ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก  (อ่าน 34287 ครั้ง)

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
คำนิยามจากผู้แต่ง

   เรารู้จักรักกันมากแค่ไหน...
เราพยายามเพื่อความรักมากแค่ไหน...
และเรารักษามันไว้กับตัวได้ดีแค่ไหน...

ต่างคนต่างมีคำตอบเป็นของตนเอง ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะเลือกการเสียสละ หรือ ความเห็นแก่ตัว รักมีมุมมอง มีนิยาม มีมิติ เป็นอะไรที่กว้างกว่านั้น เรื่องนี้คุณอาจจะมองข้ามไปไม่สนใจที่หยิบมันขึ้นมาอ่านเลยก็ได้ ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว เพ้อฝัน และไม่มีทางเป็นจริงได้
ฉันโตมาในครอบครัวที่ตรงกันข้ามกับ “น้ำ...” ตัวละครที่ตัวฉันเองวาดฝันว่ามันคือตัวฉันเอง ครอบครัวที่อบอุ่นและเข้าใจ การมองโลกในแง่ดีด้านเดียวที่ไม่มีทางจะเกิดขึ้นกับฉันได้เลย กับอีกสองคน คือ “นนท์...” คนที่ไม่มั่นคงในตัวเอง ปล่อยให้ปัญหาลุกลามใหญ่โตจนยากจะแก้ สุดท้ายก็ต้องสูญเสียและเจ็บปวด คนๆนี้ คือด้านหนึ่งของฉัน ด้านที่เอาแต่หนีปัญหามากกว่าที่จะเสี่ยงตายเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ ฉันเลือกที่จะปกป้องตัวเองให้เจ็บปวดน้อยที่สุด และสิ้นสุดลงตรงที่เลือกที่จะเจ็บคนเดียว และ “เต้...” คนที่มั่นคงในความมุ่งมั่นของตนเอง แต่กลับมองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆรอบตัว ฉันสร้างจินตนาการของทั้งสามคนนี้ในมุมมองของตัวตนของฉันเอง ตัวตนที่ฉันปรารถนา และตัวตนที่ฉันรังเกียจ ผูกเป็นเรื่องราวบทหนึ่งของชีวิต ที่อยากจะบอกใครหลายคนให้รับรู้ว่า รักเกิดขึ้นง่ายดายแค่ไหน แต่สิ่งที่ยากเย็นกว่า คือการรักษาความรักไว้กับเราให้นานตราบที่จะนานได้
กว่าหนึ่งปีที่เรื่องนี้จะเขียนออกมาได้นั้น ไม่ได้ตรงไปตามที่พล็อตเรื่องไว้แต่แรก หลายสิ่งหลายเรื่องทั้งสุขและทุกข์ ฉันพยายามนำมาผูกโยง ถักทอเรียงร้อยกัน เป็นเรื่องเรื่องนี้ขึ้น ไม่อยากเรียกว่านิยาย แต่ขอนิยามว่า กึ่งๆเรื่องเล่ามากกว่า ไม่มีการอ้างอิงบุคคล หรือ สถานที่จริง หรือ เรื่องจริงใดๆจากเรื่องดังกล่าว

ที่อยากฝากให้ผู้อ่านได้ซึมซาบ สัมผัส ความรู้สึก อารมณ์ของตัวละครแต่ละคนอย่างเข้าใจ เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง เราอยู่กับความหลายหลายและแตกต่าง ควรเคารพกันและกัน
ค่าของคนอยู่ที่ใด...

อยู่ที่... ใจของเรา ยังเป็นเชื่อมันในคำว่า"รัก"อยู่หรือเปล่า ต่างหาก
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-09-2010 19:13:27 โดย THIP »

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #1 เมื่อ19-06-2008 23:09:30 »

ตะเอง เรื่องเก่าอ่ะยังไม่จบ ขยันจังนะจ๊ะ :o8:

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #2 เมื่อ19-06-2008 23:12:58 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม








ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก


บทนำ

ดวงตาของฉันเริ่มพร่ามัว รับภาพของกลุ่มคนที่อยู่รายล้อมได้ไม่ถนัดหนัก แต่ก็สามารถคาดเดาได้ว่าใครเป็นใครบ้าง ฉันได้ยินเสียงของแม่กำลังร่ำไห้ซบอกพ่ออยู่ข้างๆด้านขวาของเตียง ทว่าตัวเองแทบไม่มีแรงที่จะขยับตัว ขนาดเปล่งเสียงก็ทำได้อย่างยากลำบาก แม่จ๋า หนูบาปเหลือเกิน ที่ทำให้แม่ต้องเสียใจแบบนี้
“คุณแม่ ต้องทำใจดีๆนะคะ คนไข้จะได้ไม่วิตกกังวลมาก เดี๋ยวอาการอาจทรุดลงได้ค่ะ” พยาบาลสาวปลอบโยนแม่ของฉันด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและเป็นห่วงเป็นใยท่าน ขณะที่ปรับสายน้ำเกลืออยู่ข้างเตียง
“ฉันจะพยายาม จะพยายาม” น้ำตาแม่พรั่งพรูออกมา น้ำเสียงสั่นเครือ แม่พยายามไม่หันมาสบตาฉัน เอาแต่หลบในอ้อมกอดของพ่อ

            ประตูห้องเปิดขึ้น ฉันไม่ได้สนใจแต่ดูเหมือนว่าสายตาของทั้งพ่อและแม่เลื่อนตำแหน่งจากฉันไปยังผู้ที่เข้ามาภายในห้อง แม่ยังคงสะอึกสะอื้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักทายอะไร พ่อเองก็เช่นกัน พลอยทำให้ฉันใคร่รู้ว่าใครกันที่เข้ามาภายในห้อง
ฉันคนที่อยู่ปลายเตียงนั้นดูแปลกตานัก ไม่ว่าพยายามเพ่งพินิจเท่าไร พยายามทบทวนความทรงจำที่ผ่านมาต่างๆ ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าสองคนนั้นคือใคร จนร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ เสียงที่หนักเข้มและอีกหนึ่งเสียงที่นุ่มนวลเริ่มชัดเจนขึ้น ตัวฉันสะดุ้งขึ้นอย่างประหลาด ตาเบิกโพลงขึ้น ฉันรู้แล้วว่าเป็นใคร
   “คุณแม่ สวัสดีครับ/คุณน้า สวัสดีค่ะ” ทั้งสองพูดเกือบพร้อมกัน มองมายังร่างผอมบางที่หายใจระรวยริน แข่งกับเสียงเครื่องวัดการเต้นของหัวใจ เสียงนาฬิกา และเสียงแอร์ดังครืดคราดภายในห้อง
   “น้ำเป็นอย่างไรบ้างคะ” เธอขยับตัวมาข้างเตียงฉันและกุมมือฉันไว้เบาๆ น้ำตาฉันไหลไม่รู้ตัว พยายามพะงาบปากสื่อสารกับเธอแต่ทว่าไม่สนใจ
   แม่มองหน้าทั้งสองแต่ไม่ยอมเอ่ยอะไร น้ำตา น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และสามารถอธิบายความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ทั้งหมด
   เธอเป็นเพื่อนที่ฉันรักมากคนนึง ฉันดีใจมากที่เธอมาเยี่ยม ตั้งแต่เกิดเรื่องล่วงมาจนถึงตอนนี้ หลายปีเหลือเกินที่ไม่ได้เจอเธอ ฉันสัมผัสได้จากแววตาและท่าทางของเธอ ที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย สงสาร และคำขอโทษที่อยากจะพรั่งพรูเป็นคำพูดออกมา แต่เพียงเท่านี้ก็ดีใจแล้ว
   “น้ำ... ฝ้ายพานนท์มาด้วยนะ นี่ไง” เธอพยายามพูดด้วยน้ำเสียงร่วมกับสีหน้าที่ร่าเริง แม้ว่าจะเป็นการแสร้งทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นชั่วขณะก็ตาม นนท์เดินเข้ามาอยู่ข้างๆเธออย่างกล้ากลัว ฉันสังเกตเห็นฝ้ายจับมือเขาไว้แน่นทีเดียว
นนท์ ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ฉันอยากเจอมาก แม้จะอยากเจอแค่ไหน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอายและสมเพชสภาพตัวเองในขณะนี้มาก สายอะไรต่อมิอะไรระโยงระยางรายรอบตัวฉัน ราวกับพันธนาการที่ฉันไม่อาจหลุดพ้นไปได้ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิตจะมาเยือน ซึ่งรู้ว่าอีกในไม่ช้านี้เอง

“นน....” ฉันพยายามเปล่งเสียง และเอื้อมมือไปหาเขาอย่างยากลำบาก ทั้งไกลและเลือนลางเหลือเกิน
ฉับพลันที่เขาสวมกอดและประคองฉันขึ้น ฉันได้แต่หลับตาและรู้สึกได้ถึงความรู้ต่างๆที่เค้ามีต่อฉัน แม้ว่าตอนนี้ ทุกอย่างจะสายเกินไป และไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
“ผมขอโทษ” ฉันยิ้มแม้รู้ว่าคนที่กอดจะไม่รับรู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไร ประโยคนี้ยังก้องอยู่หัว สติฉันเริ่มจางออกไป ย้อนไปถึงเรื่องราวเก่าๆที่ผ่านมา




ฝากเรื่องนี้ด้วยนะครับ  เป็นแนวสาวสองน่ะ
แต่งไว้นานแล้ว
ไงก็ระหว่างที่รอเรื่อง RKA mission ที่ผมยังตื้อๆอยู่
ก็อ่านเรื่องนี้ไปพลางก่อนนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2008 23:16:03 โดย christiyaturnm »

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #3 เมื่อ19-06-2008 23:22:36 »

“ผมตัดสินใจแล้ว ก็นี่เป็นเรื่องของคนสองคนนี่นา ที่รู้สึกกับน้ำ ไม่ใช่แบบเกย์ซะหน่อย ผมรู้สึกว่าน้ำเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจและรู้สึกดีที่อยู่ใกล้ เหมือนกับที่ผู้ชายคนนึงชอบผู้หญิงคนนึง เราคบกันนะ”


















บทแรก   


อากาศตอนเย็นช่างร้อนอบอ้าว เมฆเคลื่อนตัวลอยต่ำราวจะมีฝนตกในไม่ช้า แสงแดดค่อยๆทอดตัวยาวเข้ามาผ่านบานกระจก วันนี้ฉันอยู่บ้านคนเดียว นั่งทำงานแข่งกับเวลา พลิกขาไปมาขยับเนื้อตัวคลายปวดเมื่อยขณะที่ จดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์คู่ทุกข์คู่ยากมาครึ่งค่อนวัน จนไม่ทันได้สังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้นข้างนอกบ้าง
“จุ๊บ” นนท์แอบย่องเข้ามาให้ห้องเงียบๆ ไม่ทันที่ฉันจะรู้ตัว เขาก็หอมแก้มด้านซ้ายเสียแล้ว ฉันสะดุ้งก่อนหันมาจันใบหน้าของนนท์ที่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อยู่ข้างๆฉันอายหน้าแดงและบึ้งใส่

“นี่แอบเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย น้ำตกใจนะ” ฉันพิมพ์งานต่อ แอบเหลือบมองเขาบางครั้ง
“อยู่บ้านเดียว ทำไมไม่ดูแลล็อคประตูให้ดีล่ะ นี่ก็กดออดตั้งหลายครั้งแล้วนะ ถ้าเกิดเป็นขโมย โจร น้ำไม่แย่เหรอ” นนท์ดุก่อนทิ้งตัวลงบนเตียง วางเป้ไว้กับพื้น นั่งกางขาพักเหนื่อย พลางเช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยอยู่เพราะความร้อนจากนอกห้อง
“ก็ทำงานเพลินนี่นา วันนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน อยู่เป็นเพื่อนน้ำนะ คนอื่นๆก็ไม่ว่างกันเลย” ฉันละจากงานที่ทำทันทีที่เห็นเขาเดินมาใกล้ และโอบไหล่ไว้ หน้าแนบกันและกันก่อน เปล่งคำพูดเบาๆข้างหู

“ได้ๆแต่จะให้รางวัลอะไรล่ะ อุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อนด้วยเนี่ย” นนท์เคลียคลออยู่ข้างๆ ฉันยิ่งอารมณ์เสียสลัดตัวออกจากอ้อมแขนของเขา 
“นายนี่มันกวนจริงๆ  มานี่ก็กินฟรี ไฟฟรี น้ำฟรีแล้วจะเอาอะไรอีก” แม้ว่าจะใจจดๆจ้องอยู่หน้าคอมแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้ามาต่อล้อต่อเถียงกับเขา ฉันไม่ชอบให้ใครมารบกวนสมาธิเวลาที่ทำงานอยู่นี่นา
“ก็เรื่องนั้นไง...” เขาพูดมีเลศนัย ชวนให้มีน้ำโมโห โถ่...นี่ฉันปั่นงานสายตัวแทบขาด อย่ามาแหย่ได้ไหม เรื่องนั้นไม่ใช่ตอนนี้

“งั้นก็กลับไปเลย... ถ้าจะอยู่อย่ามาใกล้นะ ว่าแต่บอกที่บ้านไว้หรือเปล่าว่าจะมานี่น่ะ” ฉันตัดใจพูดห้วนๆอย่างนั้นไป เพราะรู้ดีว่าถ้าให้เลือกระหว่างอยู่คนเดียวน่ากลัว แต่ก็สามารถทำงานได้ราบรื่น กับการมีเขาอยู่เป็นตัวยุ่งกวนใจ ทำงานไม่ได้แบบนี้ เลือกแบบแรกดีกว่า
“บอกแล้วน่า... เซ้าซี้จัง ว่าแต่มีไรกินมั่งเนี่ยวันนี้” นนท์เซ็งหมดอารมณ์ เดินกลับไปนั่งบนเตียงตามเดิม ควักขนมออกมากิน เสียงกรุบกรับ ยั่วความหิวฉันได้ถนัดนัก

“บอกว่าไง วันนี้ยังไม่ได้ทำอะไรหรอกนะ นี่ก็ทามงานทั้งวัน ได้ทานไรนิดหน่อยเอง กะลุกไปห้องน้ำ” น้ำเสียงฉันเบาลง แม้จะแอบเหล่มองว่าเขาจะมีกะใจแบ่งขนมนั่นให้หรือเปล่า และดูเหมือนว่าเขาจะทราบว่าสายตาของฉันหมายถึงอะไร
“แหม... แหย่ก็ไม่ได้ อารมณ์บูดจังวันนี้ งั้นออกไปข้างนอกไหม เดี๋ยวเลี้ยงเองน่า ว่าแต่งานเนี่ยอีกเยอะหรือเปล่า” เขายื่นขนมให้ ทั้งๆที่รู้ว่าน่าเกลียดแต่ก็คว้ามาทาน โดยไม่ได้ขอบใจอะไร เขาขำนิดๆ
“อีกซักหน่อยละกัน จะทำอะไร ก็ไปทำก่อนละกันนะ รีโมตอยู่ตรงนู่นแนะ ของกินก็ในตู้เย็นอ่ะ ตามสบายนะ” ฉันพูดทั้งๆที่ของกินยังเต็มปาก ตอนนี้ไม่สนไรแล้ว ก็มันหิวนี่นา

“รีบไล่เชียว อยู่นี่แหละ ไปทำอะไรเองบ้านแฟนก็ดูแปลกๆ” เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงเสียงดังตุ๊บ พลันพลิกตัวมามองฉันถนัดๆ
“แปลกอะไร นี่อย่าชวนคุยได้ไหมงานจะไม่เสร็จ ว่าแต่จะออกไปตอนไหนน่ะ” ฉันยิ้มและ หยิบขนมใส่ปากต่อ แล้วโยนซองคืนให้เขา นนท์ทำหน้าเบ้ แหงล่ะ ฉันกินซะเรียบ
“ซักประมาณทุ่มนึงละกัน นี่ลองไปกินร้านที่ซอยข้างๆหรือยัง ผ่านมาบรรยากาศดี น่าสนใจ” เขามองนาฬิกาก่อนตอบ
“นี่พูดมากจัง จะทำงานนะ” ฉันเปลี่ยนจากนั่งห้อยขาเป็นขัดสมาธิแทน พลางเกาหัวเป็นนัยว่า อยากอยู่คนเดียว แก่เขา
“ก็ได้ ก็ได้ ไม่กวนล่ะ” เขายิ้มกรุ้มกริ่มก่อนออกจากห้องไป
ปัง!!
มีกลิ่นแปลกๆอบอวนในห้องจนต้องโลดไปเปิดประตูกระจกออก เพื่อไล่อากาศเสียออกไป
“อี๋!! ตาบ้าตดทิ้งไว้อีก นี่ นาย... น่าเกลียดชะมัด”


ฉันคบกับนนท์มาได้ร่วมสองปีกว่าแล้ว ทุกครั้งที่นึกถึงว่าเราเริ่มต้นมาอย่าไรก็อดขันไม่ได้ น้ำกับเขาแทบจะต่างกันมากทั้งลักษณะ ท่าทาง รสนิยม และอื่นๆ บอกตรงว่านนท์ไม่ใช่คนในอุดมคติของฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันน่ะ ชอบคนผิวเข้ม ตัวโตกว่า กลับผิดถนัด นนท์เป็นคนผิวขาว ออกไปทางดีกว่าจนรู้สึกอิจฉา ตัวออกไปทางท้วมๆ สูงไล่ๆเรี่ยกัน แม้จะว่าไปแล้วเขาสูงกว่านิดหน่อยก็ตาม ทีแรกเขามาจีบเพื่อนสนิทของฉันคนนึง ออกไปทางทอมมากกว่าจะเรียบร้อยเหมือนผู้หญิง นนท์เขาพยายามจีบเพื่อนคนนี้มาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย กระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย พอทราบว่าฉันเรียนอยู่ภาควิชาเดียวกัน แถมยังเป็นเพื่อนสนิทอีก ก็ยิ่งเข้าทางที่จะทำให้เขาพอมีความหวังได้บ้าง

“นะ นะ ช่วยเราหน่อยเถอะขอร้อง” นายคนนี้ก็แปลกนัดฉันมาคุยด้วย ผ่านทางเพื่อนของฉันที่เรียนคณะสถาปัตยศาสตร์เดียวกันกับเขา ตกใจนิดหน่อยที่มาขอร้องโต้งๆแบบนี้
“อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าก้อยจะยอมคบกับนายหรือเปล่านะ” ฉันพูดอย่างไว้เชิง ก็ก้อยเป็นเพื่อนของฉันนี่นา
“นี่แปลว่าน้ำตกลงจะช่วยเราแล้วใช่ไหม ขอบใจนะ” นายคนนี้รู้จักชื่อของฉันตั้งแต่เมื่อไรกัน ท่าทางจะเป็นเอามากแฮะ
“ก็ช่วยได้นิดหน่อยนะ ว่าแต่อย่าให้มันมากด้วย เดี๋ยวก้อยจะเกลียดขี้หน้าเค้าได้ ว่าแต่จะเริ่มยังไงล่ะ”
“งั้นเราขอเบอร์โทรน้ำก่อนละกัน อย่าว่างั้นงี้เลยนะ เราอยากรู้จักก้อยให้ดีก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที”

แทบช็อคแนะ ตอนที่เขามาขอเบอร์โทรศัพท์เรา แบบว่าอึ้ง ว่าครั้งแรกที่มีคนมาขอเบอร์ตรงๆแบบนี้ มาคนเดียว ไม่ได้มากับเพื่อน มันชวนให้จินตนาการได้แค่ไหนว่าเขาคลั่งไคล้เราแค่ไหน แต่คุยไปคุยมา ไหงมีแต่ก้อย ก้อย ก้อย และก็ก้อย อีกและมามุขนี้จะใช้ให้เราเป็นสะพานนี่นา เซ็งเลย
“ฮัลโหล อ้าวนายอีกแล้วเหรอ วันนี้อยากรู้เรื่องอะไรของก้อยล่ะ” ฉันไม่ได้เม็มเบอร์โทรเขาไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะโทรมาบ่อยมากจนน่ารำคาญ และวันนี้ก็อีกวัน
“นี่ ก็นิดหน่อยนะ ว่าแต่เป็นไงบ้าง ช่วงนี้ก้อยเรียนหนักหรือเปล่า ดูเหมือนเค้าเหนื่อยๆนะ ยังไงก็ฝากบอกให้ดูแลตัวเองดีๆนะ” อีกและ ก้อยอีกแล้ว โทรมากี่ทีก็เรื่องนี้ นี่ฉันจะอ่าน หนังสือสอบนะ
“อื้อ... มีอะไรอีกหรือเปล่า นี่ก้อยก็อยู่ด้วย จะคุยด้วยหรือเปล่า” ฉันลองแอบแหย่เล่น เพราะวันนี้ฉันมาค้างบ้านก้อยกับเพื่อนคนอื่นๆอีกสามสี่คน
“เอ่อ... เอ่อ... ไม่ดีกว่า เดี๋ยวก้อยจะอารมณ์เสียเอา วันก่อนก็หงุดหงิดใส่ไปทีแล้ว ก็อย่างที่คุยแหละ งั้นแค่นี้นะ ขอบใจนะน้ำ” นนท์รีบปัด ท่าทางวันนี้ที่ก้อยหงุดหงิด คงเพราะนายนี่แหงๆ
“มีอะไรก็คุยได้แหละ เป็นเวลาหน่อยนะ ช่วงนี้น้ำมีสอบเก็บคะแนนด้วย เดี๋ยวจะบอกให้ บายนะ”

ฉันกับเขาสนิทกันในระดับหนึ่ง ในฐานะที่ปรึกษา และไม่เคยคิดกับเขาเกินกว่าคำว่าเพื่อน ฉันไม่ได้เชียร์เขาออกนอกหน้าเรื่องที่มาจีบเพื่อนสนิทของฉัน แต่การเป็นคนกลางมันน่าอึดอัดแค่ไหน ไม่อยากให้เพื่อนสนิทของตัวเองต้องมามีเรื่องกันเพราะเรื่องขี้ประติ๋วนี้ ก็รู้นะ ว่าก้อยฉันเป็นไบ บางครั้งเขาก็มาอารมณ์เสียใส่ หาว่าฉันหวงเพื่อนเกิน อ้าวนี่มันพาลนี่นา
“นี่น้ำ ถามจริงเถอะ เธอเป็นอะไรกับก้อยหรือเปล่าน่ะ”
“นี่เป็นอะไรไปน่ะ” ฉันงงมากที่จู่ๆ เขาเดินมาหาไม่ให้สุ้มเสียง ตอนที่ฉันอยู่ในร้านขายขนมในมหาวิทยาลัย ท่าทางจะหัวเสียเอามากๆ
“เราเห็นเธอสนิทกับก้อย บางครั้งก็ไปไหนด้วยกันบ่อยจัง” เขาคาดคั้นคำตอบ เห็นแล้วก็อดขันไม่ได้จริงๆ
“จะบ้าเหรอ ฉันไม่ได้เป็นเลสนะ เราแค่สนิทกันก็แค่นั้น คิดอะไรของเธอน่ะ จะบ้าหรือเปล่ายะ จู่ๆก็มาหึงเอาดื้อๆแบบนี้” เขาหน้างอใส่ ขณะที่ฉันเองก็ยิ้มเจื่อนๆตอบ
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว อย่าที่เธอว่า ก็รู้อย่างที่เธอรู้น่ะ นนท์กับก้อยเพิ่งจะเริ่มคบกัน เราเองก็อดคิดมากไม่ได้” เขาเกาศีรษะแก้เก้อ คำตอบที่ได้ทำเอาฉันมึนไปอีกครั้ง สองคนนี้คบกันแล้วเหรอ
“หา... นี่ไปคบกันตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย อะไรกัน”

สุดท้าย ก้อยก็ทนลูกตื้อของเขาไม่ไหว ตกลงคบกันได้ระยะหนึ่ง ทว่าก็เลิกกัน ด้วยความขี้เบื่อของเพื่อนฉันเอง ลำพังก้อยเสียใจก็แค่ไม่เท่าไร ไม่กี่วัน แต่เขานี่ฟูมฟาย น้ำตาเป็นเถาเต่า ไอ้เราก็ต้องคอยปลอบ ก็น่าสงสารนี่นา นั่นก็เพื่อนนี่ก็เพื่อน พูดยาก
“เราไม่เข้าใจเลย ทำไมก้อยต้องพูดกับเราแบบนั้นด้วย” นนท์มานั่งปรับทุกข์ที่ร้านอาหาร นี่มันจะอะไรหนักหนา ฉันต้องรีบบึ่งออกจากบ้านโดยมีเวลาแต่งตัวแค่สิบนาที มาที่นี่ เพราะอดคิดไม่ได้ว่าเขาจะทำอะไรบ้าลงไป
“ก้อยก็เป็นคนแบบนั้นนี่นา คิดอะไร ก็พูดออกมาตรงๆ อย่าคิดมากเลยนะ” ฉันวางตัวไม่ถูกจริงๆ ไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายนี่นา ก็เลยพูดอะไรออกไปแบบนั้น นี่มันเรียกว่าปลอบเหรอ อยากตีปากตัวเองจัง
“ก็เราชอบก้อยนี่นา นี่ก็ตามใจหลายอย่าง ยอมทำนู่นนี่ให้ ก้อยก็ไม่ยอมรับที่จะคบกับเราต่อ แถมยังบอกว่าเป็นเพื่อนแบบนี้ดีแล้วอีก” นนท์เอาแต่กุมหน้า ส่ายหัวไปมา ไม่ก็มองออกไปนอกหน้าต่างไม่ยอมสบตากับคนที่นั่งตรงข้าม ฉันอดห่วงเขาไม่ได้จริงๆ
“น่าๆ อย่ากังวลไรเลยนะ นายก็จีบคนอื่นได้นี่นา นายก็ใช่ว่าจะหน้าตาแย่ซักหน่อย ก้อยไม่ใช่คนที่นายจะต้องมาเสียใจแบบนี้หรอกนะ” เอาอีกแล้วนี่พูดอะไรออกไปอีกละทีนี้

“น้ำนี่ก็ดีเนอะ ถ้าเราเป็นแฟนน้ำ เราคงรักน้ำมากเลย ขอบใจนะที่เป็นเพื่อนมาตลอด” ใจฉันเต้นรัวทันที่นนท์พูดประโยคนั้น มือของเขาค่อยยื่นมากุมมือของฉันโดยที่ไม่ทันรู้ตัว ฉันชักมือกลับ นี่นนท์ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ ตายแล้ว นี่คิดอะไรไปละเนี่ย
“อื้อ... ไม่เป็นไรหรอกเรื่องแค่นี้เอง ช่วยได้ก็ช่วย” ฉันไม่กล้ามองหน้านนท์ตรงๆ เปลี่นยเป็นมองผ่านเงาสะท้อนลางๆบนโต๊ะแทน นี่เราเป็นอะไรไปละเนี่ย
“น้ำ...” เสียงเขาแทรกมา ทำให้ฉันต้องกลับมามองเขาอีกครั้งหลังจากที่ต่างคนนิ่งเงียบไม่พูดอะไรไปพักหนึ่ง
“หืมม...”
“เรามาคบกันไหม” ช่วงเวลานั้น สติเหมือนตัวเองกำลังหลุดลอยไปในอวกาศ มาบอกว่าเรานี่ก็ดีเนอะ เป็นกำลังใจให้ตลอด เป็นที่ปรึกษาในทุกๆเรื่องไม่เคยหนีไปไหน ขอบคุณนะที่ซาบซึ้ง แต่ว่า จะมาขอคบเป็นแฟนเนี่ยนะ
“เอ่อ นนท์ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ อกหักแค่นี้ เพี้ยนไปแล้วหรือไง” ฉันชิงหัวเราะแก้เขินไปและหยุดเมื่อพบว่าอีกฝ่ายทำหน้าขึงขังขึ้นมา
“ไม่ได้บ้านะ พูดจริงๆ”
“นี่ล้อเล่นแรงไปแล้วนะ เอ่อ...” อยากกลับบ้านแล้ว ตาเริ่มลาย หัวเริ่มหมุน นี่มันอะไรกันนี่ นนท์จะขอคบฉันอะนะ นายเพิ่งจะเลิกกับก้อยได้หยกๆเอง
“ว่ายังไงล่ะ ถ้าเป็นน้ำนะ เราคงรู้สึกดีขึ้นเยอะ อีกอย่างเรื่องก้อย ตอนนี้นนท์ไม่ได้คิดอะไรแล้ว จะว่าไปนนท์รู้สึกกับน้ำมากกว่าที่รู้สึกกับก้อยอีก”
“เรามาคบกันดีไหม” เขาย้ำคำเดิม ทำให้แน่ใจว่าไม่ได้พูดเล่นๆลอยๆส่งๆไป ฉันกลืนน้ำลายตัวเองก่อนตอบไปตรงๆว่า
“เอ่อ... เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้น่ะดีแล้วล่ะ อีกอย่างนนท์จะรับได้หรือเปล่ากับเรื่องนี้”
“เรื่องอะไรเหรอ ก็เท่าที่นนท์รู้ น้ำก็ไม่ได้คบใครมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วนี่นา” มือของเขายื่นมากุมมือของฉันไว้อีกครั้งหนึ่ง ตัวฉันเริ่มเย็นลง แต่ใจก็เต้นรัวถี่นัก
“เรื่องนั้นมันก็ใช่นะ น้ำยังไม่อยากคบกับใครตอนนี้ อีกอย่าง...” นี่เรี่ยวแรงหายไปไหนหมด จะชักมืออกยังไม่กล้า เขาจ้องตารอคำตอบนั้นอยู่
“อะไรเหรอ” เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆเลย ได้ยินแบบนี้ยังจะพูดแบบนี้ต่ออีกหรือเปล่า
“น้ำไม่ใช่ผู้หญิงนะ”

ไม่ได้เห็นแก่ตัวหรอก แต่ก็บอกว่าให้ค่อยๆดูกันไปก่อน อีกอย่างตัวเองก็เพิ่งเลิกกับแฟนมาหมาดๆ ทำแบบนี้ก็น่าเกลียดเกิน และอีกเรื่องที่อยากจะบอก แน่ใจเหรอจะมาคบกับคนอย่างฉัน กระเทยอย่างฉัน
“...”
เท่านั้นแหละ อึ้ง ไปเกือบสัปดาห์ ไม่โทรมา ไม่กล้าคุยด้วย อะไรกันเพิ่งจะมารู้ว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิง นายบ็องหรือเปล่า เขารู้กันปาวๆกันทั่ว เฮ้อ น่าเสียดาย ณ วินาทีนั้น คิดว่าเขาคงจะเสียหน้าและเสียความรู้สึกมากๆแน่ๆ นี่เรายังเป็นเพื่อนกันได้อยู่นะ

สัปดาห์ถัดมา
“หวัดดีน้ำ” พอเงยหน้าขึ้น ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่จู่ๆเขาก็มาอยู่ตรงหน้า ขณะที่ตัวเองกำลังเดินออกจากมอ
“อ้อๆ หวัดดีนนท์ ว่าแต่เป็นไงบ้าง” ฉันยิ้มเก้อไป อีกใจก็คิดว่าเขาคงดีขึ้นมากแล้ว
“ก็ดีนะ โอเคขึ้นมากแล้ว นี่กำลังจะไปไหนเหรอ” เขาเลิกคิ้วจ้องมายังฉันจนรู้สึกรราวกับว่าอยู่ใกล้กันมากเกินไป
“จะกลับแล้วน่ะ งั้นน้ำขอตัวก่อน...” ฉันเลี่ยงเดินไปทางซ้าย ตัดบทไม่พูดต่อ รีบจ้ำและก้มหน้าไม่สบตา เขาฉวยมือฉันไว้ จนต้องอยุดและหันกลับมา
“เราไปนั่งคุยที่ร้านข้างหน้ามหาลัยก่อนไหม รีบหรือเปล่า”

“อ๋อเหรอ ก็ได้นะ” ฉันกลับไม่ปฏิเสธคำขอของเขา ยอมเดินไปกับเขาดีๆ ไม่แน่ใจว่าวันนี้มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า
ที่ร้าน คนค่อนข้างจอแจเพราะเป็นช่วงเวลาเย็น ฉันนั่งสงบเสงี่ยม และสั่งแค่น้ำผลไม้ปั่นเบาๆ ขณะที่เขานั่งกุมมือ เอนตัวมาข้างหน้า จ้อง และก็จ้อง
“นี่โกรธ น้ำเหรอ เรื่องนั้น” ก็ไม่รู้นี่นา ว่าเรียกให้มาที่นี่ทำไม ขอเดาว่าต้องเป็นเรื่องนั้นแน่นอน นี่ราวกับว่าตัวเองกำลังถูกสอบปากคำอย่างไงอย่างงั้น
“ป่าวหรอก ก็แค่ตกใจนิดหน่อย คุยกันตั้งนานไม่ยักกะรู้ว่า น้ำเป็น...แบบนั้น นนท์ต้องเป็นฝ่ายถามมากกว่าว่า น้ำโกรธนนท์หรือเปล่า” เขาเผยยิ้มให้ พอใจชื้นขึ้นมาบ้าง

“ไม่หรอก น้ำจะไปโกรธทำไมเล่า เวลามีใครมาพูดแบบนั้น น้ำก็จะบอกไปตรงๆ รับได้รับไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง การไม่โกหกกันเป็นดีที่สุด” ฉันจิบน้ำที่บริกรเสริฟมานิดหน่อยตาม
“แล้วน้ำคิดว่าอย่างไง กับเรื่องที่นนท์ถามไปตอนนั้น” นนท์ยังย้ำความตั้งใจเดิมอีกครั้ง
“เรื่องนั้น ไม่ดีมั้ง น้ำว่า...” ฉันตอบไปตรงๆ รู้สึกดีนะที่มีคนมาพูดแบบนี้ แต่จะดีเหรอไม่มั่นใจเลย
และคำตอบของเขาประโยคนี้ยังจำได้แม่นยำเสมอ และทำให้ตัวเองแน่ใจว่าจะตอบคำตอบแบบไหนแก่เขาไป

“ผมตัดสินใจแล้ว ก็นี่เป็นเรื่องของคนสองคนนี่นา ที่รู้สึกกับน้ำ ไม่ใช่แบบเกย์ซะหน่อย ผมรู้สึกว่าน้ำเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจและรู้สึกดีที่อยู่ใกล้ เหมือนกับที่ผู้ชายคนนึงชอบผู้หญิงคนนึง เราคบกันนะ”


และเราก็คบกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2008 16:01:49 โดย christiyaturnm »

nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #4 เมื่อ19-06-2008 23:52:57 »

มาลงชื่อรออ่านก่อน

แล้วเด๋วค่อยไปอ่านต่อ

 :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #5 เมื่อ20-06-2008 00:20:24 »

“ผมตัดสินใจแล้ว ก็นี่เป็นเรื่องของคนสองคนนี่นา ที่รู้สึกกับน้ำ ไม่ใช่แบบเกย์ซะหน่อย ผมรู้สึกว่าน้ำเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจและรู้สึกดีที่อยู่ใกล้ เหมือนกับที่ผู้ชายคนนึงชอบผู้หญิงคนนึง เราคบกันนะ”


อืม....รู้สึกดีกับเรื่องนี้ซะแล้วสิ
ไม่น่าเลยเรา...ติดอีกจนด้ายยยยยยยย
รอตอนต่อไป อย่าเพิ่งตันนะ :L2: :L2: :L2: :L2:

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #6 เมื่อ20-06-2008 14:07:43 »

แม้ว่าฉันจะตอบไปเชิงหมาหยอกไก่โดยไม่ทันคิดแบบนั้น แต่ก็คงอดกังวลไม่ได้ว่าหากเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร ฉันเองก็ไม่ใช่คนที่ใจกว้างได้พอที่จะยอมให้แฟนตัวเองไปมีคนอื่นหรอก



















บทที่สอง   

“นึกถึงตอนที่เราคบกันใหม่ๆเลยนะ” ฉันพูดขึ้นลอยๆ ขณะเราทั้งคู่เดินออกจากร้านอาหาร แสงไฟจากโคมที่อยู่รายรอบ ส่องแสงวูบวาบผ่านไปทีละดวง สองดวง สองดวง เขาจูงมือฉันไว้ ค่อยๆเดินไปพร้อมๆกันรู้สึกราวกลับย้อนไปในอดีต ช่วงที่คบกันใหม่ๆ
   “ทำไมเหรอ” นนท์หยุดเดิน หันมามอง คิ้วขมวดเป็นปมแต่ก็อมยิ้มอยู่ เขาจัดการยีหัวฉัน ฉันนิ่งยอมให้เขาเล่นหัวแบบนั้น เหมือนลูกหมาเชื่องๆตัวหนึ่งดีๆนี่เอง ลมเย็นโชยแผ่วผ่านกายไปวูบหนึ่ง
   “มันอดตลกไม่ได้นี่นา ที่นายก็จู่ๆมาขอคบฉัน” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบน แสงดาวในเมืองใหญ่มองเห็นได้ไม่กี่ดวงบนท้องฟ้าเนื่องจากแสงสว่างจากดวงไฟในเมืองนั้นกลบความสว่างไหวของดวงดาวเหล่านั้น
   “มันแปลกหรือไงน่ะ” นนท์ขรึมขึ้นมาทันที พลอยทำให้ฉันทำตัวไม่ถูก ใจเต้นรัว ทั่งถี่และแผ่วเบาสลับกัน นนท์เอื้อมมือมาปัดไรผม หน้าของนนท์เลื่อนชิดมากขึ้น ยิ่งถอยห่างออกมาเท่าไรนนท์ก็โน้มตัวมาใกล้มากขึ้นทุกที
   “นี่ใกล้เกินไปแล้วนะ” รู้สึกได้ว่าหน้าของตัวเองเริ่มร้อนผ่าว ไม่กล้าสบตานนท์ตรงๆ แต่ก็ไม่ขยับหนีคนที่อยู่ตรงหน้าไปไหน มือข้างหนึ่งลูบเบาๆบนแก้ม ก่อนกระซิบข้างใบหูแผ่วเบา ด้วยถ้อยคำที่เจ้าเล่ห์นัก

   “จะมัวอายอะไรกัน ก็อยู่แค่สองคนเท่านั้นนี่นา”
   “แต่...” ไม่ทันที่จะเอ่ยอะไรออกมา ริมผีปากสีเข้มและบางของเขาค่อยๆเคลื่อน มาประทับรอยบนริมฝีปากของอีกคนตรงนี้อย่างตั้งใจ
   “นี่สองคนทำอะไรกันน่ะ” หวานตะโกนขึ้นมาขัดจังหวะพอดี เราทั้งคู่ผละออกจากกันและทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น เกือบลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้ หวานก็มาด้วยกันกับเราด้วย เราทั้งคู่ออกมาจากร้านอาหารแห่งนั้นได้ไม่นาน และกำลังจะพาหวานไปส่งที่บ้านของเธอ

หวานเป็นเพื่อนอีกคนนึงที่สนิทกันกับทั้ง นนท์และฉันทีเดียว เวลาไปไหนมาไหน ก็มักชวนเธอไปด้วยเสมอ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้บรรยากาศเครียด หรือเป็นใจมากขึ้น จะว่าไปก็ไม้กันหมาน่ะแหละ แต่ถ้าเรียกแบบนั้นกับเธอคนนี้คงจะฟังดูไม่ดีเท่าไรนัก
“นี่ไม่ขึ้นรถกันเหรอไง เดี๋ยวจะดึกมากไปกว่านี้นะ” หวานเร่งเร้า ขณะที่เราสองคนยังอ้อยอิ่งรั้งท้าย ฉันอมยิ้มให้ พร้อมดึงแขนของเขามาที่รถ
วันนี้ แม้จะดึกแล้ว รถก็ติดเอาเรื่องเหมือนกัน  ระหว่างที่อยู่ในรถ หวานยังชวนคุยนั่นนี่ตลอดทาง เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก มีบางครั้งที่หันมาสบตา แต่ก็รีบหลบเลี่ยงไปทันที

“หวาน... ใกล้จะถึงแล้วล่ะ” ฉันเอ่ยขึ้น
“อืมม... เดี๋ยวเลี้ยวขวาข้างหน้านี่แหละนนท์” เธอขยับแว่นตาให้รับกับหน้าก่อนชี้ทางให้กับนนท์ นนท์หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยตามที่หวานบอก ฉันแทบไม่ได้สังเกตเลยว่าหวานเกาะพนักพิงคนขับ หน้าแนบใกล้นนท์แค่ไหน
“หลังที่สามทางขวามือ นั่นแหละ ขอบใจนะนนท์ บายจ้า ทั้งสองคน” หวานฉวยกระเป๋าสะพายสีน้ำตาลเข้ม ลงรถไป พร้อมโบกมือให้เราทั้งสองคน ฉันโบกมือตอบ ก่อนทำหน้าที่ดูด้านหลังบอกทางให้นนท์ถอยรถออกมา

ครั้งนั้น ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส โบกมือลาด้วยมิตรไมตรีที่ดีนั้น หวานแสดงสายตาทีจ้องเขม็งมาที่ฉันตลอดจนรถเคลื่อนลับตาไปพ้นถนนหน้าซอย
เมื่อถึงบ้าน หลังจากปิดประตูบ้านเรียบร้อยแล้ว นนท์ย้อนกลับมาที่รถ รับของที่ซื้อมาขน ออกจากรถนั้น หอบเข้าบ้านไป ฉันบ่นไล่หลังที่ล็อกรถกับประตูบ้านเสร็จ และวางของลงบนโต๊ะ
“ทีหลังจะทำอะไรอย่างนี้ ดูให้ดีก่อนสิ นี่เรามากับหวานด้วยนะ ไม่ได้แค่สองคนเท่านั้น”
“หมายความว่าสองคนเท่านั้นถึงจะทำได้เหรอ น้ำ” เขาตอบคำถามอย่างยียวนแบบนั้นก่อนวางของอีกส่วนหนึ่งบนโซฟารับแขก เข้ามาโอบด้านหลัง เคลียคลอเหมือนลูกหมาขี้อ้อน

“นี่ๆพอได้แล้ว อย่ามาชีกอนะ ดึกแล้วพรุ่งนี้ต่างคนก็จะต้องไปทำงานกันอีก” ฉันแกะมือปลาหมึกของนนท์ออกเดินไปดับไฟข้างล่างเสียหมด เหลือเพียงไฟหัวประตูหน้าบ้าน เดินนำลิ่วขึ้นบันไดชั้นสอง สู่ห้องนอนของฉันทันที
“ไม่เห็นเกี่ยวกันสักหน่อย นี่น้ำอ้างนั่นนี่ตลอดเลย วันนี้จะจัดการให้ได้เลย เลี่ยงมาหลายครั้งแล้วนะ” นนท์ขึ้นข้างบนไล่มาติดๆ เดินลงเท้าเสียงดังจนฉันต้องหันไปดุ ก่อนเข้าห้องไป โดยมีเขาเข้ามาด้วย

“ก็น้ำยังไม่พร้อมนี่นา” ฉันบอกปัดไปอย่างไม่ใส่ใจ ง่วนกับการล้างเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนอาบน้ำเตรียมตัวนอน
“และเมื่อไรจะพร้อมซักทีละ” ไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่านนท์เปลี่ยนชุดมานุ่งผ้าขนหนูตัวเดียว ยืนจังก้าด้านหลัง ครั้นเงยหน้าขึ้นมาส่องกระจกก็เห็นทันที อดตกใจไม่ได้ ก็อย่างว่าผู้ชายนี่นา เรื่องนี้เร็วอยู่แล้ว
“ไปช่วยตัวเองไปนายนี่” ฉันกระเซ้าไปไม่ทันได้คิดอะไร นนท์หัวเราะ หึ หึ เข้าห้องน้ำไป เสียงน้ำดังก้อง ฉันละจากโต๊ะที่นั่งไปหน้าห้องน้ำ บอกด้วยน้ำเสียงเบาๆผ่านเข้าไปข้างในนั้น
“น้ำอยากให้มันถึงเวลานั้นก่อน”

“ก็ได้ ก็ได้ ถ้าน้ำอยากให้เป็นอย่างนั้น ไม่กลัวนนท์จะไปมีแฟนใหม่เหรอตอนนั้น” เสียงนนท์ก้องตอบจากข้างใน แทรกเสียงน้ำไหลกระทบตัวและพื้นห้องน้ำ ฉันยืนพิงประตูฟังอย่างตั้งใจเช่นกัน นิ่งครู่หนึ่ง ก่อนตอบ
“มีก็มีสิ ก็เราตกลงแล้วนี่นาตอนที่เริ่มคบกันใหม่ๆ นนท์มีใครต้องบอกน้ำก่อนนะ” แม้ว่าฉันจะตอบไปเชิงหมาหยอกไก่โดยไม่ทันคิดแบบนั้น แต่ก็คงอดกังวลไม่ได้ว่าหากเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร ฉันเองก็ไม่ใช่คนที่ใจกว้างได้พอที่จะยอมให้แฟนตัวเองไปมีคนอื่นหรอก
“ใจกว้างจังนะ แต่นนท์ไม่กว้างขนาดนั้นหรอกนะ นนท์มีแค่น้ำคนเดียวก็ปวดหัวแย่แล้ว” ประตูเปิดออก แทบทำให้ฉันคว่ำคะมำเข้าไปข้างในนั้น นนท์รับตัวฉันไว้ พร้อมหลีกให้ฉันเข้าไปอาบน้ำข้างในโดยดี ก็อดยิ้มไม่ได้ที่เขาตอบอย่างนั้นออกมา

 ฉันเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ สวมเสื้อแขนยาวตัวโคร่งและกางเกงขาสั้นข้างใน ทามอสเจอไรเซอร ละเลียดบนผิวหน้าและผิวกาย ครั้นเงยหน้าเห็นภาพนนท์นอนเอกเขนกบนเตียงในกระจก ก็หุนหันลุกมาว่าเขาทันที เขาจะมานอนแบบนี้ไม่ได้นะ
“นายนอนตรงนั้น” ฉันชี้ไปที่พื้นแล้วรีบหอบที่นอน พร้อมหมอน และผ้าห่มมาให้เขา อย่างไรก็ต้องกันไว้ก่อน ต้องแยกกันนอน ฉันนอนบนเตียง เขานอนที่พื้น
“ไม่เอาอ่ะ นอนบนเตียงด้วยคนไม่ได้เหรอ สัญญาจะไม่ทำอะไร” นนท์ทำตาแบ๊วไร้เดียงสา คงน่าเชื่อตายที่เขาพูดมา ก็อยากให้นนท์ที่ห้องรับแขกหรอกนะ แต่ก็คงเปลืองไฟน่าดู ก็ต้องยอมเสี่ยงให้มานอนที่ห้องด้วยนี่แหละ จะไหวไหมนะ ที่เขามานอนที่ห้องครั้งแรกเนี่ย
“นี่ไงเราก็เอาหมอนข้างมากั้นก็แค่นี้ไง” นนท์รีบสาทิตให้ดูทันที ยังพยายามไม่เลิก นอนนิ่งบนเตียงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไร น่าน แกล้งทำเป็นกรนหลับไปแล้วอีก ฉันรีบผลักและยันเขาลงไปจากเตียง วันนี้ก็เหนื่อยแล้วนะ ไม่เอาด้วยหรอก แต่ว่านายคนนี้ตัวหนักชะมัด กว่าจะดันลงไปได้ ก็เล่นซะเหงื่อออกเลย

“ไม่ได้” ฉันขึงขัง ขนตุ๊กตามาวางกันท่าไว้ก่อน ดับไฟหัวนอน คลุมโปงนอนทันที ปล่อยให้เขาอมลมซะแก้มป่อง อย่างหมดมู้ด
“ก็ได้ๆ” เขาทิ้งตัวลงนอนตาม ต่างคนต่างหลับไปไม่รู้เรื่องด้วยความเหนื่อยอ่อน

เสียงนกร้อง จิ๊บ จิ๊บ จอแจอยู่ข้างนอกระเบียงห้อง พลอยทำให้ฉันค่อยๆลืมตาขึ้น แสงรำไรตอนเช้าลอดผ่านม่านเข้ามาในห้องจางๆ ฉันยังไม่อยากตื่นตอนนี้เลย พลิกตัวไปด้านหลัง รู้อึดอัดราวกับมีอะไรรัดบริเวณเอวจัง พอเจอะนนท์นอนคลออยู่ข้างๆ รู้แล้ว นี่นนท์ขึ้นมานนท์ตั้งแต่เมื่อไรกัน
“อือ... อือ... นนท์จะทำอะไรน่ะ” นนท์ยิ้มร่า ดึงตัวฉันเข้าไปใกล้ รู้สึกได้ว่าเห็นหน้าของเขาอย่างชัดเจนแม้แสงภายในห้องจะสะลัวๆก็ตาม เขาลืมตาขึ้น เพ่งพินิจใบหน้าฉันทั่วก่อนหลับตาต่อไม่สนใจอะไร
“ยังเช้าอยู่เลย ขอนอนต่อได้ไหม” หน้าของฉันขยับเข้าไปแนบกับอกของเขา ได้กลิ่นกายฉุนๆบางเบาของเขามาทันที มือนนท์เริ่มซุกซนที่จะสำรวจตรงจุดนั้นจุดนี้ทั่ว อย่างใคร่รู้ เขาพลิกตัวขึ้นมาอยู่บนร่างของฉันโดยที่แทบไม่รู้ตัว ฉันครางเบาๆ
“อือ... นนท์ไม่ได้นะ อย่า...”

กริ๊งงงงงง
ดีที่นาฬิกาปลุกดังขึ้น เหมือนรู้ใจช่วยชีวิตฉันไว้ได้ ฉับพลันตัวเองก็ดีดตัวออกจากที่นอน คว้าผ้าเช็ดตัว หุนหันเข้าห้องน้ำไปด่วนจี๋ ขืนยังคลุกอยู่บนเตียงต่อละก็ มีหวังไม่พ้น... อย่างนั้นแหละไม่ต้องคิด
“เหอะๆ คิดจะแอ้มเหรอ รอไปเถอะยะ” ฉันชะโงกหน้าออกมาทิ้งท้ายก่อนจะปิดประตู เชิงเย้ยคนทียังคงอยู่บนเตียงนั้น ดูท่าทางจะอารมณ์เซ็งไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว
“ชิ... อาบเร็วๆนะ” นนท์ตะโกนไล่หลังมา ขณะที่ฉันเปิดฝักบัว รับน้ำอุ่นไหลชโลมกายอย่างสบายอกสบายใจ ฮัมเพลงคลอไประหว่างที่โลมไล้ครีมอาบน้ำทั่วแขนทั้งสองข้าง เอาล่ะ พร้อมที่จะลุยงานต่อแล้ววันนี้


ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #7 เมื่อ20-06-2008 15:28:48 »

เข้ามาทักทายเองใหม่จ้า  อิอิ

gift_deb

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #8 เมื่อ20-06-2008 15:30:07 »

สงสัยจะได้รางวัลนักเขียนไฟแรงไปครองแน่ๆ  :L2:  :L2:

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #9 เมื่อ20-06-2008 21:27:20 »

เรื่องนี้เริ่มมาก็เศร้าอีกแล้วอะ

ซึกๆ น้ำตานองอีกชัว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
« ตอบ #9 เมื่อ: 20-06-2008 21:27:20 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #10 เมื่อ20-06-2008 22:41:30 »

 :a5: ผ้าเช็ดตัว ช่วงนี้ต้องเตรียมหลายผืนหน่อย มีแต่เรื่องเศร้าๆๆ :m23:แหะๆคือผ้าเช็ดหน้าถ้าจะไม่พออ่ะดิ

NaTTo

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #11 เมื่อ21-06-2008 11:54:14 »

มาต่อน้า

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #12 เมื่อ22-06-2008 23:40:40 »

สงสัยยังไม่หายโรค สมองตีบ

555 รอวันหายดีครับ ทั้ง 2 เรื่องเลย

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #13 เมื่อ23-06-2008 00:22:50 »

ถึงจะพูดอย่างนั้นก็ตาม แต่ฉันก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราสองคน ไม่มีทางที่จะราบรื่นได้ ยังมีอุปสรรคตามมาอีกเยอะนัก แค่พยายามรักษาให้ทุกวันนี้มีเขาอยู่ข้างๆก็พอแล้ว













บทที่สาม

   “แกหายไปไหนมาเมื่อวาน”
   แม่ของนนท์นั่งไขว่ห้าง ทักทายลูกชายผู้ซึ่งก้าวพ้นธรณีประตูมาได้ไม่กี่นาทีนั้น รัวกดช่องโทรทัศน์แทบไม่ได้ใส่ใจมองลูกชายตัวเองเลยแม้แต่น้อย
   “นี่แกโดนนังกระเทยนั่นทำเสน่ห์มารึไง ถึงหลงมันหัวปักหัวปำอย่างนั้น แกเป็นพวกลักเพศไปแล้วเหรอ” เธอตวาดลูกชายต่อ ฝ้าย น้องสาวของนนท์ เดินลงบันไดมา รีบขยิบหูขยิบตาให้พี่ชายตัวเอง นนท์ไม่ทันที่จะเอ่ยคำแย้งแม่ของตน ตอบโต้บ้าง เดินลิ่วหลบไปบนบ้านทันที เสียงของแม่ดังไล่ๆมาติดๆ

   “นี่... แกจะไปไหน มาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน นนท์... นนท์...”
   
          “โถ่เว้ย...” นนท์ทุ่มเป้ใส่เสื้อผ้าลงบนเตียงสุดแรง ก่อนทรุดลงนั่งกุมขมับข้างๆเป้นั้นอย่างคิดไม่ตก ฝ้ายเปิดประตูเข้ามาในห้อง และปลอบ
   “นนท์อย่าคิดมากเลยนะ ฝ้ายจะช่วยพูดกับแม่ให้นะ ไม่ต้องห่วงหรอก” เธอลงนั่งข้างเขา ลูบหลังเขาเบาๆ
   “ขอบใจนะ ในบ้าน ก็มีแต่ฝ้ายนั่นแหละที่เข้าใจนนท์ที่สุด” เขานั่งโน้มตัวไปข้างหน้าประสานมือไว้ ส่งสายตาแทบคำขอบคุณแก่พี่น้องฝาแฝดของเขานั้น ทั้งคู่โตมาด้วยกัน และเข้าใจกันและกันมากทีเดียว ทุกครั้งที่มีปัญหา นนท์ก็ได้ฝ้ายนี่แหละ เป็นที่ปรึกษาในบ้านที่ดีได้ตลอด
   “อย่าพูดอย่างงั้นสิ พ่อกับแม่เขาก็ห่วงนนท์นะ เพียงแต่ เรื่องนี้ต้องใช้เวลาสักพัก กว่าท่านจะยอมรับได้” ฝ้ายเหยียดแขนขา บิดขี้เกียจ ท่าทางที่ร่าเริงสดใสของฝ้าย ยิ้มได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนี่แหละ ที่ทำให้นนท์ผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดเมื่อครู่ลงได้

   “อื้อ...” นนท์ลองทำตามบ้าง รู้สึกดีขึ้นทีเดียว ฝ้ายหัวเราะคิกคัก ขันท่าทางนนท์ไม่น้อยที่ทำหน้าตาลิงโลดไปล้อเลียน เธอผลักเขาสุดแรงเชิงบอกว่าพอได้แล้ว
   “นี่ทานไรมายัง เดี่ยวจะทำให้ วันนี้นะมีพะแนงไก่ กับผัดขิงที่นนท์ชอบด้วยนะ” เธอผุดลุกไปเปิดเครื่องเสียง หาซีดีเพลงที่ชอบมาเปิดให้บรรยากาศห้องไม่เงียบไป
   “ไม่ดีกว่า นนท์ทานกับน้ำก่อนเข้ามาแล้ว” นนท์เองก็ลุกไปเอาเสื้อผ้าในเป้ใส่ตะกร้าผ้าหน้าห้องน้ำไว้

   “น้ำเป็นอย่างไงบ้างล่ะ ตอนนี้” ฝ้ายใส่แผ่นซีดี และกดเพลย ยืนพิงหน้าตู้เสื้อผ้าคุยต่อ
   “ก็สบายดีนะ เค้าก็บ่นถึงฝ้ายเหมือนกันนะ” นนท์เดินกลับมาค้นเสื้อผ้าในตู้ ฝ้ายรีบหลบมายืนห่างๆ
   “จริงเหรอ งั้นคราวหน้า ฝ้ายจะไปเที่ยวบ้านน้ำบ้างนะ ไปด้วยได้ป่าวนนท์”
   นนท์พยักหน้าตอบแทน แล้วเริ่มถามเรื่องใหม่แทน

“แล้วพ่อไปไหนล่ะ วันนี้กลับมาไม่เห็นพ่อเลย” นนท์หยิบชุดนอนออกมาชุดหนึ่ง แล้วปิดประตู เดินกลับไปห้องน้ำ
“พ่อยุ่งๆๆน่ะ ช่วงนี้... กลับดึกประจำ...” ฝ้ายเลี่ยงที่จะกลับห้องของตัวเองไป เมื่อสังเกตเห็นว่านนท์จะอาบน้ำ
“ไปแล้วเหรอ” นนท์ทักไว้ก่อนที่ฝ้ายออกจากห้อง ฝ้ายตอบก่อนจะเงื้อมือดึงลูกบิดประตูปิดห้องนั้น
“อื้อ จะนอนแล้วพรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า”
“ไปเถอะ... ขอบใจที่คุยเป็นเพื่อนนนท์นะ”
 






            ฉันสังเกตว่าวันนี้นนท์ไม่ค่อยพูดจาเท่าไร ต่างจากวันอื่นๆที่ต้องพูดมาก ยั่วโมโหกวนประสาท แม้ตอนทานข้าวด้วยกันอย่างนี้ก็ยังใจลอยอยู่อีก อดห่วงไม่ได้จริงๆ
“นนท์เป็นอะไรไปวันนี้ น้ำเสียงฟังแล้วเหมือนไม่สบายใจอะไรมาเหรอ” ฉันวางช้อนส้อมไม่จัดการอาหารข้างหน้าต่อ เอื้อมมือมาแตะหน้าผากและคอเขา ก็ตัวไม่ร้อนนี่นา
“ป่าวหรอก พักผ่อนน้อย ช่วงนี้งานหนักเอาการเหมือนกัน” นนท์ฝืนยิ้มตอบ พลางเขี่ยอาหารในจานเล่นต่อ

“เรื่องแม่นนท์ใช่ไหม” ฉันโพล่งออกมา รู้ดีว่าต้องเป็นเรื่องนี้อยู่แล้ว นนท์เงยหน้าขึ้นสบตาฉัน เอื้อมมือมากุมมือฉันไว้ ฉันวางมืออีกข้างทับมือเขาไว้ ท่าทางเขาจะวิตกกับเรื่องนี้เอามาก พลอยทำให้ตัวเองก็ไม่สบายใจตามไปด้วย
“น้ำ... แต่นนท์รักน้ำนะ นนท์จะพยายามทำให้แม่ ยอมรับน้ำให้ได้” แม้ว่าเขาจะพยายามพูดให้กำลังใจฉันแบบนั้น ฉันก็ตระหนักดีว่า หากแม่เข้าไม่ยอมไฟเขียวกับเรื่องนี้ ระหว่างเขากับฉันแทบไม่มีทางมองเห็นอนาคตอยู่แล้ว

“แต่ว่า...” ฉันถอนหายใจ ละจากที่นั่งตรงข้ามนั้นไปนั่งลงข้างๆเขา
“เราพูดเรื่องนี้มาหลายรอบแล้วนะ น้ำเชื่อนนท์นะ ว่านนท์จะพิสูจน์ให้แม่เห็นว่าน้ำ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า ผู้หญิงคนอื่นๆเลย” ฉันโอบเขาไว้ แม้จะรู้ว่าไม่รอบก็ตาม เอนตัวลงบนอกของเขา ฉันไม่รู้ว่าจะปลอบใจเขาอย่างไรดี คิดว่าหากทำแบบนี้เขาคงจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ใจนึงก็กลัวว่า หากวันนั้นมาถึง ฉันคงไม่มีโอกาสที่จะกอดเขาไว้แบบนี้อีกแล้ว จู่ๆ ก็ร้องไห้ขึ้นมาอยากนั้น น้ำตาบ้าอย่าไหลมาได้ไหม ได้โปรดหยุดทีเถอะ

“นนท์… ขอบคุณนะ”
“ยัยบ็อง เป็นอะไรไปละเนี่ยตาแดงหมดแล้ว ฮ่า ฮ่าดูสิ ตาบวมเป็นหมีโดนผึ้งต่อยเลย” นนท์แยกตัวฉันออก พูดจาติดตลก ทั้งยังปาดคราบน้ำตาออกจากใบหน้า ลูบหัวเบาๆ อดทำให้ฉันยิ้มค้อนเขาขึ้นมา
“นายนี่ คนกำลังซึ้ง หมดมู้ดเลย” ฉันทุบเขาเบาๆไปทีนึง และขันท่าทางล้อเลียนฉันตอนร้องไห้นั้น

“นั่นไง หัวเราะแล้ว นนท์ชอบน้ำแบบนี้มากกว่านะ อารมณ์ดี เห็นแล้วนนท์สบายใจขึ้นเยอะ” ถึงจะพูดอย่างนั้นก็ตาม แต่ฉันก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราสองคน ไม่มีทางที่จะราบรื่นได้ ยังมีอุปสรรคตามมาอีกเยอะนัก แค่พยายามรักษาให้ทุกวันนี้มีเขาอยู่ข้างๆก็พอแล้ว

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #14 เมื่อ23-06-2008 00:28:23 »

“แต่ลูกชั้นเสีย ชั้นมีลูกชายคนเดียว คุณคงจะเข้าใจนะคะว่า คนที่เป็นพ่อเป็นแม่คงรับไม่ได้แน่ๆถ้าเขาจะต้องเสียอนาคต เพียงเพราะลูกคุณมัวแต่ยื้อเขาไว้แบบนี้”



















บทที่สี่

เช้าวันอาทิตย์ เสียงกริ่งดังรัวเป็นชุดหน้าบ้าน ฉันรีบวิ่งมาดูเอง ละงานจากในครัวมาเปิดประตูหน้าบ้านผ้ากันเปื้อนยังคงคาอยู่กับชุดแบบนั้น

“ใครคะ... เอ่อคุณน้า... สวัสดีค่ะ” ฉันอดแปลกใจไม่ได้ที่เมื่อเปิดประตูออกไป คนที่อยู่เบื้องหน้านั้น คือคุณแม่ ของนนท์ ที่จ้องฉันด้วยดวงตาแข็งกร้าวคู่นั่นไม่วาง เธอขยับกระเป๋าถือให้กระชับมือ เอ่ยคำทักทายกับฉันตอบอย่างเป็นมิตรนัก

“ไม่ต้องมาว่งไหว้ชั้นหรอกย่ะ ชั้นเองไม่อยากจะนับญาติกับเธอนักหรอกนะ” เธอมองกวาดไล่หัวจรดเท้า ตัวฉันแข็งทื่อนิ่งอยู่อย่างนั้น สายตาพลันเหลือไปเห็นฝ้ายอยู่ข้างหลังผู้ที่เรียกตนเองว่า –ชั้น- นั้น ฝ้ายหน้าซีดและโบกมือทักทายให้ ท่าทางการมาของสองคนนี้ คงมีเรื่องไม่ดีแน่ๆ

“คุณน้ามาที่นี่ มีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่าคะ” ฉันขืนตัวเองพูดกับท่านไปอย่างใจเย็น ฉันยังจำได้ไม่ลืมเมื่อครั้งที่ไปบ้านของนนท์ ท่านยังโอภาปราศรัย ต้อนรับเป็นอย่างดี แต่พอรู้ว่าฉันเป็น... เท่านั้น อย่าว่าแต่จะชายตามองเลย บ้านของท่านก็ยังไม่อยากให้ย่างกรายไปเป็นเสนียดจัญไรเลย

“ชั้นมาเพราะเรื่องของเธอนี่แหละ นี่ใจคอจะให้ชั้นยืนเป็นหัวหลักหัวตอตากแดดอยู่อย่างนี้เหรอไง” แม้ว่าจะพูดกับฉัน แต่สายตาของเธอแทบจะมองทะลุฉันอยู่แล้ว การฝืนใจให้ตัวเองเสวนากับคนที่เกลียดขี้หน้าแบบนี้ ฉันรู้ดี ฉันหลีกทางให้ทั้งคู่ก้าวเข้ามาในบริเวณบ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้

“เชิญคุณน้าค่ะ” แม่ของนนท์เดินจ้ำ เสียงซวบซาบของกระโปรงสีกับเนื้อดังเป็นจังหวะตลอด ไม่สนใจลูกสาวของเธอที่ตามมาเลย ฝ้ายเดินปรี่หาฉันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เราเดินคู่ไปด้วยกันตามท่านไป

“ใครมาเหรอน้ำ...” พ่อของฉันออกมาพร้อมกันกับแม่ เห็นแม่ของนนท์เดินบึ่งเข้าหา ก็อดงงงวยไม่ได้ พ่อกับแม่ยังไม่เคยเจอกับเธอคนนี้ เธอทำกริยาและสายตาเช่นเดียวกับที่ทำกับฉันไว้เมื่อครู่อีกครั้ง ก่อนเอ่ยทักทายทั้งสองอย่างไม่ใคร่เต็มอกเต็มใจนัก

“สวัสดี… ชั้นมีธุระเรื่องลูก... ของคุณ นี่คุณคงเป็นพ่อกับแม่ของเด็กคนนี้ใช่ไหม” ทั้งคู่สวัสดีทักทายตามและพยักหน้าตอบอย่างงงๆ ก่อนแม่เดินนำเธอไปห้องรับแขก มีพ่อคนเดียวเท่านั้นที่เอ่ยปากพูดกับเธออย่างใจดีสู้เสือ เธอไม่ได้ใส่ใจนัก ฉันกับฝ้ายรีบตามเข้าไปด้วยทันที

“เชิญครับ” แม้จะไม่ได้เชื้อเชิญ แต่เธอก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว พ่อกับแม่นั่งในฝั่งตรงข้าม ฉันยกน้ำมาเสริฝทั้งแม่ของนนท์และฝ้าย เธอไม่ได้แตะน้ำแก้วนั้นแม้แต่น้อย เข้าการสนทนาในทันที
“ชั้นมีเรื่องไม่มากที่จะคุยที่นี่นักหรอกนะคะ เอาละเราจะเข้าเรื่องกันได้หรือยัง สำหรับเธอ อยู่ด้วย จะได้รู้ๆกันให้ทั่วทีเดียว” ฉันหยุดทันควันขณะที่จะยกถาดออกไปอยู่ห้างนอกห้อง เธอไม่ได้มองมาที่ฉัน ทว่ารู้ว่าฉันอยู่ตรงไหนของห้อง เลยต้องเดินกลับมานั่งอยู่ที่โซฟาตัวริม บรรยากาศในห้องเริ่มอึมครึมขึ้นมาทันที

“ไม่ทราบว่าคุณ...” แม่เกริ่นถามชื่อของแขกผู้มาเยือนท่านนี้ แต่เธอก็ชิงตอบทันควัน
“ธัญยา ชั้นเป็นแม่ของนนท์ค่ะ” เธอปรับอิริยาบถเป็นนั่งไขว่ห้าง ข่มพ่อกับแม่ของฉันให้ดูรู้สึกไม่เสมอเท่าเทียมเธอ
“อ้อ... คุณธัญยา...” แม่หน้าเจื่อนลง ขณะที่พ่อเองยังขรึมไม่สะทกสะท้านกับท่าทีที่ดูแคลนของผู้มาเยือนนั้นแม้แต่น้อย ตั้งใจรอดูว่าเธอจะมีท่าทีอย่างไรต่อไป

“พูดตรงๆนะคะ ชั้นอยากให้คุณทั้งสองคนช่วยให้ลูก... เอ่อ ของคุณคนนี้เลิกยุ่งกับ ลูกชายชั้นเสียที” เธอเหลือบมาทางฉันแว่บหนึ่ง รู้สึกยะเยือกในฉับพลัน ห้องเงียบเชียบ มีเพียงเสียลมหายใจเบาๆแทรกผ่านบทสนทนานั้นเป็นระยะๆ
“ผมเข้าใจที่คุณพูดนะครับ แต่ว่าถึงลูกผมเขาจะเป็นแบบนี้ ก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหายนะครับ” พ่อยังคงทำใจดีสู้ พูดจานิ่งๆนุ่มนวล แต่ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายที่สนทนาด้วยใจเย็นลงบ้างเลย

“แต่ลูกชั้นเสีย ชั้นมีลูกชายคนเดียว คุณคงจะเข้าใจนะคะว่า คนที่เป็นพ่อเป็นแม่คงรับไม่ได้แน่ๆถ้าเขาจะต้องเสียอนาคต เพียงเพราะลูกคุณมัวแต่ยื้อเขาไว้แบบนี้” แม่ของนนท์ยังตอบอย่างหนักแน่นเสียงแข็ง ไม่เปลี่ยนท่าทีง่ายๆ พ่อเองก็ควันออกหูที่เธอพูดมาแบบนั้น
“คุณว่าใครกัน เท่าที่เห็น สองคนนี้เขาก็คบกันดี อยู่ในกรอบ ไม่มีอะไรเสียหาย โลกนี้มันเปลี่ยนไปแล้วนะคุณ หัดทำใจยอมรับเสียบ้างนะครับ” พ่อพยายามพูดกล่อมเธอ แต่ยิ่งทำให้เธอฟิวส์ขาด ลุกขึ้น พูดเสียงดังใส่พ่อกับแม่เสียฉันอดเกรงไม่ได้ ฝ้ายขยับมาอยู่ใกล้ๆฉัน บีบมือฉันแน่น สบตาอย่างเห็นใจและสื่อว่าขอโทษ ฉันรู้ดีว่า แม่ของนนท์หากโกรธขึ้นมา ใครก็ห้ามไว้ไม่อยู่

“ฉันไม่สนหรอก จะยังไงก็ตามฉันขอให้คุณควบคุมลูก... ของคุณอย่ามายุ่มย่ามกับลูกชายชั้นอีก”

“งั้นคุณก็ล่ามโซ่ลูกชายคุณไว้สิคะ มาบอกอะไรบ้านดิฉันนี่ เรื่องของสองคนนี้ ก็ปล่อยให้เขาตัดสินใจเอาว่าจะทำอย่างไรต่อเอง เราเป็นพ่อแม่อยู่ห่างๆดีกว่า คุณเองก็น่าจะทำอย่างนั้น” แม่โต้ตอบบ้าง ฉัน ผู้ที่ยื่นดูอยู่ห่างๆก็อดหวั่นไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกัน พ่อรั้งตัวแม่ไว้ไม่ให้ลุกไปฉะกับอีกฝ่ายเสียเดียวนั้น แม่ค่อยๆสงบอารมณ์ของตนให้เย็นแล้วนั่งลงตามเดิม อีกฝ่ายก็ค่อยๆนั่งลงตามเช่นกัน
“ชั้นอุตส่าห์มาพูดด้วยดีๆแล้ว เอาอย่างนี้คุณอยากได้เท่าไร สักเท่านี้พอไหม” เธอยื่นซองสีน้ำตาลซองหนึ่ง ภายในบรรจุเงินฟ่อนหนึ่งที่เธอคาดหมายว่าจะช่วยให้การต่อรองของเธอง่ายดายขึ้น

“เก็บเงินของคุณไปซะ แล้วก็รีบออกไปจากบ้านผมด้วย พวกเราไม่ได้จนตรอกขนาดที่ต้องขอเงินใครกิน” พ่อฉุนกึกที่เธอทำหยามหน้าแบบนั้น เลื่อนซองคืนกลับแก่ผู้ที่เสนอเงินนั้นตามเดิม เธอชายตาแลคนทั้งคู่อย่างหมั่นไส้และรู้สึกเสียหน้าอย่างแรง พลันลุกขึ้น เตรียมตัวเดินออกไปอย่าผู้แพ้
“งั้นก็ดี นี่เป็นทางเลือกที่พวกคุณเลือกเอง อย่ามาเสียใจทีหลังละกัน ฝ้าย... กลับ...” เธอยังคงกำเงินซองนั้นไว้แน่น พยักพเยิดให้ลูกสาวของเธอตามไปทันที หยุดตรงหน้าฉันไม่มีแม้แต่ชายตาแล

“ส่วนเธอ ถ้ายังไม่เลิกวุ่นวายเกาะแกะลูกชายชั้นอีกละก็ ชั้นจะจัดให้เป็นชุดอย่างที่เธอต้องการเลย”
แม่ของนนท์พูดเบาๆ แต่กลับชัดเจนมากสำหรับฉัน แม้ว่าจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นหมายถึงอะไร ฉันสื่อได้ถึงบางอย่างที่เจาะจงมาที่ฉันโดยเฉพาะ เธอกระแทกไหล่ฉันจนฉันเซรวน ก่อนออกจากบ้านไป โดยมีฝ้ายรีบวิ่งตามไปติดๆ พลางหันมายกมือไหว้ขอโทษขอโพยครอบครัวฉันเป็นการใหญ่ ทิ้งท้ายด้วยการทำไม้ทำมือบุ้ยใบ้ว่าจะโทรหาฉันอีกที
 
ฉันยังคงยืนอยู่ตรงนั้น อึ้งพูดไม่ออกกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น รู้สึกราวกับถูกตบหน้าอย่างจัง ฉันเองไม่อยากจะถือโทษโกรธอะไรทั้งคู่หรอก ทว่าพ่อกับแม่นี่ซิ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง ที่มีคนมาดูถูกท่านทั้งสองถึงที่บ้าน ฉันไม่กล้ามองหน้าทั้งคู่เลย จะหลบไปไหนดี ก้าวขาไม่ออกเลย














“นี่น้ำกับนนท์ไปถึงขั้นไหนแล้วเหรอ” ฉันหลุดจากภวังค์ ที่ยังคงวิตกกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และค้นพบว่า หวานกำลังเอ่ยทักทายมาอีกฝากหนึ่งของฉากกั้น เท้าแขนรอคำตอบอยู่อย่างตั้งใจ นี่ฉันกำลังทำงานอยู่นี่นา
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ” ฉันก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับคำถามนั้นแม้แต่น้อย
“งั้นก็แสดงว่า...” หวานกรอกตาไปมาอย่างรู้ทัน และจิ้มปากกาวนไปมาเหนือบริเวณไหล่ ทำหน้าทำตาเคลิบเคลิ้มตาม ฉันปิดแฟ้ม และขยับตัวลุกจากโต๊ะทำงาน บอกปัดอย่างไร้อารมณ์

“หวาน... ยังหรอกนะ ก็ดูกันไปเรื่อยๆแบบนี้แหละดีแล้ว เดี๋ยวขอตัวก่อนนะ ไปห้องน้ำแป็บ”
เมื่อฉันเดินลับตาเลี้ยวเข้าห้องน้ำไป โทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้น หวานมองซ้ายขวาแล้ว แว่บมาอยู่ตรงโต๊ะทำงานของฉัน เมื่อเห็นว่านนท์โทรมา ก็ดูต้นทางพลางรีบรับโทรศัพท์เสียงอ่อนเสียงหวาน

“ฮัลโหล”
“อ้าวหวานเหรอ ขอสายน้ำหน่อยสิ” เสียงจอแจตีคู่กับเสียงของนนท์นั้น แต่หวานก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี
“นนท์ น้ำเขาออกไปข้างนอกน่ะ ดูเหมือนว่าจะยุ่งๆน่าดู” หวานบอกปัดไป ก่อนชะโงกหน้าไปดูที่มุมตรงที่ฉันเดินหายเข้าไป ก่อนแล่นจู๊ดกลับมาที่โต๊ะตัวเอง
“เหรอ งั้นไม่เป็นไรนะ นัดเย็นนี้คง...” น้ำเสียงนนท์ดูผิดหวังเล็กๆ หวานรีบโต้ทันควัน

“เดี๋ยวสิ น้ำบอกว่าจะไปก็คงไปแน่ๆแหละ ว่าแต่เจอกันที่ไหนเหรอ กี่โมง เดี๋ยวจะเตือนน้ำให้นะ” หวานคว้าปากกามาจดบนโน๊ตเพด เมื่อนนท์วางสายไป เธอรีบเปลี่ยนระบบโอนสายในโทรศัพท์ของฉัน เฉพาะเบอร์ของนนท์นั้นที่โอนสายไปหาเธอโดยตรง ย่องกลับมาวางคืนที่โต๊ะทำงานฉันตามเดิม ขณะที่เดินออกมาก็ชะงักเล็กน้อยที่เห็นฉันยืนงงอยู่ข้างหน้า และกำลังจะเข้ามานั่งทำงานตามเดิม

“ใครโทรมาเหรอน้ำ” ฉันถามเธอเนื่องจากสงสัยว่าเธอมาทำอะไรที่โต๊ะของฉันนี่
“ก็ไม่นี่นา สงสัยโทรผิดมั้ง พูดไม่รู้เรื่องเลย เดี๋ยวน้ำจะต้องรีบกลับบ้านก่อนนะ วันนี้มีธุระต้องไปกับที่บ้าน” หวานทำไม่รู้ไม่ชี้ กลับไปปิดคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงานตัวเอง คว้ากระเป๋ากับกุญแจรถ โบกมือให้ฉัน และกระหยิ่มยิ้มย่องออกไปอย่างอารมณ์ดี
“จ้า... โชคดีจ๊ะ” ฉันเองก็ออกจะงงๆ อมยิ้มที่เธอร่าเริงอย่างนั้น กลับมาเคลียรงานต่อ ไม่ยักรู้เลยว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นบ้าง







หวานดูตามโน้ตเพด และเงยหน้าสังเกตป้ายร้านอาหารทั้งสองฝั่งถนนตาม เมื่อเจอร้านหนึ่งตรงตามที่จดไว้ก็เลี้ยวรถเข้าไปทันที เธอจอดรถ ก่อนตรงดิ่งเข้าร้านไป
“อ้าว...หวาน... แล้วน้ำไปไหนน่ะ” นนท์เอ่ยปากถามทันทีที่พบว่าหวานมาที่ร้านเองคนเดียว หวานทำหน้าเจื่อนๆ ซึมๆ ก่อนนั่งที่นั่งตรงกันข้ามนนท์
“น้ำมีธุระด่วนน่ะ คงจะลืมไปจริงๆ หวานเลยไม่ได้เจอน้ำเลย โทรหานนท์ก็ไม่ติดเลยมาบอกนนท์นี่แหละ” เธอเอ่ยอย่างตัดพ้อฉัน นนท์นั่งเกาหัว บ่นอุบ ทำท่าเซ็งๆ
“เฮ้อ ยัยคนนี้แหละทุกที ยุ่งจนลืมไปหมดว่าวันนี้วันเกิดนนท์ นี่อุตส่าห์ชวนมาร้านนี้แล้วแท้ๆ เห็นว่าน้ำอยากมา” หวานรีบหยิบถุงกล่องของขวัญออกมาวางตรงหน้า เลื่อนให้ผู้รับที่เธอตั้งใจจะให้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะนั้น

“นี่จ๊ะ ของขวัญ”
“อะไรเหรอ หวาน เอ่อ... ท่าทางจะแพงเลยนะ ไม่ดีมั้ง” นนท์รับของไว้ แต่เมื่อสังเกตแบรนดที่อยู่ข้างถุงนั้น ก็เลื่อนคืนให้ หวานหน้าซีด แต่ก็ฝืนพูดออกไปพร้อมกับหน้าตาที่ยิ้มแย้ม และเต็มใจ

“รับไว้เถอะน่า เล็กๆน้อยๆ เพื่อนกัน หวานเต็มใจจะให้ในฐานะที่เป็นเพื่อนที่ดีของหวานมาตลอด และคอยดูแลน้ำด้วย” หวานกัดฟันพูดคำสุดท้ายออกมาทั้งที่ไม่อยากแม้แต่เอ่ยถึง วันนี้ขอเป็นวันของเธอบ้าง เป็นตาของเธอบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าได้ผลที่อีกฝ่ายใจอ่อนยอมรับของขวัญนั้น อย่างเต็มใจมากขึ้น

“ขอบใจนะ เราจะเก็บไว้อย่างดีเลย” นนท์ยิ้มให้และยกของลงจากโต๊ะ แก้มหวานเริ่มปรากฏสีแดงระเรื่อ ทั้งคู่สั่งอาหารทาน คุยกันสนุกสนาน โดยไม่ทราบแม้แต่น้อยว่า ฉันกำลังบึ่งมาที่นี่อย่างรีบร้อน ภายหลังที่จัดการงานจนเรียบร้อย ใช้เวลาสักพัก ครั้นเมื่อถึงหน้าร้านก็เลี้ยวรถเข้ามาจอด ทันทีที่จอดและลงออกมาจากรถนั้น อดสงสัยไม่ได้ที่ทำไมรถของหวานถึงมาอยู่ที่ร้านนี้ได้ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ตรงเข้าร้านทันที

“แค่ขอบใจ อย่างเดียวไม่พอละมั้ง นนท์” หวานเอ่ยอย่างมีเลศนัยขณะเดินคู่มากับนนท์ หลังจากที่เคลียรบิลเรียบร้อยแล้ว
“หา... อะไรเหรอหวาน” ไม่ทันที่นนท์จะเอ่ยอะไรต่อจากนั้น หวานเดินเข้ามาใกล้ เธอถอดแว่นของตัวเองออกและจูบเขาเบาๆ แล้วถอนตัวออกมา ฉันยืนหอบอยู่นอกร้านถือของขวัญกล่องเล็กคาอยู่อย่างนั้น ภาพทั้งสองคนในร้านนั่น


“นนท์... หวาน... นี่มันอะไรกัน”


จู่ๆ ก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา ฉันละของขวัญทิ้งลงพร้อมกับทรุดตัวตาม เลือดกำเดาไหลอีกแล้ว ก่อนรู้ตัวว่าทั้งคู่กำลังเดินออกมาจากร้านนั้น ฉันรีบพยุงตัวขึ้น ค่อยๆหลบฉากไป นั่งพักอีกมุมหนึ่ง ไม่ไหวแล้วจริงๆ นี่มันอะไรกันแน่ สองคนนั้น หรือว่า...

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #15 เมื่อ23-06-2008 00:37:47 »

เสียงของนนท์ยังคงแทรกมาเป็นระยะๆ ความรู้สึกที่มีให้กัน กลับเจือจางลงไป ฉันรู้ว่าตัวเองไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยที่หนีมาดื้อๆแบบนี้ คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดระหว่างเราสองคน จบแบบนี้ยังดีกว่าทนเจ็บซ้ำซากไปทุกครั้ง













บทที่ห้า

   ภาพที่เห็นวันนั้นยังคงตราอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืม เป็นข้อกังขาที่ทำให้ฉันเคลือบแคลงไม่ไว้วางใจเขามากขึ้น ยิ่งการที่เขาไม่มีการติดต่อมา ห่างหายไปนานแบบนี้ กลับทำให้ดิ่งจม เบื้องเหวแห่งการคำนึงคิดด้านมืดของอีกฝ่ายลงเรื่อยๆ มองไม่เห็นแม้แต่สิ่งดีๆที่มีต่อกันเรื่อยมา เลือนรางลง... เลือนรางลง...

   “น้ำเป็นอะไรไปเหรอลูก” ฉันสำนึกได้เพียงว่าเจ้าของเสียงนุ่มทุ้มนั้นไม่ใช่ใครอื่น พ่อรีบรุดมาประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรงนั้นไว้ในอ้อมแขน ไม่สนใจแก้วน้ำที่ฉันทำหลุดมือแตกไปเศษแก้วระเนระนาดกระจายทั่วพื้นห้อง ตาพร่ามัวไปหมด

   “นี่... เป็นตั้งแต่เมื่อไรกัน น้ำ” พ่อพบว่าฉันเลือดกำเดาไหล และไอเป็นเลือด อุ้มฉันออกมาจากครัว วางร่างลงบนโซฟา นอนเหยียดยาว พ่อรีบควานหากุญแจรถ และกุญแจบ้านในลิ้นชัก ฉันฉวยมือพ่อไว้เมื่อพ่อเตรียมจะโทรศัพท์หาแม่

   “พ่อคะ น้ำไม่เป็นอะไรมากหรอกคะ พ่อไม่ต้อง... แค่ก... แค่ก...” ฉันพยุงตัวนั่งอย่างทุลักทุเล ส่ายหน้าปรามพ่อไม่ให้โทรศัพท์ไปบอก พ่อละจากโทรศัพท์ หันมาประคองตัวฉันไว้แทน ทุกครั้งที่ฉันป่วย พ่อกับแม่มักต้องผลัดเปลี่ยนมาดูแลฉัน แทนที่ผู้เป็นลูกจะดูแลพ่อแม่แท้ๆ

   “น้ำน่าจะรู้นะว่า ตัวเองสุขภาพไม่ดี ไปหาหมอกันนะลูก” พ่อบ่นพลางซับเลือดที่มาไม่หยุดนั้นก่อนพาฉันไปโรงพยาบาล

   หลังจากที่ทำการตรวจเรียบร้อย แพทย์ลงความเห็นให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 2-3 วัน ฉันรู้ตัวดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน พ่อเองก็ค่อนข้างเครียด แต่ก็เฝ้าฉันอยู่ไม่ห่าง ขณะที่ฉันคะยั้นคะยอให้พ่อไปทำงานมากกว่าที่จะมาดูแลฉันทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ และยังช่วยลางานให้ฉันอีก

“พ่อคะ...” ฉันเอ่ยขึ้นขณะเดินคู่กันมากับพ่อเข้าบ้านหลังกลับจากโรงพยาบาล ท่าทางพ่อดูอิดโรย ซูบไปถนัดตา กระนั้นพ่อยังปรามไม่ให้ฉันยกของหนักช่วยท่านอีก อดกังวลไม่ได้ อยากให้พ่อได้พักผ่อนจริงๆจังมากกว่า ฉันเองก็หายดีมากขึ้นแล้ว
 
   “พ่อคะ... เรื่องนี้เรารู้กันสองคนนะคะ หนูขอร้องอย่าบอกให้ใครรู้ โดยเฉพาะกับแม่” ฉันย้ำกับพ่อให้แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง แม่คงจะวิตกไม่น้อยที่ฉันเกิดป่วยกะทันหันขณะที่ตัวเองไปสัมมนาต่างจังหวัดนั้น

   “อือ… เข้าบ้านไปพักผ่อนก่อนเถอะลูก ตากแดดตากลมแบบนี้ เดี๋ยวจะไม่สบายหนักไปอีก”

   





            นนท์นั่งใจลอย นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อนมาตลอดหลายวัน การกระทำของหวานนั้น ชัดเจนมากในความทรงจำ รู้สึกคิดไม่ตก กังวลว่าจะบอกปฏิเสธหวานไปอย่างไร และน้ำรู้เรื่องด้วยหรือไม่ อันสุดท้ายนี่สำคัญนัก นนท์ผุดลุกมาแต่งตัวผูกไท แต่งตัวไปทำงานต่อ

   “ทำไมหวานต้องทำแบบนั้นด้วย โอยปวดหัวชะมัด แล้วน้ำทำไมจู่ๆก็เงียบหายไปแบบนี้นะ” นนท์ส่องหล่อซ้ายขวาในกระจก เช็คให้ตัวเองแน่ใจ พลันเหลือบไปเห็นนาฬิกาและการ์ดสารภาพรักของหวานที่ซุกอยู่ในตู้เสื้อผ้าเข้า จะทำอย่างไรดี เขาหยิบโทรศัพท์มาทวนเบอร์โทรศัพท์ของน้ำอีกครั้ง และเช็ค เทียบกับของหวาน ทำให้แน่ใจว่าต้องมีอะไรบางอย่างตรงตามที่เขาคิดแน่ๆ
   
          “ติดต่อก็ไม่ได้  มีอะไรทำไมถึงเข้าเครื่องหวานไปได้”


   ขณะนั้นเอง ฝ้ายเคาะประตูและเรียกนนท์
   “นนท์ ฝ้ายเข้าไปได้หรือเปล่า”
   “เข้ามาสิ นนท์ไม่ได้ล็อกห้องไว้” ฝ้ายเปิดประตู เดินตรงมาหาด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่ซึมเซา เธอกับนนท์ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะต่างคนต่างยุ่งเรื่องงาน อีกทั้งแม่ของทั้งคู่ห้ามไม่ให้ฝ้ายเอ่ยเรื่องดังกล่าวให้นนท์ทราบ
   “นนท์ แม่เราไปอาละวาดน้ำถึงที่บ้านเขาเลยนะ”

   “หา... ตั้งแต่เมื่อไร” นนท์ไม่สนใจผูกไทค์ต่อจับฝ้ายนั่งลงคุยเรื่องนี้อย่างจริงจัง ฝ้ายมีท่าทางเบลอๆ มึนๆ แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของนนท์ ฝาแฝดของเธอเป็นอย่างดี
   “สองอาทิตย์ก่อนน่ะ ฝ้ายห้ามแล้วนะ นนท์ก็รู้เวลาที่แม่จะทำอะไร ใครก็ห้ามไว้ไม่อยู่” นนท์ตั้งใจฟังฝ้ายทุกถ้อยคำ กุมมือของฝาแฝดของตัวเองไว้อย่างกังวล

   “แล้วแม่ทำอะไรไปบ้างน่ะ”
   “แม่ก็ไปขู่เขานะซิ แถมยังจะให้เขาเลิกยุ่งกับนนท์โดยเสนอเงินให้” เมื่อได้ยินอย่างนั้น นนท์ก็พลันฉุนแม่ของตนเองขึ้นมาทันที แม่ของเขาไม่ควรที่จะทำอะไรแบบนั้น

   “แม่น่ะเหรอ ทำแบบนั้น มิน่าน้ำถึงหายไปเลยช่วงนี้ ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย” ฝ้ายรั้งนนท์ไว้ให้อยู่ในห้องกับเธอต่อ เธอรู้ดีว่าถ้ายังไม่สงบอารมณ์เอาไว้มีแต่จะแย่ลง สุดท้ายคงคุยกันไม่รู้เรื่องทั้งแม่ของนนท์ที่มีทิฐิต่อน้ำ กับนนท์ซึ่งกำลังโกรธผู้เป็นแม่ของตนจนไม่สนใจอะไรอีก

   “นนท์ เธอจะทำอย่างไรต่อ” ฝ้ายวิตกกังวลกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่ไม่น้อย เธอเข้าใจดีว่าน้ำไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร




   “เป็นเรานะ จะเลือกหวานว่ะ ยังไงของจริงก็ดีกว่าของปลอมวันยันค่ำ” เชาว์กระดกเหล้าดีกรีแรงไปอึกใหญ่ หลังตอบคำถามของนนท์นั้น นนท์ทำหน้าไม่สบอารมณ์ ยกเหล้าดื่มตามดับความวิตกกังวลที่มีในใจเขานี้ให้หมดไปเสียที

   “พวกแกก็รู้จักน้ำดี ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ หรือจะให้กูชกซักหมัด” นนท์เงื้อหมัด เตรียมชกเพื่อนสนิทที่ตอบคำตอบนั้นออกมา เอ็มรีบปราม ไม่ให้เรื่องบานปลายเกินไป เขารุดมานั่งคั่นสองคนเอาไว้ไม่ให้วางมวยกัน

   “ก็มันเป็นปัญหาแก้ไม่ตกนี่นา แม่นายหัวแข็งจะตาย คงจะยากที่จะทำให้เปลี่ยนใจได้ง่ายๆ พูดยากว่ะ” เอ็มพูดอย่างเป็นกลาง ตบไหล่นนท์อย่างเข้าใจเบาๆ แถมกระทุ้งเชาว์ไม่ให้ดื่มต่อก่อนที่จะครองสติต่อไปไม่ได้อีก

   “กูเข้าใจมึงวะนนท์ เอางี้ดีไหม มึงก็ควบเลยซิวะ” เชาว์ยังคงพล่ามไม่เลิก แม้จะเอนตัว ฟุบคาโซฟาที่นั่งนั่น ไม่สนใจเสียงเพลงดังหนวกหูนั่นและแสงไฟที่สาดไปมาทั่วห้อง
   “กูให้พวกมึงมาช่วยคิดหาทางออกให้กู ดันมีแต่พูดเล่นแบบนี้ แม่ง... พึ่งพาไม่ได้เลย” นนท์ฟิวส์ขาด ลุกขึ้นตวาดกร้าวใส่เชาว์ทันที เอ็มกุมขมับทันที ศึกนี้ท่าทางจะห้ามไม่ได้อีกแล้ว

   “กูยอมรับนะว่าน้ำเขาดีกับมึงมากจริงๆ กูชอบนะ ขึ้นอยู่กับมึงแล้ว ว่าจะเลิก หรือคบแบบหลบๆซ่อนๆ หรือจะเกลี้ยกล่อมให้แม่มึงเข้าใจ อยู่ที่ความพยายามและความอดทนของมึงว่าจะมีมากแค่ไหน” เชาว์อ้อแอ้เดินมากดให้นนท์นั่งลง นนท์พยักหน้าอือออตาม ก่อนตบหัวแถมไปอีกทีนึง เชาว์เกาหัวมึนๆ หัวเราะเก้อไป
   “ขอบใจนะเว้ย  ไอ้เอ็ม ไอ้เชาว์” นนท์กล่าวขอบใจพลางกอดคอเพื่อนสนิททั้งสองไว้ เอ็มปาดเหงื่อ ยอมรับว่าตามอารมณ์ขึ้นๆลงๆของสองคนนี้ไม่ทันจริงๆ

   “ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ เพื่อนกันน่า มีไรก็ปรึกษาได้เสมอ ยกเว้นตอนพวกกูจู๋จี๋กับแฟนนะเว้ย” เอ็มหยอด พลางรินเหล้าให้ตัวเองดื่มต่ออีกนิด ทีแรกกะว่าจะรินให้ทั้งสองคนดื่มต่อ แต่พอเห็นฟุบคาโต๊ะไปทั้งคู่ ก็อดอมยิ้มไม่ได้ ทั้งๆที่เพิ่งทะเลาะกันไปแท้ๆ
   “ฮ่า... ไอ้พวกนี้นี่...” เอ็มจิบ พลางยกแก้ว ยักคิ้วหลิ่วตาให้สาวโต๊ะข้างๆกันนั้น




   “น้ำอยู่ไหมครับ” นนท์กล่าวถามถึงฉันกับพ่อหลังจากกดกริ่งหน้าประตูนานสองนาน พ่อเดินงัวเงียมาดูว่าเป็นใคร มากดกริ่งหน้าบ้านตอนดึกดื่นแบบนี้ อดประหลาดใจไม่ได้ที่เป็นนนท์ แถมยังมีกลิ่นเหล้าคลุ้ง แม้จะพูดจามีสติก็ตาม
   “น้ำไม่อยู่หรอก มีอะไรหรือเปล่า นนท์มีอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวน้าจะบอกให้” พ่อของฉันตอบเลี่ยงๆ กันไม่ให้เราทั้งคู่ต้องพบหน้ากัน ซึ่งตัวฉันเองก็ตั้งใจแบบนั้นเช่นเดียวกัน

   “ผมรู้ว่าน้ำอยู่บ้าน ให้ผมเข้าไปเถอะครับ ได้โปรดเถอะครับ” นนท์เหลือบเห็นฉันแอบมองอยู่ห่างๆภายในห้องนอนของตนเอง ฉันตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงกริ่งนั้น แต่ก็ไม่กล้าออกไปดูเพราะรู้ว่าผู้ที่มาเยือนยามวิกาลคนนั้น คือนนท์ ฉันได้แต่หลบหลังม่าน ตั้งใจฟังบทสนทนาของทั้งคู่อย่างตั้งอกตั้งใจ
   “เธออย่าทำให้เราต้องลำบากใจไปเลยนะ บ้านเราน่ะ ต้อนรับเธอเสมอ แต่แม่ของเธอนี่ซิ” พ่อถอนหายใจ ท่านเองก็ทราบว่านนท์คิดอย่างไรกับฉัน ฉันกำปลายผ้าม่านไว้แน่น กล้าๆกลัวๆว่าควรจะดูทั้งคู่ดีไหม

   “ผมกราบขอโทษ แทนแม่ของผม ที่ทำกริยาไม่ดีแบบนั้นใส่ทุกๆคนครับ แต่ว่าขอให้ผมได้เจอน้ำสักนิดได้ไหมครับ” ครั้นนนท์ยอมก้มกราบขอโทษพ่อฉันแบบนั้น ฉันอึ้งพูดไม่ออก มือป้องปากไว้แบบนั้น พ่อของฉันเองก็เช่นกัน ท่านรีบนั่ง รับคำขอสมาลาโทษนั้นไว้ ทำมือบุ้ยใบ้บอกให้เขาลุกขึ้น
   “เรารู้ว่าเธอเป็นคนดี และเจตนาต่อลูกสาวเรา ยังไงก็ขอบใจนะที่เธอดูแลน้ำมาตลอด” พ่อลูบศีรษะเขาเบาๆ ฉันเองก็ลุ้นอยู่ว่าพ่อ จะใจอ่อนยอมให้เขาเข้ามาภายในบ้านหรือไม่

   “แต่ว่า ให้โอกาสผมเข้าไปคุยกับน้ำไม่ได้เหรอครับ” นนท์รีบเอ่ยปากขอร้องอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีท่าทีที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
“กลับไปเสียเถอะ เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย พวกเราเองก็อยากอยู่อย่างเงียบๆ อย่าหาความเดือดร้อนมาให้พวกเราเลย” พ่อยังคงยืนกรานคำเดิม รีบเดินกลับบ้านเข้ามาทันที นนท์ยังคงยืนอยู่อย่างนั้น จนถึงรุ่งเช้าของวันถัดมา


“เธออยู่แบบนี้ทั้งคืนเลยเหรอ” ฉันเปิดประตูออกไปทิ้งขยะ ตอนเช้าตรู่ อดแปลกใจไม่ได้ที่นนท์ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ผิดเพี้ยน ดวงตาอิดโรย กลิ่นเหล้ายังอบอวนคลุ้งอยู่

“น้ำ... หายไปไหนมา นนท์ติดต่อน้ำไม่ได้เลยรู้ไหม” นนท์ดึงตัวฉันไปกอด พยายามหอม และลวนลาม  ฉันปล่อยขยะทิ้ง รีบปัดป้องตัวเอง ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้สึกอะไรกับเขา แต่มันอดขยะแขยงไม่ได้ที่จู่ๆเขาทำรุ่มร่ามแบบนี้กับฉัน
 “เป็นไรไปล่ะ นนท์คิดถึงน้ำนะ”

“อย่านนท์... อย่า...” ฉับพลัน ก็ตบหน้าเขาไปครั้งหนึ่ง เพราะบันดาลโทสะ พละตัวเองออกมา ปาดจูบอันน่าสะเอียดสะเอียนนั่นออกจากปากตัวเองทิ้ง และหันหลังให้ ปัดมือของเขาที่ตั้งใจจะขอโทษออก
“เธอเอาเวลาไปดูแลหวานเถอะนะ อย่ามายุ่งกับคนที่มองอนาคตได้เลือนรางอย่างน้ำเลย เสียเวลาเปล่าๆ” ฉันเช็ดรื้นน้ำตา ไม่อยากจะแสดงความอ่อนแอของตนเองออกมา ฉันรีบเข้าบ้าน ล็อคประตูทันที กั้นเราทั้งคู่ไว้ ฉันไม่อยากจะต้องใจอ่อนให้กับเขาอีก
“น้ำ เธอรู้... โธ่... นั้นมันเรื่องเข้าใจผิดทั้งเพ” นนท์เกาะประตูไว้แน่น พยายามแก้ตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งนั้น ระหว่างเขากับหวานนั้น ฉันบอกตรงๆว่าไม่อยากจะทนฟังเลย ยิ่งแก้ตัวก็เหมือนกับคนเห็นแก่ตัว

“จะให้เข้าใจผิดได้ไง ทั้งๆที่ภาพมันฟ้องตำตาแบบนั้น”
“น้ำ ฟังเหตุผลนนท์ก่อนนะ หวานเขามาบอกว่าชอบนนท์...” ฉันเจ็บจี๊ดขึ้นทันที โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เขาลนลานไม่ยอมรับสายง่ายๆ ฉันเดาได้ทันทีว่าสายนั้นคือใคร

“นั่นไง... หวานละซิ ไม่รับโทรศัพท์ล่ะ” ฉันชายหางตามองครู่หนึ่ง หลุดคำประชดประชันไปอย่างไม่ตั้งใจ เดินกลับเข้ามาในบ้าน ไม่สนว่า เขาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง

“น้ำเดี๋ยวก่อน น้ำ เป็นอะไรไปล่ะน้ำ น้ำ...” เสียงของนนท์ยังคงแทรกมาเป็นระยะๆ ความรู้สึกที่มีให้กัน กลับเจือจางลงไป ฉันรู้ว่าตัวเองไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยที่หนีมาดื้อๆแบบนี้ คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดระหว่างเราสองคน จบแบบนี้ยังดีกว่าทนเจ็บซ้ำซากไปทุกครั้ง

three

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #16 เมื่อ23-06-2008 15:34:51 »

 :sad2:ทำไมเศร้าปานนี้อ่ะครับ :sad2:
พี่ฮะร้องไห้แล้วเนี้ย :sad2:

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #17 เมื่อ23-06-2008 17:17:42 »

ตะเอง เรื่องเก่าอ่ะยังไม่จบ ขยันจังนะจ๊ะ :o8:
ไม่ได้ขยันหรอกครับ เรื่องนี้แต่งไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว
ระหว่างที่ผมยังคิดอีกเรื่องไม่ออกก็จะทะยอยลงเรื่องนี้แทนครับ
เข้ามาทักทายเองใหม่จ้า  อิอิ
สวัสดีคร้าบ มอเดอรเรเตอร ของบอรด เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับที่เข้ามาทัศนาเรื่องของผม
สงสัยจะได้รางวัลนักเขียนไฟแรงไปครองแน่ๆ  :L2:  :L2:
หูยย ไม่หรอกคร้าบ จริงๆ ผมก็ยังมีไอเดียอย่างเขียนอยู่หลายเรื่องที่พล็อตไว้ ตอนนี้อ่านแค่สองเรื่องไปก่อนนะ
:a5: ผ้าเช็ดตัว ช่วงนี้ต้องเตรียมหลายผืนหน่อย มีแต่เรื่องเศร้าๆๆ :m23:แหะๆคือผ้าเช็ดหน้าถ้าจะไม่พออ่ะดิ
ท่าจะจริงครับ ช่วงนี้มีหลายเรื่องที่เรียกความรู้สึก และน้ำ....เยอะ
สงสัยยังไม่หายโรค สมองตีบ

555 รอวันหายดีครับ ทั้ง 2 เรื่องเลย

หายแล้วคร้าบ สมองแล่นปร๋อ มาต่อแล้วนา.....
:sad2:ทำไมเศร้าปานนี้อ่ะครับ :sad2:
พี่ฮะร้องไห้แล้วเนี้ย :sad2:
ขอโทษด้วยนะครับ
ที่ทำให้ร้องไห้

แอบดีใจนิดนึงที่หลายคนอิน


ขอบคุณทุกรีพลาย และทุกคอมเม้นต์ที่มีให้ รวมถึงผู้อ่านคนอื่นๆที่แวะเวียนเข้ามานะคร้าบ  :pig4:  :กอด1:

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #18 เมื่อ23-06-2008 17:50:37 »

รักแท้จะแพ้แม่รึเปล่านี่ดิ เฮ้อ

เอาใจช่วยๆ เข้าใจแม่นนท์อยู่

เพราะเราก็ลูกสาวคนเดียวนี่นา กร้าก

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #19 เมื่อ24-06-2008 00:46:03 »

 :L2: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
« ตอบ #19 เมื่อ: 24-06-2008 00:46:03 »





christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #20 เมื่อ24-06-2008 10:20:00 »

“หน้าที่ของคุณ... คือดูแลหวานให้ดีๆละกัน” ฉันปิดประตูแล้วรีบบึ่งออกไป ฉันทำถูกหรือเปล่าที่ทำแบบนั้น ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ















บทที่หก


   ฉันเพิ่งกลับมาทำงานได้ไม่กี่วันหลังจากที่ลาป่วยไปเกือบอาทิตย์ งานพะเนินเต็มโต๊ะเลยทีเดียว ต้องรีบสะสางให้เสร็จเรียบร้อยเสียโดยเร็ว จนไม่ทันได้สังเกตว่าโทรศัพท์มือถือของหวานดังหลายรอบแล้ว ทว่าหวานไม่ได้อยู่ที่โต๊ะ เธอหายไปนานมาก รู้สึกรำคาญขึ้นมาตงิด ไม่ทันทีจะเดินลัดไปรับสายนั้นแทน หวานก็พุ่งหวือมาจากไหนไม่ทราบ รีบดูเบอร์และหลบไปรับสายในห้องน้ำ ฉันแอบตามไปเงียบๆ

“นนท์ โทรมามีอะไรเหรอ” เธอพูดลนลานปนดีใจทันทีที่รับสาย ฉันฉุนกึกขึ้นมากับแมวขโมยคนนี้ทันที แต่ก็ฉุกขึ้นมาได้ว่าตัวเองกับเขาก็เลิกกันเรียบร้อย จะไปหึงหวงให้เสียเกียรติทำไม นึกไปนึกมาก็อยากจะเอาคืนให้แสบกับคนทั้งคู่จริงๆ

   “หวาน นนท์มีเรื่องจะคุยด้วย ออกมาได้ไหม” ไม่ทันที่จะจับประเด็นได้ว่านนท์นัดหวานไปไหน ก็ต้องรีบกลับไปที่โต๊ะทำงานเนื่องจากเลขานุการของหัวหน้ามาตามให้ไปพบ เจ็บใจจริงๆ พอออกมาอีกทีหวานก็ไม่อยู่แล้ว

   หวานจอดรถเลียบเคียงกับรถของนนท์ สายลมพัดแรงทำเอาผมเพ้ายุ่งไปหมด หวานเดินมาหานนท์ที่ยืนเกาะราวกั้นริมฝั่งเจ้าพระยา หวานปัดปอยผมจากหน้าของตัวเองออก จับมือของนนท์ และยิ้มให้ การไม่ใส่แว่นแบบนี้ทำให้นนท์ไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไร แต่ก็ยังจำเค้าหน้าของหวานได้
“นนท์มีอะไรเหรอ เรียกหวานมาที่นี่เนี่ย”
   “รู้ได้ไงว่าหวานชอบที่นี่ โรแมนติคเหมือนกันนะ” เธอยืนพิงราวกั้น ผู้อยู่ตรงหน้ากลืนน้ำลายเล็กน้อย แกะมือของเธอผู้นั้นออก ก่อนตัดสินใจโพล่งบอกบางอย่างกับเธอไป

   “นนท์มีเรื่องสำคัญจะพูด นนท์ตัดสินใจแล้ว” ตาของนนท์มองเลื่อนลอยออกไป ไม่มีภาพของหวานอยู่ตรงหน้านั้น
   “ว่าไงนะนนท์” ดวงตาเธอลุกวาวเป็นประกายแห่งความหวัง ตั้งใจฟังคำนั้นใจจดจ่อ
   “ขอโทษนะหวาน ความรู้สึกของหวานเรารับไว้ไม่ได้จริงๆ คนที่เรารัก มีเพียงคนเดียวเท่านั้น คือ...” นนท์นำของขวัญกล่องนั้นคืนกลับให้หวาน เธอหน้าเจื่อนไปทันที และรีบสวนทันควัน
   “เธอคิดจะผูกตัวเองไว้กับอนาคตที่ไม่มั่นคงและมองไม่เห็นแบบนั้นกับน้ำเหรอ เธอโง่มาก” หวานไม่ยอมรับของชิ้นนั้นคืน รู้สึกราวกับโดนฉีกหน้า

   “ทีหวาน หวานเป็นเพื่อนประสาอะไร กล้าแม้แต่จะหักหลังเพื่อนแบบนี้” นนท์ไม่ลังเลที่จะพูดคำนี้กับเธอ แม้จะเป็นการตอกกลับอย่างรุนแรงก็ตาม หวานคงจะสำนึกตัวได้สักทีว่าสิ่งที่เธอทำนี้มันไม่ถูกต้อง ในใจของนนท์มีเพียงน้ำคนเดียว คนเดียวเท่านั้น
   “หักหลังเหรอ หวานห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้หรอกนะ” น้ำเสียงของเธออ่อนลง ตรงเข้ามากอดเขา แต่นนท์รีบพละออก ไม่อยากให้มันยืดเยื้อเรื้อรังไปมากกว่านี้
   “ความรัก ที่ทำร้ายคนอีกคนที่เป็นทั้งเพื่อนของหวานและแฟนนนท์ นนท์ทำไม่ได้” นนท์คืนของขวัญกับเธอดื้อๆ เดินหนีออกมา หวานรีบฉุดมือเขาเอาไว้

   “นนท์ ทำแบบนี้กับหวานเหรอ ของขวัญนี่ หวานตั้งใจจะให้นนท์นะ” น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ เสียงของเธอสั่นเครือ พยายามยัดเยียดของขวัญวันเกิดนั้นให้เขาอีกครั้ง แต่เขากลับปัดไปไม่ไยดี แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์เธอ
   “ขอโทษนะ เอากลับคืนไปเถอะ นนท์รับไม่ได้จริงๆ” กล่องดังกล่าวตกพื้น เสียงนาฬิกาข้อมือแตกกระทบพื้น หวานตกใจมาก พลั้งมือตบหน้าเขาไปหนึ่งฉาด

   “โง่ โง่ที่สุด หวานด้อยกว่าน้ำตรงไหน”
   “ก็ตรงที่... หวานไม่ใช่น้ำ และน้ำไม่ใช่คนที่กล้าทำร้ายเพื่อนรักของตัวเองได้หน้าตาเฉยแบบนี้” นนท์ลูบแก้มตัวเอง และย้ำให้ชัดเจนกับเธออีกครั้ง
   “งั้นก็ได้หวานจะทำให้เห็นเอง... ความรู้สึกที่มีนี้ก็ไม่ได้น้อยกว่าน้ำเลย” เธอกระชากล็อคเก็ตที่แขวนประจำของตัวเองออก เป็นความทรงจำที่หวานได้ของจากนนท์ เก็บติดตัวไว้ตลอดมา นนท์อดแปลกใจไม่ได้ที่ล็อคเก็ตดังกล่าวมาอยู่ที่เธอทั้งๆที่ เขาให้น้ำเองกับมือ และจู่ๆน้ำก็บอกว่าทำหายไป หวานวิ่งกลับไปที่รถตัวเอง ตั้งใจกลับไปอาละวาดน้ำ ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนคงไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว


“หวานอย่า...”
   เสียงแตรรถดังขึ้น จากรถคันหนึ่งซึ่งแล่นผ่านโค้งมาด้วยความเร็วสูง ไม่มีแต่เสียงร้องของหวานเล็ดลอดออกมา ร่างของเธอกลิ้งขึ้นไปกระแทกกับกระจกรถ ก่อนค่อยๆไหลตกลงมานอนกองกับพื้นเลือดท่วมตัว มือซ้ายกำล็อคเก็ตของนนท์เอาไว้ไม่ปล่อย  คนขับรถยังนั่งนิ่งด้วยความตกใจอยู่ในรถไม่ยอมออกมาดูผู้ถูกชนซึ่งนอนแน่นิ่งตรงหน้าเลย นนท์รีบวิ่งมาหาหวาน ก่อนรัวกดหาหมายเลขโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลมือเป็นระวิง ใจเต้นระรัวหวาดหวั่นต่อหน้าร่างที่หายใจรวยรินนี้ กลัวว่าอาจจะสายเกินไป










   ไม่กี่นาทีหลังจากที่รับโทรศัพท์จากย่าของหวาน ฉันก็รีบบึ่งมารับท่านไปโรงพยาบาลพร้อมกัน ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาระหว่างทางนั้น ต่างคนต่างแทบใจเต้นรัวระทึกมาตลอดทาง ท่านร้องไห้สะอึกสะอื้นและพูดฟังไม่ได้ศัพท์ ฉันเองไม่รู้ว่าจะปลอบท่านอย่างไรดีและกลับลืมเสียสนิทว่าตัวเองโกรธหวานมากแค่ไหน ครั้นจอดรถเรียบร้อยแล้วก็ตรงไปยังห้องฉุกเฉิน นนท์นั่งกุมมือเสียแน่นอยู่ด้านนอก เราต่างคนไม่พูดอะไรระหว่างกัน ฉันเองก็ไม่กล้าที่จะเริ่มต้นพูดคุยอย่างไรกับเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างคนต่างนั่งนิ่งเงียบในบรรยากาศอึมครึมและวิตกกังวล จากวินาทีเป็นนาที จากนาทีเป็นชั่วโมง จาก 1 ชั่วโมง เป็น 3 ชั่วโมง

   ครั้นแพทย์เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ทุกคนรีบลุกเข้ามารุมถามแพทย์ เกี่ยวกับอาการของหวานทันที
“หวานจะเป็นอะไรมากไหมคะ เอ่อ... เต้” ฉันอดแปลกใจไม่ได้จริงๆที่คนเบื้องหน้านั้น คือเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมปลาย
“น้ำ... เธอเป็นญาติของคุณเหรอครับ” ย่าของหวานรีบแทรกตัวเข้ามา ตัดบท ฉันเองก็ฉุกคิดว่าเวลานี้ควรทิ้งเรื่องอื่นไว้ก่อน
“อิฉันเป็นญาติของคนไข้เองค่ะ ไม่ทราบว่าอาการของหลานสาวดิฉันตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ” ท่านดูจะวิตกกังวลเป็นอย่างมาก มือเย็นเฉียบ ฉันกุมมือท่านไว้ให้บรรเทาความรู้สึกนี้ลง


 “อืมม ไม่ต้องวิตกไปนะครับ คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่คงต้องดูอาการอีกสักระยะนะครับ” ผู้เป็นแพทย์ตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ และยิ้มให้ รู้สึกโล่งใจเหลือเกินที่หวานไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ นนท์ถอนหายใจเสียดัง ฉันชำเลืองมองอย่างไม่พอใจเท่าไรนักกับกิริยาที่ไม่สุภาพแบบนั้น เขารีบหลบสายตาฉันทันที


“ขอบคุณนะคะ คุณหมอ” ย่าของหวานกล่าวขอบคุณ เขาเดินจากไปทั้งโบกมือ ยิ้มให้ฉัน ฉันพยักหน้าแทนการโบกมือลาและเป็นการขอบคุณที่เขาช่วยรักษาอาการของหวานให้ นนท์เหมือนจะไม่สบอารมณ์ที่ฉันทำแบบนั้น แต่ฉันไม่ได้ใส่ใจอะไร
“น้ำ เอ้อ...นนท์ขอบใจนะจ๊ะที่เป็นห่วง และก็ช่วยดูแลหวานให้นะ” ท่านหันมาขอบใจเราทั้งสองคน นนท์รีบไหว้เป็นการขอโทษที่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น

“อ้อ.. อย่าเลยครับ ผมเองก็มีส่วนผิดด้วยเหมือนกัน”
“อย่าพูดว่าตัวเองอย่างงั้นเลยนะจ๊ะ หวานไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วล่ะ ดึกมากแล้ว ย่าอยู่ได้ไม่เป็นอะไร” แทบไม่ได้สังเกตเลยว่าเวลาผ่านล่วงเลยมานานเท่าไรแล้ว อดหมั่นไส้นนท์ไม่ได้ ตัวเองเป็นคนก่อเรื่องแท้ๆ ฉันคิดอย่างนั้น
 
“ให้หนูอยู่ด้วยดีไหมคะ” ฉันถามท่าน อายุท่านก็เยอะมากแล้ว ไม่อยากให้ท่านต้องลำบากแบบนี้
“ย่าไม่เป็นอะไรหรอก ขอบใจนะทั้งสองคน” ท่านรีบรวบรัดให้เราทั้งคู่กลับเสีย เลยจำใจต้องกลับไปก่อน เป็นห่วงก็เป็นห่วง หวานเองก็มีเพียงย่าเป็นญาติเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น พ่อและแม่ของเธอเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่
“งั้นลากลับเลยนะครับ มีอะไรก็โทรติดต่อผมได้นะครับ”
“ค่ะ งั้นเอานี่ไว้นะคะ เผื่อหิวค่ะ ยังไงก็ติดต่อหนูได้ตลอดนะคะ สวัสดีค่ะ” ฉันส่งถุงน้ำและอาหารบางส่วนที่ซื้อติดมาระหว่างทางให้ท่านไว้ ไหว้ลาและรีบจ้ำออกมาโดยมีนนท์ตามมาติดๆ

“น้ำ...” นนท์เรียกชื่อฉันมาตลอดทาง ซึ่งฉันเองไม่ได้ใส่ใจอะไร จนถึงที่ลานจอดรถ นนท์รีบปรี่มากันไม่ให้ฉันปิดประตูรถบึ่งหนีไปก่อน
“จะอะไรกับน้ำอีก เราไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้วนะนนท์” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ตาของฉันมองตรงไปข้างหน้า ไม่สบตาเขาที่ยืนเก้ๆกังๆข้างรถ เตรียมสตาร์ทรถออกไป
“นนท์แค่บอกหวานไปว่านนท์รู้สึกอย่างไรเท่านั้น ไม่คิดว่าหวานจะ...” เขารีบรัวพูดกับฉันเชิงอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่รู้ดีว่าฉันไม่อยากรับรู้เหตุผลใดๆจากปากของเขา ที่สำคัญฉันอยากเลี่ยงเขาไปให้ไกลๆเร็วๆ

“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย พอเถอะ” ฉันผลักนนท์ออกไปให้พ้นประตูรถ เขายอมถอยไปง่ายๆ ฉันเองอดน้ำตาซึมไม่ได้ แต่ต้องทำใจแข็งเข้าไว้
“หน้าที่ของคุณ... คือดูแลหวานให้ดีๆละกัน” ฉันปิดประตูแล้วรีบบึ่งออกไป ฉันทำถูกหรือเปล่าที่ทำแบบนั้น ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ






     ฉันแวะร้านขายอาหารตามสั่งโต้รุ่ง แม้ว่าจะหิวแค่ไหน เพราะไม่ได้ทานอาหารเย็น ฉันก็ได้แต่เขี่ยอาหารในจานไปมาด้วยหมดอารมณ์ คิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี ตราบที่ฉันกับนนท์ยังต้องเจอกันแบบนี้ เต้มายืนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบได้ ฉันสะดุ้งทันควัน ที่เขาเอ่ยทักทาย
 
“สวัสดี เป็นไงบ้าง” เขาแอบอมยิ้มเล็กน้อยที่เห็นอากัปกิริยาของฉันแบบนั้น ฉันฝืนยิ้มและเชื้อเชิญให้เขานั่งด้วย
“อ้าว... เต้ มาทานด้วยกันสิ” รู้สึกสบายใจขึ้นอย่างน่าประหลาด พลอยทำให้ตัวเองลืมเรื่องไม่เป็นเรื่องที่เก็บมาคิดหมกมุ่นให้กังวลใจไปได้
“นี่เพิ่งแว่บออกมาหาไรกินหน่อย เดี๋ยวก็กลับเข้าเวรต่อแล้ว” เต้ดื่มน้ำเล็กน้อยก่อนหันไปสั่งอาหารกับเด็กเสริฟที่เดินเลียบมาข้างๆ และเหมือนว่าเขาจะรู้ใจฉันทีเดียวว่าฉันอยากรู้อะไร

“ไม่ต้องห่วงเพื่อนของคุณคนนั้นหรอกนะ แค่มีบาดแผลฟกช้ำตามร่างกาย กระคูกหักบริเวณหน้าแข้งซ้าย พักรักษาและทำกายภาพบำบัดซักระยะก็กลับมาเป็นปกติแล้วล่ะ อ้อลืมไป ที่ศีรษะโดนกระแทกน่ะ เย็บหลายเข็มเหมือนกัน แต่ก็ต้องรอดูซักระยะนะแต่ก็ไม่น่าจะกระทบกระเทือนอะไรมาก สบายใจหรือยัง”

“เต้... นี่เธอมาทำงานที่โรงพยาบาลนี้เองเหรอ” ฉันรีบปัดไปเรื่องอื่นและอมยิ้มให้เขา เต้นี่เดาใจฉันเก่งจริงๆ ไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่สมัยมัธยมปลายนั้น

   “อื้อ... เราไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ ตั้งแต่สมัยม.ปลายแน่ะ ดีใจนะ ที่ได้เจอน้ำที่นี่อีกครั้ง” เขาก้มลงหยิบโทรศัพท์มือถือส่งให้ฉัน พอจะเข้าใจได้ว่าเขาอยากให้ฉันให้เบอร์ติดต่อเขาไว้ ฉันกดเบอร์พลางเหลือบมองดูเขาจัดการราดหน้าอย่างรวดเร็ว เต้สังเกตว่าฉันแอบมองก็หัวเราะแก้เก้อแล้วรับโทรศัพท์ของตัวเองคืนกลับไป ช่วงที่เขาก้มเก็บโทรศัพท์นั้น ฉันสังเกตเห็นสร้อยเส้นหนึ่ง คล้องแหวนวงหนึ่งไว้ ดูไม่น่าจะเป็นของมีค่าอะไร อดสงสัยไม่ได้จริงๆ

   “สร้อยอะไรน่ะ ทำงานใส่เครื่องประดับได้ด้วยเหรอ”
   “อะไร ไม่เกี่ยวกันซะหน่อย ว่าแต่... ยังจำนี่ได้หรือเปล่า” เขาก้มลงมอง พูดทั้งๆที่อาหารเต็มปาก ก่อนปลดมันมาวางไว้ตรงหน้า ฉันจึงนึกออกได้ว่าเป็นแหวนรุ่น ฉันหยิบมันขึ้นมาพินิจอีกครั้ง สังเกตเห็นตัวอักษรสลักอยู่ด้านในของแหวนว่า “TLN”

   “นั่นมัน... เธอยังเก็บมันไว้อีกเหรอ” ฉันอมยิ้มและลูบคลำมันไปมาเบาๆ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขมากพอๆกับที่ทุกข์มากที่สุด ต้องเวียนเข้าออกโรงพยาบาลตลอดเนื่องจากปัญหาสุขภาพ มีแต่เต้ที่เป็นเพื่อนของฉัน เพื่อนผู้ชายคนเดียวที่ไม่รังเกียจฉันเลย เขาเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับฉันเสมอ

   “ก็นี่ เป็นความทรงจำระหว่างเราสองคนนี่นา ไม่เคยลืม หรือทอดทิ้งมันไปเลย” เต้ขยับมานั่งข้างๆตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ใจฉันเต้นรัวแรง รู้สึกเหมือนตอนนั้น... ตอนที่ฉันคบกับเขา


   “เต้...” น้ำเสียงฉันอ่อนลง ก่อนที่เต้เอียงตัวมาจูบที่หน้าผากฉันเบาๆ ไม่สนว่าโต๊ะรอบๆนั้นจะรู้สึกอย่างไร ฉันหันไปสบตาเขา คนที่ยิ้มให้และลงมือทานราดหน้าต่อไป ห่างไปจากตรงนั้นที่ร้านข้างๆกัน ฉันไม่รู้ว่านนท์ทำหน้าอย่างไรเมื่อเห็นภาพแบบนั้น เขารีบจ่ายเงินแล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ  เร่งเครื่องเสียงดังขับออกไปอย่างรวดเร็ว

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #21 เมื่อ24-06-2008 10:25:35 »

“น้ำ เราไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างน้ำกับเขามีปัญหาอะไรระหว่างกัน แต่น้ำอย่าทำให้ปัญหาพวกนั้นมาบั่นทอนความสัมพันธ์ที่ดี ที่มีต่อกันสิ เวลาที่คบกันมันน่าจะทำให้น้ำน่าจะรู้จักตัวตนของเขาดีมากขึ้นอยู่แล้วนะ น้ำชอบเป็นอย่างนี้ทุกที มีปัญหาก็เอาแต่วิ่งหนีมัน ไม่ยอมวิ่งเข้าหาปัญหาและช่วยกันแก้ สุดท้ายน้ำนั่นแหละจะสูญเสียทุกอย่างไป ไม่ต้องโทษใครหรอก น้ำเองต่างหากที่ต้องโทษตัวเอง”














บทที่เจ็ด


   
“ขอโทษนะน้ำ หวานไม่อยากเจอหนูในตอนนี้นะ” ย่าของหวานบอกฉันด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเห็นใจกับฉันที่ยืนเก้ๆกังๆ ถือกระเช้าของเยี่ยมไข้อยู่แบบนั้นหน้าห้องผู้ป่วย เราเองก็อุตส่าห์เป็นห่วงมาเยี่ยมไม่เคยขาด ยังจะมาทำแบบนี้อีก ฉันเองก็ฉุนขึ้นมาแต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ ใจดีสู้เสือไป

“อ้อค่ะ งั้นหนูฝากของเยี่ยมไว้ละกันนะคะ” ของที่เอามาเยี่ยมก็เยอะและหนักพอตัว เหมือนกับรังแกคนแก่ยังไงไม่รู้ ท่านดูท่าทางเกรงใจแต่ก็รีบรับของไว้ ทุลักทุเลเอาการเหมือนกัน

“จ้า เอ่อว่าแต่หนูรู้จักคนที่ชื่อนนท์หรือเปล่า หวานบ่นอยากเจอ แต่เขาก็ไม่เห็นมาเลย ตั้งแต่วันนั้น” ร่างฉันกระตุกเล็กน้อยทันที่ย่าของหวานเอ่ยชื่อของนนท์ขึ้นมา รีบบอกปัดไป

“ถ้าหนูพบเขา จะบอกให้นะคะ” ฉันไหว้ลาท่านก่อนปลีกตัวออกมา แอบเห็นหวานนั่งหันหลังให้อยู่ภายในห้อง ศีรษะพันผ้าไว้และสวมเผือกที่ขาซ้าย รอยช้ำยังคงเห็นได้เด่นชัดตามเนื้อตัว ก่อนที่ประตูห้องจะปิดลง

“น้ำ...” เสียงเต้แว่วมา ฉันหันกลับไปเห็นเต้วิ่งกระหืดกระหอบมาหา
“อ้าว... เจอกันอีกแล้วนะ อืมมม...มีอะไรเหรอ” ฉันพยายามไม่คิดถึงเรื่องครั้งนั้นอีก แต่ก็อดดีใจที่ได้เจอกับเต้อีกครั้งไม่ได้จริงๆ
“เราออกไปหาอะไรทานกันดีไหม ผมเลิกงานแล้ว” เต้ยืนเกาหัวเคอะเขินเล็กน้อยตอนเอ่ยปากชวน น่ารักดีเหมือนกัน ฉันเองก็อึ้งพูดไม่ออก ทำ อะไรไม่ถูกเลย

“เอ่อ...”
“น่าๆไปเถอะนะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน มีอะไรอยากคุยด้วยเยอะเลยนะ” เขารีบดันตัวฉันออกไปแบบเด็กๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่นิสัยขี้เล่นแบบนี้จะมาเป็นหมอกะเขาได้ เป็นอันว่าต้องเลยตามเลย ไม่กล้าปฏิเสธเขาไปตรงๆ
“ก็ได้...”


เรามากันที่ร้านอาหารญี่ปุ่น พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เต้ยังคงร่าเริงเหมือนเดิม เป็นคนไม่คิดอะไรมากหรือเก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องมากังวลให้ปวดหัว ฉันนั่งมองหน้าเขา ขณะที่เขาเล่าเรื่องเพื่อนแต่ละคนในกลุ่มว่าเป็นอย่างไรมาอย่างไรกันบ้าง

“จริงเหรอ เรื่องนั้นไม่น่าเชื่อเลยนะ แหมแต่งงานไปก่อนใครเพื่อนเลย ร้ายจริงๆ เสียดายจังไม่ได้ไป มีอะไรอีกบ้าง เล่ามาให้หมดนะ” ฉันป้องปากหัวเราะและเย้าเขา เป็นจังหวะที่ต่างคนต่างตั้งใจจะคีบซูชิที่เหลืออยู่ชิ้นเดียวในถาด ฉันรีบชักตะเกียบกลับมา เขาบุ้ยใบ้ให้ฉันทาน แต่ไม่เอาดีกว่า

   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เต้ชี้ตะเกียบมาที่โทรศัพท์ ฉันสังเกตหน้าจอ ปรากฏว่าเป็น...
“นนท์...”
“คุณย่าของหวานเขาบอกว่าอยากให้เธอไปเยี่ยมน่ะ ย้ำว่าต้องมานะ” ฉันรีบรัวพูดชิงไปก่อนที่นนท์จะเอ่อมาด้วยซ้ำ เต้เคี้ยวซูชิชิ้นนั้นตุ้ยๆ มองฉันไม่ละสายตาไป

“อื้อ... ช่วงนี้นนท์ยุ่งๆเสียด้วย ว่าแต่น้ำ...” นนท์ตอบเสียงอ่อน อยากจะคุยต่อกับฉัน แต่...
“ไม่มีอะไรแล้วงั้นแค่นี้นะ” ฉันตัดสายทิ้ง กลับมาปั้นหน้ายิ้มแย้มทำเป็นว่าไม่เกิดอะไรขึ้น

“ทำไมน้ำถึงพูดกับเขาแบบนั้นล่ะ” เต้เอ่ยขึ้นเชิงดุเล็กน้อย

“ไม่มีอะไรหรอกนะ อย่าใส่ใจเลย ทานขนมกันเถอะนะ มาแล้ว” ฉันยิ้มให้เขา ขณะที่บริกรยกขนมมาเสริฝ
“ใช่คนนั้นหรือเปล่า” เต้ทำหน้าจริงจัง ขณะที่ฉันแกล้งทำเป็นไม่สนใจ พยักพเยิดให้เขาลองชิมขนมตาม
“อื้อ... นี่อร่อยมากเลยนะ ลองชิมสิ”

“เขาเป็นแฟนน้ำใช่ไหม” เต้ย้ำทำเอาฉันทานไม่ลงทีเดียว ฉันหน้าเจื่อนไปก่อนรีบแก้ตัวไป
“ปะ... ปล่าวซะหน่อย”

“แน่นะ” เต้ทำให้ฉันรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ร้ายปากแข็ง ฉันรู้สึกอึดอัดไม่อยากให้ใครมาถามย้ำกับเรื่องนี้อีก ฉันไม่ตอบและรีบเบนหน้าไปทางอื่นทันที


“น้ำ เราไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างน้ำกับเขามีปัญหาอะไรระหว่างกัน แต่น้ำอย่าทำให้ปัญหาพวกนั้นมาบั่นทอนความสัมพันธ์ที่ดี ที่มีต่อกันสิ เวลาที่คบกันมันน่าจะทำให้น้ำน่าจะรู้จักตัวตนของเขาดีมากขึ้นอยู่แล้วนะ น้ำชอบเป็นอย่างนี้ทุกที มีปัญหาก็เอาแต่วิ่งหนีมัน ไม่ยอมวิ่งเข้าหาปัญหาและช่วยกันแก้ สุดท้ายน้ำนั่นแหละจะสูญเสียทุกอย่างไป ไม่ต้องโทษใครหรอก น้ำเองต่างหากที่ต้องโทษตัวเอง”
คำพูดของเต้นั้นชัดเจนมาก ฉันเองก็ได้แต่รับฟังและทบทวนที่จะพูดคุยกับนนท์อย่างจริงจังเสียที




ฉันจำใจต้องมาเฝ้าไข้หวาน ตามที่ย่าของหวานขอร้องเนื่องจากเธอต้องเดินทางไปต่างจังหวัด หวั่นใจว่าหวานจะไล่ตะเพิดออกมาหรือเปล่าในเมื่อไม่ว่ากี่ครั้งที่ฉันมาเยี่ยมเธอที่นี่ก็ไม่ยอมให้ฉันเข้าพบเสียที แต่ตบปากรับคำไว้แล้ว จะกลับคำตอนนี้ก็ไม่ได้ เอาล่ะสูดลมหายใจลึกๆ ใจเย็นๆนิ่งๆเข้าไว้ คงไม่มีอะไรหรอก ฉันเปิดประตูเสี่ยงดวงเข้าไป

“อ้าว น้ำเองเหรอเข้ามาสิ” น้ำเสียงที่เชื้อเชิญด้วยไมตรีจิตนั้นเอ่ยขึ้นราวกับรู้ว่าฉันจะมา ฉันรู้สึกชาขึ้นมาทันทีที่เห็นนนท์อยู่กับเธอผู้นั้นภายในห้อง ฉันวางของและเก็บของเข้าตู้ หวานเกริ่นต่อไป
“มาได้จังหวะพอดีเลยนะ วันนี้คุณย่าไม่อยู่นนท์ก็มาอยู่เป็นเพื่อนหวานทั้งวันเลย” หวานนั่งอยู่บนเตียง ยังคงเข้าเฝือกอยู่ รอยแผลภายนอกดูจางลง และดีขึ้นมาก ฉันพยายามไม่มองไปทางนนท์แต่ก็ทราบว่าเขาเองก็ยืนเก้ๆกังๆวางตัวไม่ถูกเช่นกัน ฉันหยิบรากบัวเชื่อมออกมาลองเกริ่นถามไปพลางๆ
“เหรอจ๊ะ ฉันซื้อของโปรดเธอมาด้วย ทานเลยไหมเดี๋ยวจะเย็นซะนะ”

“ก็ดีนะ ฉันเบื่ออาหารโรงพยาบาลจะแย่ อยากออกไปข้างนอกเร็วๆจัง” ฉันหันหลัง เทของว่างลงในชามทั้งสองชาม นนท์เดินเลียบๆเคียบมาใกล้ๆและรับชามไป ฉันเลี่ยงไม่สบตา หรือทักทายอะไร เหมือนว่าหวานจะรู้และรีบกระเซ้าขึ้นมา

“นี่ สองคนไม่คิดจะพูดอะไรกันสักหน่อยบ้างเหรอ” หวานยิ้มกรุ้มกริ่ม ฉันยิ้มเจื่อนๆให้ทั้งสองคน เอาขยะไปทิ้งแล้วกลับมานั่งที่เบาะ กะจะถามเรื่องอาการของหวานว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดันเจอภาพตำตาบาดใจจนได้

“นนท์ป้อนให้หวานหน่อยนะ” นนท์รับคำและป้อนให้หวาน อะไรกันนนท์ไม่เคยทำแบบนั้นกับฉันเลยนะ นี่เธอเป็นใครกันมีก็ดีอยู่นี่นา ใจเย็นไว้หวานไม่สบาย ท่องไว้ ไม่สบาย...


“อร่อยนะ นนท์ลองชิมดูซิ” นั่นไง ได้ทีก็ออดอ้อนออเซาะกันเลยเชียวนะ เห็นทีจะต้องขอตัวกลับก่อนดีกว่าไหม ไม่ไหวแล้ว
“หวานแกะอีกถุงนึงด้วยเลยละกันนะ นนท์ทานด้วยกันเลยนะ” นี่ฉันไม่ใช้เบ๊หล่อนนะจะมาใช้ฉันแบบนี้น่ะเหรอ เย็นไว้ เย็นไว้

“อาการเป็นไงบ้างล่ะหวาน” ฉันยกรากบัวอีกชามมา หวานยิ้มให้ก่อนตอบ
“ก็อย่างที่เห็น ดีขึ้นเยอะแล้ว ว้าย” เธอรีบหลบทันที รากบัวสาดไปเลอะเทอะนนท์เลยเต็มๆ ฉันไม่น่าซุ่มซ่ามอะไรแบบนั้นเลย

“นนท์เป็นอะไรมากหรือเปล่า” นนท์กระโดดเหยงๆเพราะความร้อนของรากบัวเชื่อมนั้น ฉันคว้าผ้าไปซับให้ จะเป็นอะไรมากไหมน่ะ
“เอ่อ... น้ำ ไม่เป็นไรหรอกแค่นี้เอง เดี๋ยวนนท์ไปล้างก่อนนะ” นนท์คว้ามือของฉันไว้และเดินเลี่ยงไปห้องน้ำ เมื่อประตูปิดลง

“ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย ทั้งๆที่ฉันเป็นห่วงเธอแท้ๆนะ” ฉันหันมาพูดอย่างไว้ลายกับหวานดีๆเพราะรู้ว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ พลางเก็บกวดอาหารที่เลอะเทอะบนพื้นนั้น
“พอซะที อย่ามาตอแหลนักเลย คิดจะแย่งเขาคืนกลับไปเหรอ ช้าไปแล้วล่ะ ไม่มีทาง” หวานลุกลงมาจากเตียง ตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คือคนที่ที่ฉันเคยเรียกว่าเพื่อน เธอไม่เหลือเค้าเดิมเลยจริงๆ


“นี่หมายความว่า...”
“ก็แค่ยอมเจ็บตัวนิดหน่อย แต่ก็ได้ผลเกินคาด ขอบคุณนะที่เธอเองก็ให้ความร่วมมือดีโดยตลอด หนึ่งเดือนมานี่เขาก็ดีกับฉันมาตลอด” เธอลูบคลำแผลและหัวเราะตัวเอง ฉันอดพรั่นพรึงไม่ได้ เธอที่อยู่ตรงหน้านี่คือใครกัน

“หวานนี่เราเป็นเพื่อนกันนะ” คิ้วของฉันขมวดเป็นปม พยายามควบคุมน้ำเสียงและอารมณ์ให้เป็นปกติเข้าไว้ หวานยิ้มเย้ยก่อนทิ้งตัวลงพื้นเสียงดังพลั่ก เป็นจังหวะที่นนท์ออกมาจากห้องน้ำพอดี เขาเห็นดังนั้นก็รีบพุ่งตัวมาประคองหวานให้ลุกขึ้นและกลับมานั่งที่เตียงตามเดิม แล้วต่อว่าฉัน


“น้ำจะทำอะไรน่ะ หวานไม่สบายอยู่นะ”
“นนท์ น้ำ เปล่านะ แค่...” ฉันตอบไปไม่ทัน หวานกลับแทรกขึ้นมาก่อน
“นนท์ หวานแค่จะช่วยน้ำเขาเก็บของเมื่อครู่ ไม่คิดว่าน้ำเขาจะทำแบบนี้ โอย...” เธอโอดครวญ เอนตัวซบไหล่เขา หันมาทำสายตาเจ้าเล่ห์ใส่ ภายใต้ดวงตาคู่นั้นของนนท์ที่มองฉันอย่างไม่ไว้วางใจเท่าไร ฉันก้มหน้าเก็บเศษอาหารนั่นต่อไป


“เดี๋ยวผมช่วยนะคุณมานั่งตรงนี้ก่อน” นนท์ก้มลงเก็บช่วยฉัน ฉันอดน้อยใจไม่ได้จริงๆ แต่ก็ฝืนทำหน้าเรียบเฉยสู้ ทั้งที่รื้นน้ำตามันเอ่อท้นมาแล้ว
“งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะ ขอโทษกับเรื่องเมื่อครู่ด้วย” ฉันคว้ากระเป๋าแล้วรีบเดินออกไปทันที ไม่สนใจว่าหวานจะทำหน้าเยาะเย้ยอย่างไร หรือนนท์จะร้องห้ามอย่างไร
“น้ำ เดี๋ยวซิน้ำ...”



ฉันไม่ไปเยี่ยมหวานอีกเลย กระทั่งวันที่หวานออกจากโรงพยาบาล เธอกลับมาทำงานในบริษัทระยะหนึ่งก่อนลาออกไป ฉันเองก็ไม่ได้ตามข่าวว่าเธอหายไปไหน ความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนระยะฉันกับหวานให้สิ้นสุดลงแล้ว ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องไปยุ่งเกี่ยวอะไรอีก แค่เพียงเหตุการณ์วันนั้นก็ทำให้ฉันซาบซึ้งมากพอทีเดียว




“สวัสดีค่ะ” ฉันรับโทรศัพท์ เสียงที่คุ้นเคยผ่านสายมาอย่างกระหืดกระหอบ
“น้ำ นี่ฝ้ายเองนะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นละเนี่ย ฉันงงไปหมดแล้วนะ” เสียงฝ้ายหอบอย่างชัดเจน อ้าวมาถามแบบนี้จะรู้ไหมล่ะว่าเรื่องอะไร ท่าทางคงไม่ใช่เรื่องดีอะไรนักแน่ๆ


“ใจเย็นๆ นี่มีอะไรกันเหรอ พูดช้าหน่อยสิ”


“นนท์บ้าไปแล้วแน่ๆ นี่รู้ไหม นนท์จะแต่งงานกับหวานแล้วนะ” ฉันแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยในขณะนั้น สติของตัวเองราวกับหลุดลอยไปไกล  ฉันไม่ควรจะร้องไห้นี่นา แต่ทำไมควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้ล่ะ



“น้ำ... น้ำ...” ฉันทิ้งโทรศัพท์บนตัก ปล่อยให้อีกฝ่ายย้ำชื่อฉันอยู่ฝ่ายเดียวแบบนั้น ไม่อยากจะสนใจอะไรอีกแล้ว

ออฟไลน์ A GE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #22 เมื่อ24-06-2008 21:37:54 »

 :เฮ้อ: :เฮ้อ: นนท์เปนโรคความจำเสื่อมเหรอครับ  ถึงจำไม่ได้ว่าหวานทำอะไรไว้ก่อนเกิดอุบัติเหตุ?? o12 o12

แล้วยังถึงขั้นจะแต่งงานกันอีกตะหาก  :angry2: :angry2:

ขอบคุณนะครับคุณ Christiyaturnm 

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
Re: ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
«ตอบ #23 เมื่อ29-06-2008 23:30:27 »

ฝ้ายพูดใส่อารมณ์ ผมเองก็พูดอะไรไม่ถูก ตื้อขึ้นมาทันที แต่ก็ต้องตัดบทไป ทั้งที่ในใจของผมอยากจะสารภาพไปตามตรงว่าผมรักน้ำคนเดียว ไม่มีใครที่จะแทนที่เธอในใจผมได้ ใครจะว่า ว่าเธอเป็นกะเทย ก็ตามแต่ผมไม่สนใจหรอก ผมรู้สึกกับเธออย่างที่ผู้ชายจะมีให้กับผู้หญิงคนนึง อยากดูแล อยากจะปกป้องเธอ ทำไมผมจะไม่รู้ใจตัวเองเล่า เพียงแต่ว่า…















บทที่แปด





กับการสูญเสีย เพียงแค่ผู้ชายคนเดียว ทำไมถึงมีผลกับฉันมากมายถึงขนาดนี้ ราวกับทุกอย่างมืดดับลง ทั้งที่ฉันควรจะยินดีกับเขามากกว่าที่เขาพบกับทางเลือกที่ดีและเหมาะสมกับตัวเขาแล้ว แต่แน่เหรอว่าตัวฉันเองจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปแบบนี้ง่ายๆ

ฉันไม่อยากมัวพะวงว่าตนเองเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะที่เลือกจะเดินทางนี้เอง ได้แต่โหมงานหนักฆ่าเวลาไป ให้เหนื่อย ไม่มีเวลาไปคิดฟุ้งซ่านเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่ไร้สาระนั้น จนแล้วจนรอด ฉันก็พบว่าเมื่อตนเองต้องอยู่เพียงลำพังก็ต้องมีเรื่องนี้เข้ามาในหัวทุกที

ฉันขับรถใจลอย ไร้จุดหมายปลายทาง พอรู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่หน้าบ้านของนนท์ ไล่หลังที่นนท์และหวานกลับมาจากไปซื้อของข้างนอก ฉันมองผ่านประตูหน้าบ้านเข้าไปในฐานะคนนอกที่ไม่มีสิทธิมีเสียงอะไร อิจฉาพวกเขาหรือเปล่า อะไรกัน นี่ฉันเรียกนนท์ว่าเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน โลกของฉันกับเขาแยกตัวออกเป็นคนละโลกไปแล้ว จุดเชื่อมต่อและความผูกพันดูเจือจางและบางลง ทดแทนด้วยช่องว่างที่กั้นกลางระหว่างฉันกับเขา ให้ยิ่งห่างออกไปทุกที ทุกที...

“น้ำดีขึ้นเยอะหรือยัง มีอะไรเหรอถึงมาหาเต้ที่นี่ได้ล่ะ” ฉันรู้สึกเวียนหัวพิกล ลืมตาสู้แสงจ้าอย่างยากเย็นและรับรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือเต้นั่นเอง พอสายตาเริ่มปรับชินกับแสงได้ ก็มองไปรอบๆ ฉันอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย เดาว่าคงเป็นที่คอนโดของเต้แน่ๆ เกิดอะไรขึ้นกับฉันกัน พอเค้าลางๆได้ว่าฉันร้องไห้ขับรถออกไปพ้นบ้านของนนท์ไปแล้วนี่นา ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน ฉันลุกขึ้นนั่งโดยที่เต้ยังพยุงให้ลุกนั่งข้างๆกันนั้น

“เต้...”

“เต้เห็นน้ำจอดรถอยู่ข้างทางแนะ ตอนนั้นเต้ออกไปซื้อของ น้ำเดินเข้าไปซื้อของแล้วออกมาพอดีบังเอิญจังที่เจอ ร้านนั่นอยู่ใกล้ๆคอนโดเอง กะจะเรียกซะหน่อย จู่ๆก็ฟุ่บไป ตกใจแทบแย่แน่ ก็เลยพาขึ้นมาที่นี่แหละ ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมากนะ” ท่าจะจริงอย่างที่เขาพูด ถุงของที่ฉันซื้อมายังกองที่โซฟาอีกตัวถัดไป

“ขอบคุณมากนะคะ” เต้มีท่าทางเขินๆนิดๆ ฉันยิ้มให้

“เลอะหน่อยนะ ไม่ค่อยมีเวลาทำความสะอาดเลยน่ะ งานยุ่ง แม่บ้านก็มาทำอาทิตย์ละครั้งเอง” ฉันสังเกตภายในห้องตามที่เขาบอก จริงอย่างที่เขาพูด ตามประสาห้องผู้ชายโสดนี่นาไม่น่าแปลกอะไรเลย
“อื้อ… ไม่เป็นไรหรอก”

“นี่ดื่มอะไรหน่อยไหม อ้อพอดีเลยมีน้ำผลไม้ ตามสบายนะ” แล้วเต้กลับผุดลุกขึ้น ปรี่ไปห้องครัวทันที พักหนึ่งก็กลับมาพร้อมแก้วสองใบกับน้ำผลไม้และของหวานนิดหน่อยที่เต้มีติดไว้บ้าง เราคุยเรื่องต่างนั่นนี่สลับกับทำอาหารเย็นด้วยกัน รู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แทบจะลืมเวลาไปว่านี่ก็ดึกมากแล้ว

“ขอบคุณนะที่อยู่เป็นเพื่อนด้วย” ฉันพูดไปพลางล้างจานไปด้วย เต้คอยเช็ดจานอยู่ข้างๆก่อนเก็บเข้าตู้
“ก็ไม่ยอมบอกว่าจะไปไหนนี่นา ขอโทษที่ต้องพามาที่แบบนี้ ดูเสียภาพพจน์หมอไงไม่รู้เลยนะ” เต้ยิ้มเก้อๆ รับจานจากฉัน ทว่าฉันกลับซุ่มซ่ามปล่อยจานตกแตกจนได้ แย่แล้ว ฉันรีบก้มเก็บเศษจานที่แตกนั่น ไม่ทันได้ระวังอะไร

“โอ๊ะ” เศษจานที่แหลมคมบาดเข้ากับนิ้วจนได้ ฉันรีบชักมือออก เต้รีบทิ้งผ้าเช็ดจานแล้วมาห้ามเลือดให้

“เป็นอะไรหรือเปล่าน...” ฉันไม่เคยเห็นหน้าของเขาชัดเจนขนาดนี้เลย ไม่ว่าจะผ่านไปแค่ไหนเขายังดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าหน้าตาที่ดูเด็กนี่เสียอีก ทำไมฉันถึงรู้สึกร้อนผ่าวแบบนี้นะ และเหมือนกับว่าเต้เองก็จะรู้ตัวเข้าแล้วเหมือนกัน

“มี... อะไร... เหรอ...” เต้จัดการจับแผลเรียบร้อยแล้ว เงยหน้ามาสบตาฉัน ทำไมฉันถึงไม่ละสายตาออกไปจากเขาอีกนะ หน้าของเขาเลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ตัวของฉันผละเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา รู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยนจัง ฉันค่อยๆเงยหน้ามามองเขาเมื่อเขาปัดไรผมออกจากใบหน้าของฉัน และกำลังจะจุมพิต ภาพของนนท์พลันโพล่งขึ้นมาในตอนนั้น

 “อย่า...” ฉันผละตัวเขาออก นี่ฉันจะทำอะไรลงไปกัน ฉันกำลังเผลอไผลที่จะมีอะไรกับเต้ไปจริงๆเหรอเนี่ย
“อืมม... ขอโทษนะน้ำ...” เต้ขยับตัวมาอยู่ข้างๆอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เขาลูบหลังฉันเบาๆเชิงปลอบโยน ฉันเองก็ผิด ละล่ำละลักพูดออกมา น้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่รู้ตัว

   “ขอโทษนะ น้ำไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ น้ำ...”
“เต้รู้ดีว่าน้ำรักคนคนนั้นมาก อย่าโกหกตัวเองเลย เรื่องมันก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว อีกทั้งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของน้ำเสียหน่อย” เต้ปลอบโยน รู้สึกสบายใจขึ้นที่มีเขาคอยอยู่เป็นเพื่อนแบบนี้ ฉันรับกระดาษทิชชู่ไปซับน้ำตาจากเขาไป ฉันไม่ควรเลยจริงๆ

“เต้…”
“น้ำคิดให้ดีๆนะ ถึงเต้จะชอบน้ำและยังรู้สึกดีๆกับน้ำอยู่ แต่เต้ไม่อยากให้น้ำต้องมาฝืนความรู้สึกตัวเองทำประชดเขาแบบนี้” คราวนี้ฉันเองที่เป็นฝ่ายโผกอดเขา รู้สึกขอบคุณเขา ที่คอยอยู่เคียงข้างและส่งผ่านความรู้สึกๆดีๆให้เสมอมา ทำไมฉันถึงทำร้ายคนดีๆอย่างเต้ได้ ทั้งๆที่ความรู้สึกของเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากฉัน ทำแบบนี้เหมือนให้ความหวังลมๆแล้งๆแก่เขาแท้ๆ

“เต้... น้ำขอโทษ”
“ถ้าวันไหน น้ำลืมเขาได้จริงๆ วันนั้นเราค่อยคุยกันอีกทีนะ” เต้สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตอบ ฉันรู้ตัวดีว่าอย่างไรตัวฉันจะต้องรักษาระดับของความเป็นเพื่อนระหว่างกันไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ฉัน จะลืมนนท์ไปได้จริงๆ เวลานั้นฉันคงจะให้คำตอบกับเขาได้จริงๆเสียที













ณ บ้านของนนท์
“สวัสดีค่ะ คุณแม่” หวานเข้ามาภายในห้องรับแขก ทั้งคุณแม่และฝ้ายนั่งอยู่ เธอบรรจงไหว้ว่าที่แม่สามีของตนเองอย่างนอบน้อม ผมหอบของตามไล่หลังมา ส่งให้คนงานรับไป รู้สึกเพลียเหลือเกิน
“อ้าว สวัสดีจ๊ะ มานั่งดื่มน้ำก่อนนะ เป็นไงบ้างละ” หวานนั่งก่อนที่ท่านจะอนุญาตเสียอีก นี่ผมอุตส่าห์นั่งเว้นระยะห่างกับหวานไว้แล้ว ยังมาเบียดออเซาะอีก ผมเบื่อจริงๆการที่จะต้องมาเอาอกเอาใจคนที่ผมไม่ได้รักนี่ ที่ทำไปแค่อยากจะให้คุณแม่สบายอกสบายใจขึ้นเท่านั้น

“ก็ช่วยกันเตรียมงานได้เยอะแล้วล่ะค่ะ เหนื่อยเอาการเหมือนกัน ว่าไหม นนท์”
“เอ้อ... ครับ” เธอพยักเพยิดมาทางผม ยังไงก็ต้องเออออไว้ก่อนตามมารยาทนะ

“จะแต่งงานเป็นหลักเป็นฐานแล้วยังจะมาทำหน้าหงิกอีกนะ” แม่ผมอ่านความไม่พอใจที่มีอยู่ออกเหรอนี่ เอาวะ ยิ้มกลบเกลื่อนไปก่อนละกัน
“ฝ้ายมานี่หน่อยซิ เอาขนมกับผลไม้ออกมาหน่อยสิลูก” ฝ้ายสะดุ้ง ตรงไปยังห้องครัวก่อนที่จะกระแทกจานผลไม้บนโต๊ะอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก
“เป็นอะไรไปละลูก ทำปั้นปึ่งแบบนี้” แน่นอนว่าคนที่ไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้เท่าไรก็มีผมและฝ้ายด้วย ผมเองก็ไม่ได้มีโอกาสได้คุยกับน้องสาวคนนี้ตรงๆเสียที

“คงจะเหนื่อยละสินะ ขอบใจนะที่ช่วยเรื่องเตรียมงานนะฝ้าย” หวานยิ้มเก้อๆ จับมือฝ้ายอย่างเข้าอกเข้าใจแทนคำขอบคุณ ดูสีหน้าแล้วคนที่ถูกจับมือด้วยหน้าบอกบุญไม่รับเท่าไรนัก ก็น่าอยู่หรอกฝ้ายเองไม่ค่อยชอบหน้าหวานมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“ชิ..”
“นนท์ฝ้ายคุยด้วยได้ไหม” จู่ๆฝ้ายก็โพล่งขึ้นมาแล้วเดินนำหน้าออกไปที่สวนข้างบ้าน ผมเดินตามเธออกไป ปล่อยแม่กับหวานที่คุยกันอย่างออกรสออกชาติไว้อย่างนั้น ฝ้ายยืนรอที่นั่น กอดอกหันหลังให้อย่างไว้เชิง

“ฝ้าย นนท์รู้นะว่าจะพูดอะไรแต่...” เธอหันหลังกลับมา ขมวดคิ้ว สวนผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไร
“นายคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะดีเหรอ แล้วนนท์เอาน้ำไปไว้ที่ไหน” ผมทิ้งตัวลงที่ม้าหินอ่อน ถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนตอบ
“นนท์ตัดสินใจดีแล้ว บางทีแม่อาจสบายใจขึ้น”

“นนท์เรื่องแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ นนท์ยอมแม่แค่เรื่องแค่นี้เหรอ นนท์คนเดิมหายไปไหน” ฝ้ายพูดใส่อารมณ์ ผมเองก็พูดอะไรไม่ถูก ตื้อขึ้นมาทันที แต่ก็ต้องตัดบทไป ทั้งที่ในใจของผมอยากจะสารภาพไปตามตรงว่าผมรักน้ำคนเดียว ไม่มีใครที่จะแทนที่เธอในใจผมได้ ใครจะว่า ว่าเธอเป็นกะเทย ก็ตามแต่ผมไม่สนใจหรอก ผมรู้สึกกับเธออย่างที่ผู้ชายจะมีให้กับผู้หญิงคนนึง อยากดูแล อยากจะปกป้องเธอ ทำไมผมจะไม่รู้ใจตัวเองเล่า เพียงแต่ว่า...

“มันจบแล้วล่ะ นนท์ไม่อยากพูดถึง”
“นี่นนท์กับน้ำมีเรื่องอะไรกันแน่” ฝ้ายพยายามคาดคั้นผม ไม่รู้จะตอบอย่างไรดีจริงๆ กับน้องสาวผมคนนี้ เธอเป็นคนแรกที่ยอมรับน้ำได้มากกว่าพ่อกับแม่ อีกทั้งเป็นทั้งเพื่อนที่รู้ใจผมไปเสียทุกอย่าง จนปัญญาจริงๆ

“...”
“มีอะไรกันเหรอทั้งสองคน เห็นหลบมาคุยกันนานแล้ว” หวานเดินลัดสวนมาหา ทำหน้าเหรอหราไร้เดียงสาทั้งๆที่ผมสังเกตเห็นว่าเธอแอบฟังอยู่หลังพุ่มไม้นั่นแท้ๆ
“คิดให้ดีนะนนท์” ฝ้ายรีบตัดบท เดินกลับเข้าไปในบ้าน ไม่อยากจะเสวนากับว่าที่พี่สะใภ้คนนี้สักเท่าไรนัก หวานมองด้วยหางตาตามจนแน่ใจว่าเธอกลับเข้าไปข้างในบ้านแน่นอนแล้ว

“เรากลับไปนั่งคุยกับคุณแม่ต่อดีกว่านะ หวาน” ผมรีบลุก ชวนเธอกลับเข้าไปในบ้าน แต่หวานกลับกอดคอผมเอาไว้ ไม่ยอมให้ผมลุกไป ผมทำอะไรไม่ถูกเลย
“เออนี่นนท์ เราพิมพ์การ์ดไปถึงไหนแล้ว”

“ถามคุณแม่ดูนะ นนท์ไม่รู้หรอก ว่าแต่ได้เพื่อนเจ้าสาวหรือยังล่ะ” ผมโพล่งออกไปลอยๆ ผมไม่สนหรอกว่างานนี้มันจะเป็นอย่างไร เหมือนว่าหวานจะฉุนขาดกับท่าทีที่เมินเฉยมาตลอดของผมนี้ เลยตอบประชดประชันบ้าง
“คิดไว้แล้วคนนึง แต่... ไม่รู้ว่าเขาจะยอมมาหรือเปล่า”
“ใครล่ะ หวาน”





“หวานจะขอให้น้ำมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวหวาน ว่าดีไหมล่ะนนท์” ผมแทบไม่เชื่อหูของตนเองเลย หวานส่งสายตาท้าทายมายังผม เย้ยหยันเสียดแทงใจด้วยชื่อของคนที่ผมรัก

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
“เราหนีไปด้วยกันนะ ไปให้ไกลจากที่นี่ น้ำอยากไปที่ไหนนนท์ก็จะไปด้วย” แทบไม่เชื่อหูของตัวเองเลยจริงๆที่เขาพูดแบบนั้นออกมา เป็นคำพูดที่ฉันอยากฟังและพร้อมจะตอบโดยไม่ลังเลใจ



















บทที่เก้า




   “น้ำ วันนี้ฉันเป็นไงบ้าง โอเคไหม” หวานพิศซ้ายขวาหน้ากระจกบานใหญ่ ชื่นชมชุดแต่งงานผ้าไหมแบบไทยอย่างหน้าชื่นตาบาน อวดฉัน ผู้แพ้อย่างออกนอกหน้า การที่คนรักของตัวเองต้องแต่งงานกับเพื่อนที่เคยสนิทของตนเอง เป็นภาพที่ฉันไม่อาจหลีกเลี่ยง หลบไปให้พ้นได้ ความกังขาในใจยังคลุมเครือมาตลอด ฉันนั่งนิ่งตรงนั้นมานานมาก และหลุดปากออกไป

“หวาน ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย ต้องการอะไรกันแน่”
“ในฐานะเพื่อน ฉันอยากให้เธออยู่แสดงความยินดีกับฉันด้วย คุณย่าอยากให้เธออยู่เป็นเพื่อนฉัน ก็เลยต้องจำใจ” หวานตอบไม่ตรงคำถาม แต่ฉันก็พอจะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น เล่นหูเล่นตาให้เสียจนหน้าหมั่นไส้

“เก่งมากนะหวาน ฉันละยอมรับเลยจริงๆ” ฉันฉุนขาดเลยตอบประชดไปแล้วเดินเลี่ยงไปทางประตู

“แน่นอน ของอะไรที่เป็นของของฉัน ฉันต้องได้มาทั้งหมด” หวานขวางทางเอาไว้ ลูบไล้มือซ้ายพอให้ประกายแหวนเพชรเม็ดงามสาดแสงแยงตา ให้เจ็บใจเล่น ฉันกำมือแน่น ปรามตัวเองไม่ให้หุนหันมากเกินไปกว่านี้ เดินเลี่ยงอีกฝ่าย คว้าลูกบิดประตูจะออกไปให้พ้นเร็วๆ

“หน้าด้านที่สุด” กะว่าตอกให้เจ็บกว่านี้ ทว่าหวานกลับหน้าชา ตรงมาตบฉันเสียฉาดใหญ่ ความโกรธมากมายประดังประเดเข้ามา ความเป็นเพื่อนระหว่างฉันกับนังชะนีคนนี้มันไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว เอาวะเป็นไงเป็นกัน แย่งของของฉันไปไม่พอยังจะมาไร้มารยาทกับฉันอีก ก็ได้ นึกว่างานนี้ฉันอยากจะมาเหยีบให้เป็นเสนียดรึไง

    “เสร็จยังจ๊ะ แหมหลานย่า วันนี้ดูสวยกว่าทุกวันเลยนะ น้ำจ๊ะ ขบวนขันหมากจะมาแล้วรีบไปเป็นสะพานเงินสะพานทองเร็ว” ย่าของหวานเดินเข้ามาภายในห้อง ฉันรีบเก็บมือที่เงื้อขึ้นทันที ฝืนยิ้มอย่างเสแสร้งเท่าที่จะทำได้

“เอ้อ... ค่ะ” ฉันเดินสวน กระแทกไหล่หวานเสียจนเซ ไม่มีแม้แต่ชำเลืองมอง ก็ได้ในเมื่อเธอเป็นฝ่ายเชิญฉันมาเองนะ ฉันก็ทำให้งานนี้สนุกอย่างที่ฉันต้องการเลย คอยดูละกัน

ฉันหลบเข้าไปในห้องน้ำ ลูบแก้มตัวเองเบาๆและลงเครื่องสำอางทับปิดรอยแดงบนแก้ม เม้มปากแน่นมองตัวเองในกระจก อดสูกับตัวเองที่สุด น้ำตาเริ่มคลอแต่ต้องกลั้นไว้ ฉันต้องผ่านวันนี้ไปให้ได้




“เป็นอะไรมากหรือเปล่าหวาน” เสียงเต้เรียกจากข้างนอกด้วยความห่วงใย เกือบลืมไปเสียสนิทว่าเต้ก็มางานนี้เป็นเพื่อนฉัน ฉันรืบเช็ดรื้นน้ำตาออกเสียให้หมด ล้างมือสงบอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลง

“ไม่มีอะไรหรอกเต้ เดี๋ยวน้ำออกไปนะ” เต้ถอนหายใจเดินละออกไป แต่ยังไม่ทันพ้นหน้าห้องน้ำก็ชนเข้ากับหญิงสาวผู้หนึ่งเข้า เธอเซถลาล้มทับเขาเข้า เต้ต่อว่าเธอทันทีหลังจากลุกขึ้นตั้งหลักได้แล้ว

“โอ๊ะ ระวังหน่อยสิคุณ”

“ขอโทษค่ะ ว่าแต่นี่คุณเข้ามาเพ่นพ่านแถวนี้ได้อย่างไร ขบวนเจ้าบ่าวจะมาแล้วนะ” เธอสวนทันที รู้สึกไม่ชอบหน้านายคนนี้ขึ้นมาตะหงิดๆ พลางปัดฝุ่นออกจากชุดสวยของเธอ เต้รู้สึกคุ้นหน้าขึ้นมาว่าเธอต้องเป็นญาติกับนนท์ทางใดทางหนึ่งหรือเปล่า เนื่องจากเห็นเธอคนนี้เยี่ยมหวานช่วงที่ป่วยอยู่โรงพยาบาลบ่อยๆ พลอยทำให้ฉุนเฉียวหนักขึ้น


“ผมว่าคุณต่างหากเล่า อย่ากวนประสาทผมนักเลยน่า ความจริงคุณควรจะอยู่ในขบวนขันหมากไม่ใช่รึไง”

“เอ้าไหงงี้ล่ะ ฉันเป็นเจ้าภาพน่ะ ฉันก็ต้องเดินตรวจตราความเรียบร้อยในนี้สิ แขกอย่าคุณน่าจะอยู่ในที่ๆเขาจัดไว้ให้เฉพาะต่างหาก เผลอๆถ้าฉันเข้าใจผิดว่าคุณเป็นคนที่ไม่ประสงค์ดีขึ้นมาจะแย่เอาง่ายๆนะ” เธอเองก็มีน้ำโมโหขึ้นมาทันที เมื่อคลับคล้ายคลับคลากับผู้ชายคนนี้ คนที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างพี่ชายของเธอกับน้ำ จนกระทั่งพี่ชายของเธอต้องมาลงเอยกับหวาน คนที่เธอยอมรับว่าไม่ถูกชะตาด้วยเลยจริงๆ แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจทำใจได้ว่าคนแบบนั้นจะต้องมาเป็นพี่สะใภ้

“อ้าวปากหมานะคุณ ว่ากันแบบนี้ ผมไม่ใช่คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าหรอกนะ อันที่จริงงานแบบนี้ก็ไม่อยากจะมานักหรอกนะ ติดอยู่ที่เพื่อนผมมันติดร่างแหมาเท่านั้น” เต้ยังคงต่อปากต่อคำไม่หยุด ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ยอมแพ้ ระรานต่อบ้าง
“นี่นาย... ใครกันเพื่อนคุณ อยากจะเห็นหน้านัก คงจะไร้มารยาทพอกัน ให้ตายสิ”




ฉันได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายด้านนอกเลยออกมาดู ฝ้ายกับเต้กำลังปั้นปึ่งใส่กัน
“มีอะไรกัน เอะอะจังเนี่ย อ้าว ฝ้ายเองเหรอ อ้อเต้นี่ฝ้ายนะ ฝ้ายนี่เต้จ๊ะ”

“อ๋อ ที่แท้ก็... รู้จักกันแล้วล่ะ มากเลยด้วยล่ะ ว่าแต่เป็นไงบ้าง ไหวไหม” เต้ทำหน้าเซ็ง หันมาถามฉันด้วยความเป็นห่วงเป็นใยและประคองตัวฉันไว้
 “น้ำแก้มเธอไปทำอะไรมาน่ะ” ฝ้ายถาม

“ไหวน่า ไม่มีอะไรหรอก แค่ยุงกัดน่ะเลยตบแรงไปหน่อย” ฉันเจื่อนยิ้มตอบกลบเกลื่อนทั้งคู่ไป ไม่อยากให้ทั้งสองเป็นกังวลอะไรอีก


“ไปเถอะน้ำ” เต้รีบตัดบททันที รีบพาฉันไปที่หน้างาน ฉันต้องทิ้งท้ายสั้นๆกับฝ้ายก่อนไป
“งั้นก็ได้ ฝ้ายแล้วค่อยคุยกันนะ” ฉันเข้าใจดีว่าต่อให้เล่นละครดีอย่างไรก็ปิดความรู้สึกของตัวเองไม่มิดหรอก ฉันเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ดูภาพเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นต่อหน้าตอกย้ำความรู้สึกตัวเองให้เจ็บช้ำแบบนี้หรอก

“ได้จ้า...” ฝ้ายมองตามอย่างเป็นกังวล แต่พอมองมาทางเต้ก็พลอยอารมณ์เสียขึ้นมาอีกครั้ง
“ชิ...”




ขบวนขันหมากเดินทางมาถึงแล้ว ทั้งพ่อแม่ ญาติและเพื่อนๆของนนท์ดูครื้นเครงเป็นพิเศษ ข้าวของและสินสอดเองก็ไม่ได้น้อยหน้าอะไร แม้ว่างานจะจัดที่บ้านอย่างเรียบง่าย แต่การตกแต่งก็ดูหรูหรางดงามดีจนไม่เหลือเค้าเดิมของบ้าน ไม่ว่ามุมใด ต่างประดับประดาไปด้วยช่อดอกไม้และรูปเจ้าบ่าวเจ้าสาว จะว่าไปงานแต่งครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไปด้วยซ้ำ ฉันทราบดีว่าคงเป็นการตัดสินใจของแม่นนท์มากกว่าที่รวบรัดงานขนาดนี้ หน้าที่ของฉันนอกจากเป็นเพื่อนเจ้าสาวแล้ว ยังยืนเป็นประตูเงินประตูทองคู่กับเพื่อนของหวานคนนึงซึ่งดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับฉันนัก เจ้าบ่าวเดินมาถึงตรงฉันแล้ว วันนี้เขาดูดีเหลือเกิน ใจฉันเต้นรัวไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น หากแต่เกิดจากความรู้สึกทั้งหลายที่มันพรั่งพรูออกมา นนท์เองดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ฉันอยากจะเข้าไปอยู่ใกล้ๆเขาเหมือนแต่ก่อนเหลือเกิน แต่ก็ได้เพียงแค่ต่างคนต่างมองกันและกันอยู่อย่างนั้น แม่ของนนท์ไม่ค่อยพอใจเท่าไร  รีบยัดเงินให้ประตูเงินทองแล้วดึงลูกชายตัวเองเข้าไปภายในบ้านเพื่อเริ่มพิธี แน่นอนว่าฉันเองต้องตามเข้าไปอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว





   ตลอดเวลา นนท์จับจ้องมาที่ฉันตลอด ด้วยสายตาที่เศร้านัก เสียงพระสวดตามธรรมเนียมของชาวพุทธแทบจะไม่ได้ผ่านเข้าไปในโสตประสาท ในสมองฉันมีแต่คำพูดและภาพเหตุการณ์ต่างๆในอดีตเมื่อครั้งที่ฉันมีนนท์อยู่ วันแบบนี้ งานแบบนี้ ควรจะเป็นฉันมากกว่าที่ได้สวมชุดเจ้าสาวและอยู่เคียงข้างเขา ทว่าอย่างฉันน่ะเหรอ กะเทย ไม่ใช่ผู้ชายหรือผู้หญิงแท้ๆ จะมาวาดฝันกับเรื่องลมๆแล้งๆกับเรื่องนี้ทำไม ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่มีทาง




ยิ่งตอนรดน้ำสังข์ ฉันเฝ้ามองเขาได้เพียงแต่เบื้องหลังเท่านั้น แขกเหรื่อและบรรดาญาติต่างเวียนกันมาอำนวยอวยพรให้กับทั้งคู่ ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอื่น ที่ห่างไกลออกไป ไกลออกไป นี่ชักจะทนไม่ไหวอยู่แล้วนะ พอเสียที ได้โปรด...


ฉันแอบออกมานอกบริเวณงานแต่งงานอย่างเงียบๆ เมื่อเข้าขั้นตอนของงานเลี้ยง ซึ่งเป็นลำดับสุดท้ายของพิธี แสงสุดท้ายของตะวันที่ลับขอบฟ้าไปค่อยๆเลือนรางลง ทิ้งม่านสีดำ ประดับดาวระยิบระยับเคลื่อนเข้ามาปกคลุมท้องฟ้านี้แทน เสียงคนยังคุยจ่อกแจ่กจอแจภายใน บรรยากาศของความสุขที่ฉันไม่มีวันสัมผัสได้อบอวลอยู่รายรอบบริเวณ แสงไฟรอบๆบ้านเปิดขึ้น ฉันนั่งใจลอยอยู่ภายในสวนได้พักนึงแล้ว ได้เวลาที่ตัวเองควรจะกลับไปเสียที ทว่าเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยเหลือเกินร้องห้ามฉัน ดั่งต้องมนต์สะกดร่างของฉันไว้กับที่นั้น



“น้ำ... จะไปไหนน่ะ” ฉันลืมตัวยิ้มให้กับเจ้าของเสียงนั้น นนท์นั่นเอง วันนี้ทั้งวันเราแทบจะไม่ได้คุยกันเลย แม้เพียงแค่นี้ก็ทำให้ฉันหัวใจของฉันพองโตขึ้นมาได้ขนาดนี้ทีเดียว

“นนท์” ฉันรีบหันหลังให้เขา ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เก็บความดีใจของตนเองเอาไว้ ไม่อยากจะเผชิญหน้าเขาตรงๆ ไม่อยากจะใจอ่อน กลั้นใจปรามเขาทันที
“ยินดีด้วย ขอให้มีความสุขมากๆนะ แต่นนท์ควรจะอยู่ในงานกับเจ้าสาวมากกว่านะ”

“นนท์ไม่เห็นน้ำในงาน เลยคิดว่าน้ำจะกลับไปแล้วเสียอีก” ฉันสัมผัสได้ ถึงน้ำเสียงที่ปราศจากความเข้มแข็ง ทิ้งไว้เพียงความอ่อนแอและหดหู่นี้ บีบคั้นหัวใจแทบจะขาดใจตายตรงนั้นต่อหน้าเขา

“ใช่ น้ำกำลังจะกลับพอดี ลาก่อนนะ” ฉันต้องใจดำกับเขา ใช่แล้ว แบบนี้แหละ  ทว่านนท์คว้าข้อมือของฉันเอาไว้ ดวงตาคู่นั้นมองฉันอย่างอาลัยอาวรณ์ ฉันปล่อยโฮออกมาทันที พยายามสะบัดมือของเขาออก เรี่ยวแรงไปไหนหมดกัน ทำไมฉันถึงทำไม่ได้


“อย่าพูดแบบนั้นเลยได้ไหม นนท์แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ใจนนท์มีน้ำอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น” เพียงแค่ประโยคเดียวนั้น ทำเอาฉันทรุดลงกับพื้น นนท์รีบประคองฉันและ นั่งลงตาม ใบหน้าของเขาที่ฉันไม่มีโอกาสได้เห็นใกล้ๆอย่างนี้มานานหลายเดือนนัก เขาดูเปลี่ยนไปมากจริงๆ ขอบคุณนะ นนท์ ที่ยังรู้สึกดีๆกับน้ำ แต่...



“เธอเลือกทางเดินที่ถูกต้องของเธอแล้วล่ะ ดีกับทั้งตัวนนท์และแม่ของนนท์” ฉันฟูมฟาย บอกเขาอย่างกระท่อนกระแท่น
“น้ำ” นนท์ดึงตัวของฉันไปกอด นานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้อยู่ในอ้อมอกของเขาแบบนี้ อยากหยุดเวลานี้ไว้ให้นานตราบเท่านาน ใบหน้าของเขาเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ เขาเช็ดน้ำตาของฉันแล้วบรรจงจูบบนริมฝีปากของฉันเบาๆ




“เราหนีไปด้วยกันนะ ไปให้ไกลจากที่นี่ น้ำอยากไปที่ไหนนนท์ก็จะไปด้วย” แทบไม่เชื่อหูของตัวเองเลยจริงๆที่เขาพูดแบบนั้นออกมา เป็นคำพูดที่ฉันอยากฟังและพร้อมจะตอบโดยไม่ลังเลใจ


“นนท์..” เสียงหนึ่งร้องเรียกเขาและใกล้เขามาเรื่อยๆ ทำให้ฉันฉุกคิดและผละออกจากอ้อมกอดของนนท์เสีย เช็ดน้ำตาและยิ้มให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย
“เสียงหวานแน่ะ น้ำต้องไปแล้ว” นนท์รั้งตัวฉันเอาไว้ อย่าทำแบบนี้เลยนะนนท์ หวานกำลังจะมา ฉันควรจะกลับไปยังที่ที่ฉันอยู่จะดีกว่า



“นนท์ไม่ปล่อย ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน” นนท์ที่ฉันเห็นตรงหน้า ฉันจะจดจำไว้ในความทรงจำตราบนานเท่านาน แม้ว่าเขาจะเว้าวอนเพียงใด แต่นี่เป็นทางที่ฉันมองว่าดีสำหรับเขาแล้ว รวบรวมเรี่ยวแรงที่มีสะบัดเขาแล้ววิ่งลบลี้ไป จะไม่หันกลับมาอีก ไม่ว่านนท์จะร้องเรียกแทบขาดใจก็ตาม เขาทรุดอยู่ตรงนั้นอย่างตรอมใจ


“น้ำ…”
“มีอะไรเหรอ” หวานรีบเข้ามาประคองตัวนนท์ไว้ นนท์นั่งนิ่งพักหนึ่ง




“เปล่าหรอกไม่มีอะไร เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”




แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ใจหวานก็สำเหนียกเสมอว่านนท์ไม่มีทางลืมน้ำไปได้ง่ายๆ
ฉันจะจดจำเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาทั้งหมดไว้ในความทรงจำของฉัน ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยรู้สึกกับคนคนหนึ่งแม้จะเป็นได้แค่เพียงส่วนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของนนท์เท่านั้น ฉันต้องเรียนรู้ที่จะอยู่โดยที่ไม่มีเขา เยียวยาบาดแผลที่เกิดขึ้นเพราะตัวฉันเองนี้ให้หายขาดให้ได้ จากนี้ไป












จบภาค1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-06-2008 23:43:22 โดย christiyaturnm »

PakBeob

  • บุคคลทั่วไป
สงสารน้ำอ่า.... :sad2:

รออ่านภาค 2 ฮับ

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
แจ้งข่าว


ติดตามภาคสอง ได้ใน 19 ก.ค. ที่ถึงนี้ครับ :oni1:



ขอบคุณทุกรีไพล์ และคอมเม้นต์นะครับ  :pig4: :L2:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
เจ้เอาเรื่องนี้ ไปใส่ในกระทู้นิยายใหม่ประจำเดือน กรกฏาคม ด้วยแล้วนะคะ  :laugh:

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
เจ้เอาเรื่องนี้ ไปใส่ในกระทู้นิยายใหม่ประจำเดือน กรกฏาคม ด้วยแล้วนะคะ  :laugh:
ขอบคุณครับ  :pig4:

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
แจ้งข่าว


ติดตามภาคสอง ได้ใน 19 ก.ค. ที่ถึงนี้ครับ :oni1:



ขอบคุณทุกรีไพล์ และคอมเม้นต์นะครับ  :pig4: :L2:

โหย ทำไมนานจังเลย......อ๋อ จะเอาเวลาไปลงเรื่อง RKAแม่นบ่อ อิอิ

แล้วจะรออ่าน ทั้งหมดเลยนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด