Chapter 16
สัมผัสแทนความคิดถึง
9: 02 A.M.
@The Attribute Condominium
ตอนที่ผมออกจากห้อง พ่อก็ไลน์บอกว่ามาถึงคอนโดแล้วและกำลังจะขึ้นมาหา ผมเลยให้พ่อรออยู่ในรถ จากนั้นก็ลงลิฟท์ไปที่ชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นลานจอดรถแทนที่จะออกมารอพ่อด้านหน้าคอนโด
ประตูลิฟท์เปิดออกเมื่อเคลื่อนลงมาถึงชั้นใต้ดิน ผมที่กำลังก้มหน้าพิมพ์ข้อความแชทกับพ่ออยู่ เดินออกจากลิฟท์โดยไม่ได้มองทาง ทำให้ชนเข้ากับใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าประตูลิฟท์ ในตอนที่เงยหน้าขึ้นจะบอกขอโทษ เขาคนนั้นก็ดึงผมเข้าไปกอด ร่างเล็กๆ ของผมแทบจมมิดอยู่ในอกอีกฝ่าย
ชั่วแวบหนึ่งที่ยังไม่ทันตั้งสติ ผมหลุดยิ้มออกมา เผลอคิดไปว่าคนที่กอดผมด้วยความโหยหาขนาดนี้ต้องเป็นพ่อแน่ๆ พ่อคงลงจากรถมายืนรอผม แต่กลายเป็นว่าผมต้องดีใจเก้อเมื่อสังเกตได้ถึงขนาดตัวที่ต่างกัน และกลิ่นเหล้าปนเปกับกลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่ไม่ใช่กลิ่นของพ่อ
"คิดถึงจัง...มาหาพี่เหรอครับ ไม่เห็นโทรมาบอกก่อนเลย เกือบไม่ได้เจอเราแล้วสิ” คนพูดกดจมูกลงบนหัวของผม แล้วสูดลมหายใจลึกๆ พร้อมกับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
คอนโดที่นี่ออกจะกว้าง ลิฟท์ก็ไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แถมพวกเรายังอยู่คนละชั้น แต่ดันบังเอิญมาเจอกันในเวลาที่ผมยังไม่อยากเจออีกฝ่ายเสียได้
ก่อนหน้านี้สภาพอารมณ์ของผมก็ยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับพี่กฤษ ผมเลยกะจะบอกเขาคืนนี้หลังจากอะไรๆ ดีขึ้นบ้างแล้ว ว่าผมย้ายมาอยู่กับพี่ภูที่นี่ อ้อ แต่ผมก็เพิ่งจะรู้ตอนตื่นขึ้นมาเมื่อวานแล้วได้มองวิวนอกห้องนั่นล่ะว่าที่นี่คือ The Attribute Condominium คอนโดเดียวกับที่พี่กฤษอาศัยอยู่
“ที่จริง...เมื่อวานธารย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วน่ะครับ” ผมตอบพร้อมกับออกแรงผลักหน้าอกอีกฝ่ายเบาๆ พี่กฤษจึงยอมคลายอ้อมแขนออก ปล่อยให้ผมได้ยืนดีๆ
“หือ”
ดูจากสีหน้าแตกตื่นนิดๆ ของพี่กฤษ เขาคงคิดว่าผมย้ายมาอยู่ห้องเขาแน่ ผมเลยรีบอธิบายว่า “ธารย้ายมาอยู่กับพี่ภูน่ะครับ”
“อ้อ...พี่เกือบลืมไปเลยว่าภูพักอยู่ที่นี่ด้วย เพราะแทบไม่ได้เจอกันเลย จะเจอกันบ้างก็เวลาเพื่อนนัดไปสังสรรค์ข้างนอก...ธารย้ายมาอยู่กับภูก็ดีแล้ว พี่จะได้ไปหาเราง่ายขึ้น แต่จะดีกว่าถ้าย้ายมาอยู่ห้องเดียวกับพี่”
อยู่ห้องเดียวกับพี่กฤษน่ะนะ แค่ย้ายมาอยู่ที่เดียวกันพี่กฤษก็คงลำบากใจมากพอแล้ว เพราะการถูกผมจับตามอง พี่เขาคงทำอะไรได้ไม่สะดวกเท่าไหร่ แต่ถึงจะคิดงั้นผมก็ยังทำเป็นพยักหน้าเออออแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “แล้วนี่เพิ่งกลับถึงห้องเหรอครับ”
ไม่ต้องถามก็พอเดาได้อยู่หรอก กลิ่นเหลาฟุ้งขนาดนี้ นี่คงไม่พ้นไปเที่ยวผับ แล้วลากผู้หญิงไปนอนกกด้วยที่ไหนสักที่...ไม่สิ ผู้ชายต่างหาก คนอย่างพี่กฤษน่ะชัดเจนอยู่แล้วว่าชอบแบบไหน ถึงจะมีผู้หญิงเข้าหาเยอะแยะ เขาก็ไม่มองผู้หญิงหรอก
“อืม มีโปรเจ็กต์ต้องรีบทำส่งอาจารย์ เมื่อคืนพี่เลยค้างที่ห้องเพื่อน”
จะกี่ครั้งก็เหตุผลเดิมๆ เมื่อก่อนผมทนฝืนยิ้มตอนฟังคำพูดโกหกพวกนี้ได้ยังไงนะ ทั้งที่รู้ว่าลับหลังตัวเอง พี่กฤษไปทำอะไรมาบ้าง เจ็บแต่ก็ยังทนเพราะไม่อยากทำตัวงี่เง่าให้อีกฝ่ายรำคาญ สุดท้าย...ผมก็กลายเป็นแค่ของตายที่โดนทิ้งขว้าง
...ตอนนี้ผมก็ยังฝืนยิ้ม ทำเป็นเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แค่ความรู้สึกและเป้าหมายมันต่างกัน
“งั้นพี่กฤษก็ขึ้นไปพักผ่อนเถอะครับ พอดีธารนัดพ่อไว้ นี่คงรออยู่ที่รถนานแล้ว”
“โอเค ไว้เจอกัน ถ้ายังไงกลับมาแล้วอย่าลืมไลน์บอกพี่ด้วยนะ”
“อือ” ผมพยักหน้ายิ้มๆ แล้วโบกมือลา ไม่ได้ยืนรอให้พี่กฤษขึ้นลิฟท์ก็รีบออกเดินมองหารถของพ่อ ลานจอดรถที่นี่กว้างซะด้วยสิ ลืมถามไปเลยว่าพ่อจอดไว้โซนไหน
ยังไม่ทันได้พิมพ์ข้อความถามก็ต้องชะงักเท้าหลีกให้รถ Aston Martin สีขาวที่กำลังเลี้ยวออกมาจากที่จอด รถคันนั้นหยุดลงเมื่อตำแหน่งประตูข้างคนขับตรงกับตัวผมอย่างพอดิบพอดี
ผมเปิดประตูก้าวขึ้นรถ เหลือบมองสีหน้าคนขับด้วยความรู้สึกกังวล...เมื่อกี้พ่อคงมองผมตั้งแต่เพิ่งออกจากประตูลิฟท์ และเห็นฉากที่พี่กฤษกอดผมด้วย แต่สีหน้าของพ่อก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลยสักนิด ยังคงส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ แล้วยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ
“ลูกพ่อเสน่ห์แรงขนาดนี้ พ่อชักหนักใจแล้วสิ” พ่อพูดพร้อมกับเหยียบคันเร่ง พารถออกตัวไปอย่างนุ่มนวล ไม่ได้มีการกระทำไหนบ่งบอกเลยว่ากำลังโกรธหรือหึงหวง แต่ผมรู้ว่าพ่อแค่เป็นคนเก็บอารมณ์เก่งมากเท่านั้น
ถึงพ่อจะบอกว่าอยากให้ผมได้ลองรักใคร หรือใจกว้างขนาดยอมให้ผมมีอะไรกับพี่ภู แต่ใครจะรู้สึกดีเวลาเห็นคนรักของตัวเองกอดกับคนอื่นบ้างล่ะ
...อย่างที่พ่อเคยบอก ว่าพ่อเองก็ทั้งห่วง ทั้งหวงผมที่สุด
“พ่อโอเคจริงๆ เหรอครับถ้าธารต้องอยู่ที่นี่”
“โอเคในเหตุผลไหน?” พ่อหันมามองผมเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปมองถนนต่อ “ถ้าที่เราต้องอยู่ห่างกับพ่อ พ่อไม่โอเคอยู่แล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องจำเป็น แต่ถ้าถามว่าโอเคไหมที่ธารต้องมาอยู่ห้องเดียวกับภู แถมยังเป็นคอนโดเดียวกับที่แฟนเก่าธารอยู่...”
“.....”
“...พ่อว่าปล่อยให้เสือตัวหนึ่งอยู่กับลูกแกะ มันแย่กว่าการปล่อยให้เสือสองตัวอยู่กับลูกแกะนะ...ลูกว่าไหม?”
พ่อจะบอกว่า...ปล่อยให้เสือสองตัวทะเลาะกัน ดีกว่าปล่อยให้ลูกแกะถูกเสือตัวหนึ่งงาบไปกินง่ายๆ ใช่ไหมครับ...แต่พ่อเปรียบเทียบผิดไปนิดนะ ที่บอกว่าธารเป็นลูกแกะน่ะ จริงๆ ธารเป็นจิ้งจอกต่างหาก
อาจจะไม่ได้มีเก้าหาง แต่อย่างน้อยก็สามหางล่ะนะ...
9: 47 A.M.
พ่อบอกว่าเราจะไปกินข้าวเช้ากัน แต่ดันพาผมมาที่คอนโดหรูแห่งหนึ่ง ทำให้ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า นอกจากจะอยากกินข้าว พ่ออาจจะอยากกิน ‘อย่างอื่น’ ด้วย
“พ่อเห็นคอนโดนี้สภาพแวดล้อมน่าอยู่ดี แถมยังอยู่ใกล้มหาลัยดังๆ ด้วย ปีที่แล้วตอนเปิดขาย พ่อเลยซื้อทิ้งเอาไว้หลังหนึ่ง เผื่อว่าต่อไปลูกเข้ามหาลัยอาจจะจำเป็นต้องย้ายมาอยู่ที่นี่”
เสียงทุ้มที่ค่อนข้างจริงจังเบรกความคิดทะเล้นๆ ของผม “ซื้อทิ้งเอาไว้เป็นปีแล้วทำไมจู่ๆ ถึงเพิ่งนึกจะพาธารมาดูล่ะครับ”
“พ่อเห็นว่ามันยังไม่จำเป็นน่ะ อีกอย่างพ่อก็ตั้งใจจะให้เป็นของขวัญธารหลังเรียนจบม.ปลายด้วย” พ่ออธิบายขณะกดรหัสผ่านที่ประตู รอเสียงติ๊ดดังขึ้นสองครั้งก็เปิดประตูเดินนำผมเข้าไปด้านใน
เราถอดรองเท้าเก็บไว้ในตู้เก็บรองเท้าข้างประตู เปลี่ยนเป็นสลิปเปอร์แล้วเริ่มเดินสำรวจห้องชุดที่สะอาดสะอ้านเหมือนเพิ่งถูกทำความสะอาดมาอย่างดี
“แล้วตอนนี้มันจำเป็นยังไงครับ” กวาดมองทั่วห้องแล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ถึงห้องจะกว้างขวาง มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน แถมยังถูกจัดแต่งไว้ทันสมัยโดนใจผมสุดๆ แต่ด้วยฐานะทางบ้านของพวกเรา ในวันที่ผมเรียนจบ ถ้าอยากได้คอนโดสักหลัง พ่อก็ต้องรีบหามาให้ผมอยู่แล้ว มันเลยไม่ได้น่าดีใจเท่าไหร่
“จำเป็นสิ เพราะตั้งแต่วันนี้เราคงต้องมาที่นี่บ่อยๆ”
…ชักจะดีใจขึ้นมาบ้างแล้วสิ
“มาบ่อยๆ...มาทำอะไรครับ?” เราเดินมาถึงห้องนั่งเล่น ผ่านด้านหลังโซฟาสีครีมตัวหนึ่งพอดี ขณะพูดประโยคนี้ผมจึงหันหลังเข้าหาพนักพิง ดันตัวขึ้นไปนั่งบนขอบพนักซึ่งค่อนข้างสูง แล้วแกว่งเท้าที่ลอยอยู่เหนือพื้นไปมา ตอนที่ปลายเท้าไปเฉียดโคนขาของพ่อน่ะ สาบานเลยว่าผมไม่ได้ตั้งใจ...
พ่อก้มลองมองแล้วหัวเราะเบาๆ แต่เพราะกางเกงที่สวมมาวันนี้ค่อนข้างสั้น พอนั่งก็ยิ่งสั้นเข้าไปอีก เลยไม่แน่ใจว่าสายตาของพ่อกำลังมองเท้าเล็กๆ ที่แกว่งไปมา หรือขาอ่อนของผมกันแน่
“อย่างวันนี้...” พ่อโน้มตัวลงมาจนใบหน้าของพวกเราอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ มองผมด้วยสายตาหยอกล้อ พูดปนขำว่า “เราก็มาทำมื้อเช้ากินกันไงครับ” มือแข็งแกร่งทั้งคู่จับเข้าที่เอวของผม แล้วยกตัวผอมๆ ลงมาจากพนักโซฟาให้มายืนอยู่บนพื้น ก่อนจะจูงมือผมเดินเข้าไปในครัว
ผมรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย...นึกว่าวิดีโอคอลเมื่อคืนจะทำให้พ่ออยากทำกิจกรรมที่มันร้อนแรงกว่านี้กับผมซะอีก
“ลากธารเข้าครัวมาด้วยนี่จะให้ธารช่วยทำอาหารเหรอครับ แน่ใจนะ?”
“ฮ่ะ ฮ่ะ” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่เจ้าของเสียงนั้นจะจับตัวผมยกขึ้น ให้นั่งอยู่บนเคาต์เตอร์ทำอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับไมโครเวฟ ในครัวถึงจะไม่ได้กว้างมาก แต่ก็เหลือพื้นที่มากพอให้พ่อทำอาหารโดยมีผมนั่งมองอยู่ห่างๆ “พ่อไม่ได้จะให้ช่วย แค่ไม่อยากให้เราอยู่ห่างสายตา” พ่อพูดพลางเดินไปหยิบผักออกมาจากตู้เย็น พอหันกลับมาทางที่ผมนั่งอยู่เพื่อเดินไปยังซิงค์ล้างจาน พ่อก็ขยิบตาข้างเดียวให้ทีหนึ่ง
...แบบนี้เรียกว่าหยอดรึเปล่า พ่อไปฝึกสกิลด้านนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ ทำเอาผมได้แต่กัดปากพยายามกั้นยิ้มจนเมื่อยแก้ม
“ธารไม่ใช่เด็กสามขวบที่จะปล่อยให้อยู่คนเดียวไม่ได้สักหน่อย”
“ในสายตาพ่อ ไม่ว่าลูกจะโตแค่ไหน ลูกก็ยังดูเป็นเด็กสามขวบอยู่ดีครับ”
คำพูดพวกนี้คงหมายถึง ต่อให้ผมโตขึ้นแค่ไหน พ่อก็ยังเป็นห่วงผมไม่ต่างจากตอนที่ผมยังเด็ก และบางครั้งพ่ออาจจะอยากให้ผมออดอ้อนเหมือนตอนเด็กๆ บ้างล่ะมั้ง
ผมกระโดดลงจากเคาท์เตอร์ เดินไปสวมกอดพ่อจากทางด้านหลัง ถูไถแก้มนิ่มๆ เข้ากับแผ่นหลังแข็งแกร่ง “งั้นธารก็จะอ้อนพ่อบ่อยๆ เหมือนตอนสามขวบดีไหม”
“มันก็ดีอยู่หรอก แต่มาอ้อนแบบนี้น่ะอยากได้อะไรครับ” พ่อพูดปนหัวเราะ มือก็สาละวันอยู่กับการหยิบผักที่เพิ่งล้างเสร็จออกมาจากกะละมัง
“อยากได้อะไรนะ?” ย้อนถามแล้วมือทั้งสองข้างของผมก็เริ่มลูบขึ้นๆ ลงๆ ตามกล้ามหน้าท้องหกก้อนที่อยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ต ถ้าไม่ได้คิดไปเอง...รู้สึกว่ามันจะยิ่งแข็งเกร็งขึ้นเมื่อฝ่ามือของผมไล้ต่ำลง
ได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากคนด้านหน้า ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะหันกลับมากะทันหัน ตัวผอมบางของผมถูกยกขึ้นอีกครั้ง รู้ตัวอีกทีผมก็กลับมานั่งอยู่บนเคาท์เตอร์ครัว โดยมีร่างสูงใหญ่ของพ่อยืนคร่อมอยู่กลางระหว่างขา ถูกกังไว้ด้วยแขนแข็งแรงทั้งสองข้าง
“อย่าซนนักสิ เราก็รู้ว่าพ่อไม่ค่อยมีความอดทนกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่”
“แล้วทำไมต้องทนด้วยล่ะครับ”
ดวงตาหลังเลนส์แว่นเจือแววขบขัน ใบหน้าหล่อคมคายยื่นเข้ามาใกล้ ใกล้จนผมนึกว่าปากของเราจะได้บดขยี้กันและกัน แต่ใบหน้านั้นกลับเคลื่อนเฉียดผ่านแก้มของผมไปเหมือนจงใจแกล้ง
เสียงทุ้มลึกกระซิบถามเบาๆ ว่า “ยังเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“.....”
ผมนิ่งค้างไปกับคำถามนั้น พ่อคงสังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆ ของผมเลยยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ
ความคิดที่ว่าพ่อเฝ้าทะนุถนอมผมมาอย่างดี แต่คนแรกของผมกลับเป็นพี่ภู ทำให้ผมรู้สึกผิดมาตลอดตั้งแต่คืนนั้น และลึกๆ แล้วผมก็อยากมั่นใจด้วยว่าพ่อไม่ได้รังเกียจผมจริงๆ ความคิดพวกนั้นมันทำให้ผมกลัว...ผมถึงอยากให้พ่อกอดผม อยากให้พ่อครอบครองร่างกายของผม แม้ว่าสภาพร่างกายจะยังไม่พร้อม
“ถ้าพ่อไม่อยากทำ แค่จูบธารก็ได้” น้ำเสียงของผมสั่นเล็กน้อยทั้งที่ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แต่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้เอาซะเลย “แค่จูบก็พ...”
คำพูดทั้งหมดชะงักลงกลางคันเมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนทาบทับลงมา ดูดกลืนลึกซึ้งหนักหน่วงกว่าครั้งไหน ร่างของเรากอดกระหวัดกันแนบแน่น สัมผัสกันและกันอย่างโหยหา ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่พวกเราพัวพันลึกซึ้ง
แต่สุดท้าย...แม้ว่าร่างกายกึ่งเปลือยของเราทั้งคู่จะนอนก่ายกันอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก แต่ผมก็ยังไม่ได้ตกเป็นของพ่อจริงๆ เพราะในตอนนั้นแค่พ่อใส่เข้ามานิดเดียว ผมก็เผลอหลุดเสียงร้องด้วยความเจ็บ
...และเพราะพ่อรักและถนอมผมมาก พวกเราเลยไม่ได้สัมผัสกันลึกซึ้งไปกว่านั้น
แต่มันก็พอแล้วล่ะ...ขอแค่ให้ผมมั่นใจว่าระหว่างเรายังเหมือนเดิม และความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ช่วยเจือจางความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจให้เบาบางลงก็พอ...
Pie2Na
คุยกันนิด...หายหัวไปนานเลยเนอะเรา (อีกแล้ว)
สาบานสิว่าครั้งนี้ไม่หายอีก---จนกว่าเรื่องจะจบ จะอัพถี่ๆแล้วครับ
พอดีช่วงนี้ว่าง(ค่อนข้างมาก) เลยตั้งใจจะมารีบปั่นให้เสร็จ เพราะดองรูปปกไว้นานแล้ว
ถ้ายังไม่ห่างหายกันไป คอมเม้นทักทายพายหน่อยนะครับ
ขอบคุณครับ ^^
พูดคุยถึงเรื่องนี้ แอบนินทาพี่กฤษ ธาร อติณ พี่ภู พ่อตะวัน ใครก็แล้วแต่!
ติดแท็ก #ฮาเร็มของธาร ในเฟสบุ๊คกับทวิสเตอร์นะครับบบ