ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก  (อ่าน 34271 ครั้ง)

ออฟไลน์ -~iK@iZ_KunG~-

  • Tomorrow Never Die!!!
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-2
รออ่านตอนต่อไปนะครับ

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
ยังรออยู่นะคะ :man1:

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
















“...อีกอย่างถ้าน้ำเป็นภาระ เต้ก็ยอมยกให้น้ำเป็นภาระไปทั้งชีวิตเต้เลยก็ได้”















บทที่ยี่สิบเอ็ด
   
ผมมีความสุขที่ได้มีเธออยู่ใกล้ๆแบบนี้ นานมากแล้วที่ผมจมอยู่กับงานจนลืมภรรยาที่น่ารักคนนี้ไป ทุกครั้งที่กลับบ้านมาตีหนึ่งตีสอง ผมมักเห็นเธอนอนอยู่ที่โซฟาเพื่อรอทั้งที่ผมย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ต้องรอ

บางครั้งก็เป็นอาหารที่เย็นชืดในครอบมุ้งบนโต๊ะอาหารที่มีโน๊ตเล็กเขียนทิ้งไว้ว่า “อาหารคนเย็นหมดแล้ว อุ่นก่อนทานนะ” เสื้อผ้าที่เธอส่งซักและรีดเองเรียบร้อย แขวนเป็นระเบียบในตู้อย่างจัดหมวดหมู่สะดวกต่อการหยิบใช้ ให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าผมไม่เธออยู่แล้วจะเป็นอย่างไร

ผมจัดศรีษะของน้ำให้เอนตัวลงนอนในท่าที่สบายที่สุด แต่ไม่วายที่เธอจะไหลลงมาซบไหล่ผมด้วยความคุ้นชินจนผมต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้น แม้จะเมื่อยเหน็บกิน แต่เมื่อเทียบกับหลายๆสิ่งที่เธอทำให้ผม แค่นี้ผมทนได้

เรากำลังเดินทางกลับ มีของฝากบรรทุกมาเต็ม ทั้งของกินและของที่ระลึกพ่อตาแม่ยายของผมมองเราทั้งคู่ด้วยสายตาที่เอ็นดูและรักใคร่ ผมลูบปอยผมที่ตกมาปรกหน้าของน้ำเบาๆ กลิ่นกายของเธอยังหอมกรุ่นและนิ่มนวลเมื่อได้สัมผัส

“น้ำอยากแปลงเพศ... เต้จะยอมหรือเปล่า...”
เมื่อคืน น้ำเอ่ยถึงเรื่องนี้กับผม ผมไม่ให้คำตอบอะไร แม้ว่าผมจะรักไม่เธอจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ความต้องการที่จะเติมเต็มให้ตัวเองเป็นดังที่ปรารถนานั้นแรงกล้ากว่า เธอคงจะผิดหวังที่ผมไม่ไฟเขียวให้

“โรคที่คุณน้ำเป็นอยู่นั้น หมอเกรงว่าถ้าได้รับการผ่าตัดใหญ่ ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการแทรกซ้อนจากภาวะเลือดไม่แข็งตัวและเม็ดเลือดขาวเป็นพิษได้...”

ผมรู้ทั้งรู้ ว่าเธอทรมานกับอาการของโรคมานานแสนนาน แต่มันกลับไม่มีทางที่จะเยียวยาให้หายขาดได้นอกจากประคองให้อาการทรงตัวอยู่เท่านั้น
แค่ซื้อลมหายใจต่อลมหายใจ...

ผมกอดเธอแน่นกว่าเดิม กลืนน้ำตาและยิ้มให้กับร่างผอมบางที่หลับด้วยความอ่อนเพลีย เธอรู้หรือไม่รู้กันแน่ กับสัญญาณบางอย่าง ที่ทำให้ผมไม่สบายใจและอยากอยู่กับเธอให้มากกว่านี้

กลัวว่าวันใดวันหนึ่งพญามัจจุราชจะพรากเธอไปจากผมจริงๆ

***






หลังกลับมาจากไปเที่ยวทะเล ฉันเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเองทีละเล็กทีละน้อย อาการอาเจียนและแพ้กลิ่นหอมต่างๆแม้เพียงเล็กน้อยก่ออุปสรรคในการทำงานมากขึ้นทุกวัน แม้แต่ขับรถ มือไม้ก็อ่อนปวกเปียกไม่มีแรง ขาดเป็นพักๆ ฉันทำใจดีสู้เสือ ข่มอาการของตัวเองไว้ ฉาบร้อยยิ้มไม่ให้คนอื่นเป็นกังวล

“โอก... ฮ... ฮ...”
ฉันเกาะขอบชักโครกไว้ ดึงทิชชู่มาซับคราบต่างๆและทิ้งลงในถงขยะเล็กๆข้างๆกัน หายใจหอบล้า ทุกครั้งที่อาเจียนมันแทบขาดใจเสียตรงนั้น

“อะ... อูว... ฮ... โอก...”
คลื่นอีกระลอกซัดมา ฉันโก่งตัวงอ ปล่อยให้เมือกเหลวข้นกับลิ่มเลือดจางๆเค้นออกมาจากลำคอ นั่งกองกับพื้นกระเบื้องไม่อายหรือยี่หระว่าจะสกปรกแค่ไหน แค่แรงจะลุกยืนยังไม่มี มือของฉันพยายามป่ายไปกดน้ำให้ล้างของเสียทิ้งไปซะ

ฉันนั่งพอให้ตัวเองมีแรงซักพัก พอรู้ว่าอาการทุเลาลง ค่อยๆประคองตัวเองไปที่อ่างล้างหน้า
กระจกสะท้อนใบหน้าที่ซีดเซียวและแก้มตอบลง ฉันพยายามทำเป็นไม่สนใจ รีบล้างมืออย่างลวกๆ และบ้วนปาก ก่อนโซซัดโซเซออกจากห้องน้ำกลับโต๊ะทำงานอย่างช้าๆ

   งานที่สุมพะเนินบนโต๊ะยิ่งสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้า หากรู้ดีว่าไม่มีทางหนีพ้น รีบทานยาแก้อาเจียนและพาราเซตามอนก่อนดื่มน้ำตามไปนิดหนึ่ง นั่งทำงานต่อ


“เดินทางกลับดีๆนะคะคุณน้ำ”

“จ๊ะ... แหม...มีแฟนมารับด้วยนะ” ฉันแซวลูกน้องตัวเองกลับ พร้อมโบกมือให้
เดินลงบันไดมาที่ป้ายรถเมลล์ หมายใจว่าจะเรียกแท็กซี่สักคันกลับบ้าน

แป๊น... แป๊น...



เสียงรถเก๋งสีดำคันหนึ่งจอดเทียบข้างฉันและบีบแตรให้เป็นสัญญาณ ฉันหันไปมองรอบๆด้วยเข้าใจว่าเจ้าของรถคงต้องการเรียกใครสักคน หากแต่รอบๆมีเพียงรปภที่นั่งฟังเพลงหมอลำอยู่ป้อม สาวโรงงานที่เดินจูงลูกชายผ่านตัวฉันไปไม่กี่ก้าว และฉัน
แต่ฉันไม่รู้จักใครที่มีรถเก๋งสีดำเลยนี่นา

และข้อข้องใจนั้นก็คลี่คลายไปเมื่อกระจกรถด้านข้างเลื่อนลง

“คุณน้ำ... บังเอิญจัง ไปทางเดียวกันหรือเปล่าคะ”

“เอ่อ... น้ำออกไปนอกเมืองเลยค่ะ ไม่รบกวนดีกว่า นี่กะว่าจะเรียกแท็กซี่พอดี” ฉันบอกปัดเธอไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ ชมพู่เลยถอดแว่นตาออกเพื่อคุยกับฉันให้ถนัดขึ้น พยายามคะยั้นคะยอให้มาด้วยกันให้ได้

“เถอะน่า...ว่าแต่น้ำบ้านอยู่ทางไหนล่ะ”

“พุทธมณฑลค่ะ”

“งั้นก็ขึ้นมาเลย พู่กำลังจะไปทางนั้นพอดี... จะไปทำธุระที่ศาลายาซะหน่อย ขึ้นมาเลย...”เธอเอี้ยวตัวมาปลอดล็อคและเปิดประตูให้ ฉันยืนเก้ๆกังๆว่าจะเอาอย่างไรดี สุดท้ายก็ยอมนั่งรถไปกับเธอด้วยเพราะเกรงว่ารถคันหลังจะได้ด่าพ่อล่อแม่เอา พู่สวมแว่นตาสีดำตามเดิมและยิ้มให้ก่อนออกรถไป
ฉันไล่มองข้าวของและการตกแต่งต่างๆภายในพาลให้นึกถึงรสนิยมของหวานขึ้นมา


“มีอะไรเหรอ... จ้องหน้าพู่อยู่ได้...”



“เปล่าหรอกค่ะ แต่รู้สึกว่าพู่เหมือนเพื่อนน้ำคนนึงมากจริงๆ”


“ใครเหรอคะ พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมคะ” ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะเล่าหรือไม่เล่าเรื่องของหวานดี
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ น้ำคงไม่สะดวกใจจะเล่าจริงๆ"

ไม่รู้ว่าตาฝาดไปหรือเปล่าที่เห็นแววตาของเธอครู่หนึ่ง ที่ทั้งเย็นชาและแข็งกร้าว

***

“อ้าว...”


ฉันต้องประหลาดใจที่เห็นเต้ยืนหันหลังทำครัวอยู่อย่างเก้ๆกังๆ

“กลับมายังไง แล้วทำไมไม่เอารถออกไปใช้ล่ะ” ใบหน้าของเต้เลอะเทะไปหมด รวมถึงผ้ากันเปื้อนที่อุตส่าห์ผูกไว้ ฉันขันเขาเล็กๆที่เหมือนเด็กเล่นซนแล้วพยายามกลบเกลื่อนความผิดของตนเองโดยเฉไฉไปเรื่องอื่น ดึงทิชชู่ใกล้มือมาสองสามแผ่น ค่อยๆซับรอยเปื้อนที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา

“ขี้เกียจ... ที่จริงไปรถสาธารณะก็สะดวกดี ประหยัดเงินได้เยอะ ยิ่งค่าน้ำมันแพงๆของช่วงนี้ยิ่งแล้วใหญ่” ฉันขยำทิชชู่ทิ้งลงถัง

“ว่าแต่... ทำไมวันนี้คุณหมอกลับเร็วนักละคะ” ฉันวางของสดลงบนที่วางของ แอบเห็นว่าเต้กำลังทำกับข้าวอยู่โดยกางตำราด้วย เต้รีบขยับตัวมาบัง ทำหน้าแหยๆให้

ก็ได้... จะทำเป็นว่ามองไม่เห็นละกัน

“วันนี้มีแค่ตรวจคนไข้ เลิกเร็วหน่อย ได้กลับมารอน้ำเร็วกว่าเดิมไง” เต้ถอดถุงมือยางออก นี่ถ้าไม่รู้คงคิดว่าคุณหมอคงมายืนผ่าตัดอะไรอยู่ในครัวแน่ๆ
“อุ๊ย...” ฉันรีบกุมแขนของเต้ที่รวบตัวของฉันไปกอดเอาไว้ บ่ายหน้าหลบสายตาหวานเชื่อมของเต้อย่างเกรงๆ

ปลายจมูกของเต้กดแนบลงบนแก้ม รู้สึกว่าใบหน้าร้อนขึ้น ฉันมองค้อนเขา แต่ก็ไม่ได้ดิ้นรนจากพันธนาการนั้น

“เต้ว่าจะเปิดคลีนิค จะออกจากโรงพยาบาล จะได้มีเวลาให้น้ำมากกว่านี้”

“แล้ว... ไม่เสียดายงานที่เคยทำๆมาเลยรึไง...” ฉันบ่นอย่างเสียดายตำแหน่งที่สู้อุตส่าห์ไต่เต้าขึ้นมา เต้ยังคลอเคลียอยู่แถวลำคอของฉัน เหมือนจงใจแกล้ง

“ไม่หรอก... เต้อยากให้น้ำออกมาช่วยดูแลกิจการด้วยกัน... อีกอย่างน้ำจะได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ไม่ใช่ทำงานหัวหมุนตัวเป็นเกลียวอย่างนี้”

“น้ำยังไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆนี่... ได้ทำงานมันก็รู้สึกดีกว่าการอยู่เฉยๆไม่ร็จะเริ่มต้นหยิบจับอะไร อีกอย่างน้ำเองก็ไม่อยากเป็นภาระให้เต้” ฉันพูดชัดถ้อยชัดคำช้าๆ ย้ำให้เต้เขาใจถึงเจตนาจริงๆของฉัน ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเกาะสามีกิน หวังพึ่งแต่แฟนตัวเองอย่างเดียว

“จะงกเงินไปทำไมนักหนา... อีกอย่างถ้าน้ำเป็นภาระ เต้ก็ยอมยกให้น้ำเป็นภาระไปทั้งชีวิตเต้เลยก็ได้” คำพูดของเขาเรียกให้ฉันเค้นน้ำตาตัวเองออกมาด้วยความตื้นตัน กอดแขนของเขาไว้อย่างหวงแหน แทนทุกคำพูดที่อยากจะขอบคุณกับหลายๆสิ่งที่เต้ตั้งใจและทำเพื่อฉัน เต้สะอื้นเบาๆบนแผ่นหลังของฉัน ยิ่งทำให้ฉันปวดร้าวขึ้นในอกมากขึ้น ต่างคนต่างรู้ดีว่าเวลาในนาฬิกาทราย มันเริ่มนับถอยหลัง

จนกว่าทรายเม็ดสุดท้ายจะหล่นลงไปรวมกับเม็ดทรายเม็ดอื่นบนก้นขวด


ฉันอยากมีชีวิตอยู่... อยู่เพื่อตอบแทนความรู้สึกที่เต้มีให้กันมาตลอด


อยากยื้อเวลา... ให้นานกว่านี้


โปรดติดตามตอนต่อไป


pupper

  • บุคคลทั่วไป
มาแล้วๆ มาพร้อมเรียกน้ำตาคนอ่านไปด้วย
อ่านไปเตรียมใจไป เพราะว่าตอนจบคง
เค้นอามรมณ์คนอ่านกันอย่างเต็มที่
เป็นกำลังใจให้นะครับ มาต่อให้จบนะครับ
ยังไงก็ยังรออ่านอยู่นะครับ

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป


















“ข้อเสียอย่างหนึ่งของเธอ คือการไว้ใจคนง่ายเกินไป...”











บทที่ยี่สิบสอง

“กลับแท็กซี่อีกแล้วเหรอคะ...”
เป็นเรื่องบังเอิญอีกครั้งที่ฉันได้พบกับพู่ที่หน้าบริษัท ขณะที่ฉันประคองกล่องใส่ของใช้ส่วนตัวผ่านป้อมยามที่มีลุงรปภใจดีตะเบ๊ะให้ตามหน้าที่ ฉันยิ้มและเอ่ยคำทักทายเป็นครั้งสุดท้าย และมารอโบกแท็กซี่กลับบ้าน

“ค่ะ... วันนี้ทำงานวันสุดท้ายแล้ว” ฉันส่งยิ้มหวานให้เธออย่างที่มิตรพึงมีให้ต่อกัน พู่ดูโฉบเฉี่ยวในชุดทำงานของเธอที่ล้ำนั่น เธอกวาดสายตาและเชื้อเชิญฉันให้ร่วมทางไปด้วยภายใต้แว่นดำนั้นตามเดิม

“ไปด้วยกันสิคะ... ดูสิของเยอะแยะแบบนั้นคงไม่ไหวหรอก”

“เอ่อ... ไม่ดีมั้งคะ” ฉันพะว้าพะวง ใจนึงก็อยากกลับบ้านเร็วๆ อีกใจก็อยากรอให้เต้มารับ เสียตรงที่มือถือแบตหมดทำให้ติดต่อใครไม่ได้นี่สิ

“ไม่รบกวนอะไรหรอกค่ะ ทางเดียวกัน” ประตูรถฝั่งข้างคนขับดีดออก เธอขยับนิ้วเป็นสัญญาณให้ฉันขึ้นโดยสารไปด้วย เกรงใจก็เกรงใจ แต่ไม่อยากให้เสียความหวังดีที่มีต่อกันไป ฉันตอบรับคำเชิญนั้น

ไม่ทันที่ฉันเองจะอาลัยอาวรกับอาคารที่เคยเป็นที่ทำงานมาร่วมหลายปีเป็นครั้งสุดท้าย รถแล่นออกไปพ้นหน้าบริษัท ฉันมองมันผ่านกระจกมองหลังอย่างใจหายระคน

“วันสุดท้ายแล้ว... แล้วน้ำจะไปไหนเหรอคะ” พู่หักรถหลบคันข้างหน้าที่แฉลบเบียดเลนเข้ามา เธอดูนิ่งๆสุขุมกว่าฉันคิดไว้ในการขับรถ เพราะถ้าเป็นฉัน คงได้สบถออกมาอย่าหัวเสียแน่

“คงกลับไปช่วยแฟนดูแลคลินิคอีกแรงน่ะค่ะ กิจการของที่บ้าน...” ฉันประคองกล่องไว้บนตักโดยมีกระเป๋าสะพายใบเล็กเทินไว้ ของที่เหลือได้ทะยอยเอากลับมาก่อนหน้านี้แล้ววันสองวัน

“เป็นครอบครัวที่น่ารักดีนะคะ ว่าแต่มีเจ้าตัวน้อยหรือยังคะ” พู่พาขึ้นทางด่วน ฉันรีบส่งเศษเงินให้เธอเป็นค่าธรรมเนียมผ่านทาง หากเธอไม่ยอมรับไว้ ฉันเลยวางแหมะไว้ตรงที่หวางของหลังเกียร์ระหว่างเบาะ

“คงจะยากค่ะ...” ฉันตอบอ้อมแอ้ม ไม่ทันได้ตั้งตัวว่าต้องเจอกับคำถามแบบนี้

“ลองไปเช็คกับแพทย์สิคะ เผื่อจะแก้ปัญหาได้ เดี๋ยวนี้การแพทย์ก็ก้าวไปไกลเยอะแล้วนะคะ” พู่จ้อไม่หยุด ฉันเองก็ไม่รู้จะตอบเธออย่างไรดี ได้เพียงยิ้มอย่างฝืนๆรับคำแนะนำพวกนั้น

“...”

“ถ้าพูดอะไรไม่เข้าหู...ต้องขอโทษด้วยนะคะ” พู่รีบยกมือขึ้นป้องปากและกุมมือฉันไว้ครู่หนึ่ง ดูเธอจะวิตกที่จู่ๆฉันเงียบไป เธอหรี่เสียงเพลงที่เปิดคลอระหว่างขับรถลง

“ไม่มีอะไรที่ไม่เข้าหูหรอกค่ะ ถูกทุกคำที่พูดมาทั้งนั้น...” ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ รวบรวมความกล้าที่จะเอ่ย ความจริง...

“นี่ดูไม่ออกจริงเหรอคะ” คงเหมือนกับใครอีกหลายคน ที่รู้จักฉันเพียงผิวเผิน ไม่รู้ว่าตัวตนจริงๆของฉันเป็นเพียงดอกไม้พลาสติก ฉันภูมิใจที่จะปกปิดมัน ในเมื่อไม่มีใครรู้ ก็สบายใจกว่าที่ไม่ต้องสาธยายอะไรมาก แต่หากใครอยากรู้ ก็พร้อมที่จะเปิดเผยมันอย่างไม่อายเช่นกัน
เมื่อความจริง มันตราหน้าและหนีไม่พ้นอยู่ดี

“อะไรล่ะคะ”

“น้ำ... ไม่ใช่ผู้หญิงนะคะ” ฉันโพล่งออกไปในเฮือกสุดท้ายที่รถวิ่งข้ามสะพานแขวนไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา

“จริงเหรอ... ไม่น่าเชื่อ... สวยขนาดนี้ดูไม่ออกเลย... พู่เองยังแอบอิจฉาน้ำเลยนะ” เธอไม่ได้มีทีท่าว่าตกใจหรือรังเกียจอะไร ทำให้ฉันรู้เบาใจขึ้นเยอะ ฉันชิงหลบสายตาที่จะซักไซ้ไล่เลียงต่อ ตัดบททำเป็นสนใจทิวทัศน์ข้างทางจนกว่าเธอจะเปลี่ยนเรื่องพูด
“...ใครๆก็พูดอย่างนี้ทั้งนั้นแหล่ะค่ะ” พู่เองคงรู้ว่าฉันอึดอัด เลยไม่ได้ซักอะไรต่อ





“ขอบคุณนะคะ... อุตส่าห์มาส่งถึงที่บ้าน” ฉันโค้งศรีษะให้ ทุกทีเธอจะส่งฉันแค่หน้าเซเว่นปากซอยเข้าหมู่บ้าน แต่คราวนี้เธอตามเข้ามาส่งถึงข้างในหมู่บ้าน พู่ว่าของของฉันเยอะ เกรงว่าจะหอบไปลำบากเลยอาสาเทียบรถส่งถึงหน้าบ้าน

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องเล็กน้อย... บ้านสวยเหมือนกันนะคะ” พู่เอนตัวเล็กน้อย ไล่มองบ้านของฉันด้วยความชื่นชม ฉันรีบหลบมุมให้เธอได้ทัศนาเต็มๆ
“เข้ามาดื่มน้ำก่อนนะคะ นั่งพักเหนื่อยแล้วค่อยกลับก็ได้” เป็นมารยาทของเจ้าบ้านที่ดี ที่จะเอื้อเฟื้อต่อผู้มีน้ำใจ ฉันไขประตูเล็กและเหลียวมาพยักหน้าให้เธอ

“จะดีเหรอคะ... ให้คนแปลกหน้าอย่างฉันเข้าบ้าน” ฉันไม่รีรอให้เธอตัดสินใจเอง อ้อมรถมาจูงมือเธอเข้าไปภายในบ้านเอง รู้สึกใจเต้นที่นานๆทีจะมีคนมาเยี่ยมบ้าน อีกอย่างจะได้เลี้ยงอาหารเย็นเธอเป็นการขอบคุณสักมื้อที่มีน้ำใจมาส่ง

“เข้ามาเถอะค่ะ พู่เป็นคนแปลกหน้าที่ไหนกัน เพื่อนน้ำ น้ำก็ยินดีต้อนรับ... แฟนน้ำเขาคงไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ” พู่ลังเลอยู่ครู่ก่อนจะกดล็อครถและเก็บกุญแจใส่กระเป๋า ผ่านที่จอดรถและสวนเล็กหน้าบ้านที่เธอเอ่ยปากชมว่าตกแต่งได้สวยและร่มรื่นมากกว่าที่จะเรียกว่าบ้าน ฉันวางกล่องไว้บนชั้นวางของเล็กๆและไขกุญแจเข้ามาทางประตูใหญ่

“รกไปหน่อยนะคะ...” ฉันอายๆกับข้าวของที่ดูระเกะระกะบ้างในบางมุม เพราะความที่ยุ่งกับงานทั้งคู่ จึงมีเวลาให้กับบ้านหลังนี้ไปไม่มากกว่าที่หลับนอน ฉันวางกล่องไว้ข้างๆโซฟา กวาดนิตยสารรวบไปเก็บที่ชั้นและตรงไปยังห้องครัว

มือของพู่คว้าแขนของฉันไว้

“น้ำ...”
“หืมมม...” วูบหนึ่งที่เห็นรอยยิ้มและดวงตาที่ฉาบความสาแก่ใจนั้น ภาพทุกอย่างตรงหน้าพลันลบเลือนลง ราวกับมีใครปิดสวิตซ์มัน








***

วันนี้ผมออกมาซื้อของกินของใช้ภายในบ้าน แต่ก็ไม่ลืมที่จะแวะแผนกของเล่นเพื่อซื้อตุ๊กตาน่ารักๆให้ลูกสาวทั้งสองเนื่องในวันเกิดที่จะถึง ผมเองก็เหนื่อยหน่อยที่ต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ไปพร้อมๆกัน ไม่อยากให้ทั้งคู่รู้สึกว่าตนเองมีปมด้อย ดีที่ได้ฝ้ายช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง
ข่าวคราวของหวานขาดหายไปจนไม่รู้ว่าไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหน แม้จะไม่ใช่ความรัก แต่ประจักษ์พยานทั้งสองยังคงนั่งตากระพริบปริบๆไม่รู้อิโหน่อิเหน่ รอให้เธอกลับมา เธอยังคงได้ชื่อว่าเป็นแม่ของ พลัมและแพร

แผลเป็นจากการถูกยิงยังคงปวดแปลบเป็นระยะๆ ผมหน้าแหยกุมแผล นั่งลงบนม้านั่งยาว ยังมีหลายเรื่องที่ผมอดกังวลไม่ได้ ตราบที่หวานยังลอยนวลและยังไม่ละทิฐิพยาบาทในใจไป

ผมสะดุดตากับผู้หญิงชุดดำแว่นตาดำคนนึงที่เดินออกจากร้านขายยาอย่างร้อนรน ผมผุดลุกและรีบตามเธอไปอย่างรวดเร็ว
นั่นมันหวาน

เธอเข้าไปในรถสีดำคันหนึ่งแล้วบึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ให้ผมกระวีกระวาดรีบขับตามออกไปไม่ให้คลาดสายตา ด้วยเชื่อว่าหวานยังไงก็น่าจะฟังคำของผม ยังพอตะล่อมให้เธอยอมมอบตัวและสู้คดีได้ ผมกล้าที่จะบอกว่าเป็นอุบัติเหตุเพื่อกันให้โทษของเธอลดลง ไม่มีใครเลวหมดทั้งกมลสันดาน ลึกๆในจิตใจของหวาน ผมเชื่อว่าคงมีเมตตาอยู่บ้าง

รถของหวานแล่นเข้าเส้นสุขุมวิท ก่อนออกมายังเพชรบุรีตัดใหม่ เธอหยุด ผมก็หยุด พยายามกะระยะห่างไว้ช่วงคันเพื่อไม่ให้เธอจับได้ว่าผมตามเธอมาอย่างนี้

“แล้วนั่นใคร...” ผมรำพึงกับตัวเองเบาๆ พยายามเพ่งในระยะไกลว่ามีผู้หญิงคนนึงยืนถือของพะรุงพะรังคุยกับรถคันนั้นอยู่ริมทาง ก่อนเหลียวมามองรถคันหลังและเข้าไปภายในรถ ให้ตายเถอะผมใจคอไม่ดีเลย...


น้ำ...


ทำให้เกิดคำถามต่อไปว่า หวานจะพาน้ำไปที่ไหน

ผมพยายามแยกสติของตัวเองสองด้านในการขับรถติดตามไปไม่ให้คลาดสายตา กับสาละวนหาเบอร์ของน้ำแล้วกดโทรออก

“หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดใช้บริการ Sorry, the number…”

น่าโมโหที่ผมมีแต่เบอร์เก่าของเธอทำให้ติดต่อกลับไปไม่ได้ น้ำเองก็คงจะอยู่เฉยๆไม่ยอมเปลี่ยนเบอร์โทรหนีผม ก็จริง... ใครมันจะไปทำใจได้ และรอคอยลมๆแล้งๆให้คนที่ได้ชื่อว่าแต่งงานไปแล้วติดต่อมาหาตัวเองอีกเล่า

แล้วจะทำอย่างไร แค่ขับรถตามไปห่างๆอย่างนี้น่ะเหรอ และฟิล์มรถคันหน้าก็มืดจนมองไม่เห็นว่าภายในตัวรถเป็นอย่างไรบ้าง ใจของผมมันเต้นไม่เป็นส่ำ
“...” เสียงทรูโทนโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ผมรีบรับสายผ่านบลูทูธ

“นนท์... กลับมาหรือยัง ฝ้ายจะบอกให้ไปรับเค้กที่ร้านสุกัญญาหน่อยสิ ตอนขากลับไปรับเด็กๆกลับจากโรงเรียนก็ดันลืมแวะเข้าไปเสียสนิท”

“ได้ๆ... นนท์จะเข้าไป” ผมรีบตัดบทคุยกับเธอ รถเก๋งสีดำคันหน้าเร่งเครื่องห่างออกไปแล้ว หรือว่าจะรู้ตัวแล้ว

“แล้วเมื่อไรจะกลับบ้าน... เด็กๆเขาคอยนนท์กลับมานะ... นี่อยู่ที่ไหนน่ะ” ผมกระวนกระวาย เพราะรถของหวานคลาดสายตาไปแล้ว ยิ่งทำให้ผมร้อนดั่งไฟสุมอก

“โถ่เว้ย... เอ่อปล่าวๆไม่มีอะไร... นี่นนท์อยู่แถบพุทธมณฑลนะ จะรีบกลับ”

“เป็นอะไรหรือเปล่านนท์ น้ำเสียงไม่ดีเลย...” แล้วผมก็ฉุกคิดบางอย่างได้ ผมเองดันลืมไปเสียสนิทว่าคนใกล้ๆตัวน่าจะยังติดต่อกับน้ำอยู่... ใช่... ฝ้าย... ทำไมผมลืมเรื่องนี้ไปได้นะ

ผมรีบหักพวงมาลัยเข้าข้างทาง... ในเมื่อตามหวานไม่ทันอยู่แล้ว

“ฝ้าย... ฝ้ายมีเบอร์น้ำไหม...”

“อะไรเนี่ย... วันนี้วันเกิดพลัมแพรนะ มัวทำอะไร กลับบ้านมาเร็วๆ” ฝ้ายตะคอกกลับมา ผมพยายามใจเย็นสู้ คุมอารมณ์ไม่ให้เปิดเปิงไป

“อย่าถามมากเลย... เอาเบอร์น้ำมา ตอนนี้... น้ำอยู่กับหวาน...”







***

เพล้งงง...


จู่ๆผมรู้สึกหน้ามืดมือกวาดไปโดนรูปแต่งงานที่วางตั้งไว้เหนือโต๊ะทำงาน หล่นหวือลงบนพื้น เศษกระจกแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ผมส่ายหน้ากับความซุ่มซ่ามของผม หรือบางทีผมอาจจะเพลียกับการเข้าเวรเมื่อคืนเสียดึกก็ได้ แถมวันนี้ก็มีแพทย์อีกคนนึงลางานทำให้ผมต้องเข้ากะแทน แทนที่จะได้พักอยู่กับบ้าน ผมนั่งลงกวาดเศษแก้วที่เรี่ยบนพื้นนั้นไปทิ้ง ผมสบตากับรูปของน้ำในชุดเจ้าสาวนั้น เลยเจอดีเศษแก้วบาดนิ้วได้เลือดจนได้

“ให้คนเข้ามาทำความสะอาดห้องผมหน่อย เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอก” ผมอินเตอร์คอลกับพยาบาลหน้าห้อง หลังจากทำแผลที่นิ้วตัวเองเรียบร้อย และหยิบเอารูปของผมขึ้นมาเก็บไว้ในลิ้นชัก นึกเคืองที่เลือดของตัวเองหยดเลอะรูปของหวานเสียได้

“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...” ผมกดวางสายที่มีแต่ผู้หญิงคนเดิมรับสายนี้ทิ้งหลายต่อหลายครั้ง ผมเดาว่าน้ำน่าจะเลิกงานแล้ว อาจจะกำลังรอผมมารับอยู๋ก็ได้ ว่าแล้วก็รีบวกกลับเข้าไปในห้องทำงาน ถอดเสื้อกาวน์ออกแขวนไว้ และไม่ลืมติดกุญแจรถออกมาด้วย
มันผิดสังเกตที่น้ำไม่รับโทรศัพท์ของผมอย่างนี้

“คุณน้ำกลับไปตั้งนานแล้วครับ” รปภละสายตาจากรายการตลกตอนเย็นในโทรทัศน์เครื่องจิ๋วตอบผม ผมขมวดคิ้วไม่คิดว่าน้ำจะไม่อดทนรอผมสักนิดเลยเหรอ แต่เมื่อดูเวลา กว่าผมจะฝ่ารถติดมาถึงหน้าออฟฟิศของเธอได้ก็ปาไปชั่วโมงครึ่งแล้ว

“เหรอครับ...”

“เห็นว่าไปกับรถเก๋งคันสีดำ ท่าทางคนขับจะเป็นผู้หญิง” ผมหูผึ่ง ตั้งแต่แต่งงานกันมาน้ำไม่เคยไปไหนกับเพื่อนเท่าไร นอกจากเพื่อนๆจะแวะมาหาที่บ้านหรือไม่ น้ำก็ใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่มากกว่า ก็อดแปลกใจไม่ได้ คนเดียวที่ผมนึกออกก็มีแต่ฝ้ายคนเดียว

นั่นไง ตายยาก พูดถึงก็โทรมาทันทีเลย


“สวัสดีครับ...”

“เต้... เกิดเรื่องใหญ่แล้ว...” น้ำเสียงสั่นๆของเธฮทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเธอกะจะอำผมเล่น

“มีเรื่องอะไรมาอำกันเล่นอีกเล่า เอ้าว่ามา... ตกใจเลย กำลังบ่นถึงพอดี”

“ฮึ่ย... คอขาดบาดตายนะไอ้บ้า เรื่องนี้มันเกี่ยวกับน้ำนะ”

“เออๆ... เอาเข้าไป กะให้สมจริงซะงั้น เป็นไงว่ามา ไม่ขำละก็ต้องเลี้ยงข้าวด้วยนะ” ผมยังยียวน กลับเข้ามานั่งในรถ เตรียมตัวจะสตาร์ทรถกลับบ้าน

“น้ำติดต่อไม่ได้...”

“ก็แหงสิ เต้โทรไปก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน”
“... มากไปกว่านั้น ฝ้ายใจคอไม่ดีเลย”

“บอกมาสิแล้วจะรู้ไหม...” ผมเค้นเสียงกับเธอ คาดคั้นให้บอกมาตรงๆอย่ามัวแต่อ้อมไปอ้อมมา ผมเองก็ไม่สบายใจ ยิ่งรู้ว่าเป็นน้ำอีกยิ่งน่าเป็นห่วงมากกว่าเดิมอีกเป็นทุน



“น้ำ... มีคนเห็นน้ำไปกับหวาน”






“อูยย...” ฉันค่อยๆเปิดเปลือกตาของตัวเอง จับที่เท้าของคนนึงที่เดินไปมารอบห้อง พร้อมได้กลิ่นฉุนๆของน้ำมันคลุ้งทั่วห้อง รู้สึกหัวตัวเองหนักๆ แต่ยังพอมีสติอยู่ ทวนความทรงจำสุดท้ายพอลางๆว่าอยูกับพู่... กำลังจะเข้าครัวมาเสิร์ฟน้ำให้

เจ้าของเท้าหยุดตรงหน้า ค่อยๆโน้มตัวลงมา ศรีษะของฉันถูกจับให้หันหน้าเผชิญกับเธอ

“ฟื้นแล้วเหรอคะ...” พู่แสยะยิ้มอย่างมีชัย พร้อมวางแกลลอนเปล่าไว้ข้างตัว เกิดอะไรขึ้น นี่ฉันงงไปหมดแล้ว

“พู่... โอ๊ย...” ฉันเพิ่งรู้สึกถึงคมเชือกที่บาดเข้าเนื้อจากการรัดแน่นทั้งมือทั้งขา เพียงขยับเล็กน้อยก็สร้างความเจ็บปวดขึ้นมา

“ข้อเสียอย่างหนึ่งของเธอ คือการไว้ใจคนง่ายเกินไป...” น้ำเสียงที่ฟังดูเย้ยหยันทำให้ฉันรู้สึกคร้ามขึ้นมา พยายามลำดับเหตุไล่เลียงประติดประต่อภายในสมอง มือที่เย็นเฉียบของพู่เลื่อนไปมาบนใบหน้าที่พยายามบ่ายหนีออก

“เธอทำอะไรของเธอ... หยุดนะ... ฮึก”

“ก็ทำอย่างที่เธอเคยทำไว้กับฉันกับนนท์ไง นังหน้าด้าน” ศรีษะของฉันถูกผลักออก พู่หุนหันลุกขึ้น ดึงไฟแช็คในกางเกงขาเดฝสีดำจุดขึ้น... ฉันมองหน้าเธอ


ลึกลงไป...


ลึกลงไป



สิ่งที่ค้างคาในใจกับคนๆนี้กระจ่างขึ้นมา...





“หวาน...”


โปรดติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
 :serius2:หวานนี่เข้าขั้นโรคจิตแล้ว กรรมเวรของน้ำจริงๆ

pupper

  • บุคคลทั่วไป
หวานก็ยังคงเป็นหวาน
เวลาที่ผ่านไปไม่ได้สำนึกตัวบ้างเลย
ว่าตัวเองได้ทำผิดอะไรเอาไว้บ้าง

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

แล้วภาคหนึ่ง และภาคสอง ของเรื่องนี้หาอ่านได้ที่ไหนอะคะ?

อิเจ้


 :z3:

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป

แล้วภาคหนึ่ง และภาคสอง ของเรื่องนี้หาอ่านได้ที่ไหนอะคะ?

อิเจ้


 :z3:


ขออธิบายนิดนึงครับว่า

ภาค1นั้นเป็นช่วงที่น้ำกับนนท์ยังคบกันจนกระทั่งนนท์แต่งงานกับหวาน

เป็นบทนำ ถึงบทที่เก้า


ภาคสองเป็นช่วงความสัมพันธ์ของน้ำกับเต้ จนกระทั่งแต่งงานกัน

เป็นบทที่สิบ ถึง สิบแปด


และภาคสาม คือ ช่วงตั้งแต่ฮันนีมูน ครับ

เป็นบทที่ยี่สิบ เรื่อยจนจบ...


ขอโทษด้วยครับที่ทำให้เกิดความสับสนในการอ่านครับ
 :a5:

 :pig4: :กอด1: ทุกการติดตามนะครับ....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-12-2008 18:30:09 โดย christiyaturnm »

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
เข้ามาแปะว่ากำลังตามอ่านอยู่

 :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






TinaJunior

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ -~iK@iZ_KunG~-

  • Tomorrow Never Die!!!
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-2

สงสารน้ำอ่ะ


เต้รีบ ๆ กลับมาช่วยน้ำนะ


 :sad4: :sad4:

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
:serius2:หวานนี่เข้าขั้นโรคจิตแล้ว กรรมเวรของน้ำจริงๆ
หวานก็ยังคงเป็นหวาน
เวลาที่ผ่านไปไม่ได้สำนึกตัวบ้างเลย
ว่าตัวเองได้ทำผิดอะไรเอาไว้บ้าง
เฮ้อ... :เฮ้อ:
สงสารน้ำอ่ะ
เต้รีบ ๆ กลับมาช่วยน้ำนะ
 :sad4: :sad4:
:z3:
เข้ามาแปะว่ากำลังตามอ่านอยู่
 :กอด1:
มาต่อแล้วนะครับ... เป็นไงไปลุ้นกันต่อ :z13:

อ้อ... สวัสดีปีใหม่แฟนๆนิยายผมทุกคนด้วยนะคร้าบ.... ใกล้จะจบแล้วละน๊า.... :L2: :กอด1:












“โดยเฉพาะเรื่องของผู้หญิงคนนั้นที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของเธอ แม้จะเห็นในรูปเพียงครั้งสองครั้ง แต่ผมกลับจำได้ติดตา เพราะรูปที่ถ่ายคู่เป็นเพียงภาพของความสัมพันธ์ฉันเพื่อนรักที่แสนฉาบฉวย สายตาของเธอกลับปิดความริษยาในใจไว้ไม่มิด”













บทที่ยี่สิบสาม



“ตกใจล่ะสิ...”


พลันทั่วทั้งห้องตกอยู่ในวงล้อมของพระเพลิงที่ลุกโหมรุนแรง ข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ในอาณาบริเวณถูกราดด้วยน้ำมันจนชุ่ม ติดไฟลุกลามไปตามๆกัน ฉันไม่นึกคร้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากแต่สะท้อนใจว่าโทสะและผู้ชายเพียงคนเดียวสามารถทำให้คนตรงหน้าที่เคยได้ชื่อว่าเพื่อนกลายเป็นศัตรูที่ไม่มีวันจะญาติดีด้วยได้อีกแล้ว

“หวาน... เราจะพูดกันดีๆไม่ได้เลยรึไง ฉันว่าเราใจกันก่อนดีกว่านะ... ค่อยๆคิด นะ...”หวานแสยะยิ้มมุมปากอย่างเลือดเย็น นั่งลงยองๆใกล้ๆ จิกผมให้ฉันต้องลุกขึ้นตามเพราะความเจ็บ ฉันไม่ได้ส่งเสียงโอดครวญหรือร้องขอชีวิต เพราะลูกตาของฉันเลื่อนไปจับที่กระบอกปีนที่เหนี่ยวไกพร้อมยิงของเธอจ่อที่ขมับของฉัน

หวานนับ 10 ถอยหลังช้าๆ...

แกร็ก...

“เธอโชคดี... ท่าทางพระเจ้าอยากจะให้เธอตายด้วยวิธีอื่นมากกว่าสมองระเบิด” ภาพที่ฉันหน้าซีดเหงื่อท่วมใบหน้าคงจะทำให้เธอสาแก่ใจไม่น้อย เธอลากเก้าอี้ตัวนึงมานั่งข้างฉัน หมุนปืนเล่นไปมาอย่างใจเย็น

“น้ำ... ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมพระเจ้าจะต้องให้คนขาดๆเกินๆอย่างเธอมีทุกอย่างพร้อม ทั้งครอบครัวและคนรัก...” ฉันมองปืนที่แกว่งไปมาสลับกับใบหน้าของเธอ รอยแผลบนแขนเผยให้เห็นเมื่อเสื้อเลื่อนขึ้น ไหนจะใบหน้าที่ซูบเซียวหากไม่สังเกตให้ดีละก็ ที่ผ่านมาหลายเดิน สำหรับเธอคงจะลำบากไม่ใช่น้อย

“จะฆ่าก็ฆ่าซะ... เธอจะมัวนั่งพล่ามให้ได้อะไรขึ้นมาหวาน อยากให้ฉันตายไม่ใช่เหรอ... จะยื้อเวลาอีกทำไม” ฉันรู้ว่าการพูดอย่างนั้นเท่ากับทอนเวลาที่จะหายใจอยู่บนโลกใบนี้ของตัวเองให้น้อยลงตามไปด้วย ดูท่าหวานคงจะชอบอกชอบใจ ลูบผมฉันเล่นด้วยความเอ็นดูที่พูดได้เข้าหู ในวันที่พบกันเป็นวันสุดท้ายนี้

“เธอแสดงความกล้าได้เยี่ยมมาก” หวานปรบมือและหัวเราะอย่างฝืนๆ ก่อนเงื้อกระบอกปืนตบเข้าที่แก้ม จนฉันต้องล้มไปนอนกอง ไอเอาลิ่มเลือดอุ่นๆ คลั่งในปากออก

“แต่ชั้น มีบทให้เธอเล่นอีกเยอะ จนกว่าฉันจะสั่งคัท แล้วส่งเธอไปลงนรกจริงๆ”

“เพราะฉันจะเชิญผู้ชมคนนึงให้มาดูฉากจบของละครเรื่องนี้ คิดว่านักแสดงอย่างเธอคงจะไม่รังเกียจ...” หวานกดหมายเลขโทรศัพท์บนมือถือของฉัน ซึ่งไม่รู้ว่าเธอเอาไปตั้งแต่เมื่อไร เธอกดสปีคเกอร์โฟนให้ได้ยินเสียงคอลลิ่งเมโลดี้ เป็นช้าหวานๆ ซึ่งหวานร้องคลอไปเบาๆ ก่อนจะตัดเป็นเสียงคนรับสาย

“ครับ... สวัสดีครับ...”

“ฮัลโหล...” น้ำตาของฉันเอ่อขึ้นมา พร้อมกับรอยยิ้มเยาะของหวาน เสียงของนนท์... เสียงของนนท์ดังก้องจากปลายสายอีกทาง คลอไปกับเสียงรถยนต์ ให้รู้ว่าขณะนี้กำลังขับรถอยู่

“ทำไมล่ะ... ฉันอุตส่าห์ติดต่อให้เธอได้คุยกับแฟนเก่า โดยมีภรรยาของเขานั่งเป็นประจักษ์พยานอยู่ตรงนี้... คุยเลยสิ จะป้อนคำหวานเท่าไรก็ตามสบาย...” ฉันบ่ายหน้าตัวเองออกจากเครื่อง ส่วนหวานก็กดโทรศัพท์ลงมาจนรู้สึกเจ็บแผลตาม

“โอ๊ย...”



“น้ำ... นั่นน้ำอยู่ที่ไหน ปลอดภัยหรือเปล่า แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน... รู้ไหมตอนนี้ใครๆก็ตามหาน้ำกันให้วุ่น... รู้หรือเปล่า...”

“ฮัลโหล... แล้วตอนนี้น้ำอยู่กับ อยู่กับหวานใช่ไหม ออกมาเลย ห่างจากผู้หญิงคนนั้นซะ... น้ำไม่ปลอดภัยแล้วนะตอนนี้...” ร่างของฉันถูกจับให้ลุกขึ้นนั่งแกมบังคับกลายๆ หวานนั่งอยู่ใกล้ เป็นฝ่ายคุยเองมากกว่าฉันที่ไม่กล้าพูด

“สวัสดีนนท์ เราไม่ได้คุยกันนานเลยเนอะ” หวานเค้นเสียงออดอ้อน ส่วนอีกมือก็กระชากผมฉันลงให้ศรีษะแหงนขึ้น ให้ฉันร้องครวญเล่น


“โอ๊ย... เจ็บ...”


“หวาน... แล้วนั่นจะทำอะไรน้ำ ขอร้องนะ น้ำไม่เกี่ยวอะไรด้วย จะโทษ จะทำร้าย ก็มาลงที่ผมนี่ อย่าไปลงที่น้ำเลย” ฉันเม้มปากแน่น พรั่งพรูทุกความรู้สึกผ่านน้ำตาที่เอ่อล้น พอๆกับความหวาดกลัวเข้ามาเกาะกินหัวใจ หวานคงแขยงฉันเต็มทน ผลักฉันให้ล้มไปนอนงออยู่ข้างเก้าอี้


“รักกันดีนักนะ...” หวานมองฉันอย่างเหยียดๆพอๆกับที่เธอเกลียดความสัมพันธ์ระหว่างตัวเธอเองกับสามี หากยังใจเย็นละเลียดชิมของหวานรสโอชา ก่อนปิดบัญชีแค้นทีเดียว ตอนนี้หวานคงไม่ฟังเสียงใครอีกแล้ว หมูในอวยอย่างฉัน คงต่อรองอะไรกับเธอไม่ได้อีก



“ยังไม่ทำอะไรหรอก... หวานจะรอให้นนท์มา... ชมฉากสุดท้าย ด้วยกัน...”


“ด...เดี๋ยว...” หวานกดวางสาย ก่อนคว้าเอาปืนกระบอกเดิม งัดปลายคางฉันอย่างเบามือ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือก





“เรามาเล่นเกมส์แมวจับหนูดีกว่า”

***





ผมพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ได้พบกับน้ำ แม้น้ำจะไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังมากมาย แต่ผมกลับสนใจมันยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของผู้หญิงคนนั้นที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของเธอ แม้จะเห็นในรูปเพียงครั้งสองครั้ง แต่ผมกลับจำได้ติดตา เพราะรูปที่ถ่ายคู่เป็นเพียงภาพของความสัมพันธ์ฉันเพื่อนรักที่แสนฉาบฉวย สายตาของเธอกลับปิดความริษยาในใจไว้ไม่มิด


ผมคลับคล้ายคลับคราว่าพบผู้หญิงคนนี้ 2-3ครั้งที่โรงพยาบาล เธอแอบมาชะโงกหน้าไม่ก็เลาะอยู่รอบๆห้องผู้ป่วย หากจำไม่ผิดคงจะเป็นช่วงที่นนท์มาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ผมแอบมองเธอลุกลี้ลุกลน และแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เมื่อมีคนผ่านมา หรือเข้าออกห้อง เธอยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆในขณะที่ตำรวจควานหาตัวเธอให้วุ่น


ในวันแต่งงานของผมกับน้ำ มีมือดีคิดเข้ามาป่วนสถานการณ์ โดยการส่งซากแมวดำเลือดอาบมาให้ผ่านมอเตอร์ไซด์รับจ้าง เล่นเอาผมแทบกุมขมับ และกำชับไม่ให้รู้เรื่องนี้ โดยเฉพาะน้ำ คงจะเป็นฝีมือใครไปไม่ได้แน่...

หรือแม้แต่เมื่อวันที่เราพาครอบครัวไปเที่ยวเกาะกัน ไม่รู้ว่าหวานจงใจตามเราไปหรือเป็นเรื่องบังเอิญ ผมเห็นเธอ... และไม่คาดคิดว่าเรื่องทุกอย่างจะวนมาถึงวันนี้ได้




หากสิ่งที่ผมกระวนกระวายที่สุดคือ หวานพาน้ำไปไว้ที่ไหนกันแน่

***

ฉันประคองตัวเองให้ลุกขึ้น คว้าเศษผ้าใกล้ๆตัวมาปิดจมูกเอาไว้ ทั้งอุณหภูมิที่สูงขึ้นภายในห้องบวกกับควันที่คละคลุ้ง ทำให้หายใจได้ลำบากและติดขัด มองไปด้านใดทั้งประตูหน้าต่างล้วนปิดตายหมด ไฟทั้งหมดล้วมวงรอบตัวฉัน โหมเปลวสูงจนนึกคร้าม
มือถือก็ไม่มี กุญแจก็ไม่มี... จนปัญญา


ฉันนั่งกอดเข่าร้องไห้เบาๆในห้องที่ร้อนระอุนั้น ออกไปไม่ได้แล้ว...

***

ผมจอดรถต่อจากเก๋งคันสีดำหน้าบ้านหลังหนึ่ง มองไปภายในกลับดูเงียบเชียบพิกล ผมทบทวนข้อมูลตามที่ได้รับมาจากฝ้าย ก็แน่ใจว่าเป็นที่นี่ แต่น้ำจะอยู่ที่นี่จริงเหรอ ฝ้ายคงจะไม่รนหาที่ขนาดที่จะทำอะไรโง่ๆอย่างนี้ลงไปแน่


จะกดออดก็คงเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเกินไป อีกอย่างประตูก็ไม่ได้ล็อคเอาไว้ ผมว่าควรจะย่องเข้าไปเงียบๆดีกว่า



“สวัสดี...” ผมรีบหันหลังเมื่อมีมือเย็นๆมาแตะบ่าของผม หวานยิ้มให้อย่างที่เคยยิ้ม ทว่าในดวงตากลับดูเย็นชาและว่างเปล่า ที่ผิดปกติคือผมได้กลิ่นน้ำมันฉุนเตะจมูกมาจากตัวของเธอ



“ไม่คิดจะทักทาย... ภรรยาคนนี้หน่อยเหรอ” หวานเข้ามาคลอเคลียออเซาะ โอบกอดผมไว้หลวมๆ ทว่าผมกลับผลักไสเธอออกไปให้พ้นจากตัว
“น้ำอยู่ไหน...” ผมขึ้นเสียง ขณะที่เธอส่งสายตาคมกริบไปที่กางเกง


“อะไรอยู่ในนั้น เอาออกมาให้หมด” เธอชักปืนขึ้นจ่อหน้าผม ห่างจากปลายจมูกไปไม่กี่คืบ ผมลนๆล้วงเอาโทรศัพท์มือถือที่เปิดสปีคเกอร์โฟนไว้กับฝ้ายเผื่อมีอะไรฉุกเฉินไว้ ส่งให้หวาน แต่เธอไม่รับ


“ขว้างทิ้งไปตรงนั้น เดี๋ยวนี้...”


“เดี๋ยวนี้...” ผมทำตามที่เธอสั่ง อาศัยจังหวะที่เธอเผลอมองตามไปด้วยความสะใจนั้น เข้ายื้อแย่งปืนจากเธอ หวานมองตามด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราด ก่อนทำหน้าเบ้ด้วยความเจ็บปวดที่ถูกบิดแขน ปล่อยปืนลงกับพื้นอย่างช่วยไม่ได้ ผมเตะปืนกระบอกนั้นออกไปให้พ้นทางด้วยความโล่งใจ


แกร็ก...


ปืนอีกกระบอกจ่อขมับของผมพร้อมเหนี่ยวไก หวานหัวเราะทั้งน้ำตา... ก่อนดันผมให้เดินเข้าไปในบ้าน


“คนอย่างแก... แม้แต่เมียตัวเองยังไม่ใยดี... ฉันไม่มีวันจะใจอ่อนแล้ว”


“จะทำอะไร...หัดคิดถึงพลัมถึงแพรบ้าง... พอเถอะนะ... ถ้าคุณยอมมอบตัวตอนนี้ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา ผมจะพยายามช่วยคุณเต็มที่”


“มันสายไปแล้ว... สิ่งที่ฉันอยากได้ คุณไม่เคยให้กับฉัน”


“ที่ฉันอยากได้คือใจของคุณ...คนที่ไม่เคยมองใครหรือรักใครเลยนอกจากอีนังน้ำนั่น...” ผมกลืนน้ำลายตัวเอง รู้สึกหายใจติดขัดพร้อมได้กลิ่นไหม้แปลกจากภายในตัวบ้าน หวานกระแทกกระบอกปืนเป็นนัยให้ผมรีบๆเข้าไปด้านในโดยเร็ว






***

ผมขับรถกลับมาที่บ้านอย่างกระวนกระวายใจ เจอพวกเพื่อนบ้านออหน้าบ้านแน่น หญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งเคาะกระจกรถของผมรัว


“มีอะไรเหรอครับ คุณน้าสันศนีย์... แล้วนี่มามุงอะไรกันมากมายหน้าบ้านของผมกันละครับ...” ผมเลื่อนกระจกลงทักทายกับเธอที่ชักสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร พร้อมชี้เข้าไปภายในบ้านของผมอย่างตื่นกลัว

“มีคนได้ยินเสียงปืนสองนัดจากภายในบ้านน่ะค่ะ เห็นว่าคนร้ายจี้ผู้ชายอีกคนเข้าไปในบ้านด้วย ตอนนี้มีคนโทรแจ้งตำรวจแล้วนะคะ” เพียงแค่นั้นผมกลับระลึกได้และวิ่งเข้าไปด้านในโดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามจากใคร



ลูกบิดประตูร้อนจนผมผละมือออกและสะบัด มีควันไฟแทรกจากขอบประตูหน้าต่างทั่ว ผมวิ่งไปรอบๆก่อนจะนึกถึงหน้าต่างบานเกล็ดของห้องน้ำชั้นล่าง

อยู่สูงเกินไป...


ใจของผมมันร้อนรนจะแทบระเบิด ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงปืนอีกนัดดังจากด้านใน คราวนี้ผมคงอยู่เฉยไม่ได้แล้ว... จะปล่อยให้น้ำเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด...

ประตูครัวเปิดออกตามแรงผลักพร้อมลูกไฟที่โหมพุ่งสวนออกมา ผมหันหลังเอาผ้าปูที่นอนผืนใหญ่ที่เปียกน้ำจนชุ่มมาบังตัวเอาไว้ก่อนกระโจนเข้าไปด้านไหน ทั้งเปลวไฟและควันเขม่าคละคลุ้งทั่ว รูปคู่ของผมกับเธอเหนือโต๊ะอาหารถูกเพลิงค่อยๆเล็มจากขอบด้านนอกเข้าด้านในจนเป็นเถ้าสีดำ



“น้ำ...”




“น้ำ...”



ผมตะโกนเรียกชื่อคนรักซ้ำไปซ้ำมาขณะที่ต้องระแวดระวังฟอร์นิเจอร์ หรือโคมไฟจะเคลื่อนพังลงมา ไม่มีเสียงตอบรับของเธอเลย
ผมรีบหลบเข้าห้องข้างๆเมื่อได้ยินเสียงตึงตังลงบันไดมา เหลือบมองผ่านกระจกสะท้อนที่ตั้งไว้พอดิบพอดี


“มุดหัวอยู่ไหน... ออกมาซิ... คิดเหรอว่าจะออกไปจากนี่ได้ ถ้าตายก็ตายด้วยกันทั้งหมดนี่แหล่ะ”


หวานกล่าวอย่างลำพองพร้อมยกปืนกวาดไปทั่วบริเวณ ก่อนวิ่งเลาะไปอีกฝั่ง ผมรีบอาศัยจังหวะดังกล่าว ขึ้นไปตามหาเธอข้างบนบ้าน

“นนท์... นายถูกยิงนี่” ผมรีบปรี่เข้าหาเขาที่นอนหายใจระรวยรินอยู่ในห้องน้ำ มือกุมไหล่ตัวเองแน่น

“แค่เฉี่ยว แต่ขาผม...” นนท์กัดฟันกรอด ผมมองตามจุดที่เขาพันแผลไว้ลวกๆ มีเลือดไหลซึมอยู่ตลอดเวลา


“ไปไหวไหม...” ผมพยายามจะพยุงตัวเขาให้ลุกขึ้น นึกไม่ออกว่าจะพ้นจะทะเลเพลิงนี้ไปได้อย่างไร


“ช่วยน้ำก่อน... เต้...ตามหาน้ำให้เจอ... ช่วยน้ำด้วย...” นนท์พยายามปฏิเสธความช่วยเหลือจากผม แต่ผมไม่สนใจ เข้าไปหิ้วปีกเขาออกมาก่อน

“จับได้แล้ว...”

“จะไปไหนกันจ๊ะ...”

“น้ำ...”


“หวาน...” ผมกับเขาอุทานขึ้นพร้อมกัน เมื่อเห็นหวานหิ้วน้ำมาและปล่อยลงนอนกองกับพื้นในสภาพหมดสติ นนท์ปล่อยโฮออกมาทันที มีเพียงผมที่เผชิญภาพตรงหน้าอย่างพูดไม่ออก

“ไม่น่าเชื่อว่ามีตัวแถมมาด้วย... คุณหมออยากจะดูใจเมียสักครั้งก่อนตายไหมคะ” ผมแทบเข่าอ่อนจะประคองนนท์ต่อไปไม่ไหว อยากวิ่งเข้าไปหา แต่กลับชะงัก เมื่อหวานเล็งปืนมายังเราสองคน


“นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย...”


“จะไม่มีใครได้นังนี่ไปเชยชมแม้แต่คนเดียว...” หวานเปลี่ยนทิศทางปืนไปยังร่างบางๆของภรรยาผม ก่อนที่ผมจะมีสติทำอะไรเพื่อเป็นการถ่วงเวลาหวานไว้ ดูนนท์จะรวดเร็วกว่า โจนเข้าใส่หวานจนหงายล้มลงไปทั้งคู่ ต่างยื้อแย่งปืนกัน



“พาน้ำออกไปคุณหมอ... ช่วยน้ำด้วย...”


นนท์สาละวนกับการพลิกไปพลิกมา ต่อกรกับหวานอยู่ ผมลังเล... รีบช้อนตัวของเธอขึ้น แต่ไฟกลับโหมหนักขวางทางลงบันไดไว้


“รีบไป... ทางนี้ผมจะจัดการเอง” ผมมองเขาเป็นครั้งสุดท้าย... กับแววตาที่ผู้ชายคนหนึ่งมีความรู้สึกที่ล้นปรี่ให้กับคนๆนึงอย่างเต็มหัวใจ ผมพยักหน้ารับคำฝากฝังนั้นก่อนโจนผ่านเปลวไฟโหมโชนนั้นเพียงอึดใจเดียว




บันไดไม้ค่อยๆทะยอยพังเป็นกองฟืนสุมตามหลังที่ผมลงมาพ้นถึงชั้นล่าง ผมไม่ได้ใส่ใจมอง ที่รู้คืออุ้มคนรักในสภาพเนื้อตัวมอมแมม และบอบช้ำแนบอกไว้อย่างเป็นกังวล อกของเธอยุบขึ้นยุบลงอย่างช้าๆ ผมเอาผ้าเปียกคลุมจมูกของเธอไว้ ให้เธอหายใจได้โดยไม่สำลักควัน เป้าหมายของผมคือแสงจ้าที่อยู่ตรงหน้า เราจะได้ออกไปพ้นแล้ว...


อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปตอนนี้นะน้ำ...





ปังงง...



โปรดติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
 :serius2: เวรกรรม เครียดดดดด อย่าทิ้งไปนานนะค่ะมาต่อด้วย :z3:

pupper

  • บุคคลทั่วไป
มาทิ้งระเบิดให้คนอ่านเครียดหนักกว่าเดิม

ออฟไลน์ -~iK@iZ_KunG~-

  • Tomorrow Never Die!!!
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-2

รีบ ๆ มาต่อเลยนะครับ



ค้าง  ๆ



ด่วน ๆๆๆ




christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
รีบ ๆ มาต่อเลยนะครับ
ค้าง  ๆ
ด่วน ๆๆๆ
มาทิ้งระเบิดให้คนอ่านเครียดหนักกว่าเดิม
:serius2: เวรกรรม เครียดดดดด อย่าทิ้งไปนานนะค่ะมาต่อด้วย :z3:
มาต่อแล้วครับ...







“ผมรับมาพนมมือไว้ เพ่งพิจารณาโลงสีขาวที่ประดับประดาไฟและดอกไม้อย่างงดงาม... อย่างที่คนในรูปคงไม่มีโอกาสได้ชื่นชม”















บทที่ยี่สิบสี่



น้ำเข้าห้องฉุกเฉินไปร่วม3ชั่วโมงกว่า เพราะต้องให้เลือด ผมโทรตามทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของน้ำให้รีบรุดมาที่โรงพยาบาลนี้ ทั้งคู่ดูจะวิตกกังวลมาก บางทีครั้งนี้น้ำคงจะต้องทำคีโมอีกครั้ง ซึ่งผมรู้สึกไม่มั่นใจเอาเสียเลย

    “คนไข้ฟื้นแล้วล่ะค่ะ” ผมผุดลุกขึ้น ทันทีที่ได้ยินเสียงพยาบาลเอ่ยขึ้น แม่ของน้ำเช็ดคราบน้ำตาเข้าไปภายในห้องพร้อมกับพ่อ ผมอยากตามเข้าไปด้วยแต่กลับถูกกันเอาไว้

“ทีละคนนะคะ ให้เยี่ยมมากไม่ได้หรอกค่ะ”

ลืมไปเลยว่าโรงพยาบาลที่ไหนๆก็ต้องมีกฏแบบนี้ แต่ใจผมอยากพบเธอมากเหลือเกิน เวลาที่ผมสู้อุตส่าห์ตามงอนง้อ ตามหาเธอจนพบ ผมกุมมือเธอตลอดทางที่มาที่นี่ คอยพยาบาลเธออยู่ไม่ห่าง ฟังเสียงหายใจครืดคราดคลอไปกับสายอ็อกซิเจน เครื่องวัดการเต้นของหัวใจ น้ำตาเธอไหลตลอดเวลาราวกับรับรู้ว่าผมอยู่ข้างๆ ผมสำนึกว่าดูแลเธอไม่ดีอย่างไร ไม่น่าปล่อยให้เธอต้องพบกับเรื่องร้ายๆอย่างนี้ซ้ำอีกครั้ง

“ญาติของคนไข้ เชิญตามผมไปพบที่ห้องด้วยนะครับ” ผมละสายตาจากห้องนั้น เดินตามคุณหมอท่านนั้นไป เราเข้ามาคุยกันให้ห้องส่วนตัว เรื่องบางอย่างที่เกี่ยวกับน้ำ ผมหายใจไม่ทั่วท้องเลยจริงๆ

“คุณเป็นหมอเหมือนกันใช่ไหมครับ”

“เอ่อ... ครับ ว่าแต่เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า น้ำเป็นอย่างไรบ้างครับหมอ” ใครจะว่าผมใจร้อนก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมอยากรู้อาการโดยละเอียดของน้ำว่าเป็นอย่างไรบ้างมากกว่า

“เธอมีจำนวนเม็ดเลือดขาวเยอะผิดปกติอยู่แล้ว ยิ่งถูกทำร้ายและรับเอาก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้เข้าไป ร่างกายเธอยิ่งอ่อนแอลงกว่าเดิม ที่จะช่วยบรรเทาได้คือเราพยายามให้เลือดเพิ่ม และกระตุ้นร่างกายเธอให้สร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้น...”

“ครับ...”

“แต่ติดตรงที่ว่า...”

“อะไรครับ...”

“...เราพบว่าตอนนี้มะเร็งกำลังลามไปยังส่วนอื่นแล้ว เธอจำเป็นต้องรับการรักษาอย่างเร่งด่วน มิฉะนั้น ผมเกรงว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน...”

“เราจะต้องหาไขกระดูกที่เข้ากับเธอได้... ต้องรอผู้บริจาค... เมื่อทำการปลูกถ่ายไขกระดูกต้องรอดูอาการซักระยะว่าได้ผลเป็นอย่างไร... และพักรักษาตัว...”

“คุณเป็นแฟนของเธอ... แต่ไม่ได้จดทะเบียนกันตามกฏหมาย ฉะนั้นเดี๋ยววานให้คุณตามพ่อกับแม่ของเธอมาเซ็นต์รับการรักษาและวางมัดจำเงินดีกว่านะครับ”

สารพัดคำพูดทั้งศัพท์ทางการแพทย์และทั่วไปวนเวียนอยู่ในสมองของผม ผมเดินโซเซออกมาจากห้องนั้นอย่างคนไร้เรี่ยวแรง โทษตัวเองที่ไม่สนใจดูแลน้ำเท่าไร โทษตนเองที่ตัวเองเป็นหมอประสาอะไรถึงดูไม่ออกว่าคนรักของตัวเองป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอด เจ็บใจตัวเองเหลือเกิน

ผมฝืนความเศร้าโศกของตัวเองตามคุณพ่อและคุณแม่ของน้ำเข้าไปพบหมอคนนั้นตามที่เขาบอก รู้สึกแค้นใจตัวเองที่เราไม่สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ แม้แต่ในทางกฏหมาย คนที่ผมรักกลับกลายเป็นคนอื่นที่มีความสัมพันธ์เฉพาะทางพฤตินัยไม่ใช่นิตินัย จริงๆแล้วคือผมต่างหาก ผมที่ทิ้งขว้างเธอ ทั้งๆที่เธอรักและเชื่อใจผมมาโดยตลอด ผมกลับปล่อยเธอไว้...

ปล่อยไว้จนสายเกินไปแล้ว...




เอกสารทุกอย่างลงลายมือชื่อของพ่อและแม่น้ำเรียบร้อยแล้ว กระบวนการรักษาคงเริ่มต้นในไม่ช้า เหลือเพียงปรับสภาพร่างกายของผู้ป่วยให้พร้อมรับการรักษาเท่านั้น ผมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมเธอได้นอกจากพ่อและแม่ของน้ำแค่นั้น ร่วมสัปดาห์แล้วที่ผมฟังคำบอกเล่าอาการของเธอผ่านปากต่อปากโดยไม่เห็นกับตาตัวเอง

เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเรา หากที่ใหญ่กว่าคือตัวผู้บริจาคไขกระดูกสันหลังที่เข้ากับเธอได้ ซึ่งไม่ใช่ผมที่มีเลือดกรุ๊ปเอแน่ๆ เพราะน้ำมีเลือดกรุ๊ปโอ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ โชคดีที่ไม่ใช่กลุ่มอาร์เอช ยิ่งทำให้ความหวังของการมีชีวิตต่อของน้ำลดน้อยลงทุกที แม้จะพยายามคิดในแง่ดีเข้าไว้ แต่กลับไม่รู้สึกสงบอารมณ์ตนเองให้คลายความวิตกกังวลลงได้เลย

การเกลี้ยกล่อมเธอให้เข้ารับการรักษาอย่างจริงจังเป็นเรื่องที่แสนยากเย็น ผมยังจำช่วงหนึ่งในสมัยมัธยมปลายที่น้ำต้องพักการเรียนไปพักหนึ่ง ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่น้ำต้องเผชิญกับมันอีกครั้ง ช่างน่าเข็ดขยาด ผมไม่มีวันลืม ในตอนนั้นผมทำได้แค่เพียงมองดูเธอห่างๆ และตอนนี้ก็เช่นกัน
คงเป็นเรื่องดีถ้าได้เห็นเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ผมภาวนา

นี่ล่วงไปกี่วันกันแล้ว ผมยังคงนั่งรอความหวังอย่างลมๆแล้งๆด้านนอกห้อง ลังเลว่าควรจะเข้าไปเธอดีหรือไม่ ลางทีก็เสี่ยงที่จะเป็นได้ทั้งกำลังใจที่สำคัญสำหรับเธอ หรือไม่ก็เป็นยาพิษให้เธอกลับยิ่งอาการทรุดไปกว่าเดิม

“คุณพ่อ คุณแม่ครับ... เดี๋ยวผมพาไปทานอาหารนะครับ นี่ก็จะร่วมวันแล้ว ถ้าไม่ทานอะไรแบบนี้เดี๋ยวจะพากันแย่ไปกันใหญ่... น้ำคงไม่อยากให้พ่อกับแม่เขาเป็นอะไรไปแน่” ผมดักทั้งคู่ที่เพิ่งออกมาจากห้องปลอดเชื้อ สังเกตจากสีหน้าอาการของน้ำคงทรงตัวเหมือนเดิม คือยังไม่รู้สึกตัว

“ขอบใจนะ... แม่คงทานอะไรไม่ลงถ้ายังไม่เห็นน้ำลืมตาขึ้นมาคุยกับแม่ได้เหมือนเดิม” ผมสะท้อนใจเมื่อเห็นรื้นน้ำตาของผู้เป็นแม่เอ่อคลอ ด้วยทรมานใจที่เห็นอาการของลูกตัวเองไม่ดีขึ้น ในฐานะที่ผมเป็นแพทย์ ก็ได้แต่รักษาไปตามอาการ ทั้งที่ใจจริงอยากจะควบคุมหรือบงการสรรพสิ่งให้เป็นไปดั่งใจตนเองปรารถนาให้ได้

“เต้...”

“ครับ...” ผมขานรับพ่อของน้ำอย่างตะกุกตะกัก สีหน้าที่เป็นกังวลนั้นบีบคั้นให้ใจของผมแทบอ่อนแรงตาม เหมือนกับความหวังที่ต่างคนมีจะเลือนลางลง

“เมื่อไร... เราจะหาผู้บริจาคไขกระดูกให้น้ำได้สักที”

“ต้องมีครับ... ผมเชื่อว่าคงต้องมีของใครสักคนที่เข้ากับเซลล์น้ำได้”

“น้ำต้องหายครับ” นาทีนี้ผมคงจะอ่อนแอไม่ได้ จะต้องเป็นไฟแห่งความหวังที่จะส่องสว่าง ลุกโชนให้หลายคนมั่นใจ และเชื่อว่าน้ำจะต้องหายดี
น้ำต้องกลับมาหายดีเป็นปกติ










ไหนจะเรื่องประกันและกว่าที่จะปลีกตัวจากการให้ปากคำกับตำรวจ ผมมาถึงงานได้ก็ร่วมทุ่มสองทุ่ม ถือว่าไม่ช้าเกินไป ยังมีแขกเหรื่อทยอยเดินทางกันเข้าศาลาการเปรียญพร้อมจับจองที่นั่ง ผมประมาณจำนวนคนที่มาร่วมงานไม่น่าเยอะเท่าไร เจ้าภาพคงไม่อยากให้เป็นเอิกเกริก เพราะเท่าที่จับบรรยากาศของงาน ผู้คนจะนั่งจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากกว่าจะโศกเศร้าอาดูรกับการเสียชีวิตของผู้ตาย

ผมเดินเข้าไปหาฝ้าย... คงเป็นคนเดียวในงานที่ผมรู้จักและสนิทสนมด้วย ดูเธอจะวุ่นวายกับการเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แก่คนที่มาร่วมงานตัวเป็นระวิง เห็นเธอถือถาดเดินเซจะล้มให้ได้ ผมรุดเข้าไปจับไหล่ของเธอไว้



“ไม่เป็นอะไรนะฝ้าย”

“เต้เองเหรอ... หน้ามืดนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ฝ้ายฝืนยิ้มให้ทั้งที่ผมดูออกว่าเธอล้าและอ่อนเพลียมาก ผมรับถาดจากเธอมาและพาเธอไปนั่งที่เก้าอี้รวมกับแขกคนอื่นๆ
“มา.. เต้ทำเอง นั่งพักตรงนี้ละกันนะ”



“”เอ้า... คุณหมอ...มางานนี้ด้วยเหรอคะ”

“สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้หญิงชราท่าทางใจดีคนนึงอย่างงงๆ รักษาคนไข้มาเป็นร้อยแปด คงมีแต่คนไข้ที่จำผมได้ ผมเองก็ไม่ได้จดจำใครเป็นพิเศษ ดูเธอจะกระตือรือร้นรีบเดินอาดๆมาหาผม ทักทายด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นปกติมากกว่าจะดูเศร้าสร้อยตามแววตาที่ฉายอยู่

“ขอบใจนะคุณหมอที่มางานนะ ฝ้ายช่วยเขาไปกราบศพหน่อยนะลูก”

“เอ่อ... ค่ะ” ฝ้ายตอบรับก่อนค่อยๆลุกขึ้น ผมเขม่นสายตากลับบอกแทนคำพูดว่า ผมสามารถเดินไปเองได้ แค่นี้เอง ฝ้ายยิ้มรับ
“ยังไงเจ้าภาพก็ต้องดูแลแขกอยู่ดี... ได้พักนิดนึงเมื่อครู่ก็ดีเยอะแล้วล่ะ”

“แล้วพ่อกับแม่น้ำไม่มาด้วยเหรอ...”

“ทั้งคู่คงไปไหนไม่ได้ จนกว่าน้ำจะฟื้น... ผมเลยต้องเป็นธุระมาแทนนี่” ฝ้ายถอนหายใจเล็กน้อยก่อนค่อยๆคลานเข่าเข้าไปหน้าโลงศพ หยิบธูปดอกเดียว พร้อมจุดให้เบ็ดเสร็จและส่งให้ผม ผมรับมาพนมมือไว้ เพ่งพิจารณาโลงสีขาวที่ประดับประดาไฟและดอกไม้อย่างงดงาม...
อย่างที่คนในรูปคงไม่มีโอกาสได้ชื่นชม


อโหสิ...


กราบหนึ่งครั้งและส่งธูปคืนให้กับฝ้าย ฝ้ายรับไปปักไว้ในกระถางธูป และคลานเข่าตามผมออกมา เสียงมัคนายกประกาศเชิญพระคุณเจ้าขึ้นสวดพระอภิธรรมศพ เป็นคืนสุดท้าย...

“แล้ว... นนท์ล่ะไปไหน...” ผมพยายามซอกแซกสายตาไปรอบๆก่อนวกมาถามหาเอากับเจ้าภาพคงจะง่ายกว่า ฝ้ายคลายมือข้างนึงที่พนมมือเป็นรูปดอกบัวไว้ ชี้ไปยังชายที่มีผ้าพันแผลเต็มตัวนั่งอยู่ด้านหน้า และที่นั่งคู่กันถ้าให้ผมเดาคงเป็นพ่อและแม่ รวมถึงลูกสาวตัวน้อยทั้งสองคนของเขา

“แผลไฟไหม้เต็มแขนขาไปหมด... ดีที่ไม่เป็นอะไรหนักมากไปกว่านี้ ไม่งั้นคงไม่มีใครยอมให้นนท์มาไหว้ศพทุกวันอย่างนี้แน่” ฝ้ายมองตามอย่างอ่อนใจ ผมสงสารแต่เด็กๆที่ต้องมารับรู้เรื่องร้ายๆนี้เกิดขึ้น ทำไมผมจะไม่เข้าใจว่าการสูญเสียแม่... มันเป็นอย่างไร

“แผลกายมันไม่เท่าไรหรอก แต่แผลใจ... ต้องใช้เวลาเยียวยานานกว่า”
ฝ้ายก้มหน้านิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนฝืนๆยิ้มให้และพนมมือฟังพระสวดต่อ



“นนท์...”

“นาย... มางานศพนี้ด้วยเหรอ” นนท์ดูประหลาดใจที่ผมเป็นฝ่ายทักเขาก่อน สู้อุตส่าห์รอจนงานเลิกและรอจนเขาออกมาจากศาลา
“แผลนาย... เป็นยังไงบ้าง”

“ไกลหัวใจ... แค่นี้ไม่เท่าไรหรอก...” นนท์พิศดูตามเนื้อตัวและเอ่ยขึ้นอย่างอวดๆ ก่อนเหลียวมาหาผมอย่างใคร่รู้ถึงจุดประสงค์

“ขอโทษแทนหวานด้วย... ผมเองก็มีส่วนที่ทำให้เรื่องทุกอย่างต้องลงเอยอย่างนี้”

“ผมไม่ติดใจอะไรหรอก... คนตายไปแล้ว จะโทษไปก็ไม่มีประโยชน์”

“ว่าแต่นาย... มาแทนน้ำเหรอ... น้ำเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงและแววตาที่ดูเป็นห่วงเป็นใยจนเกินขอบเขตแทบทำให้ผมอารมณ์เดือด แต่ต้องสะกดอารมณ์ไว้ กลั้นใจพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องกัดฟันพูดทุกถ้อยคำ

“พูดตรงๆ เปิดอกอย่างลูกผู้ชาย” ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆให้กล้าเข้าไว้ ทิ้งความเจ้ายศเจ้าอย่างของตัวเองทิ้ง

“...วานให้นาย... ไปดูอาการของน้ำหน่อย...”

“น้ำเพ้อถึงแต่นายตลอดเวลา...” นนท์เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตนเองว่าจะได้ยินคำนี้จากผม และนี่... คือเหตุผลเดียวที่ผมไม่กล้าเข้าไปเฝ้าอาการน้ำใกล้ๆ กลัวว่าจะได้ยินเสียงเพ้อแผ่วเบานั้น ซ้ำไปมาให้เจ็บปวดใจอีก




“นนท์...”
“ช่วยน้ำด้วย”
“ช่วยด้วย...”




“มีนายคนเดียวที่จะทำให้น้ำฟื้น... น้ำต้องการแค่นาย” ผมคุกเข่าขอร้องกับพื้นต่อหน้าเขา น้ำเสียงสั่นทั้งหวาดกลัวและสับสน จนปัญญา... เมื่อยิ่งรู้ว่าเวลาของน้ำมันทอนลงเหมือนเทียนไขที่ไกล้หรี่และมอดแสง

ยิ่งปวดใจ... เจ็บ...


“ไอ้บ้าเอ๊ย...” นนท์ตะคอกใส่ พร้อมดึงคอเสื้อของผมให้ลุกขึ้นตามแรง ผมเอาแต่ก้มหน้างุด มองไปเลื่อนลอยไม่สนใจคนตรงหน้าว่าจะทำอะไรกับตนเองต่อไป

“ไหนบอกว่ารักน้ำ บอกว่ารักนักรักหนาไง เวลาที่เขามีปัญหาก็ทิ้งเขามาดื้อๆแบบนี้น่ะเหรอ” นนท์ย้ำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทั้งยังเงื้อหมัดจะต่อยผม ผมไม่หนีหรอก... มันสมควรแล้ว...

“คนที่น้ำรักและฝากทุกอย่างไว้คือนาย ไม่ใช่เรา...”

“ถ้ารู้ว่านายอ่อนแอ และไหวกับเรื่องแค่ว่าน้ำยังรักหรือไม่รักเราล่ะก็ นายก็ไม่น่าผูกมัดน้ำไว้แต่ทีแรก” ผมหายใจแรงขึ้นจับจ้องคนตรงหน้าที่ฮึดขึ้นมาด้วยโทสะ แค่ขอร้องให้เขาไปเยี่ยมน้ำสักครั้งเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผมคิดได้ เวลานี้...ผมจะอ่อนแอไม่ได้


 
ถึงเวลาที่ต้องกลับไปเผชิญความจริง


“อย่าปล่อยให้น้ำต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้คนเดียว นายควรจะอยู่เคียงข้างเธอ”


“นายต้องดูแลน้ำให้ดี ถ้าไม่อยากนั้น ไอ้นนท์คนนี้จะทำแกให้เจ็บมากกว่าที่น้ำเจ็บเลย” นนท์สะบัดผมล้มไปกองกับพื้น เฉไฉสายตาไปทางอื่นไม่สบตาผม เหมือนคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้เดือดพล่านไปกว่านี้





“กลับไปได้แล้ว...”




โปรดติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
 :call: ขอให้มีคนมาบริจาคไขกระดูกไวๆ ขอให้เรื่องราวดีขึ้น เง้อ

ออฟไลน์ -~iK@iZ_KunG~-

  • Tomorrow Never Die!!!
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-2

มาต่ออีกน๊า

ค้างคาครับ


 :t3: :t3:


christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
 :L2:มาต่อแล้วครับ... :pig4:ผู้อ่านทุกท่านครับที่ติดตามเรื่องราวของน้ำ เต้ นนท์












“ถ้าความเจ็บปวดนั้นถ่ายโอนกันได้ สู้ให้ผมเป็นคนแบกรับไว้เองดีกว่า...”


















 
บทที่ยี่สิบห้า

ควันจากเมรุเคลื่อนจางหายไปพร้อมกับสายลมเอื่อยเย็น หวานได้จากโลกนี้ไปแล้ว ผมเองไม่รู้ควรจะโกรธเกลียดหวานต่อไปอีกหรือไม่ เรื่องร้ายที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องเมื่อวันวาน กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เลือดเนื้อของเธอกับผม พลัมและแพร ผมคงต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ให้หนักขึ้นกว่าเดิม

ทั้งผมและย่าของของหวานต่างช่วยกันเก็บเถ้ากระดูกแบ่งใส่โกฐและห่อผ้าสีขาวเพื่อทำพิธีบุญต่อจากวันเผาเมื่อวาน ย่าของหวานดูจะทำใจได้เยอะและดูเข้มแข็งกว่าที่ผมคาดไว้ ท่านผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาทั้งชีวิต ทั้งสูญเสียสามีที่โดนคู่อริจ่อยิงอย่างอุกอาจ ไหนจะลูกชายกับลูกสะใภ้ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางเครื่องบิน และยังหลานสาวที่คุ้มคลั่งยื้แย่งปืนกับผมจนพลาดถูกตัวเอง ผมเป็นคนพาร่างที่ไร้วิญญาณของเธอออกมามอบแก่ผู้เป็นย่าของเธอหัวใจสลาย

“ทั้งคนหนุ่มสาว... ในครอบครัวของฉันมีแต่คนอายุสั้นด่วนจากฉันไปหมดเลยจริงไหม...” เธอตัดพ้อโชคชะตากับตัวเอง ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาเก็บเถ้ากระดูกทั้งหมดลงห่อผ้าแล้วจัดการมัดปากให้เรียบร้อย

“คุณย่ายังมีเหลนพลัมกับแพรอยู่นะครับ... ผมจะพาเขาไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ”

“ขอบใจนะที่นึกถึงคนแก่ไม้ใกล้ฝั่งอย่างฉัน”
ย่าของหวานเงยหน้าขึ้นยิ้มทั้งน้ำตาก่อนนึกบางอย่างได้ เธอค่อยๆเปิดกระเป๋าสะพายตัวเองและหยิบบันทึกเล่มนึงส่งให้ผม

“นี่จ๊ะ... ย่าเองก็เกือบลืมไปเสียสนิท”

“มันเป็นของหวาน... และย่าคิดว่านนท์ควรจะเก็บเอาไว้นะ”

แม้งานศพของหวานผ่านไปได้กว่าสัปดาห์แล้ว หากว่าภาพนั้นยังคงติดตาของผมอยู่ไม่คลาย คำพูดของหวานที่ทิ้งไว้ คำสุดท้ายในไดอารี่ของเธอนั้น


   “ฉันรู้ดีว่าความรู้สึกของฉันนั้นผิด แต่ฉันรู้ดีว่าห้ามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ทุกครั้งที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ฉันรู้สึกอิจฉา อิจฉาว่าทำไมจะต้องเป็นน้ำ ความเป็นไปได้ของฉันควรจะมีมากกว่าน้ำ ไม่ยุติธรรมเลย ฉันถลำลึกลงไปทุกวัน นี่ฉันกำลังทำอะไรลงไป ฉันแทบจะไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว โลกนี้แม้จะไม่มีน้ำ ฉันก็ยังคงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ แต่หากไม่มีนนท์แล้ว ฉันคง... ฉันขอแค่เพียงได้เขามาอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าจะใช้เล่ห์กลใดก็ตาม...”






 “ฉันรู้ดีว่าเขาไม่เคยรักฉันเลย ใจของนนท์มีแต่น้ำคนเดียวเท่านั้น”


ผมสะท้อนใจอย่างปลงๆ สุดท้ายคนเราก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง แม้จะพยายามไขว่คว้ามาครองครองเท่าไรก็ตาม...
น้ำจะเป็นอย่างไรบ้าง... ผมเองก็อยากจะรู้...










 “ฉันไม่ให้แกไป... มาทำป่วยเรียกคะแนนสงสารจากผู้ชาย... คิดว่าคนอย่างชั้นจะเชื่อเหรอ อีกอย่างนังนั่นก็มีคู่ขาเป็นถึงคุณหมอ แกจะไปให้เกะกะทำไม... ไม่ใช่ญาติโกโหกาเราสักหน่อย ถ้าจะตายก็ตายไป...” คุณแม่จอมเผด็จการของผมประกาศกร้าวเมื่อผมกับฝ้ายกำลังก้าวลงจากบ้าน ทันที่ที่ทราบว่าเราทั้งคู่จะมาเยี่ยมน้ำ รู้สึกปวดศรีษะขึ้นมาฉับพลัน ไม่รู้ว่าแม่ตัวเองจะตั้งแง่จงเกลียดจงชังอะไรกับน้ำหนักหนา...

“ในฐานะเพื่อนผมต้องไป... อย่างน้อยก็สอบถามอาการเขาเสียหน่อย ยังไงเราก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น” ผมตอบกลับไป คุมอารมณ์อารมณ์ของตัวเองให้อยู่ในกรอบ ไม่ก้าวร้าวกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของผม

“หนอย... รวยนักหรือไงตานนท์ ลูกแยกกันอยู่กับแม่หวานเขามาหลายปีแล้ว ทำตัวของตัวเองแท้ๆ ลูกไม่ต้องมาทำเป็นคนดีของรับผิดชอบแทนหรอก” สิ่งที่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน... คือนิสัยที่น่าเอือมระอาของแม่นี่แหละ... สุดท้ายพ่อก็แยกไปอยู่ต่างจังหวัดเพราะทนรำคาญกับความเจ้ากี้เจ้าการและเห็นแก่ตัวเป็นที่หนึ่งไม่ไหว นานทีถึงกลับมาที่บ้าน

“ยังไงหวานเขาก็เป็นภรรยาของผม พลัมกับแพรเองก็เป็นลูกของผมกับเขา... คุณแม่เล่นพูดว่าเขาเป็นคนอื่นแบบนี้ได้อย่างไร ทั้งที่ทีแรกก็โอภาปราศรัยต้อนรับลูกสะใภ้คนใหม่อย่างออกหน้าออกตา พอมีเรื่องฉาวขึ้นมาก็บอกปัดไปสารพัด”

“แม่เห็นแก่หน้าตัวเอง ไม่นึกถึงคุณธรรมจริยธรรมบ้าง...” แม่ของผมแทบล้มทั้งยืนเมื่อลูกชายคนเดียวของท่านกล้าต่อปากต่อคำท่าน ตัวสั่นเทาด้วยความโกรธที่สุมในอก

“แม่พอเถอะค่ะ...  ต่างคนต่างเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว เลิกทำราวกับว่าหนูกับนนท์เป็นเด็กเสียที ต่างคนต่างมีชีวิต ต่างมีหนทางของตัวเอง ใครเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ คุณแม่ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า หนูกับนนท์เองก็ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า... ขอเถอะค่ะ คุณแม่ก็อยู่ในส่วนของคุณแม่ ให้หนูกับนนท์เป็นคนจัดการเรื่องนี้เองดีกว่า” ฝ้ายเริ่มหมดความอดทนที่จะรับบทผู้ฟังตลอดเวลา ครั้งแรกที่ผมเห็นน้องสาวคนนี้กล้าพูดออกหน้าได้ขนาดนี้...

“เออ... อยากทำอะไรก็ทำไป จะทำอะไรข้ามหัวไม่เห็นว่าหญิงแก่ๆคนนี้เป็นแม่ของพวกแกก็ตามใจ... ชั้นมันแค่คนที่ไม่มีใครต้องการนี่...” เธอโวยวายเสียงดังจนผมกับฝ้ายใจอ่อนเข้าไปประคองท่านเข้าไปภายในบ้าน ยังไงเธอก็เป็นแม่ของผม ชั่วดีอย่างไร สิ่งที่คนเราเปลี่ยนไม่ได้คือพ่อและแม่ของตัวเอง ยังไงก็ต้องดูแลและไม่ทอดทิ้ง...

ความเหงา... อาจเกิดเพราะความเหงาและรักลูกมากเกินไป...
ความรักมันไม่ผิด... แต่ตอนนี้ผมควรจะทำหน้าที่เยียวยามัน แม้จะสายเกินไปก็ตาม






“ขอเถอะนะครับคุณแม่...” ผมพนมมือขอร้องในขณะที่เธอเบือนหน้าหนี


“ให้ผมไปดูอาการน้ำเถอะครับ... ในฐานะเพื่อนไม่ใช่คนที่รื้อฟื้นให้เรากลับมาคับกันเหมือนเดิม... ครั้งสุดท้าย...”

“ฉันจะเชื่อแกได้อย่างไร... ก็เอาเถอะ... ชั้นมันก็แค่หัวหลักหัวตอ ไม่ต้องมาว่งไหว้ออดออเซาะเป็นเด็กหรอก... ชั้นก็เลี้ยงแกได้แต่ตัว...”

“ขอบคุณครับ... แม่” ผมถือว่านั่นเป็นคำอนุญาตของท่านแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม... ผมสวมกอดท่านด้วยความตื้นตันที่คำขอร้องของตัวเองสัมฤทธิ์ผล คราวนี้...จะได้พบหน้าน้ำเสียที








ผมไม่ใคร่พิศมัยบรรยากาศของโรงพยาบาลนักทั้งกลิ่นยา ภาพของผู้ป่วยหลายรูบแบบด้านใน กลับทำให้รู้สึกท้อแท้หดหู่มากกว่ามีความหวังในการมีชีวิต สุดท้าย... ไม่ใช่เพราะคำขอร้องของหมอนั่น แต่เป็นตัวผมเอง ใจของผมเองที่นำผมมาที่นี่

“ผมมาเยี่ยม... คนไข้ที่ชื่อ***ครับ ไม่ทราบว่าอยู่ห้องไหนครับ”

“สักครู่นะคะ”


เธอส่งยิ้มให้ผมพลางพิมพ์ชื่อที่ผมสอบถามลงไปในฐานข้อมูลของโรงพยาบาลก่อนลุกขึ้นและบอกทางให้ ผมกล่าวขอบคุณเธอไม่สะดวกนักเนื่องจากหอบของเยี่ยมพะรุงพะรังมาเต็มไม้เต็มมือมาพร้อมกับน้องสาวฝาแฝดของผม พากันเดินไปยังลิฟท์

“เห็นว่าน้ำ... ฟื้นมาครั้งแรกวันที่ส่งเข้าโรงพยาบาล และหลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย...” ผมฟังอาการจากคำบอกเล่าจากฝ้ายมาเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ยิ่งรู้ว่าน้ำเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว... ผมยิ่งไม่เข้าใจ ทั้งที่เห็นเธอมีความสุขอย่างนั้น ไม่รู้ว่าภายใต้รอยยิ้มที่งดงามจะเก็บงำอาการป่วยด้วยโรคร้ายของตัวเองไว้



เจ็บใจตัวเอง...



ที่ยิ่งบั่นให้เทียนไขของลมหายใจเธอให้นับถอยหลังอย่างนี้





ดวงตาของฉันเริ่มพร่ามัว รับภาพของกลุ่มคนที่อยู่รายล้อมได้ไม่ถนัดหนัก แต่ก็สามารถคาดเดาได้ว่าใครเป็นใครบ้าง ฉันได้ยินเสียงของแม่กำลังร่ำไห้ซบอกพ่ออยู่ข้างๆด้านขวาของเตียง ทว่าตัวเองแทบไม่มีแรงที่จะขยับตัว ขนาดเปล่งเสียงก็ทำได้อย่างยากลำบาก แม่จ๋า หนูบาปเหลือเกิน ที่ทำให้แม่ต้องเสียใจแบบนี้
“คุณแม่ ต้องทำใจดีๆนะคะ คนไข้จะได้ไม่วิตกกังวลมาก เดี๋ยวอาการอาจทรุดลงได้ค่ะ” พยาบาลสาวปลอบโยนแม่ของฉันด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและเป็นห่วงเป็นใยท่าน ขณะที่ปรับสายน้ำเกลืออยู่ข้างเตียง

“ฉันจะพยายาม จะพยายาม” น้ำตาแม่พรั่งพรูออกมา น้ำเสียงสั่นเครือ แม่พยายามไม่หันมาสบตาฉัน เอาแต่หลบในอ้อมกอดของพ่อประตูห้องเปิดขึ้น ฉันไม่ได้สนใจแต่ดูเหมือนว่าสายตาของทั้งพ่อและแม่เลื่อนตำแหน่งจากฉันไปยังผู้ที่เข้ามาภายในห้อง แม่ยังคงสะอึกสะอื้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักทายอะไร พ่อเองก็เช่นกัน พลอยทำให้ฉันใคร่รู้ว่าใครกันที่เข้ามาภายในห้อง

ฉันคนที่อยู่ปลายเตียงนั้นดูแปลกตานัก ไม่ว่าพยายามเพ่งพินิจเท่าไร พยายามทบทวนความทรงจำที่ผ่านมาต่างๆ ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าสองคนนั้นคือใคร จนร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ เสียงที่หนักเข้มและอีกหนึ่งเสียงที่นุ่มนวลเริ่มชัดเจนขึ้น ตัวฉันสะดุ้งขึ้นอย่างประหลาด ตาเบิกโพลงขึ้น ฉันรู้แล้วว่าเป็นใคร

   “คุณแม่ สวัสดีครับ/คุณน้า สวัสดีค่ะ” ทั้งสองพูดเกือบพร้อมกัน มองมายังร่างผอมบางที่หายใจระรวยริน แข่งกับเสียงเครื่องวัดการเต้นของหัวใจ เสียงนาฬิกา และเสียงแอร์ดังครืดคราดภายในห้อง

   “น้ำเป็นอย่างไรบ้างคะ” เธอขยับตัวมาข้างเตียงฉันและกุมมือฉันไว้เบาๆ น้ำตาฉันไหลไม่รู้ตัว พยายามพะงาบปากสื่อสารกับเธอแต่ทว่าไม่สนใจ

   แม่มองหน้าทั้งสองแต่ไม่ยอมเอ่ยอะไร น้ำตา น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และสามารถอธิบายความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ทั้งหมด

   เธอเป็นเพื่อนที่ฉันรักมากคนนึง ฉันดีใจมากที่เธอมาเยี่ยม ตั้งแต่เกิดเรื่องล่วงมาจนถึงตอนนี้ หลายปีเหลือเกินที่ไม่ได้เจอเธอ ฉันสัมผัสได้จากแววตาและท่าทางของเธอ ที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย สงสาร และคำขอโทษที่อยากจะพรั่งพรูเป็นคำพูดออกมา แต่เพียงเท่านี้ก็ดีใจแล้ว

   “น้ำ... ฝ้ายพานนท์มาด้วยนะ นี่ไง” เธอพยายามพูดด้วยน้ำเสียงร่วมกับสีหน้าที่ร่าเริง แม้ว่าจะเป็นการแสร้งทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นชั่วขณะก็ตาม นนท์เดินเข้ามาอยู่ข้างๆเธออย่างกล้ากลัว ฉันสังเกตเห็นฝ้ายจับมือเขาไว้แน่นทีเดียว

นนท์ ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ฉันอยากเจอมาก แม้จะอยากเจอแค่ไหน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอายและสมเพชสภาพตัวเองในขณะนี้มาก สายอะไรต่อมิอะไรระโยงระยางรายรอบตัวฉัน ราวกับพันธนาการที่ฉันไม่อาจหลุดพ้นไปได้ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิตจะมาเยือน ซึ่งรู้ว่าอีกในไม่ช้านี้เอง

“นน....” ฉันพยายามเปล่งเสียง และเอื้อมมือไปหาเขาอย่างยากลำบาก ทั้งไกลและเลือนลางเหลือเกิน

ฉับพลันที่เขาสวมกอดและประคองฉันขึ้น ฉันได้แต่หลับตาและรู้สึกได้ถึงความรู้ต่างๆที่เค้ามีต่อฉัน แม้ว่าตอนนี้ ทุกอย่างจะสายเกินไป และไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก ฉันรับรู้เสมอว่ามิตรภาพที่สื่อถึงไม่ว่าจะนานเพียงใด

“ผมคิดถึงน้ำเสมอ... ไม่ว่าวันนี้หรือเมื่อไร...” ฉันยิ้มแม้รู้ว่าคนที่กอดจะไม่รับรู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไร ประโยคนี้ยังก้องอยู่หัว สติฉันเริ่มจางออกไป ย้อนไปถึงเรื่องราวเก่าๆที่ผ่านมา ก่อนจะได้สติผลักตัวเขาออกไปสุดกำลัง ลุกขึ้นนั่งอย่างยากเย็น และหันหน้าไปทางอื่น

“ข... ขอบคุ...”

“น้ำ...นนท์พาใครบางคนมาด้วย เขาอยากพบน้ำมากเลยนะ” เจ้าของเสียงตัดพ้อ ก่อนมองหน้าคนอื่นๆในห้อง ทั้งหมดเดินออกไปนอกห้อง หวานกลับเข้ามาภายในห้องพร้อมคนๆนึงเข้ามาด้วยกัน

“คนที่ช่วยน้ำในวันนั้นไม่ใช่นนท์หรอกนะ... เต้ต่างหากที่พาน้ำออกมา”


นนท์เอ่ยขึ้นพลางยกมือของฉันให้เต้จับไว้ สีหน้าของเต้เปี่ยมไปด้วยความยินดีที่ฉันตื่นจากการหลับไหลที่แสนยาวนานนั่น แต่ดวงตากลับดูหม่นเศร้าลง นนท์ถอยออกและเดินจากไปแทน ให้ละสายตาจากคนที่กุมมือไว้ไม่ปล่อยมองประตูที่ปิดลงสนิท เหลือเพียงเราสองคนภายในห้องปลอดเชื้อนั้น

“หลับไปนานแนะรู้ไหม... ขี้เซานะเรา” เต้ลูบศรีษะฉันอย่างทะนุถนอม ไหนจะชุดปลอดเชื้อที่เขาสวมใส่ รวมถึงคนอื่นที่เพิ่งออกไปจากห้อง ยิ่งทำให้ตัวฉันเหมือนคนที่แปลกแยกออกไป ฉันเบือนหน้าหนี

“เต้รอให้น้ำฟื้นตั้งนานแนะ...”


“ไว้น้ำออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร เราไปเที่ยวทะเลด้วยกันอีกนะ หรือว่าน้ำอยากไปเที่ยวไหนเป็นพิเศษก็บอกเต้ได้เลย เต้จะพาน้ำไปทุกที่ที่น้ำอยากไป...” เต้พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ดวงตาของเขาหรี่ลงและดูว่างเปล่าจนหน้าใจหาย ทั้งที่ยิ้มกว้าง ใจฉันแทบขาดที่ทำให้เขาต้องเสียใจ แค่จะเอื้อมมือน้อยๆนี้ไปซับน้ำตาให้ยังทำไม่ได้

ฉันยิ้มให้เขาแทนคำตอบ เต้ถอดผ้าปิดปากออก จูบหน้าผากและเปลือกตาเป็นการปลอบขวัญ ฉันซึมซับสัมผัสที่แสนอ่อนโยนของเขาด้วยเต็มใจ... แบ่งเบาความอัดอั้นที่สุมอยู่ในอกและสื่อทางดวงตาคู่นั้นให้ลบเลือนหายไป





ผมมองคนทั้งคู่อยู่ด้านนอกโดยมีฝ้ายวางมือไว้บนบ่าด้วยกัน แม้ในใจจะทั้งอิจฉาและทนกับภาพบาดตานั้นไม่ได้

“นนท์ทำถูกแล้วล่ะ...” คำพูดของฝ้ายก่อให้เกิดพลังอุ่นวาบในอกขึ้นอย่างน่าประหลาด ได้รู้ว่ายิ้มทั้งน้ำตามันเป็นอย่างไร แต่ผมก็ควรปล่อยให้น้ำได้มีความสุขและใช้เวลาที่เหลืออยู่กับคนที่เหมาะสมและดูแลเธอได้

“คุณพ่อคุณแม่ครับ... ผมคงต้องกราบขอโทษกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้วยครับ... ผมยินดีที่จะรับผิดชอบทุกอย่างเท่าที่ทางผมจะสามารถทำได้” ผมยกมือไหว้พ่อและแม่ของน้ำที่นั่งเป็นกังวลอยู่ด้านนอกห้องอย่างนอบน้อม ทั้งสองรับไหว้ผมอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร หัวอกของผู้เป็นพ่อแม่คงไม่คิดอะไรนอกจากขอให้มีปาฏิหารย์เกิดขึ้นสักครั้ง ผมเองกลับไม่กล้าสู้หน้าท่าน รู้ว่าต้นตอของเรื่องราวร้ายๆเกิดขึ้นจากตัวเองทั้งหมด

“เสร็จงานศพหวานแล้วใช่ไหม”

“ครับ...”

“ถ้าน้ำรู้เรื่องนี้อีกคงจะทรุด... เพราะถึงหวานจะทำไม่ได้ไว้กับน้ำแต่น้ำยังเห็นหวานเป็นเพื่อนรักเสมอ” แม่ของน้ำพูดติดๆขัดๆพลางซับน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาโดยมีพ่อของน้ำโอบปลอบใจอยู่ใกล้ๆ ผมสลดใจ ทั้งที่ทั้งคู่พยายามแค่ให้ลูกสาวของตัวเองมีความสุขในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ผมกลับไม่รู้อะไร และซ้ำให้เรื่องมันเลวร้ายยิ่งขึ้น

“พ่อกับแม่ไม่โกรธนนท์หรอก... ห่วงก็แต่น้ำเท่านั้น...” แม้ของน้ำทำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง คราวนี้พ่อของน้ำเองจับเธอเอนมาซบอกของตัวเองเอาไว้
“พอจะมีทางไหมครับ... ที่ช่วยให้น้ำดีขึ้น... ผมจะทำ ให้บุกน้ำลุยไฟหรือต้องใช้เงินแค่ไหน ผมก็ยินดี” ผมยืดอกพูดด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมของตัวเอง พ่อของน้ำมองผมและถอนหายใจเบาๆ

“ตอนนี้เรากำลังรอผู้บริจาคสเตมเซลล์จากไขกระดูกที่จะนำมาปลูกถ่ายในตัวน้ำ มันเป็นความหวังเดียวในตอนนี้ที่ยื้อน้ำให้อยู่กับเราต่อไปได้”

“ครับ...”

“ผมจะลองบริจาคไขกระดูกเองครับ” ผมตัดสินใจอย่างเฉียบขาด และสัญญาเป็นมั่นเหมาะกับพ่อของน้ำ นี่จะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวนี้และตัวน้ำเอง
และรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับคุณแม่... นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ผมจะทำเพื่อเธอได้...


ในฐานะคนที่ยังรักเธออยู่เต็มหัวใจ







ผมมองเธอผ่านกระจกเข้าไปในห้องนั้น เห็นร่างของเธอดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดอันเป็นผลมาจากการทำเคมีบำบัด ยิ่งทำให้เลี่ยงเดินหนีออกมา... ทั้งสีหน้าและเสียงร้องที่เหนื่อยอ่อนและทุกข์ทรมาน ยิ่งทำให้ผมทนไม่ได้

ถ้าความเจ็บปวดนั้นถ่ายโอนกันได้ สู้ให้ผมเป็นคนแบกรับไว้เองดีกว่า...
ผมเข้าร่วมการประชุมของคณะแพทย์ผู้ร่วมทำการรักษาทำให้ทราบว่าตอนนี้ได้สเตมเซลล์ที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับน้ำมาแล้วสามราย และกำลังคัดสรรของผู้บริจาคที่มีความเหมาะสมมากที่สุดในการปลูกถ่ายไขกระดูกเข้าไปในตัวน้ำ ซึ่งตัวผมเองอดประหลาดใจไม่ได้ว่าหนึ่งในนั้นมีนนท์รวมอยู่ด้วย
ผมยังจำคำที่เขาพูดสั่งเสียไว้กับผมได้

“น้ำจะต้องอยู่ต่อ เพื่อคนที่รักน้ำ เต้... นายก็ควรดูแลน้ำให้ดีๆล่ะ อย่าทำให้เธอต้องเสียใจอีก นายเป็นคนเดียวที่น้ำรักมากที่สุด”

“ได้นนท์... เราสัญญาจะดูแลมดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมเลยทีเดียว” ผมยิ้มให้เขา... ในฐานะลูกผู้ชายที่ต้องรับชอบคำพูดของตัวเอง นนท์เตะบ่าของผมอย่างเป็นมิตร

“ขอบใจนะ…”
“ไว้ไงก็มาเยี่ยมบ่อยๆนะ น้ำคงดีใจที่ได้เห็นหน้านาย”

นนท์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง



“ผมกำลังจะเดินทางไปออสเตรเลีย... คงพาลูกสาวไปด้วยและคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว...”

“จะเดินทางเมื่อไรครับ...”

“พรุ่งนี้... น้ำคงรับการผ่าตัดพอดี...”

“ไม่บอกลาน้ำก่อนเหรอครับ...”

“ไม่ดีกว่าครับ... ไงก็ฝากน้ำด้วยนะ...”

ผมจับมือกับเขาเพื่อเสริมความมั่นใจให้กับการตัดสินใจของเขา... ไม่รู้ว่าผมตาฝาดไปหรือเปล่าที่เห็นน้ำตาเอ่อคลอขึ้นบนดวงตาของเขา แต่เจ้าตัวพยายามสะกดไว้ ก่อนที่เขาจะเดินจากไป







ทิ้งรักและความหวังสุดท้ายไว้... ให้กับคนรักของผม




















โปรดติดตามตอนอวสาน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

ขอลิงค์ ภาคหนึ่งกะภาคสองหน่อยสิคะ

นะๆ  :call: :call: :call:

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป

ขอลิงค์ ภาคหนึ่งกะภาคสองหน่อยสิคะ

นะๆ  :call: :call: :call:

อย่างที่ผมเคยอธิบายไว้ครับ ว่า



ภาค1นั้นเป็นช่วงที่น้ำกับนนท์ยังคบกันจนกระทั่งนนท์แต่งงานกับหวาน

เป็นบทนำ ถึงบทที่เก้า


ภาคสองเป็นช่วงความสัมพันธ์ของน้ำกับเต้ จนกระทั่งแต่งงานกัน

เป็นบทที่สิบ ถึง สิบแปด


และภาคสาม คือ ช่วงตั้งแต่ฮันนีมูน ครับ

เป็นบทที่ยี่สิบ เรื่อยจนจบ...


ทั้งสามภาคนั้นก็อยู่รวมในกระทู้เดียวกันนี้แหล่ะครับ


ขอโทษด้วยครับที่ทำให้เกิดความสับสนในการอ่านครับ
 :a5:

 :pig4: :กอด1: ทุกการติดตามนะครับ....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2009 13:32:57 โดย christiyaturnm »

ออฟไลน์ -~iK@iZ_KunG~-

  • Tomorrow Never Die!!!
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-2


รออ่านตอนจบครับ


ขอให้น้ำหายดีด้วยนะครับ

สาธุ  :call: :call:


maabbdo

  • บุคคลทั่วไป
เศร้าจังเลย

ทิ้งค้่างไว้ตั้งนานเพิ่งจะมาอ่านต่อ

อยากให้น้ำหายดีไวไว

 :กอด1:

mecon

  • บุคคลทั่วไป
ยังไม่ได้เริ่มอ่านเลยคะ

แต่แวะเข้ามาให้กำลังใจ

ชอบอ่านอะไรที่โศก เศร้าๆ สะเทือนใจอ่ะคะ (เป็นมาโซเรอะ)

เด๋วจะกลับไปอ่านแล้วจะแวะมาทักทายให้กำลังใจใหม่นะคะ

เช้าแล้วไปนอนดีกว่า  :กอด1: :กอด1:

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
mecon =อ่านะ...ครับ มาต่อแล้ว :L2:
maabbdo = มาแล้วครับ :กอด1:
[~^PrinceZa^~ =  :L2:


ติดตามกันต่อเลยครับ




ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก




บทที่ยี่สิบหก


   เต้พาฉันมายังบ้านทรงปั้นหยาหลังหนึ่งที่ค่อยคุ้นตาเท่าไร บนเนื้อที่ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางและเป็นทิวแถวของต้นมะพร้าวริมหาดทรายสีขาวเป็นฉากหลังของตัวบ้าน สายลมเอื่อยที่กระทบใบหน้าและผิวกายที่ซีดบนรถเข็นทำให้ฉันอดกอดตัวเองไว้ไม่ได้ ฉันมองหน้าเขาที่นั่งลงข้างตัวรถและยิ้มให้ฉัน ถามด้วยคำถามซื่อๆแต่ชัดเจนในความหมาย

“ที่นี่ที่ไหนเหรอเต้”
“บ้านใหม่ของเราไง” เต้ตอบสั้นและปล่อยให้ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นตัวอธิบายทุกสิ่งอย่างด้วยตัวของมันเอง ฉันยกมือที่ผอมบางขึ้นป้องปากอย่างปิติ ไหนจะเหนื่อยทั้งงานและดูแลตัวฉันแล้ว ก็หมดเงินไปไม่รู้เท่าไร...

ยังมีเวลาหาบ้านหลังใหม่ของเราอีก

“พาน้ำเข้าไปได้ไหม” ฉันคะยั้นคะยอให้คุณหมอเข็นรถเข้าไปดูตัวบ้านใกล้ๆ ต้นลีลาวดีที่ไม่โตนัก แต่ผลิดอกสีขาวต้นนึง สีแดงต้นหนึ่งบรรยายภายในบ้าน ตัดกับพื้นหญ้ากว้างสีเขียว มีอิฐเก่าๆปูเป็นทางทอดยาวเข้าสู่ตัวบ้าน เต้ป้องมือแหวกม่านสีอ่อนผืนยาวที่พริ้วไหวยามต้องลมออกเผยให้เห็นด้านในที่ตกแต่งด้วยฟอร์นิเจอร์ไม้เพียงไม่กี่ตัว ฉันไล่สัมผัสพวกมันตามลวดลายที่สลักประดับ โดยเฉพาะตั่งตัวยาวที่ดูสีถลอกกว่าใครเพื่อนบนพื้นที่ยกสูง
“สวยจังเลยนะ นี่เต้เลือกเองหมดเลยเหรอ”    เต้พยักหน้ารับแทนคำตอบ ฉันจับมือของเขาบนไหล่ที่มีเพียงกระดูกด้วยแรงที่มีน้อยนิด แทบจะแทนทุกความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขา
ตลอดครึ่งปีที่เป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ กำลังใจที่ให้ฉันพยายามต่อสู้กับโรคร้ายนี้...
“น้ำอยากดูให้ทั่วเลยนะ”

ลมแรงที่พัดมาวูบหนึ่ง พาเอาหมวกและผ้าคลุมเกือบปลิว ตอนนี้ศรีษะของฉันดูโล่งและเย็นวาบเมื่อลมไหลผ่าน ไร้ความรู้สึกของเรือนผมที่โบกสยายอย่างเก่า ฉันเริ่มชินกับสภาพตัวเองมากขึ้น มองโลกในแง่ดีที่ว่า สักวันฉันจะเอาชนะโรคนี้ และหายดีกลับมาเป็นปกติ
เต้เอาหมวกและผ้าคลุมมาใส่ให้ฉันตามเดิม แต่ฉันว่าไม่ต้องจะดีกว่า... นานที คนป่วยอย่างฉันจะได้ออกมาเปิดหูเปิดตาเห็นโลกภายนอกอย่างเขา ได้มีที่ที่อยากมา ในวันเกิดของตัวเอง
“รูปนี้ อุ๊ย...” ฉันสะดุดตากับรูปในชุดเจ้าสาวที่ยืนคู่กับเจ้าบ่าวในกรอบเล็กสีน้ำตาลเหลือบทอง เต้รู้ใจพอที่จะหยิบมาให้กับมือโดยที่ฉันไม่ร้องขอ แต่เขากลับไม่ยอมให้ฉันถือไว้ด้วยตัวเอง
“มีอะไรแปลกเหรอ”
“ป่าวหรอก น้ำว่าน้ำดูอ้วนจังเลย เท่านั้นแหละ” ภาพตัวเองในชุดแต่งงานสีขาว วันนั้นยังคงตรึงอยู่ในความทรงจำ ตราบชีวิตนี้จะหมดลม เป็นช่วงเวลาที่ตนเองไม่เคยนึกฝัน ว่าจะมีสักวันที่ได้แต่งชุดนี้ กับคนๆนี้...
ฉันรับรูปนั้นมากอดไว้บนตัก พาลรื้นน้ำตาจะตื้นขึ้นมาเสียให้ได้

“น้ำ” เต้มองฉันอย่างเข้าใจและซับน้ำตาของฉันให้ เขากุมมือของฉันเอาไว้ มือใหญ่หนาของเขา สำหรับฉันวันนี้มันกลับ อบอุ่นและมีค่ากว่าเดิม
“ขอตัวแปปนึงนะ” เต้เดินลับขึ้นไปบนบ้าน ปล่อยฉันนั่งมองท้องทะเลสีครามที่มีเสียงคลื่นซัดฟังดังเป็นจังหวะครืน ครืน... ให้ใจตัวเองสงบลง รูปนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่บนตัก ระหว่างที่ฉันเฝ้ามองบันไดสูง รอว่า เมื่อไรเขาจะลงมาเสียที
ในที่สุด... เขาก็ลงมาพร้อมกล่องใบใหญ่ และวางให้ฉันบนตักแทนที่รูปนั้นที่เขาเก็บกลับที่เดิม
“อะ... เปิดดูซิ” เต้ชี้ชวน

   “นี่อะไรน่ะ” ฉันมองหน้าเขาที่ทำอมพะนำไม่ยอมพูดอะไรไปมากนอกจากตัวฉันจะเป็นคนเปิดกล่องนี้แล้วดูของข้างในกับตา แค่ฝากล่องเล็กๆน้ำหนักไม่เท่าไร แต่วันนี้กลับดูยากเย็นที่จะเปิดมันออก ฉันแง้มมันออกจนได้ด้วยความช่วยเหลือของคนตรงหน้าอีกแรง...
   สิ่งที่ปรากฏอยู่ภายในทำให้ฉันตื้นตันสุดจะบรรยายได้... แม้เนื้อผ้าของมันจะเริ่มซีดจางและมีรอยไหม้ แต่สำหรับฉันแล้ว มันเป็นสิ่งที่มีค่าพอๆกับชีวิตตัวเองที่เหลืออยู่ ชุดแต่งงาน... ตั้งแต่เกิดเรื่อง ฉันกลับเข้าใจว่าเพลิงกาฬจะผลาญพรากเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉันเสียแล้ว...
   “ตอนที่ไปเก็บของ... เต้เจอมันเข้า พยายามส่งซักมานานก็ไม่ได้ความสักที แถมโดนไฟไหม้แหว่งไปอีก... ขอโทษนะ”
   “เต้ไม่ต้องพยายามอะไรอีกแล้ว...”
   “เพราะแค่นี้น้ำก็ดีใจ...”
   “ดีใจที่มีเต้อยู่ข้างๆ มากกว่าชุดเก่าๆนี้เสียอีก...”





***






กว่าครึ่งปีที่น้ำยอมรับการรักษา ผมเฝ้ามองดูห่างๆอย่างใจหาย น้ำเปลี่ยนจากคนที่ดูน่ารักสดใส กลายเป็นอีกคนที่เหม่อลอยและเฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ร่างกายก็ซูบผอมลงผิดหูผิดตา ทีแรกน้ำว่าจะผ่าตัดเอาซิลิโคนออก แต่เนื่องดูสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงของเธอผมจึงค้านไว้ มันทำให้การรักษาครึ่งๆกลางๆไม่เต็มที่
ผมเองก็จนด้วยเกล้าแล้ว...
ตั้งแต่นนท์เดินทางไปต่างประเทศ ไม่มีข่าวคราวของเพื่อนติดต่อกลับมา น้ำเอาแต่เฝ้าถาม ผมจึงตอบเท่าที่ตัวเองรู้ ทีแรก... ผมจะน้อยใจคนที่ผมรักไปทำไม... ทั้งที่น้ำอยู่กับผม เป็นของผม... จะระแวงมากไปกว่าการให้กำลังใจเธอหายจากโรคร้ายนี้เร็วๆยังเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า
แต่ร่างกายเธอ...มาถึงขีดจำกัดแล้ว...

***

“ผมอยากให้ญาติของคนไข้ทำใจ...” ผมมองหน้าอาจารย์หมอที่เคารพนับถืออยู่ด้วยอ่านความคิดของเขาออก ก่อนมองไปที่พ่อตาแม่ยายของของที่ยื่นฟังเรื่องร้ายนี้ด้วยรู้ดีในโชคชะตา การประคองตัวให้ยืนตรงดูเป็นเรื่องลำบากเหลือแสน แม่ของน้ำเป็นลมฟุบไปจนต้องช่วยกันหายาดมมาให้ฟื้นสติคืน
ผมเองก็ไม่กล้าสู้หน้า... ทั้งๆที่การผ่าตัดสำเร็จ... แต่ร่างกายกลับต่อต้านสเตมเซลล์ของนนท์ที่ปลูกถ่ายเข้าไป...

เสียงสะอึกสะอื้นของผู้เป็นแม่แทบหัวใจสลายที่รู้ว่าแก้วตาดวงใจเหลือเวลาอีกไม่มาก ผมเองไม่กล้าสู้หน้าท่านทั้งสอง มีที่กำแน่นจนช้ำห้อเลือดแทบหมดความหมายไป ที่เรียนมามีประโยชน์อะไร กะอีแค่รักษาคนที่ตัวเองรักกลับทำไม่ได้...




“เรา...พอจะมีเวลาคุยกันสักประเดี๋ยวได้ไหม...” พ่อตาของผมแตะมือหนักๆบนบ่า มองหน้าผมอย่างจริงจังในคำพูดจนรู้สึกกดดันตาม แม่ยายหลับไปด้วยความอ่อนล้าภายในห้องโดยมีเด็กรับใช้คอยพัดวีใกล้ๆ ผมเดินตามท่านไปที่สวน นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“กี่ปีแล้วที่คบกันมา...”
“จะ 10 ปีแล้วครับ คุณพ่อ...”
“งั้นเหรอ... แล้วนี่เราคิดจะมีครอบครัวที่มั่นคงบ้างไหม...” ผมรู้สึกกังขากับสิ่งที่ท่านพูดเปรยมาเป็นนัย พยายามตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆกลางๆไว้
“แล้วที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่เรียกว่าครอบครัวเหรอครับ...” ท่านมองหน้าผมเมื่อได้ยินเสียงยืนกรานหนักแน่น ถอนหายใจเบาๆ
“หมายถึง... เต้ไม่อยากมีภรรยาที่ทำหน้าที่ภรรยาได้สมบูรณ์ มีลูกมีทายาทไว้สืบสกุลหรอกเหรอ...”
“การที่ผมเลือกใช้ชีวิตกับคนๆนึง เพียงเพราะหวังว่าเขาจะมาเป็นแม่ของเด็ก เป็นเครื่องมือที่มาเชิดหน้าชูตาทางสังคม ผมคงไม่ทำแน่... ที่ผมอยู่กับน้ำเพราะรัก... ผมถึงเลือกเขา เลือกทั้งๆที่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร และพร้อมจะดูแลเขาไปถึงที่สุด...”
“ทั้งๆ ที่รู้ว่า น้ำเหลือเวลาอีกไม่มากอย่างนั้นน่ะเหรอ...” พ่อของน้ำแค่นประโยคนี้ออกมาอย่างยากเย็น น้ำลายในลำคอกลับดูฝืดไปถนัดตา สายตาของท่านที่ส่งมาถึงผม ท้าทายคำตอบให้หลุดออกมาจากปาก...

เวลาที่เหลืออยูอีกไม่มาก... อย่างนั้นน่ะเหรอ...








***




ร่างของเราสองคนนอนเคียงกันบนเตียงกว้าง มือของน้ำกอดตัวของผมไว้ไม่ปล่อย เช่นเดียวที่ตัวผมโอบเธอไว้ในอ้อมแขน จูบพรมบนหน้าผากของเธอพร้อมปัดปอยผมที่ตกมาปรกหน้าออก เนื้อตัวของเธอยังร้อนแดงอยู่ ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับเธอหลังจากที่ต่างคนต่างมีงานและหน้าที่ที่ต้องรับชอบของตัวเองมากมาย การที่ได้เชื่อมโยงวิญญาณถึงกันทางร่างกาย เป็นเครื่องหมายแสดงชัดให้เห็นถึงความรักที่มีให้แก่กัน ไม่ได้ลดน้อยถอยลงตามกาล
“หืมมม...” ผมยกศรีษะขึ้นเมื่อเธอบรรจงวาดนิ้วบนอกเป็นชื่อของผม ศรีษะของน้ำยังคงคลอเคลียอยู่บนอกผมไม่ห่าง
“ไม่เคยคิดเลยนะ ว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้จริงๆ เหมือนฝัน...”
“ไม่ใช่ฝันสักหน่อย...” ผมลูบเรือนผมยาวสลวยของเธออย่างเบามือ ทีแรกน้ำอยากเปลี่ยนทรงไปเป็นผมสั้นบ้าง แต่ผมค้านหัวชนฝาว่าไม่เหมาะกับเธอ แบบนี้น้ำยังจะดูน่ารักน่าทะนุถนอมกว่า
“นั่นสิ...” ศรีษะของเธอแนบบนอกของผมใกล้กับหัวใจที่เต้นแรงในอก มันคงบอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีได้ดีกว่าคำพูดที่พรั่งพรูมาเป็นร้อยพัน
“น้ำยังดูดีไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“บ้าน้ำเองก็ 30 แล้วนะ อีกหน่อยก็เป็นป้าเป็นยายแล้ว”
“กลัวอะไรอีกล่ะ เลิกกลัวนั่นนี่ได้แล้ว”
“ก็...”
“เลิกพูดได้แล้ว ถึงอย่างไร เต้ก็มีน้ำคนเดียว ต่อให้น้ำจะหงำเหงือก ฟันหัก ปากเหม็น เหนียงยาน”
“นี่... เดี๋ยวเถอะนะ พูดแบบนี้ทุเรศที่สุดเลย นายเองนั่นแหละ เดี๋ยวก็หัวล้าน พุงยื่น หน้าย่น” ยิ่งพูดกลายเป็นต่างคนต่างกวนใส่กัน ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน พลิกตัวขึ้นมาคล่อมร่างบางของเธอไว้ น้ำดูหน้าตื่นๆแต่ดูเย้ายวนให้ลิ้มลองได้ไม่รู้เบื่อ
“พูดมากจัง ยายเอ๊ย... นี่แนะ ลงโทษซะเลย...”








   
   เมื่อรู้ว่าผมของตัวเองต้องร่วงหล่นลงบนพื้นด้วยผลของเคมีและการบำบัด ยิ่งทำให้ฉันรับไม่ได้กลับสภาพของตัวเอง ยิ่งเห็นหน้าของตัวเองในกระจกกลับยิ่งรังเกียจตัวเองหนักขึ้นไปอีก... ไม่เหลือเค้าของความงามที่เคยมี กลายเป็นอีกคนที่ไม่รู้จัก กุมศรีษะและใบหน้าของตนเองไว้อย่างไม่เชื่อว่าภาพสะท้อน คือตัวตนของฉันจริงๆ


   เพล้ง!



เต้รีบรุดเข้ามาในห้องผู้ป่วย พบตัวฉันที่นั่นสั่นเทาบนเตียง ฉันไม่กล้าสบตาเขา กลัวไปหมดทุกอย่าง...
“เต้... อย่าเข้ามาใกล้นะ ตอนนี้สภาพของน้ำน่าเกลียดมาก เต้รับไม่ได้แน่ๆ” ฉันสะอื้นไห้ ขยะแขยงร่างกายของตนเองเต็มประดา เต้ก้าวเข้ามาหาฉันทีละก้าว ขณะที่ฉันเอามือปัดป่าย ผลักไสเขาไปให้พ้น รีบห่มผ้าคลุมร่างกายที่น่าเกลียดของตัวเองไว้
“ทำไมล่ะ”
“ดูซะสิ” ฉันเผยร่างกายที่น่าเกลียดของตนเองพร้อมน้ำตาที่ไหลมาเป็นสายด้วยน้อยใจในกงล้อแห่งโชคชะตา ก่อนจะถูกดึงไปซบสะอึกสะอื้นบนชุดกาวสีขาวของเขา
“แล้วไงล่ะ”
“เต้จะยังรักน้ำอยู่อีกเหรอ ทำไมไม่คิดจะเปิดใจให้คนอื่นบ้าง” ฉันยังต่อปากต่อคำกับเขาที่ไม่มีทีท่าว่ารังเกียจ เต้ลดตัวลงมาจับศรีษะของฉันไว้พร้อมรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นและใจดีนั่น
“น้ำอย่าผลักไสเต้ให้ใครเลยนะ คนเดียวที่เต้รักคือคนคนนี้คนเดียวเท่านั้น รีบหายไวๆนะ” เงาสะท้อนของฉันในดวงตาของเขายังคงเป็นภาพที่งดงามเสมอตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน ฉันไม่ได้รู้สึกไปเอง แต่สัมผัสได้ ว่าคนๆนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปตามความผกผันของเวลา


“เต้...”
“จะรักตลอดไปด้วย”
“ถ้าน้ำไม่อยู่บนโลกนี้แล้วล่ะ” ฉันย้ำคำถามนี้กับเขา สายตาของเขาหรี่ลงก่อนจะฝืนๆยิ้มให้พร้อมจุมพิตเบาๆที่แก้ม
“อย่าพูดแบบนั้นสิ มันต้องมีสักวิธีที่จะช่วยให้น้ำมีชีวิตต่อไป อยู่กับ...เต้ต่อไป”




***







ผมขนหนังสือมากมายมาไว้ยังห้องผู้ป่วย ทะยอยเวียนเปลี่ยนออกไปไม่ให้จำเจและเป็นที่อับฝุ่น ยิ่งเห็นน้ำร่าเริงสดใส ผมยิ่งมีความสุข แม้น้ำจะทำกิจวัตรอะไรไม่คล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมเองก็พร้อมจะมาเป็นทั้งแขนขาให้เธออย่างเต็มตัว เราอยู่ด้วยความหวังว่าเธอจะต้องหายดีในไม่ช้า... แม้จะไม่สมบูรณ์เต็มร้อย
เพราะความหวัง... มันทำให้ชีวิตดูมีค่ามากขึ้น

เราไม่พูดกันถึงเรื่องหวานอีก... ไม่พูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่โทษว่าเป็นความผิดของใคร ในเมื่อหวานไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว นนท์เองก็อยู่อีกซีกโลกหนึ่ง ต่างคนต่างวิถีที่จะดำเนินชีวิตของตนเอง คงไม่ดีแน่ถ้ามัวจมอยู่กับสิ่งเก่าที่แสนเจ็บปวดนั้น น้ำเองก็ดูจะลืมๆมันไปแล้วเช่นกัน
ผมได้รับข่าวดีจากฝ้ายว่าเธอจะแต่งงานปีหน้า ผมอดดีใจแทนเธอไม่ได้ในฐานะเพื่อน แม้จะรู้ดีว่าเธอแอบชอบผมมานานก็ตาม ผมได้แต่อวยพรให้และสัญญาว่าถ้าน้ำดีขึ้น คงได้เห็นเราทั้งคู่ไปร่วมงานด้วยกัน ฝ้ายยังมีหยอดในตอนท้ายว่าไม่กลัวน้ำจะไปสู้รบปรบมือกับแม่ของเธออีกหรือ ผมยังหัวเราะร่วมตามไปเหมือนกัน

“คุณน้ำดีขึ้นมากแล้วล่ะครับ เราอนุญาตให้เธอไปพักฟื้นที่บ้านได้ หากแต่ต้องยังอยู่ในความดูแลของแพทย์นะครับ” เพื่อนหมอของผมเจ้าของไข้น้ำเป็นคนบอกผม หลังจากที่ผมไปสอบถามอาการตลอดและร่วมแสดงความยินดีที่กำลังจะเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวตามประสาคนเคยมีประสบการณ์
“ขอบใจนะ...” ก็เหมือนว่าเตรี๊ยมกันกลายๆนั่นแหล่ะ... ผมเองก็รู้สึกว่าน้ำเองคงเบื่อที่จะอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่ไหนนอกจากโรงพยาบาลมาร่วมครึ่งปี น้ำคงจะดีใจที่ได้ออกไปเห็นอะไรๆข้างนอก และผม... ก็มีของขวัญที่อยากจะให้เนื่องในวันเกิดของเธอที่จะถึง
บ้านเรือนปั้นหยาที่ผมปลูกขึ้นด้วยวัสดุแทนไม้ทาสีสดกับเนื้อที่เพียงไม่กี่ตารางวาที่ผมหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง อยากทำให้เธอดีใจ... ผมเองก็อยากทำคลีนิคเล็กๆรักษาผู้ป่วยอยู่ที่นี่ และได้ดูแลเธอใกล้ๆกันด้วย




รอเพียงเวลา... ที่เจ้าของวันเกิดจะได้มาเห็นมัน...




***



“ถึงอย่างนั้น... ผมก็ดูแลเขาไป และรักเขาไม่เปลี่ยนอยู่ดี...” ผมตอบด้วยเสียงหนักแน่นชัดเจน พ่อของน้ำเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกอดอกอย่างวางท่า
“อย่างที่เต้รู้ พ่อกับแม่มีลูกเพียงคนเดียว ถึงแม้น้ำเขาจะเป็นแบบนี้และยังต้องมาป่วยอีก”
“พ่อกับแม่ ขอฝากน้ำไว้กับเต้นะ ดูแลน้ำให้ดีๆ จนกว่า...” ท่านลุกมาตบบ่าของผม ผมตบปากรับคำอย่างไม่ลังเล



“ครับ ผมสัญญา”

“ขอบใจนะ ลูก... เต้...”



   
***

“เช้านี้เป็นไงบ้าง” เต้บิดขี้เกียจเดินเข้ามาในครัว มีฉันนั่งอยู่ข้างโต๊ะอาหาร เขายกอาหารมาตั้งโต๊ะและทำหน้าเหม็นเบื่อ ตื่นนอนก็สายซะขนาดนี้ แถมยังเดินใส่กางเกงบ็อกเซอร์ร่อนไปร่อนมาไม่อายเอาเสียเลย
“ก็ดีนะ มีแต่เต้นั่นแหล่ะที่มัวแต่นอนขี้เซา” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงประชด เต้ตามมาชิมรสแกงจืดสาหร่ายเต้าหู้ แล้วพยักหน้าให้ เกือบจะเดินเลยฉันไปโต๊ะอาหารแล้ว ยังจะทำตาเจ้าเล่ห์ วกกลับมาโอบหลังทำเคลียร์คลอเสียอีกแนะ
“แล้วไง เต้ทำงานแค่หน้าบ้านตรงนี้เองนะ จะเปิดตอนไหนก็ได้ มีเวลาให้เราจะได้อยู่กันสองคนไม่มีกอขอคอ” ทำเป็นซุกไซ้นั่นแหละ นายตัวดี นี่แน่ะถ้ามีแรง จะขอเคาะด้วยตะหลิวซักทีเถอะ
“คิดอะไรน่ะ ไม่เปิดคลีนิครึไงวันนี้” เต้ปิดไมโครเวฟและเตาไฟฟ้า เดินเลี่ยงออกมาหยิบชามไปตักแกงจืด สองสัปดาห์แล้วที่เราย้ายออกมาอยู่ด้วยกันที่นี่ รู้สึกไม่ค่อยจะคุ้นชินเท่าไรเลยที่ต้องนั่งๆนอนๆบนรถเข็น โดยมีเต้คลุกอยูทั้งงานที่คลีนิคและเป็นพ่อบ้าน ยอมรับว่าเขาทำอาหารได้เก่งและอร่อยขึ้นมาก
“ปิดสักวันจะเป็นไร...” เต้หมุนตัวฉันเข้าจันหน้า จุมพิตเบาๆ ฉันมองหน้าเขาอย่างอายๆ เต้เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ไล้ริมฝีปากสีซีดของฉันไปมา พลางกุมมือที่ซูบผอมลงไปถนัดตาขึ้นมากลางอก


“อยู่กับเมียที่บ้านบ้างไม่ดีรึไง” ถึงเต้จะพยายามพูดให้ฉันสบายใจและมีกำลังใจขึ้นก็ตาม ต่างคนต่างทราบดีว่าเวลา มันช่างลดน้อยถอยลงไปอย่างน่าใจหาย
“งั้นแสดงว่ามีใครอยู่บ้านอื่นรึไงน่ะ บอกมานะ” ฉันยุแยงขึ้น ท่ามกลางความอึดอัดนั้น แหย่พอให้หายวิตกกังวล หรือมีเสียงหัวเราะขึ้นมาบ้าง เต้ยิ้มหน้าเจื่อนๆ หัวเราะเบาๆ พลางจับฉันหันหน้าไปทางโต๊ะอาหารที่เตรียมไว้เรียบร้อย
“ขี้โมโหจัง ช่างจับผิดชะมัด มีคนเดียวก็ปวดหัวแล้วไม่หาเรื่องเพิ่มอีกหรอก” เต้หวีเรือนผมปลอมฉันเบาๆ อย่างเอ็นดู ฉันเหลือบเห็นรื้นน้ำตาเล็กๆปรากฎบนดวงตาคู่นั้นของเขา ฉันรีบเบนสายตาออกไปด้านนอกทันที เสียงคลื่นยังแว่วเคล้าคลอกับเสียงลมและนกหาปลาริมชายหาดดังดุจดนตรีบรรเลงเพลงไม่รู้จบ อยากออกไป ชื่นชมความงดงามภายนอกนั้นอีกครั้ง อยากสัมผัสกับผืนทราย เล่นน้ำทะเล ต้องแสงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นกับสรรพสิ่งบนโลกมานานแสนนาน
“วันนี้ข้างนอกสวยดีนะ เหมือนภาพวาดเลย”

“อยากไปเดินเล่นไหม” เต้เอ่ยปากชวน แทบทำให้ใจของฉันลิงโลดโจนทะยานออกมาเสียเดี๋ยวนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ใช่เด็กๆแล้วที่จะมาแสดงกิริยาเกินจริต แต่คำอนุญาตของเขาจุดประกายความหวังให้ฉัน
“ไปซิ”
“แต่ทานข้าวเช้ากันก่อนนะ” เต้ต่อรอง ฉันมองไปที่กับข้าวหลายอย่างบนโต๊ะ ลำพังกระเพาะเล็กๆของฉันคงทานได้อย่างละนิดหน่อยเท่านั้นเอง
“ทำอะไรเยอะแยะเชียว ความจริงไม่ต้องทำมากขนาดนี้ก็ได้นะ” เต้ยกข้าวสวยร้อนๆ มาให้ ฉันจับมือของเต้ไว้
“เต้ทำเพื่อน้ำมามากแล้ว มันทำให้น้ำหนักใจ ที่น้ำเองก็อยากจะตอบแทนเต้บ้าง แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง...” ฉันพูดเสียงออดอ้อน เต้ชักสีหน้ามาหา คิ้วขมวดปม
“น้ำอย่าพูดแบบนั้นอีกนะ”

“ทำไมเหรอ เต้อย่าคิดมากซิ ไม่เอาล่ะไม่พูดแล้ว ทานข้าวกันเถอะ” ฉันยิ้มให้ ลงมือทานข้าวกัน ฉันฝืนทานไปอย่างละนิดอย่างละหน่อย รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาในท้อง ดื่มน้ำตามไปนิดนึงแล้ววางช้อมส้อมของตนเองแนบไปกับจานเปล เต้วางช้อนลงตาม ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“น้ำไม่ค่อยทานเลย เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอก รู้สึกไม่ค่อยอยากทานเท่าไรน่ะ อาหารอร่อยดีนะ อย่าคิดมากเลย... ไว้น้ำจะทานอีกใหม่ก็ได้” ฉันฝืนตอบไปให้เขาสบายใจขึ้น พลางชี้ชวนถามเรื่องอื่น คุยกับเขาเป็นเพื่อน เต้ทานไป ก่อนจะหยอดคำนึงใส่

“เอ๊ะ อาการแบบนี้แพ้ท้องหรือเปล่าเอ่ย...”
“บ้า น้ำก็แบบนี้บ่อยๆ อย่ามาแซวเล่นนะ” เต้พูดติดตลกไป ให้ฉันได้ยิ้มได้หัวเราะบ้าง พอลืมเรื่องไม่ดีหลายๆเรื่องได้ครู่หนึ่ง เต้เริ่มอิ่มแล้ว ฉันยื่นจานให้เขาไปล้าง กลับมือไม้อ่อนหมดแรงเสียดื้อๆ จานชามที่ถือมาตกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ทำจานแตกอีกแล้ว ไม่ต้องเลย เต้ทำเองดีกว่า” เต้ล้างมือให้ แล้วพามาอีกฝั่งของโต๊ะทานอาหาร ฉันฮึดฮัดไม่พอใจ เซ็งที่เวลาจะทำอะไรเขาก็เอาแต่ขัดไม่ให้ทำแล้วลงมือทำแทนเองหมดทุกอย่าง


“นั่งนั่นแหละ อยู่เฉยๆนะไม่ต้องทำอะไรหรอกนะ” เต้แอบชำเลืองมองและดุทันทีที่ฉันกำลังจะหาเรื่องไปปอกผลไม้ ฆ่าเวลาไป ฉันอดขำไม่ได้จริงๆ นี่เขากำลังจะกลายเป็นพ่อคนที่สองของฉันไปแล้วรึไงเนี่ย









***
 
สายลมเอื่อยๆพัดโชยเข้ามา ม่านสีอ่อนโบกพลิ้วเป็นจังหวะ เผยให้เห็นท้องทะเลภายนอกที่คลื่นคอยซัดเข้าหาฝั่งไม่หยุดนิ่ง เมฆปกคลุมท้องฟ้า ทั้งๆที่เป็นหน้าร้อนอยู่แท้ๆ รู้สึกฉงนใจกับวันนี้จัง เต้ล้างจานเสร็จแล้ว ก็จูงรถเข็นพาออกมาข้างนอกด้วยทันที เวลาที่อยากย่ำผืนทรายด้วยเท้าเปล่า ได้มองขอบฟ้าและทะเลที่บรรจบกัน โลกนี้ช่างดูกว้างขวางอย่างบอกไม่ถูก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเหลือเกิน โดยเฉพาะการที่มีคนๆนี้อยู่เคียงข้าง ฉันจะไม่ขออะไรกับพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าอีกเลย

“แปลกนะวันนี้ไม่ยักมีแดดเลย” เต้อุ้มฉันลงนั่งบนหาดทราย ส่วนเขาวิ่งลงทะเลไป โบกมือให้ฉัยู่ไกลๆแล้วย้อนกลับมา
“ดีแล้วน่า ขืนมีแดดออก เดี๋ยวน้ำเป็นลมขึ้นมาอีก” ฉันไม่สนใจคำพูดของเขา วักน้ำสาดใส่เขา เขาเองก็เช่นกัน เราต่างหัวเราะคิกคักที่ได้ทำอะไรแบบเด็กๆอีกครั้ง บางทีนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ฉันจะได้อยู่กับเขา เต้
วันนี้น้ำมีความสุขมากเลยนะ...

“เสียงคลื่นนี่ฟังดูเศร้าจัง” ฉันหยุดฟังเสียงคลื่นกระทบหาดเป็นจังหวะเข้ากันกับความเงียบงันของบรรยากาศรอบข้าง ฉันเงยหน้ารับลมทะเลพัดโชยมาปะทะเบาๆ พลันวูบหนึ่งรู้สึกแขนขาหมดเรี่ยวแรงมาดื้อๆ ฟุบลง

“น้ำ...” นนท์รีบวิ่งมาประคองร่างฉันเอาไว้ สีหน้าเป็นกังวลอย่างมาก ฉันยิ้มตอบ แกล้งทำหน้าเหรอหราไปทั้งๆที่ตัวของฉันเริ่มเย็นขึ้นมา
“ไม่เป็นไรหรอก แค่หน้ามืดนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวก็... อ๊ะ...” พอทำเป็นว่าจะเกาะคอเขาที่ช้อนตัวฉันขึ้น ทว่าร่างกายไม่ให้ความร่วมมือด้วยเอาเสียเลย หายใจก็เริ่มติดขัด เต้ดูจะตกอกตกใจจนฉันต้องปลอบด้วยรอยยิ้ม ซึ่งมันกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นสักนิด

“อย่าฝืนเลยนะ นี่มาขี่คอเต้ดีกว่า เดี๋ยวเราไปนั่งที่ชิงช้าใต้ร่มไม้นั่นดีกว่านะ” ฉันขี่หลังของเขาอย่างจำใจ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้กอดแผ่นหลังเขาไว้แบบนี้ ฉันสัมผัสได้ถึงความแข็งแรงและมั่นคง รวมทั้งภาระและความหวาดหวั่นต่างๆที่เขาต้องแบกรับเอาไว้ตลอดมา

“เต้…” ฉันพยายามชวนเขาคุยด้วย ทั้งๆที่ไม่รู้สึกง่วงเลย ทำไมสมองมันเริ่มเบลอๆแบบนี้นะ น้ำเสียงฉันเองก็อ่อนแรงและกระท่อนกระแท่นลง

“มีอะไรเหรอ คุณตัวเบามากกว่าที่ผมคิดเสียอีกนะ ทานเยอะๆหน่อย” นนท์กระเซ้า ระหว่างที่รีบจ้ำไปยังเปลยวนใต้ร่มไม้

“อื้อ ถ้าน้ำไม่อยู่แล้ว เต้จะทำอะไรต่อไปเหรอ” ฉันโพล่งถามออกไป ซบคอเต้ มองเรือลำหนึ่งที่แล่นอยู่ลิบๆนั้น

“อย่าพูดแบบนี้อีกนะ เต้จะอยู่ที่นี่ อยู่กับน้ำแบบนี้ ตลอดไปด้วยกัน” ฉันสังเกตเห็นว่าเต้หน้าเสียทันที เขาดุว่าไม่ควรจะพูดแบบนั้น ฉันเงื้อหน้าหอมแก้มเขาเบาๆ







“เต้... ขอบคุณนะที่ยังรักน้ำเสมอ” เต้ไม่ตอบอะไรต่อ ความเจ็บปวดอีกระลอกมาเยือน ฉันหยีตาอดกลั้นเอาไว้

“อื้อ... เอาละนอนตรงนี้นะ เดี๋ยวแวบไปเอายาที่บ้านมาให้นะ” เต้ช้อนตัวฉันวางลงบนเปลยวนเบาๆ และไม่ทันจะหันหลังไป ฉันรวบรวมแรงเท่าทีตัวเองมี รีบฉวยมือของเขาเอาไว้ อยากให้เต้อยู่ใกล้ๆฉันแบบนี้



“อย่าไปไหนเลยนะ” สายตาของฉันวิงวอนบอกอีกทางหนึ่ง เขามีท่าทีลังเลพักหนึ่ง

“แต่ว่า...” เต้สีหน้าดูไม่สู้ดีทีเดียว ฉันยิ้มให้ดูน่าเชื่อถือกับเขาแทนคำตอบที่ว่าฉันเองไม่ได้เป็นอะไรมาก

“นะ... นอนสักพักตรงนี้คงดีขึ้น” ฉันขยับตัวเข้าไปหาเต้ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจ และค่อยๆนอนลงข้างๆ โอบตัวฉันเอาไว้ในอ้อมแขน

“เต้...” น้ำเสียงของฉันเริ่มเจือจางบางเบาลง อยากให้โลกนี้หยุดหมุนลง อยากให้เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆจัง



“หืมม...” เต้เริ่มรู้สึกว่าตัวของฉันเย็นลงมากและหายใจช้าลง เขากอดฉันเอาไว้ น้ำตาซึม บัดนี้ดวงตาของฉันทั้งคู่ได้ปิดลงเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่จะทำให้แก่เขาได้ มีเพียงรอยยิ้ม และความรู้สึกนี้ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหรือลบเลือนไปแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว

“ทำไมมันมืดไปหมด แบบนี้นะ...”

“น้ำทนอีกนิดนึงนะ เต้ว่า... เราไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่านะ”







“น้ำ...รัก..เต้... นะ”



เสียงของฉันแผ่วเบาลง เช่นเดียวกับลมหายใจ รู้สึกราวกับตัวเองหลุดลอยออกไป ทิ้งกายเนื้อไว้ ให้นอนนิ่งอยู่ภายในอ้อมกอดของเขานั้น ไปสู่แสงสว่างอันเจิดจ้าของเบื้องบนนั้น ไม่รับรู้ว่าใบหน้าของเต้ เอ่อล้นด้วยน้ำตา กอดร่างอันไร้วิญญาณของฉันไว้แนบกาย ตะโกนชื่อของฉันอย่างคนคลุ้มคลั่ง แข่งกับเสียงคลื่นสาดกระเซ็นกระทบฝั่ง

พระอาทิตย์แย้มออกมาจากกลีบเมฆสาดแสงนำทางชีวิตบนโลกให้ดำเนินไปอีกครั้ง



แม้ว่าฉันจะไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว...


ขอบคุณนะเต้


ลาก่อน...















** อวสาน **





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-02-2009 14:57:57 โดย christiyaturnm »

pupper

  • บุคคลทั่วไป
น้ำตาร่วง เลยครับ
แต่ก็นะครับ ชีวิตคนเรา
เมื่อมีพบก็ต้องมีพัดพราก
มันเป็นธรรมดาของชีวิต
แต่น้ำก็จากไปอย่างมีความสุข
ในอ้อมกอดของคนที่รักน้ำมากที่สุด

imageriz

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งเข้ามาอ่านวันนี้  อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ
เป็นเรื่องที่เศร้าตั้งแต่ตอนต้นเรื่องจนกระทั่งจบเรื่อง
แต่ในความเศร้าก็แฝงไว้ซึ่งความสุข
อย่างน้ำ ถึงแม้ความรักระหว่าน้ำกับนนท์จะไม่สมหวัง
แต่ก็ยังได้รับความจากเต้ ซึ่งครั้งหนึ่งก็เคยมีความรู้สึกดี ๆ ให้กันมาก่อน
และถึงแม้น้ำจะจากไปจากโลกนี้ แต่เธอก็ได้รับความรักจากผู้ชายสองคนไปพร้อมกับเธอ

ส่วนหวาน เธอทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งคนที่เธอรัก แต่เธอไม่รักษามันไว้ให้ดี ก็น่าเห็นใจ
นะ อยู่กับความหวาดระแวง  ความไม่เชื่อใจในคนที่เธอรัก เพราะมันไม่ได้มาจากความรัก
แต่มันมาจากการแย่งชิง

 :เฮ้อ: อะไร ๆ ในโลกนี้ก็ล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยง มีรัก ก็มีเลิก มีเกิด ก็มีตาย
มีดีมีเลว (เพ้อเจ้อไปใหญ่แหละ :laugh:)

 :pig4:  คนแต่งนะ ที่แต่งเรื่องนี้มาให้ได้อ่าน ไม่ใช่แค่นิยาย แต่มันแฝงข้อคิดอะไรหลายเหมือนกัน

+1 ให้คนแต่งนะ  :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
มันเศร้านะเนี่ยอ่านไปเรื่อยๆๆ จนมาถึงตอนสุดท้ายน้ำตาไหลไม่รู้ตัวเลย
 น้ำโชคดีนะที่มีคนที่รักได้มากขนาดนี้
ได้อยู่ด้วยกันจนลมหายใจสุดท้าย
ขอบคุณนะนะอาร์สำหรับเรื่องประทับใจในรักแท้เรื่องนี้ :pig4:

maabbdo

  • บุคคลทั่วไป
ร้องไห้เลยอ่ะ

สงสารทั้งน้ำและเต้

 :m15:

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆน้า

 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด