Outro
ความรักของเราสามคน
หมายเหตุ :: เนื้อหาบทหลังๆ เป็นเนื้อหาฉบับรีไรท์นะครับ จึงอาจมีปมบางจุดที่อาจจะขัดๆ กับเนื้อเรื่องช่วงแรกที่อัพไป (ซึ่งเป็นฉบับด้นสด ฮ่าๆ) ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ (ศัพท์โบราณไป 555) 2: 17 P.M.
@Tawan’s House
กว่าผมจะพาตัวเองลุกจากเตียงมาได้ และอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จก็บ่ายสองเข้าไปแล้ว พอเปิดม่านหนาทึบที่ประตูระเบียงห้องนอน จึงเห็นว่าพื้นสนามหญ้าบริเวณสวนหลังบ้านที่เคยรกไปด้วยเสื้อผ้า เศษอาหาร ขวดเบียร์ แก้วน้ำ และจานชามเมื่อคืนนี้ ไร้สิ่งแปลกปลอมใดๆ ในสระว่ายน้ำที่เคยมีห่วงอย่างหลายรูปแบบและขยะนานาชนิดถูกเก็บกวาดอย่างดี แม่บ้านคงทำความสะอาดจนเสร็จตั้งแต่เช้า
ผมสะบัดหัวแรงๆ ไล่อาการเมาค้างซึ่งเป็นผลจากอาฟเตอร์ปาร์ตี้เมื่อคืน ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนลงไปชั้นล่าง เมื่อคืนผมจำได้ว่ามีเพื่อนหลายคนนอนอืดอยู่บนพื้นและตามโซฟาบริเวณมุมต่างๆ ภายในบ้าน แต่เวลานี้ทั้งบ้านกลับเหลือบาสเพียงคนเดียว
ร่างสูงกำยำนอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น สภาพไม่ต่างจากศพมากนัก และไม่รู้เจ้าตัวถอดเสื้อลืมทิ้งไว้ที่ไหนถึงได้เปลือยท่อนบนเป็นอาหารตาแม่บ้านสาวๆ อยู่แบบนี้
ดูๆ ไปแล้วหุ่นของบาสดีขึ้นมาก ครั้งล่าสุดที่ผมเห็นหมอนี่แก้ผ้าก็ตั้งปีกว่ามาแล้วช่วงที่เราเรียนว่ายน้ำด้วยกัน มาดูตอนนี้ แผ่นหลังของบาสเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ทั้งยังมีรอยสักรูปปีกนกเพิ่มขึ้นมาบริเวณสะบักด้านซ้ายด้วย...ที่เคยบอกว่าอยากสักเลียนแบบพี่ภู คงไปแอบสักมาแล้วสินะ พ่อแม่มันรู้รึยังเนี่ย
“บาส” ผมเรียกพร้อมกับใช้เท้าสะกิดไปที่ก้นของบาสแรงๆ หลายทีเจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าจะตื่น ผมเลยนั่งลงบนแผ่นหลังอีกฝ่าย แล้วใช้ฝ่ามือตบลงไปแรงๆ ตรงรอยสัก แรงจนเจ็บแปล๊บที่ฝ่ามือเสียเอง
“ไอ้บาสสส!” ตะโกนเรียกดังๆ อีกที คราวนี้เจ้าตัวสะลึมสะลือแหงนหน้าขึ้นมามองผมด้วยสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ก่อนจะพลิกตัวขึ้นนอนหงายแทบทำเอาผมไถลตกลงไปบนพื้น ดีนะที่จับพนักโซฟาไว้ทัน เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ผมนั่งอยู่บนหน้าท้องที่เต็มไปด้วยซิกซ์แพ็กส์ของบาสแทน
“คนจะนอน ลงไปดิวะ” บาสปรือตามอง บอกเสียงงัวเงีย ท่าทางหงุดหงิดหน่อยๆ
“ตื่นเหอะมึง บ่ายสองแล้ว เพื่อนเขากลับไปหมดแล้วเนี่ย”
“อ้าวเหรอ” มันงึมงำ เอาแขนพาดหน้าผากเหมือนจะหลับต่อ แต่สักพักเสียงโครกครากก็ดังมาจากท้องใต้สะโพกของผม เจ้าของร่างกำยำจึงต้องลืมตาขึ้นมาอย่างจำยอม ใช้มือขยี้หัวตัวเองแรงๆ แล้วบ่น “เออตื่นก็ได้ หิวว่ะ บอกแม่บ้านให้ยกของกินมาหน่อยดิ”
อืม...ความเกรงใจไม่เคยมี ทำตัวเป็นคุณชายยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้นขนาดไม่ใช่บ้านตัวเองนะ แต่ผมไปบ้านมันก็ทำตัวแบบเดียวกันนี่แหละ
“เออ เดี๋ยวบอกให้ กินกันห้องนั่งเล่นนี่แหละ กูอยากดูหนังไปด้วย ส่วนมึงขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเลย ใช้ห้องน้ำในห้องกูอะ เสื้อผ้าก็หยิบเอาในตู้” ผมลุกออกจากท้องของบาสเพื่อให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน
“เสื้อผ้ามึงกูจะใส่เข้าไหมเนี่ย” ดวงตาคมเข้มมองผมหัวจรดเท้า
อืม...ถึงผมจะสูงขึ้นนิดหน่อยจากปีที่แล้ว ขนาดตัวก็แทบไม่ได้แตกต่างจากเดิมเลย เพราะตอนนี้ผมเพิ่งจะอายุสิบห้าปลายๆ เท่านั้น ส่วนบาสสิบแปดแล้ว อย่าได้พูดถึงขนาดตัวของมัน แค่ความสูงก็ปาไปร้อยแปดสิบกว่า สูงพอๆ กับพี่ภูเลย
“ในตู้เสื้อผ้าห้องกูมีเสื้อผ้าของพี่ภูอยู่ หยิบเอามาใช้ตามสบาย” ไม่รู้หรอกว่าเจ้าของเขาจะยอมให้ใส่รึเปล่า แต่เสื้อผ้าพี่ภูเยอะมากจนเจ้าตัวยังจำไม่ได้เลยว่ามีชุดไหนบ้าง
“ทำไมเสื้อผ้าพี่ภูไปอยู่ในห้อง...” พูดไม่ทันจบบาสก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ มันถอนหายใจแรงๆ ทีหนึ่งแล้วผุดลุกขึ้น “กูไปอาบน้ำละ ออกมาของกินต้องเต็มโต๊ะ”
ผมกรอกตาให้มันทีก่อนจะเออออ แล้วเดินแยกย้ายกันออกไป บาสขึ้นไปห้องนอนผมบนชั้นสอง ส่วนผมออกตามหาแม่บ้าน
ช่วงเย็นบาสยังขลุกอยู่ในบ้านของผม พ่อ แม่ กับพี่ภูต่างก็ไม่อยู่บ้านกันหมด จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครกลับมา ผมกับบาสกำลังเล่นเกมแก้เบื่อกันอยู่ในห้องนั่งเล่น จู่ๆ ก็มีเสียงพูดคุยดังมาจากด้านนอก เป็นเสียงทุ้มต่ำสลับกับเสียงเล็กๆ ของเด็กผู้ชาย
ผมกดปุ่ม (ll) บนจอยสติกส์ แล้วโยนมันลงบนโซฟา ก่อนจะลุกเดินไปตามเสียง ยังไม่ทันถึงทางเข้าห้องนั่งเล่น ร่างสูงกำยำของพี่อติณกับร่างป้อมๆ ของน้องตุลย์ก็มายืนอยู่ตรงหน้า น้องตุลย์เห็นผมก็โผเข้ามากอดขาทันที หลังจากยกมือไหว้คนพ่อตามมารยาท ผมจึงทรุดตัวลงไปอุ้มน้องขึ้นมา แต่แทบจะอุ้มไม่ขึ้นแน่ะ เพราะตอนนี้น้องโตขึ้นกว่าเดิมและส่วนสูงเกือบเท่าเอวผมแล้ว
“คิดถึงพี่ธารที่สุดเลย” น้องตุลย์ห้อมแก้มผมซ้ายขวา แล้วปากจู๋ๆ นั่นก็จุ๊บลงบนปากผมดังจ๊วบ น้ำลายนี่เลอะทั้งปากทั้งแก้มไปหมด เพราะน้องชอบเลียปากตัวเอง
“พี่ก็คิดถึงน้องตุลย์ครับ” ผมบอกยิ้มๆ ก่อนจะวางเจ้าตัวเล็กลงด้วยความหนัก เด็กชายที่เพิ่งบอกว่าคิดถึงผมเมื่อครู่นี้วิ่งปร๋อไปหาบาสเฉย กระโดดขึ้นไปนั่งบนโซฟาได้ก็คว้าจอยสติ๊กมาถือ แหงนหน้าถามนู่นนี่นั่นกับบาสไม่หยุดปาก สงสัยจะอยากเล่นแต่ไม่รู้ว่าต้องกดปุ่มไหนเลยถามใหญ่
หันกลับมาสนใจคนตรงหน้า พี่อติณกำลังส่งยิ้มบางๆ มาให้ ตลอดหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาเราเจอกันนับครั้งได้ ซึ่งคงจะเจอกันบ่อยกว่านี้ถ้าพี่อติณไม่ได้หลุดปากบอกเรื่องที่เราคุยกันให้พ่อแม่ผมฟัง ทั้งสองคนไม่ค่อยชอบพี่อติณนักหรอก แต่เพราะเขาเอาความเป็นพ่อมาอ้าง ถึงยังเหยียบเข้ามาในบ้านหลังนี้ได้
ผมเองมีอคติกับพี่อติณอยู่บ้าง แต่แม่บอกว่ายังไงเขาก็มีส่วนทำให้ผมเกิดมา ผมต้องสำนึกบุญคุณ ต้องเคารพ และเพราะพี่อติณดีกับผม ไม่ได้พยายามจะเป่าหูให้แตกแยกกับครอบครัวอีก (คงจะคิดได้หลังจากโดนพ่อต่อยล่ะมั้ง) ผมเลยยังติดต่อกับเขาอยู่...เหตุผลหลักๆ ไม่ใช่เพราะเรื่องบุญคุณนั่นหรอก เพราะน้องตุลย์ต่างหากล่ะ
“น้ำบอกพี่ว่าอีกสองวันธารจะไปอเมริกาแล้ว”
“ครับ”
...อีกสองวันผมกับบาสจะเดินทางไปอเมริกาเพื่อเรียนต่อปริญญาตรี พี่ภูกับพ่อก็ด้วย คนหนึ่งต้องเรียนต่อปริญญาโท (จบปริญญาตรีภายในสามปีครึ่ง) ส่วนอีกคนย้ายไปดูแลบริษัทในเครือที่นั่น ส่วนแม่คงยังไปๆ มาๆ หลายประเทศเหมือนเดิม
ปาร์ตี้ริมสระน้ำที่จัดขึ้นเมื่อคืนเป็นปาร์ตี้ของเด็กเกรดสิบสองห้องเดียวกับผม เพื่อทั้งเลี้ยงส่งเพื่อนหลายคนที่จะต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ และถือเป็นงานเลี้ยงส่งท้ายชีวิตไฮสคูล
“งั้นวันมะรืนพี่ขอไปส่งเราที่สนามบินนะ”
จริงๆ ใช้คำว่า ‘พี่’ แทนตัวอีกฝ่ายมันอาจจะไม่ค่อยเหมาะสมกับฐานะ (คนที่มีส่วนทำให้ผมเกิดมา) เท่าไหร่ แต่ด้วยเพราะพี่อติณเพิ่งจะอายุสามสิบสี่ อ่อนกว่าพ่อผมตั้งสี่ปี และรูปร่างหน้าตายังหนุ่มแน่น เลยพอใช้คำนี้ได้อยู่
“ครับ...พาน้องตุลย์มาด้วยนะ” ผมรับคำ แล้วรีบพูดต่อท้าย
“ได้สิ” พี่อติณยิ้ม ชี้ไปที่โซฟา “ไม่ชวนพี่ไปนั่งหน่อยเหรอ”
“อ้อครับ”
เดินนำอีกฝ่ายมานั่งบนโซฟา บาสกับน้องตุลย์ยังเล่นเกมกันอย่างเมามันไม่มีท่าทีสนใจพวกเราสักนิด เด็กคนไหนนะที่บอกว่าคิดถึงผมเมื่อกี้ ชักจะน้อยใจนิดๆ ละ ส่วนบาส...ผู้หลักผู้ใหญ่มาแทนที่จะยกมือไหว้ สงสัยจะยังโกรธฝังใจที่พี่อติณเคยทำแย่ๆ เอาไว้กับครอบครัวผมเลยทำเมินใส่
ก็นะ...ผมผิดเองล่ะที่เล่าให้บาสฟังทุกเรื่อง ซึ่งที่ต้องเล่าก็เพราะมันบังเอิญมาเห็นฉากจูบดูดดื่มระหว่างผมกับพี่ภูในรถเข้าจังๆ น่ะสิ เป็นอันต้องอธิบายกันยาวๆ ถึงว่าผม พ่อ และพี่ภู ไม่ได้ผูกพันกันทางสายเลือด มันเลยพอจะทำใจยอมรับได้ แต่กว่าจะคุยกันรู้เรื่องก็ต้องใช้เวลาเกือบสองเดือน
กลับมาปัจจุบัน ผมกับพี่อติณคุยนู่นนี่กันเรื่อยเปื่อย ระหว่างนั้นแม่บ้านก็ยกขนมกับน้ำมาให้ ส่วนบาสกับน้องตุลย์ยังเล่นเกมกันอย่างเมามัน
เจ้าตัวเล็กไม่รู้ว่าย้ายก้นมานั่งบนตักผมตั้งแต่เมื่อไหร่ เอาหลังพิงกับอกผมเสียท่าทางสบายเต็มที่ มีบางครั้งที่คะแนนของบาสนำก็ใช้ศอกสะกิดท้องผมยิกๆ ขมุบขมิบปากบอกให้ช่วยเล่นแทน ซึ่งผมไม่ได้ปฏิเสธ
บาสมันแอบเหลือบมาเห็นก็ยอมออมมือ ทำให้คะแนนน้องตุลย์นำขึ้นมาแทน เจ้าตัวเล็กเลยดีใจใหญ่ ชมว่าผมเก่งอย่างนู้นอย่างนี้ เป็นฮีโร่ในดวงใจ...น้องไม่ได้รู้เลยว่าที่จริงผมเล่นเกมแพ้บาสตลอด...
ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่ากับการเล่นเกม คุยกัน พร้อมกับกินขนมไปด้วยจนฟ้าด้านนอกมืดสนิทและน้องตุลย์เริ่มอ้าปากหาว พี่อติณก็ขอตัวกลับ ตอนมาอุ้มน้องตุลย์จากตักผมยังแอบเนียนเอาจมูกมาเฉียดแก้มด้วยแน่ะ แค่เฉียดเฉยๆ ไม่เท่าไหร่ พอคนลูกจุ๊บปาก คนพ่อดันมาหอมแก้มผมซะฟอดใหญ่ ถือสิทธิ์ความเป็นพ่อในตัวผมเต็มที่...
ส่วนไอ้บาสน่ะเหรอ หลังกินข้าวเย็นด้วยกันเสร็จ มันก็มานั่งหน้าสลอนอยู่บนเตียงในห้องนอนผม ไม่มีท่าทีจะกลับบ้านแต่อย่างใด ก็อย่างว่าล่ะนะ...ปิดเทอม ไม่มีอะไรทำ อยู่กับเพื่อนน่าเบื่อน้อยที่สุด
8: 09 P.M.
จู่ๆ ประตูห้องนอนก็ถูกผลักเปิดออกตอนที่ผมกับบาสกำลังนอนเล่นมือถือกันอยู่บนเตียง เห็นคนที่เดินเข้ามาในห้องผมก็ลุกพรวดวิ่งไปกอดอีกฝ่ายไว้แน่น สีหน้าของพี่ภูดูเหนื่อยๆ แถมยังอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ที่เหนื่อยอาจจะเพราะช่วงเดือนนี้ต้องอ่านหนังสือโต้รุ่งตลอด ส่วนที่อารมณ์เสียนี่คงเพราะเมื่อกี้เห็นผมนอนหนุนพุงบาสอยู่ล่ะมั้ง
พี่ภูน่ะหึงไม่เลือกหน้าหรอก เมื่อกี้คงถามแม่บ้านมาล่ะสิว่าผมอยู่ที่ไหน พอรู้ว่าอยู่กับบาสในห้องเลยจงใจเปิดประตูเข้ามาโดยไม่เคาะก่อน อยากจะเห็นอะไรงั้นเหรอ เหอะ...จะมีอะไรได้ล่ะ ผมกับบาสแค่มองตากันยังขนลุกเลย
“พี่ภูหวัดดี” เสียงบาสดังมาจากด้านหลัง ตามด้วยเสียงข้อความเด้งรัวๆ คงจะแชทกับสาวอยู่ล่ะมั้ง
ผมไม่ได้สนใจคนที่นอนอยู่บนเตียง เงยหน้าขึ้นมองพี่ภูแล้วพูดเสียงอ้อนๆ “ทำไมกลับค่ำจัง”
“พี่เพิ่งสอบตัวสุดท้ายเสร็จตอนทุ่มนึงน่ะ”
“แล้วนี่กินอะไรมายังครับ”
“กำลังจะลงไปกิน ธารกินแล้วใช่ไหม”
ผมพยักหน้า พี่ภูสั่งไว้ว่าให้กินล่วงหน้าไปก่อน ถ้ายังดื้อรอ พี่ภูรู้จะโกรธจนไม่ยอมคุยกับผมไปหลายวัน ผิดกับพ่อลิบลับ ฝ่ายนั้นแค่ดุๆ แล้วลูบหัวปลอบ ทำหน้างอแงเข้าหน่อยก็ใจอ่อน
“แล้วนี่น้าตะวันยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
“ยังเลย” ส่วนแม่น่ะ อยู่เยอรมณีนู่น คงไปเจอกันอีกทีที่อเมริกาเลย
พี่ภูหันไปมองนอกห้อง แล้วเอื้อมมือไปผลักประตูปิดลง ก่อนจะก้มหน้าลงมามองผม ยกยิ้มมุมปากนิดๆ “พี่เหนื่อยจัง ขอชาร์ทพลังหน่อย”
น่ารักดีนะ พี่ภูโหมดขี้อ้อนแบบนี้เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเลย แต่ยิ่งนานวันก็ชักจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เหมือนพฤติกรรมหลายอย่างของเขาแอบเลียนแบบมาจากพ่อนะ เมื่อเดือนก่อนตอนที่พี่ภูเมา ผมเคยได้ยินพี่ภูบ่นน้อยใจทำนองว่าผมติดพ่อมากกว่า เพราะพ่อตะวันไม่ใช่คนแข็งทื่อแบบเขา ทุกวันนี้พี่ภูเลยอยากจะลองทำตัวอ่อนโยนดูบ้างล่ะมั้ง
เหอะ...แต่อย่าให้พูดถึงเรื่องบนเตียงล่ะ รสนิยมเป็นยังไงไม่เคยเปลี่ยน ออกจะซาดิสม์หน่อยๆ ด้วยซ้ำ เวลามีอะไรกันผมจะต้องปวดระบมไปทั้งตัวทุกที
“บาสอยู่” ผมชี้นิ้วโป้งไปทางด้านหลัง ไม่ได้หันไปมองก็พอเดาได้ว่าเพื่อนมันคงกำลังแชทกับสาวเพลิน ไม่ได้สนใจพวกเราหรอก
“จูบ”
พี่ภูจิ้มนิ้วชี้ลงบนปากตัวเอง ออกคำสั่งอย่างเอาแต่ใจ ผมเลยต้องเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบอีกฝ่าย แค่จะแตะแล้วรีบผละออกมา แต่แขนกำยำดันกอดรัดเอวของผมเอาไว้แน่น ท้ายทอยยังถูกกุมไว้ด้วย
ฟันคมขบลงบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา จากแค่อยากจะจุ๊บผ่านๆ เลยกลายเป็นดูดเม้ม พอเผลอจูบตอบหน่อย ลิ้นอุ่นร้อนก็ล่วงล้ำเขามาภายในกวาดต้อนจนทั่วโพรงปาก เสียงรสจูบดูดดื่มลึกซึ้งดังสะท้อนชวนวาบหวาม กว่าพี่ภูจะยอมผละออกห่างก็ตอนที่ผมทุบอกเขาแรงๆ เพราะเริ่มหายใจไม่ออก
“ถ้าจะขนาดนี้ เชิญต่อที่เตียงครับ” จู่ๆ บาสก็พูดขึ้น สงสัยมันจะเงยหน้ามาเห็นเข้าพอดี ร่างสูงกำยำนั่นลุกออกจากเตียง เดินผ่านผมไปพลางลูบแขนตัวเองด้วยท่าทางขนลุก “กูกลับก่อนนะ” มันว่าพร้อมกับยกมือไหว้ลาพี่ภู
รอจนบาสออกจากห้องไป ผมก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะกับพี่ภู ขณะที่อีกฝ่ายแค่ยักไหล่ยิ้มๆ เท่านั้น...พอเดาได้หรอกว่าพี่ภูอยากไล่บาสกลับบ้านเลยทำแบบนี้ เพราะครั้งก่อนมันมาขอนอนด้วย จัดห้องนอนแขกไว้ให้ดีๆ กลางดึกดันทำเนียนมานอนห้องผมซะได้ พี่ภูเปิดประตูมาเจอนี่โมโหใหญ่ แทนที่จะได้นอนกอดพี่ภู คืนนั้นเลยต้องนอนเบียดกับบาสแทน
“ลงไปกินข้าวดีกว่าครับ เดี๋ยวจะดึก”
ผมจูงมือพี่ภูออกจากห้อง เดินลงไปชั้นล่าง ถึงบริเวณห้องรับแขกพ่อก็เดินผ่านประตูบ้านเข้ามาพอดี อีกฝ่ายบอกว่าวันนี้ติดประชุมเลยกลับซะค่ำมืด
“กินข้าวเย็นมายังครับ” ผมหยุดเดิน พี่ภูที่เดินมาด้วยกันจึงชะงักเท้าตาม ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงรีบวิ่งไปกอดพ่อแล้ว แต่เพราะทุกทีที่ทำแบบนั้นพี่ภูจะดูไม่พอใจมาก ทุกวันนี้เลยเปลี่ยนเป็นยืนรอให้พ่อเดินเข้ามาหาแทน
“ยังเลยครับ” ร่างสูงกำยำเดินมาหยุดตรงหน้า ก่อนจะยื่นมือมาลูบหัวผม “จะไปกินข้าวกันเหรอ”
“ธารกินเรียบร้อยแล้วครับ จะไปเป็นเพื่อนพี่ภูเฉยๆ พ่อก็ไปกินด้วยกันก่อนสิค่อยขึ้นไปอาบน้ำ”
“ครับ” พ่อบอกยิ้มๆ แล้วโอบไหล่ผมให้ออกเดินโดยที่มือของผมยังจูงมือพี่ภูเอาไว้ ฝ่ายนั้นก้าวตามมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ
บนโต๊ะอาหารรูปทรงสี่เหลี่ยมสำหรับแปดคน มีกับข้าวหน้าตาน่ากินอยู่สี่ห้าอย่าง ข้าวสวยในจานของพ่อกับพี่ภูพร่องไปเกือบครึ่งแล้ว ทั้งสองคนกำลังกินอาหารกันอย่างเงียบเชียบ โดยมีผมนั่งเท้าคางดูด้วยสีหน้ายิ้มๆ และช่วยตักกับข้าวใส่จานให้ในบางครั้ง
ผมนั่งฝั่งซ้ายมือของพ่อ ส่วนพี่ภูนั่งตรงข้ามผม ทั้งสองคนอยู่ใกล้มือใกล้เท้า (?) ผมทั้งคู่ ขณะที่ผมใช้ส้อมจิ้มทอดมันกุ้งป้อนให้พี่ภู ข้างใต้โต๊ะเท้าก็แอบเขี่ยขาพ่อเล่น
พี่ภูอ้าปากงับทอดมันกุ้งกินด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนจะชินกับสถานการณ์แบบนี้แล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนเวลาผมป้อนให้ กว่าจะยอมกินสักคำต้องคะยั้นคะยออยู่นาน บอกแล้วไงว่าเขาน่ะเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อไปเยอะ เห็นพ่อหวานกว่าเป็นไม่ได้ ต้องทำตามอยู่เรื่อย...ซึ่งมันก็น่ารักดี
ผมตักปลาเผาใส่จานให้พ่อบ้าง ทั้งที่เท้ายังเขี่ยขาพ่อเล่นอยู่ เห็นพ่อส่ายหน้ายิ้มๆ ผมเลยทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไล้ปลายเท้าสูงขึ้นอีกนิดด้วยความอยากแกล้ง แต่จู่ๆ ก็มีเท้าอีกข้างมาเตะขาผมลง พอหันไปมองพี่ภู อีกฝ่ายก็ทำสีหน้าดุๆ ใส่...นึกว่าไม่รู้ซะอีก
พี่ภูเป็นพวกชอบแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของและค่อนข้างขี้หึง บางทีถ้าผมออดอ้อนพ่อต่อหน้าเขามากๆ พี่ภูจะทำสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน แต่พ่อต่างกัน...พ่อมักจะนิ่งเฉยจนผมเดาอารมณ์ไม่ถูกด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเคยนึกหึงหวงบ้างรึเปล่า หรือแค่รู้สึกเฉยๆ อย่างที่แสดงออก ผมเลยกล้าที่จะทำตัวสนิทสนมกับพี่ภูให้พ่อเห็น แต่ไม่กล้าออดอ้อนพ่อต่อหน้าพี่ภูมากนัก
ต่อไปผมจะพยายามให้ทั้งสองคนยอมรับกันและกันได้มากขึ้น...มันอาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ผมตัดใจจากใครสักคนไม่ได้จริงๆ
“อ้ำ” ผมจิ้มทอดมันกุ้งป้อนพี่ภูอีกชิ้น ทำหน้าตาอ้อนสุดๆ แต่พี่ภูกลับไม่ยอมงับมันเข้าปากทั้งที่เป็นของโปรด เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวไม่ยอมมองหน้าผม
แบบนี้เรียกงอนรึเปล่า?...ใช่แน่ๆ
“ก็คืนนี้เรานอนด้วยกันไง แต่ธารยังไม่ได้เจอพ่อเลยทั้งวันนะ แค่เอาเท้าไปเขี่ยเอง”
ช่วงที่แม่ไม่อยู่พ่อกับพี่ภูจะสลับกันมานอนที่ห้องผม ไม่รู้ว่าตกลงเรื่องวันกันตั้งแต่ตอนไหน จู่ๆ ก็กลายเป็นว่าวันคี่เป็นของพ่อ วันคู่เป็นของพี่ภูไปซะแล้ว...แต่ก็แค่นอนกอดกันธรรมดา จะมีมากกว่านั้นบ้างนานๆ ที…
“.....”
ยิ่งพูดยิ่งเหมือนทำให้พี่ภูโมโห อีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่ตอบผมเลย ทอดมันกุ้งเป็นอันต้องวางลงที่เดิม พอผมหันไปมองพ่ออย่างขอตัวช่วย อีกฝ่ายกลับทำแค่เลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วก้มหน้ากินข้าวต่อเงียบๆ
“เดี๋ยวคืนนี้ธารถูหลังให้...อาบน้ำด้วยกันนะ” คราวนี้พี่ภูเงยหน้าขึ้นมามองผมแวบหนึ่ง จากนั้นก็วางช้อนส้อมลงบนจาน คว้าแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วลุกออกจากที่นั่ง ก้าวฉับๆ ไปเฉยเลย
อะไรยังไง? ผมยังงุนงงสับสนอยู่ก็ได้ยินพ่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย
“สงสัยจะขึ้นไปอาบน้ำ”
“.....” งั้นผมต้องรีบตามไปถูหลังน่ะสิ...
ผมมองหน้าพ่ออย่างลังเล ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะอยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนพ่อต่อหรือรีบตามพี่ภูขึ้นไปบนห้องดี แต่คนที่นั่งตำแหน่งหัวโต๊ะกลับส่งยิ้มบางมาให้ แล้วผุดลุกขึ้นยืน
“ขึ้นห้องกันครับ พ่อกินข้าวเสร็จพอดี”
ผมลุกตาม คว้าจับมืออีกฝ่ายก่อนจะเดินออกจากห้องทานอาหารไปด้วยกัน ระหว่างที่ก้าวเดิน ผมยกมือข้างที่กุมกันไว้ขึ้นมา ใช้ฝ่ามืออีกข้างลูบลงบนหลังมือของพ่อ จนกระทั่งพวกเรามาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องพี่ภู ผมยังเล่นมือข้างนั้นอย่างอ้อยอิ่ง ไม่ยอมวางมันลงและไม่ได้เข้าห้องไปทันที
“เป็นอะไรหืม” คนตรงหน้าถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ผมทำเพียงส่ายหน้า เอาแต่ก้มมองมือที่กุมกันไว้ของเรา
แกร็ก...
ยังไม่ทันที่พ่อจะพูดอะไรต่อเสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนที่พี่ภูจะมายืนอยู่ข้างๆ ท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า ทั้งร่างกายมีเพียงผ้าขนหนูสีขาวผืนเดียวห่อพันช่วงล่างไว้
“ธาร พี่จะอาบน้ำ” อีกฝ่ายบอกสั้นๆ ที่ออกมาคงคิดจะมาตาม แต่ดันเจอผมกับพ่อยืนอยู่หน้าห้องพอดี
“พ่อ...พี่ภู...เหนื่อยไหมที่พวกเราเป็นแบบนี้” ผมยังก้มหน้า ไม่กล้าเงยสบตาใครสักคน “เหนื่อยไหมครับ...ที่ต้องมารักคนเห็นแก่ตัวแบบธาร”
“พูดอะไรฮึเรา” มืออบอุ่นของพ่อลูบลงบนหัวผม น้ำเสียงที่พูดฟังดูอบอุ่นไม่ต่างกัน “ธารเป็นความสุขทั้งหมดในชีวิตของพ่อนะครับ...พ่อจะเหนื่อยที่ต้องรักเราได้ยังไง”
ได้ยินคำพูดปลอบใจผมจึงกล้าเงยหน้าขึ้น มองพ่อก่อนจะหันไปมองพี่ภูที่ยืนอยู่ข้างกัน ใบหน้าหล่อคมคายเรียบเฉยจนยากจะเดาความรู้สึก แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจของผมร้อนรุ่มราวกับถูกแผดเผา
ผมยังคงจับมือพ่อเอาไว้ตอนที่ใช้แขนอีกข้างโอบกอดพี่ภู ซบหน้าลงกับแผงอกเปลือยเปล่า “พี่ภูล่ะครับ พี่ยังอยากรักธารไหม...” ไม่ได้ยินอีกฝ่ายตอบ ผมจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือ “ถ้าพี่ภู...จะไม่รักธารแล้ว...”
“ไม่มีทาง” คำพูดนั้นทำให้ผมชะงัก หลุดยิ้มออกมาได้ทั้งที่น้ำตาเอ่อคลอ “อย่าพูดเรื่องที่มันไม่มีทางเป็นไปได้อีก”
“ก็ได้ ไม่พูด”
ผมยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่กับแผงอกของเขา ในตอนนั้นเองที่รู้สึกได้ถึงสัมผัสแนบชิดทางด้านหลังกับลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดบริเวณต้นคอ เหลือบมองก็เจอเข้ากับใบหน้าหล่อคมคายของพ่อในระยะประชิด มุมปากอีกฝ่ายยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบา...เป็นรอยยิ้มที่ทำเอาผมใจสั่น
ทั้งที่พ่อเข้ามาใกล้ขนาดนี้ และผมยังจับมือพ่อเอาไว้ แต่พี่ภูกลับไม่ได้แสดงท่าทีโมโหหรือขยับออกห่างเลย...
“ถูหลังให้พี่ภูเสร็จแล้ว มาถูหลังให้พ่อต่อนะ” ริมฝีปากหยักได้รูปยื่นมากระซิบข้างหู ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดลงมากับน้ำเสียงนุ่มทุ้มชวนฝันนั้นทำให้ผมวูบวาบไปทั้งตัว
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไร ร่างสูงกำยำทางด้านหลังก็ผละออกห่าง แล้วเดินกลับเข้าห้องตัวเอง ขณะที่ผมได้แต่ยืนยิ้มใจสั่นอยู่กับอกพี่ภูแบบนั้น
“ยังไงก็ต้องถูหลังให้พี่ก่อน” เสียงที่ดังขึ้นเหนือหัวดึงสติผมกลับมา พอผละออกห่างแล้วเงยหน้ามองคนในอ้อมกอด ก็เห็นอีกฝ่ายทำหน้าตาบึ้งตึงอย่างเอาแต่ใจ “ไปอาบน้ำกัน” พี่ภูบอกสั้นๆ แล้วลากแขนผมพาเข้าห้องตัวเอง
“ธารรักพี่ภูกับพ่อมากนะ” ผมพูดขึ้นเมื่อเราเข้ามาในห้อง แต่คนฟังกลับไม่ได้ตอบ คว้าชายเสื้อผมได้ก็เลิกถอดขึ้นทางหัว ต่อด้วยกระชากกางเกงบ็อกเซอร์ลงไปกองอยู่ที่ข้อเท้า
“.....”
“พี่ภู ได้ยินป่าว”
“ได้ยิน”
“รักธารไหม”
“รัก”
“อะไรนะ”
“จะอาบน้ำ”
“คิกๆ”
หนึ่งปีกว่าแล้วนะที่พวกเราอยู่ด้วยกันแบบนี้ ถึงจะเป็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงไปบ้างแต่ทุกคนก็ดูมีความสุขดี ผมไม่รู้หรอกว่าต่อไปชีวิตของพวกเราจะเป็นยังไง แต่แค่ได้อยู่เคียงข้างกัน...แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว...Pie2Na
น่าจะไม่เกินอาทิตย์นี้ พายจะเปิดจองนิยาย Not innocent รอบรีปริ้นนะครับ
เพราะคนอ่านถามกันเข้ามาค่อนข้างเยอะ
ถ้าสนใจสามารถติดตามข่าวสารได้ทางเพจ Pie2Na นะครับ
ขอบคุณครับ ^^