แตกที่ 18
…เวลาสีน้ำเงิน...
รถของคณิตเลี้ยวเข้าไปในประตูรั้วของบ้านทรงประยุกต์สีสว่างที่ถึงแม้จะไม่โออ่าเหมือนกับบ้านพวกเศรษฐีแต่ก็ใหญ่โตสมฐานะของเจ้าของโรงแรมชื่อดัง ชายหนุ่มกลับมาบ้านด้วยชุดสบายๆไม่ต่างจากน้องสาวที่เดินหน้าสดมาหาคณิตตั้งแต่เช้าที่ร่างสูงขับรถไปรับเธอเหมือนที่สัญญากันไว้
เมื่อคืนเขากับปูนไม่ได้ทำอะไรกัน ไม่เชิงว่าหมดอารมณ์หรอกเพียงแต่คำพูดของหน่อยทำให้คณิตมีเรื่องให้คิดมากขึ้น เช่นเดียวกับปูนที่เหมือนกับว่าพอจะเข้าใจสถานการณ์ได้ดีเลยไม่เซ้าซี้ แต่ก็ยังคงมาอยู่ใกล้ๆจนเขาทั้งคู่หลับไปทั้งที่ยังจับมือกันไว้ แล้วพอตื่นเช้าขึ้นมาคณิตก็ได้กินกับข้าวที่ปูนตื่นมาทำให้ตั้งแต่เช้าตรู่แทนกำลังใจจากคนตัวเล็กที่วันนี้มากับเขาไม่ได้
“อาหารเช้าดีกับสมองนะครับ”
เจ้าตัวพูดไว้แบบนั้นแล้วทำเหมือนกับว่ามันเป็นแค่มื้อเช้าธรรมดาที่ไม่พิเศษอะไร แต่สำหรับคนที่อยู่กับปูนมาสักพักอย่างคณิต ย่อมรู้ดีว่าในอาหารทุกอย่างมันมีความรู้สึกบางอย่างซ่อนอยู่
ปูนกำลังเป็นกังวล...จนทนอยู่เฉยๆไม่ได้
ชายหนุ่มเผลอยกยิ้มจนแม่บ้านที่เดินมาเปิดประตูรั้วให้ชะงัก แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจมันแล้วเดินนำคู่พี่น้องนิดหน่อยให้เดินเข้าไปในห้องอาหารที่มีประมุขของบ้านนั่งดื่มกาแฟรออยู่ตั้งแต่เช้า
หากถามว่าคณิตได้ดวงตาเรียวเล็กนั้นมาจากใครก็คงเป็นนายหญิงของบ้านอย่าง ’นันทยา’ไม่ผิดแน่ ซึ่งเชื้อสายจีนที่เธอได้รับสืบทอดจากบรรพบุรุษมาถูกถ่ายทอดไปให้ลูกทั้งสองเกือบจะทุกอย่าง ทั้งดวงตา ผิวขาวๆ และผิวกายละเอียดจะมีก็แต่ส่วนสูงของเจ้าลูกชายนั่นแหละที่ได้คนเป็นพ่อมาเต็มๆ
“ป๊าสวัสดีครับ ม๊าสวัสดีครับ”
คณิตยกมือไหว้บุพการีทั้งสองโดยที่นันทยาก็หันมารับไหว้ลูกชายแทบจะทันที ผิดกับผู้เป็นพ่ออย่าง ‘บรรพต’ ที่ต้องรอจนอ่านข่าวในมือจบก่อนถึงจะหันมาหาคณิตได้
“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้กลับบ้านเลยนะนิด ถ้าวันนี้พ่อไม่ให้น้องลากแกกลับมา เราจะได้เจอกันบ้างไหม”
แค่ประเด็นแรกก็เหมือนร่างสูงโดนหมัดฮุกเข้าอย่างจัง แต่ก็ไม่ผิดจากที่คณิตคาดนัก นอกจากนักธุรกิจที่เก่งกาจแล้วสำหรับเขาบรรพตยังเป็นพ่อที่เข้มงวดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกชายคนโตอย่างคณิตที่ถูกปลูกฝังให้มีความคิดและความรับผิดชอบเหนือกว่าคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะเขาก็ยังคงเป็นเขา...ไม่ได้ทำอะไรถูกใจพ่อไปซะทุกอย่างหรอก
“งานยุ่งน่ะป๊า ถ้าเป็นเดือนนี้ปีที่แล้วผมก็ไม่ได้กลับบ้าน”
“ปีที่แล้วแกกินนอนอยู่ที่โรงแรมฉันรู้...แต่ปีนี้ไม่”
“...”
“เรื่องนี้เอาไว้คุยกันที่หลัง ไปตามน้องมากินข้าวเช้าด้วยกันก่อนไป”
คณิตพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้องไปหาน้องสาวที่แวะเข้ามาไหว้พ่อแม่แปปเดียวก็หนีขึ้นไปบนห้องทิ้งให้เขาต้องคอยรับหน้าอยู่คนเดียว ร่างสูงเปิดประตูห้องของน้องสาวเข้าไปอย่างถือวิสาสะแล้วมันก็ไม่ผิดจากที่เขาคิดนัก เพราะยัยตัวแสบที่ว่ากำลังซุกกายอยู่ใต้ผ้านวมผืนใหญ่ไม่สนใจแสงตะวันที่สาดเข้ามาในห้องเลยสักนิด
“ยัยหน่อย กินข้าว”
“ไม่เอา หน่อยขอนอนก่อน”
ช่ายหนุ่มขำน้องสาวที่ตอบมาเสียงอู้อี้ แต่ถ้าป๊าสั่งเป็นอันรู้กันว่าขัดไม่ได้
“เร็วๆอย่าให้ป๊ารอ เดี๋ยวก็โดนดุจนได้”
“ไม่โดนหรอก ให้เฮียโดนไปคนเดียวนั่นแหละดีแล้ว”
คราวนี้คณิตไม่ปล่อยให้น้องสาวทำตามใจ เขาดึงผ้านวมสีอ่อนนั่นออกแล้วดึงตัวหน่อยที่นอนบ่นอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นมานั่งทั้งที่ไม่เต็มใจ
“พูดแบบนี้รู้หรอว่าป๊าให้พี่กลับมาทำไม”
“...”
“ยัยหน่อย”
“ไม่รู้หรอก ใครจะไปเดาใจป๊าได้ เดาไปก็ผิดอยู่ดี”
“งั้นแสดงว่าที่พูดบนรถนั่นตั้งใจจะแกล้งปูนสินะ”
หน่อยนิ่งไปก่อนจะหันหน้าที่ง้ำงอเล็ก ๆไปทางอื่น เธอมองตุ๊กตาปลาโลมาตัวละไม่กี่บาทที่พี่ชายซื้อให้ตอนที่ไปพิพิธพันธ์สัตว์น้ำด้วยกันครั้งยังเด็กๆ แล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย...
“ไม่ได้จะแกล้ง แค่อยากรู้อะไรนิดหน่อย แต่ที่หน่อยพูดไปมันก็เป็นความจริงนี่...พี่ก็น่าจะรู้ว่าป๊าเรารับเรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอก”
เธอยักไหล่เหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจ แต่ที่ทำไปก็แค่อยากผ่อนคลายบรรยากาศทะมึนๆที่เธอสร้างมันขึ้นมากับตัวเท่านั้น หน่อยลอบสังเกตสีหน้าของพี่ชายที่เผลอถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัวแล้วตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง
คณิตยังคงไม่มั่นใจ...
เพราะถ้าไม่ใช่ คณิตจะไม่ประหม่า...ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นป๊าก็ตาม
“ว่าแต่ถามหน่อยแบบนี้สรุปพี่กับเด็กนั่นเป็นแฟนกันจริงๆแล้วหรอ”
“ยัง...มันยังมีอะไรหลายอย่างต้องให้คิดน่ะ”
“แต่ก็ยังพาไปอยู่ที่บ้านนู้น”
“ไม่ได้พาไปอยู่ถาวร เขาก็ยังมีที่ของเขา”
แม้ว่าแทบจะไม่ได้กลับไปเลยก็ตาม...คณิตพูดส่วนที่เหลือแค่ในใจ หน่อยพยายามจับสังเกตในทุกคำพูดและท่าทางของพี่ชายแต่ก็ป่วยการ ถ้าคณิตยังไม่อยากพูดเธอก็จะไม่มีวันรู้ นิสัยแบบนี้เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ร่างสูงได้รับมันมาจากป๊าผิดกับเธอที่มีอะไรก็พูดออกไปตรงๆเหมือนแม่
“เอาเถอะจะคบกันยังไงหน่อยคงเข้าไปยุ่งไม่ได้ แต่พี่อย่าลืมนะว่า...”
“...”
“รอบตัวพี่ไม่ได้มีแต่คนที่รับได้ จะจูบจะหอมกันยังไงก็หลบๆหน่อยนะคะ”
.
.
.
.
.
.
.
คณิตคีบผัดถั่วงอกฝีมือม๊าเข้าปากทั้งที่ท้องยังอิ่ม ส่วนยัยน้องสาวตัวดีที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็นั่งกินข้าวอยู่ข้างป๊า คอยตักนู้นตักนี่เอาใจให้เป็นบรรยากาศที่คุ้นเคยดีสำหรับคณิตแม้ว่าพอโตขึ้นช่วงเวลาแบบนี้จะหาได้ยาก
“แล้วตกลงที่ป๊าเรียกผมกลับมานี่มีอะไรหรอครับ”
คณิตเอ่ยปากถามเพราะเป็นเรื่องปกติของบ้านนี้ที่จะพูดเรื่องงานบนโต๊ะอาหาร ชายที่ผ่านโลกมามากยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วตอบลูกชายไป
“แกจำท่านพิเชษฐ์ได้ไหม ที่เป็นพลเรืออยู่ที่สัตหีบน่ะ”
“ครับ จำได้”
“วันก่อนท่านเรียกป๊าเข้าไปคุย บอกว่ามีที่ดินติดชายทะเลอยู่ประมานหนึ่งไม่ได้ใช่ประโยชน์อะไรเลยอยากให้เราเอามันไปใช้”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“ท่านอยากให้เราไปเปิดสาขาที่นั่นแล้วท่านจะร่วมลงทุนด้วย”
คำพูดของพ่อทำเอาคณิตต้องขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะลางสังหรณ์บางอย่าง...ที่ดิน...สัตหีบ...อย่าบอกนะว่าเป็นที่เดียวกับไอ้เมษมัน
“แล้วป๊าคิดว่ามันคุ้มค่าไหม ทะเลแถวนั้นสมบูรณ์ก็จริงแต่โรงแรมส่วนใหญ่จะเป็นแค่โรงแรมเล็กๆหรือแค่บังกะโล จะมีโรงแรมใหญ่ก็เป็นของทหาร”
“ก็เพราะว่าแทบจะไม่มีไงเราเลยต้องรีบทำ แกก็เป็นเพื่อนกับเมษา...ป๊าว่าแกก็น่าจะพอรู้มาบ้างว่าไม่ได้มีแค่เราที่หมายตาที่นั่นไว้”
คณิตอยากเถียงพ่อตัวเองใจจะขาดว่าไม่ใช่เราแต่เป็นแค่ป๊าต่างหากที่อยากทำมัน ชายหนุ่มถอนหายใจแรงๆแล้วหันไปยิ้มให้มารดาที่ยื่นมือมาลูบไหล่ของเขาอย่างให้กำลังใจ
“ผมรู้ครับ...แล้วเมื่อวานเมษมันก็เข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ทางนั้นแล้ว”
“งั้นเราก็ยิ่งต้องรีบ ไม่มีเวลาให้บ่ายเบี่ยงแล้วนิด ของอย่างนี้ใครเริ่มก่อนย่อมได้เปรียบ”
“แต่ผมว่าถ้าเรารีบเกินไป มันอาจจะพลาดก็ได้นะครับ”
ชายที่ทำหน้ามาดมั่นชะงักไปจากคำพูดของลูกชายที่มักจะมีความคิดไม่ตรงกับตนเสมอซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ครั้งนี้...มันไม่ใช่
“แกกลัวว่าจะพลาด หรือแค่ไม่อยากชนงานกับเมษากันแน่”
“...!!”
“อย่าคิดว่าป๊าไม่รู้ว่าแกเลี่ยงจะชนกับเขามาตลอด เลิกทำตัวเป็นเด็กได้แล้วคณิต...อย่าลืมคำสัญญาที่แกเคยให้กับป๊าไว้สิ”
คนเป็นพ่อพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะลุกออกจากโต๊ะอาหารไปโดยที่ไม่ปล่อยให้ลูกชายพูดเถียงอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว บรรยากาศที่เคยผ่อนคลายกับหนักอึ้งจนหน่อยที่เคยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต้องเปลี่ยนมานั่งเคียงข้างพี่ชายที่มีสีหน้าเครียดขึงไปทันตา ส่วนนันทยาที่นั่งอยู่กับลูกชายมาแต่แรกก็พยายามยิ้มเป็นกำลังใจให้แม้ว่ามันจะดูฝืนๆไปบ้าง
“เอาน่าตี๋ ป๊าเขาไม่ได้ตั้งใจจะว่าตี๋อย่างนั้นหรอก”
คนเป็นแม่เลือกใช้สรรพนามที่มีแค่เธอและแม่ของเธอเท่านั้นที่ใช้มันเรียกคณิต ตามเชื่อสายดั่งเดิมที่บ้านของเธอเคยใช้ นันทยารู้จักนิสัยของลูกเธอดีเช่นเดียวกับสามีที่แต่งเข้ามาในบ้านนี้แล้วอยู่กินกันมานาน
“เขากลัวว่าตี๋จะไม่ทำเลยพูดออกมาแบบนั้นเอง...ป๊าเขาก็แค่เป็นห่วง อยากให้ทุกคนในบ้านนี้อยู่สบาย ตี๋เข้าใจป๊าหน่อยนะ”
“ครับ ผมเข้าใจป๊า”
“งั้นก็...”
“แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือทุกวันนี้บ้านเราลำบากตรงไหนกัน”
คณิตหันมายกมือไหว้มารดา ก่อนจะขอตัวลุกออกไปทั้งๆที่นันทยายังพูดไม่จบดี ผู้หญิงทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วส่ายหัวให้ความดื้อรั้นที่ถอดแบบกันออกมาอย่างไม่มีที่ติของบรรพตและคณิต ที่ถึงแม้จะล่วงเลยมาจนอายุปูนนี้ก็ยังไม่เคยลดราวาศอกให้กัน
“ม๊าว่าเฮียจะยอมทำตามที่ป๊าบอกไหม”
หน่อยหันมาถามแม่ ที่มีสีหน้าลำบากใจไม่ต่างจากเธอ
“ก็คงทำ แต่จะทำด้วยความรู้สึกแบบไหนม๊าก็ไม่รู้ ตาคนนั้นก็ปากไวจริงเชียว รู้อยู่ว่าลูกไม่ชอบให้ยกเรื่องนั้นมาขู่ก็ยังทำอยู่ได้”
เรื่องนั้นที่ว่าก็คือคำสัญญาที่พ่อและลูกร่วมทำกันมาสมัยที่คณิตกำลังจะขึ้นเรียนชั้นมหาวิทยาลัย สำหรับครอบครัวนักธุรกิจการส่งลูกชายคนโตที่สักวันต้องมารับช่วงต่อให้ไปเรียนในคณะบริหารคงเป็นสิ่งที่ควรจะต้องทำ แต่สำหรับคณิตที่มีสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบอยู่แล้วได้หนีไปสอบเข้าในคณะอื่นโดยที่พ่อแม่อย่างเธอไม่เคยรู้จนกระทั่งวันที่ลูกชายจะเปิดเทอมนั่นแหละ
“หน่อยยังจำวันที่ป๊ากับเฮียทะเลาะกันบ้านแทบแตกได้เลย...หน่อยไม่เคยเห็นป๊าโกรธขนาดนั้นมาก่อน”
“ม๊าก็ไม่เคยเห็นตี๋ดื้อขนาดนั้นเหมือนกัน ตั้งแต่เด็กๆถึงจะไม่ชอบก็ยังพอทนทำๆไป ไม่รู้ทำไมตอนนั้นถึงจะดื้อเรียนอักษรให้ได้”
“ถึงสุดท้ายอาม่าจะมาช่วยพูดและความรู้ที่ตี๋เรียนมามันก็เอามาช่วยงานของโรงแรมได้จริง แต่สัญญาที่ว่าตี๋จะต้องรับช่วงบริหารโรงแรมต่อจากป๋ามันก็เป็นหนามที่ยอกใจตี๋อยู่ลึกๆล่ะนะ...”
นันทยาได้แต่ส่ายหัวกับความไม่ลงรอยที่ไม่ได้รุนแรงขนาดว่าเป็นความบาดหมางระหว่างสองพ่อลูกที่ต่างก็ยึดมั่นในความคิดของตัวเอง สำหรับคนที่อยู่ตรงกลางอย่างเธอคงทำได้แต่เป็นห่วงแล้วหวังว่าทุกคนจะผ่านมันไปให้ได้ เธอเข้าใจลูกที่อยากใช้ชีวิตของตัวเองในแบบที่ตัวเองต้องการยังไง...เธอก็เข้าใจความเป็นห่วงของคนเป็นพ่อ ที่ถึงแม้จะเข้มงวดและดุไปบ้างแต่สุดท้ายที่ทำไปก็แค่เพราะว่ารักและเป็นห่วงเท่านั้นเอง
.
.
.
.
.
.
.
ปูนเดินดูของผ่านตู้กระจกของร้านโดยไม่คิดจะเข้าไปดูมันใกล้ๆ ในห้างสรรพสินค้าที่มีแต่ของมีราคาที่เขาเอื้อมไม่ถึงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าทางเดินที่มีแต่ของสวยๆงามๆและแอร์เย็นฉ่ำให้ปูนใช้คลายความเบื่อโดย
หลังจากคณิตออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า เขาก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการเก็บกวาดบ้านและดูแลต้นไม้ในสวนเล็กๆเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่เพราะว่าขยันอะไรหรอก แต่เพราะอยากให้ความกังวลที่ยังไม่คลายไปให้มันทุเลาลงอย่างน้อยตอนที่ทำงานเขาก็ไม่ต้องคิดถึงเรื่องพวกนั้นอีก
ความลำบากใจในเรื่องครอบครัวของคณิตไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะเกิดขึ้นในใจของคนที่ผ่านมาเพียงชั่วคราวอย่างเขา...เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน ดังนั้นการตัดความสัมพันธ์ก็ควรจะทำมันได้ง่ายๆเหมือนกับตอนที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมา และยิ่งหากเป็นเพราะครอบครัวไม่ยอมรับ ปูนก็จะไม่เหลือที่ว่างเพียงพอที่เขาจะสามารถใช้มันยืนเคียงข้างกับคณิตได้อีก...
ปูนคิดไปเรื่อยๆจนสายตาเขาเหลือบไปเห็นตู้โชว์ของนาฬิกายี่ห้อดัง เขาเดินเข้าไปใกล้มันแล้วพิจารณาสิ่งที่ถูกวางเรียงรายอยู่ในนั้น เขาสะดุดตาเข้ากับนาฬิกาเรือนหนึ่ง ตัวเรือนของมันเป็นสีเงินสวยงามไม่ต่างจากเรือนอื่น หากแต่หน้าปัดสีกรมท่าที่เหมือนกับสีของชุดสูทที่คณิตสวมใส่มันเมื่อคืนทำให้ปูนละสายตาไปจากมันไม่ได้ แล้วยิ่งมาคิดๆดูเสื้อผ้าและของใช้ของคณิตก็มักจะเป็นสีนี้ทั้งนั้น...เขาคงใส่มัน...ไม่สิ ป๋าต้องชอบมันแน่ๆ
“พี่ครับๆ เรือนนี้ลดราคาแล้วเหลือเท่าไหร่ครับ”
ปูนเรียกพนักงานที่ยืนอยู่ไม่ไกลเพื่อถามราคาของมันโดยทำเป็นไม่เห็นสายตาเคลือบแคลงที่หญิงสาวส่งมาให้แม้จะเพียงนิดเดียวก็เถอะ
“ลดแล้วเหลือสองหมื่นหนึ่งร้อยห้าสิบบาทค่ะ”
เด็กหนุ่มทำตาโต ในขณะที่พนักงานสาวยกยิ้มขึ้นราวกับจะบอกว่า ‘ฉันกะแล้วว่าแกไม่มีปัญญาซื้อ’ แต่ปูนก็ไม่ว่าเธอหรอก เพราะเขาก็ไม่มีเงินพอที่จะซื้อมันจริงๆ เงินเก็บน่ะมีอยู่ แต่วันนี้เขาไม่ได้เอาบัตรเอทีเอ็มมาด้วยเพราะแค่จะมาเดินเล่นเฉยๆไม่คิดว่าจะได้มาเจอของถูกใจแบบนี้นี่นา...
“คุณลูกค้าสนใจจะรับเลยไหมคะ”
“เออ คือ ผมคงไม่...”
“อ้าว เธอนี่นา”
ในขณะที่ปูนจะหันไปปฏิเสธ เสียงทุ้มๆของใครบางคนก็เรียกเขาจากทางด้านหลัง ปูนหันไปมองแล้วก็ต้องรีบยกมือไหว้เมษาที่เดินส่งยิ้มมาให้แทบไม่ทัน เช่นเดียวกับพนักงานสาวที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ที่รีบทำความเคารพชายหนุ่มที่เธอเองก็รู้จักชื่อเสียงของเมษาดี
“มาซื้อของน่ะครับ แล้วคุณมาทำอะไร”
ปูนไม่ได้อยากรู้ แต่ดูเหมือนเมษาจะไม่ได้ทำแค่ทักเขา ชายหนุ่มเจ้าของร่างกายสูงโปร่งเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วชำเลืองมองนาฬิกาที่ปูนสนใจไปด้วย
“พาลูกค้ามาเทคแคร์น่ะ แต่เพิ่งส่งกลับโรงแรมไปเลยมาเดินเล่น”
“อ่า ครับ...งั้นผมขอตัวก่อนดีกว่า”
“จะไปไหนล่ะ เธอดูนาฬิกาเรือนนี้อยู่ไม่ใช่รึไง”
เมษาชี้ไปทางนาฬิกาเรือนงามที่ราคาไกลเกินกว่าปูนจะเอื้อมถึง ปูนทำหน้าอ่อมแอ้ม มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะพูดออกไปง่ายๆว่าไม่มีเงินซื้อยิ่งกับคนที่พอจะรู้จักกันแบบนี้ด้วย...อายชะมัด
“ผมมาดูเฉยๆน่ะครับ ไม่ได้จะซื้อหรอก”
ร่างเล็กเลือกจะโกหกไปเพราะไม่อยากเสียหน้า
“หรอ ว่าแต่แปลกนะที่เธอเลือกดูนาฬิกาเรือนนี้ มันเป็นแบบผู้ชายฉันว่ามันไม่ค่อยเข้ากับเธอเท่าไหร่หรอก”
“แล้วผมไม่ใช่ผู้ชายรึไง”
ปูนทำหน้ามุ่ย อีกแล้วกับคำพูดแบบนี้ที่เขามักจะเจอบ่อยๆ ถึงจะตัวเตี้ยและผอมไปหน่อยเขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงนะ ไม่ได้ใกล้เคียงเลยด้วย
“โทษทีๆ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ดูนี่สิ...ข้อมือเธอเล็กนิดเดียวพอมีเทียบกับนาฬิกาฉันว่ามันออกจะใหญ่ไปสักหน่อย”
เมษาถือวิสาสะคว้าข้อมือของปูนมาพิจารณาใกล้ๆ มือของผู้ชายคนนี้เย็นมาก...แถมมันยังใหญ่กว่าจนสามารถกำข้อมือของเขาไว้ได้จนมิด เมษาหันไปหยิบนาฬิกาที่ว่ามาลองสวมมันลงไปในข้อมือของปูนที่เล็กกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง
“เห็นไหม ต่อให้ตัดสายออกมันก็ยังไม่เข้ากัน”
“ปล่อยเถอะครับ คนอื่นมองหมดแล้ว”
ปูนพูดเตือนไม่ใช่เพราะความเขินอาย สายตาหลายคู่กำลังจดจ้องมาที่พวกเขา ว่าคณิตเป็นที่รู้จักของคนแถวนี้แล้วเมษากลับยิ่งเป็นมากกว่านั้น เด็กหนุ่มพยายามขืนมือของตัวเองออกมาแต่เมษากลับไม่ยอม
“มองแล้วยังไงล่ะ ฉันก็แค่ลองนาฬิกาให้เธอไม่ได้ทำอะไรไม่ดีสักหน่อย”
“แต่...”
“เอาน่า..”
ชายหนุ่มยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้ๆ แล้วใช้น้ำเสียงที่มากไปด้วยเสน่าห์นั้นกระซิบไปข้างๆหูของปูนที่ขึ้นสีแดงอย่างช่วยไม่ได้
“ทีจูบกับคณิตที่สระน้ำเธอยังไม่นึกอาย...นับประสาอะไรกับแค่นี้”
ปูนผลักอกของเมษาออกแล้วมองอีกฝ่ายตาขุ่น ผู้ชายคนนี้เห็นเขาไม่แปลกใจแต่ทำไมต้องหยิบมาพูดต่างหากที่น่าคิด
“ฮ่าๆ ฉันไม่ได้ว่าอะไรหรอกน่า คณิตมันก็เพื่อนฉัน ฉันไม่เอาไปบอกใครหรอก ถ้าอย่างนั้นฉันขอเดานะ...นาฬิกานี้เธอตั้งใจจะซื้อไปให้มันใช่ไหม”
ร่างเล็กทำนิ่งไม่ตอบ แต่เมษาก็มีดวงตาที่เฉียบแหลมกว่าที่เขาคิด
“เพราะสีของหน้าปัดมัน เป็นสีที่คณิตมันชอบ”
ปูนหมดทางแก้ตัวเลยยอมพยักหน้าไปอย่างเสียไม่ได้ เมษายิ้มอ่อนแล้วใช้มือเย็นๆนั้นขยี้ลงบนกลุ่มผมของปูนอย่างเอ็นดูจนคนยิ่งมองกันใหญ่
“เงินไม่พอล่ะสิ ใช่ไหม ถ้าฉันไม่เข้ามาทักเธอคงเดินออกไปแล้ว”
“ครับ ผมไม่มีเงินพอใจรึยัง”
ปูนอดที่จะเหน็บกลับไปบ้างไม่ได้ตามนิสัย ให้ตายสิ เขาไม่ชอบนิสัยรู้ทันของคนคนนี้เลยจริงๆ
“เธอจะมีหรือไม่มีเงินก็ไม่ได้ทำให้ฉันมีความสุขขึ้นหรอก แต่ถ้าเป็นความรู้สึกของเพื่อนฉันก็ไม่แน่”
“...?”
“ใกล้วันเกิดของคณิตแล้ว รู้รึยัง”
หัวใจของปูนสะดุดไปพักหนึ่ง วันเกิดของป๋างั้นหรอ...
“ไม่ครับ ผมไม่รู้”
“งั้นก็พรหมลิขิตแล้ว ที่เธอเกิดอยากจะซื้อของให้มันทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องเลย”
ปูนไม่รู้ว่าเขาควรจะตีความของเมษาไปในทิศทางไหน ชื่นชมหรือหลอกด่าว่าไม่มีความสำคัญ เขาเดาไม่ออกจริงๆ
“ครับ งั้นผมจะไปหาซื้ออย่างอื่นให้เขาแทนแล้วกัน”
“ทำไมล่ะ เธอก็เลือกนาฬิกาเรือนนี้แล้วนี่ ทำไมไม่ซื้อ”
“ลืมไปรึเปล่าว่าผมไม่มีตัง”
“แล้วเธอลืมไปรึเปล่าว่าฉันเป็นใคร”
เมษายักคิ้วให้ปูนอย่างกวนประสาท ก่อนจะหยิบเอาบัตรเครดิตสีดำออกมาให้ปูนดู
“เฮ้ย คุณจะซื้อให้ผมหรอ ไม่เอานะ แบบนั้นจะเรียกว่าของขวัญได้รึไง”
“หึ จะให้เงินเธอเปล่าๆฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก ฉันหมายถึงเธอลืมไปแล้วรึไงว่าฉันเป็นเจ้านายของเธอ...เป็นคนที่จ่ายเงินเดือนให้”
“...!!”
“เงินของเดือนนี้ฉันจะจ่ายล่วงหน้าให้เธอก่อน แล้วเธอจะได้ใช้มันซื้อของขวัญวันเกิดให้คณิต เห็นไหมง่ายนิดเดียว”
ปูนรู้สึกเหมือนตัวเองเห็นแสงเรืองรองส่องออกมาจากทางด้านหลังของเมษา ให้ตายสิ พระเจ้าประทานตัวช่วยมาให้เขาแท้ๆ
“จริงด้วย ทำแบบนั้นก็ได้นี่นา”
“งั้นตกลงตามนั้น เธอจะเอาเรือนนี้ใช่ไหม”
“ครับ เอาเรือนนี้แหละ”
ร่างเล็กยิ้มให้ชายตรงหน้าก่อนจะเดินเข้าไปหาพนักงานสาวที่ยืนฟังบทสนทนาทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชายหนุ่มมองแผ่นหลังและใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับไว้ของปูนด้วยความรู้สึกบางอย่าง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ขอบคุณคุณเมษามากนะครับ สัญญาว่าคราวหน้าผมจะไม่รบกวนคุณแบบนี้อีก”
ปูนบอกกับเมษาหลังจากเขาได้นาฬิกาเรือนนั้นมาครอบครองไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายยิ้มให้ก่อนจะย้ำเตือนอะไรบางอย่าง
“ไม่เป็นไร แต่อย่าลืมสัญญาของเธอก็แล้วกัน”
“สัญญา?”
“ที่ว่าจะชงเครื่องดื่มอร่อยๆให้ฉันไง”
“อ่อ แน่นอนครับ อยากดื่มเมื่อไหร่ก็เรียกผมไปได้เลย”
ร่างเล็กว่าแล้วยิ้มให้เมษาอีกครั้ง พวกเขายืนคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่ปูนจะขอตัวกลับไปบ้านไปเพราะอยากเตรียมอาหารให้คณิตที่เพิ่งส่งข้อความมาหาว่าเย็นวันนี้จะเข้ามากินข้าวด้วยกัน
เมษาโบกมือลาปูนที่เพิ่งเดินออกจากห้างไปพร้อมกับถุงของนาฬิกาเรือนสวยที่มีไว้เพื่อใครบางคนที่พิเศษทั้งสำหรับปูน
และสำหรับเมษาด้วยเช่นกัน...
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
งานสั้นงานด่วนต้องมา ปั่นก่อนไปเรียนคับ :katai4:ทอล์คนี้ไม่มีไรมาก แค่อยากบอกว่าปิดรอบเล่มพี่กาลแล้ว ใครที่สั่งติดตามข่าวสารได้ที่เพจเลยนะคับ ป๋าปูนก็หาคนวาดรูปประกอบปกแล้ว แต่ยังไม่ได้รวมเร็วๆนี้หรอกคับ แต่สักพักเช่อาจจะทำฟอร์มมาสำรวจความต้องการซื้ออีก แต่ขออีกสักพักแล้วกันนะ
ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลยนะคับ อาทิตย์หน้าอาจจะไม่อัพเลยเพราะต้องทำงานจริงจังแล้ว อาทิตย์ต่อไปเช่ต้องลงฟิลสำรวจทำวิจัย ขอโทษล่วงหน้านะคับ