“เราหนีไปด้วยกันนะ ไปให้ไกลจากที่นี่ น้ำอยากไปที่ไหนนนท์ก็จะไปด้วย” แทบไม่เชื่อหูของตัวเองเลยจริงๆที่เขาพูดแบบนั้นออกมา เป็นคำพูดที่ฉันอยากฟังและพร้อมจะตอบโดยไม่ลังเลใจ
“น้ำ วันนี้ฉันเป็นไงบ้าง โอเคไหม” หวานพิศซ้ายขวาหน้ากระจกบานใหญ่ ชื่นชมชุดแต่งงานผ้าไหมแบบไทยอย่างหน้าชื่นตาบาน อวดฉัน ผู้แพ้อย่างออกนอกหน้า การที่คนรักของตัวเองต้องแต่งงานกับเพื่อนที่เคยสนิทของตนเอง เป็นภาพที่ฉันไม่อาจหลีกเลี่ยง หลบไปให้พ้นได้ ความกังขาในใจยังคลุมเครือมาตลอด ฉันนั่งนิ่งตรงนั้นมานานมาก และหลุดปากออกไป
“หวาน ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย ต้องการอะไรกันแน่”
“ในฐานะเพื่อน ฉันอยากให้เธออยู่แสดงความยินดีกับฉันด้วย คุณย่าอยากให้เธออยู่เป็นเพื่อนฉัน ก็เลยต้องจำใจ” หวานตอบไม่ตรงคำถาม แต่ฉันก็พอจะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น เล่นหูเล่นตาให้เสียจนหน้าหมั่นไส้
“เก่งมากนะหวาน ฉันละยอมรับเลยจริงๆ” ฉันฉุนขาดเลยตอบประชดไปแล้วเดินเลี่ยงไปทางประตู
“แน่นอน ของอะไรที่เป็นของของฉัน ฉันต้องได้มาทั้งหมด” หวานขวางทางเอาไว้ ลูบไล้มือซ้ายพอให้ประกายแหวนเพชรเม็ดงามสาดแสงแยงตา ให้เจ็บใจเล่น ฉันกำมือแน่น ปรามตัวเองไม่ให้หุนหันมากเกินไปกว่านี้ เดินเลี่ยงอีกฝ่าย คว้าลูกบิดประตูจะออกไปให้พ้นเร็วๆ
“หน้าด้านที่สุด” กะว่าตอกให้เจ็บกว่านี้ ทว่าหวานกลับหน้าชา ตรงมาตบฉันเสียฉาดใหญ่ ความโกรธมากมายประดังประเดเข้ามา ความเป็นเพื่อนระหว่างฉันกับนังชะนีคนนี้มันไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว เอาวะเป็นไงเป็นกัน แย่งของของฉันไปไม่พอยังจะมาไร้มารยาทกับฉันอีก ก็ได้ นึกว่างานนี้ฉันอยากจะมาเหยีบให้เป็นเสนียดรึไง
“เสร็จยังจ๊ะ แหมหลานย่า วันนี้ดูสวยกว่าทุกวันเลยนะ น้ำจ๊ะ ขบวนขันหมากจะมาแล้วรีบไปเป็นสะพานเงินสะพานทองเร็ว” ย่าของหวานเดินเข้ามาภายในห้อง ฉันรีบเก็บมือที่เงื้อขึ้นทันที ฝืนยิ้มอย่างเสแสร้งเท่าที่จะทำได้
“เอ้อ... ค่ะ” ฉันเดินสวน กระแทกไหล่หวานเสียจนเซ ไม่มีแม้แต่ชำเลืองมอง ก็ได้ในเมื่อเธอเป็นฝ่ายเชิญฉันมาเองนะ ฉันก็ทำให้งานนี้สนุกอย่างที่ฉันต้องการเลย คอยดูละกัน
ฉันหลบเข้าไปในห้องน้ำ ลูบแก้มตัวเองเบาๆและลงเครื่องสำอางทับปิดรอยแดงบนแก้ม เม้มปากแน่นมองตัวเองในกระจก อดสูกับตัวเองที่สุด น้ำตาเริ่มคลอแต่ต้องกลั้นไว้ ฉันต้องผ่านวันนี้ไปให้ได้
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าหวาน” เสียงเต้เรียกจากข้างนอกด้วยความห่วงใย เกือบลืมไปเสียสนิทว่าเต้ก็มางานนี้เป็นเพื่อนฉัน ฉันรืบเช็ดรื้นน้ำตาออกเสียให้หมด ล้างมือสงบอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลง
“ไม่มีอะไรหรอกเต้ เดี๋ยวน้ำออกไปนะ” เต้ถอนหายใจเดินละออกไป แต่ยังไม่ทันพ้นหน้าห้องน้ำก็ชนเข้ากับหญิงสาวผู้หนึ่งเข้า เธอเซถลาล้มทับเขาเข้า เต้ต่อว่าเธอทันทีหลังจากลุกขึ้นตั้งหลักได้แล้ว
“โอ๊ะ ระวังหน่อยสิคุณ”
“ขอโทษค่ะ ว่าแต่นี่คุณเข้ามาเพ่นพ่านแถวนี้ได้อย่างไร ขบวนเจ้าบ่าวจะมาแล้วนะ” เธอสวนทันที รู้สึกไม่ชอบหน้านายคนนี้ขึ้นมาตะหงิดๆ พลางปัดฝุ่นออกจากชุดสวยของเธอ เต้รู้สึกคุ้นหน้าขึ้นมาว่าเธอต้องเป็นญาติกับนนท์ทางใดทางหนึ่งหรือเปล่า เนื่องจากเห็นเธอคนนี้เยี่ยมหวานช่วงที่ป่วยอยู่โรงพยาบาลบ่อยๆ พลอยทำให้ฉุนเฉียวหนักขึ้น
“ผมว่าคุณต่างหากเล่า อย่ากวนประสาทผมนักเลยน่า ความจริงคุณควรจะอยู่ในขบวนขันหมากไม่ใช่รึไง”
“เอ้าไหงงี้ล่ะ ฉันเป็นเจ้าภาพน่ะ ฉันก็ต้องเดินตรวจตราความเรียบร้อยในนี้สิ แขกอย่าคุณน่าจะอยู่ในที่ๆเขาจัดไว้ให้เฉพาะต่างหาก เผลอๆถ้าฉันเข้าใจผิดว่าคุณเป็นคนที่ไม่ประสงค์ดีขึ้นมาจะแย่เอาง่ายๆนะ” เธอเองก็มีน้ำโมโหขึ้นมาทันที เมื่อคลับคล้ายคลับคลากับผู้ชายคนนี้ คนที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างพี่ชายของเธอกับน้ำ จนกระทั่งพี่ชายของเธอต้องมาลงเอยกับหวาน คนที่เธอยอมรับว่าไม่ถูกชะตาด้วยเลยจริงๆ แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจทำใจได้ว่าคนแบบนั้นจะต้องมาเป็นพี่สะใภ้
“อ้าวปากหมานะคุณ ว่ากันแบบนี้ ผมไม่ใช่คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าหรอกนะ อันที่จริงงานแบบนี้ก็ไม่อยากจะมานักหรอกนะ ติดอยู่ที่เพื่อนผมมันติดร่างแหมาเท่านั้น” เต้ยังคงต่อปากต่อคำไม่หยุด ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ยอมแพ้ ระรานต่อบ้าง
“นี่นาย... ใครกันเพื่อนคุณ อยากจะเห็นหน้านัก คงจะไร้มารยาทพอกัน ให้ตายสิ”
ฉันได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายด้านนอกเลยออกมาดู ฝ้ายกับเต้กำลังปั้นปึ่งใส่กัน
“มีอะไรกัน เอะอะจังเนี่ย อ้าว ฝ้ายเองเหรอ อ้อเต้นี่ฝ้ายนะ ฝ้ายนี่เต้จ๊ะ”
“อ๋อ ที่แท้ก็... รู้จักกันแล้วล่ะ มากเลยด้วยล่ะ ว่าแต่เป็นไงบ้าง ไหวไหม” เต้ทำหน้าเซ็ง หันมาถามฉันด้วยความเป็นห่วงเป็นใยและประคองตัวฉันไว้
“น้ำแก้มเธอไปทำอะไรมาน่ะ” ฝ้ายถาม
“ไหวน่า ไม่มีอะไรหรอก แค่ยุงกัดน่ะเลยตบแรงไปหน่อย” ฉันเจื่อนยิ้มตอบกลบเกลื่อนทั้งคู่ไป ไม่อยากให้ทั้งสองเป็นกังวลอะไรอีก
“ไปเถอะน้ำ” เต้รีบตัดบททันที รีบพาฉันไปที่หน้างาน ฉันต้องทิ้งท้ายสั้นๆกับฝ้ายก่อนไป
“งั้นก็ได้ ฝ้ายแล้วค่อยคุยกันนะ” ฉันเข้าใจดีว่าต่อให้เล่นละครดีอย่างไรก็ปิดความรู้สึกของตัวเองไม่มิดหรอก ฉันเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ดูภาพเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นต่อหน้าตอกย้ำความรู้สึกตัวเองให้เจ็บช้ำแบบนี้หรอก
“ได้จ้า...” ฝ้ายมองตามอย่างเป็นกังวล แต่พอมองมาทางเต้ก็พลอยอารมณ์เสียขึ้นมาอีกครั้ง
“ชิ...”
ขบวนขันหมากเดินทางมาถึงแล้ว ทั้งพ่อแม่ ญาติและเพื่อนๆของนนท์ดูครื้นเครงเป็นพิเศษ ข้าวของและสินสอดเองก็ไม่ได้น้อยหน้าอะไร แม้ว่างานจะจัดที่บ้านอย่างเรียบง่าย แต่การตกแต่งก็ดูหรูหรางดงามดีจนไม่เหลือเค้าเดิมของบ้าน ไม่ว่ามุมใด ต่างประดับประดาไปด้วยช่อดอกไม้และรูปเจ้าบ่าวเจ้าสาว จะว่าไปงานแต่งครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไปด้วยซ้ำ ฉันทราบดีว่าคงเป็นการตัดสินใจของแม่นนท์มากกว่าที่รวบรัดงานขนาดนี้ หน้าที่ของฉันนอกจากเป็นเพื่อนเจ้าสาวแล้ว ยังยืนเป็นประตูเงินประตูทองคู่กับเพื่อนของหวานคนนึงซึ่งดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับฉันนัก เจ้าบ่าวเดินมาถึงตรงฉันแล้ว วันนี้เขาดูดีเหลือเกิน ใจฉันเต้นรัวไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น หากแต่เกิดจากความรู้สึกทั้งหลายที่มันพรั่งพรูออกมา นนท์เองดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ฉันอยากจะเข้าไปอยู่ใกล้ๆเขาเหมือนแต่ก่อนเหลือเกิน แต่ก็ได้เพียงแค่ต่างคนต่างมองกันและกันอยู่อย่างนั้น แม่ของนนท์ไม่ค่อยพอใจเท่าไร รีบยัดเงินให้ประตูเงินทองแล้วดึงลูกชายตัวเองเข้าไปภายในบ้านเพื่อเริ่มพิธี แน่นอนว่าฉันเองต้องตามเข้าไปอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
ตลอดเวลา นนท์จับจ้องมาที่ฉันตลอด ด้วยสายตาที่เศร้านัก เสียงพระสวดตามธรรมเนียมของชาวพุทธแทบจะไม่ได้ผ่านเข้าไปในโสตประสาท ในสมองฉันมีแต่คำพูดและภาพเหตุการณ์ต่างๆในอดีตเมื่อครั้งที่ฉันมีนนท์อยู่ วันแบบนี้ งานแบบนี้ ควรจะเป็นฉันมากกว่าที่ได้สวมชุดเจ้าสาวและอยู่เคียงข้างเขา ทว่าอย่างฉันน่ะเหรอ กะเทย ไม่ใช่ผู้ชายหรือผู้หญิงแท้ๆ จะมาวาดฝันกับเรื่องลมๆแล้งๆกับเรื่องนี้ทำไม ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่มีทาง
ยิ่งตอนรดน้ำสังข์ ฉันเฝ้ามองเขาได้เพียงแต่เบื้องหลังเท่านั้น แขกเหรื่อและบรรดาญาติต่างเวียนกันมาอำนวยอวยพรให้กับทั้งคู่ ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอื่น ที่ห่างไกลออกไป ไกลออกไป นี่ชักจะทนไม่ไหวอยู่แล้วนะ พอเสียที ได้โปรด...
ฉันแอบออกมานอกบริเวณงานแต่งงานอย่างเงียบๆ เมื่อเข้าขั้นตอนของงานเลี้ยง ซึ่งเป็นลำดับสุดท้ายของพิธี แสงสุดท้ายของตะวันที่ลับขอบฟ้าไปค่อยๆเลือนรางลง ทิ้งม่านสีดำ ประดับดาวระยิบระยับเคลื่อนเข้ามาปกคลุมท้องฟ้านี้แทน เสียงคนยังคุยจ่อกแจ่กจอแจภายใน บรรยากาศของความสุขที่ฉันไม่มีวันสัมผัสได้อบอวลอยู่รายรอบบริเวณ แสงไฟรอบๆบ้านเปิดขึ้น ฉันนั่งใจลอยอยู่ภายในสวนได้พักนึงแล้ว ได้เวลาที่ตัวเองควรจะกลับไปเสียที ทว่าเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยเหลือเกินร้องห้ามฉัน ดั่งต้องมนต์สะกดร่างของฉันไว้กับที่นั้น
“น้ำ... จะไปไหนน่ะ” ฉันลืมตัวยิ้มให้กับเจ้าของเสียงนั้น นนท์นั่นเอง วันนี้ทั้งวันเราแทบจะไม่ได้คุยกันเลย แม้เพียงแค่นี้ก็ทำให้ฉันหัวใจของฉันพองโตขึ้นมาได้ขนาดนี้ทีเดียว
“นนท์” ฉันรีบหันหลังให้เขา ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เก็บความดีใจของตนเองเอาไว้ ไม่อยากจะเผชิญหน้าเขาตรงๆ ไม่อยากจะใจอ่อน กลั้นใจปรามเขาทันที
“ยินดีด้วย ขอให้มีความสุขมากๆนะ แต่นนท์ควรจะอยู่ในงานกับเจ้าสาวมากกว่านะ”
“นนท์ไม่เห็นน้ำในงาน เลยคิดว่าน้ำจะกลับไปแล้วเสียอีก” ฉันสัมผัสได้ ถึงน้ำเสียงที่ปราศจากความเข้มแข็ง ทิ้งไว้เพียงความอ่อนแอและหดหู่นี้ บีบคั้นหัวใจแทบจะขาดใจตายตรงนั้นต่อหน้าเขา
“ใช่ น้ำกำลังจะกลับพอดี ลาก่อนนะ” ฉันต้องใจดำกับเขา ใช่แล้ว แบบนี้แหละ ทว่านนท์คว้าข้อมือของฉันเอาไว้ ดวงตาคู่นั้นมองฉันอย่างอาลัยอาวรณ์ ฉันปล่อยโฮออกมาทันที พยายามสะบัดมือของเขาออก เรี่ยวแรงไปไหนหมดกัน ทำไมฉันถึงทำไม่ได้
“อย่าพูดแบบนั้นเลยได้ไหม นนท์แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ใจนนท์มีน้ำอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น” เพียงแค่ประโยคเดียวนั้น ทำเอาฉันทรุดลงกับพื้น นนท์รีบประคองฉันและ นั่งลงตาม ใบหน้าของเขาที่ฉันไม่มีโอกาสได้เห็นใกล้ๆอย่างนี้มานานหลายเดือนนัก เขาดูเปลี่ยนไปมากจริงๆ ขอบคุณนะ นนท์ ที่ยังรู้สึกดีๆกับน้ำ แต่...
“เธอเลือกทางเดินที่ถูกต้องของเธอแล้วล่ะ ดีกับทั้งตัวนนท์และแม่ของนนท์” ฉันฟูมฟาย บอกเขาอย่างกระท่อนกระแท่น
“น้ำ” นนท์ดึงตัวของฉันไปกอด นานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้อยู่ในอ้อมอกของเขาแบบนี้ อยากหยุดเวลานี้ไว้ให้นานตราบเท่านาน ใบหน้าของเขาเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ เขาเช็ดน้ำตาของฉันแล้วบรรจงจูบบนริมฝีปากของฉันเบาๆ
“เราหนีไปด้วยกันนะ ไปให้ไกลจากที่นี่ น้ำอยากไปที่ไหนนนท์ก็จะไปด้วย” แทบไม่เชื่อหูของตัวเองเลยจริงๆที่เขาพูดแบบนั้นออกมา เป็นคำพูดที่ฉันอยากฟังและพร้อมจะตอบโดยไม่ลังเลใจ
“นนท์..” เสียงหนึ่งร้องเรียกเขาและใกล้เขามาเรื่อยๆ ทำให้ฉันฉุกคิดและผละออกจากอ้อมกอดของนนท์เสีย เช็ดน้ำตาและยิ้มให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย
“เสียงหวานแน่ะ น้ำต้องไปแล้ว” นนท์รั้งตัวฉันเอาไว้ อย่าทำแบบนี้เลยนะนนท์ หวานกำลังจะมา ฉันควรจะกลับไปยังที่ที่ฉันอยู่จะดีกว่า
“นนท์ไม่ปล่อย ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน” นนท์ที่ฉันเห็นตรงหน้า ฉันจะจดจำไว้ในความทรงจำตราบนานเท่านาน แม้ว่าเขาจะเว้าวอนเพียงใด แต่นี่เป็นทางที่ฉันมองว่าดีสำหรับเขาแล้ว รวบรวมเรี่ยวแรงที่มีสะบัดเขาแล้ววิ่งลบลี้ไป จะไม่หันกลับมาอีก ไม่ว่านนท์จะร้องเรียกแทบขาดใจก็ตาม เขาทรุดอยู่ตรงนั้นอย่างตรอมใจ
“น้ำ…”
“มีอะไรเหรอ” หวานรีบเข้ามาประคองตัวนนท์ไว้ นนท์นั่งนิ่งพักหนึ่ง
“เปล่าหรอกไม่มีอะไร เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ใจหวานก็สำเหนียกเสมอว่านนท์ไม่มีทางลืมน้ำไปได้ง่ายๆ
ฉันจะจดจำเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาทั้งหมดไว้ในความทรงจำของฉัน ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยรู้สึกกับคนคนหนึ่งแม้จะเป็นได้แค่เพียงส่วนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของนนท์เท่านั้น ฉันต้องเรียนรู้ที่จะอยู่โดยที่ไม่มีเขา เยียวยาบาดแผลที่เกิดขึ้นเพราะตัวฉันเองนี้ให้หายขาดให้ได้ จากนี้ไป
จบภาค1