พิมพ์หน้านี้ - ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: christiyaturnm ที่ 19-06-2008 23:06:44

หัวข้อ: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 19-06-2008 23:06:44
คำนิยามจากผู้แต่ง

   เรารู้จักรักกันมากแค่ไหน...
เราพยายามเพื่อความรักมากแค่ไหน...
และเรารักษามันไว้กับตัวได้ดีแค่ไหน...

ต่างคนต่างมีคำตอบเป็นของตนเอง ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะเลือกการเสียสละ หรือ ความเห็นแก่ตัว รักมีมุมมอง มีนิยาม มีมิติ เป็นอะไรที่กว้างกว่านั้น เรื่องนี้คุณอาจจะมองข้ามไปไม่สนใจที่หยิบมันขึ้นมาอ่านเลยก็ได้ ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว เพ้อฝัน และไม่มีทางเป็นจริงได้
ฉันโตมาในครอบครัวที่ตรงกันข้ามกับ “น้ำ...” ตัวละครที่ตัวฉันเองวาดฝันว่ามันคือตัวฉันเอง ครอบครัวที่อบอุ่นและเข้าใจ การมองโลกในแง่ดีด้านเดียวที่ไม่มีทางจะเกิดขึ้นกับฉันได้เลย กับอีกสองคน คือ “นนท์...” คนที่ไม่มั่นคงในตัวเอง ปล่อยให้ปัญหาลุกลามใหญ่โตจนยากจะแก้ สุดท้ายก็ต้องสูญเสียและเจ็บปวด คนๆนี้ คือด้านหนึ่งของฉัน ด้านที่เอาแต่หนีปัญหามากกว่าที่จะเสี่ยงตายเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ ฉันเลือกที่จะปกป้องตัวเองให้เจ็บปวดน้อยที่สุด และสิ้นสุดลงตรงที่เลือกที่จะเจ็บคนเดียว และ “เต้...” คนที่มั่นคงในความมุ่งมั่นของตนเอง แต่กลับมองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆรอบตัว ฉันสร้างจินตนาการของทั้งสามคนนี้ในมุมมองของตัวตนของฉันเอง ตัวตนที่ฉันปรารถนา และตัวตนที่ฉันรังเกียจ ผูกเป็นเรื่องราวบทหนึ่งของชีวิต ที่อยากจะบอกใครหลายคนให้รับรู้ว่า รักเกิดขึ้นง่ายดายแค่ไหน แต่สิ่งที่ยากเย็นกว่า คือการรักษาความรักไว้กับเราให้นานตราบที่จะนานได้
กว่าหนึ่งปีที่เรื่องนี้จะเขียนออกมาได้นั้น ไม่ได้ตรงไปตามที่พล็อตเรื่องไว้แต่แรก หลายสิ่งหลายเรื่องทั้งสุขและทุกข์ ฉันพยายามนำมาผูกโยง ถักทอเรียงร้อยกัน เป็นเรื่องเรื่องนี้ขึ้น ไม่อยากเรียกว่านิยาย แต่ขอนิยามว่า กึ่งๆเรื่องเล่ามากกว่า ไม่มีการอ้างอิงบุคคล หรือ สถานที่จริง หรือ เรื่องจริงใดๆจากเรื่องดังกล่าว

ที่อยากฝากให้ผู้อ่านได้ซึมซาบ สัมผัส ความรู้สึก อารมณ์ของตัวละครแต่ละคนอย่างเข้าใจ เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง เราอยู่กับความหลายหลายและแตกต่าง ควรเคารพกันและกัน
ค่าของคนอยู่ที่ใด...

อยู่ที่... ใจของเรา ยังเป็นเชื่อมันในคำว่า"รัก"อยู่หรือเปล่า ต่างหาก
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 19-06-2008 23:09:30
ตะเอง เรื่องเก่าอ่ะยังไม่จบ ขยันจังนะจ๊ะ :o8:
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 19-06-2008 23:12:58
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม








ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก


บทนำ


ดวงตาของฉันเริ่มพร่ามัว รับภาพของกลุ่มคนที่อยู่รายล้อมได้ไม่ถนัดหนัก แต่ก็สามารถคาดเดาได้ว่าใครเป็นใครบ้าง ฉันได้ยินเสียงของแม่กำลังร่ำไห้ซบอกพ่ออยู่ข้างๆด้านขวาของเตียง ทว่าตัวเองแทบไม่มีแรงที่จะขยับตัว ขนาดเปล่งเสียงก็ทำได้อย่างยากลำบาก แม่จ๋า หนูบาปเหลือเกิน ที่ทำให้แม่ต้องเสียใจแบบนี้
“คุณแม่ ต้องทำใจดีๆนะคะ คนไข้จะได้ไม่วิตกกังวลมาก เดี๋ยวอาการอาจทรุดลงได้ค่ะ” พยาบาลสาวปลอบโยนแม่ของฉันด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและเป็นห่วงเป็นใยท่าน ขณะที่ปรับสายน้ำเกลืออยู่ข้างเตียง
“ฉันจะพยายาม จะพยายาม” น้ำตาแม่พรั่งพรูออกมา น้ำเสียงสั่นเครือ แม่พยายามไม่หันมาสบตาฉัน เอาแต่หลบในอ้อมกอดของพ่อ

            ประตูห้องเปิดขึ้น ฉันไม่ได้สนใจแต่ดูเหมือนว่าสายตาของทั้งพ่อและแม่เลื่อนตำแหน่งจากฉันไปยังผู้ที่เข้ามาภายในห้อง แม่ยังคงสะอึกสะอื้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักทายอะไร พ่อเองก็เช่นกัน พลอยทำให้ฉันใคร่รู้ว่าใครกันที่เข้ามาภายในห้อง
ฉันคนที่อยู่ปลายเตียงนั้นดูแปลกตานัก ไม่ว่าพยายามเพ่งพินิจเท่าไร พยายามทบทวนความทรงจำที่ผ่านมาต่างๆ ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าสองคนนั้นคือใคร จนร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ เสียงที่หนักเข้มและอีกหนึ่งเสียงที่นุ่มนวลเริ่มชัดเจนขึ้น ตัวฉันสะดุ้งขึ้นอย่างประหลาด ตาเบิกโพลงขึ้น ฉันรู้แล้วว่าเป็นใคร
   “คุณแม่ สวัสดีครับ/คุณน้า สวัสดีค่ะ” ทั้งสองพูดเกือบพร้อมกัน มองมายังร่างผอมบางที่หายใจระรวยริน แข่งกับเสียงเครื่องวัดการเต้นของหัวใจ เสียงนาฬิกา และเสียงแอร์ดังครืดคราดภายในห้อง
   “น้ำเป็นอย่างไรบ้างคะ” เธอขยับตัวมาข้างเตียงฉันและกุมมือฉันไว้เบาๆ น้ำตาฉันไหลไม่รู้ตัว พยายามพะงาบปากสื่อสารกับเธอแต่ทว่าไม่สนใจ
   แม่มองหน้าทั้งสองแต่ไม่ยอมเอ่ยอะไร น้ำตา น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และสามารถอธิบายความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ทั้งหมด
   เธอเป็นเพื่อนที่ฉันรักมากคนนึง ฉันดีใจมากที่เธอมาเยี่ยม ตั้งแต่เกิดเรื่องล่วงมาจนถึงตอนนี้ หลายปีเหลือเกินที่ไม่ได้เจอเธอ ฉันสัมผัสได้จากแววตาและท่าทางของเธอ ที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย สงสาร และคำขอโทษที่อยากจะพรั่งพรูเป็นคำพูดออกมา แต่เพียงเท่านี้ก็ดีใจแล้ว
   “น้ำ... ฝ้ายพานนท์มาด้วยนะ นี่ไง” เธอพยายามพูดด้วยน้ำเสียงร่วมกับสีหน้าที่ร่าเริง แม้ว่าจะเป็นการแสร้งทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นชั่วขณะก็ตาม นนท์เดินเข้ามาอยู่ข้างๆเธออย่างกล้ากลัว ฉันสังเกตเห็นฝ้ายจับมือเขาไว้แน่นทีเดียว
นนท์ ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ฉันอยากเจอมาก แม้จะอยากเจอแค่ไหน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอายและสมเพชสภาพตัวเองในขณะนี้มาก สายอะไรต่อมิอะไรระโยงระยางรายรอบตัวฉัน ราวกับพันธนาการที่ฉันไม่อาจหลุดพ้นไปได้ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิตจะมาเยือน ซึ่งรู้ว่าอีกในไม่ช้านี้เอง

“นน....” ฉันพยายามเปล่งเสียง และเอื้อมมือไปหาเขาอย่างยากลำบาก ทั้งไกลและเลือนลางเหลือเกิน
ฉับพลันที่เขาสวมกอดและประคองฉันขึ้น ฉันได้แต่หลับตาและรู้สึกได้ถึงความรู้ต่างๆที่เค้ามีต่อฉัน แม้ว่าตอนนี้ ทุกอย่างจะสายเกินไป และไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
“ผมขอโทษ” ฉันยิ้มแม้รู้ว่าคนที่กอดจะไม่รับรู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไร ประโยคนี้ยังก้องอยู่หัว สติฉันเริ่มจางออกไป ย้อนไปถึงเรื่องราวเก่าๆที่ผ่านมา




ฝากเรื่องนี้ด้วยนะครับ  เป็นแนวสาวสองน่ะ
แต่งไว้นานแล้ว
ไงก็ระหว่างที่รอเรื่อง RKA mission ที่ผมยังตื้อๆอยู่
ก็อ่านเรื่องนี้ไปพลางก่อนนะครับ
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 19-06-2008 23:22:36
“ผมตัดสินใจแล้ว ก็นี่เป็นเรื่องของคนสองคนนี่นา ที่รู้สึกกับน้ำ ไม่ใช่แบบเกย์ซะหน่อย ผมรู้สึกว่าน้ำเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจและรู้สึกดีที่อยู่ใกล้ เหมือนกับที่ผู้ชายคนนึงชอบผู้หญิงคนนึง เราคบกันนะ”


















บทแรก
   


อากาศตอนเย็นช่างร้อนอบอ้าว เมฆเคลื่อนตัวลอยต่ำราวจะมีฝนตกในไม่ช้า แสงแดดค่อยๆทอดตัวยาวเข้ามาผ่านบานกระจก วันนี้ฉันอยู่บ้านคนเดียว นั่งทำงานแข่งกับเวลา พลิกขาไปมาขยับเนื้อตัวคลายปวดเมื่อยขณะที่ จดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์คู่ทุกข์คู่ยากมาครึ่งค่อนวัน จนไม่ทันได้สังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้นข้างนอกบ้าง
“จุ๊บ” นนท์แอบย่องเข้ามาให้ห้องเงียบๆ ไม่ทันที่ฉันจะรู้ตัว เขาก็หอมแก้มด้านซ้ายเสียแล้ว ฉันสะดุ้งก่อนหันมาจันใบหน้าของนนท์ที่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อยู่ข้างๆฉันอายหน้าแดงและบึ้งใส่

“นี่แอบเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย น้ำตกใจนะ” ฉันพิมพ์งานต่อ แอบเหลือบมองเขาบางครั้ง
“อยู่บ้านเดียว ทำไมไม่ดูแลล็อคประตูให้ดีล่ะ นี่ก็กดออดตั้งหลายครั้งแล้วนะ ถ้าเกิดเป็นขโมย โจร น้ำไม่แย่เหรอ” นนท์ดุก่อนทิ้งตัวลงบนเตียง วางเป้ไว้กับพื้น นั่งกางขาพักเหนื่อย พลางเช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยอยู่เพราะความร้อนจากนอกห้อง
“ก็ทำงานเพลินนี่นา วันนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน อยู่เป็นเพื่อนน้ำนะ คนอื่นๆก็ไม่ว่างกันเลย” ฉันละจากงานที่ทำทันทีที่เห็นเขาเดินมาใกล้ และโอบไหล่ไว้ หน้าแนบกันและกันก่อน เปล่งคำพูดเบาๆข้างหู

“ได้ๆแต่จะให้รางวัลอะไรล่ะ อุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อนด้วยเนี่ย” นนท์เคลียคลออยู่ข้างๆ ฉันยิ่งอารมณ์เสียสลัดตัวออกจากอ้อมแขนของเขา 
“นายนี่มันกวนจริงๆ  มานี่ก็กินฟรี ไฟฟรี น้ำฟรีแล้วจะเอาอะไรอีก” แม้ว่าจะใจจดๆจ้องอยู่หน้าคอมแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้ามาต่อล้อต่อเถียงกับเขา ฉันไม่ชอบให้ใครมารบกวนสมาธิเวลาที่ทำงานอยู่นี่นา
“ก็เรื่องนั้นไง...” เขาพูดมีเลศนัย ชวนให้มีน้ำโมโห โถ่...นี่ฉันปั่นงานสายตัวแทบขาด อย่ามาแหย่ได้ไหม เรื่องนั้นไม่ใช่ตอนนี้

“งั้นก็กลับไปเลย... ถ้าจะอยู่อย่ามาใกล้นะ ว่าแต่บอกที่บ้านไว้หรือเปล่าว่าจะมานี่น่ะ” ฉันตัดใจพูดห้วนๆอย่างนั้นไป เพราะรู้ดีว่าถ้าให้เลือกระหว่างอยู่คนเดียวน่ากลัว แต่ก็สามารถทำงานได้ราบรื่น กับการมีเขาอยู่เป็นตัวยุ่งกวนใจ ทำงานไม่ได้แบบนี้ เลือกแบบแรกดีกว่า
“บอกแล้วน่า... เซ้าซี้จัง ว่าแต่มีไรกินมั่งเนี่ยวันนี้” นนท์เซ็งหมดอารมณ์ เดินกลับไปนั่งบนเตียงตามเดิม ควักขนมออกมากิน เสียงกรุบกรับ ยั่วความหิวฉันได้ถนัดนัก

“บอกว่าไง วันนี้ยังไม่ได้ทำอะไรหรอกนะ นี่ก็ทามงานทั้งวัน ได้ทานไรนิดหน่อยเอง กะลุกไปห้องน้ำ” น้ำเสียงฉันเบาลง แม้จะแอบเหล่มองว่าเขาจะมีกะใจแบ่งขนมนั่นให้หรือเปล่า และดูเหมือนว่าเขาจะทราบว่าสายตาของฉันหมายถึงอะไร
“แหม... แหย่ก็ไม่ได้ อารมณ์บูดจังวันนี้ งั้นออกไปข้างนอกไหม เดี๋ยวเลี้ยงเองน่า ว่าแต่งานเนี่ยอีกเยอะหรือเปล่า” เขายื่นขนมให้ ทั้งๆที่รู้ว่าน่าเกลียดแต่ก็คว้ามาทาน โดยไม่ได้ขอบใจอะไร เขาขำนิดๆ
“อีกซักหน่อยละกัน จะทำอะไร ก็ไปทำก่อนละกันนะ รีโมตอยู่ตรงนู่นแนะ ของกินก็ในตู้เย็นอ่ะ ตามสบายนะ” ฉันพูดทั้งๆที่ของกินยังเต็มปาก ตอนนี้ไม่สนไรแล้ว ก็มันหิวนี่นา

“รีบไล่เชียว อยู่นี่แหละ ไปทำอะไรเองบ้านแฟนก็ดูแปลกๆ” เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงเสียงดังตุ๊บ พลันพลิกตัวมามองฉันถนัดๆ
“แปลกอะไร นี่อย่าชวนคุยได้ไหมงานจะไม่เสร็จ ว่าแต่จะออกไปตอนไหนน่ะ” ฉันยิ้มและ หยิบขนมใส่ปากต่อ แล้วโยนซองคืนให้เขา นนท์ทำหน้าเบ้ แหงล่ะ ฉันกินซะเรียบ
“ซักประมาณทุ่มนึงละกัน นี่ลองไปกินร้านที่ซอยข้างๆหรือยัง ผ่านมาบรรยากาศดี น่าสนใจ” เขามองนาฬิกาก่อนตอบ
“นี่พูดมากจัง จะทำงานนะ” ฉันเปลี่ยนจากนั่งห้อยขาเป็นขัดสมาธิแทน พลางเกาหัวเป็นนัยว่า อยากอยู่คนเดียว แก่เขา
“ก็ได้ ก็ได้ ไม่กวนล่ะ” เขายิ้มกรุ้มกริ่มก่อนออกจากห้องไป
ปัง!!
มีกลิ่นแปลกๆอบอวนในห้องจนต้องโลดไปเปิดประตูกระจกออก เพื่อไล่อากาศเสียออกไป
“อี๋!! ตาบ้าตดทิ้งไว้อีก นี่ นาย... น่าเกลียดชะมัด”


ฉันคบกับนนท์มาได้ร่วมสองปีกว่าแล้ว ทุกครั้งที่นึกถึงว่าเราเริ่มต้นมาอย่าไรก็อดขันไม่ได้ น้ำกับเขาแทบจะต่างกันมากทั้งลักษณะ ท่าทาง รสนิยม และอื่นๆ บอกตรงว่านนท์ไม่ใช่คนในอุดมคติของฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันน่ะ ชอบคนผิวเข้ม ตัวโตกว่า กลับผิดถนัด นนท์เป็นคนผิวขาว ออกไปทางดีกว่าจนรู้สึกอิจฉา ตัวออกไปทางท้วมๆ สูงไล่ๆเรี่ยกัน แม้จะว่าไปแล้วเขาสูงกว่านิดหน่อยก็ตาม ทีแรกเขามาจีบเพื่อนสนิทของฉันคนนึง ออกไปทางทอมมากกว่าจะเรียบร้อยเหมือนผู้หญิง นนท์เขาพยายามจีบเพื่อนคนนี้มาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย กระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย พอทราบว่าฉันเรียนอยู่ภาควิชาเดียวกัน แถมยังเป็นเพื่อนสนิทอีก ก็ยิ่งเข้าทางที่จะทำให้เขาพอมีความหวังได้บ้าง

“นะ นะ ช่วยเราหน่อยเถอะขอร้อง” นายคนนี้ก็แปลกนัดฉันมาคุยด้วย ผ่านทางเพื่อนของฉันที่เรียนคณะสถาปัตยศาสตร์เดียวกันกับเขา ตกใจนิดหน่อยที่มาขอร้องโต้งๆแบบนี้
“อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าก้อยจะยอมคบกับนายหรือเปล่านะ” ฉันพูดอย่างไว้เชิง ก็ก้อยเป็นเพื่อนของฉันนี่นา
“นี่แปลว่าน้ำตกลงจะช่วยเราแล้วใช่ไหม ขอบใจนะ” นายคนนี้รู้จักชื่อของฉันตั้งแต่เมื่อไรกัน ท่าทางจะเป็นเอามากแฮะ
“ก็ช่วยได้นิดหน่อยนะ ว่าแต่อย่าให้มันมากด้วย เดี๋ยวก้อยจะเกลียดขี้หน้าเค้าได้ ว่าแต่จะเริ่มยังไงล่ะ”
“งั้นเราขอเบอร์โทรน้ำก่อนละกัน อย่าว่างั้นงี้เลยนะ เราอยากรู้จักก้อยให้ดีก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที”

แทบช็อคแนะ ตอนที่เขามาขอเบอร์โทรศัพท์เรา แบบว่าอึ้ง ว่าครั้งแรกที่มีคนมาขอเบอร์ตรงๆแบบนี้ มาคนเดียว ไม่ได้มากับเพื่อน มันชวนให้จินตนาการได้แค่ไหนว่าเขาคลั่งไคล้เราแค่ไหน แต่คุยไปคุยมา ไหงมีแต่ก้อย ก้อย ก้อย และก็ก้อย อีกและมามุขนี้จะใช้ให้เราเป็นสะพานนี่นา เซ็งเลย
“ฮัลโหล อ้าวนายอีกแล้วเหรอ วันนี้อยากรู้เรื่องอะไรของก้อยล่ะ” ฉันไม่ได้เม็มเบอร์โทรเขาไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะโทรมาบ่อยมากจนน่ารำคาญ และวันนี้ก็อีกวัน
“นี่ ก็นิดหน่อยนะ ว่าแต่เป็นไงบ้าง ช่วงนี้ก้อยเรียนหนักหรือเปล่า ดูเหมือนเค้าเหนื่อยๆนะ ยังไงก็ฝากบอกให้ดูแลตัวเองดีๆนะ” อีกและ ก้อยอีกแล้ว โทรมากี่ทีก็เรื่องนี้ นี่ฉันจะอ่าน หนังสือสอบนะ
“อื้อ... มีอะไรอีกหรือเปล่า นี่ก้อยก็อยู่ด้วย จะคุยด้วยหรือเปล่า” ฉันลองแอบแหย่เล่น เพราะวันนี้ฉันมาค้างบ้านก้อยกับเพื่อนคนอื่นๆอีกสามสี่คน
“เอ่อ... เอ่อ... ไม่ดีกว่า เดี๋ยวก้อยจะอารมณ์เสียเอา วันก่อนก็หงุดหงิดใส่ไปทีแล้ว ก็อย่างที่คุยแหละ งั้นแค่นี้นะ ขอบใจนะน้ำ” นนท์รีบปัด ท่าทางวันนี้ที่ก้อยหงุดหงิด คงเพราะนายนี่แหงๆ
“มีอะไรก็คุยได้แหละ เป็นเวลาหน่อยนะ ช่วงนี้น้ำมีสอบเก็บคะแนนด้วย เดี๋ยวจะบอกให้ บายนะ”

ฉันกับเขาสนิทกันในระดับหนึ่ง ในฐานะที่ปรึกษา และไม่เคยคิดกับเขาเกินกว่าคำว่าเพื่อน ฉันไม่ได้เชียร์เขาออกนอกหน้าเรื่องที่มาจีบเพื่อนสนิทของฉัน แต่การเป็นคนกลางมันน่าอึดอัดแค่ไหน ไม่อยากให้เพื่อนสนิทของตัวเองต้องมามีเรื่องกันเพราะเรื่องขี้ประติ๋วนี้ ก็รู้นะ ว่าก้อยฉันเป็นไบ บางครั้งเขาก็มาอารมณ์เสียใส่ หาว่าฉันหวงเพื่อนเกิน อ้าวนี่มันพาลนี่นา
“นี่น้ำ ถามจริงเถอะ เธอเป็นอะไรกับก้อยหรือเปล่าน่ะ”
“นี่เป็นอะไรไปน่ะ” ฉันงงมากที่จู่ๆ เขาเดินมาหาไม่ให้สุ้มเสียง ตอนที่ฉันอยู่ในร้านขายขนมในมหาวิทยาลัย ท่าทางจะหัวเสียเอามากๆ
“เราเห็นเธอสนิทกับก้อย บางครั้งก็ไปไหนด้วยกันบ่อยจัง” เขาคาดคั้นคำตอบ เห็นแล้วก็อดขันไม่ได้จริงๆ
“จะบ้าเหรอ ฉันไม่ได้เป็นเลสนะ เราแค่สนิทกันก็แค่นั้น คิดอะไรของเธอน่ะ จะบ้าหรือเปล่ายะ จู่ๆก็มาหึงเอาดื้อๆแบบนี้” เขาหน้างอใส่ ขณะที่ฉันเองก็ยิ้มเจื่อนๆตอบ
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว อย่าที่เธอว่า ก็รู้อย่างที่เธอรู้น่ะ นนท์กับก้อยเพิ่งจะเริ่มคบกัน เราเองก็อดคิดมากไม่ได้” เขาเกาศีรษะแก้เก้อ คำตอบที่ได้ทำเอาฉันมึนไปอีกครั้ง สองคนนี้คบกันแล้วเหรอ
“หา... นี่ไปคบกันตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย อะไรกัน”

สุดท้าย ก้อยก็ทนลูกตื้อของเขาไม่ไหว ตกลงคบกันได้ระยะหนึ่ง ทว่าก็เลิกกัน ด้วยความขี้เบื่อของเพื่อนฉันเอง ลำพังก้อยเสียใจก็แค่ไม่เท่าไร ไม่กี่วัน แต่เขานี่ฟูมฟาย น้ำตาเป็นเถาเต่า ไอ้เราก็ต้องคอยปลอบ ก็น่าสงสารนี่นา นั่นก็เพื่อนนี่ก็เพื่อน พูดยาก
“เราไม่เข้าใจเลย ทำไมก้อยต้องพูดกับเราแบบนั้นด้วย” นนท์มานั่งปรับทุกข์ที่ร้านอาหาร นี่มันจะอะไรหนักหนา ฉันต้องรีบบึ่งออกจากบ้านโดยมีเวลาแต่งตัวแค่สิบนาที มาที่นี่ เพราะอดคิดไม่ได้ว่าเขาจะทำอะไรบ้าลงไป
“ก้อยก็เป็นคนแบบนั้นนี่นา คิดอะไร ก็พูดออกมาตรงๆ อย่าคิดมากเลยนะ” ฉันวางตัวไม่ถูกจริงๆ ไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายนี่นา ก็เลยพูดอะไรออกไปแบบนั้น นี่มันเรียกว่าปลอบเหรอ อยากตีปากตัวเองจัง
“ก็เราชอบก้อยนี่นา นี่ก็ตามใจหลายอย่าง ยอมทำนู่นนี่ให้ ก้อยก็ไม่ยอมรับที่จะคบกับเราต่อ แถมยังบอกว่าเป็นเพื่อนแบบนี้ดีแล้วอีก” นนท์เอาแต่กุมหน้า ส่ายหัวไปมา ไม่ก็มองออกไปนอกหน้าต่างไม่ยอมสบตากับคนที่นั่งตรงข้าม ฉันอดห่วงเขาไม่ได้จริงๆ
“น่าๆ อย่ากังวลไรเลยนะ นายก็จีบคนอื่นได้นี่นา นายก็ใช่ว่าจะหน้าตาแย่ซักหน่อย ก้อยไม่ใช่คนที่นายจะต้องมาเสียใจแบบนี้หรอกนะ” เอาอีกแล้วนี่พูดอะไรออกไปอีกละทีนี้

“น้ำนี่ก็ดีเนอะ ถ้าเราเป็นแฟนน้ำ เราคงรักน้ำมากเลย ขอบใจนะที่เป็นเพื่อนมาตลอด” ใจฉันเต้นรัวทันที่นนท์พูดประโยคนั้น มือของเขาค่อยยื่นมากุมมือของฉันโดยที่ไม่ทันรู้ตัว ฉันชักมือกลับ นี่นนท์ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ ตายแล้ว นี่คิดอะไรไปละเนี่ย
“อื้อ... ไม่เป็นไรหรอกเรื่องแค่นี้เอง ช่วยได้ก็ช่วย” ฉันไม่กล้ามองหน้านนท์ตรงๆ เปลี่นยเป็นมองผ่านเงาสะท้อนลางๆบนโต๊ะแทน นี่เราเป็นอะไรไปละเนี่ย
“น้ำ...” เสียงเขาแทรกมา ทำให้ฉันต้องกลับมามองเขาอีกครั้งหลังจากที่ต่างคนนิ่งเงียบไม่พูดอะไรไปพักหนึ่ง
“หืมม...”
“เรามาคบกันไหม” ช่วงเวลานั้น สติเหมือนตัวเองกำลังหลุดลอยไปในอวกาศ มาบอกว่าเรานี่ก็ดีเนอะ เป็นกำลังใจให้ตลอด เป็นที่ปรึกษาในทุกๆเรื่องไม่เคยหนีไปไหน ขอบคุณนะที่ซาบซึ้ง แต่ว่า จะมาขอคบเป็นแฟนเนี่ยนะ
“เอ่อ นนท์ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ อกหักแค่นี้ เพี้ยนไปแล้วหรือไง” ฉันชิงหัวเราะแก้เขินไปและหยุดเมื่อพบว่าอีกฝ่ายทำหน้าขึงขังขึ้นมา
“ไม่ได้บ้านะ พูดจริงๆ”
“นี่ล้อเล่นแรงไปแล้วนะ เอ่อ...” อยากกลับบ้านแล้ว ตาเริ่มลาย หัวเริ่มหมุน นี่มันอะไรกันนี่ นนท์จะขอคบฉันอะนะ นายเพิ่งจะเลิกกับก้อยได้หยกๆเอง
“ว่ายังไงล่ะ ถ้าเป็นน้ำนะ เราคงรู้สึกดีขึ้นเยอะ อีกอย่างเรื่องก้อย ตอนนี้นนท์ไม่ได้คิดอะไรแล้ว จะว่าไปนนท์รู้สึกกับน้ำมากกว่าที่รู้สึกกับก้อยอีก”
“เรามาคบกันดีไหม” เขาย้ำคำเดิม ทำให้แน่ใจว่าไม่ได้พูดเล่นๆลอยๆส่งๆไป ฉันกลืนน้ำลายตัวเองก่อนตอบไปตรงๆว่า
“เอ่อ... เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้น่ะดีแล้วล่ะ อีกอย่างนนท์จะรับได้หรือเปล่ากับเรื่องนี้”
“เรื่องอะไรเหรอ ก็เท่าที่นนท์รู้ น้ำก็ไม่ได้คบใครมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วนี่นา” มือของเขายื่นมากุมมือของฉันไว้อีกครั้งหนึ่ง ตัวฉันเริ่มเย็นลง แต่ใจก็เต้นรัวถี่นัก
“เรื่องนั้นมันก็ใช่นะ น้ำยังไม่อยากคบกับใครตอนนี้ อีกอย่าง...” นี่เรี่ยวแรงหายไปไหนหมด จะชักมืออกยังไม่กล้า เขาจ้องตารอคำตอบนั้นอยู่
“อะไรเหรอ” เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆเลย ได้ยินแบบนี้ยังจะพูดแบบนี้ต่ออีกหรือเปล่า
“น้ำไม่ใช่ผู้หญิงนะ”

ไม่ได้เห็นแก่ตัวหรอก แต่ก็บอกว่าให้ค่อยๆดูกันไปก่อน อีกอย่างตัวเองก็เพิ่งเลิกกับแฟนมาหมาดๆ ทำแบบนี้ก็น่าเกลียดเกิน และอีกเรื่องที่อยากจะบอก แน่ใจเหรอจะมาคบกับคนอย่างฉัน กระเทยอย่างฉัน
“...”
เท่านั้นแหละ อึ้ง ไปเกือบสัปดาห์ ไม่โทรมา ไม่กล้าคุยด้วย อะไรกันเพิ่งจะมารู้ว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิง นายบ็องหรือเปล่า เขารู้กันปาวๆกันทั่ว เฮ้อ น่าเสียดาย ณ วินาทีนั้น คิดว่าเขาคงจะเสียหน้าและเสียความรู้สึกมากๆแน่ๆ นี่เรายังเป็นเพื่อนกันได้อยู่นะ

สัปดาห์ถัดมา
“หวัดดีน้ำ” พอเงยหน้าขึ้น ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่จู่ๆเขาก็มาอยู่ตรงหน้า ขณะที่ตัวเองกำลังเดินออกจากมอ
“อ้อๆ หวัดดีนนท์ ว่าแต่เป็นไงบ้าง” ฉันยิ้มเก้อไป อีกใจก็คิดว่าเขาคงดีขึ้นมากแล้ว
“ก็ดีนะ โอเคขึ้นมากแล้ว นี่กำลังจะไปไหนเหรอ” เขาเลิกคิ้วจ้องมายังฉันจนรู้สึกรราวกับว่าอยู่ใกล้กันมากเกินไป
“จะกลับแล้วน่ะ งั้นน้ำขอตัวก่อน...” ฉันเลี่ยงเดินไปทางซ้าย ตัดบทไม่พูดต่อ รีบจ้ำและก้มหน้าไม่สบตา เขาฉวยมือฉันไว้ จนต้องอยุดและหันกลับมา
“เราไปนั่งคุยที่ร้านข้างหน้ามหาลัยก่อนไหม รีบหรือเปล่า”

“อ๋อเหรอ ก็ได้นะ” ฉันกลับไม่ปฏิเสธคำขอของเขา ยอมเดินไปกับเขาดีๆ ไม่แน่ใจว่าวันนี้มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า
ที่ร้าน คนค่อนข้างจอแจเพราะเป็นช่วงเวลาเย็น ฉันนั่งสงบเสงี่ยม และสั่งแค่น้ำผลไม้ปั่นเบาๆ ขณะที่เขานั่งกุมมือ เอนตัวมาข้างหน้า จ้อง และก็จ้อง
“นี่โกรธ น้ำเหรอ เรื่องนั้น” ก็ไม่รู้นี่นา ว่าเรียกให้มาที่นี่ทำไม ขอเดาว่าต้องเป็นเรื่องนั้นแน่นอน นี่ราวกับว่าตัวเองกำลังถูกสอบปากคำอย่างไงอย่างงั้น
“ป่าวหรอก ก็แค่ตกใจนิดหน่อย คุยกันตั้งนานไม่ยักกะรู้ว่า น้ำเป็น...แบบนั้น นนท์ต้องเป็นฝ่ายถามมากกว่าว่า น้ำโกรธนนท์หรือเปล่า” เขาเผยยิ้มให้ พอใจชื้นขึ้นมาบ้าง

“ไม่หรอก น้ำจะไปโกรธทำไมเล่า เวลามีใครมาพูดแบบนั้น น้ำก็จะบอกไปตรงๆ รับได้รับไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง การไม่โกหกกันเป็นดีที่สุด” ฉันจิบน้ำที่บริกรเสริฟมานิดหน่อยตาม
“แล้วน้ำคิดว่าอย่างไง กับเรื่องที่นนท์ถามไปตอนนั้น” นนท์ยังย้ำความตั้งใจเดิมอีกครั้ง
“เรื่องนั้น ไม่ดีมั้ง น้ำว่า...” ฉันตอบไปตรงๆ รู้สึกดีนะที่มีคนมาพูดแบบนี้ แต่จะดีเหรอไม่มั่นใจเลย
และคำตอบของเขาประโยคนี้ยังจำได้แม่นยำเสมอ และทำให้ตัวเองแน่ใจว่าจะตอบคำตอบแบบไหนแก่เขาไป

“ผมตัดสินใจแล้ว ก็นี่เป็นเรื่องของคนสองคนนี่นา ที่รู้สึกกับน้ำ ไม่ใช่แบบเกย์ซะหน่อย ผมรู้สึกว่าน้ำเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจและรู้สึกดีที่อยู่ใกล้ เหมือนกับที่ผู้ชายคนนึงชอบผู้หญิงคนนึง เราคบกันนะ”


และเราก็คบกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 19-06-2008 23:52:57
มาลงชื่อรออ่านก่อน

แล้วเด๋วค่อยไปอ่านต่อ

 :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 20-06-2008 00:20:24
“ผมตัดสินใจแล้ว ก็นี่เป็นเรื่องของคนสองคนนี่นา ที่รู้สึกกับน้ำ ไม่ใช่แบบเกย์ซะหน่อย ผมรู้สึกว่าน้ำเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจและรู้สึกดีที่อยู่ใกล้ เหมือนกับที่ผู้ชายคนนึงชอบผู้หญิงคนนึง เราคบกันนะ”


อืม....รู้สึกดีกับเรื่องนี้ซะแล้วสิ
ไม่น่าเลยเรา...ติดอีกจนด้ายยยยยยยย
รอตอนต่อไป อย่าเพิ่งตันนะ :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 20-06-2008 14:07:43
แม้ว่าฉันจะตอบไปเชิงหมาหยอกไก่โดยไม่ทันคิดแบบนั้น แต่ก็คงอดกังวลไม่ได้ว่าหากเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร ฉันเองก็ไม่ใช่คนที่ใจกว้างได้พอที่จะยอมให้แฟนตัวเองไปมีคนอื่นหรอก



















บทที่สอง
   

“นึกถึงตอนที่เราคบกันใหม่ๆเลยนะ” ฉันพูดขึ้นลอยๆ ขณะเราทั้งคู่เดินออกจากร้านอาหาร แสงไฟจากโคมที่อยู่รายรอบ ส่องแสงวูบวาบผ่านไปทีละดวง สองดวง สองดวง เขาจูงมือฉันไว้ ค่อยๆเดินไปพร้อมๆกันรู้สึกราวกลับย้อนไปในอดีต ช่วงที่คบกันใหม่ๆ
   “ทำไมเหรอ” นนท์หยุดเดิน หันมามอง คิ้วขมวดเป็นปมแต่ก็อมยิ้มอยู่ เขาจัดการยีหัวฉัน ฉันนิ่งยอมให้เขาเล่นหัวแบบนั้น เหมือนลูกหมาเชื่องๆตัวหนึ่งดีๆนี่เอง ลมเย็นโชยแผ่วผ่านกายไปวูบหนึ่ง
   “มันอดตลกไม่ได้นี่นา ที่นายก็จู่ๆมาขอคบฉัน” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบน แสงดาวในเมืองใหญ่มองเห็นได้ไม่กี่ดวงบนท้องฟ้าเนื่องจากแสงสว่างจากดวงไฟในเมืองนั้นกลบความสว่างไหวของดวงดาวเหล่านั้น
   “มันแปลกหรือไงน่ะ” นนท์ขรึมขึ้นมาทันที พลอยทำให้ฉันทำตัวไม่ถูก ใจเต้นรัว ทั่งถี่และแผ่วเบาสลับกัน นนท์เอื้อมมือมาปัดไรผม หน้าของนนท์เลื่อนชิดมากขึ้น ยิ่งถอยห่างออกมาเท่าไรนนท์ก็โน้มตัวมาใกล้มากขึ้นทุกที
   “นี่ใกล้เกินไปแล้วนะ” รู้สึกได้ว่าหน้าของตัวเองเริ่มร้อนผ่าว ไม่กล้าสบตานนท์ตรงๆ แต่ก็ไม่ขยับหนีคนที่อยู่ตรงหน้าไปไหน มือข้างหนึ่งลูบเบาๆบนแก้ม ก่อนกระซิบข้างใบหูแผ่วเบา ด้วยถ้อยคำที่เจ้าเล่ห์นัก

   “จะมัวอายอะไรกัน ก็อยู่แค่สองคนเท่านั้นนี่นา”
   “แต่...” ไม่ทันที่จะเอ่ยอะไรออกมา ริมผีปากสีเข้มและบางของเขาค่อยๆเคลื่อน มาประทับรอยบนริมฝีปากของอีกคนตรงนี้อย่างตั้งใจ
   “นี่สองคนทำอะไรกันน่ะ” หวานตะโกนขึ้นมาขัดจังหวะพอดี เราทั้งคู่ผละออกจากกันและทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น เกือบลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้ หวานก็มาด้วยกันกับเราด้วย เราทั้งคู่ออกมาจากร้านอาหารแห่งนั้นได้ไม่นาน และกำลังจะพาหวานไปส่งที่บ้านของเธอ

หวานเป็นเพื่อนอีกคนนึงที่สนิทกันกับทั้ง นนท์และฉันทีเดียว เวลาไปไหนมาไหน ก็มักชวนเธอไปด้วยเสมอ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้บรรยากาศเครียด หรือเป็นใจมากขึ้น จะว่าไปก็ไม้กันหมาน่ะแหละ แต่ถ้าเรียกแบบนั้นกับเธอคนนี้คงจะฟังดูไม่ดีเท่าไรนัก
“นี่ไม่ขึ้นรถกันเหรอไง เดี๋ยวจะดึกมากไปกว่านี้นะ” หวานเร่งเร้า ขณะที่เราสองคนยังอ้อยอิ่งรั้งท้าย ฉันอมยิ้มให้ พร้อมดึงแขนของเขามาที่รถ
วันนี้ แม้จะดึกแล้ว รถก็ติดเอาเรื่องเหมือนกัน  ระหว่างที่อยู่ในรถ หวานยังชวนคุยนั่นนี่ตลอดทาง เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก มีบางครั้งที่หันมาสบตา แต่ก็รีบหลบเลี่ยงไปทันที

“หวาน... ใกล้จะถึงแล้วล่ะ” ฉันเอ่ยขึ้น
“อืมม... เดี๋ยวเลี้ยวขวาข้างหน้านี่แหละนนท์” เธอขยับแว่นตาให้รับกับหน้าก่อนชี้ทางให้กับนนท์ นนท์หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยตามที่หวานบอก ฉันแทบไม่ได้สังเกตเลยว่าหวานเกาะพนักพิงคนขับ หน้าแนบใกล้นนท์แค่ไหน
“หลังที่สามทางขวามือ นั่นแหละ ขอบใจนะนนท์ บายจ้า ทั้งสองคน” หวานฉวยกระเป๋าสะพายสีน้ำตาลเข้ม ลงรถไป พร้อมโบกมือให้เราทั้งสองคน ฉันโบกมือตอบ ก่อนทำหน้าที่ดูด้านหลังบอกทางให้นนท์ถอยรถออกมา

ครั้งนั้น ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส โบกมือลาด้วยมิตรไมตรีที่ดีนั้น หวานแสดงสายตาทีจ้องเขม็งมาที่ฉันตลอดจนรถเคลื่อนลับตาไปพ้นถนนหน้าซอย
เมื่อถึงบ้าน หลังจากปิดประตูบ้านเรียบร้อยแล้ว นนท์ย้อนกลับมาที่รถ รับของที่ซื้อมาขน ออกจากรถนั้น หอบเข้าบ้านไป ฉันบ่นไล่หลังที่ล็อกรถกับประตูบ้านเสร็จ และวางของลงบนโต๊ะ
“ทีหลังจะทำอะไรอย่างนี้ ดูให้ดีก่อนสิ นี่เรามากับหวานด้วยนะ ไม่ได้แค่สองคนเท่านั้น”
“หมายความว่าสองคนเท่านั้นถึงจะทำได้เหรอ น้ำ” เขาตอบคำถามอย่างยียวนแบบนั้นก่อนวางของอีกส่วนหนึ่งบนโซฟารับแขก เข้ามาโอบด้านหลัง เคลียคลอเหมือนลูกหมาขี้อ้อน

“นี่ๆพอได้แล้ว อย่ามาชีกอนะ ดึกแล้วพรุ่งนี้ต่างคนก็จะต้องไปทำงานกันอีก” ฉันแกะมือปลาหมึกของนนท์ออกเดินไปดับไฟข้างล่างเสียหมด เหลือเพียงไฟหัวประตูหน้าบ้าน เดินนำลิ่วขึ้นบันไดชั้นสอง สู่ห้องนอนของฉันทันที
“ไม่เห็นเกี่ยวกันสักหน่อย นี่น้ำอ้างนั่นนี่ตลอดเลย วันนี้จะจัดการให้ได้เลย เลี่ยงมาหลายครั้งแล้วนะ” นนท์ขึ้นข้างบนไล่มาติดๆ เดินลงเท้าเสียงดังจนฉันต้องหันไปดุ ก่อนเข้าห้องไป โดยมีเขาเข้ามาด้วย

“ก็น้ำยังไม่พร้อมนี่นา” ฉันบอกปัดไปอย่างไม่ใส่ใจ ง่วนกับการล้างเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนอาบน้ำเตรียมตัวนอน
“และเมื่อไรจะพร้อมซักทีละ” ไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่านนท์เปลี่ยนชุดมานุ่งผ้าขนหนูตัวเดียว ยืนจังก้าด้านหลัง ครั้นเงยหน้าขึ้นมาส่องกระจกก็เห็นทันที อดตกใจไม่ได้ ก็อย่างว่าผู้ชายนี่นา เรื่องนี้เร็วอยู่แล้ว
“ไปช่วยตัวเองไปนายนี่” ฉันกระเซ้าไปไม่ทันได้คิดอะไร นนท์หัวเราะ หึ หึ เข้าห้องน้ำไป เสียงน้ำดังก้อง ฉันละจากโต๊ะที่นั่งไปหน้าห้องน้ำ บอกด้วยน้ำเสียงเบาๆผ่านเข้าไปข้างในนั้น
“น้ำอยากให้มันถึงเวลานั้นก่อน”

“ก็ได้ ก็ได้ ถ้าน้ำอยากให้เป็นอย่างนั้น ไม่กลัวนนท์จะไปมีแฟนใหม่เหรอตอนนั้น” เสียงนนท์ก้องตอบจากข้างใน แทรกเสียงน้ำไหลกระทบตัวและพื้นห้องน้ำ ฉันยืนพิงประตูฟังอย่างตั้งใจเช่นกัน นิ่งครู่หนึ่ง ก่อนตอบ
“มีก็มีสิ ก็เราตกลงแล้วนี่นาตอนที่เริ่มคบกันใหม่ๆ นนท์มีใครต้องบอกน้ำก่อนนะ” แม้ว่าฉันจะตอบไปเชิงหมาหยอกไก่โดยไม่ทันคิดแบบนั้น แต่ก็คงอดกังวลไม่ได้ว่าหากเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร ฉันเองก็ไม่ใช่คนที่ใจกว้างได้พอที่จะยอมให้แฟนตัวเองไปมีคนอื่นหรอก
“ใจกว้างจังนะ แต่นนท์ไม่กว้างขนาดนั้นหรอกนะ นนท์มีแค่น้ำคนเดียวก็ปวดหัวแย่แล้ว” ประตูเปิดออก แทบทำให้ฉันคว่ำคะมำเข้าไปข้างในนั้น นนท์รับตัวฉันไว้ พร้อมหลีกให้ฉันเข้าไปอาบน้ำข้างในโดยดี ก็อดยิ้มไม่ได้ที่เขาตอบอย่างนั้นออกมา

 ฉันเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ สวมเสื้อแขนยาวตัวโคร่งและกางเกงขาสั้นข้างใน ทามอสเจอไรเซอร ละเลียดบนผิวหน้าและผิวกาย ครั้นเงยหน้าเห็นภาพนนท์นอนเอกเขนกบนเตียงในกระจก ก็หุนหันลุกมาว่าเขาทันที เขาจะมานอนแบบนี้ไม่ได้นะ
“นายนอนตรงนั้น” ฉันชี้ไปที่พื้นแล้วรีบหอบที่นอน พร้อมหมอน และผ้าห่มมาให้เขา อย่างไรก็ต้องกันไว้ก่อน ต้องแยกกันนอน ฉันนอนบนเตียง เขานอนที่พื้น
“ไม่เอาอ่ะ นอนบนเตียงด้วยคนไม่ได้เหรอ สัญญาจะไม่ทำอะไร” นนท์ทำตาแบ๊วไร้เดียงสา คงน่าเชื่อตายที่เขาพูดมา ก็อยากให้นนท์ที่ห้องรับแขกหรอกนะ แต่ก็คงเปลืองไฟน่าดู ก็ต้องยอมเสี่ยงให้มานอนที่ห้องด้วยนี่แหละ จะไหวไหมนะ ที่เขามานอนที่ห้องครั้งแรกเนี่ย
“นี่ไงเราก็เอาหมอนข้างมากั้นก็แค่นี้ไง” นนท์รีบสาทิตให้ดูทันที ยังพยายามไม่เลิก นอนนิ่งบนเตียงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไร น่าน แกล้งทำเป็นกรนหลับไปแล้วอีก ฉันรีบผลักและยันเขาลงไปจากเตียง วันนี้ก็เหนื่อยแล้วนะ ไม่เอาด้วยหรอก แต่ว่านายคนนี้ตัวหนักชะมัด กว่าจะดันลงไปได้ ก็เล่นซะเหงื่อออกเลย

“ไม่ได้” ฉันขึงขัง ขนตุ๊กตามาวางกันท่าไว้ก่อน ดับไฟหัวนอน คลุมโปงนอนทันที ปล่อยให้เขาอมลมซะแก้มป่อง อย่างหมดมู้ด
“ก็ได้ๆ” เขาทิ้งตัวลงนอนตาม ต่างคนต่างหลับไปไม่รู้เรื่องด้วยความเหนื่อยอ่อน

เสียงนกร้อง จิ๊บ จิ๊บ จอแจอยู่ข้างนอกระเบียงห้อง พลอยทำให้ฉันค่อยๆลืมตาขึ้น แสงรำไรตอนเช้าลอดผ่านม่านเข้ามาในห้องจางๆ ฉันยังไม่อยากตื่นตอนนี้เลย พลิกตัวไปด้านหลัง รู้อึดอัดราวกับมีอะไรรัดบริเวณเอวจัง พอเจอะนนท์นอนคลออยู่ข้างๆ รู้แล้ว นี่นนท์ขึ้นมานนท์ตั้งแต่เมื่อไรกัน
“อือ... อือ... นนท์จะทำอะไรน่ะ” นนท์ยิ้มร่า ดึงตัวฉันเข้าไปใกล้ รู้สึกได้ว่าเห็นหน้าของเขาอย่างชัดเจนแม้แสงภายในห้องจะสะลัวๆก็ตาม เขาลืมตาขึ้น เพ่งพินิจใบหน้าฉันทั่วก่อนหลับตาต่อไม่สนใจอะไร
“ยังเช้าอยู่เลย ขอนอนต่อได้ไหม” หน้าของฉันขยับเข้าไปแนบกับอกของเขา ได้กลิ่นกายฉุนๆบางเบาของเขามาทันที มือนนท์เริ่มซุกซนที่จะสำรวจตรงจุดนั้นจุดนี้ทั่ว อย่างใคร่รู้ เขาพลิกตัวขึ้นมาอยู่บนร่างของฉันโดยที่แทบไม่รู้ตัว ฉันครางเบาๆ
“อือ... นนท์ไม่ได้นะ อย่า...”

กริ๊งงงงงง
ดีที่นาฬิกาปลุกดังขึ้น เหมือนรู้ใจช่วยชีวิตฉันไว้ได้ ฉับพลันตัวเองก็ดีดตัวออกจากที่นอน คว้าผ้าเช็ดตัว หุนหันเข้าห้องน้ำไปด่วนจี๋ ขืนยังคลุกอยู่บนเตียงต่อละก็ มีหวังไม่พ้น... อย่างนั้นแหละไม่ต้องคิด
“เหอะๆ คิดจะแอ้มเหรอ รอไปเถอะยะ” ฉันชะโงกหน้าออกมาทิ้งท้ายก่อนจะปิดประตู เชิงเย้ยคนทียังคงอยู่บนเตียงนั้น ดูท่าทางจะอารมณ์เซ็งไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว
“ชิ... อาบเร็วๆนะ” นนท์ตะโกนไล่หลังมา ขณะที่ฉันเปิดฝักบัว รับน้ำอุ่นไหลชโลมกายอย่างสบายอกสบายใจ ฮัมเพลงคลอไประหว่างที่โลมไล้ครีมอาบน้ำทั่วแขนทั้งสองข้าง เอาล่ะ พร้อมที่จะลุยงานต่อแล้ววันนี้

หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 20-06-2008 15:28:48
เข้ามาทักทายเองใหม่จ้า  อิอิ
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: gift_deb ที่ 20-06-2008 15:30:07
สงสัยจะได้รางวัลนักเขียนไฟแรงไปครองแน่ๆ  :L2:  :L2:
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 20-06-2008 21:27:20
เรื่องนี้เริ่มมาก็เศร้าอีกแล้วอะ

ซึกๆ น้ำตานองอีกชัว
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 20-06-2008 22:41:30
 :a5: ผ้าเช็ดตัว ช่วงนี้ต้องเตรียมหลายผืนหน่อย มีแต่เรื่องเศร้าๆๆ :m23:แหะๆคือผ้าเช็ดหน้าถ้าจะไม่พออ่ะดิ
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: NaTTo ที่ 21-06-2008 11:54:14
มาต่อน้า
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 22-06-2008 23:40:40
สงสัยยังไม่หายโรค สมองตีบ

555 รอวันหายดีครับ ทั้ง 2 เรื่องเลย
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 23-06-2008 00:22:50
ถึงจะพูดอย่างนั้นก็ตาม แต่ฉันก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราสองคน ไม่มีทางที่จะราบรื่นได้ ยังมีอุปสรรคตามมาอีกเยอะนัก แค่พยายามรักษาให้ทุกวันนี้มีเขาอยู่ข้างๆก็พอแล้ว













บทที่สาม


   “แกหายไปไหนมาเมื่อวาน”
   แม่ของนนท์นั่งไขว่ห้าง ทักทายลูกชายผู้ซึ่งก้าวพ้นธรณีประตูมาได้ไม่กี่นาทีนั้น รัวกดช่องโทรทัศน์แทบไม่ได้ใส่ใจมองลูกชายตัวเองเลยแม้แต่น้อย
   “นี่แกโดนนังกระเทยนั่นทำเสน่ห์มารึไง ถึงหลงมันหัวปักหัวปำอย่างนั้น แกเป็นพวกลักเพศไปแล้วเหรอ” เธอตวาดลูกชายต่อ ฝ้าย น้องสาวของนนท์ เดินลงบันไดมา รีบขยิบหูขยิบตาให้พี่ชายตัวเอง นนท์ไม่ทันที่จะเอ่ยคำแย้งแม่ของตน ตอบโต้บ้าง เดินลิ่วหลบไปบนบ้านทันที เสียงของแม่ดังไล่ๆมาติดๆ

   “นี่... แกจะไปไหน มาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน นนท์... นนท์...”
   
          “โถ่เว้ย...” นนท์ทุ่มเป้ใส่เสื้อผ้าลงบนเตียงสุดแรง ก่อนทรุดลงนั่งกุมขมับข้างๆเป้นั้นอย่างคิดไม่ตก ฝ้ายเปิดประตูเข้ามาในห้อง และปลอบ
   “นนท์อย่าคิดมากเลยนะ ฝ้ายจะช่วยพูดกับแม่ให้นะ ไม่ต้องห่วงหรอก” เธอลงนั่งข้างเขา ลูบหลังเขาเบาๆ
   “ขอบใจนะ ในบ้าน ก็มีแต่ฝ้ายนั่นแหละที่เข้าใจนนท์ที่สุด” เขานั่งโน้มตัวไปข้างหน้าประสานมือไว้ ส่งสายตาแทบคำขอบคุณแก่พี่น้องฝาแฝดของเขานั้น ทั้งคู่โตมาด้วยกัน และเข้าใจกันและกันมากทีเดียว ทุกครั้งที่มีปัญหา นนท์ก็ได้ฝ้ายนี่แหละ เป็นที่ปรึกษาในบ้านที่ดีได้ตลอด
   “อย่าพูดอย่างงั้นสิ พ่อกับแม่เขาก็ห่วงนนท์นะ เพียงแต่ เรื่องนี้ต้องใช้เวลาสักพัก กว่าท่านจะยอมรับได้” ฝ้ายเหยียดแขนขา บิดขี้เกียจ ท่าทางที่ร่าเริงสดใสของฝ้าย ยิ้มได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนี่แหละ ที่ทำให้นนท์ผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดเมื่อครู่ลงได้

   “อื้อ...” นนท์ลองทำตามบ้าง รู้สึกดีขึ้นทีเดียว ฝ้ายหัวเราะคิกคัก ขันท่าทางนนท์ไม่น้อยที่ทำหน้าตาลิงโลดไปล้อเลียน เธอผลักเขาสุดแรงเชิงบอกว่าพอได้แล้ว
   “นี่ทานไรมายัง เดี่ยวจะทำให้ วันนี้นะมีพะแนงไก่ กับผัดขิงที่นนท์ชอบด้วยนะ” เธอผุดลุกไปเปิดเครื่องเสียง หาซีดีเพลงที่ชอบมาเปิดให้บรรยากาศห้องไม่เงียบไป
   “ไม่ดีกว่า นนท์ทานกับน้ำก่อนเข้ามาแล้ว” นนท์เองก็ลุกไปเอาเสื้อผ้าในเป้ใส่ตะกร้าผ้าหน้าห้องน้ำไว้

   “น้ำเป็นอย่างไงบ้างล่ะ ตอนนี้” ฝ้ายใส่แผ่นซีดี และกดเพลย ยืนพิงหน้าตู้เสื้อผ้าคุยต่อ
   “ก็สบายดีนะ เค้าก็บ่นถึงฝ้ายเหมือนกันนะ” นนท์เดินกลับมาค้นเสื้อผ้าในตู้ ฝ้ายรีบหลบมายืนห่างๆ
   “จริงเหรอ งั้นคราวหน้า ฝ้ายจะไปเที่ยวบ้านน้ำบ้างนะ ไปด้วยได้ป่าวนนท์”
   นนท์พยักหน้าตอบแทน แล้วเริ่มถามเรื่องใหม่แทน

“แล้วพ่อไปไหนล่ะ วันนี้กลับมาไม่เห็นพ่อเลย” นนท์หยิบชุดนอนออกมาชุดหนึ่ง แล้วปิดประตู เดินกลับไปห้องน้ำ
“พ่อยุ่งๆๆน่ะ ช่วงนี้... กลับดึกประจำ...” ฝ้ายเลี่ยงที่จะกลับห้องของตัวเองไป เมื่อสังเกตเห็นว่านนท์จะอาบน้ำ
“ไปแล้วเหรอ” นนท์ทักไว้ก่อนที่ฝ้ายออกจากห้อง ฝ้ายตอบก่อนจะเงื้อมือดึงลูกบิดประตูปิดห้องนั้น
“อื้อ จะนอนแล้วพรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า”
“ไปเถอะ... ขอบใจที่คุยเป็นเพื่อนนนท์นะ”
 






            ฉันสังเกตว่าวันนี้นนท์ไม่ค่อยพูดจาเท่าไร ต่างจากวันอื่นๆที่ต้องพูดมาก ยั่วโมโหกวนประสาท แม้ตอนทานข้าวด้วยกันอย่างนี้ก็ยังใจลอยอยู่อีก อดห่วงไม่ได้จริงๆ
“นนท์เป็นอะไรไปวันนี้ น้ำเสียงฟังแล้วเหมือนไม่สบายใจอะไรมาเหรอ” ฉันวางช้อนส้อมไม่จัดการอาหารข้างหน้าต่อ เอื้อมมือมาแตะหน้าผากและคอเขา ก็ตัวไม่ร้อนนี่นา
“ป่าวหรอก พักผ่อนน้อย ช่วงนี้งานหนักเอาการเหมือนกัน” นนท์ฝืนยิ้มตอบ พลางเขี่ยอาหารในจานเล่นต่อ

“เรื่องแม่นนท์ใช่ไหม” ฉันโพล่งออกมา รู้ดีว่าต้องเป็นเรื่องนี้อยู่แล้ว นนท์เงยหน้าขึ้นสบตาฉัน เอื้อมมือมากุมมือฉันไว้ ฉันวางมืออีกข้างทับมือเขาไว้ ท่าทางเขาจะวิตกกับเรื่องนี้เอามาก พลอยทำให้ตัวเองก็ไม่สบายใจตามไปด้วย
“น้ำ... แต่นนท์รักน้ำนะ นนท์จะพยายามทำให้แม่ ยอมรับน้ำให้ได้” แม้ว่าเขาจะพยายามพูดให้กำลังใจฉันแบบนั้น ฉันก็ตระหนักดีว่า หากแม่เข้าไม่ยอมไฟเขียวกับเรื่องนี้ ระหว่างเขากับฉันแทบไม่มีทางมองเห็นอนาคตอยู่แล้ว

“แต่ว่า...” ฉันถอนหายใจ ละจากที่นั่งตรงข้ามนั้นไปนั่งลงข้างๆเขา
“เราพูดเรื่องนี้มาหลายรอบแล้วนะ น้ำเชื่อนนท์นะ ว่านนท์จะพิสูจน์ให้แม่เห็นว่าน้ำ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า ผู้หญิงคนอื่นๆเลย” ฉันโอบเขาไว้ แม้จะรู้ว่าไม่รอบก็ตาม เอนตัวลงบนอกของเขา ฉันไม่รู้ว่าจะปลอบใจเขาอย่างไรดี คิดว่าหากทำแบบนี้เขาคงจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ใจนึงก็กลัวว่า หากวันนั้นมาถึง ฉันคงไม่มีโอกาสที่จะกอดเขาไว้แบบนี้อีกแล้ว จู่ๆ ก็ร้องไห้ขึ้นมาอยากนั้น น้ำตาบ้าอย่าไหลมาได้ไหม ได้โปรดหยุดทีเถอะ

“นนท์… ขอบคุณนะ”
“ยัยบ็อง เป็นอะไรไปละเนี่ยตาแดงหมดแล้ว ฮ่า ฮ่าดูสิ ตาบวมเป็นหมีโดนผึ้งต่อยเลย” นนท์แยกตัวฉันออก พูดจาติดตลก ทั้งยังปาดคราบน้ำตาออกจากใบหน้า ลูบหัวเบาๆ อดทำให้ฉันยิ้มค้อนเขาขึ้นมา
“นายนี่ คนกำลังซึ้ง หมดมู้ดเลย” ฉันทุบเขาเบาๆไปทีนึง และขันท่าทางล้อเลียนฉันตอนร้องไห้นั้น

“นั่นไง หัวเราะแล้ว นนท์ชอบน้ำแบบนี้มากกว่านะ อารมณ์ดี เห็นแล้วนนท์สบายใจขึ้นเยอะ” ถึงจะพูดอย่างนั้นก็ตาม แต่ฉันก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราสองคน ไม่มีทางที่จะราบรื่นได้ ยังมีอุปสรรคตามมาอีกเยอะนัก แค่พยายามรักษาให้ทุกวันนี้มีเขาอยู่ข้างๆก็พอแล้ว
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 23-06-2008 00:28:23
“แต่ลูกชั้นเสีย ชั้นมีลูกชายคนเดียว คุณคงจะเข้าใจนะคะว่า คนที่เป็นพ่อเป็นแม่คงรับไม่ได้แน่ๆถ้าเขาจะต้องเสียอนาคต เพียงเพราะลูกคุณมัวแต่ยื้อเขาไว้แบบนี้”



















บทที่สี่


เช้าวันอาทิตย์ เสียงกริ่งดังรัวเป็นชุดหน้าบ้าน ฉันรีบวิ่งมาดูเอง ละงานจากในครัวมาเปิดประตูหน้าบ้านผ้ากันเปื้อนยังคงคาอยู่กับชุดแบบนั้น

“ใครคะ... เอ่อคุณน้า... สวัสดีค่ะ” ฉันอดแปลกใจไม่ได้ที่เมื่อเปิดประตูออกไป คนที่อยู่เบื้องหน้านั้น คือคุณแม่ ของนนท์ ที่จ้องฉันด้วยดวงตาแข็งกร้าวคู่นั่นไม่วาง เธอขยับกระเป๋าถือให้กระชับมือ เอ่ยคำทักทายกับฉันตอบอย่างเป็นมิตรนัก

“ไม่ต้องมาว่งไหว้ชั้นหรอกย่ะ ชั้นเองไม่อยากจะนับญาติกับเธอนักหรอกนะ” เธอมองกวาดไล่หัวจรดเท้า ตัวฉันแข็งทื่อนิ่งอยู่อย่างนั้น สายตาพลันเหลือไปเห็นฝ้ายอยู่ข้างหลังผู้ที่เรียกตนเองว่า –ชั้น- นั้น ฝ้ายหน้าซีดและโบกมือทักทายให้ ท่าทางการมาของสองคนนี้ คงมีเรื่องไม่ดีแน่ๆ

“คุณน้ามาที่นี่ มีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่าคะ” ฉันขืนตัวเองพูดกับท่านไปอย่างใจเย็น ฉันยังจำได้ไม่ลืมเมื่อครั้งที่ไปบ้านของนนท์ ท่านยังโอภาปราศรัย ต้อนรับเป็นอย่างดี แต่พอรู้ว่าฉันเป็น... เท่านั้น อย่าว่าแต่จะชายตามองเลย บ้านของท่านก็ยังไม่อยากให้ย่างกรายไปเป็นเสนียดจัญไรเลย

“ชั้นมาเพราะเรื่องของเธอนี่แหละ นี่ใจคอจะให้ชั้นยืนเป็นหัวหลักหัวตอตากแดดอยู่อย่างนี้เหรอไง” แม้ว่าจะพูดกับฉัน แต่สายตาของเธอแทบจะมองทะลุฉันอยู่แล้ว การฝืนใจให้ตัวเองเสวนากับคนที่เกลียดขี้หน้าแบบนี้ ฉันรู้ดี ฉันหลีกทางให้ทั้งคู่ก้าวเข้ามาในบริเวณบ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้

“เชิญคุณน้าค่ะ” แม่ของนนท์เดินจ้ำ เสียงซวบซาบของกระโปรงสีกับเนื้อดังเป็นจังหวะตลอด ไม่สนใจลูกสาวของเธอที่ตามมาเลย ฝ้ายเดินปรี่หาฉันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เราเดินคู่ไปด้วยกันตามท่านไป

“ใครมาเหรอน้ำ...” พ่อของฉันออกมาพร้อมกันกับแม่ เห็นแม่ของนนท์เดินบึ่งเข้าหา ก็อดงงงวยไม่ได้ พ่อกับแม่ยังไม่เคยเจอกับเธอคนนี้ เธอทำกริยาและสายตาเช่นเดียวกับที่ทำกับฉันไว้เมื่อครู่อีกครั้ง ก่อนเอ่ยทักทายทั้งสองอย่างไม่ใคร่เต็มอกเต็มใจนัก

“สวัสดี… ชั้นมีธุระเรื่องลูก... ของคุณ นี่คุณคงเป็นพ่อกับแม่ของเด็กคนนี้ใช่ไหม” ทั้งคู่สวัสดีทักทายตามและพยักหน้าตอบอย่างงงๆ ก่อนแม่เดินนำเธอไปห้องรับแขก มีพ่อคนเดียวเท่านั้นที่เอ่ยปากพูดกับเธออย่างใจดีสู้เสือ เธอไม่ได้ใส่ใจนัก ฉันกับฝ้ายรีบตามเข้าไปด้วยทันที

“เชิญครับ” แม้จะไม่ได้เชื้อเชิญ แต่เธอก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว พ่อกับแม่นั่งในฝั่งตรงข้าม ฉันยกน้ำมาเสริฝทั้งแม่ของนนท์และฝ้าย เธอไม่ได้แตะน้ำแก้วนั้นแม้แต่น้อย เข้าการสนทนาในทันที
“ชั้นมีเรื่องไม่มากที่จะคุยที่นี่นักหรอกนะคะ เอาละเราจะเข้าเรื่องกันได้หรือยัง สำหรับเธอ อยู่ด้วย จะได้รู้ๆกันให้ทั่วทีเดียว” ฉันหยุดทันควันขณะที่จะยกถาดออกไปอยู่ห้างนอกห้อง เธอไม่ได้มองมาที่ฉัน ทว่ารู้ว่าฉันอยู่ตรงไหนของห้อง เลยต้องเดินกลับมานั่งอยู่ที่โซฟาตัวริม บรรยากาศในห้องเริ่มอึมครึมขึ้นมาทันที

“ไม่ทราบว่าคุณ...” แม่เกริ่นถามชื่อของแขกผู้มาเยือนท่านนี้ แต่เธอก็ชิงตอบทันควัน
“ธัญยา ชั้นเป็นแม่ของนนท์ค่ะ” เธอปรับอิริยาบถเป็นนั่งไขว่ห้าง ข่มพ่อกับแม่ของฉันให้ดูรู้สึกไม่เสมอเท่าเทียมเธอ
“อ้อ... คุณธัญยา...” แม่หน้าเจื่อนลง ขณะที่พ่อเองยังขรึมไม่สะทกสะท้านกับท่าทีที่ดูแคลนของผู้มาเยือนนั้นแม้แต่น้อย ตั้งใจรอดูว่าเธอจะมีท่าทีอย่างไรต่อไป

“พูดตรงๆนะคะ ชั้นอยากให้คุณทั้งสองคนช่วยให้ลูก... เอ่อ ของคุณคนนี้เลิกยุ่งกับ ลูกชายชั้นเสียที” เธอเหลือบมาทางฉันแว่บหนึ่ง รู้สึกยะเยือกในฉับพลัน ห้องเงียบเชียบ มีเพียงเสียลมหายใจเบาๆแทรกผ่านบทสนทนานั้นเป็นระยะๆ
“ผมเข้าใจที่คุณพูดนะครับ แต่ว่าถึงลูกผมเขาจะเป็นแบบนี้ ก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหายนะครับ” พ่อยังคงทำใจดีสู้ พูดจานิ่งๆนุ่มนวล แต่ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายที่สนทนาด้วยใจเย็นลงบ้างเลย

“แต่ลูกชั้นเสีย ชั้นมีลูกชายคนเดียว คุณคงจะเข้าใจนะคะว่า คนที่เป็นพ่อเป็นแม่คงรับไม่ได้แน่ๆถ้าเขาจะต้องเสียอนาคต เพียงเพราะลูกคุณมัวแต่ยื้อเขาไว้แบบนี้” แม่ของนนท์ยังตอบอย่างหนักแน่นเสียงแข็ง ไม่เปลี่ยนท่าทีง่ายๆ พ่อเองก็ควันออกหูที่เธอพูดมาแบบนั้น
“คุณว่าใครกัน เท่าที่เห็น สองคนนี้เขาก็คบกันดี อยู่ในกรอบ ไม่มีอะไรเสียหาย โลกนี้มันเปลี่ยนไปแล้วนะคุณ หัดทำใจยอมรับเสียบ้างนะครับ” พ่อพยายามพูดกล่อมเธอ แต่ยิ่งทำให้เธอฟิวส์ขาด ลุกขึ้น พูดเสียงดังใส่พ่อกับแม่เสียฉันอดเกรงไม่ได้ ฝ้ายขยับมาอยู่ใกล้ๆฉัน บีบมือฉันแน่น สบตาอย่างเห็นใจและสื่อว่าขอโทษ ฉันรู้ดีว่า แม่ของนนท์หากโกรธขึ้นมา ใครก็ห้ามไว้ไม่อยู่

“ฉันไม่สนหรอก จะยังไงก็ตามฉันขอให้คุณควบคุมลูก... ของคุณอย่ามายุ่มย่ามกับลูกชายชั้นอีก”

“งั้นคุณก็ล่ามโซ่ลูกชายคุณไว้สิคะ มาบอกอะไรบ้านดิฉันนี่ เรื่องของสองคนนี้ ก็ปล่อยให้เขาตัดสินใจเอาว่าจะทำอย่างไรต่อเอง เราเป็นพ่อแม่อยู่ห่างๆดีกว่า คุณเองก็น่าจะทำอย่างนั้น” แม่โต้ตอบบ้าง ฉัน ผู้ที่ยื่นดูอยู่ห่างๆก็อดหวั่นไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกัน พ่อรั้งตัวแม่ไว้ไม่ให้ลุกไปฉะกับอีกฝ่ายเสียเดียวนั้น แม่ค่อยๆสงบอารมณ์ของตนให้เย็นแล้วนั่งลงตามเดิม อีกฝ่ายก็ค่อยๆนั่งลงตามเช่นกัน
“ชั้นอุตส่าห์มาพูดด้วยดีๆแล้ว เอาอย่างนี้คุณอยากได้เท่าไร สักเท่านี้พอไหม” เธอยื่นซองสีน้ำตาลซองหนึ่ง ภายในบรรจุเงินฟ่อนหนึ่งที่เธอคาดหมายว่าจะช่วยให้การต่อรองของเธอง่ายดายขึ้น

“เก็บเงินของคุณไปซะ แล้วก็รีบออกไปจากบ้านผมด้วย พวกเราไม่ได้จนตรอกขนาดที่ต้องขอเงินใครกิน” พ่อฉุนกึกที่เธอทำหยามหน้าแบบนั้น เลื่อนซองคืนกลับแก่ผู้ที่เสนอเงินนั้นตามเดิม เธอชายตาแลคนทั้งคู่อย่างหมั่นไส้และรู้สึกเสียหน้าอย่างแรง พลันลุกขึ้น เตรียมตัวเดินออกไปอย่าผู้แพ้
“งั้นก็ดี นี่เป็นทางเลือกที่พวกคุณเลือกเอง อย่ามาเสียใจทีหลังละกัน ฝ้าย... กลับ...” เธอยังคงกำเงินซองนั้นไว้แน่น พยักพเยิดให้ลูกสาวของเธอตามไปทันที หยุดตรงหน้าฉันไม่มีแม้แต่ชายตาแล

“ส่วนเธอ ถ้ายังไม่เลิกวุ่นวายเกาะแกะลูกชายชั้นอีกละก็ ชั้นจะจัดให้เป็นชุดอย่างที่เธอต้องการเลย”
แม่ของนนท์พูดเบาๆ แต่กลับชัดเจนมากสำหรับฉัน แม้ว่าจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นหมายถึงอะไร ฉันสื่อได้ถึงบางอย่างที่เจาะจงมาที่ฉันโดยเฉพาะ เธอกระแทกไหล่ฉันจนฉันเซรวน ก่อนออกจากบ้านไป โดยมีฝ้ายรีบวิ่งตามไปติดๆ พลางหันมายกมือไหว้ขอโทษขอโพยครอบครัวฉันเป็นการใหญ่ ทิ้งท้ายด้วยการทำไม้ทำมือบุ้ยใบ้ว่าจะโทรหาฉันอีกที
 
ฉันยังคงยืนอยู่ตรงนั้น อึ้งพูดไม่ออกกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น รู้สึกราวกับถูกตบหน้าอย่างจัง ฉันเองไม่อยากจะถือโทษโกรธอะไรทั้งคู่หรอก ทว่าพ่อกับแม่นี่ซิ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง ที่มีคนมาดูถูกท่านทั้งสองถึงที่บ้าน ฉันไม่กล้ามองหน้าทั้งคู่เลย จะหลบไปไหนดี ก้าวขาไม่ออกเลย














“นี่น้ำกับนนท์ไปถึงขั้นไหนแล้วเหรอ” ฉันหลุดจากภวังค์ ที่ยังคงวิตกกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และค้นพบว่า หวานกำลังเอ่ยทักทายมาอีกฝากหนึ่งของฉากกั้น เท้าแขนรอคำตอบอยู่อย่างตั้งใจ นี่ฉันกำลังทำงานอยู่นี่นา
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ” ฉันก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับคำถามนั้นแม้แต่น้อย
“งั้นก็แสดงว่า...” หวานกรอกตาไปมาอย่างรู้ทัน และจิ้มปากกาวนไปมาเหนือบริเวณไหล่ ทำหน้าทำตาเคลิบเคลิ้มตาม ฉันปิดแฟ้ม และขยับตัวลุกจากโต๊ะทำงาน บอกปัดอย่างไร้อารมณ์

“หวาน... ยังหรอกนะ ก็ดูกันไปเรื่อยๆแบบนี้แหละดีแล้ว เดี๋ยวขอตัวก่อนนะ ไปห้องน้ำแป็บ”
เมื่อฉันเดินลับตาเลี้ยวเข้าห้องน้ำไป โทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้น หวานมองซ้ายขวาแล้ว แว่บมาอยู่ตรงโต๊ะทำงานของฉัน เมื่อเห็นว่านนท์โทรมา ก็ดูต้นทางพลางรีบรับโทรศัพท์เสียงอ่อนเสียงหวาน

“ฮัลโหล”
“อ้าวหวานเหรอ ขอสายน้ำหน่อยสิ” เสียงจอแจตีคู่กับเสียงของนนท์นั้น แต่หวานก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี
“นนท์ น้ำเขาออกไปข้างนอกน่ะ ดูเหมือนว่าจะยุ่งๆน่าดู” หวานบอกปัดไป ก่อนชะโงกหน้าไปดูที่มุมตรงที่ฉันเดินหายเข้าไป ก่อนแล่นจู๊ดกลับมาที่โต๊ะตัวเอง
“เหรอ งั้นไม่เป็นไรนะ นัดเย็นนี้คง...” น้ำเสียงนนท์ดูผิดหวังเล็กๆ หวานรีบโต้ทันควัน

“เดี๋ยวสิ น้ำบอกว่าจะไปก็คงไปแน่ๆแหละ ว่าแต่เจอกันที่ไหนเหรอ กี่โมง เดี๋ยวจะเตือนน้ำให้นะ” หวานคว้าปากกามาจดบนโน๊ตเพด เมื่อนนท์วางสายไป เธอรีบเปลี่ยนระบบโอนสายในโทรศัพท์ของฉัน เฉพาะเบอร์ของนนท์นั้นที่โอนสายไปหาเธอโดยตรง ย่องกลับมาวางคืนที่โต๊ะทำงานฉันตามเดิม ขณะที่เดินออกมาก็ชะงักเล็กน้อยที่เห็นฉันยืนงงอยู่ข้างหน้า และกำลังจะเข้ามานั่งทำงานตามเดิม

“ใครโทรมาเหรอน้ำ” ฉันถามเธอเนื่องจากสงสัยว่าเธอมาทำอะไรที่โต๊ะของฉันนี่
“ก็ไม่นี่นา สงสัยโทรผิดมั้ง พูดไม่รู้เรื่องเลย เดี๋ยวน้ำจะต้องรีบกลับบ้านก่อนนะ วันนี้มีธุระต้องไปกับที่บ้าน” หวานทำไม่รู้ไม่ชี้ กลับไปปิดคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงานตัวเอง คว้ากระเป๋ากับกุญแจรถ โบกมือให้ฉัน และกระหยิ่มยิ้มย่องออกไปอย่างอารมณ์ดี
“จ้า... โชคดีจ๊ะ” ฉันเองก็ออกจะงงๆ อมยิ้มที่เธอร่าเริงอย่างนั้น กลับมาเคลียรงานต่อ ไม่ยักรู้เลยว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นบ้าง







หวานดูตามโน้ตเพด และเงยหน้าสังเกตป้ายร้านอาหารทั้งสองฝั่งถนนตาม เมื่อเจอร้านหนึ่งตรงตามที่จดไว้ก็เลี้ยวรถเข้าไปทันที เธอจอดรถ ก่อนตรงดิ่งเข้าร้านไป
“อ้าว...หวาน... แล้วน้ำไปไหนน่ะ” นนท์เอ่ยปากถามทันทีที่พบว่าหวานมาที่ร้านเองคนเดียว หวานทำหน้าเจื่อนๆ ซึมๆ ก่อนนั่งที่นั่งตรงกันข้ามนนท์
“น้ำมีธุระด่วนน่ะ คงจะลืมไปจริงๆ หวานเลยไม่ได้เจอน้ำเลย โทรหานนท์ก็ไม่ติดเลยมาบอกนนท์นี่แหละ” เธอเอ่ยอย่างตัดพ้อฉัน นนท์นั่งเกาหัว บ่นอุบ ทำท่าเซ็งๆ
“เฮ้อ ยัยคนนี้แหละทุกที ยุ่งจนลืมไปหมดว่าวันนี้วันเกิดนนท์ นี่อุตส่าห์ชวนมาร้านนี้แล้วแท้ๆ เห็นว่าน้ำอยากมา” หวานรีบหยิบถุงกล่องของขวัญออกมาวางตรงหน้า เลื่อนให้ผู้รับที่เธอตั้งใจจะให้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะนั้น

“นี่จ๊ะ ของขวัญ”
“อะไรเหรอ หวาน เอ่อ... ท่าทางจะแพงเลยนะ ไม่ดีมั้ง” นนท์รับของไว้ แต่เมื่อสังเกตแบรนดที่อยู่ข้างถุงนั้น ก็เลื่อนคืนให้ หวานหน้าซีด แต่ก็ฝืนพูดออกไปพร้อมกับหน้าตาที่ยิ้มแย้ม และเต็มใจ

“รับไว้เถอะน่า เล็กๆน้อยๆ เพื่อนกัน หวานเต็มใจจะให้ในฐานะที่เป็นเพื่อนที่ดีของหวานมาตลอด และคอยดูแลน้ำด้วย” หวานกัดฟันพูดคำสุดท้ายออกมาทั้งที่ไม่อยากแม้แต่เอ่ยถึง วันนี้ขอเป็นวันของเธอบ้าง เป็นตาของเธอบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าได้ผลที่อีกฝ่ายใจอ่อนยอมรับของขวัญนั้น อย่างเต็มใจมากขึ้น

“ขอบใจนะ เราจะเก็บไว้อย่างดีเลย” นนท์ยิ้มให้และยกของลงจากโต๊ะ แก้มหวานเริ่มปรากฏสีแดงระเรื่อ ทั้งคู่สั่งอาหารทาน คุยกันสนุกสนาน โดยไม่ทราบแม้แต่น้อยว่า ฉันกำลังบึ่งมาที่นี่อย่างรีบร้อน ภายหลังที่จัดการงานจนเรียบร้อย ใช้เวลาสักพัก ครั้นเมื่อถึงหน้าร้านก็เลี้ยวรถเข้ามาจอด ทันทีที่จอดและลงออกมาจากรถนั้น อดสงสัยไม่ได้ที่ทำไมรถของหวานถึงมาอยู่ที่ร้านนี้ได้ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ตรงเข้าร้านทันที

“แค่ขอบใจ อย่างเดียวไม่พอละมั้ง นนท์” หวานเอ่ยอย่างมีเลศนัยขณะเดินคู่มากับนนท์ หลังจากที่เคลียรบิลเรียบร้อยแล้ว
“หา... อะไรเหรอหวาน” ไม่ทันที่นนท์จะเอ่ยอะไรต่อจากนั้น หวานเดินเข้ามาใกล้ เธอถอดแว่นของตัวเองออกและจูบเขาเบาๆ แล้วถอนตัวออกมา ฉันยืนหอบอยู่นอกร้านถือของขวัญกล่องเล็กคาอยู่อย่างนั้น ภาพทั้งสองคนในร้านนั่น


“นนท์... หวาน... นี่มันอะไรกัน”


จู่ๆ ก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา ฉันละของขวัญทิ้งลงพร้อมกับทรุดตัวตาม เลือดกำเดาไหลอีกแล้ว ก่อนรู้ตัวว่าทั้งคู่กำลังเดินออกมาจากร้านนั้น ฉันรีบพยุงตัวขึ้น ค่อยๆหลบฉากไป นั่งพักอีกมุมหนึ่ง ไม่ไหวแล้วจริงๆ นี่มันอะไรกันแน่ สองคนนั้น หรือว่า...
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 23-06-2008 00:37:47
เสียงของนนท์ยังคงแทรกมาเป็นระยะๆ ความรู้สึกที่มีให้กัน กลับเจือจางลงไป ฉันรู้ว่าตัวเองไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยที่หนีมาดื้อๆแบบนี้ คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดระหว่างเราสองคน จบแบบนี้ยังดีกว่าทนเจ็บซ้ำซากไปทุกครั้ง













บทที่ห้า


   ภาพที่เห็นวันนั้นยังคงตราอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืม เป็นข้อกังขาที่ทำให้ฉันเคลือบแคลงไม่ไว้วางใจเขามากขึ้น ยิ่งการที่เขาไม่มีการติดต่อมา ห่างหายไปนานแบบนี้ กลับทำให้ดิ่งจม เบื้องเหวแห่งการคำนึงคิดด้านมืดของอีกฝ่ายลงเรื่อยๆ มองไม่เห็นแม้แต่สิ่งดีๆที่มีต่อกันเรื่อยมา เลือนรางลง... เลือนรางลง...

   “น้ำเป็นอะไรไปเหรอลูก” ฉันสำนึกได้เพียงว่าเจ้าของเสียงนุ่มทุ้มนั้นไม่ใช่ใครอื่น พ่อรีบรุดมาประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรงนั้นไว้ในอ้อมแขน ไม่สนใจแก้วน้ำที่ฉันทำหลุดมือแตกไปเศษแก้วระเนระนาดกระจายทั่วพื้นห้อง ตาพร่ามัวไปหมด

   “นี่... เป็นตั้งแต่เมื่อไรกัน น้ำ” พ่อพบว่าฉันเลือดกำเดาไหล และไอเป็นเลือด อุ้มฉันออกมาจากครัว วางร่างลงบนโซฟา นอนเหยียดยาว พ่อรีบควานหากุญแจรถ และกุญแจบ้านในลิ้นชัก ฉันฉวยมือพ่อไว้เมื่อพ่อเตรียมจะโทรศัพท์หาแม่

   “พ่อคะ น้ำไม่เป็นอะไรมากหรอกคะ พ่อไม่ต้อง... แค่ก... แค่ก...” ฉันพยุงตัวนั่งอย่างทุลักทุเล ส่ายหน้าปรามพ่อไม่ให้โทรศัพท์ไปบอก พ่อละจากโทรศัพท์ หันมาประคองตัวฉันไว้แทน ทุกครั้งที่ฉันป่วย พ่อกับแม่มักต้องผลัดเปลี่ยนมาดูแลฉัน แทนที่ผู้เป็นลูกจะดูแลพ่อแม่แท้ๆ

   “น้ำน่าจะรู้นะว่า ตัวเองสุขภาพไม่ดี ไปหาหมอกันนะลูก” พ่อบ่นพลางซับเลือดที่มาไม่หยุดนั้นก่อนพาฉันไปโรงพยาบาล

   หลังจากที่ทำการตรวจเรียบร้อย แพทย์ลงความเห็นให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 2-3 วัน ฉันรู้ตัวดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน พ่อเองก็ค่อนข้างเครียด แต่ก็เฝ้าฉันอยู่ไม่ห่าง ขณะที่ฉันคะยั้นคะยอให้พ่อไปทำงานมากกว่าที่จะมาดูแลฉันทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ และยังช่วยลางานให้ฉันอีก

“พ่อคะ...” ฉันเอ่ยขึ้นขณะเดินคู่กันมากับพ่อเข้าบ้านหลังกลับจากโรงพยาบาล ท่าทางพ่อดูอิดโรย ซูบไปถนัดตา กระนั้นพ่อยังปรามไม่ให้ฉันยกของหนักช่วยท่านอีก อดกังวลไม่ได้ อยากให้พ่อได้พักผ่อนจริงๆจังมากกว่า ฉันเองก็หายดีมากขึ้นแล้ว
 
   “พ่อคะ... เรื่องนี้เรารู้กันสองคนนะคะ หนูขอร้องอย่าบอกให้ใครรู้ โดยเฉพาะกับแม่” ฉันย้ำกับพ่อให้แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง แม่คงจะวิตกไม่น้อยที่ฉันเกิดป่วยกะทันหันขณะที่ตัวเองไปสัมมนาต่างจังหวัดนั้น

   “อือ… เข้าบ้านไปพักผ่อนก่อนเถอะลูก ตากแดดตากลมแบบนี้ เดี๋ยวจะไม่สบายหนักไปอีก”

   





            นนท์นั่งใจลอย นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อนมาตลอดหลายวัน การกระทำของหวานนั้น ชัดเจนมากในความทรงจำ รู้สึกคิดไม่ตก กังวลว่าจะบอกปฏิเสธหวานไปอย่างไร และน้ำรู้เรื่องด้วยหรือไม่ อันสุดท้ายนี่สำคัญนัก นนท์ผุดลุกมาแต่งตัวผูกไท แต่งตัวไปทำงานต่อ

   “ทำไมหวานต้องทำแบบนั้นด้วย โอยปวดหัวชะมัด แล้วน้ำทำไมจู่ๆก็เงียบหายไปแบบนี้นะ” นนท์ส่องหล่อซ้ายขวาในกระจก เช็คให้ตัวเองแน่ใจ พลันเหลือบไปเห็นนาฬิกาและการ์ดสารภาพรักของหวานที่ซุกอยู่ในตู้เสื้อผ้าเข้า จะทำอย่างไรดี เขาหยิบโทรศัพท์มาทวนเบอร์โทรศัพท์ของน้ำอีกครั้ง และเช็ค เทียบกับของหวาน ทำให้แน่ใจว่าต้องมีอะไรบางอย่างตรงตามที่เขาคิดแน่ๆ
   
          “ติดต่อก็ไม่ได้  มีอะไรทำไมถึงเข้าเครื่องหวานไปได้”


   ขณะนั้นเอง ฝ้ายเคาะประตูและเรียกนนท์
   “นนท์ ฝ้ายเข้าไปได้หรือเปล่า”
   “เข้ามาสิ นนท์ไม่ได้ล็อกห้องไว้” ฝ้ายเปิดประตู เดินตรงมาหาด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่ซึมเซา เธอกับนนท์ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะต่างคนต่างยุ่งเรื่องงาน อีกทั้งแม่ของทั้งคู่ห้ามไม่ให้ฝ้ายเอ่ยเรื่องดังกล่าวให้นนท์ทราบ
   “นนท์ แม่เราไปอาละวาดน้ำถึงที่บ้านเขาเลยนะ”

   “หา... ตั้งแต่เมื่อไร” นนท์ไม่สนใจผูกไทค์ต่อจับฝ้ายนั่งลงคุยเรื่องนี้อย่างจริงจัง ฝ้ายมีท่าทางเบลอๆ มึนๆ แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของนนท์ ฝาแฝดของเธอเป็นอย่างดี
   “สองอาทิตย์ก่อนน่ะ ฝ้ายห้ามแล้วนะ นนท์ก็รู้เวลาที่แม่จะทำอะไร ใครก็ห้ามไว้ไม่อยู่” นนท์ตั้งใจฟังฝ้ายทุกถ้อยคำ กุมมือของฝาแฝดของตัวเองไว้อย่างกังวล

   “แล้วแม่ทำอะไรไปบ้างน่ะ”
   “แม่ก็ไปขู่เขานะซิ แถมยังจะให้เขาเลิกยุ่งกับนนท์โดยเสนอเงินให้” เมื่อได้ยินอย่างนั้น นนท์ก็พลันฉุนแม่ของตนเองขึ้นมาทันที แม่ของเขาไม่ควรที่จะทำอะไรแบบนั้น

   “แม่น่ะเหรอ ทำแบบนั้น มิน่าน้ำถึงหายไปเลยช่วงนี้ ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย” ฝ้ายรั้งนนท์ไว้ให้อยู่ในห้องกับเธอต่อ เธอรู้ดีว่าถ้ายังไม่สงบอารมณ์เอาไว้มีแต่จะแย่ลง สุดท้ายคงคุยกันไม่รู้เรื่องทั้งแม่ของนนท์ที่มีทิฐิต่อน้ำ กับนนท์ซึ่งกำลังโกรธผู้เป็นแม่ของตนจนไม่สนใจอะไรอีก

   “นนท์ เธอจะทำอย่างไรต่อ” ฝ้ายวิตกกังวลกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่ไม่น้อย เธอเข้าใจดีว่าน้ำไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร




   “เป็นเรานะ จะเลือกหวานว่ะ ยังไงของจริงก็ดีกว่าของปลอมวันยันค่ำ” เชาว์กระดกเหล้าดีกรีแรงไปอึกใหญ่ หลังตอบคำถามของนนท์นั้น นนท์ทำหน้าไม่สบอารมณ์ ยกเหล้าดื่มตามดับความวิตกกังวลที่มีในใจเขานี้ให้หมดไปเสียที

   “พวกแกก็รู้จักน้ำดี ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ หรือจะให้กูชกซักหมัด” นนท์เงื้อหมัด เตรียมชกเพื่อนสนิทที่ตอบคำตอบนั้นออกมา เอ็มรีบปราม ไม่ให้เรื่องบานปลายเกินไป เขารุดมานั่งคั่นสองคนเอาไว้ไม่ให้วางมวยกัน

   “ก็มันเป็นปัญหาแก้ไม่ตกนี่นา แม่นายหัวแข็งจะตาย คงจะยากที่จะทำให้เปลี่ยนใจได้ง่ายๆ พูดยากว่ะ” เอ็มพูดอย่างเป็นกลาง ตบไหล่นนท์อย่างเข้าใจเบาๆ แถมกระทุ้งเชาว์ไม่ให้ดื่มต่อก่อนที่จะครองสติต่อไปไม่ได้อีก

   “กูเข้าใจมึงวะนนท์ เอางี้ดีไหม มึงก็ควบเลยซิวะ” เชาว์ยังคงพล่ามไม่เลิก แม้จะเอนตัว ฟุบคาโซฟาที่นั่งนั่น ไม่สนใจเสียงเพลงดังหนวกหูนั่นและแสงไฟที่สาดไปมาทั่วห้อง
   “กูให้พวกมึงมาช่วยคิดหาทางออกให้กู ดันมีแต่พูดเล่นแบบนี้ แม่ง... พึ่งพาไม่ได้เลย” นนท์ฟิวส์ขาด ลุกขึ้นตวาดกร้าวใส่เชาว์ทันที เอ็มกุมขมับทันที ศึกนี้ท่าทางจะห้ามไม่ได้อีกแล้ว

   “กูยอมรับนะว่าน้ำเขาดีกับมึงมากจริงๆ กูชอบนะ ขึ้นอยู่กับมึงแล้ว ว่าจะเลิก หรือคบแบบหลบๆซ่อนๆ หรือจะเกลี้ยกล่อมให้แม่มึงเข้าใจ อยู่ที่ความพยายามและความอดทนของมึงว่าจะมีมากแค่ไหน” เชาว์อ้อแอ้เดินมากดให้นนท์นั่งลง นนท์พยักหน้าอือออตาม ก่อนตบหัวแถมไปอีกทีนึง เชาว์เกาหัวมึนๆ หัวเราะเก้อไป
   “ขอบใจนะเว้ย  ไอ้เอ็ม ไอ้เชาว์” นนท์กล่าวขอบใจพลางกอดคอเพื่อนสนิททั้งสองไว้ เอ็มปาดเหงื่อ ยอมรับว่าตามอารมณ์ขึ้นๆลงๆของสองคนนี้ไม่ทันจริงๆ

   “ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ เพื่อนกันน่า มีไรก็ปรึกษาได้เสมอ ยกเว้นตอนพวกกูจู๋จี๋กับแฟนนะเว้ย” เอ็มหยอด พลางรินเหล้าให้ตัวเองดื่มต่ออีกนิด ทีแรกกะว่าจะรินให้ทั้งสองคนดื่มต่อ แต่พอเห็นฟุบคาโต๊ะไปทั้งคู่ ก็อดอมยิ้มไม่ได้ ทั้งๆที่เพิ่งทะเลาะกันไปแท้ๆ
   “ฮ่า... ไอ้พวกนี้นี่...” เอ็มจิบ พลางยกแก้ว ยักคิ้วหลิ่วตาให้สาวโต๊ะข้างๆกันนั้น




   “น้ำอยู่ไหมครับ” นนท์กล่าวถามถึงฉันกับพ่อหลังจากกดกริ่งหน้าประตูนานสองนาน พ่อเดินงัวเงียมาดูว่าเป็นใคร มากดกริ่งหน้าบ้านตอนดึกดื่นแบบนี้ อดประหลาดใจไม่ได้ที่เป็นนนท์ แถมยังมีกลิ่นเหล้าคลุ้ง แม้จะพูดจามีสติก็ตาม
   “น้ำไม่อยู่หรอก มีอะไรหรือเปล่า นนท์มีอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวน้าจะบอกให้” พ่อของฉันตอบเลี่ยงๆ กันไม่ให้เราทั้งคู่ต้องพบหน้ากัน ซึ่งตัวฉันเองก็ตั้งใจแบบนั้นเช่นเดียวกัน

   “ผมรู้ว่าน้ำอยู่บ้าน ให้ผมเข้าไปเถอะครับ ได้โปรดเถอะครับ” นนท์เหลือบเห็นฉันแอบมองอยู่ห่างๆภายในห้องนอนของตนเอง ฉันตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงกริ่งนั้น แต่ก็ไม่กล้าออกไปดูเพราะรู้ว่าผู้ที่มาเยือนยามวิกาลคนนั้น คือนนท์ ฉันได้แต่หลบหลังม่าน ตั้งใจฟังบทสนทนาของทั้งคู่อย่างตั้งอกตั้งใจ
   “เธออย่าทำให้เราต้องลำบากใจไปเลยนะ บ้านเราน่ะ ต้อนรับเธอเสมอ แต่แม่ของเธอนี่ซิ” พ่อถอนหายใจ ท่านเองก็ทราบว่านนท์คิดอย่างไรกับฉัน ฉันกำปลายผ้าม่านไว้แน่น กล้าๆกลัวๆว่าควรจะดูทั้งคู่ดีไหม

   “ผมกราบขอโทษ แทนแม่ของผม ที่ทำกริยาไม่ดีแบบนั้นใส่ทุกๆคนครับ แต่ว่าขอให้ผมได้เจอน้ำสักนิดได้ไหมครับ” ครั้นนนท์ยอมก้มกราบขอโทษพ่อฉันแบบนั้น ฉันอึ้งพูดไม่ออก มือป้องปากไว้แบบนั้น พ่อของฉันเองก็เช่นกัน ท่านรีบนั่ง รับคำขอสมาลาโทษนั้นไว้ ทำมือบุ้ยใบ้บอกให้เขาลุกขึ้น
   “เรารู้ว่าเธอเป็นคนดี และเจตนาต่อลูกสาวเรา ยังไงก็ขอบใจนะที่เธอดูแลน้ำมาตลอด” พ่อลูบศีรษะเขาเบาๆ ฉันเองก็ลุ้นอยู่ว่าพ่อ จะใจอ่อนยอมให้เขาเข้ามาภายในบ้านหรือไม่

   “แต่ว่า ให้โอกาสผมเข้าไปคุยกับน้ำไม่ได้เหรอครับ” นนท์รีบเอ่ยปากขอร้องอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีท่าทีที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
“กลับไปเสียเถอะ เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย พวกเราเองก็อยากอยู่อย่างเงียบๆ อย่าหาความเดือดร้อนมาให้พวกเราเลย” พ่อยังคงยืนกรานคำเดิม รีบเดินกลับบ้านเข้ามาทันที นนท์ยังคงยืนอยู่อย่างนั้น จนถึงรุ่งเช้าของวันถัดมา


“เธออยู่แบบนี้ทั้งคืนเลยเหรอ” ฉันเปิดประตูออกไปทิ้งขยะ ตอนเช้าตรู่ อดแปลกใจไม่ได้ที่นนท์ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ผิดเพี้ยน ดวงตาอิดโรย กลิ่นเหล้ายังอบอวนคลุ้งอยู่

“น้ำ... หายไปไหนมา นนท์ติดต่อน้ำไม่ได้เลยรู้ไหม” นนท์ดึงตัวฉันไปกอด พยายามหอม และลวนลาม  ฉันปล่อยขยะทิ้ง รีบปัดป้องตัวเอง ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้สึกอะไรกับเขา แต่มันอดขยะแขยงไม่ได้ที่จู่ๆเขาทำรุ่มร่ามแบบนี้กับฉัน
 “เป็นไรไปล่ะ นนท์คิดถึงน้ำนะ”

“อย่านนท์... อย่า...” ฉับพลัน ก็ตบหน้าเขาไปครั้งหนึ่ง เพราะบันดาลโทสะ พละตัวเองออกมา ปาดจูบอันน่าสะเอียดสะเอียนนั่นออกจากปากตัวเองทิ้ง และหันหลังให้ ปัดมือของเขาที่ตั้งใจจะขอโทษออก
“เธอเอาเวลาไปดูแลหวานเถอะนะ อย่ามายุ่งกับคนที่มองอนาคตได้เลือนรางอย่างน้ำเลย เสียเวลาเปล่าๆ” ฉันเช็ดรื้นน้ำตา ไม่อยากจะแสดงความอ่อนแอของตนเองออกมา ฉันรีบเข้าบ้าน ล็อคประตูทันที กั้นเราทั้งคู่ไว้ ฉันไม่อยากจะต้องใจอ่อนให้กับเขาอีก
“น้ำ เธอรู้... โธ่... นั้นมันเรื่องเข้าใจผิดทั้งเพ” นนท์เกาะประตูไว้แน่น พยายามแก้ตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งนั้น ระหว่างเขากับหวานนั้น ฉันบอกตรงๆว่าไม่อยากจะทนฟังเลย ยิ่งแก้ตัวก็เหมือนกับคนเห็นแก่ตัว

“จะให้เข้าใจผิดได้ไง ทั้งๆที่ภาพมันฟ้องตำตาแบบนั้น”
“น้ำ ฟังเหตุผลนนท์ก่อนนะ หวานเขามาบอกว่าชอบนนท์...” ฉันเจ็บจี๊ดขึ้นทันที โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เขาลนลานไม่ยอมรับสายง่ายๆ ฉันเดาได้ทันทีว่าสายนั้นคือใคร

“นั่นไง... หวานละซิ ไม่รับโทรศัพท์ล่ะ” ฉันชายหางตามองครู่หนึ่ง หลุดคำประชดประชันไปอย่างไม่ตั้งใจ เดินกลับเข้ามาในบ้าน ไม่สนว่า เขาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง

“น้ำเดี๋ยวก่อน น้ำ เป็นอะไรไปล่ะน้ำ น้ำ...” เสียงของนนท์ยังคงแทรกมาเป็นระยะๆ ความรู้สึกที่มีให้กัน กลับเจือจางลงไป ฉันรู้ว่าตัวเองไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยที่หนีมาดื้อๆแบบนี้ คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดระหว่างเราสองคน จบแบบนี้ยังดีกว่าทนเจ็บซ้ำซากไปทุกครั้ง
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 23-06-2008 15:34:51
 :sad2:ทำไมเศร้าปานนี้อ่ะครับ :sad2:
พี่ฮะร้องไห้แล้วเนี้ย :sad2:
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 23-06-2008 17:17:42
ตะเอง เรื่องเก่าอ่ะยังไม่จบ ขยันจังนะจ๊ะ :o8:
ไม่ได้ขยันหรอกครับ เรื่องนี้แต่งไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว
ระหว่างที่ผมยังคิดอีกเรื่องไม่ออกก็จะทะยอยลงเรื่องนี้แทนครับ
เข้ามาทักทายเองใหม่จ้า  อิอิ
สวัสดีคร้าบ มอเดอรเรเตอร ของบอรด เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับที่เข้ามาทัศนาเรื่องของผม
สงสัยจะได้รางวัลนักเขียนไฟแรงไปครองแน่ๆ  :L2:  :L2:
หูยย ไม่หรอกคร้าบ จริงๆ ผมก็ยังมีไอเดียอย่างเขียนอยู่หลายเรื่องที่พล็อตไว้ ตอนนี้อ่านแค่สองเรื่องไปก่อนนะ
:a5: ผ้าเช็ดตัว ช่วงนี้ต้องเตรียมหลายผืนหน่อย มีแต่เรื่องเศร้าๆๆ :m23:แหะๆคือผ้าเช็ดหน้าถ้าจะไม่พออ่ะดิ
ท่าจะจริงครับ ช่วงนี้มีหลายเรื่องที่เรียกความรู้สึก และน้ำ....เยอะ
สงสัยยังไม่หายโรค สมองตีบ

555 รอวันหายดีครับ ทั้ง 2 เรื่องเลย
หายแล้วคร้าบ สมองแล่นปร๋อ มาต่อแล้วนา.....
:sad2:ทำไมเศร้าปานนี้อ่ะครับ :sad2:
พี่ฮะร้องไห้แล้วเนี้ย :sad2:
ขอโทษด้วยนะครับ
ที่ทำให้ร้องไห้

แอบดีใจนิดนึงที่หลายคนอิน


ขอบคุณทุกรีพลาย และทุกคอมเม้นต์ที่มีให้ รวมถึงผู้อ่านคนอื่นๆที่แวะเวียนเข้ามานะคร้าบ  :pig4:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 23-06-2008 17:50:37
รักแท้จะแพ้แม่รึเปล่านี่ดิ เฮ้อ

เอาใจช่วยๆ เข้าใจแม่นนท์อยู่

เพราะเราก็ลูกสาวคนเดียวนี่นา กร้าก
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 24-06-2008 00:46:03
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 24-06-2008 10:20:00
“หน้าที่ของคุณ... คือดูแลหวานให้ดีๆละกัน” ฉันปิดประตูแล้วรีบบึ่งออกไป ฉันทำถูกหรือเปล่าที่ทำแบบนั้น ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ















บทที่หก



   ฉันเพิ่งกลับมาทำงานได้ไม่กี่วันหลังจากที่ลาป่วยไปเกือบอาทิตย์ งานพะเนินเต็มโต๊ะเลยทีเดียว ต้องรีบสะสางให้เสร็จเรียบร้อยเสียโดยเร็ว จนไม่ทันได้สังเกตว่าโทรศัพท์มือถือของหวานดังหลายรอบแล้ว ทว่าหวานไม่ได้อยู่ที่โต๊ะ เธอหายไปนานมาก รู้สึกรำคาญขึ้นมาตงิด ไม่ทันทีจะเดินลัดไปรับสายนั้นแทน หวานก็พุ่งหวือมาจากไหนไม่ทราบ รีบดูเบอร์และหลบไปรับสายในห้องน้ำ ฉันแอบตามไปเงียบๆ

“นนท์ โทรมามีอะไรเหรอ” เธอพูดลนลานปนดีใจทันทีที่รับสาย ฉันฉุนกึกขึ้นมากับแมวขโมยคนนี้ทันที แต่ก็ฉุกขึ้นมาได้ว่าตัวเองกับเขาก็เลิกกันเรียบร้อย จะไปหึงหวงให้เสียเกียรติทำไม นึกไปนึกมาก็อยากจะเอาคืนให้แสบกับคนทั้งคู่จริงๆ

   “หวาน นนท์มีเรื่องจะคุยด้วย ออกมาได้ไหม” ไม่ทันที่จะจับประเด็นได้ว่านนท์นัดหวานไปไหน ก็ต้องรีบกลับไปที่โต๊ะทำงานเนื่องจากเลขานุการของหัวหน้ามาตามให้ไปพบ เจ็บใจจริงๆ พอออกมาอีกทีหวานก็ไม่อยู่แล้ว

   หวานจอดรถเลียบเคียงกับรถของนนท์ สายลมพัดแรงทำเอาผมเพ้ายุ่งไปหมด หวานเดินมาหานนท์ที่ยืนเกาะราวกั้นริมฝั่งเจ้าพระยา หวานปัดปอยผมจากหน้าของตัวเองออก จับมือของนนท์ และยิ้มให้ การไม่ใส่แว่นแบบนี้ทำให้นนท์ไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไร แต่ก็ยังจำเค้าหน้าของหวานได้
“นนท์มีอะไรเหรอ เรียกหวานมาที่นี่เนี่ย”
   “รู้ได้ไงว่าหวานชอบที่นี่ โรแมนติคเหมือนกันนะ” เธอยืนพิงราวกั้น ผู้อยู่ตรงหน้ากลืนน้ำลายเล็กน้อย แกะมือของเธอผู้นั้นออก ก่อนตัดสินใจโพล่งบอกบางอย่างกับเธอไป

   “นนท์มีเรื่องสำคัญจะพูด นนท์ตัดสินใจแล้ว” ตาของนนท์มองเลื่อนลอยออกไป ไม่มีภาพของหวานอยู่ตรงหน้านั้น
   “ว่าไงนะนนท์” ดวงตาเธอลุกวาวเป็นประกายแห่งความหวัง ตั้งใจฟังคำนั้นใจจดจ่อ
   “ขอโทษนะหวาน ความรู้สึกของหวานเรารับไว้ไม่ได้จริงๆ คนที่เรารัก มีเพียงคนเดียวเท่านั้น คือ...” นนท์นำของขวัญกล่องนั้นคืนกลับให้หวาน เธอหน้าเจื่อนไปทันที และรีบสวนทันควัน
   “เธอคิดจะผูกตัวเองไว้กับอนาคตที่ไม่มั่นคงและมองไม่เห็นแบบนั้นกับน้ำเหรอ เธอโง่มาก” หวานไม่ยอมรับของชิ้นนั้นคืน รู้สึกราวกับโดนฉีกหน้า

   “ทีหวาน หวานเป็นเพื่อนประสาอะไร กล้าแม้แต่จะหักหลังเพื่อนแบบนี้” นนท์ไม่ลังเลที่จะพูดคำนี้กับเธอ แม้จะเป็นการตอกกลับอย่างรุนแรงก็ตาม หวานคงจะสำนึกตัวได้สักทีว่าสิ่งที่เธอทำนี้มันไม่ถูกต้อง ในใจของนนท์มีเพียงน้ำคนเดียว คนเดียวเท่านั้น
   “หักหลังเหรอ หวานห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้หรอกนะ” น้ำเสียงของเธออ่อนลง ตรงเข้ามากอดเขา แต่นนท์รีบพละออก ไม่อยากให้มันยืดเยื้อเรื้อรังไปมากกว่านี้
   “ความรัก ที่ทำร้ายคนอีกคนที่เป็นทั้งเพื่อนของหวานและแฟนนนท์ นนท์ทำไม่ได้” นนท์คืนของขวัญกับเธอดื้อๆ เดินหนีออกมา หวานรีบฉุดมือเขาเอาไว้

   “นนท์ ทำแบบนี้กับหวานเหรอ ของขวัญนี่ หวานตั้งใจจะให้นนท์นะ” น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ เสียงของเธอสั่นเครือ พยายามยัดเยียดของขวัญวันเกิดนั้นให้เขาอีกครั้ง แต่เขากลับปัดไปไม่ไยดี แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์เธอ
   “ขอโทษนะ เอากลับคืนไปเถอะ นนท์รับไม่ได้จริงๆ” กล่องดังกล่าวตกพื้น เสียงนาฬิกาข้อมือแตกกระทบพื้น หวานตกใจมาก พลั้งมือตบหน้าเขาไปหนึ่งฉาด

   “โง่ โง่ที่สุด หวานด้อยกว่าน้ำตรงไหน”
   “ก็ตรงที่... หวานไม่ใช่น้ำ และน้ำไม่ใช่คนที่กล้าทำร้ายเพื่อนรักของตัวเองได้หน้าตาเฉยแบบนี้” นนท์ลูบแก้มตัวเอง และย้ำให้ชัดเจนกับเธออีกครั้ง
   “งั้นก็ได้หวานจะทำให้เห็นเอง... ความรู้สึกที่มีนี้ก็ไม่ได้น้อยกว่าน้ำเลย” เธอกระชากล็อคเก็ตที่แขวนประจำของตัวเองออก เป็นความทรงจำที่หวานได้ของจากนนท์ เก็บติดตัวไว้ตลอดมา นนท์อดแปลกใจไม่ได้ที่ล็อคเก็ตดังกล่าวมาอยู่ที่เธอทั้งๆที่ เขาให้น้ำเองกับมือ และจู่ๆน้ำก็บอกว่าทำหายไป หวานวิ่งกลับไปที่รถตัวเอง ตั้งใจกลับไปอาละวาดน้ำ ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนคงไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว


“หวานอย่า...”
   เสียงแตรรถดังขึ้น จากรถคันหนึ่งซึ่งแล่นผ่านโค้งมาด้วยความเร็วสูง ไม่มีแต่เสียงร้องของหวานเล็ดลอดออกมา ร่างของเธอกลิ้งขึ้นไปกระแทกกับกระจกรถ ก่อนค่อยๆไหลตกลงมานอนกองกับพื้นเลือดท่วมตัว มือซ้ายกำล็อคเก็ตของนนท์เอาไว้ไม่ปล่อย  คนขับรถยังนั่งนิ่งด้วยความตกใจอยู่ในรถไม่ยอมออกมาดูผู้ถูกชนซึ่งนอนแน่นิ่งตรงหน้าเลย นนท์รีบวิ่งมาหาหวาน ก่อนรัวกดหาหมายเลขโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลมือเป็นระวิง ใจเต้นระรัวหวาดหวั่นต่อหน้าร่างที่หายใจรวยรินนี้ กลัวว่าอาจจะสายเกินไป










   ไม่กี่นาทีหลังจากที่รับโทรศัพท์จากย่าของหวาน ฉันก็รีบบึ่งมารับท่านไปโรงพยาบาลพร้อมกัน ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาระหว่างทางนั้น ต่างคนต่างแทบใจเต้นรัวระทึกมาตลอดทาง ท่านร้องไห้สะอึกสะอื้นและพูดฟังไม่ได้ศัพท์ ฉันเองไม่รู้ว่าจะปลอบท่านอย่างไรดีและกลับลืมเสียสนิทว่าตัวเองโกรธหวานมากแค่ไหน ครั้นจอดรถเรียบร้อยแล้วก็ตรงไปยังห้องฉุกเฉิน นนท์นั่งกุมมือเสียแน่นอยู่ด้านนอก เราต่างคนไม่พูดอะไรระหว่างกัน ฉันเองก็ไม่กล้าที่จะเริ่มต้นพูดคุยอย่างไรกับเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างคนต่างนั่งนิ่งเงียบในบรรยากาศอึมครึมและวิตกกังวล จากวินาทีเป็นนาที จากนาทีเป็นชั่วโมง จาก 1 ชั่วโมง เป็น 3 ชั่วโมง

   ครั้นแพทย์เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ทุกคนรีบลุกเข้ามารุมถามแพทย์ เกี่ยวกับอาการของหวานทันที
“หวานจะเป็นอะไรมากไหมคะ เอ่อ... เต้” ฉันอดแปลกใจไม่ได้จริงๆที่คนเบื้องหน้านั้น คือเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมปลาย
“น้ำ... เธอเป็นญาติของคุณเหรอครับ” ย่าของหวานรีบแทรกตัวเข้ามา ตัดบท ฉันเองก็ฉุกคิดว่าเวลานี้ควรทิ้งเรื่องอื่นไว้ก่อน
“อิฉันเป็นญาติของคนไข้เองค่ะ ไม่ทราบว่าอาการของหลานสาวดิฉันตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ” ท่านดูจะวิตกกังวลเป็นอย่างมาก มือเย็นเฉียบ ฉันกุมมือท่านไว้ให้บรรเทาความรู้สึกนี้ลง


 “อืมม ไม่ต้องวิตกไปนะครับ คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่คงต้องดูอาการอีกสักระยะนะครับ” ผู้เป็นแพทย์ตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ และยิ้มให้ รู้สึกโล่งใจเหลือเกินที่หวานไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ นนท์ถอนหายใจเสียดัง ฉันชำเลืองมองอย่างไม่พอใจเท่าไรนักกับกิริยาที่ไม่สุภาพแบบนั้น เขารีบหลบสายตาฉันทันที


“ขอบคุณนะคะ คุณหมอ” ย่าของหวานกล่าวขอบคุณ เขาเดินจากไปทั้งโบกมือ ยิ้มให้ฉัน ฉันพยักหน้าแทนการโบกมือลาและเป็นการขอบคุณที่เขาช่วยรักษาอาการของหวานให้ นนท์เหมือนจะไม่สบอารมณ์ที่ฉันทำแบบนั้น แต่ฉันไม่ได้ใส่ใจอะไร
“น้ำ เอ้อ...นนท์ขอบใจนะจ๊ะที่เป็นห่วง และก็ช่วยดูแลหวานให้นะ” ท่านหันมาขอบใจเราทั้งสองคน นนท์รีบไหว้เป็นการขอโทษที่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น

“อ้อ.. อย่าเลยครับ ผมเองก็มีส่วนผิดด้วยเหมือนกัน”
“อย่าพูดว่าตัวเองอย่างงั้นเลยนะจ๊ะ หวานไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วล่ะ ดึกมากแล้ว ย่าอยู่ได้ไม่เป็นอะไร” แทบไม่ได้สังเกตเลยว่าเวลาผ่านล่วงเลยมานานเท่าไรแล้ว อดหมั่นไส้นนท์ไม่ได้ ตัวเองเป็นคนก่อเรื่องแท้ๆ ฉันคิดอย่างนั้น
 
“ให้หนูอยู่ด้วยดีไหมคะ” ฉันถามท่าน อายุท่านก็เยอะมากแล้ว ไม่อยากให้ท่านต้องลำบากแบบนี้
“ย่าไม่เป็นอะไรหรอก ขอบใจนะทั้งสองคน” ท่านรีบรวบรัดให้เราทั้งคู่กลับเสีย เลยจำใจต้องกลับไปก่อน เป็นห่วงก็เป็นห่วง หวานเองก็มีเพียงย่าเป็นญาติเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น พ่อและแม่ของเธอเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่
“งั้นลากลับเลยนะครับ มีอะไรก็โทรติดต่อผมได้นะครับ”
“ค่ะ งั้นเอานี่ไว้นะคะ เผื่อหิวค่ะ ยังไงก็ติดต่อหนูได้ตลอดนะคะ สวัสดีค่ะ” ฉันส่งถุงน้ำและอาหารบางส่วนที่ซื้อติดมาระหว่างทางให้ท่านไว้ ไหว้ลาและรีบจ้ำออกมาโดยมีนนท์ตามมาติดๆ

“น้ำ...” นนท์เรียกชื่อฉันมาตลอดทาง ซึ่งฉันเองไม่ได้ใส่ใจอะไร จนถึงที่ลานจอดรถ นนท์รีบปรี่มากันไม่ให้ฉันปิดประตูรถบึ่งหนีไปก่อน
“จะอะไรกับน้ำอีก เราไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้วนะนนท์” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ตาของฉันมองตรงไปข้างหน้า ไม่สบตาเขาที่ยืนเก้ๆกังๆข้างรถ เตรียมสตาร์ทรถออกไป
“นนท์แค่บอกหวานไปว่านนท์รู้สึกอย่างไรเท่านั้น ไม่คิดว่าหวานจะ...” เขารีบรัวพูดกับฉันเชิงอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่รู้ดีว่าฉันไม่อยากรับรู้เหตุผลใดๆจากปากของเขา ที่สำคัญฉันอยากเลี่ยงเขาไปให้ไกลๆเร็วๆ

“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย พอเถอะ” ฉันผลักนนท์ออกไปให้พ้นประตูรถ เขายอมถอยไปง่ายๆ ฉันเองอดน้ำตาซึมไม่ได้ แต่ต้องทำใจแข็งเข้าไว้
“หน้าที่ของคุณ... คือดูแลหวานให้ดีๆละกัน” ฉันปิดประตูแล้วรีบบึ่งออกไป ฉันทำถูกหรือเปล่าที่ทำแบบนั้น ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ






     ฉันแวะร้านขายอาหารตามสั่งโต้รุ่ง แม้ว่าจะหิวแค่ไหน เพราะไม่ได้ทานอาหารเย็น ฉันก็ได้แต่เขี่ยอาหารในจานไปมาด้วยหมดอารมณ์ คิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี ตราบที่ฉันกับนนท์ยังต้องเจอกันแบบนี้ เต้มายืนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบได้ ฉันสะดุ้งทันควัน ที่เขาเอ่ยทักทาย
 
“สวัสดี เป็นไงบ้าง” เขาแอบอมยิ้มเล็กน้อยที่เห็นอากัปกิริยาของฉันแบบนั้น ฉันฝืนยิ้มและเชื้อเชิญให้เขานั่งด้วย
“อ้าว... เต้ มาทานด้วยกันสิ” รู้สึกสบายใจขึ้นอย่างน่าประหลาด พลอยทำให้ตัวเองลืมเรื่องไม่เป็นเรื่องที่เก็บมาคิดหมกมุ่นให้กังวลใจไปได้
“นี่เพิ่งแว่บออกมาหาไรกินหน่อย เดี๋ยวก็กลับเข้าเวรต่อแล้ว” เต้ดื่มน้ำเล็กน้อยก่อนหันไปสั่งอาหารกับเด็กเสริฟที่เดินเลียบมาข้างๆ และเหมือนว่าเขาจะรู้ใจฉันทีเดียวว่าฉันอยากรู้อะไร

“ไม่ต้องห่วงเพื่อนของคุณคนนั้นหรอกนะ แค่มีบาดแผลฟกช้ำตามร่างกาย กระคูกหักบริเวณหน้าแข้งซ้าย พักรักษาและทำกายภาพบำบัดซักระยะก็กลับมาเป็นปกติแล้วล่ะ อ้อลืมไป ที่ศีรษะโดนกระแทกน่ะ เย็บหลายเข็มเหมือนกัน แต่ก็ต้องรอดูซักระยะนะแต่ก็ไม่น่าจะกระทบกระเทือนอะไรมาก สบายใจหรือยัง”

“เต้... นี่เธอมาทำงานที่โรงพยาบาลนี้เองเหรอ” ฉันรีบปัดไปเรื่องอื่นและอมยิ้มให้เขา เต้นี่เดาใจฉันเก่งจริงๆ ไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่สมัยมัธยมปลายนั้น

   “อื้อ... เราไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ ตั้งแต่สมัยม.ปลายแน่ะ ดีใจนะ ที่ได้เจอน้ำที่นี่อีกครั้ง” เขาก้มลงหยิบโทรศัพท์มือถือส่งให้ฉัน พอจะเข้าใจได้ว่าเขาอยากให้ฉันให้เบอร์ติดต่อเขาไว้ ฉันกดเบอร์พลางเหลือบมองดูเขาจัดการราดหน้าอย่างรวดเร็ว เต้สังเกตว่าฉันแอบมองก็หัวเราะแก้เก้อแล้วรับโทรศัพท์ของตัวเองคืนกลับไป ช่วงที่เขาก้มเก็บโทรศัพท์นั้น ฉันสังเกตเห็นสร้อยเส้นหนึ่ง คล้องแหวนวงหนึ่งไว้ ดูไม่น่าจะเป็นของมีค่าอะไร อดสงสัยไม่ได้จริงๆ

   “สร้อยอะไรน่ะ ทำงานใส่เครื่องประดับได้ด้วยเหรอ”
   “อะไร ไม่เกี่ยวกันซะหน่อย ว่าแต่... ยังจำนี่ได้หรือเปล่า” เขาก้มลงมอง พูดทั้งๆที่อาหารเต็มปาก ก่อนปลดมันมาวางไว้ตรงหน้า ฉันจึงนึกออกได้ว่าเป็นแหวนรุ่น ฉันหยิบมันขึ้นมาพินิจอีกครั้ง สังเกตเห็นตัวอักษรสลักอยู่ด้านในของแหวนว่า “TLN”

   “นั่นมัน... เธอยังเก็บมันไว้อีกเหรอ” ฉันอมยิ้มและลูบคลำมันไปมาเบาๆ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขมากพอๆกับที่ทุกข์มากที่สุด ต้องเวียนเข้าออกโรงพยาบาลตลอดเนื่องจากปัญหาสุขภาพ มีแต่เต้ที่เป็นเพื่อนของฉัน เพื่อนผู้ชายคนเดียวที่ไม่รังเกียจฉันเลย เขาเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับฉันเสมอ

   “ก็นี่ เป็นความทรงจำระหว่างเราสองคนนี่นา ไม่เคยลืม หรือทอดทิ้งมันไปเลย” เต้ขยับมานั่งข้างๆตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ใจฉันเต้นรัวแรง รู้สึกเหมือนตอนนั้น... ตอนที่ฉันคบกับเขา


   “เต้...” น้ำเสียงฉันอ่อนลง ก่อนที่เต้เอียงตัวมาจูบที่หน้าผากฉันเบาๆ ไม่สนว่าโต๊ะรอบๆนั้นจะรู้สึกอย่างไร ฉันหันไปสบตาเขา คนที่ยิ้มให้และลงมือทานราดหน้าต่อไป ห่างไปจากตรงนั้นที่ร้านข้างๆกัน ฉันไม่รู้ว่านนท์ทำหน้าอย่างไรเมื่อเห็นภาพแบบนั้น เขารีบจ่ายเงินแล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ  เร่งเครื่องเสียงดังขับออกไปอย่างรวดเร็ว
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 24-06-2008 10:25:35
“น้ำ เราไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างน้ำกับเขามีปัญหาอะไรระหว่างกัน แต่น้ำอย่าทำให้ปัญหาพวกนั้นมาบั่นทอนความสัมพันธ์ที่ดี ที่มีต่อกันสิ เวลาที่คบกันมันน่าจะทำให้น้ำน่าจะรู้จักตัวตนของเขาดีมากขึ้นอยู่แล้วนะ น้ำชอบเป็นอย่างนี้ทุกที มีปัญหาก็เอาแต่วิ่งหนีมัน ไม่ยอมวิ่งเข้าหาปัญหาและช่วยกันแก้ สุดท้ายน้ำนั่นแหละจะสูญเสียทุกอย่างไป ไม่ต้องโทษใครหรอก น้ำเองต่างหากที่ต้องโทษตัวเอง”














บทที่เจ็ด



   
“ขอโทษนะน้ำ หวานไม่อยากเจอหนูในตอนนี้นะ” ย่าของหวานบอกฉันด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเห็นใจกับฉันที่ยืนเก้ๆกังๆ ถือกระเช้าของเยี่ยมไข้อยู่แบบนั้นหน้าห้องผู้ป่วย เราเองก็อุตส่าห์เป็นห่วงมาเยี่ยมไม่เคยขาด ยังจะมาทำแบบนี้อีก ฉันเองก็ฉุนขึ้นมาแต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ ใจดีสู้เสือไป

“อ้อค่ะ งั้นหนูฝากของเยี่ยมไว้ละกันนะคะ” ของที่เอามาเยี่ยมก็เยอะและหนักพอตัว เหมือนกับรังแกคนแก่ยังไงไม่รู้ ท่านดูท่าทางเกรงใจแต่ก็รีบรับของไว้ ทุลักทุเลเอาการเหมือนกัน

“จ้า เอ่อว่าแต่หนูรู้จักคนที่ชื่อนนท์หรือเปล่า หวานบ่นอยากเจอ แต่เขาก็ไม่เห็นมาเลย ตั้งแต่วันนั้น” ร่างฉันกระตุกเล็กน้อยทันที่ย่าของหวานเอ่ยชื่อของนนท์ขึ้นมา รีบบอกปัดไป

“ถ้าหนูพบเขา จะบอกให้นะคะ” ฉันไหว้ลาท่านก่อนปลีกตัวออกมา แอบเห็นหวานนั่งหันหลังให้อยู่ภายในห้อง ศีรษะพันผ้าไว้และสวมเผือกที่ขาซ้าย รอยช้ำยังคงเห็นได้เด่นชัดตามเนื้อตัว ก่อนที่ประตูห้องจะปิดลง

“น้ำ...” เสียงเต้แว่วมา ฉันหันกลับไปเห็นเต้วิ่งกระหืดกระหอบมาหา
“อ้าว... เจอกันอีกแล้วนะ อืมมม...มีอะไรเหรอ” ฉันพยายามไม่คิดถึงเรื่องครั้งนั้นอีก แต่ก็อดดีใจที่ได้เจอกับเต้อีกครั้งไม่ได้จริงๆ
“เราออกไปหาอะไรทานกันดีไหม ผมเลิกงานแล้ว” เต้ยืนเกาหัวเคอะเขินเล็กน้อยตอนเอ่ยปากชวน น่ารักดีเหมือนกัน ฉันเองก็อึ้งพูดไม่ออก ทำ อะไรไม่ถูกเลย

“เอ่อ...”
“น่าๆไปเถอะนะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน มีอะไรอยากคุยด้วยเยอะเลยนะ” เขารีบดันตัวฉันออกไปแบบเด็กๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่นิสัยขี้เล่นแบบนี้จะมาเป็นหมอกะเขาได้ เป็นอันว่าต้องเลยตามเลย ไม่กล้าปฏิเสธเขาไปตรงๆ
“ก็ได้...”


เรามากันที่ร้านอาหารญี่ปุ่น พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เต้ยังคงร่าเริงเหมือนเดิม เป็นคนไม่คิดอะไรมากหรือเก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องมากังวลให้ปวดหัว ฉันนั่งมองหน้าเขา ขณะที่เขาเล่าเรื่องเพื่อนแต่ละคนในกลุ่มว่าเป็นอย่างไรมาอย่างไรกันบ้าง

“จริงเหรอ เรื่องนั้นไม่น่าเชื่อเลยนะ แหมแต่งงานไปก่อนใครเพื่อนเลย ร้ายจริงๆ เสียดายจังไม่ได้ไป มีอะไรอีกบ้าง เล่ามาให้หมดนะ” ฉันป้องปากหัวเราะและเย้าเขา เป็นจังหวะที่ต่างคนต่างตั้งใจจะคีบซูชิที่เหลืออยู่ชิ้นเดียวในถาด ฉันรีบชักตะเกียบกลับมา เขาบุ้ยใบ้ให้ฉันทาน แต่ไม่เอาดีกว่า

   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เต้ชี้ตะเกียบมาที่โทรศัพท์ ฉันสังเกตหน้าจอ ปรากฏว่าเป็น...
“นนท์...”
“คุณย่าของหวานเขาบอกว่าอยากให้เธอไปเยี่ยมน่ะ ย้ำว่าต้องมานะ” ฉันรีบรัวพูดชิงไปก่อนที่นนท์จะเอ่อมาด้วยซ้ำ เต้เคี้ยวซูชิชิ้นนั้นตุ้ยๆ มองฉันไม่ละสายตาไป

“อื้อ... ช่วงนี้นนท์ยุ่งๆเสียด้วย ว่าแต่น้ำ...” นนท์ตอบเสียงอ่อน อยากจะคุยต่อกับฉัน แต่...
“ไม่มีอะไรแล้วงั้นแค่นี้นะ” ฉันตัดสายทิ้ง กลับมาปั้นหน้ายิ้มแย้มทำเป็นว่าไม่เกิดอะไรขึ้น

“ทำไมน้ำถึงพูดกับเขาแบบนั้นล่ะ” เต้เอ่ยขึ้นเชิงดุเล็กน้อย

“ไม่มีอะไรหรอกนะ อย่าใส่ใจเลย ทานขนมกันเถอะนะ มาแล้ว” ฉันยิ้มให้เขา ขณะที่บริกรยกขนมมาเสริฝ
“ใช่คนนั้นหรือเปล่า” เต้ทำหน้าจริงจัง ขณะที่ฉันแกล้งทำเป็นไม่สนใจ พยักพเยิดให้เขาลองชิมขนมตาม
“อื้อ... นี่อร่อยมากเลยนะ ลองชิมสิ”

“เขาเป็นแฟนน้ำใช่ไหม” เต้ย้ำทำเอาฉันทานไม่ลงทีเดียว ฉันหน้าเจื่อนไปก่อนรีบแก้ตัวไป
“ปะ... ปล่าวซะหน่อย”

“แน่นะ” เต้ทำให้ฉันรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ร้ายปากแข็ง ฉันรู้สึกอึดอัดไม่อยากให้ใครมาถามย้ำกับเรื่องนี้อีก ฉันไม่ตอบและรีบเบนหน้าไปทางอื่นทันที


“น้ำ เราไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างน้ำกับเขามีปัญหาอะไรระหว่างกัน แต่น้ำอย่าทำให้ปัญหาพวกนั้นมาบั่นทอนความสัมพันธ์ที่ดี ที่มีต่อกันสิ เวลาที่คบกันมันน่าจะทำให้น้ำน่าจะรู้จักตัวตนของเขาดีมากขึ้นอยู่แล้วนะ น้ำชอบเป็นอย่างนี้ทุกที มีปัญหาก็เอาแต่วิ่งหนีมัน ไม่ยอมวิ่งเข้าหาปัญหาและช่วยกันแก้ สุดท้ายน้ำนั่นแหละจะสูญเสียทุกอย่างไป ไม่ต้องโทษใครหรอก น้ำเองต่างหากที่ต้องโทษตัวเอง”
คำพูดของเต้นั้นชัดเจนมาก ฉันเองก็ได้แต่รับฟังและทบทวนที่จะพูดคุยกับนนท์อย่างจริงจังเสียที




ฉันจำใจต้องมาเฝ้าไข้หวาน ตามที่ย่าของหวานขอร้องเนื่องจากเธอต้องเดินทางไปต่างจังหวัด หวั่นใจว่าหวานจะไล่ตะเพิดออกมาหรือเปล่าในเมื่อไม่ว่ากี่ครั้งที่ฉันมาเยี่ยมเธอที่นี่ก็ไม่ยอมให้ฉันเข้าพบเสียที แต่ตบปากรับคำไว้แล้ว จะกลับคำตอนนี้ก็ไม่ได้ เอาล่ะสูดลมหายใจลึกๆ ใจเย็นๆนิ่งๆเข้าไว้ คงไม่มีอะไรหรอก ฉันเปิดประตูเสี่ยงดวงเข้าไป

“อ้าว น้ำเองเหรอเข้ามาสิ” น้ำเสียงที่เชื้อเชิญด้วยไมตรีจิตนั้นเอ่ยขึ้นราวกับรู้ว่าฉันจะมา ฉันรู้สึกชาขึ้นมาทันทีที่เห็นนนท์อยู่กับเธอผู้นั้นภายในห้อง ฉันวางของและเก็บของเข้าตู้ หวานเกริ่นต่อไป
“มาได้จังหวะพอดีเลยนะ วันนี้คุณย่าไม่อยู่นนท์ก็มาอยู่เป็นเพื่อนหวานทั้งวันเลย” หวานนั่งอยู่บนเตียง ยังคงเข้าเฝือกอยู่ รอยแผลภายนอกดูจางลง และดีขึ้นมาก ฉันพยายามไม่มองไปทางนนท์แต่ก็ทราบว่าเขาเองก็ยืนเก้ๆกังๆวางตัวไม่ถูกเช่นกัน ฉันหยิบรากบัวเชื่อมออกมาลองเกริ่นถามไปพลางๆ
“เหรอจ๊ะ ฉันซื้อของโปรดเธอมาด้วย ทานเลยไหมเดี๋ยวจะเย็นซะนะ”

“ก็ดีนะ ฉันเบื่ออาหารโรงพยาบาลจะแย่ อยากออกไปข้างนอกเร็วๆจัง” ฉันหันหลัง เทของว่างลงในชามทั้งสองชาม นนท์เดินเลียบๆเคียบมาใกล้ๆและรับชามไป ฉันเลี่ยงไม่สบตา หรือทักทายอะไร เหมือนว่าหวานจะรู้และรีบกระเซ้าขึ้นมา

“นี่ สองคนไม่คิดจะพูดอะไรกันสักหน่อยบ้างเหรอ” หวานยิ้มกรุ้มกริ่ม ฉันยิ้มเจื่อนๆให้ทั้งสองคน เอาขยะไปทิ้งแล้วกลับมานั่งที่เบาะ กะจะถามเรื่องอาการของหวานว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดันเจอภาพตำตาบาดใจจนได้

“นนท์ป้อนให้หวานหน่อยนะ” นนท์รับคำและป้อนให้หวาน อะไรกันนนท์ไม่เคยทำแบบนั้นกับฉันเลยนะ นี่เธอเป็นใครกันมีก็ดีอยู่นี่นา ใจเย็นไว้หวานไม่สบาย ท่องไว้ ไม่สบาย...


“อร่อยนะ นนท์ลองชิมดูซิ” นั่นไง ได้ทีก็ออดอ้อนออเซาะกันเลยเชียวนะ เห็นทีจะต้องขอตัวกลับก่อนดีกว่าไหม ไม่ไหวแล้ว
“หวานแกะอีกถุงนึงด้วยเลยละกันนะ นนท์ทานด้วยกันเลยนะ” นี่ฉันไม่ใช้เบ๊หล่อนนะจะมาใช้ฉันแบบนี้น่ะเหรอ เย็นไว้ เย็นไว้

“อาการเป็นไงบ้างล่ะหวาน” ฉันยกรากบัวอีกชามมา หวานยิ้มให้ก่อนตอบ
“ก็อย่างที่เห็น ดีขึ้นเยอะแล้ว ว้าย” เธอรีบหลบทันที รากบัวสาดไปเลอะเทอะนนท์เลยเต็มๆ ฉันไม่น่าซุ่มซ่ามอะไรแบบนั้นเลย

“นนท์เป็นอะไรมากหรือเปล่า” นนท์กระโดดเหยงๆเพราะความร้อนของรากบัวเชื่อมนั้น ฉันคว้าผ้าไปซับให้ จะเป็นอะไรมากไหมน่ะ
“เอ่อ... น้ำ ไม่เป็นไรหรอกแค่นี้เอง เดี๋ยวนนท์ไปล้างก่อนนะ” นนท์คว้ามือของฉันไว้และเดินเลี่ยงไปห้องน้ำ เมื่อประตูปิดลง

“ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย ทั้งๆที่ฉันเป็นห่วงเธอแท้ๆนะ” ฉันหันมาพูดอย่างไว้ลายกับหวานดีๆเพราะรู้ว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ พลางเก็บกวดอาหารที่เลอะเทอะบนพื้นนั้น
“พอซะที อย่ามาตอแหลนักเลย คิดจะแย่งเขาคืนกลับไปเหรอ ช้าไปแล้วล่ะ ไม่มีทาง” หวานลุกลงมาจากเตียง ตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คือคนที่ที่ฉันเคยเรียกว่าเพื่อน เธอไม่เหลือเค้าเดิมเลยจริงๆ


“นี่หมายความว่า...”
“ก็แค่ยอมเจ็บตัวนิดหน่อย แต่ก็ได้ผลเกินคาด ขอบคุณนะที่เธอเองก็ให้ความร่วมมือดีโดยตลอด หนึ่งเดือนมานี่เขาก็ดีกับฉันมาตลอด” เธอลูบคลำแผลและหัวเราะตัวเอง ฉันอดพรั่นพรึงไม่ได้ เธอที่อยู่ตรงหน้านี่คือใครกัน

“หวานนี่เราเป็นเพื่อนกันนะ” คิ้วของฉันขมวดเป็นปม พยายามควบคุมน้ำเสียงและอารมณ์ให้เป็นปกติเข้าไว้ หวานยิ้มเย้ยก่อนทิ้งตัวลงพื้นเสียงดังพลั่ก เป็นจังหวะที่นนท์ออกมาจากห้องน้ำพอดี เขาเห็นดังนั้นก็รีบพุ่งตัวมาประคองหวานให้ลุกขึ้นและกลับมานั่งที่เตียงตามเดิม แล้วต่อว่าฉัน


“น้ำจะทำอะไรน่ะ หวานไม่สบายอยู่นะ”
“นนท์ น้ำ เปล่านะ แค่...” ฉันตอบไปไม่ทัน หวานกลับแทรกขึ้นมาก่อน
“นนท์ หวานแค่จะช่วยน้ำเขาเก็บของเมื่อครู่ ไม่คิดว่าน้ำเขาจะทำแบบนี้ โอย...” เธอโอดครวญ เอนตัวซบไหล่เขา หันมาทำสายตาเจ้าเล่ห์ใส่ ภายใต้ดวงตาคู่นั้นของนนท์ที่มองฉันอย่างไม่ไว้วางใจเท่าไร ฉันก้มหน้าเก็บเศษอาหารนั่นต่อไป


“เดี๋ยวผมช่วยนะคุณมานั่งตรงนี้ก่อน” นนท์ก้มลงเก็บช่วยฉัน ฉันอดน้อยใจไม่ได้จริงๆ แต่ก็ฝืนทำหน้าเรียบเฉยสู้ ทั้งที่รื้นน้ำตามันเอ่อท้นมาแล้ว
“งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะ ขอโทษกับเรื่องเมื่อครู่ด้วย” ฉันคว้ากระเป๋าแล้วรีบเดินออกไปทันที ไม่สนใจว่าหวานจะทำหน้าเยาะเย้ยอย่างไร หรือนนท์จะร้องห้ามอย่างไร
“น้ำ เดี๋ยวซิน้ำ...”



ฉันไม่ไปเยี่ยมหวานอีกเลย กระทั่งวันที่หวานออกจากโรงพยาบาล เธอกลับมาทำงานในบริษัทระยะหนึ่งก่อนลาออกไป ฉันเองก็ไม่ได้ตามข่าวว่าเธอหายไปไหน ความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนระยะฉันกับหวานให้สิ้นสุดลงแล้ว ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องไปยุ่งเกี่ยวอะไรอีก แค่เพียงเหตุการณ์วันนั้นก็ทำให้ฉันซาบซึ้งมากพอทีเดียว




“สวัสดีค่ะ” ฉันรับโทรศัพท์ เสียงที่คุ้นเคยผ่านสายมาอย่างกระหืดกระหอบ
“น้ำ นี่ฝ้ายเองนะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นละเนี่ย ฉันงงไปหมดแล้วนะ” เสียงฝ้ายหอบอย่างชัดเจน อ้าวมาถามแบบนี้จะรู้ไหมล่ะว่าเรื่องอะไร ท่าทางคงไม่ใช่เรื่องดีอะไรนักแน่ๆ


“ใจเย็นๆ นี่มีอะไรกันเหรอ พูดช้าหน่อยสิ”


“นนท์บ้าไปแล้วแน่ๆ นี่รู้ไหม นนท์จะแต่งงานกับหวานแล้วนะ” ฉันแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยในขณะนั้น สติของตัวเองราวกับหลุดลอยไปไกล  ฉันไม่ควรจะร้องไห้นี่นา แต่ทำไมควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้ล่ะ



“น้ำ... น้ำ...” ฉันทิ้งโทรศัพท์บนตัก ปล่อยให้อีกฝ่ายย้ำชื่อฉันอยู่ฝ่ายเดียวแบบนั้น ไม่อยากจะสนใจอะไรอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 24-06-2008 21:37:54
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: นนท์เปนโรคความจำเสื่อมเหรอครับ  ถึงจำไม่ได้ว่าหวานทำอะไรไว้ก่อนเกิดอุบัติเหตุ?? o12 o12

แล้วยังถึงขั้นจะแต่งงานกันอีกตะหาก  :angry2: :angry2:

ขอบคุณนะครับคุณ Christiyaturnm 
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 29-06-2008 23:30:27
ฝ้ายพูดใส่อารมณ์ ผมเองก็พูดอะไรไม่ถูก ตื้อขึ้นมาทันที แต่ก็ต้องตัดบทไป ทั้งที่ในใจของผมอยากจะสารภาพไปตามตรงว่าผมรักน้ำคนเดียว ไม่มีใครที่จะแทนที่เธอในใจผมได้ ใครจะว่า ว่าเธอเป็นกะเทย ก็ตามแต่ผมไม่สนใจหรอก ผมรู้สึกกับเธออย่างที่ผู้ชายจะมีให้กับผู้หญิงคนนึง อยากดูแล อยากจะปกป้องเธอ ทำไมผมจะไม่รู้ใจตัวเองเล่า เพียงแต่ว่า…















บทที่แปด






กับการสูญเสีย เพียงแค่ผู้ชายคนเดียว ทำไมถึงมีผลกับฉันมากมายถึงขนาดนี้ ราวกับทุกอย่างมืดดับลง ทั้งที่ฉันควรจะยินดีกับเขามากกว่าที่เขาพบกับทางเลือกที่ดีและเหมาะสมกับตัวเขาแล้ว แต่แน่เหรอว่าตัวฉันเองจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปแบบนี้ง่ายๆ

ฉันไม่อยากมัวพะวงว่าตนเองเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะที่เลือกจะเดินทางนี้เอง ได้แต่โหมงานหนักฆ่าเวลาไป ให้เหนื่อย ไม่มีเวลาไปคิดฟุ้งซ่านเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่ไร้สาระนั้น จนแล้วจนรอด ฉันก็พบว่าเมื่อตนเองต้องอยู่เพียงลำพังก็ต้องมีเรื่องนี้เข้ามาในหัวทุกที

ฉันขับรถใจลอย ไร้จุดหมายปลายทาง พอรู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่หน้าบ้านของนนท์ ไล่หลังที่นนท์และหวานกลับมาจากไปซื้อของข้างนอก ฉันมองผ่านประตูหน้าบ้านเข้าไปในฐานะคนนอกที่ไม่มีสิทธิมีเสียงอะไร อิจฉาพวกเขาหรือเปล่า อะไรกัน นี่ฉันเรียกนนท์ว่าเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน โลกของฉันกับเขาแยกตัวออกเป็นคนละโลกไปแล้ว จุดเชื่อมต่อและความผูกพันดูเจือจางและบางลง ทดแทนด้วยช่องว่างที่กั้นกลางระหว่างฉันกับเขา ให้ยิ่งห่างออกไปทุกที ทุกที...

“น้ำดีขึ้นเยอะหรือยัง มีอะไรเหรอถึงมาหาเต้ที่นี่ได้ล่ะ” ฉันรู้สึกเวียนหัวพิกล ลืมตาสู้แสงจ้าอย่างยากเย็นและรับรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือเต้นั่นเอง พอสายตาเริ่มปรับชินกับแสงได้ ก็มองไปรอบๆ ฉันอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย เดาว่าคงเป็นที่คอนโดของเต้แน่ๆ เกิดอะไรขึ้นกับฉันกัน พอเค้าลางๆได้ว่าฉันร้องไห้ขับรถออกไปพ้นบ้านของนนท์ไปแล้วนี่นา ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน ฉันลุกขึ้นนั่งโดยที่เต้ยังพยุงให้ลุกนั่งข้างๆกันนั้น

“เต้...”

“เต้เห็นน้ำจอดรถอยู่ข้างทางแนะ ตอนนั้นเต้ออกไปซื้อของ น้ำเดินเข้าไปซื้อของแล้วออกมาพอดีบังเอิญจังที่เจอ ร้านนั่นอยู่ใกล้ๆคอนโดเอง กะจะเรียกซะหน่อย จู่ๆก็ฟุ่บไป ตกใจแทบแย่แน่ ก็เลยพาขึ้นมาที่นี่แหละ ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมากนะ” ท่าจะจริงอย่างที่เขาพูด ถุงของที่ฉันซื้อมายังกองที่โซฟาอีกตัวถัดไป

“ขอบคุณมากนะคะ” เต้มีท่าทางเขินๆนิดๆ ฉันยิ้มให้

“เลอะหน่อยนะ ไม่ค่อยมีเวลาทำความสะอาดเลยน่ะ งานยุ่ง แม่บ้านก็มาทำอาทิตย์ละครั้งเอง” ฉันสังเกตภายในห้องตามที่เขาบอก จริงอย่างที่เขาพูด ตามประสาห้องผู้ชายโสดนี่นาไม่น่าแปลกอะไรเลย
“อื้อ… ไม่เป็นไรหรอก”

“นี่ดื่มอะไรหน่อยไหม อ้อพอดีเลยมีน้ำผลไม้ ตามสบายนะ” แล้วเต้กลับผุดลุกขึ้น ปรี่ไปห้องครัวทันที พักหนึ่งก็กลับมาพร้อมแก้วสองใบกับน้ำผลไม้และของหวานนิดหน่อยที่เต้มีติดไว้บ้าง เราคุยเรื่องต่างนั่นนี่สลับกับทำอาหารเย็นด้วยกัน รู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แทบจะลืมเวลาไปว่านี่ก็ดึกมากแล้ว

“ขอบคุณนะที่อยู่เป็นเพื่อนด้วย” ฉันพูดไปพลางล้างจานไปด้วย เต้คอยเช็ดจานอยู่ข้างๆก่อนเก็บเข้าตู้
“ก็ไม่ยอมบอกว่าจะไปไหนนี่นา ขอโทษที่ต้องพามาที่แบบนี้ ดูเสียภาพพจน์หมอไงไม่รู้เลยนะ” เต้ยิ้มเก้อๆ รับจานจากฉัน ทว่าฉันกลับซุ่มซ่ามปล่อยจานตกแตกจนได้ แย่แล้ว ฉันรีบก้มเก็บเศษจานที่แตกนั่น ไม่ทันได้ระวังอะไร

“โอ๊ะ” เศษจานที่แหลมคมบาดเข้ากับนิ้วจนได้ ฉันรีบชักมือออก เต้รีบทิ้งผ้าเช็ดจานแล้วมาห้ามเลือดให้

“เป็นอะไรหรือเปล่าน...” ฉันไม่เคยเห็นหน้าของเขาชัดเจนขนาดนี้เลย ไม่ว่าจะผ่านไปแค่ไหนเขายังดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าหน้าตาที่ดูเด็กนี่เสียอีก ทำไมฉันถึงรู้สึกร้อนผ่าวแบบนี้นะ และเหมือนกับว่าเต้เองก็จะรู้ตัวเข้าแล้วเหมือนกัน

“มี... อะไร... เหรอ...” เต้จัดการจับแผลเรียบร้อยแล้ว เงยหน้ามาสบตาฉัน ทำไมฉันถึงไม่ละสายตาออกไปจากเขาอีกนะ หน้าของเขาเลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ตัวของฉันผละเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา รู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยนจัง ฉันค่อยๆเงยหน้ามามองเขาเมื่อเขาปัดไรผมออกจากใบหน้าของฉัน และกำลังจะจุมพิต ภาพของนนท์พลันโพล่งขึ้นมาในตอนนั้น

 “อย่า...” ฉันผละตัวเขาออก นี่ฉันจะทำอะไรลงไปกัน ฉันกำลังเผลอไผลที่จะมีอะไรกับเต้ไปจริงๆเหรอเนี่ย
“อืมม... ขอโทษนะน้ำ...” เต้ขยับตัวมาอยู่ข้างๆอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เขาลูบหลังฉันเบาๆเชิงปลอบโยน ฉันเองก็ผิด ละล่ำละลักพูดออกมา น้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่รู้ตัว

   “ขอโทษนะ น้ำไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ น้ำ...”
“เต้รู้ดีว่าน้ำรักคนคนนั้นมาก อย่าโกหกตัวเองเลย เรื่องมันก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว อีกทั้งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของน้ำเสียหน่อย” เต้ปลอบโยน รู้สึกสบายใจขึ้นที่มีเขาคอยอยู่เป็นเพื่อนแบบนี้ ฉันรับกระดาษทิชชู่ไปซับน้ำตาจากเขาไป ฉันไม่ควรเลยจริงๆ

“เต้…”
“น้ำคิดให้ดีๆนะ ถึงเต้จะชอบน้ำและยังรู้สึกดีๆกับน้ำอยู่ แต่เต้ไม่อยากให้น้ำต้องมาฝืนความรู้สึกตัวเองทำประชดเขาแบบนี้” คราวนี้ฉันเองที่เป็นฝ่ายโผกอดเขา รู้สึกขอบคุณเขา ที่คอยอยู่เคียงข้างและส่งผ่านความรู้สึกๆดีๆให้เสมอมา ทำไมฉันถึงทำร้ายคนดีๆอย่างเต้ได้ ทั้งๆที่ความรู้สึกของเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากฉัน ทำแบบนี้เหมือนให้ความหวังลมๆแล้งๆแก่เขาแท้ๆ

“เต้... น้ำขอโทษ”
“ถ้าวันไหน น้ำลืมเขาได้จริงๆ วันนั้นเราค่อยคุยกันอีกทีนะ” เต้สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตอบ ฉันรู้ตัวดีว่าอย่างไรตัวฉันจะต้องรักษาระดับของความเป็นเพื่อนระหว่างกันไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ฉัน จะลืมนนท์ไปได้จริงๆ เวลานั้นฉันคงจะให้คำตอบกับเขาได้จริงๆเสียที













ณ บ้านของนนท์
“สวัสดีค่ะ คุณแม่” หวานเข้ามาภายในห้องรับแขก ทั้งคุณแม่และฝ้ายนั่งอยู่ เธอบรรจงไหว้ว่าที่แม่สามีของตนเองอย่างนอบน้อม ผมหอบของตามไล่หลังมา ส่งให้คนงานรับไป รู้สึกเพลียเหลือเกิน
“อ้าว สวัสดีจ๊ะ มานั่งดื่มน้ำก่อนนะ เป็นไงบ้างละ” หวานนั่งก่อนที่ท่านจะอนุญาตเสียอีก นี่ผมอุตส่าห์นั่งเว้นระยะห่างกับหวานไว้แล้ว ยังมาเบียดออเซาะอีก ผมเบื่อจริงๆการที่จะต้องมาเอาอกเอาใจคนที่ผมไม่ได้รักนี่ ที่ทำไปแค่อยากจะให้คุณแม่สบายอกสบายใจขึ้นเท่านั้น

“ก็ช่วยกันเตรียมงานได้เยอะแล้วล่ะค่ะ เหนื่อยเอาการเหมือนกัน ว่าไหม นนท์”
“เอ้อ... ครับ” เธอพยักเพยิดมาทางผม ยังไงก็ต้องเออออไว้ก่อนตามมารยาทนะ

“จะแต่งงานเป็นหลักเป็นฐานแล้วยังจะมาทำหน้าหงิกอีกนะ” แม่ผมอ่านความไม่พอใจที่มีอยู่ออกเหรอนี่ เอาวะ ยิ้มกลบเกลื่อนไปก่อนละกัน
“ฝ้ายมานี่หน่อยซิ เอาขนมกับผลไม้ออกมาหน่อยสิลูก” ฝ้ายสะดุ้ง ตรงไปยังห้องครัวก่อนที่จะกระแทกจานผลไม้บนโต๊ะอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก
“เป็นอะไรไปละลูก ทำปั้นปึ่งแบบนี้” แน่นอนว่าคนที่ไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้เท่าไรก็มีผมและฝ้ายด้วย ผมเองก็ไม่ได้มีโอกาสได้คุยกับน้องสาวคนนี้ตรงๆเสียที

“คงจะเหนื่อยละสินะ ขอบใจนะที่ช่วยเรื่องเตรียมงานนะฝ้าย” หวานยิ้มเก้อๆ จับมือฝ้ายอย่างเข้าอกเข้าใจแทนคำขอบคุณ ดูสีหน้าแล้วคนที่ถูกจับมือด้วยหน้าบอกบุญไม่รับเท่าไรนัก ก็น่าอยู่หรอกฝ้ายเองไม่ค่อยชอบหน้าหวานมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“ชิ..”
“นนท์ฝ้ายคุยด้วยได้ไหม” จู่ๆฝ้ายก็โพล่งขึ้นมาแล้วเดินนำหน้าออกไปที่สวนข้างบ้าน ผมเดินตามเธออกไป ปล่อยแม่กับหวานที่คุยกันอย่างออกรสออกชาติไว้อย่างนั้น ฝ้ายยืนรอที่นั่น กอดอกหันหลังให้อย่างไว้เชิง

“ฝ้าย นนท์รู้นะว่าจะพูดอะไรแต่...” เธอหันหลังกลับมา ขมวดคิ้ว สวนผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไร
“นายคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะดีเหรอ แล้วนนท์เอาน้ำไปไว้ที่ไหน” ผมทิ้งตัวลงที่ม้าหินอ่อน ถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนตอบ
“นนท์ตัดสินใจดีแล้ว บางทีแม่อาจสบายใจขึ้น”

“นนท์เรื่องแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ นนท์ยอมแม่แค่เรื่องแค่นี้เหรอ นนท์คนเดิมหายไปไหน” ฝ้ายพูดใส่อารมณ์ ผมเองก็พูดอะไรไม่ถูก ตื้อขึ้นมาทันที แต่ก็ต้องตัดบทไป ทั้งที่ในใจของผมอยากจะสารภาพไปตามตรงว่าผมรักน้ำคนเดียว ไม่มีใครที่จะแทนที่เธอในใจผมได้ ใครจะว่า ว่าเธอเป็นกะเทย ก็ตามแต่ผมไม่สนใจหรอก ผมรู้สึกกับเธออย่างที่ผู้ชายจะมีให้กับผู้หญิงคนนึง อยากดูแล อยากจะปกป้องเธอ ทำไมผมจะไม่รู้ใจตัวเองเล่า เพียงแต่ว่า...

“มันจบแล้วล่ะ นนท์ไม่อยากพูดถึง”
“นี่นนท์กับน้ำมีเรื่องอะไรกันแน่” ฝ้ายพยายามคาดคั้นผม ไม่รู้จะตอบอย่างไรดีจริงๆ กับน้องสาวผมคนนี้ เธอเป็นคนแรกที่ยอมรับน้ำได้มากกว่าพ่อกับแม่ อีกทั้งเป็นทั้งเพื่อนที่รู้ใจผมไปเสียทุกอย่าง จนปัญญาจริงๆ

“...”
“มีอะไรกันเหรอทั้งสองคน เห็นหลบมาคุยกันนานแล้ว” หวานเดินลัดสวนมาหา ทำหน้าเหรอหราไร้เดียงสาทั้งๆที่ผมสังเกตเห็นว่าเธอแอบฟังอยู่หลังพุ่มไม้นั่นแท้ๆ
“คิดให้ดีนะนนท์” ฝ้ายรีบตัดบท เดินกลับเข้าไปในบ้าน ไม่อยากจะเสวนากับว่าที่พี่สะใภ้คนนี้สักเท่าไรนัก หวานมองด้วยหางตาตามจนแน่ใจว่าเธอกลับเข้าไปข้างในบ้านแน่นอนแล้ว

“เรากลับไปนั่งคุยกับคุณแม่ต่อดีกว่านะ หวาน” ผมรีบลุก ชวนเธอกลับเข้าไปในบ้าน แต่หวานกลับกอดคอผมเอาไว้ ไม่ยอมให้ผมลุกไป ผมทำอะไรไม่ถูกเลย
“เออนี่นนท์ เราพิมพ์การ์ดไปถึงไหนแล้ว”

“ถามคุณแม่ดูนะ นนท์ไม่รู้หรอก ว่าแต่ได้เพื่อนเจ้าสาวหรือยังล่ะ” ผมโพล่งออกไปลอยๆ ผมไม่สนหรอกว่างานนี้มันจะเป็นอย่างไร เหมือนว่าหวานจะฉุนขาดกับท่าทีที่เมินเฉยมาตลอดของผมนี้ เลยตอบประชดประชันบ้าง
“คิดไว้แล้วคนนึง แต่... ไม่รู้ว่าเขาจะยอมมาหรือเปล่า”
“ใครล่ะ หวาน”





“หวานจะขอให้น้ำมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวหวาน ว่าดีไหมล่ะนนท์” ผมแทบไม่เชื่อหูของตนเองเลย หวานส่งสายตาท้าทายมายังผม เย้ยหยันเสียดแทงใจด้วยชื่อของคนที่ผมรัก
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก จบภาค1
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 29-06-2008 23:39:23
“เราหนีไปด้วยกันนะ ไปให้ไกลจากที่นี่ น้ำอยากไปที่ไหนนนท์ก็จะไปด้วย” แทบไม่เชื่อหูของตัวเองเลยจริงๆที่เขาพูดแบบนั้นออกมา เป็นคำพูดที่ฉันอยากฟังและพร้อมจะตอบโดยไม่ลังเลใจ



















บทที่เก้า





   “น้ำ วันนี้ฉันเป็นไงบ้าง โอเคไหม” หวานพิศซ้ายขวาหน้ากระจกบานใหญ่ ชื่นชมชุดแต่งงานผ้าไหมแบบไทยอย่างหน้าชื่นตาบาน อวดฉัน ผู้แพ้อย่างออกนอกหน้า การที่คนรักของตัวเองต้องแต่งงานกับเพื่อนที่เคยสนิทของตนเอง เป็นภาพที่ฉันไม่อาจหลีกเลี่ยง หลบไปให้พ้นได้ ความกังขาในใจยังคลุมเครือมาตลอด ฉันนั่งนิ่งตรงนั้นมานานมาก และหลุดปากออกไป

“หวาน ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย ต้องการอะไรกันแน่”
“ในฐานะเพื่อน ฉันอยากให้เธออยู่แสดงความยินดีกับฉันด้วย คุณย่าอยากให้เธออยู่เป็นเพื่อนฉัน ก็เลยต้องจำใจ” หวานตอบไม่ตรงคำถาม แต่ฉันก็พอจะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น เล่นหูเล่นตาให้เสียจนหน้าหมั่นไส้

“เก่งมากนะหวาน ฉันละยอมรับเลยจริงๆ” ฉันฉุนขาดเลยตอบประชดไปแล้วเดินเลี่ยงไปทางประตู

“แน่นอน ของอะไรที่เป็นของของฉัน ฉันต้องได้มาทั้งหมด” หวานขวางทางเอาไว้ ลูบไล้มือซ้ายพอให้ประกายแหวนเพชรเม็ดงามสาดแสงแยงตา ให้เจ็บใจเล่น ฉันกำมือแน่น ปรามตัวเองไม่ให้หุนหันมากเกินไปกว่านี้ เดินเลี่ยงอีกฝ่าย คว้าลูกบิดประตูจะออกไปให้พ้นเร็วๆ

“หน้าด้านที่สุด” กะว่าตอกให้เจ็บกว่านี้ ทว่าหวานกลับหน้าชา ตรงมาตบฉันเสียฉาดใหญ่ ความโกรธมากมายประดังประเดเข้ามา ความเป็นเพื่อนระหว่างฉันกับนังชะนีคนนี้มันไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว เอาวะเป็นไงเป็นกัน แย่งของของฉันไปไม่พอยังจะมาไร้มารยาทกับฉันอีก ก็ได้ นึกว่างานนี้ฉันอยากจะมาเหยีบให้เป็นเสนียดรึไง

    “เสร็จยังจ๊ะ แหมหลานย่า วันนี้ดูสวยกว่าทุกวันเลยนะ น้ำจ๊ะ ขบวนขันหมากจะมาแล้วรีบไปเป็นสะพานเงินสะพานทองเร็ว” ย่าของหวานเดินเข้ามาภายในห้อง ฉันรีบเก็บมือที่เงื้อขึ้นทันที ฝืนยิ้มอย่างเสแสร้งเท่าที่จะทำได้

“เอ้อ... ค่ะ” ฉันเดินสวน กระแทกไหล่หวานเสียจนเซ ไม่มีแม้แต่ชำเลืองมอง ก็ได้ในเมื่อเธอเป็นฝ่ายเชิญฉันมาเองนะ ฉันก็ทำให้งานนี้สนุกอย่างที่ฉันต้องการเลย คอยดูละกัน

ฉันหลบเข้าไปในห้องน้ำ ลูบแก้มตัวเองเบาๆและลงเครื่องสำอางทับปิดรอยแดงบนแก้ม เม้มปากแน่นมองตัวเองในกระจก อดสูกับตัวเองที่สุด น้ำตาเริ่มคลอแต่ต้องกลั้นไว้ ฉันต้องผ่านวันนี้ไปให้ได้




“เป็นอะไรมากหรือเปล่าหวาน” เสียงเต้เรียกจากข้างนอกด้วยความห่วงใย เกือบลืมไปเสียสนิทว่าเต้ก็มางานนี้เป็นเพื่อนฉัน ฉันรืบเช็ดรื้นน้ำตาออกเสียให้หมด ล้างมือสงบอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลง

“ไม่มีอะไรหรอกเต้ เดี๋ยวน้ำออกไปนะ” เต้ถอนหายใจเดินละออกไป แต่ยังไม่ทันพ้นหน้าห้องน้ำก็ชนเข้ากับหญิงสาวผู้หนึ่งเข้า เธอเซถลาล้มทับเขาเข้า เต้ต่อว่าเธอทันทีหลังจากลุกขึ้นตั้งหลักได้แล้ว

“โอ๊ะ ระวังหน่อยสิคุณ”

“ขอโทษค่ะ ว่าแต่นี่คุณเข้ามาเพ่นพ่านแถวนี้ได้อย่างไร ขบวนเจ้าบ่าวจะมาแล้วนะ” เธอสวนทันที รู้สึกไม่ชอบหน้านายคนนี้ขึ้นมาตะหงิดๆ พลางปัดฝุ่นออกจากชุดสวยของเธอ เต้รู้สึกคุ้นหน้าขึ้นมาว่าเธอต้องเป็นญาติกับนนท์ทางใดทางหนึ่งหรือเปล่า เนื่องจากเห็นเธอคนนี้เยี่ยมหวานช่วงที่ป่วยอยู่โรงพยาบาลบ่อยๆ พลอยทำให้ฉุนเฉียวหนักขึ้น


“ผมว่าคุณต่างหากเล่า อย่ากวนประสาทผมนักเลยน่า ความจริงคุณควรจะอยู่ในขบวนขันหมากไม่ใช่รึไง”

“เอ้าไหงงี้ล่ะ ฉันเป็นเจ้าภาพน่ะ ฉันก็ต้องเดินตรวจตราความเรียบร้อยในนี้สิ แขกอย่าคุณน่าจะอยู่ในที่ๆเขาจัดไว้ให้เฉพาะต่างหาก เผลอๆถ้าฉันเข้าใจผิดว่าคุณเป็นคนที่ไม่ประสงค์ดีขึ้นมาจะแย่เอาง่ายๆนะ” เธอเองก็มีน้ำโมโหขึ้นมาทันที เมื่อคลับคล้ายคลับคลากับผู้ชายคนนี้ คนที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างพี่ชายของเธอกับน้ำ จนกระทั่งพี่ชายของเธอต้องมาลงเอยกับหวาน คนที่เธอยอมรับว่าไม่ถูกชะตาด้วยเลยจริงๆ แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจทำใจได้ว่าคนแบบนั้นจะต้องมาเป็นพี่สะใภ้

“อ้าวปากหมานะคุณ ว่ากันแบบนี้ ผมไม่ใช่คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าหรอกนะ อันที่จริงงานแบบนี้ก็ไม่อยากจะมานักหรอกนะ ติดอยู่ที่เพื่อนผมมันติดร่างแหมาเท่านั้น” เต้ยังคงต่อปากต่อคำไม่หยุด ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ยอมแพ้ ระรานต่อบ้าง
“นี่นาย... ใครกันเพื่อนคุณ อยากจะเห็นหน้านัก คงจะไร้มารยาทพอกัน ให้ตายสิ”




ฉันได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายด้านนอกเลยออกมาดู ฝ้ายกับเต้กำลังปั้นปึ่งใส่กัน
“มีอะไรกัน เอะอะจังเนี่ย อ้าว ฝ้ายเองเหรอ อ้อเต้นี่ฝ้ายนะ ฝ้ายนี่เต้จ๊ะ”

“อ๋อ ที่แท้ก็... รู้จักกันแล้วล่ะ มากเลยด้วยล่ะ ว่าแต่เป็นไงบ้าง ไหวไหม” เต้ทำหน้าเซ็ง หันมาถามฉันด้วยความเป็นห่วงเป็นใยและประคองตัวฉันไว้
 “น้ำแก้มเธอไปทำอะไรมาน่ะ” ฝ้ายถาม

“ไหวน่า ไม่มีอะไรหรอก แค่ยุงกัดน่ะเลยตบแรงไปหน่อย” ฉันเจื่อนยิ้มตอบกลบเกลื่อนทั้งคู่ไป ไม่อยากให้ทั้งสองเป็นกังวลอะไรอีก


“ไปเถอะน้ำ” เต้รีบตัดบททันที รีบพาฉันไปที่หน้างาน ฉันต้องทิ้งท้ายสั้นๆกับฝ้ายก่อนไป
“งั้นก็ได้ ฝ้ายแล้วค่อยคุยกันนะ” ฉันเข้าใจดีว่าต่อให้เล่นละครดีอย่างไรก็ปิดความรู้สึกของตัวเองไม่มิดหรอก ฉันเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ดูภาพเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นต่อหน้าตอกย้ำความรู้สึกตัวเองให้เจ็บช้ำแบบนี้หรอก

“ได้จ้า...” ฝ้ายมองตามอย่างเป็นกังวล แต่พอมองมาทางเต้ก็พลอยอารมณ์เสียขึ้นมาอีกครั้ง
“ชิ...”




ขบวนขันหมากเดินทางมาถึงแล้ว ทั้งพ่อแม่ ญาติและเพื่อนๆของนนท์ดูครื้นเครงเป็นพิเศษ ข้าวของและสินสอดเองก็ไม่ได้น้อยหน้าอะไร แม้ว่างานจะจัดที่บ้านอย่างเรียบง่าย แต่การตกแต่งก็ดูหรูหรางดงามดีจนไม่เหลือเค้าเดิมของบ้าน ไม่ว่ามุมใด ต่างประดับประดาไปด้วยช่อดอกไม้และรูปเจ้าบ่าวเจ้าสาว จะว่าไปงานแต่งครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไปด้วยซ้ำ ฉันทราบดีว่าคงเป็นการตัดสินใจของแม่นนท์มากกว่าที่รวบรัดงานขนาดนี้ หน้าที่ของฉันนอกจากเป็นเพื่อนเจ้าสาวแล้ว ยังยืนเป็นประตูเงินประตูทองคู่กับเพื่อนของหวานคนนึงซึ่งดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับฉันนัก เจ้าบ่าวเดินมาถึงตรงฉันแล้ว วันนี้เขาดูดีเหลือเกิน ใจฉันเต้นรัวไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น หากแต่เกิดจากความรู้สึกทั้งหลายที่มันพรั่งพรูออกมา นนท์เองดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ฉันอยากจะเข้าไปอยู่ใกล้ๆเขาเหมือนแต่ก่อนเหลือเกิน แต่ก็ได้เพียงแค่ต่างคนต่างมองกันและกันอยู่อย่างนั้น แม่ของนนท์ไม่ค่อยพอใจเท่าไร  รีบยัดเงินให้ประตูเงินทองแล้วดึงลูกชายตัวเองเข้าไปภายในบ้านเพื่อเริ่มพิธี แน่นอนว่าฉันเองต้องตามเข้าไปอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว





   ตลอดเวลา นนท์จับจ้องมาที่ฉันตลอด ด้วยสายตาที่เศร้านัก เสียงพระสวดตามธรรมเนียมของชาวพุทธแทบจะไม่ได้ผ่านเข้าไปในโสตประสาท ในสมองฉันมีแต่คำพูดและภาพเหตุการณ์ต่างๆในอดีตเมื่อครั้งที่ฉันมีนนท์อยู่ วันแบบนี้ งานแบบนี้ ควรจะเป็นฉันมากกว่าที่ได้สวมชุดเจ้าสาวและอยู่เคียงข้างเขา ทว่าอย่างฉันน่ะเหรอ กะเทย ไม่ใช่ผู้ชายหรือผู้หญิงแท้ๆ จะมาวาดฝันกับเรื่องลมๆแล้งๆกับเรื่องนี้ทำไม ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่มีทาง




ยิ่งตอนรดน้ำสังข์ ฉันเฝ้ามองเขาได้เพียงแต่เบื้องหลังเท่านั้น แขกเหรื่อและบรรดาญาติต่างเวียนกันมาอำนวยอวยพรให้กับทั้งคู่ ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอื่น ที่ห่างไกลออกไป ไกลออกไป นี่ชักจะทนไม่ไหวอยู่แล้วนะ พอเสียที ได้โปรด...


ฉันแอบออกมานอกบริเวณงานแต่งงานอย่างเงียบๆ เมื่อเข้าขั้นตอนของงานเลี้ยง ซึ่งเป็นลำดับสุดท้ายของพิธี แสงสุดท้ายของตะวันที่ลับขอบฟ้าไปค่อยๆเลือนรางลง ทิ้งม่านสีดำ ประดับดาวระยิบระยับเคลื่อนเข้ามาปกคลุมท้องฟ้านี้แทน เสียงคนยังคุยจ่อกแจ่กจอแจภายใน บรรยากาศของความสุขที่ฉันไม่มีวันสัมผัสได้อบอวลอยู่รายรอบบริเวณ แสงไฟรอบๆบ้านเปิดขึ้น ฉันนั่งใจลอยอยู่ภายในสวนได้พักนึงแล้ว ได้เวลาที่ตัวเองควรจะกลับไปเสียที ทว่าเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยเหลือเกินร้องห้ามฉัน ดั่งต้องมนต์สะกดร่างของฉันไว้กับที่นั้น



“น้ำ... จะไปไหนน่ะ” ฉันลืมตัวยิ้มให้กับเจ้าของเสียงนั้น นนท์นั่นเอง วันนี้ทั้งวันเราแทบจะไม่ได้คุยกันเลย แม้เพียงแค่นี้ก็ทำให้ฉันหัวใจของฉันพองโตขึ้นมาได้ขนาดนี้ทีเดียว

“นนท์” ฉันรีบหันหลังให้เขา ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เก็บความดีใจของตนเองเอาไว้ ไม่อยากจะเผชิญหน้าเขาตรงๆ ไม่อยากจะใจอ่อน กลั้นใจปรามเขาทันที
“ยินดีด้วย ขอให้มีความสุขมากๆนะ แต่นนท์ควรจะอยู่ในงานกับเจ้าสาวมากกว่านะ”

“นนท์ไม่เห็นน้ำในงาน เลยคิดว่าน้ำจะกลับไปแล้วเสียอีก” ฉันสัมผัสได้ ถึงน้ำเสียงที่ปราศจากความเข้มแข็ง ทิ้งไว้เพียงความอ่อนแอและหดหู่นี้ บีบคั้นหัวใจแทบจะขาดใจตายตรงนั้นต่อหน้าเขา

“ใช่ น้ำกำลังจะกลับพอดี ลาก่อนนะ” ฉันต้องใจดำกับเขา ใช่แล้ว แบบนี้แหละ  ทว่านนท์คว้าข้อมือของฉันเอาไว้ ดวงตาคู่นั้นมองฉันอย่างอาลัยอาวรณ์ ฉันปล่อยโฮออกมาทันที พยายามสะบัดมือของเขาออก เรี่ยวแรงไปไหนหมดกัน ทำไมฉันถึงทำไม่ได้


“อย่าพูดแบบนั้นเลยได้ไหม นนท์แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ใจนนท์มีน้ำอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น” เพียงแค่ประโยคเดียวนั้น ทำเอาฉันทรุดลงกับพื้น นนท์รีบประคองฉันและ นั่งลงตาม ใบหน้าของเขาที่ฉันไม่มีโอกาสได้เห็นใกล้ๆอย่างนี้มานานหลายเดือนนัก เขาดูเปลี่ยนไปมากจริงๆ ขอบคุณนะ นนท์ ที่ยังรู้สึกดีๆกับน้ำ แต่...



“เธอเลือกทางเดินที่ถูกต้องของเธอแล้วล่ะ ดีกับทั้งตัวนนท์และแม่ของนนท์” ฉันฟูมฟาย บอกเขาอย่างกระท่อนกระแท่น
“น้ำ” นนท์ดึงตัวของฉันไปกอด นานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้อยู่ในอ้อมอกของเขาแบบนี้ อยากหยุดเวลานี้ไว้ให้นานตราบเท่านาน ใบหน้าของเขาเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ เขาเช็ดน้ำตาของฉันแล้วบรรจงจูบบนริมฝีปากของฉันเบาๆ




“เราหนีไปด้วยกันนะ ไปให้ไกลจากที่นี่ น้ำอยากไปที่ไหนนนท์ก็จะไปด้วย” แทบไม่เชื่อหูของตัวเองเลยจริงๆที่เขาพูดแบบนั้นออกมา เป็นคำพูดที่ฉันอยากฟังและพร้อมจะตอบโดยไม่ลังเลใจ


“นนท์..” เสียงหนึ่งร้องเรียกเขาและใกล้เขามาเรื่อยๆ ทำให้ฉันฉุกคิดและผละออกจากอ้อมกอดของนนท์เสีย เช็ดน้ำตาและยิ้มให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย
“เสียงหวานแน่ะ น้ำต้องไปแล้ว” นนท์รั้งตัวฉันเอาไว้ อย่าทำแบบนี้เลยนะนนท์ หวานกำลังจะมา ฉันควรจะกลับไปยังที่ที่ฉันอยู่จะดีกว่า



“นนท์ไม่ปล่อย ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน” นนท์ที่ฉันเห็นตรงหน้า ฉันจะจดจำไว้ในความทรงจำตราบนานเท่านาน แม้ว่าเขาจะเว้าวอนเพียงใด แต่นี่เป็นทางที่ฉันมองว่าดีสำหรับเขาแล้ว รวบรวมเรี่ยวแรงที่มีสะบัดเขาแล้ววิ่งลบลี้ไป จะไม่หันกลับมาอีก ไม่ว่านนท์จะร้องเรียกแทบขาดใจก็ตาม เขาทรุดอยู่ตรงนั้นอย่างตรอมใจ


“น้ำ…”
“มีอะไรเหรอ” หวานรีบเข้ามาประคองตัวนนท์ไว้ นนท์นั่งนิ่งพักหนึ่ง




“เปล่าหรอกไม่มีอะไร เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”




แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ใจหวานก็สำเหนียกเสมอว่านนท์ไม่มีทางลืมน้ำไปได้ง่ายๆ
ฉันจะจดจำเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาทั้งหมดไว้ในความทรงจำของฉัน ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยรู้สึกกับคนคนหนึ่งแม้จะเป็นได้แค่เพียงส่วนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของนนท์เท่านั้น ฉันต้องเรียนรู้ที่จะอยู่โดยที่ไม่มีเขา เยียวยาบาดแผลที่เกิดขึ้นเพราะตัวฉันเองนี้ให้หายขาดให้ได้ จากนี้ไป












จบภาค1
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(จบภาค1)
เริ่มหัวข้อโดย: PakBeob ที่ 30-06-2008 14:29:55
สงสารน้ำอ่า.... :sad2:

รออ่านภาค 2 ฮับ
หัวข้อ: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(จบภาค1) แจ้งข่าวภาคสอง
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 01-07-2008 12:10:21
แจ้งข่าว


ติดตามภาคสอง ได้ใน 19 ก.ค. ที่ถึงนี้ครับ :oni1:



ขอบคุณทุกรีไพล์ และคอมเม้นต์นะครับ  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(จบภาค1)
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 01-07-2008 12:15:06
เจ้เอาเรื่องนี้ ไปใส่ในกระทู้นิยายใหม่ประจำเดือน กรกฏาคม ด้วยแล้วนะคะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(จบภาค1)
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 01-07-2008 12:21:38
เจ้เอาเรื่องนี้ ไปใส่ในกระทู้นิยายใหม่ประจำเดือน กรกฏาคม ด้วยแล้วนะคะ  :laugh:
ขอบคุณครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(จบภาค1)
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 01-07-2008 18:33:04
แจ้งข่าว


ติดตามภาคสอง ได้ใน 19 ก.ค. ที่ถึงนี้ครับ :oni1:



ขอบคุณทุกรีไพล์ และคอมเม้นต์นะครับ  :pig4: :L2:

โหย ทำไมนานจังเลย......อ๋อ จะเอาเวลาไปลงเรื่อง RKAแม่นบ่อ อิอิ

แล้วจะรออ่าน ทั้งหมดเลยนะ  
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(จบภาค1)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 05-07-2008 16:16:30
รออ่านภาคต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 11-07-2008 17:10:45
ขึ้นภาค2



“ผมเรียนให้คุณน้าทราบตรงๆเลยนะครับว่า ผมกับน้ำยังไม่ได้คิดไปถึงเรื่องในอนาคตเท่าไรนัก ทั้งนี้ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมคนเดียว น้ำเองก็ด้วย แต่ตราบใดที่ผมยังคบกับน้ำอยู่ ผมจะดูแลเธอให้ดี ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมสัญญาครับ”



















บทที่สิบ








“น้ำ...” เสียงนุ่มทุ้มของคนขับรถที่รับส่งไปทำงานเช้าเย็นประจำ เอ่ยขึ้น ฉันแน่ใจว่าวันนี้เจ้าของเสียงนั้นมีท่าทีที่แปลกไปไม่เหมือนกับทุกๆวันที่เคยเป็น ดูรุกรี้รุกรนกระวนกระวายชอบกล

“มีอะไรเหรอนนท์ เป็นอะไรไปเหรอ ไม่สบายหรือเปล่า” ฉันพูดพลางหยิบกระดาษทิชชูมาซับเหงื่อให้เขา และความหาลูกอมให้
“คือ...” เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นขัดจังหวะ นนท์สะดุ้งทันทีเมื่อรู้ว่าที่บ้านฉันโทรศัพท์มา ตาก็มองตรงไปดูทางที่กำลังเลี้ยวเข้าซอยของบ้านฉันในไม่ช้า ฉันวางโทรศัพท์ไปไม่ทันไร นนท์รีบสวนถามทันที

“มีอะไรเหรอ น้ำ”
“วันนี้คุณพ่อกลับบ้านมาแล้วน่ะสิ หลังไปสัมมนามาตั้งสัปดาห์กว่า นี่น้ำก็ซื้อกับข้าวมาตั้งเยอะแยะเลยพอดีทีเดียว” ฉันพูดไปยิ้มไปด้วยความดีใจไม่ทันสังเกตว่านนท์ค่อนข้างคร้ามทุกครั้งเมื่อฉันพูดถึงพ่อของฉันทีไร

“เอาล่ะ ถึงแล้ว นนท์อยู่ทานข้าวด้วยกันกับน้ำนะ อ้าวเป็นอะไรไปล่ะไม่ลงจากรถเหรอ” เมื่อถึงหน้าบ้านฉันก็ลืบคว้าข้าวของลงไป นนท์นั่งตัวลีบอยู่ข้างในรถ ฝืนๆยิ้มให้ ก่อนตัดสินใจลงรถตามเข้ามาในบ้านด้วย


“กลับมาแล้วเหรอ น้ำ อ้าวนั่นใครน่ะ” พ่อยิ้มทักทาย ฉันวิ่งเข้าไปกอดท่านราวกับเด็กสามขวบไม่ปาน ก่อนที่ท่านจะสังเกตเห็นนนท์ นนท์เลิ่กลั่กยกมือไว้ขณะที่ถือของพะรุงพะรังสองมือ ฉันเองก็ลืมตัวไปว่านนท์ไม่เคยพบกับท่านมาก่อนเลย ฉันยิ้มเจื่อนๆให้นนท์ก่อนประจีประจอกับพ่อต่อเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไป

“ชื่อนนท์ค่ะ พ่อ เราเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนแล้วล่ะค่ะ เข้าบ้านกันเถอะค่ะ นี่หนูซื้อกับข้าวมาตั้งเยอะเลยนา.... มีของที่พ่อชอบด้วยนะคะ” ฉันดึงพ่อพ่อเข้าไปในบ้านแต่ท่านไม่ยอมไป นนท์เองก็พลอยยืนเก้ๆกังๆ อยู่ห่างๆ

“ว่าไงล่ะเรา เอ๊ะ ชื่ออะไรนะ นนท์ อื้อเป็นเพื่อนน้ำด้วยละสิ มาส่งได้นี่ทำงานที่เดียวกันด้วยรึไง” เอาละสิ ฉันเองก็เดาอารมณ์พ่อตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างหรือเปล่าน่ะ

“คือ ผมไม่ใช่เพื่อนหรอกครับคุณน้า ตอนนี้ผมกะบน้ำเรากำลังคบกันครับ” จู่ๆนนท์เองก็ฮึดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ฉันกับพ่ออึ้งกิมกี่ทั้งคู่ แม่น่ะรู้เรื่องว่าฉันกับเขาคบกันแล้วเพราะเขามาเที่ยวบ้านบ่อยๆ แค่ทานเข้าเท่านั้นหรอกนะ แต่พ่อเนี่ยสิ เป็นเรื่องแน่ๆ

“น้ำ... เอาของอะไรเข้าไปเก็บก่อนไป ส่วนนายน่ะ ตามมานี่สิ” พ่อพูดขึงขังขึ้นมา ฉันเองก็รับของจากนนท์มาด้วยเอาไปไว้ที่ห้องครัว แม้ว่านนท์จะทำปากบุ้ยใบ้ว่าไม่เป็นอะไรแต่ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดีว่า พ่อฉันจะหักคอเขาจิ้มน้ำพริกหรือเปล่าไม่รู้ แม่เอง พอรู้เรื่องนี้เข้าก็ละงานทุกอย่าง รีบตามมาแอบดูทั้งสองคนนั้นคุยกันในสวนหน้าบ้าน

“รู้จักกับน้ำมาได้นานแค่ไหนแล้ว เราน่ะ” พ่อเปรยคำถาม ขึ้น พอทำลายความเงียบที่อึมครึมระหว่างทั้งคู่ลงไปได้
“ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยได้ครับ ผมเรียนคนละคณะกันกับเธอ พอได้รู้ว่าเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน ก็เลยเป็นเพื่อนกันมาครับ” นนท์นั่งอยู่ตรงข้ามตอบอย่างไม่ลังเลเลย

“แล้วคบกันมาตั้งแต่ตอนไหนล่ะ” หวายๆ พ่อเริ่มเข้าประเด็นแล้ว
“ได้ สองปีแล้วล่ะครับ”
“รู้หรือเปล่าว่า น้ำน่ะเขาไม่ใช่ผู้หญิงนะ” พ่อหลุดคำถามนี้ออกมาได้ไงเนี่ย แล้วอีตานั่น จะตอบอย่างไรน่ะ

“ทราบครับ” หา... สั้นๆแค่นี้น่ะนะ
“ผู้หญิงตั้งเยอะแยะ ไม่คิดอยากจะคบคนอื่นจริงจังบ้างเหรอ แล้วที่บ้านรู้เรื่องนี้หรือเปล่า” ฉันกลืนน้ำลายตัวเองอึกนึง รอฟังคำตอบนั้นจากเขา พ่อยิงคำถามที่คาใจฉันสุดๆออกมาจนได้ เอาล่ะนายบ็องจะตอบยังไงละทีนี้

“ผมคบกับเธอด้วยความรู้สึกที่มีต่อเธอ อย่างผู้ชายผู้หญิงทั่วไป เธอเป็นทั้งเพื่อนที่ดีและเข้าใจผมมากที่สุด ผมไม่รู้สึกกับใครอีกแล้วในตอนนี้นอกจากเธอ สำหรับทางบ้านของผมน่ะทราบเรื่องแล้วครับ แต่ก็คงต้องใช้เวลาสักพัก คิดว่าทั้งพ่อและแม่ของผมคงเข้าใจความรู้สึกที่ผมมีต่อน้ำนี้ ครับ” ฉันยิ้มเอียงอายกับคำตอบนั้น ตาบ้าเอ๊ย แม่นึกหมั่นไส้เขกกระโหลกฉันขึ้นมาเดี่ยวนั้น โอ๊ย... แต่กลับร้องออกไปไม่ได้เสียนี่

“เธอคิดจะทำอย่างไรต่อไป” นนท์ถอนหายใจเฮือกหนึ่งเบาๆก่อนตอบคำตอบนั้นออกไป
“ผมเรียนให้คุณน้าทราบตรงๆเลยนะครับว่า ผมกับน้ำยังไม่ได้คิดไปถึงเรื่องในอนาคตเท่าไรนัก ทั้งนี้ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมคนเดียว น้ำเองก็ด้วย แต่ตราบใดที่ผมยังคบกับน้ำอยู่ ผมจะดูแลเธอให้ดี ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมสัญญาครับ”

ใจฉันเต้นรัวกับทุกถ้อยคำที่เขาเอ่ยออกมา มองไปที่พ่อผู้นั่งนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ นนท์เองก็ดูคลายความกังวลลงไปมาก นั่นคือความรู้สึกของนายทั้งหมดจริงๆเหรอ แม่เองก็อึ้งไปเหมือนกัน
“พูดได้ดีนี่เรา เออชักชอบแล้วซิ นี่เรียนวิศวะมาด้วยพอจะถูกคอขึ้นมาบ้างแล้ว ไปเข้าไปข้างใน กินข้าวเย็นกัน” พ่อเดินอ้อมโต๊ะมาตบบ่าเขาเบาๆ ก่อนเดินเข้าไปในบ้าน แม่หายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ฉันเดินออกไปหานนท์ ท่าทางเขาก็แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นฉันเดินออกมาหา และรีบพูดดักทางไว้ก่อนเลย


“ไม่เป็นไรหรอกน่า สักวันท่านก็ต้องรู้นี่นา บอกไปตอนไหนก็เหมือนกันน่า”
“ถามจริงเถอะกลัวพ่อน้ำหรือเปล่า เห็นนั่งเกร็งเชียว” นนท์ถลึงตาใส่ อ้าวพูดอะไรผิดเหรอ รู้หรอกน่าว่าการแอบดูมันผิดนะ แต่อดห่วงไม่ได้จริงๆนี่นา

“นิดหน่อยน่า เอาน่าอย่างน้อยนนท์ก็ผ่านไปได้อีกด่านหนึ่งแล้วนี่นา (ขยี้ผมฉันเสียยุ่งทำไมละเนี่ย) ไปเถอะ เข้าไปข้างในกันเถอะ ท่าทางฝนจวนจะตกแล้วล่ะ” นนท์ประคองฉันเข้าไปข้างในบ้าน ไม่นานนักฝนก็ตกไล่หลังมาอย่างกระชั้น ฉันยังจำได้ถึงความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยความหวังในตอนนั้น ทว่าก็เป็นจริงอย่างที่นนท์พูด ทุกอย่างล้วนไม่มีอะไรแน่นอน มั่นคง จริงจัง ฉันควรจะตื่นจากความฝันได้แล้ว


























หลังจากวันคืนที่เจ็บปวดทรมานได้ผ่านพ้นไป 5 ปีที่ผ่านมา ฉันใช้มันทั้งหมดไปกับการทำงานและใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ตอนนี้ฉันกำลังตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนงานใหม่ดีไหม เพราะงานด้านฝ่ายบุคคลที่ฉันทำอยู่ทั้งวุ่นวายและมากไปด้วยปัญหานานับประการ ฉันเองเบื่อที่เจอกับเรื่องซ้ำซากแบบนี้ทุกวันแล้ว ตอนนี้ก็ลองยื่นใบสมัครไปยังบริษัทอื่นที่คาดว่าจะเสนองานและเงินเดือนที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจกว่าและเหมาะสมกับวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ที่มี ก็ค่อนข้างเสี่ยงน่าดูในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไรหรอกนะ อย่างน้อยก็มี2-3ที่ที่เสนองานใหม่ให้ เอาละขอพิจารณาดูก่อนนะ

ฉันปรึกษาเรื่องดังกล่าวกับพ่อและแม่ ท่านทั้งสองต่างเห็นด้วยกับการตัดสินใจของฉัน ได้เรื่องล่ะอย่างน้อยที่ทำงานใหม่นี้ก็ใกล้บ้านหลังใหม่ที่กระทัดรัด และมีสวนกว้างๆนอกเมือง แทนบ้านหลังเก่าในซอยที่มีชื่อแห่งหนึ่ง แม้จะอยู่ใจกลางเมืองแต่การจราจรแสนจะวุ่นวายนั้นสร้างความหงุดหงิดกังวลต่อการเดินทางไม่น้อย แม้จะเสียดายที่อย่างน้อยบ้านหลังเก่านั้นฉันก็โตมาตั้งแต่เล็ก แต่ด้วยสุขภาพและวัยของท่านทั้งสองที่มากขึ้น ฉันควรจะอยู่ในที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีและบริสุทธิ์ เพื่อนบ้านที่นี่ก็อัฒยาศัยดี และมีเพื่อนที่ดีอย่างเต้คอยแวะเวียนมาหาบ่อยๆ วันนี้ก็เช่นกัน

“มานี่ เต้ทำเองดีกว่า... เอาน่า... ไปล้างมือเถอะ เลอะหมดแล้วเนี่ย” เต้แย่งคีมคีบไป ขณะที่ฉันกำลังย่างของทะเลอยู่ ไม่ได้สังเกตว่าตัวเองมอมแมมแค่ไหน ยิ่งมาพูดแบบนี้ฉันก็ไม่พอใจเท่าไรนัก ละออกไปหั่นผักและทำน้ำจิ้มอยู่อีกทางหนึ่ง แต่ก็ชำเลืองมองอย่างกังวล
“ท่าทางคล่องเหมือนกันนะเนี่ย ไม่ยักรู้ว่าคุณหมอจะมีเวลามาทำอาหารกะเขาด้วย” ฉันกระเซ้า เต้ยิ้มเขินๆ

“ก็คนอยู่คนเดียวก็ต้องทำนั่นนี่เอง อะไรที่ไม่เป็นก็ต้องทำให้เป็นแหละ ลองน้ำไปอยู่คนเดียวเดียวก็รู้น่า ดูสิ หอมน่ากินทีเดียว เดี๋ยวน้ำเรียกคุณลุง คุณป้ามาทานได้เลยนะ”
“ว้ายยย” ฉันวางมีดลงแล้วถอยออกมา เต้รีบรุดมาประคองและซักทันที พลางดูมือไม้ฉันว่าโดนบาดอะไรหรือเปล่า
“อะไรน่ะ เป็นไร”

“หอมกระเด็นเข้าตาอ่ะ แสบ...” ฉันหลับตาปี๋ไม่กล้าลืมตา
“ไหนดูสิ” เต้จะประคองแนไปไหนละเนี่ย เอ๋ เปิดน้ำเหรอ อือ เดี๋ยวล้างก็คงหายใช่ไหม เข้าใจแล้ว สักพักหนึ่งเต้ก็ปิดน้ำแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูให้
“เห็นไหม... แค่นี้เอง” เต้อมยิ้มแล้วจูงมือฉันกลับมาที่โต๊ะ ทว่าความซุ่มซ่ามของฉัน สะดุดสายยางเข้าเสียนี่ เสียหลักเซไปหาเต้ เกือบล้มไปจนได้ ทำไมถึงใจเต้นรัวอย่างนี้นะ


“อะแฮ่ม...” พ่อกระแอมไอเสียงดัง ฉันผละตัวออกมา แยกไปหั่นหอมต่อ ส่วนเต้ก็คีบกุ้งและหมึกออก จัดใส่จานยกมาเสิรฟทันที
“เสร็จแล้วล่ะครับ กะว่ากำลังจะไปตามคุณลุงคุณป้ามาทานพอดีเลย” เต้เดินไปเปิดเครื่องดื่ม ส่วนฉันก็เอาผักและผลไม้มาวางเคียง นานๆทีทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ฉันเองก็ง่วนกับการทำงานในที่ใหม่เสียเหลือเกิน

“เมื่อไรไรสองคนนี้จะมีข่าวดีให้พ่อกับแม่ละเนี่ย ว่าไงเต้” จู่ๆพ่อก็เอ่ยขึ้นมา ทำเอาฉันเกือบจะสำลักน้ำเลย เต้หันมามองฉัน แล้วยิ้มให้ ไม่รู้ตัวเลยว่าเต้คว้ามือของฉันไปกุมตั้งแต่เมื่อไร
“ก็ต้องขึ้นอยู่กับน้ำเขาละครับ ว่าจะเอายังไง”

“เต้...” รู้สึกหน้าของตัวเองแดงเรื่อยขึ้นมา มุดหน้ามุดตาไม่กล้าพูดอะไรมาก แม่ของฉันได้ทีแหย่เย้าขึ้นมาอย่างนั้น
“แหม...หนุ่มๆ สาวๆเขาก็น่ารักดีนะ พ่อกับแม่เองก็อายุเยอะแล้ว แม่เองอยากให้น้ำเขามีคนที่ดูแลเขาได้จริงๆเสียที ดูไปก็สมกันดีนะจ๊ะ” พ่อเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

“แม่ก็ พูดไปเรื่อยเลยนะคะ ทานกันเถอะคะ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมดนะคะ” ฉันเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าความเอาใจใส่ ปากถึงมือถึงของเต้ทำให้ท่านทั้งสองยอมรับได้และเชื่อมั่นมากกว่าคนคนนั้นเสียอีก ทว่าฉันยังไม่อยากตัดสินใจตอนนี้ อีกอย่างก็ไม่ได้คิดอะไรกับเต้ไปมากกว่าความรู้สึกที่เรียกว่าเพื่อนนี้หรอกนะ ทำไมนะเต้ถึงดีกับฉันได้มากมายขนาดนี้ บางคราก็รู้สึกผิดกับเขา ฉันเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจนป่านนี้ฉันก็ลืมคนคนนั้นไม่ได้สักที หรือว่าหากฉันตัดสินใจที่จะลงเอยกับเต้จริงๆทุกอย่างคงจะดีขึ้น กับทั้งเต้ พ่อและแม่ และแม้กระทั่งตัวฉันเองด้วย
คิดมาก... พาลทานอาหารไม่อร่อยเลย...


หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 11-07-2008 17:18:05
ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)



ตอนนี้ไม่รู้ว่าเธอย้ายไปอยู่ที่ไหนแล้ว ผมอดใจหายไม่ได้เมื่อเห็นบ้านเดิมของเธอถูกทุบทิ้งไปพร้อมกับความทรงจำเก่าๆที่ดีภายใน ใจผมตอนนี้ ร้อนรนอยากจะพบเธอให้ได้แม้เพียงครั้ง แต่ก็จนปัญญาไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่ไหน อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้เอ่ยคำว่า “ขอโทษ” สักครั้ง



















บทที่สิบเอ็ด



แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าทุกอย่างจะผ่านไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ทุกอย่างทุกเรื่องราวเหมือนเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้

ผมไม่เคยลืมเธอคนนั้นไปจากใจเลยแม้แต่น้อย ผมรู้ตัวดีว่าผิดพลาดไปที่ทำร้ายเธอแบบนั้น ความจริงแล้ว การตัดสินใจทุกอย่างควรจะเป็นตัวผมเองมากกว่าที่จะเลือกทำอะไรไม่ทำอะไร

แต่ตอนนี้ผมเป็นพ่อคนแล้ว

ใช่ คุณได้ยินไม่ผิดหรอก

ผมมีลูกสาวฝาแฝดที่น่ารักน่าชังวัยร่วมสี่ขวบกับภรรยาชื่อ หวาน

ชีวิตครอบครัวของผมลุ่มๆดอนๆ แหงล่ะเราไม่ได้เริ่มต้นมาจากความรักและความรู้สึกที่ดีระหว่างกัน

จริงอยู่ที่ผมรู้จักเธอในฐานะอดีตเพื่อนของหวาน แต่เรื่องอื่นๆผมแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลย และก็ไม่อยากรู้ด้วย เรามีปัญหาระหองระแหงระหว่างกันตลอดห้าปีที่ผ่านมา
ไม่รู้ว่าความอดทนของตัวเองจะหมดลงเมื่อไร ห่วงแต่ลูก เด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จากการกระทำอันขลาดเขลาของผม ในไม่ช้าเรื่องนี้คงต้องกระทบต่อลูกๆ ไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะรับได้และเข้าใจความรู้สึกของพ่อกับแม่หรือเปล่า ผมกังวลเหลือเกิน


ทุกวันนี้ ยามที่มีปัญหาหรือไม่สบายใจอะไร ผมไม่เหลือใครที่เป็นที่ปรึกษาได้ในทุกๆเรื่องแล้วจริงๆ ผมได้แต่ขับรถผ่านไปยังบ้านของเธอคนนั้น ใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้เห็นหน้าของเธอ พอทำเนาให้เรื่องน่าปวดหัวต่างๆทุเลาลงไปได้ ทว่าเธอคงจะมีความสุขกับคนรักใหม่ที่สามารถดูแลและเข้าอกเข้าใจเธอมากกว่าผม ผมจำได้ว่าคลับคล้ายคลับคราว่าเขาเป็นหมอเนี่ยแหละ ซึ่งไม่อยากจะใส่ใจจดจำนักหรอก ต่างคนต่างทางเดิน ผมไม่ควรจะเข้าไปยุ่มย่ามกับเธออีก หรือเพราะว่าผมไม่กล้าเผชิญหน้าเธอกันแน่

ตอนนี้ไม่รู้ว่าเธอย้ายไปอยู่ที่ไหนแล้ว ผมอดใจหายไม่ได้เมื่อเห็นบ้านเดิมของเธอถูกทุบทิ้งไปพร้อมกับความทรงจำเก่าๆที่ดีภายใน ใจผมตอนนี้ ร้อนรนอยากจะพบเธอให้ได้แม้เพียงครั้ง แต่ก็จนปัญญาไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่ไหน อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้เอ่ยคำว่า “ขอโทษ” สักครั้ง

พอพูดถึงหวาน ผมอดหงุดหงิดไม่ได้ที่แม่คนนั้นไม่ค่อยเอาใจใส่กับลูกๆเท่าไรทั้งๆที่ทั้งคู่จะต้องเข้าเรียนอนุบาล เป็นธุระของผมที่จะต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองเองทั้งหมด
ผมเองก็ไม่สันทัดเรื่องแบบนี้เท่าไรเลย ไหนๆก็ไหนๆแล้วถือโอกาสพาทั้งสองคนไปเปิดหูเปิดตาที่ห้างสรรพสินค้าเนี่ยแหละ พนักงานสาวๆคงแนะนำอะไรดีให้ได้แหละมั้ง



“อ๊ะ... ขอโทษค่ะ” ผมนี่ใช้ไม่ได้เลย ชนผู้หญิงคนนึงเข้าจนได้ ขณะที่เดินสวนออกมาจากลิฟท์  ผมปล่อยมือลูกๆให้ยืนอยู่ใกล้ๆแล้วช่วยเธอเก็บของ พอเธอเงยหน้าขึ้นมา ไม่น่าเชื่อเลยว่าเป็น...

“นนท์...” น้ำจริงๆเหรอเนี่ย ไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม เธอรีบเก็บของและผละเดินหนีไป ผมตะโกนเรียก“น้ำ... เดี๋ยวก่อน” ผมคว้ามือเธอไว้ เธอมองหน้าผมด้วยสายตาที่แข็งกร้าว พยายามสบัดมืออก แต่ผมไม่ยอมปล่อยง่ายๆหรอก

“อย่าเดินหนีผมแบบนี้สิ”
“ปาป๊าขา ใครเหรอคะ” ลูกๆเข้ามาเกาะแกะขากางเกงและเงยหน้าถาม เกือบลืมไป ผมพาลูกๆมาด้วยนี่นา เธอมองเด็กๆด้วยความฉงนสนเท่ห์
“น้าน้ำครับ ลูก เอ้าไหว้ก่อนเร็ว”

“จ๊ะ สวัสดีจ๊ะ” เธอรับไหว้ลูกๆผม คงงงน่าดูเลย เอาล่ะจะทำอย่างไรดีนา... ให้เธอยอมนั่งคุยกับผมสักพักหนึ่ง เอาล่ะนึกออกอยู่ความคิดเดียวตอนนี้ ติดอยู่ที่เธอจะใจอ่อนหรือเปล่า
“ผมมาซื้อของกับลูกๆนะ จะไปทานข้าว ไปด้วยกันนะ”

“เอ่อ...” ผมรู้ว่าเธอคงอึดอัด อย่างน้อยผมก็อยากจะคุยกับเธอ เอาล่ะแผนนี้คงเวิร์ค ขึ้นอยู่กับว่าลูกๆจะให้ความร่วมมือกับผมหรือเปล่าเท่านั้น
“ไปด้วยกันนะคะ คุณน้าน้ำขา” น้ำมองค้อนผมก่อนคุกเขาลงไปทักทายเด็กหญิงสองคนยืนคู่กัน คงจะได้ผลแล้วล่ะ
 “เด็กสองคนนี่ น่ารักทั้งคู่เลยนะคะ ไงชื่ออะไรกันบ้างคะ”

“พลัมค่ะ” คนซ้ายตอบ
“แพรค่ะ” คนขวาตอบบ้าง ผมรีบพยักเพยิดให้เธอไปร้านใกล้ๆกับเราพ่อลูก ดีทีเดียวที่ร้านนี้มีมุมที่เล่นสำหรับเด็กด้วยจะได้เป็นส่วนตัวขึ้นมาหน่อย
“ไปเล่นกันก่อนนะ เดี๋ยวปาป๊าคุยกับน้าน้ำแป๊บนึงนะครับ”

“ค่า เย้...” ทั้งสองเริงร่า ไม่รอช้าวิ่งเข้าหาเครื่องเล่นทันที ผมโบกมือให้ลูกๆ และสั่งเครื่องดื่มของเราสองคน ผมจำได้ว่าเธอชอบดื่มอะไรแต่ท่าทางเธอเกร็งๆ ไม่กล้าแตะเครื่องดื่มตรงหน้าเลย

“เป็นยังไงบ้าง ไม่เจอกันตั้งนาน” รู้สึกราวกับห่างไกลกัน เหมือนต่างคนต่างไม่รู้จักกันเลย ผมไม่อยากให้เธอทำแบบนั้นเลย
“สบายดีค่ะ แล้วคุณกับภรรยาเป็นอย่างไรบ้าง” เธอโกหก ผอมหน้าตอบซะขนาดนั้น ดูผิดหูผิดตาไปเยอะ ไม่เลือดฝาดเหมือนแต่ก่อน แต่ผมไม่อยากซักไซ้ถามเธอมากมาย

“เขาก็ดี” ผมตัดบทไป ไม่อยากเอ่ยถึงให้มากความเสียอารมณ์ ดูเธอจะผิดหวังกับคำตอบของผม
“ช่างเถอะ” ผมรุกเธอเข้ามาใกล้

 “นนท์ อย่าดีกว่าไม่ดีหรอกนะ” เธอดุผม
“นนท์ต้องทำตามพ่อแม่ แค่นี้นนท์ก็รู้สึกแย่มากแล้ว ชีวิตครอบครัวแค่สร้างภาพให้มันดูดีในสายตาลูกๆเท่านั้น...” ผมเอนตัวหาพนักพิงด้านหลัง และพล่ามเรื่องต่างออกมาให้ฟัง รู้สึกผ่อนคลายความกังวลต่างๆลง เมื่อมีเธอคนนี้อยู่ใกล้ๆ ไม่อยากจากเธอไปไหนเลย

“น้ำย้ายบ้านไปไหนเหรอ ได้ข่าวว่าขายที่ตรงนั้นไปแล้วใช่ไหม” เธอพยักหน้าแต่ไม่ยอมบอกรายละเอียดอื่นๆ ผมเองก็ไม่อยากคาดคั้นเธอมากมายหากเธอไม่เต็มใจอยากจะบอกผมตรงๆ

“นนท์อยากรู้แค่ว่าน้ำคิดถึงนนท์บ้างหรือเปล่า” เธอดูประหม่าเมื่อผมทำแบบนั้น แต่ก็แก้เกมส์เอากระเป๋าดันหน้าผมออกไป เสียฟอร์มหมดเลย
 “นนท์อย่าถามนั่นนี่เลยนะ น้ำอยู่ในฐานะเพื่อนได้เท่านั้น นนท์เป็นหลักเป็นฐานได้น้ำก็ดีใจแล้วล่ะ” ผมรู้ดีว่าเธอฝืนยิ้มให้ผม แต่ความรู้สึกของเธอตอนนี้ผมบอกตรงๆได้เลยว่าดูไม่ออกจริงๆ เธอดูขรึมเยอะ

“นนท์แค่อยากรู้ เราคงกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้วล่ะ นนท์รู้ดี ที่ทนอยู่ ก็เพราะลูกทั้งสองคนเนี่ยแหละ” ผมมองไปยังลูกสาวที่เล่นซนอยู่กับเครื่องเล่นอย่างสนุกสนาน เธอมองตามและอมยิ้ม

“น่ารักดีนะคะ”
“กับเต้ เป็นอย่างไรบ้าง” นี่ผมจะถามเธอเรื่องนี้ทำไมกัน

“ก็ดี เขาเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ” เธอตอบโดยไม่สบตาผม รู้สึกจี๊ดขึ้นมาเหมือนตอนที่เห็นสองคนนั้นจุมพิตกัน ทว่าปากเจ้ากรรม คงเป็นเพราะผมมีเมียปากเสียกระมังเลยเริ่มติดนิสัยนี้ตามไปด้วย ถามไปทำไมละเนี่ย
“น้ำไม่คิดอยากจะจริงจังกับเขาบ้างเหรอ”

“น้ำ ยุ่งๆเรื่องงานนะช่วงนี้ ไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้หรอกนะ ตายจริง น้ำมีธุระต้องรีบไปด้วย ไปก่อนนะ บายนะเด็กๆ”


แม้จะโล่งอกกับคำตอบที่ได้รับ เราไม่ทันได้ล่ำลาอะไร ใจหนึ่งก็อยากให้อยู่คุยด้วยนานๆ แต่เธอก็กระวีกระวาดหอบข้าวของออกไปอย่างลนลาน ไม่หันมาเหลียวมองกระทั่งเดินลับตาไปแล้ว

ผมอดอมยิ้มกับกิริยาของเธอแบบนี้ทุกครั้งไม่ได้เอาเสียเลย


เธอยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นอดีตที่ผมอยากย้อนกลับไปแก้ไข

คงทำได้แค่สัมผัสกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ยังคงกรุ่นอยู่จางๆตรงที่ที่เธอนั่งอยู่ครู่นี้


อ้าว เวรแล้ว ลืมขอเบอร์โทรศัพท์
*****








ปล.เอามาลงเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ เพราะจะต้องเดินทางไปต่างประเทศ วันจันทร์ที่จะถึงนี้แล้ว

กลับมาเดือนหน้าจะมาต่อส่วนที่เหลือนะครับ รับรอง เข้มข้น...
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 11-07-2008 19:44:43
ซ้ำใจ ซิกๆ จะไปต่างประเทศอีกแล้ว

เดินทางบ่อยจังเลย หากมีโอกาสเล่นเนท

ยังไงก็แวะมาทักทายกันนะ จุ้บๆ
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 11-07-2008 20:00:58
โหตั้งเดือนนึงเลยหรอครับ


นานจังเลยอ่า


รีบ ๆ มาอัพอีกนะครับ
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 26-07-2008 20:40:31
พลั้งมือตบหน้าไปเต้อย่างนั้นทำไม รื้นน้ำตาเริ่มเอ่อท้นออกมา ฉันกำมือข้างที่ตบเขาไว้แน่น พูดอะไรไม่ออก ตอนนี้รู้ตื้อไปหมด บริกรสองคนเดินมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทั้งฉันและเต้ต่างก็ไม่ตอบอะไร นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น…
















บทที่สิบสอง


“ทำอะไรอยู่น่ะน้ำ” เต้เรียกฉันสามพัก สี่พัก นี่ฉันยืนทื่ออยู่ตรงมุมทางเข้าห้องน้ำนานเท่าไรแล้วนะ เหลียวไปดูในร้านอาหารที่ฉันเข้าไปคุยกับนนท์มาเมื่อครู่ ท่าทางเขากับลูกๆคงจะออกไปแล้ว เฮ้อ... รู้สึกใจหายอย่างไรไม่รู้ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะมาเจอกัน นานเหลือเกิน ทั้งๆที่มีเรื่องมากมายอยากจะคุยกับนนท์แท้ๆ อยู่ต่อหน้าก็กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมาเสียดื้อๆ แย่จริงๆเลย ไม่น่าเชื่อเลยว่าลูกๆของเขาจะโตเร็วขนาดนี้ น่ารักน่าหยิกดี ทว่า... นนท์ดูไม่มีความสุขเลย เขาเก็บอะไรไว้ในใจอันแสนหนักหนานั่น น้ำเองทำอะไรไม่ได้มากเหมือนแต่ก่อนหรอกนะ ได้เพียงดูอยู่ห่างๆแบบนี้ จะดีกว่า

“ซื้อของซะเยอะแยะเชียว เอามานี่ เดี๋ยวถือให้เองนะ น้ำ... เป็นอะไรน่ะดูตาลอยชอบกล” เต้ รับของไปทั้งหมด แล้วเดินนำไป ฉันเดินตามไปโดยไม่แย้งอะไร
“เออะ เอ่อ... คงเพราะเดิน ยืนนานไปมั้ง เลยรู้สึกเวียนหัวไงไม่รู้”
“มีอาการอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า มานี่ดีกว่า ร้านอยู่ตรงนั้นเอง เข้าไปนั่งพักดีกว่านะ” เต้เขม่นใส่ฉัน พลางรีบประคองตัวฉันเข้าไปในร้านอาหารเกาหลีข้างๆกันนั้นทันที

“ด... เดี๋ยวก่อนสิ” แม้จะพูดแย้ง ฉันกลับโอนอ่อนเลยตามเลยเขาไป อดคิดไม่ได้ว่าบางที ฉันคงหนีไม่พ้นเพื่อนสมัย ม ปลายคนนี้แล้วกระมัง ทีดีกับฉันเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยทำให้ฉันต้องเสียความรู้สึกสักครั้ง

“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ขอบใจนะ ที่เป็นห่วงน้ำ” พอได้นั่งพักและดื่มชาอุ่นๆ ก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว ฉันหันไปยิ้มให้เต้ ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆกันนั้น
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรใหญ่โตนักหรอก ถ้าทำเพื่อน้ำได้มากกว่านี้ เต้ก็ยินดีจะทำให้” จู่ๆก็ทำหน้าขึงขังขึ้นมาเสียอย่างนั้น ปัดไรผมออกจากหน้าฉันด้วย นี่อย่ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ซิ เอ่อ....

บริกรหญิงใส่ชุดฮันบก ยกอาหารเข้ามาเสิรฟ พลางหัวเราะคิกคักแล้วเดินออกไปกัน ฉันเบียดตัวเต้ออกไป แนะยังจะมาทำหน้าบูดใส่อีก ไม่รู้จักอายคนบ้างเลยหรือไง
“อาหารมาแล้ว หน้าตาน่าทานดีจัง นี่จะไปไหนน่ะ” เต้ผุดลุกขึ้น อ้าวงอนอะไรฉันหรือเปล่าเนี่ย
“แปปนึงนะ เดี๋ยวขอตัวไปห้องน้ำ เดี่ยวมานะ”

“อื้อ... มาเร็วๆละกันนะ” ฉันกำชับ เต้เดินออกไปไม่ได้สนใจฟังฉันเท่าไร

ฉันมองไปนอกหน้าต่างร้าน ดูคนเดินผ่านไปมา

พลันจู่ๆก็เห็นฝ้ายเดินผ่านไป เลยโทรชวนมาทานด้วยกันอีกคนดีกว่า เธอรับโทรศัพท์ พลันรีหันซ้ายขวาก่อนที่จะมองตรงมายังร้าน ฉันโบกไม้โบกมือชวนเข้ามาในร้าน
“มาแล้ว” หวาย... มาตั้งแต่เมื่อไรน่ะ ฉันเลยบ่นซะ
“นานชะมัดเลย อาหารเย็นหมดน่ะสิ”

“ขอโทษทีนะ... ทานกันเลยละกัน” เต้ยิ้มแห้งๆ คว้าตะเกียบจะลงมือทานทันที แต่ฉันขวางเอาไว้ก่อน เต้ทำหน้างงๆ
“เต้ น้ำชวนเพื่อนมาด้วยนะ จะว่าอะไรไหม”
“เอาสิ คนเยอะๆก็ดีเหมือนกัน ว่าแต่เพื่อนผู้หญิง หรือเพื่อนผู้ชายล่ะ” แนะยังจะมาทำหวงก้างอีก ขอทุบซะทีเถอะ

“อย่าทำเสียงดุซิ เป็นผู้ปกครองน้ำรึไง คอยคุมความประพฤติน้ำอยู่นั่น ไว้เขามาก็รู้เองแหละ นั่นไงพอดีเลย ฝ้าย... ทางนี้ๆ” ฉันเรียกฝ้าย ที่ยืนเก้ๆกังๆ สอดส่ายสายตามองหาว่าเรานั่งอยู่ตรงไหน เธอยิ้มให้แต่ก็เจื่อนไปทันที แล้วดุ่มตรงมาที่โต๊ะ
“สวัสดีจ๊ะ มาขัดจังหวะ หรือรบกวนเวลาส่วนตัวของใครบางคนเปล่าเนี่ย” เธอพูดนิ่มๆ เหมือนพยามยามเสียดสีใครบ้างคนในน้ำเสียง
“ไม่หรอกน่า นั่งก่อนสิ” ฉันเชิญให้เธอนั่งที่ตรงข้ามกันกับฉัน

“อ้าวนายนั่นเอง มาด้วยกันอีก งั้นแสดงว่า... น้ำเธอคบกะอีตาปากเสียคนนี้ได้ไงเนี่ย” ฝ้ายมองเต้ตาขวาง เต้ก็ดูเหมือนจะฟึดฟัดไม่ค่อยพอใจเท่าไร อ้าวเป็นไรกันละเนี่ย
“พูดให้มันดีหน่อยสิคุณ มาเป็นกอขอคอคนอื่นแล้วยังจะมาพูดแบบนี้อีกนะ” เอ่อ... จะเอามือมาโอบฉันไว้ทำไมละคะ ว่าแต่ว่าทำไมสองคนนี้เจอกันทีไรเป็นต้องได้กัดกันทุกที

“เอาน่าๆ เจอกันทีไรทะเลาะกันทุกทีเลย” พอทีเถอะ ยังจะจ้องกันอีกแนะ นี่ฉันทำผิดใช่ไหมที่ให้สองคนนี้มาทานอาหารด้วยกันเนี่ย
“ทานอะไรมายัง ทานด้วยกันละกันนะ นี่น้องจ๊ะขอจานเพิ่มด้วย” ฉันทำเป็นเฉไฉไปเรื่องอื่นไป ตลอดเวลาที่ทานอาหารกันนั้น ต่างคนก็ต่างทาน เล็ดลอดออกมาคุยกันนิดหน่อยสองสามคำเท่านั้น ฉันพยายามชวนคุยเรื่องนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย พอลดความตึงเครียดระหว่างสองคนลงได้บ้าง เต้สั่งขนมเพิ่มอีกที่หนึ่งให้ฝ้าย ฉันแอบเห็นฝ้ายยิ้มนิดๆ ยัยนี่เป็นอะไรของเค้ากันนะ เดี๋ยวก็หงุดหงิด นี่ยังจะมาอารมณ์ดีเสียอีก

“อ๊ะ... อะไรเนี่ย” ฝ้ายอุทานขึ้นมา พลางคุ้ยขนมให้แยกออก ฉันมองไปที่จานขนมของเธอด้วยความสงสัย มีอะไรอย่างนั้นเหรอ หวาย ทำฉันไม่กล้ากินขนมนั่นในจานของตัวเองเสียแล้ว

“ฝ้าย... เป็นอะไรไป เอ๋...”

“แหวน มีแหวนในขนมนี่ได้ไงน่ะ” เธอหยิบแหวนสีเงินวงเล็ก ประดับเพชรน้ำงาม ที่ฉันคะเนน่าจะประมาณกระรัตหนึ่งได้ อะไรกันเนี่ย ท่าทางยัยเจ้าของร้านคงจะซุ่มซ่ามขนาดที่เผลอเรอทำแหวนตกไว้ในขนมเนี่ย

“โธ่เอ๊ย...” เต้หน้าเสีย พลางตบหน้าผากตัวเอง ฉันหันไปมอง นายคนนี้ หรือว่า... แหมๆ ปากก็บอกว่าไม่ชอบ ไม่ชอบ ที่แท้ก็ ฉันหันไปยิ้มกรุ้มกริ่มให้เพื่อนผู้โชคดีคนนั้น เธอเอียงอาย ทำอะไรไม่ถูก หวาย...งั้นฉันก็เดาถูกมาตลอดเลยน่ะสิที่ฝ้ายชอบเต้

 “เข้าใจเล่นนะ นายบ็อง ไม่น่าเชื่อว่านายจะ... ขอฉันแต่งงานด้วยวิธีนี้” ฝ้ายหลุดปากพูดออกมาก่อนฉันเสียอีก
“จริงเหรอ ยินดีด้วยนะเต้ ไม่ยักรู้เลยแฮะ น้ำงงนะเนี่ย” ฉันปรบมือแสดงความยินดีให้ทั้งคู่ พร้องกระทุ้งว่าที่เจ้าบ่าวที่นั่งข้างๆเบาๆ แหม... ไม่เห็นยักกะเตี๊ยมกันก่อนเลยนะ แต่ไม่ทันไร เต้ก็ทำให้เราทั้งคู่อึ้งอีกครั้ง

“เธอ... ยัยตัวแสบ เอามานี่” จู่ๆ เต้ก็พรวดพราดดึงแหวนกลับคืนมาจากมือของฝ้าย ฝ่ายผู้ที่ลิงโลด หลงดีใจว่าตนเองคือผู้โชคดี หน้าเจื่อนไปทันที
“หะ... วะ... ว่าอะไรนะ...” ฝ้ายพูดตะกุกตะกัก ด้วยความเสียหน้า ฉันพอจะเดาออกแล้วว่าทำไมเต้ถึงทำแบบนั้น จริงๆแล้ว หรือว่า...
“น้ำ... ผมตั้งใจให้คุณ” เต้หันมาทางฉันพร้อมกับแหวนวงนั้น ฉันมองตาเป็นนัย สื่อให้เขาว่า แน่ใจแล้วเหรอที่ทำแบบนี้

“แต่งงานกับผมนะ”

“...” ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา ฉันก้มหน้า กุมมือของตัวเองไว้พักหนึ่ง ก่อนเงยหน้ามองเพื่อนผู้น่าสงสารที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ที่พยายามฝืนยิ้มให้ ก่อนที่จะคว้ากระเป๋าแล้วดีดตัวลุก เดินออกไป ก่อนจะหยุดนิ่งพักหนึ่ง และหันหน้ากลับมาด้วยใบหน้าที่ดูอย่างไรก็รู้ว่าเสแสร้งเต็มที
“เอ่อ...พอดีนึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระ ยินดีกับทั้งคู่ด้วยนะ ฟังไว้เลยนะนาย ขอบใจที่เลี้ยงข้าวมื้อนี้หล่ะกัน” ฉันแอบเห็นรื้นน้ำตาเธอครู่หนึ่ง ฝ้ายเดินออกไปจากร้านแล้ว เต้ถอนหายใจอย่างสำนึกผิด ก่อนที่จะรุกเร้าฉันอีกครั้ง

“น้ำ...” ฉันยื่นมือออกไป ขณะที่เขาค่อยๆยื่นแหวนมาสวมให้ ฉันก็กุมมือของเขาไว้ เต้มองหน้าโดยที่ไม่คาดว่าฉันจะทำแบบนี้กับเขาได้ ใช่... ฉันรู้ตัวเองดีว่าควรทำอย่างไร
“น้ำคงรับไว้ไม่ได้หรอกนะ” ฉันดันมือนั้นกลับคืน แม้ว่าเขาจะแข็งขืนแต่ก็ยอมด้วยความอ่อนแรงและท้อใจ ยังสู้อุตส่าห์ถามด้วยน้ำเสียงเบาและสั่นเครือกับฉันอีก

“ทำไมล่ะ”
“สำหรับเต้แล้ว เต้เป็นเพื่อนที่ดีและอยู่เคียงน้ำเสมอ น้ำใจและมิตรภาพที่มีให้ น้ำรู้ดีว่าเต้รู้สึกกับน้ำมากเกินกว่านั้น ขอบคุณในความรู้สึกดีๆที่มีให้น้ำเสมอ คนดีๆอย่างเต้ยังมีอนาคตและการงานที่ไปต่อได้อีกไกล ยังมีโอกาสได้เจอกับคนดีๆและเพรียบพร้อมกว่าน้ำนี่อีกเยอะ”
“โกหก...” เต้สะบัดมือฉันออก และขยับตัวถอยออกไป

“เต้ไม่ได้หวังว่าน้ำจะมาเป็นแม่ของลูก ที่ผ่านมา ผมรู้สึกดี มีความสุขที่อยู่ได้ใกล้ชิดกับน้ำ ผมแค่อยากให้น้ำลืมเรื่องราวแย่ๆของคนๆนั้นออกไปให้หมด กี่ปีที่ผมโง่ รอ อดทนรอมา ไม่ได้รังเกียจว่าน้ำจะเป็นใครหรืออะไรมาก่อน เพื่อที่จะมาฟังคำตอบแค่ ผมเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเท่านั้นน่ะเหรอ ถ้าอย่างนั้นจะมาให้ความหวังกับผมทำไม น้ำไม่เคยลืมเขา ไม่เคยลืมคนที่ฆ่าน้ำทั้งเป็นอย่างไอ้หมอนั่น ทำไมผมจะไม่รู้ ที่น้ำพูดแบบนี้ออกมาเพราะวันนี้น้ำเจอกับมันมาใช่ไหม น้ำยังจะหวังอะไรกับมันอีก ทำไมน้ำจะต้องพาตัวเองจมกับอดีต อยู่กับปัญหาที่ไม่มีทางออกแบบนี้ด้วย จะหลอกตัวเองไปถึงไหนกัน จะโกหกตัวเองไปถึงไหน...”



เพี๊ยะ...


ฉันพลั้งมือตบหน้าไปเต้อย่างนั้นทำไม รื้นน้ำตาเริ่มเอ่อท้นออกมา ฉันกำมือข้างที่ตบเขาไว้แน่น พูดอะไรไม่ออก ตอนนี้รู้ตื้อไปหมด บริกรสองคนเดินมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทั้งฉันและเต้ต่างก็ไม่ตอบอะไร นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น...
ราวกับเวลาหมุนผ่านไปช้าๆ แม้จะออกมาจากร้านแล้ว เราแทบไม่ได้พูดอะไรกันอีก
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 26-07-2008 20:45:22
“จำไว้นะ กะเทยอย่างเธอก็แค่เครื่องบำบัดความใคร่เท่านั้นแหละ พอเขาต้องการก็ไปหาเธอ ชั่วครั้งชั่วคราว อย่าฝันลมๆแล้งไปหน่อยเลย ฉันมีลูกให้เขาได้แต่เธอทำไม่ได้ สำเหนียกตัวเองไว้ซะบ้าง”
















บทที่สิบสาม




ผมมีความสุขมากที่ได้พบเธออีกครั้ง ทั้งๆที่ผมเคยคิดว่าชาตินี้ผมคงไม่มีโอกาสได้เจอและพูดคุยกับเธออีก ผมรู้ดีว่าไม่ควรทำกิริยาแบบนั้นกับเธออีกเพราะผมมีครอบครัวแล้ว แต่ผมไม่อาจหักห้ามอานุภาพของความคิดถึงที่มีต่อเธอได้เลย ผมลืมไปเลย ลืมที่จะขอโทษเธอ ตั้งแต่วันนั้น ผมไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมา มันยังติดค้างอยู่ในอณูความรู้สึกของผมเสมอ

อีกอย่างเรื่องของน้ำกับไอ้หมอหน้าจืดนั่น ยังติดใจอยู่จริงๆ ตกลงว่าน้ำคบกับมันจริงๆหรือหมายความตามที่น้ำพูด ผมคงอกแตกตาย กลัวว่าตัวเองจะหลุดทำอะไรห่ามๆ บ้าๆออกไปแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด

ผมเปิดก็อก วักน้ำล้างหน้า ให้อารมณ์ตัวเย็นลงและดูตัวเองในกระจก บ้านของผมเองแท้ๆ กลับรู้สึกแปลกที่แปลกทางไปทุกวันทุกวัน ผมผละออกจากหน้าอ่างล้างหน้า ไปชำระล้างร่างกายทำใจให้สบายซักพักดีกว่า

ขณะที่ผมกำลังเช็ดเม็ดน้ำที่ติดตามตัวออก เสียงรองเท้าลากแตะ แตะ เข้ามาภายในห้อง ผมรีบพันผ้าเช็ดตัว ผลุนผันออกไป ด้วยความลืมตัว จึงเผลอเรียกชื่อคนคนนึงออกไป

“น้า...” ผมรีบหุบปากเมื่อพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนคนนั้น และที่นี่ก็ห้องผมเองนี่นา หวานมองตาขวาง ผมจำต้องแก้ตัวข้างๆคูๆไป
“น้ำมันไหลติดๆขัดๆแฮะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าเนี่ย อ้าว หวาน เด็กๆนอนกันหมดแล้วใช่ไหม”

“คุณ ชั้นมีอะไรอยากจะถามหน่อย” ดันไม่หลงกลซะงั้น เธอทิ้งตัวนั่งกอดอกอยู่ตรงเตียง จะสอบสวนอะไรผมอีก คนกลับมาเหนื่อยๆแทนที่จะสบายอกสบายใจขึ้นมาหน่อย ผมตึงขึ้นมาทันที ไม่สนใจเธอ เดินไปสวมชุดนอน เพราะรู้ดีว่าเธอก้ยังคงนั่งปั้นหน้ายักษ์อยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

“อะไรล่ะ” ผมสวมชุดนอนเรียบร้อยแล้ว เดินมานั่งที่เก้าอี้ตรงกันข้ามกับเธอ จะให้ผมทำเป็นง้อหรือโอ๋เธอเหรอ ไม่มีทาง ผมเคยลองแล้ว ไม่ได้ผลสำหรับคนอย่างเธอ ผมบอกตรงๆว่าไม่ค่อยชอบนิสัยเธอเท่าไร โกรธง่าย ขี้ระแวง และเจ้ากี้เจ้าการคนอื่น
“คุณเจอกับน้ำมาใช่ไหม” ผมสะอึกเลย กลืนน้ำลายอีกนึง รู้ได้ไงวะเนี่ย

“ว่ายังไงล่ะ ลูกบอกกับชั้นอย่างนั้น จริงใช่ไหม” หวานคาดคั้นผมอีก รู้แล้ว ลูกๆตัวดีนี่เอง เอาเถอะความจริงก็คือ ความจริง ผมกับน้ำไม่ได้ไปทำอะไรเสียหายซะหน่อย เรื่องอะไรที่ผมจะต้องกลัวด้วยล่ะ
“ใช่” สั้นๆ แค่นั้น หวานลุกจากเตียง ขึ้นเสียงทันที

“นนท์ เรามีครอบครัวกันแล้ว คุณจะไปอาลัยอาวรณ์กับนังนั่นทำไม”

“หยุดพูดนะ หวาน อย่าใช้คำว่า “นังนั่น” กับน้ำเด็ดขาด” ผมเองก็โกรธเป็นเหมือนกัน เขาคิดว่าผมเป็นเบี้ยเขารึไง ที่แต่งงานกันได้เพราะเธอเข้าทางแม่ผม สาดเสียเทเสียน้ำ และยังจะให้รวบรัดให้แม่ของผมจัดการให้เธอได้แต่งงานกับผม ใช่ผมเป็นไอ้โง่ตกหลุมพลางง่ายๆ ที่เข้าใจผิด และทำประชดน้ำเสียนาน ก็แผนการณ์ของเธอทั้งหมด ผมเพิ่งจะรู้มาเมื่อไม่นานมานี้หวานกล้าหักดิบเพื่อนสนิทของเธออย่างเลือดเย็น ที่ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะลูกๆทั้งสองคน พลัม แพร

“ปกป้องมันเข้าไป ผ่านมา5ปีแล้ว คุณยังไม่ลืมมันอีก มันมีดีอะไรนักหนา หวานรักคุณนะ คุณยังจะทำกับหวานแบบนี้อีก” เธอทั้งผลักทั้งทุบตัวผม ผมเหลืออดแล้วจริงๆ คว้ามือทั้งสองของเธอไว้ หวานพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของผมนี้เต็มแรง

“ยังจะเอาอะไร จะขู่อะไรผมอีก ผมให้คุณบงการชีวิตมามากพอแล้ว ทั้งแม่ทั้งคุณไม่ได้ต่างอะไรกันเลย” ผมตวาดใส่หน้าเธอ
“หวานรู้ดีว่านนท์ ไม่ได้รักหวานเลย ที่หวานมีก็มีแค่ตัวนนท์ ใจนนท์อยู่กับนังนั่นคนเดียว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ พร้อมกับสั่นเทาด้วยความโกรธในใจที่เก็บสุมไว้เป็นเวลานาน ก่อนสบัดมือทั้งสองออก แล้ว...

ผั่วะ...
หน้าผมนี่หันเลย เอาสิ อยากจะทำอะไรก็เชิญ
“รู้ก็ดีแล้ว ผมเองเบื่อและทนกับความเจ้ากี้เจ้าการเต็มทน” ผมผลักเธอลงไปกองกับพื้น และคว้ากระเป๋าเดินทาง โกยเสื้อผ้าของตัวเองในตู้ จับยัดๆลงไปเท่าที่จะมากได้

“นนท์จะไปไหนน่ะ กลับมาคุยให้รู้เรื่องก่อนนะ” เธอคว้าต้นแขนผมแต่ผมสลัดออก

“ผมจะไปนอนที่อื่น ไม่ใช่เรื่องของคุณ” ตอนนี้ในสมองผม มีเพียงอย่างเดียวคือรีบๆออกไปจากบ้านนี้เร็วๆดีกว่า ความอดทนของผมถึงขีดสุดแล้วจริงๆ เธอวิ่งตามผมออกมาที่โรงรถ พยายามยื้อแย่งกุญแจรถจากผม มีรึที่ผมจะยอม ตอนนี้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว ทั้งพ่อ แม่ และฝ้ายก็ออกมาดูด้วย ผมไหว้ท่านทั้งสองก่อนล็อครถ ของทั้งหมดอยู่ในเบาะหลัง สตาร์ทเครื่อง เกือบลืมเลย... ผมเลื่อนกระจกลง ต้องสั่งเสียภรรยาสุดที่รักเป็นครั้งสุดท้าย

“อ้อ... เกือบลืม เกมส์ที่คุณเล่น คุณชนะ คุณได้ตัวผม แต่คุณไม่มีวันจะได้ใจผมไปหรอก แล้วบ้านนี่ ห้องนี้ก็ของคุณอยากจะอะไรก็เชิญ ลาก่อน”
“นี่ นนท์... คุณ...” ผมได้ยินเสียงเธอตะโกน และเห็นเธอล้มทั้งยืน บ้านของผมค่อยๆลับตาหายไป เป้นภาพเบื้องหลังที่ผมไม่อยากจะจดจำเอาไว้เลยจริงๆ


***

บ่ายสามกว่าแล้ว ใกล้จะได้เวลาเลิกงานในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าแล้ว วันนี้ก็แทบไม่ได้ลุกไปไหนเลย คลุกอยู่แต่กับกองเอกสารที่ลูกน้องทำไว้เรียบร้อยแล้ว ต้องตรวจทานเช็คความเรียบร้อยเสียก่อนส่งไปยังหัวหน้าของฉันอีกทอด วันนี้มันเป็นอะไรนักหนานะ หนักตาขวากระตุกตลอดเลย รบกวนการทำงานจริงๆ แถมได้ยินเสียงจิ้งจกทักอีก ห้องนี้มีตัวพรรค์นี้ด้วยเหรอ น่าขยะแขยงที่สุด พาลไม่กล้าออกไปไหนนอกเหนือจากห้องน้ำ ถามใครในห้องก็ไม่มีใครบอกว่าได้ยิน ท่าทางจะโหมงานจนหูแว่วไปแล้วกระมัง

สักพัก ฉันได้รับโทรศัพท์จากประชาสัมพันธ์ว่ามีคนมาขอพบ ใครกันนะ
ที่ด้านหน้าประชาสัมพันธ์ มีผู้หญิงคนนึงนั่งเปิดหนังสือเล่น พลิกไปพลิกมา แต่งชุดทำงานสวยเอาการ แต่คุ้นๆหน้าอย่างไรไม่รู้ ทันทีที่ประชาสัมพันธ์เห็นฉันก็เรียกเธอคนนั้นทันที เธอวางหนังสือลงและเงยหน้า ฉันตะลึงไปทันที ไม่คิดว่าเพื่อนเก่าของฉันจะตามฉันมาจนถึงที่นี่ได้ ฉันรู้ดีว่าคงไม่ใช่เรื่องดีๆแน่

“อ้าว ทำงานที่นี่เองเหรอ หายากจริง แต่ก็ดี ฉันมีเรี่องอยากจะคุยกับเธอพอดี” เจ้าของเสียงฝืนพูดด้วยน้ำเสียง ที่ขัดแย้งกับใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มและเป็นมิตร ลุกขึ้นยืน มองฉันด้วยหางตา ก่อนจะเดินลิ่วๆนำหน้าไปไม่ปล่อยโอกาสให้คนที่เธอนัดด้วยถามไถ่อะไร จนถึงที่จอดรถของบริษัท ค่อนข้างลับตาคนพอสมควร ฉันยืนเว้นระยะห่างกับเธอไว้ และเป็นฝ่ายเอ่ยถามเธอก่อน
“มีอะไรเหรอ หวาน”

“หน้าด้าน” คำตอบสั้นๆ ห้วนๆ ที่ทำเอาฉันอึ้งกิมกี่ไปทันที
“หา...” ฉันอุทานออกมาเบาๆ ตอนนี้ก็พอจะรู้แล้วว่าเธอคงไม่ได้มาดีแน่ๆ

“หน้าด้าน ฉันเรียกเธอว่านังหน้าด้านไงล่ะ” หวานย้ำ นี่จะมาหาเรื่องอะไรกันอีก ชักเดือดขึ้นมาแล้ว ห้าปีก่อนก็ตบฉันไปแล้ว คราวนี้จะมาไม้ไหนอีก
“ใครกันแน่ที่หน้าด้าน ฉันไปทำอะไรให้เธอไม่ทราบ เธอแย่งของที่ฉันรักไปแล้ว ยังอยากได้อะไรจากฉันอีก” ฉันสวนทันควัน

“เธอแอบไปพบกับ นนท์มาใช่ไหม” หา... แล้วไง เจอกัน แล้วยังไง ก็แค่เรื่องบังเอิญที่เจอ
“ใช่” ที่จริงฉันไม่ควรจะตอบแบบนั้น มันเท่ากับว่ายอมรับว่าแอบนะสิ ช่างมันเถอะ
“นี่เธอจะรังควาญชีวิตฉันอะไรนักหนา เธอนี่เป็นมารความสุขฉันจริงๆ เอานนท์ไปกกกอดที่ไหน บอกมาเดี๋ยวนี้นะ” หวานบีบไหล่ฉันแน่นทีเดียว เรื่องอะไรที่ฉันจะยอมล่ะ

“ฉันควรจะเป็นฝ่ายพูดคำว่า เธอเป็นมารความสุขของฉันมากกว่านะ จะบอกให้เอาบุญ ไม่มีอะไรอย่างที่เธอคิด” พอที ต่อปากต่อคำไปก็เท่านั้น ไร้สาระที่สุด จะให้ฉันต้องลดตัวมามีเรื่องกับผู้หญิงไร้มารยาท ไม่ยอมลดราวาศอกใครง่ายๆแบบนี้ เพราะเรื่องของผู้ชายคนเดียว ไม่มีทางเสียหรอก ตัดบทเดินหนีออกมาดื้อๆดีกว่า

“ตอแหล หน้าตาย” น่าน... ยังจะต่อความยาวสาวความยืดอีก ฉันคุมอารมณ์ของตนเองและหันไปพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“ฉันเกลียดนิสัยดื้อด้านของเธอเต็มทน ไปห้ามคนของเธอนู่น ถ้าเขารักเธอจริงเขาก็อยู่กะเธอสิ”

 “น้ำ เธอเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ” หวานยิ้มเยาะ เยื้องย่างเข้ามาหา นี่ฉันควรจะถือว่าเป้นคำชมดีไหมนะ
“แน่นอน ฉันก็ต้องปรับตัวไม่เชื่อคนง่ายอีก แค่มีเพื่อนเลวๆ คนเดียวก็ทำฉันซึ้งมากพอทีเดียว” ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ ท่องไว้ ต้องกลับไปเคลียร์งานต่ออีก นังหวานนี่อยากจะบ้าอะไรก็เชิญบ้าซะให้พอตรงนี้เถอะไป๊

“หมดธุระแล้วขอตัวก่อนนะคะ ดิฉันต้องกลับไปทำงานต่อ”
“จำไว้นะ กระเทยอย่างเธอก็แค่เครื่องบำบัดความใคร่เท่านั้นแหละ พอเขาต้องการก็ไปหาเธอ ชั่วครั้งชั่วคราว อย่าฝันลมๆแล้งไปหน่อยเลย ฉันมีลูกให้เขาได้แต่เธอทำไม่ได้ สำเหนียกตัวเองไว้ซะบ้าง” ฉันไม่สนแล้วว่าหวานหลุดคำพูดอันแสนต่ำช้าและหยามหน้าแบบนั้นออกมาได้อย่างไร ความอดทนที่มีอยู่อย่างจำกัด พลันขาดสะบั้นลงทันที ฉันทิ้งผมเธอและผลักเธอไปกระแทกกับรถทันที

“ถ้าเธอไม่เห็นว่าฉันเป็นเพื่อน ฉันก็จะไม่เห็นเธอเป็นเพื่อนด้วยเหมือนกัน”
“หนอย... คิดว่าเก่งอยู่คนเดียวรึไง” หวานเองก็ฮึดขึ้นมา ทิ้งผมและผลักฉันลงไปที่พื้นและขึ้นค่อมเตรียมจะตบ

“นี่... หยุด...” เต้วิ่งมาจากไหนไม่รู้ จับหวานแยกออกจากฉัน ฉันเองก็พยายามผลักเธอออกไปให้พ้นๆ หวานวิ่งกลับมา จิกหัวฉันอีกแล้ว แมร่งไม่ไหวแล้วนะ โรงพักก็โรงพักเถอะ ขอสักทีเถอะ (รู้ไหมตอนที่ฉันคิดอย่างนี้แล้วทำอย่างไร ถอดรองเท้าส้นสูงออกมา เงื้อจะตบแล้ว)

“บอกให้หยุดไงล่ะ...” เต้ตะคอกใส่ทั้งฉันและนังคู่อรินั่น หวานยอมปล่อยมือ ถอยห่างออกไป เต้หน้ามุ่ยมองฉันไม่สบอารมณ์เท่าไร ฉันหายใจหอบอ่อนๆ มองไปที่พื้นและพยายามลูบผมที่ดูยุ่งๆให้ดูเป็นปกติ

“เป็นไรมากหรือเปล่า มันเรื่องอะไรกัน ทำไมต้องรุนแรงกันขนาดนี้ด้วย” เต้พขึ้นเสียงกับฉันก่อนหันไปต่อว่าอีฝ่ายที่ยิ้มกัดฟัน ยืนปาดเหงื่อของตัวออก และฉะตอบโต้มา
 “คุณเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วย ”

“ผมเป็นแฟนเธอ บอกมาสิว่ามันเรื่องอะไร” ฉันตาโตมองเขา นี่บอกไปแบบนั้นได้ไง


 “นี่เหรอเหยื่อรายใหม่ของเธอ หน้าตาใช้ได้นี่นา” หวานสาดสายตามาอย่างเสียดสีที่ฉัน ก่อนจะเพ่งพินิจอยู่ครู่หนึ่ง ก็ระลึกได้ว่าคนที่มาห้ามศึกครั้งนี้คือใคร
“อ้อ... จำได้แล้ว คุณหมอที่โรงพยาบาลนั่นน่ะเอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะคุณหมอคะ อีกะเทยนี่คงจะทำให้คุณไปสวรรค์ได้ถึงพริกถึงขิง คุณถึงได้หลงหัวปักหัวปำอย่างนี้” พูดแบบนี้ ฉันก็เลือดขึ้นหน้าเลยน่ะสิ

“นี่มันจะมากไปแล้วนะ หวาน” ฉันเดินรุกไล่ หมายจะลงมือให้หายแค้น เต้ดันมากันเอาไว้เสียอีก เจ็บใจจริง

“ดูแลนังนี่ให้ดีล่ะ อย่าให้มันมาวุ่นวายกับผัวชาวบ้านอีก เรื่องไม่จบแค่นี้แน่” หวานยั่วอีก ฉันเองก็เหลืออดแล้ว ปล่อยนะเต้ น้ำขอสักทีเถอะ ปล่อยนะ

“ไป๊...” เต้ตวาดไล่แต่หวานไม่ฟัง นายนี่เลยไปคว้าเอาสายยางจากไหนไม่รู้มาฉีดน้ำไล่ สะใจจริงๆ นังนั่นเลยเอาแต่กรี๊ดๆๆๆ ถอยกรูออกไปโดยดี ก่อนไปยังจะมายืนชี้หน้าถลึงตาใส่อีกแน่ะ คิดว่าสวยนักเรอะไง

“จำไว้ใส่กะลาหัวเธอด้วย ถ้าเธอไม่เลิกยุ่งกับนนท์อีกละก็ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนเธอนะ”
“ไป๊...” เต้ฉีดน้ำใส่เธอซะกระเจิงเลย หวานคงแค้นน่าดู





หวานเองก็ไปแล้ว เหลือเพียงเราสองคน ได้แต่มองตากันปริบๆเป็นช่วงๆ เขาเองก็ไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรหลังจากที่เดินไปปิดน้ำ และพาฉันมาที่รถของเขา ฉันเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรหลังจากเกิดเรื่องเมื่อครั้งนั้น
 “ไปพบกับเขาอีกทำไม ไม่เข็ดเลยเหรอ” เต้เปิดประเด็นก่อน ฉันเองก็พยักหน้าตอบ ความหมายของเต้ คือ นนท์ ไม่ผิดแน่ แต่การเจอกันครั้งนั้น มันเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่าที่ฉันตั้งใจเจอเขาจริงๆ

“นี่ใช่ไหม เพราะมันใช่ไหมน้ำถึงยื้อเวลาไปเรื่อยๆไม่ยอมรับหมั้นจากผม” เขาถอนหายใจยาว ฉันรู้สึกผิดกับเขามาก ทำไมคนที่ฉันทุ่มให้หมดทั้งความรู้สึกถึงไม่ใช่คนคนนี้ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันฉันรักเขาหรือเปล่า ไม่ ฉันไม่อยากทำร้ายเขา และความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขา เป็นได้เพียงเพื่อน เพื่อนที่เข้าใจกันและกันเท่านั้น

“เต้...” เขานอนพาดไปกับพวงมาลัยรถครู่หนึ่ง ก่อนดีดตัวมาขยี้หัวฉันเล่น อารมณ์ขึ้นลงจังนะ งงนะเนี่ย
“เยินซะขนาดนี้ กลับเลยดีไหม นี่ก็ใกล้จะเลิกงานแล้วด้วย เด๋วเต้เข้าไปเอากระเป๋าให้นะ” ฉันพยักหน้าตอบ สภาพรุ่งริ่งขนาดนี้ขืนเข้าไปคงต้องเป็นขี้ปากชาวบ้านแน่ๆ ขณะที่เต้จะเปิดประตูออกไปเอากระเป๋าของฉันให้ที่บริษัท ท่าทางอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วสินะ ขอแหย่หน่อยเถอะ
“ว่าแต่ เต้นี่ก็แสบไม่ใช่เล่นเลยน่ะ อึ้งไปเลยตอนที่เต้ทำแบบนั้น”

“ก็หมาบ้ามันกลัวน้ำนี่นา ว่าแต่เราเถอะไม่ทุเรศตัวเองรึไงที่ทำแบบนั้นไป” เขาตอบและยิ้มยั่ว ทำไมใจฉันถึงตูมตามแบบนี้นะ
“ทุเรศแต่ก็มีคนยังบ้า ชอบนี่นา หรือว่าไม่จริงล่ะ” อ้าว ยังจะหยอดเขาอีกแนะ ทำไมถึงปากพล่อยไปอย่างนั้นเล่า เต้แทบไม่เชื่อสายตาว่าคนอย่างฉันจะห่ามพอที่พูดอะไรแบบนั้นออกมา ฉับพลันเขาก็กอดฉันเสียแล้ว รู้สึกสบายใจจัง นานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆแบบนี้



“ขอบคุณนะ” ฉันพูดเบาๆกับเต้ บางที อีกไม่นานนี้ฉันคงจำเป็นที่จะต้องให้คำตอบกับเต้จริงๆเสียที บางทีการอยู่กับคนที่รักเราอาจจะดีกว่าการอยู่กับคนที่เรารักก็ได้

หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: maabbdo ที่ 26-07-2008 21:46:24
เพิ่งจะมาตามอ่าน

มาให้กำลังใจอาร์

 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 28-07-2008 12:28:16
รออ่านตอนต่อไปครับผม
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2) 04/08/08
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 04-08-2008 20:41:21
ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก


“เราอยากลองกลับไปใช้ชีวิตแบบผู้ชายดีกว่า มันคงจะดีกว่าการที่ต้องทำตัวแบบนี้ พ่อกับแม่เราก็ว่าเราโตขึ้นอาจจะต้องลำบาก ถ้าขืนเราเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ”


















บทที่สิบสี่




ฉันนั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ฝนตกหยุมหยิมน่ารำคาญตั้งแต่กลางคืนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกง่ายๆ ฉันถอนหายใจเบาๆก่อนถอนสายตากลับเข้ามาในห้อง พลันสะดุดตากับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นยืนเหลอหลาอยู่หน้าห้องเรียน หลายคนซุบซิบกันว่าเป็นเด็กใหม่ เข้ามาเรียนที่นี่กลางคันแบบนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ฉันเท้าคางขมวดคิ้วขณะฟังเรื่องที่ปากหอยปากปูขุดมาเล่าสู่กันฟังอย่างสนุกปาก เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็ว่ากันไปนะ...


อาจารย์ชี้บุ้ยใบ้มาทางโต๊ะนักเรียนตัวที่ว่างข้างๆฉัน นายคนนี้เดินตาแข็งหน้าบอกบุญไม่รับมานั่งใกล้ๆ ฉันยกระเป๋าเรียนของตนเองออกและขยับเก้าอี้ให้ ไม่ขอบใจเลยสักคำเลยนะนาย
“สวัสดี เราชื่อน้ำ นายชื่ออะไรเหรอ” ฉันกล่าวทักทายนักเรียนใหม่ เอาน่า... เป็นมารยาท ไหนๆต้องนั่งเรียนด้วยกันนี่นา
“เต้...” ไรเนี่ย... กะว่าจะผูกมิตรเสียหน่อย ตอบสั้นชะมัด แถมยังทำหน้าเต้าหู้ใส่อีก เวลาคุยด้วยก็ไม่ยอมมองหน้าผู้ที่สนทนาด้วยอีก ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย

“ตอบห้วนจังนะ ว่าแต่ทำไมถึงย้ายมาเรียนที่นี่ล่ะ แถมเป็นกลางเทอมอีก” ฉันยิ้มเจื่อนๆ กลบเกลื่อนที่ตัวเองหน้าแตกไป นังทราย นังแววที่นั่งอยู่แถวหน้าก็หัวเราะคิกคักกันเชียว อะไรยะ อิจฉาละซิ

“พ่อเราได้ตำแหน่งใหม่ที่นี่ เราเลยต้องย้ายตามพ่อมาด้วย” เขาพูดเรียบๆไม่ใส่ใจอะไร

“อาจารย์มาแล้ว เรียนก่อนเถอะ ไว้เดี๋ยวมาคุยด้วยใหม่” ฉันตัดบทไปเสียดื้อๆ จากนั้นก็คุยสามสี่คำนิดหน่อยก่อนพักกลางวัน ซึ่งฉันขอตัดบทตัวเองไม่ทานข้าวกลางวัน การบ้านยังไม่เสร็จนี่นา ขอตัวแว่บมาทำที่ห้องสมุดก่อนดีกว่า โดนดุแหงๆถ้าไม่มีส่งในตอนบ่ายนี้ ฉันเดินหาหนังสือเล่มที่จะช่วยเขียนอ้างอิงดีๆสักเล่มตามชั้นหนังสือ ดันเจอนายคนนี้อีกเสียแนะ ยังจะมามองหน้าอีกนะ เอ่อพูดกับอีตานี่สักหน่อยละกัน

“ทำไมไม่ไปกินข้าวกลางวันล่ะ” จริงๆก็ไม่อยากจะสนใจนักหรอกนะ นายขี้เก๊ก อ๊ะ... หนังสือเล่มที่งมโข่งหาตั้งนานอยู่ตรงนั้นเอง ฉันเดินดุ่มๆเข้าไปหยิบออกมาจากชั้น อมยิ้มอะไรยะ นี่นายยิ้มเป็นกะเขาด้วยเหรอเนี่ย

“ไม่ค่อยหิวเท่าไร ว่าแต่นาย... นายเองก็เหมือนกันน่ะแหล่ะ” กรี๊ด... อกอีแป้นจะแตก นี่ดูไม่ออกรึไงยะ ฉันไม่ใช่ผู้ชายนะ เรียกแบบนั้นได้ไง บอกแล้วว่าอีตานี่เสียมารยาทจริง อารมณ์เสีย
“งานยังไม่เสร็จ ต้องส่งตอนบ่ายน่ะ เลยตัดสินใจว่าไม่ไปกินข้าว จะทำให้เสร็จก่อน” ฉันยืนพลิกไปดูเนื้อหาส่วนที่ต้องการ เช็คไปมาให้แน่ใจว่าจะเอาไปใช้อ้างอิงได้

“ไหน... มาให้ดูหน่อยสิ” เอ้าแย่งหนังสือไปเสียเฉยๆแบบนั้น ทำฉันเง็งเลย โจทย์ที่แนบมาด้วยยากเอาการอยู่นะ ทำได้เหรอ นายเด็กเส้น
“อ๋อ... ง่ายแค่นี้เอง เดี๋ยวลองดูวิธีทำนี่นะ” น่าน... ได้ทีลากเข้าไปนั่งขัดสมาธิและทำโจทย์ให้ดูอีก หา...ง่ายแค่นี้เองเหรอ เก่งจัง เอ่อ...นายคนนี้ท่าทางใช้ได้แฮะ ขอถอนความคิดไม่ดีทั้งหลายตะกี้ละกันนะ

“จริงด้วย เก่งจัง หลงโง่ตั้งนาน ตีโจทย์ไม่แตกสักที” ฉันหยิบโจทย์ไปดูและตรวจให้ถ้วนถี่ มิน่าล่ะทำไม่ได้ ก็ข้ามขั้นตอนไปตรงนี้นี่เอง เอาล่ะให้นายคนนี้ช่วยดีกว่าจะได้เสร็จๆ ว่าแล้วก็ขอความร่วมมือให้เขาช่วยทำข้อที่เหลือให้ด้วย อย่าเข้าใจผิดว่าทำให้หมดนะ แค่แนะวิธีทำให้เท่านั้นแหละ
“ฮิ้ววว น้ำ จีบเด็กใหม่เหรอจ๊ะ” อีเพื่อนเวรนี่แซวไม่ถูกที่ถูกทางเสียแล้ว อีตานี่ก็นั่งขำอยู่ได้ แก้โจทย์ไปสิ ไหงแต่ละคนเดินผ่านก็แซวแบบนั้นกันหมดล่ะ เหลือบดูกระจกตู้หนังสือที่อยู่ข้างหน้า มืออีตานี่เลื้อยมาเกาะเอวไว้แต่เมื่อไรเนี่ย  ฮึ่ม...ขอดีดมะกอกทีเถอะ

“โอ๊ยยย...” ร้องซะเสียงหลงเชียว ไม่เจ็บเวอร์ขนาดนั้นหรอกย่ะ เดี๋ยวใครก็มองมาที่นี่กันหมดหรอก เงียบซิ ไม่เงียบใช่ไหม... ฉันเลยจัดการอุดปากไปซะ ขอแกล้งสักหน่อยเถอะนายเด็กใหม่ ถือว่ารับน้องนะ
“หวาย... อ๊ะ...” จะแกล้งเขาดันซุ่มซ่ามเสียเอง พื้นนี่จะขัดให้มันลื่นอะไรหนักหนาเนี่ย ล้มไปเองคนเดียวไม่เท่าไร ดันล้มไปทับนายคนนี้ เฮ้ย... ฉันไม่ได้เจตนานะ จะลุกก็ลุกไม่ได้ มากอดฉันไว้ทำไมละเนี่ย

“ปล่อยนะ... ปล่อย” ฉันพูดเบาๆ กลัวว่าคนอื่นในห้องสมุดจะได้ยินหรือว่าเห็นภาพแบบนี้ ฉันพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของเขา โอยจะมาใจเต้นแรงอะไรตอนนี้ เอ่อ... เป็นอะไรไป ทำไมต้องร้องไห้ด้วยล่ะ คือ... ทำอะไรไม่ถูกเลยตอนนั้น

“ห้องสมุดนะ ปล่อยก่อนสิ นายเต้... เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าหรอกนะ เดี๋ยวเขาก็เอาไปเผาๆกันหรอก อยากเป็นข่าวรึไงนายเด็กไหม” ฉันรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผละตัวเขาออกไป มานั่งห่างเว้นระยะไว้ รู้ตัวเลยว่าหน้าตัวเองนี่ร้อนผ่าวขึ้นมาเลย เต้มองฉันด้วยแววตาที่เศร้าอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะก้มหน้าก้มทำการบ้านให้ฉันต่อ ฉันรับไปลอกลงสมุดส่ง เราแทบจะไม่พูดอะไรกันอีกเลยจนเลิกเรียน กลับบ้านไปทางใครทางมัน อ้อ...ลืมบอกไปแบบฝึกหัดนั้นที่นายเต้ช่วยทำถูกหมดเลยนะ ทึ่งจริงๆ





วันถัดมา เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นก็แดงกันไปทั่วห้อง เม้ากันไปได้นะว่าฉันอ่อยเด็กใหม่ซะอยู่หมัด นัวเนียอี๋อ๋อกันในห้องสมุด นังทรายและนังแววเกิดอาการงอนไม่คุยกับฉันซะอย่างนั้น ไปทางไหนก็มีแต่คนแซว แม้ว่าโรงเรียนมัธยมปลายที่ฉันเรียนอยู่จะเป็นสหศึกษา เรื่องแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาก็เถอะ มันรู้สึกแปลกๆ เกร็งๆอย่างไรไม่รู้ ไม่ใช่นะ นายคนนี้ไม่ใช่เสป็คฉันซะหน่อย ไม่มีทางชอบหรอกนะ ดันนั่งข้างๆนายคนนี้อีก ทุกคาบเลย ทำไงดีไม่มีสมาธิเรียนแล้วนะ

“เป็นอะไรเหรอ โกรธเราหรือเปล่า  วันนี้นายไม่ยอมพูดกับเราเลยนะ” เอาอีกแล้ว นายโผล่มาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย... ฉันทำหน้าปั้นปึ่งใส่ไม่อยากจะพูดด้วยเท่าไร

“ผู้ชายอะไรวะ ขี้งอนเป็นผู้หญิงเชียว นี่ว่างป่าว แนะนำร้านอะไรหร่อยๆแถวนี้ให้หน่อยสิ” เอาอีกแล้ว มาเรียกฉันว่า –นาย- เนี่ย ตื้อชะมัดญาติ เดินแว่บซ้ายที ขวาที เป้นสันนิตบาตหรือไง ฉันหยุดสูดลมหายใจอึกนึงพอให้ตัวเองหันกลับไปยืนท้าวเอวด่าอีตาบ็องนี่ทีเถอะ

“ก็...” อ้าวหายไปไหนแล้ว เป็นลิงรึไงยะ เฮ้ย...นี่...นายอยู่ไหนนะ มองไปทางไหนก็ไม่มี กาตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากพุ่มของต้นไม้ข้างทางเดิน ฉันสะดุ้งโหยงเลย นี่ก็จะโพล้เพล้แล้ว จั่กจั่นเรไรเริ่มร้องระงมจากสนามหญ้าและแปลงดอกไม้ โดนผีหลอกอะป่าวเนี่ย โรงเรียนนี้ยิ่งมีสารพัดเรื่องผีๆด้วย ชักท่าไม่ดีแล้ว กลับดีกว่า ตั้งท่าจะวิ่งไปที่ประตูหน้าโรงเรียนอย่างเดียวแล้ว แมงมุมขนดกหยุบหยับตัวเบ้งตกมาจากไหนไม่รู้ มาอยู่บนแขนของฉัน หน้าซีดเลย ร้องไม่ออก ตอนนั้นหลับตาปี๋ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเลย ได้โปรดไปไกลเลยได้ไม่ หวายแมงมุมบ้า ยิ่งว่ายิ่งเดินช้าๆเข้าหาตัวฉันเสียอย่างนั้น น้ำตาร่วงแหมะๆแล้ว เค้าเกลียดแมงมุมนี่นา ใครก็ได้ช่วยด้วย


พลันมีมือหนึ่งหยิบมันโยนออกไป ฉันโผเข้าหาคนคนนั้นและสะอื้นไห้ ค่อยหายใจหายคอคล่องหน่อย คนคนนั้นลูบหัวเบาๆและปลอบเบาๆว่าไม่เป็นไรแล้ว ไหง...เสียมันคุ้นๆอย่างนี้ล่ะ
เงยหน้าขึ้นไปก็ จังงังกับหน้าอีตานั่นเลย กึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะอีก ตลกอะไรนักหนา เอ่อ... ปล่อยก่อนได้ไหม ฉันถอยตัวเองออกมา


“ขอบคุณนะ” ฉันไม่กล้าสบตาเขา เต้รับกระเป๋านักเรียนไปถือให้แทน และจูงมือฉันเดินออกไป ใจง่ายเนอะ เดินตามเขาไปต้อยๆแบบนั้น
“หิวแล้ว... เลี้ยงข้าวเราหน่อยสิ” โพล่งมาแบบนั้น คิดจะทวงบุญคุณที่ทำการบ้านกะเอาแมงมุมออกให้รึไง อารมณ์เปลี่ยนจากโหมดเศร้าเป็นหมั่นไส้แทน พลั้งเท้าเตะก้นเต้ไปป๊าปใหญ่ เขาหันมาทำหน้าดุใส่ เป็นพ่อรึไง มองแบบนั้น


“เออ... ก็ได้” ดันรับปากไป ผิดเอง คนอะไร เลือกแต่ของดีๆแถมกินเก่งชะมัด ล่อไปเกือบห้าร้อยบาท




กลายเป็นว่าฉันสนิทกับนายคนนี้ไปโดยปริยาย ฉันเริ่มเฉยๆที่อีตานี่เรียกฉันว่านายไปแล้ว จะบอกว่าอย่างไรล่ะ เต้กลายเป็นเพื่อนผู้ชายคนแรกที่ฉันสนิทใจมากที่สุด ไปไหนไปกันคุยเล่นคุยหัว ทำตัวกระโดกกระเดกและห่ามๆสารพัด บ้าบอไปตามนายคนนี้ จะว่าไปแล้วอาจเพราะฉันเกิดความคิดแปลกๆที่อยากจะกลับไปเป็นผู้ชายอีกก็เป็นได้

“พูดไรน่ะ แน่ใจเหรอว่าทำได้ หน้าน้ำหวานออกแบบนี้ ยิ่งทำก็ยิ่งเหมือนทอมมากกว่า” ไม่ให้กำลังใจเลยนะ จะว่าไป เวลาไปไหนกับพ่อแม่ก็มีคนทักว่าเป็นทอมเรื่อยๆเลย เหมือนขนาดนั้นเชียวเหรอ

“เราอยากลองกลับไปใช้ชีวิตแบบผู้ชายดีกว่า มันคงจะดีกว่าการที่ต้องทำตัวแบบนี้ พ่อกับแม่เราก็ว่าเราโตขึ้นอาจจะต้องลำบาก ถ้าขืนเราเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ” สมัยนั้นคำว่าเกย์ กระเทย ตุ๊ด ไม่แยกความหมายออกจากกันหรอกนะ กลายเป็นว่าเรียกรวมๆไปเลย ที่จริงที่บ้านฉันค่อนข้างเฉยๆนะ ตอนแรกก็รับไม่ได้โดยเฉพาะแม่ ทำเอาทุกคนในบ้านเครียดมองหน้ากันไม่ติดไปพักหนึ่ง แต่หลังจากเปิดอกพูดคุยกันแล้ว ต่างคนก็ปรับตัวเข้าหากันและค่อยๆยอมรับกันละกันมากขึ้น ฉันเองก็ไม่ได้แรดแหล๋นแจ๋อะไรมากมาย พ่อกับแม่จึงไม่ค่อยกังวลอะไรมากนัก


“...” ฉันบ่นเสียยืดยาว ก็ไม่ยอมให้ความเห็นอะไรเลย เครียดนะเนี่ย ขยี้หัวฉันทำไม ทำตาซึ้งใส่อีก
“ทำบ้าอะไรของแกว่ะ” แบบนี้แหละการอยู่กับผู้ชายมากๆ ก็เผลอหลุดคำหยาบคาย ฉันทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ ขี้เกียจเล่าเรื่องของตัวเองกับที่บ้านให้นายคนนี้ฟังเป็นรอบที่ล้านแปดแล้ว
“น้ำ... เรามีอะไรจะบอก” เป็นอะไรไปเนี่ย ทำเป็นพูดตะกุกตะกัก เคอะๆเขินๆเชียว จะพูดไรก็บอกมาสิ

“หืม...” ไม่ทันทีจะพูดอะไร ฉันก็โดนดึงเข้าไปกอดเสียแล้ว
“เราชอบน้ำนะ”

“...” ฉันไม่ตอบอะไร บางทีฉันกับเต้อาจจะก้าวข้ามผ่านความเป็นเพื่อนไปแล้วก็ได้ รู้สึกดีที่มีเขาอยู่ใกล้ๆแบบนี้ ฉันเอื้อมมือไปโอบหลังเขา
นั่นแหละคำตอบของฉัน...


ฉันกับเขาคบกันตั้งแต่นั้นมา ไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไร ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ทุกๆวันดำเนินไปเหมือนเดิม ไม่มีอะไรหวือหวา หรือตื่นเต้นมากมาย ฉันมีความสุขที่เขาอยู่คอยปกป้องและดูแลแบบนี้ เหมือนพี่ชายคนนึง เขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าฉันป่วยและสัญญากับฉันว่าจะเอ็นทรานซ์เรียนแพทย์ให้ได้
เพื่อฉัน...



จนวันสุดท้ายของการเรียนมัธยมปลาย ฉันให้แหวน TLN กับเต้ (คิดว่าหลายๆคนคงเดาได้ว่าตัวอักษรที่ว่านี้ แปลว่าอะไร) ฉันกับเต้ต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยกันคนละที่ ตอนนั้นใจฉันแทบขาดเสียให้ได้ ต่างสัญญาว่าถ้ามีโอกาสจะมาเจอกันให้ได้
สุดท้ายเราก็ขาดการติดต่อกันไป...


เราไม่รู้ข่าวคราวของกันและกันจนกระทั่ง


วันที่หวานเกิดอุบัติเหตุ ฉันได้พบกันกับเขา เต้ คนที่จากกันไปนานแสนนาน เขายังเก็บแหวนวงนั้นไว้และติดตัวเสมอ ไม่เคยลบฉันออกไปจากความทรงจำ


นี่ฉันทำพลาดอะไรไปแล้ว...


ขณะที่ฉันมัวเจ็บปวดกับบาดแผลของคนที่ตัวเองรักสร้างมันขึ้น ละเลยคนที่เคยรักและห่วงใยฉันไม่เคยเปลี่ยน พร้อมที่จะรอ และอ้าแขนรับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันก็ตาม ปลอบโยนเบาๆว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างล้วนมีทางแก้และหนทางของมัน คนเราไม่ทางที่จะผิดหวังหรือสมหวังตลอด ฉันยังจำคำพูดนั้นของเต้ได้เสมอ



ต่อไปนี้ฉันจะไม่ลังเลอีกแล้ว ฉันพร้อมที่จะให้คำตอบกับตัวเองอย่างแน่ใจ ฉันเลือก...เต้...

***
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 04-08-2008 20:53:27
 :a4:
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 04-08-2008 21:08:34
ฉันจะทิ้งภาพชีวิตของตนเองที่เลวร้ายไว้เพียงเบื้องหลัง
ทิ้งภาพของคนที่ฉันรัก
และเริ่มต้นใหม่กับคนที่รักฉัน...
ขอบคุณ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะ เต้




















บทที่สิบห้า


   ลมหนาวพัดเอื่อยผ่านใบหน้า แม้จะเย็นแล้ว แต่แสงแดดก็ยังไม่สามารถเล็ดลอดผ่านหมอกที่ปกคลุมหุบเขาหนาทึบนี้ได้จวบจน เห็นดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปลางๆ แสงไฟสลัวๆรอบรีสอร์ชเปิดขึ้นพร้อมกัน ฉันเพิ่งมองทัศนียภาพโดยรอบ พลางขยับเสื้อกันหนาวให้กระชับแนบตัวพออุ่นกายขึ้นมาบ้าง เอนตัวลงบนม้านั่ง จิบชามะนาวไปพลาง นานแค่ไหนกัน...ที่ฉันไม่ได้ออกมาพักผ่อนกับพ่อแม่แบบนี้ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่3คนอีกแล้ว มีอีกคนนึงที่เป็นตัวตั้งตัวตีอยากให้ฉันมาพักผ่อนที่นี่ให้ได้ นอนอยู่ม้านั่งข้างๆกันเนี่ยแหละ

   “ดาวคืนนี้สวยจังเลย อยู่กรุงเทพคงไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรแบบนี้แน่ว่าไหม” ฉันรำพึงกับตัวเองเบาๆ พลางมองมวลหมู่ดาวที่ประกายแสงอยู่บนท้องฟ้านั้น

   “อื้อ... คืนเดือนมืดไม่มีพระจันทร์ เห็นเป็นทางช้างเผือกยาวเลย” อีกเสียงหนึ่งตอบกลับมา

   “น้ำอยากอยู่ที่นี่จัง อยู่กับธรรมชาติแบบนี้มีความสุขจัง” ครั้งหนึ่งฉันเคยฝันที่อยากจะมีครอบครัวกับคนที่ฉันรักมีลูกตัวเล็กสองคนวิ่งเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ที่แวดล้อมไปด้วยมวลหมู่ไม้กลางป่าที่ห่างไกลผู้คน ห่างไกลความวุ่นวายต่างๆ

   “อยากอยู่ที่นี่เหรอ...” เต้ลุกจากม้านั่งตัวข้างๆ มาทอดตัวลงนอนบนม้านั่งตัวเดียวกันกับฉัน และโอบตัวฉันไว้ เบียดตัวเข้ามาชิด รู้สึกอบอุ่นจัง

   “เต้อยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ... ถ้ามีน้ำอยู่ด้วย” ฉันยิ้มให้เขาก่อนจะซุกหัวแนบกับอกเขา เต้ลูบหัวอย่างอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน ฉันจะรักษาสัญญาของตัวเองที่มีกับเขานี้ ที่มาที่นี่เพราะเขาอยากพาบ้านฉันมาพักผ่อนบ้าง และที่สำคัญเพื่อพบพ่อของเต้

   “ดาวตก...” เต้ชี้ไปที่กลุ่มดาวสิงโต แค่แว่บเดียว ฉันตีมือเขา เต้ฉงนเล็กน้อยก่อนจะร้องอ๋อ... อย่างที่ทราบกันว่าโบราณเขาถือเรื่องดาวตก อย่าไปทัก และรุ้งก็ห้ามชี้เช่นกัน ต้องมีการแก้เคล็ดอย่างที่ทราบกัน คนโบราณเอาไว้หลอกเด็กน่ะ

   “ถ้ามาอีกจะอธิษฐานอะไรดีนะ ขอให้เต้ได้อยู่กับน้ำไปนานๆแบบนี้นะ” เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนขยับตัวลุกขึ้น ดึงฉันลุกขึ้นนั่งตามไปด้วย ตาเราทั้งคู่มองไปบนผืนผ้าสีดำประดับดาวที่แผ่กว้างทอดยาวอยู่เบื้องบนนั้น

“โอ๊ะมาอีกแล้ว” เขาเขย่าตัวฉัน ฉันมองตามไปแต่ไม่ทันเลยละสายตาลงมา เจอกล่องสีแดงเล็กๆอยู่ตรงหน้า เต้เปิดออกเผยให้เห็นของที่อยู่ภายในส่องประกายออกมา รู้สึกเขินๆไงไม่รู้ แม้จะรู้ว่าเป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาทำแบบนี้ ยังไม่ทันจะพูดอะไร เต้ก็บรรจงสวมแหวนเข้านิ้วนางข้างซ้ายนี้แล้ว ก่อนจุมพิตที่มือข้างนั้นเบาๆ

“เข้าใจคิดนะ...” ฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรในตอนนั้นมากไปกว่าการสวมกอดเขาแทนคำขอบคุณต่อความรู้สึกที่เขามีต่อฉันนี้ เต้ละตัวฉันออกก่อนจูบหน้าผากเบาๆ สัมผัสความรู้สึกที่บริสุทธิ์ใจ และซื่อตรงต่อฉันไม่เสื่อมคลายเสมอมา ที่ผ่านมาเราไม่เคยมีอะไรเกินเลยระหว่างกัน เขาให้เกียรติฉันเสมอ ฉันเองที่รู้สึกวิตกเกินไปว่าเขาดีกับฉันมากเกินไปจริงๆ



***
บ้านของเต้ที่เชียงใหม่ เป็นบ้านสวนมีพื้นที่กว้างขว้าง ฉันมองรอบๆบริเวณด้วยความอิจฉา เต้นำฉันและพ่อกับแม่เข้ามาภายในตัวบ้านที่ร่มรื่นปกคลุมด้วยต้นไม้นานาพันธ์ ดอกบัวตองออกดอกชูช่อประปรายต้อนรับผู้มาเยือน เต้ต้องการให้ฉันพบคนคนนึง ที่จำเป็นต้องรับรู้ถึงเรื่องที่ทั้งฉันและเต้ตัดสินใจลงไป ใจเต้นรัวเป็นกลองทีเดียวตอนนั้น แต่เต้ก็บีบไหล่ฉันเอาไว้และกระซิบเบาๆว่า ใจเย็นๆ ไม่เป็นไร



เบื้องหน้า คือ พ่อของเต้ หน้าตาดุดันเหมือนสมัยเด็กไม่มีผิด ฉันจำได้เสมอตอนที่เคยไปเที่ยวบ้านเต้ เวลาท่านพูดจาอะไรก็พลอยทำเอาฉันสะดุ้งตัวโหยง ด้วยน้ำเสียงที่หนักห้าวทุกที งานราชการทำให้ท่านต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ ฉันไหว้ท่านด้วยความเคารพ ท่านเองก็ต้องรับขับสู้และปรับท่าทีของตัวเองลง ค่อยเบาใจขึ้นหน่อย ฉันเองก็หวั่นๆไม่น้อย เพราะการมาครั้งนี้ไม่ได้มาในฐานะเพื่อนแบบแต่ก่อน หากแต่มาในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้


ครอบครัวของเต้ นอกจากพ่อของเต้แล้วยังมีพี่น้องอีกสองคน พี่ชายคนโตที่แต่งงานไปอยู่ทางใต้กับภรรยา พี่สาวอายุห่างกันปีนึงทำงานในตัวเมืองเชียงใหม่ คอยดูแลท่าน ส่วนแม่ของเต้เสียไปตั้งแต่เต้อายุได้ 7 ขวบ ฉันเห็นรูปของท่านที่ประดับบนผนังแล้ว ท่านจัดได้ว่าเป็นสวยทีเดียว แต่สุขภาพไม่ดีเจ็บออดๆแอดๆ เต้ชอบบอกว่าฉันเหมือนกับแม่ของเขาเสมอ ทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกันราวกับแม่ของเขายังอยู่ใกล้ๆไม่ไปไหน ไม่เข้าใจเลย เหมือนกันตรงไหนน่ะ


การพูดกันของผู้ใหญ่ทั้งสองเป็นไปอย่างออกรสออกชาติ เนื่องจากทั้งพ่อของเต้ และพ่อแม่ของฉันก็เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน ท่าทีของพ่อเต้เปลี่ยนไปมากจากเมื่อก่อนที่ยอมรับไม่ได้ที่เต้คบกันฉัน เราทั้งคู่ต่างพยายามทำให้ท่านเข้าใจในทัศนคติใหม่ ในทางที่ดีขึ้น พิสูจน์ให้ท่านมองว่าฉันไม่ใช่ตัวประหลาดในสังคมที่ทุกคนรังเกียจรังงอนไม่ยอมรับ ความสัมพันธ์ระหว่างเรา คือ ความเข้าใจกันและกัน ไม่เกินเลย อยู่ในกรอบที่เหมาะสม อีกอย่างอาจเป็นเพราะเต้คอยแนะนำว่า ท่านชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ทำให้ฉันวางตัวถูก และท่านสามารถยอมรับในตัวฉันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก



การเดินทางของความรักของฉันใกล้ถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว งานแต่งงานที่จัดแบบเรียบง่าย ไม่หวือหวาและเชิญแต่คนกันเองมาร่วมงาน ถูกกำหนดให้มีขึ้นในอีกสองเดือนถัดไป แม้ไม่มีการจดทะเบียนสมรส แต่ฉันก็ดีใจที่ ครั้งหนึ่ง... ฉันจะได้อยู่กับคนที่รักอย่างเปิดเผย ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ ฉันอยากใช้เวลาอยู่กับเต้ให้มากขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือก่อนวันงานนี้ ตอบแทนความรักความรู้สึกที่มีให้ฉันนี้ และเขาจะได้ไม่ต้องเสียใจอีก


ฉันจะทิ้งภาพชีวิตของตนเองที่เลวร้ายไว้เพียงเบื้องหลัง

ทิ้งภาพของคนที่ฉันรัก

และเริ่มต้นใหม่กับคนที่รักฉัน...

ขอบคุณ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะ เต้
***









เกือบเดือนที่ผมอเปหิตัวเองออกมาจากบ้าน มาอยู่คอนโดที่แอบซื้อไว้เอง เปลี่ยนเบอร์มือถือ และไม่ได้ติดต่อกับคนที่บ้านอีกเลย หลายครั้งที่แอบไปดูลูกๆที่โรงเรียนอนุบาล มีฝากของให้ลูกๆบ้าง แต่ก็ไม่กล้าพบหน้าลูกตรงๆสักที ผมทราบว่าหวานยังพยายามไปตามหาผมที่ที่ทำงานแต่ผมก็คอยเลี่ยงหรือหาทางเดินทางไปต่างจังหวัดตลอด รวมถึงกำชับลูกน้องไว้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ภาระหลายๆอย่างในบ้านจึงตกอยู่กับฝ้ายคนเดียว ผมสงสารเธอแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ผมอยากให้ตัวเองพร้อมกว่านี้ก็จะรับพลัมกับแพรมาอยู่ด้วย ความอยากรู้เรื่องราวต่างๆของทางบ้านรุมเร้าให้ผมตัดสินใจโทรหาใครสักคนที่ผมวางใจมากที่สุด อืมมตอนนี้ก็ยังไม่ดึกเท่าไร ปลอมเสียงหน่อยดีกว่า เผื่อใครจะจับได้



“ฮัลโหล...”
“สวัสดีค่ะ อ๋อ...นนท์ หายไปไหนตั้งนาน รู้ไหมคนที่นี่เขาเป็นห่วงเธอกันทั้งนั้นเลยนะ โดยเฉพาะพลัมกับแพรน่ะ ชั้นเองไม่รู้จะปลอบยังไงดี” สายปลายทางกลับรู้ทันเสียดื้อๆ ผมเองก็ไม่กล้าหัวเราะกลบเกลื่อนเมื่อฝ้ายเอ่ยถึงลูกๆของผมขึ้นมา

“ขอโทษนะ คงต้องรบกวนเธอสักระยะหนึ่งก่อน พร้อมเมื่อไรเดี๋ยวนนท์จะไปรับลูกมาอยู่ด้วย” ผมตอบอย่างสำนึก เว้นช่วงไว้ระยะหนึ่ง ก่อนถามไถ่ถึงเด็กทั้งสอง
“น้องพลัม น้องแพรสบายดีใช่ไหม”

“สบายดีทั้งคู่ นังตัวแม่ก็ไม่ได้สนใจลูกตัวเองเท่าไร วันๆเช้ามาก็ออกตามหาว่าเธอไปอยู่ไหน ไม่เป็นอันกินอันนอน” น้ำเสียงเธอเข้มขึ้น เป็นนัยว่าผมควรจะรับผิดชอบมากกว่าจะหนีปัญหาไปง่ายแบบนี้ ผมเข้าใจ

“ขนาดนั้นเชียวเหรอ… จะยังไงก็ฝากฝ้ายก่อนนะ เดี๋ยวค่าใช้จ่ายจะโอนให้นะ บอกเด็กด้วยว่านนท์จะพาไปเที่ยวอาทิตย์หน้านะ” อีกสักระยะหนึ่งที่อะไรหลายๆอย่างเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้ ผมคงจะมีโอกาสได้อยู่กับลูกๆเสียที

“นนท์...” ปลายสายเรียกชื่อผมหลังจากที่เราต่างคนต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง
“อะไรเหรอ” ผมรู้ว่าเธอมีอะไรบางอย่างจะบอกหรือถาม เลยย้ำไปให้เธอรีบตัดสินใจที่จะบอกหรือไม่บอกแน่

“เธอจะหย่ากับหวานจริงๆเหรอ” น้ำเสียงของฝ้ายแฝงไปด้วยความวิตกกังวลระคนโล่งใจกับคำถามดังกล่าว
“แน่นอน ในเมื่อไปกันไม่รอด ความเห็นไม่ตรงกัน แยกๆกันอยู่ยังจะดีเสียกว่า ลูกๆเดี๋ยวก็คงเข้าใจเองและ แค่ใช้เวลาสักหน่อย” ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก ผมกล้าพูดเรื่องนี้ได้เต็มปากเต็มคำมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก


“หวานจะยอมง่ายๆเหรอ นนท์น่าจะรู้ดีว่าเขาเป็นคนอย่างไร” ฝ้ายถามคำถามนี้มาเล่นผมซะ คอฝืด กลืนน้ำลายไม่ลงเลย
“ก็เพราะรู้ไงล่ะถึงต้องทำแบบนี้ ถ้าพูดกันดีๆไม่รู้เรื่องก็คงต้องขึ้นโรงขึ้นศาลแล้วล่ะ”


“ใจฝ้ายเองก็ไม่อยากให้หลานเป็นเด็กมีปัญหา แต่ถ้ามันเป็นหนทางที่ดีและสมควรแล้ว ตามแต่นนท์ละกันนะ...” ผมเองจะว่าไปแล้ว ก็ไม่ได้คิดปรึกษาอะไรกับคนอื่นมาก่อน นอกจากคิดเองเออเองตลอด ผมไม่ได้นึกถึงฝ้ายมาก่อน ผมรู้ว่าเธอค่อนข้างกังวลกับผลที่ตามมาภายหลังกับหลานๆของเธอ รวมถึงเข้าถึงปัญหาระหว่างผมกับหวาน ซึ่งตอนนี้มันมาถึงจุดแตกหักแล้ว ไม่มีทางที่จะกลับมามีเยื่อใยต่อกันได้อีก

หรือมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า”รัก”กับเขามาตั้งแต่ต้นแล้ว


ทีแรก... ผมตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเธอหลังจากงานแต่งงานครั้งนั้น ทุกอย่างก็แค่ฉากหน้าที่ให้คนอื่นๆเข้าใจว่าเรามีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตคู่ ต่อให้หวานพยายามทำดีแค่ไหนกับผม ใจผมมันแหลกสลายไปตั้งแต่ตอนที่ผมได้กอดน้ำเป็นครั้งสุดท้ายนั้น สัมผัสของการลาจากที่เจ็บปวด ภาพการหักหลังของคนที่ได้ชื่อว่าเพื่อนและคนรัก เป็นชนักติดหลังผมมาตลอด ผมไม่มีทางที่จะรู้สึกดีกับการใช้ชีวิตอยู่กับคนแบบนี้ได้ มันเหมือนกับการตบหน้าหวานซ้ำ แต่ผมจำเป็นต้องทำ


ผมบ่มเพาะบาดแผลและความเคียดแค้นภายในใจของหวานให้เบ่งบานเพิ่มพูนมากขึ้น จวบกับการที่ผมทำตัวสำมะเลเทเมามากขึ้น นั่นยิ่งทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ผมพลาดไปกับเธอ หวานท้อง


ผมคาดหวังที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ผมรัก มากกว่าที่จะต้องทำตามกฏเกณฑ์บ้าบอขอสังคมอะไรนั่น ทว่าผมกลับทำตามอย่างที่พูดไม่ได้ ตอนนี้ผมมีภาระหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น ในฐานะสามีและพ่อที่ดี


การประคับประคองชีวิตครอบครัวเป็นไปอย่างลำบากกระท่อนกระแท่น ผมแค่หลอกตัวเองว่าทำทุกอย่างเพื่อลูก เด็กที่เกิดมาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ผมกลายเป็นคนขี้โกหกไปตั้งแต่เมื่อไร ผมปิดกั้นความบ้าระห่ำที่อยากจะทำอะไรตามแต่ใจตนเองทดแทนด้วยการวางตัวในกรอบที่สังคมตั้งไว้กับผม
การได้พบเจอน้ำครั้งแรกในรอบหลายปีนั้นเป็นสิ่งที่จุดประกายให้ผมมีความหวัง กำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ แม้เราไม่ได้คบกันดังแต่ก่อน ผมรู้ว่ามันสายไปเสียแล้วสำหรับเราสองคน ไกลเกินที่ผมจะย้อนกลับคืนไป


แม้ว่าใจผมจะเรียกร้องให้เป็นอย่างนั้นมากแค่ไหนก็ตาม
“...” ผมไม่ตอบคำถามของฝ้าย มัวแต่ใจลอยคิดไปไกล ผมรู้สึกว่าตัวเองได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆระหว่างนั้น ผมถามเธอด้วยความห่วงใย
“ฝ้าย เป็นอะไรไป”


“มะ... ไม่มีอะไรหรอก” แม้เธอจะพยายามทำให้ผมเห็นว่าเธอปกติด้วยการแสร้งทำน้ำเสียงที่สดใสขึ้น นิสัยหนึ่งที่ผมและเธอต่างรู้ดีว่าเหมือนกัน คือชอบเก็บอะไรไว้ในใจคนเดียว

“ฝ้าย... บอกมาเถอะ... นนท์ไม่เป็นไรหรอก” ผมคะยั้นคะยอเธอให้ตอบ ความจริงก็คือความจริงวันยันค่ำ แม้ว่าความจริงที่ว่าจะทำให้เราเจ็บปวดก็ตาม

“...” เธอนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนละล่ำละลักบอกมา มันเป็นสิ่งที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าสักวันต้องเป็นแบบนี้ แต่ที่สิ่งที่ทำให้ฝ้ายเสียใจถึงขนาดนี้ ผมพอจะเดาได้ไม่ยาก สิ่งที่ฝ้ายเก็บงำความรู้สึกมาตลอด ฝ้ายชอบนายหมอคนนั้นมากขนาดนี้เชียวเหรอ... เราสองคนกำลังตกอยู่ในที่นั่งเดียวกัน 


“น้ำจะแต่งงานแล้ว... กับเต้”

ผมพอจะเข้าใจได้ไม่ยากว่า เมื่อครั้งนั้น น้ำต้องทรมานกับคำคำนี้มากแค่ไหน

ฉับพลัน ผมก็ตัดสินใจว่าจะต้องทำอะไร เพื่อตนเอง และฝ้ายบ้าง ผมอยากพบน้ำสักครั้ง...
***





ฉันเดินออกจากห้องประชุม พร้อมกับผู้ประชุมท่านอื่นๆ ร่วมสองชั่วโมงที่มีแต่ภาวะความตึงเครียดนั้นได้รับการผ่อนคลายลง
“คุณน้ำค่ะ มีคนมารอคุณที่เค้าเตอร์ค่ะ บอกว่ามีเรื่องด่วนจากที่บ้านค่ะ” เลขาของฉันรีบแจ้นมารายงานทันทีที่เห็นฉันก้าวเข้ามาภายในห้อง

“ใครน่ะ แล้วเรื่องอะไร” ฉันยื่นแฟ้มงานให้เธอรับไปเก็บ

“ไม่ได้แจ้งให้ทราบไว้ค่ะ” คิ้วของฉันผูกเป็นปมด้วยความฉงน พลางมองนาฬิกาที่ใกล้เวลาเลิกงานอยู่รอมร่อ ขบคิดว่าใครกันนะที่มาหา เรื่องทางบ้าน อย่างนั้นนะเหรอ คราวก่อนก็เป็นหวานที่มาหา จะใช่หรือเปล่า ฉันรีบคว้าเอกสาร กระเป๋าและโน็ตบุค เดินออกไป และกำชับเลขาของฉันว่าฉันจะกลับแล้ว

ฉันลงมาที่ประชาสัมพันธ์ ไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนั้นสักคน คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดมากกว่ากระมัง ฉันเดินไปถามประชาสัมพันธ์ที่นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อให้แน่ใจอีกที ว่ามีคนต้องการพบฉันจริงๆหรือไม่

“คนที่มาบอกว่ามีธุระด่วนไปไหนแล้วน่ะ” เธอรีบผุดลุกขึ้น พลางบ่ายมือออกไปด้านนอก
“เขาบอกว่าจะไปรอคุณที่ด้านนอกค่ะ”

“ผู้หญิง หรือผู้ชาย” ฉันจำเป็นต้องย้ำให้แน่ใจ ร้อนๆหนาวๆว่าจะเป็นหวานหรือเปล่า หวานจะมาก่อเรื่องอะไรกับฉันอีกหรือเปล่า
“ผู้ชายค่ะ” ฉันอึ้งไปครู่หนึ่ง และเดินออกมาหันรีหันขวาอยู่ด้านหน้าของบริษัท รถคันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็ว หักเลี้ยวจอดนั่งตรงหน้าฉัน กระจกรถเลื่อนลง เผยให้เห็นผู้ขับที่อยู่ด้านใน


“นนท์...” เขาย้ำชื่อของตัวเอง ก่อนเปิดประตูเดินมาหา ฉันถอยห่างออก ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะมาไม้ไหนอีกกันแน่ ที่สำคัญหวานคงจะอาละวาดหนักกว่าเดิม ราวีฉันไม่เลิกแน่ๆ


“นี่คุณเองเหรอ...” นนท์เอื้อมมือมาจับมือฉันไว้ แต่ฉันสะบัดออก และหลบสายตาของเขา แอบเห็นแว่บหนึ่ง ดวงตาของเขาดูหม่นหมองเหลือเกิน ทำไมฉันจะต้องรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาด้วยเล่า
“ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับน้ำ...”


“แต่น้ำไม่มีอะไรจะพูด...” ฉันเดินเลี่ยงออกมา ทำเป็นไม่สนใจ เต้คว้าข้อมือของฉันเอาไว้ ฉันมองจ้องเขาเขม็ง นนท์ไม่มีสิทธิที่จะทำแบบนี้อีกแล้ว
“แป็บเดียวเอง ถือว่า นนท์ขอร้องเถอะนะ...” คนที่อยู่ตรงหน้าเว้าวอนและจูงฉันไปที่รถ ฉันพยายามแข็งขืนแต่เขาก็ไม่ละความพยายาม เปิดประตูรถออกและให้ฉันเข้าไปนั่งโดยดี รู้สึกหวั่นใจอย่างไรชอบกล


“ดะ... เดี๋ยวซินี่จะพาน้ำไปไหนน่ะ” เขาออกรถไปแล้ว ตลอดเวลาที่อยู่บนรถ เขาเหลือบมองฉันตลอด ฉันไม่สนใจ มองวิวด้านนอกไปเรื่อยๆ และวิตกว่านนท์จะพาฉันไปไหน รู้สึกเบาใจที่เขาพามาร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ดูคุ้นตา ร้านที่ฉันกับเขาเคยมาทานด้วยกันบ่อยๆนี่น่ะเหรอ

ฉันเดินเข้าไปด้านใน บอกให้ฉันสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มได้ตามสบาย ฉันไม่อารมณ์จะมาทานหรือดื่มอะไรทั้งนั้นหรอกนะ สิ่งที่อยากรู้ตอนนี้คือ นนท์คิดจะทำอะไรของนนท์กันแน่ ฉันรีบรวบรัด ชิงถามนนท์ก่อน


“มีอะไรก็รีบๆพูดมาสิ” เครื่องดื่มที่นนท์สั่งมาเสิรฟที่โต๊ะระหว่างนั้น นนท์อึกอัก ก่อนจะพูดบางอย่างที่เขา คาใจออกมา

“ได้ข่าวว่าน้ำจะแต่งงานกับไอ้... เอ๊ย... คนที่ชื่อเต้น่ะเหรอ”
“ใช่” ฉันตอบไปห้วนๆ วางหน้าเรียบเฉยไม่รู้สึกรู้สา นนท์หลบสายตาและฝืนยิ้มตอบ

“ยินดีด้วยนะ”
“ขอบใจนะ มีอะไรอีกหรือเปล่า... น้ำจะกลับแล้ว” ฉันตัดบท กลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนกับเขา ท่องจำในใจว่าไม่มีทาง ไม่มีทางตลอดเวลา

“นนท์จะหย่ากับหวานแล้ว” ตาของนนท์เต็มไปด้วยรื้นน้ำตา พลางเอนตัวลงกับพนักพิงด้านหลัง ฉันจำต้องใจแข็งสู้ตอบเขาไป

“งั้นเหรอ... จะมาบอกน้ำทำไม อย่างไรมันก็ไม่เกี่ยวกับน้ำอยู่ดี ต่างคนต่างอยู่กันดีกว่า อย่ามาวุ่นวายกับน้ำอีกเลย” นนท์เงยหน้าขึ้นมามองฉันอย่างคนสิ้นหวัง มันทำให้ฉันกระอักกระอ่วนทำอะไรไม่ถูก เขาเอื้อมมือมาแตะมุมปากของฉันเบาๆ และชักมืออกก่อนราวกับรู้ทันว่าฉันจะปัดมือเขาออกในไม่ช้า


“รอยจางๆนั่น... หวาน เขามาทำร้ายน้ำใช่ไหม”
“....” ฉันไม่ตอบ


“ขอโทษแทน หวานด้วยนะ น้ำ” นนท์ออกปากขอโทษแทน ฉันไม่รู้จะทำอย่างไร ได้เพียงแค่เอื้อมมือไปกุมมือของเขาไว้และยิ้มให้ นนท์ยิ้มรับความห่วงใยและปลอบโยนนั้น ฉันพอจะคาดเดาได้ว่าที่เขามาที่นี่เพราะอะไร และระหว่างควรอยู่ในระดับใดแน่ ในฐานะของเพื่อนเก่า น้ำทำได้เพียงเท่านี้ ที่จะบรรเทาความทุกข์ในใจของนนท์ให้ลบเลือนลงได้


“ไปขอโทษมันทำไม” หวานโผล่มาตั้งแต่เมื่อไรกัน ยืนทะมึงทึง จ้องจะกินเลือดกินเนื้อฉันอยู่รอมร่อ ฉันหดมือกลับ และจ้องหน้ากลับ ฉันไม่มีทางกลัวกับคนที่ใช้อารมณ์ตัวเองเหนือกว่าเหตุผล นนท์เองก็มองหน้าหวานอย่างไม่พอใจเหมือนกัน


 “แอบมาอี๋อ๋อ กระหนุงกระหนิงกันอยู่นี่นี่เอง อร่อยไหมล่ะปลาย่างตัวนี้ นังแมวขโมย” หวานกล้าพูดได้เต็มปากว่าฉันคือ แมวโขมย งั้นเหรอ แล้วสิ่งที่เธอเคยทำไว้ก่อนหน้านี้ล่ะคืออะไร คนที่ควรพูดคำคำนั้นคือตัวฉันเองมากกว่า ฉันผุดลุกขึ้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทนให้เพื่อนทรยศคนนี้ถากถางชั้นเสียๆหายๆในที่สารธารณะแบบนี้


“เราออกไปคุยกันให้รู้เรื่องข้างนอกเดี๋ยวนี้เลยนะ” นนท์คว้ามือหวาน ถูลู่ถูกังเธอให้ออกไปจากร้าน ลูกค้าคนอื่นๆและพนักงานต่างมองมาทางนี้กันอย่างไม่วางตา เรื่องของสามีภรรยา จัดการกันเองเถอะนะ ฉันเดินเลี่ยงออกไปนอกร้านด้วยเช่นกัน อาย สุดแสนจะอายทีเดียว ขอให้หวานไม่บ้าทำอะไรก็เป็นพอแล้ว ฉันรู้จักความไม่ลดราวาศอกของเธอดีว่าน่ากลัวขนาดไหน


“งั้น... ฉันกลับไปก่อนนะ เคลียร์กันเองละกัน ฉันไม่อยากมีเรื่องกับคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อน เพื่อนที่เอาแต่สูบเลือดสูบเนื้อแว้งกัดได้ตลอดเวลา”
“หนอย... ดูมันพูดสินนท์ ดูมันว่าหวานสิ” หวานหน้าชาและหัวเสียทันทีที่ฉันตอกกลับไปอย่างนั้น จะพุ่งมาหาฉันให้ได้ แต่นนท์รั้งเอาไว้ และตวาดใส่เธอ

“หวาน พอทีเถอะน่า...  น้ำก็ด้วย ขอล่ะทั้งคู่ อย่ามีเรื่องกันได้ไหม”
 “ไม่หยุด แล้วจะทำไม อายเป็นด้วยเหรอ หวานไม่ดีตรงไหนถึงต้องมาคั่วกะอีกะเทยหน้าด้านนี่” หวานเถียงคอเป็นเอ็น ในเมื่อกล้าพูดได้ขนาดนี้ ฉันก็จะไม่ทนแล้ว ฉันวางเงินจำนวนหนึ่งใส่ถาดของบริกรที่ยกเบียร์เหยือกหนึ่งผ่านมา สาดใส่คนบ้าที่อยู่ตรงหน้า นนท์อึ้งไปเลยที่ฉันกล้าทำได้ถึงขนาดนี้ ดูซิยังจะบ้าได้อีกไหม


“ขอบใจที่ย้ำเตือนว่าฉันเป็นกระเทย ใช่...ในสังคมอาจมองว่าฉันดูต่ำ แต่ชั้นกล้าพูดได้ว่าจิตใจและวุฒิภาวะชั้นสูงกว่าคนบางคน ที่ดีแต่ป่าวประกาศอย่างหน้าไม่อายว่ามีมดลูกผลิตลูกให้ผู้ชายได้ แล้วไง... ที่เธอทำตัวอยู่ทุกวันมันต่ำยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก” เมื่อพูดจบ ฉันวางแก้วลงแล้วรีบเดินออกไปจากร้าน แค่นี้ก็สาแก่ใจฉันแล้ว

“แก... นังน้ำ...ฮึ่ม” หวานเดือดดาลขึ้นมา วิ่งตามฉันออกมาที่หน้าร้าน นนท์ตามมาติดๆและพยายามปรามเธอ ฉันมองหน้าอย่างท้าทาย อยากจะรู้นัก หวานจะทำอะไรฉัน

“พอได้แล้ว หยุดซะที คนในร้านมองมากันหมดแล้วนะ” นนท์พยายามพูดกับหวานดีๆ แต่สายไปเสียแล้ว


หวานฟิวส์ขาดคว้าปืนในกระเป๋าสะพายของตัวเองออกมาโชว์หรา เล็งปากระบอกปืนมาทางฉัน หน้าฉันพลันซีดเผือดลง ทำอะไรไม่ถูกแล้ว ของจริงหรือของปลอมกันแน่ แววตาของหวานท้าทายมายังฉันราวกับว่า ฉันไม่ต้องสงสัยอะไรและเอ่ยคำพูดหนึ่งออกมาอย่างเย็นชา


“แกทำลายชีวิตครอบครัวของฉัน”

“จะทำอะไรน่ะ อย่าทำอะไรบ้าๆแบบนั้นนะ หวาน เอาปืนลงเถอะ” นนท์พยายามเข้ามาห้าม แต่หวานในตอนนี้แทบไม่ฟังใครทั้งนั้นแล้ว เธอปาดกระบอกปืนไปรอบๆ คนในร้านก็ดูตกอกตกใจกันใหญ่ หลบเข้าใต้โต๊ะกันชุลมุน ตาฉันมองล่อกแล่กไปรอบๆพยายามหาทางหนีทีไล่ ไม่คิดว่าหวานกะจะเล่นฉันถึงขนาดนี้

 “อย่าอยู่เลย” หวานยิ้มอย่างผู้มีชัย


“หวาน อย่า...” นนท์ร้องห้าม แต่สายไปเสียแล้ว หวานเหนี่ยวไกยิงมาที่ฉันโดยไม่ลังเล คนในร้านหวีดร้องระงม พลันราวกับโลกหยุดหมุนลง



ฉันไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากพูดอะไรเป็นการสั่งเสียอะไรให้กับตัวเอง



ลาก่อน...

***
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: PakBeob ที่ 05-08-2008 12:02:38
น่านๆ เอาแล้วไง  :serius2:

ไม่จบไม่สิ้นกันซักที :sad2:

เป็นกำลังใจให้คับ..

หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 25-08-2008 22:35:39





นี่ฉันเผลอยิ้มไปตั้งแต่เมื่อไรกัน หุบเลยทันที ตั้งแต่มีลูกสองคนนี่เสี่ยวขึ้นเป็นกองเลยนะนาย บรรยากาศเก่าๆเริ่มแวะเวียนกลับมา นนท์ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่คนที่เปลี่ยนคือฉัน คนที่ไม่รู้ใจตัวเอง




















บทที่สิบหก


 ฉันค่อยๆลืมตาขึ้นมา แทบไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย มึนๆหัวที่กระแทกเข้ากับต้นเสาเล็กน้อย ฉันพยายามพยุงตัวลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกหนักๆอะไรบางอย่างทับบนตัว ฉันพยายามดันร่างนั้นออกไป แต่กลับสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไหนรินออกมาไม่อยุด ฉันพิศดูที่มือของฉัน ละ...เลือดเต็มมือไปหมดเลย ร่างนั้นหันหน้ามาหาฉันหยุดมองและถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนคอพับไป ฉันพูดอะไรไม่ออก นนท์ ทำไมต้องทำแบบนี้ เอาตัวมารับกระสุนแทนฉันทำไม

“ไม่... นนท์ ชะ...ชั้นไม่ได้ทำอะไรนะ ไม่เกี่ยวกับฉัน ไม่...” หวานตัวสั่นเทา หวาดกลัวกับการกระทำอันรู้เท่าไม่ถึงการณ์เมื่อครู่ ฉันเองก็ทำอะไรไม่ถูก ร้องช่วยด้วย ช่วยด้วย ด้วยน้ำเสียงที่โหยโรยแรง พลางกอดกุมนนท์ ผู้หายใจรวยรินไว้ในอ้อมแขน

“นนท์... ฟื้นสิ นนท์...” ฉันพยายามแล้วพยามเล่าที่จะทำให้นนท์ลืมตาขึ้นมา แต่เขาไม่ตอบสนองเสียงเรียกของฉันเลย ได้แต่ขยับไปตามแรงที่ฉันเขย่าเขาเท่านั้น

“ลืมตาขึ้นมาสิ อย่าล้อเล่นกันแบบนี้นะ”

ฉับพลัน หวานก็มองฉันอย่างอาฆาตแค้น เงื้อปืนเล็งมาที่ฉันทั้งน้ำตา ฉันไม่สนหรอกว่าหวานจะทำอะไร และไม่ดิ้นรนที่จะหนี ฉันกอดร่างที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นอย่างไม่รังเกียจ และลุบหลังเขาเบาๆ คนที่ฉันรักต้องมีสภาพแบบนี้เพียงเพราะฉันเป็นต้นเหตุ เอาล่ะหวานฉันพร้อมแล้ว จะพิพากษาโทษตายให้ฉันก็เชิญ ถือว่าฉันชดใช้ให้เธอและนนท์ด้วย

เสียงไซเรนดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย หวานผงะ รีบวิ่งออกจากร้านไป คงเป็นคนในร้านที่โทรเรียกรถตำรวจและรถพยาบาลมา ฉันไม่สนหรอกว่าหวานจะหนีไปไหน แต่ที่นี่แน่ๆฉันอยากให้นนท์รีบไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด แม้ว่าใจจะบอกอย่างนั้นแต่ฉันก็ยังคงนั่งพร่ำเพ้อกับร่างที่ไร้สตินั่น ลูบผมของนนท์เบาๆอย่างหมดอาลัย...
   
***
   








“เต้... นนท์เป็นอย่างไรบ้าง” ทันทีที่เต้ก้าวออกมาจากห้องผ่าตัด ฉันรีบตรงไปหาเขาโดยไม่สนว่าเขาจะมีท่าทางอิดโรยอื่นใด เกือบค่อนคืนล่วงมาแล้ว ฉันอยากรู้เหลือเกินว่านนท์จะเป็นอย่างไรบ้าง

“เรายังต้องดูอาการสักระยะนะ ว่าแต่น้ำตามญาติๆเขาได้หรือยัง” เต้ดึงผ้าปิดปากออก ตอบเสียงเรียบๆแต่บ่งบอกถึงสีหน้าที่เคร่งเครียดและเป็นกังวล ฉันเองก็พลอยใจฝ่อตาม ตอบเขาเบาๆ
“น้ำบอกแล้วล่ะ ทั้งหมดไปต่างจังหวัดกัน คิดว่าพรุ่งนี้คงมาถึง”


“คุณหมอขา... คนไข้ทรุดค่ะ” พยาบาลคนนึงตะลีตะลานออกมาจากภายในห้อง เต้กลับเข้าไปภายในห้องอีกครั้ง ฉันเอามือป้องปาก หวิดจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก



“ใจเย็น น้ำอยู่ข้างนอกก่อนนะ ทางนี้ผมจัดการเอง” แม้เต้จะกำชับไว้ขนาดนั้นแล้ว แต่ฉันก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี

“นนท์” ฉันรำพึงกับตัวเองในใจ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือภาวนาให้เขาไม่เป็นอะไรมาก








   เสียงนาฬิกา ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฉันยังคงจดจ่ออยู่กับประตูห้องผ่าตัดไม่วางตา แม้จะรู้สึกอิดโรยกับการอดหลับอดนอน แต่ฉันก็พยายามฝืนตัวเอง ฉันจะหลับได้ก็ต่อเมื่อนนท์ปลอดภัยแล้วเท่านั้น ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ ฉันก็เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

   ฉันดีดตัวขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงพยาบาลคุยจ้อออกมาจากห้องผ่าตัด เต้เองก็ดูท่าทางเพลียมาก เขาล้มลงนั่งข้างฉัน สีหน้าไม่สู้ดีนัก นนท์กุมมือฉันไว้ ถอนหายใจเบาๆ ฉันเองกระตือรือร้นที่จะได้รู้ว่าอาการของนนท์เป็นอย่างไร มากกว่าที่จะนั่งรออยู่แบบนี้


“ไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ นนท์ปลอดภัยแล้ว น้ำเองก็ต้องพักรักษาตัวซักระยะก่อนนะ” ในที่สุด ฉันก็ได้ยินคำคำนี้จากปากเต้ ดีใจจนแทบทำอะไรไม่ถูกเลย ฉันโผกอดเต้แทนคำขอบคุณ
“ขอบคุณมากนะ เต้...”


“ไม่เป็นไรหรอก อะไรที่ทำให้น้ำมีความสุข ถ้าเต้สามารถ เต้ก็ทำเพื่อน้ำทุกอย่างที่ทำได้” เต้ลูบหลังฉันเบาๆ ก่อนที่ฉันจะค่อยๆถอนตัวออกมาและยิ้มให้
“เต้...”



“อะไรเหรอ...” เต้มองฉันราวกับรู้ว่าฉันจะบอกอะไรกับเขา เต้ปล่อยมือออกจากฉันและลูบผมอย่างเอ็นดูครั้งหนึ่ง
“ขอน้ำเข้าไปดูนนท์ก่อน นะ นะ...” ฉันเว้าวอน เต้ฝืนๆยิ้มให้ก่อนตอบ


“1108 เข้าไปซิ... อีกเดี๋ยวก็คงฟื้นแล้วล่ะ” ฉันท่องเลขที่ห้องนั้นไว้ในใจ เดินไปตามทางที่ตัวเองปรารถนา ทิ้งเต้ไว้เบื้องหลัง ใจลิงโลดอยากจะเห็นหน้าของนนท์จนละเลยเต้ไป ไม่ได้สังเกตเลยว่าภายใต้รอยยิ้มของเต้แฝงไปด้วยความเจ็บปวดมากมายแค่ไหน







ภายในห้องผู้ป่วย นนท์ยังคงนอนหลับสนิทในชุดผู้ป่วยที่เปิดออกด้านหนึ่งเผยให้เห็นผ้าพันบาดแผลบริเวณไหล่ซ้าย  เสียงเครื่องช่วยหายใจและเครื่องวัดชีพจรดังเป็นจังหวะทำให้ห้องไม่ดูเงียบจนเกินไป




มีบางช่วงบางจังหวะที่นนท์ขยับตัวและเพ้อออกมาเบาๆ จับใจความได้ไม่ถนัดเท่าไรนัก ฉันได้แต่ยืนดูห่างๆ ไม่กล้าเดินเข้าไปดูใกล้ๆเขา น้ำตาก็พลันเอ่อออกมาแทนคำพูดที่อยากจะตัดพ้อกับคนที่นอนอยู่ตรงหน้านี้ว่า นนท์ทำบ้าอะไร รู้ตัวบ้างไหม ทำไมจะต้องทำแบบนี้ด้วย...
โชคดีแล้วที่นนท์ไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นแล้ว ฉันคงต้องโทษตัวเองไปตลอดแน่ๆ

***







“เต้... นนท์เป็นอย่างไรบ้าง” ฝ้ายทักเต้ขณะที่พบเขาเดินออกมาจากลิฟท์ พลางกระหืดกระหอบ เร่งเดินมาหาเขา
“อยู่ข้างในห้องน่ะ ปลอดภัยแล้วล่ะ” เต้ตอบไปห้วนๆ ฝ้ายถอนหายใจเบาๆ


“โล่งอกไปที” ฝ้ายฉุดมือเต้เข้าไปในลิฟท์ด้วยกัน เขาทำหน้างงๆ ฝ้ายยิ้มให้เขา แต่เต้ไม่มีอารมณ์จะสนใจอะไรทั้งนั้น ในเมื่อ...
“ห้อง 1108 ไปสิ” ถึงเต้จะตอบเลี่ยงไปแบบนั้น แต่ฝ้ายก็ยังจูงเขาไปในห้องนั้น หลังเดินออกจากลิฟท์มาพร้อมๆกัน


ภาพที่น้ำนอนอยู่ข้างๆนนท์ และกุมมือเขาไว้ ทั้งคู่หยุดมองครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆออกมาจากห้องพร้อมกัน
“ท่าทางจะได้พยาบาลดีซะแล้ว เอ่อ... เต้ เป็นอะไรหรือเปล่า” ฝ้ายเผลอพูดออกมา และพลันสังเกตเห็นสีหน้าของเต้ที่ไม่สู้ดีเท่าไรนัก แวววตาดูเศร้า เลื่อนลอยและหมดหวัง พลอยทำให้เธอเองรู้สึกหดหู่ตามและทำอะไรไม่ถูก


“ขอคุยด้วยได้ไหมฝ้าย...” เต้พรั่งพรูระบายความรู้สึกที่ตนเองอัดอั้นตันใจออกมา โดยมีฝ้ายรับฟังอยู่ใกล้ๆ เธอไม่พูดอะไรและกอดเขาแทนคำปลอบโยนทั้งมวลที่เธอจะสามารถบอกให้เต้สบายใจขึ้นได้ตอนนี้

***





ฉันแว่บกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านพักหนึ่ง หลบพ่อและแม่ของนนท์ที่มาเยี่ยมอาการของลูกชายตนเอง และไปสอบปากคำที่โรงพักอีก เต้เองก็ไปด้วย เขาไม่ยอมพูดคุยอะไรกับฉันเลย เอาแต่นิ่งเงียบ ทำเอาฉันเกร็งจนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะรู้สึกเพลียเหลือเกิน


พ่อกับแม่ก็ซักไซ้ไล่เลียงฉันเป็นการใหญ่เพราะหายไปไม่กลับบ้าน เต้ช่วยพูดแทนให้ ขอบใจมากๆจริงๆ เต้ไม่ได้เอ่ยว่าฉันมีเรื่องขึ้นเพราะนนท์กับหวาน ท่านทั้งสองยังคงเข้าใจว่าฉันกับหวานยังคงสนิทสนมกันอยู่ ฉันเองก็เหนื่อยอ่อนไม่อยากเพิ่มความยาวสาวความยืดต่อ เต้เองก็เหมือนจะไม่ไหวแล้วเหมือนกันเพราะอดนอนเกือบทั้งคืน พ่อกับแม่ไม่อยากให้เขาขับรถกลับไปที่คอนโด เลยต้องนอนค้างที่บ้านของฉันนี้








ฉันตื่นมาในตอนสาย เต้ไม่อยู่แล้ว แม่บอกว่าเต้ออกไปแต่เช้าเพราะมีคนไข้ ครั้นโทรหาก็ปิดเครื่องไปแล้ว รู้สึกไม่สบายใจเลย ฉันพอเข้าใจดี ถ้าฉันเป็นเขาในตอนนี้ ฉันก็คงจะทำแบบเดียวกันกับที่เต้ทำนี่แหละ รู้สึกผิดอย่างไรไม่รู้ ทั้งๆที่สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้เต้ต้องเสียใจ แต่ฉันกลับกลืนน้ำลายตัวเองอีกแล้ว





ฉันเดินใจลอยเข้าไปที่โรงพยาบาล ถามจากพยาบาลแล้ว เต้คงง่วนๆอยู่กับงาน ฉันเลยฝากของกินเล็กๆน้อยๆไว้ให้เขา และไปเยี่ยมอาการนนท์ต่อ ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันจะเห็นกับแค่ฉันกับนนท์เคยคบกันมา เคยรักมากแค่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ฉันต้องใจแข็งเข้าไว้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเดินเข้าไปภายในห้องที่นนท์พักรักษาตัวอยู่




แม้จะเปิดประตูให้ค่อยที่สุดแล้ว ครั้นเดินพ้นมุมห้องเข้าไป คนป่วยที่นอนอยู่ดูเหมือนจะรู้เรื่องและยิ้มต้อนรับ ใจฉันในตอนนี้เต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย ฉันเดินไปวางของเยี่ยมที่ตู้เย็น ทักทายเขาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาราบเรียบ



“นนท์เป็นอย่างไรบ้าง”

“นิดหน่อยน่า แค่นี้เอง ไกลหัวใจ อะ... โอย...” นนท์พยายามลุกขึ้นนั่งแต่ไม่ทันไร ก็ทำหน้าบูดเบี้ยวเจ็บแผลขึ้นมา ฉันตกใจ รีบละของเยี่ยมเข้าไปประคองเขาให้นอนลง และปรับหัวเตียงให้สูงขึ้นเล็กน้อย



“อย่าเพิ่งลุกเลย นอนพักผ่อนก่อนเถอะนะ...” ฉันทนไม่ไหวที่จะต้องมาเห็นสภาพที่เขาเจ็บปวดแบบนี้ ฉันตัดใจเดินออกมาจัดของต่อ หากว่านนท์กลับดึงมือฉันไว้

“แค่ได้เห็นหน้าน้ำแบบนี้ ใกล้ๆอีกครั้ง นนท์ก็หายป่วยแล้วล่ะ” เขากล่าวและยิ้มอย่างเป็นมิตร ราวกับจะบอกฉันเป็นนัยๆว่า ฉันไม่จำเป็นต้องทำเย็นชาใส่เขาขนาดนั้น เขารู้ตัวเองดีว่าความเป็นไปได้ที่จะกลับมาคบกันนั้นริบหรี่เต็มที

“หลับไปเลย ยังจะมาปากหวานอีกนะ” ฉันชักมือออก และสาละวนห่มผ้าห่มให้นนท์ กลับกลายว่านนท์ได้ทีดึงเข้าไปกอด ราวกับต้องมนตร์ ฉันกลับไม่รู้สึกร้อนรนอยากจะออกไปให้พ้นอ้อมกอดของเขา ราวกับเป็นสิ่งที่ฉันโหยหาและรอคอยมานานแสนนาน ฉันยังจำความอบอุ่นนั้นได้ จำสายสัมพันธ์และบทเพลงรักที่นนท์พร่ำบอกฉันเสมอ เผลอน้ำตาไหลไปตั้งแต่เมื่อไรกัน ไม่รู้ตัวเลย



“ขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะน้ำ ยิ้มหน่อยสิ” นนท์หยอกฉัน พลางละเลียดเช็ดรื้นน้ำตาออกไป พลันรู้ตัวว่าใบหน้าของนนท์ห่างฉันแค่เพียงคืบ ริ้วรอยแห่งวัยเริ่มปรากฏ แต่แววตากลับสดใสมากกว่าดูเศร้าหมองอย่างกับที่เจอในหลายๆครั้งก่อน ฉันหลบสายตาของเขาที่จดจ้องฉันไม่วางและลูบผมเบาๆด้วยความเอ็นดูและกลัวว่าฉันจะหลบลี้หายไปอีก


“ปล่อยน้ำก่อนเถอะนะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า จะว่าเอาได้” ฉันพยายามดันตัวเองลุกออกมาแต่นนท์กลับรั้งไว้ นนท์รั้งฉันเอาไว้และกึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะเมื่อเห็นว่าหน้าของฉันเริ่มแดงเรื่อ


“ตั้งแต่เช้าทานอะไรหรือยัง แล้วนี่ทำไมถึงอยู่คนเดียวล่ะ คนเฝ้าไปไหนเหรอ” ฉันพูดเบาๆเลี่ยงไม่ให้บรรยากาศมันพาไป หยุดทำตาหวานเยิ้มใส่เดี๋ยวนี้นะ ฉันพลอยหวั่นไหวตามไปด้วย


“ถามมาได้ อาหารโรงพยาบาลไม่เห็นอร่อยเลย คนอื่นๆก็ไม่ว่างกัน ถูกทอดทิ้ง สงสารนนท์หรือเปล่า อยู่เฝ้านนท์ก่อนนะครับ” แม้จะทำลูกอ้อนใส่ แต่ฉันไม่หลงกลง่ายๆหรอก ขอหยิกเอวทีเถอะ ได้ผลร้องเสียงหลงเชียว ฉันผละออกจากอ้อมกอดของนนท์ออกมา เขาทำตาเขียวใส่
“ทำไรเนี่ย รังแกคนป่วยเหรอ เกิดเจ็บหนักกว่าเดิมจะว่าไง” นนท์ตัดพ้อ



“ก็ไหนบอกว่า ไกลหัวใจไง แหม... ได้ทีมามุขเดิมแบบนี้อีกแหละ นึกว่าน้ำไม่รู้ทันรึไง” ฉันกวนใส่บ้าง นนท์หัวเราะเบาๆ
“ก็ความคิดถึงมันห้ามไม่ไหว มันคงห้ามไม่ไหว... คิดถึงอย่างไรก็ยังคิดถึงเธออยู่อย่างนั้น...” ฮัมเพลงใส่อีก อารมณ์ดีจริงนะพ่อคุณ



“ฮั่นแน่ ยิ้มแล้ว... อยู่กับนนท์ จะเฝ้าคนไข้ ทำหน้าเป็นตูดทั้งวันก็ไม่ไหวนะคร้าบ” นี่ฉันเผลอยิ้มไปตั้งแต่เมื่อไรกัน หุบเลยทันที ตั้งแต่มีลูกสองคนนี่เสี่ยวขึ้นเป็นกองเลยนะนาย บรรยากาศเก่าๆเริ่มแวะเวียนกลับมา นนท์ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่คนที่เปลี่ยนคือฉัน คนที่ไม่รู้ใจตัวเอง



“ทานผลไม้ไหม น้ำจะปอกให้นะ” ฉันเกริ่น ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่ฉันจะมาเจ้ายศเจ้าอย่างอะไรอีกแล้ว ตราบใดที่นนท์ยังรักษาตัวอยู่ที่นี่ ฉันจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบดูแลเขาไปจนกว่าจะหายดีและกลับบ้านได้ ในฐานะของเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่ใช่คนรัก


“น้ำทำอะไร ก็อร่อยทั้งนั้นแหละ” นนท์หยอด ระหว่างที่ฉันทั้งปอกเปลือกและหั่นผลไม้หลายๆอย่าง คละๆกัน ยกมาเสิรฝเขา นนท์หลับตาพริ้ม อ้าปากรอป้อน หมั่นไส้จริงๆ ฉันวางจานลงอย่างไม่เต็มใจ ทำประชด นนท์ลืมตาข้างนึงและขมวดคิ้ว



“ป้อน อ่ะ ป้อน...”
“กินเอง เดี๋ยวก็เป็นง่อยหรอก จะกินหรือไม่กินล่ะทีนี้ ลีลาเยอะจังนะนาย” ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นนท์ก็ไม่หยุดลดราวาศอกง่ายๆอยู่ดี
“ก็ได้...” เขาจิ้มสาลี่ไปชิ้นนึง ทำหน้ากรุ่มกริ่มใส่อีก






“ถ้าไม่ลีลาเยอะ น้ำจะชอบเหรอ... และอีกอย่างอย่างอนให้มาก แก่แล้ว ทำไปก็ไม่เหมือนเด็กเอ๊าะๆรุ่นๆหรอกนะ”
จัดให้สองบึ๊ก... เอาให้ติดคอตายไปเลย

***

ช่วงบ่ายตำรวจมาสอบปากคำนนท์ ฉันออกไปนั่งรอข้างนอกครู่ใหญ่
พอกลับเข้ามา เห็นนนท์ท่าทางซึมๆ ไม่พูดไม่จาอะไร ท่าทางจะเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย


 ก็จริงอยู่ ถึงนนท์จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับหวาน แต่อยากน้อยเธอก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของลูกอยู่ดี เรื่องนี้คงจบด้วยการเป็นคดีอาญา การพยายามฆ่า เป็นเรื่องที่ยอมความกันไม่ได้ ฉันพอเข้าใจ



แต่ในฐานะผู้เป็นพ่ออย่างนนท์ ดูลำบากใจน่าดู เด็กเล็กๆสองคนจะทำใจยอมรับกับเรื่องพรรค์นี้ได้เหรอ



นนท์หลับไปแล้ว ได้เวลาที่ฉันควรจะกลับเสียที


เมื่อครู่ฝ้ายบอกว่าจะมาเฝ้าต่อ ท่าทางใกล้เวลาเลิกงานแล้วล่ะ คงรับเด็กๆมาด้วย





ฉันเองก็นึกกลัวขึ้นมาเหมือนกัน หากเด็กๆพวกนั้นรู้เข้าว่าคนที่ทำให้พ่อกับแม่ของพวกเธอต้องเป็นแบบนี้





คือฉัน จะเป็นอย่างไร
จะเกิดอะไรขึ้น นับจากนี้

***

หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: PakBeob ที่ 26-08-2008 02:59:49
 :เฮ้อ: สงสารเต้
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 11-09-2008 23:06:48
“ขอโทษนะ น้ำก็มีแต่เต้คนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกของน้ำมากที่สุด น้ำสัญญาว่าจะใช้ช่วงเวลาที่เหลือของน้ำอยู่กับเต้ให้มากที่สุด น้ำขอแค่...เต้เชื่อใจน้ำ แค่เชื่อใจกัน อย่า... อย่าไปเลยนะ”




















บทที่สิบเจ็ด





ฉันกับเต้ เราแทบจะไม่ได้เจอกันอีกเลย

แม้ว่าฉันจะมาเยี่ยมนนท์ที่โรงพยาบาลบ่อยๆก็ตาม พลอยทำให้ตัวเองเผลอไผลทึกทักไปเองว่า เป็นไปได้ที่เต้จะเคืองเรื่องที่ฉันเป็นห่วงเป็นใยเที่ยวไปเทียวมาเยี่ยมนนท์อยู่บ่อยๆ

ฉันไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง
หากแต่ว่าฉันอยากจะทำหน้าที่คนดูแลอาการป่วยของนนท์ให้ดีที่สุดจนกว่าอาการของนนท์จะดีขึ้น
ตอบแทนที่เขาช่วยชีวิตฉันเอาไว้
แม้ว่าส่วนลึกๆในใจฉันยังเป็นกังวลอยู่ ฉันจำเป็นจะต้องตัดความคิดนั้นทิ้งไปเสีย

ฉันรู้ว่ามันเป็นภาวะที่สับสนและต้องการหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ฉันต้องทำให้ได้



“ผมไม่ว่าง... แค่นี้ก่อนนะ”



“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...”


“คุณหมอเต้ไม่อยู่ค่ะ ต้องการฝากอะไรไว้ไหมคะ ดิฉันจะเรียนให้ทราบอีกทีนึงค่ะ...”



ฯลฯ ฉันได้ยินประโยคพวกนี้ซ้ำซากมาร่วมเดือนแล้ว

แม้จะได้พบเต้แค่ครู่หนึ่งเมื่อหลายวันก่อน แต่ก็เพียงแค่เจอหน้า ไม่ได้พูดคุยอะไร

ราวกับว่าฉันไม่มีตัวตนอยู่ตรงหน้าเขา มันทำให้ฉันรู้สึกแย่และคิดหาวิธีที่จะต้องคุยกับเต้ให้ได้สักครั้ง

ฉันแทบไม่คิดถึงการแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ระหว่างเรายังมีปัญหาที่ต่างคนต่างเก็บงำ

ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ ค้างคาอยู่


“อ้าว... น้ำ...”
ฝ้ายกล่าวต้อนรับด้วยไมตรีจิตที่ดี พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ทันทีที่เจอฉันเก้ๆกังจะเข้าไปข้างในห้องพิเศษที่นนท์รักษาตัวอยู่ดีหรือไม่

“สวัสดีจ๊ะฝ้าย นี่นนท์ยังนอนอยู่เหรอ” ฉันกล่าวตอบ พร้อมทั้งเหลือบมองคนไข้ที่นอนหลับอยู่นั้น
ก่อนนั่งลงที่โซฟาข้างๆกันนั้น ส่งกระเช้าของฝากให้ ฝ้ายรับไปวางไว้หัวเตียง

“ใช่... มาเยี่ยมทุกวันแบบนี้ รบกวนน้ำแย่เลย”
“นิดหน่อยน่า... ถือซะว่า... ในฐานะเพื่อนน่ะ ว่าแต่... อาการนนท์เป็นอย่างไรบ้าง”

“ประมาณสัปดาห์หน้า หมออนุญาตให้กลับบ้านไปพักฟื้นได้แล้วล่ะ อ้าวเด็กๆมานี่เร็ว...”
หวานกวักไม้กวักมือเรียก หลานทั้งสองของเธอที่เดินออกมาจากห้องน้ำ
ฉันมองตามไป อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นทั้งคู่มาเยี่ยมคุณพ่อของพวกเธอด้วยในวันนี้
พอเห็นฉันก็รีบยกมือไหว้ปะหลกๆ ก่อนวิ่งแถมาหานั่งคั่นกลางระหว่างฉันกับฝ้าย
ฉันเขยิบตัวออกนั่งริมมากขึ้น พลันเห็นนนท์ขยับตัวเล็กน้อย งึมงำๆอะไรไม่รู้เบาๆแล้วหลับต่อไป

“อาฝ้ายขา... นี่ใครเหรอคะ”
แฝดคนนึงชี้มาทางฉัน ฉันเองก็แยกไม่ออกเหมือนกันว่าคนไหนชื่ออะไร
อีกคนรีบชิงถามคนแปลกหน้าอย่างฉันต่อ โดยไม่รอคำตอบจากอาของพวกเธอ ด้วยความใคร่รู้

“น้ามาเยี่ยมพ่อของแพรเหรอคะ”

ฉันยิ้มตอบ ทั้งคู่จ้องตาแป๋วมา
“จ้า... นี่น้องพลัม น้องแพร น้าชื่อน้าน้ำนะคะ”

“น้าน้ำเป็นอะไรกับพ่อของหนูเหรอคะ”
เอาแล้วไง แต่ก็อย่างว่าเด็กคิดอะไรก็พูดแบบนั้นนี่นา ไม่มามัวตลบแตลงกลบเกลื่อน อย่างที่พวกผู้ใหญ่ทำหรอก

ฉันไม่ได้ถือสาอะไรพวกเธอ แต่อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมจะต้องมาถามฉันแบบนี้ เลยตอบไปอย่างไม่ลังเลอะไร

“น้าเป็นเพื่อนของพ่อหนูจ๊ะ...”

จู่ๆทั้งคู่ก็ลงไปกระโดลิงโลดตรงหน้า ส่งเสียงราวกับดีใจอะไรบางอย่าง ฉันกับฝ้ายอดแปลกใจไม่ได้ ฝ้ายชิงดุพวกเธอเบาๆ

“อ้าวเป็นอะไรไปล่ะ เบาๆสิคะ เดี๋ยวพ่อหนูก็ตื่นมาหรอก คุณพ่อไม่สบายต้องพักผ่อนมากๆนะคะ จุ๊ๆๆๆ”
นนท์ครางเบาๆและหันหลังให้ คาดว่ายังหลับอยู่

เด็กทั้งสองทำมือจุ๊ปากเลียนแบบฝ้าย หันไปดูคุณพ่อของตนเอง และหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มแหยงๆนิดๆ

“ก็พลัมกับแพรดีใจนี่นา” ฉันขมวดคิ้วสงสัย ฝ้ายถามกลับไป
“เรื่องอะไรเหรอคะ” ทั้งคู่ปีนโซฟาไปนั่งหลบอยู่ข้างๆฝ้าย พร้อมกับมองมาที่ฉันอย่างระแวงๆ


“นึกว่าน้าคนนี้จะมาเป็นแม่ใหม่ของหนูเสียอีก” สะอึกเลยฉัน แต่ก็แกล้งทำหัวเราะกลบเกลื่อนไป ฝ้ายสีหน้าเจื่อนไปและหัวเราะตาม

“อาฝ้ายขา...” แฝดคนนึงพูดจาออดอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวานแล้วไต่มานั่งตักฝ้าย
“อะไรคะ เดี๋ยวอากับน้าน้ำจะออกไปคุยข้างนอกแปปนึง” ฝ้ายตัดบทและมองมายังฉัน เธอคงมีอะไรอยากจะคุยกับฉันแน่ๆ ฉันตั้งท่าเตรียมจะลุกออกไป และยิ้มให้ทั้งสองอย่างเอ็นดู

“ทำไมคุณแม่ไม่มาเยี่ยมคุณพ่อเลยละคะ” แววตาเศร้าๆสองคู่ส่งผ่านมาถึงฉัน เกือบลืมเรื่องหวานไปเสียสนิท ตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหน กำลังหนีตำรวจอยู่งั้นน่ะเหรอ

“คุณแม่ติดงานอยู่ค่ะ ไว้ถ้าเสร็จงาน คงจะมาเยี่ยมคุณพ่อและน้องพลัมน้องแพรเองและค่ะ” ฝ้ายตอบอย่างไม่ยากเย็น แม้จะเป็นคำโกหกแต่อย่างน้อยก็พอทุเลาให้ทั้งสองคลายความสงสัยได้บ้าง

“...” ทั้งคู่เงียบไม่ยอมพูดจาอะไร ฉันลูบหัวเบาๆเป็นการปลอบโยนปนเวทนา นึกกังวลไปว่า ตัวเองเป็นต้นเหตุ ทำให้เด็กๆพวกนี้มีปัญหา หวานได้สร้างปมขึ้นแก่ลูกๆของตนเองจนได้ ในฐานะคนนอกอย่างฉัน คงทำอะไรไม่ได้มากสินะ

“อยู่กันดีๆในห้องนะคะ เดี๋ยวอามาค่ะ อย่าเสียงดังกันนะ” ฝ้ายละจากทั้งสอง พลางกำชับทั้งคู่เอาไว้  เดินคู่กันกับฉันออกมาจากห้อง เธอเหลือบมองเข้าไปดูภายใน ว่าทั้งคู่จะซนอะไรหรือเปล่า ฉันเดินนำไปนั่งตรงเบาะริมทางเดิน ใกล้ๆกันกับประตูห้อง ฝ้ายมานั่งลงใกล้ๆ








 “หวานมาบ้างหรือเปล่า” ฉันเปิดประเด็นที่คาใจมากที่สุด ฉันไม่ได้กังวลเรื่องที่เธอลอยนวลอยู่อย่างนี้ แต่นึกถึงน้องพลัมน้องแพรที่ถามถึงแม่ของตัวเองเมื่อครู่ ก็อดสงสารไม่ได้


“ฉันคิดว่าเขาคงมาเยี่ยมสองสามครั้ง” ฝ้ายนั่งเหยียดยาว ปล่อยอิริยาบทสบายๆ ตอบไปอย่างไม่คิดอะไร แต่กระนั้นแววตาก็ดูไม่สู้ดีนัก
“ฝ้ายรู้หรือเปล่าว่าหวานไปอยู่ที่ไหนน่ะ” ฉันถามย้ำเรื่องเดิม ฝ้ายถอนหายใจเบาๆ ก้มหน้าไม่ยอมสบตาผู้ฟังที่นั่งอยู่ใกล้ๆนี้


“ฉันไม่ได้คุยกับเขาเลย ฉันเจอแค่แวบนึงแล้วหวานก็หลบไป คงไม่อยากให้ตำรวจรู้น่ะ”


“...” ฉันพยักหน้า เชิงว่ารับรู้ พลันรู้สึกถึงบรรยากาศที่อึดอัดขึ้นมา ที่ฝ้ายเรียกฉันมาคุยด้วย คงมีเรื่องที่ไม่สบายใจบางอย่าง เรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับฉันโดยตรง สัญชาติญาณบอกฉันอย่างนั้น


“น้ำ... ฝ้ายขอถามอะไรหน่อยนะ” ฝ้ายขยับเข้ามาชิด และพูดเบาลง พลางเหลือบมองไปทางห้องที่นนท์นอนพักรักษาตัวอยู่เป็นพักๆ เธอดูประหม่า ไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไร ฉันเองก็พลอยเกร็งตามไปด้วย
“ได้ซิ...ฝ้ายถามมาได้เลย” ฝ้ายนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะ...




“น้ำยังรักนนท์อยู่หรือเปล่า...” ฉันมองหน้าเธอ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ



“น้ำรัก... แต่ในฐานะของเพื่อน ที่จะทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ น้ำกับนนท์ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ฝ้ายก็น่าจะรู้ว่า...”





ฉันอมยิ้ม ไม่ยี่หระกับคำตอบนั้น ตอนนี้ฉันแน่ใจกับตัวเองแล้วจริงๆว่าฉันกับนนท์คืออดีต คือความทรงจำ


ทางของแต่ละคนต่างก็ห่างกันออกไปเรื่อยๆ ฝ้ายเบือนหน้าไป Q&Aระหว่างเธอกับฉันคงไปจบแค่นี้ เธอยังคงมีอะไรที่ยังค้างคาใจอยู่


“แล้วกับเต้ล่ะ...” ฝ้ายหันหน้ากลับมา แววตาดูหม่นเศร้า ฉันมองตอบ ก่อนกระท่อนกระแท่นตอบ ไม่อยากให้ใครพูดถึงเต้ ตอนนี้เลยจริงๆ

“ตอนนี้ ทุกอย่างในชีวิตของน้ำ คือเต้ น้ำขาดเขาไม่ได้จริงๆ แต่ว่า...”



“เธอสองคน มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า...” ฝ้ายดึงมือฉันไปกุมไว้แต่ฉันกลับรู้สึกอึดอัดมากกว่า ฉันพอจะเดาออกว่าฝ้ายรู้สึกอย่างไรกับเต้ ไม่รู้ว่าตัวเองจะควรพูดเรื่องนี้ดีหรือไม่


“เขาไม่คุยกับฉันมาเดือนนึงแล้ว... อาจจะเพราะที่ฉัน... ต้องมาดูแลนนท์ อาจจะเป็นไปได้ว่านี่คือสาเหตุ” ต่อมน้ำตาเริ่มทำงาน ปริ่มๆแต่ก็พยายามกลั้นเอาไว้ ฝ้ายจับฉันเงยหน้าขึ้น และเขย่าตัวฉันเบาๆ


“ต่างคนต่างไม่กล้าแบบนี้ มีแต่จะแย่ลงนะ ไปพูดคุยกันดีๆ เต้ไม่ใช่คนที่เข้าใจอะไรยากเย็นอย่างนั้นหรอกนะ” ฉันเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอตรงๆ พลางเช็ดรื้นน้ำตาที่เอ่อนั้นออก ฝ้ายที่ฉันรู้จัก เวลาเจอเต้ทีไรแทบจะกัดกันทุกครั้งไป กลับกลายเป็นว่าเธอรู้จักนิสัยของเขาข้อนี้ดีในขณะที่ฉันกลับมองข้ามไปเสียสนิท ถ้าอย่างนั้น


“ฝ้าย... พูดอย่างกับ...” ฉันจ้องเธอแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอยิ้มเจื่อนๆและตอบฉันก่อนที่ฉันจะพูดอะไรไปมากกว่านี้

“น้ำ ฉันเป็นเพื่อนกับเธอมานาน ฉันคิดว่าเธอคงดูออกที่ฉันรู้สึก” แววตาของเธอดูเจ็บปวดระคน การเลือกที่จะเก็บงำความรู้สึกดังกล่าวไว้ในใจคนเดียวมาโดยตลอด บัดนี้เธอได้เผยมันออกมาอย่างไม่อาย สมมติฐานของฉันเป้นจริง ฝ้ายชอบเต้จริงๆ

“จริงเหรอ...” ฉันถามย้ำ แทบจะไม่เชื่อตัวเอง ฝ้ายลูบมือที่กุมไว้เบาๆเป็นเชิงปลอบประโลม

“แต่ฉันไม่มีวันทำแบบหวาน ไม่มีทางทำให้เธอกลับมาชอบนนท์เหมือนเดิม ใจเธอไม่ได้อยู่ที่นี่และในเมื่อคนที่เต้รักคือ... ไม่ใช่ฉัน” ฉันอึ้งกิมกี่ จู่ๆฝ้ายมาสารภาพเรื่องนี้กับฉัน แต่ก็ดีที่บอกกันตรงๆ เพราะฉันวางใจเธอมากที่สุดในฐานะเพื่อนคนสำคัญของฉัน ฉันกอดเธอ เธอตบหลังฉันเบาๆ


“ฝ้าย...” ฉันพึมพำเบาๆ



“ฉันเพิ่งเจอเต้ก่อนเธอมาไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ปรับความเข้าใจกันซะ ฉันไม่อยากเห็นเต้ต้องมานั่งบ่นเรื่องเธอกับฉันอีก ฉันคิดว่าเขายังอยู่ในห้องทำงานนะ น้ำไปหาตอนนี้เลยก็ดีนะ ดีกว่าคอยหลบหน้ากันแบบนี้”


ฉันซาบซึ้งเธอมากจริงๆ การแอบรักใครสักคนฉันพอจะเข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่ต้องทนเก็บความรู้สึกไว้เองฝ่ายเดียว แต่การที่ได้เห็นคนรักของตัวเองมีความสุขก็มีความสุขแล้ว ฝ้ายเลือกที่จะรู้สึกอย่างนั้น เพราะว่าฉันหรือเปล่า...

แต่ฉันเชื่อว่าโลกนี้คงไม่ใจร้ายกับเธอหรอกนะ ซักวัน ฝ้ายคงได้พบกับคนดีๆที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตของเธอ... ฉันเชื่ออย่างนั้น


“ขอบใจนะ” ฝ้ายผละตัวฉันออกและต่างลุกขึ้นพร้อมกัน


“ฉันต้องเข้าไปแล้ว พลัมกับแพรจะซนอะไรหรือเปล่าไม่รู้” เธอโบกมือลาฉัน พลางยึกยักกำปั้นแนบกับตัวแทนสัญลักษณ์ให้ฉันพยายามเข้า ฉันโบกมือให้ พลางพยักหน้าตอบ แล้วหันหลังเดินไปห้องทำงานของเต้ทันที















ฉันเปิดประตูเข้าไปข้างในห้อง เป็นจังหวะที่เต้เงยหน้าขึ้นมามองพอดี แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป ฉันปิดประตู
“เต้...” น้ำเสียงของฉันเรืยกชื่อคนที่อยู่ตรงหน้านี้เบาๆ

“มีอะไรเหรอน้ำ...” เต้ยังคงง่วนทำงานต่อไป ฉันรู้สึกอึดอัด เต้ทำราวกับว่าฉันไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น ฉันจำเป้นต้องเอ่ยปากถามเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบและครุมเครือลง


“พักนี้ เหมือนน้ำไม่ค่อยได้เจอเต้เลยนะ งานยุ่งเหรอ”

“งานยุ่งซิ ใกล้เทศกาลแล้ว ต้องมีเตรียมประชุมกันอีก” ฉันถามคำ เต้ตอบคำ อารมณ์ฉันเริ่มกระเจิดกระเจิงไปแล้ว ฉันเดินไปตรงหน้าโต๊ะทำงานเขา
“เพราะน้ำ... น้ำเองก็มีส่วนด้วยใช่ไหม...”

“ไม่ใช่ซะหน่อยน่า... ไว้เดี๋ยวเราค่อยคุยกันทีหลังนะ” เต้ถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย ฉันนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวด้านหน้านั้น หันหน้าไปทางด้านนอกอาคาร รถราเบื้องล่างแล่นควั่กไขว่ เสียงเครื่องยนต์ครางระงมเบาๆเมื่อผ่านเข้ามาด้านใน ฉันตัดพ้อเต้

“น้ำรู้นิสัยเต้ดีนะ มีอะไรเราพูดกันตรงๆไม่ดีกว่าเหรอ” ฉันหันมาทางเต้
“น้ำกับนนท์ ไม่ได้มีอะไรอย่างที่เต้คิดหรอกนะ ต่างคนต่างมาไกลกันมากแล้ว ไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก”

“เรื่องนี้มาบอกกับเต้ทำไม” เต้ละจากเอกสาร มาเผชิญหน้าฉันอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่สายตราดูแข็งกร้าวราวกับฝืนความเจ็บปวดของตนเองเอาไว้ ทำฉันหวาดขึ้นมา แต่ก็ใจแข็งพูดต่อ

“น้ำรู้ดีว่าเพราะเรื่องนี้แหละ เต้น่าจะฟังน้ำบ้างมากกว่าคิดเองเออเองไปคนเดียว”

“ใครบอกว่าคิดเองเออเอง ก็เห็นอยู่ทนโท่แบบนั้น”


เต้ต้อนฉันจนมุม ฉันไม่กังวลอะไร เพราะอย่างไรเขาก็ต้องเข้าใจสิ่งที่ฉันได้ทำลงไป การที่นนท์เอาตัวมารับกระสุนนั้น ฉันจำเป็นที่จะต้องดูแลเป็นการตอบแทน แต่ถ้ามากกว่านี้คงทำไม่ได้
“น้ำ... ไม่ปฏิเสธหรอกนะ แต่น้ำมาพูดกับเต้วันนี้แค่อยากให้เชื่อใจกันบ้าง”


ฉันไม่ใช่ผู้ร้ายปากแข็ง แต่การที่เรากลับมาคบกันอีกครั้งนั้นน่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีว่าฉัน...
ฉันยอมที่จะทิ้งอดีตของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว
“เพราะเต้... เชื่อน้ำ แล้วไงล่ะ สุดท้ายทุกอย่างก็เหมือนเดิม น้ำแค่สงสารเต้เท่านั้น”
เต้ทำท่าจะเดินออกจากห้องนี้ไป ฉันลุกขึ้นทันที
“ไม่ใช่... และน้ำก็รู้ด้วยว่าใจน้ำรู้สึกอย่างไรในตอนนี้”

ฉันวิ่งไปโอบเขาจากด้านหลัง เขาหยุด ฉันซบหน้าของตัวเองกับแผ่นหลังของเต้ พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
 “น้ำ... เต้รักน้ำมากนะ”
“ขอโทษนะ น้ำก็มีแต่เต้คนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกของน้ำมากที่สุด น้ำสัญญาว่าจะใช้ช่วงเวลาที่เหลือของน้ำอยู่กับเต้ให้มากที่สุด น้ำขอแค่...เต้เชื่อใจน้ำ แค่เชื่อใจกัน อย่า... อย่าไปเลยนะ”

ฉันพยายามกอดเขาแน่นยิ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าเต้พยายามจะขืนตัวเองให้หลุดออกไป เขาค่อยๆหมุนตัวกลับมากอดฉันตอบบ้าง พลางลูบหัวเบาๆ
“พูดอะไรแบบนั้น น้ำจะต้องอยู่กับเต้ไปอีกนานเลยนะ”

น้ำเสียงของเขาฟังดูนิ่มนวลขึ้น ฉันสบตาเขา แววตาของเต้ไม่ดูกร้าวแบบเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนที่ฉันรู้สึกและสัมผัสได้ เป็นเต้ที่ใจดีและสุภาพคนเดิมที่ฉันรู้จัก
“แค่ได้ยินคำว่าขอโทษ... ก็หายโกรธแล้วล่ะ”


เต้ค่อยๆโน้มใบหน้าลงมา เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่รู้เรื่องของฉันออกไป
และจุมพิตที่หน้าผากเบาๆ
หน้าของฉันเริ่มแดงเรื่อ... พลันประตูเปิดโผล่งออก



“... ขอโทษนะ... ตามสบายนะจ๊ะ” ฝ้ายรีบปิดประตูทันที ฉันแอบเห็นเธอชูนิ้วโป้งให้เต้ด้วย

“นี่... มันอะไรเหรอ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” ฉันทุบอกเต้ เขายิ้มแห้งๆและกอดฉันแน่นกว่าเดิม ใจฉันเต้นรัวด้วยตื่นเต้น ปนกับความโกรธ

“ถ้าไม่ทำแบบนี้ น้ำก็ไม่ยอมมาสารภาพกับเต้ตรงๆหรอก ว่าแต่เต้ปากแข็ง น้ำก็เหมือนกันแหละน่า...” ที่แท้ก็รวมหัวกันวางแผนนี่เอง งอนแล้วนะ ฉันเบ้ไปทางอื่น ดีละคราวนี้จะเอาคืนบ้างล่ะ คอยดู


“ทำไมถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์น้ำ” ฉันเปิดฉากสอบสวนทันที

“ก็คนมันงานยุ่งจริงๆนี่นา... จะโทรไปก็ดึกแล้ว เลยคิดไม่รบกวนน้ำดีกว่า” ข้างๆคูๆนะ โอเค ยกโทษให้ก็ได้ ต่อไป

“ที่คอนโดก็ไม่อยู่ ถามเขาก็บอกว่าย้ายไปแล้ว นี่มันอะไรกัน...”

“...” เต้นิ่งไป ฉันถมึงตาใส่ จะเค้นเอาคำตอบเสียให้ได้เดี๋ยวนั้นแหละ

“ก็ได้ๆ ดุตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงานเลยนะ... อะนี่...”

เต้ละจากตัวฉัน เดินไปที่โต๊ะ พร้อมดึงโฉนดที่ดินใบหนึ่งออกมา

“ผม... กะจะเก็บไว้เป็นของขวัญให้คุณหลังจากที่เราแต่งงานกัน”

เต้เขินเล็กน้อย  ก่อนยื่นให้ ฉันรับอย่างไม่เต็มใจเท่าไร ทันทีที่ได้ดู แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง มือไม้สั่น รีบวางโฉนดแผ่นนั้นลง

“บ้านของเรา...”
 เต้เดินอ้อมโต๊ะมาประคองไหล่ฉันไว้ พลางชิดตัวฉันมากขึ้น
เราสื่อสารทางสายตาอย่างเข้าใจ รับรู้ถึงความต้องการของกันและกัน

ริมผีปากของเต้เลื่อนต่ำลงมา ฉันหลับตาตอบรับสัมผัสนั้น

ช่างเนิ่นนาน อ่อนหวาน แทบจะลืมเลือนวันเวลาที่หมุนผ่านไปเรื่อยๆ

“เต้ไปรับชุดมาแล้วนะ” เสียงของเต้พลันเอ่ยขึ้นเบาๆ ทำเอาฉันหลุดออกจากพะวังของรสจูบที่เขาหยิบยื่นให้

แก้มของฉันสีเข้มขึ้น เราละจากอ้อมกอดของกันละกัน
เต้จูงฉันไปดูชุดแต่งงานที่แขวนไว้มุมห้อง ฉันแทบจะไม่ทันได้สังเกต 
ชุดกระโปรงสีขาวยาวประดับมุขและลูกไม้ ฉันกุมปากของตัวด้วยด้วยความตื้นตัน
ที่ผ่านมามัวแต่กังวลเรื่องของเต้จนลืมเรื่องงานแต่งงานไปเสียสนิท
เต้ยังคงให้ความสำคัญฉันอยู่เสมอ ความรักที่เขามีให้ฉันยังคงสม่ำเสมอไม่ลดเลือนไป




เราเดินทางมาสู่จุดสำคัญจุดหนึ่งที่ใครหลายคนปรารถนา...






การแต่งงาน...

***


หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)
เริ่มหัวข้อโดย: ปั่ น ป่ ว น ที่ 20-09-2008 20:58:09
เอร้ยยยยย จะแต่งงานกันแล้ว
.
.
หวังว่า น้ำกับเต้ จะสมหวังกันนะ  o7
หัวข้อ: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2) บทที่18
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 27-09-2008 12:17:36









นาทีนี้ เราสองคนได้กลายเป็นสามีภรรยาโดยสมบูรณ์ ชีวิตคู่กำลังเริ่มต้น ฉันป้องมือบังแสงแดดเจิดจ้าที่เริ่มเผยออกมาจากกลีบเมฆ ราวกับเปิดทางให้กับรูปแบบชีวิตที่ฉันเฝ้าปรารถนา ฉันมองคู่ชีวิตที่ยื่นอยู่เคียงข้างกันด้วยความชื่นชมเสมอ ไม่น่าเชื่อว่าทางเดินของเราทั้งคู่จะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง


















บทที่สิบแปด




   ฉันนั่งอยู่หน้ากระจกห้องแต่งตัว ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ตื่นเต้นจังที่ได้ใส่ชุดเจ้าสาว ไม่น่าเชื่อเลยว่าตนเองจะมีโอกาสอย่างเช่นวันนี้ ด้วยความที่ฉันประหม่าเกินไปหรือเปล่า ทั้งช่างแต่งหน้าและทำผมคอยเอาแต่ดุว่าฉันให้อยู่นิ่งๆเสียบ้าง โดยเฉพาะหน้าต้องคอยลบแล้วแต่งใหม่อยู่เรื่อย

   ชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธ์ที่ฉันได้แต่เฝ้าฝันว่าครั้งหนึ่งจะมีโอกาสได้สวมใส่มันสักครั้ง แทบไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ฉันจะได้รับโอกาสนั้น ฉันลูบไล้เนื้อผ้านั้นเบาๆ พิสูจน์ว่าตัวฉันไม่ได้ฝันไป ฉันก้มหน้าให้ช่างแต่งผม กลัดผ้าคลุมโดยดี ฉันมองภาพของตัวเองในกระจกราวกับมีใครบางคนที่ไม่ใช่ตัวของฉันอยู่ตรงหน้านั้น เธอพิศซ้ายพิศขวาดูความงามของตัวเอง และปรายยิ้มเล็กน้อย ผมเกล้าเป็นมวยเก็บไว้ มีปอยผมดัดตกลงมาเล็กน้อยไม่ให้ดูเรียบจนเกินไป ฉันหยิบจี้กางเขนที่ถอดวางไว้กับโต๊ะเครื่องแป้ง อธิษฐานให้งานวันนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดี

แม้บ้านของฉันจะไม่ใช่ครอบครัวคริสเตียน แต่พ่อกับแม่ก็ยินยอมให้ฉันจัดงานตามพิธีทางศาสนาที่ฉันนับถือนี้ ด้วยความอนุเคราะห์ของท่านสาธุคุณที่กรุณาให้ฉันจัดงานแต่งงานได้ในโบสถ์เล็กๆแห่งนี้ แม้ในตอนแรกฉันจะกังวลกับข้อห้ามที่ปรากฏในพระคัมภีร์นั้นก็ตาม

งานเล็กๆที่มีแขกเหรื่อคือคนในครอบครัวและคนรู้จักเพียงไม่กี่คน
ไม่มีการจดทะเบียนสมรสเป็นหลักฐาน เป็นเครื่องผูกมัด
แต่สิ่งที่เรามี คือ ความรัก คือความเชื่อมั่นและเชื่อใจกันและกัน ที่เพาะบ่มมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน
บัดนี้ พร้อมที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์

“ไงลูกสาวของแม่ วันนี้สวยจริงๆเลยนะจ๊ะ” แม่เกาะไหล่ฉัน เอ่ยชมเบาๆ ฉันคว้ามือของแม่ไว้และหมุนตัวไปหาเจ้าของเสียงนั้น
“แม่คะ หนูตื่นเต้นจัง พ่อไปไหนแล้วละคะ” ฉันลืมตัวบีบมือของแม่เสียแน่น ท่านไม่ว่าอะไร นั่งลงข้างๆและลูบใบหน้าของฉันเบาๆ
“พ่อเขาไปดูความเรียบร้อยในงานอยู่น่ะ เราอยู่กันสองคนน่ะดีแล้ว นี่แม่มีของจะให้นะ”

แม่ส่งซองสีขาวให้ ฉันรับไปเปิดดูภายใน สมุดบัญชีเงินฝากสีซีดจาก พิมพ์ชื่อฉันประทับไว้ ฉันเดาได้ไม่ยากว่าท่านทั้งสองเพียรสะสมมาตั้งแต่ฉันยังเด็กจนกลายเป็นเงินก้อนหนึ่งโดยที่ฉันไม่ทราบมาก่อน
“แม่คะ แต่นี่มัน...”
“รับไว้เถอะจ๊ะ ลูกควรเก็บเอาไว้ คิดเสียว่าเป็นของขวัญวันแต่งงานจากพ่อกับแม่ละกันนะ” แม่ยัดเยียดให้ฉันรับเอาไว้ เป็นทุนเมื่อใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันกับเต้ อันที่จริงแล้ว ฉันไม่อยากจากพวกท่านไปไหน อยากอยู่ใกล้ๆท่านมากกว่า แต่เต้พยายามโน้มน้าวจนทั้งสองยินยอมให้ฉันย้ายออกไปอยู่ด้วย

“ขอบ... ขอบคุณนะคะ แม่...” ฉันประนมมือกราบแทบตักของแม่ ที่ผ่านมาฉันไม่ได้ทำตัวให้เป็นลูกที่ดีเท่าไร รังแต่ป่วยกระเสาะกระแสะให้พ่อต้องคอยเป็นกังวลตลอด ท่านประคองฉันขึ้นมา ซับน้ำตาเบาๆ

“อย่าร้องไห้นะ เดี๋ยวไม่สวยหรอกนะ” แม่ล้อฉันอายุอานามจะปาไปเลขสามยังจะมาทำขี้แยอีก
“แม่คะ...” ฉันสะอื้นเบาๆ สีหน้าของแม่ราวกับอ่านใจฉันออก ท่านเอ่ยสั้นๆ
“ว่างๆ ก็มาเยี่ยมพ่อกับแม่นะ”

“ค่ะ” ฉันตบปากรับคำ ฉันจะไม่มีวันลืมพ่อกับแม่ที่มีบุญคุณกับฉันมาตลอดไปได้ แม้เพียงน้อยนิดหากสามารถทำให้ท่านทั้งสองมีรอยยิ้ม มีความสุขได้ ฉันยินดีทำสุดกำลังความสามารถที่ตัวเองมีเลยทีเดียว

“น้ำ... น้ำ... อยู่หรือเปล่า... เธอสวยจัง...” ฝ้ายตะลีตะลานเข้ามา หายใจเหนื่อยหอบ พลางเอ่ยปากชมฉัน ฉันยิ้มให้ แม่หันไปทักทายเธฮ เธอไหว้แม่ของฉัน
“มีอะไรเหรอจ๊ะ หนูฝ้าย” แม่เกริ่นถามด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวล

“คุณนุสบาถามหาคุณน้าน่ะค่ะ พิธีใกล้เริ่มแล้ว”
“รู้แล้วจ๊ะ งั้นเดี๋ยวแม่ออกไปก่อนนะจ๊ะ ประเดี๋ยวพ่อคงมารับลูกนะจ๊ะ” แม่ตอบเธอและลุกขึ้น ท่านหอมแก้มฉันเบาๆและตามฝ้ายออกไป ฝ้ายยักคิ้วหลิ่วตาให้
“น้ำจะตามไปนะ” ฉันหัวเราะเบาๆ มองตามแม่จนประตูปิดลง ก่อนหันกลับมาจันหน้ากับกระจกอีกครั้ง ช่างแต่งหน้า ช่างแต่งผมจับกลุ่มเม้ากันอยู่อีกมุมห้อง โปรยยิ้มให้ฉันเสียหลายครั้ง ฉันหมุนซ้ายขวาตรวจดูความเรียบร้อยก่อนจะลุกออกไป





พลันเจ็บทรมานในอก ฉันเกือบเสียหลักล้มลงกับพื้น โชคดีที่มือยังป่ายเกาะขอบโต๊ะเครื่องแป้งไว้ ฉันเหลียวดูคนกลุ่มนั้น พวกเธอยังเพลิดเพลินกับการคุยอย่างออกรส ไม่ทันได้สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นทางนี้ ฉันทรุดลงนั่งตามเดิม หายใจเข้าออกช้าๆ ปรับให้ร่างกายกลับมาดีดังเดิม

“แค่ก... แค่ก...” ฉันรีบคว้ากระดาษทิชชู่มาซับเลือด บนโต๊ะออกไป อีกทั้งซับเลือดกำเดาที่จู่ๆก็ไหลออกมาไม่รู้ตัวตามมานั้น ฉันเงยหน้าขึ้น ความคาวขอเลือดที่ไหลคอนั้น ทำฉันแทบคลื่นไส้ ฉันหยีตาเล็กน้อยก่อนมองไปเบื้องบน มือทั้งสองข้างเกาะกุมกัน อธิษฐาน

“ขอร้องละ อย่าเป็นอะไรไปเลยนะ พระผู้เป็นเจ้าคะ ขอน้ำได้ไหม แค่วันนี้ ได้โปรดเถอะคะ”
เมื่อแน่ใจว่าเลือดหยุดไหลแล้ว ก้เอาทิชชู่ออก พร้อมซับคราบเลือดออกไม่ให้เหลือ ตบแป้งกลบ พยายามฝืนที่จะไม่ไอออกมา ฝืนยิ้มเจื่อนหน้ากระจก



“น้ำ ได้เวลาแล้วล่ะ” พ่อเดินเข้ามาในชุดสูทสีขาวเต็มยศ พร้อมกับฝ้าย ที่ฉันเชิญมาเป็นเพื่อนเจ้าสาว เด็กแฝดก็มาในชุดกระโปรงระบายสีขาว ทำหน้าเป็นเด็กถือแหวน ฉันโกยเศษทิชชู่ทิ้งลงใต้โต๊ะ เดินออกมาพร้อมกับพ่อเตรียมเข้าไปภายในโบสถ์


พิธีจุดเทียนเริ่มขึ้นไปแล้ว โดยลูกพี่ลูกน้องของฉัน เธอทั้งคู่ยังเป็นเด็กสาวอายุไล่เลี่ยกัน พ่อกับแม่เป็นคนชักชวนให้มาร่วมพิธี พวกเธอนำเทียนเปล่าไปต่อไฟจากแท่นเทียนที่อยู่ด้านหน้าของโบสถ์ และนำไปจุดยังเชิงเทียนด้านซ้ายขวา เป็นการเริ่มต้นพิธี

เปียโนและดนตรีอื่นบรรเลงขึ้นต้อนรับ ประตูโบสถ์เปิดออก พลัมและแพรเดินนำอาดๆ คนหนึ่งโปรยกลีบอกไม้สีขาวและแดงทั่วทางเดิน ส่วนอีกคนถือถาดแหวนหมั้นตามมา แขกเหรื่อพลันลุกขึ้นอย่างรู้หน้าที่ และเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าสาว ฉันเดินก้มหน้างุดค่อยๆเดินอย่างระมัดระวัง เกรงว่าจะเงอะงะเหยียบชายกระโปรงชุดของตัวเองเข้า  พ่อของฉันยืดอกเดินควงฉันมาข้างๆในฐานะพ่อของเจ้าสาว ฉันแอบสบตาท่านแว่บหนึ่ง ท่านส่งยิ้มให้ราวกับต้องการปลอบใจฉันว่าไม่ต้องเกร็ง

ฉันมองตรงไปเบื้องหน้า ทุกสิ่งล้วนแปลกตาและน่าอัศจรรย์ใจ ดอกไม้สีขาวแซมสีแดงจัดเป็นช่องดงามประดับอยู่รายรอบบริเวณ ฉันประคองช่อดอกไม้ที่ถือไว้อย่างมั่นคง ผ่านที่นั่งแขก ทั้งที่เป็นญาติของเต้ และของฉัน


พลันสายตาไปพบกับนนท์ เขานั่งอยู่ทางซ้ายมือ ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร







***
 หลังจากที่ปรับความเข้าใจกับเต้เรียบร้อยแล้ว ฉันเองยังคงสามารถมาเยี่ยมนนท์ได้ตามปกติโดยที่เต้ไม่ได้ว่าอะไร อาจเป็นเพราะเขาวางใจฉันมากขึ้นก็ได้ และเป็นจังหวะบังเอิญที่วันนั้นฉันได้พบกับแม่ของนนท์อย่างไม่ได้ตั้งใจ
“นี่... เธอเองหรอกเหรอ...” เธอเอ่ยปากทักทายอย่างไม่เต็มใจนัก ฉันละมือจากลูกบิดประตูและยกมือไหว้เธออย่างเกรงๆ
“สวัสดีค่ะ คุณน้า สบายดีเหรอคะ” เธอรับไหว้อย่างขอไปที และพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้ดูโอภาปราศัยและเป็นมิตรมากขึ้น
“ก็ตามประสาคนแก่แหละจ๊ะ ขอบใจนะที่เป็นธุระมาเฝ้าให้ รู้สึกตานนท์จะดีวันดีคืนเร็วเหลือเกิน”
“เอ่อ... ไม่หรอกค่ะ หนูแค่” ฉันบอกปัดไป พลางเหลือบมองที่เตียงนนท์ครู่นึง เธอเหลียวไปมองตาม


“นี่เขาหลับแล้วใช่ไหม”
“ใช่ ได้พักใหญ่แล้ว” เธอหลีกให้ฉันวางของฝากลงบนโซฟา ก่อนจะพยักเพยิดให้ฉัน
“ตามฉันออกมาคุยข้างนอกหน่อยซิ” ฉันเดินตัวงอตามไป ปิดประตูห้อง เธอหันมาจันหน้าฉัน และยิ้มมุมปากเย้ยเล็กน้อย
“ฉันรู้เรื่องแล้ว ตัวการของเรื่องนี้ก็คือเธอนี่เองละซินะ”

“หนูเปล่านะคะ ที่จริง เรื่องนี้...” ฉันจ้องเธอไม่วางตา รู้สึกอึดอัดเหลือเกิน อีกฝ่ายแทรกขึ้นมาขณะที่ฉันพูดยังไม่ทันจบ
“ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจเสียทีนะว่า เรื่องของเธอกับนนท์น่ะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เขามีครอบครัวแล้วนะ ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดีแต่เพราะเธอคนเดียวที่พังมัน” เธอเปิดฉากต่อว่า ฉันรีบสวนกลับทันควัน ในเมื่อครั้งนี้ฉันไม่ได้เป็นฝ่ายผิด และฉันก็มีสิทธิที่จะปกป้องตัวเอง

“ที่ผ่านมา หนูไม่ได้ติดต่ออะไรกันกับนนท์ แทบไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร สบายดีไหม หนูทราบดีค่ะว่าคุณน้ารู้สึกอย่างไร หนูบอกคุณน้าได้แค่ว่า พอเขาหายดี ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว เราก็จะไม่มีอะไรต้องเกี่ยวโยงกันอีก” แม่ของนนท์ดูจะอึ้งๆไป เธอยังหยั่งเชิงฉันต่อ

“ครั้งนี้น่ะ ฉันจะเชื่อเธอได้มากแค่ไหนล่ะ” ฉันหยิบการ์ดในกระเป๋าสะพายและยื่นให้เธอ เธอพินิจมันครู่หนึ่งก่อนวางสีหน้าเรียบเฉย
“งั้น... ก็วันนี้เลยค่ะ ฝากบอกเขาด้วยนะคะ เดือนหน้าหนูจะแต่งงานแล้ว ขอบคุณที่ช่วยชีวิตและดีกับหนูมาตลอด”

“ดีมากจ๊ะ น้าก็ขออวยพรให้หนูมีชีวิตคู่ที่มีความสุขตามแบบคนประเภทอย่างหนูละกันนะ” ริมผีปากทรงกระทะคว่ำค่อยๆปรับเป็นหงาย แต่ยังไม่วายจิกกัดด้วยวาจาที่ไม่ค่อยรื่นหูเท่าไรนัก ฉันคงไม่ต้องถือสาอะไร จะถือเสียว่านั่นเป็นคำอวยพรละกัน
“ขอบคุณค่ะ งั้นหนูลานะคะ” ฉันไหว้ลาเธอ แต่ไม่ทันไรเสียงหนึ่งร้องปรามเอาไว้



“น้ำ...” นนท์เดินออกมาพร้อมกระปุกน้ำเกลือ สายตาเว้าวอนวิตก ฉันมองสีหน้านั้น รู้สึกว่าฉันควรจะจากไปเร็วกว่านี้
“จะ... กลับแล้วเหรอ น้ำ... แม่พูดอะไรกับน้ำ น้ำ...ผมไม่อยากให้น้ำไปอีก” แม่ของนนท์หลบสายตาเขาไป ฉันรีบกลบเกลื่อนไม่ให้เกิดเรื่องลุกลาม ไม่ให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องเสื่อมถดถอยลง

“คุณน้าไม่ได้พูดอะไรกับน้ำหรอกนะ แต่อาการของนนท์ก็ดีขึ้นแล้ว มันถึงเวลาที่น้ำต้องไปจริงๆเสียที” ฉันฝืนๆยิ้มให้ นาทีนี้ ฉันควรจะตัดให้ขาดจริงๆ ฉันกำสายสะพายกระเป๋าไว้กับลำตัวแน่น บรรเทาความประหม่าของตัวเองลง

“...” ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากปากของนนท์ เขาก้าวมาข้างหน้าช้าๆ แม่ของนนท์คอยดูอยู่ห่างๆก่อนหลบฉากเข้าไปในห้อง เหลือเพียงเราสองคนบนทางเดินที่ทอดยาวไปทั้งสองฝั่ง ฉันยิ้มให้เขา รอยยิ้มสุดท้ายที่จะมีให้เขาได้ หน้าที่ของฉันหมดลงแล้ว

“ขอบคุณนะ นนท์ กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเพื่อน้ำ”

“พูดแบบนั้น ทำไม... นนท์ต้องขอบคุณน้ำมากกว่า” นนท์โอบร่างฉันไว้ด้วยตระถึงความพ่ายแพ้ของตนเอง จวนเจียนจะร้องไห้ ฉันยืนนิ่งยอมให้นนท์กอดโดยดี ไม่มีทางที่จะลืมเลือนเรื่องราวดีๆที่เราเคยคบกัน เนิ่นนานเหลือเกิน

“นนท์... แม่ของนนท์มองอยู่นะ” ฉันเหลือบมองประตู แม่ของนนท์ส่งสายมาอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก นนท์กระชับอ้อมกอดนั้นไว้แน่นขึ้น ใบหน้าของฉันแนบชิดกับอกแกร่งที่ฉันเคยคุ้น รอยแผลกระสุนยังคงพันไว้อย่างหลวมๆ คงจะทิ้งรอยแผลเป็นจางๆติดตัวของนนท์ไปตราบที่เขามีลมหายใจอยู่

“ช่างเถอะ นนท์ขอแค่นี้เท่านั้น เพราะต่อไปนนท์จะกอดน้ำไว้แบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว นนท์ดีใจที่น้ำได้เจอคนดีๆอย่าง... เต้...” นนท์ร้องไห้เบาๆ น้ำตาของเขารินหยดลงบนเส้นผมและแก้ม ฉันเอื้อมมือไปเช็ดเบาๆ มือของเต้คลายจากการที่กอดฉันเมื่อครู่ เกาะกุมมือข้างนั้นของฉันไว้แทน

“ดูแลตัวเองดีๆด้วยล่ะ สองคนนั้นเป็นเด็กที่น่ารัก นนท์ต้องทำหน้าที่พ่อที่ดีด้วยล่ะ รักลูกๆให้มากด้วยนะ” เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องกล่าวคำอำลาแก่เขา แต่ต่างกันตรงที่ครั้งนี้ เราต้องจากกันอย่างถาวร ฉันไม่มีทางที่จะกลับมาคบกับนนท์ได้อีก นนท์ปล่อยมือและก้าวถอยหลังไป ฉันกลับหลังเดินจากไป



“โชคดีนะ...”
“อื้อ...โชคดีนะ” แม้จะรู้ดีว่าลึกๆนนท์ยังคงรู้สึกที่ค้างคาและไม่อยากสูญเสียฉันไป แต่ฉันเชื่อว่าสักวันนนท์คงจะได้พานพบกับสิ่งดีๆตามมา ในฐานะของเพื่อนคนนี้ ยินดีที่จะเป็นกำลังใจให้เขาเสมอ









***
เต้ในชุดทักซิโด้สีขาวยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นพิธี ขยับตัวหันมองฉันด้วยใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติยินดี น้องพลัมและแพรเดินไปนั่งลงข้างๆกันกับพ่อของนนท์และแม่ของนนท์ ฉันยิ้มให้ท่านทั้งสอง

“ใครเป็นผู้มอบเจ้าสาวให้กับเจ้าบ่าวในวันนี้...” ท่านสาธุคุณเอ่ยถาม พ่อหันมาหาฉัน ท่าทางจะลืมบทที่อุตส่าห์ซ้อมมาอย่างยากเย็น ฉันกระซิบท่านเบาๆ พ่อยิ้มแห้งก่อนตอบไป

“ข้าพเจ้า นาย... บิดาของ... เป็นผู้มอบ”
 พ่อส่งตัวของฉันให้เต้ประคองขึ้นไปบนแท่นพิธี ทั้งคู่กระซิบซาบกันระยะหนึ่ง เต้หัวเราะเบาๆและพยักหน้ารับคำ พ่อตบไหล่เขาเบาๆ และเดินแยกไปนั่งที่ ฝ้ายยืนอยู่ตรงฝั่งฉัน ส่วนเพื่อนเจ้าบ่าวอีกคนยืนอยู่ข้างๆเต้

ฉันกวาดสายตาไปรอบๆบริเวณอีกครั้ง ทุกคนต่างยิ้มแย้มร่วมยินดีกับงานที่เกิดขึ้นนี้ แม่งึมงำๆกับพ่อก่อนพยักหน้า ลิ่วล่อให้ฉันหันกลับไป เริ่มต้นทำพิธีกรรม

ท่านสาธุคุณ ผู้ประกอบพิธีอ่านพระคัมภีร์ ในส่วนของการใช้ชีวิตคู่ ภาระหน้าที่ที่เราพึงปฏิบัติต่อกันยามที่เราเป็นสามีภรรยากัน ฉันมองหน้าเต้อย่างขัดเขินภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้น เต้ขยับตัวเล็กน้อยไม่ให้เกร็งเกินไป ยิ้มให้ฉัน ฉันส่งสายตาดุไปแทนการบอกให้เขาตั้งใจฟังพระคัมภีร์ในส่วนนี้อย่างจริงๆจัง
ท่านสาธุคุณปิดพระคัมภีร์ เริ่มต้นพิธีกล่าวคำปฏิญาณ

“คุณ... จะรับชายผู้นี้เป็นสามี ไม่ว่าในยามสุขหรือทุกข์ มั่งมีหรือยากจน สบายดีหรือเจ็บป่วย จะซื่อสัตย์และมั่นคงต่อเขาผู้เดียว หรือไม่” ท่านมองหน้าของฉัน ฉันมองแววตาที่อ่อนโยนคูนั้นของเต้ ก่อนพลั้งคำตอบมาโดยไม่ลังเล
“รับค่ะ”

“คุณ... จะรับหญิงผู้นี้เป็นภรรยา ไม่ว่าในยามสุขหรือทุกข์ มั่งมีหรือยากจน สบายดีหรือเจ็บป่วย จะรักและซื่อสัตย์ต่อเธอตราบลมหายใจจะสิ้น หรือไม่” ท่านหันไปทางเต้ เต้ก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อย ชำเลืองมาทางฉันก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น


“รับครับ”
ฉันอมยิ้มเล็กๆ มือของเต้คว้ามือของฉันไว้ ฉันตื้นตันเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ เรามองตากันเป็นพักๆ ท่านสาธุคุณยิ้มให้และทำพิธีต่อ


“ในที่นี้ มีใคร ต้องการคัดค้านการแต่งงานของทั้งคู่หรือไม่” ฉันสะดุ้งกับคำกล่าวนั้น เหลือบไปมองด้านหลังอย่างระแวง เต้เองก็เกือบซีดไปเหมือนกัน แขกเหรือหันรีหันขวา ฉันไม่ได้สังเกตเลยว่านนท์ไม่ได้อยู่ในห้องพิธีแล้ว เขาออกไปตอนไหนไม่รู้เลย

พักหนึ่ง ท่านสาธุคุณก็ให้น้องพลัมและหลานของเต้อีกคนเดินนำแหวนมา เราต่างสวมแหวนแลกสัญญาพันธะผูกพันระหว่างกัน ฉันยื่นมือรับแหวนวงนั้นที่เต้บรรจงสวมให้ แหวนทองสีชมพูเกลี้ยงประดับอยู่บนนิ้วนางมือซ้ายของฉันอย่างพอดี แทนแหวนเพชรเดิมที่เต้เคยใช้หมั้นฉันไว้ เต้เองก็รับแหวนทองคำ วงที่เคยเป็นของพ่อของฉันไปอย่างเต็มใจ หน้าของฉันเริ่มแดงระเรื่อ เต้จ้องฉันอย่างไม่ละสายตาไปไหน
จู่ๆกลับเกิดหน้ามืดขึ้นมาดื้อๆ ฉันเซถลาไปหาเขา เต้ประคองฉันไว้

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าน้ำ” สีหน้าของเต้ดูเป็นวิตกกังวล ฉันยิ้มกลบเกลื่อน จับไหล่ประคองตัวเองยืนขึ้นตาเดิม
“ไม่มีอะไรหรอกเต้ คงแค่หน้ามืดนิดหน่อย น้ำคงตื่นเต้นมากไปนะ”

“งั้นทำพิธีต่อเลยนะครับ” เต้หันไปบอกท่านสาธุคุณ ท่านพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ และยื่นเอกสารให้เราทั้งคู่เซ็นต์ เป็นการยืนยันสถานะภาพของเราทั้งคู่ที่กำลังจะกลายเป็นครอบครัวอย่างสมบูรณ์

เราต่างลงนามด้วยชื่อของตัวเอง แม้จะไม่ใช่ทะเบียนสมรสจริงๆก็ตาม แต่อย่างน้อยสิ่งนี้ก็เป็นหลักฐานว่าเราทั้งคู่คือคนคนเดียวกัน เต้กอดประคองฉันไว้ ท่านสาธุคุณเซ็นรับรองและส่งคืนให้เราทั้งคู่

ลูกพี่ลูกน้องของฉันทั้งคู่เดินนำเทียนที่จุดแล้วมาให้เราทั้งคู่ ฉันเดินไปจุดเทียนทางด้านซ้าย เต้จุดเทียนทางด้านขวา แล้วย้อนกลับมาจุดเทียนตรงกลาง เป็นเสร็จพิธีกรรมจุดเทียนครอบครัว ทั้งสองรับเทียนของเรากลับไป ท่านสาธุคุณกล่าวอวยพรและประกาศ



“ข้าพเจ้าขอประกาศว่า บัดนี้ทั้งสองได้เป็นสามีภรรยากันโดยสมบูรณ์”



เสียงปรบมือดังกึกก้องระงม ทุกคนต่างลุกขึ้น
“ยินดีด้วยนะ”
“ยินดีด้วย...”


ฉันเกาะแขนเต้เดินอออกมา กลีบดอกไม้โปรยปรายลงมาราวกับสายฝนแห่งความปรีดี เราต่างคนต่างมองหน้ากันด้วยความเคอะเขินระคนปลาบปลื้มใจ
“เอาล่ะโยนช่อดอกไม้มาเลยนะ คอยดูงานหน้าฉันจะเป็นเจ้าสาวเอง” เพื่อนๆของทั้งฉันและเต้ออตรงประตูทางออก ฉันหันไปถามความเห็นของเต้ แทบจะไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมา เต้พยักหน้าให้ฉันโยนช่อดอกไม้ตามแรงยุ

ช่อดอกไม้หมุนคว้างขึ้นไปเบื้องบน สาวๆต่างตะลีตะลาน จดจ่อเคลื่อนไปตามจุดที่ช่อดอกไม้ลอยไปนั้น ราวกับเป็นจราจลย่อยๆ


“อ๊า...”
“ว้าย...” สาวๆส่งเสียเซ็งแซ่ หมายจะคว้าช่อดอกไม้นั่นไว้เป็นของตนเองเต็มประดา ดอกไม้ตกกลืนหายไปในกลุ่มคน ก่อนเฉลยตัวผู้เป้นเจ้าของช่อดอกไม้นั่นอย่างน่าประหลาดใจ

“แหมทันทีเลยเชียวนะ ฝ้าย” เพื่อนคนนึงของฉันเย้า ฝ้ายเอียงอายและเปล่งรอยยิ้มนิดๆ เธอชำเลืองมาทางฉัน ฉันกับเต้หัวเราะเบาๆ เธอตัดพ้อ...
“อย่ามองอย่างนั้นสิ...”


จากวัยรุ่นชายที่เล่นหยอกล้อในสมัยมัธยมปลาย สู่เพื่อนที่สนิทสนมและรู้ใจ เราต้องจากกันเพื่อไล่ตามความฝันของแต่ละคน


ฉันก้าวสู่ตำแหน่งบริหารที่สูงขึ้น

เต้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถและได้รับการยอมรับ

อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้เราได้พบกันอีกครั้ง

ความรู้สึกของเต้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง จะมั่นคงและแน่ชัดขึ้นเรื่อยๆ

เต้ได้พิสูจน์ให้ฉันเห็นแล้ว

ฉันเองที่หลุดวงโคจรไป

แต่เวลาก็ได้เยียวยาและรื้อฟื้นความสัมพันธ์นั้นใหม่

ฉันตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับคนคนนี้ คนที่อ้าแขนรอฉันเสมอ ไม่รังเกียจสิ่งที่ฉันเป็น

นาทีนี้ เราสองคนได้กลายเป็นสามีภรรยาโดยสมบูรณ์

ชีวิตคู่กำลังเริ่มต้น

ฉันป้องมือบังแสงแดดเจิดจ้าที่เริ่มเผยออกมาจากกลีบเมฆ

ราวกับเปิดทางให้กับรูปแบบชีวิตที่ฉันเฝ้าปรารถนา ฉันมองคู่ชีวิตที่ยื่นอยู่เคียงข้างกันด้วยความชื่นชมเสมอ


ไม่น่าเชื่อว่าทางเดินของเราทั้งคู่จะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง



จากนี้ไป อนาคต... เราจะสร้างมันร่วมกัน


















จบภาค 2
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2) บทที่18 วิวาห์
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 28-09-2008 10:21:13
รออ่านตอนต่อไปนะครับ


รีบ ๆ มาต่อด้วยครับ
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2) บทที่18 วิวาห์
เริ่มหัวข้อโดย: fc_uk ที่ 29-09-2008 17:19:47

รีบ ๆ มาต่อด้วยครับ

 :freeze: :freeze: :freeze: :freeze:



มาเปงกะัลังจวยคนแต่ง
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2) บทที่18 วิวาห์
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 30-09-2008 11:00:47
อ่านจบภาค2แล้วก็ย้อนไปอ่านบทนำภาคแรก :m29:
ท่าทางจะเศร้า ไม่อยากเลยอ่ะ กำลังจะได้มีความสุขกับเต้อยู่แล้วเชียว :m15:
ยังไงก็ขอให้ไม่เศร้ามากนะค่ะอาร์ :m13:
หัวข้อ: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3)
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 30-09-2008 11:26:38










“คนเราอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องหนักนิดเบาหน่อย ให้อภัยกันได้ก็อภัยกันซะ จะได้อยู่กันยืด”


















บทที่สิบเก้า





ฉันจอดรถไว้ในโรงรถ หอบข้าวของสัพเพเหระต่างๆ มองดูบรรยากาศเดิมๆอย่างถอดใจ
ช่วงเวลา5-6 เดือนที่ผ่านมานั้น เราทั้งคู่ต่างยุ่งวุ่นวายกับงานของตัวเอง ไม่มีเวลาให้กันและกันเท่าไร  พูดคุย พบปะกันแทบจะนับครั้งได้
ฉันวางของไว้หน้าบ้าน พลางย้อนกลับมาล็อกรถ คลำหากุญแจบ้านในกระเป๋าสะพายอย่างทุลักทุเล เมื่อพบก็รีบไขและปฏิบัติการณ์เป็นยัยบ้าหอบฟางต่อ
ระหว่างที่จัดของเข้าที่เข้าทางอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเบาๆ ฉันรีบรับด้วยความตื้นตัน
“ฮัลโหล... เต้อยู่ไหนแล้วเนี่ย” ฉันรัวพูดตัดหน้าก่อน อยากให้เต้กลับบ้านมาเร็วๆ
“น้ำ วันนี้ผมมีคิวผ่าตัดนะ ตอนนี้ยังกลับไม่ได้ ขอโทษนะ ทานข้าวไปก่อนละกันไม่ต้องรอ” เต้พูดอย่างอิดหนาระอาใจ ฉันหน้าเจื่อนลงทันที รอยยิ้มเมื่อครู่พลอยหดหายเข้ามุมปากเสียหมด
“แต่... เต้...” ฉันพยายามทัดท้วง ขณะที่สายตาและมือแยกของในถุงออกมาพลาง
“มีอะไรไว้คุยกันที่บ้านนะ... ผมต้องไปแล้ว” เต้ตัดสายไปแล้ว ฉันถอนหายใจกับโทรศัพท์และวางมันลงข้างตัวช้าๆ
เป็นอีกวันที่ฉันต้องอยู่คนเดียว
หน้าที่ของแพทย์ไม่เหมือนกับผู้บริหารอย่างฉัน อาชีพของเขาคือการเสียสละเพื่อคนส่วนใหญ่ บางครั้งฉันก็จำเป็นที่จะออกไปพบปะผู้คนมากกว่าที่จะอยู่บ้าน ต่างคนต่างพอกัน ไม่มีใครถูกผิด ที่ทำได้ คือการทำใจยอมรับ
ฉันพันผ้าเช็ดตัว เดินตัวปลิวออกมาจากห้องน้ำ พลันสายตาเหลือบไปเห็นชุดกระโปรงที่ตัวเองเพิ่งซื้อมาได้กี่วัน ฉันพิศดูซ้ายขวาก่อนจะลองสวมดู พลางอวดโฉมตัวเองในบานกระจก ยิ้มกับตัวเองอย่างพอใจ
ฉันใช้เวลาแต่งหน้าทำผมอีกครู่ใหญ่ แล้วละเลียดลงไปชั้นล่าง เปลี่ยนผ้าปูโต๊ะอาหารใหม่ให้สีสดกว่าเดิม จัดดอกไม้ และโทรสั่งอาหารจากร้านโปรดของเต้ ที่ฉันเคยไปเลียบๆเคียงๆขอเบอร์โทรไว้
เสื้อผ้า หน้า ผม อาหาร สถานที่ บรรยากาศก็พร้อมแล้ว ฉันอุ้มกล่องของขวัญไว้ที่ตักพลางเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง เวลาผ่านเลยไป เต้ก็ยังไม่กลับมา ฉันเหวี่ยงของขวัญที่ตั้งใจเตรียมไว้แก่เขาลงเก้าอี้ตัวข้างๆอย่างไม่ใยดี เกือบเที่ยงคืนแล้วเหรอ ฉันบ่ายหน้ามองหน้าบ้าน ผ่านม่านที่แง้มไว้เล็กน้อย มีเพียงแสงไฟสลัวๆบนหัวเสาไฟ กับความว่างเปล่าแทบทุกครั้ง
เต้คงยุ่งอยู่ ฉันได้แต่ปลอบใจตัวเองแบบนี้
ยุ่งอย่างนี้ทุกครั้ง

***

   แสงแดดอ่อนๆยามเช้าแยงตาเข้ามาเป็นระยะๆ ฉันพลิกตัวหันหลังให้หน้าต่าง อิดออดด้วยความคร้าน เช้าแล้วเหรอ มือพยายามปัดป่ายหานาฬิกาที่อยู่ใกล้มือ
   เก้าโมงเช้าแล้วเหรอเนี่ย...
ฉันดีดตัวขึ้นจากที่นอน ก่อนจะระลึกได้ว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ จะทิ้งตัวนอนเหมือนเดิมก็พลัน รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ
   ฉันยังอยู่ในชุดกระโปรงของเมื่อคืน แล้วอีกอย่างฉันเข้ามานอนให้นอนนี้ได้อย่างไร
   และฉันก็พบคำตอบ
   ช่อดอกไม้สีขาวสด วางคู่กันกับการ์ดใบหนึ่งบนโต๊ะเครื่องแป้ง ฉันประคองมันในอ้อมแขนเบาๆ สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆของมันอย่างพึงพอใจ อ่านการ์ด
   “น้ำ... ขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดผมนะ นาฬิกาสวยดี ถูกใจเลยล่ะ เสียอย่าง กล่องบุบไปนิดนึง...” ฉันแทบตัวลอยเลย รีบลงมาข้างล่าง แต่ก็ไม่พบใคร ฉันชักสีหน้า บางทีเต้อาจจะกลับมาเปลี่ยนชุดแล้วกลับออกไปอีกก็ได้
   ฉันเดินย้อนมาที่โต๊ะทานข้าวที่จัดไว้เมื่อคืน อาหารต่างๆถูกเก็บไปเรียบร้อย เหลือเพียงช่อดอกไม้ที่จัดไว้ ฉันเบ้ปากเซ็งๆ ตั้งใจจะกลับขึ้นไปบนบ้าน มือมือดีมือหนึ่งคว้าเอวฉันไว้
   “ว้าย...” ฉันหลุดอุทาน ก่อนหันกลับทุบเบาๆสองทีโทษฐานที่ทำให้ตกใจ เต้นั่นเอง
   “ขอบคุณนะ ที่เมื่อคืนอุตส่าห์รอ...” เขากอดฉันไว้กระชับแน่นกับตัวเขา ยิ้มแห้งๆให้ ฉันค้อนตุปัดตุเปไม่สนใจท่าเดียว
   “เก็บทิ้งไปหมดแล้วใช่ไหมล่ะ อาหารเมื่อคืน แต่ช่างเถอะ ก็เต้บอกว่ามีคิวนี่นา ใครจะไปว่าได้ล่ะ” ฉันมองไปที่โต๊ะอย่างเสียดายปนน้อยใจ เต้หอมแก้มเบาๆ ทำฉันก้มหน้างุด ซุกตัวเขาเป็นลูกแมวน้อย เต้ลูบหัวเบาๆอย่างเอ็นดู
   “เต้เอาไปอุ่นแล้วล่ะ รอน้ำตื่นนี่แหละ... หิวหรือยัง จะได้กินพร้อมกัน นานเหมือนกันนะที่เราไม่ได้ทานข้าวด้วยกัน” ฉันนี่แทบจะยิ้มฉีกไปถึงรูหูเลย แต่ก็ทำกลบเกลื่อนไม่รู้ไม่ชี้
   “วันนี้โดดงาน ไม่ไปรึไง... เดี๋ยวเถอะ” ฉันตัดพ้อ พยายามถอนตัวออกจากอ้อมกอดของเขา แต่ก็ไม่ได้สักที เต้หัวเราะหึๆในลำคอ ฉันขมวดคิ้วใส่ ต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ๆ
   “ก็นี่เดือนเมษาแล้ว ว่าเราไปเที่ยวกันดีไหม” เต้กระซิบเบาๆ พลางเคลียคลอไม่หยุด ฉันตอบรับคำนั้นเบาๆ
“อืมมม...”
“เต้ลางาน อาทิตย์นึง” แทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยจริงๆ คนที่หายใจเข้าออกเป็นงานอย่างเต้เนี่ยนะ จะลางาน ฉันแทบยิ้มแก้มปริ เงยหน้ามองเต้อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เขาพยักหน้ารับ และดุนจมูกฉันเล่นอย่างเอ็นดู
“เดี๋ยวไปอาบน้ำก่อนนะ คราวนี้ล่ะต้องตามใจน้ำเยอะๆเลยด้วย” ฉันค่อยๆแทรกตัวเองให้พ้นออกมา เต้คลายการกอดรัดลง ฉันรี่กลับขึ้นบันไดไปชั้นบน ทว่าเต้ยังรั้งมือฉันไว้ ทำตาหวานเยิ้มใส่
“คร้าบ... เร็วๆนะ เต้หิวแล้ว” แนะ... ยังจะมากัดมุมปากตัวเองอีก หน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นทันควัน เพราะรู้ว่าความหมายแฝงนั้นคืออะไร ก่อนจะตีมือเต้เบาๆ
“นี่แน่ะ... ลามก เดี๋ยวเถอะ” ฉันทำหน้าดุใส่ รีบกลับเข้าไปในห้อง ตลอดทั้งอาทิตย์นี้จะได้อยู่ด้วยกันจริงๆซักที อยากลางานบ้างจัง จะได้ไหมนะ... ฉันบ่นกับตัวเองในใจ
***
โปรแกรมแรก คือการกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่บ้านเดิม หลายครั้งที่ฉันไปหาท่านทั้งสองหรือแม้แต่ค้างคืนเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว ท่านทั้งสองมักจะถามหาเต้เสมอ ฉันเองก็อึดอัดที่จะตอบว่า เต้ไม่ว่างอย่างนั้นอย่างนี้อีกแล้ว
ตลอดเวลาที่อยู่บนรถ ฉันเปิดซีดีเพลงคลอไปตลอดทาง เต้ดูท่าทางจะมีความสุขมากวันนี้ บางครั้งก็ฮัมเพลงอวดเสียงเข้มๆที่ร้องตกร่องไม่เข้ากันกับเพลงในซีดีเท่าไร แต่อย่างน้อยก็ทำให้ฉันยิ้มและหัวเราะได้ การที่นั่งรถคู่กันไป ฉันป้อนน้ำป้อมขนมอยู่เป็นครั้งคราว แล้วก็เหล่นาฬิกาเรือนใหม่ที่ประดับบนข้อมือของคนขับรถที่นั่งข้างๆกันนั้น เหมาะจริงๆ แสดงว่าเซนส์ในการเลือกของของฉันนี่ใช้ได้ทีเดียว เราสบตาอยู่เป็นระยะ อยากยืดเวลาที่ได้อยู่กับเต้ให้นานเท่าที่จะนานได้จริงๆ
“จ้องอยู่ได้ ไม่เคยเห็นคนหล่อๆขับรถเหรอ” ฉันสะดุ้งเลย ไม่ใช่เพราะตกใจเสียงของเต้หรอกนะ แต่จะหลุดขำมากกว่า กล้าพูดนะว่าตัวเองหล่อเนี่ยนะ ฉันอมยิ้มเล็กๆกลบเกลื่อนไป
“อื้อ... ก็มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละที่น้ำจะมองได้เต็มตาแบบนี้ น้ำอยากเห็นเต้กับรอยยิ้มที่อบอุ่นอย่างนี้ไปนานๆ” เต้หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย... แต่ก็เอื้อมมือมาขยี้หัวฉันเบาๆแทนการบอกว่า อย่าคิดอะไรมาก เต้หักรถเลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปแล้ว อีกไม่นานก็ถึงบ้านพ่อกับแม่ของฉันแล้ว
เด็กในบ้านเดินมาเปิดประตูให้ เต้ขับรถเข้ามาจอดด้านในก่อนกุลีกุจอมาช่วยฉันขนของที่ซื้อมาเมื่อเช้าเข้าไปในบ้าน พ่อเดินออกมาในชุดลำลอง สบายๆ ทักทายเราทั้งคู่ ก่อนหน้าแม่เสียอีก
“เอ้า... พ่อลูกเขย ลมอะไรหอบมา หาคนแก่ได้ คิดว่าลืมกันไปซะแล้ว” เต้ยกมือไหว้ประหลกๆ ตามฉัน พ่อกอดฉันตามประสาพ่อลูก พลางตบไหล่ลูกเขยเบาๆเชิงหยอกล้อ แต่ดูจากสีหน้าเต้แล้ว คงไม่เบาเลยกระมั้ง แหยแกเสียขนาดนั้น
“ปล่าวครับ วันนี้ผมกับน้ำตั้งใจจะมาเยี่ยมด้วยกัน ตั้งใจว่าจะชวนไปพักตากอากาศด้วยกัน” เต้ลูบหลังตัวเองเบาๆ หันมากระซิบกระซาบกับฉัน ไม่รู้ไม่ชี้ แม่เองก็เดินลิ่วมานั่นแล้ว แม่รับไหว้เราสองคน
“แหมๆ... ปล่อยหนุ่มๆสาวๆไปกระหนุงกระหนิงกันเองดีกว่านะ ให้พ่อกับแม่อยู่เฝ้าบ้านแบบนี้ดีกว่านะ” แม่แหย่ เราทั้งคู่ทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆตอบ
“จะทำอย่างนั้นได้ไงล่ะครับ คุณพ่อ คุณแม่ของน้ำก็เหมือนคุณพ่อ คุณแม่ผมเหมือนกัน” ทำเป็นปากหวานเชียวนะ แม่นี้ยิ้มแก้มปริเชียว พ่อยืนคุมเชิงถามต่อ
“ว่าแต่จะไปไหนล่ะ”
“ไปอ่างทองครับ” งงเป็นไก่ตาแตกทั้งคู่ ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวฉันเอง อ่างทองเนี่ยนะ อยุดตั้งสัปดาห์ไปอ่างทอง
“หา... อีตาบ๊อง ไปทำไมอ่างทองยะ” ฉันแทรกขึ้นมาอย่างมีน้ำโมโห
“หมู่เกาะอ่างทองครับ พักผ่อนสบายๆ ตากอากาศกัน อยู่กรุงเทพนี่น่าเบื่อ ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ค่าใช้จ่ายไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมเลี้ยงทั้งรายการครับ” ค่อยโล่งอก พ่อกับแม่หัวเราะชอบใจใหญ่ ฉันแอบหยิกเอวเอาคืนอาการกวนประสาทของสามีตัวเองบ้าง ท่าทางผู้ต้องหาจะรู้ทัน ขยับหนีทันที ฉันทำได้เพียงเม้มปากไม่พอใจเต้เท่านั้น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดูพูดเข้าสิ ไอ้ลูกเขยคนนี้ เห็นพ่อกับแม่เป็นคนงกไปได้” เอาเข้าไป พ่อกอดคอเป็นปี่เป็นขลุ่ยไปด้วยเสียแล้ว สองคนกระซิบกระซาบอะไรกันก็ไม่รู้ แม่เลยเกริ่นขึ้นมา
“พ่อบุญทุ่มเชียวนะ...  น้ำมา... มาช่วยแม่ทำกับข้าวกันดีกว่า ปล่อยหนุ่มๆเขาคุยกันดีกว่านะ”
“ค่ะ... แม่” ฉันรับของจากเต้มา ไม่น่าซื้อมามากมายเลย หนักชะมัด ก็ดีเหมือนกัน ปล่อยให้ลูกเขยกับพ่อตาเขาคุยกันประสาผู้ชายไป แม่เดินจูงมือฉันไปยังห้องครัว ฉันวางของทั้งหมดไว้บนโต๊ะ
“ซื้ออะไรมาหนักหนาเนี่ย คราวหลังไม่ต้องหรอก มาเยี่ยมพ่อกับแม่บ่อยๆ ทั้งคู่ก็ดีใจแล้ว” แม่พิศดูของทั้งหมดและลูบหัวฉันด้วยความเอ็นดูอย่างที่แม่เคยทำเสมอ
“นิดหน่อยค่ะแม่ อีกอย่างเต้เขาเป็นคนอยากซื้อของมาให้เองด้วยต่างหาก” ฉันโอบเอวแม่ ทำออเซาะ
“เดี๋ยวนี้ สุขภาพเป็นไงบ้างลูก...” สายตาของแม่บ่งบอกถึงความห่วงใยและกังวลอยู่ลึกๆ ฉันเองก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องคอยเป็นภาระกังวลอีก
“เต้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ เขาดีกับลูกไหม” ฉันยิ้มอย่างใจเย็นให้กับแม่ อย่างน้อยพอบวกเพิ่มกับคำตอบที่ฉันจะตอบออกไป ท่านจะได้เบาใจลงได้
“ดีค่ะแม่... เต้ดูแลน้ำทุกอย่าง” แม่เปลี่ยนอิริยาบทมานั่งใกล้ๆ กุมมือฉันไว้
“คนเราอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องหนักนิดเบาหน่อย ให้อภัยกันได้ก็อภัยกันซะ จะได้อยู่กันยืด” แม่ยังคงห่วงใยฉันเสมอ ไม่ว่าวันคืนจะผ่านพ้นไปนานแสนนานเพียงใด ฉันยังรู้สึกว่าตัวเองยังคงเป็นเด็กกะโปโลไม่รู้จักโตสำหรับท่านเสมอ
“ค่ะ... ว่าแต่... แม่สบายดีไหมคะ”
“สบายดี... แข็งแรง ว่าแต่เรานั่นแหละ ไปพบหมอบ้างหรือเปล่า ทานยาและดูแลตัวเองดีๆนะ” แม่ตอบเสียงเนือยๆกลายเป็นฉันเองมากกว่าที่แม่อดกังวลไม่ได้ว่าจะสามวันดีสี่วันไข้
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ มีเต้อยู่ด้วย แม่สบายใจได้ค่ะ” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นใจ แม่อมยิ้มเล็กๆก่อนจะหุนหันไปเตรียมอาหารต่อ
“เอาล่ะ ลงมือกันเลยดีกว่า... มาช่วยแม่ดูว่าจะทำอะไรกันก่อนดี” ฉันลุกตามไป เราสองคนแบ่งหน้าที่กันทำอาหารกันคนละอย่างสองอย่าง ไม่นานนักก็เสร็จเรียบร้อย พ่อและเต้ดูท่าทางจะคุยกันเพลินติดลม กว่าจะมาทานข้าวร่วมกันอาหารก็เกือบเย็นชืด หากแต่ว่าฝีมือเสน่ห์ปลายจวักของเราสองแม่ลูก ไม่เห็นมีใครบ่นซักคำว่าอย่างนั้นไม่ดี อย่างนี้ไม่ได้เรื่อง อาจเพราะหิวด้วยกระมัง อีกอย่างฉันกับแม่ก็คุยกันนานเอาเรื่องกว่าจะเริ่มลงมือทำกับข้าว
ตกลงว่าเรามีเวลาเตรียมตัวกันพรุ่งนี้หนึ่งวันเต็ม ก่อนออกเดินทางในมะรืนนี้ เต้เตรียมการเดินทางไว้หมดแล้ว พ่อกับแม่ก็รวนเหมือนกันที่ปุบปับต้องเดินทาง ต้องโทรไปเลิกนัดเพื่อนที่จะมาเยี่ยมและตรวจสุขภาพ ฉันเองก็ต้องเร่งเคลียร์งานให้เสร็จภายในวันเดียวแถมยังต้องสั่งงานลูกน้องอีก ทำเอาหัวหมุนไปเลย แต่กำลังใจมันก็ยังมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม นายเต้ก็เฝ้าบ้าน เตรียมของเดินทางอีก ไหนๆก็ไหนๆแล้ว... ขอแว๊บไปดูบีกีนี่ล่ะ เผื่อได้ใส่ อิ อิ

***

    เต้ตัดสินใจจ้างรถตู้มาเอง ตอนแรกก็ตื่นเต้นดีอยู่หรอก ไปๆมาๆมันก็น่าเบื่อจะตาย อยู่แต่บนรถ แวะปั๊มน้ำมันเข้าห้องน้ำ เดินยืดเส้นยืดสายพอคลายความเมื่อล้าบ้าง พ่อและแม่ทานของจุกจิก อ่านหนังสือพลาง บ้างก็หลับสลับกันไป ไม่บ่นอิดออดเหมือนฉันที่นั่งหน้าหงิกเป็นตูด เครื่องบินมีก็ไม่ไป แปปเดียวก็ถึงแล้ว เต้บอกว่ายังไงเดินทางก็หนีไม่พ้นที่จะต้องนั่งรถอยู่ดี ให้ใจเย็นลงหน่อย เอางั้นก็ได้
จะว่าการมองทัศนียภาพด้านนอกรถก็ทำให้เราใจเย็นลงได้เยอะขึ้น ภาพของวิถีชิวิตของคนแปลกที่ต่างถิ่นต่างๆ ทำให้ฉันอดสงสัยหรือประหลาดใจไม่ได้ ตาของฉันตื่นตัวเต็มที่ ไม่อิดโรยเมื่อช่วงเริ่มเดินทาง ที่ต้องตื่นมาแต่ตีสองกว่ามาอาบน้ำจัดการธุระส่วนตัวก่อนออกเดินทาง งัวเงียหน้าบอกบุญไม่รับ เต้ส่งเครื่องดื่มให้ ฉันบอกปัดไป เขาเปิดกระป๋องและจิบเล็กน้อย ทิ้งตัวลงนอนบนตักฉัน ทำตาแป๋วใสอีก ฉันแกล้งหยิบหมวกปีกกว้างมาปิดหน้าเต้ไว้ เต้คว้าออกไปพ้นหน้า พลางเหลือบมองเบาะด้านหลัง พ่อกับแม่หลับไปแล้วทั้งคู่ อาศัยจังหวะที่ฉันเผลอ หอมแก้มเสียงดังฟอดใหญ่ ฉันหันรีหันขวางพลางทุบต้นแขนเต้เบาๆ หวังว่าคงไม่มีใครเห็นนะ เต้หัวเราะ หึ หึ อย่างไว้ลาย ตาวาวเป็นประกายเชียว ท่าทางการเดินครั้งนี้ ฉันจะเจอศึกใหญ่แน่ๆ ถ้าตอนนั้นตัวเองไม่ได้ตาฝาดไป ฉันเหลือบเห็นพ่อกับแม่นอนหลับตาปี๋ ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็แอบอมยิ้มนิดๆหน่อยๆ ราวกับว่าเห็นช็อตเด็ดเมื่อครู่นี้
ร่วมห้าชั่วโมงที่เดินทางมา ฉันรีบพลีพลามออกมานอกรถคนแรก เหยียดแข้งเหยียดขา ขยับร่างกายพอคลายความเมื่อล้า สูดอากาศบริสุทธิ์ริมทะเลที่แสนสดชื่นเข้าเต็มปอด เต้ออกมายืนอยู่ข้าง พลางโทรศัพท์ครู่นึง และนั่งรอตรงใต้ต้นไม้ใกล้ๆ ที่ลานจอดรถ ตรงท่าเรือนี้ คนไม่ค่อยพลุกพล่านเนื่องจากไม่ใช่ช่วงเทศกาล พ่อกับแม่เดินคู่กันมา ยืนชมทะเลสีครามข้างหน้า และบ่นเล็กน้อย
 “นั่งรถนานเสียอานเลยนะ”
“แล้วเอารถทิ้งไว้ที่นี่เลยเหรอ” พ่อถามเต้ และเหลียวกลับไปดูที่รถ มีเด็กหนุ่มสองสามคนเดินตรงมาที่รถ พลางยกมือไหว้เราทั้งหมด ฉันงงๆและรับไหว้ไปตามมารยาท เต้ยิ้มและหันมาตอบพ่อ ขณะที่คนพวกนั้นขนกระเป๋าเดินทางลงจากรถ
“ใช่ครับ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ลูกน้องเพื่อนผมไว้ใจได้ เดี๋ยวเขาจะจัดการให้” เด็กคนหนึ่งในกลุ่มเดินเอาตั๋วขึ้นเรือมาให้ เต้รับไว้ และจ่ายเงินส่วนหนึ่งแก่คนขับรถ และสั่งอะไรเล็กน้อย ก่อนกลับมาจูงฉันไปยังท่าเรือไม่รอช้า
“เดี๋ยวเราลงเรือต่อไปอีก สัมภาระอะไรไม่ต้องขนเองหรอกครับ ปล่อยให้เจ้าพวกนี้จัดการเองจะดีกว่า” เต้บอกกับพวกเราทุกคน เดินนำไปยังท่าเรือ เด็กขนกระเป๋าเดินอิดออดตามมาติดๆ ฉันสังเกตว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติทั้งนั้น แต่ก็มีจำนวนพอสมควร เราขึ้นเรือเฟอร์รี่ลำเล็ก จับจองที่นั่ง ไม่นานนัก เสียงประชาสัมพันธ์เรือก็ประกาศจุดหมายปลายทางของเรือ และออกเรือไป ฉันมองไปพื้นน้ำอย่างหวาดๆ เกาะแขนเต้แน่น ตื่นเต้นที่ต้องนั่งเรือไปไหนไกลๆครั้งแรกอย่างนี้
“นานไหมกว่าจะถึงเกาะน่ะ”
“ราวๆ 45 นาที น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” เต้บีบไหล่ฉันเบาๆเชิงปลอบใจไม่ให้กังวลมากไป พ่อกับแม่หันไปนั่งคุยกับเด็กขนกระเป๋าและฝรั่งคู่หนึ่งที่เดินทางไปเที่ยวหมู่เกาะอ่างทองเหมือนกัน
“น้ำกลัวเมาเรือจัง ไม่เคยนั่งเรือนานๆด้วยสิ” รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไรไม่รู้ เต้อมยิ้มและจุ๊บเบาๆที่หน้าผาก ขยับตัวฉันเข้ามาชิดกว่าเดิม รู้สึกว่าการเดินทางมานี่ ตัวเองจะขาดทุนอีตานี่เยอะทีเดียว
“ไม่เป็นไรหรอกน่า มีเต้อยู่ด้วยทั้งคน” หัวฉันไหลลงไปพิงไหล่ของเต้ เต้ลูบผมเบาๆ และเอนศรีษะมาทับอีกชั้น เราจับมือไว้แน่น และก็เผลอหลับไปเมื่อไรไม่รู้
ฉันสะดุ้งตื่นเมื่อเต้วิ่งพรวดไปขอบเรือ ฉันหุนหันตามไป พลางลูบหลังให้ พูดไม่ทันขาดขำเลย เป็นเสียเองเนี่ยนะ พยายามปลอบเต้โดยไม่หลุดหัวเราะ เพิ่งรู้ว่าลำบากเอาการ
“ไหวไหมเต้... เข้าไปนั่งข้างในก่อนดีกว่านะ” ฉันประคองเขาไว้ เต้หน้าซีดเผือดลงทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าคุณหมออย่างเต้จะมาป่วยเอาเสียเองได้นี่สิ
“อีกเดี๋ยว คงหาย ไม่เป็นไรหรอก เอิ๊ก...” ว่าแล้วก็อีกชุดใหญ่ ฉันหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้ เต้รับไปเช็ดปาก
“ฮิ ฮิ ดีแต่ห่วงคนอื่น เอาตัวเองให้รอดเถอะ” ฉันพูดติดตลก ขำไม่ออกแล้ว ท่าทางจะเป็นหนักนะเนี่ย ฉันพยุงเขาเข้ามานั่งในๆเรือ และกำชับว่าอย่ามองที่พื้นน้ำ มองสูงๆขึ้นไป ก่อนส่งยาแก้อาเจียนไว้ให้เผื่อจะมีอีกระลอก กันเอาไว้ก่อน
“ขายหน้าเลย เรา...” เต้เกาหัวตัวเองแก้เก้อ พลางหันมาส่งสายตาหวานให้อีก ไม่สบายอยู่นะนาย ก่อนจะนอนเหยียดยาวบนม้านั่ง โดยอาศัยตักฉันแทนหมอน
“ขอบใจนะน้ำ”
“พูดอะไรน่ะ นอนพักข้างในนี้ดีแล้ว ถ้าไม่ห่วงเต้ แล้วจะให้น้ำไปห่วงใครล่ะ” ฉันถอดหมวกปีกกว้างมาใช้ต่างพัด
 “งั้นก็หลับเถอะ ถึงเมื่อไรแล้วน้ำจะปลุกนะ” เอาออกไปเยอะขนาดนั้น คงหมดแรงทีเดียว แหม...นอนยิ้มแฉ่งเชียว ไอ้เรานี่สิ เหน็บกินหมด เมื่อยแขนก็เมื่อยเพราะต้องคอยพัดวีตานี่ตลอด
ถึงรีสอร์ตมีชื่อแห่งหนึ่ง ที่เพื่อนของเต้เป็นเจ้าของกิจการ ตั้งอยู่บนเกาะ บรรยากาศโดยรอบงดงามและเป็นธรรมชาติ มีจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สามารถมองชมรอบๆเกาะได้(เห็นเต้เกริ่นอย่างนั้น ก็ว่าตาม) มีกิจกรรมที่ทางรีสอร์ตจัดให้นักท่องเที่ยวอยู่มากมายหลายรายการทีเดียว หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้วก็ขอเต็มที่ซะหน่อย กลับไปยังมีงานกองรออีกบานให้สะสาง
เราเช็คอินสองหลัง พ่อกับแม่หลังนึง ฉันกับเต้อีกหลังนึง พนักงานขนสัมภาระเรานำไปยังที่ห้อง อ้าวทำไมพ่อกับแม่ถึงแยกไปอีกทางล่ะ ไม่ได้อยู่ใกล้ๆด้วยกันหรอกเหรอ
“ทำไมเราอยู่แยกมาตรงนี้โดดๆล่ะ เอ่อ...พ่อกับแม่น้ำไปอยู่หลังนั้นมันจะดีเหรอ” พ่อและแม่เดินลับเข้าเรือนไม้อีกทางหนึ่งไปแล้ว เต้ไม่หยุดเดิน ทำให้ฉันต้องเดินตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ดีซิ... เต้ก็อยากชดเชยเวลาที่เต้ไม่ได้อยู่กับน้ำบ้างไง” เต้หันมา ขมวดปมคิ้วใส่ ก่อนประคองฉันที่เดินช้าตามไม่ทัน ให้เดินเคียงไปด้วยกัน จู่ๆก็แอบหอมแก้ม พลางลูบสะโพกวนไปมา
“พูดแบบนี้ แสดงว่าหายดีแล้วใช่ไหม... งั้นรีบไปเก็บของก่อนนะแล้วก็พาน้ำไปเดินเล่นซะดีๆเลย” ฉันแอบหยิกไปทีนึงให้หายนิสัยมือปลาหมึกเสีย เต้ยังทำหน้าทะเล้นปนแหยแกไปกับจุดที่ฉันหยิก รู้สึกเหมือนราวกับว่าทันทีที่ถึงห้อง พนักงานคนนั้นจะเปิดห้องให้ แล้วรีบเผ่นไปทันที เดี๋ยวสิ
“ใจคอน้ำจะใจร้ายกับเต้อย่างนี้เหรอ อุตส่าห์ได้อยู่ด้วยกันแล้วแท้ๆนะ” เต้เข้ามาคลอเคลียทางด้านหลังขณะที่ฉันกำลังง่วนกับการจัดเสื้อผ้าเข้าตู้อยู่ ฉันพยายามแกะแขนเต้ออกเพื่อจะได้ทำงานของตัวเองสะดวกๆ ยังไม่ทันไร เต้หมุนตัวฉันมาประจันหน้าเขาจังๆ ฉันรีบลอดวงแขนออกมา ทำงานของตัวเองต่อ ทำทีไม่สนอกสนใจอะไร ทั้งๆที่หน้าแดงเรื่อเพราะคิดอะไรต่อมิอะไรไปถึงไหนต่อถึงไหนแล้ว
“ลูกไม้เยอะแบบนี้... น้ำไม่ไว้ใจหรอก แหะๆ... รู้ทันหรอกนะ” แนะ ยังจะปากดีไปต่อปากต่อคำกะเขาอีก เอาของใช้ส่วนตัวออกมาจัดๆวางไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้งก่อนดีกว่า เต้ย่างสุขุมเข้ามา
“งั้นก็ต้องอย่างนี้”
“ฮันแน่... นี่ก็มุขเก่าๆ” ฉันหลุดหัวเราะออกมาที่เต้ ล้มตึงไปบนเตียง ฉันรีบลุกออกมาก่อน นำของไปวางด้านในห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวอยู่ครู่นึง ออกมาก็ไม่เจอเขาแล้ว ไปไหนของเขานะ ก็ดีเหมือนกัน ขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วงีบสักพักก่อนออกไปเดินกินลมชมวิวรอบๆเกาะ
“ดูถูกกันนะ เนื้อจะเข้าปากเสือ เสือไม่ปล่อยไปง่ายๆหรอก” ไฟในห้องดับลง เต้โถมตัวมาจากด้านไหนไม่รู้ ฉุดร่างเราสองคนลงบนพื้นเตียง
“ว๊าย...” ไม่เจ็บหรอก แต่มันตกใจมากกว่า แสงจากด้านนอกสลัวๆทำให้ใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ หน้าของเราห่างกันเพียงนิดเดียว ดวงตาคู่นั้นราวกับจะดึงร่างและวิญญาณของฉันให้จมลงไป เต้กอดฉันไว้แนบกับตัวของเขาที่เปลือยท่อนบน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ดูสมส่วนได้รูปลางๆ ก่อนเต้จะผลิกตัว อยู่ด้านบน ประคองฉันไว้ในวงแขนคู่แกร่งนั้น
“น้ำ”
“ต...เต้” ฉันตอบกลับไปเบาๆ เต้ไล้เรือนหน้าและละเลียดกลิ่นผมของฉันอยู่ครู่   กับคนที่อยู่ตรงหน้านี้ ถึงจะได้ชื่อว่าผ่านการแต่งงานมาแล้ว เป็นสามีภรรยาตามศาสนา แต่ก็อดประหม่าและตื่นเต้นทุกทีที่อยู่ด้วยกัน
“รู้ไหมว่าเต้มีความสุขที่สุดเลยนะ ที่ได้เห็นหน้าน้ำใกล้ๆอย่างนี้” เต้จุมพิตบนหลังมืออย่างอ่อนโยนและนิ่มนวล และกุมมือทั้งสองข้างของฉันไว้ ฉันสัมผัสได้เสมอถึงความรู้สึกที่คนตรงหน้ามี ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หรือลดน้อยลง แม้เพียงครั้ง
“อยากเห็นบ่อยๆ ก็อย่าปล่อยให้น้ำต้องอยู่คนเดียวซิ” ฉันตัดพ้อ หลบแววตาที่เว้าวอนและซุกซนคู่นั้น การที่ต้องอยู่คนเดียวหลายเดือนที่ผ่านมา อาจจะทำให้ฉันท้อและเหนื่อยล้ากับความสัมพันธ์ของเราสองคนก็เป็นได้ แม้จะรู้ว่าการทำงานจะแยกเราสองคนออกไป ฉันพยายามแล้ว กลับกลายเป็นฉัน ที่เป็นฝ่ายถอดใจมาดื้อๆ โดยเต้ไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นแม้แต่น้อย
“คิดถึงเต้ด้วยเหรอ” เต้บรรจงจูบลงบนเปลือกตาและซับรื้นน้ำตาของฉันออก ไม่มีคำบรรยายใดจะทดแทนชดเชยความรู้สึกผิดนี้ได้เท่ากับทุกๆถ้อยคำและการกระทำของเต้ที่มีต่อฉันนี้ คำถามนั้นฉันรู้ดีว่าเต้แค่หยั่งเชิงเล่นให้ฉันคลายความกังวลต่างๆลง
“มาก... ถึงมากที่สุด มันทรมานนะ เต้รู้หรือเปล่า” ฉันตอบไปซื่อๆตามที่ตนเองรู้สึก เต้กรุ่มยิ้ม
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวเต้จะชดเชยให้นะ” เต้ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรต่อ ฉันรู้เพียงว่าสิ่งนี้จำเป็นกับชีวิตคู่ของเรา ทางที่จะช่วยยืดความสัมพันธ์ให้นานตราบเท่าที่จะเป็นไปได้ ตอนนี้ฉันตัวเองเพียงว่าตัวเองรักเต้มากแค่ไหน ไม่อยากจะสูญเสียเขาไป ฉันกอดร่างเขาไว้แนบกับร่างที่ปราศจากอาภรณ์มาพันธนาการไว้ ต่างคนต่างรู้ดีถึงความปรารถนาที่แผงมากับความรู้สึกของตัวเองที่ต้องการสื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ปล่อยกายปล่อยใจให้พายุอารมณ์โหมซัดเข้าทั้งคู่ พร่ำบทเพลงแห่งความรักไม่รู้จบคู่ไปกับเสียงเกลียงคลื่นและสายลมโชยจากด้านนอกเข้ามาอย่างแผ่วเบาในห้อง













โปรดติดตามตอนต่อไปครับ เอามาโปรยไว้ พอเป็นน้ำจิ้ม นิดนึง
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3)
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 30-09-2008 17:58:59
มาต่ออีกนะครับ แต่ดูตอนเปิดเรื่องแล้ว เรื่องจบเศร้าแน่นอน แต่ตอนนี้ก็ขอมีความสุขไปก่อนแล้วกัน ให้เวลาคนอ่านทำใจไปสักระยะนะครับ
เกิดเศร้าตูมเดียว เดี๋ยวปรับไม่ทัน น๊อคเอาได้
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3)
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 01-10-2008 12:44:56
 :m13: ลุ้นให้มีความสุขนะค่ะ
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3)
เริ่มหัวข้อโดย: สาวบ้านนอก ที่ 02-10-2008 09:44:54
ตามมาอ่านค่า :L2:
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3)
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 09-10-2008 22:44:48
 :oni1: :oni1: :oni1:มารออ่านค่ะ
หัวข้อ: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3)
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 31-10-2008 12:51:50
“เหมือนกับท้องฟ้าสีครามนั้น เหมือนกับทะเลสีน้ำเงินนั้น เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ยังโคจรอยู่รอบโลกที่เราอยู่ เชื่อเถอะว่าเต้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่มีต่อน้ำไปได้หรอกเพราะน้ำคือคนที่เต้ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย”

















บทที่ยี่สิบ



ฉันแอบอิงชิดในอ้อมกอดและฟังเสียงลมหายใจที่ดังครืดคราดของเขาใกล้ๆ ทั้งกลิ่นกายและรสรักยังกรุ่นอยู่ไม่จาง เต้โน้มตัวลงมาหอมแก้มก่อนชี้ชวนให้มองวิวทิวทัศน์ท้องทะเลยามเช้า ภาพนกทะเลบินออกหากิน แสงอาทิตย์แรกแห่งวันกำลังเผยแย้มจากมวลหมู่เมฆที่ดูอึมครึมนั้น มือของเราเกาะกุมกันแน่น พลางที่จะกระชับเสื้อผ้าให้แนบสนิทกับตัวเองเพื่อให้อุ่นขึ้น

 “ผิดคาดเลย... ใครว่าทะเลตอนเช้าไม่หนาวกันนะ” ฉันรำพันเบาๆ
“มานี่ซิ... จะได้อุ่นๆ” เต้นำฉันไปอีกทางลัดเลาะชายหาด มายังโขดหินสูงเป็นชะโงกยื่นไปในทะเล เรานั่งชื่นชมบรรยากาศยามเช้าด้วยกัน ต่างโอบกอดกันและกันไว้ ประเดี๋ยวเต้ก็ฉุกคิดขึ้นได้ ก่อนหยิบกล้องวีดิโอที่พกมาถ่ายท้องทะเลสีคราม หมู่แมกไม้บนเกาะ และเราสองคน

“นี่ตั้งใจดูมากเลยนะ” ฉันกระเซ้า เต้ยิ้มเล็ก พลางขยี้ผมฉันเสียยุ่ง ฉันทำหน้ามุ่ยใส่ เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนสางผมดูเรียบร้อยเป็นทรงตามเดิม
“นานๆทีได้ออกมา ก็อยากเก็บบรรยากาศดีๆ ความทรงจำดีๆไว้นานๆ” ฉันสบตาคู่นั้นของเต้ ทุกถ้อยคำนั้น ฉันเชื่อถือและเชื่อมั่นเสมอ เพราะรัก ชีวิตที่เหลืออยู่นับแต่วันที่เราปฏิญาณ ว่าจะรักและดูแลความสัมพันธ์ระหว่างกันภายใต้อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า





“เต้...”
“หืมม มีอะไรจ๊ะ... ที่รัก” ฉันลูบใบหน้าของเต้ ละเลียดเบาๆราวกับพยายามซึมซับทุกอณูของเต้ ตักตวงเข้าความทรงจำของตนเอง ตราบที่ยังมีคนคนนี้อยู่ใกล้ให้มากที่สุด

“รับปากเรื่องหนึ่งกับน้ำได้ไหม” แววตาที่จริงจังคู่นี้ของฉันกระตุ้นเตือนให้เต้ลดกล้องลงข้างตัว และตั้งใจฟังฉันมากขึ้น

“ถ้าวันหนึ่งเราไม่อยู่ด้วยกันแบบนี้... เต้อย่าลืมน้ำนะ”



แค่อยากเพิ่มความมั้นใจให้กับตัวเองมากขึ้นเท่านั้น เต้ดูจะตกใจกับคำพูดนั้นเล็กน้อย ก่อนจะดีดมะกอกใส่กลางหน้าผากฉัน ฉันหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เต้ เขาส่ายหน้าเบาๆและกอดฉันไว้

“พูดบ้าอะไร ไม่ดีนะ เราก็อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดแหละ”


“เหมือนกับท้องฟ้าสีครามนั้น เหมือนกับทะเลสีน้ำเงินนั้น เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ยังโคจรอยู่รอบโลกที่เราอยู่ เชื่อเถอะว่าเต้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่มีต่อน้ำไปได้หรอกเพราะน้ำคือคนที่เต้ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย” ยิ่งเขาย้ำอย่างนั้น ฉันยิ่งมั่นใจ และแน่ใจในตัวเขามาขึ้น ต่อไปจะไม่หวั่นไหว ไม่พรั่นพรึงต่อสิ่งใดมาบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนไปอีก


“น้ำ... ขอโทษนะ ต่อไปจะไม่พูดแบบนี้อีกแล้ว”
“ช่างมันเถอะ แต่เมื่อกี้นี้ ใจหายแว๊บเลยรู้ไหม อืมม จวนได้เวลาทานข้าวเช้าแล้ว รีบไปกันดีกว่านะ คุณพ่อ คุณแม่น้ำคงรออยู่แล้ว” เต้รวบรัดตัดบทไป อุ้มฉันลงจากโขดหินที่นั่งชมทิวทัศน์เมื่อครู่ เดินกลับทางเดิมไปยังรีสอร์ต เต้ยังคงจับมือฉันไว้ไม่ปล่อย ฉันไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก แม้ว่าลึกๆในใจจะประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ลึก ไม่เข้าใจตัวเองว่า เหตุใดจึงกลัวมากขนาดนี้ รู้สึกว่าเวลาที่เราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้มันน้อยลง น้อยลง ทุกที










   เรานั่งรับประทานอาหารกันพร้อมหน้า สี่คน พ่อนั่งคู่กับแม่ ส่วนฉัน ไม่ต้องใบ้ว่านั่งอยู่กับใคร เต้เอาแต่เอาใจตักกับมาให้เรื่อยจนล้นพูนจานแล้ว ทานก็ทานจะไม่หมด ยังจะมาขู่เข็ญอีกว่าให้ทานเยอะๆจะได้มีแรง ชิ

“อื้อ...” ฉันพยายามละเลียดทานไปเรื่อยๆ นายเต้ ไม่ต้องมาทำกระหยิ่มยิ้มย่องมีเลศนัยอย่างนั้นเลย ฉันจะไม่สบายเพราะนายดูแลดีเกินไปต่างหากเล่า
“มื้อเช้า... อร่อยดีนะคะคุณ นี่ต้องยกนิ้วให้เพื่อนเธอเลยนะเต้ ชักอยากเห็นหน้าแล้วซิ” แม่ถามความเห็นพ่อ ขณะที่ตักปลาดตาเดียวทอดกรอบชิ้นสุดท้ายออกไปจากจาน


“นั่นสิ... ไม่เห็นเพื่อนคนที่ว่านั้นเลยนะ” พ่อหันมาถามเอากับเต้แทน ซึ่งก็ยิ้มแห้งๆให้แทนคำตอบ

“คงอีก 2-3 วันเขาคงมาที่เกาะครับ เห็นว่าไปดูงานรีสอร์ตอีกที่นึงอยู่ ก่อนเรากลับคงได้พบกันแน่นอนครับ” พ่อและแม่พยักหน้าเข้าใจ เต้ลงมือทานต่อ ส่วนฉันนี่วางช้อนส้อม เพราะเริ่มอิ่มตื้อขึ้นมา มองวิวทิวทัศน์ด้านนอกไปพลาง รอทุกคนทานเสร็จ พระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนขึ้นสูง น้ำทะเลก็เหมือนจะลดระดับลง

“อ๊ะ...”

“มีอะไรเหรอน้ำ” เต้คงตกใจที่ฉันอุทานขึ้นมาเสียงดัง ฉันผุดลุกจากเก้าอี้และเดินเลี่ยงออกไป พ่อกับแม่ มองฉันอย่างงงๆ



“ไม่มีอะไรค่ะ เดี๋ยวขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ฉันกำชับไปห้วนๆ ผลุนผันออกไปที่ชายหาด ไล่หลังคนๆนึงให้ทัน ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมาอยู่ที่นี่ อยากจะคุยเคลียร์ทุกอย่างให้รู้เรื่องกันไปเสียที





“เธอ... เดี๋ยวก่อนซิ เธอ...”



ไม่ทันแล้ว แม้จะตะโกนเรียกไล่หลัง เธอคนนั้นเดินหายเข้าไปอีกฟากหนึ่งเสียแล้ว ลมทะเลพัดแรงเสียจนฉันต้องปัดป่ายเรือนผมของตัวเองที่สยายตามแรงลมจนรกใบหน้า และมะงุมมะงาหรา จัดชายกระโปรงยาวตรอมเท้าไม่ให้กระพือขึ้น


“หายไปไหนแล้วนะ” เธอคลาดสายตาไปเสียแล้ว จะว่าไป บางทีฉันอาจจะตาฝาดไปก็ได้ ไม่มีทางที่คนๆนั้นจะมาปรากฏตัวที่เกาะนี้ อยู่ที่นี่ในเวลานี้ ฉันทราบแค่ว่าหลายเดือนแล้วที่เธอหายตัวไปตั้งแต่วันที่มีเรื่องนั้นเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างดีอย่างไร ถึงเธอจะทำไม่ดีกับฉันหลายครั้งหลายครา แต่กลับอดห่วงเธอไม่ได้จริงๆ


“มีอะไรเหรอคะ” เธอผู้นั้นปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าอีกครั้ง พระเจ้าช่วย ใช่ ใช่เธอจริงๆ
“หวาน... ใช่หวานหรือเปล่า” ฉันละล่ำละลักถามเธอที่ยืนนิ่ง กระชับหมวกปีกบานให้สนิทแน่นกับหัวของตัวเอง มองฉันด้วยใบหน้าฉงนสนเท่ห์ และยิ้มเล็กๆ



“คุณคงจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ... ว่าแต่มีอะไรให้ดิฉันช่วยไหมคะ” เธอปัดปฏิเสธ จะว่าไปพอพินิจดูอีกครั้ง คงไม่ใช่หวานจริงๆ จมูกที่ดูคมเป็นสันแบบนั้น ผิวที่หมองคล้ำลง ความรู้สึกของฉันมันสับสนปนเปไปหมด ก้ำกึ่งว่าใช่หรือไม่ใช่หวานกันแน่

“เอ่อ... งั้นต้องขอโทษละกันนะคะ ไม่มีอะไรแล้วค่ะ” ฉันกล่าวขอโทษเธอไป
“ค่ะ”


เธอเดินลัดกลับทางเดิม ส่วนฉันก็เดินกลับมาที่เรือนรับประทานอาหารอย่างเก่า ทั้งสามคนนั่งพูดคุยกันสนุกสนาน ลางทีฉันอาจวิตกเกินไป นี่เรามาพักผ่อนกันนะ ช่างมันเถอะ เรื่องพรรณนั้น อย่าเก็บมาใส่ใจดีกว่า



“ไปไหนมาตั้งนานน่ะน้ำ”


เต้ลงมือสอบสวนคาดคั้น ฉันทันที ฉันเลยหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองมาประกอบ ตอบเลี่ยงไปตามไหวพริบของตนเอง
“ไปตั้งนาน ทานกินอิ่มหรือยังเอ่ย พอดีมีโทรศัพท์จากทางบริษัทค่ะ เรื่องงาน”
“ไหน... เอามานี่ซิ” เต้รีบริบโทรศัพท์ไปจากมือ พ่อเริ่มคิ้วขมวดไม่พอใจกำกับอยู่ข้าง แม่รั้งๆพ่อไว้แต่ก็ไม่พูดอะไร คงเข้าใจว่าเต้อาจจะโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ
“จะทำอะไร เต้ นี่...” ฉันเองก็ทำอะไรไม่ถูกที่เต้ชักสีหน้าแบบนั้น เริ่มมีน้ำโมโหขึ้นมาเหมือนกัน เรื่องแค่นี้จะอะไรนักหนา

“ก็กดปิดไว้ บอกแล้วว่ามาพักผ่อน ต้องไม่มีเรื่องงานมาวุ่นวายกวนใจ” เต้วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ ชักฉุนขึ้นมาแล้วนะเนี่ย เรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ แล้วจะยังมาปิดโทรศัพท์ของฉันอีกนะ
“นี่...”

“เอ้าๆ พอกันได้แล้วทั้งคู่ น้ำเรามาพักผ่อนกันนะ งานค่อยกลับไปจัดการทีหลังละกัน เต้ก็อย่าทำให้น้ำเขาหงุดหงิดนะ ค่อยๆพูดกันดีๆ แม่คนนี้เขาก็บ้างานพอๆกันกับเธอแหละ” แม่ออกหน้าปรามเราทั้งคู่ให้อารมณ์เย็นลง ลืมไปทีเดียวว่าพ่อกับแม่ยังคงอยู่ตรงนี้ ฉันเดินนำลิ่วกลับห้อง มีเต้ตามมาติดๆ และเมื่อเราเข้าไปในห้องเรียบร้อยแล้ว...

 “นี่วันนี้มีโปรแกรมดำน้ำชมปะการังนะ ไปไหม” เต้รั้งแขนฉันไว้ ยังไม่ทันที่จะเดินเข้าห้องน้ำไปเลย เข้ามาเคลียคลอเป็นลูกแมวเชื่องๆ ใครคิดแบบนั้น ไม่ใช่เลย เหมือนงูหลามมากกว่า

“น้ำว่ายน้ำไม่แข็ง ไม่ไปดีกว่า” ฉันพยายามบ่ายเบี่ยงออกจากอ้อมกอดของเต้ ยิ่งดิ้นยิ่งรัดแน่น แถมยังจะมาซุกไซ้ซุกซนอีกแนะ
“เดี๋ยวเต้ว่ายคู่ไปด้วยกลัวอะไรหนักหนาล่ะ” เต้เพยายามตะล่อมให้ฉันไปดำน้ำกับเขาเสียให้ได้ ไม่มีทางเสียหรอก เรื่องน้ำกับฉันนี่ไม่ถูกกันเลยทีเดียว ถ้าเล่นอยู่ริมฝั่งยังพอว่า แต่นี่ไปตั้งไกล ยิ่งเป็นทะเลยิ่งไม่ไว้ใจ 

“แบบนี้เขาเรียกว่าบังคับแล้วนะ แล้วจะมาถามว่าไปไหม ทำไมกัน”

“...” เต้เงียบไปครู่หนึ่ง อารมณ์ของฉันขึ้นแล้วลงยากเสียด้วย ยิ่ง
ใช้วิธีนี้มาง้อ ยิ่งเตลิดไปไกล เต้ผละออก เดินอ้อมเตียงไปห้องน้ำ ถอดเสื้อกองไว้


“แล้วแต่นะ ถ้าอยากจะไปก็ตามมาที่ฟร้อนท์ละกัน เขาจะออกไปกันตอนบ่ายสองครึ่ง” เสียงเต้กำชับโดยมีเสียงน้ำฝักบัวประกอบ ฉันถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบเขาไปเสียงอ่อยๆ
“อื้อ...ไปเถอะ” ฉันล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนล้า หลับไปตอนไหนไม่รู้ ที่แน่ๆ คือ เมื่อลืมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เต้ก็ไม่ได้อยู่ภายในห้องแล้ว








“สวัสดีค่ะ”
“อ้าวเธอ...” ฉันหันกลับไปตามเสียงเรียกนั้น คนที่ฉันเผลอไผลเข้าใจผิดว่าเป็นหวาน เธอยืนอยู่ข้างหลังฉันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ฉันเองที่กลับเป็นฝ่ายทำสีหน้าไม่ถูกเมื่อเธอมาทักทายนี้



    “ไม่ออกไปดำน้ำกับแฟนคุณเหรอคะ” เธอค่อยนั่งลงยังเปลยวนใกล้ๆ ฉันเลื่อนหนังสือลง เปลี่ยนอิริยาบทจากนอนเป็นนั่ง เพื่อพูดคุยกับเธอเป็นกิจลักษณะ

“ไม่ล่ะ ฉันพักผ่อนที่นี่ดีกว่า รู้สึกไม่ค่อยสบายเลยวันนี้” สายลมเย็นๆโบกโชยอย่างแผ่วเบาผ่านร่าง คู่สนทนาของฉันหลับตาพริ้มรับลมทะเล ฉันอดไม่ได้ที่จะละสายตาไปจากเธอ ดูสวย ดูงดงาม ดูมีเสน่ห์เสียเหลือเกิน

“ท่าทางแฟนของคุณจะเป็นห่วงคุณดีนะคะ”
“มากเกินไปมันก็ไม่ดีเหมือนกัน เขาไม่ค่อยมีเวลาให้ฉันเท่าไร คงอยากชดเชยบ้างมั้ง” ฉันเหม่อลอยมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย ความรู้สึกอะไรหลายๆอย่างผสมปนเปจนสับสนไปหมด ฉันเป็นอะไร และเต้เป็นอะไร บอกไม่ถูกเลย หรือเพียง... โกรธที่เขาโกรธเรื่องไม่เป็นเรื่องเทือกนั้น



“...”
“เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ” จู่ๆเธอกลับเงียบไปครู่หนึ่ง ทำให้ฉันฉุกหันมามองเธอ นี่ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า แว่บหนึ่งราวกับฉันสังเกตเห็นรื้นน้ำตาปรากฏบนใบหน้าของเธอ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ น่าอิจฉาคุณนะ ที่มีคนรักอยู่ใกล้ๆแบบนี้ ผิดกับฉัน...” เธอซึมลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะพยายามฝืนยิ้มอยู่ก็ตามที เล่นเอาฉันทำอะไรไม่ถูกทีเดียว


“เอ่อ... ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้าหากพูดอะไรไม่ดีออกไป ไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณเสียความรู้สึกหรอกนะคะ”
“อย่าคิดมากเลยค่ะ ว่าแต่ชื่ออะไรเหรอคะ คุยกันมาตั้งนานแล้ว ไม่รู้จักชื่อคุณเลย" เพื่อนใหม่ที่อยู่ตรงหน้าพยายามผูกมิตรภาพด้วยการถามชื่อ จะว่าไปก็คุยกันมาตั้งนานไม่รู้จักว่าเธอชื่ออะไรเลยนี่นา
“ชื่อน้ำค่ะ แล้วนี่ คุณ...”


“ชมพู่ค่ะ สั้นๆว่าพู่ก็ได้ค่ะ ว่าแต่นี่คุณมากับครอบครัวเหรอคะ เห็นมากับพ่อแม่ด้วย” เธอตอบทันควันโดยที่ฉันยังไม่ทันเอ่ยปากถามไถ่อะไร ฉันยิ้มให้ก่อนตอบ
“ค่ะ มาพักผ่อนตากอากาศประมาณอาทิตย์นึงค่ะ ไม่เลวนะคะที่นี่ บรรยากาศดี อากาศดี ว่าแต่คุณ... เอ๊ย... พู่ล่ะ” ฉันแนบหนังสือไว้กับลำตัว นั่งไขว่ห้าง
“มาคนเดียวค่ะ หนีเรื่องปวดหัวกวนใจมาพักที่นี่ กะว่าดีขึ้นเมื่อไรก็กลับเมื่อนั้น”

“อืมม... ค่ะ อย่างไรก็ขอให้พู่ดีขึ้นนะคะ ว่าแต่เราไปสปากันไหมคะ ทิ้งเรื่องร้ายๆแย่ๆลงทะเลไป หาอะไรๆที่ทำแล้วสบายใจกันดีกว่าค่ะ” ฉันได้ทีชักชวนเธอเสียเลย อยู่คนเดียวก็คิดอะไรเตลิดฟุ้งซ่านไป อีกอย่างที่รีสอร์ต แอบเห็นสปาอยู่ด้วย น่าสนใจดี มีเพื่อนไปด้วยคงจะโอเคกว่า

“ก็ดีเหมือนกัน กำลังเบื่อๆอยู่พอดี มีเพื่อนคุยด้วยหน่อยยังพอหายเหงาบ้าง เอาเป็นว่าพู๋เลี้ยงละกันนะคะ” ว้าว เข้าทางเลย ท่าทางถูกคอกับฉันดี แบบนี้เวลาที่เหลือบนเกาะ คงไม่เหงาอีกแล้ว จะว่าไปแบบนี้มันก็เหมือนเป็นการเอารัดเอาเปรียบพู่เกินไป ต่อรองเสียหน่อย ให้สมน้ำสมเนื้อกัน

“งั้นมื้อเย็น น้ำเลี้ยงละกันนะคะ แฟร์ๆกัน”
“ตกลงตามนั้นค่ะ” ฉันเก็บหนังสือใส่กระเป๋า และลุกเดินคู่กันไปตามทาง พิศดูกี่ทีพู่เหมือนกับหวานมากจริงๆ เพียงแต่พู่เธออ่อนโยนกว่า นึกถึงหวานแล้วก็ใจหาย หากไม่มีเรื่องกันวันนั้น เราคงไม่ต้องแตกคอกัน หวานเองก็คงไม่คิดทำอะไรชั่ววูบไม่ทันยั้งสติคิดแบบนั้น อดห่วงไม่ได้จริงๆว่าตอนนี้เธอจะมีชีวิตอย่างไร ตกระกำลำบาก หนีตำรวจอยู่อย่างนี้สงสารลูกสาวฝาแฝดของเธอนั้น สงสารเธอที่นนท์ไม่เคยรักเธอเลย






“ไปดำน้ำมาสนุกไหม” ฉันเอ่ยปากทักทายเต้เมื่อเขากลับเข้ามาภายในห้องพัก โสดใสแม้จะหมองคล้ำเพราะตากแดดตากลมทะเลมาโข กลิ่นเกลือและกลิ่นเหงื่อยังกรุ่นอยู่

“ก็ดีนะ เสียดายน้ำน่าจะไปด้วยกัน ใต้น้ำมีปลา ปะการังสวยๆทั้งนั้น ครูฝึกที่เขาคอยคุมบอกว่า บางครั้งเราอาจโชคดีเจอฉลามวาฬด้วยนะ” เต้ทับถมใส่ว่าฉันพลาดอะไรไปบ้าง ทำให้ฉันซึมไปเหมือนกัน ถ้าไม่ติดตรงที่น้ำลึก ก็อยากไปด้วยอยู่หรอก

“น้ำไม่ไหวหรอก เจอแดดจัดจ้าๆไป จะเป็นภาระเต้ปล่าวๆ อยู่ที่นี่ก็มีอะไรให้ทำเยอะแยะเหมือนกัน” เต้เข้ามาประชิด ลูบผมเบาๆ และหอมฟอดใหญ่ ฉันก้มหัวงุดไม่มองหน้าเขา

“งอนหรือเปล่าเนี่ย... โอ๋...”
“อย่ามากวนประสาทนะ เต้ก็รู้ว่าน้ำไม่สบายนะ เย็นนี้น้ำไปทานข้าวกับเพื่อน เต้ก็ทานกับพ่อแม่น้ำนะ” ฉันโพล่งตอบไปอย่างไม่คิดอะไร แค่แหย่ๆเท่านั้น ไม่คิดว่าคำว่าเพื่อนจะกระตุ้นให้เต้เดือดขึ้นมา


“ใครน่ะ... ที่บอกว่าเพื่อน ไหนเรามาเที่ยวกันเป็นส่วนตัวไง” เต้บีบแขนเสียแน่นจนรู้สึกเจ็บ ไม่ทันไรก็จะวีนใส่กันอีกแล้ว วันนี้มันเป็นอะไร รู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่เข้าหูเข้าตาเต้ไปเสียหมด
“บอกว่าเพื่อนก็เพื่อนสิ ผู้หญิงนะ จะหวงไม่เข้าท่าทำไมล่ะเนี่ย” ฉันเริ่มขึ้นเสียง เต้เหมือนจะรู้ว่าฉันเจ็บจึงคลายมือออก ต้นแขนของฉันปรากฏรอยแดงจางๆขึ้นมา ฉันลูบมันเบาๆ

“...แล้วไป... คิดว่า...” เต้เบาเสียงลง จะมาจับดูรอยแดงนั้นแต่ทว่าฉันปัดออกอย่างไม่ใยดี และนั่งหันหลังให้

“คิดว่าอะไร”

“เปล่าไม่มีอะไรหรอก ช่างเถอะ...”



เต้เข้ามากอดด้านหลัง เอาหนวดแข็งๆลากไล่ไปตามคอและไหล่แทนขำขอโทษและหยอกล้อให้หายงอน ไม่มีทาง ที่ทำอยู่นี่มันน่ารำคาญมากกว่าจะรู้สึกดีตามไปด้วยเสียอีก

“อื้อ... ออกไปนะ น้ำอึดอัดน่ะ” นี่พยายามบ่ายเบี่ยงสุดชีวิตแล้วนะ รู้ตัวว่าไม่ใช่นางเอกไร้เดียงสา แต่อย่ามาทำตาเยิ้มใส่แบบนี้ได้ไหม ไม่ไว้ใจตัวเองเอาซะเลย ดิ้นไปดิ้นมากลายเป็นให้ท่าเต้เสียอย่างนั้นเหรอ หวาย... ล้มตรงไหนไม่ล้ม อีตานี่กระโจนลงมาทาบทับฉันไว้บนเตียง

“รู้ไหมออกไปแปปเดียว คิดถึงน้ำจะแย่ ให้ไปดำน้ำด้วยก็ไม่ไป” เต้ถอดเสื้อของตนเองออกไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ที่รู้คือใจของตนเองเต้นโครมครามไม่อยู่สุข เต้ลูบหน้าของฉันเบาๆ และคว้าหลังมือซ้ายของฉันขึ้นมาจุมพิตเบาๆ กระซิบกระซาบอะไรไม่รู้ ได้ยินไม่ชัดเลย

“ว่าอะไรน่ะ น้ำได้ยินไม่ชัดเลย”
“...”

“ไม่ได้ยินเลย พึมพำอะไรคนเดียวน่ะ เต้”

“ขอโทษ... เต้ขอโทษ” เกือบหลุดขำออกมาแนะ แค่คำว่าขอโทษแค่นี้พูดออกมายากเย็นทีเดียวเชียว ทำหน้าแดงเขินเชียว ทีเรื่องอื่นนี่หน้าด้านนัก


“...”
ขอเล่นตัวซะหน่อยเถอะหมั่นไส้นัก แกล้งบ้างดีกว่า


“แล้ว ไม่คิดจะยกโทษให้เต้เลยเหรอ”
“...”


ฉับพลัน เต้จับหน้าของฉันให้หันมาจันหน้าแทนการเบือนหน้าหนี เต้ประกบปากเข้ามาพร้อมช้อนตัวของฉันขึ้นมา แผ่วเบา เน่นนาน อ่อนละมุน สัมผัสของริมผีปากของเต้แทบทำให้ฉันยวบยาบอ่อนลงตาม หมดแรงต้านที่จะดื้อดึงหรือขัดขืน กระด้างกระเดื่องต่อ

“ย... ยกโทษให้ก็ได้... ดะ เดี๋ยว ดะ...” เต้ยิ้มกริ่มให้และจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง ราวกับฝันไป หายใจแทบไม่ออก มือไม้เต้เริ่มเคลื่อนที่ไปตามเนื้อตัวของฉันมากขึ้น สะกดให้ฉันเคลิบเคลิ้มตามแรงปรารถนาที่เต้จะมอบให้

“พอเลยนะ พอ... อืมมม... เต้” ฉันละล่ำบอกเขาตะกุกตะกัก
“น้ำ...” เสียงของเต้เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน พร้อมกับสัมผัสที่อ่อนโยนบนหน้าผากของฉัน

“อะไรอีกล่ะ...”
“ไปดำน้ำกันนะ” เต้พูดอย่างมีเลศนัย แต่ฉันเองไม่ได้คิดอะไรไปไกลขนาดนั้น เพียงแต่ว่าเวลานี้ มันเหมาะกับการดำน้ำเสียเลย เลยขัดขึ้นมา


“เพิ่งกลับมาเองไม่ใช่เหรอ จะออกไปอีกเหรอ นี่มันจะมืดแล้วนะ”





“ก็ดำที่นี่แหละ”


และฉันก็เข้าใจความหมายที่เต้ต้องการสื่อถึง
ว่าแต่การดำน้ำนี่ มันเหนื่อยและปวดเมื่อยไปหมดเลยนะ แถมคนพาดำนี่ไม่เห็นจะมีที่ท่าว่าจะเหนื่อยอะไรเลย


มีหวัง...มาเที่ยวครั้งนี้ จะเหนื่อยเพราะดำน้ำนี่แหละ จะปฏิเสธก็ไม่ได้





พูดไม่ทันทุกทีเลย...




โปรดติดตามต่อต่อไปครับ....

ขออภัยที่ลงช้านะครับ



หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3)
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 04-11-2008 15:39:02
ช้าก็ดีกว่าไม่มาครับ ผมรออ่านอยู่ เข้ามาดูทุกวัน
แต่ก็เตียมใจสำหรับตอนจบไว้แล้ว มาต่อไวไวนะครับ
เปนกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3)
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 04-11-2008 16:06:17
เฮ้ย

ทำไมมันลงเร็วจังเลยฟะ

ตามอ่านไม่ทันแย้ว

 o2 o2 o2
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3)
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 04-11-2008 19:48:03
เห็นรีพลายหลายคนก็ชื่นใจคับ

ปล.สต็อคเรื่องผมหมดอยู่แค่นี้ยังไม่ได้แต่ต่อเลย

ผมจบเรื่อง RKA Mission แล้ว ไว้ไงผมจะพยายามแต่งมาลงให้นะคับ รับรองไม่ดองนานแน่คับ

 :pig4: ทุกเม้นต์ ทุกรีพลายนะคับ

ให้มีความสุขกับการอ่านเรื่องนี้นะคับ

 :oni1:
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3)
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 04-11-2008 22:40:45
รออ่านตอนต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3)
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 12-11-2008 16:15:30
ยังรออยู่นะคะ :man1:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 12/12/08
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 12-12-2008 12:23:09
















“...อีกอย่างถ้าน้ำเป็นภาระ เต้ก็ยอมยกให้น้ำเป็นภาระไปทั้งชีวิตเต้เลยก็ได้”















บทที่ยี่สิบเอ็ด

   
ผมมีความสุขที่ได้มีเธออยู่ใกล้ๆแบบนี้ นานมากแล้วที่ผมจมอยู่กับงานจนลืมภรรยาที่น่ารักคนนี้ไป ทุกครั้งที่กลับบ้านมาตีหนึ่งตีสอง ผมมักเห็นเธอนอนอยู่ที่โซฟาเพื่อรอทั้งที่ผมย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ต้องรอ

บางครั้งก็เป็นอาหารที่เย็นชืดในครอบมุ้งบนโต๊ะอาหารที่มีโน๊ตเล็กเขียนทิ้งไว้ว่า “อาหารคนเย็นหมดแล้ว อุ่นก่อนทานนะ” เสื้อผ้าที่เธอส่งซักและรีดเองเรียบร้อย แขวนเป็นระเบียบในตู้อย่างจัดหมวดหมู่สะดวกต่อการหยิบใช้ ให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าผมไม่เธออยู่แล้วจะเป็นอย่างไร

ผมจัดศรีษะของน้ำให้เอนตัวลงนอนในท่าที่สบายที่สุด แต่ไม่วายที่เธอจะไหลลงมาซบไหล่ผมด้วยความคุ้นชินจนผมต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้น แม้จะเมื่อยเหน็บกิน แต่เมื่อเทียบกับหลายๆสิ่งที่เธอทำให้ผม แค่นี้ผมทนได้

เรากำลังเดินทางกลับ มีของฝากบรรทุกมาเต็ม ทั้งของกินและของที่ระลึกพ่อตาแม่ยายของผมมองเราทั้งคู่ด้วยสายตาที่เอ็นดูและรักใคร่ ผมลูบปอยผมที่ตกมาปรกหน้าของน้ำเบาๆ กลิ่นกายของเธอยังหอมกรุ่นและนิ่มนวลเมื่อได้สัมผัส

“น้ำอยากแปลงเพศ... เต้จะยอมหรือเปล่า...”
เมื่อคืน น้ำเอ่ยถึงเรื่องนี้กับผม ผมไม่ให้คำตอบอะไร แม้ว่าผมจะรักไม่เธอจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ความต้องการที่จะเติมเต็มให้ตัวเองเป็นดังที่ปรารถนานั้นแรงกล้ากว่า เธอคงจะผิดหวังที่ผมไม่ไฟเขียวให้

“โรคที่คุณน้ำเป็นอยู่นั้น หมอเกรงว่าถ้าได้รับการผ่าตัดใหญ่ ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการแทรกซ้อนจากภาวะเลือดไม่แข็งตัวและเม็ดเลือดขาวเป็นพิษได้...”

ผมรู้ทั้งรู้ ว่าเธอทรมานกับอาการของโรคมานานแสนนาน แต่มันกลับไม่มีทางที่จะเยียวยาให้หายขาดได้นอกจากประคองให้อาการทรงตัวอยู่เท่านั้น
แค่ซื้อลมหายใจต่อลมหายใจ...

ผมกอดเธอแน่นกว่าเดิม กลืนน้ำตาและยิ้มให้กับร่างผอมบางที่หลับด้วยความอ่อนเพลีย เธอรู้หรือไม่รู้กันแน่ กับสัญญาณบางอย่าง ที่ทำให้ผมไม่สบายใจและอยากอยู่กับเธอให้มากกว่านี้

กลัวว่าวันใดวันหนึ่งพญามัจจุราชจะพรากเธอไปจากผมจริงๆ

***






หลังกลับมาจากไปเที่ยวทะเล ฉันเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเองทีละเล็กทีละน้อย อาการอาเจียนและแพ้กลิ่นหอมต่างๆแม้เพียงเล็กน้อยก่ออุปสรรคในการทำงานมากขึ้นทุกวัน แม้แต่ขับรถ มือไม้ก็อ่อนปวกเปียกไม่มีแรง ขาดเป็นพักๆ ฉันทำใจดีสู้เสือ ข่มอาการของตัวเองไว้ ฉาบร้อยยิ้มไม่ให้คนอื่นเป็นกังวล

“โอก... ฮ... ฮ...”
ฉันเกาะขอบชักโครกไว้ ดึงทิชชู่มาซับคราบต่างๆและทิ้งลงในถงขยะเล็กๆข้างๆกัน หายใจหอบล้า ทุกครั้งที่อาเจียนมันแทบขาดใจเสียตรงนั้น

“อะ... อูว... ฮ... โอก...”
คลื่นอีกระลอกซัดมา ฉันโก่งตัวงอ ปล่อยให้เมือกเหลวข้นกับลิ่มเลือดจางๆเค้นออกมาจากลำคอ นั่งกองกับพื้นกระเบื้องไม่อายหรือยี่หระว่าจะสกปรกแค่ไหน แค่แรงจะลุกยืนยังไม่มี มือของฉันพยายามป่ายไปกดน้ำให้ล้างของเสียทิ้งไปซะ

ฉันนั่งพอให้ตัวเองมีแรงซักพัก พอรู้ว่าอาการทุเลาลง ค่อยๆประคองตัวเองไปที่อ่างล้างหน้า
กระจกสะท้อนใบหน้าที่ซีดเซียวและแก้มตอบลง ฉันพยายามทำเป็นไม่สนใจ รีบล้างมืออย่างลวกๆ และบ้วนปาก ก่อนโซซัดโซเซออกจากห้องน้ำกลับโต๊ะทำงานอย่างช้าๆ

   งานที่สุมพะเนินบนโต๊ะยิ่งสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้า หากรู้ดีว่าไม่มีทางหนีพ้น รีบทานยาแก้อาเจียนและพาราเซตามอนก่อนดื่มน้ำตามไปนิดหนึ่ง นั่งทำงานต่อ


“เดินทางกลับดีๆนะคะคุณน้ำ”

“จ๊ะ... แหม...มีแฟนมารับด้วยนะ” ฉันแซวลูกน้องตัวเองกลับ พร้อมโบกมือให้
เดินลงบันไดมาที่ป้ายรถเมลล์ หมายใจว่าจะเรียกแท็กซี่สักคันกลับบ้าน

แป๊น... แป๊น...



เสียงรถเก๋งสีดำคันหนึ่งจอดเทียบข้างฉันและบีบแตรให้เป็นสัญญาณ ฉันหันไปมองรอบๆด้วยเข้าใจว่าเจ้าของรถคงต้องการเรียกใครสักคน หากแต่รอบๆมีเพียงรปภที่นั่งฟังเพลงหมอลำอยู่ป้อม สาวโรงงานที่เดินจูงลูกชายผ่านตัวฉันไปไม่กี่ก้าว และฉัน
แต่ฉันไม่รู้จักใครที่มีรถเก๋งสีดำเลยนี่นา

และข้อข้องใจนั้นก็คลี่คลายไปเมื่อกระจกรถด้านข้างเลื่อนลง

“คุณน้ำ... บังเอิญจัง ไปทางเดียวกันหรือเปล่าคะ”

“เอ่อ... น้ำออกไปนอกเมืองเลยค่ะ ไม่รบกวนดีกว่า นี่กะว่าจะเรียกแท็กซี่พอดี” ฉันบอกปัดเธอไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ ชมพู่เลยถอดแว่นตาออกเพื่อคุยกับฉันให้ถนัดขึ้น พยายามคะยั้นคะยอให้มาด้วยกันให้ได้

“เถอะน่า...ว่าแต่น้ำบ้านอยู่ทางไหนล่ะ”

“พุทธมณฑลค่ะ”

“งั้นก็ขึ้นมาเลย พู่กำลังจะไปทางนั้นพอดี... จะไปทำธุระที่ศาลายาซะหน่อย ขึ้นมาเลย...”เธอเอี้ยวตัวมาปลอดล็อคและเปิดประตูให้ ฉันยืนเก้ๆกังๆว่าจะเอาอย่างไรดี สุดท้ายก็ยอมนั่งรถไปกับเธอด้วยเพราะเกรงว่ารถคันหลังจะได้ด่าพ่อล่อแม่เอา พู่สวมแว่นตาสีดำตามเดิมและยิ้มให้ก่อนออกรถไป
ฉันไล่มองข้าวของและการตกแต่งต่างๆภายในพาลให้นึกถึงรสนิยมของหวานขึ้นมา


“มีอะไรเหรอ... จ้องหน้าพู่อยู่ได้...”



“เปล่าหรอกค่ะ แต่รู้สึกว่าพู่เหมือนเพื่อนน้ำคนนึงมากจริงๆ”


“ใครเหรอคะ พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมคะ” ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะเล่าหรือไม่เล่าเรื่องของหวานดี
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ น้ำคงไม่สะดวกใจจะเล่าจริงๆ"

ไม่รู้ว่าตาฝาดไปหรือเปล่าที่เห็นแววตาของเธอครู่หนึ่ง ที่ทั้งเย็นชาและแข็งกร้าว

***

“อ้าว...”


ฉันต้องประหลาดใจที่เห็นเต้ยืนหันหลังทำครัวอยู่อย่างเก้ๆกังๆ

“กลับมายังไง แล้วทำไมไม่เอารถออกไปใช้ล่ะ” ใบหน้าของเต้เลอะเทะไปหมด รวมถึงผ้ากันเปื้อนที่อุตส่าห์ผูกไว้ ฉันขันเขาเล็กๆที่เหมือนเด็กเล่นซนแล้วพยายามกลบเกลื่อนความผิดของตนเองโดยเฉไฉไปเรื่องอื่น ดึงทิชชู่ใกล้มือมาสองสามแผ่น ค่อยๆซับรอยเปื้อนที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา

“ขี้เกียจ... ที่จริงไปรถสาธารณะก็สะดวกดี ประหยัดเงินได้เยอะ ยิ่งค่าน้ำมันแพงๆของช่วงนี้ยิ่งแล้วใหญ่” ฉันขยำทิชชู่ทิ้งลงถัง

“ว่าแต่... ทำไมวันนี้คุณหมอกลับเร็วนักละคะ” ฉันวางของสดลงบนที่วางของ แอบเห็นว่าเต้กำลังทำกับข้าวอยู่โดยกางตำราด้วย เต้รีบขยับตัวมาบัง ทำหน้าแหยๆให้

ก็ได้... จะทำเป็นว่ามองไม่เห็นละกัน

“วันนี้มีแค่ตรวจคนไข้ เลิกเร็วหน่อย ได้กลับมารอน้ำเร็วกว่าเดิมไง” เต้ถอดถุงมือยางออก นี่ถ้าไม่รู้คงคิดว่าคุณหมอคงมายืนผ่าตัดอะไรอยู่ในครัวแน่ๆ
“อุ๊ย...” ฉันรีบกุมแขนของเต้ที่รวบตัวของฉันไปกอดเอาไว้ บ่ายหน้าหลบสายตาหวานเชื่อมของเต้อย่างเกรงๆ

ปลายจมูกของเต้กดแนบลงบนแก้ม รู้สึกว่าใบหน้าร้อนขึ้น ฉันมองค้อนเขา แต่ก็ไม่ได้ดิ้นรนจากพันธนาการนั้น

“เต้ว่าจะเปิดคลีนิค จะออกจากโรงพยาบาล จะได้มีเวลาให้น้ำมากกว่านี้”

“แล้ว... ไม่เสียดายงานที่เคยทำๆมาเลยรึไง...” ฉันบ่นอย่างเสียดายตำแหน่งที่สู้อุตส่าห์ไต่เต้าขึ้นมา เต้ยังคลอเคลียอยู่แถวลำคอของฉัน เหมือนจงใจแกล้ง

“ไม่หรอก... เต้อยากให้น้ำออกมาช่วยดูแลกิจการด้วยกัน... อีกอย่างน้ำจะได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ไม่ใช่ทำงานหัวหมุนตัวเป็นเกลียวอย่างนี้”

“น้ำยังไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆนี่... ได้ทำงานมันก็รู้สึกดีกว่าการอยู่เฉยๆไม่ร็จะเริ่มต้นหยิบจับอะไร อีกอย่างน้ำเองก็ไม่อยากเป็นภาระให้เต้” ฉันพูดชัดถ้อยชัดคำช้าๆ ย้ำให้เต้เขาใจถึงเจตนาจริงๆของฉัน ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเกาะสามีกิน หวังพึ่งแต่แฟนตัวเองอย่างเดียว

“จะงกเงินไปทำไมนักหนา... อีกอย่างถ้าน้ำเป็นภาระ เต้ก็ยอมยกให้น้ำเป็นภาระไปทั้งชีวิตเต้เลยก็ได้” คำพูดของเขาเรียกให้ฉันเค้นน้ำตาตัวเองออกมาด้วยความตื้นตัน กอดแขนของเขาไว้อย่างหวงแหน แทนทุกคำพูดที่อยากจะขอบคุณกับหลายๆสิ่งที่เต้ตั้งใจและทำเพื่อฉัน เต้สะอื้นเบาๆบนแผ่นหลังของฉัน ยิ่งทำให้ฉันปวดร้าวขึ้นในอกมากขึ้น ต่างคนต่างรู้ดีว่าเวลาในนาฬิกาทราย มันเริ่มนับถอยหลัง

จนกว่าทรายเม็ดสุดท้ายจะหล่นลงไปรวมกับเม็ดทรายเม็ดอื่นบนก้นขวด


ฉันอยากมีชีวิตอยู่... อยู่เพื่อตอบแทนความรู้สึกที่เต้มีให้กันมาตลอด


อยากยื้อเวลา... ให้นานกว่านี้


โปรดติดตามตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 12/12/08
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 13-12-2008 13:00:38
มาแล้วๆ มาพร้อมเรียกน้ำตาคนอ่านไปด้วย
อ่านไปเตรียมใจไป เพราะว่าตอนจบคง
เค้นอามรมณ์คนอ่านกันอย่างเต็มที่
เป็นกำลังใจให้นะครับ มาต่อให้จบนะครับ
ยังไงก็ยังรออ่านอยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 14/12/08
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 14-12-2008 13:06:37


















“ข้อเสียอย่างหนึ่งของเธอ คือการไว้ใจคนง่ายเกินไป...”











บทที่ยี่สิบสอง


“กลับแท็กซี่อีกแล้วเหรอคะ...”
เป็นเรื่องบังเอิญอีกครั้งที่ฉันได้พบกับพู่ที่หน้าบริษัท ขณะที่ฉันประคองกล่องใส่ของใช้ส่วนตัวผ่านป้อมยามที่มีลุงรปภใจดีตะเบ๊ะให้ตามหน้าที่ ฉันยิ้มและเอ่ยคำทักทายเป็นครั้งสุดท้าย และมารอโบกแท็กซี่กลับบ้าน

“ค่ะ... วันนี้ทำงานวันสุดท้ายแล้ว” ฉันส่งยิ้มหวานให้เธออย่างที่มิตรพึงมีให้ต่อกัน พู่ดูโฉบเฉี่ยวในชุดทำงานของเธอที่ล้ำนั่น เธอกวาดสายตาและเชื้อเชิญฉันให้ร่วมทางไปด้วยภายใต้แว่นดำนั้นตามเดิม

“ไปด้วยกันสิคะ... ดูสิของเยอะแยะแบบนั้นคงไม่ไหวหรอก”

“เอ่อ... ไม่ดีมั้งคะ” ฉันพะว้าพะวง ใจนึงก็อยากกลับบ้านเร็วๆ อีกใจก็อยากรอให้เต้มารับ เสียตรงที่มือถือแบตหมดทำให้ติดต่อใครไม่ได้นี่สิ

“ไม่รบกวนอะไรหรอกค่ะ ทางเดียวกัน” ประตูรถฝั่งข้างคนขับดีดออก เธอขยับนิ้วเป็นสัญญาณให้ฉันขึ้นโดยสารไปด้วย เกรงใจก็เกรงใจ แต่ไม่อยากให้เสียความหวังดีที่มีต่อกันไป ฉันตอบรับคำเชิญนั้น

ไม่ทันที่ฉันเองจะอาลัยอาวรกับอาคารที่เคยเป็นที่ทำงานมาร่วมหลายปีเป็นครั้งสุดท้าย รถแล่นออกไปพ้นหน้าบริษัท ฉันมองมันผ่านกระจกมองหลังอย่างใจหายระคน

“วันสุดท้ายแล้ว... แล้วน้ำจะไปไหนเหรอคะ” พู่หักรถหลบคันข้างหน้าที่แฉลบเบียดเลนเข้ามา เธอดูนิ่งๆสุขุมกว่าฉันคิดไว้ในการขับรถ เพราะถ้าเป็นฉัน คงได้สบถออกมาอย่าหัวเสียแน่

“คงกลับไปช่วยแฟนดูแลคลินิคอีกแรงน่ะค่ะ กิจการของที่บ้าน...” ฉันประคองกล่องไว้บนตักโดยมีกระเป๋าสะพายใบเล็กเทินไว้ ของที่เหลือได้ทะยอยเอากลับมาก่อนหน้านี้แล้ววันสองวัน

“เป็นครอบครัวที่น่ารักดีนะคะ ว่าแต่มีเจ้าตัวน้อยหรือยังคะ” พู่พาขึ้นทางด่วน ฉันรีบส่งเศษเงินให้เธอเป็นค่าธรรมเนียมผ่านทาง หากเธอไม่ยอมรับไว้ ฉันเลยวางแหมะไว้ตรงที่หวางของหลังเกียร์ระหว่างเบาะ

“คงจะยากค่ะ...” ฉันตอบอ้อมแอ้ม ไม่ทันได้ตั้งตัวว่าต้องเจอกับคำถามแบบนี้

“ลองไปเช็คกับแพทย์สิคะ เผื่อจะแก้ปัญหาได้ เดี๋ยวนี้การแพทย์ก็ก้าวไปไกลเยอะแล้วนะคะ” พู่จ้อไม่หยุด ฉันเองก็ไม่รู้จะตอบเธออย่างไรดี ได้เพียงยิ้มอย่างฝืนๆรับคำแนะนำพวกนั้น

“...”

“ถ้าพูดอะไรไม่เข้าหู...ต้องขอโทษด้วยนะคะ” พู่รีบยกมือขึ้นป้องปากและกุมมือฉันไว้ครู่หนึ่ง ดูเธอจะวิตกที่จู่ๆฉันเงียบไป เธอหรี่เสียงเพลงที่เปิดคลอระหว่างขับรถลง

“ไม่มีอะไรที่ไม่เข้าหูหรอกค่ะ ถูกทุกคำที่พูดมาทั้งนั้น...” ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ รวบรวมความกล้าที่จะเอ่ย ความจริง...

“นี่ดูไม่ออกจริงเหรอคะ” คงเหมือนกับใครอีกหลายคน ที่รู้จักฉันเพียงผิวเผิน ไม่รู้ว่าตัวตนจริงๆของฉันเป็นเพียงดอกไม้พลาสติก ฉันภูมิใจที่จะปกปิดมัน ในเมื่อไม่มีใครรู้ ก็สบายใจกว่าที่ไม่ต้องสาธยายอะไรมาก แต่หากใครอยากรู้ ก็พร้อมที่จะเปิดเผยมันอย่างไม่อายเช่นกัน
เมื่อความจริง มันตราหน้าและหนีไม่พ้นอยู่ดี

“อะไรล่ะคะ”

“น้ำ... ไม่ใช่ผู้หญิงนะคะ” ฉันโพล่งออกไปในเฮือกสุดท้ายที่รถวิ่งข้ามสะพานแขวนไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา

“จริงเหรอ... ไม่น่าเชื่อ... สวยขนาดนี้ดูไม่ออกเลย... พู่เองยังแอบอิจฉาน้ำเลยนะ” เธอไม่ได้มีทีท่าว่าตกใจหรือรังเกียจอะไร ทำให้ฉันรู้เบาใจขึ้นเยอะ ฉันชิงหลบสายตาที่จะซักไซ้ไล่เลียงต่อ ตัดบททำเป็นสนใจทิวทัศน์ข้างทางจนกว่าเธอจะเปลี่ยนเรื่องพูด
“...ใครๆก็พูดอย่างนี้ทั้งนั้นแหล่ะค่ะ” พู่เองคงรู้ว่าฉันอึดอัด เลยไม่ได้ซักอะไรต่อ





“ขอบคุณนะคะ... อุตส่าห์มาส่งถึงที่บ้าน” ฉันโค้งศรีษะให้ ทุกทีเธอจะส่งฉันแค่หน้าเซเว่นปากซอยเข้าหมู่บ้าน แต่คราวนี้เธอตามเข้ามาส่งถึงข้างในหมู่บ้าน พู่ว่าของของฉันเยอะ เกรงว่าจะหอบไปลำบากเลยอาสาเทียบรถส่งถึงหน้าบ้าน

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องเล็กน้อย... บ้านสวยเหมือนกันนะคะ” พู่เอนตัวเล็กน้อย ไล่มองบ้านของฉันด้วยความชื่นชม ฉันรีบหลบมุมให้เธอได้ทัศนาเต็มๆ
“เข้ามาดื่มน้ำก่อนนะคะ นั่งพักเหนื่อยแล้วค่อยกลับก็ได้” เป็นมารยาทของเจ้าบ้านที่ดี ที่จะเอื้อเฟื้อต่อผู้มีน้ำใจ ฉันไขประตูเล็กและเหลียวมาพยักหน้าให้เธอ

“จะดีเหรอคะ... ให้คนแปลกหน้าอย่างฉันเข้าบ้าน” ฉันไม่รีรอให้เธอตัดสินใจเอง อ้อมรถมาจูงมือเธอเข้าไปภายในบ้านเอง รู้สึกใจเต้นที่นานๆทีจะมีคนมาเยี่ยมบ้าน อีกอย่างจะได้เลี้ยงอาหารเย็นเธอเป็นการขอบคุณสักมื้อที่มีน้ำใจมาส่ง

“เข้ามาเถอะค่ะ พู่เป็นคนแปลกหน้าที่ไหนกัน เพื่อนน้ำ น้ำก็ยินดีต้อนรับ... แฟนน้ำเขาคงไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ” พู่ลังเลอยู่ครู่ก่อนจะกดล็อครถและเก็บกุญแจใส่กระเป๋า ผ่านที่จอดรถและสวนเล็กหน้าบ้านที่เธอเอ่ยปากชมว่าตกแต่งได้สวยและร่มรื่นมากกว่าที่จะเรียกว่าบ้าน ฉันวางกล่องไว้บนชั้นวางของเล็กๆและไขกุญแจเข้ามาทางประตูใหญ่

“รกไปหน่อยนะคะ...” ฉันอายๆกับข้าวของที่ดูระเกะระกะบ้างในบางมุม เพราะความที่ยุ่งกับงานทั้งคู่ จึงมีเวลาให้กับบ้านหลังนี้ไปไม่มากกว่าที่หลับนอน ฉันวางกล่องไว้ข้างๆโซฟา กวาดนิตยสารรวบไปเก็บที่ชั้นและตรงไปยังห้องครัว

มือของพู่คว้าแขนของฉันไว้

“น้ำ...”
“หืมมม...” วูบหนึ่งที่เห็นรอยยิ้มและดวงตาที่ฉาบความสาแก่ใจนั้น ภาพทุกอย่างตรงหน้าพลันลบเลือนลง ราวกับมีใครปิดสวิตซ์มัน








***

วันนี้ผมออกมาซื้อของกินของใช้ภายในบ้าน แต่ก็ไม่ลืมที่จะแวะแผนกของเล่นเพื่อซื้อตุ๊กตาน่ารักๆให้ลูกสาวทั้งสองเนื่องในวันเกิดที่จะถึง ผมเองก็เหนื่อยหน่อยที่ต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ไปพร้อมๆกัน ไม่อยากให้ทั้งคู่รู้สึกว่าตนเองมีปมด้อย ดีที่ได้ฝ้ายช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง
ข่าวคราวของหวานขาดหายไปจนไม่รู้ว่าไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหน แม้จะไม่ใช่ความรัก แต่ประจักษ์พยานทั้งสองยังคงนั่งตากระพริบปริบๆไม่รู้อิโหน่อิเหน่ รอให้เธอกลับมา เธอยังคงได้ชื่อว่าเป็นแม่ของ พลัมและแพร

แผลเป็นจากการถูกยิงยังคงปวดแปลบเป็นระยะๆ ผมหน้าแหยกุมแผล นั่งลงบนม้านั่งยาว ยังมีหลายเรื่องที่ผมอดกังวลไม่ได้ ตราบที่หวานยังลอยนวลและยังไม่ละทิฐิพยาบาทในใจไป

ผมสะดุดตากับผู้หญิงชุดดำแว่นตาดำคนนึงที่เดินออกจากร้านขายยาอย่างร้อนรน ผมผุดลุกและรีบตามเธอไปอย่างรวดเร็ว
นั่นมันหวาน

เธอเข้าไปในรถสีดำคันหนึ่งแล้วบึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ให้ผมกระวีกระวาดรีบขับตามออกไปไม่ให้คลาดสายตา ด้วยเชื่อว่าหวานยังไงก็น่าจะฟังคำของผม ยังพอตะล่อมให้เธอยอมมอบตัวและสู้คดีได้ ผมกล้าที่จะบอกว่าเป็นอุบัติเหตุเพื่อกันให้โทษของเธอลดลง ไม่มีใครเลวหมดทั้งกมลสันดาน ลึกๆในจิตใจของหวาน ผมเชื่อว่าคงมีเมตตาอยู่บ้าง

รถของหวานแล่นเข้าเส้นสุขุมวิท ก่อนออกมายังเพชรบุรีตัดใหม่ เธอหยุด ผมก็หยุด พยายามกะระยะห่างไว้ช่วงคันเพื่อไม่ให้เธอจับได้ว่าผมตามเธอมาอย่างนี้

“แล้วนั่นใคร...” ผมรำพึงกับตัวเองเบาๆ พยายามเพ่งในระยะไกลว่ามีผู้หญิงคนนึงยืนถือของพะรุงพะรังคุยกับรถคันนั้นอยู่ริมทาง ก่อนเหลียวมามองรถคันหลังและเข้าไปภายในรถ ให้ตายเถอะผมใจคอไม่ดีเลย...


น้ำ...


ทำให้เกิดคำถามต่อไปว่า หวานจะพาน้ำไปที่ไหน

ผมพยายามแยกสติของตัวเองสองด้านในการขับรถติดตามไปไม่ให้คลาดสายตา กับสาละวนหาเบอร์ของน้ำแล้วกดโทรออก

“หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดใช้บริการ Sorry, the number…”

น่าโมโหที่ผมมีแต่เบอร์เก่าของเธอทำให้ติดต่อกลับไปไม่ได้ น้ำเองก็คงจะอยู่เฉยๆไม่ยอมเปลี่ยนเบอร์โทรหนีผม ก็จริง... ใครมันจะไปทำใจได้ และรอคอยลมๆแล้งๆให้คนที่ได้ชื่อว่าแต่งงานไปแล้วติดต่อมาหาตัวเองอีกเล่า

แล้วจะทำอย่างไร แค่ขับรถตามไปห่างๆอย่างนี้น่ะเหรอ และฟิล์มรถคันหน้าก็มืดจนมองไม่เห็นว่าภายในตัวรถเป็นอย่างไรบ้าง ใจของผมมันเต้นไม่เป็นส่ำ
“...” เสียงทรูโทนโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ผมรีบรับสายผ่านบลูทูธ

“นนท์... กลับมาหรือยัง ฝ้ายจะบอกให้ไปรับเค้กที่ร้านสุกัญญาหน่อยสิ ตอนขากลับไปรับเด็กๆกลับจากโรงเรียนก็ดันลืมแวะเข้าไปเสียสนิท”

“ได้ๆ... นนท์จะเข้าไป” ผมรีบตัดบทคุยกับเธอ รถเก๋งสีดำคันหน้าเร่งเครื่องห่างออกไปแล้ว หรือว่าจะรู้ตัวแล้ว

“แล้วเมื่อไรจะกลับบ้าน... เด็กๆเขาคอยนนท์กลับมานะ... นี่อยู่ที่ไหนน่ะ” ผมกระวนกระวาย เพราะรถของหวานคลาดสายตาไปแล้ว ยิ่งทำให้ผมร้อนดั่งไฟสุมอก

“โถ่เว้ย... เอ่อปล่าวๆไม่มีอะไร... นี่นนท์อยู่แถบพุทธมณฑลนะ จะรีบกลับ”

“เป็นอะไรหรือเปล่านนท์ น้ำเสียงไม่ดีเลย...” แล้วผมก็ฉุกคิดบางอย่างได้ ผมเองดันลืมไปเสียสนิทว่าคนใกล้ๆตัวน่าจะยังติดต่อกับน้ำอยู่... ใช่... ฝ้าย... ทำไมผมลืมเรื่องนี้ไปได้นะ

ผมรีบหักพวงมาลัยเข้าข้างทาง... ในเมื่อตามหวานไม่ทันอยู่แล้ว

“ฝ้าย... ฝ้ายมีเบอร์น้ำไหม...”

“อะไรเนี่ย... วันนี้วันเกิดพลัมแพรนะ มัวทำอะไร กลับบ้านมาเร็วๆ” ฝ้ายตะคอกกลับมา ผมพยายามใจเย็นสู้ คุมอารมณ์ไม่ให้เปิดเปิงไป

“อย่าถามมากเลย... เอาเบอร์น้ำมา ตอนนี้... น้ำอยู่กับหวาน...”







***

เพล้งงง...


จู่ๆผมรู้สึกหน้ามืดมือกวาดไปโดนรูปแต่งงานที่วางตั้งไว้เหนือโต๊ะทำงาน หล่นหวือลงบนพื้น เศษกระจกแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ผมส่ายหน้ากับความซุ่มซ่ามของผม หรือบางทีผมอาจจะเพลียกับการเข้าเวรเมื่อคืนเสียดึกก็ได้ แถมวันนี้ก็มีแพทย์อีกคนนึงลางานทำให้ผมต้องเข้ากะแทน แทนที่จะได้พักอยู่กับบ้าน ผมนั่งลงกวาดเศษแก้วที่เรี่ยบนพื้นนั้นไปทิ้ง ผมสบตากับรูปของน้ำในชุดเจ้าสาวนั้น เลยเจอดีเศษแก้วบาดนิ้วได้เลือดจนได้

“ให้คนเข้ามาทำความสะอาดห้องผมหน่อย เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอก” ผมอินเตอร์คอลกับพยาบาลหน้าห้อง หลังจากทำแผลที่นิ้วตัวเองเรียบร้อย และหยิบเอารูปของผมขึ้นมาเก็บไว้ในลิ้นชัก นึกเคืองที่เลือดของตัวเองหยดเลอะรูปของหวานเสียได้

“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...” ผมกดวางสายที่มีแต่ผู้หญิงคนเดิมรับสายนี้ทิ้งหลายต่อหลายครั้ง ผมเดาว่าน้ำน่าจะเลิกงานแล้ว อาจจะกำลังรอผมมารับอยู๋ก็ได้ ว่าแล้วก็รีบวกกลับเข้าไปในห้องทำงาน ถอดเสื้อกาวน์ออกแขวนไว้ และไม่ลืมติดกุญแจรถออกมาด้วย
มันผิดสังเกตที่น้ำไม่รับโทรศัพท์ของผมอย่างนี้

“คุณน้ำกลับไปตั้งนานแล้วครับ” รปภละสายตาจากรายการตลกตอนเย็นในโทรทัศน์เครื่องจิ๋วตอบผม ผมขมวดคิ้วไม่คิดว่าน้ำจะไม่อดทนรอผมสักนิดเลยเหรอ แต่เมื่อดูเวลา กว่าผมจะฝ่ารถติดมาถึงหน้าออฟฟิศของเธอได้ก็ปาไปชั่วโมงครึ่งแล้ว

“เหรอครับ...”

“เห็นว่าไปกับรถเก๋งคันสีดำ ท่าทางคนขับจะเป็นผู้หญิง” ผมหูผึ่ง ตั้งแต่แต่งงานกันมาน้ำไม่เคยไปไหนกับเพื่อนเท่าไร นอกจากเพื่อนๆจะแวะมาหาที่บ้านหรือไม่ น้ำก็ใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่มากกว่า ก็อดแปลกใจไม่ได้ คนเดียวที่ผมนึกออกก็มีแต่ฝ้ายคนเดียว

นั่นไง ตายยาก พูดถึงก็โทรมาทันทีเลย


“สวัสดีครับ...”

“เต้... เกิดเรื่องใหญ่แล้ว...” น้ำเสียงสั่นๆของเธฮทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเธอกะจะอำผมเล่น

“มีเรื่องอะไรมาอำกันเล่นอีกเล่า เอ้าว่ามา... ตกใจเลย กำลังบ่นถึงพอดี”

“ฮึ่ย... คอขาดบาดตายนะไอ้บ้า เรื่องนี้มันเกี่ยวกับน้ำนะ”

“เออๆ... เอาเข้าไป กะให้สมจริงซะงั้น เป็นไงว่ามา ไม่ขำละก็ต้องเลี้ยงข้าวด้วยนะ” ผมยังยียวน กลับเข้ามานั่งในรถ เตรียมตัวจะสตาร์ทรถกลับบ้าน

“น้ำติดต่อไม่ได้...”

“ก็แหงสิ เต้โทรไปก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน”
“... มากไปกว่านั้น ฝ้ายใจคอไม่ดีเลย”

“บอกมาสิแล้วจะรู้ไหม...” ผมเค้นเสียงกับเธอ คาดคั้นให้บอกมาตรงๆอย่ามัวแต่อ้อมไปอ้อมมา ผมเองก็ไม่สบายใจ ยิ่งรู้ว่าเป็นน้ำอีกยิ่งน่าเป็นห่วงมากกว่าเดิมอีกเป็นทุน



“น้ำ... มีคนเห็นน้ำไปกับหวาน”






“อูยย...” ฉันค่อยๆเปิดเปลือกตาของตัวเอง จับที่เท้าของคนนึงที่เดินไปมารอบห้อง พร้อมได้กลิ่นฉุนๆของน้ำมันคลุ้งทั่วห้อง รู้สึกหัวตัวเองหนักๆ แต่ยังพอมีสติอยู่ ทวนความทรงจำสุดท้ายพอลางๆว่าอยูกับพู่... กำลังจะเข้าครัวมาเสิร์ฟน้ำให้

เจ้าของเท้าหยุดตรงหน้า ค่อยๆโน้มตัวลงมา ศรีษะของฉันถูกจับให้หันหน้าเผชิญกับเธอ

“ฟื้นแล้วเหรอคะ...” พู่แสยะยิ้มอย่างมีชัย พร้อมวางแกลลอนเปล่าไว้ข้างตัว เกิดอะไรขึ้น นี่ฉันงงไปหมดแล้ว

“พู่... โอ๊ย...” ฉันเพิ่งรู้สึกถึงคมเชือกที่บาดเข้าเนื้อจากการรัดแน่นทั้งมือทั้งขา เพียงขยับเล็กน้อยก็สร้างความเจ็บปวดขึ้นมา

“ข้อเสียอย่างหนึ่งของเธอ คือการไว้ใจคนง่ายเกินไป...” น้ำเสียงที่ฟังดูเย้ยหยันทำให้ฉันรู้สึกคร้ามขึ้นมา พยายามลำดับเหตุไล่เลียงประติดประต่อภายในสมอง มือที่เย็นเฉียบของพู่เลื่อนไปมาบนใบหน้าที่พยายามบ่ายหนีออก

“เธอทำอะไรของเธอ... หยุดนะ... ฮึก”

“ก็ทำอย่างที่เธอเคยทำไว้กับฉันกับนนท์ไง นังหน้าด้าน” ศรีษะของฉันถูกผลักออก พู่หุนหันลุกขึ้น ดึงไฟแช็คในกางเกงขาเดฝสีดำจุดขึ้น... ฉันมองหน้าเธอ


ลึกลงไป...


ลึกลงไป



สิ่งที่ค้างคาในใจกับคนๆนี้กระจ่างขึ้นมา...





“หวาน...”


โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 14/12/08
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 14-12-2008 23:54:21
 :serius2:หวานนี่เข้าขั้นโรคจิตแล้ว กรรมเวรของน้ำจริงๆ
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 14/12/08
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 16-12-2008 18:39:13
หวานก็ยังคงเป็นหวาน
เวลาที่ผ่านไปไม่ได้สำนึกตัวบ้างเลย
ว่าตัวเองได้ทำผิดอะไรเอาไว้บ้าง
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 14/12/08
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 17-12-2008 15:15:20

แล้วภาคหนึ่ง และภาคสอง ของเรื่องนี้หาอ่านได้ที่ไหนอะคะ?

อิเจ้


 :z3:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 14/12/08
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 17-12-2008 18:22:18

แล้วภาคหนึ่ง และภาคสอง ของเรื่องนี้หาอ่านได้ที่ไหนอะคะ?

อิเจ้


 :z3:


ขออธิบายนิดนึงครับว่า

ภาค1นั้นเป็นช่วงที่น้ำกับนนท์ยังคบกันจนกระทั่งนนท์แต่งงานกับหวาน

เป็นบทนำ ถึงบทที่เก้า


ภาคสองเป็นช่วงความสัมพันธ์ของน้ำกับเต้ จนกระทั่งแต่งงานกัน

เป็นบทที่สิบ ถึง สิบแปด


และภาคสาม คือ ช่วงตั้งแต่ฮันนีมูน ครับ

เป็นบทที่ยี่สิบ เรื่อยจนจบ...


ขอโทษด้วยครับที่ทำให้เกิดความสับสนในการอ่านครับ
 :a5:

 :pig4: :กอด1: ทุกการติดตามนะครับ....
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 14/12/08
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 19-12-2008 18:18:34
เข้ามาแปะว่ากำลังตามอ่านอยู่

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 14/12/08
เริ่มหัวข้อโดย: TinaJunior ที่ 20-12-2008 13:33:30
 :z3:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 14/12/08
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 20-12-2008 16:37:19

สงสารน้ำอ่ะ


เต้รีบ ๆ กลับมาช่วยน้ำนะ


 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 7/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 07-01-2009 11:19:54
:serius2:หวานนี่เข้าขั้นโรคจิตแล้ว กรรมเวรของน้ำจริงๆ
หวานก็ยังคงเป็นหวาน
เวลาที่ผ่านไปไม่ได้สำนึกตัวบ้างเลย
ว่าตัวเองได้ทำผิดอะไรเอาไว้บ้าง
เฮ้อ... :เฮ้อ:
สงสารน้ำอ่ะ
เต้รีบ ๆ กลับมาช่วยน้ำนะ
 :sad4: :sad4:
:z3:
เข้ามาแปะว่ากำลังตามอ่านอยู่
 :กอด1:
มาต่อแล้วนะครับ... เป็นไงไปลุ้นกันต่อ :z13:

อ้อ... สวัสดีปีใหม่แฟนๆนิยายผมทุกคนด้วยนะคร้าบ.... ใกล้จะจบแล้วละน๊า.... :L2: :กอด1:












“โดยเฉพาะเรื่องของผู้หญิงคนนั้นที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของเธอ แม้จะเห็นในรูปเพียงครั้งสองครั้ง แต่ผมกลับจำได้ติดตา เพราะรูปที่ถ่ายคู่เป็นเพียงภาพของความสัมพันธ์ฉันเพื่อนรักที่แสนฉาบฉวย สายตาของเธอกลับปิดความริษยาในใจไว้ไม่มิด”













บทที่ยี่สิบสาม




“ตกใจล่ะสิ...”


พลันทั่วทั้งห้องตกอยู่ในวงล้อมของพระเพลิงที่ลุกโหมรุนแรง ข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ในอาณาบริเวณถูกราดด้วยน้ำมันจนชุ่ม ติดไฟลุกลามไปตามๆกัน ฉันไม่นึกคร้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากแต่สะท้อนใจว่าโทสะและผู้ชายเพียงคนเดียวสามารถทำให้คนตรงหน้าที่เคยได้ชื่อว่าเพื่อนกลายเป็นศัตรูที่ไม่มีวันจะญาติดีด้วยได้อีกแล้ว

“หวาน... เราจะพูดกันดีๆไม่ได้เลยรึไง ฉันว่าเราใจกันก่อนดีกว่านะ... ค่อยๆคิด นะ...”หวานแสยะยิ้มมุมปากอย่างเลือดเย็น นั่งลงยองๆใกล้ๆ จิกผมให้ฉันต้องลุกขึ้นตามเพราะความเจ็บ ฉันไม่ได้ส่งเสียงโอดครวญหรือร้องขอชีวิต เพราะลูกตาของฉันเลื่อนไปจับที่กระบอกปีนที่เหนี่ยวไกพร้อมยิงของเธอจ่อที่ขมับของฉัน

หวานนับ 10 ถอยหลังช้าๆ...

แกร็ก...

“เธอโชคดี... ท่าทางพระเจ้าอยากจะให้เธอตายด้วยวิธีอื่นมากกว่าสมองระเบิด” ภาพที่ฉันหน้าซีดเหงื่อท่วมใบหน้าคงจะทำให้เธอสาแก่ใจไม่น้อย เธอลากเก้าอี้ตัวนึงมานั่งข้างฉัน หมุนปืนเล่นไปมาอย่างใจเย็น

“น้ำ... ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมพระเจ้าจะต้องให้คนขาดๆเกินๆอย่างเธอมีทุกอย่างพร้อม ทั้งครอบครัวและคนรัก...” ฉันมองปืนที่แกว่งไปมาสลับกับใบหน้าของเธอ รอยแผลบนแขนเผยให้เห็นเมื่อเสื้อเลื่อนขึ้น ไหนจะใบหน้าที่ซูบเซียวหากไม่สังเกตให้ดีละก็ ที่ผ่านมาหลายเดิน สำหรับเธอคงจะลำบากไม่ใช่น้อย

“จะฆ่าก็ฆ่าซะ... เธอจะมัวนั่งพล่ามให้ได้อะไรขึ้นมาหวาน อยากให้ฉันตายไม่ใช่เหรอ... จะยื้อเวลาอีกทำไม” ฉันรู้ว่าการพูดอย่างนั้นเท่ากับทอนเวลาที่จะหายใจอยู่บนโลกใบนี้ของตัวเองให้น้อยลงตามไปด้วย ดูท่าหวานคงจะชอบอกชอบใจ ลูบผมฉันเล่นด้วยความเอ็นดูที่พูดได้เข้าหู ในวันที่พบกันเป็นวันสุดท้ายนี้

“เธอแสดงความกล้าได้เยี่ยมมาก” หวานปรบมือและหัวเราะอย่างฝืนๆ ก่อนเงื้อกระบอกปืนตบเข้าที่แก้ม จนฉันต้องล้มไปนอนกอง ไอเอาลิ่มเลือดอุ่นๆ คลั่งในปากออก

“แต่ชั้น มีบทให้เธอเล่นอีกเยอะ จนกว่าฉันจะสั่งคัท แล้วส่งเธอไปลงนรกจริงๆ”

“เพราะฉันจะเชิญผู้ชมคนนึงให้มาดูฉากจบของละครเรื่องนี้ คิดว่านักแสดงอย่างเธอคงจะไม่รังเกียจ...” หวานกดหมายเลขโทรศัพท์บนมือถือของฉัน ซึ่งไม่รู้ว่าเธอเอาไปตั้งแต่เมื่อไร เธอกดสปีคเกอร์โฟนให้ได้ยินเสียงคอลลิ่งเมโลดี้ เป็นช้าหวานๆ ซึ่งหวานร้องคลอไปเบาๆ ก่อนจะตัดเป็นเสียงคนรับสาย

“ครับ... สวัสดีครับ...”

“ฮัลโหล...” น้ำตาของฉันเอ่อขึ้นมา พร้อมกับรอยยิ้มเยาะของหวาน เสียงของนนท์... เสียงของนนท์ดังก้องจากปลายสายอีกทาง คลอไปกับเสียงรถยนต์ ให้รู้ว่าขณะนี้กำลังขับรถอยู่

“ทำไมล่ะ... ฉันอุตส่าห์ติดต่อให้เธอได้คุยกับแฟนเก่า โดยมีภรรยาของเขานั่งเป็นประจักษ์พยานอยู่ตรงนี้... คุยเลยสิ จะป้อนคำหวานเท่าไรก็ตามสบาย...” ฉันบ่ายหน้าตัวเองออกจากเครื่อง ส่วนหวานก็กดโทรศัพท์ลงมาจนรู้สึกเจ็บแผลตาม

“โอ๊ย...”



“น้ำ... นั่นน้ำอยู่ที่ไหน ปลอดภัยหรือเปล่า แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน... รู้ไหมตอนนี้ใครๆก็ตามหาน้ำกันให้วุ่น... รู้หรือเปล่า...”

“ฮัลโหล... แล้วตอนนี้น้ำอยู่กับ อยู่กับหวานใช่ไหม ออกมาเลย ห่างจากผู้หญิงคนนั้นซะ... น้ำไม่ปลอดภัยแล้วนะตอนนี้...” ร่างของฉันถูกจับให้ลุกขึ้นนั่งแกมบังคับกลายๆ หวานนั่งอยู่ใกล้ เป็นฝ่ายคุยเองมากกว่าฉันที่ไม่กล้าพูด

“สวัสดีนนท์ เราไม่ได้คุยกันนานเลยเนอะ” หวานเค้นเสียงออดอ้อน ส่วนอีกมือก็กระชากผมฉันลงให้ศรีษะแหงนขึ้น ให้ฉันร้องครวญเล่น


“โอ๊ย... เจ็บ...”


“หวาน... แล้วนั่นจะทำอะไรน้ำ ขอร้องนะ น้ำไม่เกี่ยวอะไรด้วย จะโทษ จะทำร้าย ก็มาลงที่ผมนี่ อย่าไปลงที่น้ำเลย” ฉันเม้มปากแน่น พรั่งพรูทุกความรู้สึกผ่านน้ำตาที่เอ่อล้น พอๆกับความหวาดกลัวเข้ามาเกาะกินหัวใจ หวานคงแขยงฉันเต็มทน ผลักฉันให้ล้มไปนอนงออยู่ข้างเก้าอี้


“รักกันดีนักนะ...” หวานมองฉันอย่างเหยียดๆพอๆกับที่เธอเกลียดความสัมพันธ์ระหว่างตัวเธอเองกับสามี หากยังใจเย็นละเลียดชิมของหวานรสโอชา ก่อนปิดบัญชีแค้นทีเดียว ตอนนี้หวานคงไม่ฟังเสียงใครอีกแล้ว หมูในอวยอย่างฉัน คงต่อรองอะไรกับเธอไม่ได้อีก



“ยังไม่ทำอะไรหรอก... หวานจะรอให้นนท์มา... ชมฉากสุดท้าย ด้วยกัน...”


“ด...เดี๋ยว...” หวานกดวางสาย ก่อนคว้าเอาปืนกระบอกเดิม งัดปลายคางฉันอย่างเบามือ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือก





“เรามาเล่นเกมส์แมวจับหนูดีกว่า”

***





ผมพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ได้พบกับน้ำ แม้น้ำจะไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังมากมาย แต่ผมกลับสนใจมันยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของผู้หญิงคนนั้นที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของเธอ แม้จะเห็นในรูปเพียงครั้งสองครั้ง แต่ผมกลับจำได้ติดตา เพราะรูปที่ถ่ายคู่เป็นเพียงภาพของความสัมพันธ์ฉันเพื่อนรักที่แสนฉาบฉวย สายตาของเธอกลับปิดความริษยาในใจไว้ไม่มิด


ผมคลับคล้ายคลับคราว่าพบผู้หญิงคนนี้ 2-3ครั้งที่โรงพยาบาล เธอแอบมาชะโงกหน้าไม่ก็เลาะอยู่รอบๆห้องผู้ป่วย หากจำไม่ผิดคงจะเป็นช่วงที่นนท์มาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ผมแอบมองเธอลุกลี้ลุกลน และแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เมื่อมีคนผ่านมา หรือเข้าออกห้อง เธอยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆในขณะที่ตำรวจควานหาตัวเธอให้วุ่น


ในวันแต่งงานของผมกับน้ำ มีมือดีคิดเข้ามาป่วนสถานการณ์ โดยการส่งซากแมวดำเลือดอาบมาให้ผ่านมอเตอร์ไซด์รับจ้าง เล่นเอาผมแทบกุมขมับ และกำชับไม่ให้รู้เรื่องนี้ โดยเฉพาะน้ำ คงจะเป็นฝีมือใครไปไม่ได้แน่...

หรือแม้แต่เมื่อวันที่เราพาครอบครัวไปเที่ยวเกาะกัน ไม่รู้ว่าหวานจงใจตามเราไปหรือเป็นเรื่องบังเอิญ ผมเห็นเธอ... และไม่คาดคิดว่าเรื่องทุกอย่างจะวนมาถึงวันนี้ได้




หากสิ่งที่ผมกระวนกระวายที่สุดคือ หวานพาน้ำไปไว้ที่ไหนกันแน่

***

ฉันประคองตัวเองให้ลุกขึ้น คว้าเศษผ้าใกล้ๆตัวมาปิดจมูกเอาไว้ ทั้งอุณหภูมิที่สูงขึ้นภายในห้องบวกกับควันที่คละคลุ้ง ทำให้หายใจได้ลำบากและติดขัด มองไปด้านใดทั้งประตูหน้าต่างล้วนปิดตายหมด ไฟทั้งหมดล้วมวงรอบตัวฉัน โหมเปลวสูงจนนึกคร้าม
มือถือก็ไม่มี กุญแจก็ไม่มี... จนปัญญา


ฉันนั่งกอดเข่าร้องไห้เบาๆในห้องที่ร้อนระอุนั้น ออกไปไม่ได้แล้ว...

***

ผมจอดรถต่อจากเก๋งคันสีดำหน้าบ้านหลังหนึ่ง มองไปภายในกลับดูเงียบเชียบพิกล ผมทบทวนข้อมูลตามที่ได้รับมาจากฝ้าย ก็แน่ใจว่าเป็นที่นี่ แต่น้ำจะอยู่ที่นี่จริงเหรอ ฝ้ายคงจะไม่รนหาที่ขนาดที่จะทำอะไรโง่ๆอย่างนี้ลงไปแน่


จะกดออดก็คงเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเกินไป อีกอย่างประตูก็ไม่ได้ล็อคเอาไว้ ผมว่าควรจะย่องเข้าไปเงียบๆดีกว่า



“สวัสดี...” ผมรีบหันหลังเมื่อมีมือเย็นๆมาแตะบ่าของผม หวานยิ้มให้อย่างที่เคยยิ้ม ทว่าในดวงตากลับดูเย็นชาและว่างเปล่า ที่ผิดปกติคือผมได้กลิ่นน้ำมันฉุนเตะจมูกมาจากตัวของเธอ



“ไม่คิดจะทักทาย... ภรรยาคนนี้หน่อยเหรอ” หวานเข้ามาคลอเคลียออเซาะ โอบกอดผมไว้หลวมๆ ทว่าผมกลับผลักไสเธอออกไปให้พ้นจากตัว
“น้ำอยู่ไหน...” ผมขึ้นเสียง ขณะที่เธอส่งสายตาคมกริบไปที่กางเกง


“อะไรอยู่ในนั้น เอาออกมาให้หมด” เธอชักปืนขึ้นจ่อหน้าผม ห่างจากปลายจมูกไปไม่กี่คืบ ผมลนๆล้วงเอาโทรศัพท์มือถือที่เปิดสปีคเกอร์โฟนไว้กับฝ้ายเผื่อมีอะไรฉุกเฉินไว้ ส่งให้หวาน แต่เธอไม่รับ


“ขว้างทิ้งไปตรงนั้น เดี๋ยวนี้...”


“เดี๋ยวนี้...” ผมทำตามที่เธอสั่ง อาศัยจังหวะที่เธอเผลอมองตามไปด้วยความสะใจนั้น เข้ายื้อแย่งปืนจากเธอ หวานมองตามด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราด ก่อนทำหน้าเบ้ด้วยความเจ็บปวดที่ถูกบิดแขน ปล่อยปืนลงกับพื้นอย่างช่วยไม่ได้ ผมเตะปืนกระบอกนั้นออกไปให้พ้นทางด้วยความโล่งใจ


แกร็ก...


ปืนอีกกระบอกจ่อขมับของผมพร้อมเหนี่ยวไก หวานหัวเราะทั้งน้ำตา... ก่อนดันผมให้เดินเข้าไปในบ้าน


“คนอย่างแก... แม้แต่เมียตัวเองยังไม่ใยดี... ฉันไม่มีวันจะใจอ่อนแล้ว”


“จะทำอะไร...หัดคิดถึงพลัมถึงแพรบ้าง... พอเถอะนะ... ถ้าคุณยอมมอบตัวตอนนี้ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา ผมจะพยายามช่วยคุณเต็มที่”


“มันสายไปแล้ว... สิ่งที่ฉันอยากได้ คุณไม่เคยให้กับฉัน”


“ที่ฉันอยากได้คือใจของคุณ...คนที่ไม่เคยมองใครหรือรักใครเลยนอกจากอีนังน้ำนั่น...” ผมกลืนน้ำลายตัวเอง รู้สึกหายใจติดขัดพร้อมได้กลิ่นไหม้แปลกจากภายในตัวบ้าน หวานกระแทกกระบอกปืนเป็นนัยให้ผมรีบๆเข้าไปด้านในโดยเร็ว






***

ผมขับรถกลับมาที่บ้านอย่างกระวนกระวายใจ เจอพวกเพื่อนบ้านออหน้าบ้านแน่น หญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งเคาะกระจกรถของผมรัว


“มีอะไรเหรอครับ คุณน้าสันศนีย์... แล้วนี่มามุงอะไรกันมากมายหน้าบ้านของผมกันละครับ...” ผมเลื่อนกระจกลงทักทายกับเธอที่ชักสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร พร้อมชี้เข้าไปภายในบ้านของผมอย่างตื่นกลัว

“มีคนได้ยินเสียงปืนสองนัดจากภายในบ้านน่ะค่ะ เห็นว่าคนร้ายจี้ผู้ชายอีกคนเข้าไปในบ้านด้วย ตอนนี้มีคนโทรแจ้งตำรวจแล้วนะคะ” เพียงแค่นั้นผมกลับระลึกได้และวิ่งเข้าไปด้านในโดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามจากใคร



ลูกบิดประตูร้อนจนผมผละมือออกและสะบัด มีควันไฟแทรกจากขอบประตูหน้าต่างทั่ว ผมวิ่งไปรอบๆก่อนจะนึกถึงหน้าต่างบานเกล็ดของห้องน้ำชั้นล่าง

อยู่สูงเกินไป...


ใจของผมมันร้อนรนจะแทบระเบิด ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงปืนอีกนัดดังจากด้านใน คราวนี้ผมคงอยู่เฉยไม่ได้แล้ว... จะปล่อยให้น้ำเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด...

ประตูครัวเปิดออกตามแรงผลักพร้อมลูกไฟที่โหมพุ่งสวนออกมา ผมหันหลังเอาผ้าปูที่นอนผืนใหญ่ที่เปียกน้ำจนชุ่มมาบังตัวเอาไว้ก่อนกระโจนเข้าไปด้านไหน ทั้งเปลวไฟและควันเขม่าคละคลุ้งทั่ว รูปคู่ของผมกับเธอเหนือโต๊ะอาหารถูกเพลิงค่อยๆเล็มจากขอบด้านนอกเข้าด้านในจนเป็นเถ้าสีดำ



“น้ำ...”




“น้ำ...”



ผมตะโกนเรียกชื่อคนรักซ้ำไปซ้ำมาขณะที่ต้องระแวดระวังฟอร์นิเจอร์ หรือโคมไฟจะเคลื่อนพังลงมา ไม่มีเสียงตอบรับของเธอเลย
ผมรีบหลบเข้าห้องข้างๆเมื่อได้ยินเสียงตึงตังลงบันไดมา เหลือบมองผ่านกระจกสะท้อนที่ตั้งไว้พอดิบพอดี


“มุดหัวอยู่ไหน... ออกมาซิ... คิดเหรอว่าจะออกไปจากนี่ได้ ถ้าตายก็ตายด้วยกันทั้งหมดนี่แหล่ะ”


หวานกล่าวอย่างลำพองพร้อมยกปืนกวาดไปทั่วบริเวณ ก่อนวิ่งเลาะไปอีกฝั่ง ผมรีบอาศัยจังหวะดังกล่าว ขึ้นไปตามหาเธอข้างบนบ้าน

“นนท์... นายถูกยิงนี่” ผมรีบปรี่เข้าหาเขาที่นอนหายใจระรวยรินอยู่ในห้องน้ำ มือกุมไหล่ตัวเองแน่น

“แค่เฉี่ยว แต่ขาผม...” นนท์กัดฟันกรอด ผมมองตามจุดที่เขาพันแผลไว้ลวกๆ มีเลือดไหลซึมอยู่ตลอดเวลา


“ไปไหวไหม...” ผมพยายามจะพยุงตัวเขาให้ลุกขึ้น นึกไม่ออกว่าจะพ้นจะทะเลเพลิงนี้ไปได้อย่างไร


“ช่วยน้ำก่อน... เต้...ตามหาน้ำให้เจอ... ช่วยน้ำด้วย...” นนท์พยายามปฏิเสธความช่วยเหลือจากผม แต่ผมไม่สนใจ เข้าไปหิ้วปีกเขาออกมาก่อน

“จับได้แล้ว...”

“จะไปไหนกันจ๊ะ...”

“น้ำ...”


“หวาน...” ผมกับเขาอุทานขึ้นพร้อมกัน เมื่อเห็นหวานหิ้วน้ำมาและปล่อยลงนอนกองกับพื้นในสภาพหมดสติ นนท์ปล่อยโฮออกมาทันที มีเพียงผมที่เผชิญภาพตรงหน้าอย่างพูดไม่ออก

“ไม่น่าเชื่อว่ามีตัวแถมมาด้วย... คุณหมออยากจะดูใจเมียสักครั้งก่อนตายไหมคะ” ผมแทบเข่าอ่อนจะประคองนนท์ต่อไปไม่ไหว อยากวิ่งเข้าไปหา แต่กลับชะงัก เมื่อหวานเล็งปืนมายังเราสองคน


“นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย...”


“จะไม่มีใครได้นังนี่ไปเชยชมแม้แต่คนเดียว...” หวานเปลี่ยนทิศทางปืนไปยังร่างบางๆของภรรยาผม ก่อนที่ผมจะมีสติทำอะไรเพื่อเป็นการถ่วงเวลาหวานไว้ ดูนนท์จะรวดเร็วกว่า โจนเข้าใส่หวานจนหงายล้มลงไปทั้งคู่ ต่างยื้อแย่งปืนกัน



“พาน้ำออกไปคุณหมอ... ช่วยน้ำด้วย...”


นนท์สาละวนกับการพลิกไปพลิกมา ต่อกรกับหวานอยู่ ผมลังเล... รีบช้อนตัวของเธอขึ้น แต่ไฟกลับโหมหนักขวางทางลงบันไดไว้


“รีบไป... ทางนี้ผมจะจัดการเอง” ผมมองเขาเป็นครั้งสุดท้าย... กับแววตาที่ผู้ชายคนหนึ่งมีความรู้สึกที่ล้นปรี่ให้กับคนๆนึงอย่างเต็มหัวใจ ผมพยักหน้ารับคำฝากฝังนั้นก่อนโจนผ่านเปลวไฟโหมโชนนั้นเพียงอึดใจเดียว




บันไดไม้ค่อยๆทะยอยพังเป็นกองฟืนสุมตามหลังที่ผมลงมาพ้นถึงชั้นล่าง ผมไม่ได้ใส่ใจมอง ที่รู้คืออุ้มคนรักในสภาพเนื้อตัวมอมแมม และบอบช้ำแนบอกไว้อย่างเป็นกังวล อกของเธอยุบขึ้นยุบลงอย่างช้าๆ ผมเอาผ้าเปียกคลุมจมูกของเธอไว้ ให้เธอหายใจได้โดยไม่สำลักควัน เป้าหมายของผมคือแสงจ้าที่อยู่ตรงหน้า เราจะได้ออกไปพ้นแล้ว...


อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปตอนนี้นะน้ำ...





ปังงง...



โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 7/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 07-01-2009 13:08:20
 :serius2: เวรกรรม เครียดดดดด อย่าทิ้งไปนานนะค่ะมาต่อด้วย :z3:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 7/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 09-01-2009 19:11:23
มาทิ้งระเบิดให้คนอ่านเครียดหนักกว่าเดิม
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 7/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 09-01-2009 22:29:21

รีบ ๆ มาต่อเลยนะครับ



ค้าง  ๆ



ด่วน ๆๆๆ



หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 13/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 13-01-2009 11:06:23
รีบ ๆ มาต่อเลยนะครับ
ค้าง  ๆ
ด่วน ๆๆๆ
มาทิ้งระเบิดให้คนอ่านเครียดหนักกว่าเดิม
:serius2: เวรกรรม เครียดดดดด อย่าทิ้งไปนานนะค่ะมาต่อด้วย :z3:
มาต่อแล้วครับ...







“ผมรับมาพนมมือไว้ เพ่งพิจารณาโลงสีขาวที่ประดับประดาไฟและดอกไม้อย่างงดงาม... อย่างที่คนในรูปคงไม่มีโอกาสได้ชื่นชม”















บทที่ยี่สิบสี่




น้ำเข้าห้องฉุกเฉินไปร่วม3ชั่วโมงกว่า เพราะต้องให้เลือด ผมโทรตามทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของน้ำให้รีบรุดมาที่โรงพยาบาลนี้ ทั้งคู่ดูจะวิตกกังวลมาก บางทีครั้งนี้น้ำคงจะต้องทำคีโมอีกครั้ง ซึ่งผมรู้สึกไม่มั่นใจเอาเสียเลย

    “คนไข้ฟื้นแล้วล่ะค่ะ” ผมผุดลุกขึ้น ทันทีที่ได้ยินเสียงพยาบาลเอ่ยขึ้น แม่ของน้ำเช็ดคราบน้ำตาเข้าไปภายในห้องพร้อมกับพ่อ ผมอยากตามเข้าไปด้วยแต่กลับถูกกันเอาไว้

“ทีละคนนะคะ ให้เยี่ยมมากไม่ได้หรอกค่ะ”

ลืมไปเลยว่าโรงพยาบาลที่ไหนๆก็ต้องมีกฏแบบนี้ แต่ใจผมอยากพบเธอมากเหลือเกิน เวลาที่ผมสู้อุตส่าห์ตามงอนง้อ ตามหาเธอจนพบ ผมกุมมือเธอตลอดทางที่มาที่นี่ คอยพยาบาลเธออยู่ไม่ห่าง ฟังเสียงหายใจครืดคราดคลอไปกับสายอ็อกซิเจน เครื่องวัดการเต้นของหัวใจ น้ำตาเธอไหลตลอดเวลาราวกับรับรู้ว่าผมอยู่ข้างๆ ผมสำนึกว่าดูแลเธอไม่ดีอย่างไร ไม่น่าปล่อยให้เธอต้องพบกับเรื่องร้ายๆอย่างนี้ซ้ำอีกครั้ง

“ญาติของคนไข้ เชิญตามผมไปพบที่ห้องด้วยนะครับ” ผมละสายตาจากห้องนั้น เดินตามคุณหมอท่านนั้นไป เราเข้ามาคุยกันให้ห้องส่วนตัว เรื่องบางอย่างที่เกี่ยวกับน้ำ ผมหายใจไม่ทั่วท้องเลยจริงๆ

“คุณเป็นหมอเหมือนกันใช่ไหมครับ”

“เอ่อ... ครับ ว่าแต่เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า น้ำเป็นอย่างไรบ้างครับหมอ” ใครจะว่าผมใจร้อนก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมอยากรู้อาการโดยละเอียดของน้ำว่าเป็นอย่างไรบ้างมากกว่า

“เธอมีจำนวนเม็ดเลือดขาวเยอะผิดปกติอยู่แล้ว ยิ่งถูกทำร้ายและรับเอาก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้เข้าไป ร่างกายเธอยิ่งอ่อนแอลงกว่าเดิม ที่จะช่วยบรรเทาได้คือเราพยายามให้เลือดเพิ่ม และกระตุ้นร่างกายเธอให้สร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้น...”

“ครับ...”

“แต่ติดตรงที่ว่า...”

“อะไรครับ...”

“...เราพบว่าตอนนี้มะเร็งกำลังลามไปยังส่วนอื่นแล้ว เธอจำเป็นต้องรับการรักษาอย่างเร่งด่วน มิฉะนั้น ผมเกรงว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน...”

“เราจะต้องหาไขกระดูกที่เข้ากับเธอได้... ต้องรอผู้บริจาค... เมื่อทำการปลูกถ่ายไขกระดูกต้องรอดูอาการซักระยะว่าได้ผลเป็นอย่างไร... และพักรักษาตัว...”

“คุณเป็นแฟนของเธอ... แต่ไม่ได้จดทะเบียนกันตามกฏหมาย ฉะนั้นเดี๋ยววานให้คุณตามพ่อกับแม่ของเธอมาเซ็นต์รับการรักษาและวางมัดจำเงินดีกว่านะครับ”

สารพัดคำพูดทั้งศัพท์ทางการแพทย์และทั่วไปวนเวียนอยู่ในสมองของผม ผมเดินโซเซออกมาจากห้องนั้นอย่างคนไร้เรี่ยวแรง โทษตัวเองที่ไม่สนใจดูแลน้ำเท่าไร โทษตนเองที่ตัวเองเป็นหมอประสาอะไรถึงดูไม่ออกว่าคนรักของตัวเองป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอด เจ็บใจตัวเองเหลือเกิน

ผมฝืนความเศร้าโศกของตัวเองตามคุณพ่อและคุณแม่ของน้ำเข้าไปพบหมอคนนั้นตามที่เขาบอก รู้สึกแค้นใจตัวเองที่เราไม่สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ แม้แต่ในทางกฏหมาย คนที่ผมรักกลับกลายเป็นคนอื่นที่มีความสัมพันธ์เฉพาะทางพฤตินัยไม่ใช่นิตินัย จริงๆแล้วคือผมต่างหาก ผมที่ทิ้งขว้างเธอ ทั้งๆที่เธอรักและเชื่อใจผมมาโดยตลอด ผมกลับปล่อยเธอไว้...

ปล่อยไว้จนสายเกินไปแล้ว...




เอกสารทุกอย่างลงลายมือชื่อของพ่อและแม่น้ำเรียบร้อยแล้ว กระบวนการรักษาคงเริ่มต้นในไม่ช้า เหลือเพียงปรับสภาพร่างกายของผู้ป่วยให้พร้อมรับการรักษาเท่านั้น ผมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมเธอได้นอกจากพ่อและแม่ของน้ำแค่นั้น ร่วมสัปดาห์แล้วที่ผมฟังคำบอกเล่าอาการของเธอผ่านปากต่อปากโดยไม่เห็นกับตาตัวเอง

เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเรา หากที่ใหญ่กว่าคือตัวผู้บริจาคไขกระดูกสันหลังที่เข้ากับเธอได้ ซึ่งไม่ใช่ผมที่มีเลือดกรุ๊ปเอแน่ๆ เพราะน้ำมีเลือดกรุ๊ปโอ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ โชคดีที่ไม่ใช่กลุ่มอาร์เอช ยิ่งทำให้ความหวังของการมีชีวิตต่อของน้ำลดน้อยลงทุกที แม้จะพยายามคิดในแง่ดีเข้าไว้ แต่กลับไม่รู้สึกสงบอารมณ์ตนเองให้คลายความวิตกกังวลลงได้เลย

การเกลี้ยกล่อมเธอให้เข้ารับการรักษาอย่างจริงจังเป็นเรื่องที่แสนยากเย็น ผมยังจำช่วงหนึ่งในสมัยมัธยมปลายที่น้ำต้องพักการเรียนไปพักหนึ่ง ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่น้ำต้องเผชิญกับมันอีกครั้ง ช่างน่าเข็ดขยาด ผมไม่มีวันลืม ในตอนนั้นผมทำได้แค่เพียงมองดูเธอห่างๆ และตอนนี้ก็เช่นกัน
คงเป็นเรื่องดีถ้าได้เห็นเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ผมภาวนา

นี่ล่วงไปกี่วันกันแล้ว ผมยังคงนั่งรอความหวังอย่างลมๆแล้งๆด้านนอกห้อง ลังเลว่าควรจะเข้าไปเธอดีหรือไม่ ลางทีก็เสี่ยงที่จะเป็นได้ทั้งกำลังใจที่สำคัญสำหรับเธอ หรือไม่ก็เป็นยาพิษให้เธอกลับยิ่งอาการทรุดไปกว่าเดิม

“คุณพ่อ คุณแม่ครับ... เดี๋ยวผมพาไปทานอาหารนะครับ นี่ก็จะร่วมวันแล้ว ถ้าไม่ทานอะไรแบบนี้เดี๋ยวจะพากันแย่ไปกันใหญ่... น้ำคงไม่อยากให้พ่อกับแม่เขาเป็นอะไรไปแน่” ผมดักทั้งคู่ที่เพิ่งออกมาจากห้องปลอดเชื้อ สังเกตจากสีหน้าอาการของน้ำคงทรงตัวเหมือนเดิม คือยังไม่รู้สึกตัว

“ขอบใจนะ... แม่คงทานอะไรไม่ลงถ้ายังไม่เห็นน้ำลืมตาขึ้นมาคุยกับแม่ได้เหมือนเดิม” ผมสะท้อนใจเมื่อเห็นรื้นน้ำตาของผู้เป็นแม่เอ่อคลอ ด้วยทรมานใจที่เห็นอาการของลูกตัวเองไม่ดีขึ้น ในฐานะที่ผมเป็นแพทย์ ก็ได้แต่รักษาไปตามอาการ ทั้งที่ใจจริงอยากจะควบคุมหรือบงการสรรพสิ่งให้เป็นไปดั่งใจตนเองปรารถนาให้ได้

“เต้...”

“ครับ...” ผมขานรับพ่อของน้ำอย่างตะกุกตะกัก สีหน้าที่เป็นกังวลนั้นบีบคั้นให้ใจของผมแทบอ่อนแรงตาม เหมือนกับความหวังที่ต่างคนมีจะเลือนลางลง

“เมื่อไร... เราจะหาผู้บริจาคไขกระดูกให้น้ำได้สักที”

“ต้องมีครับ... ผมเชื่อว่าคงต้องมีของใครสักคนที่เข้ากับเซลล์น้ำได้”

“น้ำต้องหายครับ” นาทีนี้ผมคงจะอ่อนแอไม่ได้ จะต้องเป็นไฟแห่งความหวังที่จะส่องสว่าง ลุกโชนให้หลายคนมั่นใจ และเชื่อว่าน้ำจะต้องหายดี
น้ำต้องกลับมาหายดีเป็นปกติ










ไหนจะเรื่องประกันและกว่าที่จะปลีกตัวจากการให้ปากคำกับตำรวจ ผมมาถึงงานได้ก็ร่วมทุ่มสองทุ่ม ถือว่าไม่ช้าเกินไป ยังมีแขกเหรื่อทยอยเดินทางกันเข้าศาลาการเปรียญพร้อมจับจองที่นั่ง ผมประมาณจำนวนคนที่มาร่วมงานไม่น่าเยอะเท่าไร เจ้าภาพคงไม่อยากให้เป็นเอิกเกริก เพราะเท่าที่จับบรรยากาศของงาน ผู้คนจะนั่งจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากกว่าจะโศกเศร้าอาดูรกับการเสียชีวิตของผู้ตาย

ผมเดินเข้าไปหาฝ้าย... คงเป็นคนเดียวในงานที่ผมรู้จักและสนิทสนมด้วย ดูเธอจะวุ่นวายกับการเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แก่คนที่มาร่วมงานตัวเป็นระวิง เห็นเธอถือถาดเดินเซจะล้มให้ได้ ผมรุดเข้าไปจับไหล่ของเธอไว้



“ไม่เป็นอะไรนะฝ้าย”

“เต้เองเหรอ... หน้ามืดนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ฝ้ายฝืนยิ้มให้ทั้งที่ผมดูออกว่าเธอล้าและอ่อนเพลียมาก ผมรับถาดจากเธอมาและพาเธอไปนั่งที่เก้าอี้รวมกับแขกคนอื่นๆ
“มา.. เต้ทำเอง นั่งพักตรงนี้ละกันนะ”



“”เอ้า... คุณหมอ...มางานนี้ด้วยเหรอคะ”

“สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้หญิงชราท่าทางใจดีคนนึงอย่างงงๆ รักษาคนไข้มาเป็นร้อยแปด คงมีแต่คนไข้ที่จำผมได้ ผมเองก็ไม่ได้จดจำใครเป็นพิเศษ ดูเธอจะกระตือรือร้นรีบเดินอาดๆมาหาผม ทักทายด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นปกติมากกว่าจะดูเศร้าสร้อยตามแววตาที่ฉายอยู่

“ขอบใจนะคุณหมอที่มางานนะ ฝ้ายช่วยเขาไปกราบศพหน่อยนะลูก”

“เอ่อ... ค่ะ” ฝ้ายตอบรับก่อนค่อยๆลุกขึ้น ผมเขม่นสายตากลับบอกแทนคำพูดว่า ผมสามารถเดินไปเองได้ แค่นี้เอง ฝ้ายยิ้มรับ
“ยังไงเจ้าภาพก็ต้องดูแลแขกอยู่ดี... ได้พักนิดนึงเมื่อครู่ก็ดีเยอะแล้วล่ะ”

“แล้วพ่อกับแม่น้ำไม่มาด้วยเหรอ...”

“ทั้งคู่คงไปไหนไม่ได้ จนกว่าน้ำจะฟื้น... ผมเลยต้องเป็นธุระมาแทนนี่” ฝ้ายถอนหายใจเล็กน้อยก่อนค่อยๆคลานเข่าเข้าไปหน้าโลงศพ หยิบธูปดอกเดียว พร้อมจุดให้เบ็ดเสร็จและส่งให้ผม ผมรับมาพนมมือไว้ เพ่งพิจารณาโลงสีขาวที่ประดับประดาไฟและดอกไม้อย่างงดงาม...
อย่างที่คนในรูปคงไม่มีโอกาสได้ชื่นชม


อโหสิ...


กราบหนึ่งครั้งและส่งธูปคืนให้กับฝ้าย ฝ้ายรับไปปักไว้ในกระถางธูป และคลานเข่าตามผมออกมา เสียงมัคนายกประกาศเชิญพระคุณเจ้าขึ้นสวดพระอภิธรรมศพ เป็นคืนสุดท้าย...

“แล้ว... นนท์ล่ะไปไหน...” ผมพยายามซอกแซกสายตาไปรอบๆก่อนวกมาถามหาเอากับเจ้าภาพคงจะง่ายกว่า ฝ้ายคลายมือข้างนึงที่พนมมือเป็นรูปดอกบัวไว้ ชี้ไปยังชายที่มีผ้าพันแผลเต็มตัวนั่งอยู่ด้านหน้า และที่นั่งคู่กันถ้าให้ผมเดาคงเป็นพ่อและแม่ รวมถึงลูกสาวตัวน้อยทั้งสองคนของเขา

“แผลไฟไหม้เต็มแขนขาไปหมด... ดีที่ไม่เป็นอะไรหนักมากไปกว่านี้ ไม่งั้นคงไม่มีใครยอมให้นนท์มาไหว้ศพทุกวันอย่างนี้แน่” ฝ้ายมองตามอย่างอ่อนใจ ผมสงสารแต่เด็กๆที่ต้องมารับรู้เรื่องร้ายๆนี้เกิดขึ้น ทำไมผมจะไม่เข้าใจว่าการสูญเสียแม่... มันเป็นอย่างไร

“แผลกายมันไม่เท่าไรหรอก แต่แผลใจ... ต้องใช้เวลาเยียวยานานกว่า”
ฝ้ายก้มหน้านิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนฝืนๆยิ้มให้และพนมมือฟังพระสวดต่อ



“นนท์...”

“นาย... มางานศพนี้ด้วยเหรอ” นนท์ดูประหลาดใจที่ผมเป็นฝ่ายทักเขาก่อน สู้อุตส่าห์รอจนงานเลิกและรอจนเขาออกมาจากศาลา
“แผลนาย... เป็นยังไงบ้าง”

“ไกลหัวใจ... แค่นี้ไม่เท่าไรหรอก...” นนท์พิศดูตามเนื้อตัวและเอ่ยขึ้นอย่างอวดๆ ก่อนเหลียวมาหาผมอย่างใคร่รู้ถึงจุดประสงค์

“ขอโทษแทนหวานด้วย... ผมเองก็มีส่วนที่ทำให้เรื่องทุกอย่างต้องลงเอยอย่างนี้”

“ผมไม่ติดใจอะไรหรอก... คนตายไปแล้ว จะโทษไปก็ไม่มีประโยชน์”

“ว่าแต่นาย... มาแทนน้ำเหรอ... น้ำเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงและแววตาที่ดูเป็นห่วงเป็นใยจนเกินขอบเขตแทบทำให้ผมอารมณ์เดือด แต่ต้องสะกดอารมณ์ไว้ กลั้นใจพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องกัดฟันพูดทุกถ้อยคำ

“พูดตรงๆ เปิดอกอย่างลูกผู้ชาย” ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆให้กล้าเข้าไว้ ทิ้งความเจ้ายศเจ้าอย่างของตัวเองทิ้ง

“...วานให้นาย... ไปดูอาการของน้ำหน่อย...”

“น้ำเพ้อถึงแต่นายตลอดเวลา...” นนท์เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตนเองว่าจะได้ยินคำนี้จากผม และนี่... คือเหตุผลเดียวที่ผมไม่กล้าเข้าไปเฝ้าอาการน้ำใกล้ๆ กลัวว่าจะได้ยินเสียงเพ้อแผ่วเบานั้น ซ้ำไปมาให้เจ็บปวดใจอีก




“นนท์...”
“ช่วยน้ำด้วย”
“ช่วยด้วย...”




“มีนายคนเดียวที่จะทำให้น้ำฟื้น... น้ำต้องการแค่นาย” ผมคุกเข่าขอร้องกับพื้นต่อหน้าเขา น้ำเสียงสั่นทั้งหวาดกลัวและสับสน จนปัญญา... เมื่อยิ่งรู้ว่าเวลาของน้ำมันทอนลงเหมือนเทียนไขที่ไกล้หรี่และมอดแสง

ยิ่งปวดใจ... เจ็บ...


“ไอ้บ้าเอ๊ย...” นนท์ตะคอกใส่ พร้อมดึงคอเสื้อของผมให้ลุกขึ้นตามแรง ผมเอาแต่ก้มหน้างุด มองไปเลื่อนลอยไม่สนใจคนตรงหน้าว่าจะทำอะไรกับตนเองต่อไป

“ไหนบอกว่ารักน้ำ บอกว่ารักนักรักหนาไง เวลาที่เขามีปัญหาก็ทิ้งเขามาดื้อๆแบบนี้น่ะเหรอ” นนท์ย้ำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทั้งยังเงื้อหมัดจะต่อยผม ผมไม่หนีหรอก... มันสมควรแล้ว...

“คนที่น้ำรักและฝากทุกอย่างไว้คือนาย ไม่ใช่เรา...”

“ถ้ารู้ว่านายอ่อนแอ และไหวกับเรื่องแค่ว่าน้ำยังรักหรือไม่รักเราล่ะก็ นายก็ไม่น่าผูกมัดน้ำไว้แต่ทีแรก” ผมหายใจแรงขึ้นจับจ้องคนตรงหน้าที่ฮึดขึ้นมาด้วยโทสะ แค่ขอร้องให้เขาไปเยี่ยมน้ำสักครั้งเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผมคิดได้ เวลานี้...ผมจะอ่อนแอไม่ได้


 
ถึงเวลาที่ต้องกลับไปเผชิญความจริง


“อย่าปล่อยให้น้ำต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้คนเดียว นายควรจะอยู่เคียงข้างเธอ”


“นายต้องดูแลน้ำให้ดี ถ้าไม่อยากนั้น ไอ้นนท์คนนี้จะทำแกให้เจ็บมากกว่าที่น้ำเจ็บเลย” นนท์สะบัดผมล้มไปกองกับพื้น เฉไฉสายตาไปทางอื่นไม่สบตาผม เหมือนคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้เดือดพล่านไปกว่านี้





“กลับไปได้แล้ว...”




โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 13/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 13-01-2009 13:48:56
 :call: ขอให้มีคนมาบริจาคไขกระดูกไวๆ ขอให้เรื่องราวดีขึ้น เง้อ
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 13/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 17-01-2009 00:54:16

มาต่ออีกน๊า

ค้างคาครับ


 :t3: :t3:

หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 30/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 30-01-2009 12:03:58
 :L2:มาต่อแล้วครับ... :pig4:ผู้อ่านทุกท่านครับที่ติดตามเรื่องราวของน้ำ เต้ นนท์












“ถ้าความเจ็บปวดนั้นถ่ายโอนกันได้ สู้ให้ผมเป็นคนแบกรับไว้เองดีกว่า...”


















 
บทที่ยี่สิบห้า


ควันจากเมรุเคลื่อนจางหายไปพร้อมกับสายลมเอื่อยเย็น หวานได้จากโลกนี้ไปแล้ว ผมเองไม่รู้ควรจะโกรธเกลียดหวานต่อไปอีกหรือไม่ เรื่องร้ายที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องเมื่อวันวาน กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เลือดเนื้อของเธอกับผม พลัมและแพร ผมคงต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ให้หนักขึ้นกว่าเดิม

ทั้งผมและย่าของของหวานต่างช่วยกันเก็บเถ้ากระดูกแบ่งใส่โกฐและห่อผ้าสีขาวเพื่อทำพิธีบุญต่อจากวันเผาเมื่อวาน ย่าของหวานดูจะทำใจได้เยอะและดูเข้มแข็งกว่าที่ผมคาดไว้ ท่านผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาทั้งชีวิต ทั้งสูญเสียสามีที่โดนคู่อริจ่อยิงอย่างอุกอาจ ไหนจะลูกชายกับลูกสะใภ้ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางเครื่องบิน และยังหลานสาวที่คุ้มคลั่งยื้แย่งปืนกับผมจนพลาดถูกตัวเอง ผมเป็นคนพาร่างที่ไร้วิญญาณของเธอออกมามอบแก่ผู้เป็นย่าของเธอหัวใจสลาย

“ทั้งคนหนุ่มสาว... ในครอบครัวของฉันมีแต่คนอายุสั้นด่วนจากฉันไปหมดเลยจริงไหม...” เธอตัดพ้อโชคชะตากับตัวเอง ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาเก็บเถ้ากระดูกทั้งหมดลงห่อผ้าแล้วจัดการมัดปากให้เรียบร้อย

“คุณย่ายังมีเหลนพลัมกับแพรอยู่นะครับ... ผมจะพาเขาไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ”

“ขอบใจนะที่นึกถึงคนแก่ไม้ใกล้ฝั่งอย่างฉัน”
ย่าของหวานเงยหน้าขึ้นยิ้มทั้งน้ำตาก่อนนึกบางอย่างได้ เธอค่อยๆเปิดกระเป๋าสะพายตัวเองและหยิบบันทึกเล่มนึงส่งให้ผม

“นี่จ๊ะ... ย่าเองก็เกือบลืมไปเสียสนิท”

“มันเป็นของหวาน... และย่าคิดว่านนท์ควรจะเก็บเอาไว้นะ”

แม้งานศพของหวานผ่านไปได้กว่าสัปดาห์แล้ว หากว่าภาพนั้นยังคงติดตาของผมอยู่ไม่คลาย คำพูดของหวานที่ทิ้งไว้ คำสุดท้ายในไดอารี่ของเธอนั้น


   “ฉันรู้ดีว่าความรู้สึกของฉันนั้นผิด แต่ฉันรู้ดีว่าห้ามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ทุกครั้งที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ฉันรู้สึกอิจฉา อิจฉาว่าทำไมจะต้องเป็นน้ำ ความเป็นไปได้ของฉันควรจะมีมากกว่าน้ำ ไม่ยุติธรรมเลย ฉันถลำลึกลงไปทุกวัน นี่ฉันกำลังทำอะไรลงไป ฉันแทบจะไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว โลกนี้แม้จะไม่มีน้ำ ฉันก็ยังคงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ แต่หากไม่มีนนท์แล้ว ฉันคง... ฉันขอแค่เพียงได้เขามาอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าจะใช้เล่ห์กลใดก็ตาม...”






 “ฉันรู้ดีว่าเขาไม่เคยรักฉันเลย ใจของนนท์มีแต่น้ำคนเดียวเท่านั้น”


ผมสะท้อนใจอย่างปลงๆ สุดท้ายคนเราก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง แม้จะพยายามไขว่คว้ามาครองครองเท่าไรก็ตาม...
น้ำจะเป็นอย่างไรบ้าง... ผมเองก็อยากจะรู้...










 “ฉันไม่ให้แกไป... มาทำป่วยเรียกคะแนนสงสารจากผู้ชาย... คิดว่าคนอย่างชั้นจะเชื่อเหรอ อีกอย่างนังนั่นก็มีคู่ขาเป็นถึงคุณหมอ แกจะไปให้เกะกะทำไม... ไม่ใช่ญาติโกโหกาเราสักหน่อย ถ้าจะตายก็ตายไป...” คุณแม่จอมเผด็จการของผมประกาศกร้าวเมื่อผมกับฝ้ายกำลังก้าวลงจากบ้าน ทันที่ที่ทราบว่าเราทั้งคู่จะมาเยี่ยมน้ำ รู้สึกปวดศรีษะขึ้นมาฉับพลัน ไม่รู้ว่าแม่ตัวเองจะตั้งแง่จงเกลียดจงชังอะไรกับน้ำหนักหนา...

“ในฐานะเพื่อนผมต้องไป... อย่างน้อยก็สอบถามอาการเขาเสียหน่อย ยังไงเราก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น” ผมตอบกลับไป คุมอารมณ์อารมณ์ของตัวเองให้อยู่ในกรอบ ไม่ก้าวร้าวกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของผม

“หนอย... รวยนักหรือไงตานนท์ ลูกแยกกันอยู่กับแม่หวานเขามาหลายปีแล้ว ทำตัวของตัวเองแท้ๆ ลูกไม่ต้องมาทำเป็นคนดีของรับผิดชอบแทนหรอก” สิ่งที่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน... คือนิสัยที่น่าเอือมระอาของแม่นี่แหละ... สุดท้ายพ่อก็แยกไปอยู่ต่างจังหวัดเพราะทนรำคาญกับความเจ้ากี้เจ้าการและเห็นแก่ตัวเป็นที่หนึ่งไม่ไหว นานทีถึงกลับมาที่บ้าน

“ยังไงหวานเขาก็เป็นภรรยาของผม พลัมกับแพรเองก็เป็นลูกของผมกับเขา... คุณแม่เล่นพูดว่าเขาเป็นคนอื่นแบบนี้ได้อย่างไร ทั้งที่ทีแรกก็โอภาปราศรัยต้อนรับลูกสะใภ้คนใหม่อย่างออกหน้าออกตา พอมีเรื่องฉาวขึ้นมาก็บอกปัดไปสารพัด”

“แม่เห็นแก่หน้าตัวเอง ไม่นึกถึงคุณธรรมจริยธรรมบ้าง...” แม่ของผมแทบล้มทั้งยืนเมื่อลูกชายคนเดียวของท่านกล้าต่อปากต่อคำท่าน ตัวสั่นเทาด้วยความโกรธที่สุมในอก

“แม่พอเถอะค่ะ...  ต่างคนต่างเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว เลิกทำราวกับว่าหนูกับนนท์เป็นเด็กเสียที ต่างคนต่างมีชีวิต ต่างมีหนทางของตัวเอง ใครเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ คุณแม่ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า หนูกับนนท์เองก็ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า... ขอเถอะค่ะ คุณแม่ก็อยู่ในส่วนของคุณแม่ ให้หนูกับนนท์เป็นคนจัดการเรื่องนี้เองดีกว่า” ฝ้ายเริ่มหมดความอดทนที่จะรับบทผู้ฟังตลอดเวลา ครั้งแรกที่ผมเห็นน้องสาวคนนี้กล้าพูดออกหน้าได้ขนาดนี้...

“เออ... อยากทำอะไรก็ทำไป จะทำอะไรข้ามหัวไม่เห็นว่าหญิงแก่ๆคนนี้เป็นแม่ของพวกแกก็ตามใจ... ชั้นมันแค่คนที่ไม่มีใครต้องการนี่...” เธอโวยวายเสียงดังจนผมกับฝ้ายใจอ่อนเข้าไปประคองท่านเข้าไปภายในบ้าน ยังไงเธอก็เป็นแม่ของผม ชั่วดีอย่างไร สิ่งที่คนเราเปลี่ยนไม่ได้คือพ่อและแม่ของตัวเอง ยังไงก็ต้องดูแลและไม่ทอดทิ้ง...

ความเหงา... อาจเกิดเพราะความเหงาและรักลูกมากเกินไป...
ความรักมันไม่ผิด... แต่ตอนนี้ผมควรจะทำหน้าที่เยียวยามัน แม้จะสายเกินไปก็ตาม






“ขอเถอะนะครับคุณแม่...” ผมพนมมือขอร้องในขณะที่เธอเบือนหน้าหนี


“ให้ผมไปดูอาการน้ำเถอะครับ... ในฐานะเพื่อนไม่ใช่คนที่รื้อฟื้นให้เรากลับมาคับกันเหมือนเดิม... ครั้งสุดท้าย...”

“ฉันจะเชื่อแกได้อย่างไร... ก็เอาเถอะ... ชั้นมันก็แค่หัวหลักหัวตอ ไม่ต้องมาว่งไหว้ออดออเซาะเป็นเด็กหรอก... ชั้นก็เลี้ยงแกได้แต่ตัว...”

“ขอบคุณครับ... แม่” ผมถือว่านั่นเป็นคำอนุญาตของท่านแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม... ผมสวมกอดท่านด้วยความตื้นตันที่คำขอร้องของตัวเองสัมฤทธิ์ผล คราวนี้...จะได้พบหน้าน้ำเสียที








ผมไม่ใคร่พิศมัยบรรยากาศของโรงพยาบาลนักทั้งกลิ่นยา ภาพของผู้ป่วยหลายรูบแบบด้านใน กลับทำให้รู้สึกท้อแท้หดหู่มากกว่ามีความหวังในการมีชีวิต สุดท้าย... ไม่ใช่เพราะคำขอร้องของหมอนั่น แต่เป็นตัวผมเอง ใจของผมเองที่นำผมมาที่นี่

“ผมมาเยี่ยม... คนไข้ที่ชื่อ***ครับ ไม่ทราบว่าอยู่ห้องไหนครับ”

“สักครู่นะคะ”


เธอส่งยิ้มให้ผมพลางพิมพ์ชื่อที่ผมสอบถามลงไปในฐานข้อมูลของโรงพยาบาลก่อนลุกขึ้นและบอกทางให้ ผมกล่าวขอบคุณเธอไม่สะดวกนักเนื่องจากหอบของเยี่ยมพะรุงพะรังมาเต็มไม้เต็มมือมาพร้อมกับน้องสาวฝาแฝดของผม พากันเดินไปยังลิฟท์

“เห็นว่าน้ำ... ฟื้นมาครั้งแรกวันที่ส่งเข้าโรงพยาบาล และหลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย...” ผมฟังอาการจากคำบอกเล่าจากฝ้ายมาเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ยิ่งรู้ว่าน้ำเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว... ผมยิ่งไม่เข้าใจ ทั้งที่เห็นเธอมีความสุขอย่างนั้น ไม่รู้ว่าภายใต้รอยยิ้มที่งดงามจะเก็บงำอาการป่วยด้วยโรคร้ายของตัวเองไว้



เจ็บใจตัวเอง...



ที่ยิ่งบั่นให้เทียนไขของลมหายใจเธอให้นับถอยหลังอย่างนี้





ดวงตาของฉันเริ่มพร่ามัว รับภาพของกลุ่มคนที่อยู่รายล้อมได้ไม่ถนัดหนัก แต่ก็สามารถคาดเดาได้ว่าใครเป็นใครบ้าง ฉันได้ยินเสียงของแม่กำลังร่ำไห้ซบอกพ่ออยู่ข้างๆด้านขวาของเตียง ทว่าตัวเองแทบไม่มีแรงที่จะขยับตัว ขนาดเปล่งเสียงก็ทำได้อย่างยากลำบาก แม่จ๋า หนูบาปเหลือเกิน ที่ทำให้แม่ต้องเสียใจแบบนี้
“คุณแม่ ต้องทำใจดีๆนะคะ คนไข้จะได้ไม่วิตกกังวลมาก เดี๋ยวอาการอาจทรุดลงได้ค่ะ” พยาบาลสาวปลอบโยนแม่ของฉันด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและเป็นห่วงเป็นใยท่าน ขณะที่ปรับสายน้ำเกลืออยู่ข้างเตียง

“ฉันจะพยายาม จะพยายาม” น้ำตาแม่พรั่งพรูออกมา น้ำเสียงสั่นเครือ แม่พยายามไม่หันมาสบตาฉัน เอาแต่หลบในอ้อมกอดของพ่อประตูห้องเปิดขึ้น ฉันไม่ได้สนใจแต่ดูเหมือนว่าสายตาของทั้งพ่อและแม่เลื่อนตำแหน่งจากฉันไปยังผู้ที่เข้ามาภายในห้อง แม่ยังคงสะอึกสะอื้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักทายอะไร พ่อเองก็เช่นกัน พลอยทำให้ฉันใคร่รู้ว่าใครกันที่เข้ามาภายในห้อง

ฉันคนที่อยู่ปลายเตียงนั้นดูแปลกตานัก ไม่ว่าพยายามเพ่งพินิจเท่าไร พยายามทบทวนความทรงจำที่ผ่านมาต่างๆ ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าสองคนนั้นคือใคร จนร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ เสียงที่หนักเข้มและอีกหนึ่งเสียงที่นุ่มนวลเริ่มชัดเจนขึ้น ตัวฉันสะดุ้งขึ้นอย่างประหลาด ตาเบิกโพลงขึ้น ฉันรู้แล้วว่าเป็นใคร

   “คุณแม่ สวัสดีครับ/คุณน้า สวัสดีค่ะ” ทั้งสองพูดเกือบพร้อมกัน มองมายังร่างผอมบางที่หายใจระรวยริน แข่งกับเสียงเครื่องวัดการเต้นของหัวใจ เสียงนาฬิกา และเสียงแอร์ดังครืดคราดภายในห้อง

   “น้ำเป็นอย่างไรบ้างคะ” เธอขยับตัวมาข้างเตียงฉันและกุมมือฉันไว้เบาๆ น้ำตาฉันไหลไม่รู้ตัว พยายามพะงาบปากสื่อสารกับเธอแต่ทว่าไม่สนใจ

   แม่มองหน้าทั้งสองแต่ไม่ยอมเอ่ยอะไร น้ำตา น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และสามารถอธิบายความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ทั้งหมด

   เธอเป็นเพื่อนที่ฉันรักมากคนนึง ฉันดีใจมากที่เธอมาเยี่ยม ตั้งแต่เกิดเรื่องล่วงมาจนถึงตอนนี้ หลายปีเหลือเกินที่ไม่ได้เจอเธอ ฉันสัมผัสได้จากแววตาและท่าทางของเธอ ที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย สงสาร และคำขอโทษที่อยากจะพรั่งพรูเป็นคำพูดออกมา แต่เพียงเท่านี้ก็ดีใจแล้ว

   “น้ำ... ฝ้ายพานนท์มาด้วยนะ นี่ไง” เธอพยายามพูดด้วยน้ำเสียงร่วมกับสีหน้าที่ร่าเริง แม้ว่าจะเป็นการแสร้งทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นชั่วขณะก็ตาม นนท์เดินเข้ามาอยู่ข้างๆเธออย่างกล้ากลัว ฉันสังเกตเห็นฝ้ายจับมือเขาไว้แน่นทีเดียว

นนท์ ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ฉันอยากเจอมาก แม้จะอยากเจอแค่ไหน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอายและสมเพชสภาพตัวเองในขณะนี้มาก สายอะไรต่อมิอะไรระโยงระยางรายรอบตัวฉัน ราวกับพันธนาการที่ฉันไม่อาจหลุดพ้นไปได้ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิตจะมาเยือน ซึ่งรู้ว่าอีกในไม่ช้านี้เอง

“นน....” ฉันพยายามเปล่งเสียง และเอื้อมมือไปหาเขาอย่างยากลำบาก ทั้งไกลและเลือนลางเหลือเกิน

ฉับพลันที่เขาสวมกอดและประคองฉันขึ้น ฉันได้แต่หลับตาและรู้สึกได้ถึงความรู้ต่างๆที่เค้ามีต่อฉัน แม้ว่าตอนนี้ ทุกอย่างจะสายเกินไป และไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก ฉันรับรู้เสมอว่ามิตรภาพที่สื่อถึงไม่ว่าจะนานเพียงใด

“ผมคิดถึงน้ำเสมอ... ไม่ว่าวันนี้หรือเมื่อไร...” ฉันยิ้มแม้รู้ว่าคนที่กอดจะไม่รับรู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไร ประโยคนี้ยังก้องอยู่หัว สติฉันเริ่มจางออกไป ย้อนไปถึงเรื่องราวเก่าๆที่ผ่านมา ก่อนจะได้สติผลักตัวเขาออกไปสุดกำลัง ลุกขึ้นนั่งอย่างยากเย็น และหันหน้าไปทางอื่น

“ข... ขอบคุ...”

“น้ำ...นนท์พาใครบางคนมาด้วย เขาอยากพบน้ำมากเลยนะ” เจ้าของเสียงตัดพ้อ ก่อนมองหน้าคนอื่นๆในห้อง ทั้งหมดเดินออกไปนอกห้อง หวานกลับเข้ามาภายในห้องพร้อมคนๆนึงเข้ามาด้วยกัน

“คนที่ช่วยน้ำในวันนั้นไม่ใช่นนท์หรอกนะ... เต้ต่างหากที่พาน้ำออกมา”


นนท์เอ่ยขึ้นพลางยกมือของฉันให้เต้จับไว้ สีหน้าของเต้เปี่ยมไปด้วยความยินดีที่ฉันตื่นจากการหลับไหลที่แสนยาวนานนั่น แต่ดวงตากลับดูหม่นเศร้าลง นนท์ถอยออกและเดินจากไปแทน ให้ละสายตาจากคนที่กุมมือไว้ไม่ปล่อยมองประตูที่ปิดลงสนิท เหลือเพียงเราสองคนภายในห้องปลอดเชื้อนั้น

“หลับไปนานแนะรู้ไหม... ขี้เซานะเรา” เต้ลูบศรีษะฉันอย่างทะนุถนอม ไหนจะชุดปลอดเชื้อที่เขาสวมใส่ รวมถึงคนอื่นที่เพิ่งออกไปจากห้อง ยิ่งทำให้ตัวฉันเหมือนคนที่แปลกแยกออกไป ฉันเบือนหน้าหนี

“เต้รอให้น้ำฟื้นตั้งนานแนะ...”


“ไว้น้ำออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร เราไปเที่ยวทะเลด้วยกันอีกนะ หรือว่าน้ำอยากไปเที่ยวไหนเป็นพิเศษก็บอกเต้ได้เลย เต้จะพาน้ำไปทุกที่ที่น้ำอยากไป...” เต้พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ดวงตาของเขาหรี่ลงและดูว่างเปล่าจนหน้าใจหาย ทั้งที่ยิ้มกว้าง ใจฉันแทบขาดที่ทำให้เขาต้องเสียใจ แค่จะเอื้อมมือน้อยๆนี้ไปซับน้ำตาให้ยังทำไม่ได้

ฉันยิ้มให้เขาแทนคำตอบ เต้ถอดผ้าปิดปากออก จูบหน้าผากและเปลือกตาเป็นการปลอบขวัญ ฉันซึมซับสัมผัสที่แสนอ่อนโยนของเขาด้วยเต็มใจ... แบ่งเบาความอัดอั้นที่สุมอยู่ในอกและสื่อทางดวงตาคู่นั้นให้ลบเลือนหายไป





ผมมองคนทั้งคู่อยู่ด้านนอกโดยมีฝ้ายวางมือไว้บนบ่าด้วยกัน แม้ในใจจะทั้งอิจฉาและทนกับภาพบาดตานั้นไม่ได้

“นนท์ทำถูกแล้วล่ะ...” คำพูดของฝ้ายก่อให้เกิดพลังอุ่นวาบในอกขึ้นอย่างน่าประหลาด ได้รู้ว่ายิ้มทั้งน้ำตามันเป็นอย่างไร แต่ผมก็ควรปล่อยให้น้ำได้มีความสุขและใช้เวลาที่เหลืออยู่กับคนที่เหมาะสมและดูแลเธอได้

“คุณพ่อคุณแม่ครับ... ผมคงต้องกราบขอโทษกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้วยครับ... ผมยินดีที่จะรับผิดชอบทุกอย่างเท่าที่ทางผมจะสามารถทำได้” ผมยกมือไหว้พ่อและแม่ของน้ำที่นั่งเป็นกังวลอยู่ด้านนอกห้องอย่างนอบน้อม ทั้งสองรับไหว้ผมอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร หัวอกของผู้เป็นพ่อแม่คงไม่คิดอะไรนอกจากขอให้มีปาฏิหารย์เกิดขึ้นสักครั้ง ผมเองกลับไม่กล้าสู้หน้าท่าน รู้ว่าต้นตอของเรื่องราวร้ายๆเกิดขึ้นจากตัวเองทั้งหมด

“เสร็จงานศพหวานแล้วใช่ไหม”

“ครับ...”

“ถ้าน้ำรู้เรื่องนี้อีกคงจะทรุด... เพราะถึงหวานจะทำไม่ได้ไว้กับน้ำแต่น้ำยังเห็นหวานเป็นเพื่อนรักเสมอ” แม่ของน้ำพูดติดๆขัดๆพลางซับน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาโดยมีพ่อของน้ำโอบปลอบใจอยู่ใกล้ๆ ผมสลดใจ ทั้งที่ทั้งคู่พยายามแค่ให้ลูกสาวของตัวเองมีความสุขในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ผมกลับไม่รู้อะไร และซ้ำให้เรื่องมันเลวร้ายยิ่งขึ้น

“พ่อกับแม่ไม่โกรธนนท์หรอก... ห่วงก็แต่น้ำเท่านั้น...” แม้ของน้ำทำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง คราวนี้พ่อของน้ำเองจับเธอเอนมาซบอกของตัวเองเอาไว้
“พอจะมีทางไหมครับ... ที่ช่วยให้น้ำดีขึ้น... ผมจะทำ ให้บุกน้ำลุยไฟหรือต้องใช้เงินแค่ไหน ผมก็ยินดี” ผมยืดอกพูดด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมของตัวเอง พ่อของน้ำมองผมและถอนหายใจเบาๆ

“ตอนนี้เรากำลังรอผู้บริจาคสเตมเซลล์จากไขกระดูกที่จะนำมาปลูกถ่ายในตัวน้ำ มันเป็นความหวังเดียวในตอนนี้ที่ยื้อน้ำให้อยู่กับเราต่อไปได้”

“ครับ...”

“ผมจะลองบริจาคไขกระดูกเองครับ” ผมตัดสินใจอย่างเฉียบขาด และสัญญาเป็นมั่นเหมาะกับพ่อของน้ำ นี่จะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวนี้และตัวน้ำเอง
และรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับคุณแม่... นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ผมจะทำเพื่อเธอได้...


ในฐานะคนที่ยังรักเธออยู่เต็มหัวใจ







ผมมองเธอผ่านกระจกเข้าไปในห้องนั้น เห็นร่างของเธอดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดอันเป็นผลมาจากการทำเคมีบำบัด ยิ่งทำให้เลี่ยงเดินหนีออกมา... ทั้งสีหน้าและเสียงร้องที่เหนื่อยอ่อนและทุกข์ทรมาน ยิ่งทำให้ผมทนไม่ได้

ถ้าความเจ็บปวดนั้นถ่ายโอนกันได้ สู้ให้ผมเป็นคนแบกรับไว้เองดีกว่า...
ผมเข้าร่วมการประชุมของคณะแพทย์ผู้ร่วมทำการรักษาทำให้ทราบว่าตอนนี้ได้สเตมเซลล์ที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับน้ำมาแล้วสามราย และกำลังคัดสรรของผู้บริจาคที่มีความเหมาะสมมากที่สุดในการปลูกถ่ายไขกระดูกเข้าไปในตัวน้ำ ซึ่งตัวผมเองอดประหลาดใจไม่ได้ว่าหนึ่งในนั้นมีนนท์รวมอยู่ด้วย
ผมยังจำคำที่เขาพูดสั่งเสียไว้กับผมได้

“น้ำจะต้องอยู่ต่อ เพื่อคนที่รักน้ำ เต้... นายก็ควรดูแลน้ำให้ดีๆล่ะ อย่าทำให้เธอต้องเสียใจอีก นายเป็นคนเดียวที่น้ำรักมากที่สุด”

“ได้นนท์... เราสัญญาจะดูแลมดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมเลยทีเดียว” ผมยิ้มให้เขา... ในฐานะลูกผู้ชายที่ต้องรับชอบคำพูดของตัวเอง นนท์เตะบ่าของผมอย่างเป็นมิตร

“ขอบใจนะ…”
“ไว้ไงก็มาเยี่ยมบ่อยๆนะ น้ำคงดีใจที่ได้เห็นหน้านาย”

นนท์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง



“ผมกำลังจะเดินทางไปออสเตรเลีย... คงพาลูกสาวไปด้วยและคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว...”

“จะเดินทางเมื่อไรครับ...”

“พรุ่งนี้... น้ำคงรับการผ่าตัดพอดี...”

“ไม่บอกลาน้ำก่อนเหรอครับ...”

“ไม่ดีกว่าครับ... ไงก็ฝากน้ำด้วยนะ...”

ผมจับมือกับเขาเพื่อเสริมความมั่นใจให้กับการตัดสินใจของเขา... ไม่รู้ว่าผมตาฝาดไปหรือเปล่าที่เห็นน้ำตาเอ่อคลอขึ้นบนดวงตาของเขา แต่เจ้าตัวพยายามสะกดไว้ ก่อนที่เขาจะเดินจากไป







ทิ้งรักและความหวังสุดท้ายไว้... ให้กับคนรักของผม




















โปรดติดตามตอนอวสาน
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 30/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 30-01-2009 12:50:41

ขอลิงค์ ภาคหนึ่งกะภาคสองหน่อยสิคะ

นะๆ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 30/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 30-01-2009 13:18:01

ขอลิงค์ ภาคหนึ่งกะภาคสองหน่อยสิคะ

นะๆ  :call: :call: :call:

อย่างที่ผมเคยอธิบายไว้ครับ ว่า



ภาค1นั้นเป็นช่วงที่น้ำกับนนท์ยังคบกันจนกระทั่งนนท์แต่งงานกับหวาน

เป็นบทนำ ถึงบทที่เก้า


ภาคสองเป็นช่วงความสัมพันธ์ของน้ำกับเต้ จนกระทั่งแต่งงานกัน

เป็นบทที่สิบ ถึง สิบแปด


และภาคสาม คือ ช่วงตั้งแต่ฮันนีมูน ครับ

เป็นบทที่ยี่สิบ เรื่อยจนจบ...


ทั้งสามภาคนั้นก็อยู่รวมในกระทู้เดียวกันนี้แหล่ะครับ


ขอโทษด้วยครับที่ทำให้เกิดความสับสนในการอ่านครับ
 :a5:

 :pig4: :กอด1: ทุกการติดตามนะครับ....
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 30/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 30-01-2009 21:08:21


รออ่านตอนจบครับ


ขอให้น้ำหายดีด้วยนะครับ

สาธุ  :call: :call:

หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 30/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: maabbdo ที่ 30-01-2009 22:33:07
เศร้าจังเลย

ทิ้งค้่างไว้ตั้งนานเพิ่งจะมาอ่านต่อ

อยากให้น้ำหายดีไวไว

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค3) 30/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 31-01-2009 05:27:28
ยังไม่ได้เริ่มอ่านเลยคะ

แต่แวะเข้ามาให้กำลังใจ

ชอบอ่านอะไรที่โศก เศร้าๆ สะเทือนใจอ่ะคะ (เป็นมาโซเรอะ)

เด๋วจะกลับไปอ่านแล้วจะแวะมาทักทายให้กำลังใจใหม่นะคะ

เช้าแล้วไปนอนดีกว่า  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(อวสาน) 10/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 10-02-2009 13:36:40
mecon =อ่านะ...ครับ มาต่อแล้ว :L2:
maabbdo = มาแล้วครับ :กอด1:
[~^PrinceZa^~ =  :L2:


ติดตามกันต่อเลยครับ




ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก




บทที่ยี่สิบหก



   เต้พาฉันมายังบ้านทรงปั้นหยาหลังหนึ่งที่ค่อยคุ้นตาเท่าไร บนเนื้อที่ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางและเป็นทิวแถวของต้นมะพร้าวริมหาดทรายสีขาวเป็นฉากหลังของตัวบ้าน สายลมเอื่อยที่กระทบใบหน้าและผิวกายที่ซีดบนรถเข็นทำให้ฉันอดกอดตัวเองไว้ไม่ได้ ฉันมองหน้าเขาที่นั่งลงข้างตัวรถและยิ้มให้ฉัน ถามด้วยคำถามซื่อๆแต่ชัดเจนในความหมาย

“ที่นี่ที่ไหนเหรอเต้”
“บ้านใหม่ของเราไง” เต้ตอบสั้นและปล่อยให้ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นตัวอธิบายทุกสิ่งอย่างด้วยตัวของมันเอง ฉันยกมือที่ผอมบางขึ้นป้องปากอย่างปิติ ไหนจะเหนื่อยทั้งงานและดูแลตัวฉันแล้ว ก็หมดเงินไปไม่รู้เท่าไร...

ยังมีเวลาหาบ้านหลังใหม่ของเราอีก

“พาน้ำเข้าไปได้ไหม” ฉันคะยั้นคะยอให้คุณหมอเข็นรถเข้าไปดูตัวบ้านใกล้ๆ ต้นลีลาวดีที่ไม่โตนัก แต่ผลิดอกสีขาวต้นนึง สีแดงต้นหนึ่งบรรยายภายในบ้าน ตัดกับพื้นหญ้ากว้างสีเขียว มีอิฐเก่าๆปูเป็นทางทอดยาวเข้าสู่ตัวบ้าน เต้ป้องมือแหวกม่านสีอ่อนผืนยาวที่พริ้วไหวยามต้องลมออกเผยให้เห็นด้านในที่ตกแต่งด้วยฟอร์นิเจอร์ไม้เพียงไม่กี่ตัว ฉันไล่สัมผัสพวกมันตามลวดลายที่สลักประดับ โดยเฉพาะตั่งตัวยาวที่ดูสีถลอกกว่าใครเพื่อนบนพื้นที่ยกสูง
“สวยจังเลยนะ นี่เต้เลือกเองหมดเลยเหรอ”    เต้พยักหน้ารับแทนคำตอบ ฉันจับมือของเขาบนไหล่ที่มีเพียงกระดูกด้วยแรงที่มีน้อยนิด แทบจะแทนทุกความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขา
ตลอดครึ่งปีที่เป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ กำลังใจที่ให้ฉันพยายามต่อสู้กับโรคร้ายนี้...
“น้ำอยากดูให้ทั่วเลยนะ”

ลมแรงที่พัดมาวูบหนึ่ง พาเอาหมวกและผ้าคลุมเกือบปลิว ตอนนี้ศรีษะของฉันดูโล่งและเย็นวาบเมื่อลมไหลผ่าน ไร้ความรู้สึกของเรือนผมที่โบกสยายอย่างเก่า ฉันเริ่มชินกับสภาพตัวเองมากขึ้น มองโลกในแง่ดีที่ว่า สักวันฉันจะเอาชนะโรคนี้ และหายดีกลับมาเป็นปกติ
เต้เอาหมวกและผ้าคลุมมาใส่ให้ฉันตามเดิม แต่ฉันว่าไม่ต้องจะดีกว่า... นานที คนป่วยอย่างฉันจะได้ออกมาเปิดหูเปิดตาเห็นโลกภายนอกอย่างเขา ได้มีที่ที่อยากมา ในวันเกิดของตัวเอง
“รูปนี้ อุ๊ย...” ฉันสะดุดตากับรูปในชุดเจ้าสาวที่ยืนคู่กับเจ้าบ่าวในกรอบเล็กสีน้ำตาลเหลือบทอง เต้รู้ใจพอที่จะหยิบมาให้กับมือโดยที่ฉันไม่ร้องขอ แต่เขากลับไม่ยอมให้ฉันถือไว้ด้วยตัวเอง
“มีอะไรแปลกเหรอ”
“ป่าวหรอก น้ำว่าน้ำดูอ้วนจังเลย เท่านั้นแหละ” ภาพตัวเองในชุดแต่งงานสีขาว วันนั้นยังคงตรึงอยู่ในความทรงจำ ตราบชีวิตนี้จะหมดลม เป็นช่วงเวลาที่ตนเองไม่เคยนึกฝัน ว่าจะมีสักวันที่ได้แต่งชุดนี้ กับคนๆนี้...
ฉันรับรูปนั้นมากอดไว้บนตัก พาลรื้นน้ำตาจะตื้นขึ้นมาเสียให้ได้

“น้ำ” เต้มองฉันอย่างเข้าใจและซับน้ำตาของฉันให้ เขากุมมือของฉันเอาไว้ มือใหญ่หนาของเขา สำหรับฉันวันนี้มันกลับ อบอุ่นและมีค่ากว่าเดิม
“ขอตัวแปปนึงนะ” เต้เดินลับขึ้นไปบนบ้าน ปล่อยฉันนั่งมองท้องทะเลสีครามที่มีเสียงคลื่นซัดฟังดังเป็นจังหวะครืน ครืน... ให้ใจตัวเองสงบลง รูปนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่บนตัก ระหว่างที่ฉันเฝ้ามองบันไดสูง รอว่า เมื่อไรเขาจะลงมาเสียที
ในที่สุด... เขาก็ลงมาพร้อมกล่องใบใหญ่ และวางให้ฉันบนตักแทนที่รูปนั้นที่เขาเก็บกลับที่เดิม
“อะ... เปิดดูซิ” เต้ชี้ชวน

   “นี่อะไรน่ะ” ฉันมองหน้าเขาที่ทำอมพะนำไม่ยอมพูดอะไรไปมากนอกจากตัวฉันจะเป็นคนเปิดกล่องนี้แล้วดูของข้างในกับตา แค่ฝากล่องเล็กๆน้ำหนักไม่เท่าไร แต่วันนี้กลับดูยากเย็นที่จะเปิดมันออก ฉันแง้มมันออกจนได้ด้วยความช่วยเหลือของคนตรงหน้าอีกแรง...
   สิ่งที่ปรากฏอยู่ภายในทำให้ฉันตื้นตันสุดจะบรรยายได้... แม้เนื้อผ้าของมันจะเริ่มซีดจางและมีรอยไหม้ แต่สำหรับฉันแล้ว มันเป็นสิ่งที่มีค่าพอๆกับชีวิตตัวเองที่เหลืออยู่ ชุดแต่งงาน... ตั้งแต่เกิดเรื่อง ฉันกลับเข้าใจว่าเพลิงกาฬจะผลาญพรากเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉันเสียแล้ว...
   “ตอนที่ไปเก็บของ... เต้เจอมันเข้า พยายามส่งซักมานานก็ไม่ได้ความสักที แถมโดนไฟไหม้แหว่งไปอีก... ขอโทษนะ”
   “เต้ไม่ต้องพยายามอะไรอีกแล้ว...”
   “เพราะแค่นี้น้ำก็ดีใจ...”
   “ดีใจที่มีเต้อยู่ข้างๆ มากกว่าชุดเก่าๆนี้เสียอีก...”





***






กว่าครึ่งปีที่น้ำยอมรับการรักษา ผมเฝ้ามองดูห่างๆอย่างใจหาย น้ำเปลี่ยนจากคนที่ดูน่ารักสดใส กลายเป็นอีกคนที่เหม่อลอยและเฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ร่างกายก็ซูบผอมลงผิดหูผิดตา ทีแรกน้ำว่าจะผ่าตัดเอาซิลิโคนออก แต่เนื่องดูสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงของเธอผมจึงค้านไว้ มันทำให้การรักษาครึ่งๆกลางๆไม่เต็มที่
ผมเองก็จนด้วยเกล้าแล้ว...
ตั้งแต่นนท์เดินทางไปต่างประเทศ ไม่มีข่าวคราวของเพื่อนติดต่อกลับมา น้ำเอาแต่เฝ้าถาม ผมจึงตอบเท่าที่ตัวเองรู้ ทีแรก... ผมจะน้อยใจคนที่ผมรักไปทำไม... ทั้งที่น้ำอยู่กับผม เป็นของผม... จะระแวงมากไปกว่าการให้กำลังใจเธอหายจากโรคร้ายนี้เร็วๆยังเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า
แต่ร่างกายเธอ...มาถึงขีดจำกัดแล้ว...

***

“ผมอยากให้ญาติของคนไข้ทำใจ...” ผมมองหน้าอาจารย์หมอที่เคารพนับถืออยู่ด้วยอ่านความคิดของเขาออก ก่อนมองไปที่พ่อตาแม่ยายของของที่ยื่นฟังเรื่องร้ายนี้ด้วยรู้ดีในโชคชะตา การประคองตัวให้ยืนตรงดูเป็นเรื่องลำบากเหลือแสน แม่ของน้ำเป็นลมฟุบไปจนต้องช่วยกันหายาดมมาให้ฟื้นสติคืน
ผมเองก็ไม่กล้าสู้หน้า... ทั้งๆที่การผ่าตัดสำเร็จ... แต่ร่างกายกลับต่อต้านสเตมเซลล์ของนนท์ที่ปลูกถ่ายเข้าไป...

เสียงสะอึกสะอื้นของผู้เป็นแม่แทบหัวใจสลายที่รู้ว่าแก้วตาดวงใจเหลือเวลาอีกไม่มาก ผมเองไม่กล้าสู้หน้าท่านทั้งสอง มีที่กำแน่นจนช้ำห้อเลือดแทบหมดความหมายไป ที่เรียนมามีประโยชน์อะไร กะอีแค่รักษาคนที่ตัวเองรักกลับทำไม่ได้...




“เรา...พอจะมีเวลาคุยกันสักประเดี๋ยวได้ไหม...” พ่อตาของผมแตะมือหนักๆบนบ่า มองหน้าผมอย่างจริงจังในคำพูดจนรู้สึกกดดันตาม แม่ยายหลับไปด้วยความอ่อนล้าภายในห้องโดยมีเด็กรับใช้คอยพัดวีใกล้ๆ ผมเดินตามท่านไปที่สวน นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“กี่ปีแล้วที่คบกันมา...”
“จะ 10 ปีแล้วครับ คุณพ่อ...”
“งั้นเหรอ... แล้วนี่เราคิดจะมีครอบครัวที่มั่นคงบ้างไหม...” ผมรู้สึกกังขากับสิ่งที่ท่านพูดเปรยมาเป็นนัย พยายามตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆกลางๆไว้
“แล้วที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่เรียกว่าครอบครัวเหรอครับ...” ท่านมองหน้าผมเมื่อได้ยินเสียงยืนกรานหนักแน่น ถอนหายใจเบาๆ
“หมายถึง... เต้ไม่อยากมีภรรยาที่ทำหน้าที่ภรรยาได้สมบูรณ์ มีลูกมีทายาทไว้สืบสกุลหรอกเหรอ...”
“การที่ผมเลือกใช้ชีวิตกับคนๆนึง เพียงเพราะหวังว่าเขาจะมาเป็นแม่ของเด็ก เป็นเครื่องมือที่มาเชิดหน้าชูตาทางสังคม ผมคงไม่ทำแน่... ที่ผมอยู่กับน้ำเพราะรัก... ผมถึงเลือกเขา เลือกทั้งๆที่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร และพร้อมจะดูแลเขาไปถึงที่สุด...”
“ทั้งๆ ที่รู้ว่า น้ำเหลือเวลาอีกไม่มากอย่างนั้นน่ะเหรอ...” พ่อของน้ำแค่นประโยคนี้ออกมาอย่างยากเย็น น้ำลายในลำคอกลับดูฝืดไปถนัดตา สายตาของท่านที่ส่งมาถึงผม ท้าทายคำตอบให้หลุดออกมาจากปาก...

เวลาที่เหลืออยูอีกไม่มาก... อย่างนั้นน่ะเหรอ...








***




ร่างของเราสองคนนอนเคียงกันบนเตียงกว้าง มือของน้ำกอดตัวของผมไว้ไม่ปล่อย เช่นเดียวที่ตัวผมโอบเธอไว้ในอ้อมแขน จูบพรมบนหน้าผากของเธอพร้อมปัดปอยผมที่ตกมาปรกหน้าออก เนื้อตัวของเธอยังร้อนแดงอยู่ ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับเธอหลังจากที่ต่างคนต่างมีงานและหน้าที่ที่ต้องรับชอบของตัวเองมากมาย การที่ได้เชื่อมโยงวิญญาณถึงกันทางร่างกาย เป็นเครื่องหมายแสดงชัดให้เห็นถึงความรักที่มีให้แก่กัน ไม่ได้ลดน้อยถอยลงตามกาล
“หืมมม...” ผมยกศรีษะขึ้นเมื่อเธอบรรจงวาดนิ้วบนอกเป็นชื่อของผม ศรีษะของน้ำยังคงคลอเคลียอยู่บนอกผมไม่ห่าง
“ไม่เคยคิดเลยนะ ว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้จริงๆ เหมือนฝัน...”
“ไม่ใช่ฝันสักหน่อย...” ผมลูบเรือนผมยาวสลวยของเธออย่างเบามือ ทีแรกน้ำอยากเปลี่ยนทรงไปเป็นผมสั้นบ้าง แต่ผมค้านหัวชนฝาว่าไม่เหมาะกับเธอ แบบนี้น้ำยังจะดูน่ารักน่าทะนุถนอมกว่า
“นั่นสิ...” ศรีษะของเธอแนบบนอกของผมใกล้กับหัวใจที่เต้นแรงในอก มันคงบอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีได้ดีกว่าคำพูดที่พรั่งพรูมาเป็นร้อยพัน
“น้ำยังดูดีไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“บ้าน้ำเองก็ 30 แล้วนะ อีกหน่อยก็เป็นป้าเป็นยายแล้ว”
“กลัวอะไรอีกล่ะ เลิกกลัวนั่นนี่ได้แล้ว”
“ก็...”
“เลิกพูดได้แล้ว ถึงอย่างไร เต้ก็มีน้ำคนเดียว ต่อให้น้ำจะหงำเหงือก ฟันหัก ปากเหม็น เหนียงยาน”
“นี่... เดี๋ยวเถอะนะ พูดแบบนี้ทุเรศที่สุดเลย นายเองนั่นแหละ เดี๋ยวก็หัวล้าน พุงยื่น หน้าย่น” ยิ่งพูดกลายเป็นต่างคนต่างกวนใส่กัน ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน พลิกตัวขึ้นมาคล่อมร่างบางของเธอไว้ น้ำดูหน้าตื่นๆแต่ดูเย้ายวนให้ลิ้มลองได้ไม่รู้เบื่อ
“พูดมากจัง ยายเอ๊ย... นี่แนะ ลงโทษซะเลย...”








   
   เมื่อรู้ว่าผมของตัวเองต้องร่วงหล่นลงบนพื้นด้วยผลของเคมีและการบำบัด ยิ่งทำให้ฉันรับไม่ได้กลับสภาพของตัวเอง ยิ่งเห็นหน้าของตัวเองในกระจกกลับยิ่งรังเกียจตัวเองหนักขึ้นไปอีก... ไม่เหลือเค้าของความงามที่เคยมี กลายเป็นอีกคนที่ไม่รู้จัก กุมศรีษะและใบหน้าของตนเองไว้อย่างไม่เชื่อว่าภาพสะท้อน คือตัวตนของฉันจริงๆ


   เพล้ง!



เต้รีบรุดเข้ามาในห้องผู้ป่วย พบตัวฉันที่นั่นสั่นเทาบนเตียง ฉันไม่กล้าสบตาเขา กลัวไปหมดทุกอย่าง...
“เต้... อย่าเข้ามาใกล้นะ ตอนนี้สภาพของน้ำน่าเกลียดมาก เต้รับไม่ได้แน่ๆ” ฉันสะอื้นไห้ ขยะแขยงร่างกายของตนเองเต็มประดา เต้ก้าวเข้ามาหาฉันทีละก้าว ขณะที่ฉันเอามือปัดป่าย ผลักไสเขาไปให้พ้น รีบห่มผ้าคลุมร่างกายที่น่าเกลียดของตัวเองไว้
“ทำไมล่ะ”
“ดูซะสิ” ฉันเผยร่างกายที่น่าเกลียดของตนเองพร้อมน้ำตาที่ไหลมาเป็นสายด้วยน้อยใจในกงล้อแห่งโชคชะตา ก่อนจะถูกดึงไปซบสะอึกสะอื้นบนชุดกาวสีขาวของเขา
“แล้วไงล่ะ”
“เต้จะยังรักน้ำอยู่อีกเหรอ ทำไมไม่คิดจะเปิดใจให้คนอื่นบ้าง” ฉันยังต่อปากต่อคำกับเขาที่ไม่มีทีท่าว่ารังเกียจ เต้ลดตัวลงมาจับศรีษะของฉันไว้พร้อมรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นและใจดีนั่น
“น้ำอย่าผลักไสเต้ให้ใครเลยนะ คนเดียวที่เต้รักคือคนคนนี้คนเดียวเท่านั้น รีบหายไวๆนะ” เงาสะท้อนของฉันในดวงตาของเขายังคงเป็นภาพที่งดงามเสมอตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน ฉันไม่ได้รู้สึกไปเอง แต่สัมผัสได้ ว่าคนๆนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปตามความผกผันของเวลา


“เต้...”
“จะรักตลอดไปด้วย”
“ถ้าน้ำไม่อยู่บนโลกนี้แล้วล่ะ” ฉันย้ำคำถามนี้กับเขา สายตาของเขาหรี่ลงก่อนจะฝืนๆยิ้มให้พร้อมจุมพิตเบาๆที่แก้ม
“อย่าพูดแบบนั้นสิ มันต้องมีสักวิธีที่จะช่วยให้น้ำมีชีวิตต่อไป อยู่กับ...เต้ต่อไป”




***







ผมขนหนังสือมากมายมาไว้ยังห้องผู้ป่วย ทะยอยเวียนเปลี่ยนออกไปไม่ให้จำเจและเป็นที่อับฝุ่น ยิ่งเห็นน้ำร่าเริงสดใส ผมยิ่งมีความสุข แม้น้ำจะทำกิจวัตรอะไรไม่คล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมเองก็พร้อมจะมาเป็นทั้งแขนขาให้เธออย่างเต็มตัว เราอยู่ด้วยความหวังว่าเธอจะต้องหายดีในไม่ช้า... แม้จะไม่สมบูรณ์เต็มร้อย
เพราะความหวัง... มันทำให้ชีวิตดูมีค่ามากขึ้น

เราไม่พูดกันถึงเรื่องหวานอีก... ไม่พูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่โทษว่าเป็นความผิดของใคร ในเมื่อหวานไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว นนท์เองก็อยู่อีกซีกโลกหนึ่ง ต่างคนต่างวิถีที่จะดำเนินชีวิตของตนเอง คงไม่ดีแน่ถ้ามัวจมอยู่กับสิ่งเก่าที่แสนเจ็บปวดนั้น น้ำเองก็ดูจะลืมๆมันไปแล้วเช่นกัน
ผมได้รับข่าวดีจากฝ้ายว่าเธอจะแต่งงานปีหน้า ผมอดดีใจแทนเธอไม่ได้ในฐานะเพื่อน แม้จะรู้ดีว่าเธอแอบชอบผมมานานก็ตาม ผมได้แต่อวยพรให้และสัญญาว่าถ้าน้ำดีขึ้น คงได้เห็นเราทั้งคู่ไปร่วมงานด้วยกัน ฝ้ายยังมีหยอดในตอนท้ายว่าไม่กลัวน้ำจะไปสู้รบปรบมือกับแม่ของเธออีกหรือ ผมยังหัวเราะร่วมตามไปเหมือนกัน

“คุณน้ำดีขึ้นมากแล้วล่ะครับ เราอนุญาตให้เธอไปพักฟื้นที่บ้านได้ หากแต่ต้องยังอยู่ในความดูแลของแพทย์นะครับ” เพื่อนหมอของผมเจ้าของไข้น้ำเป็นคนบอกผม หลังจากที่ผมไปสอบถามอาการตลอดและร่วมแสดงความยินดีที่กำลังจะเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวตามประสาคนเคยมีประสบการณ์
“ขอบใจนะ...” ก็เหมือนว่าเตรี๊ยมกันกลายๆนั่นแหล่ะ... ผมเองก็รู้สึกว่าน้ำเองคงเบื่อที่จะอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่ไหนนอกจากโรงพยาบาลมาร่วมครึ่งปี น้ำคงจะดีใจที่ได้ออกไปเห็นอะไรๆข้างนอก และผม... ก็มีของขวัญที่อยากจะให้เนื่องในวันเกิดของเธอที่จะถึง
บ้านเรือนปั้นหยาที่ผมปลูกขึ้นด้วยวัสดุแทนไม้ทาสีสดกับเนื้อที่เพียงไม่กี่ตารางวาที่ผมหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง อยากทำให้เธอดีใจ... ผมเองก็อยากทำคลีนิคเล็กๆรักษาผู้ป่วยอยู่ที่นี่ และได้ดูแลเธอใกล้ๆกันด้วย




รอเพียงเวลา... ที่เจ้าของวันเกิดจะได้มาเห็นมัน...




***



“ถึงอย่างนั้น... ผมก็ดูแลเขาไป และรักเขาไม่เปลี่ยนอยู่ดี...” ผมตอบด้วยเสียงหนักแน่นชัดเจน พ่อของน้ำเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกอดอกอย่างวางท่า
“อย่างที่เต้รู้ พ่อกับแม่มีลูกเพียงคนเดียว ถึงแม้น้ำเขาจะเป็นแบบนี้และยังต้องมาป่วยอีก”
“พ่อกับแม่ ขอฝากน้ำไว้กับเต้นะ ดูแลน้ำให้ดีๆ จนกว่า...” ท่านลุกมาตบบ่าของผม ผมตบปากรับคำอย่างไม่ลังเล



“ครับ ผมสัญญา”

“ขอบใจนะ ลูก... เต้...”



   
***

“เช้านี้เป็นไงบ้าง” เต้บิดขี้เกียจเดินเข้ามาในครัว มีฉันนั่งอยู่ข้างโต๊ะอาหาร เขายกอาหารมาตั้งโต๊ะและทำหน้าเหม็นเบื่อ ตื่นนอนก็สายซะขนาดนี้ แถมยังเดินใส่กางเกงบ็อกเซอร์ร่อนไปร่อนมาไม่อายเอาเสียเลย
“ก็ดีนะ มีแต่เต้นั่นแหล่ะที่มัวแต่นอนขี้เซา” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงประชด เต้ตามมาชิมรสแกงจืดสาหร่ายเต้าหู้ แล้วพยักหน้าให้ เกือบจะเดินเลยฉันไปโต๊ะอาหารแล้ว ยังจะทำตาเจ้าเล่ห์ วกกลับมาโอบหลังทำเคลียร์คลอเสียอีกแนะ
“แล้วไง เต้ทำงานแค่หน้าบ้านตรงนี้เองนะ จะเปิดตอนไหนก็ได้ มีเวลาให้เราจะได้อยู่กันสองคนไม่มีกอขอคอ” ทำเป็นซุกไซ้นั่นแหละ นายตัวดี นี่แน่ะถ้ามีแรง จะขอเคาะด้วยตะหลิวซักทีเถอะ
“คิดอะไรน่ะ ไม่เปิดคลีนิครึไงวันนี้” เต้ปิดไมโครเวฟและเตาไฟฟ้า เดินเลี่ยงออกมาหยิบชามไปตักแกงจืด สองสัปดาห์แล้วที่เราย้ายออกมาอยู่ด้วยกันที่นี่ รู้สึกไม่ค่อยจะคุ้นชินเท่าไรเลยที่ต้องนั่งๆนอนๆบนรถเข็น โดยมีเต้คลุกอยูทั้งงานที่คลีนิคและเป็นพ่อบ้าน ยอมรับว่าเขาทำอาหารได้เก่งและอร่อยขึ้นมาก
“ปิดสักวันจะเป็นไร...” เต้หมุนตัวฉันเข้าจันหน้า จุมพิตเบาๆ ฉันมองหน้าเขาอย่างอายๆ เต้เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ไล้ริมฝีปากสีซีดของฉันไปมา พลางกุมมือที่ซูบผอมลงไปถนัดตาขึ้นมากลางอก


“อยู่กับเมียที่บ้านบ้างไม่ดีรึไง” ถึงเต้จะพยายามพูดให้ฉันสบายใจและมีกำลังใจขึ้นก็ตาม ต่างคนต่างทราบดีว่าเวลา มันช่างลดน้อยถอยลงไปอย่างน่าใจหาย
“งั้นแสดงว่ามีใครอยู่บ้านอื่นรึไงน่ะ บอกมานะ” ฉันยุแยงขึ้น ท่ามกลางความอึดอัดนั้น แหย่พอให้หายวิตกกังวล หรือมีเสียงหัวเราะขึ้นมาบ้าง เต้ยิ้มหน้าเจื่อนๆ หัวเราะเบาๆ พลางจับฉันหันหน้าไปทางโต๊ะอาหารที่เตรียมไว้เรียบร้อย
“ขี้โมโหจัง ช่างจับผิดชะมัด มีคนเดียวก็ปวดหัวแล้วไม่หาเรื่องเพิ่มอีกหรอก” เต้หวีเรือนผมปลอมฉันเบาๆ อย่างเอ็นดู ฉันเหลือบเห็นรื้นน้ำตาเล็กๆปรากฎบนดวงตาคู่นั้นของเขา ฉันรีบเบนสายตาออกไปด้านนอกทันที เสียงคลื่นยังแว่วเคล้าคลอกับเสียงลมและนกหาปลาริมชายหาดดังดุจดนตรีบรรเลงเพลงไม่รู้จบ อยากออกไป ชื่นชมความงดงามภายนอกนั้นอีกครั้ง อยากสัมผัสกับผืนทราย เล่นน้ำทะเล ต้องแสงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นกับสรรพสิ่งบนโลกมานานแสนนาน
“วันนี้ข้างนอกสวยดีนะ เหมือนภาพวาดเลย”

“อยากไปเดินเล่นไหม” เต้เอ่ยปากชวน แทบทำให้ใจของฉันลิงโลดโจนทะยานออกมาเสียเดี๋ยวนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ใช่เด็กๆแล้วที่จะมาแสดงกิริยาเกินจริต แต่คำอนุญาตของเขาจุดประกายความหวังให้ฉัน
“ไปซิ”
“แต่ทานข้าวเช้ากันก่อนนะ” เต้ต่อรอง ฉันมองไปที่กับข้าวหลายอย่างบนโต๊ะ ลำพังกระเพาะเล็กๆของฉันคงทานได้อย่างละนิดหน่อยเท่านั้นเอง
“ทำอะไรเยอะแยะเชียว ความจริงไม่ต้องทำมากขนาดนี้ก็ได้นะ” เต้ยกข้าวสวยร้อนๆ มาให้ ฉันจับมือของเต้ไว้
“เต้ทำเพื่อน้ำมามากแล้ว มันทำให้น้ำหนักใจ ที่น้ำเองก็อยากจะตอบแทนเต้บ้าง แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง...” ฉันพูดเสียงออดอ้อน เต้ชักสีหน้ามาหา คิ้วขมวดปม
“น้ำอย่าพูดแบบนั้นอีกนะ”

“ทำไมเหรอ เต้อย่าคิดมากซิ ไม่เอาล่ะไม่พูดแล้ว ทานข้าวกันเถอะ” ฉันยิ้มให้ ลงมือทานข้าวกัน ฉันฝืนทานไปอย่างละนิดอย่างละหน่อย รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาในท้อง ดื่มน้ำตามไปนิดนึงแล้ววางช้อมส้อมของตนเองแนบไปกับจานเปล เต้วางช้อนลงตาม ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“น้ำไม่ค่อยทานเลย เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอก รู้สึกไม่ค่อยอยากทานเท่าไรน่ะ อาหารอร่อยดีนะ อย่าคิดมากเลย... ไว้น้ำจะทานอีกใหม่ก็ได้” ฉันฝืนตอบไปให้เขาสบายใจขึ้น พลางชี้ชวนถามเรื่องอื่น คุยกับเขาเป็นเพื่อน เต้ทานไป ก่อนจะหยอดคำนึงใส่

“เอ๊ะ อาการแบบนี้แพ้ท้องหรือเปล่าเอ่ย...”
“บ้า น้ำก็แบบนี้บ่อยๆ อย่ามาแซวเล่นนะ” เต้พูดติดตลกไป ให้ฉันได้ยิ้มได้หัวเราะบ้าง พอลืมเรื่องไม่ดีหลายๆเรื่องได้ครู่หนึ่ง เต้เริ่มอิ่มแล้ว ฉันยื่นจานให้เขาไปล้าง กลับมือไม้อ่อนหมดแรงเสียดื้อๆ จานชามที่ถือมาตกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ทำจานแตกอีกแล้ว ไม่ต้องเลย เต้ทำเองดีกว่า” เต้ล้างมือให้ แล้วพามาอีกฝั่งของโต๊ะทานอาหาร ฉันฮึดฮัดไม่พอใจ เซ็งที่เวลาจะทำอะไรเขาก็เอาแต่ขัดไม่ให้ทำแล้วลงมือทำแทนเองหมดทุกอย่าง


“นั่งนั่นแหละ อยู่เฉยๆนะไม่ต้องทำอะไรหรอกนะ” เต้แอบชำเลืองมองและดุทันทีที่ฉันกำลังจะหาเรื่องไปปอกผลไม้ ฆ่าเวลาไป ฉันอดขำไม่ได้จริงๆ นี่เขากำลังจะกลายเป็นพ่อคนที่สองของฉันไปแล้วรึไงเนี่ย









***
 
สายลมเอื่อยๆพัดโชยเข้ามา ม่านสีอ่อนโบกพลิ้วเป็นจังหวะ เผยให้เห็นท้องทะเลภายนอกที่คลื่นคอยซัดเข้าหาฝั่งไม่หยุดนิ่ง เมฆปกคลุมท้องฟ้า ทั้งๆที่เป็นหน้าร้อนอยู่แท้ๆ รู้สึกฉงนใจกับวันนี้จัง เต้ล้างจานเสร็จแล้ว ก็จูงรถเข็นพาออกมาข้างนอกด้วยทันที เวลาที่อยากย่ำผืนทรายด้วยเท้าเปล่า ได้มองขอบฟ้าและทะเลที่บรรจบกัน โลกนี้ช่างดูกว้างขวางอย่างบอกไม่ถูก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเหลือเกิน โดยเฉพาะการที่มีคนๆนี้อยู่เคียงข้าง ฉันจะไม่ขออะไรกับพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าอีกเลย

“แปลกนะวันนี้ไม่ยักมีแดดเลย” เต้อุ้มฉันลงนั่งบนหาดทราย ส่วนเขาวิ่งลงทะเลไป โบกมือให้ฉัยู่ไกลๆแล้วย้อนกลับมา
“ดีแล้วน่า ขืนมีแดดออก เดี๋ยวน้ำเป็นลมขึ้นมาอีก” ฉันไม่สนใจคำพูดของเขา วักน้ำสาดใส่เขา เขาเองก็เช่นกัน เราต่างหัวเราะคิกคักที่ได้ทำอะไรแบบเด็กๆอีกครั้ง บางทีนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ฉันจะได้อยู่กับเขา เต้
วันนี้น้ำมีความสุขมากเลยนะ...

“เสียงคลื่นนี่ฟังดูเศร้าจัง” ฉันหยุดฟังเสียงคลื่นกระทบหาดเป็นจังหวะเข้ากันกับความเงียบงันของบรรยากาศรอบข้าง ฉันเงยหน้ารับลมทะเลพัดโชยมาปะทะเบาๆ พลันวูบหนึ่งรู้สึกแขนขาหมดเรี่ยวแรงมาดื้อๆ ฟุบลง

“น้ำ...” นนท์รีบวิ่งมาประคองร่างฉันเอาไว้ สีหน้าเป็นกังวลอย่างมาก ฉันยิ้มตอบ แกล้งทำหน้าเหรอหราไปทั้งๆที่ตัวของฉันเริ่มเย็นขึ้นมา
“ไม่เป็นไรหรอก แค่หน้ามืดนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวก็... อ๊ะ...” พอทำเป็นว่าจะเกาะคอเขาที่ช้อนตัวฉันขึ้น ทว่าร่างกายไม่ให้ความร่วมมือด้วยเอาเสียเลย หายใจก็เริ่มติดขัด เต้ดูจะตกอกตกใจจนฉันต้องปลอบด้วยรอยยิ้ม ซึ่งมันกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นสักนิด

“อย่าฝืนเลยนะ นี่มาขี่คอเต้ดีกว่า เดี๋ยวเราไปนั่งที่ชิงช้าใต้ร่มไม้นั่นดีกว่านะ” ฉันขี่หลังของเขาอย่างจำใจ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้กอดแผ่นหลังเขาไว้แบบนี้ ฉันสัมผัสได้ถึงความแข็งแรงและมั่นคง รวมทั้งภาระและความหวาดหวั่นต่างๆที่เขาต้องแบกรับเอาไว้ตลอดมา

“เต้…” ฉันพยายามชวนเขาคุยด้วย ทั้งๆที่ไม่รู้สึกง่วงเลย ทำไมสมองมันเริ่มเบลอๆแบบนี้นะ น้ำเสียงฉันเองก็อ่อนแรงและกระท่อนกระแท่นลง

“มีอะไรเหรอ คุณตัวเบามากกว่าที่ผมคิดเสียอีกนะ ทานเยอะๆหน่อย” นนท์กระเซ้า ระหว่างที่รีบจ้ำไปยังเปลยวนใต้ร่มไม้

“อื้อ ถ้าน้ำไม่อยู่แล้ว เต้จะทำอะไรต่อไปเหรอ” ฉันโพล่งถามออกไป ซบคอเต้ มองเรือลำหนึ่งที่แล่นอยู่ลิบๆนั้น

“อย่าพูดแบบนี้อีกนะ เต้จะอยู่ที่นี่ อยู่กับน้ำแบบนี้ ตลอดไปด้วยกัน” ฉันสังเกตเห็นว่าเต้หน้าเสียทันที เขาดุว่าไม่ควรจะพูดแบบนั้น ฉันเงื้อหน้าหอมแก้มเขาเบาๆ







“เต้... ขอบคุณนะที่ยังรักน้ำเสมอ” เต้ไม่ตอบอะไรต่อ ความเจ็บปวดอีกระลอกมาเยือน ฉันหยีตาอดกลั้นเอาไว้

“อื้อ... เอาละนอนตรงนี้นะ เดี๋ยวแวบไปเอายาที่บ้านมาให้นะ” เต้ช้อนตัวฉันวางลงบนเปลยวนเบาๆ และไม่ทันจะหันหลังไป ฉันรวบรวมแรงเท่าทีตัวเองมี รีบฉวยมือของเขาเอาไว้ อยากให้เต้อยู่ใกล้ๆฉันแบบนี้



“อย่าไปไหนเลยนะ” สายตาของฉันวิงวอนบอกอีกทางหนึ่ง เขามีท่าทีลังเลพักหนึ่ง

“แต่ว่า...” เต้สีหน้าดูไม่สู้ดีทีเดียว ฉันยิ้มให้ดูน่าเชื่อถือกับเขาแทนคำตอบที่ว่าฉันเองไม่ได้เป็นอะไรมาก

“นะ... นอนสักพักตรงนี้คงดีขึ้น” ฉันขยับตัวเข้าไปหาเต้ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจ และค่อยๆนอนลงข้างๆ โอบตัวฉันเอาไว้ในอ้อมแขน

“เต้...” น้ำเสียงของฉันเริ่มเจือจางบางเบาลง อยากให้โลกนี้หยุดหมุนลง อยากให้เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆจัง



“หืมม...” เต้เริ่มรู้สึกว่าตัวของฉันเย็นลงมากและหายใจช้าลง เขากอดฉันเอาไว้ น้ำตาซึม บัดนี้ดวงตาของฉันทั้งคู่ได้ปิดลงเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่จะทำให้แก่เขาได้ มีเพียงรอยยิ้ม และความรู้สึกนี้ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหรือลบเลือนไปแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว

“ทำไมมันมืดไปหมด แบบนี้นะ...”

“น้ำทนอีกนิดนึงนะ เต้ว่า... เราไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่านะ”







“น้ำ...รัก..เต้... นะ”



เสียงของฉันแผ่วเบาลง เช่นเดียวกับลมหายใจ รู้สึกราวกับตัวเองหลุดลอยออกไป ทิ้งกายเนื้อไว้ ให้นอนนิ่งอยู่ภายในอ้อมกอดของเขานั้น ไปสู่แสงสว่างอันเจิดจ้าของเบื้องบนนั้น ไม่รับรู้ว่าใบหน้าของเต้ เอ่อล้นด้วยน้ำตา กอดร่างอันไร้วิญญาณของฉันไว้แนบกาย ตะโกนชื่อของฉันอย่างคนคลุ้มคลั่ง แข่งกับเสียงคลื่นสาดกระเซ็นกระทบฝั่ง

พระอาทิตย์แย้มออกมาจากกลีบเมฆสาดแสงนำทางชีวิตบนโลกให้ดำเนินไปอีกครั้ง



แม้ว่าฉันจะไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว...


ขอบคุณนะเต้


ลาก่อน...















** อวสาน **





หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(อวสาน) 10/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 10-02-2009 17:04:47
น้ำตาร่วง เลยครับ
แต่ก็นะครับ ชีวิตคนเรา
เมื่อมีพบก็ต้องมีพัดพราก
มันเป็นธรรมดาของชีวิต
แต่น้ำก็จากไปอย่างมีความสุข
ในอ้อมกอดของคนที่รักน้ำมากที่สุด
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(อวสาน) 10/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: imageriz ที่ 10-02-2009 20:00:08
เพิ่งเข้ามาอ่านวันนี้  อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ
เป็นเรื่องที่เศร้าตั้งแต่ตอนต้นเรื่องจนกระทั่งจบเรื่อง
แต่ในความเศร้าก็แฝงไว้ซึ่งความสุข
อย่างน้ำ ถึงแม้ความรักระหว่าน้ำกับนนท์จะไม่สมหวัง
แต่ก็ยังได้รับความจากเต้ ซึ่งครั้งหนึ่งก็เคยมีความรู้สึกดี ๆ ให้กันมาก่อน
และถึงแม้น้ำจะจากไปจากโลกนี้ แต่เธอก็ได้รับความรักจากผู้ชายสองคนไปพร้อมกับเธอ

ส่วนหวาน เธอทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งคนที่เธอรัก แต่เธอไม่รักษามันไว้ให้ดี ก็น่าเห็นใจ
นะ อยู่กับความหวาดระแวง  ความไม่เชื่อใจในคนที่เธอรัก เพราะมันไม่ได้มาจากความรัก
แต่มันมาจากการแย่งชิง

 :เฮ้อ: อะไร ๆ ในโลกนี้ก็ล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยง มีรัก ก็มีเลิก มีเกิด ก็มีตาย
มีดีมีเลว (เพ้อเจ้อไปใหญ่แหละ :laugh:)

 :pig4:  คนแต่งนะ ที่แต่งเรื่องนี้มาให้ได้อ่าน ไม่ใช่แค่นิยาย แต่มันแฝงข้อคิดอะไรหลายเหมือนกัน

+1 ให้คนแต่งนะ  :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(อวสาน) 10/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 10-02-2009 21:01:10
มันเศร้านะเนี่ยอ่านไปเรื่อยๆๆ จนมาถึงตอนสุดท้ายน้ำตาไหลไม่รู้ตัวเลย
 น้ำโชคดีนะที่มีคนที่รักได้มากขนาดนี้
ได้อยู่ด้วยกันจนลมหายใจสุดท้าย
ขอบคุณนะนะอาร์สำหรับเรื่องประทับใจในรักแท้เรื่องนี้ :pig4:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(อวสาน) 10/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: maabbdo ที่ 10-02-2009 22:38:01
ร้องไห้เลยอ่ะ

สงสารทั้งน้ำและเต้

 :m15:

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆน้า

 :pig4:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(อวสาน) 10/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 10-02-2009 23:59:24
maabbdo = :L2: อย่าร้องไห้เลยนะครับ
เต้เองก็พยามเท่าที่ตัวเขาเองสามารถแล้ว
ส่วนน้ำเองก็เข้มแข็งต่อสู้กับโรคร้ายมาจนถึงที่สุด

คนเรา... ผมว่าถ้าเราเป็นอะไรไปตอนที่ตัวเองยังมีความสุข

นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วครับ :pig4:
M@nfaNG = :L2: ขอบคุณที่เป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานให้ผู้อ่านต่อไปครับ
ยิ้มทั้งน้ำตา...
แม้เรื่องทุกอย่างจะไม่จบลงอย่างที่ใจเราต้องการ แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป...

imageriz = นนท์เป็นแบบไหน
เต้เป็นแบบไหน
น้ำเป็นแบบไหน
หรือหวานเป็นแบบไหน...

เหมือนเป็นเรื่องน้ำเน่าดีนะครับเรื่องนี้...

ผมเองใช้เวลาร่วม 2-3 ปีในการแต่งเรื่องนี้
ในช่วงที่ฝึกงาน จนถึงก่อนลงในบอรดแค่ไม่กี่วัน

ชีวิตผมเปลี่ยนจนไม่น่าเชื่อ

ผมเคยจินตนาการตัวเองว่าเป็นเธอ
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าอิจฉา
ที่ทำไมใครๆถึงได้รักเธอนัก

และได้...มีความสุขอยู่กับคนที่รักจนวันสุดท้าย

ส่วนหวาน เป็นตัวละครที่ผมสงสารเธอที่สุด
เธอไม่ผิดที่ทำแบบนี้
เพราะรักมันส่งผลดีกับคนๆนั้น และส่งผลร้ายให้กับคนๆนั้นได้เช่นกัน



 ":pig4:  คนแต่งนะ ที่แต่งเรื่องนี้มาให้ได้อ่าน ไม่ใช่แค่นิยาย แต่มันแฝงข้อคิดอะไรหลายเหมือนกัน"

 :pig4:กับประโยคนี้ครับ

pupper =  :pig4: สำหรับความประทับใจที่มีต่อเรื่องนี้ครับ

ขอบคุณแทนน้ำ นนท์ เต้ ด้วยครับ


 :pig4: :L2: ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านทั้งที่ไม่แสดงตัวด้วยครับ


หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(อวสาน) 10/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: KM ที่ 15-03-2010 12:38:54
เศร้าที่สุดที่เคยอ่านเลยครับเนี่ย

คนแต่งเก่งมาก
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(อวสาน) 10/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 30-05-2010 17:00:19
 :pig4:สำหรับผู้อ่านทุกคนและรีพลายนะครับ
เศร้าที่สุดที่เคยอ่านเลยครับเนี่ย

คนแต่งเก่งมาก
ผมจะพยายามสะสางงานเก่าๆและผลิตผลงานใหม่ๆมาเรื่อยๆครับ
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: obab ที่ 08-07-2011 03:19:34
T^T  เศร้าแต่งดงาม

รักน้ำกับเต้ นะคะ
หัวข้อ: Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เริ่มหัวข้อโดย: nco1236 ที่ 08-07-2011 05:08:34
แขบเอามาลง...เพื่อนอ่านจนตาลายเหม็ดแล้ว o2  แต่ก็สนุกดีขอบคุณมากครับ :haun5: