เด็กเลี้ยง
36
ผมเป็นต้นหญ้าที่ทนทาน ตัดยังไงก็ขึ้น
อีกประมาณร้อยเมตรจะเป็นทางลาดชันลงไปสู่ลานกลางหมู่บ้านที่พวกมันจัดงาน ภูมิรพีทำสัญญาณมือให้ทุกคนหาที่กำบังซุ่มสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ต่างคนต่างนิ่งและเงียบอยู่อย่างนั้นเกือบสิบนาที
เมื่อไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดผิดปกติภูมิรพีเรียกทีมซักซ้อมความเข้าใจกันอีกครั้ง ชายหนุ่มเปิดเครื่องจีพีเอสดูพิกัดของหมู่บ้านและอธิบายผังหมู่บ้านบริเวณที่จะเข้าโจมตีให้ทุกคนเข้าใจครั้ง
“พวกเราจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนของพี่ณิตกับบอดี้การ์ดอีกสี่คนออกทางซ้าย ผมกับเด็ดขาดและบอดี้การ์ดอีกคนจะออกขวา ค่อยตีโอบล้อมเข้าไป หากการปะทะนั้นสู้ไม่ได้ให้เล็ดลอดกลับมาที่นี่ เพื่อรวมกำลังกันแก้ไขสถานการณ์โอเคไหม”
ทั้งหมดพยักเข้าใจ ภูมิรพีสั่งให้ซุกซ่อนอุปกรณ์ทุกชนิดที่ไม่จำเป็นในการปะทะไว้อย่างมิดชิดเพื่อความคล่องตัวในการเคลื่อนที่ แล้วก็แยกย้ายกันไปตามจุดรับผิดชอบ ชายหนุ่มก้าวขาทีละก้าวๆ อย่างใจเย็นและเงียบเบาที่สุด บ่อยครั้งที่กลุ่มต้องหยุดชะงัก มองซ้ายมองขวาเมื่อสงสัยต่อสิ่งผิดปกติ
ภายในหมู่บ้านดูสงบเพราะพวกมันมัวหลงระเริงอยู่กับงานเลี้ยง แต่ใช่ว่าจะไว้ใจได้ เพราะผืนน้ำที่ดูสงบเบื้องบนมักซ่อนคลื่นลมไว้ข้างใต้เสมอ ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบริเวณที่พวกมันชุมนุมกันอยู่
เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงเมื่อตอนหัวค่ำเริ่มมอดดับไปทีละน้อย แสงริบหรี่ส่องกระทบร่างพวกมันหลายสิบคนที่สลบไสลจากฤทธิ์ยาและสุราจนกลายเป็นเงาตะคุ่มรอบกองไฟ
สถานะที่เปลี่ยนไปจากถูกไล่ต้อนกลับกลายเป็นนักล่ารอขย้ำเหยื่อ ภูมิรพีเหยียดยิ้มกับสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า แววตาคมดุฉายประกายจ้าในมุมมืด สภาพพื้นที่เหมือนแอ่งกระทะแม้จะทำให้พวกเขาได้เปรียบ แต่ก็ต้องปักหลักนิ่งรอโอกาสและช่องทาง การต่อสู้ใดหากเข้าถึงตัวได้แบบนี้แม้อาวุธจะด้อยประสิทธิภาพก็มีโอกาสชนะได้ หากใช้เป็นและใจเย็นพอ
“จากจุดหนึ่งขอแจงภารกิจที่ต้องทำ ทีม 1 จุดตั้งแค้มป์ไฟ ทีม 2 ห้องยาม ทีม 3 ห้องวิทยุ และทีม 4 จัดการยามทั้งหมด ยึดพาหนะพร้อมทำลายทิ้ง ขอทุกจุดขานภารกิจอีกครั้งเปลี่ยน”
“จุดหนึ่งจากจุดสอง จัดการห้องยาม เปลี่ยน”
“จุดหนึ่งจากจุดสาม จัดการห้องวิทยุเปลี่ยน”
“จุดหนึ่งจากจุดสี่ จัดการยามทั้งหมด ยึดพาหนะพร้อมทำลายทิ้งเปลี่ยน”
“เริ่มปฏิบัติการปิดประตูตีแมว เปลี่ยน” สิ้นเสียงวิทยุทุกจุดลุกคืบไปปฏิบัติทำตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
“มันแปลกเกินไป...ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยแฮะ” ภูมิรพีพูดขึ้นไม่ได้มีท่าทีร้อนรน พวกเขาหยุดซุ่มที่บ้านหลังหนึ่ง ตาคมหรี่มองไปยังลานกลางหมู่บ้านเขม็ง ก่อนจะเลยมาที่บ้านฝั่งตรงข้ามซึ่งมีทหารรับจ้างสังเกตการณ์อยู่บนหลังคา
“ใช่ผมก็ว่ามันแปลก” เด็ดขาดเอ่ยตอบทั้งที่สายตายังมองเขม็งที่รอบกองไฟ
“นายคุ้มกันให้ด้วย”
ภูมิรพีสั่ง ก่อนจะเร้นตัวตามเงามืดไปตามผนังกำแพงค่อยๆ ก้าวจนถึงบ้านฝั่งตรงข้ามลอบเข้าไปทางหน้าต่าง ย่องเงียบกริบตามขั้นบันไดไปจนถึงชั้นบน ไอ้ทหารรับจ้างนั้นมันไม่ได้สนใจระแวดระวังด้วยซ้ำ สายตาของมันมองเขม็งลงไปยังกลางลานข้างล่าง ส่วนมือชักรูดท่อนลำที่ตั้งชันของตัวเองรัวเร็ว เสียงครางต่ำในลำคออย่างคนที่กำลังจะพานพบความสุข
เขาอาศัยจังหวะที่มันแหงนเงยครางลั่นด้วยความสุขสม พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว แทงเข้าที่ขาซ้ายให้มันล้มลงแล้วงัดมีดออกจ้วงแทงเข้าไปที่ใต้คางจนมันแน่นิ่ง เลือดค่อยๆ หยดลงทีละน้อย ภูมิรพีวางศพลง เดินก้มไปยังกำแพงที่ทำจากสังกะสีสูงประมาณเอวสำหรับเป็นที่กำบัง เพ่งมองสังเกตการณ์หมู่บ้านโดยรอบ
แม้จะเลยค่อนคืนมาเป็นนานแต่พวกมันกลุ่มใหญ่ตรงกลางลานข้างล่างก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยยังหลงระเริงอยู่ในวังวนของยาและเซ็กส์จากเรือนร่างเล็กเพื่อนของน้ำนิ่ง และชายหญิงวัยรุ่นอีกสองคนอย่างมัวเมาไม่ลืมหูลืมตาไม่มีทีท่ารับรู้ถึงการมาเยือนของมัจจุราช
ภูมิรพีหันหลังกลับวิ่งลงบันไดอย่างรวดเร็ว กระโดดผลุงออกทางหน้าต่างอย่างเงียบๆ กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามเงามืดลัดเลาะไปตามกำแพงจนถึงบ้านหลังหนึ่งซึ่งห่างจากหลังแรกเกือบหกเมตร แต่ห่างจากลานกลางสามเมตร หน้าต่างไม้ถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ ชายหนุ่มโดดผลุงเข้าไปพร้อมกับปืนสั้นติดตั้งกระบอกเก็บเสียงเรียบร้อย มันเป็นห้องแคบๆ เหมือนห้องเก็บของหรืออะไรสักอย่าง
เขาก้าวออกมาจากห้องนั้นอย่างเงียบกริบที่สุด หันมองซ้ายขวาบริเวณโถงทางเดิน ตกแต่งสวยงามต่างจากสภาพภายนอกลิบลับ ตามผนังติดไฟประดับสวยงาม สองข้างแบ่งเป็นห้องฝั่งละสามห้อง เร็วเท่าความคิดเขารีบสาวเท้าไปยังประตูแต่ละห้องสายตาสอดส่องเข้าไปภายในอย่างละเอียด ภายในห้องเหมือนห้องพักตามโรงแรมระดับสามดาวที่เห็นทั่วไปนี่คงจะเป็นอาคารรับรองแขก
ถ้านี่คือศูนย์บัญชาการของไต่ซินหยางการคุ้มกันมันก็ดูจะหละหลวมเกินไป?? สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่มันรบกวนจิตใจเขา ทุกอย่างมันดูจะง่ายเกินไป ภูมิรพีเดินอย่างระแวดระวังมาจนถึงโถงกลางแล้วต้องเบี่ยงตัวหลบเข้าบังซอกตู้โชว์อย่างอย่างรวดเร็ว ชายแต่งชุดทหารคนหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าท่าทางเมามายคนหนึ่งเดินผ่านไปยังประตูออกไปข้างนอก
เขานิ่งรอจนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติจึงก้าวออกจากที่ซ่อน เดินอย่างเงียบกริบไปชะโงกดูบนโซฟาราคาแพงกลางห้องโถงมันคนหนึ่งอยู่ในสภาพเมามายและเหนื่อยอ่อนกึ่งหลับกึ่งตื่น โต๊ะหน้าโซฟามีขวดเหล้าที่มีน้ำสีอำพันเหลือติดก้นขวดเล็กน้อย ควันและกลิ่นฉุนแรงของบุหรี่สอดไส้ลอยเอื่อยปนเปไปกับอากาศภายในห้อง พวกมันมันคงหนีเวรมาทำเรื่องแบบนี้กันภูมิรพีแสยะยิ้มอย่างสมเพช
“ควายมึงกลับมาไมอีก เดี๋ยวพ่อมึง...เอ้ย!!?”
มันโงหัวขึ้นจากพนักโซฟา ตาปรือปรอยอย่างคนเมาร้องถามด้วยน้ำเสียงพร่าเลือน เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ มันลืมตาขึ้นก่อนตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ภูมิรพีไม่เปิดโอกาสให้มันหลุดเสียงร้องจากปาก รุกประชิดแทงมีดเข้าไปที่ท้ายทอยของมัน ทะลุเข้าไปสู่ไขสันหลังและก้านสมอง หยุดการทำงานของชีวิตโดยสมบูรณ์แบบ ก่อนจะดึงมันออกอย่างรุนแรง เลือดสาดกระเซ็นเป็นเส้นตรงตามแนวมีดไหลหยดเปื้อนพรมราคาแพง แล้วใช้อีกมือผลักร่างไร้วิญญาณลงพื้นอย่างไม่แยแส กราดตาจับทุกรายละเอียดทั่วบริเวณห้องโถงที่ตกแต่งสวยงามนั่นอย่างไม่วางใจ
“พี่ณิตฟังอยู่รึเปล่า....ที่นี่มันเป็นเรือนรับรองไม่มีอะไรเลยวะพี่ หรือว่าที่เกลื่อนลานนั่นคือทั้งหมดของมัน??”
“ก็ดีแล้วนี่ จะได้ถล่มแม่งทีเดียวตายยกรัง”
“ผมไม่คิดว่ามันจะง่ายอย่างนั้น มันดูง่ายเกินไปวะพี่!!?.....
เหี้ย !!!!!! มันเป็นกับดัก!!!!”
“สิงห์ห์ห์ห์ห์ห์ห์!!!!!” เสียงพี่ณิตตะโกนจนแก้วหูแทบแตกออกมาจากวิทยุ เขาวิ่งออกจากโถงกลางก่อนจะกระโจนเข้าหลบอย่างรวดเร็ว
“บัดซบเอ๊ย!!! ออกมาจากที่นั่นเดี๋ยวนี้!!!” “วี๊ดดดด.....บึ้มมมมมมมมม!!!....” เสียงระเบิดดังสนั่นแข่งกับเสียงตะโกนของคณิต หลังจากทุกสรรพเสียงเงียบลง ภูมิรพีผงกหัวขึ้นสะบัดอย่างมึนงง ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษเล็กเศษน้อยจากปูน หิน ไม้ แก้ว ที่ปลิวว่อนในชั้นบรรยากาศ เอี้ยวตัวกลับมามองโถงกลางซึ่งมีสภาพเละเป็นโจ๊ก
เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆ รู้สึกเจ็บแปลบที่ต้นขาด้านใน ซึ่งถูกเศษเหล็กลูกกรงยาวประมาณเกือบฟุตหนาประมาณครึ่งนิ้วกระแทกเข้าเต็มเหนี่ยว ปลายสองด้านทะลุออกมาให้เห็น ตามรอยขาดวิ่นของเสื้อผ้าปรากฏรอยไหม้สองสามแห่งไม่ใหญ่นัก และเพิ่งจะตระหนักว่าตัวเองหัวแตกเพราะเลือดที่ไหลหยดเป็นทางจนกลบตา
มือแกร่งยกปาดเช็ดเลือดออกจากตา พยุงตัวลุกขึ้นยืนความเจ็บแผ่ซ่านไปทั่วทั้งขาจนชา เขากัดฟันแน่นยืนนิ่งอย่างนั้นจนสติเริ่มค่อยๆ กลับมา คว้าปืนสั้นที่ตกอยู่ใกล้กันมาเหน็บเองกางเกงด้านหลัง อีกมือกระชับปืนไรเฟิลแน่น เดินเขยกกึ่งวิ่งออกมาทางเดิมอย่างรวดเร็ว เสียงปืนดึงหนึ่งนัดและดังขึ้นเรื่อยๆ ตามหลังมาอย่างกระชั้นชิด
“ปัง..ปัง...ปัง...ปัง...ปัง” “เวรเอ๊ย!!!” มัจจุราชลูกเล็กๆ ลูกหนึ่งเจาะทะลุไหล่ซ้ายเขาอย่างจัง ถ้าพวกมันหวังให้เขาหยุดการเคลื่อนไหว มันทำสำเร็จแต่ก็เพียงชั่วครู่ มือแกร่งกุมบาดแผลบนไหล่แน่นจนเลือดไหลซึมตามง่ามนิ้วมือเป็นทาง กัดฟันแน่นพยุงตัวกระโดดผลุงออกทางหน้าต่างวิ่งหลบหลีกไปตามเงามืดอย่างรวดเร็ว ทหารรับจ้างเกือบครึ่งร้อยคนวิ่งไล่กวดตามมาพร้อมสาดกระสุน M4A1 ตามหลังเขาราวกับห่าฝน
…………………………
“สิงห์!!!....นั่นมันเหี้ยอะไรวะ” “เฮีย!!!..เวรแล้ว” คณิตและเด็ดขาดร้องขึ้นพร้อมกันอย่างตกใจเมื่อเห็นสภาพของภูมิรพี เลือดไหลทะลักเป็นทางจากบาดแผล คณิตรีบวิ่งมาประคองเข้าหลบในที่กำบัง มือแหวกผมตรงหน้าผากจนเผยให้เห็นแผลที่ใหญ่และลึกพอสมควร มือหยิบเศษไม้และแก้วเล็กๆ ที่ปักคาบาดแผลออกให้อย่างเบามือ เด็ดขาดถลาเข้ามาตรวจดูบาดแผลอีกคนด้วยความห่วงใย
“ฮะ เฮีย...เอาออกก่อนไหม” เด็ดขาดจ้องเหล็กที่ขา เขามองตาม แล้วโบกมือห้าม
“เอาไว้ก่อน ตอนนี้มันชาไม่เจ็บเท่าไร จัดการพวกมันก่อนเถอะ...”
สภาพสาหัสสากรรจ์ของภูมิรพีทำให้เด็ดขาดละล้าละลังแทบทำอะไรไม่ถูกห่วงเจ้านายที่มีเหล็กเสียบคาอยู่ ไหนจะแผลกระสุนตรงไหล่อีก นี่ยังไม่รวมแผลเล็กแผลน้อยจากสะเก็ดระเบิดทั่วตัว เจ้าตัวบอกไม่เจ็บก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า
“มึงไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น กูสตรอง...ไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า” ภูมิรพีพูดราวกับไม่ยี่หระกับมัน
“ครั้งหน้าเฮียคิดว่าจะโชคดีหยิบขี้โดยไม่เลอะมือได้อีกเหรอวะ ไม่ต้องกระโจนลงมาแสดงเองก็ได้เปล่าวะ”
สีหน้าภูมิรพีนิ่งสนิทจนอ่านไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มทำเพียงยกมือขึ้นตบไหล่แกร่งของเด็ดขาดเบาๆ เขาเข้าใจดีว่าเด็ดขาดเป็นห่วงเขา แต่เขาไม่ต้องการจะให้คนของเขาโดนฆ่าเหมือนเมืองแมน
“ผมหมายความตามนั่นจริงๆ นะ ถ้าเกิดเฮียเป็นอะไรไปน้องจะอยู่ยังไงเคยคิดถึงจุดนี้บ้างรึเปล่า”
แรงบีบที่ไหล่เป็นดั่งคำสัญญาที่เด็ดขาดรู้สึกถึงมัน จึงได้แต่ถอนหายใจยาวยอมแพ้ต่อการตัดสินใจของภูมิรพี ยอมผละจากภูมิรพีหันกลับไปยิงตอบโต้พวกมันระบายอารมณ์ แค่คิดว่าถ้าคนที่ถูกแรงระเบิดฉีกร่างเป็นภูมิรพีใจเขายังวูบโหวงขนาดนี้ แล้วน้องล่ะ....!?
“ขอร้องวะ! นั่งนิ่งก็ไม่มีใครว่าเอาเปรียบ ไม่เห็นแก่พวกกูก็เห็นแก่น้องมันบ้าง” ภูมิรพีขยับตัวจะเข้าไปช่วยแต่ถูกคณิตกดตัวไว้จึงยอมให้นั่งลงตามเดิม
“ปัง..ปัง...ปัง...ปัง...ปัง” เสียงกระสุนที่ยิงโต้ตอบกันถากผนังปูนที่พวกเขาหลบอยู่เศษปูน ฝุ่นดินปลิวว่อนกระเด็นมากระทบให้รู้สึก เหงื่อกาฬเม็ดเล็กผุดพรายเต็มหน้าผากและไรผมของภูมิรพีจนเปียกชื้น สันกรามบดแน่นเพื่อบรรเทาอาการปวดแผล แต่ภูมิรพีไม่สนใจกลับเปลี่ยนกระสุนอันใหม่อย่างใจเย็น
“ปัง..ปัง...ปัง...ปัง...ปัง” HK33 จากมือเด็ดขาดและบอดี้การ์ดอีกคนปล่อยกระสุนออกไปอย่างแม่นยำ กลุ่มควันพวยพุ่งจากปากกระบอกปืนพร้อมกับมัจจุราชลูกเล็กๆ สอยพวกมันร่วงราวกับใบไม้ที่ถูกลมพัดกรรโชกแรงปลิวหลุดจากขั้วลงสู่พื้นอย่างไร้ความหมาย คาดคะเนจากสายตาน่าจะเกือบสามสิบคน แต่ความไวตามแบบอย่างทหารที่ฝึกมาอย่างดีทำให้พวกมันหลายคนรอดไปได้อย่างหวุดหวิด
“แมร่ง!! ไอ้ห่าไม่น่าเลย...รอดไปได้เกือบสิบ” เด็ดขาดสบถอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“พวกที่ออกลาดตระเวนรายงานเข้ามาว่า มันทิ้งชีสไว้ในบ้านเกือบทุกหลังรอบบริเวณนี้ ล่อให้เราไปกินเสร็จแล้วก็บึ้ม กูว่ามันไม่ได้ต้องการแค่เศษไม้ใบหญ้าแต่ที่มันต้องการคือรากของต้นไม้..” คณิตบอกด้วยน้ำเสียงกังวล
“ผมเห็นด้วยกับเฮียณิตนะ ดูจากเมื่อกี้พอเกิดบึ้มแค่นั้นแหละพวกแมร่งแห่มาจากไหนก็ไม่รู้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เงียบยังกับเป่าสาก” เด็ดขาดสำทับมาอีกคน มือกำลังสาละวนกับการใส่กระสุนปืน
“มันแปลกๆ ตั้งแต่เข้าไปในบ้านนั่นเหมือนกัน ที่สำคัญมันรู้ตัวแบบนี้ก็เล่นยากแล้วว่ะพี่ แต่ดีที่มันไม่มีของกลางแล้ว”
ไม่มีเสียงตอบโต้จากทั้งคู่ พวกเขาซุ่มเงียบเพราะมั่นใจในที่กำบัง เปลวไฟจากลำกล้องที่พวกมันยิงออกมา ทำให้พอจะจับจุดได้ว่าพวกมันก็ต้องมีที่กำบังที่ดีเช่นกัน ความใจเย็นเท่านั้นที่พวกเขามีตอนนี้
“ปัง..ปัง...ปัง...ปัง...ปัง” ความอดทนของพวกมันสิ้นสุดลงหลังจากเวลาผ่านไปได้แค่สิบนาที ห่ากระสุดตกลงจุดที่พวกเขากำบังอีกครั้ง
“อย่ายิง....!!” คณิตสั่งห้ามเมื่อเห็นว่าเด็ดขาดและบอดี้การ์ดกำลังจะยกปืนขึ้นยิงตอบโต้ “เราต้องกลับไปจุดนัดเดี๋ยวนี้เฮียมึงกำลังไม่ไหวแล้วต้องได้มอร์ฟีนระงับปวดก่อนค่อยกลับมาถล่มมันก็ยังทัน”
คณิตคงสังเกตอาการของเขาได้จึงสั่งห้ามเสียงเข้ม ใช่บาดแผลกำลังเริ่มปวดตุบๆ จนเขาต้องกัดฟันแน่นข่มความเจ็บ แผลถูกยิงเลือดยังไหลไม่หยุด สมองมึนงงขาวโพลนจากการเสียเลือดมาก
“เฮียอดทนไว้ขอ 1 นาที”
“เออ!! มีห่าเหวอะไรก็จัดไปกูทน...” ภูมิรพีเค้นเสียงตอบด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการเสียเลือดไปมาก หน้าเผือดขาวใจหวิวสติแทบจะดับวูบ
“หวี๊ดด...บึ้มมมมม....” เสียงหวีดร้องของจรวดลูกหนึ่งที่พุ่งแหวกอากาศใส่บ้านที่พวกเขาใช้กำบังอย่างจัง เศษเล็กเศษน้อยของตัวบ้านปลิวว่อนจากแรงระเบิด ดีที่คณิตและเด็ดขาดไหวตัวทันเข้าประคองตัวภูมิรพีวิ่งออกจากบ้านหลังเข้าหลบที่หลุมบังเกอร์ห่างออกมาเกือบสองสามเมตรชั่วเสี้ยวนาทีก่อนที่ระเบิดลูกนั้นจะปะทะตัวบ้าน การขยับตัวอย่างรวดเร็วทำให้เขาปวดแผลจนสติแทบวูบ
“โอ้....เวรแล้ว!!” คณิตสบท “พวกมันมาเสริมกำลังเยอะเกินไป เราต้องออกไปจากที่นี่กันแล้วไป ไป..”
เด็ดขาดไม่รอให้สั่งซ้ำ ถอดสลักระเบิดควัน 2 ลูก โยนลงไปตรงกลางทาง ควันสีเทาปะทุออกมาเยอะพอที่จะบดบังทัศนียภาพ เขาพยักหน้าให้คณิตประคองภูมิรพีวิ่งออกไปก่อน ส่วนตัวเองก็ดึงระเบิดสังหารออกจากอกเสื้อ ถอนสลักแล้วขว้างออกไปสุดแรงเกิดตรงจุดที่พวกมันซ่อนอยู่
“บึ้มมมมมมม...” เสียงระเบิดช่วยกลบเสียงการเคลื่อนตัวของพวกเขาได้เป็นอย่างดี กว่าทุกอย่างจะสงบลงก็ช่วยให้พวกเขาห่างออกมาไกลโข ไม่มีการหยุดยั้งเพื่อการใดๆ อีก
ทั้งหมดออกวิ่งอย่างรวดเร็วจนถึงที่ตั้ง คณิตพยุงให้ภูมิรพีนั่งพิงผนังกำแพง ผละไปยังจุดที่ซ่อนเป้ของตัวเองไว้ ล้วงเอาล่วมยาขนาดพกพาออกมา จัดการฉีดมอร์ฟีนระงับปวด ทำแผลเล็กแผลน้อยแผลถูกยิงให้ภูมิรพีอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายเหลือแผลถูกเหล็กเสียบ คณิตเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าให้ดึงออกเลยหรือไม่ เพราะตอนนี้มอร์ฟีนยังไม่ออกฤทธิ์ ในความคิดของคณิตถ้าดึงออกเลยมันคงเจ็บพิลึก
ภูมิรพีพยักหน้ารับ คณิตส่ายหน้ายอมใจคนตรงหน้าจริงๆ เมื่อห้ามไม่ได้จึงยื่นด้ามมีดให้ภูมิรพีกัดไว้ บอดี้การ์ดสองคนขยับตัวเข้ามายึดแขนทั้งสองข้างไว้แน่นกันดิ้น ภูมิรพีเกร็งตัวรับความเจ็บปวด
“เอา”
คณิตเงยหน้าถาม เขาขบฟันลงบนด้ามมีดแน่นและพยักหน้ารับ คณิตจับเหล็กชิ้นยาวนั้นอย่างเบามือ ขยับสองสามครั้งให้หลวมลื่นจากเนื้อ ภูมิรพีรู้สึกเหมือนมีเหล็กแหลมสักพันเล่มทิ่มแทงขาเขา
“เอาล่ะ...”
คณิตจ้องตาสีแปลกเขม็ง ปากพูด แต่มือเอื้อมไปจับเหล็กไว้มั่นออกแรงดึงอย่างแรงทีเดียวเหล็กนั้นก็หลุดออกมา ความเจ็บปวดอย่างมหันต์ระเบิดตูมจนหูตาพร่างพราย เห็นทุกอย่างขาวเว่อไปหมดจนแทบสิ้นสติ
“อั๊กกกก...” เลือดสีแดงฉานพุ่งทะลักจากบาดแผลไหลนองไปตามพื้น คณิตเทน้ำจากกระติกน้ำชะล้างสิ่งสกปรกที่อาจตกค้างในบาดแผลจนสะอาด ใช้ผ้าก็อชกดปากแผลไว้แน่นจนเลือดหยุดไหล จึงใช้ยาระงับปวดและยาปฏิชีวนะป้องกันแผลติดเชื้อและบาดทะยัก เสร็จแล้วจึงใช้ผ้าพันแผลให้อย่างแน่นหนา ภูมิรพีนั่งนิ่งๆ รอให้ยาออกฤทธิ์จะได้ไปจบเกมส์กันซะที
“จุดหนึ่งจากจุดสอง”
“........”
“จากจุดสองเปลี่ยน...ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหม......”
“………..”
“พระเจ้า!! มึงอย่าเงียบสิวะ!!.... สิงห์!!?..ไอ้น้องเชี๊ย เฮียห่วงมึงนะโว้ย!!...”
“ใจเย็น ๆ โอเคอยู่แล้วน่า”
เพราะฤทธิ์ยาที่ฉีดทำให้ตอนนี้ภูมิรพีไม่เจ็บแผลแล้ว เขาพยายามปรับลมหายใจให้ปกติ ก่อนจะตอบคำถามเซนด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับเมื่อสิบนาทีที่แล้วไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย ทั้งคณิตและเด็ดขาดเบ้ปากหันมองไอ้คนปากแข็งที่บอกว่าตัวเองโอเคอย่างหมั่นไส้ ภูมิรพีมองตอบทั้งคู่เขม็งให้เก็บปากเก็บคำซะ เด็ดขาดฮึดฮัดก่อนจะหันกลับไปดูต้นทางต่อ
“โอเคก็ดี”
“มันตลบหลังเรา”
“กูว่าแล้ว!! มันแปลกศูนย์บัญชาการนะโว๊ยแต่แมร่งไม่มีหมาสักตัวเฝ้า มันดูง่ายเกินไปที่ให้พวกเราผ่านเข้ามาแบบสะดวกโยธิน แถมห้องยามยังปล่อยโล่งไม่มีเหี้ยไรเลย เราต้องลุยมันแล้วว่ะ”
ความเครียดบนใบหน้าของภูมิรพีทำเอาแต่ละคนเข้าหน้าไม่สนิท ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยอะไรออกไปด้วยซ้ำ ไฟฟ้าก็สว่างพรึบขึ้นทั่วบริเวณ ทั้งหมดหันสบตากันโดยไม่ได้นัดหมายด้วยความฉงนสนเท่ห์
/ Game Over / เสียงของไต่ซินหยางจากเครื่องกระจายเสียงตามจุดต่างๆ ดังก้องทั่วหมู่บ้าน เป็นเครื่องยืนยันว่ามันรู้แล้วว่าเขาไม่เล่นตามเกมส์
/ พวกนายตุกติกไม่เล่นตามเกมส์ที่ฉันกำหนด ช่างรนหาที่แท้ๆ จะให้ทำยังไงดีน้ากับของกลาง.../ น้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นต่อของไต่ซินหยางดังสำทับมาอีกครั้ง น้องยังไม่ถึงบ้าน...!?
“เฮียใครไปส่งน้อง รายงานกลับมารึยัง ถึงไหนกันแล้ว” ภูมิรพีวิทยุหาเซนทันทีด้วยอารมณ์ที่หลายหลาก วอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้นั่นเป็นแค่คำขู่...
“อาแจ๊กซ์!!...เวรเอ๊ย!! เฮียติดต่อใครไม่ได้เลย ที่บ้านก็ยังไม่มีใครกลับไป”
ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำเซนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนยิ่งกว่า ทุกทางมืดบอดและไร้ความหวังเมื่อไม่สามารถติดต่อใครได้แม้แต่คานิน ภูมิรพีนิ่งงันอยู่อย่างนั้นเป็นนาน ใจวูบไหวอ้อนวอนต่ออะไรก็ตามอย่าให้ที่เขาคิดเป็นความจริงเลย
/ คงคิดว่าฉันขู่สินะ…!!? จะให้ฟังเสียงสักนิดก็แล้วกัน / / ภ ภูมิหนูไม่เป็นอะไร… / / เฮียไม่ต้องห่วงผม / “บัดซบ!! พวกมันได้ตัวน้อง”
ภูมิรพีสบถเสียงเข้ม ดวงตาสีแปลกสีเข้มเกือบแดงราวกับท้องฟ้ายามมีพายุใหญ่กำลังพัดปั่นป่วน เด็ดขาดและบอดี้การ์ดซึ่งอยู่ใกล้ถึงกับหยุดหายใจเป็นพักๆ
/ อย่างที่พวกแกคิดนั่นแหละ ของกลางอยู่กันฉัน ออกมาสิ ออกมาคุยกันแล้วเล่นเกมส์นี้ให้จบในแบบของเรา ห้านาทีที่ลานกลาง ถ้าช้าฉันระเบิดหัวไอ้เด็กสองคนนี้แน่ อ๊ะ! อ๊ะ!..ไม่ดีกว่า แบบนั้นมันเสียของแย่สิวะ ฉันว่าเอาประมูลน่าจะเหมาะดีว่ะ..วิน-วิน ห้านาทีอย่าช้า..../ “เวรเอ๊ย!!....จุดสี่จากจุดหนึ่งโอเครึเปล่า” สันกรามแกร่งบดแน่น สายตามคมกร้าว มือกำวิทยุในมือแน่น ก่อนจะวิทยุถึงพี่เอ็กซ์
“จุดหนึ่งจากจุดสี่ ข้ามชายแดนมาแล้ว ยังโอเคพร้อมชีสสิบก้อนในกระเป๋า อีกครึ่งชั่วโมงถึงบ้าน ทางนั้นเป็นไง”
“ดีแล้ว มันฉกของกลางคืนไปได้”
“ได้ไง…!!?”
“ยังไม่รู้อะไรเลย มันนัดเจอที่ลานกลางหมู่บ้าน แค่นี้นะพี่ ปลอดภัยจนกว่าจะถึงบ้าน”
“ทางนั้นก็เหมือนกัน”
“เฮีย พี่กรณ์ แผนยังเหมือนเดิม แต่ละทีมแบ่งเป็นสองชุด ชุดหลักไปเจอกันที่นัดพบ ชุดสนับสนุนให้ซุ่มรอดูเหตุการณ์และระวังหลังกระจายตามโซนที่ตัวเองรับผิดชอบ ถ้าพวกมันยึกยักจัดการได้เลยไม่ต้องสนใจเข้าใจตรงกันนะ เอาล่ะเจอกันที่ลานกลางหนึ่งนาที....” ภูมิรพีวิทยุบอกแผนกับอีกสองคน
“พี่ณิตกับบอดี้การ์ดทั้งหมดกระจายกำลังคอยระวังหลัง ผมจะไปกับเด็ดขาดเอง เอาล่ะไปจบเรื่องนี้กัน” ภูมิรพีหันไปแจกแจงหน้าที่ก่อนจะพยักหน้ากับเด็ดขาดให้ไปกับตนเอง
“สิงห์!!” ภูมิรพีเอี้ยวตัวกลับมาตามเสียงเรียกที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจของคณิต เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“มึงไม่จำเป็น...”
“ไม่ผมต้องจบมัน ” สายตาคมกล้าที่สบกันทำให้คณิตถอนหายใจยาวยอมแพ้ สีหน้ายังไม่คลายกังวล
“ก็ได้ว่ะ จำคำกูไว้ว่าคนแมร่งหลอกกันเองได้ จะมึงหรือกูก็ไม่มีทางรู้ว่าคนอย่างมันทำอะไรได้บ้าง เพราะยังงั้นจะทำอะไรมึงคิดให้ดีเพราะไม่รู้ว่าใครมีอะไรในใจ” คณิตถอนใจยาว สีหน้ายังไม่คลายกังวล
ภูมิรพีขยับปากเหมือนจะพูดอะไรแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้หลุดคำใดออกมา มีเพียงแววตาสีแปลกที่ทอประกายกร้าวและมุ่งมั่นสบกันเพียงครู่ ก่อนจะหันหลังเร่งฝีเท้าไปยังลานกลางตามนัด ความห่วงใยของพวกพี่มันทำไมภูมิรพีจะไม่รับรู้แต่ถ้าหากจะมีอะไรเกิดขึ้น เป็นเขายังจะดีกว่าให้คนอื่นๆ มารับแทน
...................................
อีกห้าเมตรก่อนถึงจุดนัดสองเฮีย เข้มแข็ง และบอดี้การ์ดอีกห้าคนซุ่มรออยู่แล้ว ภูมิรพีเข้าไปสมทบอย่างเงียบเชียบ เฮียทั้งสองหันกลับมามอง ก่อนจะนิ่งงันเมื่อเห็นสภาพของภูมิรพีชัดเจน
“นี่มึง....” ทั้งคู่หลุดคำได้เท่านั้นจริง แล้วต้องหุบปากลง
“เออ!! แค่นี้ยังใกล้หัวใจ เฮียไม่รู้เหรอผมมันต้นหญ้าที่ทนทาน ตัดยังไงก็ขึ้นอยู่ดี...”
ภูมิรพีพูดตัดบทที่เล่นทีจริงขัดกับแววตาสีแปลกทอประกายกร้าวบอกให้รู้ว่าอย่าตอแยให้มากความชีวิตน้องสำคัญกว่า เขาก้าวเดินนำหน้าไปหลายก้าวก่อนจะหันมาถามทั้งคู่ที่ยังยืนเฉย
“จะไม่ไป?”
TBC.
ปล. มาต่อแล้วนะค่ะ ขอโทษที่หายไปอันเนื่องจากงานรัดตัวเลยหายไปซะนาน ขอบคุณที่ยังติดตามกันเสมอมา...