mecon =อ่านะ...ครับ มาต่อแล้ว
maabbdo = มาแล้วครับ
[~^PrinceZa^~ =
ติดตามกันต่อเลยครับ
ครั้งหนึ่ง...ถึงคนที่เคยรัก
เต้พาฉันมายังบ้านทรงปั้นหยาหลังหนึ่งที่ค่อยคุ้นตาเท่าไร บนเนื้อที่ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางและเป็นทิวแถวของต้นมะพร้าวริมหาดทรายสีขาวเป็นฉากหลังของตัวบ้าน สายลมเอื่อยที่กระทบใบหน้าและผิวกายที่ซีดบนรถเข็นทำให้ฉันอดกอดตัวเองไว้ไม่ได้ ฉันมองหน้าเขาที่นั่งลงข้างตัวรถและยิ้มให้ฉัน ถามด้วยคำถามซื่อๆแต่ชัดเจนในความหมาย
“ที่นี่ที่ไหนเหรอเต้”
“บ้านใหม่ของเราไง” เต้ตอบสั้นและปล่อยให้ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นตัวอธิบายทุกสิ่งอย่างด้วยตัวของมันเอง ฉันยกมือที่ผอมบางขึ้นป้องปากอย่างปิติ ไหนจะเหนื่อยทั้งงานและดูแลตัวฉันแล้ว ก็หมดเงินไปไม่รู้เท่าไร...
ยังมีเวลาหาบ้านหลังใหม่ของเราอีก
“พาน้ำเข้าไปได้ไหม” ฉันคะยั้นคะยอให้คุณหมอเข็นรถเข้าไปดูตัวบ้านใกล้ๆ ต้นลีลาวดีที่ไม่โตนัก แต่ผลิดอกสีขาวต้นนึง สีแดงต้นหนึ่งบรรยายภายในบ้าน ตัดกับพื้นหญ้ากว้างสีเขียว มีอิฐเก่าๆปูเป็นทางทอดยาวเข้าสู่ตัวบ้าน เต้ป้องมือแหวกม่านสีอ่อนผืนยาวที่พริ้วไหวยามต้องลมออกเผยให้เห็นด้านในที่ตกแต่งด้วยฟอร์นิเจอร์ไม้เพียงไม่กี่ตัว ฉันไล่สัมผัสพวกมันตามลวดลายที่สลักประดับ โดยเฉพาะตั่งตัวยาวที่ดูสีถลอกกว่าใครเพื่อนบนพื้นที่ยกสูง
“สวยจังเลยนะ นี่เต้เลือกเองหมดเลยเหรอ” เต้พยักหน้ารับแทนคำตอบ ฉันจับมือของเขาบนไหล่ที่มีเพียงกระดูกด้วยแรงที่มีน้อยนิด แทบจะแทนทุกความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขา
ตลอดครึ่งปีที่เป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ กำลังใจที่ให้ฉันพยายามต่อสู้กับโรคร้ายนี้...
“น้ำอยากดูให้ทั่วเลยนะ”
ลมแรงที่พัดมาวูบหนึ่ง พาเอาหมวกและผ้าคลุมเกือบปลิว ตอนนี้ศรีษะของฉันดูโล่งและเย็นวาบเมื่อลมไหลผ่าน ไร้ความรู้สึกของเรือนผมที่โบกสยายอย่างเก่า ฉันเริ่มชินกับสภาพตัวเองมากขึ้น มองโลกในแง่ดีที่ว่า สักวันฉันจะเอาชนะโรคนี้ และหายดีกลับมาเป็นปกติ
เต้เอาหมวกและผ้าคลุมมาใส่ให้ฉันตามเดิม แต่ฉันว่าไม่ต้องจะดีกว่า... นานที คนป่วยอย่างฉันจะได้ออกมาเปิดหูเปิดตาเห็นโลกภายนอกอย่างเขา ได้มีที่ที่อยากมา ในวันเกิดของตัวเอง
“รูปนี้ อุ๊ย...” ฉันสะดุดตากับรูปในชุดเจ้าสาวที่ยืนคู่กับเจ้าบ่าวในกรอบเล็กสีน้ำตาลเหลือบทอง เต้รู้ใจพอที่จะหยิบมาให้กับมือโดยที่ฉันไม่ร้องขอ แต่เขากลับไม่ยอมให้ฉันถือไว้ด้วยตัวเอง
“มีอะไรแปลกเหรอ”
“ป่าวหรอก น้ำว่าน้ำดูอ้วนจังเลย เท่านั้นแหละ” ภาพตัวเองในชุดแต่งงานสีขาว วันนั้นยังคงตรึงอยู่ในความทรงจำ ตราบชีวิตนี้จะหมดลม เป็นช่วงเวลาที่ตนเองไม่เคยนึกฝัน ว่าจะมีสักวันที่ได้แต่งชุดนี้ กับคนๆนี้...
ฉันรับรูปนั้นมากอดไว้บนตัก พาลรื้นน้ำตาจะตื้นขึ้นมาเสียให้ได้
“น้ำ” เต้มองฉันอย่างเข้าใจและซับน้ำตาของฉันให้ เขากุมมือของฉันเอาไว้ มือใหญ่หนาของเขา สำหรับฉันวันนี้มันกลับ อบอุ่นและมีค่ากว่าเดิม
“ขอตัวแปปนึงนะ” เต้เดินลับขึ้นไปบนบ้าน ปล่อยฉันนั่งมองท้องทะเลสีครามที่มีเสียงคลื่นซัดฟังดังเป็นจังหวะครืน ครืน... ให้ใจตัวเองสงบลง รูปนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่บนตัก ระหว่างที่ฉันเฝ้ามองบันไดสูง รอว่า เมื่อไรเขาจะลงมาเสียที
ในที่สุด... เขาก็ลงมาพร้อมกล่องใบใหญ่ และวางให้ฉันบนตักแทนที่รูปนั้นที่เขาเก็บกลับที่เดิม
“อะ... เปิดดูซิ” เต้ชี้ชวน
“นี่อะไรน่ะ” ฉันมองหน้าเขาที่ทำอมพะนำไม่ยอมพูดอะไรไปมากนอกจากตัวฉันจะเป็นคนเปิดกล่องนี้แล้วดูของข้างในกับตา แค่ฝากล่องเล็กๆน้ำหนักไม่เท่าไร แต่วันนี้กลับดูยากเย็นที่จะเปิดมันออก ฉันแง้มมันออกจนได้ด้วยความช่วยเหลือของคนตรงหน้าอีกแรง...
สิ่งที่ปรากฏอยู่ภายในทำให้ฉันตื้นตันสุดจะบรรยายได้... แม้เนื้อผ้าของมันจะเริ่มซีดจางและมีรอยไหม้ แต่สำหรับฉันแล้ว มันเป็นสิ่งที่มีค่าพอๆกับชีวิตตัวเองที่เหลืออยู่ ชุดแต่งงาน... ตั้งแต่เกิดเรื่อง ฉันกลับเข้าใจว่าเพลิงกาฬจะผลาญพรากเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉันเสียแล้ว...
“ตอนที่ไปเก็บของ... เต้เจอมันเข้า พยายามส่งซักมานานก็ไม่ได้ความสักที แถมโดนไฟไหม้แหว่งไปอีก... ขอโทษนะ”
“เต้ไม่ต้องพยายามอะไรอีกแล้ว...”
“เพราะแค่นี้น้ำก็ดีใจ...”
“ดีใจที่มีเต้อยู่ข้างๆ มากกว่าชุดเก่าๆนี้เสียอีก...”
***
กว่าครึ่งปีที่น้ำยอมรับการรักษา ผมเฝ้ามองดูห่างๆอย่างใจหาย น้ำเปลี่ยนจากคนที่ดูน่ารักสดใส กลายเป็นอีกคนที่เหม่อลอยและเฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ร่างกายก็ซูบผอมลงผิดหูผิดตา ทีแรกน้ำว่าจะผ่าตัดเอาซิลิโคนออก แต่เนื่องดูสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงของเธอผมจึงค้านไว้ มันทำให้การรักษาครึ่งๆกลางๆไม่เต็มที่
ผมเองก็จนด้วยเกล้าแล้ว...
ตั้งแต่นนท์เดินทางไปต่างประเทศ ไม่มีข่าวคราวของเพื่อนติดต่อกลับมา น้ำเอาแต่เฝ้าถาม ผมจึงตอบเท่าที่ตัวเองรู้ ทีแรก... ผมจะน้อยใจคนที่ผมรักไปทำไม... ทั้งที่น้ำอยู่กับผม เป็นของผม... จะระแวงมากไปกว่าการให้กำลังใจเธอหายจากโรคร้ายนี้เร็วๆยังเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า
แต่ร่างกายเธอ...มาถึงขีดจำกัดแล้ว...
***
“ผมอยากให้ญาติของคนไข้ทำใจ...” ผมมองหน้าอาจารย์หมอที่เคารพนับถืออยู่ด้วยอ่านความคิดของเขาออก ก่อนมองไปที่พ่อตาแม่ยายของของที่ยื่นฟังเรื่องร้ายนี้ด้วยรู้ดีในโชคชะตา การประคองตัวให้ยืนตรงดูเป็นเรื่องลำบากเหลือแสน แม่ของน้ำเป็นลมฟุบไปจนต้องช่วยกันหายาดมมาให้ฟื้นสติคืน
ผมเองก็ไม่กล้าสู้หน้า... ทั้งๆที่การผ่าตัดสำเร็จ... แต่ร่างกายกลับต่อต้านสเตมเซลล์ของนนท์ที่ปลูกถ่ายเข้าไป...
เสียงสะอึกสะอื้นของผู้เป็นแม่แทบหัวใจสลายที่รู้ว่าแก้วตาดวงใจเหลือเวลาอีกไม่มาก ผมเองไม่กล้าสู้หน้าท่านทั้งสอง มีที่กำแน่นจนช้ำห้อเลือดแทบหมดความหมายไป ที่เรียนมามีประโยชน์อะไร กะอีแค่รักษาคนที่ตัวเองรักกลับทำไม่ได้...
“เรา...พอจะมีเวลาคุยกันสักประเดี๋ยวได้ไหม...” พ่อตาของผมแตะมือหนักๆบนบ่า มองหน้าผมอย่างจริงจังในคำพูดจนรู้สึกกดดันตาม แม่ยายหลับไปด้วยความอ่อนล้าภายในห้องโดยมีเด็กรับใช้คอยพัดวีใกล้ๆ ผมเดินตามท่านไปที่สวน นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“กี่ปีแล้วที่คบกันมา...”
“จะ 10 ปีแล้วครับ คุณพ่อ...”
“งั้นเหรอ... แล้วนี่เราคิดจะมีครอบครัวที่มั่นคงบ้างไหม...” ผมรู้สึกกังขากับสิ่งที่ท่านพูดเปรยมาเป็นนัย พยายามตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆกลางๆไว้
“แล้วที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่เรียกว่าครอบครัวเหรอครับ...” ท่านมองหน้าผมเมื่อได้ยินเสียงยืนกรานหนักแน่น ถอนหายใจเบาๆ
“หมายถึง... เต้ไม่อยากมีภรรยาที่ทำหน้าที่ภรรยาได้สมบูรณ์ มีลูกมีทายาทไว้สืบสกุลหรอกเหรอ...”
“การที่ผมเลือกใช้ชีวิตกับคนๆนึง เพียงเพราะหวังว่าเขาจะมาเป็นแม่ของเด็ก เป็นเครื่องมือที่มาเชิดหน้าชูตาทางสังคม ผมคงไม่ทำแน่... ที่ผมอยู่กับน้ำเพราะรัก... ผมถึงเลือกเขา เลือกทั้งๆที่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร และพร้อมจะดูแลเขาไปถึงที่สุด...”
“ทั้งๆ ที่รู้ว่า น้ำเหลือเวลาอีกไม่มากอย่างนั้นน่ะเหรอ...” พ่อของน้ำแค่นประโยคนี้ออกมาอย่างยากเย็น น้ำลายในลำคอกลับดูฝืดไปถนัดตา สายตาของท่านที่ส่งมาถึงผม ท้าทายคำตอบให้หลุดออกมาจากปาก...
เวลาที่เหลืออยูอีกไม่มาก... อย่างนั้นน่ะเหรอ...
***
ร่างของเราสองคนนอนเคียงกันบนเตียงกว้าง มือของน้ำกอดตัวของผมไว้ไม่ปล่อย เช่นเดียวที่ตัวผมโอบเธอไว้ในอ้อมแขน จูบพรมบนหน้าผากของเธอพร้อมปัดปอยผมที่ตกมาปรกหน้าออก เนื้อตัวของเธอยังร้อนแดงอยู่ ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับเธอหลังจากที่ต่างคนต่างมีงานและหน้าที่ที่ต้องรับชอบของตัวเองมากมาย การที่ได้เชื่อมโยงวิญญาณถึงกันทางร่างกาย เป็นเครื่องหมายแสดงชัดให้เห็นถึงความรักที่มีให้แก่กัน ไม่ได้ลดน้อยถอยลงตามกาล
“หืมมม...” ผมยกศรีษะขึ้นเมื่อเธอบรรจงวาดนิ้วบนอกเป็นชื่อของผม ศรีษะของน้ำยังคงคลอเคลียอยู่บนอกผมไม่ห่าง
“ไม่เคยคิดเลยนะ ว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้จริงๆ เหมือนฝัน...”
“ไม่ใช่ฝันสักหน่อย...” ผมลูบเรือนผมยาวสลวยของเธออย่างเบามือ ทีแรกน้ำอยากเปลี่ยนทรงไปเป็นผมสั้นบ้าง แต่ผมค้านหัวชนฝาว่าไม่เหมาะกับเธอ แบบนี้น้ำยังจะดูน่ารักน่าทะนุถนอมกว่า
“นั่นสิ...” ศรีษะของเธอแนบบนอกของผมใกล้กับหัวใจที่เต้นแรงในอก มันคงบอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีได้ดีกว่าคำพูดที่พรั่งพรูมาเป็นร้อยพัน
“น้ำยังดูดีไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“บ้าน้ำเองก็ 30 แล้วนะ อีกหน่อยก็เป็นป้าเป็นยายแล้ว”
“กลัวอะไรอีกล่ะ เลิกกลัวนั่นนี่ได้แล้ว”
“ก็...”
“เลิกพูดได้แล้ว ถึงอย่างไร เต้ก็มีน้ำคนเดียว ต่อให้น้ำจะหงำเหงือก ฟันหัก ปากเหม็น เหนียงยาน”
“นี่... เดี๋ยวเถอะนะ พูดแบบนี้ทุเรศที่สุดเลย นายเองนั่นแหละ เดี๋ยวก็หัวล้าน พุงยื่น หน้าย่น” ยิ่งพูดกลายเป็นต่างคนต่างกวนใส่กัน ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน พลิกตัวขึ้นมาคล่อมร่างบางของเธอไว้ น้ำดูหน้าตื่นๆแต่ดูเย้ายวนให้ลิ้มลองได้ไม่รู้เบื่อ
“พูดมากจัง ยายเอ๊ย... นี่แนะ ลงโทษซะเลย...”
เมื่อรู้ว่าผมของตัวเองต้องร่วงหล่นลงบนพื้นด้วยผลของเคมีและการบำบัด ยิ่งทำให้ฉันรับไม่ได้กลับสภาพของตัวเอง ยิ่งเห็นหน้าของตัวเองในกระจกกลับยิ่งรังเกียจตัวเองหนักขึ้นไปอีก... ไม่เหลือเค้าของความงามที่เคยมี กลายเป็นอีกคนที่ไม่รู้จัก กุมศรีษะและใบหน้าของตนเองไว้อย่างไม่เชื่อว่าภาพสะท้อน คือตัวตนของฉันจริงๆ
เพล้ง!
เต้รีบรุดเข้ามาในห้องผู้ป่วย พบตัวฉันที่นั่นสั่นเทาบนเตียง ฉันไม่กล้าสบตาเขา กลัวไปหมดทุกอย่าง...
“เต้... อย่าเข้ามาใกล้นะ ตอนนี้สภาพของน้ำน่าเกลียดมาก เต้รับไม่ได้แน่ๆ” ฉันสะอื้นไห้ ขยะแขยงร่างกายของตนเองเต็มประดา เต้ก้าวเข้ามาหาฉันทีละก้าว ขณะที่ฉันเอามือปัดป่าย ผลักไสเขาไปให้พ้น รีบห่มผ้าคลุมร่างกายที่น่าเกลียดของตัวเองไว้
“ทำไมล่ะ”
“ดูซะสิ” ฉันเผยร่างกายที่น่าเกลียดของตนเองพร้อมน้ำตาที่ไหลมาเป็นสายด้วยน้อยใจในกงล้อแห่งโชคชะตา ก่อนจะถูกดึงไปซบสะอึกสะอื้นบนชุดกาวสีขาวของเขา
“แล้วไงล่ะ”
“เต้จะยังรักน้ำอยู่อีกเหรอ ทำไมไม่คิดจะเปิดใจให้คนอื่นบ้าง” ฉันยังต่อปากต่อคำกับเขาที่ไม่มีทีท่าว่ารังเกียจ เต้ลดตัวลงมาจับศรีษะของฉันไว้พร้อมรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นและใจดีนั่น
“น้ำอย่าผลักไสเต้ให้ใครเลยนะ คนเดียวที่เต้รักคือคนคนนี้คนเดียวเท่านั้น รีบหายไวๆนะ” เงาสะท้อนของฉันในดวงตาของเขายังคงเป็นภาพที่งดงามเสมอตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน ฉันไม่ได้รู้สึกไปเอง แต่สัมผัสได้ ว่าคนๆนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปตามความผกผันของเวลา
“เต้...”
“จะรักตลอดไปด้วย”
“ถ้าน้ำไม่อยู่บนโลกนี้แล้วล่ะ” ฉันย้ำคำถามนี้กับเขา สายตาของเขาหรี่ลงก่อนจะฝืนๆยิ้มให้พร้อมจุมพิตเบาๆที่แก้ม
“อย่าพูดแบบนั้นสิ มันต้องมีสักวิธีที่จะช่วยให้น้ำมีชีวิตต่อไป อยู่กับ...เต้ต่อไป”
***
ผมขนหนังสือมากมายมาไว้ยังห้องผู้ป่วย ทะยอยเวียนเปลี่ยนออกไปไม่ให้จำเจและเป็นที่อับฝุ่น ยิ่งเห็นน้ำร่าเริงสดใส ผมยิ่งมีความสุข แม้น้ำจะทำกิจวัตรอะไรไม่คล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมเองก็พร้อมจะมาเป็นทั้งแขนขาให้เธออย่างเต็มตัว เราอยู่ด้วยความหวังว่าเธอจะต้องหายดีในไม่ช้า... แม้จะไม่สมบูรณ์เต็มร้อย
เพราะความหวัง... มันทำให้ชีวิตดูมีค่ามากขึ้น
เราไม่พูดกันถึงเรื่องหวานอีก... ไม่พูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่โทษว่าเป็นความผิดของใคร ในเมื่อหวานไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว นนท์เองก็อยู่อีกซีกโลกหนึ่ง ต่างคนต่างวิถีที่จะดำเนินชีวิตของตนเอง คงไม่ดีแน่ถ้ามัวจมอยู่กับสิ่งเก่าที่แสนเจ็บปวดนั้น น้ำเองก็ดูจะลืมๆมันไปแล้วเช่นกัน
ผมได้รับข่าวดีจากฝ้ายว่าเธอจะแต่งงานปีหน้า ผมอดดีใจแทนเธอไม่ได้ในฐานะเพื่อน แม้จะรู้ดีว่าเธอแอบชอบผมมานานก็ตาม ผมได้แต่อวยพรให้และสัญญาว่าถ้าน้ำดีขึ้น คงได้เห็นเราทั้งคู่ไปร่วมงานด้วยกัน ฝ้ายยังมีหยอดในตอนท้ายว่าไม่กลัวน้ำจะไปสู้รบปรบมือกับแม่ของเธออีกหรือ ผมยังหัวเราะร่วมตามไปเหมือนกัน
“คุณน้ำดีขึ้นมากแล้วล่ะครับ เราอนุญาตให้เธอไปพักฟื้นที่บ้านได้ หากแต่ต้องยังอยู่ในความดูแลของแพทย์นะครับ” เพื่อนหมอของผมเจ้าของไข้น้ำเป็นคนบอกผม หลังจากที่ผมไปสอบถามอาการตลอดและร่วมแสดงความยินดีที่กำลังจะเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวตามประสาคนเคยมีประสบการณ์
“ขอบใจนะ...” ก็เหมือนว่าเตรี๊ยมกันกลายๆนั่นแหล่ะ... ผมเองก็รู้สึกว่าน้ำเองคงเบื่อที่จะอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่ไหนนอกจากโรงพยาบาลมาร่วมครึ่งปี น้ำคงจะดีใจที่ได้ออกไปเห็นอะไรๆข้างนอก และผม... ก็มีของขวัญที่อยากจะให้เนื่องในวันเกิดของเธอที่จะถึง
บ้านเรือนปั้นหยาที่ผมปลูกขึ้นด้วยวัสดุแทนไม้ทาสีสดกับเนื้อที่เพียงไม่กี่ตารางวาที่ผมหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง อยากทำให้เธอดีใจ... ผมเองก็อยากทำคลีนิคเล็กๆรักษาผู้ป่วยอยู่ที่นี่ และได้ดูแลเธอใกล้ๆกันด้วย
รอเพียงเวลา... ที่เจ้าของวันเกิดจะได้มาเห็นมัน...
***
“ถึงอย่างนั้น... ผมก็ดูแลเขาไป และรักเขาไม่เปลี่ยนอยู่ดี...” ผมตอบด้วยเสียงหนักแน่นชัดเจน พ่อของน้ำเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกอดอกอย่างวางท่า
“อย่างที่เต้รู้ พ่อกับแม่มีลูกเพียงคนเดียว ถึงแม้น้ำเขาจะเป็นแบบนี้และยังต้องมาป่วยอีก”
“พ่อกับแม่ ขอฝากน้ำไว้กับเต้นะ ดูแลน้ำให้ดีๆ จนกว่า...” ท่านลุกมาตบบ่าของผม ผมตบปากรับคำอย่างไม่ลังเล
“ครับ ผมสัญญา”
“ขอบใจนะ ลูก... เต้...”
***
“เช้านี้เป็นไงบ้าง” เต้บิดขี้เกียจเดินเข้ามาในครัว มีฉันนั่งอยู่ข้างโต๊ะอาหาร เขายกอาหารมาตั้งโต๊ะและทำหน้าเหม็นเบื่อ ตื่นนอนก็สายซะขนาดนี้ แถมยังเดินใส่กางเกงบ็อกเซอร์ร่อนไปร่อนมาไม่อายเอาเสียเลย
“ก็ดีนะ มีแต่เต้นั่นแหล่ะที่มัวแต่นอนขี้เซา” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงประชด เต้ตามมาชิมรสแกงจืดสาหร่ายเต้าหู้ แล้วพยักหน้าให้ เกือบจะเดินเลยฉันไปโต๊ะอาหารแล้ว ยังจะทำตาเจ้าเล่ห์ วกกลับมาโอบหลังทำเคลียร์คลอเสียอีกแนะ
“แล้วไง เต้ทำงานแค่หน้าบ้านตรงนี้เองนะ จะเปิดตอนไหนก็ได้ มีเวลาให้เราจะได้อยู่กันสองคนไม่มีกอขอคอ” ทำเป็นซุกไซ้นั่นแหละ นายตัวดี นี่แน่ะถ้ามีแรง จะขอเคาะด้วยตะหลิวซักทีเถอะ
“คิดอะไรน่ะ ไม่เปิดคลีนิครึไงวันนี้” เต้ปิดไมโครเวฟและเตาไฟฟ้า เดินเลี่ยงออกมาหยิบชามไปตักแกงจืด สองสัปดาห์แล้วที่เราย้ายออกมาอยู่ด้วยกันที่นี่ รู้สึกไม่ค่อยจะคุ้นชินเท่าไรเลยที่ต้องนั่งๆนอนๆบนรถเข็น โดยมีเต้คลุกอยูทั้งงานที่คลีนิคและเป็นพ่อบ้าน ยอมรับว่าเขาทำอาหารได้เก่งและอร่อยขึ้นมาก
“ปิดสักวันจะเป็นไร...” เต้หมุนตัวฉันเข้าจันหน้า จุมพิตเบาๆ ฉันมองหน้าเขาอย่างอายๆ เต้เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ไล้ริมฝีปากสีซีดของฉันไปมา พลางกุมมือที่ซูบผอมลงไปถนัดตาขึ้นมากลางอก
“อยู่กับเมียที่บ้านบ้างไม่ดีรึไง” ถึงเต้จะพยายามพูดให้ฉันสบายใจและมีกำลังใจขึ้นก็ตาม ต่างคนต่างทราบดีว่าเวลา มันช่างลดน้อยถอยลงไปอย่างน่าใจหาย
“งั้นแสดงว่ามีใครอยู่บ้านอื่นรึไงน่ะ บอกมานะ” ฉันยุแยงขึ้น ท่ามกลางความอึดอัดนั้น แหย่พอให้หายวิตกกังวล หรือมีเสียงหัวเราะขึ้นมาบ้าง เต้ยิ้มหน้าเจื่อนๆ หัวเราะเบาๆ พลางจับฉันหันหน้าไปทางโต๊ะอาหารที่เตรียมไว้เรียบร้อย
“ขี้โมโหจัง ช่างจับผิดชะมัด มีคนเดียวก็ปวดหัวแล้วไม่หาเรื่องเพิ่มอีกหรอก” เต้หวีเรือนผมปลอมฉันเบาๆ อย่างเอ็นดู ฉันเหลือบเห็นรื้นน้ำตาเล็กๆปรากฎบนดวงตาคู่นั้นของเขา ฉันรีบเบนสายตาออกไปด้านนอกทันที เสียงคลื่นยังแว่วเคล้าคลอกับเสียงลมและนกหาปลาริมชายหาดดังดุจดนตรีบรรเลงเพลงไม่รู้จบ อยากออกไป ชื่นชมความงดงามภายนอกนั้นอีกครั้ง อยากสัมผัสกับผืนทราย เล่นน้ำทะเล ต้องแสงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นกับสรรพสิ่งบนโลกมานานแสนนาน
“วันนี้ข้างนอกสวยดีนะ เหมือนภาพวาดเลย”
“อยากไปเดินเล่นไหม” เต้เอ่ยปากชวน แทบทำให้ใจของฉันลิงโลดโจนทะยานออกมาเสียเดี๋ยวนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ใช่เด็กๆแล้วที่จะมาแสดงกิริยาเกินจริต แต่คำอนุญาตของเขาจุดประกายความหวังให้ฉัน
“ไปซิ”
“แต่ทานข้าวเช้ากันก่อนนะ” เต้ต่อรอง ฉันมองไปที่กับข้าวหลายอย่างบนโต๊ะ ลำพังกระเพาะเล็กๆของฉันคงทานได้อย่างละนิดหน่อยเท่านั้นเอง
“ทำอะไรเยอะแยะเชียว ความจริงไม่ต้องทำมากขนาดนี้ก็ได้นะ” เต้ยกข้าวสวยร้อนๆ มาให้ ฉันจับมือของเต้ไว้
“เต้ทำเพื่อน้ำมามากแล้ว มันทำให้น้ำหนักใจ ที่น้ำเองก็อยากจะตอบแทนเต้บ้าง แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง...” ฉันพูดเสียงออดอ้อน เต้ชักสีหน้ามาหา คิ้วขมวดปม
“น้ำอย่าพูดแบบนั้นอีกนะ”
“ทำไมเหรอ เต้อย่าคิดมากซิ ไม่เอาล่ะไม่พูดแล้ว ทานข้าวกันเถอะ” ฉันยิ้มให้ ลงมือทานข้าวกัน ฉันฝืนทานไปอย่างละนิดอย่างละหน่อย รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาในท้อง ดื่มน้ำตามไปนิดนึงแล้ววางช้อมส้อมของตนเองแนบไปกับจานเปล เต้วางช้อนลงตาม ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“น้ำไม่ค่อยทานเลย เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอก รู้สึกไม่ค่อยอยากทานเท่าไรน่ะ อาหารอร่อยดีนะ อย่าคิดมากเลย... ไว้น้ำจะทานอีกใหม่ก็ได้” ฉันฝืนตอบไปให้เขาสบายใจขึ้น พลางชี้ชวนถามเรื่องอื่น คุยกับเขาเป็นเพื่อน เต้ทานไป ก่อนจะหยอดคำนึงใส่
“เอ๊ะ อาการแบบนี้แพ้ท้องหรือเปล่าเอ่ย...”
“บ้า น้ำก็แบบนี้บ่อยๆ อย่ามาแซวเล่นนะ” เต้พูดติดตลกไป ให้ฉันได้ยิ้มได้หัวเราะบ้าง พอลืมเรื่องไม่ดีหลายๆเรื่องได้ครู่หนึ่ง เต้เริ่มอิ่มแล้ว ฉันยื่นจานให้เขาไปล้าง กลับมือไม้อ่อนหมดแรงเสียดื้อๆ จานชามที่ถือมาตกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ทำจานแตกอีกแล้ว ไม่ต้องเลย เต้ทำเองดีกว่า” เต้ล้างมือให้ แล้วพามาอีกฝั่งของโต๊ะทานอาหาร ฉันฮึดฮัดไม่พอใจ เซ็งที่เวลาจะทำอะไรเขาก็เอาแต่ขัดไม่ให้ทำแล้วลงมือทำแทนเองหมดทุกอย่าง
“นั่งนั่นแหละ อยู่เฉยๆนะไม่ต้องทำอะไรหรอกนะ” เต้แอบชำเลืองมองและดุทันทีที่ฉันกำลังจะหาเรื่องไปปอกผลไม้ ฆ่าเวลาไป ฉันอดขำไม่ได้จริงๆ นี่เขากำลังจะกลายเป็นพ่อคนที่สองของฉันไปแล้วรึไงเนี่ย
***
สายลมเอื่อยๆพัดโชยเข้ามา ม่านสีอ่อนโบกพลิ้วเป็นจังหวะ เผยให้เห็นท้องทะเลภายนอกที่คลื่นคอยซัดเข้าหาฝั่งไม่หยุดนิ่ง เมฆปกคลุมท้องฟ้า ทั้งๆที่เป็นหน้าร้อนอยู่แท้ๆ รู้สึกฉงนใจกับวันนี้จัง เต้ล้างจานเสร็จแล้ว ก็จูงรถเข็นพาออกมาข้างนอกด้วยทันที เวลาที่อยากย่ำผืนทรายด้วยเท้าเปล่า ได้มองขอบฟ้าและทะเลที่บรรจบกัน โลกนี้ช่างดูกว้างขวางอย่างบอกไม่ถูก มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเหลือเกิน โดยเฉพาะการที่มีคนๆนี้อยู่เคียงข้าง ฉันจะไม่ขออะไรกับพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าอีกเลย
“แปลกนะวันนี้ไม่ยักมีแดดเลย” เต้อุ้มฉันลงนั่งบนหาดทราย ส่วนเขาวิ่งลงทะเลไป โบกมือให้ฉัยู่ไกลๆแล้วย้อนกลับมา
“ดีแล้วน่า ขืนมีแดดออก เดี๋ยวน้ำเป็นลมขึ้นมาอีก” ฉันไม่สนใจคำพูดของเขา วักน้ำสาดใส่เขา เขาเองก็เช่นกัน เราต่างหัวเราะคิกคักที่ได้ทำอะไรแบบเด็กๆอีกครั้ง บางทีนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ฉันจะได้อยู่กับเขา เต้
วันนี้น้ำมีความสุขมากเลยนะ...
“เสียงคลื่นนี่ฟังดูเศร้าจัง” ฉันหยุดฟังเสียงคลื่นกระทบหาดเป็นจังหวะเข้ากันกับความเงียบงันของบรรยากาศรอบข้าง ฉันเงยหน้ารับลมทะเลพัดโชยมาปะทะเบาๆ พลันวูบหนึ่งรู้สึกแขนขาหมดเรี่ยวแรงมาดื้อๆ ฟุบลง
“น้ำ...” นนท์รีบวิ่งมาประคองร่างฉันเอาไว้ สีหน้าเป็นกังวลอย่างมาก ฉันยิ้มตอบ แกล้งทำหน้าเหรอหราไปทั้งๆที่ตัวของฉันเริ่มเย็นขึ้นมา
“ไม่เป็นไรหรอก แค่หน้ามืดนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวก็... อ๊ะ...” พอทำเป็นว่าจะเกาะคอเขาที่ช้อนตัวฉันขึ้น ทว่าร่างกายไม่ให้ความร่วมมือด้วยเอาเสียเลย หายใจก็เริ่มติดขัด เต้ดูจะตกอกตกใจจนฉันต้องปลอบด้วยรอยยิ้ม ซึ่งมันกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นสักนิด
“อย่าฝืนเลยนะ นี่มาขี่คอเต้ดีกว่า เดี๋ยวเราไปนั่งที่ชิงช้าใต้ร่มไม้นั่นดีกว่านะ” ฉันขี่หลังของเขาอย่างจำใจ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้กอดแผ่นหลังเขาไว้แบบนี้ ฉันสัมผัสได้ถึงความแข็งแรงและมั่นคง รวมทั้งภาระและความหวาดหวั่นต่างๆที่เขาต้องแบกรับเอาไว้ตลอดมา
“เต้…” ฉันพยายามชวนเขาคุยด้วย ทั้งๆที่ไม่รู้สึกง่วงเลย ทำไมสมองมันเริ่มเบลอๆแบบนี้นะ น้ำเสียงฉันเองก็อ่อนแรงและกระท่อนกระแท่นลง
“มีอะไรเหรอ คุณตัวเบามากกว่าที่ผมคิดเสียอีกนะ ทานเยอะๆหน่อย” นนท์กระเซ้า ระหว่างที่รีบจ้ำไปยังเปลยวนใต้ร่มไม้
“อื้อ ถ้าน้ำไม่อยู่แล้ว เต้จะทำอะไรต่อไปเหรอ” ฉันโพล่งถามออกไป ซบคอเต้ มองเรือลำหนึ่งที่แล่นอยู่ลิบๆนั้น
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะ เต้จะอยู่ที่นี่ อยู่กับน้ำแบบนี้ ตลอดไปด้วยกัน” ฉันสังเกตเห็นว่าเต้หน้าเสียทันที เขาดุว่าไม่ควรจะพูดแบบนั้น ฉันเงื้อหน้าหอมแก้มเขาเบาๆ
“เต้... ขอบคุณนะที่ยังรักน้ำเสมอ” เต้ไม่ตอบอะไรต่อ ความเจ็บปวดอีกระลอกมาเยือน ฉันหยีตาอดกลั้นเอาไว้
“อื้อ... เอาละนอนตรงนี้นะ เดี๋ยวแวบไปเอายาที่บ้านมาให้นะ” เต้ช้อนตัวฉันวางลงบนเปลยวนเบาๆ และไม่ทันจะหันหลังไป ฉันรวบรวมแรงเท่าทีตัวเองมี รีบฉวยมือของเขาเอาไว้ อยากให้เต้อยู่ใกล้ๆฉันแบบนี้
“อย่าไปไหนเลยนะ” สายตาของฉันวิงวอนบอกอีกทางหนึ่ง เขามีท่าทีลังเลพักหนึ่ง
“แต่ว่า...” เต้สีหน้าดูไม่สู้ดีทีเดียว ฉันยิ้มให้ดูน่าเชื่อถือกับเขาแทนคำตอบที่ว่าฉันเองไม่ได้เป็นอะไรมาก
“นะ... นอนสักพักตรงนี้คงดีขึ้น” ฉันขยับตัวเข้าไปหาเต้ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจ และค่อยๆนอนลงข้างๆ โอบตัวฉันเอาไว้ในอ้อมแขน
“เต้...” น้ำเสียงของฉันเริ่มเจือจางบางเบาลง อยากให้โลกนี้หยุดหมุนลง อยากให้เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆจัง
“หืมม...” เต้เริ่มรู้สึกว่าตัวของฉันเย็นลงมากและหายใจช้าลง เขากอดฉันเอาไว้ น้ำตาซึม บัดนี้ดวงตาของฉันทั้งคู่ได้ปิดลงเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่จะทำให้แก่เขาได้ มีเพียงรอยยิ้ม และความรู้สึกนี้ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหรือลบเลือนไปแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว
“ทำไมมันมืดไปหมด แบบนี้นะ...”
“น้ำทนอีกนิดนึงนะ เต้ว่า... เราไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่านะ”
“น้ำ...รัก..เต้... นะ”
เสียงของฉันแผ่วเบาลง เช่นเดียวกับลมหายใจ รู้สึกราวกับตัวเองหลุดลอยออกไป ทิ้งกายเนื้อไว้ ให้นอนนิ่งอยู่ภายในอ้อมกอดของเขานั้น ไปสู่แสงสว่างอันเจิดจ้าของเบื้องบนนั้น ไม่รับรู้ว่าใบหน้าของเต้ เอ่อล้นด้วยน้ำตา กอดร่างอันไร้วิญญาณของฉันไว้แนบกาย ตะโกนชื่อของฉันอย่างคนคลุ้มคลั่ง แข่งกับเสียงคลื่นสาดกระเซ็นกระทบฝั่ง
พระอาทิตย์แย้มออกมาจากกลีบเมฆสาดแสงนำทางชีวิตบนโลกให้ดำเนินไปอีกครั้ง
แม้ว่าฉันจะไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว...
ขอบคุณนะเต้
ลาก่อน...
** อวสาน **