ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก  (อ่าน 34410 ครั้ง)

ออฟไลน์ -~iK@iZ_KunG~-

  • Tomorrow Never Die!!!
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-2
รออ่านภาคต่อไปครับ

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
ขึ้นภาค2



“ผมเรียนให้คุณน้าทราบตรงๆเลยนะครับว่า ผมกับน้ำยังไม่ได้คิดไปถึงเรื่องในอนาคตเท่าไรนัก ทั้งนี้ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมคนเดียว น้ำเองก็ด้วย แต่ตราบใดที่ผมยังคบกับน้ำอยู่ ผมจะดูแลเธอให้ดี ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมสัญญาครับ”



















บทที่สิบ







“น้ำ...” เสียงนุ่มทุ้มของคนขับรถที่รับส่งไปทำงานเช้าเย็นประจำ เอ่ยขึ้น ฉันแน่ใจว่าวันนี้เจ้าของเสียงนั้นมีท่าทีที่แปลกไปไม่เหมือนกับทุกๆวันที่เคยเป็น ดูรุกรี้รุกรนกระวนกระวายชอบกล

“มีอะไรเหรอนนท์ เป็นอะไรไปเหรอ ไม่สบายหรือเปล่า” ฉันพูดพลางหยิบกระดาษทิชชูมาซับเหงื่อให้เขา และความหาลูกอมให้
“คือ...” เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นขัดจังหวะ นนท์สะดุ้งทันทีเมื่อรู้ว่าที่บ้านฉันโทรศัพท์มา ตาก็มองตรงไปดูทางที่กำลังเลี้ยวเข้าซอยของบ้านฉันในไม่ช้า ฉันวางโทรศัพท์ไปไม่ทันไร นนท์รีบสวนถามทันที

“มีอะไรเหรอ น้ำ”
“วันนี้คุณพ่อกลับบ้านมาแล้วน่ะสิ หลังไปสัมมนามาตั้งสัปดาห์กว่า นี่น้ำก็ซื้อกับข้าวมาตั้งเยอะแยะเลยพอดีทีเดียว” ฉันพูดไปยิ้มไปด้วยความดีใจไม่ทันสังเกตว่านนท์ค่อนข้างคร้ามทุกครั้งเมื่อฉันพูดถึงพ่อของฉันทีไร

“เอาล่ะ ถึงแล้ว นนท์อยู่ทานข้าวด้วยกันกับน้ำนะ อ้าวเป็นอะไรไปล่ะไม่ลงจากรถเหรอ” เมื่อถึงหน้าบ้านฉันก็ลืบคว้าข้าวของลงไป นนท์นั่งตัวลีบอยู่ข้างในรถ ฝืนๆยิ้มให้ ก่อนตัดสินใจลงรถตามเข้ามาในบ้านด้วย


“กลับมาแล้วเหรอ น้ำ อ้าวนั่นใครน่ะ” พ่อยิ้มทักทาย ฉันวิ่งเข้าไปกอดท่านราวกับเด็กสามขวบไม่ปาน ก่อนที่ท่านจะสังเกตเห็นนนท์ นนท์เลิ่กลั่กยกมือไว้ขณะที่ถือของพะรุงพะรังสองมือ ฉันเองก็ลืมตัวไปว่านนท์ไม่เคยพบกับท่านมาก่อนเลย ฉันยิ้มเจื่อนๆให้นนท์ก่อนประจีประจอกับพ่อต่อเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไป

“ชื่อนนท์ค่ะ พ่อ เราเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนแล้วล่ะค่ะ เข้าบ้านกันเถอะค่ะ นี่หนูซื้อกับข้าวมาตั้งเยอะเลยนา.... มีของที่พ่อชอบด้วยนะคะ” ฉันดึงพ่อพ่อเข้าไปในบ้านแต่ท่านไม่ยอมไป นนท์เองก็พลอยยืนเก้ๆกังๆ อยู่ห่างๆ

“ว่าไงล่ะเรา เอ๊ะ ชื่ออะไรนะ นนท์ อื้อเป็นเพื่อนน้ำด้วยละสิ มาส่งได้นี่ทำงานที่เดียวกันด้วยรึไง” เอาละสิ ฉันเองก็เดาอารมณ์พ่อตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างหรือเปล่าน่ะ

“คือ ผมไม่ใช่เพื่อนหรอกครับคุณน้า ตอนนี้ผมกะบน้ำเรากำลังคบกันครับ” จู่ๆนนท์เองก็ฮึดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ฉันกับพ่ออึ้งกิมกี่ทั้งคู่ แม่น่ะรู้เรื่องว่าฉันกับเขาคบกันแล้วเพราะเขามาเที่ยวบ้านบ่อยๆ แค่ทานเข้าเท่านั้นหรอกนะ แต่พ่อเนี่ยสิ เป็นเรื่องแน่ๆ

“น้ำ... เอาของอะไรเข้าไปเก็บก่อนไป ส่วนนายน่ะ ตามมานี่สิ” พ่อพูดขึงขังขึ้นมา ฉันเองก็รับของจากนนท์มาด้วยเอาไปไว้ที่ห้องครัว แม้ว่านนท์จะทำปากบุ้ยใบ้ว่าไม่เป็นอะไรแต่ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดีว่า พ่อฉันจะหักคอเขาจิ้มน้ำพริกหรือเปล่าไม่รู้ แม่เอง พอรู้เรื่องนี้เข้าก็ละงานทุกอย่าง รีบตามมาแอบดูทั้งสองคนนั้นคุยกันในสวนหน้าบ้าน

“รู้จักกับน้ำมาได้นานแค่ไหนแล้ว เราน่ะ” พ่อเปรยคำถาม ขึ้น พอทำลายความเงียบที่อึมครึมระหว่างทั้งคู่ลงไปได้
“ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยได้ครับ ผมเรียนคนละคณะกันกับเธอ พอได้รู้ว่าเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน ก็เลยเป็นเพื่อนกันมาครับ” นนท์นั่งอยู่ตรงข้ามตอบอย่างไม่ลังเลเลย

“แล้วคบกันมาตั้งแต่ตอนไหนล่ะ” หวายๆ พ่อเริ่มเข้าประเด็นแล้ว
“ได้ สองปีแล้วล่ะครับ”
“รู้หรือเปล่าว่า น้ำน่ะเขาไม่ใช่ผู้หญิงนะ” พ่อหลุดคำถามนี้ออกมาได้ไงเนี่ย แล้วอีตานั่น จะตอบอย่างไรน่ะ

“ทราบครับ” หา... สั้นๆแค่นี้น่ะนะ
“ผู้หญิงตั้งเยอะแยะ ไม่คิดอยากจะคบคนอื่นจริงจังบ้างเหรอ แล้วที่บ้านรู้เรื่องนี้หรือเปล่า” ฉันกลืนน้ำลายตัวเองอึกนึง รอฟังคำตอบนั้นจากเขา พ่อยิงคำถามที่คาใจฉันสุดๆออกมาจนได้ เอาล่ะนายบ็องจะตอบยังไงละทีนี้

“ผมคบกับเธอด้วยความรู้สึกที่มีต่อเธอ อย่างผู้ชายผู้หญิงทั่วไป เธอเป็นทั้งเพื่อนที่ดีและเข้าใจผมมากที่สุด ผมไม่รู้สึกกับใครอีกแล้วในตอนนี้นอกจากเธอ สำหรับทางบ้านของผมน่ะทราบเรื่องแล้วครับ แต่ก็คงต้องใช้เวลาสักพัก คิดว่าทั้งพ่อและแม่ของผมคงเข้าใจความรู้สึกที่ผมมีต่อน้ำนี้ ครับ” ฉันยิ้มเอียงอายกับคำตอบนั้น ตาบ้าเอ๊ย แม่นึกหมั่นไส้เขกกระโหลกฉันขึ้นมาเดี่ยวนั้น โอ๊ย... แต่กลับร้องออกไปไม่ได้เสียนี่

“เธอคิดจะทำอย่างไรต่อไป” นนท์ถอนหายใจเฮือกหนึ่งเบาๆก่อนตอบคำตอบนั้นออกไป
“ผมเรียนให้คุณน้าทราบตรงๆเลยนะครับว่า ผมกับน้ำยังไม่ได้คิดไปถึงเรื่องในอนาคตเท่าไรนัก ทั้งนี้ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมคนเดียว น้ำเองก็ด้วย แต่ตราบใดที่ผมยังคบกับน้ำอยู่ ผมจะดูแลเธอให้ดี ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมสัญญาครับ”

ใจฉันเต้นรัวกับทุกถ้อยคำที่เขาเอ่ยออกมา มองไปที่พ่อผู้นั่งนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ นนท์เองก็ดูคลายความกังวลลงไปมาก นั่นคือความรู้สึกของนายทั้งหมดจริงๆเหรอ แม่เองก็อึ้งไปเหมือนกัน
“พูดได้ดีนี่เรา เออชักชอบแล้วซิ นี่เรียนวิศวะมาด้วยพอจะถูกคอขึ้นมาบ้างแล้ว ไปเข้าไปข้างใน กินข้าวเย็นกัน” พ่อเดินอ้อมโต๊ะมาตบบ่าเขาเบาๆ ก่อนเดินเข้าไปในบ้าน แม่หายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ฉันเดินออกไปหานนท์ ท่าทางเขาก็แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นฉันเดินออกมาหา และรีบพูดดักทางไว้ก่อนเลย


“ไม่เป็นไรหรอกน่า สักวันท่านก็ต้องรู้นี่นา บอกไปตอนไหนก็เหมือนกันน่า”
“ถามจริงเถอะกลัวพ่อน้ำหรือเปล่า เห็นนั่งเกร็งเชียว” นนท์ถลึงตาใส่ อ้าวพูดอะไรผิดเหรอ รู้หรอกน่าว่าการแอบดูมันผิดนะ แต่อดห่วงไม่ได้จริงๆนี่นา

“นิดหน่อยน่า เอาน่าอย่างน้อยนนท์ก็ผ่านไปได้อีกด่านหนึ่งแล้วนี่นา (ขยี้ผมฉันเสียยุ่งทำไมละเนี่ย) ไปเถอะ เข้าไปข้างในกันเถอะ ท่าทางฝนจวนจะตกแล้วล่ะ” นนท์ประคองฉันเข้าไปข้างในบ้าน ไม่นานนักฝนก็ตกไล่หลังมาอย่างกระชั้น ฉันยังจำได้ถึงความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยความหวังในตอนนั้น ทว่าก็เป็นจริงอย่างที่นนท์พูด ทุกอย่างล้วนไม่มีอะไรแน่นอน มั่นคง จริงจัง ฉันควรจะตื่นจากความฝันได้แล้ว


























หลังจากวันคืนที่เจ็บปวดทรมานได้ผ่านพ้นไป 5 ปีที่ผ่านมา ฉันใช้มันทั้งหมดไปกับการทำงานและใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ตอนนี้ฉันกำลังตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนงานใหม่ดีไหม เพราะงานด้านฝ่ายบุคคลที่ฉันทำอยู่ทั้งวุ่นวายและมากไปด้วยปัญหานานับประการ ฉันเองเบื่อที่เจอกับเรื่องซ้ำซากแบบนี้ทุกวันแล้ว ตอนนี้ก็ลองยื่นใบสมัครไปยังบริษัทอื่นที่คาดว่าจะเสนองานและเงินเดือนที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจกว่าและเหมาะสมกับวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ที่มี ก็ค่อนข้างเสี่ยงน่าดูในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไรหรอกนะ อย่างน้อยก็มี2-3ที่ที่เสนองานใหม่ให้ เอาละขอพิจารณาดูก่อนนะ

ฉันปรึกษาเรื่องดังกล่าวกับพ่อและแม่ ท่านทั้งสองต่างเห็นด้วยกับการตัดสินใจของฉัน ได้เรื่องล่ะอย่างน้อยที่ทำงานใหม่นี้ก็ใกล้บ้านหลังใหม่ที่กระทัดรัด และมีสวนกว้างๆนอกเมือง แทนบ้านหลังเก่าในซอยที่มีชื่อแห่งหนึ่ง แม้จะอยู่ใจกลางเมืองแต่การจราจรแสนจะวุ่นวายนั้นสร้างความหงุดหงิดกังวลต่อการเดินทางไม่น้อย แม้จะเสียดายที่อย่างน้อยบ้านหลังเก่านั้นฉันก็โตมาตั้งแต่เล็ก แต่ด้วยสุขภาพและวัยของท่านทั้งสองที่มากขึ้น ฉันควรจะอยู่ในที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีและบริสุทธิ์ เพื่อนบ้านที่นี่ก็อัฒยาศัยดี และมีเพื่อนที่ดีอย่างเต้คอยแวะเวียนมาหาบ่อยๆ วันนี้ก็เช่นกัน

“มานี่ เต้ทำเองดีกว่า... เอาน่า... ไปล้างมือเถอะ เลอะหมดแล้วเนี่ย” เต้แย่งคีมคีบไป ขณะที่ฉันกำลังย่างของทะเลอยู่ ไม่ได้สังเกตว่าตัวเองมอมแมมแค่ไหน ยิ่งมาพูดแบบนี้ฉันก็ไม่พอใจเท่าไรนัก ละออกไปหั่นผักและทำน้ำจิ้มอยู่อีกทางหนึ่ง แต่ก็ชำเลืองมองอย่างกังวล
“ท่าทางคล่องเหมือนกันนะเนี่ย ไม่ยักรู้ว่าคุณหมอจะมีเวลามาทำอาหารกะเขาด้วย” ฉันกระเซ้า เต้ยิ้มเขินๆ

“ก็คนอยู่คนเดียวก็ต้องทำนั่นนี่เอง อะไรที่ไม่เป็นก็ต้องทำให้เป็นแหละ ลองน้ำไปอยู่คนเดียวเดียวก็รู้น่า ดูสิ หอมน่ากินทีเดียว เดี๋ยวน้ำเรียกคุณลุง คุณป้ามาทานได้เลยนะ”
“ว้ายยย” ฉันวางมีดลงแล้วถอยออกมา เต้รีบรุดมาประคองและซักทันที พลางดูมือไม้ฉันว่าโดนบาดอะไรหรือเปล่า
“อะไรน่ะ เป็นไร”

“หอมกระเด็นเข้าตาอ่ะ แสบ...” ฉันหลับตาปี๋ไม่กล้าลืมตา
“ไหนดูสิ” เต้จะประคองแนไปไหนละเนี่ย เอ๋ เปิดน้ำเหรอ อือ เดี๋ยวล้างก็คงหายใช่ไหม เข้าใจแล้ว สักพักหนึ่งเต้ก็ปิดน้ำแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูให้
“เห็นไหม... แค่นี้เอง” เต้อมยิ้มแล้วจูงมือฉันกลับมาที่โต๊ะ ทว่าความซุ่มซ่ามของฉัน สะดุดสายยางเข้าเสียนี่ เสียหลักเซไปหาเต้ เกือบล้มไปจนได้ ทำไมถึงใจเต้นรัวอย่างนี้นะ


“อะแฮ่ม...” พ่อกระแอมไอเสียงดัง ฉันผละตัวออกมา แยกไปหั่นหอมต่อ ส่วนเต้ก็คีบกุ้งและหมึกออก จัดใส่จานยกมาเสิรฟทันที
“เสร็จแล้วล่ะครับ กะว่ากำลังจะไปตามคุณลุงคุณป้ามาทานพอดีเลย” เต้เดินไปเปิดเครื่องดื่ม ส่วนฉันก็เอาผักและผลไม้มาวางเคียง นานๆทีทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ฉันเองก็ง่วนกับการทำงานในที่ใหม่เสียเหลือเกิน

“เมื่อไรไรสองคนนี้จะมีข่าวดีให้พ่อกับแม่ละเนี่ย ว่าไงเต้” จู่ๆพ่อก็เอ่ยขึ้นมา ทำเอาฉันเกือบจะสำลักน้ำเลย เต้หันมามองฉัน แล้วยิ้มให้ ไม่รู้ตัวเลยว่าเต้คว้ามือของฉันไปกุมตั้งแต่เมื่อไร
“ก็ต้องขึ้นอยู่กับน้ำเขาละครับ ว่าจะเอายังไง”

“เต้...” รู้สึกหน้าของตัวเองแดงเรื่อยขึ้นมา มุดหน้ามุดตาไม่กล้าพูดอะไรมาก แม่ของฉันได้ทีแหย่เย้าขึ้นมาอย่างนั้น
“แหม...หนุ่มๆ สาวๆเขาก็น่ารักดีนะ พ่อกับแม่เองก็อายุเยอะแล้ว แม่เองอยากให้น้ำเขามีคนที่ดูแลเขาได้จริงๆเสียที ดูไปก็สมกันดีนะจ๊ะ” พ่อเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

“แม่ก็ พูดไปเรื่อยเลยนะคะ ทานกันเถอะคะ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมดนะคะ” ฉันเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าความเอาใจใส่ ปากถึงมือถึงของเต้ทำให้ท่านทั้งสองยอมรับได้และเชื่อมั่นมากกว่าคนคนนั้นเสียอีก ทว่าฉันยังไม่อยากตัดสินใจตอนนี้ อีกอย่างก็ไม่ได้คิดอะไรกับเต้ไปมากกว่าความรู้สึกที่เรียกว่าเพื่อนนี้หรอกนะ ทำไมนะเต้ถึงดีกับฉันได้มากมายขนาดนี้ บางคราก็รู้สึกผิดกับเขา ฉันเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจนป่านนี้ฉันก็ลืมคนคนนั้นไม่ได้สักที หรือว่าหากฉันตัดสินใจที่จะลงเอยกับเต้จริงๆทุกอย่างคงจะดีขึ้น กับทั้งเต้ พ่อและแม่ และแม้กระทั่งตัวฉันเองด้วย
คิดมาก... พาลทานอาหารไม่อร่อยเลย...



christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก(ภาค2)



ตอนนี้ไม่รู้ว่าเธอย้ายไปอยู่ที่ไหนแล้ว ผมอดใจหายไม่ได้เมื่อเห็นบ้านเดิมของเธอถูกทุบทิ้งไปพร้อมกับความทรงจำเก่าๆที่ดีภายใน ใจผมตอนนี้ ร้อนรนอยากจะพบเธอให้ได้แม้เพียงครั้ง แต่ก็จนปัญญาไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่ไหน อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้เอ่ยคำว่า “ขอโทษ” สักครั้ง



















บทที่สิบเอ็ด


แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าทุกอย่างจะผ่านไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ทุกอย่างทุกเรื่องราวเหมือนเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้

ผมไม่เคยลืมเธอคนนั้นไปจากใจเลยแม้แต่น้อย ผมรู้ตัวดีว่าผิดพลาดไปที่ทำร้ายเธอแบบนั้น ความจริงแล้ว การตัดสินใจทุกอย่างควรจะเป็นตัวผมเองมากกว่าที่จะเลือกทำอะไรไม่ทำอะไร

แต่ตอนนี้ผมเป็นพ่อคนแล้ว

ใช่ คุณได้ยินไม่ผิดหรอก

ผมมีลูกสาวฝาแฝดที่น่ารักน่าชังวัยร่วมสี่ขวบกับภรรยาชื่อ หวาน

ชีวิตครอบครัวของผมลุ่มๆดอนๆ แหงล่ะเราไม่ได้เริ่มต้นมาจากความรักและความรู้สึกที่ดีระหว่างกัน

จริงอยู่ที่ผมรู้จักเธอในฐานะอดีตเพื่อนของหวาน แต่เรื่องอื่นๆผมแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลย และก็ไม่อยากรู้ด้วย เรามีปัญหาระหองระแหงระหว่างกันตลอดห้าปีที่ผ่านมา
ไม่รู้ว่าความอดทนของตัวเองจะหมดลงเมื่อไร ห่วงแต่ลูก เด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จากการกระทำอันขลาดเขลาของผม ในไม่ช้าเรื่องนี้คงต้องกระทบต่อลูกๆ ไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะรับได้และเข้าใจความรู้สึกของพ่อกับแม่หรือเปล่า ผมกังวลเหลือเกิน


ทุกวันนี้ ยามที่มีปัญหาหรือไม่สบายใจอะไร ผมไม่เหลือใครที่เป็นที่ปรึกษาได้ในทุกๆเรื่องแล้วจริงๆ ผมได้แต่ขับรถผ่านไปยังบ้านของเธอคนนั้น ใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้เห็นหน้าของเธอ พอทำเนาให้เรื่องน่าปวดหัวต่างๆทุเลาลงไปได้ ทว่าเธอคงจะมีความสุขกับคนรักใหม่ที่สามารถดูแลและเข้าอกเข้าใจเธอมากกว่าผม ผมจำได้ว่าคลับคล้ายคลับคราว่าเขาเป็นหมอเนี่ยแหละ ซึ่งไม่อยากจะใส่ใจจดจำนักหรอก ต่างคนต่างทางเดิน ผมไม่ควรจะเข้าไปยุ่มย่ามกับเธออีก หรือเพราะว่าผมไม่กล้าเผชิญหน้าเธอกันแน่

ตอนนี้ไม่รู้ว่าเธอย้ายไปอยู่ที่ไหนแล้ว ผมอดใจหายไม่ได้เมื่อเห็นบ้านเดิมของเธอถูกทุบทิ้งไปพร้อมกับความทรงจำเก่าๆที่ดีภายใน ใจผมตอนนี้ ร้อนรนอยากจะพบเธอให้ได้แม้เพียงครั้ง แต่ก็จนปัญญาไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่ไหน อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้เอ่ยคำว่า “ขอโทษ” สักครั้ง

พอพูดถึงหวาน ผมอดหงุดหงิดไม่ได้ที่แม่คนนั้นไม่ค่อยเอาใจใส่กับลูกๆเท่าไรทั้งๆที่ทั้งคู่จะต้องเข้าเรียนอนุบาล เป็นธุระของผมที่จะต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองเองทั้งหมด
ผมเองก็ไม่สันทัดเรื่องแบบนี้เท่าไรเลย ไหนๆก็ไหนๆแล้วถือโอกาสพาทั้งสองคนไปเปิดหูเปิดตาที่ห้างสรรพสินค้าเนี่ยแหละ พนักงานสาวๆคงแนะนำอะไรดีให้ได้แหละมั้ง



“อ๊ะ... ขอโทษค่ะ” ผมนี่ใช้ไม่ได้เลย ชนผู้หญิงคนนึงเข้าจนได้ ขณะที่เดินสวนออกมาจากลิฟท์  ผมปล่อยมือลูกๆให้ยืนอยู่ใกล้ๆแล้วช่วยเธอเก็บของ พอเธอเงยหน้าขึ้นมา ไม่น่าเชื่อเลยว่าเป็น...

“นนท์...” น้ำจริงๆเหรอเนี่ย ไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม เธอรีบเก็บของและผละเดินหนีไป ผมตะโกนเรียก“น้ำ... เดี๋ยวก่อน” ผมคว้ามือเธอไว้ เธอมองหน้าผมด้วยสายตาที่แข็งกร้าว พยายามสบัดมืออก แต่ผมไม่ยอมปล่อยง่ายๆหรอก

“อย่าเดินหนีผมแบบนี้สิ”
“ปาป๊าขา ใครเหรอคะ” ลูกๆเข้ามาเกาะแกะขากางเกงและเงยหน้าถาม เกือบลืมไป ผมพาลูกๆมาด้วยนี่นา เธอมองเด็กๆด้วยความฉงนสนเท่ห์
“น้าน้ำครับ ลูก เอ้าไหว้ก่อนเร็ว”

“จ๊ะ สวัสดีจ๊ะ” เธอรับไหว้ลูกๆผม คงงงน่าดูเลย เอาล่ะจะทำอย่างไรดีนา... ให้เธอยอมนั่งคุยกับผมสักพักหนึ่ง เอาล่ะนึกออกอยู่ความคิดเดียวตอนนี้ ติดอยู่ที่เธอจะใจอ่อนหรือเปล่า
“ผมมาซื้อของกับลูกๆนะ จะไปทานข้าว ไปด้วยกันนะ”

“เอ่อ...” ผมรู้ว่าเธอคงอึดอัด อย่างน้อยผมก็อยากจะคุยกับเธอ เอาล่ะแผนนี้คงเวิร์ค ขึ้นอยู่กับว่าลูกๆจะให้ความร่วมมือกับผมหรือเปล่าเท่านั้น
“ไปด้วยกันนะคะ คุณน้าน้ำขา” น้ำมองค้อนผมก่อนคุกเขาลงไปทักทายเด็กหญิงสองคนยืนคู่กัน คงจะได้ผลแล้วล่ะ
 “เด็กสองคนนี่ น่ารักทั้งคู่เลยนะคะ ไงชื่ออะไรกันบ้างคะ”

“พลัมค่ะ” คนซ้ายตอบ
“แพรค่ะ” คนขวาตอบบ้าง ผมรีบพยักเพยิดให้เธอไปร้านใกล้ๆกับเราพ่อลูก ดีทีเดียวที่ร้านนี้มีมุมที่เล่นสำหรับเด็กด้วยจะได้เป็นส่วนตัวขึ้นมาหน่อย
“ไปเล่นกันก่อนนะ เดี๋ยวปาป๊าคุยกับน้าน้ำแป๊บนึงนะครับ”

“ค่า เย้...” ทั้งสองเริงร่า ไม่รอช้าวิ่งเข้าหาเครื่องเล่นทันที ผมโบกมือให้ลูกๆ และสั่งเครื่องดื่มของเราสองคน ผมจำได้ว่าเธอชอบดื่มอะไรแต่ท่าทางเธอเกร็งๆ ไม่กล้าแตะเครื่องดื่มตรงหน้าเลย

“เป็นยังไงบ้าง ไม่เจอกันตั้งนาน” รู้สึกราวกับห่างไกลกัน เหมือนต่างคนต่างไม่รู้จักกันเลย ผมไม่อยากให้เธอทำแบบนั้นเลย
“สบายดีค่ะ แล้วคุณกับภรรยาเป็นอย่างไรบ้าง” เธอโกหก ผอมหน้าตอบซะขนาดนั้น ดูผิดหูผิดตาไปเยอะ ไม่เลือดฝาดเหมือนแต่ก่อน แต่ผมไม่อยากซักไซ้ถามเธอมากมาย

“เขาก็ดี” ผมตัดบทไป ไม่อยากเอ่ยถึงให้มากความเสียอารมณ์ ดูเธอจะผิดหวังกับคำตอบของผม
“ช่างเถอะ” ผมรุกเธอเข้ามาใกล้

 “นนท์ อย่าดีกว่าไม่ดีหรอกนะ” เธอดุผม
“นนท์ต้องทำตามพ่อแม่ แค่นี้นนท์ก็รู้สึกแย่มากแล้ว ชีวิตครอบครัวแค่สร้างภาพให้มันดูดีในสายตาลูกๆเท่านั้น...” ผมเอนตัวหาพนักพิงด้านหลัง และพล่ามเรื่องต่างออกมาให้ฟัง รู้สึกผ่อนคลายความกังวลต่างๆลง เมื่อมีเธอคนนี้อยู่ใกล้ๆ ไม่อยากจากเธอไปไหนเลย

“น้ำย้ายบ้านไปไหนเหรอ ได้ข่าวว่าขายที่ตรงนั้นไปแล้วใช่ไหม” เธอพยักหน้าแต่ไม่ยอมบอกรายละเอียดอื่นๆ ผมเองก็ไม่อยากคาดคั้นเธอมากมายหากเธอไม่เต็มใจอยากจะบอกผมตรงๆ

“นนท์อยากรู้แค่ว่าน้ำคิดถึงนนท์บ้างหรือเปล่า” เธอดูประหม่าเมื่อผมทำแบบนั้น แต่ก็แก้เกมส์เอากระเป๋าดันหน้าผมออกไป เสียฟอร์มหมดเลย
 “นนท์อย่าถามนั่นนี่เลยนะ น้ำอยู่ในฐานะเพื่อนได้เท่านั้น นนท์เป็นหลักเป็นฐานได้น้ำก็ดีใจแล้วล่ะ” ผมรู้ดีว่าเธอฝืนยิ้มให้ผม แต่ความรู้สึกของเธอตอนนี้ผมบอกตรงๆได้เลยว่าดูไม่ออกจริงๆ เธอดูขรึมเยอะ

“นนท์แค่อยากรู้ เราคงกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้วล่ะ นนท์รู้ดี ที่ทนอยู่ ก็เพราะลูกทั้งสองคนเนี่ยแหละ” ผมมองไปยังลูกสาวที่เล่นซนอยู่กับเครื่องเล่นอย่างสนุกสนาน เธอมองตามและอมยิ้ม

“น่ารักดีนะคะ”
“กับเต้ เป็นอย่างไรบ้าง” นี่ผมจะถามเธอเรื่องนี้ทำไมกัน

“ก็ดี เขาเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ” เธอตอบโดยไม่สบตาผม รู้สึกจี๊ดขึ้นมาเหมือนตอนที่เห็นสองคนนั้นจุมพิตกัน ทว่าปากเจ้ากรรม คงเป็นเพราะผมมีเมียปากเสียกระมังเลยเริ่มติดนิสัยนี้ตามไปด้วย ถามไปทำไมละเนี่ย
“น้ำไม่คิดอยากจะจริงจังกับเขาบ้างเหรอ”

“น้ำ ยุ่งๆเรื่องงานนะช่วงนี้ ไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้หรอกนะ ตายจริง น้ำมีธุระต้องรีบไปด้วย ไปก่อนนะ บายนะเด็กๆ”


แม้จะโล่งอกกับคำตอบที่ได้รับ เราไม่ทันได้ล่ำลาอะไร ใจหนึ่งก็อยากให้อยู่คุยด้วยนานๆ แต่เธอก็กระวีกระวาดหอบข้าวของออกไปอย่างลนลาน ไม่หันมาเหลียวมองกระทั่งเดินลับตาไปแล้ว

ผมอดอมยิ้มกับกิริยาของเธอแบบนี้ทุกครั้งไม่ได้เอาเสียเลย


เธอยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นอดีตที่ผมอยากย้อนกลับไปแก้ไข

คงทำได้แค่สัมผัสกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ยังคงกรุ่นอยู่จางๆตรงที่ที่เธอนั่งอยู่ครู่นี้


อ้าว เวรแล้ว ลืมขอเบอร์โทรศัพท์
*****








ปล.เอามาลงเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ เพราะจะต้องเดินทางไปต่างประเทศ วันจันทร์ที่จะถึงนี้แล้ว

กลับมาเดือนหน้าจะมาต่อส่วนที่เหลือนะครับ รับรอง เข้มข้น...

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
ซ้ำใจ ซิกๆ จะไปต่างประเทศอีกแล้ว

เดินทางบ่อยจังเลย หากมีโอกาสเล่นเนท

ยังไงก็แวะมาทักทายกันนะ จุ้บๆ

ออฟไลน์ -~iK@iZ_KunG~-

  • Tomorrow Never Die!!!
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-2
โหตั้งเดือนนึงเลยหรอครับ


นานจังเลยอ่า


รีบ ๆ มาอัพอีกนะครับ

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
พลั้งมือตบหน้าไปเต้อย่างนั้นทำไม รื้นน้ำตาเริ่มเอ่อท้นออกมา ฉันกำมือข้างที่ตบเขาไว้แน่น พูดอะไรไม่ออก ตอนนี้รู้ตื้อไปหมด บริกรสองคนเดินมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทั้งฉันและเต้ต่างก็ไม่ตอบอะไร นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น…
















บทที่สิบสอง

“ทำอะไรอยู่น่ะน้ำ” เต้เรียกฉันสามพัก สี่พัก นี่ฉันยืนทื่ออยู่ตรงมุมทางเข้าห้องน้ำนานเท่าไรแล้วนะ เหลียวไปดูในร้านอาหารที่ฉันเข้าไปคุยกับนนท์มาเมื่อครู่ ท่าทางเขากับลูกๆคงจะออกไปแล้ว เฮ้อ... รู้สึกใจหายอย่างไรไม่รู้ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะมาเจอกัน นานเหลือเกิน ทั้งๆที่มีเรื่องมากมายอยากจะคุยกับนนท์แท้ๆ อยู่ต่อหน้าก็กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมาเสียดื้อๆ แย่จริงๆเลย ไม่น่าเชื่อเลยว่าลูกๆของเขาจะโตเร็วขนาดนี้ น่ารักน่าหยิกดี ทว่า... นนท์ดูไม่มีความสุขเลย เขาเก็บอะไรไว้ในใจอันแสนหนักหนานั่น น้ำเองทำอะไรไม่ได้มากเหมือนแต่ก่อนหรอกนะ ได้เพียงดูอยู่ห่างๆแบบนี้ จะดีกว่า

“ซื้อของซะเยอะแยะเชียว เอามานี่ เดี๋ยวถือให้เองนะ น้ำ... เป็นอะไรน่ะดูตาลอยชอบกล” เต้ รับของไปทั้งหมด แล้วเดินนำไป ฉันเดินตามไปโดยไม่แย้งอะไร
“เออะ เอ่อ... คงเพราะเดิน ยืนนานไปมั้ง เลยรู้สึกเวียนหัวไงไม่รู้”
“มีอาการอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า มานี่ดีกว่า ร้านอยู่ตรงนั้นเอง เข้าไปนั่งพักดีกว่านะ” เต้เขม่นใส่ฉัน พลางรีบประคองตัวฉันเข้าไปในร้านอาหารเกาหลีข้างๆกันนั้นทันที

“ด... เดี๋ยวก่อนสิ” แม้จะพูดแย้ง ฉันกลับโอนอ่อนเลยตามเลยเขาไป อดคิดไม่ได้ว่าบางที ฉันคงหนีไม่พ้นเพื่อนสมัย ม ปลายคนนี้แล้วกระมัง ทีดีกับฉันเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยทำให้ฉันต้องเสียความรู้สึกสักครั้ง

“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ขอบใจนะ ที่เป็นห่วงน้ำ” พอได้นั่งพักและดื่มชาอุ่นๆ ก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว ฉันหันไปยิ้มให้เต้ ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆกันนั้น
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรใหญ่โตนักหรอก ถ้าทำเพื่อน้ำได้มากกว่านี้ เต้ก็ยินดีจะทำให้” จู่ๆก็ทำหน้าขึงขังขึ้นมาเสียอย่างนั้น ปัดไรผมออกจากหน้าฉันด้วย นี่อย่ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ซิ เอ่อ....

บริกรหญิงใส่ชุดฮันบก ยกอาหารเข้ามาเสิรฟ พลางหัวเราะคิกคักแล้วเดินออกไปกัน ฉันเบียดตัวเต้ออกไป แนะยังจะมาทำหน้าบูดใส่อีก ไม่รู้จักอายคนบ้างเลยหรือไง
“อาหารมาแล้ว หน้าตาน่าทานดีจัง นี่จะไปไหนน่ะ” เต้ผุดลุกขึ้น อ้าวงอนอะไรฉันหรือเปล่าเนี่ย
“แปปนึงนะ เดี๋ยวขอตัวไปห้องน้ำ เดี่ยวมานะ”

“อื้อ... มาเร็วๆละกันนะ” ฉันกำชับ เต้เดินออกไปไม่ได้สนใจฟังฉันเท่าไร

ฉันมองไปนอกหน้าต่างร้าน ดูคนเดินผ่านไปมา

พลันจู่ๆก็เห็นฝ้ายเดินผ่านไป เลยโทรชวนมาทานด้วยกันอีกคนดีกว่า เธอรับโทรศัพท์ พลันรีหันซ้ายขวาก่อนที่จะมองตรงมายังร้าน ฉันโบกไม้โบกมือชวนเข้ามาในร้าน
“มาแล้ว” หวาย... มาตั้งแต่เมื่อไรน่ะ ฉันเลยบ่นซะ
“นานชะมัดเลย อาหารเย็นหมดน่ะสิ”

“ขอโทษทีนะ... ทานกันเลยละกัน” เต้ยิ้มแห้งๆ คว้าตะเกียบจะลงมือทานทันที แต่ฉันขวางเอาไว้ก่อน เต้ทำหน้างงๆ
“เต้ น้ำชวนเพื่อนมาด้วยนะ จะว่าอะไรไหม”
“เอาสิ คนเยอะๆก็ดีเหมือนกัน ว่าแต่เพื่อนผู้หญิง หรือเพื่อนผู้ชายล่ะ” แนะยังจะมาทำหวงก้างอีก ขอทุบซะทีเถอะ

“อย่าทำเสียงดุซิ เป็นผู้ปกครองน้ำรึไง คอยคุมความประพฤติน้ำอยู่นั่น ไว้เขามาก็รู้เองแหละ นั่นไงพอดีเลย ฝ้าย... ทางนี้ๆ” ฉันเรียกฝ้าย ที่ยืนเก้ๆกังๆ สอดส่ายสายตามองหาว่าเรานั่งอยู่ตรงไหน เธอยิ้มให้แต่ก็เจื่อนไปทันที แล้วดุ่มตรงมาที่โต๊ะ
“สวัสดีจ๊ะ มาขัดจังหวะ หรือรบกวนเวลาส่วนตัวของใครบางคนเปล่าเนี่ย” เธอพูดนิ่มๆ เหมือนพยามยามเสียดสีใครบ้างคนในน้ำเสียง
“ไม่หรอกน่า นั่งก่อนสิ” ฉันเชิญให้เธอนั่งที่ตรงข้ามกันกับฉัน

“อ้าวนายนั่นเอง มาด้วยกันอีก งั้นแสดงว่า... น้ำเธอคบกะอีตาปากเสียคนนี้ได้ไงเนี่ย” ฝ้ายมองเต้ตาขวาง เต้ก็ดูเหมือนจะฟึดฟัดไม่ค่อยพอใจเท่าไร อ้าวเป็นไรกันละเนี่ย
“พูดให้มันดีหน่อยสิคุณ มาเป็นกอขอคอคนอื่นแล้วยังจะมาพูดแบบนี้อีกนะ” เอ่อ... จะเอามือมาโอบฉันไว้ทำไมละคะ ว่าแต่ว่าทำไมสองคนนี้เจอกันทีไรเป็นต้องได้กัดกันทุกที

“เอาน่าๆ เจอกันทีไรทะเลาะกันทุกทีเลย” พอทีเถอะ ยังจะจ้องกันอีกแนะ นี่ฉันทำผิดใช่ไหมที่ให้สองคนนี้มาทานอาหารด้วยกันเนี่ย
“ทานอะไรมายัง ทานด้วยกันละกันนะ นี่น้องจ๊ะขอจานเพิ่มด้วย” ฉันทำเป็นเฉไฉไปเรื่องอื่นไป ตลอดเวลาที่ทานอาหารกันนั้น ต่างคนก็ต่างทาน เล็ดลอดออกมาคุยกันนิดหน่อยสองสามคำเท่านั้น ฉันพยายามชวนคุยเรื่องนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย พอลดความตึงเครียดระหว่างสองคนลงได้บ้าง เต้สั่งขนมเพิ่มอีกที่หนึ่งให้ฝ้าย ฉันแอบเห็นฝ้ายยิ้มนิดๆ ยัยนี่เป็นอะไรของเค้ากันนะ เดี๋ยวก็หงุดหงิด นี่ยังจะมาอารมณ์ดีเสียอีก

“อ๊ะ... อะไรเนี่ย” ฝ้ายอุทานขึ้นมา พลางคุ้ยขนมให้แยกออก ฉันมองไปที่จานขนมของเธอด้วยความสงสัย มีอะไรอย่างนั้นเหรอ หวาย ทำฉันไม่กล้ากินขนมนั่นในจานของตัวเองเสียแล้ว

“ฝ้าย... เป็นอะไรไป เอ๋...”

“แหวน มีแหวนในขนมนี่ได้ไงน่ะ” เธอหยิบแหวนสีเงินวงเล็ก ประดับเพชรน้ำงาม ที่ฉันคะเนน่าจะประมาณกระรัตหนึ่งได้ อะไรกันเนี่ย ท่าทางยัยเจ้าของร้านคงจะซุ่มซ่ามขนาดที่เผลอเรอทำแหวนตกไว้ในขนมเนี่ย

“โธ่เอ๊ย...” เต้หน้าเสีย พลางตบหน้าผากตัวเอง ฉันหันไปมอง นายคนนี้ หรือว่า... แหมๆ ปากก็บอกว่าไม่ชอบ ไม่ชอบ ที่แท้ก็ ฉันหันไปยิ้มกรุ้มกริ่มให้เพื่อนผู้โชคดีคนนั้น เธอเอียงอาย ทำอะไรไม่ถูก หวาย...งั้นฉันก็เดาถูกมาตลอดเลยน่ะสิที่ฝ้ายชอบเต้

 “เข้าใจเล่นนะ นายบ็อง ไม่น่าเชื่อว่านายจะ... ขอฉันแต่งงานด้วยวิธีนี้” ฝ้ายหลุดปากพูดออกมาก่อนฉันเสียอีก
“จริงเหรอ ยินดีด้วยนะเต้ ไม่ยักรู้เลยแฮะ น้ำงงนะเนี่ย” ฉันปรบมือแสดงความยินดีให้ทั้งคู่ พร้องกระทุ้งว่าที่เจ้าบ่าวที่นั่งข้างๆเบาๆ แหม... ไม่เห็นยักกะเตี๊ยมกันก่อนเลยนะ แต่ไม่ทันไร เต้ก็ทำให้เราทั้งคู่อึ้งอีกครั้ง

“เธอ... ยัยตัวแสบ เอามานี่” จู่ๆ เต้ก็พรวดพราดดึงแหวนกลับคืนมาจากมือของฝ้าย ฝ่ายผู้ที่ลิงโลด หลงดีใจว่าตนเองคือผู้โชคดี หน้าเจื่อนไปทันที
“หะ... วะ... ว่าอะไรนะ...” ฝ้ายพูดตะกุกตะกัก ด้วยความเสียหน้า ฉันพอจะเดาออกแล้วว่าทำไมเต้ถึงทำแบบนั้น จริงๆแล้ว หรือว่า...
“น้ำ... ผมตั้งใจให้คุณ” เต้หันมาทางฉันพร้อมกับแหวนวงนั้น ฉันมองตาเป็นนัย สื่อให้เขาว่า แน่ใจแล้วเหรอที่ทำแบบนี้

“แต่งงานกับผมนะ”

“...” ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา ฉันก้มหน้า กุมมือของตัวเองไว้พักหนึ่ง ก่อนเงยหน้ามองเพื่อนผู้น่าสงสารที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ที่พยายามฝืนยิ้มให้ ก่อนที่จะคว้ากระเป๋าแล้วดีดตัวลุก เดินออกไป ก่อนจะหยุดนิ่งพักหนึ่ง และหันหน้ากลับมาด้วยใบหน้าที่ดูอย่างไรก็รู้ว่าเสแสร้งเต็มที
“เอ่อ...พอดีนึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระ ยินดีกับทั้งคู่ด้วยนะ ฟังไว้เลยนะนาย ขอบใจที่เลี้ยงข้าวมื้อนี้หล่ะกัน” ฉันแอบเห็นรื้นน้ำตาเธอครู่หนึ่ง ฝ้ายเดินออกไปจากร้านแล้ว เต้ถอนหายใจอย่างสำนึกผิด ก่อนที่จะรุกเร้าฉันอีกครั้ง

“น้ำ...” ฉันยื่นมือออกไป ขณะที่เขาค่อยๆยื่นแหวนมาสวมให้ ฉันก็กุมมือของเขาไว้ เต้มองหน้าโดยที่ไม่คาดว่าฉันจะทำแบบนี้กับเขาได้ ใช่... ฉันรู้ตัวเองดีว่าควรทำอย่างไร
“น้ำคงรับไว้ไม่ได้หรอกนะ” ฉันดันมือนั้นกลับคืน แม้ว่าเขาจะแข็งขืนแต่ก็ยอมด้วยความอ่อนแรงและท้อใจ ยังสู้อุตส่าห์ถามด้วยน้ำเสียงเบาและสั่นเครือกับฉันอีก

“ทำไมล่ะ”
“สำหรับเต้แล้ว เต้เป็นเพื่อนที่ดีและอยู่เคียงน้ำเสมอ น้ำใจและมิตรภาพที่มีให้ น้ำรู้ดีว่าเต้รู้สึกกับน้ำมากเกินกว่านั้น ขอบคุณในความรู้สึกดีๆที่มีให้น้ำเสมอ คนดีๆอย่างเต้ยังมีอนาคตและการงานที่ไปต่อได้อีกไกล ยังมีโอกาสได้เจอกับคนดีๆและเพรียบพร้อมกว่าน้ำนี่อีกเยอะ”
“โกหก...” เต้สะบัดมือฉันออก และขยับตัวถอยออกไป

“เต้ไม่ได้หวังว่าน้ำจะมาเป็นแม่ของลูก ที่ผ่านมา ผมรู้สึกดี มีความสุขที่อยู่ได้ใกล้ชิดกับน้ำ ผมแค่อยากให้น้ำลืมเรื่องราวแย่ๆของคนๆนั้นออกไปให้หมด กี่ปีที่ผมโง่ รอ อดทนรอมา ไม่ได้รังเกียจว่าน้ำจะเป็นใครหรืออะไรมาก่อน เพื่อที่จะมาฟังคำตอบแค่ ผมเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเท่านั้นน่ะเหรอ ถ้าอย่างนั้นจะมาให้ความหวังกับผมทำไม น้ำไม่เคยลืมเขา ไม่เคยลืมคนที่ฆ่าน้ำทั้งเป็นอย่างไอ้หมอนั่น ทำไมผมจะไม่รู้ ที่น้ำพูดแบบนี้ออกมาเพราะวันนี้น้ำเจอกับมันมาใช่ไหม น้ำยังจะหวังอะไรกับมันอีก ทำไมน้ำจะต้องพาตัวเองจมกับอดีต อยู่กับปัญหาที่ไม่มีทางออกแบบนี้ด้วย จะหลอกตัวเองไปถึงไหนกัน จะโกหกตัวเองไปถึงไหน...”



เพี๊ยะ...


ฉันพลั้งมือตบหน้าไปเต้อย่างนั้นทำไม รื้นน้ำตาเริ่มเอ่อท้นออกมา ฉันกำมือข้างที่ตบเขาไว้แน่น พูดอะไรไม่ออก ตอนนี้รู้ตื้อไปหมด บริกรสองคนเดินมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทั้งฉันและเต้ต่างก็ไม่ตอบอะไร นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น...
ราวกับเวลาหมุนผ่านไปช้าๆ แม้จะออกมาจากร้านแล้ว เราแทบไม่ได้พูดอะไรกันอีก

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
“จำไว้นะ กะเทยอย่างเธอก็แค่เครื่องบำบัดความใคร่เท่านั้นแหละ พอเขาต้องการก็ไปหาเธอ ชั่วครั้งชั่วคราว อย่าฝันลมๆแล้งไปหน่อยเลย ฉันมีลูกให้เขาได้แต่เธอทำไม่ได้ สำเหนียกตัวเองไว้ซะบ้าง”
















บทที่สิบสาม



ผมมีความสุขมากที่ได้พบเธออีกครั้ง ทั้งๆที่ผมเคยคิดว่าชาตินี้ผมคงไม่มีโอกาสได้เจอและพูดคุยกับเธออีก ผมรู้ดีว่าไม่ควรทำกิริยาแบบนั้นกับเธออีกเพราะผมมีครอบครัวแล้ว แต่ผมไม่อาจหักห้ามอานุภาพของความคิดถึงที่มีต่อเธอได้เลย ผมลืมไปเลย ลืมที่จะขอโทษเธอ ตั้งแต่วันนั้น ผมไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมา มันยังติดค้างอยู่ในอณูความรู้สึกของผมเสมอ

อีกอย่างเรื่องของน้ำกับไอ้หมอหน้าจืดนั่น ยังติดใจอยู่จริงๆ ตกลงว่าน้ำคบกับมันจริงๆหรือหมายความตามที่น้ำพูด ผมคงอกแตกตาย กลัวว่าตัวเองจะหลุดทำอะไรห่ามๆ บ้าๆออกไปแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด

ผมเปิดก็อก วักน้ำล้างหน้า ให้อารมณ์ตัวเย็นลงและดูตัวเองในกระจก บ้านของผมเองแท้ๆ กลับรู้สึกแปลกที่แปลกทางไปทุกวันทุกวัน ผมผละออกจากหน้าอ่างล้างหน้า ไปชำระล้างร่างกายทำใจให้สบายซักพักดีกว่า

ขณะที่ผมกำลังเช็ดเม็ดน้ำที่ติดตามตัวออก เสียงรองเท้าลากแตะ แตะ เข้ามาภายในห้อง ผมรีบพันผ้าเช็ดตัว ผลุนผันออกไป ด้วยความลืมตัว จึงเผลอเรียกชื่อคนคนนึงออกไป

“น้า...” ผมรีบหุบปากเมื่อพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนคนนั้น และที่นี่ก็ห้องผมเองนี่นา หวานมองตาขวาง ผมจำต้องแก้ตัวข้างๆคูๆไป
“น้ำมันไหลติดๆขัดๆแฮะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าเนี่ย อ้าว หวาน เด็กๆนอนกันหมดแล้วใช่ไหม”

“คุณ ชั้นมีอะไรอยากจะถามหน่อย” ดันไม่หลงกลซะงั้น เธอทิ้งตัวนั่งกอดอกอยู่ตรงเตียง จะสอบสวนอะไรผมอีก คนกลับมาเหนื่อยๆแทนที่จะสบายอกสบายใจขึ้นมาหน่อย ผมตึงขึ้นมาทันที ไม่สนใจเธอ เดินไปสวมชุดนอน เพราะรู้ดีว่าเธอก้ยังคงนั่งปั้นหน้ายักษ์อยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

“อะไรล่ะ” ผมสวมชุดนอนเรียบร้อยแล้ว เดินมานั่งที่เก้าอี้ตรงกันข้ามกับเธอ จะให้ผมทำเป็นง้อหรือโอ๋เธอเหรอ ไม่มีทาง ผมเคยลองแล้ว ไม่ได้ผลสำหรับคนอย่างเธอ ผมบอกตรงๆว่าไม่ค่อยชอบนิสัยเธอเท่าไร โกรธง่าย ขี้ระแวง และเจ้ากี้เจ้าการคนอื่น
“คุณเจอกับน้ำมาใช่ไหม” ผมสะอึกเลย กลืนน้ำลายอีกนึง รู้ได้ไงวะเนี่ย

“ว่ายังไงล่ะ ลูกบอกกับชั้นอย่างนั้น จริงใช่ไหม” หวานคาดคั้นผมอีก รู้แล้ว ลูกๆตัวดีนี่เอง เอาเถอะความจริงก็คือ ความจริง ผมกับน้ำไม่ได้ไปทำอะไรเสียหายซะหน่อย เรื่องอะไรที่ผมจะต้องกลัวด้วยล่ะ
“ใช่” สั้นๆ แค่นั้น หวานลุกจากเตียง ขึ้นเสียงทันที

“นนท์ เรามีครอบครัวกันแล้ว คุณจะไปอาลัยอาวรณ์กับนังนั่นทำไม”

“หยุดพูดนะ หวาน อย่าใช้คำว่า “นังนั่น” กับน้ำเด็ดขาด” ผมเองก็โกรธเป็นเหมือนกัน เขาคิดว่าผมเป็นเบี้ยเขารึไง ที่แต่งงานกันได้เพราะเธอเข้าทางแม่ผม สาดเสียเทเสียน้ำ และยังจะให้รวบรัดให้แม่ของผมจัดการให้เธอได้แต่งงานกับผม ใช่ผมเป็นไอ้โง่ตกหลุมพลางง่ายๆ ที่เข้าใจผิด และทำประชดน้ำเสียนาน ก็แผนการณ์ของเธอทั้งหมด ผมเพิ่งจะรู้มาเมื่อไม่นานมานี้หวานกล้าหักดิบเพื่อนสนิทของเธออย่างเลือดเย็น ที่ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะลูกๆทั้งสองคน พลัม แพร

“ปกป้องมันเข้าไป ผ่านมา5ปีแล้ว คุณยังไม่ลืมมันอีก มันมีดีอะไรนักหนา หวานรักคุณนะ คุณยังจะทำกับหวานแบบนี้อีก” เธอทั้งผลักทั้งทุบตัวผม ผมเหลืออดแล้วจริงๆ คว้ามือทั้งสองของเธอไว้ หวานพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของผมนี้เต็มแรง

“ยังจะเอาอะไร จะขู่อะไรผมอีก ผมให้คุณบงการชีวิตมามากพอแล้ว ทั้งแม่ทั้งคุณไม่ได้ต่างอะไรกันเลย” ผมตวาดใส่หน้าเธอ
“หวานรู้ดีว่านนท์ ไม่ได้รักหวานเลย ที่หวานมีก็มีแค่ตัวนนท์ ใจนนท์อยู่กับนังนั่นคนเดียว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ พร้อมกับสั่นเทาด้วยความโกรธในใจที่เก็บสุมไว้เป็นเวลานาน ก่อนสบัดมือทั้งสองออก แล้ว...

ผั่วะ...
หน้าผมนี่หันเลย เอาสิ อยากจะทำอะไรก็เชิญ
“รู้ก็ดีแล้ว ผมเองเบื่อและทนกับความเจ้ากี้เจ้าการเต็มทน” ผมผลักเธอลงไปกองกับพื้น และคว้ากระเป๋าเดินทาง โกยเสื้อผ้าของตัวเองในตู้ จับยัดๆลงไปเท่าที่จะมากได้

“นนท์จะไปไหนน่ะ กลับมาคุยให้รู้เรื่องก่อนนะ” เธอคว้าต้นแขนผมแต่ผมสลัดออก

“ผมจะไปนอนที่อื่น ไม่ใช่เรื่องของคุณ” ตอนนี้ในสมองผม มีเพียงอย่างเดียวคือรีบๆออกไปจากบ้านนี้เร็วๆดีกว่า ความอดทนของผมถึงขีดสุดแล้วจริงๆ เธอวิ่งตามผมออกมาที่โรงรถ พยายามยื้อแย่งกุญแจรถจากผม มีรึที่ผมจะยอม ตอนนี้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว ทั้งพ่อ แม่ และฝ้ายก็ออกมาดูด้วย ผมไหว้ท่านทั้งสองก่อนล็อครถ ของทั้งหมดอยู่ในเบาะหลัง สตาร์ทเครื่อง เกือบลืมเลย... ผมเลื่อนกระจกลง ต้องสั่งเสียภรรยาสุดที่รักเป็นครั้งสุดท้าย

“อ้อ... เกือบลืม เกมส์ที่คุณเล่น คุณชนะ คุณได้ตัวผม แต่คุณไม่มีวันจะได้ใจผมไปหรอก แล้วบ้านนี่ ห้องนี้ก็ของคุณอยากจะอะไรก็เชิญ ลาก่อน”
“นี่ นนท์... คุณ...” ผมได้ยินเสียงเธอตะโกน และเห็นเธอล้มทั้งยืน บ้านของผมค่อยๆลับตาหายไป เป้นภาพเบื้องหลังที่ผมไม่อยากจะจดจำเอาไว้เลยจริงๆ


***

บ่ายสามกว่าแล้ว ใกล้จะได้เวลาเลิกงานในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าแล้ว วันนี้ก็แทบไม่ได้ลุกไปไหนเลย คลุกอยู่แต่กับกองเอกสารที่ลูกน้องทำไว้เรียบร้อยแล้ว ต้องตรวจทานเช็คความเรียบร้อยเสียก่อนส่งไปยังหัวหน้าของฉันอีกทอด วันนี้มันเป็นอะไรนักหนานะ หนักตาขวากระตุกตลอดเลย รบกวนการทำงานจริงๆ แถมได้ยินเสียงจิ้งจกทักอีก ห้องนี้มีตัวพรรค์นี้ด้วยเหรอ น่าขยะแขยงที่สุด พาลไม่กล้าออกไปไหนนอกเหนือจากห้องน้ำ ถามใครในห้องก็ไม่มีใครบอกว่าได้ยิน ท่าทางจะโหมงานจนหูแว่วไปแล้วกระมัง

สักพัก ฉันได้รับโทรศัพท์จากประชาสัมพันธ์ว่ามีคนมาขอพบ ใครกันนะ
ที่ด้านหน้าประชาสัมพันธ์ มีผู้หญิงคนนึงนั่งเปิดหนังสือเล่น พลิกไปพลิกมา แต่งชุดทำงานสวยเอาการ แต่คุ้นๆหน้าอย่างไรไม่รู้ ทันทีที่ประชาสัมพันธ์เห็นฉันก็เรียกเธอคนนั้นทันที เธอวางหนังสือลงและเงยหน้า ฉันตะลึงไปทันที ไม่คิดว่าเพื่อนเก่าของฉันจะตามฉันมาจนถึงที่นี่ได้ ฉันรู้ดีว่าคงไม่ใช่เรื่องดีๆแน่

“อ้าว ทำงานที่นี่เองเหรอ หายากจริง แต่ก็ดี ฉันมีเรี่องอยากจะคุยกับเธอพอดี” เจ้าของเสียงฝืนพูดด้วยน้ำเสียง ที่ขัดแย้งกับใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มและเป็นมิตร ลุกขึ้นยืน มองฉันด้วยหางตา ก่อนจะเดินลิ่วๆนำหน้าไปไม่ปล่อยโอกาสให้คนที่เธอนัดด้วยถามไถ่อะไร จนถึงที่จอดรถของบริษัท ค่อนข้างลับตาคนพอสมควร ฉันยืนเว้นระยะห่างกับเธอไว้ และเป็นฝ่ายเอ่ยถามเธอก่อน
“มีอะไรเหรอ หวาน”

“หน้าด้าน” คำตอบสั้นๆ ห้วนๆ ที่ทำเอาฉันอึ้งกิมกี่ไปทันที
“หา...” ฉันอุทานออกมาเบาๆ ตอนนี้ก็พอจะรู้แล้วว่าเธอคงไม่ได้มาดีแน่ๆ

“หน้าด้าน ฉันเรียกเธอว่านังหน้าด้านไงล่ะ” หวานย้ำ นี่จะมาหาเรื่องอะไรกันอีก ชักเดือดขึ้นมาแล้ว ห้าปีก่อนก็ตบฉันไปแล้ว คราวนี้จะมาไม้ไหนอีก
“ใครกันแน่ที่หน้าด้าน ฉันไปทำอะไรให้เธอไม่ทราบ เธอแย่งของที่ฉันรักไปแล้ว ยังอยากได้อะไรจากฉันอีก” ฉันสวนทันควัน

“เธอแอบไปพบกับ นนท์มาใช่ไหม” หา... แล้วไง เจอกัน แล้วยังไง ก็แค่เรื่องบังเอิญที่เจอ
“ใช่” ที่จริงฉันไม่ควรจะตอบแบบนั้น มันเท่ากับว่ายอมรับว่าแอบนะสิ ช่างมันเถอะ
“นี่เธอจะรังควาญชีวิตฉันอะไรนักหนา เธอนี่เป็นมารความสุขฉันจริงๆ เอานนท์ไปกกกอดที่ไหน บอกมาเดี๋ยวนี้นะ” หวานบีบไหล่ฉันแน่นทีเดียว เรื่องอะไรที่ฉันจะยอมล่ะ

“ฉันควรจะเป็นฝ่ายพูดคำว่า เธอเป็นมารความสุขของฉันมากกว่านะ จะบอกให้เอาบุญ ไม่มีอะไรอย่างที่เธอคิด” พอที ต่อปากต่อคำไปก็เท่านั้น ไร้สาระที่สุด จะให้ฉันต้องลดตัวมามีเรื่องกับผู้หญิงไร้มารยาท ไม่ยอมลดราวาศอกใครง่ายๆแบบนี้ เพราะเรื่องของผู้ชายคนเดียว ไม่มีทางเสียหรอก ตัดบทเดินหนีออกมาดื้อๆดีกว่า

“ตอแหล หน้าตาย” น่าน... ยังจะต่อความยาวสาวความยืดอีก ฉันคุมอารมณ์ของตนเองและหันไปพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“ฉันเกลียดนิสัยดื้อด้านของเธอเต็มทน ไปห้ามคนของเธอนู่น ถ้าเขารักเธอจริงเขาก็อยู่กะเธอสิ”

 “น้ำ เธอเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ” หวานยิ้มเยาะ เยื้องย่างเข้ามาหา นี่ฉันควรจะถือว่าเป้นคำชมดีไหมนะ
“แน่นอน ฉันก็ต้องปรับตัวไม่เชื่อคนง่ายอีก แค่มีเพื่อนเลวๆ คนเดียวก็ทำฉันซึ้งมากพอทีเดียว” ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ ท่องไว้ ต้องกลับไปเคลียร์งานต่ออีก นังหวานนี่อยากจะบ้าอะไรก็เชิญบ้าซะให้พอตรงนี้เถอะไป๊

“หมดธุระแล้วขอตัวก่อนนะคะ ดิฉันต้องกลับไปทำงานต่อ”
“จำไว้นะ กระเทยอย่างเธอก็แค่เครื่องบำบัดความใคร่เท่านั้นแหละ พอเขาต้องการก็ไปหาเธอ ชั่วครั้งชั่วคราว อย่าฝันลมๆแล้งไปหน่อยเลย ฉันมีลูกให้เขาได้แต่เธอทำไม่ได้ สำเหนียกตัวเองไว้ซะบ้าง” ฉันไม่สนแล้วว่าหวานหลุดคำพูดอันแสนต่ำช้าและหยามหน้าแบบนั้นออกมาได้อย่างไร ความอดทนที่มีอยู่อย่างจำกัด พลันขาดสะบั้นลงทันที ฉันทิ้งผมเธอและผลักเธอไปกระแทกกับรถทันที

“ถ้าเธอไม่เห็นว่าฉันเป็นเพื่อน ฉันก็จะไม่เห็นเธอเป็นเพื่อนด้วยเหมือนกัน”
“หนอย... คิดว่าเก่งอยู่คนเดียวรึไง” หวานเองก็ฮึดขึ้นมา ทิ้งผมและผลักฉันลงไปที่พื้นและขึ้นค่อมเตรียมจะตบ

“นี่... หยุด...” เต้วิ่งมาจากไหนไม่รู้ จับหวานแยกออกจากฉัน ฉันเองก็พยายามผลักเธอออกไปให้พ้นๆ หวานวิ่งกลับมา จิกหัวฉันอีกแล้ว แมร่งไม่ไหวแล้วนะ โรงพักก็โรงพักเถอะ ขอสักทีเถอะ (รู้ไหมตอนที่ฉันคิดอย่างนี้แล้วทำอย่างไร ถอดรองเท้าส้นสูงออกมา เงื้อจะตบแล้ว)

“บอกให้หยุดไงล่ะ...” เต้ตะคอกใส่ทั้งฉันและนังคู่อรินั่น หวานยอมปล่อยมือ ถอยห่างออกไป เต้หน้ามุ่ยมองฉันไม่สบอารมณ์เท่าไร ฉันหายใจหอบอ่อนๆ มองไปที่พื้นและพยายามลูบผมที่ดูยุ่งๆให้ดูเป็นปกติ

“เป็นไรมากหรือเปล่า มันเรื่องอะไรกัน ทำไมต้องรุนแรงกันขนาดนี้ด้วย” เต้พขึ้นเสียงกับฉันก่อนหันไปต่อว่าอีฝ่ายที่ยิ้มกัดฟัน ยืนปาดเหงื่อของตัวออก และฉะตอบโต้มา
 “คุณเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วย ”

“ผมเป็นแฟนเธอ บอกมาสิว่ามันเรื่องอะไร” ฉันตาโตมองเขา นี่บอกไปแบบนั้นได้ไง


 “นี่เหรอเหยื่อรายใหม่ของเธอ หน้าตาใช้ได้นี่นา” หวานสาดสายตามาอย่างเสียดสีที่ฉัน ก่อนจะเพ่งพินิจอยู่ครู่หนึ่ง ก็ระลึกได้ว่าคนที่มาห้ามศึกครั้งนี้คือใคร
“อ้อ... จำได้แล้ว คุณหมอที่โรงพยาบาลนั่นน่ะเอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะคุณหมอคะ อีกะเทยนี่คงจะทำให้คุณไปสวรรค์ได้ถึงพริกถึงขิง คุณถึงได้หลงหัวปักหัวปำอย่างนี้” พูดแบบนี้ ฉันก็เลือดขึ้นหน้าเลยน่ะสิ

“นี่มันจะมากไปแล้วนะ หวาน” ฉันเดินรุกไล่ หมายจะลงมือให้หายแค้น เต้ดันมากันเอาไว้เสียอีก เจ็บใจจริง

“ดูแลนังนี่ให้ดีล่ะ อย่าให้มันมาวุ่นวายกับผัวชาวบ้านอีก เรื่องไม่จบแค่นี้แน่” หวานยั่วอีก ฉันเองก็เหลืออดแล้ว ปล่อยนะเต้ น้ำขอสักทีเถอะ ปล่อยนะ

“ไป๊...” เต้ตวาดไล่แต่หวานไม่ฟัง นายนี่เลยไปคว้าเอาสายยางจากไหนไม่รู้มาฉีดน้ำไล่ สะใจจริงๆ นังนั่นเลยเอาแต่กรี๊ดๆๆๆ ถอยกรูออกไปโดยดี ก่อนไปยังจะมายืนชี้หน้าถลึงตาใส่อีกแน่ะ คิดว่าสวยนักเรอะไง

“จำไว้ใส่กะลาหัวเธอด้วย ถ้าเธอไม่เลิกยุ่งกับนนท์อีกละก็ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนเธอนะ”
“ไป๊...” เต้ฉีดน้ำใส่เธอซะกระเจิงเลย หวานคงแค้นน่าดู





หวานเองก็ไปแล้ว เหลือเพียงเราสองคน ได้แต่มองตากันปริบๆเป็นช่วงๆ เขาเองก็ไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรหลังจากที่เดินไปปิดน้ำ และพาฉันมาที่รถของเขา ฉันเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรหลังจากเกิดเรื่องเมื่อครั้งนั้น
 “ไปพบกับเขาอีกทำไม ไม่เข็ดเลยเหรอ” เต้เปิดประเด็นก่อน ฉันเองก็พยักหน้าตอบ ความหมายของเต้ คือ นนท์ ไม่ผิดแน่ แต่การเจอกันครั้งนั้น มันเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่าที่ฉันตั้งใจเจอเขาจริงๆ

“นี่ใช่ไหม เพราะมันใช่ไหมน้ำถึงยื้อเวลาไปเรื่อยๆไม่ยอมรับหมั้นจากผม” เขาถอนหายใจยาว ฉันรู้สึกผิดกับเขามาก ทำไมคนที่ฉันทุ่มให้หมดทั้งความรู้สึกถึงไม่ใช่คนคนนี้ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันฉันรักเขาหรือเปล่า ไม่ ฉันไม่อยากทำร้ายเขา และความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขา เป็นได้เพียงเพื่อน เพื่อนที่เข้าใจกันและกันเท่านั้น

“เต้...” เขานอนพาดไปกับพวงมาลัยรถครู่หนึ่ง ก่อนดีดตัวมาขยี้หัวฉันเล่น อารมณ์ขึ้นลงจังนะ งงนะเนี่ย
“เยินซะขนาดนี้ กลับเลยดีไหม นี่ก็ใกล้จะเลิกงานแล้วด้วย เด๋วเต้เข้าไปเอากระเป๋าให้นะ” ฉันพยักหน้าตอบ สภาพรุ่งริ่งขนาดนี้ขืนเข้าไปคงต้องเป็นขี้ปากชาวบ้านแน่ๆ ขณะที่เต้จะเปิดประตูออกไปเอากระเป๋าของฉันให้ที่บริษัท ท่าทางอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วสินะ ขอแหย่หน่อยเถอะ
“ว่าแต่ เต้นี่ก็แสบไม่ใช่เล่นเลยน่ะ อึ้งไปเลยตอนที่เต้ทำแบบนั้น”

“ก็หมาบ้ามันกลัวน้ำนี่นา ว่าแต่เราเถอะไม่ทุเรศตัวเองรึไงที่ทำแบบนั้นไป” เขาตอบและยิ้มยั่ว ทำไมใจฉันถึงตูมตามแบบนี้นะ
“ทุเรศแต่ก็มีคนยังบ้า ชอบนี่นา หรือว่าไม่จริงล่ะ” อ้าว ยังจะหยอดเขาอีกแนะ ทำไมถึงปากพล่อยไปอย่างนั้นเล่า เต้แทบไม่เชื่อสายตาว่าคนอย่างฉันจะห่ามพอที่พูดอะไรแบบนั้นออกมา ฉับพลันเขาก็กอดฉันเสียแล้ว รู้สึกสบายใจจัง นานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆแบบนี้



“ขอบคุณนะ” ฉันพูดเบาๆกับเต้ บางที อีกไม่นานนี้ฉันคงจำเป็นที่จะต้องให้คำตอบกับเต้จริงๆเสียที บางทีการอยู่กับคนที่รักเราอาจจะดีกว่าการอยู่กับคนที่เรารักก็ได้


maabbdo

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งจะมาตามอ่าน

มาให้กำลังใจอาร์

 :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ -~iK@iZ_KunG~-

  • Tomorrow Never Die!!!
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-2
รออ่านตอนต่อไปครับผม

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก


“เราอยากลองกลับไปใช้ชีวิตแบบผู้ชายดีกว่า มันคงจะดีกว่าการที่ต้องทำตัวแบบนี้ พ่อกับแม่เราก็ว่าเราโตขึ้นอาจจะต้องลำบาก ถ้าขืนเราเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ”


















บทที่สิบสี่



ฉันนั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ฝนตกหยุมหยิมน่ารำคาญตั้งแต่กลางคืนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกง่ายๆ ฉันถอนหายใจเบาๆก่อนถอนสายตากลับเข้ามาในห้อง พลันสะดุดตากับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นยืนเหลอหลาอยู่หน้าห้องเรียน หลายคนซุบซิบกันว่าเป็นเด็กใหม่ เข้ามาเรียนที่นี่กลางคันแบบนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ฉันเท้าคางขมวดคิ้วขณะฟังเรื่องที่ปากหอยปากปูขุดมาเล่าสู่กันฟังอย่างสนุกปาก เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็ว่ากันไปนะ...


อาจารย์ชี้บุ้ยใบ้มาทางโต๊ะนักเรียนตัวที่ว่างข้างๆฉัน นายคนนี้เดินตาแข็งหน้าบอกบุญไม่รับมานั่งใกล้ๆ ฉันยกระเป๋าเรียนของตนเองออกและขยับเก้าอี้ให้ ไม่ขอบใจเลยสักคำเลยนะนาย
“สวัสดี เราชื่อน้ำ นายชื่ออะไรเหรอ” ฉันกล่าวทักทายนักเรียนใหม่ เอาน่า... เป็นมารยาท ไหนๆต้องนั่งเรียนด้วยกันนี่นา
“เต้...” ไรเนี่ย... กะว่าจะผูกมิตรเสียหน่อย ตอบสั้นชะมัด แถมยังทำหน้าเต้าหู้ใส่อีก เวลาคุยด้วยก็ไม่ยอมมองหน้าผู้ที่สนทนาด้วยอีก ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย

“ตอบห้วนจังนะ ว่าแต่ทำไมถึงย้ายมาเรียนที่นี่ล่ะ แถมเป็นกลางเทอมอีก” ฉันยิ้มเจื่อนๆ กลบเกลื่อนที่ตัวเองหน้าแตกไป นังทราย นังแววที่นั่งอยู่แถวหน้าก็หัวเราะคิกคักกันเชียว อะไรยะ อิจฉาละซิ

“พ่อเราได้ตำแหน่งใหม่ที่นี่ เราเลยต้องย้ายตามพ่อมาด้วย” เขาพูดเรียบๆไม่ใส่ใจอะไร

“อาจารย์มาแล้ว เรียนก่อนเถอะ ไว้เดี๋ยวมาคุยด้วยใหม่” ฉันตัดบทไปเสียดื้อๆ จากนั้นก็คุยสามสี่คำนิดหน่อยก่อนพักกลางวัน ซึ่งฉันขอตัดบทตัวเองไม่ทานข้าวกลางวัน การบ้านยังไม่เสร็จนี่นา ขอตัวแว่บมาทำที่ห้องสมุดก่อนดีกว่า โดนดุแหงๆถ้าไม่มีส่งในตอนบ่ายนี้ ฉันเดินหาหนังสือเล่มที่จะช่วยเขียนอ้างอิงดีๆสักเล่มตามชั้นหนังสือ ดันเจอนายคนนี้อีกเสียแนะ ยังจะมามองหน้าอีกนะ เอ่อพูดกับอีตานี่สักหน่อยละกัน

“ทำไมไม่ไปกินข้าวกลางวันล่ะ” จริงๆก็ไม่อยากจะสนใจนักหรอกนะ นายขี้เก๊ก อ๊ะ... หนังสือเล่มที่งมโข่งหาตั้งนานอยู่ตรงนั้นเอง ฉันเดินดุ่มๆเข้าไปหยิบออกมาจากชั้น อมยิ้มอะไรยะ นี่นายยิ้มเป็นกะเขาด้วยเหรอเนี่ย

“ไม่ค่อยหิวเท่าไร ว่าแต่นาย... นายเองก็เหมือนกันน่ะแหล่ะ” กรี๊ด... อกอีแป้นจะแตก นี่ดูไม่ออกรึไงยะ ฉันไม่ใช่ผู้ชายนะ เรียกแบบนั้นได้ไง บอกแล้วว่าอีตานี่เสียมารยาทจริง อารมณ์เสีย
“งานยังไม่เสร็จ ต้องส่งตอนบ่ายน่ะ เลยตัดสินใจว่าไม่ไปกินข้าว จะทำให้เสร็จก่อน” ฉันยืนพลิกไปดูเนื้อหาส่วนที่ต้องการ เช็คไปมาให้แน่ใจว่าจะเอาไปใช้อ้างอิงได้

“ไหน... มาให้ดูหน่อยสิ” เอ้าแย่งหนังสือไปเสียเฉยๆแบบนั้น ทำฉันเง็งเลย โจทย์ที่แนบมาด้วยยากเอาการอยู่นะ ทำได้เหรอ นายเด็กเส้น
“อ๋อ... ง่ายแค่นี้เอง เดี๋ยวลองดูวิธีทำนี่นะ” น่าน... ได้ทีลากเข้าไปนั่งขัดสมาธิและทำโจทย์ให้ดูอีก หา...ง่ายแค่นี้เองเหรอ เก่งจัง เอ่อ...นายคนนี้ท่าทางใช้ได้แฮะ ขอถอนความคิดไม่ดีทั้งหลายตะกี้ละกันนะ

“จริงด้วย เก่งจัง หลงโง่ตั้งนาน ตีโจทย์ไม่แตกสักที” ฉันหยิบโจทย์ไปดูและตรวจให้ถ้วนถี่ มิน่าล่ะทำไม่ได้ ก็ข้ามขั้นตอนไปตรงนี้นี่เอง เอาล่ะให้นายคนนี้ช่วยดีกว่าจะได้เสร็จๆ ว่าแล้วก็ขอความร่วมมือให้เขาช่วยทำข้อที่เหลือให้ด้วย อย่าเข้าใจผิดว่าทำให้หมดนะ แค่แนะวิธีทำให้เท่านั้นแหละ
“ฮิ้ววว น้ำ จีบเด็กใหม่เหรอจ๊ะ” อีเพื่อนเวรนี่แซวไม่ถูกที่ถูกทางเสียแล้ว อีตานี่ก็นั่งขำอยู่ได้ แก้โจทย์ไปสิ ไหงแต่ละคนเดินผ่านก็แซวแบบนั้นกันหมดล่ะ เหลือบดูกระจกตู้หนังสือที่อยู่ข้างหน้า มืออีตานี่เลื้อยมาเกาะเอวไว้แต่เมื่อไรเนี่ย  ฮึ่ม...ขอดีดมะกอกทีเถอะ

“โอ๊ยยย...” ร้องซะเสียงหลงเชียว ไม่เจ็บเวอร์ขนาดนั้นหรอกย่ะ เดี๋ยวใครก็มองมาที่นี่กันหมดหรอก เงียบซิ ไม่เงียบใช่ไหม... ฉันเลยจัดการอุดปากไปซะ ขอแกล้งสักหน่อยเถอะนายเด็กใหม่ ถือว่ารับน้องนะ
“หวาย... อ๊ะ...” จะแกล้งเขาดันซุ่มซ่ามเสียเอง พื้นนี่จะขัดให้มันลื่นอะไรหนักหนาเนี่ย ล้มไปเองคนเดียวไม่เท่าไร ดันล้มไปทับนายคนนี้ เฮ้ย... ฉันไม่ได้เจตนานะ จะลุกก็ลุกไม่ได้ มากอดฉันไว้ทำไมละเนี่ย

“ปล่อยนะ... ปล่อย” ฉันพูดเบาๆ กลัวว่าคนอื่นในห้องสมุดจะได้ยินหรือว่าเห็นภาพแบบนี้ ฉันพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของเขา โอยจะมาใจเต้นแรงอะไรตอนนี้ เอ่อ... เป็นอะไรไป ทำไมต้องร้องไห้ด้วยล่ะ คือ... ทำอะไรไม่ถูกเลยตอนนั้น

“ห้องสมุดนะ ปล่อยก่อนสิ นายเต้... เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าหรอกนะ เดี๋ยวเขาก็เอาไปเผาๆกันหรอก อยากเป็นข่าวรึไงนายเด็กไหม” ฉันรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผละตัวเขาออกไป มานั่งห่างเว้นระยะไว้ รู้ตัวเลยว่าหน้าตัวเองนี่ร้อนผ่าวขึ้นมาเลย เต้มองฉันด้วยแววตาที่เศร้าอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะก้มหน้าก้มทำการบ้านให้ฉันต่อ ฉันรับไปลอกลงสมุดส่ง เราแทบจะไม่พูดอะไรกันอีกเลยจนเลิกเรียน กลับบ้านไปทางใครทางมัน อ้อ...ลืมบอกไปแบบฝึกหัดนั้นที่นายเต้ช่วยทำถูกหมดเลยนะ ทึ่งจริงๆ





วันถัดมา เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นก็แดงกันไปทั่วห้อง เม้ากันไปได้นะว่าฉันอ่อยเด็กใหม่ซะอยู่หมัด นัวเนียอี๋อ๋อกันในห้องสมุด นังทรายและนังแววเกิดอาการงอนไม่คุยกับฉันซะอย่างนั้น ไปทางไหนก็มีแต่คนแซว แม้ว่าโรงเรียนมัธยมปลายที่ฉันเรียนอยู่จะเป็นสหศึกษา เรื่องแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาก็เถอะ มันรู้สึกแปลกๆ เกร็งๆอย่างไรไม่รู้ ไม่ใช่นะ นายคนนี้ไม่ใช่เสป็คฉันซะหน่อย ไม่มีทางชอบหรอกนะ ดันนั่งข้างๆนายคนนี้อีก ทุกคาบเลย ทำไงดีไม่มีสมาธิเรียนแล้วนะ

“เป็นอะไรเหรอ โกรธเราหรือเปล่า  วันนี้นายไม่ยอมพูดกับเราเลยนะ” เอาอีกแล้ว นายโผล่มาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย... ฉันทำหน้าปั้นปึ่งใส่ไม่อยากจะพูดด้วยเท่าไร

“ผู้ชายอะไรวะ ขี้งอนเป็นผู้หญิงเชียว นี่ว่างป่าว แนะนำร้านอะไรหร่อยๆแถวนี้ให้หน่อยสิ” เอาอีกแล้ว มาเรียกฉันว่า –นาย- เนี่ย ตื้อชะมัดญาติ เดินแว่บซ้ายที ขวาที เป้นสันนิตบาตหรือไง ฉันหยุดสูดลมหายใจอึกนึงพอให้ตัวเองหันกลับไปยืนท้าวเอวด่าอีตาบ็องนี่ทีเถอะ

“ก็...” อ้าวหายไปไหนแล้ว เป็นลิงรึไงยะ เฮ้ย...นี่...นายอยู่ไหนนะ มองไปทางไหนก็ไม่มี กาตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากพุ่มของต้นไม้ข้างทางเดิน ฉันสะดุ้งโหยงเลย นี่ก็จะโพล้เพล้แล้ว จั่กจั่นเรไรเริ่มร้องระงมจากสนามหญ้าและแปลงดอกไม้ โดนผีหลอกอะป่าวเนี่ย โรงเรียนนี้ยิ่งมีสารพัดเรื่องผีๆด้วย ชักท่าไม่ดีแล้ว กลับดีกว่า ตั้งท่าจะวิ่งไปที่ประตูหน้าโรงเรียนอย่างเดียวแล้ว แมงมุมขนดกหยุบหยับตัวเบ้งตกมาจากไหนไม่รู้ มาอยู่บนแขนของฉัน หน้าซีดเลย ร้องไม่ออก ตอนนั้นหลับตาปี๋ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเลย ได้โปรดไปไกลเลยได้ไม่ หวายแมงมุมบ้า ยิ่งว่ายิ่งเดินช้าๆเข้าหาตัวฉันเสียอย่างนั้น น้ำตาร่วงแหมะๆแล้ว เค้าเกลียดแมงมุมนี่นา ใครก็ได้ช่วยด้วย


พลันมีมือหนึ่งหยิบมันโยนออกไป ฉันโผเข้าหาคนคนนั้นและสะอื้นไห้ ค่อยหายใจหายคอคล่องหน่อย คนคนนั้นลูบหัวเบาๆและปลอบเบาๆว่าไม่เป็นไรแล้ว ไหง...เสียมันคุ้นๆอย่างนี้ล่ะ
เงยหน้าขึ้นไปก็ จังงังกับหน้าอีตานั่นเลย กึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะอีก ตลกอะไรนักหนา เอ่อ... ปล่อยก่อนได้ไหม ฉันถอยตัวเองออกมา


“ขอบคุณนะ” ฉันไม่กล้าสบตาเขา เต้รับกระเป๋านักเรียนไปถือให้แทน และจูงมือฉันเดินออกไป ใจง่ายเนอะ เดินตามเขาไปต้อยๆแบบนั้น
“หิวแล้ว... เลี้ยงข้าวเราหน่อยสิ” โพล่งมาแบบนั้น คิดจะทวงบุญคุณที่ทำการบ้านกะเอาแมงมุมออกให้รึไง อารมณ์เปลี่ยนจากโหมดเศร้าเป็นหมั่นไส้แทน พลั้งเท้าเตะก้นเต้ไปป๊าปใหญ่ เขาหันมาทำหน้าดุใส่ เป็นพ่อรึไง มองแบบนั้น


“เออ... ก็ได้” ดันรับปากไป ผิดเอง คนอะไร เลือกแต่ของดีๆแถมกินเก่งชะมัด ล่อไปเกือบห้าร้อยบาท




กลายเป็นว่าฉันสนิทกับนายคนนี้ไปโดยปริยาย ฉันเริ่มเฉยๆที่อีตานี่เรียกฉันว่านายไปแล้ว จะบอกว่าอย่างไรล่ะ เต้กลายเป็นเพื่อนผู้ชายคนแรกที่ฉันสนิทใจมากที่สุด ไปไหนไปกันคุยเล่นคุยหัว ทำตัวกระโดกกระเดกและห่ามๆสารพัด บ้าบอไปตามนายคนนี้ จะว่าไปแล้วอาจเพราะฉันเกิดความคิดแปลกๆที่อยากจะกลับไปเป็นผู้ชายอีกก็เป็นได้

“พูดไรน่ะ แน่ใจเหรอว่าทำได้ หน้าน้ำหวานออกแบบนี้ ยิ่งทำก็ยิ่งเหมือนทอมมากกว่า” ไม่ให้กำลังใจเลยนะ จะว่าไป เวลาไปไหนกับพ่อแม่ก็มีคนทักว่าเป็นทอมเรื่อยๆเลย เหมือนขนาดนั้นเชียวเหรอ

“เราอยากลองกลับไปใช้ชีวิตแบบผู้ชายดีกว่า มันคงจะดีกว่าการที่ต้องทำตัวแบบนี้ พ่อกับแม่เราก็ว่าเราโตขึ้นอาจจะต้องลำบาก ถ้าขืนเราเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ” สมัยนั้นคำว่าเกย์ กระเทย ตุ๊ด ไม่แยกความหมายออกจากกันหรอกนะ กลายเป็นว่าเรียกรวมๆไปเลย ที่จริงที่บ้านฉันค่อนข้างเฉยๆนะ ตอนแรกก็รับไม่ได้โดยเฉพาะแม่ ทำเอาทุกคนในบ้านเครียดมองหน้ากันไม่ติดไปพักหนึ่ง แต่หลังจากเปิดอกพูดคุยกันแล้ว ต่างคนก็ปรับตัวเข้าหากันและค่อยๆยอมรับกันละกันมากขึ้น ฉันเองก็ไม่ได้แรดแหล๋นแจ๋อะไรมากมาย พ่อกับแม่จึงไม่ค่อยกังวลอะไรมากนัก


“...” ฉันบ่นเสียยืดยาว ก็ไม่ยอมให้ความเห็นอะไรเลย เครียดนะเนี่ย ขยี้หัวฉันทำไม ทำตาซึ้งใส่อีก
“ทำบ้าอะไรของแกว่ะ” แบบนี้แหละการอยู่กับผู้ชายมากๆ ก็เผลอหลุดคำหยาบคาย ฉันทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ ขี้เกียจเล่าเรื่องของตัวเองกับที่บ้านให้นายคนนี้ฟังเป็นรอบที่ล้านแปดแล้ว
“น้ำ... เรามีอะไรจะบอก” เป็นอะไรไปเนี่ย ทำเป็นพูดตะกุกตะกัก เคอะๆเขินๆเชียว จะพูดไรก็บอกมาสิ

“หืม...” ไม่ทันทีจะพูดอะไร ฉันก็โดนดึงเข้าไปกอดเสียแล้ว
“เราชอบน้ำนะ”

“...” ฉันไม่ตอบอะไร บางทีฉันกับเต้อาจจะก้าวข้ามผ่านความเป็นเพื่อนไปแล้วก็ได้ รู้สึกดีที่มีเขาอยู่ใกล้ๆแบบนี้ ฉันเอื้อมมือไปโอบหลังเขา
นั่นแหละคำตอบของฉัน...


ฉันกับเขาคบกันตั้งแต่นั้นมา ไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไร ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ทุกๆวันดำเนินไปเหมือนเดิม ไม่มีอะไรหวือหวา หรือตื่นเต้นมากมาย ฉันมีความสุขที่เขาอยู่คอยปกป้องและดูแลแบบนี้ เหมือนพี่ชายคนนึง เขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าฉันป่วยและสัญญากับฉันว่าจะเอ็นทรานซ์เรียนแพทย์ให้ได้
เพื่อฉัน...



จนวันสุดท้ายของการเรียนมัธยมปลาย ฉันให้แหวน TLN กับเต้ (คิดว่าหลายๆคนคงเดาได้ว่าตัวอักษรที่ว่านี้ แปลว่าอะไร) ฉันกับเต้ต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยกันคนละที่ ตอนนั้นใจฉันแทบขาดเสียให้ได้ ต่างสัญญาว่าถ้ามีโอกาสจะมาเจอกันให้ได้
สุดท้ายเราก็ขาดการติดต่อกันไป...


เราไม่รู้ข่าวคราวของกันและกันจนกระทั่ง


วันที่หวานเกิดอุบัติเหตุ ฉันได้พบกันกับเขา เต้ คนที่จากกันไปนานแสนนาน เขายังเก็บแหวนวงนั้นไว้และติดตัวเสมอ ไม่เคยลบฉันออกไปจากความทรงจำ


นี่ฉันทำพลาดอะไรไปแล้ว...


ขณะที่ฉันมัวเจ็บปวดกับบาดแผลของคนที่ตัวเองรักสร้างมันขึ้น ละเลยคนที่เคยรักและห่วงใยฉันไม่เคยเปลี่ยน พร้อมที่จะรอ และอ้าแขนรับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันก็ตาม ปลอบโยนเบาๆว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างล้วนมีทางแก้และหนทางของมัน คนเราไม่ทางที่จะผิดหวังหรือสมหวังตลอด ฉันยังจำคำพูดนั้นของเต้ได้เสมอ



ต่อไปนี้ฉันจะไม่ลังเลอีกแล้ว ฉันพร้อมที่จะให้คำตอบกับตัวเองอย่างแน่ใจ ฉันเลือก...เต้...

***

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






anna1234

  • บุคคลทั่วไป

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
ฉันจะทิ้งภาพชีวิตของตนเองที่เลวร้ายไว้เพียงเบื้องหลัง
ทิ้งภาพของคนที่ฉันรัก
และเริ่มต้นใหม่กับคนที่รักฉัน...
ขอบคุณ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะ เต้




















บทที่สิบห้า

   ลมหนาวพัดเอื่อยผ่านใบหน้า แม้จะเย็นแล้ว แต่แสงแดดก็ยังไม่สามารถเล็ดลอดผ่านหมอกที่ปกคลุมหุบเขาหนาทึบนี้ได้จวบจน เห็นดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปลางๆ แสงไฟสลัวๆรอบรีสอร์ชเปิดขึ้นพร้อมกัน ฉันเพิ่งมองทัศนียภาพโดยรอบ พลางขยับเสื้อกันหนาวให้กระชับแนบตัวพออุ่นกายขึ้นมาบ้าง เอนตัวลงบนม้านั่ง จิบชามะนาวไปพลาง นานแค่ไหนกัน...ที่ฉันไม่ได้ออกมาพักผ่อนกับพ่อแม่แบบนี้ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่3คนอีกแล้ว มีอีกคนนึงที่เป็นตัวตั้งตัวตีอยากให้ฉันมาพักผ่อนที่นี่ให้ได้ นอนอยู่ม้านั่งข้างๆกันเนี่ยแหละ

   “ดาวคืนนี้สวยจังเลย อยู่กรุงเทพคงไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรแบบนี้แน่ว่าไหม” ฉันรำพึงกับตัวเองเบาๆ พลางมองมวลหมู่ดาวที่ประกายแสงอยู่บนท้องฟ้านั้น

   “อื้อ... คืนเดือนมืดไม่มีพระจันทร์ เห็นเป็นทางช้างเผือกยาวเลย” อีกเสียงหนึ่งตอบกลับมา

   “น้ำอยากอยู่ที่นี่จัง อยู่กับธรรมชาติแบบนี้มีความสุขจัง” ครั้งหนึ่งฉันเคยฝันที่อยากจะมีครอบครัวกับคนที่ฉันรักมีลูกตัวเล็กสองคนวิ่งเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ที่แวดล้อมไปด้วยมวลหมู่ไม้กลางป่าที่ห่างไกลผู้คน ห่างไกลความวุ่นวายต่างๆ

   “อยากอยู่ที่นี่เหรอ...” เต้ลุกจากม้านั่งตัวข้างๆ มาทอดตัวลงนอนบนม้านั่งตัวเดียวกันกับฉัน และโอบตัวฉันไว้ เบียดตัวเข้ามาชิด รู้สึกอบอุ่นจัง

   “เต้อยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ... ถ้ามีน้ำอยู่ด้วย” ฉันยิ้มให้เขาก่อนจะซุกหัวแนบกับอกเขา เต้ลูบหัวอย่างอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน ฉันจะรักษาสัญญาของตัวเองที่มีกับเขานี้ ที่มาที่นี่เพราะเขาอยากพาบ้านฉันมาพักผ่อนบ้าง และที่สำคัญเพื่อพบพ่อของเต้

   “ดาวตก...” เต้ชี้ไปที่กลุ่มดาวสิงโต แค่แว่บเดียว ฉันตีมือเขา เต้ฉงนเล็กน้อยก่อนจะร้องอ๋อ... อย่างที่ทราบกันว่าโบราณเขาถือเรื่องดาวตก อย่าไปทัก และรุ้งก็ห้ามชี้เช่นกัน ต้องมีการแก้เคล็ดอย่างที่ทราบกัน คนโบราณเอาไว้หลอกเด็กน่ะ

   “ถ้ามาอีกจะอธิษฐานอะไรดีนะ ขอให้เต้ได้อยู่กับน้ำไปนานๆแบบนี้นะ” เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนขยับตัวลุกขึ้น ดึงฉันลุกขึ้นนั่งตามไปด้วย ตาเราทั้งคู่มองไปบนผืนผ้าสีดำประดับดาวที่แผ่กว้างทอดยาวอยู่เบื้องบนนั้น

“โอ๊ะมาอีกแล้ว” เขาเขย่าตัวฉัน ฉันมองตามไปแต่ไม่ทันเลยละสายตาลงมา เจอกล่องสีแดงเล็กๆอยู่ตรงหน้า เต้เปิดออกเผยให้เห็นของที่อยู่ภายในส่องประกายออกมา รู้สึกเขินๆไงไม่รู้ แม้จะรู้ว่าเป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาทำแบบนี้ ยังไม่ทันจะพูดอะไร เต้ก็บรรจงสวมแหวนเข้านิ้วนางข้างซ้ายนี้แล้ว ก่อนจุมพิตที่มือข้างนั้นเบาๆ

“เข้าใจคิดนะ...” ฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรในตอนนั้นมากไปกว่าการสวมกอดเขาแทนคำขอบคุณต่อความรู้สึกที่เขามีต่อฉันนี้ เต้ละตัวฉันออกก่อนจูบหน้าผากเบาๆ สัมผัสความรู้สึกที่บริสุทธิ์ใจ และซื่อตรงต่อฉันไม่เสื่อมคลายเสมอมา ที่ผ่านมาเราไม่เคยมีอะไรเกินเลยระหว่างกัน เขาให้เกียรติฉันเสมอ ฉันเองที่รู้สึกวิตกเกินไปว่าเขาดีกับฉันมากเกินไปจริงๆ



***
บ้านของเต้ที่เชียงใหม่ เป็นบ้านสวนมีพื้นที่กว้างขว้าง ฉันมองรอบๆบริเวณด้วยความอิจฉา เต้นำฉันและพ่อกับแม่เข้ามาภายในตัวบ้านที่ร่มรื่นปกคลุมด้วยต้นไม้นานาพันธ์ ดอกบัวตองออกดอกชูช่อประปรายต้อนรับผู้มาเยือน เต้ต้องการให้ฉันพบคนคนนึง ที่จำเป็นต้องรับรู้ถึงเรื่องที่ทั้งฉันและเต้ตัดสินใจลงไป ใจเต้นรัวเป็นกลองทีเดียวตอนนั้น แต่เต้ก็บีบไหล่ฉันเอาไว้และกระซิบเบาๆว่า ใจเย็นๆ ไม่เป็นไร



เบื้องหน้า คือ พ่อของเต้ หน้าตาดุดันเหมือนสมัยเด็กไม่มีผิด ฉันจำได้เสมอตอนที่เคยไปเที่ยวบ้านเต้ เวลาท่านพูดจาอะไรก็พลอยทำเอาฉันสะดุ้งตัวโหยง ด้วยน้ำเสียงที่หนักห้าวทุกที งานราชการทำให้ท่านต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ ฉันไหว้ท่านด้วยความเคารพ ท่านเองก็ต้องรับขับสู้และปรับท่าทีของตัวเองลง ค่อยเบาใจขึ้นหน่อย ฉันเองก็หวั่นๆไม่น้อย เพราะการมาครั้งนี้ไม่ได้มาในฐานะเพื่อนแบบแต่ก่อน หากแต่มาในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้


ครอบครัวของเต้ นอกจากพ่อของเต้แล้วยังมีพี่น้องอีกสองคน พี่ชายคนโตที่แต่งงานไปอยู่ทางใต้กับภรรยา พี่สาวอายุห่างกันปีนึงทำงานในตัวเมืองเชียงใหม่ คอยดูแลท่าน ส่วนแม่ของเต้เสียไปตั้งแต่เต้อายุได้ 7 ขวบ ฉันเห็นรูปของท่านที่ประดับบนผนังแล้ว ท่านจัดได้ว่าเป็นสวยทีเดียว แต่สุขภาพไม่ดีเจ็บออดๆแอดๆ เต้ชอบบอกว่าฉันเหมือนกับแม่ของเขาเสมอ ทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกันราวกับแม่ของเขายังอยู่ใกล้ๆไม่ไปไหน ไม่เข้าใจเลย เหมือนกันตรงไหนน่ะ


การพูดกันของผู้ใหญ่ทั้งสองเป็นไปอย่างออกรสออกชาติ เนื่องจากทั้งพ่อของเต้ และพ่อแม่ของฉันก็เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน ท่าทีของพ่อเต้เปลี่ยนไปมากจากเมื่อก่อนที่ยอมรับไม่ได้ที่เต้คบกันฉัน เราทั้งคู่ต่างพยายามทำให้ท่านเข้าใจในทัศนคติใหม่ ในทางที่ดีขึ้น พิสูจน์ให้ท่านมองว่าฉันไม่ใช่ตัวประหลาดในสังคมที่ทุกคนรังเกียจรังงอนไม่ยอมรับ ความสัมพันธ์ระหว่างเรา คือ ความเข้าใจกันและกัน ไม่เกินเลย อยู่ในกรอบที่เหมาะสม อีกอย่างอาจเป็นเพราะเต้คอยแนะนำว่า ท่านชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ทำให้ฉันวางตัวถูก และท่านสามารถยอมรับในตัวฉันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก



การเดินทางของความรักของฉันใกล้ถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว งานแต่งงานที่จัดแบบเรียบง่าย ไม่หวือหวาและเชิญแต่คนกันเองมาร่วมงาน ถูกกำหนดให้มีขึ้นในอีกสองเดือนถัดไป แม้ไม่มีการจดทะเบียนสมรส แต่ฉันก็ดีใจที่ ครั้งหนึ่ง... ฉันจะได้อยู่กับคนที่รักอย่างเปิดเผย ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ ฉันอยากใช้เวลาอยู่กับเต้ให้มากขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือก่อนวันงานนี้ ตอบแทนความรักความรู้สึกที่มีให้ฉันนี้ และเขาจะได้ไม่ต้องเสียใจอีก


ฉันจะทิ้งภาพชีวิตของตนเองที่เลวร้ายไว้เพียงเบื้องหลัง

ทิ้งภาพของคนที่ฉันรัก

และเริ่มต้นใหม่กับคนที่รักฉัน...

ขอบคุณ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะ เต้
***









เกือบเดือนที่ผมอเปหิตัวเองออกมาจากบ้าน มาอยู่คอนโดที่แอบซื้อไว้เอง เปลี่ยนเบอร์มือถือ และไม่ได้ติดต่อกับคนที่บ้านอีกเลย หลายครั้งที่แอบไปดูลูกๆที่โรงเรียนอนุบาล มีฝากของให้ลูกๆบ้าง แต่ก็ไม่กล้าพบหน้าลูกตรงๆสักที ผมทราบว่าหวานยังพยายามไปตามหาผมที่ที่ทำงานแต่ผมก็คอยเลี่ยงหรือหาทางเดินทางไปต่างจังหวัดตลอด รวมถึงกำชับลูกน้องไว้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ภาระหลายๆอย่างในบ้านจึงตกอยู่กับฝ้ายคนเดียว ผมสงสารเธอแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ผมอยากให้ตัวเองพร้อมกว่านี้ก็จะรับพลัมกับแพรมาอยู่ด้วย ความอยากรู้เรื่องราวต่างๆของทางบ้านรุมเร้าให้ผมตัดสินใจโทรหาใครสักคนที่ผมวางใจมากที่สุด อืมมตอนนี้ก็ยังไม่ดึกเท่าไร ปลอมเสียงหน่อยดีกว่า เผื่อใครจะจับได้



“ฮัลโหล...”
“สวัสดีค่ะ อ๋อ...นนท์ หายไปไหนตั้งนาน รู้ไหมคนที่นี่เขาเป็นห่วงเธอกันทั้งนั้นเลยนะ โดยเฉพาะพลัมกับแพรน่ะ ชั้นเองไม่รู้จะปลอบยังไงดี” สายปลายทางกลับรู้ทันเสียดื้อๆ ผมเองก็ไม่กล้าหัวเราะกลบเกลื่อนเมื่อฝ้ายเอ่ยถึงลูกๆของผมขึ้นมา

“ขอโทษนะ คงต้องรบกวนเธอสักระยะหนึ่งก่อน พร้อมเมื่อไรเดี๋ยวนนท์จะไปรับลูกมาอยู่ด้วย” ผมตอบอย่างสำนึก เว้นช่วงไว้ระยะหนึ่ง ก่อนถามไถ่ถึงเด็กทั้งสอง
“น้องพลัม น้องแพรสบายดีใช่ไหม”

“สบายดีทั้งคู่ นังตัวแม่ก็ไม่ได้สนใจลูกตัวเองเท่าไร วันๆเช้ามาก็ออกตามหาว่าเธอไปอยู่ไหน ไม่เป็นอันกินอันนอน” น้ำเสียงเธอเข้มขึ้น เป็นนัยว่าผมควรจะรับผิดชอบมากกว่าจะหนีปัญหาไปง่ายแบบนี้ ผมเข้าใจ

“ขนาดนั้นเชียวเหรอ… จะยังไงก็ฝากฝ้ายก่อนนะ เดี๋ยวค่าใช้จ่ายจะโอนให้นะ บอกเด็กด้วยว่านนท์จะพาไปเที่ยวอาทิตย์หน้านะ” อีกสักระยะหนึ่งที่อะไรหลายๆอย่างเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้ ผมคงจะมีโอกาสได้อยู่กับลูกๆเสียที

“นนท์...” ปลายสายเรียกชื่อผมหลังจากที่เราต่างคนต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง
“อะไรเหรอ” ผมรู้ว่าเธอมีอะไรบางอย่างจะบอกหรือถาม เลยย้ำไปให้เธอรีบตัดสินใจที่จะบอกหรือไม่บอกแน่

“เธอจะหย่ากับหวานจริงๆเหรอ” น้ำเสียงของฝ้ายแฝงไปด้วยความวิตกกังวลระคนโล่งใจกับคำถามดังกล่าว
“แน่นอน ในเมื่อไปกันไม่รอด ความเห็นไม่ตรงกัน แยกๆกันอยู่ยังจะดีเสียกว่า ลูกๆเดี๋ยวก็คงเข้าใจเองและ แค่ใช้เวลาสักหน่อย” ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก ผมกล้าพูดเรื่องนี้ได้เต็มปากเต็มคำมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก


“หวานจะยอมง่ายๆเหรอ นนท์น่าจะรู้ดีว่าเขาเป็นคนอย่างไร” ฝ้ายถามคำถามนี้มาเล่นผมซะ คอฝืด กลืนน้ำลายไม่ลงเลย
“ก็เพราะรู้ไงล่ะถึงต้องทำแบบนี้ ถ้าพูดกันดีๆไม่รู้เรื่องก็คงต้องขึ้นโรงขึ้นศาลแล้วล่ะ”


“ใจฝ้ายเองก็ไม่อยากให้หลานเป็นเด็กมีปัญหา แต่ถ้ามันเป็นหนทางที่ดีและสมควรแล้ว ตามแต่นนท์ละกันนะ...” ผมเองจะว่าไปแล้ว ก็ไม่ได้คิดปรึกษาอะไรกับคนอื่นมาก่อน นอกจากคิดเองเออเองตลอด ผมไม่ได้นึกถึงฝ้ายมาก่อน ผมรู้ว่าเธอค่อนข้างกังวลกับผลที่ตามมาภายหลังกับหลานๆของเธอ รวมถึงเข้าถึงปัญหาระหว่างผมกับหวาน ซึ่งตอนนี้มันมาถึงจุดแตกหักแล้ว ไม่มีทางที่จะกลับมามีเยื่อใยต่อกันได้อีก

หรือมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า”รัก”กับเขามาตั้งแต่ต้นแล้ว


ทีแรก... ผมตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเธอหลังจากงานแต่งงานครั้งนั้น ทุกอย่างก็แค่ฉากหน้าที่ให้คนอื่นๆเข้าใจว่าเรามีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตคู่ ต่อให้หวานพยายามทำดีแค่ไหนกับผม ใจผมมันแหลกสลายไปตั้งแต่ตอนที่ผมได้กอดน้ำเป็นครั้งสุดท้ายนั้น สัมผัสของการลาจากที่เจ็บปวด ภาพการหักหลังของคนที่ได้ชื่อว่าเพื่อนและคนรัก เป็นชนักติดหลังผมมาตลอด ผมไม่มีทางที่จะรู้สึกดีกับการใช้ชีวิตอยู่กับคนแบบนี้ได้ มันเหมือนกับการตบหน้าหวานซ้ำ แต่ผมจำเป็นต้องทำ


ผมบ่มเพาะบาดแผลและความเคียดแค้นภายในใจของหวานให้เบ่งบานเพิ่มพูนมากขึ้น จวบกับการที่ผมทำตัวสำมะเลเทเมามากขึ้น นั่นยิ่งทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ผมพลาดไปกับเธอ หวานท้อง


ผมคาดหวังที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ผมรัก มากกว่าที่จะต้องทำตามกฏเกณฑ์บ้าบอขอสังคมอะไรนั่น ทว่าผมกลับทำตามอย่างที่พูดไม่ได้ ตอนนี้ผมมีภาระหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น ในฐานะสามีและพ่อที่ดี


การประคับประคองชีวิตครอบครัวเป็นไปอย่างลำบากกระท่อนกระแท่น ผมแค่หลอกตัวเองว่าทำทุกอย่างเพื่อลูก เด็กที่เกิดมาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ผมกลายเป็นคนขี้โกหกไปตั้งแต่เมื่อไร ผมปิดกั้นความบ้าระห่ำที่อยากจะทำอะไรตามแต่ใจตนเองทดแทนด้วยการวางตัวในกรอบที่สังคมตั้งไว้กับผม
การได้พบเจอน้ำครั้งแรกในรอบหลายปีนั้นเป็นสิ่งที่จุดประกายให้ผมมีความหวัง กำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ แม้เราไม่ได้คบกันดังแต่ก่อน ผมรู้ว่ามันสายไปเสียแล้วสำหรับเราสองคน ไกลเกินที่ผมจะย้อนกลับคืนไป


แม้ว่าใจผมจะเรียกร้องให้เป็นอย่างนั้นมากแค่ไหนก็ตาม
“...” ผมไม่ตอบคำถามของฝ้าย มัวแต่ใจลอยคิดไปไกล ผมรู้สึกว่าตัวเองได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆระหว่างนั้น ผมถามเธอด้วยความห่วงใย
“ฝ้าย เป็นอะไรไป”


“มะ... ไม่มีอะไรหรอก” แม้เธอจะพยายามทำให้ผมเห็นว่าเธอปกติด้วยการแสร้งทำน้ำเสียงที่สดใสขึ้น นิสัยหนึ่งที่ผมและเธอต่างรู้ดีว่าเหมือนกัน คือชอบเก็บอะไรไว้ในใจคนเดียว

“ฝ้าย... บอกมาเถอะ... นนท์ไม่เป็นไรหรอก” ผมคะยั้นคะยอเธอให้ตอบ ความจริงก็คือความจริงวันยันค่ำ แม้ว่าความจริงที่ว่าจะทำให้เราเจ็บปวดก็ตาม

“...” เธอนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนละล่ำละลักบอกมา มันเป็นสิ่งที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าสักวันต้องเป็นแบบนี้ แต่ที่สิ่งที่ทำให้ฝ้ายเสียใจถึงขนาดนี้ ผมพอจะเดาได้ไม่ยาก สิ่งที่ฝ้ายเก็บงำความรู้สึกมาตลอด ฝ้ายชอบนายหมอคนนั้นมากขนาดนี้เชียวเหรอ... เราสองคนกำลังตกอยู่ในที่นั่งเดียวกัน 


“น้ำจะแต่งงานแล้ว... กับเต้”

ผมพอจะเข้าใจได้ไม่ยากว่า เมื่อครั้งนั้น น้ำต้องทรมานกับคำคำนี้มากแค่ไหน

ฉับพลัน ผมก็ตัดสินใจว่าจะต้องทำอะไร เพื่อตนเอง และฝ้ายบ้าง ผมอยากพบน้ำสักครั้ง...
***





ฉันเดินออกจากห้องประชุม พร้อมกับผู้ประชุมท่านอื่นๆ ร่วมสองชั่วโมงที่มีแต่ภาวะความตึงเครียดนั้นได้รับการผ่อนคลายลง
“คุณน้ำค่ะ มีคนมารอคุณที่เค้าเตอร์ค่ะ บอกว่ามีเรื่องด่วนจากที่บ้านค่ะ” เลขาของฉันรีบแจ้นมารายงานทันทีที่เห็นฉันก้าวเข้ามาภายในห้อง

“ใครน่ะ แล้วเรื่องอะไร” ฉันยื่นแฟ้มงานให้เธอรับไปเก็บ

“ไม่ได้แจ้งให้ทราบไว้ค่ะ” คิ้วของฉันผูกเป็นปมด้วยความฉงน พลางมองนาฬิกาที่ใกล้เวลาเลิกงานอยู่รอมร่อ ขบคิดว่าใครกันนะที่มาหา เรื่องทางบ้าน อย่างนั้นนะเหรอ คราวก่อนก็เป็นหวานที่มาหา จะใช่หรือเปล่า ฉันรีบคว้าเอกสาร กระเป๋าและโน็ตบุค เดินออกไป และกำชับเลขาของฉันว่าฉันจะกลับแล้ว

ฉันลงมาที่ประชาสัมพันธ์ ไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนั้นสักคน คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดมากกว่ากระมัง ฉันเดินไปถามประชาสัมพันธ์ที่นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อให้แน่ใจอีกที ว่ามีคนต้องการพบฉันจริงๆหรือไม่

“คนที่มาบอกว่ามีธุระด่วนไปไหนแล้วน่ะ” เธอรีบผุดลุกขึ้น พลางบ่ายมือออกไปด้านนอก
“เขาบอกว่าจะไปรอคุณที่ด้านนอกค่ะ”

“ผู้หญิง หรือผู้ชาย” ฉันจำเป็นต้องย้ำให้แน่ใจ ร้อนๆหนาวๆว่าจะเป็นหวานหรือเปล่า หวานจะมาก่อเรื่องอะไรกับฉันอีกหรือเปล่า
“ผู้ชายค่ะ” ฉันอึ้งไปครู่หนึ่ง และเดินออกมาหันรีหันขวาอยู่ด้านหน้าของบริษัท รถคันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็ว หักเลี้ยวจอดนั่งตรงหน้าฉัน กระจกรถเลื่อนลง เผยให้เห็นผู้ขับที่อยู่ด้านใน


“นนท์...” เขาย้ำชื่อของตัวเอง ก่อนเปิดประตูเดินมาหา ฉันถอยห่างออก ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะมาไม้ไหนอีกกันแน่ ที่สำคัญหวานคงจะอาละวาดหนักกว่าเดิม ราวีฉันไม่เลิกแน่ๆ


“นี่คุณเองเหรอ...” นนท์เอื้อมมือมาจับมือฉันไว้ แต่ฉันสะบัดออก และหลบสายตาของเขา แอบเห็นแว่บหนึ่ง ดวงตาของเขาดูหม่นหมองเหลือเกิน ทำไมฉันจะต้องรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาด้วยเล่า
“ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับน้ำ...”


“แต่น้ำไม่มีอะไรจะพูด...” ฉันเดินเลี่ยงออกมา ทำเป็นไม่สนใจ เต้คว้าข้อมือของฉันเอาไว้ ฉันมองจ้องเขาเขม็ง นนท์ไม่มีสิทธิที่จะทำแบบนี้อีกแล้ว
“แป็บเดียวเอง ถือว่า นนท์ขอร้องเถอะนะ...” คนที่อยู่ตรงหน้าเว้าวอนและจูงฉันไปที่รถ ฉันพยายามแข็งขืนแต่เขาก็ไม่ละความพยายาม เปิดประตูรถออกและให้ฉันเข้าไปนั่งโดยดี รู้สึกหวั่นใจอย่างไรชอบกล


“ดะ... เดี๋ยวซินี่จะพาน้ำไปไหนน่ะ” เขาออกรถไปแล้ว ตลอดเวลาที่อยู่บนรถ เขาเหลือบมองฉันตลอด ฉันไม่สนใจ มองวิวด้านนอกไปเรื่อยๆ และวิตกว่านนท์จะพาฉันไปไหน รู้สึกเบาใจที่เขาพามาร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ดูคุ้นตา ร้านที่ฉันกับเขาเคยมาทานด้วยกันบ่อยๆนี่น่ะเหรอ

ฉันเดินเข้าไปด้านใน บอกให้ฉันสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มได้ตามสบาย ฉันไม่อารมณ์จะมาทานหรือดื่มอะไรทั้งนั้นหรอกนะ สิ่งที่อยากรู้ตอนนี้คือ นนท์คิดจะทำอะไรของนนท์กันแน่ ฉันรีบรวบรัด ชิงถามนนท์ก่อน


“มีอะไรก็รีบๆพูดมาสิ” เครื่องดื่มที่นนท์สั่งมาเสิรฟที่โต๊ะระหว่างนั้น นนท์อึกอัก ก่อนจะพูดบางอย่างที่เขา คาใจออกมา

“ได้ข่าวว่าน้ำจะแต่งงานกับไอ้... เอ๊ย... คนที่ชื่อเต้น่ะเหรอ”
“ใช่” ฉันตอบไปห้วนๆ วางหน้าเรียบเฉยไม่รู้สึกรู้สา นนท์หลบสายตาและฝืนยิ้มตอบ

“ยินดีด้วยนะ”
“ขอบใจนะ มีอะไรอีกหรือเปล่า... น้ำจะกลับแล้ว” ฉันตัดบท กลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนกับเขา ท่องจำในใจว่าไม่มีทาง ไม่มีทางตลอดเวลา

“นนท์จะหย่ากับหวานแล้ว” ตาของนนท์เต็มไปด้วยรื้นน้ำตา พลางเอนตัวลงกับพนักพิงด้านหลัง ฉันจำต้องใจแข็งสู้ตอบเขาไป

“งั้นเหรอ... จะมาบอกน้ำทำไม อย่างไรมันก็ไม่เกี่ยวกับน้ำอยู่ดี ต่างคนต่างอยู่กันดีกว่า อย่ามาวุ่นวายกับน้ำอีกเลย” นนท์เงยหน้าขึ้นมามองฉันอย่างคนสิ้นหวัง มันทำให้ฉันกระอักกระอ่วนทำอะไรไม่ถูก เขาเอื้อมมือมาแตะมุมปากของฉันเบาๆ และชักมืออกก่อนราวกับรู้ทันว่าฉันจะปัดมือเขาออกในไม่ช้า


“รอยจางๆนั่น... หวาน เขามาทำร้ายน้ำใช่ไหม”
“....” ฉันไม่ตอบ


“ขอโทษแทน หวานด้วยนะ น้ำ” นนท์ออกปากขอโทษแทน ฉันไม่รู้จะทำอย่างไร ได้เพียงแค่เอื้อมมือไปกุมมือของเขาไว้และยิ้มให้ นนท์ยิ้มรับความห่วงใยและปลอบโยนนั้น ฉันพอจะคาดเดาได้ว่าที่เขามาที่นี่เพราะอะไร และระหว่างควรอยู่ในระดับใดแน่ ในฐานะของเพื่อนเก่า น้ำทำได้เพียงเท่านี้ ที่จะบรรเทาความทุกข์ในใจของนนท์ให้ลบเลือนลงได้


“ไปขอโทษมันทำไม” หวานโผล่มาตั้งแต่เมื่อไรกัน ยืนทะมึงทึง จ้องจะกินเลือดกินเนื้อฉันอยู่รอมร่อ ฉันหดมือกลับ และจ้องหน้ากลับ ฉันไม่มีทางกลัวกับคนที่ใช้อารมณ์ตัวเองเหนือกว่าเหตุผล นนท์เองก็มองหน้าหวานอย่างไม่พอใจเหมือนกัน


 “แอบมาอี๋อ๋อ กระหนุงกระหนิงกันอยู่นี่นี่เอง อร่อยไหมล่ะปลาย่างตัวนี้ นังแมวขโมย” หวานกล้าพูดได้เต็มปากว่าฉันคือ แมวโขมย งั้นเหรอ แล้วสิ่งที่เธอเคยทำไว้ก่อนหน้านี้ล่ะคืออะไร คนที่ควรพูดคำคำนั้นคือตัวฉันเองมากกว่า ฉันผุดลุกขึ้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทนให้เพื่อนทรยศคนนี้ถากถางชั้นเสียๆหายๆในที่สารธารณะแบบนี้


“เราออกไปคุยกันให้รู้เรื่องข้างนอกเดี๋ยวนี้เลยนะ” นนท์คว้ามือหวาน ถูลู่ถูกังเธอให้ออกไปจากร้าน ลูกค้าคนอื่นๆและพนักงานต่างมองมาทางนี้กันอย่างไม่วางตา เรื่องของสามีภรรยา จัดการกันเองเถอะนะ ฉันเดินเลี่ยงออกไปนอกร้านด้วยเช่นกัน อาย สุดแสนจะอายทีเดียว ขอให้หวานไม่บ้าทำอะไรก็เป็นพอแล้ว ฉันรู้จักความไม่ลดราวาศอกของเธอดีว่าน่ากลัวขนาดไหน


“งั้น... ฉันกลับไปก่อนนะ เคลียร์กันเองละกัน ฉันไม่อยากมีเรื่องกับคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อน เพื่อนที่เอาแต่สูบเลือดสูบเนื้อแว้งกัดได้ตลอดเวลา”
“หนอย... ดูมันพูดสินนท์ ดูมันว่าหวานสิ” หวานหน้าชาและหัวเสียทันทีที่ฉันตอกกลับไปอย่างนั้น จะพุ่งมาหาฉันให้ได้ แต่นนท์รั้งเอาไว้ และตวาดใส่เธอ

“หวาน พอทีเถอะน่า...  น้ำก็ด้วย ขอล่ะทั้งคู่ อย่ามีเรื่องกันได้ไหม”
 “ไม่หยุด แล้วจะทำไม อายเป็นด้วยเหรอ หวานไม่ดีตรงไหนถึงต้องมาคั่วกะอีกะเทยหน้าด้านนี่” หวานเถียงคอเป็นเอ็น ในเมื่อกล้าพูดได้ขนาดนี้ ฉันก็จะไม่ทนแล้ว ฉันวางเงินจำนวนหนึ่งใส่ถาดของบริกรที่ยกเบียร์เหยือกหนึ่งผ่านมา สาดใส่คนบ้าที่อยู่ตรงหน้า นนท์อึ้งไปเลยที่ฉันกล้าทำได้ถึงขนาดนี้ ดูซิยังจะบ้าได้อีกไหม


“ขอบใจที่ย้ำเตือนว่าฉันเป็นกระเทย ใช่...ในสังคมอาจมองว่าฉันดูต่ำ แต่ชั้นกล้าพูดได้ว่าจิตใจและวุฒิภาวะชั้นสูงกว่าคนบางคน ที่ดีแต่ป่าวประกาศอย่างหน้าไม่อายว่ามีมดลูกผลิตลูกให้ผู้ชายได้ แล้วไง... ที่เธอทำตัวอยู่ทุกวันมันต่ำยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก” เมื่อพูดจบ ฉันวางแก้วลงแล้วรีบเดินออกไปจากร้าน แค่นี้ก็สาแก่ใจฉันแล้ว

“แก... นังน้ำ...ฮึ่ม” หวานเดือดดาลขึ้นมา วิ่งตามฉันออกมาที่หน้าร้าน นนท์ตามมาติดๆและพยายามปรามเธอ ฉันมองหน้าอย่างท้าทาย อยากจะรู้นัก หวานจะทำอะไรฉัน

“พอได้แล้ว หยุดซะที คนในร้านมองมากันหมดแล้วนะ” นนท์พยายามพูดกับหวานดีๆ แต่สายไปเสียแล้ว


หวานฟิวส์ขาดคว้าปืนในกระเป๋าสะพายของตัวเองออกมาโชว์หรา เล็งปากระบอกปืนมาทางฉัน หน้าฉันพลันซีดเผือดลง ทำอะไรไม่ถูกแล้ว ของจริงหรือของปลอมกันแน่ แววตาของหวานท้าทายมายังฉันราวกับว่า ฉันไม่ต้องสงสัยอะไรและเอ่ยคำพูดหนึ่งออกมาอย่างเย็นชา


“แกทำลายชีวิตครอบครัวของฉัน”

“จะทำอะไรน่ะ อย่าทำอะไรบ้าๆแบบนั้นนะ หวาน เอาปืนลงเถอะ” นนท์พยายามเข้ามาห้าม แต่หวานในตอนนี้แทบไม่ฟังใครทั้งนั้นแล้ว เธอปาดกระบอกปืนไปรอบๆ คนในร้านก็ดูตกอกตกใจกันใหญ่ หลบเข้าใต้โต๊ะกันชุลมุน ตาฉันมองล่อกแล่กไปรอบๆพยายามหาทางหนีทีไล่ ไม่คิดว่าหวานกะจะเล่นฉันถึงขนาดนี้

 “อย่าอยู่เลย” หวานยิ้มอย่างผู้มีชัย


“หวาน อย่า...” นนท์ร้องห้าม แต่สายไปเสียแล้ว หวานเหนี่ยวไกยิงมาที่ฉันโดยไม่ลังเล คนในร้านหวีดร้องระงม พลันราวกับโลกหยุดหมุนลง



ฉันไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากพูดอะไรเป็นการสั่งเสียอะไรให้กับตัวเอง



ลาก่อน...

***

PakBeob

  • บุคคลทั่วไป
น่านๆ เอาแล้วไง  :serius2:

ไม่จบไม่สิ้นกันซักที :sad2:

เป็นกำลังใจให้คับ..


christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป





นี่ฉันเผลอยิ้มไปตั้งแต่เมื่อไรกัน หุบเลยทันที ตั้งแต่มีลูกสองคนนี่เสี่ยวขึ้นเป็นกองเลยนะนาย บรรยากาศเก่าๆเริ่มแวะเวียนกลับมา นนท์ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่คนที่เปลี่ยนคือฉัน คนที่ไม่รู้ใจตัวเอง




















บทที่สิบหก

 ฉันค่อยๆลืมตาขึ้นมา แทบไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย มึนๆหัวที่กระแทกเข้ากับต้นเสาเล็กน้อย ฉันพยายามพยุงตัวลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกหนักๆอะไรบางอย่างทับบนตัว ฉันพยายามดันร่างนั้นออกไป แต่กลับสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไหนรินออกมาไม่อยุด ฉันพิศดูที่มือของฉัน ละ...เลือดเต็มมือไปหมดเลย ร่างนั้นหันหน้ามาหาฉันหยุดมองและถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนคอพับไป ฉันพูดอะไรไม่ออก นนท์ ทำไมต้องทำแบบนี้ เอาตัวมารับกระสุนแทนฉันทำไม

“ไม่... นนท์ ชะ...ชั้นไม่ได้ทำอะไรนะ ไม่เกี่ยวกับฉัน ไม่...” หวานตัวสั่นเทา หวาดกลัวกับการกระทำอันรู้เท่าไม่ถึงการณ์เมื่อครู่ ฉันเองก็ทำอะไรไม่ถูก ร้องช่วยด้วย ช่วยด้วย ด้วยน้ำเสียงที่โหยโรยแรง พลางกอดกุมนนท์ ผู้หายใจรวยรินไว้ในอ้อมแขน

“นนท์... ฟื้นสิ นนท์...” ฉันพยายามแล้วพยามเล่าที่จะทำให้นนท์ลืมตาขึ้นมา แต่เขาไม่ตอบสนองเสียงเรียกของฉันเลย ได้แต่ขยับไปตามแรงที่ฉันเขย่าเขาเท่านั้น

“ลืมตาขึ้นมาสิ อย่าล้อเล่นกันแบบนี้นะ”

ฉับพลัน หวานก็มองฉันอย่างอาฆาตแค้น เงื้อปืนเล็งมาที่ฉันทั้งน้ำตา ฉันไม่สนหรอกว่าหวานจะทำอะไร และไม่ดิ้นรนที่จะหนี ฉันกอดร่างที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นอย่างไม่รังเกียจ และลุบหลังเขาเบาๆ คนที่ฉันรักต้องมีสภาพแบบนี้เพียงเพราะฉันเป็นต้นเหตุ เอาล่ะหวานฉันพร้อมแล้ว จะพิพากษาโทษตายให้ฉันก็เชิญ ถือว่าฉันชดใช้ให้เธอและนนท์ด้วย

เสียงไซเรนดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย หวานผงะ รีบวิ่งออกจากร้านไป คงเป็นคนในร้านที่โทรเรียกรถตำรวจและรถพยาบาลมา ฉันไม่สนหรอกว่าหวานจะหนีไปไหน แต่ที่นี่แน่ๆฉันอยากให้นนท์รีบไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด แม้ว่าใจจะบอกอย่างนั้นแต่ฉันก็ยังคงนั่งพร่ำเพ้อกับร่างที่ไร้สตินั่น ลูบผมของนนท์เบาๆอย่างหมดอาลัย...
   
***
   








“เต้... นนท์เป็นอย่างไรบ้าง” ทันทีที่เต้ก้าวออกมาจากห้องผ่าตัด ฉันรีบตรงไปหาเขาโดยไม่สนว่าเขาจะมีท่าทางอิดโรยอื่นใด เกือบค่อนคืนล่วงมาแล้ว ฉันอยากรู้เหลือเกินว่านนท์จะเป็นอย่างไรบ้าง

“เรายังต้องดูอาการสักระยะนะ ว่าแต่น้ำตามญาติๆเขาได้หรือยัง” เต้ดึงผ้าปิดปากออก ตอบเสียงเรียบๆแต่บ่งบอกถึงสีหน้าที่เคร่งเครียดและเป็นกังวล ฉันเองก็พลอยใจฝ่อตาม ตอบเขาเบาๆ
“น้ำบอกแล้วล่ะ ทั้งหมดไปต่างจังหวัดกัน คิดว่าพรุ่งนี้คงมาถึง”


“คุณหมอขา... คนไข้ทรุดค่ะ” พยาบาลคนนึงตะลีตะลานออกมาจากภายในห้อง เต้กลับเข้าไปภายในห้องอีกครั้ง ฉันเอามือป้องปาก หวิดจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก



“ใจเย็น น้ำอยู่ข้างนอกก่อนนะ ทางนี้ผมจัดการเอง” แม้เต้จะกำชับไว้ขนาดนั้นแล้ว แต่ฉันก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี

“นนท์” ฉันรำพึงกับตัวเองในใจ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือภาวนาให้เขาไม่เป็นอะไรมาก








   เสียงนาฬิกา ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฉันยังคงจดจ่ออยู่กับประตูห้องผ่าตัดไม่วางตา แม้จะรู้สึกอิดโรยกับการอดหลับอดนอน แต่ฉันก็พยายามฝืนตัวเอง ฉันจะหลับได้ก็ต่อเมื่อนนท์ปลอดภัยแล้วเท่านั้น ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ ฉันก็เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

   ฉันดีดตัวขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงพยาบาลคุยจ้อออกมาจากห้องผ่าตัด เต้เองก็ดูท่าทางเพลียมาก เขาล้มลงนั่งข้างฉัน สีหน้าไม่สู้ดีนัก นนท์กุมมือฉันไว้ ถอนหายใจเบาๆ ฉันเองกระตือรือร้นที่จะได้รู้ว่าอาการของนนท์เป็นอย่างไร มากกว่าที่จะนั่งรออยู่แบบนี้


“ไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ นนท์ปลอดภัยแล้ว น้ำเองก็ต้องพักรักษาตัวซักระยะก่อนนะ” ในที่สุด ฉันก็ได้ยินคำคำนี้จากปากเต้ ดีใจจนแทบทำอะไรไม่ถูกเลย ฉันโผกอดเต้แทนคำขอบคุณ
“ขอบคุณมากนะ เต้...”


“ไม่เป็นไรหรอก อะไรที่ทำให้น้ำมีความสุข ถ้าเต้สามารถ เต้ก็ทำเพื่อน้ำทุกอย่างที่ทำได้” เต้ลูบหลังฉันเบาๆ ก่อนที่ฉันจะค่อยๆถอนตัวออกมาและยิ้มให้
“เต้...”



“อะไรเหรอ...” เต้มองฉันราวกับรู้ว่าฉันจะบอกอะไรกับเขา เต้ปล่อยมือออกจากฉันและลูบผมอย่างเอ็นดูครั้งหนึ่ง
“ขอน้ำเข้าไปดูนนท์ก่อน นะ นะ...” ฉันเว้าวอน เต้ฝืนๆยิ้มให้ก่อนตอบ


“1108 เข้าไปซิ... อีกเดี๋ยวก็คงฟื้นแล้วล่ะ” ฉันท่องเลขที่ห้องนั้นไว้ในใจ เดินไปตามทางที่ตัวเองปรารถนา ทิ้งเต้ไว้เบื้องหลัง ใจลิงโลดอยากจะเห็นหน้าของนนท์จนละเลยเต้ไป ไม่ได้สังเกตเลยว่าภายใต้รอยยิ้มของเต้แฝงไปด้วยความเจ็บปวดมากมายแค่ไหน







ภายในห้องผู้ป่วย นนท์ยังคงนอนหลับสนิทในชุดผู้ป่วยที่เปิดออกด้านหนึ่งเผยให้เห็นผ้าพันบาดแผลบริเวณไหล่ซ้าย  เสียงเครื่องช่วยหายใจและเครื่องวัดชีพจรดังเป็นจังหวะทำให้ห้องไม่ดูเงียบจนเกินไป




มีบางช่วงบางจังหวะที่นนท์ขยับตัวและเพ้อออกมาเบาๆ จับใจความได้ไม่ถนัดเท่าไรนัก ฉันได้แต่ยืนดูห่างๆ ไม่กล้าเดินเข้าไปดูใกล้ๆเขา น้ำตาก็พลันเอ่อออกมาแทนคำพูดที่อยากจะตัดพ้อกับคนที่นอนอยู่ตรงหน้านี้ว่า นนท์ทำบ้าอะไร รู้ตัวบ้างไหม ทำไมจะต้องทำแบบนี้ด้วย...
โชคดีแล้วที่นนท์ไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นแล้ว ฉันคงต้องโทษตัวเองไปตลอดแน่ๆ

***







“เต้... นนท์เป็นอย่างไรบ้าง” ฝ้ายทักเต้ขณะที่พบเขาเดินออกมาจากลิฟท์ พลางกระหืดกระหอบ เร่งเดินมาหาเขา
“อยู่ข้างในห้องน่ะ ปลอดภัยแล้วล่ะ” เต้ตอบไปห้วนๆ ฝ้ายถอนหายใจเบาๆ


“โล่งอกไปที” ฝ้ายฉุดมือเต้เข้าไปในลิฟท์ด้วยกัน เขาทำหน้างงๆ ฝ้ายยิ้มให้เขา แต่เต้ไม่มีอารมณ์จะสนใจอะไรทั้งนั้น ในเมื่อ...
“ห้อง 1108 ไปสิ” ถึงเต้จะตอบเลี่ยงไปแบบนั้น แต่ฝ้ายก็ยังจูงเขาไปในห้องนั้น หลังเดินออกจากลิฟท์มาพร้อมๆกัน


ภาพที่น้ำนอนอยู่ข้างๆนนท์ และกุมมือเขาไว้ ทั้งคู่หยุดมองครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆออกมาจากห้องพร้อมกัน
“ท่าทางจะได้พยาบาลดีซะแล้ว เอ่อ... เต้ เป็นอะไรหรือเปล่า” ฝ้ายเผลอพูดออกมา และพลันสังเกตเห็นสีหน้าของเต้ที่ไม่สู้ดีเท่าไรนัก แวววตาดูเศร้า เลื่อนลอยและหมดหวัง พลอยทำให้เธอเองรู้สึกหดหู่ตามและทำอะไรไม่ถูก


“ขอคุยด้วยได้ไหมฝ้าย...” เต้พรั่งพรูระบายความรู้สึกที่ตนเองอัดอั้นตันใจออกมา โดยมีฝ้ายรับฟังอยู่ใกล้ๆ เธอไม่พูดอะไรและกอดเขาแทนคำปลอบโยนทั้งมวลที่เธอจะสามารถบอกให้เต้สบายใจขึ้นได้ตอนนี้

***





ฉันแว่บกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านพักหนึ่ง หลบพ่อและแม่ของนนท์ที่มาเยี่ยมอาการของลูกชายตนเอง และไปสอบปากคำที่โรงพักอีก เต้เองก็ไปด้วย เขาไม่ยอมพูดคุยอะไรกับฉันเลย เอาแต่นิ่งเงียบ ทำเอาฉันเกร็งจนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะรู้สึกเพลียเหลือเกิน


พ่อกับแม่ก็ซักไซ้ไล่เลียงฉันเป็นการใหญ่เพราะหายไปไม่กลับบ้าน เต้ช่วยพูดแทนให้ ขอบใจมากๆจริงๆ เต้ไม่ได้เอ่ยว่าฉันมีเรื่องขึ้นเพราะนนท์กับหวาน ท่านทั้งสองยังคงเข้าใจว่าฉันกับหวานยังคงสนิทสนมกันอยู่ ฉันเองก็เหนื่อยอ่อนไม่อยากเพิ่มความยาวสาวความยืดต่อ เต้เองก็เหมือนจะไม่ไหวแล้วเหมือนกันเพราะอดนอนเกือบทั้งคืน พ่อกับแม่ไม่อยากให้เขาขับรถกลับไปที่คอนโด เลยต้องนอนค้างที่บ้านของฉันนี้








ฉันตื่นมาในตอนสาย เต้ไม่อยู่แล้ว แม่บอกว่าเต้ออกไปแต่เช้าเพราะมีคนไข้ ครั้นโทรหาก็ปิดเครื่องไปแล้ว รู้สึกไม่สบายใจเลย ฉันพอเข้าใจดี ถ้าฉันเป็นเขาในตอนนี้ ฉันก็คงจะทำแบบเดียวกันกับที่เต้ทำนี่แหละ รู้สึกผิดอย่างไรไม่รู้ ทั้งๆที่สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้เต้ต้องเสียใจ แต่ฉันกลับกลืนน้ำลายตัวเองอีกแล้ว





ฉันเดินใจลอยเข้าไปที่โรงพยาบาล ถามจากพยาบาลแล้ว เต้คงง่วนๆอยู่กับงาน ฉันเลยฝากของกินเล็กๆน้อยๆไว้ให้เขา และไปเยี่ยมอาการนนท์ต่อ ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันจะเห็นกับแค่ฉันกับนนท์เคยคบกันมา เคยรักมากแค่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ฉันต้องใจแข็งเข้าไว้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเดินเข้าไปภายในห้องที่นนท์พักรักษาตัวอยู่




แม้จะเปิดประตูให้ค่อยที่สุดแล้ว ครั้นเดินพ้นมุมห้องเข้าไป คนป่วยที่นอนอยู่ดูเหมือนจะรู้เรื่องและยิ้มต้อนรับ ใจฉันในตอนนี้เต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย ฉันเดินไปวางของเยี่ยมที่ตู้เย็น ทักทายเขาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาราบเรียบ



“นนท์เป็นอย่างไรบ้าง”

“นิดหน่อยน่า แค่นี้เอง ไกลหัวใจ อะ... โอย...” นนท์พยายามลุกขึ้นนั่งแต่ไม่ทันไร ก็ทำหน้าบูดเบี้ยวเจ็บแผลขึ้นมา ฉันตกใจ รีบละของเยี่ยมเข้าไปประคองเขาให้นอนลง และปรับหัวเตียงให้สูงขึ้นเล็กน้อย



“อย่าเพิ่งลุกเลย นอนพักผ่อนก่อนเถอะนะ...” ฉันทนไม่ไหวที่จะต้องมาเห็นสภาพที่เขาเจ็บปวดแบบนี้ ฉันตัดใจเดินออกมาจัดของต่อ หากว่านนท์กลับดึงมือฉันไว้

“แค่ได้เห็นหน้าน้ำแบบนี้ ใกล้ๆอีกครั้ง นนท์ก็หายป่วยแล้วล่ะ” เขากล่าวและยิ้มอย่างเป็นมิตร ราวกับจะบอกฉันเป็นนัยๆว่า ฉันไม่จำเป็นต้องทำเย็นชาใส่เขาขนาดนั้น เขารู้ตัวเองดีว่าความเป็นไปได้ที่จะกลับมาคบกันนั้นริบหรี่เต็มที

“หลับไปเลย ยังจะมาปากหวานอีกนะ” ฉันชักมือออก และสาละวนห่มผ้าห่มให้นนท์ กลับกลายว่านนท์ได้ทีดึงเข้าไปกอด ราวกับต้องมนตร์ ฉันกลับไม่รู้สึกร้อนรนอยากจะออกไปให้พ้นอ้อมกอดของเขา ราวกับเป็นสิ่งที่ฉันโหยหาและรอคอยมานานแสนนาน ฉันยังจำความอบอุ่นนั้นได้ จำสายสัมพันธ์และบทเพลงรักที่นนท์พร่ำบอกฉันเสมอ เผลอน้ำตาไหลไปตั้งแต่เมื่อไรกัน ไม่รู้ตัวเลย



“ขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะน้ำ ยิ้มหน่อยสิ” นนท์หยอกฉัน พลางละเลียดเช็ดรื้นน้ำตาออกไป พลันรู้ตัวว่าใบหน้าของนนท์ห่างฉันแค่เพียงคืบ ริ้วรอยแห่งวัยเริ่มปรากฏ แต่แววตากลับสดใสมากกว่าดูเศร้าหมองอย่างกับที่เจอในหลายๆครั้งก่อน ฉันหลบสายตาของเขาที่จดจ้องฉันไม่วางและลูบผมเบาๆด้วยความเอ็นดูและกลัวว่าฉันจะหลบลี้หายไปอีก


“ปล่อยน้ำก่อนเถอะนะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า จะว่าเอาได้” ฉันพยายามดันตัวเองลุกออกมาแต่นนท์กลับรั้งไว้ นนท์รั้งฉันเอาไว้และกึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะเมื่อเห็นว่าหน้าของฉันเริ่มแดงเรื่อ


“ตั้งแต่เช้าทานอะไรหรือยัง แล้วนี่ทำไมถึงอยู่คนเดียวล่ะ คนเฝ้าไปไหนเหรอ” ฉันพูดเบาๆเลี่ยงไม่ให้บรรยากาศมันพาไป หยุดทำตาหวานเยิ้มใส่เดี๋ยวนี้นะ ฉันพลอยหวั่นไหวตามไปด้วย


“ถามมาได้ อาหารโรงพยาบาลไม่เห็นอร่อยเลย คนอื่นๆก็ไม่ว่างกัน ถูกทอดทิ้ง สงสารนนท์หรือเปล่า อยู่เฝ้านนท์ก่อนนะครับ” แม้จะทำลูกอ้อนใส่ แต่ฉันไม่หลงกลง่ายๆหรอก ขอหยิกเอวทีเถอะ ได้ผลร้องเสียงหลงเชียว ฉันผละออกจากอ้อมกอดของนนท์ออกมา เขาทำตาเขียวใส่
“ทำไรเนี่ย รังแกคนป่วยเหรอ เกิดเจ็บหนักกว่าเดิมจะว่าไง” นนท์ตัดพ้อ



“ก็ไหนบอกว่า ไกลหัวใจไง แหม... ได้ทีมามุขเดิมแบบนี้อีกแหละ นึกว่าน้ำไม่รู้ทันรึไง” ฉันกวนใส่บ้าง นนท์หัวเราะเบาๆ
“ก็ความคิดถึงมันห้ามไม่ไหว มันคงห้ามไม่ไหว... คิดถึงอย่างไรก็ยังคิดถึงเธออยู่อย่างนั้น...” ฮัมเพลงใส่อีก อารมณ์ดีจริงนะพ่อคุณ



“ฮั่นแน่ ยิ้มแล้ว... อยู่กับนนท์ จะเฝ้าคนไข้ ทำหน้าเป็นตูดทั้งวันก็ไม่ไหวนะคร้าบ” นี่ฉันเผลอยิ้มไปตั้งแต่เมื่อไรกัน หุบเลยทันที ตั้งแต่มีลูกสองคนนี่เสี่ยวขึ้นเป็นกองเลยนะนาย บรรยากาศเก่าๆเริ่มแวะเวียนกลับมา นนท์ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่คนที่เปลี่ยนคือฉัน คนที่ไม่รู้ใจตัวเอง



“ทานผลไม้ไหม น้ำจะปอกให้นะ” ฉันเกริ่น ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่ฉันจะมาเจ้ายศเจ้าอย่างอะไรอีกแล้ว ตราบใดที่นนท์ยังรักษาตัวอยู่ที่นี่ ฉันจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบดูแลเขาไปจนกว่าจะหายดีและกลับบ้านได้ ในฐานะของเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่ใช่คนรัก


“น้ำทำอะไร ก็อร่อยทั้งนั้นแหละ” นนท์หยอด ระหว่างที่ฉันทั้งปอกเปลือกและหั่นผลไม้หลายๆอย่าง คละๆกัน ยกมาเสิรฝเขา นนท์หลับตาพริ้ม อ้าปากรอป้อน หมั่นไส้จริงๆ ฉันวางจานลงอย่างไม่เต็มใจ ทำประชด นนท์ลืมตาข้างนึงและขมวดคิ้ว



“ป้อน อ่ะ ป้อน...”
“กินเอง เดี๋ยวก็เป็นง่อยหรอก จะกินหรือไม่กินล่ะทีนี้ ลีลาเยอะจังนะนาย” ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นนท์ก็ไม่หยุดลดราวาศอกง่ายๆอยู่ดี
“ก็ได้...” เขาจิ้มสาลี่ไปชิ้นนึง ทำหน้ากรุ่มกริ่มใส่อีก






“ถ้าไม่ลีลาเยอะ น้ำจะชอบเหรอ... และอีกอย่างอย่างอนให้มาก แก่แล้ว ทำไปก็ไม่เหมือนเด็กเอ๊าะๆรุ่นๆหรอกนะ”
จัดให้สองบึ๊ก... เอาให้ติดคอตายไปเลย

***

ช่วงบ่ายตำรวจมาสอบปากคำนนท์ ฉันออกไปนั่งรอข้างนอกครู่ใหญ่
พอกลับเข้ามา เห็นนนท์ท่าทางซึมๆ ไม่พูดไม่จาอะไร ท่าทางจะเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย


 ก็จริงอยู่ ถึงนนท์จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับหวาน แต่อยากน้อยเธอก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของลูกอยู่ดี เรื่องนี้คงจบด้วยการเป็นคดีอาญา การพยายามฆ่า เป็นเรื่องที่ยอมความกันไม่ได้ ฉันพอเข้าใจ



แต่ในฐานะผู้เป็นพ่ออย่างนนท์ ดูลำบากใจน่าดู เด็กเล็กๆสองคนจะทำใจยอมรับกับเรื่องพรรค์นี้ได้เหรอ



นนท์หลับไปแล้ว ได้เวลาที่ฉันควรจะกลับเสียที


เมื่อครู่ฝ้ายบอกว่าจะมาเฝ้าต่อ ท่าทางใกล้เวลาเลิกงานแล้วล่ะ คงรับเด็กๆมาด้วย





ฉันเองก็นึกกลัวขึ้นมาเหมือนกัน หากเด็กๆพวกนั้นรู้เข้าว่าคนที่ทำให้พ่อกับแม่ของพวกเธอต้องเป็นแบบนี้





คือฉัน จะเป็นอย่างไร
จะเกิดอะไรขึ้น นับจากนี้

***


PakBeob

  • บุคคลทั่วไป
 :เฮ้อ: สงสารเต้

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
“ขอโทษนะ น้ำก็มีแต่เต้คนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกของน้ำมากที่สุด น้ำสัญญาว่าจะใช้ช่วงเวลาที่เหลือของน้ำอยู่กับเต้ให้มากที่สุด น้ำขอแค่...เต้เชื่อใจน้ำ แค่เชื่อใจกัน อย่า... อย่าไปเลยนะ”




















บทที่สิบเจ็ด




ฉันกับเต้ เราแทบจะไม่ได้เจอกันอีกเลย

แม้ว่าฉันจะมาเยี่ยมนนท์ที่โรงพยาบาลบ่อยๆก็ตาม พลอยทำให้ตัวเองเผลอไผลทึกทักไปเองว่า เป็นไปได้ที่เต้จะเคืองเรื่องที่ฉันเป็นห่วงเป็นใยเที่ยวไปเทียวมาเยี่ยมนนท์อยู่บ่อยๆ

ฉันไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง
หากแต่ว่าฉันอยากจะทำหน้าที่คนดูแลอาการป่วยของนนท์ให้ดีที่สุดจนกว่าอาการของนนท์จะดีขึ้น
ตอบแทนที่เขาช่วยชีวิตฉันเอาไว้
แม้ว่าส่วนลึกๆในใจฉันยังเป็นกังวลอยู่ ฉันจำเป็นจะต้องตัดความคิดนั้นทิ้งไปเสีย

ฉันรู้ว่ามันเป็นภาวะที่สับสนและต้องการหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ฉันต้องทำให้ได้



“ผมไม่ว่าง... แค่นี้ก่อนนะ”



“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...”


“คุณหมอเต้ไม่อยู่ค่ะ ต้องการฝากอะไรไว้ไหมคะ ดิฉันจะเรียนให้ทราบอีกทีนึงค่ะ...”



ฯลฯ ฉันได้ยินประโยคพวกนี้ซ้ำซากมาร่วมเดือนแล้ว

แม้จะได้พบเต้แค่ครู่หนึ่งเมื่อหลายวันก่อน แต่ก็เพียงแค่เจอหน้า ไม่ได้พูดคุยอะไร

ราวกับว่าฉันไม่มีตัวตนอยู่ตรงหน้าเขา มันทำให้ฉันรู้สึกแย่และคิดหาวิธีที่จะต้องคุยกับเต้ให้ได้สักครั้ง

ฉันแทบไม่คิดถึงการแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ระหว่างเรายังมีปัญหาที่ต่างคนต่างเก็บงำ

ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ ค้างคาอยู่


“อ้าว... น้ำ...”
ฝ้ายกล่าวต้อนรับด้วยไมตรีจิตที่ดี พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ทันทีที่เจอฉันเก้ๆกังจะเข้าไปข้างในห้องพิเศษที่นนท์รักษาตัวอยู่ดีหรือไม่

“สวัสดีจ๊ะฝ้าย นี่นนท์ยังนอนอยู่เหรอ” ฉันกล่าวตอบ พร้อมทั้งเหลือบมองคนไข้ที่นอนหลับอยู่นั้น
ก่อนนั่งลงที่โซฟาข้างๆกันนั้น ส่งกระเช้าของฝากให้ ฝ้ายรับไปวางไว้หัวเตียง

“ใช่... มาเยี่ยมทุกวันแบบนี้ รบกวนน้ำแย่เลย”
“นิดหน่อยน่า... ถือซะว่า... ในฐานะเพื่อนน่ะ ว่าแต่... อาการนนท์เป็นอย่างไรบ้าง”

“ประมาณสัปดาห์หน้า หมออนุญาตให้กลับบ้านไปพักฟื้นได้แล้วล่ะ อ้าวเด็กๆมานี่เร็ว...”
หวานกวักไม้กวักมือเรียก หลานทั้งสองของเธอที่เดินออกมาจากห้องน้ำ
ฉันมองตามไป อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นทั้งคู่มาเยี่ยมคุณพ่อของพวกเธอด้วยในวันนี้
พอเห็นฉันก็รีบยกมือไหว้ปะหลกๆ ก่อนวิ่งแถมาหานั่งคั่นกลางระหว่างฉันกับฝ้าย
ฉันเขยิบตัวออกนั่งริมมากขึ้น พลันเห็นนนท์ขยับตัวเล็กน้อย งึมงำๆอะไรไม่รู้เบาๆแล้วหลับต่อไป

“อาฝ้ายขา... นี่ใครเหรอคะ”
แฝดคนนึงชี้มาทางฉัน ฉันเองก็แยกไม่ออกเหมือนกันว่าคนไหนชื่ออะไร
อีกคนรีบชิงถามคนแปลกหน้าอย่างฉันต่อ โดยไม่รอคำตอบจากอาของพวกเธอ ด้วยความใคร่รู้

“น้ามาเยี่ยมพ่อของแพรเหรอคะ”

ฉันยิ้มตอบ ทั้งคู่จ้องตาแป๋วมา
“จ้า... นี่น้องพลัม น้องแพร น้าชื่อน้าน้ำนะคะ”

“น้าน้ำเป็นอะไรกับพ่อของหนูเหรอคะ”
เอาแล้วไง แต่ก็อย่างว่าเด็กคิดอะไรก็พูดแบบนั้นนี่นา ไม่มามัวตลบแตลงกลบเกลื่อน อย่างที่พวกผู้ใหญ่ทำหรอก

ฉันไม่ได้ถือสาอะไรพวกเธอ แต่อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมจะต้องมาถามฉันแบบนี้ เลยตอบไปอย่างไม่ลังเลอะไร

“น้าเป็นเพื่อนของพ่อหนูจ๊ะ...”

จู่ๆทั้งคู่ก็ลงไปกระโดลิงโลดตรงหน้า ส่งเสียงราวกับดีใจอะไรบางอย่าง ฉันกับฝ้ายอดแปลกใจไม่ได้ ฝ้ายชิงดุพวกเธอเบาๆ

“อ้าวเป็นอะไรไปล่ะ เบาๆสิคะ เดี๋ยวพ่อหนูก็ตื่นมาหรอก คุณพ่อไม่สบายต้องพักผ่อนมากๆนะคะ จุ๊ๆๆๆ”
นนท์ครางเบาๆและหันหลังให้ คาดว่ายังหลับอยู่

เด็กทั้งสองทำมือจุ๊ปากเลียนแบบฝ้าย หันไปดูคุณพ่อของตนเอง และหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มแหยงๆนิดๆ

“ก็พลัมกับแพรดีใจนี่นา” ฉันขมวดคิ้วสงสัย ฝ้ายถามกลับไป
“เรื่องอะไรเหรอคะ” ทั้งคู่ปีนโซฟาไปนั่งหลบอยู่ข้างๆฝ้าย พร้อมกับมองมาที่ฉันอย่างระแวงๆ


“นึกว่าน้าคนนี้จะมาเป็นแม่ใหม่ของหนูเสียอีก” สะอึกเลยฉัน แต่ก็แกล้งทำหัวเราะกลบเกลื่อนไป ฝ้ายสีหน้าเจื่อนไปและหัวเราะตาม

“อาฝ้ายขา...” แฝดคนนึงพูดจาออดอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวานแล้วไต่มานั่งตักฝ้าย
“อะไรคะ เดี๋ยวอากับน้าน้ำจะออกไปคุยข้างนอกแปปนึง” ฝ้ายตัดบทและมองมายังฉัน เธอคงมีอะไรอยากจะคุยกับฉันแน่ๆ ฉันตั้งท่าเตรียมจะลุกออกไป และยิ้มให้ทั้งสองอย่างเอ็นดู

“ทำไมคุณแม่ไม่มาเยี่ยมคุณพ่อเลยละคะ” แววตาเศร้าๆสองคู่ส่งผ่านมาถึงฉัน เกือบลืมเรื่องหวานไปเสียสนิท ตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหน กำลังหนีตำรวจอยู่งั้นน่ะเหรอ

“คุณแม่ติดงานอยู่ค่ะ ไว้ถ้าเสร็จงาน คงจะมาเยี่ยมคุณพ่อและน้องพลัมน้องแพรเองและค่ะ” ฝ้ายตอบอย่างไม่ยากเย็น แม้จะเป็นคำโกหกแต่อย่างน้อยก็พอทุเลาให้ทั้งสองคลายความสงสัยได้บ้าง

“...” ทั้งคู่เงียบไม่ยอมพูดจาอะไร ฉันลูบหัวเบาๆเป็นการปลอบโยนปนเวทนา นึกกังวลไปว่า ตัวเองเป็นต้นเหตุ ทำให้เด็กๆพวกนี้มีปัญหา หวานได้สร้างปมขึ้นแก่ลูกๆของตนเองจนได้ ในฐานะคนนอกอย่างฉัน คงทำอะไรไม่ได้มากสินะ

“อยู่กันดีๆในห้องนะคะ เดี๋ยวอามาค่ะ อย่าเสียงดังกันนะ” ฝ้ายละจากทั้งสอง พลางกำชับทั้งคู่เอาไว้  เดินคู่กันกับฉันออกมาจากห้อง เธอเหลือบมองเข้าไปดูภายใน ว่าทั้งคู่จะซนอะไรหรือเปล่า ฉันเดินนำไปนั่งตรงเบาะริมทางเดิน ใกล้ๆกันกับประตูห้อง ฝ้ายมานั่งลงใกล้ๆ








 “หวานมาบ้างหรือเปล่า” ฉันเปิดประเด็นที่คาใจมากที่สุด ฉันไม่ได้กังวลเรื่องที่เธอลอยนวลอยู่อย่างนี้ แต่นึกถึงน้องพลัมน้องแพรที่ถามถึงแม่ของตัวเองเมื่อครู่ ก็อดสงสารไม่ได้


“ฉันคิดว่าเขาคงมาเยี่ยมสองสามครั้ง” ฝ้ายนั่งเหยียดยาว ปล่อยอิริยาบทสบายๆ ตอบไปอย่างไม่คิดอะไร แต่กระนั้นแววตาก็ดูไม่สู้ดีนัก
“ฝ้ายรู้หรือเปล่าว่าหวานไปอยู่ที่ไหนน่ะ” ฉันถามย้ำเรื่องเดิม ฝ้ายถอนหายใจเบาๆ ก้มหน้าไม่ยอมสบตาผู้ฟังที่นั่งอยู่ใกล้ๆนี้


“ฉันไม่ได้คุยกับเขาเลย ฉันเจอแค่แวบนึงแล้วหวานก็หลบไป คงไม่อยากให้ตำรวจรู้น่ะ”


“...” ฉันพยักหน้า เชิงว่ารับรู้ พลันรู้สึกถึงบรรยากาศที่อึดอัดขึ้นมา ที่ฝ้ายเรียกฉันมาคุยด้วย คงมีเรื่องที่ไม่สบายใจบางอย่าง เรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับฉันโดยตรง สัญชาติญาณบอกฉันอย่างนั้น


“น้ำ... ฝ้ายขอถามอะไรหน่อยนะ” ฝ้ายขยับเข้ามาชิด และพูดเบาลง พลางเหลือบมองไปทางห้องที่นนท์นอนพักรักษาตัวอยู่เป็นพักๆ เธอดูประหม่า ไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไร ฉันเองก็พลอยเกร็งตามไปด้วย
“ได้ซิ...ฝ้ายถามมาได้เลย” ฝ้ายนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะ...




“น้ำยังรักนนท์อยู่หรือเปล่า...” ฉันมองหน้าเธอ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ



“น้ำรัก... แต่ในฐานะของเพื่อน ที่จะทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ น้ำกับนนท์ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ฝ้ายก็น่าจะรู้ว่า...”





ฉันอมยิ้ม ไม่ยี่หระกับคำตอบนั้น ตอนนี้ฉันแน่ใจกับตัวเองแล้วจริงๆว่าฉันกับนนท์คืออดีต คือความทรงจำ


ทางของแต่ละคนต่างก็ห่างกันออกไปเรื่อยๆ ฝ้ายเบือนหน้าไป Q&Aระหว่างเธอกับฉันคงไปจบแค่นี้ เธอยังคงมีอะไรที่ยังค้างคาใจอยู่


“แล้วกับเต้ล่ะ...” ฝ้ายหันหน้ากลับมา แววตาดูหม่นเศร้า ฉันมองตอบ ก่อนกระท่อนกระแท่นตอบ ไม่อยากให้ใครพูดถึงเต้ ตอนนี้เลยจริงๆ

“ตอนนี้ ทุกอย่างในชีวิตของน้ำ คือเต้ น้ำขาดเขาไม่ได้จริงๆ แต่ว่า...”



“เธอสองคน มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า...” ฝ้ายดึงมือฉันไปกุมไว้แต่ฉันกลับรู้สึกอึดอัดมากกว่า ฉันพอจะเดาออกว่าฝ้ายรู้สึกอย่างไรกับเต้ ไม่รู้ว่าตัวเองจะควรพูดเรื่องนี้ดีหรือไม่


“เขาไม่คุยกับฉันมาเดือนนึงแล้ว... อาจจะเพราะที่ฉัน... ต้องมาดูแลนนท์ อาจจะเป็นไปได้ว่านี่คือสาเหตุ” ต่อมน้ำตาเริ่มทำงาน ปริ่มๆแต่ก็พยายามกลั้นเอาไว้ ฝ้ายจับฉันเงยหน้าขึ้น และเขย่าตัวฉันเบาๆ


“ต่างคนต่างไม่กล้าแบบนี้ มีแต่จะแย่ลงนะ ไปพูดคุยกันดีๆ เต้ไม่ใช่คนที่เข้าใจอะไรยากเย็นอย่างนั้นหรอกนะ” ฉันเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอตรงๆ พลางเช็ดรื้นน้ำตาที่เอ่อนั้นออก ฝ้ายที่ฉันรู้จัก เวลาเจอเต้ทีไรแทบจะกัดกันทุกครั้งไป กลับกลายเป็นว่าเธอรู้จักนิสัยของเขาข้อนี้ดีในขณะที่ฉันกลับมองข้ามไปเสียสนิท ถ้าอย่างนั้น


“ฝ้าย... พูดอย่างกับ...” ฉันจ้องเธอแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอยิ้มเจื่อนๆและตอบฉันก่อนที่ฉันจะพูดอะไรไปมากกว่านี้

“น้ำ ฉันเป็นเพื่อนกับเธอมานาน ฉันคิดว่าเธอคงดูออกที่ฉันรู้สึก” แววตาของเธอดูเจ็บปวดระคน การเลือกที่จะเก็บงำความรู้สึกดังกล่าวไว้ในใจคนเดียวมาโดยตลอด บัดนี้เธอได้เผยมันออกมาอย่างไม่อาย สมมติฐานของฉันเป้นจริง ฝ้ายชอบเต้จริงๆ

“จริงเหรอ...” ฉันถามย้ำ แทบจะไม่เชื่อตัวเอง ฝ้ายลูบมือที่กุมไว้เบาๆเป็นเชิงปลอบประโลม

“แต่ฉันไม่มีวันทำแบบหวาน ไม่มีทางทำให้เธอกลับมาชอบนนท์เหมือนเดิม ใจเธอไม่ได้อยู่ที่นี่และในเมื่อคนที่เต้รักคือ... ไม่ใช่ฉัน” ฉันอึ้งกิมกี่ จู่ๆฝ้ายมาสารภาพเรื่องนี้กับฉัน แต่ก็ดีที่บอกกันตรงๆ เพราะฉันวางใจเธอมากที่สุดในฐานะเพื่อนคนสำคัญของฉัน ฉันกอดเธอ เธอตบหลังฉันเบาๆ


“ฝ้าย...” ฉันพึมพำเบาๆ



“ฉันเพิ่งเจอเต้ก่อนเธอมาไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ปรับความเข้าใจกันซะ ฉันไม่อยากเห็นเต้ต้องมานั่งบ่นเรื่องเธอกับฉันอีก ฉันคิดว่าเขายังอยู่ในห้องทำงานนะ น้ำไปหาตอนนี้เลยก็ดีนะ ดีกว่าคอยหลบหน้ากันแบบนี้”


ฉันซาบซึ้งเธอมากจริงๆ การแอบรักใครสักคนฉันพอจะเข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่ต้องทนเก็บความรู้สึกไว้เองฝ่ายเดียว แต่การที่ได้เห็นคนรักของตัวเองมีความสุขก็มีความสุขแล้ว ฝ้ายเลือกที่จะรู้สึกอย่างนั้น เพราะว่าฉันหรือเปล่า...

แต่ฉันเชื่อว่าโลกนี้คงไม่ใจร้ายกับเธอหรอกนะ ซักวัน ฝ้ายคงได้พบกับคนดีๆที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตของเธอ... ฉันเชื่ออย่างนั้น


“ขอบใจนะ” ฝ้ายผละตัวฉันออกและต่างลุกขึ้นพร้อมกัน


“ฉันต้องเข้าไปแล้ว พลัมกับแพรจะซนอะไรหรือเปล่าไม่รู้” เธอโบกมือลาฉัน พลางยึกยักกำปั้นแนบกับตัวแทนสัญลักษณ์ให้ฉันพยายามเข้า ฉันโบกมือให้ พลางพยักหน้าตอบ แล้วหันหลังเดินไปห้องทำงานของเต้ทันที















ฉันเปิดประตูเข้าไปข้างในห้อง เป็นจังหวะที่เต้เงยหน้าขึ้นมามองพอดี แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป ฉันปิดประตู
“เต้...” น้ำเสียงของฉันเรืยกชื่อคนที่อยู่ตรงหน้านี้เบาๆ

“มีอะไรเหรอน้ำ...” เต้ยังคงง่วนทำงานต่อไป ฉันรู้สึกอึดอัด เต้ทำราวกับว่าฉันไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น ฉันจำเป้นต้องเอ่ยปากถามเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบและครุมเครือลง


“พักนี้ เหมือนน้ำไม่ค่อยได้เจอเต้เลยนะ งานยุ่งเหรอ”

“งานยุ่งซิ ใกล้เทศกาลแล้ว ต้องมีเตรียมประชุมกันอีก” ฉันถามคำ เต้ตอบคำ อารมณ์ฉันเริ่มกระเจิดกระเจิงไปแล้ว ฉันเดินไปตรงหน้าโต๊ะทำงานเขา
“เพราะน้ำ... น้ำเองก็มีส่วนด้วยใช่ไหม...”

“ไม่ใช่ซะหน่อยน่า... ไว้เดี๋ยวเราค่อยคุยกันทีหลังนะ” เต้ถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย ฉันนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวด้านหน้านั้น หันหน้าไปทางด้านนอกอาคาร รถราเบื้องล่างแล่นควั่กไขว่ เสียงเครื่องยนต์ครางระงมเบาๆเมื่อผ่านเข้ามาด้านใน ฉันตัดพ้อเต้

“น้ำรู้นิสัยเต้ดีนะ มีอะไรเราพูดกันตรงๆไม่ดีกว่าเหรอ” ฉันหันมาทางเต้
“น้ำกับนนท์ ไม่ได้มีอะไรอย่างที่เต้คิดหรอกนะ ต่างคนต่างมาไกลกันมากแล้ว ไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก”

“เรื่องนี้มาบอกกับเต้ทำไม” เต้ละจากเอกสาร มาเผชิญหน้าฉันอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่สายตราดูแข็งกร้าวราวกับฝืนความเจ็บปวดของตนเองเอาไว้ ทำฉันหวาดขึ้นมา แต่ก็ใจแข็งพูดต่อ

“น้ำรู้ดีว่าเพราะเรื่องนี้แหละ เต้น่าจะฟังน้ำบ้างมากกว่าคิดเองเออเองไปคนเดียว”

“ใครบอกว่าคิดเองเออเอง ก็เห็นอยู่ทนโท่แบบนั้น”


เต้ต้อนฉันจนมุม ฉันไม่กังวลอะไร เพราะอย่างไรเขาก็ต้องเข้าใจสิ่งที่ฉันได้ทำลงไป การที่นนท์เอาตัวมารับกระสุนนั้น ฉันจำเป็นที่จะต้องดูแลเป็นการตอบแทน แต่ถ้ามากกว่านี้คงทำไม่ได้
“น้ำ... ไม่ปฏิเสธหรอกนะ แต่น้ำมาพูดกับเต้วันนี้แค่อยากให้เชื่อใจกันบ้าง”


ฉันไม่ใช่ผู้ร้ายปากแข็ง แต่การที่เรากลับมาคบกันอีกครั้งนั้นน่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีว่าฉัน...
ฉันยอมที่จะทิ้งอดีตของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว
“เพราะเต้... เชื่อน้ำ แล้วไงล่ะ สุดท้ายทุกอย่างก็เหมือนเดิม น้ำแค่สงสารเต้เท่านั้น”
เต้ทำท่าจะเดินออกจากห้องนี้ไป ฉันลุกขึ้นทันที
“ไม่ใช่... และน้ำก็รู้ด้วยว่าใจน้ำรู้สึกอย่างไรในตอนนี้”

ฉันวิ่งไปโอบเขาจากด้านหลัง เขาหยุด ฉันซบหน้าของตัวเองกับแผ่นหลังของเต้ พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
 “น้ำ... เต้รักน้ำมากนะ”
“ขอโทษนะ น้ำก็มีแต่เต้คนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกของน้ำมากที่สุด น้ำสัญญาว่าจะใช้ช่วงเวลาที่เหลือของน้ำอยู่กับเต้ให้มากที่สุด น้ำขอแค่...เต้เชื่อใจน้ำ แค่เชื่อใจกัน อย่า... อย่าไปเลยนะ”

ฉันพยายามกอดเขาแน่นยิ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าเต้พยายามจะขืนตัวเองให้หลุดออกไป เขาค่อยๆหมุนตัวกลับมากอดฉันตอบบ้าง พลางลูบหัวเบาๆ
“พูดอะไรแบบนั้น น้ำจะต้องอยู่กับเต้ไปอีกนานเลยนะ”

น้ำเสียงของเขาฟังดูนิ่มนวลขึ้น ฉันสบตาเขา แววตาของเต้ไม่ดูกร้าวแบบเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนที่ฉันรู้สึกและสัมผัสได้ เป็นเต้ที่ใจดีและสุภาพคนเดิมที่ฉันรู้จัก
“แค่ได้ยินคำว่าขอโทษ... ก็หายโกรธแล้วล่ะ”


เต้ค่อยๆโน้มใบหน้าลงมา เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่รู้เรื่องของฉันออกไป
และจุมพิตที่หน้าผากเบาๆ
หน้าของฉันเริ่มแดงเรื่อ... พลันประตูเปิดโผล่งออก



“... ขอโทษนะ... ตามสบายนะจ๊ะ” ฝ้ายรีบปิดประตูทันที ฉันแอบเห็นเธอชูนิ้วโป้งให้เต้ด้วย

“นี่... มันอะไรเหรอ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” ฉันทุบอกเต้ เขายิ้มแห้งๆและกอดฉันแน่นกว่าเดิม ใจฉันเต้นรัวด้วยตื่นเต้น ปนกับความโกรธ

“ถ้าไม่ทำแบบนี้ น้ำก็ไม่ยอมมาสารภาพกับเต้ตรงๆหรอก ว่าแต่เต้ปากแข็ง น้ำก็เหมือนกันแหละน่า...” ที่แท้ก็รวมหัวกันวางแผนนี่เอง งอนแล้วนะ ฉันเบ้ไปทางอื่น ดีละคราวนี้จะเอาคืนบ้างล่ะ คอยดู


“ทำไมถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์น้ำ” ฉันเปิดฉากสอบสวนทันที

“ก็คนมันงานยุ่งจริงๆนี่นา... จะโทรไปก็ดึกแล้ว เลยคิดไม่รบกวนน้ำดีกว่า” ข้างๆคูๆนะ โอเค ยกโทษให้ก็ได้ ต่อไป

“ที่คอนโดก็ไม่อยู่ ถามเขาก็บอกว่าย้ายไปแล้ว นี่มันอะไรกัน...”

“...” เต้นิ่งไป ฉันถมึงตาใส่ จะเค้นเอาคำตอบเสียให้ได้เดี๋ยวนั้นแหละ

“ก็ได้ๆ ดุตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงานเลยนะ... อะนี่...”

เต้ละจากตัวฉัน เดินไปที่โต๊ะ พร้อมดึงโฉนดที่ดินใบหนึ่งออกมา

“ผม... กะจะเก็บไว้เป็นของขวัญให้คุณหลังจากที่เราแต่งงานกัน”

เต้เขินเล็กน้อย  ก่อนยื่นให้ ฉันรับอย่างไม่เต็มใจเท่าไร ทันทีที่ได้ดู แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง มือไม้สั่น รีบวางโฉนดแผ่นนั้นลง

“บ้านของเรา...”
 เต้เดินอ้อมโต๊ะมาประคองไหล่ฉันไว้ พลางชิดตัวฉันมากขึ้น
เราสื่อสารทางสายตาอย่างเข้าใจ รับรู้ถึงความต้องการของกันและกัน

ริมผีปากของเต้เลื่อนต่ำลงมา ฉันหลับตาตอบรับสัมผัสนั้น

ช่างเนิ่นนาน อ่อนหวาน แทบจะลืมเลือนวันเวลาที่หมุนผ่านไปเรื่อยๆ

“เต้ไปรับชุดมาแล้วนะ” เสียงของเต้พลันเอ่ยขึ้นเบาๆ ทำเอาฉันหลุดออกจากพะวังของรสจูบที่เขาหยิบยื่นให้

แก้มของฉันสีเข้มขึ้น เราละจากอ้อมกอดของกันละกัน
เต้จูงฉันไปดูชุดแต่งงานที่แขวนไว้มุมห้อง ฉันแทบจะไม่ทันได้สังเกต 
ชุดกระโปรงสีขาวยาวประดับมุขและลูกไม้ ฉันกุมปากของตัวด้วยด้วยความตื้นตัน
ที่ผ่านมามัวแต่กังวลเรื่องของเต้จนลืมเรื่องงานแต่งงานไปเสียสนิท
เต้ยังคงให้ความสำคัญฉันอยู่เสมอ ความรักที่เขามีให้ฉันยังคงสม่ำเสมอไม่ลดเลือนไป




เราเดินทางมาสู่จุดสำคัญจุดหนึ่งที่ใครหลายคนปรารถนา...






การแต่งงาน...

***



ปั่ น ป่ ว น

  • บุคคลทั่วไป
เอร้ยยยยย จะแต่งงานกันแล้ว
.
.
หวังว่า น้ำกับเต้ จะสมหวังกันนะ  o7

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป









นาทีนี้ เราสองคนได้กลายเป็นสามีภรรยาโดยสมบูรณ์ ชีวิตคู่กำลังเริ่มต้น ฉันป้องมือบังแสงแดดเจิดจ้าที่เริ่มเผยออกมาจากกลีบเมฆ ราวกับเปิดทางให้กับรูปแบบชีวิตที่ฉันเฝ้าปรารถนา ฉันมองคู่ชีวิตที่ยื่นอยู่เคียงข้างกันด้วยความชื่นชมเสมอ ไม่น่าเชื่อว่าทางเดินของเราทั้งคู่จะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง


















บทที่สิบแปด



   ฉันนั่งอยู่หน้ากระจกห้องแต่งตัว ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ตื่นเต้นจังที่ได้ใส่ชุดเจ้าสาว ไม่น่าเชื่อเลยว่าตนเองจะมีโอกาสอย่างเช่นวันนี้ ด้วยความที่ฉันประหม่าเกินไปหรือเปล่า ทั้งช่างแต่งหน้าและทำผมคอยเอาแต่ดุว่าฉันให้อยู่นิ่งๆเสียบ้าง โดยเฉพาะหน้าต้องคอยลบแล้วแต่งใหม่อยู่เรื่อย

   ชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธ์ที่ฉันได้แต่เฝ้าฝันว่าครั้งหนึ่งจะมีโอกาสได้สวมใส่มันสักครั้ง แทบไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ฉันจะได้รับโอกาสนั้น ฉันลูบไล้เนื้อผ้านั้นเบาๆ พิสูจน์ว่าตัวฉันไม่ได้ฝันไป ฉันก้มหน้าให้ช่างแต่งผม กลัดผ้าคลุมโดยดี ฉันมองภาพของตัวเองในกระจกราวกับมีใครบางคนที่ไม่ใช่ตัวของฉันอยู่ตรงหน้านั้น เธอพิศซ้ายพิศขวาดูความงามของตัวเอง และปรายยิ้มเล็กน้อย ผมเกล้าเป็นมวยเก็บไว้ มีปอยผมดัดตกลงมาเล็กน้อยไม่ให้ดูเรียบจนเกินไป ฉันหยิบจี้กางเขนที่ถอดวางไว้กับโต๊ะเครื่องแป้ง อธิษฐานให้งานวันนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดี

แม้บ้านของฉันจะไม่ใช่ครอบครัวคริสเตียน แต่พ่อกับแม่ก็ยินยอมให้ฉันจัดงานตามพิธีทางศาสนาที่ฉันนับถือนี้ ด้วยความอนุเคราะห์ของท่านสาธุคุณที่กรุณาให้ฉันจัดงานแต่งงานได้ในโบสถ์เล็กๆแห่งนี้ แม้ในตอนแรกฉันจะกังวลกับข้อห้ามที่ปรากฏในพระคัมภีร์นั้นก็ตาม

งานเล็กๆที่มีแขกเหรื่อคือคนในครอบครัวและคนรู้จักเพียงไม่กี่คน
ไม่มีการจดทะเบียนสมรสเป็นหลักฐาน เป็นเครื่องผูกมัด
แต่สิ่งที่เรามี คือ ความรัก คือความเชื่อมั่นและเชื่อใจกันและกัน ที่เพาะบ่มมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน
บัดนี้ พร้อมที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์

“ไงลูกสาวของแม่ วันนี้สวยจริงๆเลยนะจ๊ะ” แม่เกาะไหล่ฉัน เอ่ยชมเบาๆ ฉันคว้ามือของแม่ไว้และหมุนตัวไปหาเจ้าของเสียงนั้น
“แม่คะ หนูตื่นเต้นจัง พ่อไปไหนแล้วละคะ” ฉันลืมตัวบีบมือของแม่เสียแน่น ท่านไม่ว่าอะไร นั่งลงข้างๆและลูบใบหน้าของฉันเบาๆ
“พ่อเขาไปดูความเรียบร้อยในงานอยู่น่ะ เราอยู่กันสองคนน่ะดีแล้ว นี่แม่มีของจะให้นะ”

แม่ส่งซองสีขาวให้ ฉันรับไปเปิดดูภายใน สมุดบัญชีเงินฝากสีซีดจาก พิมพ์ชื่อฉันประทับไว้ ฉันเดาได้ไม่ยากว่าท่านทั้งสองเพียรสะสมมาตั้งแต่ฉันยังเด็กจนกลายเป็นเงินก้อนหนึ่งโดยที่ฉันไม่ทราบมาก่อน
“แม่คะ แต่นี่มัน...”
“รับไว้เถอะจ๊ะ ลูกควรเก็บเอาไว้ คิดเสียว่าเป็นของขวัญวันแต่งงานจากพ่อกับแม่ละกันนะ” แม่ยัดเยียดให้ฉันรับเอาไว้ เป็นทุนเมื่อใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันกับเต้ อันที่จริงแล้ว ฉันไม่อยากจากพวกท่านไปไหน อยากอยู่ใกล้ๆท่านมากกว่า แต่เต้พยายามโน้มน้าวจนทั้งสองยินยอมให้ฉันย้ายออกไปอยู่ด้วย

“ขอบ... ขอบคุณนะคะ แม่...” ฉันประนมมือกราบแทบตักของแม่ ที่ผ่านมาฉันไม่ได้ทำตัวให้เป็นลูกที่ดีเท่าไร รังแต่ป่วยกระเสาะกระแสะให้พ่อต้องคอยเป็นกังวลตลอด ท่านประคองฉันขึ้นมา ซับน้ำตาเบาๆ

“อย่าร้องไห้นะ เดี๋ยวไม่สวยหรอกนะ” แม่ล้อฉันอายุอานามจะปาไปเลขสามยังจะมาทำขี้แยอีก
“แม่คะ...” ฉันสะอื้นเบาๆ สีหน้าของแม่ราวกับอ่านใจฉันออก ท่านเอ่ยสั้นๆ
“ว่างๆ ก็มาเยี่ยมพ่อกับแม่นะ”

“ค่ะ” ฉันตบปากรับคำ ฉันจะไม่มีวันลืมพ่อกับแม่ที่มีบุญคุณกับฉันมาตลอดไปได้ แม้เพียงน้อยนิดหากสามารถทำให้ท่านทั้งสองมีรอยยิ้ม มีความสุขได้ ฉันยินดีทำสุดกำลังความสามารถที่ตัวเองมีเลยทีเดียว

“น้ำ... น้ำ... อยู่หรือเปล่า... เธอสวยจัง...” ฝ้ายตะลีตะลานเข้ามา หายใจเหนื่อยหอบ พลางเอ่ยปากชมฉัน ฉันยิ้มให้ แม่หันไปทักทายเธฮ เธอไหว้แม่ของฉัน
“มีอะไรเหรอจ๊ะ หนูฝ้าย” แม่เกริ่นถามด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวล

“คุณนุสบาถามหาคุณน้าน่ะค่ะ พิธีใกล้เริ่มแล้ว”
“รู้แล้วจ๊ะ งั้นเดี๋ยวแม่ออกไปก่อนนะจ๊ะ ประเดี๋ยวพ่อคงมารับลูกนะจ๊ะ” แม่ตอบเธอและลุกขึ้น ท่านหอมแก้มฉันเบาๆและตามฝ้ายออกไป ฝ้ายยักคิ้วหลิ่วตาให้
“น้ำจะตามไปนะ” ฉันหัวเราะเบาๆ มองตามแม่จนประตูปิดลง ก่อนหันกลับมาจันหน้ากับกระจกอีกครั้ง ช่างแต่งหน้า ช่างแต่งผมจับกลุ่มเม้ากันอยู่อีกมุมห้อง โปรยยิ้มให้ฉันเสียหลายครั้ง ฉันหมุนซ้ายขวาตรวจดูความเรียบร้อยก่อนจะลุกออกไป





พลันเจ็บทรมานในอก ฉันเกือบเสียหลักล้มลงกับพื้น โชคดีที่มือยังป่ายเกาะขอบโต๊ะเครื่องแป้งไว้ ฉันเหลียวดูคนกลุ่มนั้น พวกเธอยังเพลิดเพลินกับการคุยอย่างออกรส ไม่ทันได้สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นทางนี้ ฉันทรุดลงนั่งตามเดิม หายใจเข้าออกช้าๆ ปรับให้ร่างกายกลับมาดีดังเดิม

“แค่ก... แค่ก...” ฉันรีบคว้ากระดาษทิชชู่มาซับเลือด บนโต๊ะออกไป อีกทั้งซับเลือดกำเดาที่จู่ๆก็ไหลออกมาไม่รู้ตัวตามมานั้น ฉันเงยหน้าขึ้น ความคาวขอเลือดที่ไหลคอนั้น ทำฉันแทบคลื่นไส้ ฉันหยีตาเล็กน้อยก่อนมองไปเบื้องบน มือทั้งสองข้างเกาะกุมกัน อธิษฐาน

“ขอร้องละ อย่าเป็นอะไรไปเลยนะ พระผู้เป็นเจ้าคะ ขอน้ำได้ไหม แค่วันนี้ ได้โปรดเถอะคะ”
เมื่อแน่ใจว่าเลือดหยุดไหลแล้ว ก้เอาทิชชู่ออก พร้อมซับคราบเลือดออกไม่ให้เหลือ ตบแป้งกลบ พยายามฝืนที่จะไม่ไอออกมา ฝืนยิ้มเจื่อนหน้ากระจก



“น้ำ ได้เวลาแล้วล่ะ” พ่อเดินเข้ามาในชุดสูทสีขาวเต็มยศ พร้อมกับฝ้าย ที่ฉันเชิญมาเป็นเพื่อนเจ้าสาว เด็กแฝดก็มาในชุดกระโปรงระบายสีขาว ทำหน้าเป็นเด็กถือแหวน ฉันโกยเศษทิชชู่ทิ้งลงใต้โต๊ะ เดินออกมาพร้อมกับพ่อเตรียมเข้าไปภายในโบสถ์


พิธีจุดเทียนเริ่มขึ้นไปแล้ว โดยลูกพี่ลูกน้องของฉัน เธอทั้งคู่ยังเป็นเด็กสาวอายุไล่เลี่ยกัน พ่อกับแม่เป็นคนชักชวนให้มาร่วมพิธี พวกเธอนำเทียนเปล่าไปต่อไฟจากแท่นเทียนที่อยู่ด้านหน้าของโบสถ์ และนำไปจุดยังเชิงเทียนด้านซ้ายขวา เป็นการเริ่มต้นพิธี

เปียโนและดนตรีอื่นบรรเลงขึ้นต้อนรับ ประตูโบสถ์เปิดออก พลัมและแพรเดินนำอาดๆ คนหนึ่งโปรยกลีบอกไม้สีขาวและแดงทั่วทางเดิน ส่วนอีกคนถือถาดแหวนหมั้นตามมา แขกเหรื่อพลันลุกขึ้นอย่างรู้หน้าที่ และเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าสาว ฉันเดินก้มหน้างุดค่อยๆเดินอย่างระมัดระวัง เกรงว่าจะเงอะงะเหยียบชายกระโปรงชุดของตัวเองเข้า  พ่อของฉันยืดอกเดินควงฉันมาข้างๆในฐานะพ่อของเจ้าสาว ฉันแอบสบตาท่านแว่บหนึ่ง ท่านส่งยิ้มให้ราวกับต้องการปลอบใจฉันว่าไม่ต้องเกร็ง

ฉันมองตรงไปเบื้องหน้า ทุกสิ่งล้วนแปลกตาและน่าอัศจรรย์ใจ ดอกไม้สีขาวแซมสีแดงจัดเป็นช่องดงามประดับอยู่รายรอบบริเวณ ฉันประคองช่อดอกไม้ที่ถือไว้อย่างมั่นคง ผ่านที่นั่งแขก ทั้งที่เป็นญาติของเต้ และของฉัน


พลันสายตาไปพบกับนนท์ เขานั่งอยู่ทางซ้ายมือ ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร







***
 หลังจากที่ปรับความเข้าใจกับเต้เรียบร้อยแล้ว ฉันเองยังคงสามารถมาเยี่ยมนนท์ได้ตามปกติโดยที่เต้ไม่ได้ว่าอะไร อาจเป็นเพราะเขาวางใจฉันมากขึ้นก็ได้ และเป็นจังหวะบังเอิญที่วันนั้นฉันได้พบกับแม่ของนนท์อย่างไม่ได้ตั้งใจ
“นี่... เธอเองหรอกเหรอ...” เธอเอ่ยปากทักทายอย่างไม่เต็มใจนัก ฉันละมือจากลูกบิดประตูและยกมือไหว้เธออย่างเกรงๆ
“สวัสดีค่ะ คุณน้า สบายดีเหรอคะ” เธอรับไหว้อย่างขอไปที และพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้ดูโอภาปราศัยและเป็นมิตรมากขึ้น
“ก็ตามประสาคนแก่แหละจ๊ะ ขอบใจนะที่เป็นธุระมาเฝ้าให้ รู้สึกตานนท์จะดีวันดีคืนเร็วเหลือเกิน”
“เอ่อ... ไม่หรอกค่ะ หนูแค่” ฉันบอกปัดไป พลางเหลือบมองที่เตียงนนท์ครู่นึง เธอเหลียวไปมองตาม


“นี่เขาหลับแล้วใช่ไหม”
“ใช่ ได้พักใหญ่แล้ว” เธอหลีกให้ฉันวางของฝากลงบนโซฟา ก่อนจะพยักเพยิดให้ฉัน
“ตามฉันออกมาคุยข้างนอกหน่อยซิ” ฉันเดินตัวงอตามไป ปิดประตูห้อง เธอหันมาจันหน้าฉัน และยิ้มมุมปากเย้ยเล็กน้อย
“ฉันรู้เรื่องแล้ว ตัวการของเรื่องนี้ก็คือเธอนี่เองละซินะ”

“หนูเปล่านะคะ ที่จริง เรื่องนี้...” ฉันจ้องเธอไม่วางตา รู้สึกอึดอัดเหลือเกิน อีกฝ่ายแทรกขึ้นมาขณะที่ฉันพูดยังไม่ทันจบ
“ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจเสียทีนะว่า เรื่องของเธอกับนนท์น่ะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เขามีครอบครัวแล้วนะ ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดีแต่เพราะเธอคนเดียวที่พังมัน” เธอเปิดฉากต่อว่า ฉันรีบสวนกลับทันควัน ในเมื่อครั้งนี้ฉันไม่ได้เป็นฝ่ายผิด และฉันก็มีสิทธิที่จะปกป้องตัวเอง

“ที่ผ่านมา หนูไม่ได้ติดต่ออะไรกันกับนนท์ แทบไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร สบายดีไหม หนูทราบดีค่ะว่าคุณน้ารู้สึกอย่างไร หนูบอกคุณน้าได้แค่ว่า พอเขาหายดี ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว เราก็จะไม่มีอะไรต้องเกี่ยวโยงกันอีก” แม่ของนนท์ดูจะอึ้งๆไป เธอยังหยั่งเชิงฉันต่อ

“ครั้งนี้น่ะ ฉันจะเชื่อเธอได้มากแค่ไหนล่ะ” ฉันหยิบการ์ดในกระเป๋าสะพายและยื่นให้เธอ เธอพินิจมันครู่หนึ่งก่อนวางสีหน้าเรียบเฉย
“งั้น... ก็วันนี้เลยค่ะ ฝากบอกเขาด้วยนะคะ เดือนหน้าหนูจะแต่งงานแล้ว ขอบคุณที่ช่วยชีวิตและดีกับหนูมาตลอด”

“ดีมากจ๊ะ น้าก็ขออวยพรให้หนูมีชีวิตคู่ที่มีความสุขตามแบบคนประเภทอย่างหนูละกันนะ” ริมผีปากทรงกระทะคว่ำค่อยๆปรับเป็นหงาย แต่ยังไม่วายจิกกัดด้วยวาจาที่ไม่ค่อยรื่นหูเท่าไรนัก ฉันคงไม่ต้องถือสาอะไร จะถือเสียว่านั่นเป็นคำอวยพรละกัน
“ขอบคุณค่ะ งั้นหนูลานะคะ” ฉันไหว้ลาเธอ แต่ไม่ทันไรเสียงหนึ่งร้องปรามเอาไว้



“น้ำ...” นนท์เดินออกมาพร้อมกระปุกน้ำเกลือ สายตาเว้าวอนวิตก ฉันมองสีหน้านั้น รู้สึกว่าฉันควรจะจากไปเร็วกว่านี้
“จะ... กลับแล้วเหรอ น้ำ... แม่พูดอะไรกับน้ำ น้ำ...ผมไม่อยากให้น้ำไปอีก” แม่ของนนท์หลบสายตาเขาไป ฉันรีบกลบเกลื่อนไม่ให้เกิดเรื่องลุกลาม ไม่ให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องเสื่อมถดถอยลง

“คุณน้าไม่ได้พูดอะไรกับน้ำหรอกนะ แต่อาการของนนท์ก็ดีขึ้นแล้ว มันถึงเวลาที่น้ำต้องไปจริงๆเสียที” ฉันฝืนๆยิ้มให้ นาทีนี้ ฉันควรจะตัดให้ขาดจริงๆ ฉันกำสายสะพายกระเป๋าไว้กับลำตัวแน่น บรรเทาความประหม่าของตัวเองลง

“...” ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากปากของนนท์ เขาก้าวมาข้างหน้าช้าๆ แม่ของนนท์คอยดูอยู่ห่างๆก่อนหลบฉากเข้าไปในห้อง เหลือเพียงเราสองคนบนทางเดินที่ทอดยาวไปทั้งสองฝั่ง ฉันยิ้มให้เขา รอยยิ้มสุดท้ายที่จะมีให้เขาได้ หน้าที่ของฉันหมดลงแล้ว

“ขอบคุณนะ นนท์ กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเพื่อน้ำ”

“พูดแบบนั้น ทำไม... นนท์ต้องขอบคุณน้ำมากกว่า” นนท์โอบร่างฉันไว้ด้วยตระถึงความพ่ายแพ้ของตนเอง จวนเจียนจะร้องไห้ ฉันยืนนิ่งยอมให้นนท์กอดโดยดี ไม่มีทางที่จะลืมเลือนเรื่องราวดีๆที่เราเคยคบกัน เนิ่นนานเหลือเกิน

“นนท์... แม่ของนนท์มองอยู่นะ” ฉันเหลือบมองประตู แม่ของนนท์ส่งสายมาอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก นนท์กระชับอ้อมกอดนั้นไว้แน่นขึ้น ใบหน้าของฉันแนบชิดกับอกแกร่งที่ฉันเคยคุ้น รอยแผลกระสุนยังคงพันไว้อย่างหลวมๆ คงจะทิ้งรอยแผลเป็นจางๆติดตัวของนนท์ไปตราบที่เขามีลมหายใจอยู่

“ช่างเถอะ นนท์ขอแค่นี้เท่านั้น เพราะต่อไปนนท์จะกอดน้ำไว้แบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว นนท์ดีใจที่น้ำได้เจอคนดีๆอย่าง... เต้...” นนท์ร้องไห้เบาๆ น้ำตาของเขารินหยดลงบนเส้นผมและแก้ม ฉันเอื้อมมือไปเช็ดเบาๆ มือของเต้คลายจากการที่กอดฉันเมื่อครู่ เกาะกุมมือข้างนั้นของฉันไว้แทน

“ดูแลตัวเองดีๆด้วยล่ะ สองคนนั้นเป็นเด็กที่น่ารัก นนท์ต้องทำหน้าที่พ่อที่ดีด้วยล่ะ รักลูกๆให้มากด้วยนะ” เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องกล่าวคำอำลาแก่เขา แต่ต่างกันตรงที่ครั้งนี้ เราต้องจากกันอย่างถาวร ฉันไม่มีทางที่จะกลับมาคบกับนนท์ได้อีก นนท์ปล่อยมือและก้าวถอยหลังไป ฉันกลับหลังเดินจากไป



“โชคดีนะ...”
“อื้อ...โชคดีนะ” แม้จะรู้ดีว่าลึกๆนนท์ยังคงรู้สึกที่ค้างคาและไม่อยากสูญเสียฉันไป แต่ฉันเชื่อว่าสักวันนนท์คงจะได้พานพบกับสิ่งดีๆตามมา ในฐานะของเพื่อนคนนี้ ยินดีที่จะเป็นกำลังใจให้เขาเสมอ









***
เต้ในชุดทักซิโด้สีขาวยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นพิธี ขยับตัวหันมองฉันด้วยใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติยินดี น้องพลัมและแพรเดินไปนั่งลงข้างๆกันกับพ่อของนนท์และแม่ของนนท์ ฉันยิ้มให้ท่านทั้งสอง

“ใครเป็นผู้มอบเจ้าสาวให้กับเจ้าบ่าวในวันนี้...” ท่านสาธุคุณเอ่ยถาม พ่อหันมาหาฉัน ท่าทางจะลืมบทที่อุตส่าห์ซ้อมมาอย่างยากเย็น ฉันกระซิบท่านเบาๆ พ่อยิ้มแห้งก่อนตอบไป

“ข้าพเจ้า นาย... บิดาของ... เป็นผู้มอบ”
 พ่อส่งตัวของฉันให้เต้ประคองขึ้นไปบนแท่นพิธี ทั้งคู่กระซิบซาบกันระยะหนึ่ง เต้หัวเราะเบาๆและพยักหน้ารับคำ พ่อตบไหล่เขาเบาๆ และเดินแยกไปนั่งที่ ฝ้ายยืนอยู่ตรงฝั่งฉัน ส่วนเพื่อนเจ้าบ่าวอีกคนยืนอยู่ข้างๆเต้

ฉันกวาดสายตาไปรอบๆบริเวณอีกครั้ง ทุกคนต่างยิ้มแย้มร่วมยินดีกับงานที่เกิดขึ้นนี้ แม่งึมงำๆกับพ่อก่อนพยักหน้า ลิ่วล่อให้ฉันหันกลับไป เริ่มต้นทำพิธีกรรม

ท่านสาธุคุณ ผู้ประกอบพิธีอ่านพระคัมภีร์ ในส่วนของการใช้ชีวิตคู่ ภาระหน้าที่ที่เราพึงปฏิบัติต่อกันยามที่เราเป็นสามีภรรยากัน ฉันมองหน้าเต้อย่างขัดเขินภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้น เต้ขยับตัวเล็กน้อยไม่ให้เกร็งเกินไป ยิ้มให้ฉัน ฉันส่งสายตาดุไปแทนการบอกให้เขาตั้งใจฟังพระคัมภีร์ในส่วนนี้อย่างจริงๆจัง
ท่านสาธุคุณปิดพระคัมภีร์ เริ่มต้นพิธีกล่าวคำปฏิญาณ

“คุณ... จะรับชายผู้นี้เป็นสามี ไม่ว่าในยามสุขหรือทุกข์ มั่งมีหรือยากจน สบายดีหรือเจ็บป่วย จะซื่อสัตย์และมั่นคงต่อเขาผู้เดียว หรือไม่” ท่านมองหน้าของฉัน ฉันมองแววตาที่อ่อนโยนคูนั้นของเต้ ก่อนพลั้งคำตอบมาโดยไม่ลังเล
“รับค่ะ”

“คุณ... จะรับหญิงผู้นี้เป็นภรรยา ไม่ว่าในยามสุขหรือทุกข์ มั่งมีหรือยากจน สบายดีหรือเจ็บป่วย จะรักและซื่อสัตย์ต่อเธอตราบลมหายใจจะสิ้น หรือไม่” ท่านหันไปทางเต้ เต้ก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อย ชำเลืองมาทางฉันก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น


“รับครับ”
ฉันอมยิ้มเล็กๆ มือของเต้คว้ามือของฉันไว้ ฉันตื้นตันเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ เรามองตากันเป็นพักๆ ท่านสาธุคุณยิ้มให้และทำพิธีต่อ


“ในที่นี้ มีใคร ต้องการคัดค้านการแต่งงานของทั้งคู่หรือไม่” ฉันสะดุ้งกับคำกล่าวนั้น เหลือบไปมองด้านหลังอย่างระแวง เต้เองก็เกือบซีดไปเหมือนกัน แขกเหรือหันรีหันขวา ฉันไม่ได้สังเกตเลยว่านนท์ไม่ได้อยู่ในห้องพิธีแล้ว เขาออกไปตอนไหนไม่รู้เลย

พักหนึ่ง ท่านสาธุคุณก็ให้น้องพลัมและหลานของเต้อีกคนเดินนำแหวนมา เราต่างสวมแหวนแลกสัญญาพันธะผูกพันระหว่างกัน ฉันยื่นมือรับแหวนวงนั้นที่เต้บรรจงสวมให้ แหวนทองสีชมพูเกลี้ยงประดับอยู่บนนิ้วนางมือซ้ายของฉันอย่างพอดี แทนแหวนเพชรเดิมที่เต้เคยใช้หมั้นฉันไว้ เต้เองก็รับแหวนทองคำ วงที่เคยเป็นของพ่อของฉันไปอย่างเต็มใจ หน้าของฉันเริ่มแดงระเรื่อ เต้จ้องฉันอย่างไม่ละสายตาไปไหน
จู่ๆกลับเกิดหน้ามืดขึ้นมาดื้อๆ ฉันเซถลาไปหาเขา เต้ประคองฉันไว้

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าน้ำ” สีหน้าของเต้ดูเป็นวิตกกังวล ฉันยิ้มกลบเกลื่อน จับไหล่ประคองตัวเองยืนขึ้นตาเดิม
“ไม่มีอะไรหรอกเต้ คงแค่หน้ามืดนิดหน่อย น้ำคงตื่นเต้นมากไปนะ”

“งั้นทำพิธีต่อเลยนะครับ” เต้หันไปบอกท่านสาธุคุณ ท่านพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ และยื่นเอกสารให้เราทั้งคู่เซ็นต์ เป็นการยืนยันสถานะภาพของเราทั้งคู่ที่กำลังจะกลายเป็นครอบครัวอย่างสมบูรณ์

เราต่างลงนามด้วยชื่อของตัวเอง แม้จะไม่ใช่ทะเบียนสมรสจริงๆก็ตาม แต่อย่างน้อยสิ่งนี้ก็เป็นหลักฐานว่าเราทั้งคู่คือคนคนเดียวกัน เต้กอดประคองฉันไว้ ท่านสาธุคุณเซ็นรับรองและส่งคืนให้เราทั้งคู่

ลูกพี่ลูกน้องของฉันทั้งคู่เดินนำเทียนที่จุดแล้วมาให้เราทั้งคู่ ฉันเดินไปจุดเทียนทางด้านซ้าย เต้จุดเทียนทางด้านขวา แล้วย้อนกลับมาจุดเทียนตรงกลาง เป็นเสร็จพิธีกรรมจุดเทียนครอบครัว ทั้งสองรับเทียนของเรากลับไป ท่านสาธุคุณกล่าวอวยพรและประกาศ



“ข้าพเจ้าขอประกาศว่า บัดนี้ทั้งสองได้เป็นสามีภรรยากันโดยสมบูรณ์”



เสียงปรบมือดังกึกก้องระงม ทุกคนต่างลุกขึ้น
“ยินดีด้วยนะ”
“ยินดีด้วย...”


ฉันเกาะแขนเต้เดินอออกมา กลีบดอกไม้โปรยปรายลงมาราวกับสายฝนแห่งความปรีดี เราต่างคนต่างมองหน้ากันด้วยความเคอะเขินระคนปลาบปลื้มใจ
“เอาล่ะโยนช่อดอกไม้มาเลยนะ คอยดูงานหน้าฉันจะเป็นเจ้าสาวเอง” เพื่อนๆของทั้งฉันและเต้ออตรงประตูทางออก ฉันหันไปถามความเห็นของเต้ แทบจะไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมา เต้พยักหน้าให้ฉันโยนช่อดอกไม้ตามแรงยุ

ช่อดอกไม้หมุนคว้างขึ้นไปเบื้องบน สาวๆต่างตะลีตะลาน จดจ่อเคลื่อนไปตามจุดที่ช่อดอกไม้ลอยไปนั้น ราวกับเป็นจราจลย่อยๆ


“อ๊า...”
“ว้าย...” สาวๆส่งเสียเซ็งแซ่ หมายจะคว้าช่อดอกไม้นั่นไว้เป็นของตนเองเต็มประดา ดอกไม้ตกกลืนหายไปในกลุ่มคน ก่อนเฉลยตัวผู้เป้นเจ้าของช่อดอกไม้นั่นอย่างน่าประหลาดใจ

“แหมทันทีเลยเชียวนะ ฝ้าย” เพื่อนคนนึงของฉันเย้า ฝ้ายเอียงอายและเปล่งรอยยิ้มนิดๆ เธอชำเลืองมาทางฉัน ฉันกับเต้หัวเราะเบาๆ เธอตัดพ้อ...
“อย่ามองอย่างนั้นสิ...”


จากวัยรุ่นชายที่เล่นหยอกล้อในสมัยมัธยมปลาย สู่เพื่อนที่สนิทสนมและรู้ใจ เราต้องจากกันเพื่อไล่ตามความฝันของแต่ละคน


ฉันก้าวสู่ตำแหน่งบริหารที่สูงขึ้น

เต้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถและได้รับการยอมรับ

อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้เราได้พบกันอีกครั้ง

ความรู้สึกของเต้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง จะมั่นคงและแน่ชัดขึ้นเรื่อยๆ

เต้ได้พิสูจน์ให้ฉันเห็นแล้ว

ฉันเองที่หลุดวงโคจรไป

แต่เวลาก็ได้เยียวยาและรื้อฟื้นความสัมพันธ์นั้นใหม่

ฉันตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับคนคนนี้ คนที่อ้าแขนรอฉันเสมอ ไม่รังเกียจสิ่งที่ฉันเป็น

นาทีนี้ เราสองคนได้กลายเป็นสามีภรรยาโดยสมบูรณ์

ชีวิตคู่กำลังเริ่มต้น

ฉันป้องมือบังแสงแดดเจิดจ้าที่เริ่มเผยออกมาจากกลีบเมฆ

ราวกับเปิดทางให้กับรูปแบบชีวิตที่ฉันเฝ้าปรารถนา ฉันมองคู่ชีวิตที่ยื่นอยู่เคียงข้างกันด้วยความชื่นชมเสมอ


ไม่น่าเชื่อว่าทางเดินของเราทั้งคู่จะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง



จากนี้ไป อนาคต... เราจะสร้างมันร่วมกัน


















จบภาค 2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2008 11:43:30 โดย christiyaturnm »

ออฟไลน์ -~iK@iZ_KunG~-

  • Tomorrow Never Die!!!
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-2
รออ่านตอนต่อไปนะครับ


รีบ ๆ มาต่อด้วยครับ

fc_uk

  • บุคคลทั่วไป

รีบ ๆ มาต่อด้วยครับ

 :freeze: :freeze: :freeze: :freeze:



มาเปงกะัลังจวยคนแต่ง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
อ่านจบภาค2แล้วก็ย้อนไปอ่านบทนำภาคแรก :m29:
ท่าทางจะเศร้า ไม่อยากเลยอ่ะ กำลังจะได้มีความสุขกับเต้อยู่แล้วเชียว :m15:
ยังไงก็ขอให้ไม่เศร้ามากนะค่ะอาร์ :m13:

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป










“คนเราอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องหนักนิดเบาหน่อย ให้อภัยกันได้ก็อภัยกันซะ จะได้อยู่กันยืด”


















บทที่สิบเก้า





ฉันจอดรถไว้ในโรงรถ หอบข้าวของสัพเพเหระต่างๆ มองดูบรรยากาศเดิมๆอย่างถอดใจ
ช่วงเวลา5-6 เดือนที่ผ่านมานั้น เราทั้งคู่ต่างยุ่งวุ่นวายกับงานของตัวเอง ไม่มีเวลาให้กันและกันเท่าไร  พูดคุย พบปะกันแทบจะนับครั้งได้
ฉันวางของไว้หน้าบ้าน พลางย้อนกลับมาล็อกรถ คลำหากุญแจบ้านในกระเป๋าสะพายอย่างทุลักทุเล เมื่อพบก็รีบไขและปฏิบัติการณ์เป็นยัยบ้าหอบฟางต่อ
ระหว่างที่จัดของเข้าที่เข้าทางอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเบาๆ ฉันรีบรับด้วยความตื้นตัน
“ฮัลโหล... เต้อยู่ไหนแล้วเนี่ย” ฉันรัวพูดตัดหน้าก่อน อยากให้เต้กลับบ้านมาเร็วๆ
“น้ำ วันนี้ผมมีคิวผ่าตัดนะ ตอนนี้ยังกลับไม่ได้ ขอโทษนะ ทานข้าวไปก่อนละกันไม่ต้องรอ” เต้พูดอย่างอิดหนาระอาใจ ฉันหน้าเจื่อนลงทันที รอยยิ้มเมื่อครู่พลอยหดหายเข้ามุมปากเสียหมด
“แต่... เต้...” ฉันพยายามทัดท้วง ขณะที่สายตาและมือแยกของในถุงออกมาพลาง
“มีอะไรไว้คุยกันที่บ้านนะ... ผมต้องไปแล้ว” เต้ตัดสายไปแล้ว ฉันถอนหายใจกับโทรศัพท์และวางมันลงข้างตัวช้าๆ
เป็นอีกวันที่ฉันต้องอยู่คนเดียว
หน้าที่ของแพทย์ไม่เหมือนกับผู้บริหารอย่างฉัน อาชีพของเขาคือการเสียสละเพื่อคนส่วนใหญ่ บางครั้งฉันก็จำเป็นที่จะออกไปพบปะผู้คนมากกว่าที่จะอยู่บ้าน ต่างคนต่างพอกัน ไม่มีใครถูกผิด ที่ทำได้ คือการทำใจยอมรับ
ฉันพันผ้าเช็ดตัว เดินตัวปลิวออกมาจากห้องน้ำ พลันสายตาเหลือบไปเห็นชุดกระโปรงที่ตัวเองเพิ่งซื้อมาได้กี่วัน ฉันพิศดูซ้ายขวาก่อนจะลองสวมดู พลางอวดโฉมตัวเองในบานกระจก ยิ้มกับตัวเองอย่างพอใจ
ฉันใช้เวลาแต่งหน้าทำผมอีกครู่ใหญ่ แล้วละเลียดลงไปชั้นล่าง เปลี่ยนผ้าปูโต๊ะอาหารใหม่ให้สีสดกว่าเดิม จัดดอกไม้ และโทรสั่งอาหารจากร้านโปรดของเต้ ที่ฉันเคยไปเลียบๆเคียงๆขอเบอร์โทรไว้
เสื้อผ้า หน้า ผม อาหาร สถานที่ บรรยากาศก็พร้อมแล้ว ฉันอุ้มกล่องของขวัญไว้ที่ตักพลางเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง เวลาผ่านเลยไป เต้ก็ยังไม่กลับมา ฉันเหวี่ยงของขวัญที่ตั้งใจเตรียมไว้แก่เขาลงเก้าอี้ตัวข้างๆอย่างไม่ใยดี เกือบเที่ยงคืนแล้วเหรอ ฉันบ่ายหน้ามองหน้าบ้าน ผ่านม่านที่แง้มไว้เล็กน้อย มีเพียงแสงไฟสลัวๆบนหัวเสาไฟ กับความว่างเปล่าแทบทุกครั้ง
เต้คงยุ่งอยู่ ฉันได้แต่ปลอบใจตัวเองแบบนี้
ยุ่งอย่างนี้ทุกครั้ง

***

   แสงแดดอ่อนๆยามเช้าแยงตาเข้ามาเป็นระยะๆ ฉันพลิกตัวหันหลังให้หน้าต่าง อิดออดด้วยความคร้าน เช้าแล้วเหรอ มือพยายามปัดป่ายหานาฬิกาที่อยู่ใกล้มือ
   เก้าโมงเช้าแล้วเหรอเนี่ย...
ฉันดีดตัวขึ้นจากที่นอน ก่อนจะระลึกได้ว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ จะทิ้งตัวนอนเหมือนเดิมก็พลัน รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ
   ฉันยังอยู่ในชุดกระโปรงของเมื่อคืน แล้วอีกอย่างฉันเข้ามานอนให้นอนนี้ได้อย่างไร
   และฉันก็พบคำตอบ
   ช่อดอกไม้สีขาวสด วางคู่กันกับการ์ดใบหนึ่งบนโต๊ะเครื่องแป้ง ฉันประคองมันในอ้อมแขนเบาๆ สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆของมันอย่างพึงพอใจ อ่านการ์ด
   “น้ำ... ขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดผมนะ นาฬิกาสวยดี ถูกใจเลยล่ะ เสียอย่าง กล่องบุบไปนิดนึง...” ฉันแทบตัวลอยเลย รีบลงมาข้างล่าง แต่ก็ไม่พบใคร ฉันชักสีหน้า บางทีเต้อาจจะกลับมาเปลี่ยนชุดแล้วกลับออกไปอีกก็ได้
   ฉันเดินย้อนมาที่โต๊ะทานข้าวที่จัดไว้เมื่อคืน อาหารต่างๆถูกเก็บไปเรียบร้อย เหลือเพียงช่อดอกไม้ที่จัดไว้ ฉันเบ้ปากเซ็งๆ ตั้งใจจะกลับขึ้นไปบนบ้าน มือมือดีมือหนึ่งคว้าเอวฉันไว้
   “ว้าย...” ฉันหลุดอุทาน ก่อนหันกลับทุบเบาๆสองทีโทษฐานที่ทำให้ตกใจ เต้นั่นเอง
   “ขอบคุณนะ ที่เมื่อคืนอุตส่าห์รอ...” เขากอดฉันไว้กระชับแน่นกับตัวเขา ยิ้มแห้งๆให้ ฉันค้อนตุปัดตุเปไม่สนใจท่าเดียว
   “เก็บทิ้งไปหมดแล้วใช่ไหมล่ะ อาหารเมื่อคืน แต่ช่างเถอะ ก็เต้บอกว่ามีคิวนี่นา ใครจะไปว่าได้ล่ะ” ฉันมองไปที่โต๊ะอย่างเสียดายปนน้อยใจ เต้หอมแก้มเบาๆ ทำฉันก้มหน้างุด ซุกตัวเขาเป็นลูกแมวน้อย เต้ลูบหัวเบาๆอย่างเอ็นดู
   “เต้เอาไปอุ่นแล้วล่ะ รอน้ำตื่นนี่แหละ... หิวหรือยัง จะได้กินพร้อมกัน นานเหมือนกันนะที่เราไม่ได้ทานข้าวด้วยกัน” ฉันนี่แทบจะยิ้มฉีกไปถึงรูหูเลย แต่ก็ทำกลบเกลื่อนไม่รู้ไม่ชี้
   “วันนี้โดดงาน ไม่ไปรึไง... เดี๋ยวเถอะ” ฉันตัดพ้อ พยายามถอนตัวออกจากอ้อมกอดของเขา แต่ก็ไม่ได้สักที เต้หัวเราะหึๆในลำคอ ฉันขมวดคิ้วใส่ ต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ๆ
   “ก็นี่เดือนเมษาแล้ว ว่าเราไปเที่ยวกันดีไหม” เต้กระซิบเบาๆ พลางเคลียคลอไม่หยุด ฉันตอบรับคำนั้นเบาๆ
“อืมมม...”
“เต้ลางาน อาทิตย์นึง” แทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยจริงๆ คนที่หายใจเข้าออกเป็นงานอย่างเต้เนี่ยนะ จะลางาน ฉันแทบยิ้มแก้มปริ เงยหน้ามองเต้อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เขาพยักหน้ารับ และดุนจมูกฉันเล่นอย่างเอ็นดู
“เดี๋ยวไปอาบน้ำก่อนนะ คราวนี้ล่ะต้องตามใจน้ำเยอะๆเลยด้วย” ฉันค่อยๆแทรกตัวเองให้พ้นออกมา เต้คลายการกอดรัดลง ฉันรี่กลับขึ้นบันไดไปชั้นบน ทว่าเต้ยังรั้งมือฉันไว้ ทำตาหวานเยิ้มใส่
“คร้าบ... เร็วๆนะ เต้หิวแล้ว” แนะ... ยังจะมากัดมุมปากตัวเองอีก หน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นทันควัน เพราะรู้ว่าความหมายแฝงนั้นคืออะไร ก่อนจะตีมือเต้เบาๆ
“นี่แน่ะ... ลามก เดี๋ยวเถอะ” ฉันทำหน้าดุใส่ รีบกลับเข้าไปในห้อง ตลอดทั้งอาทิตย์นี้จะได้อยู่ด้วยกันจริงๆซักที อยากลางานบ้างจัง จะได้ไหมนะ... ฉันบ่นกับตัวเองในใจ
***
โปรแกรมแรก คือการกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่บ้านเดิม หลายครั้งที่ฉันไปหาท่านทั้งสองหรือแม้แต่ค้างคืนเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว ท่านทั้งสองมักจะถามหาเต้เสมอ ฉันเองก็อึดอัดที่จะตอบว่า เต้ไม่ว่างอย่างนั้นอย่างนี้อีกแล้ว
ตลอดเวลาที่อยู่บนรถ ฉันเปิดซีดีเพลงคลอไปตลอดทาง เต้ดูท่าทางจะมีความสุขมากวันนี้ บางครั้งก็ฮัมเพลงอวดเสียงเข้มๆที่ร้องตกร่องไม่เข้ากันกับเพลงในซีดีเท่าไร แต่อย่างน้อยก็ทำให้ฉันยิ้มและหัวเราะได้ การที่นั่งรถคู่กันไป ฉันป้อนน้ำป้อมขนมอยู่เป็นครั้งคราว แล้วก็เหล่นาฬิกาเรือนใหม่ที่ประดับบนข้อมือของคนขับรถที่นั่งข้างๆกันนั้น เหมาะจริงๆ แสดงว่าเซนส์ในการเลือกของของฉันนี่ใช้ได้ทีเดียว เราสบตาอยู่เป็นระยะ อยากยืดเวลาที่ได้อยู่กับเต้ให้นานเท่าที่จะนานได้จริงๆ
“จ้องอยู่ได้ ไม่เคยเห็นคนหล่อๆขับรถเหรอ” ฉันสะดุ้งเลย ไม่ใช่เพราะตกใจเสียงของเต้หรอกนะ แต่จะหลุดขำมากกว่า กล้าพูดนะว่าตัวเองหล่อเนี่ยนะ ฉันอมยิ้มเล็กๆกลบเกลื่อนไป
“อื้อ... ก็มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละที่น้ำจะมองได้เต็มตาแบบนี้ น้ำอยากเห็นเต้กับรอยยิ้มที่อบอุ่นอย่างนี้ไปนานๆ” เต้หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย... แต่ก็เอื้อมมือมาขยี้หัวฉันเบาๆแทนการบอกว่า อย่าคิดอะไรมาก เต้หักรถเลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปแล้ว อีกไม่นานก็ถึงบ้านพ่อกับแม่ของฉันแล้ว
เด็กในบ้านเดินมาเปิดประตูให้ เต้ขับรถเข้ามาจอดด้านในก่อนกุลีกุจอมาช่วยฉันขนของที่ซื้อมาเมื่อเช้าเข้าไปในบ้าน พ่อเดินออกมาในชุดลำลอง สบายๆ ทักทายเราทั้งคู่ ก่อนหน้าแม่เสียอีก
“เอ้า... พ่อลูกเขย ลมอะไรหอบมา หาคนแก่ได้ คิดว่าลืมกันไปซะแล้ว” เต้ยกมือไหว้ประหลกๆ ตามฉัน พ่อกอดฉันตามประสาพ่อลูก พลางตบไหล่ลูกเขยเบาๆเชิงหยอกล้อ แต่ดูจากสีหน้าเต้แล้ว คงไม่เบาเลยกระมั้ง แหยแกเสียขนาดนั้น
“ปล่าวครับ วันนี้ผมกับน้ำตั้งใจจะมาเยี่ยมด้วยกัน ตั้งใจว่าจะชวนไปพักตากอากาศด้วยกัน” เต้ลูบหลังตัวเองเบาๆ หันมากระซิบกระซาบกับฉัน ไม่รู้ไม่ชี้ แม่เองก็เดินลิ่วมานั่นแล้ว แม่รับไหว้เราสองคน
“แหมๆ... ปล่อยหนุ่มๆสาวๆไปกระหนุงกระหนิงกันเองดีกว่านะ ให้พ่อกับแม่อยู่เฝ้าบ้านแบบนี้ดีกว่านะ” แม่แหย่ เราทั้งคู่ทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆตอบ
“จะทำอย่างนั้นได้ไงล่ะครับ คุณพ่อ คุณแม่ของน้ำก็เหมือนคุณพ่อ คุณแม่ผมเหมือนกัน” ทำเป็นปากหวานเชียวนะ แม่นี้ยิ้มแก้มปริเชียว พ่อยืนคุมเชิงถามต่อ
“ว่าแต่จะไปไหนล่ะ”
“ไปอ่างทองครับ” งงเป็นไก่ตาแตกทั้งคู่ ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวฉันเอง อ่างทองเนี่ยนะ อยุดตั้งสัปดาห์ไปอ่างทอง
“หา... อีตาบ๊อง ไปทำไมอ่างทองยะ” ฉันแทรกขึ้นมาอย่างมีน้ำโมโห
“หมู่เกาะอ่างทองครับ พักผ่อนสบายๆ ตากอากาศกัน อยู่กรุงเทพนี่น่าเบื่อ ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ค่าใช้จ่ายไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมเลี้ยงทั้งรายการครับ” ค่อยโล่งอก พ่อกับแม่หัวเราะชอบใจใหญ่ ฉันแอบหยิกเอวเอาคืนอาการกวนประสาทของสามีตัวเองบ้าง ท่าทางผู้ต้องหาจะรู้ทัน ขยับหนีทันที ฉันทำได้เพียงเม้มปากไม่พอใจเต้เท่านั้น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดูพูดเข้าสิ ไอ้ลูกเขยคนนี้ เห็นพ่อกับแม่เป็นคนงกไปได้” เอาเข้าไป พ่อกอดคอเป็นปี่เป็นขลุ่ยไปด้วยเสียแล้ว สองคนกระซิบกระซาบอะไรกันก็ไม่รู้ แม่เลยเกริ่นขึ้นมา
“พ่อบุญทุ่มเชียวนะ...  น้ำมา... มาช่วยแม่ทำกับข้าวกันดีกว่า ปล่อยหนุ่มๆเขาคุยกันดีกว่านะ”
“ค่ะ... แม่” ฉันรับของจากเต้มา ไม่น่าซื้อมามากมายเลย หนักชะมัด ก็ดีเหมือนกัน ปล่อยให้ลูกเขยกับพ่อตาเขาคุยกันประสาผู้ชายไป แม่เดินจูงมือฉันไปยังห้องครัว ฉันวางของทั้งหมดไว้บนโต๊ะ
“ซื้ออะไรมาหนักหนาเนี่ย คราวหลังไม่ต้องหรอก มาเยี่ยมพ่อกับแม่บ่อยๆ ทั้งคู่ก็ดีใจแล้ว” แม่พิศดูของทั้งหมดและลูบหัวฉันด้วยความเอ็นดูอย่างที่แม่เคยทำเสมอ
“นิดหน่อยค่ะแม่ อีกอย่างเต้เขาเป็นคนอยากซื้อของมาให้เองด้วยต่างหาก” ฉันโอบเอวแม่ ทำออเซาะ
“เดี๋ยวนี้ สุขภาพเป็นไงบ้างลูก...” สายตาของแม่บ่งบอกถึงความห่วงใยและกังวลอยู่ลึกๆ ฉันเองก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องคอยเป็นภาระกังวลอีก
“เต้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ เขาดีกับลูกไหม” ฉันยิ้มอย่างใจเย็นให้กับแม่ อย่างน้อยพอบวกเพิ่มกับคำตอบที่ฉันจะตอบออกไป ท่านจะได้เบาใจลงได้
“ดีค่ะแม่... เต้ดูแลน้ำทุกอย่าง” แม่เปลี่ยนอิริยาบทมานั่งใกล้ๆ กุมมือฉันไว้
“คนเราอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องหนักนิดเบาหน่อย ให้อภัยกันได้ก็อภัยกันซะ จะได้อยู่กันยืด” แม่ยังคงห่วงใยฉันเสมอ ไม่ว่าวันคืนจะผ่านพ้นไปนานแสนนานเพียงใด ฉันยังรู้สึกว่าตัวเองยังคงเป็นเด็กกะโปโลไม่รู้จักโตสำหรับท่านเสมอ
“ค่ะ... ว่าแต่... แม่สบายดีไหมคะ”
“สบายดี... แข็งแรง ว่าแต่เรานั่นแหละ ไปพบหมอบ้างหรือเปล่า ทานยาและดูแลตัวเองดีๆนะ” แม่ตอบเสียงเนือยๆกลายเป็นฉันเองมากกว่าที่แม่อดกังวลไม่ได้ว่าจะสามวันดีสี่วันไข้
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ มีเต้อยู่ด้วย แม่สบายใจได้ค่ะ” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นใจ แม่อมยิ้มเล็กๆก่อนจะหุนหันไปเตรียมอาหารต่อ
“เอาล่ะ ลงมือกันเลยดีกว่า... มาช่วยแม่ดูว่าจะทำอะไรกันก่อนดี” ฉันลุกตามไป เราสองคนแบ่งหน้าที่กันทำอาหารกันคนละอย่างสองอย่าง ไม่นานนักก็เสร็จเรียบร้อย พ่อและเต้ดูท่าทางจะคุยกันเพลินติดลม กว่าจะมาทานข้าวร่วมกันอาหารก็เกือบเย็นชืด หากแต่ว่าฝีมือเสน่ห์ปลายจวักของเราสองแม่ลูก ไม่เห็นมีใครบ่นซักคำว่าอย่างนั้นไม่ดี อย่างนี้ไม่ได้เรื่อง อาจเพราะหิวด้วยกระมัง อีกอย่างฉันกับแม่ก็คุยกันนานเอาเรื่องกว่าจะเริ่มลงมือทำกับข้าว
ตกลงว่าเรามีเวลาเตรียมตัวกันพรุ่งนี้หนึ่งวันเต็ม ก่อนออกเดินทางในมะรืนนี้ เต้เตรียมการเดินทางไว้หมดแล้ว พ่อกับแม่ก็รวนเหมือนกันที่ปุบปับต้องเดินทาง ต้องโทรไปเลิกนัดเพื่อนที่จะมาเยี่ยมและตรวจสุขภาพ ฉันเองก็ต้องเร่งเคลียร์งานให้เสร็จภายในวันเดียวแถมยังต้องสั่งงานลูกน้องอีก ทำเอาหัวหมุนไปเลย แต่กำลังใจมันก็ยังมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม นายเต้ก็เฝ้าบ้าน เตรียมของเดินทางอีก ไหนๆก็ไหนๆแล้ว... ขอแว๊บไปดูบีกีนี่ล่ะ เผื่อได้ใส่ อิ อิ

***

    เต้ตัดสินใจจ้างรถตู้มาเอง ตอนแรกก็ตื่นเต้นดีอยู่หรอก ไปๆมาๆมันก็น่าเบื่อจะตาย อยู่แต่บนรถ แวะปั๊มน้ำมันเข้าห้องน้ำ เดินยืดเส้นยืดสายพอคลายความเมื่อล้าบ้าง พ่อและแม่ทานของจุกจิก อ่านหนังสือพลาง บ้างก็หลับสลับกันไป ไม่บ่นอิดออดเหมือนฉันที่นั่งหน้าหงิกเป็นตูด เครื่องบินมีก็ไม่ไป แปปเดียวก็ถึงแล้ว เต้บอกว่ายังไงเดินทางก็หนีไม่พ้นที่จะต้องนั่งรถอยู่ดี ให้ใจเย็นลงหน่อย เอางั้นก็ได้
จะว่าการมองทัศนียภาพด้านนอกรถก็ทำให้เราใจเย็นลงได้เยอะขึ้น ภาพของวิถีชิวิตของคนแปลกที่ต่างถิ่นต่างๆ ทำให้ฉันอดสงสัยหรือประหลาดใจไม่ได้ ตาของฉันตื่นตัวเต็มที่ ไม่อิดโรยเมื่อช่วงเริ่มเดินทาง ที่ต้องตื่นมาแต่ตีสองกว่ามาอาบน้ำจัดการธุระส่วนตัวก่อนออกเดินทาง งัวเงียหน้าบอกบุญไม่รับ เต้ส่งเครื่องดื่มให้ ฉันบอกปัดไป เขาเปิดกระป๋องและจิบเล็กน้อย ทิ้งตัวลงนอนบนตักฉัน ทำตาแป๋วใสอีก ฉันแกล้งหยิบหมวกปีกกว้างมาปิดหน้าเต้ไว้ เต้คว้าออกไปพ้นหน้า พลางเหลือบมองเบาะด้านหลัง พ่อกับแม่หลับไปแล้วทั้งคู่ อาศัยจังหวะที่ฉันเผลอ หอมแก้มเสียงดังฟอดใหญ่ ฉันหันรีหันขวางพลางทุบต้นแขนเต้เบาๆ หวังว่าคงไม่มีใครเห็นนะ เต้หัวเราะ หึ หึ อย่างไว้ลาย ตาวาวเป็นประกายเชียว ท่าทางการเดินครั้งนี้ ฉันจะเจอศึกใหญ่แน่ๆ ถ้าตอนนั้นตัวเองไม่ได้ตาฝาดไป ฉันเหลือบเห็นพ่อกับแม่นอนหลับตาปี๋ ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็แอบอมยิ้มนิดๆหน่อยๆ ราวกับว่าเห็นช็อตเด็ดเมื่อครู่นี้
ร่วมห้าชั่วโมงที่เดินทางมา ฉันรีบพลีพลามออกมานอกรถคนแรก เหยียดแข้งเหยียดขา ขยับร่างกายพอคลายความเมื่อล้า สูดอากาศบริสุทธิ์ริมทะเลที่แสนสดชื่นเข้าเต็มปอด เต้ออกมายืนอยู่ข้าง พลางโทรศัพท์ครู่นึง และนั่งรอตรงใต้ต้นไม้ใกล้ๆ ที่ลานจอดรถ ตรงท่าเรือนี้ คนไม่ค่อยพลุกพล่านเนื่องจากไม่ใช่ช่วงเทศกาล พ่อกับแม่เดินคู่กันมา ยืนชมทะเลสีครามข้างหน้า และบ่นเล็กน้อย
 “นั่งรถนานเสียอานเลยนะ”
“แล้วเอารถทิ้งไว้ที่นี่เลยเหรอ” พ่อถามเต้ และเหลียวกลับไปดูที่รถ มีเด็กหนุ่มสองสามคนเดินตรงมาที่รถ พลางยกมือไหว้เราทั้งหมด ฉันงงๆและรับไหว้ไปตามมารยาท เต้ยิ้มและหันมาตอบพ่อ ขณะที่คนพวกนั้นขนกระเป๋าเดินทางลงจากรถ
“ใช่ครับ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ลูกน้องเพื่อนผมไว้ใจได้ เดี๋ยวเขาจะจัดการให้” เด็กคนหนึ่งในกลุ่มเดินเอาตั๋วขึ้นเรือมาให้ เต้รับไว้ และจ่ายเงินส่วนหนึ่งแก่คนขับรถ และสั่งอะไรเล็กน้อย ก่อนกลับมาจูงฉันไปยังท่าเรือไม่รอช้า
“เดี๋ยวเราลงเรือต่อไปอีก สัมภาระอะไรไม่ต้องขนเองหรอกครับ ปล่อยให้เจ้าพวกนี้จัดการเองจะดีกว่า” เต้บอกกับพวกเราทุกคน เดินนำไปยังท่าเรือ เด็กขนกระเป๋าเดินอิดออดตามมาติดๆ ฉันสังเกตว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติทั้งนั้น แต่ก็มีจำนวนพอสมควร เราขึ้นเรือเฟอร์รี่ลำเล็ก จับจองที่นั่ง ไม่นานนัก เสียงประชาสัมพันธ์เรือก็ประกาศจุดหมายปลายทางของเรือ และออกเรือไป ฉันมองไปพื้นน้ำอย่างหวาดๆ เกาะแขนเต้แน่น ตื่นเต้นที่ต้องนั่งเรือไปไหนไกลๆครั้งแรกอย่างนี้
“นานไหมกว่าจะถึงเกาะน่ะ”
“ราวๆ 45 นาที น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” เต้บีบไหล่ฉันเบาๆเชิงปลอบใจไม่ให้กังวลมากไป พ่อกับแม่หันไปนั่งคุยกับเด็กขนกระเป๋าและฝรั่งคู่หนึ่งที่เดินทางไปเที่ยวหมู่เกาะอ่างทองเหมือนกัน
“น้ำกลัวเมาเรือจัง ไม่เคยนั่งเรือนานๆด้วยสิ” รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไรไม่รู้ เต้อมยิ้มและจุ๊บเบาๆที่หน้าผาก ขยับตัวฉันเข้ามาชิดกว่าเดิม รู้สึกว่าการเดินทางมานี่ ตัวเองจะขาดทุนอีตานี่เยอะทีเดียว
“ไม่เป็นไรหรอกน่า มีเต้อยู่ด้วยทั้งคน” หัวฉันไหลลงไปพิงไหล่ของเต้ เต้ลูบผมเบาๆ และเอนศรีษะมาทับอีกชั้น เราจับมือไว้แน่น และก็เผลอหลับไปเมื่อไรไม่รู้
ฉันสะดุ้งตื่นเมื่อเต้วิ่งพรวดไปขอบเรือ ฉันหุนหันตามไป พลางลูบหลังให้ พูดไม่ทันขาดขำเลย เป็นเสียเองเนี่ยนะ พยายามปลอบเต้โดยไม่หลุดหัวเราะ เพิ่งรู้ว่าลำบากเอาการ
“ไหวไหมเต้... เข้าไปนั่งข้างในก่อนดีกว่านะ” ฉันประคองเขาไว้ เต้หน้าซีดเผือดลงทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าคุณหมออย่างเต้จะมาป่วยเอาเสียเองได้นี่สิ
“อีกเดี๋ยว คงหาย ไม่เป็นไรหรอก เอิ๊ก...” ว่าแล้วก็อีกชุดใหญ่ ฉันหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้ เต้รับไปเช็ดปาก
“ฮิ ฮิ ดีแต่ห่วงคนอื่น เอาตัวเองให้รอดเถอะ” ฉันพูดติดตลก ขำไม่ออกแล้ว ท่าทางจะเป็นหนักนะเนี่ย ฉันพยุงเขาเข้ามานั่งในๆเรือ และกำชับว่าอย่ามองที่พื้นน้ำ มองสูงๆขึ้นไป ก่อนส่งยาแก้อาเจียนไว้ให้เผื่อจะมีอีกระลอก กันเอาไว้ก่อน
“ขายหน้าเลย เรา...” เต้เกาหัวตัวเองแก้เก้อ พลางหันมาส่งสายตาหวานให้อีก ไม่สบายอยู่นะนาย ก่อนจะนอนเหยียดยาวบนม้านั่ง โดยอาศัยตักฉันแทนหมอน
“ขอบใจนะน้ำ”
“พูดอะไรน่ะ นอนพักข้างในนี้ดีแล้ว ถ้าไม่ห่วงเต้ แล้วจะให้น้ำไปห่วงใครล่ะ” ฉันถอดหมวกปีกกว้างมาใช้ต่างพัด
 “งั้นก็หลับเถอะ ถึงเมื่อไรแล้วน้ำจะปลุกนะ” เอาออกไปเยอะขนาดนั้น คงหมดแรงทีเดียว แหม...นอนยิ้มแฉ่งเชียว ไอ้เรานี่สิ เหน็บกินหมด เมื่อยแขนก็เมื่อยเพราะต้องคอยพัดวีตานี่ตลอด
ถึงรีสอร์ตมีชื่อแห่งหนึ่ง ที่เพื่อนของเต้เป็นเจ้าของกิจการ ตั้งอยู่บนเกาะ บรรยากาศโดยรอบงดงามและเป็นธรรมชาติ มีจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สามารถมองชมรอบๆเกาะได้(เห็นเต้เกริ่นอย่างนั้น ก็ว่าตาม) มีกิจกรรมที่ทางรีสอร์ตจัดให้นักท่องเที่ยวอยู่มากมายหลายรายการทีเดียว หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้วก็ขอเต็มที่ซะหน่อย กลับไปยังมีงานกองรออีกบานให้สะสาง
เราเช็คอินสองหลัง พ่อกับแม่หลังนึง ฉันกับเต้อีกหลังนึง พนักงานขนสัมภาระเรานำไปยังที่ห้อง อ้าวทำไมพ่อกับแม่ถึงแยกไปอีกทางล่ะ ไม่ได้อยู่ใกล้ๆด้วยกันหรอกเหรอ
“ทำไมเราอยู่แยกมาตรงนี้โดดๆล่ะ เอ่อ...พ่อกับแม่น้ำไปอยู่หลังนั้นมันจะดีเหรอ” พ่อและแม่เดินลับเข้าเรือนไม้อีกทางหนึ่งไปแล้ว เต้ไม่หยุดเดิน ทำให้ฉันต้องเดินตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ดีซิ... เต้ก็อยากชดเชยเวลาที่เต้ไม่ได้อยู่กับน้ำบ้างไง” เต้หันมา ขมวดปมคิ้วใส่ ก่อนประคองฉันที่เดินช้าตามไม่ทัน ให้เดินเคียงไปด้วยกัน จู่ๆก็แอบหอมแก้ม พลางลูบสะโพกวนไปมา
“พูดแบบนี้ แสดงว่าหายดีแล้วใช่ไหม... งั้นรีบไปเก็บของก่อนนะแล้วก็พาน้ำไปเดินเล่นซะดีๆเลย” ฉันแอบหยิกไปทีนึงให้หายนิสัยมือปลาหมึกเสีย เต้ยังทำหน้าทะเล้นปนแหยแกไปกับจุดที่ฉันหยิก รู้สึกเหมือนราวกับว่าทันทีที่ถึงห้อง พนักงานคนนั้นจะเปิดห้องให้ แล้วรีบเผ่นไปทันที เดี๋ยวสิ
“ใจคอน้ำจะใจร้ายกับเต้อย่างนี้เหรอ อุตส่าห์ได้อยู่ด้วยกันแล้วแท้ๆนะ” เต้เข้ามาคลอเคลียทางด้านหลังขณะที่ฉันกำลังง่วนกับการจัดเสื้อผ้าเข้าตู้อยู่ ฉันพยายามแกะแขนเต้ออกเพื่อจะได้ทำงานของตัวเองสะดวกๆ ยังไม่ทันไร เต้หมุนตัวฉันมาประจันหน้าเขาจังๆ ฉันรีบลอดวงแขนออกมา ทำงานของตัวเองต่อ ทำทีไม่สนอกสนใจอะไร ทั้งๆที่หน้าแดงเรื่อเพราะคิดอะไรต่อมิอะไรไปถึงไหนต่อถึงไหนแล้ว
“ลูกไม้เยอะแบบนี้... น้ำไม่ไว้ใจหรอก แหะๆ... รู้ทันหรอกนะ” แนะ ยังจะปากดีไปต่อปากต่อคำกะเขาอีก เอาของใช้ส่วนตัวออกมาจัดๆวางไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้งก่อนดีกว่า เต้ย่างสุขุมเข้ามา
“งั้นก็ต้องอย่างนี้”
“ฮันแน่... นี่ก็มุขเก่าๆ” ฉันหลุดหัวเราะออกมาที่เต้ ล้มตึงไปบนเตียง ฉันรีบลุกออกมาก่อน นำของไปวางด้านในห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวอยู่ครู่นึง ออกมาก็ไม่เจอเขาแล้ว ไปไหนของเขานะ ก็ดีเหมือนกัน ขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วงีบสักพักก่อนออกไปเดินกินลมชมวิวรอบๆเกาะ
“ดูถูกกันนะ เนื้อจะเข้าปากเสือ เสือไม่ปล่อยไปง่ายๆหรอก” ไฟในห้องดับลง เต้โถมตัวมาจากด้านไหนไม่รู้ ฉุดร่างเราสองคนลงบนพื้นเตียง
“ว๊าย...” ไม่เจ็บหรอก แต่มันตกใจมากกว่า แสงจากด้านนอกสลัวๆทำให้ใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ หน้าของเราห่างกันเพียงนิดเดียว ดวงตาคู่นั้นราวกับจะดึงร่างและวิญญาณของฉันให้จมลงไป เต้กอดฉันไว้แนบกับตัวของเขาที่เปลือยท่อนบน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ดูสมส่วนได้รูปลางๆ ก่อนเต้จะผลิกตัว อยู่ด้านบน ประคองฉันไว้ในวงแขนคู่แกร่งนั้น
“น้ำ”
“ต...เต้” ฉันตอบกลับไปเบาๆ เต้ไล้เรือนหน้าและละเลียดกลิ่นผมของฉันอยู่ครู่   กับคนที่อยู่ตรงหน้านี้ ถึงจะได้ชื่อว่าผ่านการแต่งงานมาแล้ว เป็นสามีภรรยาตามศาสนา แต่ก็อดประหม่าและตื่นเต้นทุกทีที่อยู่ด้วยกัน
“รู้ไหมว่าเต้มีความสุขที่สุดเลยนะ ที่ได้เห็นหน้าน้ำใกล้ๆอย่างนี้” เต้จุมพิตบนหลังมืออย่างอ่อนโยนและนิ่มนวล และกุมมือทั้งสองข้างของฉันไว้ ฉันสัมผัสได้เสมอถึงความรู้สึกที่คนตรงหน้ามี ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หรือลดน้อยลง แม้เพียงครั้ง
“อยากเห็นบ่อยๆ ก็อย่าปล่อยให้น้ำต้องอยู่คนเดียวซิ” ฉันตัดพ้อ หลบแววตาที่เว้าวอนและซุกซนคู่นั้น การที่ต้องอยู่คนเดียวหลายเดือนที่ผ่านมา อาจจะทำให้ฉันท้อและเหนื่อยล้ากับความสัมพันธ์ของเราสองคนก็เป็นได้ แม้จะรู้ว่าการทำงานจะแยกเราสองคนออกไป ฉันพยายามแล้ว กลับกลายเป็นฉัน ที่เป็นฝ่ายถอดใจมาดื้อๆ โดยเต้ไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นแม้แต่น้อย
“คิดถึงเต้ด้วยเหรอ” เต้บรรจงจูบลงบนเปลือกตาและซับรื้นน้ำตาของฉันออก ไม่มีคำบรรยายใดจะทดแทนชดเชยความรู้สึกผิดนี้ได้เท่ากับทุกๆถ้อยคำและการกระทำของเต้ที่มีต่อฉันนี้ คำถามนั้นฉันรู้ดีว่าเต้แค่หยั่งเชิงเล่นให้ฉันคลายความกังวลต่างๆลง
“มาก... ถึงมากที่สุด มันทรมานนะ เต้รู้หรือเปล่า” ฉันตอบไปซื่อๆตามที่ตนเองรู้สึก เต้กรุ่มยิ้ม
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวเต้จะชดเชยให้นะ” เต้ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรต่อ ฉันรู้เพียงว่าสิ่งนี้จำเป็นกับชีวิตคู่ของเรา ทางที่จะช่วยยืดความสัมพันธ์ให้นานตราบเท่าที่จะเป็นไปได้ ตอนนี้ฉันตัวเองเพียงว่าตัวเองรักเต้มากแค่ไหน ไม่อยากจะสูญเสียเขาไป ฉันกอดร่างเขาไว้แนบกับร่างที่ปราศจากอาภรณ์มาพันธนาการไว้ ต่างคนต่างรู้ดีถึงความปรารถนาที่แผงมากับความรู้สึกของตัวเองที่ต้องการสื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ปล่อยกายปล่อยใจให้พายุอารมณ์โหมซัดเข้าทั้งคู่ พร่ำบทเพลงแห่งความรักไม่รู้จบคู่ไปกับเสียงเกลียงคลื่นและสายลมโชยจากด้านนอกเข้ามาอย่างแผ่วเบาในห้อง













โปรดติดตามตอนต่อไปครับ เอามาโปรยไว้ พอเป็นน้ำจิ้ม นิดนึง

pupper

  • บุคคลทั่วไป
มาต่ออีกนะครับ แต่ดูตอนเปิดเรื่องแล้ว เรื่องจบเศร้าแน่นอน แต่ตอนนี้ก็ขอมีความสุขไปก่อนแล้วกัน ให้เวลาคนอ่านทำใจไปสักระยะนะครับ
เกิดเศร้าตูมเดียว เดี๋ยวปรับไม่ทัน น๊อคเอาได้

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
 :m13: ลุ้นให้มีความสุขนะค่ะ

สาวบ้านนอก

  • บุคคลทั่วไป
ตามมาอ่านค่า :L2:

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
 :oni1: :oni1: :oni1:มารออ่านค่ะ

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
“เหมือนกับท้องฟ้าสีครามนั้น เหมือนกับทะเลสีน้ำเงินนั้น เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ยังโคจรอยู่รอบโลกที่เราอยู่ เชื่อเถอะว่าเต้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่มีต่อน้ำไปได้หรอกเพราะน้ำคือคนที่เต้ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย”

















บทที่ยี่สิบ


ฉันแอบอิงชิดในอ้อมกอดและฟังเสียงลมหายใจที่ดังครืดคราดของเขาใกล้ๆ ทั้งกลิ่นกายและรสรักยังกรุ่นอยู่ไม่จาง เต้โน้มตัวลงมาหอมแก้มก่อนชี้ชวนให้มองวิวทิวทัศน์ท้องทะเลยามเช้า ภาพนกทะเลบินออกหากิน แสงอาทิตย์แรกแห่งวันกำลังเผยแย้มจากมวลหมู่เมฆที่ดูอึมครึมนั้น มือของเราเกาะกุมกันแน่น พลางที่จะกระชับเสื้อผ้าให้แนบสนิทกับตัวเองเพื่อให้อุ่นขึ้น

 “ผิดคาดเลย... ใครว่าทะเลตอนเช้าไม่หนาวกันนะ” ฉันรำพันเบาๆ
“มานี่ซิ... จะได้อุ่นๆ” เต้นำฉันไปอีกทางลัดเลาะชายหาด มายังโขดหินสูงเป็นชะโงกยื่นไปในทะเล เรานั่งชื่นชมบรรยากาศยามเช้าด้วยกัน ต่างโอบกอดกันและกันไว้ ประเดี๋ยวเต้ก็ฉุกคิดขึ้นได้ ก่อนหยิบกล้องวีดิโอที่พกมาถ่ายท้องทะเลสีคราม หมู่แมกไม้บนเกาะ และเราสองคน

“นี่ตั้งใจดูมากเลยนะ” ฉันกระเซ้า เต้ยิ้มเล็ก พลางขยี้ผมฉันเสียยุ่ง ฉันทำหน้ามุ่ยใส่ เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนสางผมดูเรียบร้อยเป็นทรงตามเดิม
“นานๆทีได้ออกมา ก็อยากเก็บบรรยากาศดีๆ ความทรงจำดีๆไว้นานๆ” ฉันสบตาคู่นั้นของเต้ ทุกถ้อยคำนั้น ฉันเชื่อถือและเชื่อมั่นเสมอ เพราะรัก ชีวิตที่เหลืออยู่นับแต่วันที่เราปฏิญาณ ว่าจะรักและดูแลความสัมพันธ์ระหว่างกันภายใต้อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า





“เต้...”
“หืมม มีอะไรจ๊ะ... ที่รัก” ฉันลูบใบหน้าของเต้ ละเลียดเบาๆราวกับพยายามซึมซับทุกอณูของเต้ ตักตวงเข้าความทรงจำของตนเอง ตราบที่ยังมีคนคนนี้อยู่ใกล้ให้มากที่สุด

“รับปากเรื่องหนึ่งกับน้ำได้ไหม” แววตาที่จริงจังคู่นี้ของฉันกระตุ้นเตือนให้เต้ลดกล้องลงข้างตัว และตั้งใจฟังฉันมากขึ้น

“ถ้าวันหนึ่งเราไม่อยู่ด้วยกันแบบนี้... เต้อย่าลืมน้ำนะ”



แค่อยากเพิ่มความมั้นใจให้กับตัวเองมากขึ้นเท่านั้น เต้ดูจะตกใจกับคำพูดนั้นเล็กน้อย ก่อนจะดีดมะกอกใส่กลางหน้าผากฉัน ฉันหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เต้ เขาส่ายหน้าเบาๆและกอดฉันไว้

“พูดบ้าอะไร ไม่ดีนะ เราก็อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดแหละ”


“เหมือนกับท้องฟ้าสีครามนั้น เหมือนกับทะเลสีน้ำเงินนั้น เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ยังโคจรอยู่รอบโลกที่เราอยู่ เชื่อเถอะว่าเต้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่มีต่อน้ำไปได้หรอกเพราะน้ำคือคนที่เต้ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย” ยิ่งเขาย้ำอย่างนั้น ฉันยิ่งมั่นใจ และแน่ใจในตัวเขามาขึ้น ต่อไปจะไม่หวั่นไหว ไม่พรั่นพรึงต่อสิ่งใดมาบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนไปอีก


“น้ำ... ขอโทษนะ ต่อไปจะไม่พูดแบบนี้อีกแล้ว”
“ช่างมันเถอะ แต่เมื่อกี้นี้ ใจหายแว๊บเลยรู้ไหม อืมม จวนได้เวลาทานข้าวเช้าแล้ว รีบไปกันดีกว่านะ คุณพ่อ คุณแม่น้ำคงรออยู่แล้ว” เต้รวบรัดตัดบทไป อุ้มฉันลงจากโขดหินที่นั่งชมทิวทัศน์เมื่อครู่ เดินกลับทางเดิมไปยังรีสอร์ต เต้ยังคงจับมือฉันไว้ไม่ปล่อย ฉันไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก แม้ว่าลึกๆในใจจะประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ลึก ไม่เข้าใจตัวเองว่า เหตุใดจึงกลัวมากขนาดนี้ รู้สึกว่าเวลาที่เราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้มันน้อยลง น้อยลง ทุกที










   เรานั่งรับประทานอาหารกันพร้อมหน้า สี่คน พ่อนั่งคู่กับแม่ ส่วนฉัน ไม่ต้องใบ้ว่านั่งอยู่กับใคร เต้เอาแต่เอาใจตักกับมาให้เรื่อยจนล้นพูนจานแล้ว ทานก็ทานจะไม่หมด ยังจะมาขู่เข็ญอีกว่าให้ทานเยอะๆจะได้มีแรง ชิ

“อื้อ...” ฉันพยายามละเลียดทานไปเรื่อยๆ นายเต้ ไม่ต้องมาทำกระหยิ่มยิ้มย่องมีเลศนัยอย่างนั้นเลย ฉันจะไม่สบายเพราะนายดูแลดีเกินไปต่างหากเล่า
“มื้อเช้า... อร่อยดีนะคะคุณ นี่ต้องยกนิ้วให้เพื่อนเธอเลยนะเต้ ชักอยากเห็นหน้าแล้วซิ” แม่ถามความเห็นพ่อ ขณะที่ตักปลาดตาเดียวทอดกรอบชิ้นสุดท้ายออกไปจากจาน


“นั่นสิ... ไม่เห็นเพื่อนคนที่ว่านั้นเลยนะ” พ่อหันมาถามเอากับเต้แทน ซึ่งก็ยิ้มแห้งๆให้แทนคำตอบ

“คงอีก 2-3 วันเขาคงมาที่เกาะครับ เห็นว่าไปดูงานรีสอร์ตอีกที่นึงอยู่ ก่อนเรากลับคงได้พบกันแน่นอนครับ” พ่อและแม่พยักหน้าเข้าใจ เต้ลงมือทานต่อ ส่วนฉันนี่วางช้อนส้อม เพราะเริ่มอิ่มตื้อขึ้นมา มองวิวทิวทัศน์ด้านนอกไปพลาง รอทุกคนทานเสร็จ พระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนขึ้นสูง น้ำทะเลก็เหมือนจะลดระดับลง

“อ๊ะ...”

“มีอะไรเหรอน้ำ” เต้คงตกใจที่ฉันอุทานขึ้นมาเสียงดัง ฉันผุดลุกจากเก้าอี้และเดินเลี่ยงออกไป พ่อกับแม่ มองฉันอย่างงงๆ



“ไม่มีอะไรค่ะ เดี๋ยวขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ฉันกำชับไปห้วนๆ ผลุนผันออกไปที่ชายหาด ไล่หลังคนๆนึงให้ทัน ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมาอยู่ที่นี่ อยากจะคุยเคลียร์ทุกอย่างให้รู้เรื่องกันไปเสียที





“เธอ... เดี๋ยวก่อนซิ เธอ...”



ไม่ทันแล้ว แม้จะตะโกนเรียกไล่หลัง เธอคนนั้นเดินหายเข้าไปอีกฟากหนึ่งเสียแล้ว ลมทะเลพัดแรงเสียจนฉันต้องปัดป่ายเรือนผมของตัวเองที่สยายตามแรงลมจนรกใบหน้า และมะงุมมะงาหรา จัดชายกระโปรงยาวตรอมเท้าไม่ให้กระพือขึ้น


“หายไปไหนแล้วนะ” เธอคลาดสายตาไปเสียแล้ว จะว่าไป บางทีฉันอาจจะตาฝาดไปก็ได้ ไม่มีทางที่คนๆนั้นจะมาปรากฏตัวที่เกาะนี้ อยู่ที่นี่ในเวลานี้ ฉันทราบแค่ว่าหลายเดือนแล้วที่เธอหายตัวไปตั้งแต่วันที่มีเรื่องนั้นเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างดีอย่างไร ถึงเธอจะทำไม่ดีกับฉันหลายครั้งหลายครา แต่กลับอดห่วงเธอไม่ได้จริงๆ


“มีอะไรเหรอคะ” เธอผู้นั้นปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าอีกครั้ง พระเจ้าช่วย ใช่ ใช่เธอจริงๆ
“หวาน... ใช่หวานหรือเปล่า” ฉันละล่ำละลักถามเธอที่ยืนนิ่ง กระชับหมวกปีกบานให้สนิทแน่นกับหัวของตัวเอง มองฉันด้วยใบหน้าฉงนสนเท่ห์ และยิ้มเล็กๆ



“คุณคงจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ... ว่าแต่มีอะไรให้ดิฉันช่วยไหมคะ” เธอปัดปฏิเสธ จะว่าไปพอพินิจดูอีกครั้ง คงไม่ใช่หวานจริงๆ จมูกที่ดูคมเป็นสันแบบนั้น ผิวที่หมองคล้ำลง ความรู้สึกของฉันมันสับสนปนเปไปหมด ก้ำกึ่งว่าใช่หรือไม่ใช่หวานกันแน่

“เอ่อ... งั้นต้องขอโทษละกันนะคะ ไม่มีอะไรแล้วค่ะ” ฉันกล่าวขอโทษเธอไป
“ค่ะ”


เธอเดินลัดกลับทางเดิม ส่วนฉันก็เดินกลับมาที่เรือนรับประทานอาหารอย่างเก่า ทั้งสามคนนั่งพูดคุยกันสนุกสนาน ลางทีฉันอาจวิตกเกินไป นี่เรามาพักผ่อนกันนะ ช่างมันเถอะ เรื่องพรรณนั้น อย่าเก็บมาใส่ใจดีกว่า



“ไปไหนมาตั้งนานน่ะน้ำ”


เต้ลงมือสอบสวนคาดคั้น ฉันทันที ฉันเลยหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองมาประกอบ ตอบเลี่ยงไปตามไหวพริบของตนเอง
“ไปตั้งนาน ทานกินอิ่มหรือยังเอ่ย พอดีมีโทรศัพท์จากทางบริษัทค่ะ เรื่องงาน”
“ไหน... เอามานี่ซิ” เต้รีบริบโทรศัพท์ไปจากมือ พ่อเริ่มคิ้วขมวดไม่พอใจกำกับอยู่ข้าง แม่รั้งๆพ่อไว้แต่ก็ไม่พูดอะไร คงเข้าใจว่าเต้อาจจะโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ
“จะทำอะไร เต้ นี่...” ฉันเองก็ทำอะไรไม่ถูกที่เต้ชักสีหน้าแบบนั้น เริ่มมีน้ำโมโหขึ้นมาเหมือนกัน เรื่องแค่นี้จะอะไรนักหนา

“ก็กดปิดไว้ บอกแล้วว่ามาพักผ่อน ต้องไม่มีเรื่องงานมาวุ่นวายกวนใจ” เต้วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ ชักฉุนขึ้นมาแล้วนะเนี่ย เรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ แล้วจะยังมาปิดโทรศัพท์ของฉันอีกนะ
“นี่...”

“เอ้าๆ พอกันได้แล้วทั้งคู่ น้ำเรามาพักผ่อนกันนะ งานค่อยกลับไปจัดการทีหลังละกัน เต้ก็อย่าทำให้น้ำเขาหงุดหงิดนะ ค่อยๆพูดกันดีๆ แม่คนนี้เขาก็บ้างานพอๆกันกับเธอแหละ” แม่ออกหน้าปรามเราทั้งคู่ให้อารมณ์เย็นลง ลืมไปทีเดียวว่าพ่อกับแม่ยังคงอยู่ตรงนี้ ฉันเดินนำลิ่วกลับห้อง มีเต้ตามมาติดๆ และเมื่อเราเข้าไปในห้องเรียบร้อยแล้ว...

 “นี่วันนี้มีโปรแกรมดำน้ำชมปะการังนะ ไปไหม” เต้รั้งแขนฉันไว้ ยังไม่ทันที่จะเดินเข้าห้องน้ำไปเลย เข้ามาเคลียคลอเป็นลูกแมวเชื่องๆ ใครคิดแบบนั้น ไม่ใช่เลย เหมือนงูหลามมากกว่า

“น้ำว่ายน้ำไม่แข็ง ไม่ไปดีกว่า” ฉันพยายามบ่ายเบี่ยงออกจากอ้อมกอดของเต้ ยิ่งดิ้นยิ่งรัดแน่น แถมยังจะมาซุกไซ้ซุกซนอีกแนะ
“เดี๋ยวเต้ว่ายคู่ไปด้วยกลัวอะไรหนักหนาล่ะ” เต้เพยายามตะล่อมให้ฉันไปดำน้ำกับเขาเสียให้ได้ ไม่มีทางเสียหรอก เรื่องน้ำกับฉันนี่ไม่ถูกกันเลยทีเดียว ถ้าเล่นอยู่ริมฝั่งยังพอว่า แต่นี่ไปตั้งไกล ยิ่งเป็นทะเลยิ่งไม่ไว้ใจ 

“แบบนี้เขาเรียกว่าบังคับแล้วนะ แล้วจะมาถามว่าไปไหม ทำไมกัน”

“...” เต้เงียบไปครู่หนึ่ง อารมณ์ของฉันขึ้นแล้วลงยากเสียด้วย ยิ่ง
ใช้วิธีนี้มาง้อ ยิ่งเตลิดไปไกล เต้ผละออก เดินอ้อมเตียงไปห้องน้ำ ถอดเสื้อกองไว้


“แล้วแต่นะ ถ้าอยากจะไปก็ตามมาที่ฟร้อนท์ละกัน เขาจะออกไปกันตอนบ่ายสองครึ่ง” เสียงเต้กำชับโดยมีเสียงน้ำฝักบัวประกอบ ฉันถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบเขาไปเสียงอ่อยๆ
“อื้อ...ไปเถอะ” ฉันล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนล้า หลับไปตอนไหนไม่รู้ ที่แน่ๆ คือ เมื่อลืมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เต้ก็ไม่ได้อยู่ภายในห้องแล้ว








“สวัสดีค่ะ”
“อ้าวเธอ...” ฉันหันกลับไปตามเสียงเรียกนั้น คนที่ฉันเผลอไผลเข้าใจผิดว่าเป็นหวาน เธอยืนอยู่ข้างหลังฉันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ฉันเองที่กลับเป็นฝ่ายทำสีหน้าไม่ถูกเมื่อเธอมาทักทายนี้



    “ไม่ออกไปดำน้ำกับแฟนคุณเหรอคะ” เธอค่อยนั่งลงยังเปลยวนใกล้ๆ ฉันเลื่อนหนังสือลง เปลี่ยนอิริยาบทจากนอนเป็นนั่ง เพื่อพูดคุยกับเธอเป็นกิจลักษณะ

“ไม่ล่ะ ฉันพักผ่อนที่นี่ดีกว่า รู้สึกไม่ค่อยสบายเลยวันนี้” สายลมเย็นๆโบกโชยอย่างแผ่วเบาผ่านร่าง คู่สนทนาของฉันหลับตาพริ้มรับลมทะเล ฉันอดไม่ได้ที่จะละสายตาไปจากเธอ ดูสวย ดูงดงาม ดูมีเสน่ห์เสียเหลือเกิน

“ท่าทางแฟนของคุณจะเป็นห่วงคุณดีนะคะ”
“มากเกินไปมันก็ไม่ดีเหมือนกัน เขาไม่ค่อยมีเวลาให้ฉันเท่าไร คงอยากชดเชยบ้างมั้ง” ฉันเหม่อลอยมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย ความรู้สึกอะไรหลายๆอย่างผสมปนเปจนสับสนไปหมด ฉันเป็นอะไร และเต้เป็นอะไร บอกไม่ถูกเลย หรือเพียง... โกรธที่เขาโกรธเรื่องไม่เป็นเรื่องเทือกนั้น



“...”
“เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ” จู่ๆเธอกลับเงียบไปครู่หนึ่ง ทำให้ฉันฉุกหันมามองเธอ นี่ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า แว่บหนึ่งราวกับฉันสังเกตเห็นรื้นน้ำตาปรากฏบนใบหน้าของเธอ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ น่าอิจฉาคุณนะ ที่มีคนรักอยู่ใกล้ๆแบบนี้ ผิดกับฉัน...” เธอซึมลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะพยายามฝืนยิ้มอยู่ก็ตามที เล่นเอาฉันทำอะไรไม่ถูกทีเดียว


“เอ่อ... ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้าหากพูดอะไรไม่ดีออกไป ไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณเสียความรู้สึกหรอกนะคะ”
“อย่าคิดมากเลยค่ะ ว่าแต่ชื่ออะไรเหรอคะ คุยกันมาตั้งนานแล้ว ไม่รู้จักชื่อคุณเลย" เพื่อนใหม่ที่อยู่ตรงหน้าพยายามผูกมิตรภาพด้วยการถามชื่อ จะว่าไปก็คุยกันมาตั้งนานไม่รู้จักว่าเธอชื่ออะไรเลยนี่นา
“ชื่อน้ำค่ะ แล้วนี่ คุณ...”


“ชมพู่ค่ะ สั้นๆว่าพู่ก็ได้ค่ะ ว่าแต่นี่คุณมากับครอบครัวเหรอคะ เห็นมากับพ่อแม่ด้วย” เธอตอบทันควันโดยที่ฉันยังไม่ทันเอ่ยปากถามไถ่อะไร ฉันยิ้มให้ก่อนตอบ
“ค่ะ มาพักผ่อนตากอากาศประมาณอาทิตย์นึงค่ะ ไม่เลวนะคะที่นี่ บรรยากาศดี อากาศดี ว่าแต่คุณ... เอ๊ย... พู่ล่ะ” ฉันแนบหนังสือไว้กับลำตัว นั่งไขว่ห้าง
“มาคนเดียวค่ะ หนีเรื่องปวดหัวกวนใจมาพักที่นี่ กะว่าดีขึ้นเมื่อไรก็กลับเมื่อนั้น”

“อืมม... ค่ะ อย่างไรก็ขอให้พู่ดีขึ้นนะคะ ว่าแต่เราไปสปากันไหมคะ ทิ้งเรื่องร้ายๆแย่ๆลงทะเลไป หาอะไรๆที่ทำแล้วสบายใจกันดีกว่าค่ะ” ฉันได้ทีชักชวนเธอเสียเลย อยู่คนเดียวก็คิดอะไรเตลิดฟุ้งซ่านไป อีกอย่างที่รีสอร์ต แอบเห็นสปาอยู่ด้วย น่าสนใจดี มีเพื่อนไปด้วยคงจะโอเคกว่า

“ก็ดีเหมือนกัน กำลังเบื่อๆอยู่พอดี มีเพื่อนคุยด้วยหน่อยยังพอหายเหงาบ้าง เอาเป็นว่าพู๋เลี้ยงละกันนะคะ” ว้าว เข้าทางเลย ท่าทางถูกคอกับฉันดี แบบนี้เวลาที่เหลือบนเกาะ คงไม่เหงาอีกแล้ว จะว่าไปแบบนี้มันก็เหมือนเป็นการเอารัดเอาเปรียบพู่เกินไป ต่อรองเสียหน่อย ให้สมน้ำสมเนื้อกัน

“งั้นมื้อเย็น น้ำเลี้ยงละกันนะคะ แฟร์ๆกัน”
“ตกลงตามนั้นค่ะ” ฉันเก็บหนังสือใส่กระเป๋า และลุกเดินคู่กันไปตามทาง พิศดูกี่ทีพู่เหมือนกับหวานมากจริงๆ เพียงแต่พู่เธออ่อนโยนกว่า นึกถึงหวานแล้วก็ใจหาย หากไม่มีเรื่องกันวันนั้น เราคงไม่ต้องแตกคอกัน หวานเองก็คงไม่คิดทำอะไรชั่ววูบไม่ทันยั้งสติคิดแบบนั้น อดห่วงไม่ได้จริงๆว่าตอนนี้เธอจะมีชีวิตอย่างไร ตกระกำลำบาก หนีตำรวจอยู่อย่างนี้สงสารลูกสาวฝาแฝดของเธอนั้น สงสารเธอที่นนท์ไม่เคยรักเธอเลย






“ไปดำน้ำมาสนุกไหม” ฉันเอ่ยปากทักทายเต้เมื่อเขากลับเข้ามาภายในห้องพัก โสดใสแม้จะหมองคล้ำเพราะตากแดดตากลมทะเลมาโข กลิ่นเกลือและกลิ่นเหงื่อยังกรุ่นอยู่

“ก็ดีนะ เสียดายน้ำน่าจะไปด้วยกัน ใต้น้ำมีปลา ปะการังสวยๆทั้งนั้น ครูฝึกที่เขาคอยคุมบอกว่า บางครั้งเราอาจโชคดีเจอฉลามวาฬด้วยนะ” เต้ทับถมใส่ว่าฉันพลาดอะไรไปบ้าง ทำให้ฉันซึมไปเหมือนกัน ถ้าไม่ติดตรงที่น้ำลึก ก็อยากไปด้วยอยู่หรอก

“น้ำไม่ไหวหรอก เจอแดดจัดจ้าๆไป จะเป็นภาระเต้ปล่าวๆ อยู่ที่นี่ก็มีอะไรให้ทำเยอะแยะเหมือนกัน” เต้เข้ามาประชิด ลูบผมเบาๆ และหอมฟอดใหญ่ ฉันก้มหัวงุดไม่มองหน้าเขา

“งอนหรือเปล่าเนี่ย... โอ๋...”
“อย่ามากวนประสาทนะ เต้ก็รู้ว่าน้ำไม่สบายนะ เย็นนี้น้ำไปทานข้าวกับเพื่อน เต้ก็ทานกับพ่อแม่น้ำนะ” ฉันโพล่งตอบไปอย่างไม่คิดอะไร แค่แหย่ๆเท่านั้น ไม่คิดว่าคำว่าเพื่อนจะกระตุ้นให้เต้เดือดขึ้นมา


“ใครน่ะ... ที่บอกว่าเพื่อน ไหนเรามาเที่ยวกันเป็นส่วนตัวไง” เต้บีบแขนเสียแน่นจนรู้สึกเจ็บ ไม่ทันไรก็จะวีนใส่กันอีกแล้ว วันนี้มันเป็นอะไร รู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่เข้าหูเข้าตาเต้ไปเสียหมด
“บอกว่าเพื่อนก็เพื่อนสิ ผู้หญิงนะ จะหวงไม่เข้าท่าทำไมล่ะเนี่ย” ฉันเริ่มขึ้นเสียง เต้เหมือนจะรู้ว่าฉันเจ็บจึงคลายมือออก ต้นแขนของฉันปรากฏรอยแดงจางๆขึ้นมา ฉันลูบมันเบาๆ

“...แล้วไป... คิดว่า...” เต้เบาเสียงลง จะมาจับดูรอยแดงนั้นแต่ทว่าฉันปัดออกอย่างไม่ใยดี และนั่งหันหลังให้

“คิดว่าอะไร”

“เปล่าไม่มีอะไรหรอก ช่างเถอะ...”



เต้เข้ามากอดด้านหลัง เอาหนวดแข็งๆลากไล่ไปตามคอและไหล่แทนขำขอโทษและหยอกล้อให้หายงอน ไม่มีทาง ที่ทำอยู่นี่มันน่ารำคาญมากกว่าจะรู้สึกดีตามไปด้วยเสียอีก

“อื้อ... ออกไปนะ น้ำอึดอัดน่ะ” นี่พยายามบ่ายเบี่ยงสุดชีวิตแล้วนะ รู้ตัวว่าไม่ใช่นางเอกไร้เดียงสา แต่อย่ามาทำตาเยิ้มใส่แบบนี้ได้ไหม ไม่ไว้ใจตัวเองเอาซะเลย ดิ้นไปดิ้นมากลายเป็นให้ท่าเต้เสียอย่างนั้นเหรอ หวาย... ล้มตรงไหนไม่ล้ม อีตานี่กระโจนลงมาทาบทับฉันไว้บนเตียง

“รู้ไหมออกไปแปปเดียว คิดถึงน้ำจะแย่ ให้ไปดำน้ำด้วยก็ไม่ไป” เต้ถอดเสื้อของตนเองออกไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ที่รู้คือใจของตนเองเต้นโครมครามไม่อยู่สุข เต้ลูบหน้าของฉันเบาๆ และคว้าหลังมือซ้ายของฉันขึ้นมาจุมพิตเบาๆ กระซิบกระซาบอะไรไม่รู้ ได้ยินไม่ชัดเลย

“ว่าอะไรน่ะ น้ำได้ยินไม่ชัดเลย”
“...”

“ไม่ได้ยินเลย พึมพำอะไรคนเดียวน่ะ เต้”

“ขอโทษ... เต้ขอโทษ” เกือบหลุดขำออกมาแนะ แค่คำว่าขอโทษแค่นี้พูดออกมายากเย็นทีเดียวเชียว ทำหน้าแดงเขินเชียว ทีเรื่องอื่นนี่หน้าด้านนัก


“...”
ขอเล่นตัวซะหน่อยเถอะหมั่นไส้นัก แกล้งบ้างดีกว่า


“แล้ว ไม่คิดจะยกโทษให้เต้เลยเหรอ”
“...”


ฉับพลัน เต้จับหน้าของฉันให้หันมาจันหน้าแทนการเบือนหน้าหนี เต้ประกบปากเข้ามาพร้อมช้อนตัวของฉันขึ้นมา แผ่วเบา เน่นนาน อ่อนละมุน สัมผัสของริมผีปากของเต้แทบทำให้ฉันยวบยาบอ่อนลงตาม หมดแรงต้านที่จะดื้อดึงหรือขัดขืน กระด้างกระเดื่องต่อ

“ย... ยกโทษให้ก็ได้... ดะ เดี๋ยว ดะ...” เต้ยิ้มกริ่มให้และจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง ราวกับฝันไป หายใจแทบไม่ออก มือไม้เต้เริ่มเคลื่อนที่ไปตามเนื้อตัวของฉันมากขึ้น สะกดให้ฉันเคลิบเคลิ้มตามแรงปรารถนาที่เต้จะมอบให้

“พอเลยนะ พอ... อืมมม... เต้” ฉันละล่ำบอกเขาตะกุกตะกัก
“น้ำ...” เสียงของเต้เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน พร้อมกับสัมผัสที่อ่อนโยนบนหน้าผากของฉัน

“อะไรอีกล่ะ...”
“ไปดำน้ำกันนะ” เต้พูดอย่างมีเลศนัย แต่ฉันเองไม่ได้คิดอะไรไปไกลขนาดนั้น เพียงแต่ว่าเวลานี้ มันเหมาะกับการดำน้ำเสียเลย เลยขัดขึ้นมา


“เพิ่งกลับมาเองไม่ใช่เหรอ จะออกไปอีกเหรอ นี่มันจะมืดแล้วนะ”





“ก็ดำที่นี่แหละ”


และฉันก็เข้าใจความหมายที่เต้ต้องการสื่อถึง
ว่าแต่การดำน้ำนี่ มันเหนื่อยและปวดเมื่อยไปหมดเลยนะ แถมคนพาดำนี่ไม่เห็นจะมีที่ท่าว่าจะเหนื่อยอะไรเลย


มีหวัง...มาเที่ยวครั้งนี้ จะเหนื่อยเพราะดำน้ำนี่แหละ จะปฏิเสธก็ไม่ได้





พูดไม่ทันทุกทีเลย...




โปรดติดตามต่อต่อไปครับ....

ขออภัยที่ลงช้านะครับ




pupper

  • บุคคลทั่วไป
ช้าก็ดีกว่าไม่มาครับ ผมรออ่านอยู่ เข้ามาดูทุกวัน
แต่ก็เตียมใจสำหรับตอนจบไว้แล้ว มาต่อไวไวนะครับ
เปนกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
เฮ้ย

ทำไมมันลงเร็วจังเลยฟะ

ตามอ่านไม่ทันแย้ว

 o2 o2 o2

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
เห็นรีพลายหลายคนก็ชื่นใจคับ

ปล.สต็อคเรื่องผมหมดอยู่แค่นี้ยังไม่ได้แต่ต่อเลย

ผมจบเรื่อง RKA Mission แล้ว ไว้ไงผมจะพยายามแต่งมาลงให้นะคับ รับรองไม่ดองนานแน่คับ

 :pig4: ทุกเม้นต์ ทุกรีพลายนะคับ

ให้มีความสุขกับการอ่านเรื่องนี้นะคับ

 :oni1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด