโตะและเรย์ที่เดินตามคนรักไปติดๆ

ฮารุโตะได้จัดการธุระส่วนตัวและได้ทานอาหารมื้อเช้าหลังจากนั้น เขารู้สึกตื้อไม่อยากทานอะไรกระนั้นเมื่อโดนรบเร้าซ้ำยังมีคนชวนคุยเล่นระหว่างทานอาหาร ข้าวต้มในถ้วยจึงหมดหายไปอย่างง่ายดาย และเหมือนว่าทุกคนก็รอเวลานี้อยู่ด้วยเช่นกัน กลุ่มรุ่นพี่และทาคุมิอยู่กันพร้อมหน้า จะขาดหายไปคงมีเพียงชายหนุ่มเจ้าของบ้าน

“มันอาจจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะที่ควรกับการพูดเรื่องนี้ เพราะว่านายยังไม่หายดี แต่พวกเราจำเป็นต้องรู้ว่าเรื่องซากุราอิ ชุน นายอยากให้พวกเราช่วยอะไรหรือเปล่า”เอคิจิพูด

ฮารุโตะมองหน้าทุกคน มองมือของนาโอโตะที่จับมือของเขาไว้ ครั้งหนึ่ง เขาเคยถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวต้องรับมือกับปัญหาเพียงลำพัง

“ช่วยอยู่ข้างๆผม ได้ไหมครับ”เขาถาม สายตามองมือที่ยังคงจับมือเขาไว้

“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ถึงเราไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่ญาติพี่น้องกันจริงๆ แต่พี่ก็คิดมาเสมอว่านายเป็นน้องคนหนึ่ง มีปัญหาอะไรบอกพวกเราได้ พวกเราจะพยายามช่วยนายสุดความสามารถ ไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน”นาโอโตะย้ำยืนยัน คำพูดนั้นทำให้ฮารุโตะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

“โอ๋ๆ ไม่ร้องแล้ว”นาโอโตะพูดปลอบ และรอจนหนุ่มรุ่นน้องคลายอาการ

“เมื่อก่อนผมเคยคิด”ฮารุโตะเริ่มต้นพูดอีกครั้ง “ว่าทำไมมีแต่ผมที่ต้องโดนรังแกอยู่ตลอดเวลา ที่ผมไม่เล่าให้ใครฟังเพราะมันแย่มาก ผมรู้สึกเหมือนทุกคนเห็นผมเป็นตัวอะไรสักอย่างไม่มีความรู้สึกที่นึกอยากทำอะไรก็ได้ แต่ถึงผมจะขอร้องอ้อนวอน พวกเขากลับเห็นว่าเป็นเรื่องตลก หรือไม่ก็โมโหที่ผมโวยวายขึ้นมา ผมเคยพยายามสู้แล้วแต่ก็ต้องเจ็บตัวหนักยิ่งกว่าเดิม โดนทำร้ายมากกว่าเดิม

ตอนที่รู้ว่าตัวเองได้ทุนของที่นี่ ผมดีใจมาก เพราะเหมือนได้หลุดพ้นจากคนพวกนั้นเสียที ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แม้ตอนแรกๆผมจะยังมีปัญหากับการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นก็ตาม แต่ต้องขอบคุณรุ่นพี่นาคามูระที่ทำให้ผมมีความกล้ามากขึ้น ทำให้ผมอยากสมัครเข้าชมรมถ่ายภาพ ได้เจอคนดีๆเยอะแยะมากมาย ได้เจอรุ่นพี่อาโอกิที่แสนใจดีที่เข้ามาช่วยเหลือผมแม้จะยังไม่รู้จักกันอีกครั้ง อ่อ... รุ่นพี่โมริด้วย ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยพันข้อเท้าให้ ขอบคุณรุ่นพี่ฮายาชิที่ทำให้ผมหัวเราะได้ตลอด”ฮารุโตะยกยิ้มนึกถึงหนุ่มรุ่นพี่อีกคนที่หายหน้าไปนับตั้งแต่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า

“แล้วฉันล่ะ ฉันไม่มีอะไรดีเลยเหรอ”ทาคุมิถามแกล้งทำหน้างอน

“ซาโต้ซังด้วย เพราะซาโต้ซังนะ ผมถึงรู้จักกับเพื่อนในรุ่นตั้งหลายคน ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะครับ”เด็กหนุ่มก้มศีรษะให้

“ผมจะไม่หนีอีกแล้ว แม้ที่ผ่านมาการพยายามสู้ของผมจะไม่ได้ส่งผลลัพธ์ที่ดี แต่การหนีก็ไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกัน ถึงด้านกายภาพผมจะสู้ใครเขาไม่ได้ แต่ผมจะใช้สมองให้มากๆ ไม่ยอมให้ใครรังแกง่ายๆอีก”

“ถ้าโดนใครรังแกให้รีบมาบอกพี่ เดี๋ยวพี่ส่งเอย์จังไปจัดการให้”นาโอโตะพูดอย่างใจป้ำ

“เอ้า ไหงเป็นงั้นล่ะ นึกว่าจะไปจัดการเอง”เอคิจิพูดแซวเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก และหันไปพูดกับฮารุโตะว่า “เห็นทาคุมิเล่าว่า เคยชวนนายไปเรียนพวกศิลปะป้องกันตัว แต่เพราะชมรมที่มหา’ลัยดูน่ากลัว นายเลยไม่ไปเรียน ถ้าฉันจะเป็นคนสอนให้นายสนใจไหมล่ะ อย่างน้อยเรียนวิธีป้องกันตัวขั้นพื้นฐานไว้ก็ยังดี”

“อย่างผมจะเรียนได้ด้วยหรือครับ”

“ได้ซี มันมีวิธีป้องกันตัวสำหรับผู้หญิงอยู่”

“ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะครับ”ฮารุโตะแกล้งทำหน้างอ พาให้ทุกคนส่งเสียงหัวเราะ เอคิจิต้องรีบละล่ำละลักพูดแก้ตัวเนื่องจากเคยโดนนาโอโตะต่อยปากเพราะบอกว่าเจ้าตัวเหมือนเด็กผู้หญิงตอนสมัยยังเด็กมาแล้ว

“เปล่า แต่มันหมายถึงวิธีการป้องกันตัวสำหรับพวกที่ตัวเล็กแรงน้อยน่ะ”

“อย่างนั้นผมตกลงครับ ขอฝากตัวด้วยนะครับท่านอาจารย์”ฮารุโตะโค้งศีรษะให้เอคิจิด้วยท่าทางขึงขัง เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากทุกคนอีกครั้ง

นาโอโตะลูบศีรษะของฮารุโตะ ทอดสายตาเอื้อเอ็นดูมองเด็กหนุ่ม ยกยิ้มยินดีที่อีกฝ่ายปลอดโปร่งจนพูดล้อเล่นออกมาได้

พวกเขาปล่อยให้คนป่วยได้นอนพักต่ออีกเล็กน้อยซึ่งเด็กหนุ่มรุ่นน้องสามารถหลับลงได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจึงทยอยเดินออกมาจากห้องนอน ลงมายังชั้นล่างของบ้านซึ่งซากิกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟานั่งเล่น

“ไม่ยอมขึ้นไป ไม่ได้ซึ้งกับเขาเลย”

“อย่าเอาน้องมาล้อเลียนแบบนี้”นาโอโตะดุเรียวตะ พวกเขาทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาตามจุดที่ตนสะดวก

“ไม่ได้ล้อ แค่เล่าให้ซากิมันฟัง ขนาดฉันเอาแต่เล่นไปวันๆ ฮารุจังยังมองด้วยสายตาซาบซึ้งเลย ถ้าแกอยู่ด้วยฉันรับรองว่า น้องเขาร้องไห้ด้วยความซึ้งใจมากกว่านาโอโตะแน่”

นาโอโตะเอ่ยดุเรียวตะอีกรอบ เพราะคำพูดที่เพื่อนสนิทใช้เหมือนกำลังล้อเลียนคนที่ถูกพูดถึงอยู่จริงๆ

“ก็แหม ฉันไม่ค่อยถนัดกับอะไรแบบนี้”

“อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไร ไม่มีใครเขาว่าหรอก”

“เออ เอาจริงๆอยากให้ซากิมันอิจฉาหรอก เห็นดูแลออกนอกหน้าจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน ไม่ยักจะไปเอาความดีใส่ตัว”

“อย่างฉันมีอะไรที่เรียกว่าความดีด้วยเรอะ”

“อุย... น้อยใจซิท่า เอ้า... เรย์พูดให้มันฟังหน่อยดิ”หลังหยอกแซวเพื่อนร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างกายเสร็จ เรียวตะจึงหันไปหาลูกคู่สนับสนุน

ไม่พูดออกมาแล้วใครมันจะไปรู้!!!”เรย์และทาคุมิประสานเสียงพูดพร้อมกัน

“แกคิดอะไร แกก็พูดไปดิ”

“ใช่ครับ ฮารุโตะสารภาพรักกับรุ่นพี่แล้วไม่ใช่หรือ เพราะรุ่นพี่ชิมิซึไม่ยอมตอบให้เป็นกิจจะลักษณะนั่นแหละ ฮารุจังถึงยังคิดมาก”ทาคุมิพูด

“เขาเล่าให้นายฟังด้วย”

“ก็ไม่เชิงครับ”ทาคุมิทำท่านึก “ทีแรกผมทักเพราะฮารุจังดูอารมณ์ดี แล้วเขาก็มาเล่าให้ฟังทีหลัง อารมณ์ประมาณว่ามีความสุขมากอยากบอกให้ใครสักคนฟัง”

เห็นหนุ่มรุ่นพี่ยังนั่งฟังเงียบๆ ทาคุมิจึงถามต่อ คำถามที่พาให้ทุกคนเงียบฟังรอคำตอบ “รุ่นพี่ยังติดใจเรื่องเมื่อวันนั้นหรือครับ”

ซากินิ่งคิดอย่างลังเล เตรียมจะอ้าปากพูดแต่ทว่าฉับพลันเขากลับฉุกคิดขึ้นได้ แล้วเหลือบสายตามองนาโอโตะ คำพูดที่เกือบจะหลุดออกมาจึงกลายเป็นประโยคอื่น

“ไม่หรอก ฉันแค่อยากให้เขาสบายใจ เอาไว้ให้เรื่องของซากุราอิ ชุนจบลงก่อนแล้วค่อยกลับมาคิดก็ยังไม่สาย อีกอย่าง อาจเป็นเพราะฉันอยู่กับมิอุระถึงทำให้ซากุราอิ ชุนอาละวาดขึ้นมา”

“ไม่แปลก มองตามสายตาคนนอก แกเป็นศัตรูหัวใจอันดับหนึ่ง”เรียวตะพูดขึ้นมาบ้าง

“อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ผมว่าหมอนั่นไม่อยู่กับร่องกับรอยอยู่แล้วมากกว่า”ทาคุมิออกความคิดเห็นด้วยท่าทางที่ไม่ชอบซากุราอิ ชุนอย่างชัดเจน

“ฉันว่าฮารุจังไม่ต้องไปมหาวิทยาลัยแล้วคงไม่มีอะไรแล้วมั้ง”เรย์พูด

“อย่างซากุราอิ ชุนน่ะแค่หาว่าตอนนี้มิอุระอยู่ที่ไหน สามารถทำได้สบาย”ซากิบอกเพื่อนสนิท

“อาจจะไม่ว่ะ”เอคิจิแย้ง “พอดีฉันให้คนลองหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโคจิมะ มิชิโอะและโองาวะ อิซามุ สองคนนี้เป็นลูกชายของพนักงานในเครือบริษัทที่พ่อของซากุราอิ ชุนบริหารงานอยู่ แต่ตอนนี้ทั้งสองคนถูกนับว่าเป็นหนึ่งในพนักงานของบริษัท เพราะพ่อของซากุราอิ ชุนส่งให้มาดูแลลูกชาย”

“ใช้คนของที่บ้านมาทำเรื่องแบบนี้ไม่กลัวโดนด่าแล้วหรือวะ”เรียวตะแซว

“เรื่องแบบนี้มันต้องมีการพัฒนากันบ้าง ไม่อย่างนั้นฉันก็ต้องโดนพวกพี่ๆข่มว่าอ่อนตลอดนะสิ”เอคิจิลอยหน้าลอยตาตอบทันควัน

“แล้วที่เอย์จังพูดหมายความว่าอย่างไร”นาโอโตะถามแทรกการสนทนาของทั้งคู่ด้วยความอยากรู้

“คะแนนสอบของซากุราอิน่ะไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยของพวกเรา แต่เพราะซากุราอิ ฮิเดอากิสนับสนุนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมาตลอด เลยเข้ามาเรียนที่นี่ได้พร้อมกับเงินสนับสนุนก้อนใหญ่ แต่มหาวิทยาลัยของพวกเราไม่ใช่มหาวิทยาลัยเดียวที่ซากุราอิคนพ่อสนับสนุน นั่นหมายความซากุราอิ ชุนตามฮารุจังมา และสองคนนั้นจึงถูกส่งตามมาเพื่อดูแลควบคุมซากุราอิ ชุน”

“แต่ตอนแรกๆซากุราอิ ชุนก็ยังรังแกฮารุจังนะ”นาโอโตะตั้งข้อสงสัย ขณะเดียวกันโทรศัพท์มือถือของซากิมีสายเข้า เขาจึงลุกเดินออกไปด้านนอก

“ฉันคิดว่า ตอนนั้นน่าจะยังไม่มีใครรู้ และความคิดที่จะพูดคุยเจรจานี่มันน่าจะมาจากหนึ่งในสองคนนั่น พฤติกรรมของซากุราอิ ชุนดูไม่อยู่กับร่องกับรอยเหมือนที่ทาคุมิว่า ประกอบกับที่ฮารุจังเล่าให้ฟัง ฉันว่าหมอนั่นไม่น่าจะคิดได้ด้วยตัวเอง”

“อย่างนั้นช่วงนี้พวกเราก็สบายใจได้ว่า ซากุราอิ ชุนคงจะไม่มาระรานอะไรอีก”

“ฉันว่าอาจจะไม่เป็นอย่างที่นายคิด”ซากิพูดเมื่อก้าวเท้ากลับเข้ามาร่วมวงสนทนาอีกครั้ง

“เมื่อกี้โองาวะ อิซามุโทรมา หมอนั่นอยากจะคุยกับฉัน และฉันก็ตอบตกลงไปแล้ว”

“เมื่อไหร่”

“อีกหนึ่งชั่วโมงที่ร้านคาเฟ่”

“ฉันไปด้วย”นาโอโตะร้องบอก

“นายควรอยู่ เผื่อมิอุระจะตื่นขึ้นมา”

“อย่างนั้นเป็นฉันกับเอคิจิคงไม่เป็นไร”เรียวตะพูดซึ่งซากิตอบรับตามนั้น นาโอโตะยังมีสีหน้ากังวล ชายหนุ่มร่างสูงจึงพูดสำทับอีกประโยคว่า “ฉันไม่ตอบรับอะไรมั่วซั่วอยู่แล้วน่ะ ไม่ต้องกังวล”



ฮารุโตะตื่นนอนอีกครั้งหลังจากที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านออกไปได้ไม่กี่นาที และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่บนห้องด้านบน เขาจึงลุกขึ้นยืนเดินลงไปยังชั้นล่าง ซึ่งมีเพื่อนสนิทและหนุ่มรุ่นพี่อีกสองคนนั่งอยู่บนโซฟา

“ฮารุจัง”นาโอโตะทักเมื่อหันไปเห็นหนุ่มรุ่นน้อง “ลงมาทำไม”

“ผมค่อยยังชั่วแล้วครับ”และถึงจะกล่าวบอกไปเช่นนั้น ฝ่ามือที่ค่อนข้างเย็นของนาโอโตะยังแตะสัมผัสที่หน้าผากและลำคอ

“ตัวยังอุ่นๆอยู่เลย”

“ผมรู้สึกแข็งแรงขึ้นมากแล้วครับ”ฮารุโตะย้ำให้ฟัง

“พรุ่งนี้ คิดว่าจะไปหางานแล้วด้วย”

“จะรีบไปหาทำไม รอให้หายดีก่อนไม่ดีกว่าหรือ”

“นั่นน่ะสิ อากาศยังเย็นอยู่เลยด้วย เดี๋ยวก็ไข้กลับ”ทาคุมิกล่าวสำทับ

“ผมเกรงใจรุ่นพี่ชิมิซึน่ะครับ มาอยู่เฉยๆตั้งนาน”

“ถ้ามันไม่อยากให้นายอยู่ ป่านนี้คงไล่นายออกจากบ้านไปนานแล้ว”เรย์พูดขึ้นบ้าง ฮารุโตะอยากจะเถียงกลับไปว่า ที่ไม่อยากอยู่นานเพราะไม่อยากโดนไล่นั่นล่ะ ทว่าทาคุมิกลับพูดดักทางขึ้นมาเสีย

“รุ่นพี่ชิมิซึเขาชวนนายมาอยู่ด้วยกันหลังจากที่เขาเรียนจบไม่ใช่หรือ แล้วมาคิดวุ่นวายอะไรอีกล่ะ”

ฮารุโตะหน้าสลดเพราะคำพูดดุของทาคุมิ “ผมไม่รู้ว่ารุ่นพี่จะยังอยากให้ผมมาอยู่ด้วยหรือเปล่า”

“แล้วได้ขอโทษไปหรือยัง”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ

“แล้วได้คุยกันเรื่องนี้บ้างไหม”ทาคุมิถามซ้ำอีกคำถาม ซึ่งคำตอบยังเป็นการสั่นศีรษะปฏิเสธเช่นเดิม

“แล้วไม่รักรุ่นพี่แล้วหรือ”

คำถามนี้สร้างความไม่แน่ใจให้ฮารุโตะอีกครั้ง เพราะคิดถึง เพราะอยากอยู่ใกล้ อยากให้รุ่นพี่ชิมิซึเอาใจใส่ เขาจึงคิดว่าตนเองรักชายหนุ่ม แต่ขณะเดียวกันในบางครั้งเขาก็รู้สึกเกลียดที่หนุ่มรุ่นพี่ทำเหมือนเขาเป็นสิ่งของที่ไม่มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน

ทาคุมิยังคงเฝ้ารอคำตอบของเขา กระนั้นเขากลับไม่สามารถตอบออกไปได้จริงๆ

“ไม่รู้ก็ไม่รู้ ไม่เป็นไรหรอก แต่ซากิมันไม่จู่ๆก็ไล่นายออกจากบ้านหรอก ให้ไว้ใจได้ ถึงมันจะไม่ชอบวุ่นวายกับใครแต่ถ้ามันลงมือช่วยอะไรใครแล้วละก็ มันไม่นึกเปลี่ยนใจง่ายๆหรอก”เรย์พูดย้ำให้ฟัง

ฮารุโตะพยักหน้ารับ ถึงกระนั้นเขาได้ตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าตนเองหายดีเมื่อไหร่ เขาจะออกไปหางานทำเสียที

พวกเขาเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกันอีกพักใหญ่ ชายหนุ่มเจ้าของบ้านและเพื่อนสนิทอีกสองคนจึงกลับเข้ามา

“ยินดีตอนรับกลับบ้าน”เรย์ส่งเสียงตอบรับออกไปเมื่อเรียวตะตะโกนมาให้ได้ยินตั้งแต่อยู่ที่หน้าประตู

“อ้าว ฮารุจังทำไมลงมาอยู่ข้างล่างล่ะ”เรียวตะถาม

“ผมรู้สึกแข็งแรงขึ้นแล้วครับ”คนป่วยตอบพร้อมรอยยิ้ม เรียวตะจึงหันไปมองหน้าเพื่อนอีกสองคนที่ออกไปข้างนอกด้วยกัน ท่าทางมีพิรุธน่าสงสัย ฮารุโตะหันมองคนโน้นคนนี้ ดูเหมือนว่าต่างคนต่างจะมีลับลมคมใน ก่อนซากิจะพยักพเยิดส่งสัญญาณให้เอคิจิ จากนั้นทั้งสามคนจึงทรุดตัวลงนั่ง

“เมื่อกี้พวกฉันออกไปเจอโองาวะ  อิซามุมา”ด้วยประโยคคำพูดนั้น ฮารุโตะรู้สึกเหมือนคนพูดจงใจบอกกับตนแค่เพียงผู้เดียว เด็กหนุ่มจึงพยักหน้ารับ

“หมอนั่น อยากให้นายใช้เวลาอยู่กับซากุราอิ ชุนบ้าง”เอคิจิไม่ได้พูดโน้มน้าวชักแม่น้ำทั้งห้าเหมือนที่อิซามุพยายามโน้มน้าวพวกตน เพราะพวกเขาไม่ได้มีความคิดที่จะให้ฮารุโตะตอบตกลง

ฮารุโตะก้มหน้าสองบีบจับกันไว้ “ผมไม่มีปัญหาครับ” แต่ผมอยากให้คนอื่นไปเป็นเพื่อนด้วย เด็กหนุ่มลังเลที่จะพูดประโยคนั้น เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากพยายามลองสู้อีกครั้ง เขาควรจะเผชิญหน้าด้วยตัวคนเดียวหรือเปล่า ฮารุโตะคิดอย่างไม่แน่ใจ

“ตกลงว่าให้หมอนั่นนัดเวลามา แล้วให้ใครไปเป็นเพื่อนมิอุระด้วยทุกครั้ง”ชิมิซึ ซากิพูดสรุป

“อืม ฉันเห็นด้วย”นาโอโตะพูดสนับสนุน

ทุกคนจึงเห็นพ้องกันตามนั้น

เอคิจิจึงกล่าวเสริมขึ้นมาว่า “ถ้าพรุ่งนี้ ฮารุจังแข็งแรงขึ้นแล้ว ฉันจะสอนท่าป้องกันตัวด้วยมือเปล่าพวกท่าพื้นฐานให้ เวลาเจอซากุราอิ ชุนจะได้ไม่ต้องกลัว”

“ถามจริง จะล้มตัวอย่างกับหมีของหมอนั่นได้จริงๆเหรอวะ”เรียวตะถามอย่างสงสัย

“อย่างน้อยก็มีเวลาให้หนีทัน และไม่โดนเล่นอยู่ฝ่ายเดียว”

แค่นั้นก็พอแล้ว ฮารุโตะคิดอยู่ในใจ






+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++




ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
หวังว่าคงจะไม่ใช่บิวท์ไปสู่การหักมุมหรือการเกิดอะไรขึ้นสักอย่างนะ
กลัวใจชุนจริงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ฝังอกฝังใจกับฮารุขนาดนั้น
มันไม่ปกติจริงๆ ยิ่งเข้าไปคลุกคลีด้วยแบบนี้ก็ยิ่งเหมือนกับว่าให้ความหวังอีกฝ่าย
เอาจริงๆก็กลัวใจซากิด้วยเหมือนกัน
ถ้าหากว่าพ่อของชุนตัดหางปล่อยวัดชุน
ก็ไม่มีทางที่ชุนจะสามารถเดินทางตรงได้อย่างคนปกติทั่วไป

ที่คุณ Grey  Twilight เอ่ยถึงน่าจะเป็น 衆道 (shudou, or shuudou) ค่ะ

ขอบคุณมากที่มาอัพนะคะ  รออยุ่ทุกวันเลย

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 25
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
อิซามุยื่นขอร้องให้ฮารุโตะให้โอกาสชุน โดยให้ออกไปพบหรือไปเที่ยวกับชุนบ้าง แม้จะมีความรู้สึกไม่ดี แต่ฮารุโตะตั้งใจที่จะให้โอกาสชุนอีกครั้ง




春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 25




ซากุราอิ ชุนเอาแต่ขังตัวอยู่ในห้องมาตั้งแต่เมื่อวาน อิซามุไม่ได้นึกสงสารเพราะความรู้สึกส่วนตัวเขาคิดว่าสิ่งที่ชุนได้รับมันสมควรอยู่แล้ว อีกอย่างคือ เขาเพิ่งรู้จักกับชุนไม่นาน แต่เพราะมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เขาจึงต้องคิดหาทางทำอะไรสักอย่าง 

“ชุน เปิดประตูหน่อย”อิซามุเคาะประตูเรียก เมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องยังเงียบ เขาจึงถือวิสาสะใช้กุญแจไขประตูเข้าไป 

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ลูกชายคนเดียวของเจ้านายนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาเบด แผ่นหลังกว้างจึงงองุ้มไม่น่าดู หมดราศีหัวหน้าเด็กเกสมัยมัธยมและทายาทนักธุรกิจใหญ่

อิซามุเดินเข้าไปหาและทรุดตัวลงนั่ง

“ไม่หิวหรือไง”

ชุนแค่เหลือบตามองทว่ายังนิ่งเงียบคล้ายไม่สนใจ

“ทำแบบนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร”

“ทำอย่างกับวิธีของพวกมึงมันได้ผลนัก มันก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน”ชุนพูดสวนทันควัน

“อย่างนั้นถ้าเกิดว่า ฉันทำให้นายได้ใช้เวลาอยู่กับมิอุระ นายจะว่าอย่างไร”

ชุนหันมองหน้าเขาก่อนจะเบือนหนีไปทางอื่น พูดถามด้วยน้ำเสียงคล้ายจำยอม“อยากได้อะไรแลกเปลี่ยน”

“ไม่ขออะไรมาก ไม่ตะโกน  ไม่กรรโชก ไม่ทำกิริยาหยาบคาย ไม่บังคับฝืนใจ ไม่เอาแต่ใจตัว ไม่ใช้ความรุนแรงต่อหน้ามิอุระซัง”

“นี่ไม่มากของมึงเหรอ”

“ทำไม่ได้ไม่เป็นไร”อิซามุยักไหล่ไม่แยแส เขาแค่พยายามลองทำให้สุดความสามารถ แต่ถ้าชุนไม่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พวกเขาแค่ต้องแจ้งให้ท่านประธานทราบ ในทางกลับกัน ถ้าสำเร็จนั่นหมายถึงผลรางวัลมากมายที่พวกเขาจะได้รับ

“กูปฏิเสธแล้วเรอะ กูตกลง”

“ดีครับ ฉันจะนัดเวลาให้ และจะมีมิชิโอะไปกับนายด้วยทุกครั้ง”

“แบบนั้นกูจะได้ใช้เวลากับฮารุโตะตรงไหน”

“มิชิโอะไม่ได้จะเข้าไปก้าวก่าย แค่ตามไปดูว่านายจะไม่ผิดข้อแลกเปลี่ยน ฝั่งโน้นก็จะมีคนมากับมิอุระซังเหมือนกัน”

“โว้ย เยอะแยะขนาดนั้น จะไปทัศนาจรอนุบาลหมีน้อยกันหรือไง”

“ถ้านายจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ”

“กูไม่ได้เปลี่ยนใจ”ชุนพูดเสียงแข็ง หุนหันลุกขึ้นทั้งยังเดินลงส้นเท้าตึงตัง ตะโกนโหวกเหวกให้มิชิโอะหาอะไรให้กิน อิซามุมองตามได้แต่โคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ

รอเวลาอีกหลายวันกว่าที่มิอุระ ฮารุโตะจะยอมรับนัดไปเที่ยวครั้งแรกกับชุน  ซึ่งคุณชายของบ้านออกอาการฟาดงวงฟาดงาตั้งแต่วันสองวันแรกที่ยังไม่ได้คำตอบ และหนักข้อขึ้นเรื่อยๆตามวันเวลาที่ผันผ่าน จนมิชิโอะต้องลากคอไปเตะกระสอบทรายที่ยิมเพื่อลดอาการหมาบ้า ก่อนจะออกอาการหน้าบานเป็นจานดาวเทียมหลังจากได้กำหนดวันชัดเจน ซ้ำวันนัดชุนยังจัดชุดสูทเต็มยศมาสวมใส่

อิซามุได้แต่มองลูกชายคนเดียวของเจ้านายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

“มีอะไร มองด้วยสายตาแบบนี้หมายความว่าอย่างไร”คนถามกระชากเสียงหาเรื่อง

“ปล๊าว”อิซามุตอบเสียงสูง “แค่จะชมว่าดูดี”

“ใช่ม่ะ นี่ฉันสั่งตัดมาใหม่เลยนะ”ชุนพูดอวด เขาจึงพยักหน้าเออออรับ มองอีกคนที่เดินตามอยู่ด้านหลัง มิชิโอะอยู่ในชุดเสื้อแจ็กเก็ตสีดำทับเสื้อยืดคอกลมและกางเกงยีนส์ธรรมดา ยกยิ้มล้อเลียนรอจนชุนเดินออกไปหน้าบ้าน จึงเอ่ยพูดกับเพื่อน

“ไม่ใส่สูทบ้างเหรอ”

“ปล่อยมันไปคนเดียวเหอะ ไม่ต้องเอาฉันเข้าไปเกี่ยว”

อิซามุหัวเราะ โบกมือลาคู่สนทนาเมื่ออีกฝ่ายถูกชุนตะโกนเรียกซ้ำ เดินตามไปยืนรอส่งจนรถยนต์หายลับหัวมุมถนนจึงกลับเข้าไปในบ้าน



ชุนกลอกตานึกอยากจะเบะปากเมื่อเห็นคนที่ตามฮารุโตะมาด้วย ก่อนหน้าที่จะมีเรื่อง เขากับทาคุมิยังคงคุยกันได้ดี ทว่า ณ ปัจจุบันทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มรุ่นพี่ที่รูปร่างใกล้เคียงกับเขา แต่เขาไม่ชอบขี้หน้าเพราะเคยโดนทุ่มลงพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว และครั้งนี้ต่อให้มีเรื่องก็อย่าได้หวังว่ามิชิโอะจะเข้ามาช่วย

“อรุณสวัสดิ์ครับ”ฮารุโตะเอ่ยทักเขาก่อนด้วยท่าทางแกนๆแบบทำไปตามมารยาท แต่แค่นั้นหัวใจของเขาก็เต้นโครมครามดังลั่นแล้ว

“อ...อืม”เขามองใบหน้าเนียนใสที่เอาแต่เบือนหน้าไปทางอื่นไม่วางตา และยังคงจ้องอยู่เช่นนั้นอีกนานถ้าทาคุมิไม่ส่งเสียงขัด

“ไปเดินเล่นทางโน้นกันเถอะ”ทาคุมิเอ่ยชวนพลางกอดคอฮารุโตะให้เดินไปด้วยกัน โดยไม่แม้จะเหลือบสายตามองไปที่ชุน

พวกเขานัดพบกันที่สวนสาธารณะซึ่งอยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะต้นเมเปิลหรือซากุระล้วนเหลือแต่กิ่งก้านที่ปลายยอดพอจะเริ่มมียอดอ่อนแตกกิ่งออกมาบ้าง ยามเช้าที่อากาศยังค่อนข้างเย็นมีผู้คนมาเดินเที่ยวชมสวนและตากแดดอุ่นๆอยู่บ้างประปราย

ทาคุมิชวนฮารุโตะคุยไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจคนอื่น หรืออย่างมากแค่เพียงหันมาคุยกับหนุ่มรุ่นพี่ที่มาด้วยกันเท่านั้น จนซากุราอิ ชุนนึกหงุดหงิดโมโห แล้วนี่เขาได้ใช้เวลาอยู่กับฮารุโตะตรงไหน ชุนจึงก้าวเท้าเดินอาดๆเข้าไปหา และทันทีที่ประชิดตัวฮารุโตะ เขาได้คว้าจับท่อนแขนเล็กบาง ทว่ากลับโดนปัดออกทันควันเหมือนอีกฝ่ายจะระวังตัวไว้อยู่แล้ว

“อย่าโดนตัว”หนุ่มรุ่นพี่ที่เขาไม่รู้จักชื่อชี้หน้าและพูดประโยคนั้น

ชุนฮึดฮัดกัดฟันกรอด กำหมัดแน่น

“ถ้านายทำอะไรที่แสดงออกถึงการคุกคามอีก วันนี้จะจบลงทันทีและไม่มีครั้งต่อไป”ชายหนุ่มพูดย้ำสำทับให้เขาฟัง ชุนหันมองมิชิโอะ คนสนิทของเขาพยักหน้าให้

ชุนหันรีหันขวางนึกโมโหจนทำอะไรไม่ถูก ในศีรษะมีแต่คำถาม แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร มองฮารุโตะซึ่งได้แต่หลบอยู่ด้านหลังของสองคนตรงหน้าเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลนั่นไม่มีความคิดที่จะพูดคุยกับเขาสักนิด แล้วเขาจะมาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร ไม่มีประโยชน์อะไรสักนิด

เด็กหนุ่มร่างสูงหมุนเท้าก้าวยาวๆกลับไปที่รถยนต์ ไม่สนใจว่ามิชิโอะจะตามมาทันหรือไม่ อย่างไรก็ดี หลังจากที่นึกขึ้นได้ว่ากุญแจรถยนต์อยู่ที่มิชิโอะ เขาหันไปตะโกนเรียกคนที่วิ่งตามหลังมา

“เร็วดิโว้ย อืดอาดชิบหาย”เขายังสบถด่าอีกหลายคำ กระนั้นมิชิโอะกลับไม่มีทีท่าโมโหหรือคิดเถียง ชุนเอ่ยเร่งให้มิชิโอะขับรถเร็วๆ ทั้งที่ระยะจากสวนสาธารณะแห่งนั้นกับบ้านของเขาห่างกันไม่กี่นาที และทันทีที่ไปถึงเขาดิ่งตรงไปหาอิซามุ จับกระชากคอโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวสักนิด

“วิธีของมึงไม่เห็นจะได้เรื่องเลย กากสิ้นดี”

อิซามุแค่จับมือของชุนแล้วแกะออกจากตัว “ไม่ได้เรื่องอย่างไร นายออกไปยังไม่ถึงสองชั่วโมงเลย”

“เขาไม่คุยกับกูเลยนอกจากพูดอรุณสวัสดิ์คำเดียว แม้แต่หน้ายังไม่อยากมองด้วยซ้ำ”

“ก็เป็นธรรมดานี่”อิซามุพูดด้วยท่าทีไม่เดือดร้อน ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาเช่นเดิม “ลองคิดดูว่านายทำกับมิอุระซังมาตั้งเท่าไหร่ เขาจะมาจี๋จ๋ากับนายง่ายๆได้อย่างไร”

“แต่ช่วงก่อนหน้าร้อน...”ชุนไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะเมื่อตอนนั้นเหมือนฮารุโตะจะให้อภัยเขาแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นถามตัวเองดิ”อิซามุพูดอย่างมีอารมณ์ ก่อนจะต่อประโยคด้วยความเหนื่อยหน่าย

 “มันน่าเบื่อนะ นายทำผิดซ้ำๆซากๆแต่ไม่รู้จักปรับปรุงตัวเองขึ้นสักนิด เรียกร้องเอาโน่นเอานี่จากคนอื่น เอาแต่ที่ใจอยากได้แต่ไม่เคยทำอะไรให้ใครเลย ถามจริงเหอะ ไปเอานิสัยนี้มาจากไหน ฉันว่าท่านประธานคงไม่สอนให้นายเป็นแบบนี้หรอก”

“เออ... รู้แล้ว ก็กำลังพยายามปรับปรุงตัวอยู่นี่ไง”

“ปรับปรุงตัว? ปรับปรุงตัวอย่างไร? แค่โดนมิอุระซังเมินไม่กี่นาทีนายก็วิ่งแจ้นกลับมาแล้ว ถามหน่อยมิอุระซังเขาอดทนให้นายแกล้ง ยอมเป็นกระสอบทรายให้นายมากี่ปี มันเทียบกันได้ไหม ระหว่างคำว่าจะปรับปรุงตัวของนายกับความอดทนของเขา”อิซามุตะโกนพูดตอบด้วยน้ำเสียงอันดังไม่แพ้กัน

“ถ้าฉันเป็นมิอุระซังนะ บอกให้รู้ไว้เลยว่ามันไม่แค่ต่างคนต่างอยู่หรอก ฉันจะทำให้นายจำหน้าฉันไปจนวันตายเลย”

“เออ!!! รู้แล้ว ถ้าเป็นคนอื่นกูไม่อยากง้อขนาดนี้เหมือนกัน แล้วจะให้ทำอย่างไรวะ”

รอ! อดทนรอ ทำเป็นไหม”อิซามุพูดแค่นั้นก่อนจะทำเมินไม่สนใจซากิราอิ ชุนอีก

หันไปมองมิชิโอะ ฝ่ายนั้นทำท่าไม่อยากแยแสเขาแล้วเช่นกัน ชุนจึงเดินกระแทกเท้ากลับไปยังห้องตัวเอง ถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เขาเชื่อว่าพวกรุ่นพี่กลุ่มนั้นต้องเสี้ยมเป่าหูฮารุโตะให้ทำกับเขาแบบนี้ ฮารุโตะไม่เคยต่อต้านเขารุนแรง เขายังเห็นสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาภายในแววตาคู่นั้น ที่เขาต้องทำคือหาโอกาสคุยกับฮารุโตะตามลำพังอีกครั้ง

ชุนเปลี่ยนเสื้อผ้า รีบเปิดประตูออกจากห้องทว่ากลับต้องพบชายในชุดสูทสีดำสองคนยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก

“จะไปไหนครับ”

“ไปไหนมันก็เรื่องของกู”ถึงจะพูดบอกไปเช่นนั้นแต่ใช่ว่าเขาจะฝ่าออกไปได้

“ถ้าไม่ได้รับคำอนุญาต คุณก็ไม่มีสิทธิ์ออกจากบ้านครับ”

“กูเป็นเจ้านายนะ กูต้องขออนุญาตใครด้วยเรอะ”

ระหว่างนั้นมิชิโอะได้ก้าวเท้าเข้ามา พยักพเยิดให้ชายสองคนนั้นถอยห่างออกไป “จะไปไหนล่ะ เดี๋ยวฉันไปด้วย”

ชุนกัดฟันก่อนจะดึงประตูปิดดังปัง เมื่อกลับเข้ามาอยู่ในห้อง เขาเดินไปเดินมาด้วยอาการอยู่ไม่สุข มีคนเฝ้าเขาอยู่ตลอดจึงไม่มีทางที่เขาจะดอดหนีไปโดยไม่มีใครเห็น ฉับพลันเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่จึงตรงไปที่หน้าต่าง เปิดผ้าม่านหนาทึบที่บังแสงสว่างจากด้านนอก ปลดล็อคหน้าต่างบานเลื่อนและเปิดมันออก ทว่าทันใดนั้นเสียงสัญญาณกลับดังขึ้นทันที ประตูห้องของเขาถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมิชิโอะมาปรากฏตัวยืนอยู่ตรงนั้น

“หน้าต่างทุกบานในบ้านนี้ติดเซ็นเซอร์ อย่าพยายามเปิดมันอีกถ้านายไม่ได้คิดจะหนีไปไหน ไม่อย่างนั้นคราวหน้านายจะถูกย้ายไปอยู่ในห้องที่ไม่มีหน้าต่าง”

ชุนชะงักหน้าเผือดสีไปครู่ก่อนจะแกล้งโวยวายออกมา “โว้ย! อะไรวะ ตกลงนี่ฉันกลายเป็นนักโทษแล้วหรือไง ถึงได้ถูกห้ามทำโน่นทำนี่”

“ไม่เลย นายอยากจะไปไหนก็ได้ เพียงแต่ฉันจะตามไปด้วย”มิชิโอะว่าพลางเดินไปปิดหน้าต่าง และเสียงสัญญาณก็เงียบลง

“แล้วมันจะต่างจากการเป็นนักโทษตรงไหน”

มิชิโอะไม่ตอบ เขาแค่เดินกลับออกจากห้องไปอีกครั้ง เมื่อพ้นสายตาผู้คุม ซากุราอิ ชุนทรุดตัวลงนั่งยองๆกับพื้น ยกมือขึ้นดึงทึ้งศีรษะ ไม่มีทางไหนที่เขาจะออกไปเจอฮารุโตะโดยไม่มีใครรู้เลยหรืออย่างไร



ฮารุโตะกลับมาทำงานที่ร้านมินิมาร์ทร้านเดินที่เคยทำอีกครั้ง ผู้จัดการร้านพูดแสดงความยินดีกับเขาที่หายจากอาการบาดเจ็บกลับมาแข็งแรงดีเหมือนเดิม ไดกิซังยังทำงานอยู่กะกลางคืนเหมือนเดิมแต่จะทำถึงแค่สิ้นเดือนมีนาคมก่อนจะได้บรรจุเป็นพนักงานบริษัทเต็มตัว

“ไม่อยากไปเที่ยวหรือพักผ่อนบ้างหรือครับ”ฮารุโตะถาม

“ไปไหนล่ะ ฉันไม่ค่อยถูกกับแสงแดด”เจ้าตัวตอบหน้าตาย และเล่าเหตุการณ์ในร้านช่วงที่เขาลาออกไปให้ฟังว่า

“โอตะคุงโดนไล่ออกไปแล้วนะ โดนจับได้ว่าขโมยเงิน”

ฮารุโตะทำสีหน้าไม่ค่อยเชื่อ

“คนที่มาทำงานแทนช่วงที่นายไม่อยู่อ่ะ เป็นรุ่นพี่ผู้หญิงที่อยู่กะเช้าต่อจากฉัน เขาเข้าสองช่วงตอนที่ยังไม่มีคนแทน บังเอิญว่าเจ๊แกหน้าเด็ก เจ้าโอตะเลยนึกว่าเด็กใหม่มั้ง เลยอู้งานเหมือนที่ทำกับนาย แล้วก่อนออกกะก็ขโมยเงิน กล้องวงจรปิดเห็นชัดเลยว่ามันกดรหัสของเจ๊”

ตอนที่ไดกิพูดถึงกล้องวงจรปิด ฮารุโตะเงยหน้ามองซ้ายมองขวาหากล้องที่ว่าทันที

“มันซ่อนอยู่”ไดกิบอกได้แค่นั้น เพราะเขาเองไม่เห็นภาพที่ว่าเหมือนกัน  ถ้าเป็นกล้องซึ่งติดให้เห็นอยู่แต่ละมุมของร้านหรือหลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ มันสามารถยืนบังตำแหน่งกล้องได้

“นายไม่ลองไปบอกผู้จัดการเรื่องเงินสามหมื่นที่หายไปบ้างล่ะ อาจจะเป็นฝีมือหมอนั่นก็ได้”

ฮารุโตะนิ่งคิดก่อนจะสั่นศีรษะออกมา “ไม่ดีกว่าครับ ถึงอย่างไรตอนนี้โอตะซังก็โดนจับแล้ว และเขากำลังจะได้รับผลลัพธ์ของการกระทำที่เคยทำไว้”

“เป็นคนดีมากๆนี่อยู่ยากนะ”ไดกิเอ่ยเตือน “ไปอยู่ที่ไหนจะโดนแต่คนเอาเปรียบ”

“พูดเหมือนตาเห็นเลย”ฮารุโตะหัวเราะ หันไปจัดการคิดเงินค่าสินค้าให้ลูกค้า เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงหันกลับไปคุยกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ข้างๆ

“แต่ต่อไปนี้ผมจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้วล่ะ”ฮารุโตะพูดด้วยสายตามุ่งมั่นตัดสินใจ “บ้างครั้งที่ผมยอมให้เอาเปรียบ เพราะคาดหวังว่าเขาจะเห็นคุณค่าในสิ่งที่ผมหยิบยื่นไปให้”

“คนประเภทนั้นจะไปรู้สึกอะไร นิสัยบางอย่างมันอยู่ในสันดาน ทำดีให้เท่าไหร่คนประเภทนี้ก็ไม่สำนึกหรอก”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ “ผมเห็นด้วย บางทีนิสัยยอมคนอื่นของผมก็คงอยู่ในสันดานเหมือนกันมั้ง ท่าจะเปลี่ยนยาก” เขาหัวเราะขึ้นมาอีกรอบ

“ที่นายเป็นอยู่มันก็ดี แต่เรื่องที่คนอื่นทำผิดสร้างความเดือดร้อนให้เราและอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นในอนาคตด้วย เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด”

“พูดเหมือนรุ่นพี่ที่ชมรมเลยครับ”ฮารุโตะยิ้มให้ และหันไปนับเงินในลิ้นชักเมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเลิกงาน

“กลับมาคราวนี้ ยิ้มเก่งขึ้นนะ”ไดกิทัก

“หรือครับ คงเพราะมีความสุขมั้ง”

“อ่อ... ไปได้ดีกับรุ่นพี่คนนั้นหรือ”หนุ่มรุ่นพี่ในที่ทำงานเอ่ยแซว ทว่าคำพูดที่ว่ากลับทำให้ฮารุโตะชะงักมือ และสั่นศีรษะ

“อ้าว หรือเลิกกันไปแล้ว” แต่เลิกกับแฟนควรจะร่าเริงขนาดนี้อย่างนั้นหรือ ไดกิสงสัย

“ยังไม่เคยคบกันด้วยซ้ำ”

“อ้าว!!!”ไดกิอุทานซ้ำอีกรอบ

“ก็รุ่นพี่เขาไม่เคยขอคบด้วย ผมจะเป็นแฟนเขาได้อย่างไร”

“โธ่ เด็กน้อย ก็ขอเขาเสียเองดิ มัวรออะไรอยู่”

“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ว่าแต่ไดกิซังเหอะมีแฟนหรือยัง มาแนะนำอะไรแบบนี้”

“ปลายปีนี้ก็จะแต่งงานแล้วครับ”

“จริงหรือครับ”ฮารุโตะถามด้วยความไม่เชื่อ

“ถ้าโกหกแล้วฉันจะได้อะไร สาเหตุอีกอย่างที่มาทำงานดึกๆเพราะจะได้ใช้เวลาอยู่กับแฟนตอนกลางวันนี่ล่ะ”

“ยินดีด้วยล่วงหน้าเลยนะครับ”

ฮารุโตะมัวแต่คุยเพลินจนเลยเวลาเลิกงานไปหลายนาที ซ้ำเงินในลิ้นชักยังคงเก็บไม่เสร็จ ไดกิจึงบอกว่าจะไม่ชวนคุยแล้ว ดังนั้นกว่าที่ฮารุโตะจะได้ออกจากที่ทำงาน เวลาจึงล่วงเข้าสู่เช้าวันใหม่ร่วมชั่วโมงกว่า

และเมื่อออกจากร้านที่ทำงานมา เขาได้เจอหนุ่มรุ่นพี่ผู้ที่ช่วงนี้มักจะออกจากบ้านไปแต่เช้าเสมอ เขาจึงรีบก้าวเท้าเข้าไปหา

“รุ่นพี่ชิมิซึ”ฮารุโตะเอ่ยเรียก อีกฝ่ายจึงเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือ เก็บอุปกรณ์สื่อสารลงกระเป๋ากางเกงและเดินนำไปยังรถยนต์ซึ่งจอดไว้ข้างทาง

“ครั้งหน้า รุ่นพี่ไม่ต้องมารับผมหรอกครับ”

ซากินิ่งมองสีหน้าลำบากใจของหนุ่มรุ่นน้อง จากนั้นจึงพยักหน้ารับ ปลดล็อคประตูรถยนต์ เอ่ยถามอีกครั้งหลังจากที่บังคับให้รถยนต์ขับเคลื่อนอยู่บนท้องถนน

“ถ้าไม่ให้มารับแล้วจะกลับอย่างไร”

“ถ้ารุ่นพี่จะอนุญาต ผมขอย้ายกลับมาอยู่ที่ห้องเหมือนเดิม”

“อ่อ”เขาขานเสียงรับพร้อมอาการแปลบปลาบในอก

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ”ซากิรอจนข่มกลั้นอาการเสียวแปลบ ทั้งก้อนขมปร่าให้จางหายไปแล้วจึงเอ่ยถามต่อไปว่า

“จะย้ายกลับเมื่อไหร่”

“คิดว่า พ...พรุ่งนี้ครับ”

“อืม”ซากิรู้สึกว่าตนเองทำได้เพียงขานเสียงโง่ๆ ตอบรับเท่านั้น

กระนั้น ในรุ่งเช้าวันถัดมาคนที่ค้านฮารุโตะเสียงแข็งกลับเป็นทาคุมิ ขณะที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านได้ออกจากบ้านไปแต่เช้าเหมือนเช่นหลายๆวันที่ผ่านมา

“อยู่คนเดียวไม่กลัวเจอซากุราอิ ชุนมารังควานที่ห้องหรือ”

ฮารุโตะไม่ได้ตอบคำถามเพียงแต่เปลี่ยนไปพูดประเด็นอื่นเสียแทน “จะย้ายออกวันนี้หรือพรุ่งนี้ ก็ต้องย้ายอยู่ดี อยู่นานๆ เกรงใจรุ่นพี่เขา อีกอย่างบ้านนี้ก็ค่อนข้างไกลจากที่ทำงานด้วย”

“ทีแรกถึงได้บอกไงว่าจะกลับไปสมัครงานที่เก่าทำไม แถมยังเลือกกะกลางคืนเหมือนเดิมอีก”

“เผื่อไว้ตอนที่เปิดภาคเรียนไง”ฮารุโตะตอบเสียงอ่อยเมื่อโดนทาคุมิพูดดุเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

“แล้วเรื่องที่อยู่บ้านนี้ เรื่องอยู่กับรุ่นพี่ชิมิซึก็เหมือนกัน ตกลงว่าจะเลิกคบเลิกติดต่อกันแน่แล้ว นายเข้าใจใช่ไหมถ้านายย้ายออกนั่นหมายถึง นายตัดสินใจที่จะตัดความสัมพันธ์กับรุ่นพี่ชิมิซึแล้วนะ”

“ป...เปล่าสักหน่อย ยังคงเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันเหมือนเดิม”คนพูดกล่าวบอกเสียงเบาพลางก้มหน้าลงมองมือตัวเอง ทาคุมิจึงย้ายที่ขยับไปนั่งใกล้ๆ

“นายรู้ใช่ไหมว่านายบอกฉันได้ทุกเรื่อง”

ฮารุโตะเงยหน้ามองคนถามและพยักหน้ารับ รวบรวมความคิดและรวบรวมแรงใจอีกเล็กน้อยเขาจึงเอ่ยปากไปว่า “มันอธิบายไม่ถูก แต่ผมรู้สึกว่า กับรุ่นพี่ชิมิซึอาจจะแค่รู้สึกผูกพันเฉยๆ หรืออาจจะเคยชินที่มีคนคอยดูแลเอาใจใส่ เพราะบางครั้งก็รู้สึกไม่ชอบสิ่งที่รุ่นพี่ทำเหมือนกัน บางครั้งก็กลัวว่ารุ่นพี่จะกลายเป็นเหมือนซากุราอิซัง”

“มันยังไม่เกิดขึ้นเลยจะกลัวไปทำไม”

ฮารุโตะอยากพูดออกไปว่า ซาโต้ซังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนั้น คุณไม่เข้าใจหรอก

“คนเรามีสิทธิ์กลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิด แต่การก้าวผ่านความกลัวที่ว่าก็นับว่าเป็นความเข้มแข็งอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ ถ้าเอาแต่กลัว อาจจะทำให้เราพลาดเรื่องดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอก ในอนาคตข้างหน้านายอาจจะมีความสุขมากกกกกก”ทาคุมิลากเสียงยาวเพื่อบ่งบอกว่ามากอย่างไม่มีอะไรเปรียบ “ที่ได้อยู่กับรุ่นพี่ชิมิซึ หรืออาจจะเสียใจเพราะต้องเลิกกัน แต่มันก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ และยิ่งไม่มีใครรู้เลยถ้านายปฏิเสธตั้งแต่วันนี้ ไม่เป็นไรหรอก นายมีฉัน อย่างน้อยฉันต้องอยู่เป็นเพื่อนนายไปอีกสองปี”

“เอ๊ะ... แล้วหลังจากนั้นล่ะ”ฮารุโตะถามหน้าตาตื่น

“ก็นายมีที่ทำงานอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ ส่วนฉันต้องไปตายเอาดาบหน้า ไม่แน่ว่าเราสองคนอาจจะได้งานคนละที่ คงไม่ได้เจอกันบ่อยๆแบบนี้ แน่นอนว่าความเป็นเพื่อนของเราสองคนยังคงอยู่ แต่ฉันคงไม่มีโอกาสอยู่กับนายตลอดเวลาเหมือนทุกวันนี้”

เด็กหนุ่มร่างเล็กหน้าสลด

“รู้อย่างนี้แล้ว ยังอยากเลิกคบกับฉันไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะเพราะมีความหวังว่า ทาคุมิอาจจะได้เข้าทำงานที่เดียวกับตนก็เป็นได้

“แล้วกับรุ่นพี่ชิมิซึ ทำไมถึงไม่ทำแบบเดียวกันล่ะ คนเราน่ะพบเพื่อจากนะ เพราะฉะนั้นตอนที่มีโอกาสอยู่ด้วยกันต้องรู้จักกอบโกยความสุขเข้าไว้”

“แต่จู่ๆมาอยู่ที่นี่ มาอยู่ในฐานะอะไรล่ะ”เสียงพูดเบาๆนั่นทำให้ทาคุมิยกยิ้ม ยกนิ้วจิ้มแก้มฮารุโตะด้วยอาการล้อเลียน

“อ่อ งอนใช่ไหมล่ะ งอนเพราะรุ่นพี่ไม่ยอมพูดออกมาให้ชัดเจนใช่ม๊า”ทาคุมิหัวเราะ พึมพำต่อไปอีกว่า คิดไว้แล้วเชียว

“ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก อยู่แบบมึนๆเหมือนฉันนี่ล่ะ”คนพูดส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ทีแรกฮารุโตะทำหน้างอที่โดนพูดล้อ แต่เมื่อเห็นทาคุมิส่งเสียงหัวเราะ เขาจึงยกยิ้มออกมาบ้าง

ตกสายๆพวกเขาจึงออกจากบ้านไปทำงานพิเศษอีกที่จนหมดเวลาทำงาน ทาคุมิจึงแยกย้ายกับฮารุโตะ

“วันนี้ฉันกลับบ้านนะ แล้วนายหลังเลิกงานจะกลับอย่างไรล่ะ อืม... ต้องถามว่าจะไปนอนไหนถึงจะถูกดิ”

ตอนที่ย้ายไปอยู่บ้านหนุ่มรุ่นพี่ ฮารุโตะแทบไม่ได้เอาของอะไรไป รุ่นพี่ชิมิซึซื้อเสื้อผ้าข้าวของให้เขาใหม่ ของที่ต้องขนออกมีแค่สมุดหนังสือ และวันนี้เขาก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัวออกมาด้วย เพราะยังลังเลว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิต

ทาคุมิยังอุตส่าห์ใจดียืนรอให้เขาคิด

“ถ้ายังคิดไม่ได้เดี๋ยวตัดสินใจให้ป่ะ”เพื่อนหนุ่มที่ตัวสูงกว่าเขาเอ่ยถาม แล้วยื่นมือมาขอโทรศัพท์มือถือ ฮารุโตะยอมส่งให้ซึ่งทาคุมิเอาไปกดยิกๆ อยู่ครู่ใหญ่จึงส่งคืน

“แล้วคืนนี้ รอรุ่นพี่ชิมิซึมารับด้วยล่ะ”

“ทำแบบนี้จะดีหรือ รุ่นพี่ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานอีก”

ชิมิซึ ซากิไม่เคยบอกใครว่าต้องออกจากบ้านแต่เช้าทุกวันเพื่อไปทำอะไร ทั้งฮารุโตะและทาคุมิจึงเข้าใจว่า ชายหนุ่มออกไปทำงาน อีกประการหนึ่ง ทั้งกลุ่มเพื่อนและหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนต่างรู้ว่า ซากสอบติดเป็นพนักงานของรัฐ และจะเริ่มทำงานที่ ‘ที่ว่าการเมือง’ ตั้งแต่เดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป

“คิดมาก ที่ว่าการเมืองอยู่ใกล้แค่นี้เอง ทีนายล่ะตื่นหกโมงทุกวันไม่รู้สึกง่วงบ้างหรือ อย่างรุ่นพี่ชิมิซึอ่ะ ถ้าเขาไม่ไหวจริงๆ เขาไม่มาอดทนอยู่หรอก พอถึงตอนนั้นแล้วค่อยมาคิดว่าจะทำอย่างไรต่อ โอเคไหม”

ฮารุโตะจำยอมต้องพยักหน้ารับด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ ทาคุมิจึงย้ำให้ฟังเพิ่มเติม

“อยู่บ้านรุ่นพี่ชิมิซึดีออกจะตาย นายเลิกงานดึกๆนึกอยากจะแช่น้ำร้อนก็ทำได้ แต่ถ้าอยู่ที่ห้องนายมีแต่น้ำเย็น  วันไหนเหงื่อออกอบอ้าวแต่พอตกดึกน้ำเย็นมากนายจะกล้าอาบน้ำหรือ ทนนอนแบบเหนียวตัวแบบนั้นจะนอนสบายได้อย่างไร ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า นายก็ช่วยทำอาหารเช้าเย็นตอบแทนให้แล้ว”

“แต่เมื่อเช้ารุ่นพี่ไม่ได้กินข้าว”

ทาคุมิกลอกตาพลางโคลงศีรษะ นึกเบื่อและรำคาญนิสัยนี้ของฮารุโตะอยู่เหมือนกัน

“งั้นเพิ่มข้าวกล่องมื้อกลางวัน  สามมื้อแล้ว ถ้าเป็นฉัน ฉันคิดว่าคุ้ม ถ้านายยังไม่แน่ใจเดี๋ยวส่งข้อความไปถามรุ่นพี่ให้”

“ไม่ต้องหรอก”ฮารุโตะรีบปฏิเสธ ก่อนจะบอกลาแยกย้ายเพราะต้องไปทำอาหารมื้อเย็นเตรียมไว้ให้หนุ่มรุ่นพี่เจ้าของบ้าน เมื่อใกล้เวลาเข้างาน จึงออกจากบ้านมารอรถประจำทาง

ที่จริงบ้านของรุ่นพี่ชิมิซึไม่ได้ไกลจากที่ทำงานพิเศษของเขามากถ้าเดินทางด้วยรถยนต์ เพียงแต่ฮารุโตะเลิกงานหลังหมดเวลาให้บริการของรถสาธารณะเที่ยวสุดท้าย จากที่ไม่ไกลจึงไกลมากโข ไม่นึกแปลกใจเลยว่าวันไหนที่รุ่นพี่มารอรับเขาที่ทำงานถึงต้องอยู่ค้างคืนด้วยทุกครั้ง แต่กระนั้นเมื่อก่อนเขาไม่เคยนึกถึงเหตุผลข้อนี้ ตอนนั้นมีเพียงความรู้สึกยินดีที่มีใครสักคนมาคอยอยู่ข้างกัน

ตอนที่ฮารุโตะอาศัยอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ เด็กหนุ่มเคยรู้สึกแปลกแยกโดดเดี่ยว ทว่าความรู้สึกนั้นมันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความเงียบเหงาของการใช้ชีวิตอยู่คนเดียว เพราะอย่างน้อยไม่ว่าจะมองซ้ายหรือขวา เขายังเห็นเด็กคนอื่นๆนอนอยู่บนเตียงใกล้ๆกัน บางวันก็มีเด็กเล็กมาชวนเขาไปเล่นด้วย ก่อนออกจากบ้านอุปถัมภ์เขามีแต่ความคิดคาดหวังกับชีวิตใหม่

ฮารุโตะยกยิ้มเศร้า เรื่องจริงที่ต้องเจอมักต่างกับความฝันเสมอ

เขาหวนนึกถึงหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงอีกครั้ง สาเหตุที่เขาลังเลใจเพราะรุ่นพี่ชิมิซึก็ต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นคนเดียวเหมือนกัน ตั้งแต่ที่เขาอยู่ที่นั่นมา ยังไม่เคยเจอพ่อของรุ่นพี่สักครั้ง ไม่รู้ว่าต้องมีงานยุ่งขนาดไหน ถึงไม่ได้กลับบ้านร่วมเดือนขนาดนั้น ฮารุโตะนึกสงสัยในใจ

เด็กหนุ่มลงจากรถเมื่อถึงป้ายหยุดรถประจำทาง เดินเท้าต่อไปอีกเล็กน้อยจึงจะถึงร้านมินิมาร์ทซึ่งเป็นที่ทำงานพิเศษ เขารูดบัตรเข้าทำงาน และแวะเข้าห้องล็อคเกอร์เพื่อเปลี่ยนเสื้อชุดฟอร์มของร้าน เมื่อเปิดประตูสำหรับพนักงานเข้าสู่พื้นที่หน้าร้าน เห็นมีลูกค้าต่อแถวยาว เขาจึงรีบมาเปิดเคาน์เตอร์กระทั่งจัดการแถวยาวเหยียดของลูกค้าช่วงเย็นได้หมด ฮารุโตะจึงกล่าวบอกขอไปทำความสะอาดพื้น ทว่าเขากลับโดนผู้จัดการร้านเรียกหยุดไว้ก่อน

ฮารุโตะถูกเชิญให้เข้าไปนั่งคุยในห้องของผู้จัดการ หัวใจของเขาเต้นตุ๊มๆต่อมๆ ตื่นเต้นระคนหวั่นกลัวเพราะไม่รู้ว่าโดนเรียกคุยด้วยสาเหตุอะไร

“ก่อนที่คุณจะลาออกไปครั้งก่อน ช่วงเดือนพฤษภาคมที่คุณทำยอดเงินจริงหายไปสามหมื่นเยน และบริษัทมีการหักเงินค่าแรงคุณตามกฎ”

ฮารุโตะพยักหน้าและส่งเสียงขานรับ กังวลไปต่างๆนานาว่า ตัวเองจะทำอะไรผิดพลาดอีก

“เนื่องจากทางเราสืบทราบว่า คุณถูกขโมยเงินไปจากเคาน์เตอร์ บริษัทจะคืนเงินให้คุณ แต่ทางเราต้องการให้คุณให้ปากคำยืนยันการเป็นผู้เสียหาย คุณจะติดปัญหาอะไรหรือเปล่า”

แค่ได้ยินว่าจะได้เงินคืน หัวใจที่เคยเต้นช้าลงเพราะความกลัวก็พองตัวจนเหมือนจะลอยไปติดเพดาน ฮารุโตะยิ้มพยักหน้าตอบรับตกลงอย่างยินดี ฟังสิ่งที่ผู้จัดการอธิบายอีกนิดหน่อย เขาจึงถูกปล่อยตัวให้กลับไปทำงาน คืนนั้นเมื่อไดกิมาเข้าทำงาน เขาจึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง และเล่าให้หนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงผู้ซึ่งมารอรับเขาหลังเลิกงานฟังอีกรอบ

“ดีใจด้วย”รุ่นพี่ชิมิซึยิ้มพร้อมกับพูดคำนั้น

ฮารุโตะยิ่งอิ่มเอมใจ ไม่ว่าจะไดกิซังหรือรุ่นพี่ชิมิซึต่างล้วนดีใจกับเขา



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-04-2017 05:10:34 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'

“ผมว่าสร้อยใบโคลเวอร์นี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆด้วยล่ะครับ”เด็กหนุ่มล้วงหยิบจี้ประดับเพชรซึ่งซ่อนอยู่ในเสื้อออกมาดู แสงไฟข้างทางตกกระทบเหลี่ยมเพชรจนทำให้เกิดประกายพร่างพราว

ซากิซึ่งกำลังตั้งสมาธิกับการบังคับรถยนต์และถนนเบื้องหน้าเหลือบสายตามองคนพูดเล็กน้อย ไฟข้างทางไม่สว่างพอให้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มรุ่นน้องได้ชัดเจน

“อย่างนั้นใส่ติดตัวไว้อย่าถอดเชียวล่ะ หรือถ้าจำเป็นจริงๆ ให้ใส่กระเป๋าติดตัวไว้ตลอด เข้าใจไหม”

“ครับ แน่นอน”ฮารุโตะรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น



โองาวะ อิซามุกำลังนั่งมองลูกชายคนเดียวของนายจ้างผู้ซึ่งยอมทุ่มเงินมากมายเพื่อดัดนิสัยลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ด้วยการออกทุนการศึกษาให้เด็กสามคน อันได้แก่ตัวเขา มิชิโอะ และมิอุระ ฮารุโตะ นอกจากนั้นยังซื้อบ้านให้ชุนอยู่ จ่ายเงินสนับสนุนทุนวิจัยอีกมหาศาลให้มหาวิทยาลัยเพื่อให้ลูกชายได้เข้าเรียน อิซามุพอจะเข้าใจว่า คนรวยมีเงินจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่เขารู้สึกเสียดายเงินทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ เพราะถ้าเป็นเขา เขาจะดัดนิสัยชุนให้ได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะแตกแถว

ทว่าเมื่อได้มาเผชิญหน้ากับชุนจริงๆ อิซามุถึงได้รับรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย

ซากุราอิ ชุนหยิ่งผยองเพราะเกิดมาอยู่เหนือผู้อื่น แต่ความลำพองนั้นผสมความกักขฬะไว้อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งอิซามุคิดว่านิสัยเหล่านั้นน่าจะได้อิทธิพลมาจากกลุ่มแก็งอันธพาลที่ชุนเข้าไปฝังตัวอยู่ตอนสมัยมัธยม มองเผินๆชุนจึงเหมือนกุ๊ยข้างถนนมากกว่านักเลง ทั้งยังใจร้อน หุนหัน และไร้สมองจนน่าอ่อนใจ และถึงแม้ก่อนที่เขาจะตกลงรับงาน เขาจะเตรียมใจไว้แล้วก็ตาม แต่อิซามุยังอยากจะถอนหายใจซ้ำอีกหลายๆรอบ

ชุนยังต่อยกระสอบทรายด้วยแรงอันหนักหน่วงเหมือนครั้งสุดท้ายที่เขาเคยมาดู ต่อให้อารมณ์ของชุนอยู่ในสภาพปกติ น้ำหนักมือและเท้าของฝ่ายนั้นก็ยังทำให้ผู้ชายขนาดตัวใกล้ๆกันลงไปกองกับพื้นได้ และพวกเขารู้ว่าชุนมีความสุขกับการชกกับคนจริงๆมากกว่ากระสอบทรายซึ่งน่าจะเป็นผลจากสมัยมัธยมเช่นเดียวกัน ดังนั้น มิชิโอะจึงยอมชกมวยกับชุนบ่อยๆ แต่เพราะซากุราอิ ชุนมักจะแพ้อยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังออกอาการหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม มิชิโอะจึงยอมให้ชุนไปหาเรื่องระรานมิอุระซัง

ซึ่งถ้าพวกเขาได้รู้สาเหตุที่แท้จริงที่ชุนเจาะจงว่าต้องเป็นมิอุระ ฮารุโตะแล้วละก็ พวกเขาคงไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น

ทว่าเมื่อคิดทบทวนไปมา ส่วนหนึ่งมันอาจเป็นเพราะเขาด้วยเช่นกัน

เขาเอะใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นการกระทำของชุนซึ่งปฏิบัติต่อมิอุระ ฮารุโตะ วิธีการเด็กๆที่ดูน่าตลก เขาจึงพูดออกไปตามที่คิด ในทางกลับกัน ถ้าเขาอยู่เฉยๆ ไม่เข้าไปวุ่นวาย ชุนก็คงทำในสิ่งที่น่าตลกแต่ไม่ทำให้ใครเจ็บตัว

ในขณะเดียวกัน มิชิโอะก็รู้สึกผิดที่ทำให้มิอุระ ฮารุโตะรู้สึกแย่กับการกลั่นแกล้งของชุนมากกว่าเดิม

“ช่วงนี้เป็นไงบ้างล่ะ”อิซามุเอ่ยถาม เมื่อมิชิโอะเดินออกมาหยุดพักดื่มน้ำ

“เงียบสงบเรียบร้อยจนน่ากลัว”คนถูกถามตอบออกไปก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง

หน้าที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องการเรียนและควบคุมการประพฤติของชุนไม่ใช่งานที่ยุ่งยาก พวกเขามีหน้าที่ตัดสินใจ ออกคำสั่งบังคับให้ชุนทำตามคล้ายๆการฝึกสัตว์เลี้ยง รายงานข้อมูลความประพฤติและเหตุการณ์ที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้ให้พญาราชสีห์รับทราบ เพื่อให้มาจัดการสิ่งที่นอกเหนือการควบคุม ทุกอย่างสบายและราบรื่นจนมาเจอเรื่องของมิอุระ ฮารุโตะ

ซากุราอิ ชุนหาทางหนีไปจากสายตาของพวกเขาทั้งคู่หลายครั้งเพื่อไปหามิอุระ ฮารุโตะ และเกือบทุกครั้งที่ได้เจอเด็กหนุ่มร่างเล็ก ชุนจะต้องไปก่อเรื่องอะไรสักอย่างกลับมา

อย่างไรก็ดี ซากุราอิ ฮิเดอากิกลับไม่มีท่าทีแปลกใจ จนเขานึกสงสัยว่าการที่มิอุระ ฮารุโตะได้ทุนการศึกษามาเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้อาจจะเป็นแผนของผู้ชายคนนั้นด้วยเหมือนกัน

“คนที่ขอมายังอยู่ใช่ไหม”

“อืม ในยิม ข้างนอก”

อิซามุจึงกวาดสายตามอง ไม่มีผู้คนที่มีท่าทางเหมือนเป็นคนของพวกเขา แต่เขาไม่ได้ถามเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ด้านข้าง เพราะถือว่าเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของอีกฝ่าย หลังจากเจรจาให้ชุนได้ใช้เวลาร่วมกันกับมิอุระ ฮารุโตะ พวกเขาจึงตกลงกันว่า ครั้งนี้จะต้องทำให้ชุนเปลี่ยนนิสัยให้ได้ อย่างน้อยต้องให้มีความอดทนอยู่ในระดับของคนปกติ ต้องรู้จักรอคอยและยอมรับผลการกระทำของตน

การทำให้มิอุระ ฮารุโตะกลับมาญาติดีกับชุนไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขาก็จริง แต่เพราะมันส่งผลกระทบต่อผลการเรียนและคะแนนการสอบของชุน พวกเขาจึงมองข้ามมันไปไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดคือต้องให้ชุนอยู่อย่างสงบเสงี่ยมตลอดปิดเทอม ทิ้งระยะเวลาให้มิอุระ ฮารุโตะลดอาการระแวดระวังที่มีต่อชุน แล้วเริ่มต้นสร้างความคุ้นเคยกันใหม่ เขาและมิชิโอะเห็นพ้องกันว่า วิธีนี้น่าจะเป็นหนทางละมุนละม่อมที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และขณะที่บอกวิธีการให้ซากุราอิ ชุนฟัง อีกฝ่ายยอมนิ่งฟังแต่โดยดี กระนั้นพวกเขายังคงไม่วางใจ

อิซามุรอจนชุนหยุดพักจึงเดินเข้าไปหา

“ฉันนัดวันเดทให้นายใหม่แล้วนะ”

ชุนหันมาพยักหน้ารับ

“กินข้าวมื้อเที่ยงในร้านอาหาร วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ กินเสร็จแล้วก็แยกย้าย”อิซามุบอกรายละเอียดเพิ่มเติม “มิชิโอะไปด้วยก็จริงแต่จะนั่งอีกโต๊ะ”

“แล้วไง ไอ้พวกรุ่นพี่ห่าเหวก็ตามมาขวางอยู่ดี”
“นายก็พูดกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพว่า ‘ผมขอทานอาหารกับฮารุโตะสองคนได้ไหมครับ ผมรับรองว่าไม่ทำอะไรที่เป็นการคุกคาม คุณได้นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ รับรองว่าคุณจะเข้ามาถึงตัวผมทันก่อนที่ผมจะทำให้ฮารุโตะกลัวแน่นอน’ พูดประโยคที่ฉันบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทำได้ไหม”

“เหอะ”ชุนแค่นเสียงขึ้นจมูก

“จะทำหรือไม่ทำ ชุน”

“เออ ทำ”คู่สนทนากระแทกเสียงตอบ

เขาจึงจบการสนทนาลงเพียงแค่นั้น แต่ก่อนชุนไม่ได้ท่าทีมึนตึงกับเขามากนัก แต่หลังจากมีเรื่องวุ่นวายของมิอุระ ฮารุโตะที่เหมือนจะพลิกโผจากความคาดหวังของชุนไปไกล เขาสองคนจึงดูเหมือนว่าจะถูกเกลียดขี้หน้าไปด้วย



ชุนแต่งตัวเสร็จออกจากห้องมาตอนประมาณสิบเอ็ดโมง ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นที่อีกฝ่ายจองไว้อยู่ห่างจากบ้านของเขาไปประมาณครึ่งชั่วโมง ดังนั้นถึงจะทำเป็นไม่สนใจแต่เขายังคงตื่นเต้นมากอยู่ดี และแม้จะยังครุ่นคิดถึงวิธีการที่ให้ได้คุยกับฮารุโตะโดยไม่มีคนอื่นมานั่งจ้องเป็นโขยงอยู่ทุกขณะจิต ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อยากปล่อยผ่านโอกาสที่อิซามุหามาให้

เขาก้าวเท้าเข้าไปในร้านก่อนถึงเวลานัดร่วมยี่สิบนาที ทว่ายังมาช้ากว่าคู่นัดหมายที่ปรากฏว่ามานั่งรอ ทั้งยังสั่งอาหารมาทานบ้างแล้ว

“ขอโทษทีนะ พอดีมิอุระหิวแล้วน่ะ”

ที่สำคัญคนที่มากับฮารุโตะยังเป็นหนุ่มรุ่นพี่ที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับอดีตเพื่อนสนิทของเขา ชุนนึกอยากจะหมุนตัวหันหลังกลับเสียเดี๋ยวนั้น ถึงกระนั้นเขายังคงยืนนิ่งอย่างตัดสินใจไม่ได้

“มีอะไรหรือเปล่า”ชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่าเอ่ยปากถาม คล้ายเร่งให้เขาตัดสินใจ ฝ่ายฮารุโตะเอาแต่คีบซาชิมิเข้าปากโดยไม่นึกสนใจเขาสักนิด

มิชิโอะที่มาหยุดยืนอยู่ข้างกันจึงเอ่ยกระซิบถาม “ถ้าไม่อยากอยู่ก็กลับ แต่ไม่ว่านัดครั้งไหนก็ต้องเป็นแบบนี้ทั้งนั้น แต่ถ้านายทำให้ฝ่ายนั้นไว้ใจได้ ฉันเชื่อว่านายต้องมีโอกาสได้อยู่กับมิอุระซังสองต่อสองแน่”

แต่เขาไม่อยากรอ ชุนบอกกับตัวเองในใจ

อย่างไรก็ตาม เขาได้ก้าวไปทรุดตัวลงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยามนั้น ฮารุโตะถึงได้เงยหน้าขึ้นมากล่าวทักทายก่อนจะยกเมนูขึ้นมาดู

“แพงจัง”ฮารุโตะบ่นเสียงเบาราวกับต้องการพูดให้หนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างๆได้ยินเท่านั้น ชายหนุ่มร่างสูงจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบาๆไม่ต่างกันว่า

“สั่งไปเถอะน่า นานๆกินทีไม่เป็นไรหรอก”

“มื้อนี้ให้ผมเลี้ยงดีไหมครับ”ชุนถามด้วยรอยยิ้ม พยายามบังคับตัวเองให้สุภาพมากที่สุดอย่างที่อิซามุได้แนะนำไว้

“ฮารุโตะพรุ่งนี้เราสองคนมากินข้าวด้วยกันอีกดีไหม ฉันรู้จักร้านอร่อยๆเยอะเลยนะ ฉันเลี้ยงนายเอง พามากินอาหารข้างนอกทุกวันยังได้เลยนะ สบายมาก”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ “ไม่เอาหรอก เปลือง ฟุ่มเฟือยใช้เงินไม่รู้จักคิด”

ชุนได้แต่ยิ้มค้างเพราะโดนด่าเข้าเต็มๆ

“ไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องนั้นแทนซากุราอิซังหรอกน่า พ่อของซากุราอิซังรวยมากนะ”ซากิพูด

“นั่นยิ่งแล้วใหญ่ เงินตัวเองหามารึก็ไม่ใช่ยังกล้าเสนอหน้ามาเลี้ยงคนอื่นอีก”

ซากิแอบยิ้มขำเหลือบมองซากุราอิ ชุนที่หน้าเปลี่ยนสีจืดเจื่อนก่อนจะกลายเป็นสีแดงก่ำราวกับกำลังโมโห จำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเอ่ยปากอาสาจ่ายค่าห้องให้ฮารุโตะ ตอนนั้นหนุ่มรุ่นน้องก็ชักสีหน้าดูถูกเอ่ยถามเขาเหมือนกัน จะต่างกันตรงที่ คำพูดคำจาที่ใช้กับเขายังสุภาพ  ชายหนุ่มคิดว่าคงต้องหิ้วอะไรไปฝากทาคุมิเสียหน่อย เป็นรางวัลที่ทำให้ฮารุโตะปากกล้าถึงเพียงนี้

“แต่วันนี้ยังไม่ต้องคิดจะประหยัดนะ อยากกินอะไรก็สั่ง”ซากิบอกเมื่อเห็นฮารุโตะเปิดเมนูวนไปสองรอบ ก่อนจะส่งเมนูให้ซากุราอิ ชุนได้สั่งอาหารเหมือนกัน

“เชิญซากุราอิซังสั่งอาหารได้เต็มที่เหมือนกันนะครับ ครั้งนี้ขอผมเป็นฝ่ายเลี้ยงเอง”

ชุนที่กำลังโมโหเพราะอีกฝ่ายทำให้ฮารุโตะด่าเขาถึงสองรอบ กำลังนึกอยากแก้แค้นคืนพอดี เขาเปิดหาเมนูที่แพงที่สุด ตั้งใจว่าจะถล่มชายหนุ่มตรงหน้าให้หมดตัว แต่กระนั้นกลับโดนกระซิบเตือนไว้เสียก่อน

“อย่าสั่งอะไรที่มันเว่อร์ไปนัก เดี๋ยวก็โดนมิอุระซังด่าอีกรอบหรอก”

ชุนเหลือบมองมิชิโอะด้วยอาการฮึดฮัด กระนั้นกลับเปิดไปหน้าเมนูอาหารชุด ก่อนที่เสียงพูดคุยสนทนาของสองคนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจะดังมาให้ได้ยิน จึงต้องเงยหน้ามองคนทั้งคู่ที่นั่งเบียดชิดเพื่อดูเมนูเล่มเดียวกัน

“ไม่ต้องเลือกแบบที่เป็นเซ็ตหรอก เลือกแบบที่เป็นจานเดี่ยวแบบนี้จะได้เลือกทานได้หลายๆอย่าง”

“แต่มันแพงนี่ครับ ลองบวกราคารวมกันแพงกว่าที่จัดเซ็ตไว้อีก”

“บอกว่าไม่ต้องสนใจเรื่องราคาไง”ซากิวางมือบนศีรษะของฮารุโตะพลางโยกเบาๆ พลางพูดย้ำให้ฟังอีกรอบ“นานๆถึงมาทานสักที”

“นานๆซะที่ไหน ช่วงก่อนที่ผมแขนเจ็บก็ได้ออกมาทานข้างนอกทุกวัน”

“นั่นมันเหตุสุดวิสัย แล้วก็ไปทานที่ร้านอาหารครอบครัว ราคามันไม่แพงขนาดนั้น เอาน่าถือว่าเลี้ยงฉลองวันเกิดล่วงหน้า”

“ร...รุ่นพี่อาโอกิจะจัดปาร์ตี้ให้อยู่แล้วเหอะ”

ชุนต้องส่งเสียงกระแอมกระไอเมื่อทั้งคู่ทำเหมือนกำลังอยู่กันเพียงตามลำพังมากขึ้น “ผมสั่งอาหารได้เลยไหมครับ” เขากัดฟันพูด

“ได้เลยครับ”ซากิตอบรับพร้อมกดกริ่งเรียกพนักงาน เขาจองห้องทานอาหารแบบส่วนตัวไว้ ดังนั้นต้องรออยู่ครู่หนึ่งกว่าพนักงานจะเปิดประตูบานเลื่อนเข้ามา ชายหนุ่มแจ้งพนักงานว่าจะสั่งอาหารและผายมือให้ซากุราอิ ชุนได้สั่งอาหารก่อน หลังสั่งอาหารเสร็จ เขาจึงหันไปชวนอีกฝ่ายพูดคุย

“ซากุราอิซังมาจากฟุคุชิม่าใช่ไหมครับ”

คนถูกถามเลิกคิ้วแปลกใจ

“มิอุระเคยเล่าว่าย้ายมาจากที่นั่นน่ะครับ”

ชุนจึงตอบรับ

“แล้วอย่างปิดเทอมได้กลับบ้านหรือเปล่า”

“ปีที่แล้วก็กลับครับ แต่ปีนี้คิดว่าคงไม่”

ซากิเห็นสายตาของชุนจึงเหลือบมองคนข้างตัว ทันได้เห็นฮารุโตะกำลังทำหน้าไม่ชอบใจ จึงคะยั้นคะยอให้ฮารุโตะเอ่ยปากคุยกับซากุราอิ ชุน

ชุนจึงกลอกตาด้วยความหมั่นไส้ที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ทำตัวราวกับผู้ปกครองของฮารุโตะ  การทานอาหารมื้อนั้นผ่านไปอย่างกระท่อนกระแท่นกระอักกระอ่วนในความรู้สึกของชุน เขาได้คุยกับฮารุโตะไม่กี่ประโยคเท่านั้น ซ้ำบางครั้งบางคราวยังกลืนอะไรแทบไม่ลงเพราะความคุกรุ่นมันจุกอก กระนั้นเขาก็อดทนจนมันผ่านพ้นไป และยืนรอส่งจนรถยนต์ของทั้งสองคนออกจากลานจอดรถไปแล้ว จึงเอ่ยกับมิชิโอะว่า

“ขอไปเข้าห้องน้ำหน่อย”

“อ้าว ก่อนออกจากร้านไม่ไปเข้าล่ะ”มิชิโอะร้องทัก แต่ชุนไม่ได้ใส่ใจ เขาเดินก้าวเท้าฉับๆกลับเข้าไปด้านในของร้าน เมื่อเจอพนักงานจึงเอ่ยบอกของเข้าห้องน้ำ เปิดประตูเข้าไปด้านใน เขาจึงได้เจอคนที่นัดไว้ยืนรออยู่แล้ว อีกฝ่ายส่งของที่เขาสั่งไว้มาให้ ชุนจึงยื่นเงินตามจำนวนที่ตกลงกลับคืนไป

“หารถให้ด้วยนะ”

“ได้ จะใช้วันไหนให้โทรบอกล่วงหน้าสักสองสามชั่วโมง”

ชุนตอบรับจากนั้นจึงหมุนตัวหันหลังกลับ อารมณ์ดีขึ้นอย่างทันตาเห็น ก่อนจะต้องปรับสีหน้าเพราะมิชิโอะเอ่ยปากทัก

“แค่ไปเข้าห้องน้ำมีอะไรดีขนาดนั้นเลยหรือ”

“เปล่า”ชุนพยายามตอบด้วยน้ำเสียงปกติ เดินไปเปิดประตูรถยนต์และก้าวเท้าขึ้นประจำที่นั่งตอนหลัง เขาคิดหาวิธีหลบสายตาของเหล่าผู้คนที่คอยเฝ้าเขาได้แล้ว ตอนนี้เหลือแค่เพียงรอโอกาสเหมาะๆเท่านั้น



มิอุระ ฮารุโตะดึงจี้รูปใบโคลเวอร์ออกมาดูพลางครุ่นคิด เขานั่งอยู่ในรถยนต์ที่มีชายหนุ่มรุ่นพี่เป็นสารถีซึ่งกำลังเคลื่อนที่อยู่บนท้องถนนมุ่งหน้าไปยังบ้านของคนขับ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองสองข้างทางที่ทิวทัศน์รอบด้านกำลังจะเปลี่ยนจากฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ วันเวลาไม่เคยหยุดรอใครและทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

วันศุกร์หน้าจะมีพิธีจบการศึกษาของพวกรุ่นพี่ปีสี่ และเย็นวันนั้นสมาชิกในชมรมมีนัดหมายกันไปเที่ยวฉลองงานอำลากลุ่มรุ่นพี่ที่จบการศึกษา เวลาที่เขาควรตัดสินใจงวดใกล้เข้ามาทุกที

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ”ฮารุโตะเอ่ยปากเรียกหันไปมองหน้าคนขับซึ่งเขาได้สบตากับอีกฝ่ายชั่วครู่ ยามที่ชายหนุ่มหันมามอง

“รุ่นพี่คิดว่า ผมกับซากุราอิซังจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม”

ซากินิ่งเงียบ เป็นคำถามที่เขาไม่กล้าตอบเช่นเดียวกัน ฮารุโตะอาจจะคิดกับชุนแค่เพื่อน แต่ชุนไม่ได้ต้องการแค่นั้น และเขาคิดว่า ชุนคงไม่ยอมให้จบลงแค่นั้น

“เมื่อก่อนตอนที่ยังสนิทกับซากุราอิซัง นายเรียกเขาว่าอะไร”ซากิเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น

“ชุนคุง”

ชายหนุ่มเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง อีกฝ่ายปล่อยให้สายตาล่องลอยไปไกลคล้ายกำลังหวนนึกถึงความหลัง ก่อนหันสายตากลับมาตั้งสมาธิกับถนนหนทางเบื้องหน้าเมื่อสัมผัสได้ถึงอาการแสบร้อนภายในโพรงจมูก

“ทำไมถึงเปลี่ยนวิธีการเรียกล่ะ”

“เพราะเขาเปลี่ยนไป”น้ำเสียงฟังดูเหมือนโหยหาอาวรณ์วันเวลาที่ผันผ่าน

“นายคงสนิทกับซากุราอิซังมาก”

ฮารุโตะนิ่งเงียบไปอีกหลายอึดใจ “เขาเป็นเพื่อนคนแรก เป็นคนที่เรียกว่าเพื่อนได้อย่างเต็มปากเป็นคนแรก” เขากำจี้ในมือไว้แน่นราวกับว่ามันจะส่งพลังความเข้มแข็งมาให้ ขณะสูดลมหายใจเพื่อข่มกลั้นความรู้สึกขมปร่าซึ่งตีตื้นขึ้นมากลางอก

“ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ผมต้องเป็นเหยื่อของการถูกกลั่นแกล้งมาตลอด ตอนขึ้นชั้นประถมจู่ๆแม่ก็หายออกไปจากบ้าน ตอนนั้นพวกเพื่อนๆในห้องก็ล้อเลียนว่า แม่หนีไปกับผู้ชายอื่น แม่มีชู้ ผมยังไม่รู้ความหมายของมันด้วยซ้ำ แต่มันก็รู้สึกได้ว่าเป็นคำที่ไม่ดี ผมเลยเข้าไปต่อยคนที่พูดแต่สุดท้ายก็โดนรุมทำร้ายกลับมา จำได้ว่าเจ็บไปทั้งตัว ตั้งแต่นั้นมาเลยไม่กล้ามีเรื่องกับใครอีก ใครจะล้อเลียนก็ปล่อยให้เขาทำไป ถ้าไม่เก็บมาใส่ใจ คำล้อเลียนมันก็แค่คำพูด”แต่ความจริง คำพูดเหล่านั้นมันฝังลึกอยู่ในใจของเด็กหนุ่มเสมอมาก แม้จะพยายามบอกตัวเองสักเท่าไหร่ ลมปากชุ่ยๆของคนอื่นยังคงกดเขาให้ต่ำจมดินอยู่เสมอ

“พอ...พ่อออกไปจากบ้าน แล้วผมถูกส่งไปอยู่บ้านอุปถัมภ์ เลยต้องเปลี่ยนโรงเรียนใหม่ด้วย ซากุราอิซังเขาเป็นคนแรกที่เข้ามาทัก แต่ตอนนั้นผมไม่อยากคุยกับใคร ที่จริงผมไม่อยากไปโรงเรียนด้วยซ้ำแต่ไม่กล้าบอกใคร แรกๆซากุราอิซังเขาชอบปายางลบใส่ผม ก้อนกระดาษบ้าง เครื่องบินกระดาษบ้าง แต่ชอบทำอะไรแปลกๆที่ดูตลกด้วย ทุกคนในห้องชอบเขาทั้งนั้น จนวันหนึ่ง มีเพื่อนในห้องเขาเดินไม่ระวังจนทำให้ขนมของหวานในมื้อกลางวันส่วนของผมหก แล้วซากุราอิซังก็แบ่งส่วนของตัวเองให้ผม ตอนเด็กๆ ผมตัดสินคนดีกับคนไม่ดีตรงที่ ใครให้ขนมผมเขาเป็นคนดี ใครไม่ให้ขนมกับผมเขาเป็นคนไม่ดี”ประโยคสุดท้ายฮารุโตะพูดพร้อมเสียงหัวเราะ

“ครูที่โรงเรียนไม่เคยสอนหรือว่า ไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้า”

“สอนครับ แต่ผมไม่เคยเจอคนแปลกหน้านี่นา”

ซากิได้ฟัง เขายิ่งขมวดคิ้วสงสัย เมื่อฮารุโตะเห็นสีหน้าของหนุ่มรุ่นพี่เขาจึงส่งเสียงหัวเราะออกมาอีกรอบ

“ตอนนั้นผมคิดอย่างนั้นจริงๆ มีแต่คนไม่รู้จักแต่ไม่เคยคิดว่าใครเป็นคนแปลกหน้าเลย”

ชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาบ้าง พอจะเข้าใจได้เลาๆ

“อีกอย่างถ้าไม่ยอมรับมา ผมก็อดกินขนมนะสิ”เมื่อลองคิดย้อนกลับไปอย่างถี่ถ้วน ฮารุโตะคิดว่า ชีวิตของเขาก็ไม่ได้ย่ำแย่เกินไปนัก เพียงแต่ในยามนั้นเขามัวแต่จมจ่ออยู่กับความทุกข์โศกและความเศร้าเจ็บปวดจนไม่คิดอยากมองสิ่งใดเสียมากกว่า

“ซากุราอิซังเขาดีกับผมมากจริงๆนะครับ ดีจนยามที่เขาหายออกจากชีวิตไป โลกของผมกลายเป็นสีเทาเลยทีเดียว”

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปคืนดีกับซากุราอิซังเถอะ”ซากิบอกออกไปในที่สุด แม้จะรู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง แต่ตัวเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดขวางหนทางของความสุขในชีวิตของใคร

“แต่ผมก็โกรธซากุราอิซังมากเหมือนกัน โกรธคนพวกนั้นด้วย”คราวนี้น้ำเสียงของฮารุโตะมีแต่ความฉุนเฉียวจนซากิยังแปลกใจ เขาเหลือบมองหน้าฮารุโตะซ้ำอีกครั้งก่อนจะบังคับพวงมาลัยเลี้ยวเข้าบ้าน จอดรถยนต์ บิดดับกุญแจและเอี้ยวตัวไปมองฮารุโตะทั้งตัว

“ผมจะแก้แค้นก่อน จะเอาคืนให้ซากุราอิซังสำนึกผิดจริงๆก่อนจะยอมคืนดีด้วย”ฮารุโตะกล่าวบอกแก่หนุ่มรุ่นพี่ด้วยรอยยิ้มและสายตามุ่งมาด

ซากิยกยิ้มตอบรับ “นายมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น”

“เอ่อ อีกเรื่องหนึ่ง”ฮารุโตะพูดขึ้นมาอีกด้วยท่าทางคล้ายกำลังเกรงใจ ซากิพยักหน้ารับเป็นเชิงบ่งบอกให้พูดออกมาได้เลย แม้ว่าเขาจะเอื้อมหยิบอาหารที่ตนสั่งซื้อกลับมาฝากทาคุมิและเปิดประตูลงจากรถก็ตาม ฮารุโตะจึงลงจากรถยนต์พร้อมกับเดินมายืนดักตรงหน้า ชายหนุ่มร่างสูงจึงหยุดยืนเพื่อตั้งใจฟัง

“รุ่นพี่ชิมิซึจ่ายค่าห้องเช่าให้ผมอยู่ใช่ไหมครับ”เขาถามถึงห้องที่ไม่เคยได้กลับไปนอนมาเป็นระยะเวลานานเกือบเดือน

“ใช่”

“รุ่นพี่ไม่ต้องทำแบบนั้นแล้วครับ ผมเสียดายเงิน”

“แล้ว?”ซากิถามต่อ

“ผมจะขออนุญาตเปลี่ยนมาขอเช่าบ้านของรุ่นพี่อยู่แทนจะได้หรือเปล่าครับ”

ซากิมีสีหน้าครุ่นคิด การที่ฮารุโตะทำแบบนี้ก็เหมือนกับให้ความหวัง ทว่าสีหน้าแบบนั้นของชายหนุ่มกลับทำให้ฮารุโตะคิดไปอีกทาง

“ถ้ารุ่นพี่ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ”

“เดี๋ยว”ซากิคว้าจับมือของเด็กหนุ่มรุ่นน้องไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวเท้าหนี เขาไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจเช่นไร  เช่นเดียวกัน การยื้อรั้งฮารุโตะไว้ที่นี่ มันคือความเห็นแก่ตัวของเขา ขณะเดียวกันนั้นเขาไม่อยากให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องต้องรู้สึกอึดอัดใจ เขาจึงทิ้งระยะห่างและปล่อยให้ฮารุโตะได้อยู่กับคนที่ไว้ใจ

สิ่งที่เขาทำไม่ใช่การสำนึกผิดหรืออยากจะชดเชยสิ่งที่เคยทำไว้กับฮารุโตะ แม้ว่าการเข้าหาอีกฝ่ายในช่วงแรกอาจจะมีเหตุผลแอบแฝง แต่เขาคิดดีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำล้วนผ่านการไตร่ตรองถี่ถ้วน และเขายอมรับผลจากการกระทำของตัวเองหากมันไม่เป็นไปตามที่หวัง เพียงแต่เขาไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ

“เอาอย่างนั้นก็ได้ ฉันไม่มีปัญหา อย่างนั้นฉันจะบอกแจ้งยกเลิกห้องเช่าของนายเดือนหน้า”

“แล้ว พ่อของรุ่นพี่จะไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ”ฮารุโตะถามเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“ไม่หรอก พ่อไม่ค่อยได้กลับมานอนที่นี่อยู่แล้ว อีกอย่างห้องที่ฉันใช้อยู่เป็นห้องของพี่ชาย เขาคงจะอยู่โตเกียวถาวรเลย”ซากิพูดบอกขณะก้าวเท้าเดินนำเข้าไปในบ้าน

เสียงร้องทักต้อนรับกลับบ้านของทาคุมิดังมาให้ได้ยินก่อนเจ้าตัวจะมาปรากฏตัวยืนตอนรับที่โถงทางเดินหน้าบันไดขึ้นชั้นสอง ซากิจึงยื่นของฝากไปให้

“อะไรครับ แล้ววันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”ของฝากของหนุ่มรุ่นพี่ดูท่าจะไม่ดึงดูดความสนใจของทาคุมิได้เท่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ก็อยู่กินข้าวด้วยกันตั้งแต่ต้นจนจบแหละ”ฮารุโตะตอบพลางเดินตามหนุ่มรุ่นพี่เข้าไปในห้องนั่งเล่นที่มีกลุ่มเพื่อนสนิทของชายหนุ่มเจ้าของบ้านนั่งรออยู่กันครบ

“ง่ะ ไม่หนีกลับไปแบบครั้งที่แล้วหรือ รุ่นพี่ชิมิซึไม่ใจเลยอ่ะ”

“ไม่ใจอะไรของแก ทาคุมิ”เรียวตะเอ่ยถาม

“ก็...ไม่ได้ใจไง แทนที่จะทำให้ซาอุราอิโมโหหนีกลับไปแบบผม ว้าว! รุ่นพี่ซื้อมาฝากผมจริงๆหรือครับ”ทาคุมิพูดตอบพร้อมกับนั่งลงเปิดกล่องของฝากไปด้วย ชุดโซฟาของบ้านชิมิซึไม่มีโต๊ะตัวเตี้ยให้วางของ เด็กหนุ่มจึงวางมันไว้บนตักตัวเอง ภาพซูชิและปลาดิบเนื้อสีส้มแวววาวเรียกให้เขาน้ำลายสอ แม้จะทานอาหารมื้อกลางวันไปแล้วก็ตาม เขาจึงรีบลุกนำมันไปวางไว้บนโต๊ะทานอาหาร จัดการเตรียมตะเกียบ ถ้วยน้ำจิ้มโดยไม่คิดจะเอ่ยชวนใคร

“ไม่คิดจะชวนคนอื่นหน่อยเรอะ”เรียวตะเดินตามมาถาม

“ทำไมต้องชวนละครับ รุ่นพี่ชิมิซึเขาซื้อมาฝากผม”

“ฉันยังไม่ได้พูด”ซากิร้องบอก

“อ้าว!”ทาคุมิหน้าเหวอ จนฮารุโตะยังหัวเราะคิกคักมองหนุ่มรุ่นพี่ที่ตอนสั่งอาหารยังบอกเขาว่าจะซื้อมาฝากซาโต้ ทาคุมิแท้ๆ

“เห็นไหม เพราะอย่างนั้นต้องแบ่ง เข้าใจไหม”เรียวตะพูดข่มด้วยท่าทีเหนือกว่า

“อยากกินก็บอกไปตามตรงดีกว่าไหมเรียวตะ”เรย์ร้องแซว เอคิจิจึงพูดแย้งออกมาอีกว่า

“มันไม่ได้อยากกินหรอก ฉันว่ามันอยากแย่งมากกว่า เห็นทาคุมิหน้าบานเลยหมั่นไส้”

“อ้าว!”ทาคุมิร้องอุทานออกมาอีกรอบ พูดประโยคต่อไปด้วยอาการหน้ามุ่ยซ้ำยังแกล้งทำเหมือนจะร้องไห้ “แล้วผมไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ ผมอารมณ์ดีก็ผิดด้วย”

ฮารุโตะหัวเราะ เริ่มรู้สึกคุ้นชินกับการหยอกล้อเล่นกันเช่นนี้ เขาค่อยๆเปิดตามองโลกกว้างใบนี้อย่างช้าๆ โลกที่ไม่มีใครทำร้ายเราได้ นอกจากตัวเราเอง



ฮารุโตะเปิดประตูออกจากบ้านหลังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้ชายหนุ่มเจ้าของบ้านและทาคุมิเสร็จเรียบร้อย เมื่อวันก่อนเขาได้แจ้งขอเปลี่ยนเวลาการทำงานกับผู้จัดการร้าน เพราะไม่อยากให้รุ่นพี่ชิมิซึต้องมาคอยรับส่งตอนหลังเลิกงานอีก แต่กว่าจะได้ย้ายไปทำช่วงเย็นอย่างที่ต้องการ คงต้องรอเวลาหาคนมาทำแทนกะของเขาอีกพักใหญ่

เด็กหนุ่มก้าวเท้าลงจากรถประจำทาง เดินออกห่างจากป้ายหยุดรถมาได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เขาได้พบกับผู้ชายร่างสูงใหญ่มายืนจังก้าขวางทางอยู่ตรงหน้า ฮารุโตะมองอีกฝ่ายด้วยความตื่นตระหนก ถึงแม้จะพยายามบอกให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้นแต่ใช่ว่าเขาจะขจัดความกลัวที่ฝังอยู่ใต้จิตสำนึกให้หายออกไปได้ง่ายๆ

“ฉันอยากคุยกับนาย”

เขาพยักหน้ารับยืนนิ่งรอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการพูด หัวใจของเขาเต้นระรัวมองหน้าซากุราอิ ชุนได้เพียงครู่เดียวก็ต้องก้มหน้าหลบ ความคิดในหัววุ่นวายไปหมด ขั้นตอนวิธีการป้องกันตัวที่รุ่นพี่โมริเคยสอนผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แทรกซ้อนย้อนแย้งกับสิ่งที่โคจิมะ มิชิโอะเคยพูดและสิ่งที่ซากิราอิ ชุนเคยบอกกับเขา

“ไปคุยกันที่อื่นได้ไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะทันที

“นายก็รู้ว่าพวกนั้นไม่ยอมให้ฉันเจอนายเพียงลำพัง ถ้าพวกนั้นมาเจอ โอกาสที่ฉันพยายามหามามันก็สูญเปล่า”

“ค...คุณควรทำตามที่พวกเขาบอก”เสียงพูดของฮารุโตะอึกอักกระท่อนกระแท่น เพราะเสียงพูดของซากุราอิ ชุนดูเกรี้ยวกราดร้อนรน ทันใดนั้น ร่างของเขาพลันโดนคว้ากระชากเข้าไปใกล้อีกฝ่าย

“ฉันไม่เคยคิดที่จะทำร้ายนาย”

“แต่คุณทำ!!!”ฮารุโตะเถียงกลับทันควัน เขาเกลียดคำพูดนั้นของซากุราอิ ชุนที่สุด เพราะทุกครั้งที่ได้ยินมันเหมือนว่าเขาเป็นคนบ้าสติไม่ดีจนเห็นภาพหลอนทั้งที่ในความเป็นจริงไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”น้ำเสียงของชุนอ่อนลง

“ปล่อย! ปล่อยผม!”ฮารุโตะร้องบอก เขาไม่อยากคุยกับชุนแล้วทว่าชุนกลับไม่ปล่อยเขาง่ายๆ

ฮารุโตะโดนรวบตัวยกลอยขึ้นจากพื้น การกระทำนั้นทำให้เขาตื่นตระหนกจนต้องดีดดิ้นกรีดร้อง ผู้คนที่สัญจรอยู่บนท้องถนนเริ่มหันมองพวกเขาด้วยความสนใจ ชุนหันรีหันขวางแต่เขาแก้ตัวว่าร่างเล็กในวงแขนเป็นน้องชายของเขาที่หนีออกจากบ้านมา พลางใช้จังหวะเวลาที่ดูชุลมุนนั้นล้วงหยิบของในกระเป๋าขึ้นมาปิดปากฮารุโตะไว้ พร้อมกับฉวยโอกาสรีบเดินไปขึ้นรถซึ่งจอดไว้ไม่ห่าง

กลิ่นหอมเอียนจากผ้าเช็ดหน้าที่ถูกปิดทับบนจมูกทำให้สติของฮารุโตะพร่าเลือนลงพร้อมกับเรี่ยวแรงที่เหมือนพร้อมจะหมดลงทุกเวลา แม้จะรู้ตัวว่าถูกพาขึ้นรถยนต์ แต่เขากลับไม่เหลือแรงกำลังในการช่วยเหลือตัวเองอีกแล้ว



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++




ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
 :katai1: ว่าแล้วเชึยว  ตอนแรกคิดว่าชุนจะซื้อปืนเพื่อไปจัดการกับซากิเสียอีกแต่ก็เปลี่ยนใจเพราะว่าถึงกำจัดซากิได้ก็ยังมีคนอื่นๆอยู่  ชุนจัดการกับฮารุก็เพราะฮารุเป็นสิ่งเดียวที่ชุนอยากได้  แล้วส่วนตัวก็คิดว่าชุนไม่สามารถที่จะคิดไคร่ครวญอะไรได้มากขนาดนั้น เป็นคนที่ impulsive แล้วก็ act out ตามสัญชาตญาณดิบจริงๆ

คนที่น่ากลัวที่สุดคือพ่อของชุน รู้แต่ไม่แก้ไข ไม่ป้องกัน  คหสตก็คือพ่อชุนใช้ฮารุเป็นตัวมาล่อและควบคุมชุน  แทนที่จะแก้ไขด้วยการพาชุนไปปรึกษากับจิตแพทย์แต่กลับปล่อยให้ชุนมาถึงขั้นนี้  ตาแก่นั่นไม่น่าคิดว่าชุนคือลูกหรอกที่สำคัญกว่าก็คือบริษัทกับตระกูล   ถ้าคุมชุนไม่ได้ก็รังแต่จะทิ้งชุนให้เป็นขยะสังคม   ฮารุไม่ควรอยู่ในการดูแลของตระกูลนี้หรอก  เราไม่คิดว่าทั้งพ่อหรือชุนมีหิริโอตัปปะแต่อย่างใด  เสียใจที่ออกมาแบบนี้แต่ไม่ได้เสียใจที่ทำลงไป

ชุนคิดยังไง?จะพาฮารุไปขัง? หนี? ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคน? ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงทำจนฮารุท้องจะได้หนีไปไหนไม่ได้งั้นหรือ? ต่อให้ชุนข่มขืนฮารุก็ไม่สามารถทำให้ฮารุรักชุนขึ้นมาได้หรอกค่ะ

ขอบคุณที่มาอัพค่ะ

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ถ้าเกิดว่าการลักพาตัวครั้งนี้ ชุนไม่โวยวาย และฮารุโตะไม่ freakout ผมว่ามันจะเป็นการปรับความเข้าใจที่ดีระหว่างสองคนนี้ได้เลยนะครับ เพราะไม่มีตัวแบ่งและคอยคุมการกระทำ มีแต่ใจจริงของทั้งสองคนล้วนๆ

ถามว่าทำไมผมถึงสนับสนุนการลักพาตัวแบบนี้? เพราะผมมานั่งมองคาแรกเตอร์ชุนดูดีๆ  ส่วนตัว...ผมว่าผมเริ่มสงสารชุน และเริ่มรู้สึกว่าฮารุโตะขาดสติไปหน่อยแล้วน่ะนะครับ

หนึ่ง สังเกตนะครับว่าเราไม่รู้เรื่อง ‘แม่’ ของชุน ผมว่าการที่เด็กจะโตมาแบบก้าวร้าว อีกทั้งยังยึดติดกับความรักของตัวเองอย่างแน่วแน่มั่นคง มันน่าจะมีอิทธิพลมาจากการเลี้ยงดูไม่น้อย ผมคาดว่าชุนน่าจะเสียแม่ไปแล้วนะครับ แต่คงมีเหตุการณ์หรือคำสอนอะไรบางอย่างที่ทำให้ชุนรู้สึกยึดมั่นในความรัก อย่างไรก็ดี เนื่องจากเขาไม่ได้โตมาแบบมีคนคุมพฤติกรรมให้เข้ากับคนได้แบบทั่วไป (ผมว่าฮิเดอากิคงพยายามทำให้ชุนรู้ตัวว่าเขาอยู่เหนือคนทั่วไปมาก ดังนั้น ลักษณะการเลี้ยงดูจึงออกมาแนวที่ว่าคอยป้อนความคิดเชิงใช้อำนาจให้กับชุน) ดังนั้นพอเขารักฮารุโตะ การกระทำมันจึงออกมาในรูปแบบที่รุนแรงและดูเหมือนไม่ได้รับการขัดเกลา (เพราะก็ไม่ได้รับการขัดเกลาด้านความอ่อนโยนจริงๆ ทางพ่อก็คงสอนแนวใช้อำนาจเบ็ดเสร็จแบบไคเร็ตสึ ความเด็ดขาดเพื่อควบคุมคนและผลประโยชน์) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าใจจริงเขาคิดร้าย อยากทำลายหรืออยากให้ฮารุโตะเสียใจ ผมว่าถ้ามีคนจะแกล้งฮารุโตะตรงหน้าชุนกับซากิ คนแรกที่จะโดดเข้าไปเพื่อคว้าฮารุโตะคือชุนครับ

สอง ในขณะที่ชุนมีคนคอยทำให้เขาเริ่มมองภาพจากด้านฮารุโตะแล้ว (อิซามุ, มิชิโอะ, ฮิเดอากิ) ฝั่งฮารุโตะยังไม่มีคนที่คอยพยายามเข้าใจทางชุนอย่างจริงๆจังๆ นาโอโตะก็แค่พูดตามมารยาทคนดี ทาคุมิยิ่งแล้วใหญ่ (อันนี้เราไม่ว่า เพราะมีปมเคยเห็นเพื่อนโดนแกล้งแล้วฆ่าตัวตาย) คนเดียวที่ผมว่าแมนจริงๆในเรื่องนี้คือซากิครับ เพราะแม้จะรู้สึกแปลกๆกับตัวเอง แต่กลับมองอะไรได้ด้วยท่าทางตามสติและเหตุผล

ดังนั้นฮารุโตะจึงรู้สึกว่ามีแต่คนพยายามทำให้เขาไม่อยากให้อภัยชุน และใจแท้ๆของฮารุโตะ แม้ว่าจะไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่พอเจอคนพูดเข้าไปมากๆ ด้วยความหัวอ่อนแบบไบแอสเข้าข้างรุ่นพี่ (สังเกตตอนนาโอโตะกับเรย์ทะเลาะกัน แล้วฮารุโตะเข้าข้างเรย์ที่เคยแอบชอบตอนคุยกับทาคุมิ) การกระทำที่ไม่ได้มองเห็นฝั่งของชุนมากๆ มันก็จะทำให้ฮารุโตะคิดแบบที่ฝั่งรุ่นพี่อยากให้คิดได้ (คือไม่อยากให้อภัยชุน) ซึ่งมันถือว่าเป็นการมองที่ค่อนข้างแคบนะครับ

ผมถึงมองว่าฮารุโตะกลัวชุนอย่างขาดสติไปหน่อย เราไม่ว่ากันเรื่อง terror-sensitive ที่คุณกลัวตัวเองจะมีภัย แต่นี่เขาเล่าทุกอย่างให้คุณฟังแล้ว ยอมเงียบและลงโทษตัวเองแล้ว (ถึงจะมีเดือดจนเสียเรื่องทุกครั้งที่มีคนเข้ามาขัดก็เถอะ) ยอมถอยถึงขั้นมาฟังคุณนั่งหนุงหนิงกับซากิแล้ว คุณยังจะมองไม่เห็นเขาอีกเหรอ? ขาดสติไปนิดนึงละมั้งครับ

ผมว่าคนที่จะทำให้ฮารุโตะรู้ตัวว่าการมองโลกควรมองอย่างไรจึงจะเป็นกลาง และรู้ว่าความหัวอ่อนของตัวเองจะเป็นภัยตอนไหน จะเป็นประโยชน์ตอนไหน สอนฮารุโตะได้ว่าไม่ต้องเปลี่ยนนิสัยอะไรของตนเอง แค่รู้ว่าควรอยู่กับใคร มองมุมไหนที่อีกฝั่งไม่มอง และรู้เท่าทันใจของตนเอง......คือ ซากุราอิ ฮิเดอากิ ครับ

ว่ากันตามจริง เพราะบุคลากรชนชั้นไคเร็ตสึถือว่าเป็นบุคคลที่สร้างประโยชน์และมองการณ์ไกลแบบมีวิสัยทัศน์ โดยอิงอยู่บนข้อมูล ‘ที่เป็นอยู่’ ไม่ใช่ ‘ที่ควรจะเป็น’ ครับ เขาจะมองปราดเดียวรู้เลยว่าฮารุโตะมีปัญหาอะไร บุคลิกยังไง นิสัยแบบนี้มีประโยชน์และโทษตรงไหน อยู่กับคนแบบไหนแล้วจะมีผลลัพธ์ยังไงโดยไม่มองว่าดีหรือร้าย แต่ที่ผ่านมาผมว่าฮิเดอากิไม่ได้สนใจฮารุโตะจริงๆจังๆมากกว่าครับ แค่มองว่าอาจจะใช้ควบคุมชุนได้ แต่ฮิเดอากิลืมมองสภาพแวดล้อมและนิสัย รวมถึงปมวัยเด็กของฮารุโตะ ดังนั้นถ้าเขาจะตั้งใจพินิจจริงๆ มันไม่ยากเลยครับสำหรับคนระดับไคเร็ตสึ

แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน ผมว่าอันตรายมากเลยนะครับ เพราะต่อให้ชุนกับฮารุโตะไม่สติแตกโวยวายแบบที่ผมสันนิษฐานไปข้างต้น ตัวสร้อยก็ยังเป็นเครื่องบอกตำแหน่งอยู่ดี ทีนี้ก็ต้องมาดูล่ะว่าซากิ(อาจจะรวมถึงเอคิจิ) จะตัดสินใจยังไง จะเข้าใจและใจเย็นพยายามมองแบบแมนๆอย่างที่ซากิพยายามทำ หรือจะทำให้เรื่องวิ่งไปแบบกู่ไม่กลับรึเปล่าครับ

แต่ถ้าเรื่องวิ่งไปแบบกู่ไม่กลับจริงๆ ผมว่าซากุราอิ ฮิเดอากิ สามารถทำให้ทุกอย่างกลับมาอยู่ใต้สภาพ ‘ที่ควรจะเป็น’ อีกครั้ง ด้วยอำนาจบารมีล้นฟ้าได้อย่างไม่ยากเย็นครับ ส่วนตัว ผมค่อนข้างเชื่อมือไคเร็ตสึนะ (หัวเราะ)

ผมว่าซากุราอิ ชุน เหมือนราชสีห์ที่ขาด ‘ความสุข’ ครับ จากสเปเชียล ชุนบอกว่าการอยู่กับฮารุโตะทำให้เขามีความสุข มันเลยทำให้ชุนมองฮารุโตะเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งชีพ เป็นคนสำคัญที่แม้จะตายก็ไม่ยอมเสียไป

โดยปกติ สิงโตย่อมหวงแหนของๆมันอยู่แล้ว ยิ่งกับสัตว์ตัวที่มันปักใจว่าจะดูแลปกป้อง แต่พอมาวันหนึ่งมีคนมาทำร้ายของสำคัญของมัน มันเลยสู้กลับ แต่พอสู้ไม่ได้ มันก็เลยตั้งใจจะไปฝึกด้วยตัวเองเพื่อให้สามารถปกป้องคนที่สำคัญกับมันให้ได้ ปัญหาคือ สิงโตตัวนี้หลงฝูงไปฝึกในแนวทางที่ป่าเถื่อน และยิ่งฝึกก็ทำให้ยิ่งดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ เพราะเดิมทีสิงโตก็ไม่รู้จักปฏิสัมพันธ์ที่อ่อนโยนอยู่แล้ว เมื่อมันกลับมาเจอของที่สำคัญกับมัน แน่นอนว่าสิงโตตัวนี้อยากให้สิ่งสำคัญนี้กลับมาอยู่กับมันเหมือนเดิม ตอนนี้มันแข็งแกร่งพอจะปกป้องคนสำคัญได้แล้ว แต่มันกลับไม่รู้ว่าจะต้องปฏิสัมพันธ์ยังไงเพื่อให้คนสำคัญยอมให้อภัยมัน

คำถามคือ ถ้าคุณเป็นสัตว์สำคัญของสิงโตตัวนั้น คุณจะมองการที่มันเคยตะปบคุณด้วยธรรมชาติที่ยังไม่ถูกขัดเกลาของมัน และบอกว่าสิงโตตัวนี้ไม่ควรได้รับการอภัย ควรยิงทิ้งซะ หรือคุณจะมองว่าคุณจะสามารถทำให้มันกลับมาเป็นสิงโตที่องอาจ และเป็นคู่ชีวิตของคุณได้อีกครั้งครับ?

เช่นเดียวกับมิอุระ ฮารุโตะ ซึ่งมีความย้อนแย้งบางอย่างที่น่าสังเกตมาก จากที่คุณตีสี่เคยพูดไว้ว่าฮารุโตะอยากได้คนมาแทนพ่อ เลยชอบบุคลิกแบบนาคามูระ เรย์ อันนี้ผมไม่ว่าอะไร แต่ประเด็นของผมอยู่ที่ ผมไม่รู้ว่าฮารุโตะรักชิมิซึ ซากิ เพราะอะไรครับ?

เพราะว่าซากิทำดีด้วย เอาใจใส่ หรือ? ชิมิซึ ซากิ เย็นชาใส่ฮารุโตะก็มีหลายครั้ง แล้วยังไม่นับปัญหาด้านหัวใจของตัวเองที่ค้างคามาตั้งนาน และการมองมิอุระ ฮารุโตะ เป็นคนหรือวัตถุที่จะบำบัดความต้องการ(พอใจ/เสียใจ)จากปมชีวิตของตัวเองได้ ในข้อนี้ถ้าจะมองว่าชุนทำดี, เอาใจใส่ได้ไหม ผมว่าชุนทำได้และทำอย่่างไม่มีเลศนัยยิ่งกว่าซากิอีก

เพราะว่าซากิเป็นคนที่คอยปกป้องหรือ? เหตุผลข้อนี้ก็ตกไปด้วยลอจิกข้อเมื่อกี้เหมือนกันแหละครับ ชุนก็พร้อมทำอยู่แล้ว...หรือเพราะว่าซากิเป็นเซ็กซ์ครั้งแรกของฮารุโตะหรือ? ถ้าจะมองที่จุดนี้ แสดงว่าฮารุโตะเป็นคนที่อ่อนไหวกับความรักง่ายมากจนไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาอะไร และเมื่อมองไม่เห็นตัวเอง ความลังเลโลเลไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการคนแบบไหน ก็จะคอยโผล่ขึ้นมารบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลา ทำให้ยิ่งก่อให้เกิดขึ้นเป็นปัญหามากขึ้น

ถ้าฮารุโตะสงบลง อ่านตัวเองให้ออก รู้จักมองอะไรให้กว้างขึ้นและมองจากมุมคนอื่นด้วยความเอาใจใส่แท้จริง มันก็จะทำให้เขาสามารถหลุดจากความปวดร้าวในเรื่องของความรักได้ แต่นี่ยังไม่นับเรื่องการแก้ปมชีวิตของฮารุโตะที่มีตั้งแต่เด็ก ซึ่งผมก็พูดไปหลายครั้งแล้วว่ามันแก้ยังไงครับ

ส่วนซากินี่ผมว่า เห็นนัยยะเหลือบไปมองนาโอโตะหลายครั้งมากๆแล้วครับ คือถ้ายังตัดใจไม่ได้ ก็ลุยไปเลยครับ เลิกสนใจฮารุโตะแล้วเคลียร์หัวใจตัวเองให้เรียบร้อย การเลือกคนหรือหยิบคนมาเป็นเครื่องมือเพื่อการตัดสินใจของตัวเองน่ะมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ เพราะถ้าคุณยังรักเค้าอยู่ มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปให้ความหวังคนอื่น แล้วยิ่งกับฮารุโตะ เขาค่อนข้างอ่อนไหวน่ะนะ เพราะขนาดผมยังสะกิดใจ อย่างนาโอโตะจะไม่รู้ตัวหรือครับ เรื่องคนที่ซากิจะชอบและเหมาะกับเขาผมก็เคยพูดไปแล้ว ถ้ายังลังเลอยู่แบบนี้ มันอาจจะทำให้เครียดอย่างไม่มีเหตุผลได้นะครับ เพราะความลังเลจะทำให้ซากิงงว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ แล้วการหยิบฮารุโตะมาผูกกับตัวเองเป็นเรื่องถูกรึเปล่า แล้วถ้าอนาคตมีคนแบบนาโอโตะโผล่ขึ้นมา ซากิจะทำยังไง ถ้ายังไม่เคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อย ประเด็นพวกนี้อาจจะฉุดซากิให้ครุ่นคิดได้น่ะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-04-2017 12:49:37 โดย Grey Twilight »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
วิธีนี้ของชุน  จะทำให้ฮารุโตะ ดีกับชุนได้หรือ
คงต้องมีปาฏิหาริย์ละมั้ง
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 26
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ฮารุโตะถูกชุนพาตัวไป แต่ทว่าการกระทำนั้นของชุนมีคนของชมรมถ่ายภาพบังเอิญมาเห็นเช่นเดียวกัน ชายคนนั้นจึงได้โทรบอกซากิ….



春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 26


ซากิมักจะกลับมาถึงบ้านหลังจากที่ฮารุโตะออกจากบ้านไปครู่ใหญ่ๆ เมื่อลองบิดลูกบิดประตูและพบว่ามันไม่ได้ล็อคเขาจึงเปิดประตูเข้าไปด้านใน เสียงพิธีกรในรายการโทรทัศน์ดังแว่วมาให้ได้ยินทันทีที่ประตูเปิดออก เขาจึงส่งเสียงร้องบอกว่ากลับมาแล้ว พลางสาวเท้าเลี้ยวเขาไปในห้องนั่งเล่นซึ่งมีทาคุมิกำลังนอนดูโทรทัศน์สบายใจเฉิบราวกับอยู่ในบ้านตัวเอง

“พ่อแม่นายไม่ว่าอะไรหรือไง มาค้างที่นี่ได้ทุกวัน”ซากิอดถามด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนอนุญาตให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องมาอยู่ที่นี่ได้ก็ตาม

ทาคุมิขยับตัวลุกขึ้นนั่งด้วยอาการคล้ายจะเกรงใจอยู่เล็กน้อย เขายกยิ้มแหยๆแล้วตอบกลับว่า “บอกว่ามานอนค้างกับฮารุจังน่ะครับ แม่ผมก็บ่นบ้างแต่ไม่ได้ว่าอะไร”

เจ้าของบ้านส่งเสียงหึขึ้นจมูก เดินไปเปิดน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม จากนั้นจึงเดินกลับไปนั่งดูโทรทัศน์กับเด็กหนุ่ม เขาถอดเสื้อสูทตัวนอกวางพาดไว้บนพนักโซฟา แม้ว่ากว่าที่เขาจะได้เริ่มทำงานจริงๆคือเดือนหน้า ทว่าการไปแนะนำตัวกับคนที่บิดาของเขารู้จักไว้แต่เนิ่นๆก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย และการไปกินข้าวกับผู้เป็นบิดาในหลายๆวันที่ผ่านมา ทำให้เขาเริ่มเข้าใจว่า ทำไมพ่อของเขาถึงทำห้องฟิตเนสไว้ในบ้าน

“ถ้ารุ่นพี่หิวข้าวแล้วก็บอกนะครับ เดี๋ยวผมจะไปตั้งโต๊ะให้”

ซากิเหล่มองหนุ่มรุ่นน้องที่ยกยิ้มประจบ ขยับเข้าไปไกลแล้วแกล้งยกมือหยิกแก้ม “น่ารักนะ ทำตัวเหมือนเป็นเมียเลย อยากลองไหม”

ทาคุมิถอยกรูจนแทบร่วงจากโซฟาทำให้ชายหนุ่มเจ้าของบ้านส่งเสียงหัวเราะ

“รุ่นพี่ชิมิซึอย่ามาล้อเล่นอะไรแบบนี้นะครับ”

“กลัวหวั่นไหวหรือ”

ทาคุมินิ่งอึ้งชะงักงัน ในศีรษะว่างเปล่าได้แต่อ้าปากพะงาบๆ “บ...บ้า” แล้วยิ่งอยากมุดดินหนีเมื่อหลุดคำต่อว่าต่อขานที่แสนหน่อมแหน้มนั้นออกไป ซากิยิ่งหลุดหัวเราะเสียงดัง

“ผม... ผมจะฟ้องฮารุโตะ”ทาคุมิยิ่งเศร้าใจเมื่อคำพูดข่มขู่ของเขาร้ายกาจรุนแรงได้แค่นี้เอง

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับโทรศัพท์มือถือที่มีสัญญาณเรียกเข้า เขากดรับสายหลังอ่านรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอซึ่งเป็นรุ่นน้องในชมรมถ่ายภาพ

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ ผมเห็นมิอุระคุงถูกใครไม่รู้อุ้มพาขึ้นรถไป”

“เอ๊ะ! อะไรนะ”เขาถามซ้ำเพราะนึกว่าตัวเองฟังผิดซึ่งคำตอบจากปลายสายยังเป็นประโยคเดิม

“ใจเย็นๆนะ ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน”

ปลายสายบอกตำแหน่งที่อยู่แถวป้ายหยุดรถประจำทางซึ่งห่างจากร้านที่ฮารุโตะทำงานพิเศษไม่ไกล

“เห็นป้ายทะเบียนไหม”

“ขอโทษครับ ผมไม่ทันมอง พอดีเดินมาเห็นคนหยุดดูอะไรสักอย่าง สังเกตอีกทีก็เห็นมิอุระคุงถูกผู้ชายตัวใหญ่ๆอุ้มขึ้นรถไปแล้วครับ มันเร็วมากไม่ทันนึกอะไรเลย ผมเลยโทรมาหารุ่นพี่ก่อนนะครับ”

“ขอบใจมากที่โทรมาบอก ไม่เป็นไรแล้ว ถ้าคืบหน้าอย่างไรไว้จะโทรบอก”ซากิกดตัดสาย แล้วต่อโทรศัพท์หาเอคิจิพลางสาวเท้าก้าวขึ้นไปบนห้องนอนที่เขาใช้อยู่ในปัจจุบัน 

ทาคุมิเดินตามมาไม่ห่าง เขายังไม่ได้ยินชัดเจนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่รู้สึกได้ว่ามันต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่นอน

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”คำถามของเขาถูกละเลยไม่ได้รับคำตอบ มองหนุ่มรุ่นพี่หยิบโทรศัพท์อีกเครื่องออกมาจากลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ กดเปิดเครื่องแต่หน้าจอยังเป็นสีดำสนิท แล้วส่งมันมาให้เขา

“เสียบชาร์จแบ็ตให้หน่อย”พร้อมกับส่งสายชาร์จให้เขา ปากก็กรอกเสียงพูดกับปลายสาย

“มิอุระถูกลักพาตัวไป”

สิ่งที่รุ่นพี่พูดออกมาทำให้ใจของทาคุมิร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มด้วยเช่นเดียวกัน

“เฮ้ย แกรู้ได้ไงวะ”

“จริงหรือครับ”

ซากิมองเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ก้าวเข้ามาประชิดตัวพร้อมส่งเสียงถามด้วยสีหน้าร้อนรน พาให้นึกสับสนเพราะไม่รู้ว่าควรที่จะตอบคำถามของใครก่อน พลันสายตาเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องที่ยังคงเป็นหน้าจอสีดำสนิทในมือของอีกฝ่าย จึงบอกทาคุมิให้เร่งชาร์จโทรศัพท์

“มุราซาวะโทรมาบอก หมอนั่นเห็นตอนที่มิอุระถูกอุ้มขึ้นรถ”

“ซากุราอิ ชุนหรือวะ”

“ไม่รู้ฉันยังไม่ได้เช็ค ฉันแค่โทรมาบอกแกให้เตรียมตัวไว้ก่อน”

“แล้วแกจะหาฮารุจังเจอได้อย่างไร”

ซากิยังไม่ตอบ เขาสำทับปลายสายให้เตรียมตัวไว้จากนั้นจึงตัดสาย และกดโทรศัพท์โทรหาโองาวะ อิซามุ เขารอฟังสัญญาณจนกระทั่งปลายสายถูกตัดไป จึงโทรกลับไปหาเอคิจิอีกครั้ง

“ฝั่งโน้นเงียบกริบไปไม่ยอมรับสายว่ะ ฉันจะไปดูที่บ้านนั้น”

“แกไม่จำเป็นต้องไปหรอก ฉันบอกให้สายตรวจไปดูให้แล้ว อีกเดี๋ยวฉันจะโทรไปบอก”

ซากิจึงหันไปดูโทรศัพท์มือถือที่ภาพหน้าจอระบุสถานะกำลังประจุพลังงาน

“ฮารุจังโดนลักพาตัวไปจริงหรือครับ”ทาคุมิถาม

“อาจจะเป็นไปได้ มีคนในชมรมเห็นตอนที่มิอุระซังถูกอุ้มขึ้นรถไป”

“ถ้าอย่างนั้นเราไปแจ้งตำรวจกันสิครับ จะรออะไรอยู่”

“เรื่องตำรวจไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเอคิจิจัดการให้”

“แต่ถ้าเราไม่รีบออกไปตาม เราจะหาฮารุโตะเจอหรือครับ”ทาคุมิถามด้วยอาการกระวนกระวาย

“ใจเย็นๆน่า”ซากิร้องปรามเสียงดัง “ฉันไม่ให้เหตุการณ์ที่มิอุระหายไปไหนไม่มีใครรู้ หาอย่างไรก็หาไม่เจอเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สามหรอกนะ”

จังหวะนั้นหน้าจอโทรศัพท์พลันสว่างขึ้นบ่งบอกว่าเครื่องมือสื่อสารเครื่องนี้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ชายหนุ่มยืนรอการตรวจสอบของระบบปฏิบัติการอย่างใจเย็น กระทั่งหน้าจอแสดงสถานะพร้อมใช้งาน เขาหยิบขึ้นมาเปิดเข้าแอพพลิเคชั่นที่จ้างให้รุ่นน้องในมหาวิทยาลัยซึ่งรู้จักกันเขียนไว้ให้ แล้วเปลี่ยนไปเสียบสายชาร์จโทรศัพท์เข้ากับแบตเตอรี่สำรอง

“ไปเอาของส่วนตัวของนายมา เราจะออกไปข้างนอกกัน”

ทาคุมิพยักหน้ารับคำ เดินกลับไปหยิบกระเป๋าเงินกับโทรศัพท์มือถือแล้วตามไปสมทบกับหนุ่มรุ่นพี่ที่หน้าบ้าน ปิดล็อคประตูหน้าบ้านและประตูรั้วก่อนจะก้าวขึ้นรถยนต์ที่จอดรออยู่ ซึ่งขณะนั้นหนุ่มรุ่นพี่กำลังวางสายจากผู้จัดการร้านที่ฮารุโตะทำงานพิเศษพอดี

“รุ่นพี่รู้แล้วหรือครับว่า จะหาฮารุจังเจอได้ที่ไหน”

หนุ่มรุ่นพี่ส่งโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นมาให้ ภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอเป็นแผนที่ของเมืองและมีจุดตำแหน่งแสดงการเคลื่อนที่คล้ายแอพพลิเคชั่นนำทางชื่อดัง

“จุดสีฟ้านั่นแหละที่อยู่ของมิอุระ”

ซากิจอดรถยนต์รับเพื่อนสนิทซึ่งรออยู่หน้าบ้าน ทันทีที่เอคิจิก้าวเท้าเข้ามาในรถฝ่ายนั้นก็พูดว่า

“คนบ้านนั้นโดนวางยานอนหลับกันทั้งบ้าน งานนี้ดูเหมือนซากุราอิ ชุนจะเป็นคนทำจริงๆ”

“ก็ดี ฉันรออยู่เหมือนกัน”ซากิพูดพร้อมรอยยิ้ม

“เฮ้ย แกตามสัญญาณมือถือของฮารุจังหรือวะ”เอคิจิร้องถามเมื่อหันไปเห็นภาพแผนที่ในโทรศัพท์ที่ทาคุมิถืออยู่

“ก็ทำนองนั้น”ชายหนุ่มผู้ซึ่งทำหน้าที่ขับรถเอ่ยตอบ แม้ว่าสิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ใช่อย่างที่เพื่อนสนิทพูดแต่มันก็ใกล้เคียง

“จะบอกคนอื่นหรือเปล่า”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวแตกตื่นกันไปใหญ่ ฉันอยากให้ตำรวจจับหมอนั่น แกช่วยฉันได้หรือเปล่า”ซากิพูดบอกขณะขับรถไปตามเส้นทางที่ฮารุโตะถูกพาไป ตำแหน่งบนหน้าจอโทรศัพท์ยังเคลื่อนที่ต่อไปเรื่อยๆ ซากิจึงไม่จำเป็นต้องรีบเร่งขับตาม

“ไม่มีปัญหา มีคนเห็นฮารุจังถูกพาขึ้นรถไปด้วยใช่ไหม ถ้าอย่างไรช่วยเตี๊ยมกับฮารุจังด้วยแล้วกัน”

“หยุดแล้วครับ ฮารุโตะหยุดเคลื่อนที่แล้วครับ ถนนหมายเลขหกสิบสี่”ทาคุมิบอกเขตพื้นที่ซึ่งปรากฏข้อมูลอยู่บนหน้าจอ ตำแหน่งที่ว่าห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่ไปไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง ซากิไม่เข้าใจเลย ถ้าจะบังคับพาลักพาตัวฮารุโตะ ทำไมต้องหยุดพักที่ใกล้ๆเพียงแค่นี้ด้วย



ซากุราอิ ชุนจอดรถและยกมือขึ้นกุมศีรษะเมื่อรู้สึกว่าเรื่องราวเริ่มจะเลยเถิดอีกแล้ว เขามองฮารุโตะซึ่งหลับคอพับอยู่บนเบาะข้างๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะใช้ยาสลบกับฮารุโตะ แต่ถึงกระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเตรียมมันไว้ ยานี้ออกฤทธิ์สองสามชั่วโมงนั่นหมายความว่าเขาต้องรออย่างมากสามชั่วโมงกว่าจะได้คุยกับฮารุโตะอีกครั้ง เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เขาจึงลงจากรถยนต์เดินลงไปกดเช่าโรงแรมที่ตู้อัตโนมัติ และกลับมาอุ้มพาฮารุโตะเข้าไปด้านใน

คำนวณตามเวลา พวกมิชิโอะต้องฟื้นขึ้นมาก่อน แล้วพวกนั้นต้องมาตามเขากลับไป ชุนเดินคิดวนเวียนด้วยความกระวนกระวาย เขาแค่อยากได้เวลาที่จะใช้คุยกับฮารุโตะเพียงลำพังเท่านั้นเอง ทำไมมันถึงได้ยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้ เขาหุนหันออกจากห้องไปอีกครั้ง คราวนี้เขากดถอนเงินออกมาจากตู้เอทีเอ็มจำนวนมาก

ชุนไม่ได้อยากทำให้ใครเดือดร้อน แต่เขาจำเป็นต้องถ่วงเวลาเพื่อรอให้ฮารุโตะตื่นอีกครั้ง เด็กหนุ่มจ้องมองใบหน้าเนียนใสซึ่งพริ้มตาหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนของโรงแรม เขาใช้ปลายนิ้วลากสัมผัสบนผิวแก้มเนียนนุ่ม หวนนึกย้อนถึงวันเวลาที่พวกเขาเคยได้ใช้ร่วมกัน



ซากิเงยหน้ามองป้ายโรงแรมตรงหน้าด้วยความร้อนรน มองเอคิจิซึ่งยังคุยติดต่อกับคนดูแลตึก มีตำรวจอีกสองนายยืนเฝ้าอยู่ทางเข้าด้านหน้า เขาไม่อยากนึกถึงสาเหตุที่ชุนพาฮารุโตะเข้ามาพักที่นี่ แต่มันอดคิดไม่ได้จริงๆ เขาไม่เคยนึกรังเกียจถ้าหากฮารุโตะเกิดต้องพลาดพลั้งมีอะไรกับคนอื่น เพียงแต่เขานึกกังวลถึงจิตใจของฮารุโตะก็เท่านั้น

เขายอมรับว่าเขาไม่ใช่คนดี ช่วงแรกๆเขาใช้ยาบังคับขืนใจเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ฮารุโตะถึงต่อต้านไม่ไว้ใจเขาเรื่อยมา แม้อีกฝ่ายจะพอมีใจให้เขาในระยะหลังๆแต่เรื่องที่เขาเคยทำไว้มันไม่เคยจางหายไป ด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่อยากให้เด็กหนุ่มเจอเรื่องแย่ๆซ้ำๆซากๆ

“ได้แล้ว”เอคิจิเดินกลับมาบอก เดินนำตำรวจสี่นายเข้าไปด้านใน พวกเขาปล่อยให้เจ้าหน้าที่ประจำตำแหน่งหน้าประตูก่อนจะหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไป ทว่าภายในห้องกลับว่างเปล่า

ทาคุมิหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู “เขาออกไปแล้ว” ร้องออกมาเมื่อจุดสีฟ้าเคลื่อนที่ออกไปอีกครั้ง

“หมอนั่นมันรู้ว่าพวกเราตามมา?”เอคิจิถาม

“อาจจะแค่บังเอิญ”ซากิตอบ รับกระเป๋าของฮารุโตะและโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งถูกพบอยู่ในห้อง “ซากุราอิ ชุนคงรู้ตัวว่าจะมีคนตามมาแน่นอน”

“แกไม่ได้ตามสัญญาณโทรศัพท์”

ซากิยังไม่ตอบข้อสงสัยของเพื่อนสนิท กระนั้นเอคิจิไม่ได้คิดจะซักไซ้ต่อ “ฉันว่าก็ดีแล้ว ถึงอย่างไรเรายังรู้ตำแหน่งของฮารุจัง และเราไม่ควรที่จะทำให้หมอนั่นรู้ตัว”

ซากิพยักหน้ารับเห็นด้วย ยื่นมือรับโทรศัพท์มาจากทาคุมิ เดินนำออกมายืนรวมกลุ่มกันหน้าตึก สายตามองตำแหน่งของฮารุโตะซึ่งกำลังเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา จนแน่ชัดว่าอีกฝ่ายใช้เส้นทางพิเศษสายโจบัน

“หมอนั่นจะไปฟุคุชิม่า”เขาพูด เริ่มเดาได้ว่า ซากุราอิ ชุนจะพาฮารุโตะไปที่ไหน

“โรงเรียนประถมอย่างนั้นหรือ”เอคิจิถาม

“เราจะไปดักกันที่นั่น”

พวกเขาจึงหันไปขอบคุณตำรวจทั้งสี่นายที่ให้ความช่วยเหลือ ก่อนจะรีบก้าวขึ้นรถยนต์อีกครั้ง คราวนี้ซากิเหยียบคันเร่งเต็มที่ แม้เขาจะมีโอกาสตามซากุราอิ ชุนได้ทันกลางทาง แต่เพราะไม่รู้ทะเบียนรถยนต์ที่ชุนใช้ จึงไม่อยากเสียเวลาตามหา สู้ไปดักรอและทำให้จบที่นั่นเลยน่าจะดีกว่า

“เคลียร์ตำรวจให้ด้วย ฉันอาจจะใช้ความเร็วเกินกำหนด”

“ทำไมแกไม่ขอตำรวจนำทางด้วยเลยวะ”

“ฉันกลัวว่ามันจะลำบากแกเกินไป ขอแค่ตำรวจไปดักรอจับซากุราอิ ชุนที่ปลายทางก็พอแล้ว”

“ทำไมแกอยากให้หมอนั่นโดนจับนัก”

“ลืมไปหรือไง ที่จริงฉันอยากเล่นพวกมันทุกตัวแต่แกไม่ยอมเอง”

“เออๆ”เอคิจิตอบรับไปส่งเดช ขณะกดโทรศัพท์โทรออกจัดการเรื่องตามที่เพื่อนสนิทต้องการ ฝ่ายทาคุมิได้แต่นั่งฟังรุ่นพี่ทั้งสองคุยกันโดยไม่รู้รายละเอียดเนื้อหา กระนั้นเขาก็เปิดโสตประสาทรับข้อมูลมากที่สุด

“อ่ะนี่”ซากิส่งโทรศัพท์มือถือของตนให้เพื่อนที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ “ส่งข้อความให้หน่อย” ชายหนุ่มบอกชื่อคนติดต่อและข้อความที่ต้องการส่งไป ในหน้ากระดานการพูดคุยไม่มีประวัติการสนทนาใดๆทั้งสิ้น

“โอเคเนี่ยนะ อีกฝั่งจะรู้เรื่องหรือวะ ไม่เห็นแกคุยอะไรไว้เลย”

“เออน่า ไม่ต้องถามมากหรอก”ซากิพูดอย่างนึกรำคาญ ทำให้เอคิจิส่งเสียงบ่นอีกนิดหน่อย

หลังจากนั้นซากิจึงหันไปตั้งสมาธิกับการขับรถ เขาเหยียบคันเร่งปาดแซงรถยนต์ทุกคันที่วิ่งอยู่บนท้องถนน

“อ๊ะ”จู่ๆทาคุมิก็ร้องออก “รถยนต์ที่ฮารุโตะนั่ง อยู่ที่ด่านเก็บเงินเมื่อกี้ครับ”

“เห็นหรือ”เอคิจิเอี้ยวหน้ามาถาม

“เปล่าครับ ตำแหน่งที่อยู่ของฮารุโตะที่อยู่บนโทรศัพท์เพิ่งถึงด่านเก็บเงินที่เราเพิ่งผ่านมาเมื่อกี้เองครับ”

“ดี คราวนี้เราจะได้ไปถึงก่อนหมอนั่นแน่นอน”

“รุ่นพี่แน่ใจได้อย่างไรครับว่า ซากุราอิจะไปที่โรงเรียนประถม”

“เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดของพวกเขาทั้งคู่ไง ซากุราอิ ชุนอยากจะคืนดีกับมิอุระใจจะขาด มันมีแค่สถานที่แห่งเดียวที่จะยืนยันว่า ทุกสิ่งที่ซากุราอิ ชุนทำ เขาไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องทุกอย่างมันรุนแรงเลยเถิด”ชายหนุ่มอธิบาย และแม้จะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายดีแค่ไหน เขาก็ไม่ให้อภัยแล้ว เพราะถือว่าชุนได้ทำตัวนอกกฎเกินกว่าจะยกโทษให้ได้

“อ้าว แกก็รู้แล้วยังจะไปขวางเขาอีก”

“มิอุระบอกว่าจะยอมคืนดีกับซากุราอิ ชุน”ซากิบอกออกมา “แต่จะเอาคืนและทำให้ซากุราอิสำนึกผิดจริงๆเสียก่อน แกคิดว่าควรจะให้อภัยคนที่พยายามใช้สูตรโกงไหมล่ะ”สำหรับเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เมื่อทำในสิ่งที่ผิดต้องรู้จักยอมรับว่าทำผิด และเมื่ออยากได้รับการยกโทษต้องรู้จักชดเชยในสิ่งที่เท่าเทียมกัน คำพูดลมปากว่าสำนึกผิดมันไม่สามารถชดใช้น้ำตาและความสูญเสียของผู้ถูกกระทำได้

“ผมเห็นด้วยกับรุ่นพี่ชิมิซึ รุ่นพี่โมริน่ะเก่งจะตาย ไม่รู้หรอกว่าคนที่ต้องเป็นเหยื่อการกลั่นแกล้งในโรงเรียนมันเลวร้ายขนาดไหน”ทาคุมิพูดขึ้น เอคิจิจึงหันไปว่า

“พูดอย่างกับรู้ดี”

“รู้แล้วกัน”ทาคุมิเถียงกลับทันควัน

“เออๆ งั้นก็ตามใจ”

ชายหนุ่มผู้ซึ่งอยู่ในตำแหน่งสารถีส่งเสียงหึขึ้นจมูก “แกขวางไม่ได้อยู่แล้ว”

ใช้เวลาหลังจากนั้นอีกไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงจุดหมาย ซากิขับรถให้จอดเลยไปอีกไกลและเดินย้อนกลับมา มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่เอคิจิติดต่อไว้มายืนรออยู่แล้ว

“มาแค่นี้เนี่ยนะ”ซากิกระซิบถาม

“เออ จะให้มาทั้งกองร้อยหรือไง นี่ฉันใช้เส้นสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่เขาออกจากเวรแล้วมาช่วยนะ แกต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้ด้วย”เอคิจิหันไปกล่าวทักทายตำรวจทั้งสองนายที่ถูกส่งมาช่วย พร้อมกล่าวย้ำว่าเขาต้องการให้ช่วยจับใคร

ประตูรั้วลูกกรงเหล็กด้านหน้าถูกล็อคไว้ด้วยแม่กุญแจ  ซากิและเอคิจิมองหน้ากันก่อนที่ลูกหลานนายตำรวจจะพยักพเยิดให้เพื่อนร่างสูงจัดการ ซากิจึงหยิบอุปกรณ์ซึ่งถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเงินออกมาสะเดาะกุญแจ จากนั้นพวกเขาจึงหาที่ซ่อนตัวเพื่อรอเวลาให้ซากุราอิ ชุนจะมาปรากฏตัว ทาคุมิถือโทรศัพท์ไว้ในมือตลอดเวลา

“แถวนี้มันถิ่นของซากุราอิ ฮิเดอากิ แกคิดว่าจะเอาลูกชายเส้นใหญ่แบบนั้นเข้าคุกได้หรือวะ”

“ฉันรู้ว่าทำไม่ได้อยู่แล้ว แค่อยากจะให้นี่เป็นจุดเริ่มของแผนที่ฉันจะทำต่อเท่านั้น”

“มาแล้วครับ”ทาคุมิกระซิบบอกกดปิดหน้าจอดโทรศัพท์มือถือ เอคิจิจึงส่งสัญญาณบอกนายตำรวจทั้งสองคน เสียงเครื่องของรถยนต์ดังมาจอดอยู่ไม่ไกลจากหน้าประตูโรงเรียนก่อนทุกอย่างจะเงียบลงอีกครั้ง

ช่วงเวลาที่พวกเขามาถึงนับว่ายังไม่ดึกมาก แต่เพราะแถบนี้มีแต่บ้านเรือนที่อยู่อาศัยซึ่งในยามนี้กำลังเป็นช่วงเวลาทานอาหารเย็นของหลายๆครอบครัว ซ้ำในโรงเรียนประถมยังไม่มีชมรมกีฬาที่ชอบอยู่ซ้อมกันดึกๆดื่นๆ ท้องฟ้าสีดำมืดเบื้องบนจึงเป็นใจให้บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบ

เสียงเปิดปิดประตูรถยนต์ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเบาๆมาหยุดที่หน้าประตูรั้ว พวกเขาซึ่งแอบซ่อนอยู่โดยใช้ความมืดพรางตัวรู้สึกราวกับเวลาเดินผ่านไปแสนเนิ่นนานกว่าเสียงเสียดสีของรางเลื่อนประตูจะดังขึ้น พวกเขาได้ยินเสียงเปิดปิดประตูรถยนต์ดังขึ้นอีกรอบ และอีกชั่วอึดใจต่อมา เงาร่างของชายหนุ่มร่างสูงซึ่งแบกอะไรบางอย่างไว้บนหลังก็เดินผ่านเข้าไป

ที่ประตูทางเข้าอาคารมีหลอดไฟถูกเปิดไว้เพื่อให้แสงสว่าง พวกเขาจึงได้เห็นว่าสิ่งที่ชุนแบกไว้บนบ่าคือร่างที่ดูคล้ายไม่มีสติของมิอุระ ฮารุโตะ

ทาคุมิทำท่าจะวิ่งเขาไปหาซากุราอิ ชุนเสียเดี๋ยวนั้น ถ้าไม่โดนหนุ่มรุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของแผนการในค่ำคืนนี้สั่งห้ามไว้

พวกเขาเดินตามเข้าไปในอาคารซึ่งมีของหลายอย่างดูเล็กกว่าปกติเพื่อให้เหมาะกับเด็กชั้นประถม ตามไปซุ่มอยู่หน้าห้องที่ซากุราอิ ชุนพาฮารุโตะเข้าไป

“จำได้หรือเปล่า”เพราะทั้งอาคารมีแต่ความเงียบ พวกเขาจึงได้ยินเสียงของชุนชัดเจน ซากิแอบมองผ่านช่องประตูที่ชุนเปิดทิ้งไว้

“วันแรกที่นายย้ายมาเรียนที่นี่ นายน่ะไม่ยิ้มเลยแถมใครชวนคุยก็ไม่ยอมคุยด้วย”ชุนโอบร่างเล็กบางของฮารุโตะไว้ในอ้อมกอด ศีรษะของอดีตเพื่อนสนิทวางอยู่บริเวณลาดไหล่

“หยิ่งซะจนหลายคนหมั่นไส้ หลายคนที่ว่าก็ฉันเองล่ะ”ชุนหัวเราะ “ก็อุตส่าห์ชวนคุยแล้ว มาเมินกันได้อย่างไรล่ะ ตอนที่นายเมินกัน หัวใจมันเจ็บจี๊ดๆเลย เพิ่งมารู้ตอนนี้แหละว่าตกหลุมรักนายตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ แก่แดดเนอะว่าไหม ตอนนั้นเพิ่งสิบสองเอง”

และน้ำเสียงในประโยคต่อมาก็เศร้าสลดลง “ขอโทษนะที่ทิ้งนาย ขอโทษที่คิดถึงแต่ตัวเอง ขอโทษที่ทำให้นายเจ็บปวด ขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้นายถูกทำร้าย สำนึกผิดแล้วจริงๆนะ”

เสียงแผ่วเบาของชุนทำให้ซากิหลับตาลงแล้วนึกทบทวนอีกครั้ง ย้ำทวนความคิดของตัวเอง และตัวเขาเองล่ะเอาสิทธิที่ไหนไปขโมยความสุขและลงมือตัดสินคนอื่น

เอคิจิพิมพ์ข้อความใส่ในโทรศัพท์มือถือส่งมาให้เขาอ่าน

“จะรอไปถึงเมื่อไหร่”

ซากิกัดฟันใช้ทุกเซลล์สมองขบคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และพิมพ์ข้อความตอบกลับไป “อีกเดี๋ยว รอฮารุโตะฟื้นก่อน”

“ถ้าต้องรอกันทั้งคืน”

พวกเขาไม่ต้องรอกันทั้งคืนอย่างที่เอคิจิคาดเดา เมื่ออีกไม่กี่นาทีต่อมา เสียงบุคคลที่สองซึ่งอยู่ในห้องก็ดังลอดออกมาให้พวกเขาได้ยิน

“ปล่อย!!!”

ฮารุโตะรีบเด้งตัวออกห่างเมื่อสติการรับรู้กลับมาเป็นปกติ เขากวาดมองภาพรอบกายที่มืดสนิท ชั่วขณะหนึ่งที่ก้อนเมฆลอยผ่านพ้นแสงสะท้อนของดวงจันทร์ ภายในห้องจึงสว่างมองเห็นชัดเจน

“ห้องเรียน?”ฮารุโตะพึมพำออกมาอย่างสับสน

“โรงเรียนประถม”ชุนย้ำบอก

“พาผมมาทำไม”ฮารุโตะถามเสียงสั่น ความรู้สึกโหยหาวันวานที่แสนสุขพวยพุ่งขึ้นมาจากส่วนลึก เขาคิดถึงแต่อีกใจหนึ่งนึกอยากให้ตัวเองไม่เคยพบเจอกับชุนด้วยเช่นกัน หลายครั้งหลายหนที่เขาคิดว่าถ้าเขาและชุนไม่เคยพบไม่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนมันจะเป็นเช่นไร

“ฉันแค่อยากคุยกับนาย”

“แต่เราเคยคุยกันไปหลายรอบแล้ว”ฮารุโตะตะโกนบอกเสียงดัง ภายในใจมีแต่ความอึดอัด ไม่ชอบใจ ระแวงและหวั่นกลัว รู้สึกไม่สบายใจที่จู่ๆก็ถูกพาตัวมาที่ไหนโดยที่เขาเองไม่รู้ตัว

“ใช่!!! ใช่แล้ว!!! แต่ทุกครั้งมันต้องมีไอ้พวกนั้นอยู่ด้วยตลอด”ชุนเสียงดังขึ้นมาบ้าง ถลาเข้าไปจับตัวฮารุโตะไว้

เมฆหนาเคลื่อนที่เข้าบังแสงจันทร์อีกครั้ง ภาพร่างกายใหญ่โตเบื้องหน้าจึงคล้ายกับปีศาจที่ติดตามาจากวัยเยาว์ ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นสะท้าน ในสติมีแต่ความหวาดกลัวเข้าครอบงำ ต้องหนี…. เขาต้องหนี….

‘แล้วถ้านายหนีไม่ได้ล่ะ’ ทว่าคำถามนั้นกลับผุดขึ้นมา

“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคำพูดที่นายพูดกับฉัน มันจะเป็นสิ่งที่นายคิดจริงๆ”

ฮารุโตะดึงสติกลับมาอยู่ที่คำพูดของชุนอีกครั้ง รู้สึกว่าภาพตรงหน้าโคลงเคลงจนต้องเท้ามือกับโต๊ะเรียนตัวเล็กด้านหลัง

“ฮารุโตะที่ฉันรู้จักไม่ทำแบบนั้นหรอก”

“เวลามันผ่านไปแล้ว ตัวผมที่คุณรู้จักก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นธรรดา ...เหมือนคุณ ชุนที่ผมรู้จักก็ไม่เคยทำอย่างที่คุณทำเหมือนกัน”

“นายเปลี่ยนไปเพราะไอ้นั่นใช่ไหม”

ฮารุโตะแค่นหัวเราะ “ทำไมถึงเอาแต่โทษคนอื่น ในเมื่อคุณเป็นคนทำให้ทุกอย่างมันเป็นอย่างนี้เอง ทำไมต้องโยนความผิดให้คนอื่น

“ฉันไม่ได้ทำ!!!”

“คุณทำ คุณโทษคนอื่น คุณทำร้ายผม คุณทำทุกอย่าง”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันขอโทษ”

“คำขอโทษของคุณมันไร้ประโยชน์ มันชดเชยความเสียใจของผมไม่ได้ มันชดใช้ความเจ็บปวดที่ผมได้รับไม่ได้”

“นี่มันไม่ใช่ความคิดของนาย มันไม่ใช่นิสัยของนาย”ชุนพูดพลางมองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

“แล้วผมจะต้องมีนิสัยอย่างไรหรือ”ฮารุโตะถามกลับ ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวลงซ้ำยังรู้สึกพะอืดพะอมจนอยากจะอาเจียนออกมา

“นายอ่อนโยนกว่านี้ ใจดีและไม่เคยคิดแค้นใคร”

“เหรอ... ผมต้องเป็นคนใจดีที่รอให้คนอื่นมาเหยียบย่ำรังแกอย่างนั้นสิ”

“ฉันบอกว่าขอโทษไง สำนึกผิดแล้ว ให้อภัยกันไม่ได้หรือไง”

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'

ซากิยังนั่งนิ่งฟังสองคนที่พูดคุยโต้ตอบ ปล่อยให้ทั้งเพื่อนและรุ่นน้องผุดลุกผุดนั่งด้วยอาการไม่เป็นสุข กระนั้นเสียงโครมครามซึ่งดังจากภายในกลับเป็นสัญญาณกระตุ้นเตือนให้รีบสาวเท้าเข้าไป เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งรอจังหวะอยู่แล้ว รีบก้าวเท้าตามพลางส่งเสียงแจ้งเตือนตามระเบียบ และแสงไฟในห้องได้สว่างพรึบพร้อมกัน

“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ คุณถูกจับข้อหาลักพาตัว กักขังหน่วงเหนี่ยว ยอมมอบตัวซะดีๆ”

ชุนและฮารุโตะชะงักงันทั้งจากแสงไฟที่จู่ๆก็สว่างขึ้นจนตาพร่า ทั้งจากกลุ่มคนที่จู่ๆก็มาปรากฏตัว ฮารุโตะได้สติ เขารีบวิ่งถลาเข้าหาคนที่ตนรู้จัก

“รุ่นพี่ชิมิซึ”

ทว่ากลับโดนชุนคว้าตัวไว้ เด็กหนุ่มสะบัดตัวหนีกระนั้นยังคงถูกรวบดึงไว้ทั้งตัว

“ปล่อย!!!”ฮารุโตะร้องตะโกน มือสองข้างใช้งานได้ลำบากเพราะถูกรวบไว้แนบลำตัว เขาจึงพยายามกระทืบเท้า แต่กลับถูกอุ้มขึ้นจนตัวลอย จึงได้แต่เหวี่ยงเท้าสะเปะสะปะ

“ซากุราอิ ชุน ปล่อยฮารุโตะซะนายทำแบบนี้ก็ไม่มีประโยนช์หรอก”เอคิจิพยายามพูดกล่อม ส่งสัญญาณให้ตำรวจสองนายอ้อมไปคนละทาง

“ฮารุโตะเป็นของกู กูไม่ยกให้ใคร”

“ผมไม่ใช่ของของใคร”คนที่ถูกจับไว้ร้องเถียงทันควัน ฮึดสู้ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย โน้มเงยโขกศีรษะไปด้านหลังเต็มแรงซึ่งโดนเข้าช่วงปลายคางของชุนพอดี ร่างสูงใหญ่ของชุนถึงกับเซทรุด ปล่อยมือจากร่างของฮารุโตะ ทันใดนั้นตำรวจสองนายที่รอท่าอยู่แล้วจึงเข้าไปรวบจับชุนไว้ ส่วนซากิรีบวิ่งเข้าไปรับร่างเด็กหนุ่มรุ่นน้องได้ทัน ขยับถอยดึงตัวอีกฝ่ายออกห่างเมื่อดูเหมือนว่าซากุราอิ ชุนจะไม่ยอมง่ายๆ

“ผมเกลียดคุณ ผมเกลียด ไปตายซะ!!!”เสียงร้องตะโกนของฮารุโตะทำให้ชุนชะงัก

“นายไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆหรอก”ชุนพูดเสียงเบา นัยน์ตาคู่นั้นแดงก่ำน้ำตาคลอ

“ผมคิด! ผมคิดมาตลอดระยะเวลาหลายปี อยากให้คุณ!!! และพวกที่ทำร้ายรักแกผมทุกคนตายไปให้หมด ผมคิดฆ่าพวกคุณอยู่ในหัว คิดซ้ำไปซ้ำมาจนนึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า”

ซากิรวบดึงร่างเล็กบางเข้ามากอด ลูบศีรษะลูบหลังพร้อมกับพูดว่าพอแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว เขาพาหนุ่มรุ่นน้องออกมาและปล่อยให้เรื่องที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ เขาไม่ได้เดินทางกลับบ้านกันทันที แต่เลือกเข้าพักค้างคืนในโรงแรมแถวนั้น

เขาติดต่อแจ้งเรื่องของฮารุโตะให้หนุ่มรุ่นน้องในชมรมทราบข่าวตามที่เคยบอกไว้ จากนั้นจึงโทรศัพท์หาเรียวตะเพื่อขอให้นำเสื้อผ้ามาให้พวกเขาในวันรุ่งขึ้น

“แกจะอยู่ที่นี่นานอย่างนั้นหรือ”เอคิจิถามเมื่อเขาวางสาย

“คงได้กลับตอนบ่ายๆ พรุ่งนี้ช่วงเช้าฉันจะไปทำธุระ”

และแล้วบทสนทนาของพวกเขาได้ถูกขัดจังหวะลง เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น ซากิเดินไปเปิดประตู ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากถามคำถามกับทาคุมิที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายกลับชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า

“ฮารุโตะไข้ขึ้นอีกแล้วครับ”

“อย่างนั้น นายกลับไปเช็ดตัวให้มิอุระก่อน เดี๋ยวฉันจะไปขอยาจากพนักงานข้างล่างมาให้”ซากิพูดก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อหยิบกระเป๋าเงินและโทรศัพท์มือถือ หันไปบอกเพื่อนให้ไปช่วยดูหนุ่มรุ่นน้องอีกคนซึ่งกำลังไม่สบายอยู่อีกห้อง ซากิกลับยังมาชั้นที่เข้าพักในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเคาะประตูพร้อมทั้งยืนรออยู่อีกครู่หนึ่ง ประตูห้องของหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนจึงเปิดออก

“ครั้งก่อนก็เป็นแบบนี้หรือวะ”เอคิจิเอ่ยถามเขาทันทีที่เห็นหน้า พลางเดินตามเข้าไปในห้อง

เด็กหนุ่มผู้มีอาการไข้ขึ้นสูงซึ่งนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงกำลังส่งเสียงพูดเพ้อไม่เป็นศัพท์ ทั้งร้องไห้ทั้งขยับตัวคล้ายนอนไม่เป็นสุข

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวไข้ลดอาการก็ดีขึ้น”ซากิบอก ประคองร่างเล็กบางขึ้น กระซิบบอกให้คนไม่รู้สติทานยา ส่งแผงยาให้ทาคุมิแกะซองบรรจุ จากนั้นเขาจึงบีบคางของฮารุโตะให้อ้าปาก ป้อนเม็ดยาตามด้วยน้ำซึ่งมีบางส่วนที่คนป่วยสำลักออกมา

เขาขยับตัวประคองฮารุโตะลงนอน เด็กหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนคงจะอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เพราะอยู่ในชุดเสื้อคลุมของโรงแรมทั้งคู่ ทาคุมิคงจะสังเกตเห็นเสื้อผ้าของเขาเช่นกัน เด็กหนุ่มจึงพูดออกมาว่า

“รุ่นพี่กลับไปอาบน้ำก่อนก็ได้ครับ”

“เออ เดี๋ยวฉันอยู่เป็นเพื่อน”เอคิจิกล่าวสำทับ เขาจึงกลับไปที่ห้องพักเพื่ออาบน้ำ และกลับมายังห้องของหนุ่มรุ่นน้องทั้งคู่ด้วยสภาพเดิม ทาคุมิจึงเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจในมือข้างหนึ่งกุมมือฮารุโตะไว้

“มันชอบใส่เสื้อผ้าตัวเอง”เอคิจิไขข้อข้องใจ เขานั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเตียง มือกำลังวางผ้าหมาดซึ่งเพิ่งชุบน้ำเย็นลงบนหน้าผากของฮารุโตะ

“ฉันนอนนะ”ซากิพูด

“อ้าว ไม่อยู่เฝ้าหรือวะ”

“อีกสามชั่วโมง ฉันจะลุกขึ้นมาเปลี่ยน”

คนฟังจึงมองนาฬิกา กว่าจะถึงสามชั่วโมงที่อีกฝ่ายว่าคงเป็นเวลาที่เขาง่วงพอดี เอคิจิจึงพยักพเยิดเออออ ลุกขึ้นไปปิดไฟกลางห้องให้เหลือแค่ไฟที่หัวเตียง ทาคุมิเองยังคงตาสว่างเช่นกัน เห็นเพื่อนสนิทเหงื่อออกจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ ซักผ้าขนหนูชุบน้ำออกมาเช็ดตัวให้

ช่วงที่ซากิตื่นเหมือนจะเป็นช่วงที่ยาออกฤทธิ์อาการเพ้อของคนป่วยจึงทุเลาลง เขาจึงบอกให้ทั้งสองคนที่อยู่เฝ้าก่อนหน้าไปนอนบ้าง ทาคุมิและเอคิจิจึงย้ายไปนอนอีกห้อง จากนั้นจึงปลุกคนป่วยให้ตื่นขึ้นมาทานยาอีกครั้ง ฮารุโตะลืมตาตื่นคล้ายจะรู้สึกตัว

“กินยาหน่อย”ซากิกระซิบบอกข้างหู ส่งเม็ดยาเข้าปากเมื่อหนุ่มรุ่นน้องอ้าปากรับ กำลังจะประคองอีกฝ่ายลงนอนทว่ากลับโดนจับยึดไว้แน่น

“ไม่เอานะ อย่าทิ้งผมไปนะ”

ชายหนุ่มจึงกระชับอ้อมกอด ตัวของฮารุโตะยังคงอุ่นร้อนกว่าอุณหภูมิปกติ เขาจึงขยับไถลตัวลงนอนจัดท่าให้ร่างเล็กบางได้นอนอย่างสบายตัว พลางลูบแผ่นหลังกล่อมนอน

ไม่รู้ว่าคำพูดที่ฮารุโตะละเมอเพ้อออกมานั้นต้องการจะบอกแก่ใคร แต่ในยามนี้ เขาจะคิดเข้าข้างตัวเอง

รุ่งเช้ามาเยือนอีกครั้ง ฮารุโตะนอนหลับด้วยอาการสงบเพราะพิษไข้บรรเทาลง อุณหภูมิที่เคยร้อนสูงลดลงจนกลายเป็นปกติ เพื่อนสนิทและหนุ่มรุ่นน้องอีกคนก็ตื่นแล้วเช่นกัน พวกเขาจึงสั่งอาหารจากครัวของโรงแรมมาทาน และเมื่ออาหารถูกส่งมาเสิร์ฟถึงห้อง ซากิจึงปลุกฮารุโตะขึ้นมาทานด้วย

เด็กหนุ่มร่างเล็กลืมตาตื่นด้วยอาการสะลึมสะลือ

“เดี๋ยวทานข้าวเสียหน่อยแล้วค่อยนอนต่อ”

คนเพิ่งหายไข้พยักหน้ารับ พิงศีรษะกับหัวเตียงเพราะยังรู้สึกมึนงง ชายหนุ่มใช้ช้อนตักข้าวต้ม เป่าให้คลายร้อนก่อนยกป้อนถึงปาก ฮารุโตะทานไปได้ไม่กี่คำก็สั่นศีรษะ เขารู้สึกพะอืดพะอมจนไม่อยากทานอะไร แต่กระนั้นเขายอมทานยาลดไข้อีกเม็ดแต่โดยดี เด็กหนุ่มหลับตาด้วยความรู้สึกอยากล้มตัวลงนอน

“มิอุระ”

ฮารุโตะลืมตาเมื่อถูกเอ่ยเรียกชื่อ

“ถ้านายไม่ต้องเจอซากุราอิ ชุนอีกแล้ว มันจะทำให้นายรู้สึกดีจริงหรือ”ซากิถาม ไม่ได้ต้องการให้หนุ่มรุ่นน้องนึกทบทวนความรู้สึกตัวเอง แต่เขาไม่อยากใช้คำถามชี้นำให้อีกฝ่ายรู้สึกคล้อยตามสิ่งที่เขาคิด

“คนแบบนั้น ตายๆไปซะได้ก็ดี”น้ำเสียงแหบแห้งของฮารุโตะมีแต่ความโกรธแค้น ยามนี้หนุ่มรุ่นน้องที่เคยหัวอ่อนว่าง่ายอ่อนแอเปราะบางมองดูคล้ายกับภูเขาไฟ ที่ค่อยๆสะสมพลังงานวันละเล็กวันละน้อยจนถึงจุดหนึ่งที่มันปะทุออกมา พ่นเปลวไฟร้อนทำลายทุกอย่าง ก่อเหตุแผ่นดินไหวที่ทำให้พื้นที่ยืนของใครหลายคนไม่มั่นคง

ชายหนุ่มคว้ามือของฮารุโตะมาจับกุมไว้

“นายไม่ต้องเจ็บแค้นอีกต่อไปแล้ว”เขาพูด “คนพวกนั้นสักวันก็ต้องได้รับผลกรรมที่เคยทำไว้เหมือนผู้ชายที่ร้านมินิมาร์ทที่นายทำงานพิเศษอยู่ เขาเป็นขโมยแล้ววันหนึ่งเขาก็โดนจับ จากนี้ไปซากุราอิ ชุนก็จะไม่มีทางมาให้นายเห็นหน้าอีกเหมือนกัน เขาจะโดนจับข้อหาลักพาตัวนาย”

“พ่อของซากุราอิซังรวยมาก เขาคงโดนจับไม่นาน”ฮารุโตะพูด และความจริงก็เป็นเช่นนั้น อย่างที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า แค่หนึ่งชั่วโมงหลังถูกจับ ซากุราอิ ชุนก็ถูกประกันตัวออกมา

“ตอนสมัยมัธยมก็เคยเกิดเรื่องแบบนี้ พวกเขามีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน แล้วสองสามวันหลังจากนั้นซากุราอิซังก็กลับมาเรียนเหมือนเดิม”

“เรื่องนั้นอย่าเพิ่งไปคิดเลย เอคิจิก็เส้นใหญ่ไม่แพ้ซากุราอิ ชุน อย่างไรมันต้องช่วยรุ่นน้องที่น่ารักอย่างนายอยู่แล้ว”

“ใช่ไม่ต้องห่วง พ่อฉันก็ระดับบิ๊กเหมือนกัน”เห็นเพื่อนโยนลูกส่งมาให้เอคิจิจึงได้แต่เออออรับคำ

“เห็นไหมเอคิจิรับปากแล้ว นอนต่ออีกสักหน่อยนะ เดี๋ยวบ่ายๆพวกเราค่อยกลับบ้านกัน”ซากิประคองตัวฮารุโตะให้เอนลงนอน เขาดึงผ้าห่มให้ถึงคอ รอจนฮารุโตะหลับสนิทจึงลุกขึ้นยืน กล่าวย้ำซ้ำให้ทาคุมิดูแลฮารุโตะอีกรอบ จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดโทรกลับเบอร์โทรศัพท์ที่เขาไม่ได้รับหลายสาย

“เป็นอะไรหรือเปล่าวะ โทรไปไม่รับ”

“เปล่า กินข้าวกันอยู่ มาถึงไหนแล้วล่ะ”

“อยู่ล็อบบี้โรงแรม”

ซากิจึงบอกหมายเลขชั้นกับหมายเลขห้องให้เพื่อนสนิทอีกคนขึ้นมาหา เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน เขาเดินไปเปิดประตู แล้วต้องแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นกลุ่มเพื่อนอีกสองคน

“เกิดอะไรขึ้นไม่เคยบอกอ่ะ”นาโอโตะต่อว่าเขาทันทีที่เจอหน้า

“ฮารุจังกับทาคุมิอยู่ไหน”พูดถามพร้อมก้าวเดินเข้ามาดูในห้อง

“อยู่ห้องข้างๆ”

“แล้วให้เรียวตะเอาสูทมาให้จะไปไหน”

“มีธุระต้องไปคุย”

“บอกมา พูดมาให้หมดเลย”นาโอโตะคาดคั้น “จะไปไหน ไปทำอะไร ธุระที่ว่ามันอะไร ฉันรู้ว่ามันเกี่ยวกับฮารุจังแน่ๆ พูดออกมาให้หมด ห้ามอมพะนำไว้คนเดียว”

ซากิกวาดสายตามองกลุ่มเพื่อนที่ต่างจ้อมมาทางเขาเขม็ง

“มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกแก”

“เพื่อนกันเปล่าวะ”นาโอโตะผลักอกเขาจนเซถอย “ถ้าคิดว่าไม่ใช่เพื่อนกันแล้วก็ไม่ต้องมาพูดกันอีก”

เอคิจิจึงส่งเสียงห้ามเพราะถ้าปล่อยให้นาโอโตะโกรธจริงจัง ซากิอาจจะโดนตัดเพื่อนจริงๆ

“ไม่ต้องไปถามมันหรอก เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟัง”เอคิจิจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้เพื่อนคนอื่นได้รับรู้ตั้งแต่ต้น

“แล้วแกตามฮารุจังเจอได้อย่างไรวะ”เรย์ชิงถามออกมาด้วยความสงสัย

“มันฝังจีพีเอสไว้ในสร้อยที่ให้ฮารุโตะ”

ซากิหันไปมองคนพูดเมื่อได้ยินข้อความประโยคนั้น เอคิจิจึงยกยิ้มแล้วบอกไปว่า “เมื่อคืนฉันลองถามทาคุมิว่า แกได้ให้อะไรฮารุจังบ้างหรือเปล่า รุ่นน้องที่น่ารักเลยฝอยออกมาหมดว่าแกให้สร้อยที่ดูเหมือนสร้อยเพชรจริงๆมาก จี้เป็นรูปใบโคลเวอร์สี่แฉกที่โคตรศักดิ์สิทธิ์ ถ้าฉันไม่เบรกไว้ คงได้ฟังความศักดิ์สิทธิ์ทั้งคืน”

“อ่อ ถึงไม่กล้าบอกใคร อีหรอบนี้มันก็เหมือนสตอล์กเกอร์”เรียวตะแสดงความคิดเห็น  ซากิจึงหันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัว ระหว่างนั้นเอคิจิจึงหันไปหยิบโทรศัพท์ของฮารุโตะและซากุราอิ ชุนออกมาจากกระเป๋า

“โชคดีนะ ที่โทรศัพท์ของซากุราอิ ชุนล็อครหัสลายนิ้วมือ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะคิดว่าแกพิมพ์ขึ้นมาเองก็ได้”เอคิจิพูดพลางเปิดโทรศัพท์ของฮารุโตะให้คนอื่นดู เขาเข้าโปรแกรมสนทนาเปิดข้อความที่ตนได้อ่านให้เพื่อนดู ข้อความที่ว่ามีทั้งข้อความลามก ข้อความข่มขู่ที่ส่งมาจากซากุราอิ ชุน

“จะเป็นฉันพิมพ์ขึ้นมาเองได้อย่างไร ในเมื่อวันที่มันไม่ใช่เมื่อวาน”

“แล้วแกแน่ใจนะว่าข้อความพวกนี้ซากุราอิ ชุนส่งมาไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ ฮารุจังไม่เห็นเคยพูดเลยว่าได้ข้อความพวกนี้”นาโอโตะถาม

“จะเอามาพูดให้ฟังได้อย่างไร ก็ไม่เคยเห็น”เอคิจิเป็นคนไขข้อสงสัยแต่พาให้เพื่อนรอบวงงงเป็นไก่ตาแตก

“มันเพิ่งมี...”

“อย่าพูดมากน่าเอคิจิ”ซากิส่งเสียงปราม เอคิจิจึงได้ต่อบอกว่า ซากิมันเพิ่งทำเมื่อวาน

“ไม่อยากให้ใครไปด้วยหรือวะ”เอคิจิถามอีกรอบ

“ไม่ล่ะ ฉันไม่ได้บอกให้เรียวตะเอาสูทมาเผื่อแก”

“ฉันเอามา”เรียวตะพูดแทรก “เรย์กับนาโอโตะก็เอามา”

“ที่จริงไม่เห็นต้องใส่สูทเลย”เรย์พูด

“นายจะไปรู้อะไร ถ้านายใส่สูทมันทำให้เรื่องที่นายพูดน่าเชื่อถือขึ้นอีกสิบเปอร์เซ็นต์”นาโอโตะบอกกับคนรัก

“เปล่า ฉันแค่ไม่อยากโดนไล่ออกมาตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวเข้าไปในตึก”

“ตลกใช่ไหมเนี่ย”

ซากิไม่ตอบแค่ยกยิ้ม

สรุปสุดท้ายซากิจึงยอมให้เอคิจิไปด้วย เรียวตะจึงโวยวายขึ้นมา “ทำไมฉันถึงไม่ได้ไปวะ”

“แล้วทำไมต้องไปกันตั้งสามคน”เอคิจิเป็นคนตอบคำถามเช่นเดิม

“แล้วทำไมคนไปถึงเป็นแกล่ะ”

“แล้วลูกชายเจ้าของเรียวกังจะช่วยอะไรได้ล่ะ ‘ถ้าคุณทำตามข้อเสนอของเราคุณจะได้พักในเรียวกังฟรีห้าวันห้าคืน’ หรือ”

อีกสามคนที่เหลือต่างหลุดเสียงหัวเราะ ซากิจึงช่วยสำทับไปว่า “เข้าใจแล้วนะเรียวตะ ไม่ใช่แกไม่สำคัญนะ”

“แต่เรื่องนี้แกไม่มีประโยชน์จริงๆ”เรย์ช่วยพูดเสริมทำให้คนฟังหน้างอง้ำ เอคิจิและซากิบอกลาก่อนออกจากห้อง นาโอโตะจึงย้ายไปเคาะประตูห้องพักห้องข้างๆ

“รุ่นพี่”ทาคุมิร้องออกมาอย่างแปลกใจเมื่อชายหนุ่มทั้งสามยืนอยู่หน้าประตู

“พอดีพวกฉันเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนตอนกลับ”นาโอโตะชูกระเป๋าในมือแล้วเดินเข้าไปในห้อง

“ฮารุจังยังหลับอยู่เลยครับ รุ่นพี่มีที่ชาร์จแบ็ตมาหรือเปล่า”ทาคุมิถามถึงอุปกรณ์เสริมของโทรศัพท์ เพราะเมื่อวานเขาไม่ทันนึกถึงว่าจะต้องออกจากบ้านยาวจนต้องมาค้างข้างนอก เรียวตะบอกว่าน่าจะมีอยู่ในกระเป๋า ส่วนนาโอโตะตรงดิ่งไปหาหนุ่มรุ่นน้องอีกคนซึ่งนอนหลับอยู่บนเตียง เกี่ยวเอาสร้อยคอสีเงินที่เอคิจิพูดถึงออกมาดู เขาพลิกดูลักษณะของจี้

“รุ่นพี่ก็อยากได้เหมือนกันหรือครับ”ทาคุมิทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆและเอ่ยถาม “ฮารุโตะบอกว่ามันศักดิ์สิทธิ์มาก ไม่รู้ว่ารุ่นพี่ชิมิซึไปหามาจากศาลเจ้าไหน ผมเริ่มรู้สึกว่าอยากได้บ้างเหมือนกัน”

“ถ้าทำตัวไม่ดีมันก็ช่วยไม่ได้หรือเปล่า”เรียวตะออกความคิดเห็น

“แหม อย่างน้อยก็อุ่นใจ”

เห็นสองคนนั้นสนใจคุยกันเองอยู่ เรย์จึงขยับปากถามคนรักแบบไม่มีเสียงว่า ‘ของจริงหรือเปล่า’ เมื่อนาโอโตะพยักหน้าตอบกลับไปเรย์ถึงกับผิวปากตีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ หันหน้าไปถามเรียวตะ

“ซากิมันเคยซื้อของให้กิ๊กมันแพงสุดเท่าไหร่วะ”

“ไม่รู้ว่ะ แต่มันก็ซื้อให้หลายอย่าง กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า แหวน นาฬิกา สร้อยคอ ยกเว้นบ้านกับรถละมั้ง”

“ฮึ เบื่อคนเจ้าชู้”

“สาวแตกแล้ว”เรียวตะเอ่ยแซวทาคุมิที่แกล้งสะบัดหน้าทำท่างอน

“เมื่อไม่กี่วันก่อนยังเชียร์ซากิมันเหย็งๆ วันนี้มาเปลี่ยนใจแล้ว”

“ตอนนั้นรู้สึกว่ารุ่นพี่ชิมิซึเป็นคนดีนี่ครับ แต่วันนี้รู้สึกว่าไม่ดีแล้ว”

“เปลี่ยนใจง่ายเนาะ อย่างนั้นคบกับฮารุจังเองเลย จะได้ดีอย่างที่ใจหวัง”

“ไม่เอาหรอก”ทาคุมิพูดพลางคุกเข่าลงกับพื้น จับมือของฮารุโตะขึ้นมากุมไว้ “ถ้าเป็นเพื่อนกันก็จะไม่มีวันเลิกกัน”

“แต่ฮารุจังอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ได้”เรย์บอกออกมาในฐานะคนที่เคยแอบรักเพื่อนสนิท และปัจจุบันมีเพื่อนสนิทเป็นแฟน

“ผมก็จะบอกว่า ผมไม่เหมาะสมเพราะผมปกป้องเขาไม่ได้”



ชิมิซึ ซากิตรงเข้าไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ซึ่งตั้งอยู่ชั้นล่างของอาคาร เขาแจ้งขอเข้าพบซากุราอิ ฮิเดอากิด้วยเรื่องที่ซากุราอิ ชุนถูกจับเมื่อวาน หญิงสาวที่รับเรื่องแจ้งให้เขารอสักครู่ จากนั้นเธอจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกหาใครสักคน หลังจากที่วางสาย เธอจึงเดินนำเขาไปที่ลิฟต์ตัวในสุด ใช้บัตรแตะแผงหน้าจอซึ่งติดตั้งอยู่บนผนัง ก้าวเข้าไปในลิฟต์กดชั้นปลายทางก่อนจะปล่อยให้พวกเดินทางกันไปเพียงลำพัง

ออกจากลิฟต์ พวกเขาเดินไปตามทางตามที่ได้รับคำแนะนำมาก่อนหน้า พบป้ายบอกชื่อหน้าห้องจึงเคาะประตูและเดินเข้าไป พวกเขาก้มศีรษะทักทาย จากนั้นจึงถูกเชิญให้เข้าไปนั่งรอในห้องรับรองอีกห้องหนึ่ง ภายในห้องมีเพียงชุดโซฟาและแจกันสำหรับตั้งประดับตกแต่งเท่านั้น ด้านหนึ่งเป็นกระจกซึ่งมีมูลี่บังแสงแขวนไว้ อีกสองฝั่งเป็นผนังเรียบที่มีกรอบภาพข้อความพวกนโยบายและวิสัยทัศน์ของบริษัทแขวนไว้

นั่งรออีกครู่หนึ่งคนที่พวกเขาต้องการพบก็เปิดประตูเข้ามา

ซากุราอิ ฮิเดอากิเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่ดูรูปร่างสูงใหญ่ ความสูงอาจจะน้อยกว่าลูกชายเล็กน้อย แต่รูปตาและคิ้วของซากุราอิ ชุนถอดแบบออกมาจากผู้เป็นบิดา แต่ท่าทางของบุคคลตรงหน้าสุขุมเยือกเย็นต่างจากลูกชายไปไกลลิบ

“พวกเธอแจ้งว่า มาเพราะเรื่องที่ชุนโดนจับเมื่อวาน”คู่สนทนาไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปสักวินาทีเดียว

“ครับ พวกผมกำลังจะแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีกับซากุรากิ ชุนเพิ่มเติมกรณีที่เขาคุกคามความเป็นส่วนตัวของรุ่นน้องของพวกผม”ซากิจึงพูดแจ้งสาเหตุที่ต้องการมาพบโดยไม่อ้อมค้อม

“รุ่นน้องของพวกเธอ?”

“ครับ มิอุระ ฮารุโตะ เขาเป็นรุ่นน้องร่วมชมรมกับพวกผม เขาเอาเรื่องที่ถูกซากุราอิ ชุนคอยติดตามและส่งข้อความที่แสดงออกถึงการคุกคามมาปรึกษา”

“อ่อ เห็นชุนบอกว่าทำโทรศัพท์หาย”

“เขาไม่ได้ทำหายครับ แต่จงใจทิ้งไว้เพื่อไม่ให้ใครติดตามได้”ชายหนุ่มผู้พูดหยิบโทรศัพท์ของชุนออกมาวางตรงหน้า

“เมื่อวานท่านคงทราบแล้วว่าเขาลักพาตัวมิอุระซัง บังเอิญว่าเมื่อวานมีรุ่นน้องในชมรมอีกคนเห็นตอนที่มิอุระซังถูกอุ้มพาขึ้นรถไปพอดี เขาจึงแจ้งพวกผมซึ่งพวกผมสามารถติดตามไปได้ทัน”ซากิออกชื่อโรงแรมที่ชุนพาฮารุโตะไปเข้าพัก และหนีออกไปก่อนพวกเขาจะเข้าไปช่วยเหลือโดยทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้

“แต่พวกเธอก็ตามไปช่วยรุ่นน้องคนนั้นได้”ฮิเดอากิพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความคลางแคลงสงสัย

“ไม่แน่ใจว่าท่านทราบหรือเปล่า ว่าทั้งซากุราอิ ชุนและมิอุระซังเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันมาก่อน และมิอุระซังโดนซากุราอิ ชุนกลั่นแกล้งมาตลอดระยะเวลาที่เรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยม”แต่ซากิคาดเดาว่า ผู้มากวัยกว่าตรงหน้าน่าจะรู้เช่นกัน เขาเพียงแต่ย้ำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า พวกเขารู้เรื่องระหว่างคนทั้งคู่ดี

“แต่เมื่อไม่นานมานี้ โคจิมะ มิชิโอะและโองาวะ อิซามุซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพื่อนสนิทของซากุราอิ ชุน เขาเข้ามาขอโอกาสพูดคุยกับมิอุระซังเพื่อขอโทษและขอให้กลับเป็นเพื่อนกันอีกครั้ง และมิอุระซังซึ่งถูกซากุราอิ ชุนระรานรังแกเรื่อยมาแม้จะเข้ามาเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้วก็ตาม ได้เข้ามาขอความช่วยเหลือจากพวกผม จนมีข้อสรุปออกมาว่า จะให้ทางซากุราอิ ชุนนัดเวลามาเพื่อเริ่มสร้างความคุ้นเคยกันอีกครั้ง ผมต้องแจ้งให้ท่านทราบว่า มิอุระซังมีความหวาดกลัวต่อซากุราอิ ชุนมาก

ผมไม่เข้าใจว่า ซากุราอิ ชุนต้องการอยากจะเป็นเพื่อนกับมิอุระซังอีกครั้งเพื่ออะไรทั้งที่กลั่นแกล้งมิอุระซังมาตลอด และที่ผมสามารถตามหามิอุระซังเจอ เพราะพวกผมใช้วิธีตามรอยและคาดเดา ใช้เส้นสายตำรวจของตระกูลโมริติดตามรถยนต์ที่ซากุราอิ ชุนใช้ มิอุระซังเล่าให้พวกผมฟังหมดแล้วว่าในสมัยมัธยมเกิดอะไรกับเขาบ้าง และเขาเคยบอกกับซากุราอิ ชุนไปแล้วว่า ถ้าอยากขอโทษเขายินดีให้อภัย แต่ไม่ได้ต้องการเจอหน้าซากุราอิ ชุนอีก ขอให้ต่างคนต่างอยู่ ถ้าท่านไม่เชื่อท่านสามารถถามโคจิมะซัง และโองาวะซังได้ครับ”ซากิทิ้งเวลาอีกครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“ที่พวกผมมาวันนี้เพื่อขอความกรุณาให้ท่านจำกัดความประพฤติของลูกชายของท่าน”เขาเปิดข้อความในโทรศัพท์มือของฮารุโตะให้อีกฝ่ายดู ข้อความเหล่านั้นล้วนถูกส่งมาจากโทรศัพท์มือของซากุราอิ ชุน

“พวกผมยังไม่อยากแจ้งความเพื่อดำเนินคดี เท่าที่ผมทราบมิอุระซังเป็นนักเรียนทุนซึ่งเมื่อเรียนจบจะต้องทำงานชดใช้ทุนในบริษัทในเครือที่ท่านบริหารงานอยู่ ถ้าเรื่องเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาลจริงๆ ผมคิดว่ามันไม่น่าจะมีประโยชน์กับใคร”

“ถ้าฉันไม่ตกลง”

ซากิแสร้งถอนหายใจ “มิอุระซังเป็นคนน่าสงสารครับ เขาเป็นเด็กกำพร้าที่ขยันตั้งใจเรียน เขาไม่ควรจะเจอเรื่องเลวร้ายอะไรอีกแล้ว และพวกผมได้ตัดสินใจช่วยเหลือเขา ถ้าการพูดคุยครั้งนี้ไม่สำเร็จ พวกเราก็คงเดินหน้าต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม อย่างเลวร้ายที่สุดคงทำให้ซากุราอิ ชุนเข้าไปชดใช้ชีวิตในคุกได้”

ซากุราอิ ฮิเดอากิส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูถูก

“อ่อ... ผมขอประทานโทษที่ไม่ได้แนะนำตัวครับ ผมชิมิซึ ซากิบุตรชายของที่สองของชิมิซึ เคนจิโร่ และที่นั่งอยู่ด้านข้าง โมริ เอคิจิเป็นหลานชายคนเล็กของโมริ อิจิโร่ครับ”

ได้ยินเช่นนั้น ชายวัยกลางคนจึงเลิกคิ้วกวาดสายตามองพวกเขาอย่างถี่ถ้วนอีกรอบ

ซากิแน่ใจว่าซากุราอิ  ฮิเดอากิต้องเคยไปกินข้าวกับพ่อของเขาบ้างล่ะ  ส่วนชื่อของโมริ อิจิโร่ เขาคิดว่าไม่น่าจะไม่มีใครไม่รู้จักอธิบดีกรมตำรวจคนปัจจุบัน

“คิดว่าพวกพ่อแม่จะยอมช่วยเหลือหรือไง ถ้าเป็นลูกหลานตัวเองก็ว่าไปอย่าง”

ซากิอ้าปากกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “แต่ประชาชนส่วนใหญ่ชอบคนดีครับ ครอบครัวของพวกผมล้วนต้องทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน การออกตัวพยายามช่วยเหลือและแสดงแนวคิดว่าอยากจะแก้ไขปัญหาการกลั่นแกล้งภายในโรงเรียนคงเรียกเสียงสนับสนุนของคนส่วนใหญ่ได้เยอะ”

“ถ้าคิดว่าแน่ขนาดนั้น จะมาพูดคุยกับฉันทำไม”น้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้ทั้งเย้ยหยันท้าทายและดูถูก

“อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วครับ ถ้าดำเนินการตามกระบวนการจริงๆ ผมคิดว่ามันไม่น่ามีประโยชน์กับใคร มิอุระเองต้องการแค่ความสงบสุขในชีวิต เขาแค่ไม่อยากโดนกลั่นแกล้งระรานจากใครเท่านั้น เขาตั้งใจเรียนเพื่อจะได้กลายเป็นกำลังสนับสนุนให้กับบริษัทที่ให้ทุนเขาจริงๆครับ เขาบอกกับพวกผมเสมอว่า ทุนนี้ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป และเขาสำนึกในบุญคุณของผู้ที่ให้ทุนเสมอมา ผมขอถามท่านครับ ท่านจะทำลายคนที่ท่านได้ให้ชีวิตใหม่จริงๆหรือ”

อย่างไรก็ตาม การสนทนาของพวกเขายังไม่ทันได้ข้อสรุป กลับมีบุคคลอื่นเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน

“ฉันมีแขก ไม่เห็นหรือไง”เสียงของฮิเดอากิเรียบนิ่งแฝงด้วยความไม่พอใจ

“ขอประทานโทษครับ พอดีผมมีเรื่องจะแจ้งเกี่ยวกับชุนซัง”ผู้พูดสืบเท้าเข้าไปกระซิบบอกข้างหู หลังจากนั้นผู้มีอำนาจสูงสุดในที่แห่งนั้นจึงผลุนผลันลุกออกไป ซากิมองตามพลางลอบยิ้มมุมปาก



+++++โปรดติดตามตอนสุดท้ายได้ใน Reply ต่อไป+++++


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'


春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Last Chapter



“อะไรวะ”เอคิจิส่งเสียงพูดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ ซากิโคลงศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธว่าไม่รู้เหมือนกัน เพื่อนสนิทจึงชวนคุยว่า คำพูดคำจาเหมือนกำลังจะไปหาเสียง ระหว่างนั้นมีแม่บ้านนำน้ำเข้ามาเสิร์ฟ พวกเขาจึงเงียบเสียงลง และเมื่อคนของซากุราอิ ฮิเดอากิออกไป เอคิจิจึงพูดขึ้นมาอีกว่า

“น้ำนี่ใส่ยาอะไรไว้หรือเปล่าวะ”

“ดูหนังมากไปหรือเปล่า ไม่มีใครทำอะไรโจ่งแจ้งอย่างนั้นหรอกน่า”ซากิพูดพร้อมกับยกน้ำขึ้นมาดื่ม หลังจากวางแก้วลง เขายกมือขึ้นกุมลำคอของตัวเองด้วยสีหน้าเหยเก เอคิจิเห็นท่าทางอาการของเพื่อนจึงร้องออกมาด้วยอาการร้อนรน

“เฮ้ย!!! ซากิเป็นอะไรวะ”

ทว่าคนที่เคยทำท่าทรมานให้คราแรกกลับหัวเราะออกมา

“บ้าเอ้ย! แม่งเล่นไม่รู้เวลา”เอคิจิผลักศีรษะเพื่อนสนิทออกห่าง อย่างไรก็ดี ท่าทางหัวเราะขบขับถูกปรับเปลี่ยนกลับมาเคร่งขรึมทันทีเมื่อประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง

“ขอโทษที วันนี้ฉันคงไม่สะดวกคุยแล้วแต่เรื่องนี้ฉันจะรับไว้พิจารณา ถ้าเกิดชุนไประรานมิอุระ ฮารุโตะอีกละก็ ให้ติดต่อมาอีกทีแล้วกัน นี่นามบัตรของฉัน”ฮิเดอากิรีบพูดพร้อมกับส่งนามบัตรมาให้ จากนั้นเขาได้รีบลุกออกจากห้องไป ไม่รอให้ผู้อ่อนอาวุโสกล่าวลาด้วยซ้ำ

“อะไรของเขา แล้วตกลงเรื่องนี้จะยังไงล่ะ”เอคิจิหน้าตาเหลอหลาด้วยความอยากได้คำตอบจริงๆ

“กลับกันเถอะ”ซากิเอ่ยชวน และถึงจะยังมีข้อกังขากระนั้นเอคิจิก็ได้แต่เดินตามเพื่อนสนิทออกมานอกบริษัท ขึ้นรถยนต์และขับกลับไปยังโรงแรมที่พัก

เมื่อไปถึงปรากฏว่า ฮารุโตะได้ตื่นนอนแล้ว พวกเขาจึงเก็บของชักชวนกันกลับ ยังไม่มีใครถามถึงเรื่องที่พวกเขาไปคุยมาจนกระทั่งได้แวะพักทานอาหารเที่ยงกันกลางทาง

“ซากุราอิซังไม่รับปากอะไรทั้งสิ้น บอกแค่ว่าถ้าลูกชายมาทำอะไรอีกให้ติดต่อไป”

“โถ... ครั้งหน้ามันจะไม่รุนแรงกว่านี้หรือวะ นี่ขนาดก่อนหน้าคุยกันมาดิบดี หมอนั่นยังกล้าโป๊ะยาสลบพาขึ้นรถไปเลย”เรียวตะพูด

“ต่อไปต้องระวังกว่านี้ไหม ให้มีคนไปส่งฮารุจังทุกวันเลยดีกว่า”นาโอโตะหยุดคิดไปครู่เดียวก็หันไปพูดกับเด็กหนุ่มรุ่นน้องว่า “เดี๋ยวพี่จะไปส่งนายที่ทำงานเอง”

ความคิดแรก ฮารุโตะนึกอยากปฏิเสธแต่เมื่อนึกถึงเรื่องคราวนี้ เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะเมื่อเกิดเรื่องขึ้นมา ทุกคนต้องเดือดร้อนตามไปกันหมดแต่กระนั้นภายในใจลึกๆ เขามีความสุขที่มีแต่คนเป็นห่วง

คนอื่นไม่มีใครออกความคิดเห็นอะไรเพิ่ม และประเด็นนี้ต้องถูกพักการพูดคุยปรึกษาหารือกันไปอย่างอัตโนมัติ เนื่องจากพวกเขาทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังกลับมาจากฟุคุชิม่าได้เพียงสองถึงสามวัน เอคิจิได้เรียกรวมพลกลุ่มเพื่อนอีกครั้งที่บ้านของชิมิซึ ซากิ

“ซากุราอิ ชุนโดนจับข้อหามียาเสพติดไว้ครอบครอง โดนตำรวจเข้าค้นบ้านเช้าวันที่พวกเราอยู่ที่ฟุคุชิม่า”

“เฮ้ย! จริงดิ หมอนั่นมันติดยาด้วยหรือวะ”เรียวตะถาม

“แล้วที่สำคัญกว่านั้น ตอนนี้หมอนั่นถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศแล้ว”

“เฮ้ย!!!”คราวนี้เรียกเสียงอุทานได้รอบวง เพราะเหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก

ประโยคนั้นทำให้ภายในอกของฮารุโตะว่างโหวงกลวงเปล่าอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่แน่ใจว่านี่ควรจะเรียกว่าอาการใจหายหรือเปล่า เขายังจำความรู้สึกเกลียดเคียดแค้นที่ปะทุออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ดี เขารู้อยู่แล้วว่ามันถูกสะสมอยู่ภายในใจ แต่ทว่ายามเมื่อได้รู้ว่าชุนไม่ได้อยู่ในที่ที่สามารถพบกันได้ง่ายๆ เขากลับรู้สึกแปลกประหลาดในอก ความเกลียดที่ว่าได้จางหายไปและกลายเป็นความโหยหาใจหายแทนที่จะเป็นความดีใจที่อีกฝ่ายไปเสียให้พ้นหูพ้นตา

เขาปล่อยให้เสียงพูดคุยของคนอื่นๆลอยผ่านหูไป กระทั่งมีเสียงร้องถามพร้อมฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ยื่นมากุมมือเขาไว้

“เป็นอะไรหรือเปล่า ฮารุจัง เงียบไปเลย”รุ่นพี่อาโอกิหันมาถามเขา

ฮารุโตะสั่นศีรษะให้เป็นคำตอบ กระนั้นก็พูดออกไปว่า “ใจหายเหมือนกันนะครับ”

“เรื่องซากุราอิ ชุน”นาโอโตะขมวดคิ้ว เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้า จึงบอกต่อไปว่า “จากกันแบบนี้ก็เป็นเรื่องดีนะ เพราะอย่างน้อยเราได้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีความสุขกว่าเดิมก็ได้”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ

และเรื่องที่พูดคุยจึงถูกดึงกลับมาสู่เรื่องที่ค้างคาระหว่างเจ้าบ้านกับหนุ่มรุ่นน้องผู้มาพักอาศัยอยู่ที่นี่อีกครั้ง

“แล้วต่อไปจะให้ผมทำอย่างไรครับ ผมยังต้องมาค้างอยู่ที่นี่ต่อไหม”ทาคุมิเอ่ยถาม

“ไง อยากกลับบ้านแล้วหรือ”เรียวตะถามทาคุมิ

“ผมยังไงก็ได้นะ ทุกวันนี้ก็กลับไปนอนบ้านตัวเองบ้าง มานอนที่บ้านรุ่นพี่ชิมิซึบ้างอยู่แล้ว”ทาคุมิบอก เขาไม่ติดปัญหาอะไรซ้ำยังไม่คิดอะไรมาก ดังนั้นทุกคนจึงพุ่งความสนใจไปที่คนที่ต้องตัดสินใจอย่างชายหนุ่มเจ้าของบ้าน

ซากิกวาดสายตามองวงสนทนาที่พร้อมใจกันเงียบกริบรอฟัง ก่อนสายตาจะไปหยุดที่หนุ่มรุ่นน้องซึ่งยังคงก้มหน้ามองมือตัวเอง แล้วพาให้รู้สึกประหม่าขึ้นมา

“เรื่องบางเรื่องมันก็ต้องใช้เวลา”เมื่อจบประโยค ทุกคนจึงคลายอาการลุ้นเกร็งเครียดก่อนเอคิจิจะลุกขึ้นบอกจะกลับบ้าน แล้วชักชวนทาคุมิกับฮารุโตะให้ไปเที่ยวที่บ้านของตนด้วยกัน เรียวตะเห็นว่าอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์จึงได้ลุกเดินตามเอคิจิไปด้วย จึงยังเหลือแค่คู่รักของกลุ่มที่ยังนั่งอยู่

“ลังเลอะไรอยู่วะ”เรย์ถาม

ซากินิ่งคิดและพูดตอบออกไปว่า “ลังเลว่าความรู้สึกที่มีมันเป็นของจริงหรือเปล่า ฉันไม่อยากเสียใจและไม่อยากทำให้เขาเสียใจ”

“อย่างนั้นเริ่มต้นจากลองคบกันดูใหม่ไหม”นาโอโตะพูดเสนอออกมาบ้าง “บางทีที่แกสับสนเพราะแกข้ามขั้นตอนของการจีบกันหรือทดลองคบกันมา ที่พวกฉันพูดไม่ได้อยากจะยุหรือยัดเยียดให้แกดูแลฮารุจังนะ แต่เพราะแกทำให้เขาขนาดนี้ ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันกลัวว่าจะเป็นตัวแกเองที่หลอกตัวเองอยู่ ถ้าแกต้องปล่อยเขาไปแล้วเป็นตัวแกเองที่ต้องมาทุรนทุรายภายหลัง ฉันอยากจะถามว่ามันคุ้มกันหรือ”

“ขอบใจที่เป็นห่วง”ซากิยิ้มบอก พร้อมกับบอกว่าขอเวลาอีกนิด

นาโอโตะและเรย์กลับไปหลังจากนั้น ทั้งบ้านจึงกลับมาเงียบสนิทเช่นเดิม ชายหนุ่มปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปโดยได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ แม้จะพยายามครุ่นคิด แต่ในเวลานี้กลับไม่แน่ใจกับหนทางที่เลือก ส่วนหนึ่งอาจเพราะปฏิกิริยาของฮารุโตะต่างจากที่เขาหวัง เขาจึงยิ่งไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่ถูก

นอกจากเรื่องข้อความคุกคามในโทรศัพท์มือของฮารุโตะ เรื่องยาเสพติดที่ตรวจพบในบ้านของชุนก็ยังเป็นการจัดฉากของเขา ซากิไม่แน่ใจว่าเรื่องทุนที่ฮารุโตะได้รับเป็นความบังเอิญหรือไม่ แต่เขาเชื่อว่าฮารุโตะมีความสามารถมากพอที่จะคว้าทุนนี้ เพียงแต่ปีที่ฮารุโตะสอบชิงทุน นั่นเป็นปีแรกที่มีการให้ทุนนี้ด้วยเหมือนกัน

สมมติฐานของเขาจึงกลายเป็น ซากุราอิ ฮิเดอากิเป็นคนวางแผนเรื่องทั้งหมด อาจเพราะลูกชายเริ่มมีแนวโน้มออกนอกลู่นอกทางมากขึ้น ผู้เป็นพ่อจึงได้หาทางดึงลูกชายกลับมา มันฟังดูใจร้ายสำหรับฮารุโตะ แต่ลูกย่อมสำคัญกว่าคนนอกไส้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องสร้างความผิดของชุนให้ใหญ่มากพอที่ซากุราอิ ฮิเดอากิจะลงดาบกับลูกชาย

แม้จะวางแผนการทุกอย่างไว้ แต่เขายังคงรอดูปฏิกิริยาของชุน

ฮารุโตะผูกพันกับชุนมากกว่าที่เจ้าตัวเข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้น ซากุราอิ ชุนยังมีความหมายมากมายในใจของฮารุโตะ แต่เพราะเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้ความรู้สึกนั้นถูกกดจมลึกปิดซ่อนไว้มิดชิด และถูกทับถมด้วยความหวาดกลัวเกลียดแค้นชิงชัง เพียงแต่ชุนไม่รู้จักรอและไม่รู้จักพยายามที่จะค่อยๆกะเทาะเปลือกนั้นออก

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดความลังเลขึ้นมาในใจของเขา มันง่ายมากที่จะทำให้ฮารุโตะรักเขาและลืมซากุราอิ ชุนไปจากใจ แต่ตัวเขาเองล่ะจะมั่นคงกับความรู้สึกในครั้งนี้ได้มากและนานแค่ไหน เขาตัดสินใจว่าจะเปิดโอกาสให้ตัวเอง เลือกใครคนใหม่เข้ามาในชีวิต แต่ใครคนนั้นก็ยังคงเป็นภาพซ้อนทับของคนที่เขาไม่อาจตัดใจ



เพราะซากุราอิ ชุนย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้ว การใช้ชีวิตของเขาจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาบอกกับรุ่นพี่อาโอกิว่าไม่ต้องไปส่งเวลาไปทำงาน แต่ยังต้องรบกวนหนุ่มรุ่นพี่ที่เขาอาศัยอยู่ด้วยให้มารับตอนเลิกงาน ส่วนทาคุมิจะกลับไปนอนที่บ้านมากกว่าจะมานอนกับเขา ส่วนเรื่องที่ตัวเขายังคงอาศัยอยู่ในบ้านของหนุ่มรุ่นพี่ เขาถือว่าตัวเองเคยบอกขอเช่าห้องในบ้านไปแล้ว เขาจึงอยู่ที่นั่นไปแบบมึนๆแบบที่ทาคุมิเคยสอน

แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่บ้านของรุ่นพี่ชิมิซึดีกว่าห้องเช่าเดิมของเขามาก ห้องกว้าง ผนังหนา มีห้องอาบน้ำ เครื่องครัวก็ครบ เหลือแค่รอได้ย้ายตารางทำงานทุกอย่างก็ลงตัว ของขวัญสำหรับพิธิสำเร็จการศึกษาพรุ่งนี้ก็ซื้อไว้แล้ว ฮารุโตะจึงบอกตัวเองว่า ไว้ให้โดนไล่ออกจากบ้านจริงๆ แล้วค่อยมากังวลว่าจะเอาอย่างไรต่อ

ฮารุโตะวางกระบวยลงบนจานและลดไฟบนเตาให้เหลือไฟอ่อนเพื่อเคี่ยวน้ำซุปเมื่อได้ยินเสียงกุกกักที่ประตูหน้าบ้าน เวลานี้ยังเร็วเกินกว่าที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านจะกลับมาถึงทว่าทันทีที่เยี่ยมหน้าออกไปมอง ทั้งเขาและแขกผู้มาเยือนต่างอยู่ในสภาวะชะงักงัน จากนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายก้มศีรษะลงทักทายเนื่องจากผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูอาวุโสกว่า

“เอ่อ...คุณพ่อของรุ่นพี่ชิมิซึหรือครับ”ฮารุโตะเอ่ยถาม เดาจากที่อีกฝ่ายเปิดประตูเข้าบ้านนี้มาอย่างคุ้นเคย

“ใช่ ชิมิซึ เคนจิโร่ครับ”

“อ่ะ ผมมิอุระ ฮารุโตะครับ เป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย รุ่นพี่ช่วยดูแลผมหลายอย่างเลยครับ”ฮารุโตะก้มศีรษะซ้ำพลางเอ่ยแนะนำตัว

“เชิญด้านในก่อนครับ อ่ะ เอ่อ...”แล้วนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายก็นับว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ฮารุโตะหน้าแดงด้วยความกระดากเขิน ก้าวเท้าตามอีกฝ่ายพร้อมกับพูดว่าจะไปนำน้ำมาให้

ฮารุโตะก้าวเข้าไปในครัวด้วยอาการเก้ๆกังๆ เพราะปกติไม่มีใครอยู่บ้าน ฮารุโตะจึงไม่เคยตั้งน้ำเพื่อต้มชาซ้ำยังไม่เคยรู้ว่าบ้านนี้มีผงชาหรือเปล่า เขาเปิดประตูตู้เก็บของซึ่งอยู่เหนือศีรษะเห็นมีกระปุกกาแฟ แต่กระนั้นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่มีน้ำร้อน หันซ้ายหันขวาเดินวนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตัดสินใจเปิดน้ำเปล่าจากก๊อกยกไปเสิร์ฟ แต่ชุดโซฟาในบ้านของรุ่นพี่ชิมิซึไม่มีโต๊ะสำหรับวางแก้ว เขาจึงคลานเข่านำน้ำเข้าไปเสิร์ฟก่อนจะขยับถอยออกมายืนห่างๆ

“นั่งก็ได้”ผู้เป็นบิดาของรุ่นพี่ชิมิซึเอ่ยบอกเขา ฮารุโตะจึงทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแต่ท่าทางอาการยังเหมือนนั่งบนเบาะร้อน

“รู้จักซากิได้อย่างไรล่ะ”

“ผ... ผมอยู่ชมรมเดียวกับรุ่นพี่ครับ”ฮารุโตะตอบคำถามด้วยอาการเกร็งเครียด

“อ่อ... ชมรมถ่ายภาพ ชอบถ่ายรูปด้วยหรือ”

“เปล่าครับ พอดีได้ดูภาพของรุ่นพี่นาคามูระน่ะครับ เห็นว่ามันสวยดีเลยไปสมัครเข้าชมรม”

สองสามคำถามหลังจากนั้นเป็นคำถามทั่วไปอย่างเรียนคณะอะไร การเรียนเป็นอย่างไรบ้าง ฮารุโตะจึงค่อยๆผ่อนคลายลงเรื่อยๆ ก่อนอีกฝ่ายจะเข้าสู่คำถามที่ทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้องอีกครั้ง

“แล้วทำไมมาอยู่ที่บ้านนี้ได้”

ความจริงแล้วฮารุโตะไม่รู้เหมือนกัน  ว่าทำไมหนุ่มรุ่นพี่ถึงให้มาอยู่ด้วย เรื่องที่เคยคุยเกี่ยวกับการย้ายมาอยู่ด้วยกัน เขาเข้าใจว่า จะหาเช่าห้องที่อื่นเพื่ออยู่ด้วยกัน แต่หลังจากที่ผ่านเรื่องราวหลายอย่างในช่วงก่อน เด็กหนุ่มเดาว่าหนุ่มรุ่นพี่คงจะเปลี่ยนใจแล้ว

“พอดีช่วงก่อน ผมมีปัญหาหลายอย่างครับ ไม่สบายและอยู่คนเดียวด้วย รุ่นพี่ชิมิซึจึงอนุญาตให้มาอยู่ที่นี่”

และคำถามต่อไปก็เป็นคำถามที่เขากลัวมากที่สุด

“แล้วจะอยู่ที่นี่อีกนานไหมล่ะ”

“ส...สัก...พักครับ ผม...กำลังหาที่อยู่ใหม่ครับ”ฮารุโตะใจแป้ว กำลังคิดอยู่ว่า จะอยู่ไปจนกว่าจะโดนไล่ แต่ไม่ทันนึกว่า ไม่ถึงชั่วโมงต่อมาก็โดนไล่ออกจากบ้านจริงๆ

“อ่อ พ่อไม่ได้ว่าอะไรหรอก ถ้าจะอยู่นานๆก็ได้ ปกติที่บ้านมีแต่ซากิอยู่คนเดียว มีคนอื่นมาอยู่ด้วยก็ดี”

“ครับ”ฮารุโตะพยักหน้ารับ แต่การตบหัวแล้วลูบหลังเช่นนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น

“ผม... ขอตัวไปดูซุปที่ต้มไว้ก่อนนะครับ”เขาพูดก่อนจะลุกขึ้น จากนั้นก็หมกตัวอยู่แต่ในครัวทำอาหารสองสามอย่างเหมือนปกติ และออกจากบ้านไปทำงานพิเศษ

“ผมมีงานพิเศษตอนเย็น ขอตัวก่อนนะครับ”

ผู้อาวุโสพยักหน้ารับ เปิดประตูออกไปต้องตกใจกับชายในชุดสูทสีดำสองคน เขามองอย่างระแวดระวังยามที่ก้าวเท้าเดินผ่าน พ้นออกมาบ้านมา เด็กหนุ่มต้องถอนหายใจพร้อมใบหน้าซึ่งสลดลง โดนพูดต่อหน้าชัดขนาดนี้จะให้อยู่แบบมึนๆต่อไปก็คงไม่ได้แล้ว

ฮารุโตะล้วงหยิบจี้รูปใบโคลเวอร์ซึ่งซ่อนอยู่ใต้เสื้อออกมาดู แล้วกำไว้ในมือพลางคิดว่าไม่เป็นไรหรอก มันจะต้องมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นแน่ๆ

“ไม่สบายอีกแล้วหรือดูหน้าซึมๆ”

“อ่ะ ไดกิซัง มาซื้อของหรือครับ”ฮารุโตะเอ่ยทักชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า เนื่องจากวันรุ่งขึ้นจะมีพิธีจบการศึกษาตั้งแต่เช้า นากายาม่า ไดกิจึงลาหยุดงานหนึ่งวัน คนที่มาที่ร้านในฐานะลูกค้าวางกล่องนมลงบนเคาน์เตอร์พร้อมเงินค่าสินค้า

“ไม่ใส่ถุงนะครับ”

“อือ ว่าแต่เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่ไหวก็ลากลับได้นะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมแข็งแรงดี แต่พอดีพ่อของรุ่นพี่เขากลับมาที่บ้าน”

“อ่อ”

ฮารุโตะส่งของและเงินทอนไปให้ “เขาถามประมาณว่าจะอยู่ไปถึงเมื่อไหร่”

“ไม่บอกไปว่า ‘อยู่จนกว่ารุ่นพี่จะไล่ครับ’”

“โธ่... คนกำลังเครียด ผมแจ้งยกเลิกเช่าห้องไปแล้วด้วย ไม่รู้ว่ากลับไปแจ้งของอยู่ต่อตอนนี้จะทันหรือเปล่า”

“โลเลนะเรา เพราะงี้รุ่นพี่คนนั้นเขาถึงไม่ขอเป็นแฟน”

ฮารุโตะรู้สึกเหมือนโดนจี้ใจดำ กระนั้นได้แต่อ้าปากพะงาบๆ “สาเหตุเป็นเพราะผมที่ไหน” เขาพูดตอบก่อนจะหันไปรับลูกค้าที่นำสินค้ามาวาง ไดกิรอจนกระทั่งลูกค้าคนนั้นก้าวเท้าออกจากร้านไปจึงหันไปคุยกับเด็กหนุ่มต่อ

“ทำไม จะบอกว่า ‘ผมสารภาพรักแล้ว แต่รุ่นพี่ไม่ยอมตอบ’ เหรอ”

“ไดกิซังมีตาทิพย์หรือครับ”ฮารุโตะถามอย่างตื่นเต้น

“เรื่องแบบนี้ต้องมีตาทิพย์ด้วย? คือผมเนี่ยนะครับ ก่อนจะคบกับแฟนคนที่กำลังจะแต่งงานกันเนี่ย ได้มาแล้วทุกโรงเรียนในจังหวัด”

“มันน่าภูมิใจใช่ไหมครับ”ถึงจะถามออกไปเช่นนั้นแต่ฮารุโตะคิดว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะอวดได้ ไดกิจึงอธิบายเพิ่มเติมมาว่า

“หมายถึงเป็นแฟนกับเด็กทุกโรงเรียนในจังหวัดน่ะ”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ คิดไปคิดมาอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะเอามาอวดได้“แล้วพวกผู้หญิงไม่ตีกันหรือครับ ไดกิซังคบพร้อมกันเยอะๆขนาดนั้น”

“คบทีละคนดิ นี่จงใจกวนประสาทหรือเปล่าเนี่ย”

ฮารุโตะหัวเราะ ผายมือเชิญให้อีกฝ่ายพูดได้เต็มที่ เขากำลังตั้งใจรอฟัง

“คือสมมติว่าสารภาพรักใช่ไหม มันควรถามเขาด้วยว่าคบได้หรือเปล่า ถามเขาให้เขาตอบมาตอนนั้นหรือเขาจะกลับไปคิดแล้วมาตอบวันหลังก็แล้วแต่ แต่การไปบอกรักเขาเฉยๆเนี่ย มันก็เหมือนฉันอยากบอกเฉยๆ คุณไม่รักฉันไม่เป็นไร เราไม่ได้คบกันก็ไม่มีปัญหา”

“อ่อ”ฮารุโตะพยักหน้ารับรู้ “แต่เขาจูบกลับมา”

“สำหรับผู้ชายบางคนจูบหรือเซ็กส์มันไม่เกี่ยวกับความรัก เพราะฉะนั้นไปบอกเขาใหม่แล้วถามให้ชัดเจน โอเคไหม”

“คร้าบ ผมจะทำตามทุกประการ”

ก่อนออกจากร้านไปไดกิยังบ่นพึมพำว่าเพราะฮารุโตะทำให้ตนต้องนอนดึก จนกังวลว่าหน้าจะโทรมเวลาถ่ายรูป ฮารุโตะจึงกล่าวขอโทษซ้ำๆด้วยท่าทางที่ไม่จริงจังนัก จากนั้นเขาจึงทำงานต่อไปจนหมดเวลาทำงาน

ตอนกลับบ้านเมื่อหนุ่มรุ่นพี่มารับเขา ฮารุโตะรอจนขึ้นไปนั่งอยู่บนรถยนต์ด้วยกันแล้ว เขาจึงเอ่ยปากพูดสิ่งที่คิดทบทวนมาครั้งแล้วครั้งเล่า

“เมื่อตอนเย็น ผมเจอพ่อของรุ่นพี่ก่อนจากบ้านด้วยครับ แล้วท่านก็ถามว่าจะอยู่ที่นั่นไปถึงเมื่อไหร่”ฮารุโตะเงียบ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังคงเงียบปากอยู่เช่นเดิม

“เอ่อ... ผมขอโทษนะครับ ที่เคยพูดว่า ...น่ารังเกียจ”ฮารุโตะอ้อมแอ้มบอก เขาทั้งตื่นเต้น ทั้งประหม่าและทั้งหวั่นใจ ยิ่งคู่สนทนายังไม่มีทีท่าว่าจะเหลือบแลสายตามองมา เอาแต่เพ่งมองถนนเบื้องหน้า ฮารุโตะยิ่งรู้สึกไม่มั่นใจ แต่เพราะเขาตั้งใจไว้แล้ว และพิธีจบการศึกษาที่กำลังจะมีขึ้นก็บ่งบอกว่ารุ่นพี่กำลังจะเรียนจบแล้วเช่นกัน

“ไม่รู้ว่ารุ่นพี่จะยังมีความคิดที่จะย้ายไปอยู่ด้วยกันอยู่หรือเปล่า แต่ผมยังยืนยันคำเดิมนะครับ แล้วก็อยากรู้คำตอบด้วย ที่ผมสารภาพรักไปครั้งนั้น รุ่นพี่รักผมบ้างหรือเปล่า”

“ถ้าฉันบอกว่า ‘ไม่ได้รักนาย’ ยังอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกหรือ”น้ำเสียงเรียบเบาถามกลับมา คำถามนั้นทำให้หัวใจของฮารุโตะหล่นวูบ เขาตอบไม่ได้เพราะแค่ได้ยินว่า ‘ไม่รัก’ ก็รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลแล้ว

“ลองกลับไปถามตัวเองก่อน ถ้าคำตอบของฉันเป็นแบบนั้น นายยังกล้าจะใช้ชีวิตอยู่กับฉันหรือเปล่า”

น้ำตาของฮารุโตะร่วงผล็อย ไม่กล้ายกมือเช็ดน้ำตา และไม่กล้าแม้กระทั่งสูดหายใจเพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มร่างสูงรับรู้ว่าเขาร้องไห้ ฮารุโตะหันหน้าหนีไปทางกระจกรถยนต์ แล้วแอบยกมือปาดน้ำตาตัวเอง เมื่อเผลอทนหายใจทางปากไม่ไหวก็พยายามสูดน้ำมูกให้เสียงเบาที่สุด รอกระทั่งรถยนต์จอดสนิทในที่จอดรถ เขาจึงรีบเปิดประตูแล้วรีบก้าวเท้าเข้าไปยังห้องที่ตนเองอาศัยอยู่

มือสั่นระริกยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกโดยไม่สนใจเวลาจะดึกดื่นแค่ไหน เขารอสัญญาณจนมันตัดไปแล้วรอบหนึ่ง จึงกดโทรออกซ้ำอีกรอบ คราวนี้ปลายสายกดรับ

“ซาโต้ซัง”ร้องเรียกชื่อพลางส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นตามไปด้วย

“มีอะไร”น้ำเสียงปลายยังฟังดูงัวเงีย “ร้องไห้ทำไม”

“พรุ่งนี้มาช่วยย้ายของออกด้วย”

“ย้ายไปไหน”

“ก็ย้ายกลับไปที่ห้อง ผมโดนไล่ออกจากบ้านของรุ่นพี่ชิมิซึแล้ว”ฮารุโตะส่งเสียงร้องไห้โฮตามไปอีกรอบ

“เฮ้ย เดี๋ยวเล่าให้ละเอียดหน่อยดิ”ทาคุมิถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะตื่นเต็มที่แล้ว ฮารุโตะจึงเล่าเรื่องที่เจอกับชิมิซึ เคนจิโร่ และคำถามที่ชิมิซึ ซากิถามเขาให้ฟัง

“อย่าตีตนไปก่อนไข้ได้ป่ะ”

ฮารุโตะสะอึกก่อนจะน้ำตาไหลมากขึ้นกว่าเดิม แต่เขาไม่กล้าส่งเสียงเพราะแม้แต่คนที่เคยเข้าข้างเขามากที่สุด คนที่เคยดีกับเขาที่สุดยังพูดดุคิดว่าความคิดของเขามันไร้สาระ

“ตั้งใจฟังดีๆนะ รุ่นพี่ชิมิซึเขาพูดว่า ‘ถ้า’ คำว่า ‘ถ้า’ มันเป็นการตั้งสมมติฐาน เป็นการคาดคะเน เขายังไม่ได้บอกว่า ‘ไม่รักนาย’ จริงๆเลย”

“แต่ถ้าเขาไม่คิดอย่างนั้น เขาไม่พูดออกมาหรอก”ฮารุโตะเถียงกลับทันควัน

“งั้นคืนนี้นอนก่อนเลย ไปอาบน้ำแล้วนอนให้หลับ แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปถามให้ชัดๆอีกรอบ แล้วค่อยร้องไห้ทีเดียว”

ฮารุโตะเงียบไม่ตอบ ไม่มีใครเข้าข้างเขาแล้ว ที่เคยบอกว่ารักต่างก็พูดโกหกทั้งนั้น

“ฮารุโตะได้ยินหรือเปล่า”ทาคุมิถามซ้ำส่งเสียงชิชะมาให้อีกฝั่งได้ยิน ก่อนที่สายจะถูกตัดไป ฮารุโตะทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าตัวเองไว้ เขารู้ว่านิสัยตัวเองมันน่าเบื่อและเขาก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนี้ แต่ถ้าไม่พอใจนิสัยแบบนี้ของเขาก็ปล่อยเขาทิ้งไว้เหมือนเดิมก็พอแล้ว มายุ่งทำไม มาให้ความหวังทำไม เขาก็อยู่ตัวคนเดียวของเขามาตั้งนานแล้ว

เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ร่างซึ่งนั่งพิงหลังกับประตูอยู่สะดุ้ง เขารีบปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นเมื่ออีกฝ่ายดันประตูเปิดเข้ามาโดยไม่ส่งเสียงถามหรือรอให้เขาขานรับ เด็กหนุ่มถอยหลังออกห่างและก้มหน้าซ่อนดวงตาของตนเองไว้

“มีอะไรหรือครับ”เสียงของเขาอู้อี้ที่ฟังได้รู้ทันทีว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้

ซากิมองเด็กหนุ่มร่างเล็กที่พยายามซ่อนอยู่ในเงามืดด้วยความสะท้อนใจ เขาถอนหายใจออกมาก่อนเอือมมือไปกดเปิดสวิตช์ข้างประตู และทันทีที่ไฟในห้องสว่าง ฮารุโตะก็รีบหมุนตัวหันหลังให้

“ถ้ารุ่นพี่ไม่มีอะไร ผมจะนอนแล้วครับ”

“คุยกันหน่อยไหม”

ฮารุโตะหันมา ดวงตาแดงช้ำช้อนเงยขึ้นมองเขา ซากิจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้อง ปิดประตูและเดินไปนั่งบนเตียง จากนั้นจึงตบที่นั่งข้างๆเป็นเชิงเรียกให้อีกฝ่ายมานั่ง ฮารุโตะยืนนิ่งอยู่เป็นครู่กว่าจะเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ

“เมื่อก่อน”ซากิเริ่มต้นพูด

“ฉันแอบชอบคนคนหนึ่ง เขา...ใจดี น่ารัก นิสัยดี ยิ้มเก่ง พูดง่ายๆว่าเป็นคนที่เพียบพร้อมทุกอย่าง แต่เผอิญว่าเพื่อนฉันก็ชอบเขาเหมือนกัน ถ้าเป็นนายจะทำอย่างไร”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ เขาไม่รู้หรอกว่าจะทำอย่างไรเพราะเขาไม่เคยมีสิทธิ์ที่จะชอบใคร เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง แม้ไม่รู้ว่ารุ่นพี่จะเล่าเรื่องคนที่ชอบให้ฟังทำไม แต่เขายังคงเงียบฟัง

ซากิเหลือบมองฮารุโตะที่ปาดน้ำตาตัวเองป้อยๆ แล้วพูดต่อ

“ตอนนั้นฉันไม่ได้ทำอะไร ได้แต่มองดูสองคนนั้นตกลงคบกัน แล้วคิดว่า ดีแล้ว สองคนนั้นมีความสุขนับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว แต่ความจริงคือมันเจ็บสุดๆ อยู่ต่อหน้าสองคนนั้นฉันต้องยิ้ม อยู่ต่อหน้าทุกคนฉันต้องหัวเราะ ทั้งที่ภายในใจมันเจ็บปวดเจียนตาย”

ฮารุโตะเงยหน้ามองหนุ่มรุ่นพี่ ปลายเสียงของอีกฝ่ายสั่นเครือ คนตรงหน้าเขาไม่มีน้ำตาให้เห็นแต่ราวกับถ้ามองลึกเข้าไปหลังม่านนัยน์ตาสีเข้มคู่นั้น  เขาจะได้เห็นหยาดน้ำความเจ็บปวดที่หลั่งรินตลอดเวลา เด็กหนุ่มยกมือวางลงบนต้นแขนของหนุ่มรุ่นพี่คล้ายกับพยายามปลอบใจ

“ที่สำคัญ ฉันยังลืมเขาไม่ได้”

เด็กหนุ่มร่างเล็กจึงเหมือนจะเข้าใจในวินาทีนั้น สาเหตุที่อีกฝ่ายไม่รักเขา เพราะคนคนนั้นยังยึดพื้นที่อยู่เต็มหัวใจ

“ถ้าเกิดเขาสองคนนั้นเลิกกัน รุ่นพี่จะกลับไปหาคนที่รุ่นพี่ชอบหรือเปล่าครับ”

“กลับ”ซากิตอบอย่างไม่ลังเล

“ถ้าอย่างนั้นรุ่นพี่คบกับผมนะครับ”

ซากิมองสบตาดวงตาแดงช้ำซึ่งผ่านการร้องไห้ของหนุ่มรุ่นน้อง อีกฝ่ายมองเขานิ่งไม่หลบเลี่ยงไปไหน เป็นเขาเองที่ต้องเป็นฝ่ายหลบตา

“มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ ถ้านายคิดว่าความดีความรักของนายทำให้ฉันเปลี่ยนใจไปรักนาย เพราะถ้ามันเป็นไปได้ มันคงเกิดขึ้นมานานแล้ว”

“ครับ ผมรู้แต่ถ้ามีโอกาสผมก็อยากลอง เมื่อก่อนผมได้แต่นึกสงสัยว่าทำไมรุ่นพี่ไม่รักผมบ้าง เพราะผมหน้าตาไม่ดี ไม่น่ารัก นิสัยไม่ดีเหรอ หรือเพราะรุ่นพี่แค่อยากจะกลั่นแกล้งผมเหมือนคนอื่นๆ”ฮารุโตะเม้มปากกลืนก้อนสะอึกลงคอ

“แต่วันนี้ผมรู้แล้ว และผมก็รู้ว่าผมคงไม่ดีเท่าคนที่รุ่นพี่ชอบ แต่ผมเชื่อว่ารุ่นพี่จะไม่เห็นความรู้สึกของผมเป็นของเล่น ดังนั้นถ้ามีโอกาสผมก็อยากสัมผัสสิ่งที่เรียกว่าความรักดูบ้าง”

“สักวันนายจะเจ็บปวด”

“ไม่เป็นไรครับ เหมือนที่รุ่นพี่เคยพูดไว้ ผมเลือกมันเองเพราะฉะนั้นผมจะยอมรับผลที่มันจะเกิดขึ้น”ฮารุโตะไม่เชื่อว่าความเจ็บปวดที่เกิดจากความรักครั้งนี้จะมากมายกว่าความเจ็บปวดในอดีตที่เขาเคยเผชิญมา หรือถ้ามันเจ็บปวดเจียนตายอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริง มันก็แค่เป็นอีกหนึ่งครั้งที่เขาต้องจดจำมันไว้

“ผมไม่ชอบที่ตัวเองเดาไม่ออกว่าคนอื่นเขาคิดอะไร เพราะคิดปฏิกิริยาตอบโต้ไม่ทัน แต่ถ้ารู้แล้วผมคิดว่าทุกอย่างมันสบายมาก เมื่อก่อนรุ่นพี่ยังดูแลผมอย่างดีเลย”

“เพราะฉันอยากให้นายหลงฉันต่างหาก”

“แต่รุ่นพี่ชอบที่จะมีอะไรกับผมใช่ไหมล่ะ”ฮารุโตะขยับตัวเข้าไปโอบแขนรอบคอของชายหนุ่มไว้ แต่นั่งไม่ถนัดเลยขยับขึ้นไปนั่งทับบนตักของชายหนุ่ม อีกฝ่ายจึงวาดแขนโอบรอบเอวคล้ายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่เจ้าตัวทำโดยไม่ทันคิด

“เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรหรอก ให้โอกาสผมเถอะนะ”ฮารุโตะช้อนตาขึ้นมอง

ซากิวางศีรษะลงกับลาดไหล่บาง โอบกระชับร่างเล็กกว่ามาไว้ในอ้อมแขนพลางพูดย้ำซ้ำให้คนในอ้อมกอดฟังอีกครั้ง

“สักวันหนึ่งนายจะต้องเสียใจ”





ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'



ย่างเข้าสู่ปลายเดือนมีนาคม ดอกซากุระจึงเริ่มผลิบานออกดอกให้ยลกันบ้าง ทว่าก็มีประปรายไม่เป็นพุ่มสวยอย่างช่วงเดือนเมษายนซึ่งบานชู่ช่อเต็มทั้งต้น กระนั้นมันกลับเป็นเหมือนคำอวยพรที่มีต่อเหล่าบัณฑิตผู้ซึ่งกำลังก้าวเท้าสู่การเริ่มต้นชีวิตใหม่ จากนักศึกษาที่ต้องทุ่มเทเพื่อการเรียนสู่เหล่าคนทำงานซึ่งต้องทุ่มเทเพื่อบริษัท องค์กรและความเจริญก้าวหน้าของตนในอนาคต

พิธีจบการศึกษาจัดขึ้นอาคารหอประชุมใหญ่ อาคารสี่เหลี่ยมทรงเรขาคณิตสีน้ำตาลอิฐซึ่งความสูงของหลังคาแต่ละจุดต่างระดับกัน ด้านหน้ามีลานกว้างปูนพื้นด้วยอิฐสีเดียวกับตัวอาคาร ปลายลานเป็นพื้นไล่ระดับคล้ายขั้นบันไดลงสู่สระน้ำซึ่งมีถนนทางเดินและตึกอาคารเรียนล้อมรอบอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

พิธีดังกล่าวจัดขึ้นช่วงเช้า ฮารุโตะจึงติดรถมากับหนุ่มรุ่นพี่ผู้ซึ่งต้องเข้าร่วมพิธีนั้นด้วย ก่อนจะพาตัวเองไปนั่งรอทุกคนอยู่บริเวณนั้น

สัญญาณเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือทำให้ฮารุโตะหยิบอุปกรณ์สื่อสารจากกระเป๋าออกมาดู ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้เขามุ่ยหน้าไม่อยากรับสาย เด็กหนุ่มปล่อยให้สัญญาณดังอยู่เช่นนั้นกระทั่งมันถูกตัดไป คราวนี้อีกฝั่งของปลายสายส่งข้อความรัวมาหา

“อยู่ไหน”

“ถึงมหาวิทยาลัยหรือยัง”

ก่อนจะสลับมาโทรเข้าอีกรอบ ฮารุโตะมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือโดยไม่คิดจะกดรับด้วยอารมณ์ทั้งโกรธและน้อยใจที่โดนว่า เขาอุตส่าห์โทรหา คิดถึงอีกฝ่ายเป็นคนแรกในยามที่ตนทุกข์ใจ แต่ไม่ว่าใครก็คงไม่ชอบฟังเรื่องทุกข์ใจของคนอื่น ฮารุโตะยกมือขึ้นแตะหน้าอกกำจี้รูปใบโคลเวอร์ผ่านเสื้อที่ตนสวมใส่ พรูลมหายใจออกและกดรับสาย

“อยู่ไหน”คำถามจากปลายสายดังขึ้นทันทีที่กดรับ ฮารุโตะจึงบอกตำแหน่งที่ตนนั่งอยู่ กระนั้นยังไม่ทันวางสาย อีกฝ่ายกลับมาปรากฏอยู่ในครรลองสายตา ฮารุโตะเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าและลุกขึ้นยืน กล่าวทักทายเมื่อฝ่ายนั้นเดินเข้ามาใกล้ แล้วนั่งลงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เขาไม่ได้ติดโทรศัพท์มือถือเหมือนเด็กคนอื่น จึงไม่มีเกมหรือแอพพลิเคชั่นใดที่สนใจเป็นพิเศษ ซ้ำปกติไม่ค่อยได้คุยกับใคร จึงได้แต่เปิดประวัติการสนทนาเก่าๆของกลุ่มชมรมขึ้นอ่าน

“ฮารุโตะ”ทาคุมิเอ่ยเรียก ท่าทางการแสดงออกของเพื่อนสนิทดูได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ดี อารมณ์เสีย หรือกำลังโกรธอยู่เช่นนี้

“เมื่อวานขอโทษด้วยที่พูดไม่ดี”

“อืม ไม่เป็นไร”

แต่ใช่ว่าจะไม่เป็นไรอย่างที่ปากพูด ในความคิดของทาคุมิ การกระทำพื้นฐานของฮารุโตะส่วนใหญ่ล้วนเป็นรูปแบบปฏิกิริยาที่เหมือนถูกบันทึกไว้ ถ้ามีคนโมโหพูดว่าใส่ ฮารุโตะจะเอ่ยปากขอโทษทันที และถ้ามีคนกล่าวขอโทษ ฮารุโตะจะบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งที่ในใจไม่ได้คิดเช่นนั้น

“ตอนนั้นมันโดนกวนตอนกำลังหลับ สมองเลยคิดไม่ทัน”ทาคุมิพูดออกไปก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า เดี๋ยวอีกฝ่ายจะเข้าใจว่าห้ามโทรมากวนตอนดึกอีก เขาจึงรีบพูดแก้ตัวพร้อมกับคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมไว้เพื่อเรียกความสนใจ

“แต่ไม่ได้หมายความว่า ห้ามโทรมาดึกๆอีกนะ เมื่อคืนไม่ทันตั้งตัวน่ะแต่คราวหน้าไม่มีปัญหาแน่นอน แล้วเรื่องรุ่นพี่ชิมิซึว่าอย่างไร”

“ก็ดี”

ทาคุมิต้องพยายามชวนคุยต่อให้ฮารุโตะลืมความรู้สึกไม่พอใจ “รุ่นพี่ไปคุยกับนายหรือเปล่า เมื่อคืนหลังจากวางสายจากนาย ฉันโทรไปหารุ่นพี่ให้เข้าไปคุยกับนาย ที่จริงอยากไปหานะ แต่รถบัสหมดแล้วไง”

“ซาโต้ซังเป็นคนบอกรุ่นพี่หรือ”ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นมาถาม เด็กหนุ่มจึงรีบชวนคุยต่อ

“นายอาจจะไม่พอใจ แต่อย่างที่บอกว่าดึกขนาดนั้นฉันไปหานายไม่ได้หรอก ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยต้องโทรไปบอกรุ่นพี่น่ะ นายโอเคนะ”

“อืม รุ่นพี่ตกลงคบด้วยแล้วนะ”ฮารุโตะตอบออกมา ท่าทางสงบเสียคนฟังประหลาดใจ

“รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า มีคนที่ชอบอยู่แล้ว และยังลืมเขาคนนั้นไม่ได้ ผมเลยบอกว่ามาคบกันเถอะ ซาโต้ซังคิดว่า การตัดสินใจของผมผิดหรือเปล่า”

“แล้วตอนนี้นายรู้สึกอย่างไรล่ะ”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ ในสมองและหัวใจว่างเปล่าจนน่าแปลกใจ แต่ในบางขณะก็นึกกลัวขึ้นมาเหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีใครบอกได้นอกจากตัวนายในอนาคต แต่แบบนี้มีโอกาสที่รุ่นพี่จะกลับไปหาคนคนนั้นนะรู้ไหม”

“อืม รุ่นพี่ก็บอกเหมือนกัน เขายังบอกว่า คงไม่มีวันเปลี่ยนใจมารักผม”น้ำเสียงของฮารุโตะเศร้าลง เศร้าเสียใจที่ตัวเองไม่เป็นที่รักของคนที่รัก

“ไม่เป็นไรหรอก ลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวก็เลิก”ทาคุมิบอก “สัญญาได้ไหม ถ้าวันหนึ่งไม่ไหวแล้วจริงๆก็ต้องเลิกนะ”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ กลับนึกลังเลขึ้นมาว่าการตัดสินใจของเขาอาจจะเป็นความคิดที่ผิด

พวกรุ่นพี่ใช้เวลาในอาคารหอประชุมเพียงหนึ่งถึงสองชั่วโมงต่างก็ทยอยออกมา ทาคุมิจึงชักชวนเขาให้เดินเข้าไปหา เขากล่าวแสดงความยินดีกับทุกคน สมาชิกในชมรมเองต่างทยอยกันมาร่วมแสดงความยินดีกับกลุ่มรุ่นพี่กันอย่างไม่ขาดสาย รุ่นพี่นาคามูระในชุดสูทสีดำถูกขอถ่ายรูปอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะแยกย้ายกันไปถ่ายรูปกับสมาชิกในครอบครัวที่มาร่วมแสดงความยินดี

“พ่อครับ หลังจากนี้พ่อรีบไปไหนหรือเปล่า”ซากิเอ่ยถามบิดาของตนหลังจากจับภาพคู่กันไปหลายต่อหลายรูป ชิมิซึ เคนจิโร่ตอบคำถามของลูกชายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

“ช่วงนี้คงอยู่บ้านอีกสักวันสองวัน”

“ถ้าอย่างนั้น เมื่อกลับไปถึงบ้านผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยนะครับ”ท่าทางจริงจังของลูกชายทำให้คนเป็นพ่อเริ่มแปลกใจ แต่กระนั้นก็พยักหน้ารับและไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม

ตอนที่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน เด็กหนุ่มเห็นบรรยากาศระหว่างทั้งสองคน เขาจึงสำนึกรู้ได้ว่า หนุ่มรุ่นพี่คงจะขอเวลาคุยกับชิมิซึ เคนจิโร่ตามที่เคยแจ้งไว้ขณะที่อยู่ในมหาวิทยาลัย เขาจึงเดินเลี่ยงขึ้นไปชั้นบนทว่ากลับถูกดึงข้อมือไว้ ฮารุโตะถึงกับนั่งตัวเกร็งเมื่อถูกดึงให้ไปนั่งเผชิญหน้ากับชิมิซึคนพ่อ

“นี่มิอุระ ฮารุโตะครับ แฟนของผม”การถูกเอ่ยแนะนำเช่นนั้นพาให้เด็กหนุ่มร่างเล็กรู้สึกเกร็งเครียดมากขึ้นไปกว่าเดิม เห็นสายตาของผู้สูงวัยที่กวาดมองเขาซ้ำตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ยิ่งพาลให้เขารู้สึกด้อยค่าจนต้องก้มหน้าลง

“เงยหน้าขึ้น”เสียงเข้มเอ่ยกระซิบสั่ง เขาเหลือบสายตามองหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งนั่งนิ่งมองตรงไปด้านหน้า ไม่แม้จะเหลือบแลมาทางเขา หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะออกอาการตุ๊มๆต่อมๆ ถึงอย่างนั้นเขายังต้องเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง แต่ฮารุโตะยังไม่กล้าพอที่จะมองหน้าหรือสบสายตาคมกล้าซึ่งไม่ต่างจากของหนุ่มรุ่นพี่

“อย่าหลบตา”คนที่นั่งอยู่ข้างๆออกคำสั่งอีกครั้ง ฮารุโตะจึงต้องมองหน้าชิมิซึ เคนจิโร่พร้อมพยายามยกยิ้มให้ แต่รอยยิ้มของเขาจืดเจื่อนแหยะแหยอย่างที่เขายังรู้สึกได้

“เด็กผู้ชาย?”

“ครับ”ซากิตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบๆอย่างไม่รู้สึกตื่นเต้น

“แกจะให้ฉันเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

ฮารุโตะสะดุ้งเพราะเสียงของชิมิซึ เคนจิโร่ตวาดดังขึ้นตามอารมณ์ เขาก้มหน้าลงด้วยความกลัว หนุ่มรุ่นพี่จึงยื่นมือมากุมมือเขาไว้

“ก็เอาไว้ที่เดิมแหละครับ”น้ำเสียงยังคงเรียบเฉยไม่ตื่นเต้นตกใจเช่นเดิม “ผมแค่แจ้งให้ทราบเฉยๆ ไม่ได้คิดขอร้องให้พ่อมาร่วมตัดสินใจด้วย”

“แกคิดดีแล้วเหรอ”แม้ความดังเสียงจะลดลงแต่สำเนียงที่ใช้ยังคงแข็งกร้าวด้วยความไม่พอใจ “ไม่คิดจะมีลูกหลานสืบสกุลหรือไง”

“แค่พี่มานาบุคนเดียวก็พอแล้วครับ ประเทศนี้มีประชากรเยอะอยู่แล้ว ต่อให้ขาดลูกของผมไปสักคนคงไม่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจ”

“ไม่คิดว่าพี่แกจะมีลูกไม่ได้บ้าง”

“สมัยนี้การแพทย์ก้าวหน้าไปไกลแล้วครับ ถึงขนาดเลือกลูกผู้ชายหรือผู้หญิง หรือหน้าตาของลูกได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง แค่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งตั้งครรภ์คงไม่ใช่เรื่องยาก”

“ถ้าฉันขอร้องล่ะ”

“พ่อก็รู้อยู่แล้วว่าคำขอร้องของพ่อไม่เคยใช้ได้ผลกับผม”

“ไม่คิดถึงแม่แกบ้าง”

“แม่ตายไปแล้วครับ เขาไม่มารับรู้อะไรอีกแล้ว และถึงแม่จะยังอยู่ ผมเชื่อว่าแม่ไม่ห้ามหรอก”

เคนจิโร่ยกมือขึ้นกุมศีรษะ

“พ่อไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวผมจะออกไปอยู่ข้างนอก และจะไม่เอาชื่อพ่อไปอ้างกับใคร รับรองว่าไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นลูกพ่อ หน้าของพ่อยังดูดีอยู่เหมือนเดิมแน่”

“ไม่ต้องออกไปที่อื่น อยู่ที่นี่แหละ ฉันตั้งใจจะยกบ้านนี้ให้แกอยู่แล้ว”เคนจิโร่พูดเสียงแข็ง “อ่อ... ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะยกให้แฟนแก เวลาเลิกกันแกจะได้เป็นคนเร่ร่อน พรุ่งนี้ฉันจะให้คนเอกสารกรรมสิทธิ์มาให้”เคนจิโร่ลุกขึ้นยืนเมื่อพูดจบ เขาก้าวเท้าออกไปจากห้องโดยไม่คิดที่จะมองหน้าใครอีก

ฮารุโตะมองตามแผ่นหลังที่หายลับออกไป แล้วหันไปพูดกับหนุ่มรุ่นพี่

“รุ่นพี่ไม่น่าจะไปพูดแบบนั้นเลยครับ ไม่น่าบอกออกไปแบบนั้นด้วย”

“ทำไม? ต่อให้คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่นาย กับคนอื่นถ้าเขาเป็นแฟนฉัน ฉันก็แนะนำให้พ่อรู้จักเหมือนกัน”

เด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งก้มหน้าด้วยอาการหงอยซึมเซา

“หิวหรือยัง ไปกินข้าวกันไหม”ซากิเอ่ยชวน ฮารุโตะจึงเงยหน้าเอ่ยปากพูดเปลี่ยนท่าทางเป็นกระตือรือร้นทันควัน

“ผมเตรียมทำทงคัตสึไว้ครับ รุ่นพี่ทานกับผมนะ”

“นายจะไปสอบเข้าอะไรที่ไหนล่ะ”

“เปล่าครับ ผมทำฉลองให้รุ่นพี่ที่รุ่นพี่เรียนจบ”

ซากิจึงยกยิ้ม “อืม เอาดิแต่ถ้าไม่อร่อยไม่กินนะ”

“รุ่นพี่อ่ะ จะไม่กินจริงหรือ”ฮารุโตะหน้าเสีย

“ไปทำมาก่อน จะได้ลองชิมว่าอร่อยหรือเปล่า”ซากิเอ่ยบอกซ้ำอีกครั้ง ฮารุโตะมุ่ยหน้าขมวดคิ้วมองหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งยกยิ้มหน้าระรื่น รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้ทำอาหารเก่งเลิศเลอยังจะพูดแบบนั้นเพื่อตัดกำลังใจกันอีก

ฮารุโตะลุกขึ้นพร้อมใบหน้าที่ยังงอหงิกไม่หาย เปิดประตูตู้เย็นและหยิบหมูที่หมักทิ้งไว้ออกมามองด้วยความลังเล หรือเปลี่ยนออกไปกินข้าวข้างนอกดี แต่เขาอุตส่าห์เตรียมของไว้หมดแล้ว

“ตกลงจะทำหรือไม่ทำ ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องทำอีกเลย”

“เอ๊ะ”เด็กหนุ่มมองคนพูดด้วยความไม่เข้าใจ อีกฝ่ายเดินตามมาดูเขาถึงในครัว

“ถ้าวันนี้ไม่ทำนะ ต่อจากนี้ไม่ต้องมาทำอะไรในครัวนี้อีกเลย”

คราวนี้จึงได้แต่อ้าปากพะงาบๆหลังประโยคอธิบายของอีกฝ่ายจบลง ฮารุโตะนึกอยากจะร้องไห้ ถึงน้ำเสียงของหนุ่มรุ่นพี่จะไม่ดุเข้มเท่าที่เคยยามที่อีกฝ่ายโมโห แต่มาสั่งห้ามให้เขาใช้ครัวอย่างนี้ ก็เหมือนปล้นเงินเขานั้นแหละ ถ้าต้องออกไปกินข้างนอกทุกวัน เขาไม่เหลือเงินเก็บแน่ๆ

ฮารุโตะใช้เวลาทำทงคัตสึไม่นาน เพราะเขาเตรียมของทุกอย่างไว้หมดแล้ว เหลือแค่นำหมูไปคลุกแป้งและลงทอดในน้ำมันเท่านั้น หลังจากหมูสุกเขายกขึ้นพัก จากนั้นหั่นลงถ้วยที่ตักข้าวเตรียมไว้ ที่เขาทำเป็นทงคัตสึด้ง  หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย จึงถือนำไปเสริฟให้หนุ่มรุ่นพี่ซึ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะ และลากเก้าอี้มานั่งรอลุ้นอยู่ข้างๆ

“นายไม่กินหรือ”

“กินครับ แต่รอรุ่นพี่ก่อนว่าจะอร่อยหรือเปล่า”

“อย่างนั้นไปเอาของตัวเองมา ถ้านายไม่เอามากินด้วยฉันไม่กินหรอก”

ฮารุโตะจึงหน้างอลงอีกรอบ แล้วนึกฮึดเดินออกไปเรียกคนอื่นมาให้หมด ที่จริงเขาเตรียมของเผื่อคนอื่นไว้ด้วย แล้วทำเตรียมไว้ให้แล้ว แต่ทีแรกตั้งใจว่าถ้ารุ่นพี่บอกว่าอร่อยถึงจะไปตามคนอื่นมา แต่ถ้ารุ่นพี่บอกว่าไม่อร่อย เขาจะกินเองให้หมด

ฮารุโตะเคาะประตูห้องชิมิซึ เคนจิโร่แล้วยืนรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อผู้อาวุโสกว่าเปิดออกมาพร้อมใบหน้าเรียบนิ่งบึ้งตึง เขาจึงถอยหลังหนีไปหนึ่งก้าวด้วยความเคยชิน ก่อนจะอ้อมแอ้มบอกว่า

“ผมทำอาหารกลางวันเสร็จแล้วครับ ลงไปทานด้วยกันนะครับ”เขายืนนิ่งรอคำตอบ

“ลงไปก่อน เดี๋ยวฉันตามไป”

ฮารุโตะกลับลงไปในครัว เห็นผู้ชายในชุดสูทสีดำสองคนมายืนรออยู่แล้ว จึงไปถือทงคัตสึด้งมาเสิร์ฟ

“เอ่อ ให้พวกเขานั่งด้วยได้หรือเปล่าครับ”ฮารุโตะหันไปถามซากิ ยังถือถาดใส่ถ้วยข้าวอยู่ในสองมือ

“ฉันไม่มีปัญหา”

ฮารุโตะจึงเชื้อเชิญให้ทั้งสองคนนั่งลง เคนจิโร่ตามลงมาสมทบหลังจากนั้น และเมื่อทุกคนมานั่งรวมพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ซากิจึงประนมมือบอกกล่าวตามธรรมเนียมก่อนทานอาหาร ฮารุโตะทำตามแต่ยังคงเหล่ตาแอบมองคนอื่นๆ เห็นทุกคนทานด้วยสีหน้าอาการปกติจึงค่อยเบาใจ ใช้ตะเกียบคีบหมูลองกัดชิมดูบ้าง

ก็ปกติ... เขาคิดในใจ

“อร่อยดี”หนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามบอกเขา

ฮารุโตะยกยิ้ม

เด็กหนุ่มมีความฝัน กระนั้นความหวังและความฝันของเขาล้วนคล้ายกับคนทั่วไป อยากมีบ้านและครอบครัวที่อบอุ่น ทั้งยังหวังว่าชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าจะเป็นครอบครัวที่เขาฝันไว้


+++++END+++++



*// สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนิยายเรื่องนี้มาจนถึงตอนสุดท้าย
ที่เรากังวลที่สุดเกี่ยวกับตอนจบ คือมันเร่งไปหรือเปล่าคะ
ส่วนเรื่องเปลี่ยนพระเอกแม้จะลังเลเสมอมา แต่เราเทใจไปที่ซากิมากกว่า เพราะกำหนดมาแต่เริ่มครั้งแรก(รุ่นที่ห้าสิบกว่าหน้าและโดนลบไปแล้ว) ด้วยประการหนึ่ง และพล็อตที่สองตอนที่ตั้งใจไว้ คือไปเปลี่ยนตัวพระเอกหลังจากนี้ อย่างที่คุณ Grey Twilight วิเคราะห์ตัวละครไว้ค่ะ ว่าซากิไม่เหมาะที่จะช่วยแก้ปัญหาให้ฮารุโตะ พล็อตที่ว่ามันเลยเป็นประมาณว่าสองคนนี้คบกันแล้วเลิกกันไป ทีนี้ชุนก็จะกลับมาด้วยมาดที่ดูดีกว่านี้ กลับมาช่วยดึงฮารุโตะที่แตกสลายเพราะอกหักโดนทิ้ง คืออย่างที่เคยบอกอ่ะว่าอันนั้นจะเศร้ามากมาย แต่เราเปลี่ยนใจตอนที่คิดจะลงเรื่องนี้ในเว็บ (เหอเหอเหอ) เวอร์ชั่นนั้นเราใช้ชื่อว่า “ผมติดอยู่ในห้วงแห่งความเศร้า” (มีชื่อญี่ปุ่นด้วยเหมือนกัน) เมื่อเปลี่ยนใจเนื้อหาช่วงหลังๆเลยเป็นอะไรที่สนับสนุนความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมากขึ้น  แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าถ้ายังเป็น  “ผมติดอยู่ในห้วงแห่งความเศร้า”  ความคิดนิสัยของซากิจะเป็นอย่างไรนะ
สุดท้ายนี้ มีความคิดเห็นอย่างไรกับตอนจบของเราสามารถเขียนตอบไว้ได้นะคะ  อ่อ เรายังไม่มีความคิดที่จะเขียนต่อนะ และถ้ามีต่อ ฮารุโตะก็ยังจะคู่กับซากิอยู่ดี  พล็อตของเรามาจากความคิดที่ว่า “คนที่เหมือนว่าจะเข้ากันไม่ได้น่ะ” (ฮา)
อีกอย่างที่คุณ Grey Twilight ทักไว้ว่าฮารุโตะรักซากิเพราะอะไร และอย่างที่คุณเขียนมาเพราะว่าซากิเป็นเซ็กซ์ครั้งแรกของฮารุโตะค่ะ ตามนั้นแหละ ต้องยอมรับแหละว่าต้นแบบของฮารุโตะมาจากผู้หญิง  ก็เราเป็นผู้หญิงนี่นะ เลยมีต้นแบบที่เป็นผู้หญิงมากกว่า แต่ถามว่าทำไมไม่เขียนเรื่องผู้หญิง เพราะตัวเอกที่เป็นผู้หญิงจะโดนกลั่นแกล้งอีกแบบค่ะในความคิดเห็นของเรานะ
โอ๊ะ เริ่มยาวไปแล้ว ถ้าอย่างไรขอจบไว้ตรงนี้ก่อนนะคะ แต่ถ้าตอนจบของเราทำให้คุณรู้สึกผิดหวังเหมือน The mask รอบชิง ก็เขียนบอกได้นะคะ เราจะเอาไปปรับปรุงตอนจบสำหรับเรื่องต่อไป กราบขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ//*

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
แหม (หัวเราะ) ดักทางผมซะไปไม่เป็นเลยครับ

ถ้าถามส่วนตัว ผมว่าผมชอบพล็อต ‘ผมติดอยู่ในห้วงแห่งความเศร้า’ มากกว่านะครับ เพราะสาเหตุหลักๆเลยคือ

หนึ่ง วรรณกรรมควรสื่ออะไรที่เป็นการแก้ปัญหา ไม่ใช่การ address แต่ปัญหา ผมคิดว่าวาทกรรมหนึ่งใช้ได้ดีเลยนะครับ "คนพูดถึงปัญหาน่ะมีเยอะแล้วในสังคม อย่าเอาแต่พูดถึงปัญหา พูดถึง ‘การ’ แก้ปัญหา จะดีกว่า" อย่างไรก็ตามบางคนก็ไม่ได้มีแนวคิดแบบนี้ ดังนั้นวรรณกรรมจะออกมาแบบปลายเปิดครับ แต่ส่วนตัว ผมคิดว่าการชักนำเชิง morality เป็นอะไรที่ผมชอบจะเห็นในสังคมเรามากกว่าน่ะครับ

สอง ความดรามาไม่ใช่ปัญหา คนส่วนมากอ่านดรามาแล้วไม่ชอบเพราะตัวเองอินเข้าไปกับเนื้อหา เลยรู้สึกว่าทำไมชีวิตตัวละครรันทดได้ขนาดนี้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่เขียนโดยอ้างอิงหลักความจริง ผมว่าดรามาของคุณตีสี่เป็นเรื่องปกติมากนะครับ ประชากรทั่วโลกยังไงก็ต้องมีคนที่เผชิญชีวิตแบบนี้อยู่ไม่น้อย คำถามคือ ถ้าสมมุติเราเป็นคนหนึ่งที่อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วบังเอิญว่าชีวิตได้ไปเจอคนที่มีปัญหาแบบนี้จริงๆ ถ้านิยายเรื่องนี้พูดถึงแต่ปัญหา แล้วก็จบดื้อๆ เราจะช่วยอะไรคนที่มีปัญหาแบบนี้ในชีวิตจริงได้ไหมครับ?

ส่วนคำถามที่คุณตีสี่บอกว่าเร่งจบไหม สำหรับผม มันเร่งและดูไม่สมเหตุสมผลด้านองค์ประกอบของเนื้อเรื่องนะครับ ผมโอเคเรื่องที่ฮารุโตะพยายามจะคบกับซากินะครับเพราะว่าอยากสัมผัสความรัก แต่ประเด็นหลายประเด็นมันยังต่อเนื่องและไม่ได้มีการขบคิดอย่างจริงจังเลย เช่น
- แน่นอนว่าซากิจะต้องลองเปิดใจให้คนที่เหมือนภาพซ้อนทับของเขาในอนาคค ซึ่งฮารุโตะ ‘ไม่มีวัน’ จะเป็นได้ และไม่สมควรจะเปลี่ยนทั้งหมดของตัวเองเพื่อความรักครั้งเดียวครับ คำถามคือเมื่อเจอ ฮารุโตะจะเป็นยังไง? นี่องค์ประกอบที่จะต้องคิดต่อเรื่องแรก
- เรื่องที่สอง คอมเมนท์ที่แล้วผมพูดถึงแม่ชุนไป ซึ่งจนจบเรื่องก็ยังไม่มีการพูดถึงต้นตอปัญหาของชุนจริงจัง ทำให้พอจบแบบนี้ ชุนกลายเป็นตัวละครไร้มิติครับ เหมือนจะมีน้ำหนัก แต่กลับกลวงมาก ตอนเด็กแกล้งเพราะชอบ โตมาเสร็จอ้าว จะคืนดีเพราะไปขอขมา ไม่สำเร็จเสร็จก็ลักพาตัว ลักพาตัวแล้วก็โดยพระเอกจัดฉากเพิ่มความผิด ส่งหายลับดับฉากไปเลย มันดู...ไม่มีน้ำหนักและแบนมากครับ แทนที่จะเป็นตัวละครเด่น กลับกลายเป็นตัวประกอบ

ถ้าจะจบแบบนี้ คุณตีสี่ไม่ควรใส่พาร์ทที่ทำให้เราเห็นมุมมองชุนเข้ามาครับ เพราะสุดท้ายแล้วมันไม่มีประโยชน์ และไม่ควรใส่การจบแบบสีเทา ฮารุโตะควรจบแบบครองคู่กับซากิแฮปปี้เอนดิ้งแบบโลกสวย ชุนในสายตานักอ่านควรเป็นตัวร้ายที่ร้ายสุดๆและไม่ต้องไปสนใจการคิดของเขา เพื่อทำให้นิยายมันเป็น Straightforward Novel เหมือนนิยายรักใสๆลูกกวาดทั่วๆไปจะดีกว่า เพราะการเว้นปมหนักๆในนิยายที่ทรงคุณค่าถือว่าเป็นจุดบกพร่องที่ค่อนข้างรุนแรงนะครับ

- เรื่องที่สาม ตัวละครอย่างฮิเดอากิ ไม่ได้โชว์ความสามารถสมเหตุสมผล ทั้งๆที่เป็นตัวละครที่สามารถขับเคลื่อนพล็อตไปได้ไกลพอสมควรจากตอนจบ หรือต่อให้ไม่โชว์ความสามารถ การจะมองว่าฮิเดอากิไม่รู้เรื่องรู้ราวกับหลักฐานปลอมๆที่ซากิสร้างขึ้น ก็เป็นการลดคุณค่า (de-value) ตัวละครตัวนี้ที่สร้างออกมาให้ดูเป็นชนชั้นไคเร็ตสึมากๆครับ
- เรื่องที่สี่ คู่เรย์กับนาโอโตะผมเคยพูดไปแล้ว แต่คู่นี้จะสำคัญขึ้นตอนที่อนาคตซากิเจอกับคนที่คล้ายๆกับนาโอโตะ ผมคิดว่ามันควรมีอีเวนท์ที่ทำให้เราเห็นเคมีระหว่างซากิกับนาโอโตะเพื่อเคลียร์ความรู้สึกครับ เพราะผมก็ยังยืนยันว่าถ้าลงแบบนี้ มันค่อนข้างไม่ใช่การแก้ปัญหาของหัวใจทั้งฮารุโตะและซากินะครับ

จะเห็นว่าการเร่งจบแบบค้างคามันทำให้ประเด็นหลายอย่างไม่เคลียร์ ทั้งๆที่ทรัพยากร (ตัวนัยยะหรือปม) มันเว้นไว้ให้เรื่องอยู่อย่างเพียงพอครับ พอไม่หยิบมาอธิบายหรือเล่นต่อ ทำให้การจบเรื่องเหมือน ปมเชือกที่มีหลายเส้นและสามารถนำมาขมวดเป็นรูปที่สวยๆได้ แต่กลับขมวดเป็นเงื่อนพิรอธธรรมดาๆ และทิ้งเส้นเชือกที่ไม่ใช้ให้ห้อยต่องแต่ง คนมองเลยรู้สึกว่าไม่สวยงามครับ ผมคิดว่าถ้าจะปรับเป็นนิยายเรื่องยาว ควรลดการเร่งจบในสองบทสุดท้าย และต่อภาคที่ชุนกลับมาแบบใน ‘ผมติดอยู่ในห้วงแห่งความเศร้า’ น่าจะมีคุณค่าทางวรรณกรรมในการพิจารณามากกว่าน่ะครับ

อีกอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าหน่วงในอกมากๆเลยนะสำหรับตอบจบ คือการที่ฮารุโตะทำตัวไร้สติมากๆเลย

ฉากฮารุโตะตะโกนให้ชุนไปตาย แล้วชุนชะงักค้างไปนี่ผมอยากสวนจริงๆนะ คือแน่ใจนะว่าคุณอยากให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าชุนจะมาตายแทบเท้าคุณแล้วคุณจะพอใจใช่ไหม งั้นดีครับ ปมนี้เอาไปทำเรื่องต่อได้ดีมากๆเลย คือมันจะไร้สติและใช้ความสะใจส่วนลึกตัวเองมากไปแล้วครับ จะเลือกแต่สิ่งที่ตนเองชอบโดยไม่มองว่ามันเป็นสิ่งที่ ‘แก้ปัญหาอย่างแท้จริง’ รึเปล่า จะแสดงแต่สิ่งที่ตัวเองสะใจและพอใจโดยไม่มองว่าคนอื่นน่ะที่ทำแบบนี้เพราะมีเหตุผลอะไรรึเปล่า

ผมเคยบอกแล้วว่าเราไม่ว่าเรื่องฮารุโตะมีปม terror-sensitive แต่มันควรจะมีการแก้ไขปมให้ถูกต้อง จนจบเรื่อง ปมนี้ก็ไม่คลายนะครับ เพราะประเด็นของความหวาดกลัวของฮารุโตะอยู่ที่การถูกทิ้งและความเป็นที่รัก ความสุขในวัยเด็กที่ขาดหายทำให้มีพฤติกรรมโหยหา ซึ่งซากิไม่ได้ตอบโจทย์ตรงนี้

อย่างที่ผมพูดไปแล้วว่าฮารุโตะไม่ได้มีการมองที่เป็นกลางเท่าไหร่เลย ซากิด้วยซ้ำที่ดูจะมีสติมากกว่าเพื่อน ขนาดบุกมาจับยังรอ (แต่เรื่องความใจร้อน หุนหันพลันแล่น ขี้โกงเจ้าเล่ห์จะจัดการชุนให้หายไปจากชีวิตฮารุโตะด้วยการวางหมากล้อมทุกจุด สร้างหลักฐานเท็จ นี่ก็เกินคาดไปหน่อยนะครับ มันแสดงว่าคุณก็ไม่ได้ให้คุณค่าศีลธรรมเท่าไหร่แม้แต่ตอนจะจบเรื่อง มันแสดงออกถึงภาพลักษณ์เท่แบบเลวๆอยู่ดีนะครับ ซึ่งก็อย่างที่ผมบอกว่ามันเหมาะกับคนแบบนาโอโตะมากกว่า)

ให้ผมเป็นเพื่อนชุนหน่อยไม่ได้สิแหม (ฮา) อย่างซากินี่มันต้องเจอคนรู้เท่าทันดัดหลังอย่างผมครับ อย่างอิซามุกับมิชิโอะนี่ก็ทำตามหน้าที่ ไม่ได้มีความจริงใจและอยากเชื่อมสัมพันธ์ชุนกับฮารุโตะคืนกลับอย่างจริงๆจังๆ ถ้าผมเป็นเพื่อนสนิทหรือคนใกล้ชิดชุนล่ะก็ ผมตามแก้หมากทุกเม็ดที่ซากิวางแน่ๆ ให้มันรู้ไปสิครับว่าชุนจะไม่สามารถคืนดีกับฮารุโตะได้น่ะ (หัวเราะ)

ผมว่าผมสงสารชุนจริงๆครับ โอ้โห คิดดู ขนาดหลุดปากออกมาว่าถ้าไม่ใช่ฮารุโตะ ชุนไม่มีวันยอมง้อขนาดนี้แน่ๆ แล้วพอมาถึงที่สุด ได้ยินจากปากคนที่ตัวเองรักที่สุดว่าไล่ให้ไปตายซะ... นี่มันทรมานใจผมมากๆเลยอะ ไม่รู้ว่าจิตใจจะเป็นยังไง ชุนไม่มีที่ยึดเหนี่ยวในจิตใจนอกจากฮารุโตะนะครับ ผมไม่อยากจะนึกว่าพอชุนได้ยินอย่างนั้นแล้วจะรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตขนาดไหน แถมยังโดนยัดยา แล้วก็มีหลักฐานสื่อลามกเท็จอีก คราวนี้ถ้าซากุราอิ ฮิเดอากิ ไม่เชื่อลูกชายตัวเองอย่างแท้จริงจากก้นบึ้ง (จุดนี้คือวัดใจเลยนะครับ ว่าฮิเดอากิเชื่อใจชุนว่าเขารู้จักชุนดีในฐานะพ่อ หริอว่าจะประเมินชุนแค่จากหลักฐานเท็จในฐานะไคเร็ตสึ) ชุนก็จะกลายเป็นคนที่ทั้งโลกหันหลังให้

...แล้วคราวนี้เด็กคนนี้จะเป็นยังไงล่ะ? ดิ่งสิครับ ถ้าไม่ยึดสิ่งที่เขาเคยทำได้ดีมากตลอด (พรสวรรค์ทางกายในการใช้พละกำลัง) เป็นจุดยึดเหนี่ยวไม่ให้บ้าไปซะก่อน ก็คงคลั่งซึมเศร้า เป็นบาดแผลเหวอะหวะภายในจิตใจไปเลย ดังนั้นผมว่าการส่งชุนไปต่างประเทศเป็นการคิดอีเวนท์ที่มักง่ายไปหน่อย ถ้าไม่มีนักจิตวิทยา หรือคนที่หวังดีกับชุนจริงๆไปด้วย การดึงชุนให้มี sanity ถือว่ายากมากนะครับ เพราะต่อให้เราสามารถ direct อารมณ์ทางลบของชุนไปที่อย่างอื่นได้(กีฬาต่อสู้) แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าแผลของชุนจะหายไป ทั้งแผลจากแม่และแผลจากฮารุโตะ ยิ่งถ้าฮิเดอากิไม่เชื่อใจชุนอีกนี่ก็บวกไปอีกเด้ง (แต่ส่วนตัว ถ้าเป็น ‘ไคเร็ตสึ’ จริงๆ ผมว่าเขารู้จักลูกตัวเองดีครับ)

เทียบง่ายๆ ก็คงเหมือนมนุษย์ที่ถูกพ่อแม่ที่รักมาก แม้จะดื้อกับท่านไปบ้าง ตะคอกกลับมาว่า ไปตายซะ ไอ้ลูกทรพี ประมาณนั้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นน่ะครับ

ทีนี้ถ้าอนาคตทั้งสองโคจรมาเจอกัน การเจอกันนี้จะเป็นเรื่องของคนที่มีบาดแผลทั้งสองคนมาเจอกัน และผมว่าชุนจะยิ่งหนักกว่าครับ เพราะว่าเดิมแล้วในครึ่งแรก เราจะเห็นว่าฮารุโตะเป็นตัวละครที่รับบาดแผลจากการกลั่นแกล้งและมรสุมชีวิต ทั้งครอบครัว การเติบโต ซากิ และชุน แต่ในจุดเปลี่ยนเรื่อง คือตอบจบของครึ่งแรก ฮารุโตะทำร้ายจิตใจชุนไปอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งนี่แหละยิ่งจะเป็นตัวที่ทำให้ชุนยิ่งน่าสงสารในความคิดผม เพราะถ้าเขากลับมาเจอกันจริงๆ ชุนเองก็ต้องปวดร้าวมากพออยู่แล้วที่ฮารุโตะยังไม่ให้อภัยเขา(รึเปล่า?) และคิดว่าฮารุโตะอยากให้เขาตายชดใช้ความผิด นอกจากนั้นยังต้องมาเห็นฮารุโตที่เจ็บปวดเพราะการถูกทิ้งอีก แต่การจะเข้าไปปลอบเดี๋ยวมันก็อาจจะเข้าแก็ปลูปในอดีต ผมเลยมองว่าตรงนี้แหละครับที่มันน่าจะทำให้ชุนน่าสงสารในมุมมองผมมากๆ เพราะตามเนื้อเรื่อง ชุนเป็นคนที่ไม่มีใครมองเห็นเลย

ส่วนฮารุโตะ ในครึ่งหลังถึงแม้ว่าถ้าเขาจะถูกซากิทิ้งจริงๆ มันก็ตอกย้ำปมของฮารุโตะในวัยเด็กอีก ซึ่งน่าสนใจตรงที่ว่าเราจะอธิบายมันออกมายังไงให้ไม่ซ้ำกับครึ่งแรก และขยี้ใจคนอ่านให้อินได้สุดๆ อีกทั้งต่อให้มันจะเป็นห้วงซึมเศร้าจริงๆ แต่ผมคิดว่าตรงนี้น่าสนใจตรงที่ฮารุโตะจะได้พัฒนาการระบบการคิดและการมองโลกอย่างที่ผมเคยคอมเมนท์ไปแล้ว และเราจะเห็นการปลดแอกภาระทางจิตใจของตัวละครเด่น ไม่ว่าจะเป็นซากิ ชุน และฮารุโตะครับ

เรื่องสุดท้ายคือ ผมอยากรู้ความหมายของชื่อเรื่องครับ การตั้งชื่อนี้ หรือ ชื่อ ‘ผมติดอยู่ในห้วงแห่งความเศร้า’ ผมคิดว่าไม่ต่างกันนะครับ เพราะมันสื่อถึงตอนจบและการเดินทางที่คล้ายคลึงกัน แต่พอจบแบบนี้ การเดินทางตัวละครเป็นแบบนี้ ผมเลยค่อนข้างงงๆหน่อยน่ะครับว่าชื่อเรื่องมันสื่อถึงอะไรกันแน่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2019 23:16:14 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เหมือนว่าเราจะคุยกันอยู่สองคนเหมือนกันเนอะ นักอ่านท่านอื่นจะว่าเราไหมเนี่ย ต้องขออภัยนักอ่านท่านอื่นไว้ ณ ที่นี้ด้วย  คือตั้งแต่เราเขียนนิยายมาเพิ่งเจอคุณ Grey Twilight เนี่ยแหละวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องที่เราเขียนแบบละเอียดยิบ

เอาจริงๆ เราก็เหมือนจะรู้ตัวอยู่ล่ะว่าปัญหาของเราอยู่ตรงไหน  ครั้งก่อนเราก็รวบจบเพราะเราลงทุกวัน แบบเขียนนำไปนิดนึงแล้วเราก็ลง พอเร่งมากๆเพราะอยากลง เนื้อเรื่องก็รวน (ฮา) ส่วนคราวนี้ เรามีสต็อก 15 ขึ้นมั้ง ลงทุกวันที่สี่หารลงตัว ก็ยังใช้ไม่ได้ (หัวเราะ) และยอมรับอีกว่า เราเขียนนิยายแบบไม่ค่อยวิเคราะห์ทฤษฎีสักเท่าไหร่  รูปแบบพฤติกรรมตัวละครมาจากสังคมรอบตัวและหนังสือที่เราอ่านเสียเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งเราก็คิดว่าน้ำเน่าไปหรือเปล่าเหมือนกัน

แล้วที่เราเขียนแปะท้ายไว้ใน Reply ก่อนว่า ไม่รู้ว่าจะเขียนต่อหรือเปล่า เราเปลี่ยนใจแล้วค่ะ เราจะเขียนต่อ(ไม่ได้จำใจหรืออยากเอาใจคุณ Grey Twilight นะ) เพราะที่จริงเราเขียนเปิดหัวเรื่องเกี่ยวกับซากิมาแล้ว แต่ยังคิดไม่ออกเลยเซฟเก็บไว้แค่นั้นก่อน แต่กว่าจะได้ลงคงอีกนานค่ะ แต่ไม่ว่าอย่างไรซากิของเราก็ยังเป็นพระเอกอยู่ดี (ฮา) เราชอบผู้ชายคนนี้อ่ะ(ยิ้ม)

ส่วนพล็อตของชื่อเรื่อง “ผมติดอยู่ในห้วงแห่งความเศร้า”  มันต่างจากเรื่องนี้ยังไง พล็อตเรื่องนั้นจะเป็นประมาณว่าหลังจากที่ฮารุโตะอกหัก เขาก็จะไม่นึกอยากทำอะไรอีกแล้ว ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่เรียนด้วย ไปเป็นเด็กบาร์ แล้วชุนก็กลับมาเจอหลังจากที่ไปอยู่เมืองนอกมาหลายปี ที่ชุนกลับมาญี่ปุ่นเพื่อมารับตำแหน่งแทนพ่อ แต่ชุนก็มีเมียแล้ว ซึ่งทีแรกฮารุโตะไม่รู้ แต่ตัดสินใจเริ่มชีวิตใหม่กับชุนไปแล้วอ่ะ ฮารุโตะเลยเศร้ากว่าเดิม ส่วนต่อจากนี้เรายังไม่ได้ตัดสินใจ คือมีหลายไอเดีย แต่ตอนนั้นที่คิดจะเขียนกะว่าจะไปตายเอาดาบหน้า (ฮา)

ส่วนที่ใช้ชื่อเรื่องนี้ “ใบไม้ผลิยามหิมะโปรย” สำหรับเราต้องการสื่อถึงการฟันฝ่าอุปสรรคหรือการปรับตัว และมุมมอง โดยปกติถ้าเราพูดถึงหิมะตกฤดูที่หนาวจัดๆ มันจะไม่มีต้นไม้ขึ้นไงคะ แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ยังทิ้งใบ แต่ต้นไม้บางประเภทมันยังเติบโตอยู่ได้  เราเปรียบว่าหิมะคือ อุปสรรคขวากหนาม แต่ขวากหนามที่ว่ามันขึ้นอยู่กับมุมมองของคนเช่นกัน  อย่างที่เราเขียนไว้ในเรื่อง ตอนที่ซากิเดินคู่กับฮารุโตะเพื่อไปอาบน้ำ เขามองดอกซากุระที่ร่วงปลิวตามลมว่าเป็นหิมะสีชมพูเหมือนกัน  คำเปรียบเปรยนี้เราคิดว่าตัวเราไม่ได้คิดเองหรอกนะ แต่ไม่รู้ค่ะ จำไม่ได้เหมือนกัน

คนทุกคนบนโลกใบนี้ก็เหมือนกันค่ะ ปัญหาที่หนักหนาสำหรับคนคนหนึ่ง อาจจะเป็นแค่ปัญหาเล็กๆสำหรับอีกคน  และเราก็เห็นว่า คนที่ต้องเผชิญกับปัญหาอาจจะได้รับการช่วยเหลือจากคนรอบข้างก็จริง แต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวนั่นแหละที่ต้องแก้ปัญหานั้นด้วยตัวเอง เราเชื่อว่าปัญหาที่กระทบและส่งผลต่อตัวบุคคลนั้นๆ ก็ย่อมเกิดจากตัวบุคคลนั้นๆแหละค่ะ

แม้ว่าเราจะเขียนให้ฮารุโตะในเรื่องประสบชะตากรรมมากมาย แต่สิ่งที่เราจะสื่อ คือ ฮารุโตะยังยึดติดกับแนวคิดเดิมๆ เขาไม่มีทางมีความสุขได้ แม้ว่าจะได้ความรักหรือได้รับการดูแลมากมายจากใครก็ตาม  เพราะโลกไม่ได้มีแค่คนสองคน คนรักของฮารุโตะอาจจะเป็นคนดีมาก  แต่ฮารุโตะจะเป็นคนที่ทำให้เกิดปัญหาค่ะเพราะฮีอ่อนแอเปราะบาง

อย่างที่คุณ Grey Twilight เขียนไว้คราวก่อนแหละค่ะ “ถ้าฮารุโตะสงบลง อ่านตัวเองให้ออก รู้จักมองอะไรให้กว้างขึ้นและมองจากมุมคนอื่นด้วยความเอาใจใส่แท้จริง มันก็จะทำให้เขาสามารถหลุดจากความปวดร้าวในเรื่องของความรักได้” เราคิดว่าต้องใช้เวลานานอ่ะ สำหรับคนบางคนคือทั้งชีวิต เพราะฉะนั้น นิยายเรื่องนี้อาจจะอารมณ์เดียวกับทองเนื้อเก้าก็ได้ เป็นเรื่องยาวตั้งแต่เกิดไปจนเสียชีวิตอ่ะ

บรรทัดสุดท้ายแล้ว ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่ะ


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไรท์ จบแบบรู้อนาคตอ่ะ
ว่าฮารุโตะ ต้องอกหักแน่ๆ
เพราะซากิ ตอบรับฮารุโตะ แบบฉันบอกนายแล้วนะ นายไม่เชื่อเอง
บอกแบบรู้ตัวแทนฮารุโตะเลย “สักวันหนึ่งนายจะต้องเสียใจ”
แล้วบอกด้วยท่าที แบบไม่ยินดียินร้าย คบกัน อยู่กันได้ด้วยเซ็กส์เท่านั้น
ซากิ ยังรักนาโอโตะแบบฝังใจ เลิกรักไม่ได้ รอวันที่เขาเลิกกันแล้วจะเสียบทันที
แล้วอย่างนี้จะมีใจมารักฮารุโตะได้ไง ไม่มีช่องว่างให้ฮารุโตะแทรกเข้าไปได้เลย
แล้วรื่องใหม่ของไรท์ จะให้ชุนกลับมาเจอฮารุโตะที่อกหักจากซากิ เลิกกัน
แล้วชุนปลอบใจ จนฮารุโตะหันมามองชุน คบกัน แต่ชุนดันมีภรรยาแล้ว OMG
ฮารุโตะ ไม่ผิดหวังซ้ำซากหรอ มีชีวิตแบบชอกช้ำระกำทรวงจริงๆ
แล้วเรื่องจะจบแบบ ชุนเลิกกับภรรยา แล้วมาครองคู่กับฮารโตะ
หรือ ฮารุโตะ เลิกกับชุน ถอยห่างไป แล้วเจอคนที่รักฮารุโตะ ด้วยตัวตนฮารุโตะเอง
คนอ่านก็มโนไปไกลและ คิดเองเออเอง  :ling1: :ling1: :ling1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
โอ๊ะ   ทำไมมีแต่เราคิดว่าซากิไม่ได้หลอกฮารุ  คือซากิบอกตรงๆว่าอะไรยังไง เราไม่ได้มองว่าซากิกับฮารุอยุ่ด้วยกันแค่เซกส์นะ  อาจจะไม่ได้ Interact มากตามที่ควรเพราะอาการอมพะนำ แต่อย่างน้อยที่สุดซากิคือคนที่ยื่นมือเข้ามาจัดการกับสถาณการณ์ที่เกิดขึ้นกับฮารุโตะ  ทุกคนช่วยเหลือไม่มากก็น้อย แต่ซากิมากที่สุด  ความรู้สึกของเราก็คือต่อให้วันหนึ่งฮารุต้องเลิกกับซากิไปฮารุก็ยังไปต่อได้  มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนอื่น  เพราะรู้แล้ว เตรียมใจไว้แล้วส่วนหนึ่ง

เรื่องของชุนนั้นตามมุมมองของฮารุผิดมากหรือที่ตัดใจไม่รับ?  ฮารุให้โอกาสชุนในการรับฟัง แต่เท่าที่รู้สึกก็คือรับฟังแต่ขอให้เลิกลากันไป   ยกโทษแต่ไม่ให้อภัย   ชุนเองยังไม่ได้เสียใจที่ทำแต่เสียใจที่ทำแล้วออกมาแบบนี้ เราว่าฮารุไม่ผิดที่รับไม่ได้  ขนาดมาขอโทษชุนก็ยังโทษว่าเป็นเพราะคนอื่นทั้งนั้น   ตราบใดที่ชุนไม่สามารถคิดเอง  ดูแลตัวเอง  มีสติมากพอเราไม่คิดว่าชุนควรมาดูแลใคร  ต่อให้ชุนรวยล้นฟ้าแต่ถ้าหากว่าต้องมีคนคอยมาคุมแบบนี้ เราว่าไม่ค่ะ   เริ่มแรกก็ควร Straighten yourself out and then talk. ในอนาคตถ้าหากว่าชุนทำได้แล้วกลับมาหาฮารุวันที่เลิกรากับซากิไปแล้ว  เราว่าโอเคค่ะ   ถ้าหากว่าชุนกับฮารุลงเอยกันแบบ ในเรื่องก็น่าจะกลายเป็นวิบากกรรมแห่งรักไปมากกว่า

มานิดเรื่องซากิกับฮารุรักกันยังไง   จริงอยู่ว่าหลายครั้งที่ซากิทำร้ายความรู้สึกของฮารุ แล้วไม่ได้อยุ่ข้างกายของฮารุเหมือนทาคุมิ  แต่ซากิก็มักจะอยุ่ ณ ตรงนั้นเสมอ  กี่ครั้งแล้วที่ซากิช่วยฮารุ  ฮารุต้องการความมั่นคงทางใจแล้วซากิก็ always there.

เราอ่าน ebook แล้วค่ะ  คันปากแต่แนะนำให้ไปอ่านค่ะ   ไม่ได้จบแบบหวานแหววลุกกวาดสีรุ้ง  แต่จบแบบดุเรียลดี  อยากให้เขียนคู่นาโอโตะกับเรย์ค่ะ อยากด่าตัวละคร  ฮิ็ววววว

ขอบคุณมากๆค่ะ สำหรับนิยายเรื่องนี้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด