“คนเราอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องหนักนิดเบาหน่อย ให้อภัยกันได้ก็อภัยกันซะ จะได้อยู่กันยืด”
บทที่สิบเก้า
ฉันจอดรถไว้ในโรงรถ หอบข้าวของสัพเพเหระต่างๆ มองดูบรรยากาศเดิมๆอย่างถอดใจ
ช่วงเวลา5-6 เดือนที่ผ่านมานั้น เราทั้งคู่ต่างยุ่งวุ่นวายกับงานของตัวเอง ไม่มีเวลาให้กันและกันเท่าไร พูดคุย พบปะกันแทบจะนับครั้งได้
ฉันวางของไว้หน้าบ้าน พลางย้อนกลับมาล็อกรถ คลำหากุญแจบ้านในกระเป๋าสะพายอย่างทุลักทุเล เมื่อพบก็รีบไขและปฏิบัติการณ์เป็นยัยบ้าหอบฟางต่อ
ระหว่างที่จัดของเข้าที่เข้าทางอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเบาๆ ฉันรีบรับด้วยความตื้นตัน
“ฮัลโหล... เต้อยู่ไหนแล้วเนี่ย” ฉันรัวพูดตัดหน้าก่อน อยากให้เต้กลับบ้านมาเร็วๆ
“น้ำ วันนี้ผมมีคิวผ่าตัดนะ ตอนนี้ยังกลับไม่ได้ ขอโทษนะ ทานข้าวไปก่อนละกันไม่ต้องรอ” เต้พูดอย่างอิดหนาระอาใจ ฉันหน้าเจื่อนลงทันที รอยยิ้มเมื่อครู่พลอยหดหายเข้ามุมปากเสียหมด
“แต่... เต้...” ฉันพยายามทัดท้วง ขณะที่สายตาและมือแยกของในถุงออกมาพลาง
“มีอะไรไว้คุยกันที่บ้านนะ... ผมต้องไปแล้ว” เต้ตัดสายไปแล้ว ฉันถอนหายใจกับโทรศัพท์และวางมันลงข้างตัวช้าๆ
เป็นอีกวันที่ฉันต้องอยู่คนเดียว
หน้าที่ของแพทย์ไม่เหมือนกับผู้บริหารอย่างฉัน อาชีพของเขาคือการเสียสละเพื่อคนส่วนใหญ่ บางครั้งฉันก็จำเป็นที่จะออกไปพบปะผู้คนมากกว่าที่จะอยู่บ้าน ต่างคนต่างพอกัน ไม่มีใครถูกผิด ที่ทำได้ คือการทำใจยอมรับ
ฉันพันผ้าเช็ดตัว เดินตัวปลิวออกมาจากห้องน้ำ พลันสายตาเหลือบไปเห็นชุดกระโปรงที่ตัวเองเพิ่งซื้อมาได้กี่วัน ฉันพิศดูซ้ายขวาก่อนจะลองสวมดู พลางอวดโฉมตัวเองในบานกระจก ยิ้มกับตัวเองอย่างพอใจ
ฉันใช้เวลาแต่งหน้าทำผมอีกครู่ใหญ่ แล้วละเลียดลงไปชั้นล่าง เปลี่ยนผ้าปูโต๊ะอาหารใหม่ให้สีสดกว่าเดิม จัดดอกไม้ และโทรสั่งอาหารจากร้านโปรดของเต้ ที่ฉันเคยไปเลียบๆเคียงๆขอเบอร์โทรไว้
เสื้อผ้า หน้า ผม อาหาร สถานที่ บรรยากาศก็พร้อมแล้ว ฉันอุ้มกล่องของขวัญไว้ที่ตักพลางเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง เวลาผ่านเลยไป เต้ก็ยังไม่กลับมา ฉันเหวี่ยงของขวัญที่ตั้งใจเตรียมไว้แก่เขาลงเก้าอี้ตัวข้างๆอย่างไม่ใยดี เกือบเที่ยงคืนแล้วเหรอ ฉันบ่ายหน้ามองหน้าบ้าน ผ่านม่านที่แง้มไว้เล็กน้อย มีเพียงแสงไฟสลัวๆบนหัวเสาไฟ กับความว่างเปล่าแทบทุกครั้ง
เต้คงยุ่งอยู่ ฉันได้แต่ปลอบใจตัวเองแบบนี้
ยุ่งอย่างนี้ทุกครั้ง
***
แสงแดดอ่อนๆยามเช้าแยงตาเข้ามาเป็นระยะๆ ฉันพลิกตัวหันหลังให้หน้าต่าง อิดออดด้วยความคร้าน เช้าแล้วเหรอ มือพยายามปัดป่ายหานาฬิกาที่อยู่ใกล้มือ
เก้าโมงเช้าแล้วเหรอเนี่ย...
ฉันดีดตัวขึ้นจากที่นอน ก่อนจะระลึกได้ว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ จะทิ้งตัวนอนเหมือนเดิมก็พลัน รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ
ฉันยังอยู่ในชุดกระโปรงของเมื่อคืน แล้วอีกอย่างฉันเข้ามานอนให้นอนนี้ได้อย่างไร
และฉันก็พบคำตอบ
ช่อดอกไม้สีขาวสด วางคู่กันกับการ์ดใบหนึ่งบนโต๊ะเครื่องแป้ง ฉันประคองมันในอ้อมแขนเบาๆ สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆของมันอย่างพึงพอใจ อ่านการ์ด
“น้ำ... ขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดผมนะ นาฬิกาสวยดี ถูกใจเลยล่ะ เสียอย่าง กล่องบุบไปนิดนึง...” ฉันแทบตัวลอยเลย รีบลงมาข้างล่าง แต่ก็ไม่พบใคร ฉันชักสีหน้า บางทีเต้อาจจะกลับมาเปลี่ยนชุดแล้วกลับออกไปอีกก็ได้
ฉันเดินย้อนมาที่โต๊ะทานข้าวที่จัดไว้เมื่อคืน อาหารต่างๆถูกเก็บไปเรียบร้อย เหลือเพียงช่อดอกไม้ที่จัดไว้ ฉันเบ้ปากเซ็งๆ ตั้งใจจะกลับขึ้นไปบนบ้าน มือมือดีมือหนึ่งคว้าเอวฉันไว้
“ว้าย...” ฉันหลุดอุทาน ก่อนหันกลับทุบเบาๆสองทีโทษฐานที่ทำให้ตกใจ เต้นั่นเอง
“ขอบคุณนะ ที่เมื่อคืนอุตส่าห์รอ...” เขากอดฉันไว้กระชับแน่นกับตัวเขา ยิ้มแห้งๆให้ ฉันค้อนตุปัดตุเปไม่สนใจท่าเดียว
“เก็บทิ้งไปหมดแล้วใช่ไหมล่ะ อาหารเมื่อคืน แต่ช่างเถอะ ก็เต้บอกว่ามีคิวนี่นา ใครจะไปว่าได้ล่ะ” ฉันมองไปที่โต๊ะอย่างเสียดายปนน้อยใจ เต้หอมแก้มเบาๆ ทำฉันก้มหน้างุด ซุกตัวเขาเป็นลูกแมวน้อย เต้ลูบหัวเบาๆอย่างเอ็นดู
“เต้เอาไปอุ่นแล้วล่ะ รอน้ำตื่นนี่แหละ... หิวหรือยัง จะได้กินพร้อมกัน นานเหมือนกันนะที่เราไม่ได้ทานข้าวด้วยกัน” ฉันนี่แทบจะยิ้มฉีกไปถึงรูหูเลย แต่ก็ทำกลบเกลื่อนไม่รู้ไม่ชี้
“วันนี้โดดงาน ไม่ไปรึไง... เดี๋ยวเถอะ” ฉันตัดพ้อ พยายามถอนตัวออกจากอ้อมกอดของเขา แต่ก็ไม่ได้สักที เต้หัวเราะหึๆในลำคอ ฉันขมวดคิ้วใส่ ต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ๆ
“ก็นี่เดือนเมษาแล้ว ว่าเราไปเที่ยวกันดีไหม” เต้กระซิบเบาๆ พลางเคลียคลอไม่หยุด ฉันตอบรับคำนั้นเบาๆ
“อืมมม...”
“เต้ลางาน อาทิตย์นึง” แทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยจริงๆ คนที่หายใจเข้าออกเป็นงานอย่างเต้เนี่ยนะ จะลางาน ฉันแทบยิ้มแก้มปริ เงยหน้ามองเต้อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เขาพยักหน้ารับ และดุนจมูกฉันเล่นอย่างเอ็นดู
“เดี๋ยวไปอาบน้ำก่อนนะ คราวนี้ล่ะต้องตามใจน้ำเยอะๆเลยด้วย” ฉันค่อยๆแทรกตัวเองให้พ้นออกมา เต้คลายการกอดรัดลง ฉันรี่กลับขึ้นบันไดไปชั้นบน ทว่าเต้ยังรั้งมือฉันไว้ ทำตาหวานเยิ้มใส่
“คร้าบ... เร็วๆนะ เต้หิวแล้ว” แนะ... ยังจะมากัดมุมปากตัวเองอีก หน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นทันควัน เพราะรู้ว่าความหมายแฝงนั้นคืออะไร ก่อนจะตีมือเต้เบาๆ
“นี่แน่ะ... ลามก เดี๋ยวเถอะ” ฉันทำหน้าดุใส่ รีบกลับเข้าไปในห้อง ตลอดทั้งอาทิตย์นี้จะได้อยู่ด้วยกันจริงๆซักที อยากลางานบ้างจัง จะได้ไหมนะ... ฉันบ่นกับตัวเองในใจ
***
โปรแกรมแรก คือการกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่บ้านเดิม หลายครั้งที่ฉันไปหาท่านทั้งสองหรือแม้แต่ค้างคืนเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว ท่านทั้งสองมักจะถามหาเต้เสมอ ฉันเองก็อึดอัดที่จะตอบว่า เต้ไม่ว่างอย่างนั้นอย่างนี้อีกแล้ว
ตลอดเวลาที่อยู่บนรถ ฉันเปิดซีดีเพลงคลอไปตลอดทาง เต้ดูท่าทางจะมีความสุขมากวันนี้ บางครั้งก็ฮัมเพลงอวดเสียงเข้มๆที่ร้องตกร่องไม่เข้ากันกับเพลงในซีดีเท่าไร แต่อย่างน้อยก็ทำให้ฉันยิ้มและหัวเราะได้ การที่นั่งรถคู่กันไป ฉันป้อนน้ำป้อมขนมอยู่เป็นครั้งคราว แล้วก็เหล่นาฬิกาเรือนใหม่ที่ประดับบนข้อมือของคนขับรถที่นั่งข้างๆกันนั้น เหมาะจริงๆ แสดงว่าเซนส์ในการเลือกของของฉันนี่ใช้ได้ทีเดียว เราสบตาอยู่เป็นระยะ อยากยืดเวลาที่ได้อยู่กับเต้ให้นานเท่าที่จะนานได้จริงๆ
“จ้องอยู่ได้ ไม่เคยเห็นคนหล่อๆขับรถเหรอ” ฉันสะดุ้งเลย ไม่ใช่เพราะตกใจเสียงของเต้หรอกนะ แต่จะหลุดขำมากกว่า กล้าพูดนะว่าตัวเองหล่อเนี่ยนะ ฉันอมยิ้มเล็กๆกลบเกลื่อนไป
“อื้อ... ก็มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละที่น้ำจะมองได้เต็มตาแบบนี้ น้ำอยากเห็นเต้กับรอยยิ้มที่อบอุ่นอย่างนี้ไปนานๆ” เต้หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย... แต่ก็เอื้อมมือมาขยี้หัวฉันเบาๆแทนการบอกว่า อย่าคิดอะไรมาก เต้หักรถเลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปแล้ว อีกไม่นานก็ถึงบ้านพ่อกับแม่ของฉันแล้ว
เด็กในบ้านเดินมาเปิดประตูให้ เต้ขับรถเข้ามาจอดด้านในก่อนกุลีกุจอมาช่วยฉันขนของที่ซื้อมาเมื่อเช้าเข้าไปในบ้าน พ่อเดินออกมาในชุดลำลอง สบายๆ ทักทายเราทั้งคู่ ก่อนหน้าแม่เสียอีก
“เอ้า... พ่อลูกเขย ลมอะไรหอบมา หาคนแก่ได้ คิดว่าลืมกันไปซะแล้ว” เต้ยกมือไหว้ประหลกๆ ตามฉัน พ่อกอดฉันตามประสาพ่อลูก พลางตบไหล่ลูกเขยเบาๆเชิงหยอกล้อ แต่ดูจากสีหน้าเต้แล้ว คงไม่เบาเลยกระมั้ง แหยแกเสียขนาดนั้น
“ปล่าวครับ วันนี้ผมกับน้ำตั้งใจจะมาเยี่ยมด้วยกัน ตั้งใจว่าจะชวนไปพักตากอากาศด้วยกัน” เต้ลูบหลังตัวเองเบาๆ หันมากระซิบกระซาบกับฉัน ไม่รู้ไม่ชี้ แม่เองก็เดินลิ่วมานั่นแล้ว แม่รับไหว้เราสองคน
“แหมๆ... ปล่อยหนุ่มๆสาวๆไปกระหนุงกระหนิงกันเองดีกว่านะ ให้พ่อกับแม่อยู่เฝ้าบ้านแบบนี้ดีกว่านะ” แม่แหย่ เราทั้งคู่ทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆตอบ
“จะทำอย่างนั้นได้ไงล่ะครับ คุณพ่อ คุณแม่ของน้ำก็เหมือนคุณพ่อ คุณแม่ผมเหมือนกัน” ทำเป็นปากหวานเชียวนะ แม่นี้ยิ้มแก้มปริเชียว พ่อยืนคุมเชิงถามต่อ
“ว่าแต่จะไปไหนล่ะ”
“ไปอ่างทองครับ” งงเป็นไก่ตาแตกทั้งคู่ ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวฉันเอง อ่างทองเนี่ยนะ อยุดตั้งสัปดาห์ไปอ่างทอง
“หา... อีตาบ๊อง ไปทำไมอ่างทองยะ” ฉันแทรกขึ้นมาอย่างมีน้ำโมโห
“หมู่เกาะอ่างทองครับ พักผ่อนสบายๆ ตากอากาศกัน อยู่กรุงเทพนี่น่าเบื่อ ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ค่าใช้จ่ายไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมเลี้ยงทั้งรายการครับ” ค่อยโล่งอก พ่อกับแม่หัวเราะชอบใจใหญ่ ฉันแอบหยิกเอวเอาคืนอาการกวนประสาทของสามีตัวเองบ้าง ท่าทางผู้ต้องหาจะรู้ทัน ขยับหนีทันที ฉันทำได้เพียงเม้มปากไม่พอใจเต้เท่านั้น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดูพูดเข้าสิ ไอ้ลูกเขยคนนี้ เห็นพ่อกับแม่เป็นคนงกไปได้” เอาเข้าไป พ่อกอดคอเป็นปี่เป็นขลุ่ยไปด้วยเสียแล้ว สองคนกระซิบกระซาบอะไรกันก็ไม่รู้ แม่เลยเกริ่นขึ้นมา
“พ่อบุญทุ่มเชียวนะ... น้ำมา... มาช่วยแม่ทำกับข้าวกันดีกว่า ปล่อยหนุ่มๆเขาคุยกันดีกว่านะ”
“ค่ะ... แม่” ฉันรับของจากเต้มา ไม่น่าซื้อมามากมายเลย หนักชะมัด ก็ดีเหมือนกัน ปล่อยให้ลูกเขยกับพ่อตาเขาคุยกันประสาผู้ชายไป แม่เดินจูงมือฉันไปยังห้องครัว ฉันวางของทั้งหมดไว้บนโต๊ะ
“ซื้ออะไรมาหนักหนาเนี่ย คราวหลังไม่ต้องหรอก มาเยี่ยมพ่อกับแม่บ่อยๆ ทั้งคู่ก็ดีใจแล้ว” แม่พิศดูของทั้งหมดและลูบหัวฉันด้วยความเอ็นดูอย่างที่แม่เคยทำเสมอ
“นิดหน่อยค่ะแม่ อีกอย่างเต้เขาเป็นคนอยากซื้อของมาให้เองด้วยต่างหาก” ฉันโอบเอวแม่ ทำออเซาะ
“เดี๋ยวนี้ สุขภาพเป็นไงบ้างลูก...” สายตาของแม่บ่งบอกถึงความห่วงใยและกังวลอยู่ลึกๆ ฉันเองก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องคอยเป็นภาระกังวลอีก
“เต้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ เขาดีกับลูกไหม” ฉันยิ้มอย่างใจเย็นให้กับแม่ อย่างน้อยพอบวกเพิ่มกับคำตอบที่ฉันจะตอบออกไป ท่านจะได้เบาใจลงได้
“ดีค่ะแม่... เต้ดูแลน้ำทุกอย่าง” แม่เปลี่ยนอิริยาบทมานั่งใกล้ๆ กุมมือฉันไว้
“คนเราอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องหนักนิดเบาหน่อย ให้อภัยกันได้ก็อภัยกันซะ จะได้อยู่กันยืด” แม่ยังคงห่วงใยฉันเสมอ ไม่ว่าวันคืนจะผ่านพ้นไปนานแสนนานเพียงใด ฉันยังรู้สึกว่าตัวเองยังคงเป็นเด็กกะโปโลไม่รู้จักโตสำหรับท่านเสมอ
“ค่ะ... ว่าแต่... แม่สบายดีไหมคะ”
“สบายดี... แข็งแรง ว่าแต่เรานั่นแหละ ไปพบหมอบ้างหรือเปล่า ทานยาและดูแลตัวเองดีๆนะ” แม่ตอบเสียงเนือยๆกลายเป็นฉันเองมากกว่าที่แม่อดกังวลไม่ได้ว่าจะสามวันดีสี่วันไข้
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ มีเต้อยู่ด้วย แม่สบายใจได้ค่ะ” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นใจ แม่อมยิ้มเล็กๆก่อนจะหุนหันไปเตรียมอาหารต่อ
“เอาล่ะ ลงมือกันเลยดีกว่า... มาช่วยแม่ดูว่าจะทำอะไรกันก่อนดี” ฉันลุกตามไป เราสองคนแบ่งหน้าที่กันทำอาหารกันคนละอย่างสองอย่าง ไม่นานนักก็เสร็จเรียบร้อย พ่อและเต้ดูท่าทางจะคุยกันเพลินติดลม กว่าจะมาทานข้าวร่วมกันอาหารก็เกือบเย็นชืด หากแต่ว่าฝีมือเสน่ห์ปลายจวักของเราสองแม่ลูก ไม่เห็นมีใครบ่นซักคำว่าอย่างนั้นไม่ดี อย่างนี้ไม่ได้เรื่อง อาจเพราะหิวด้วยกระมัง อีกอย่างฉันกับแม่ก็คุยกันนานเอาเรื่องกว่าจะเริ่มลงมือทำกับข้าว
ตกลงว่าเรามีเวลาเตรียมตัวกันพรุ่งนี้หนึ่งวันเต็ม ก่อนออกเดินทางในมะรืนนี้ เต้เตรียมการเดินทางไว้หมดแล้ว พ่อกับแม่ก็รวนเหมือนกันที่ปุบปับต้องเดินทาง ต้องโทรไปเลิกนัดเพื่อนที่จะมาเยี่ยมและตรวจสุขภาพ ฉันเองก็ต้องเร่งเคลียร์งานให้เสร็จภายในวันเดียวแถมยังต้องสั่งงานลูกน้องอีก ทำเอาหัวหมุนไปเลย แต่กำลังใจมันก็ยังมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม นายเต้ก็เฝ้าบ้าน เตรียมของเดินทางอีก ไหนๆก็ไหนๆแล้ว... ขอแว๊บไปดูบีกีนี่ล่ะ เผื่อได้ใส่ อิ อิ
***
เต้ตัดสินใจจ้างรถตู้มาเอง ตอนแรกก็ตื่นเต้นดีอยู่หรอก ไปๆมาๆมันก็น่าเบื่อจะตาย อยู่แต่บนรถ แวะปั๊มน้ำมันเข้าห้องน้ำ เดินยืดเส้นยืดสายพอคลายความเมื่อล้าบ้าง พ่อและแม่ทานของจุกจิก อ่านหนังสือพลาง บ้างก็หลับสลับกันไป ไม่บ่นอิดออดเหมือนฉันที่นั่งหน้าหงิกเป็นตูด เครื่องบินมีก็ไม่ไป แปปเดียวก็ถึงแล้ว เต้บอกว่ายังไงเดินทางก็หนีไม่พ้นที่จะต้องนั่งรถอยู่ดี ให้ใจเย็นลงหน่อย เอางั้นก็ได้
จะว่าการมองทัศนียภาพด้านนอกรถก็ทำให้เราใจเย็นลงได้เยอะขึ้น ภาพของวิถีชิวิตของคนแปลกที่ต่างถิ่นต่างๆ ทำให้ฉันอดสงสัยหรือประหลาดใจไม่ได้ ตาของฉันตื่นตัวเต็มที่ ไม่อิดโรยเมื่อช่วงเริ่มเดินทาง ที่ต้องตื่นมาแต่ตีสองกว่ามาอาบน้ำจัดการธุระส่วนตัวก่อนออกเดินทาง งัวเงียหน้าบอกบุญไม่รับ เต้ส่งเครื่องดื่มให้ ฉันบอกปัดไป เขาเปิดกระป๋องและจิบเล็กน้อย ทิ้งตัวลงนอนบนตักฉัน ทำตาแป๋วใสอีก ฉันแกล้งหยิบหมวกปีกกว้างมาปิดหน้าเต้ไว้ เต้คว้าออกไปพ้นหน้า พลางเหลือบมองเบาะด้านหลัง พ่อกับแม่หลับไปแล้วทั้งคู่ อาศัยจังหวะที่ฉันเผลอ หอมแก้มเสียงดังฟอดใหญ่ ฉันหันรีหันขวางพลางทุบต้นแขนเต้เบาๆ หวังว่าคงไม่มีใครเห็นนะ เต้หัวเราะ หึ หึ อย่างไว้ลาย ตาวาวเป็นประกายเชียว ท่าทางการเดินครั้งนี้ ฉันจะเจอศึกใหญ่แน่ๆ ถ้าตอนนั้นตัวเองไม่ได้ตาฝาดไป ฉันเหลือบเห็นพ่อกับแม่นอนหลับตาปี๋ ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็แอบอมยิ้มนิดๆหน่อยๆ ราวกับว่าเห็นช็อตเด็ดเมื่อครู่นี้
ร่วมห้าชั่วโมงที่เดินทางมา ฉันรีบพลีพลามออกมานอกรถคนแรก เหยียดแข้งเหยียดขา ขยับร่างกายพอคลายความเมื่อล้า สูดอากาศบริสุทธิ์ริมทะเลที่แสนสดชื่นเข้าเต็มปอด เต้ออกมายืนอยู่ข้าง พลางโทรศัพท์ครู่นึง และนั่งรอตรงใต้ต้นไม้ใกล้ๆ ที่ลานจอดรถ ตรงท่าเรือนี้ คนไม่ค่อยพลุกพล่านเนื่องจากไม่ใช่ช่วงเทศกาล พ่อกับแม่เดินคู่กันมา ยืนชมทะเลสีครามข้างหน้า และบ่นเล็กน้อย
“นั่งรถนานเสียอานเลยนะ”
“แล้วเอารถทิ้งไว้ที่นี่เลยเหรอ” พ่อถามเต้ และเหลียวกลับไปดูที่รถ มีเด็กหนุ่มสองสามคนเดินตรงมาที่รถ พลางยกมือไหว้เราทั้งหมด ฉันงงๆและรับไหว้ไปตามมารยาท เต้ยิ้มและหันมาตอบพ่อ ขณะที่คนพวกนั้นขนกระเป๋าเดินทางลงจากรถ
“ใช่ครับ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ลูกน้องเพื่อนผมไว้ใจได้ เดี๋ยวเขาจะจัดการให้” เด็กคนหนึ่งในกลุ่มเดินเอาตั๋วขึ้นเรือมาให้ เต้รับไว้ และจ่ายเงินส่วนหนึ่งแก่คนขับรถ และสั่งอะไรเล็กน้อย ก่อนกลับมาจูงฉันไปยังท่าเรือไม่รอช้า
“เดี๋ยวเราลงเรือต่อไปอีก สัมภาระอะไรไม่ต้องขนเองหรอกครับ ปล่อยให้เจ้าพวกนี้จัดการเองจะดีกว่า” เต้บอกกับพวกเราทุกคน เดินนำไปยังท่าเรือ เด็กขนกระเป๋าเดินอิดออดตามมาติดๆ ฉันสังเกตว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติทั้งนั้น แต่ก็มีจำนวนพอสมควร เราขึ้นเรือเฟอร์รี่ลำเล็ก จับจองที่นั่ง ไม่นานนัก เสียงประชาสัมพันธ์เรือก็ประกาศจุดหมายปลายทางของเรือ และออกเรือไป ฉันมองไปพื้นน้ำอย่างหวาดๆ เกาะแขนเต้แน่น ตื่นเต้นที่ต้องนั่งเรือไปไหนไกลๆครั้งแรกอย่างนี้
“นานไหมกว่าจะถึงเกาะน่ะ”
“ราวๆ 45 นาที น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” เต้บีบไหล่ฉันเบาๆเชิงปลอบใจไม่ให้กังวลมากไป พ่อกับแม่หันไปนั่งคุยกับเด็กขนกระเป๋าและฝรั่งคู่หนึ่งที่เดินทางไปเที่ยวหมู่เกาะอ่างทองเหมือนกัน
“น้ำกลัวเมาเรือจัง ไม่เคยนั่งเรือนานๆด้วยสิ” รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไรไม่รู้ เต้อมยิ้มและจุ๊บเบาๆที่หน้าผาก ขยับตัวฉันเข้ามาชิดกว่าเดิม รู้สึกว่าการเดินทางมานี่ ตัวเองจะขาดทุนอีตานี่เยอะทีเดียว
“ไม่เป็นไรหรอกน่า มีเต้อยู่ด้วยทั้งคน” หัวฉันไหลลงไปพิงไหล่ของเต้ เต้ลูบผมเบาๆ และเอนศรีษะมาทับอีกชั้น เราจับมือไว้แน่น และก็เผลอหลับไปเมื่อไรไม่รู้
ฉันสะดุ้งตื่นเมื่อเต้วิ่งพรวดไปขอบเรือ ฉันหุนหันตามไป พลางลูบหลังให้ พูดไม่ทันขาดขำเลย เป็นเสียเองเนี่ยนะ พยายามปลอบเต้โดยไม่หลุดหัวเราะ เพิ่งรู้ว่าลำบากเอาการ
“ไหวไหมเต้... เข้าไปนั่งข้างในก่อนดีกว่านะ” ฉันประคองเขาไว้ เต้หน้าซีดเผือดลงทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าคุณหมออย่างเต้จะมาป่วยเอาเสียเองได้นี่สิ
“อีกเดี๋ยว คงหาย ไม่เป็นไรหรอก เอิ๊ก...” ว่าแล้วก็อีกชุดใหญ่ ฉันหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้ เต้รับไปเช็ดปาก
“ฮิ ฮิ ดีแต่ห่วงคนอื่น เอาตัวเองให้รอดเถอะ” ฉันพูดติดตลก ขำไม่ออกแล้ว ท่าทางจะเป็นหนักนะเนี่ย ฉันพยุงเขาเข้ามานั่งในๆเรือ และกำชับว่าอย่ามองที่พื้นน้ำ มองสูงๆขึ้นไป ก่อนส่งยาแก้อาเจียนไว้ให้เผื่อจะมีอีกระลอก กันเอาไว้ก่อน
“ขายหน้าเลย เรา...” เต้เกาหัวตัวเองแก้เก้อ พลางหันมาส่งสายตาหวานให้อีก ไม่สบายอยู่นะนาย ก่อนจะนอนเหยียดยาวบนม้านั่ง โดยอาศัยตักฉันแทนหมอน
“ขอบใจนะน้ำ”
“พูดอะไรน่ะ นอนพักข้างในนี้ดีแล้ว ถ้าไม่ห่วงเต้ แล้วจะให้น้ำไปห่วงใครล่ะ” ฉันถอดหมวกปีกกว้างมาใช้ต่างพัด
“งั้นก็หลับเถอะ ถึงเมื่อไรแล้วน้ำจะปลุกนะ” เอาออกไปเยอะขนาดนั้น คงหมดแรงทีเดียว แหม...นอนยิ้มแฉ่งเชียว ไอ้เรานี่สิ เหน็บกินหมด เมื่อยแขนก็เมื่อยเพราะต้องคอยพัดวีตานี่ตลอด
ถึงรีสอร์ตมีชื่อแห่งหนึ่ง ที่เพื่อนของเต้เป็นเจ้าของกิจการ ตั้งอยู่บนเกาะ บรรยากาศโดยรอบงดงามและเป็นธรรมชาติ มีจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สามารถมองชมรอบๆเกาะได้(เห็นเต้เกริ่นอย่างนั้น ก็ว่าตาม) มีกิจกรรมที่ทางรีสอร์ตจัดให้นักท่องเที่ยวอยู่มากมายหลายรายการทีเดียว หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้วก็ขอเต็มที่ซะหน่อย กลับไปยังมีงานกองรออีกบานให้สะสาง
เราเช็คอินสองหลัง พ่อกับแม่หลังนึง ฉันกับเต้อีกหลังนึง พนักงานขนสัมภาระเรานำไปยังที่ห้อง อ้าวทำไมพ่อกับแม่ถึงแยกไปอีกทางล่ะ ไม่ได้อยู่ใกล้ๆด้วยกันหรอกเหรอ
“ทำไมเราอยู่แยกมาตรงนี้โดดๆล่ะ เอ่อ...พ่อกับแม่น้ำไปอยู่หลังนั้นมันจะดีเหรอ” พ่อและแม่เดินลับเข้าเรือนไม้อีกทางหนึ่งไปแล้ว เต้ไม่หยุดเดิน ทำให้ฉันต้องเดินตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ดีซิ... เต้ก็อยากชดเชยเวลาที่เต้ไม่ได้อยู่กับน้ำบ้างไง” เต้หันมา ขมวดปมคิ้วใส่ ก่อนประคองฉันที่เดินช้าตามไม่ทัน ให้เดินเคียงไปด้วยกัน จู่ๆก็แอบหอมแก้ม พลางลูบสะโพกวนไปมา
“พูดแบบนี้ แสดงว่าหายดีแล้วใช่ไหม... งั้นรีบไปเก็บของก่อนนะแล้วก็พาน้ำไปเดินเล่นซะดีๆเลย” ฉันแอบหยิกไปทีนึงให้หายนิสัยมือปลาหมึกเสีย เต้ยังทำหน้าทะเล้นปนแหยแกไปกับจุดที่ฉันหยิก รู้สึกเหมือนราวกับว่าทันทีที่ถึงห้อง พนักงานคนนั้นจะเปิดห้องให้ แล้วรีบเผ่นไปทันที เดี๋ยวสิ
“ใจคอน้ำจะใจร้ายกับเต้อย่างนี้เหรอ อุตส่าห์ได้อยู่ด้วยกันแล้วแท้ๆนะ” เต้เข้ามาคลอเคลียทางด้านหลังขณะที่ฉันกำลังง่วนกับการจัดเสื้อผ้าเข้าตู้อยู่ ฉันพยายามแกะแขนเต้ออกเพื่อจะได้ทำงานของตัวเองสะดวกๆ ยังไม่ทันไร เต้หมุนตัวฉันมาประจันหน้าเขาจังๆ ฉันรีบลอดวงแขนออกมา ทำงานของตัวเองต่อ ทำทีไม่สนอกสนใจอะไร ทั้งๆที่หน้าแดงเรื่อเพราะคิดอะไรต่อมิอะไรไปถึงไหนต่อถึงไหนแล้ว
“ลูกไม้เยอะแบบนี้... น้ำไม่ไว้ใจหรอก แหะๆ... รู้ทันหรอกนะ” แนะ ยังจะปากดีไปต่อปากต่อคำกะเขาอีก เอาของใช้ส่วนตัวออกมาจัดๆวางไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้งก่อนดีกว่า เต้ย่างสุขุมเข้ามา
“งั้นก็ต้องอย่างนี้”
“ฮันแน่... นี่ก็มุขเก่าๆ” ฉันหลุดหัวเราะออกมาที่เต้ ล้มตึงไปบนเตียง ฉันรีบลุกออกมาก่อน นำของไปวางด้านในห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวอยู่ครู่นึง ออกมาก็ไม่เจอเขาแล้ว ไปไหนของเขานะ ก็ดีเหมือนกัน ขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วงีบสักพักก่อนออกไปเดินกินลมชมวิวรอบๆเกาะ
“ดูถูกกันนะ เนื้อจะเข้าปากเสือ เสือไม่ปล่อยไปง่ายๆหรอก” ไฟในห้องดับลง เต้โถมตัวมาจากด้านไหนไม่รู้ ฉุดร่างเราสองคนลงบนพื้นเตียง
“ว๊าย...” ไม่เจ็บหรอก แต่มันตกใจมากกว่า แสงจากด้านนอกสลัวๆทำให้ใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ หน้าของเราห่างกันเพียงนิดเดียว ดวงตาคู่นั้นราวกับจะดึงร่างและวิญญาณของฉันให้จมลงไป เต้กอดฉันไว้แนบกับตัวของเขาที่เปลือยท่อนบน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ดูสมส่วนได้รูปลางๆ ก่อนเต้จะผลิกตัว อยู่ด้านบน ประคองฉันไว้ในวงแขนคู่แกร่งนั้น
“น้ำ”
“ต...เต้” ฉันตอบกลับไปเบาๆ เต้ไล้เรือนหน้าและละเลียดกลิ่นผมของฉันอยู่ครู่ กับคนที่อยู่ตรงหน้านี้ ถึงจะได้ชื่อว่าผ่านการแต่งงานมาแล้ว เป็นสามีภรรยาตามศาสนา แต่ก็อดประหม่าและตื่นเต้นทุกทีที่อยู่ด้วยกัน
“รู้ไหมว่าเต้มีความสุขที่สุดเลยนะ ที่ได้เห็นหน้าน้ำใกล้ๆอย่างนี้” เต้จุมพิตบนหลังมืออย่างอ่อนโยนและนิ่มนวล และกุมมือทั้งสองข้างของฉันไว้ ฉันสัมผัสได้เสมอถึงความรู้สึกที่คนตรงหน้ามี ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หรือลดน้อยลง แม้เพียงครั้ง
“อยากเห็นบ่อยๆ ก็อย่าปล่อยให้น้ำต้องอยู่คนเดียวซิ” ฉันตัดพ้อ หลบแววตาที่เว้าวอนและซุกซนคู่นั้น การที่ต้องอยู่คนเดียวหลายเดือนที่ผ่านมา อาจจะทำให้ฉันท้อและเหนื่อยล้ากับความสัมพันธ์ของเราสองคนก็เป็นได้ แม้จะรู้ว่าการทำงานจะแยกเราสองคนออกไป ฉันพยายามแล้ว กลับกลายเป็นฉัน ที่เป็นฝ่ายถอดใจมาดื้อๆ โดยเต้ไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นแม้แต่น้อย
“คิดถึงเต้ด้วยเหรอ” เต้บรรจงจูบลงบนเปลือกตาและซับรื้นน้ำตาของฉันออก ไม่มีคำบรรยายใดจะทดแทนชดเชยความรู้สึกผิดนี้ได้เท่ากับทุกๆถ้อยคำและการกระทำของเต้ที่มีต่อฉันนี้ คำถามนั้นฉันรู้ดีว่าเต้แค่หยั่งเชิงเล่นให้ฉันคลายความกังวลต่างๆลง
“มาก... ถึงมากที่สุด มันทรมานนะ เต้รู้หรือเปล่า” ฉันตอบไปซื่อๆตามที่ตนเองรู้สึก เต้กรุ่มยิ้ม
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวเต้จะชดเชยให้นะ” เต้ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรต่อ ฉันรู้เพียงว่าสิ่งนี้จำเป็นกับชีวิตคู่ของเรา ทางที่จะช่วยยืดความสัมพันธ์ให้นานตราบเท่าที่จะเป็นไปได้ ตอนนี้ฉันตัวเองเพียงว่าตัวเองรักเต้มากแค่ไหน ไม่อยากจะสูญเสียเขาไป ฉันกอดร่างเขาไว้แนบกับร่างที่ปราศจากอาภรณ์มาพันธนาการไว้ ต่างคนต่างรู้ดีถึงความปรารถนาที่แผงมากับความรู้สึกของตัวเองที่ต้องการสื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ปล่อยกายปล่อยใจให้พายุอารมณ์โหมซัดเข้าทั้งคู่ พร่ำบทเพลงแห่งความรักไม่รู้จบคู่ไปกับเสียงเกลียงคลื่นและสายลมโชยจากด้านนอกเข้ามาอย่างแผ่วเบาในห้อง
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ เอามาโปรยไว้ พอเป็นน้ำจิ้ม นิดนึง