พิมพ์หน้านี้ - เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: WiChy ที่ 07-10-2015 21:08:22

หัวข้อ: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 07-10-2015 21:08:22
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*****************************************************************************************








Title ::  เด็กเลี้ยง
Author ::    WiChy

   
Warning  ::

** นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายชายรักชาย เนื้อหาบางส่วนมีการใช้ความรุนแรงและใช้คำไม่สุภาพอยู่พอสมควร  สำหรับคนอ่านท่านใดที่รับไม่ได้กับเนื้อหาที่รุนแรง การมโหเวอร์เกินของคนเขียน  คำไม่สุภาพ หรือรำคาญบท ตัวละคร หรือไม่ชอบใจอะไรก็แล้วแต่คุณสามารถกดออกจากหน้านิยายเรื่องนี้ได้ทันทีคะ 

** เนื้อเรื่อง  บุคคล สถานที่ เป็นเพียงสิ่งสมมติ แต่อาจจะมีบางสถานที่ที่อ้างอิงถึงก็เพื่อเพิ่มอรรถรสในการมโนและการอ่าน

** ขอย้ำ   เนื้อหาบางส่วนมีอาจจะมีความรุนแรง เพื่อให้เข้าถึงแก่นของจิตใจมนุษย์ที่ยังคงรัก โลภ โกธร หลง ดังนั้น ขอความกรุณาผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน และเลือกทำในสิ่งที่ทำแล้วสบายใจเพื่อการอยู่ร่วมกับได้อย่างสบายใจ ขอบคุณมากมายค่ะ ^^

** นิยายเรื่องนี้ผู้เขียนมีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวไม่อนุญาตให้ผู้ใดนำไปโพสที่อื่น ยกเว้นตัวคนเขียนเองเท่านั้น **








1

น้ำสิงห์



      “เรือนชิดชล” 

       บ้านเรือนไทยหลังใหญ่บนพื้นที่กว่ายี่สิบไร่ริมแม่น้ำสายหลักของจังหวัด ส่วนหนึ่งของบริเวณบ้านด้านหลังจำนวนสิบไร่ทำเป็นเรือนสงเคราะห์เด็กที่พ่อแม่ทอดทิ้ง บ้านแห่งนี้อยู่ในความครอบครองดูแลโดยคุณเหมือนวาด และคุณแม้นเหมือน  บุลวัชร บุตรีของเจ้าสัวเส่งและคุณนายส้มจีนซึ่งท่านทั้งสองเสียชีวิตไปนานแล้ว


      “คุณวาดขอรับคุณวาด”  ชายหนุ่มวัยสี่สิบเศษวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในบริเวณใต้ถุนเรือนร้องเรียกหาหญิงวัยกลางคนด้วยเสียงตระหนก

      “อะไร แสงมีอะไรรึเสียงดัง...”  หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามผู้เข้ามาใหม่เสียงเรียบ

      “คุณท่านต้องไปกับกระผม ต้องไปเดี๋ยวนี้ เร็วๆ ขอรับ”  แสงเร่งเร้าให้หญิงวัยกลางคนตามตัวเองออกไป

      “อะไรช้าๆ จะรีบไปไปไหน” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามเท้าก็ก้าวตามอย่างเร่งรีบ

      “เร็วๆ ขอรับคุณท่าน ตรงโน้น ใต้ต้นกันเกราเราต้องรีบ ” 



      ตึก!  ตึก!  ตึก!

       คนทั้งคู่เร่งฝีเท้าวิ่งตามกันมาถึงใต้ต้นกันเกราใหญ่สุดแนวรั้วของบ้านชิดชล  นายแสงเดินนำไปยังพงหญ้าที่สูงเกือบถึงเอวมือใหญ่แหวกหญ้าออกพร้อมดึงกระชากซากกิ่งต้นกันเกราขนาดใหญ่พอสมควรที่หักลงมาออกจนหมด  สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคุณวาดคือกระเป๋าแบรนด์เนมใบเขื่อง คุณวาดลากกระเป๋าให้พ้นจากพงหญ้า มือเล็กรีบเปิดอ้ากระเป๋าออก...

      “โอ้!! คุณพระคุณเจ้า…ใครนะช่างทำได้”   คุณวาดคนร้องด้วยความตกใจมือยกขึ้นทาบอก ก่อนที่จะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ายกเด็กเพศชายที่หลับอยู่ในกระเป๋าขึ้นมาในอ้อมกอด

      “นั่นสิครับคุณท่าน  น่าสงสารเหลือเกิน ท่าทางจะเป็นลูกคนมีกะตังค์แต่ทำไมเอาลูกมาทิ้งแบบนี้   คนเราทุกวันนี้จิตใจมันทำด้วยอะไรกัน  แต่ว่าก็ว่าเถอะขอรับคุณท่านเด็กคงจะมีบุญโขอยู่กิ่งไม้ตั้งใหญ่หักลงมาไม่ยักกะทับกระเป๋าเฉียดไปตั้งเยอะ นี่ถ้าผมไม่มาตัดกิ่งไม้ที่หักขวางทางก็คงจะไม่เห็น”  นายแสงร่ายยาวให้คุณวาดฟัง

      “เป็นบุญของเด็กจริงๆ แสงดูซิในกระเป๋ามีอะไรรึเปล่าที่จะบอกว่าเด็กนี่เป็นใคร  ฉันว่าอายุน่าจะสักประมาณขวบแหละ”  คุณวาดมองดูหน้าเด็กในอ้อมกอด น่าจะเป็นเด็กที่รู้อยู่ดูสิเธออุ้มตั้งนานไม่มี  ร้องสักแอะ ทำตาใสจ้องตอบเธอแป๋วแหววเลยเชียว

      “ไม่มีอะไรในกระเป๋าเลยขอรับคุณท่าน”  แสงเงยหน้าขึ้นบอกหลังจากควานมือจนทั่วกระเป๋าแล้วไม่เจอหลักฐานอะไรที่จะบอกได้ว่าเด็กเป็นลูกใคร ชื่ออะไร

      “เหรอ งั้นไม่เป็นไรมาเป็นลูกบ้านนี้ก็แล้วกันเนอะ ปะเข้าบ้านเรากันนะครับ” 

       คุณวาดก้มหน้าพูดกับเด็กในอ้อมกอด  ก่อนที่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินหันหลังกลับเข้าเรือนไป…หญิงกลางคนอุ้มเด็กเดินมาจนถึงห้องโถงรับรองของบ้านซึ่งปรากฏผู้หญิงวัยใกล้เคียงกันอีกคนหนึ่งนั่งอยู่

      “แม้นดูสิใครโผล่มาเรือนเราอีกแล้ว”  คุณวาดเดินเข้ามานั่งลงข้างคุณแม้นยื่นเด็กในอ้อมกอดให้อีกคนดู ตาสีแปลกลืมแป๋วแหววมองคนทั้งคู่ไม่กระพริบ

      “ต๊าย!! ใครละนี่แววหล่อเหลาออกตั้งแต่ตอนนี้เชียว สงสัยต่อไปหัวกระไดจะไม่แห้งซะแล้ว ผู้หญิงคงตบตีกันวุ่นวายเพราะลูกชายคนนี้ของเราฮ่า ฮ่า” คุณแม้นเธอเอ่ยด้วยความตื่นเต้นแววตาเจือความอบอุ่นที่ได้ของเล่นใหม่แขนเรียวขาวผ่องยื่นไปรับเด็กมาพิศดูหน้า

      “แสงไปเจออยู่ในกระเป๋าหลังต้นกันเกราข้างรั้วโน้น ดีนะกิ่งไม้ใหญ่ที่หักไม่หล่นลงมาทับ”  คุณวาดบอกผู้เป็นน้องสาว

      “เหรอคนดีเทวดาคุ้มครองนะลูก แต่แม้นว่าลูกชายเราน่าจะเป็นเด็กลูกครึ่งสักสัญชาตินะเนี่ย จมูกโด่งเป็นสัน  ผมสีน้ำตาลเข้ม ผิวขาวอมชมพู  แต่เอ๊ะ!! วาดดูตาสิสีแปลกมากเลยมันเหลือบเขียว ฟ้า แล้วก็ทองอำพัน  อย่างนี้รึเปล่าที่ เขาเรียกกันว่า Heterochromia  หรือพวก Odd eye น่ะ”  คุณแม้นพิศหน้าเด็กในอ้อมกอดอยู่นาน ก่อนที่สะดุดใจกับนัยน์ตาสีแปลกของเด็กจึงยื่นตัวเด็กให้อีกคนดู

      “ใช่จริงๆ ด้วย เมื่อกี้พี่ก็ไม่ได้สังเกต ดูสิมองเราสองคนตาแป๋วเชียวหิวรึเปล่าลูกฮืม” คุณวาดยื่นนิ้วไปเกลี่ยแก้มใสของเด็ก เธอยิ้มกว้างอบอุ่นทำหน้าตาหยอกล้อกับเด็กน้อย

      “Mom  Mom...” เด็กน้อยส่งเสียงใส แขนอวบกางออกกว้างให้กอด

      “ว้าย!! รู้จักประจบด้วย ไม่งอแงเลยท่าจะรู้อยู่นะเรา รู้จักปรับตัวน่ารักจริง” คุณแม้นอดใจที่จะก้มหน้าลงหอมแก้มยุ้ยของเด็กไม่ได้  เด็กน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อคุณแม้นยกตัวเด็กขึ้นฟัดพุงกลมด้วยความหมั่นเขี้ยว

      “พี่จะให้คุณลุงประสิทธิ์ไปแจ้งตำรวจถ้ามีบุญต่อกันก็คงจะได้เลี้ยงดูเป็นลูกชายเราอีกคนแหละเนอะ”



      เช้าที่บรรยากาศมัวซัวครึ้มฝนกลางเดือนสิงหาคมวันนั้น ภายในเรือนชิดชลกลับสว่างไสวอบอุ่นจากเมล็ดพันธุ์ที่ถูกทิ้งขว้างไว้ตรงสุดปลายรั้วไม้ระแนงสีขาวใต้ต้นกันเกราใหญ่ เกือบสองเดือนที่คุณวาดแจ้งความแต่ก็ไม่มีใครมายืนยันว่าเด็กคนนี้เป็นลูก จึงทำเรื่องให้เด็กมาอยู่ในอุปการะและตั้งชื่อให้เมล็ดพันธุ์นี้ว่า “สิงห์”  หรือ “เด็กชายภูมิรพี  บุลวัชร” 



       เด็กชายภูมิรพี อายุแค่ 6 ขวบ ยังไม่ได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษ แต่สามารถอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเรื่อง I Know Why The Caged Bird Sings : MAYA ANGELOU อย่างคล่องแคล่วทั้งๆ ที่หนังสือเล่มนั้นมันมีความยากของการอ่านอยู่ที่เลเวล 6 ให้เด็กๆ ในบ้านฟัง

       เธอนำเด็กชายเข้าสอบวัดประเมินกับสถาบันพัฒนาศักยภาพการใช้สมองจนรู้ว่าสิงห์มี ไอคิวสูงถึง 190 สามารถพูดได้ 7 ภาษาโดยไม่ได้เข้าเรียนภาษานั้นๆ  อายุ 11 ปี สามารถสอบเทียบและวัดประเมินผลได้ระดับปริญญาตรี อายุ 12 ปี  สอบเทียบและประเมินวัดผลได้ระดับปริญญาเอก  เธอไม่ได้ยินดีกับสิ่งที่ได้รับรู้ คิดซะด้วยซ้ำว่าพรสวรรค์ที่ได้มานั้นอาจเป็นภัยกับตัวสิงห์เอง  เธอได้แต่กำชับ ให้เด็กชายใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติทั่วไป 

       ณ วันหนึ่ง สิงห์ก็คือสิงห์ต่อให้ห้ามยังไงก็จะทำ เด็กชายประกาศกร้าวจะใช้พรสวรรค์ที่ ได้รับมาหาเงินเลี้ยงเด็กคนสำคัญเอง และทำได้ดีที่สุด

      ความจิตใจดีของสิงห์ไม่ได้หยุดอยู่แค่น้ำนิ่งมันยังเหลือเผื่อแผ่มายังเด็กอื่นๆ ในบ้านให้มีโอกาสได้เรียนดีด้วย  ‘สิ่งที่ดีในโลกคือพลังแห่งการแบ่งปันไม่ใช่พลังแห่งการแก่งแย่ง’

      'โลกนี้ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นโชคชะตา ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เราเลือกที่จะทำมันเองทั้งนั้น ความดีหรือชั่วก็เช่นกัน เราเป็นคนเลือกที่จะทำทั้งนั้น อย่าโทษคนอื่นชักจูงให้ทำ' คุณแม่สอนพวกเราแบบนั้น
 

       ถึงจะใจดีอย่างนั้นแต่คนอย่างสิงห์ไม่ควรที่ใครจะตอแยหรือทำให้โกธรเพราะพฤติกรรมที่แสดงออก อารมณ์ และความรุนแรงของการ ทำร้ายคนอื่นมันอยู่ที่ว่าของที่ถูกทำให้แตกหักเสียหายนั้นมีความสำคัญมากเท่าไรความโกธรและการเอาคืนจะรุนแรงตามความสำคัญของสิ่งนั้น 

       คนที่รู้จักสิงห์ประจักษ์แจ้งในสิ่งนี้เมื่อครั้งที่น้ำนิ่งเด็กในความดูแลของสิงห์ เรียน ป.2 สิงห์ อายุ 21 ปี  วันนั้นสิงห์ได้รับการไหว้วานจากผู้ใหญ่ให้จัดการธุระสำคัญแทน หลังเสร็จจากธุระก็รีบตรงดิ่งไปที่โรงเรียน เวลานั้นหกโมงเย็นบริเวณหน้าโรงเรียนที่น้ำนิ่งเคยรออยู่ประจำเปล่าร้างผู้คน เด็กน้อยที่ควรอยู่ตรงนั้นกลับ ไม่ปรากกฎในกรอบสายตาของสิงห์

       สิงห์แทบบ้ากังวลร้อนรน เดินตามหาอยู่ตั้งนาน สุดท้ายไปเจอที่บริเวณหลังไซด์งานก่อสร้าง เด็กน้อยดิ้นรนสุดกำลังเพื่อให้หลุดพ้นจากการฉุดกระชากของคนงาน 3 คน พวกมันหวังรุมกระทำชำเรา

       คณิตที่วิ่งตามไปตอนนั้นขนลุกซู่รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงกับโทสะและสายตาอาฆาตแค้นชิงชังที่ไม่ปิดบังของสิงห์มันแดงฉานยังกับตาปีศาจ พอรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นสิงห์ใช้เหล็กแป๊บท่อนเขื่องกระหน่ำตีพวกมันวิญญาณแทบหลุดจากร่าง ทั้งคณิต นักการภารโรง และลุงยามแทบจะหยุดยั้งแรงอาฆาตของสิงห์ไม่อยู่

       แขนเรียวเล็กที่สั่นระริกและเสียงสะอึกสะอื้นของน้ำนิ่งที่ร้องเรียกหาสิงห์อย่างขวัญเสีย ฉุดรั้งสติสิงห์ให้คืนกลับมา แขนแกร่งแต่สั่นไหวของสิงห์โอบกอดรัดน้องไว้ทั้งตัว ราวกับว่ากลัวคนตรงหน้าจะเป็นอะไรไป...พวกเราคิดว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริงสิงห์จะมีชีวิตอยู่อย่างไร.


       เหตุการณ์วันนั้นมันเป็นบทเรียนที่มีค่าและเป็นข้ออ้างที่ชอบธรรมให้สิงห์เฝ้าดูแลน้ำนิ่งอย่างดีไม่ห่างตา




[มีต่อ]

















หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 07-10-2015 21:11:20
[ต่อ]


แรกพบ




      ตึก!  ตึก!

      เสียงย่ำเท้าหนักและเร่งรีบของสิงห์ทำให้คนงานที่กวาดใบไม้แห้งอยู่บใกล้ๆ รั้วไม้ระแนงหันมาดูด้วยความฉงน ได้ยินเสียงร้องถามแว่วๆ แต่สิงห์ไม่ได้สนใจ รีบมุดตัวออกจากรอยแยกของรั้ว เร่งฝีเท้าตามเสียงที่ได้ยินตอนแรกคิดว่าแมวร้อง แต่เมื่อตั้งใจฟังดีๆ มันเป็นเสียงร้องของทารกที่ทั้งแผ่วเบาและขาดห้วง

       เสียงสะดุดหยุดลงก่อนที่เขาจะไปถึงต้นกันเกราใหญ่แค่ห้าหกก้าว  ร่างสูงใหญ่หยุดนิ่งฟังสรรพเสียงรอบข้าง แต่ทุกอย่างกลับเงียบงัน ไม่มีแม้แต่แรงลมที่พัดใบไม้ สิงห์ยกมือขึ้นปาดเช็ดเหงื่อจากลมร้อนเดือนเมษายนที่ชื้นตามไรผมจนเปียกชุ่ม

       ขณะที่กำลังขยับเสื้อไล่ลมร้อนเสียงร้องแผ่วเบาดังแว่วมาอีกครั้ง ร่างสูงชะงักค้างเพียงเสี้ยวนาทีก่อนจะก้าวขาไปจนถึงใต้ต้นกันเกราใหญ่ มือหนาแหวกพงหญ้าออก....

      ร่างสูงชาวูบราวกับถูกช็อตด้วยไฟฟ้าหลายพันโวลล์ หัวใจกระตุกวูบเหมือนตกหลุมอากาศ ก่อนที่เจ้าก้อนเนื้อเล็กๆ นั้นจะกระหน่ำเต้นแรงจนแทบทะลุ  ร่างสูงทรุดตัวลงข้างห่อผ้าปูที่นอนเกรอะเลือด  ร่างในห่อผ้ากำลังดิ้นรนหนีบางอย่างด้วยความเจ็บปวด

       มือสั่นเทาคลี่ผ้าออกกว้างทำให้เห็นว่าตามตัวของเด็กทารกยังมีเลือดเกรอะกรังและมดแดงกำลังรุมกัดตามผิวอ่อนนั่น สิงห์รีบปัดไล่มดออกจากร่างเล็กจ้อย  มือซ้อนอุ้มประคองตัวเจ้าเด็กนั่นขึ้นแนบอกอย่างทะนุถนอม

      “แอ๊  แอ๊....” 

      “ชูว์...โอ๋ โอ๋ ไม่ร้องนะเด็กดี  พี่อยู่นี่แล้ว เด็กดีของภูมิ”

       ริมฝีปากได้รูปของคนตัวโตปลุกปลอบให้ร่างเล็กจ้อยในอ้อมกอดหยุดร้อง เหมือนเด็กจะรับรู้และสัมผัสได้ถึงความปลอดภัยที่ได้รับจากอ้อมอกอุ่น  มือเล็กเหี่ยวย่นเปรอะเลือดวางสงบนิ่งบนอกซ้ายของเด็กชาย ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ  ความสุขอุ่นวาบแผ่นซ่านไปทั่วร่างแกร่ง ท่วมท้นจนอธิบายไม่ถูกกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ตัวเองได้รับ รอยยิ้มกว้างขวางระบายเต็มหน้ากับอากัปกริยาของร่างจ้อย เป็นนานกว่าสิงห์จะรู้สึกตัวและหันหลังกลับเดินแกมวิ่งอย่างร้อนรนมุดกลับเข้าไปในรั้วเดิมที่เพิ่งออกมา


      “ลุงแสงรีบไปเตรียมรถ”


      “ครับ ครับ”



       สิงห์ทั้งวิ่งทั้งตะโกนสั่งให้ลุงแสงซึ่งกวาดใบไม้อยู่บริเวณนั้นอย่างร้อนรน  พ้นรั้วไม้ระแนงนั้น  เด็กชายวิ่งมาจนถึงห้องหนึ่งใต้ทุนเรือน ผลักประตูอย่างแรงจนเสียงดังลั่น ทำให้หญิงวัยกลางคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานเงยหน้าขึ้นมองและเตรียมจะตำหนิการกระทำของเด็กชาย แต่เมื่อมองเห็นสีหน้ากังวลใจ และสิ่งที่อยู่ในอ้อมกอดของคนที่เปิดประตูเข้ามา ทำให้ไม่สามารถเปล่งเสียงตำหนิออกมาได้ เธอรีบลุกออกมาจากโต๊ะทำงานตรงมายังเด็กชายก้มมองทารกในอ้อมแขนของเด็กชาย

      “คุณแม่ครับ ชะ.. ช่วยน้องด้วย เลือดเต็มไปหมดเลย ช่วยน้องด้วยครับ น้องจะตายช่วยน้องด้วยนะครับนะครับ น้องเจ็บ...”  เสียงที่ร้อนรนกระวนกระวายใจของเด็กชายทำให้เธอรีบยื่นมือออกไปรับ  ทารกมาไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง และสั่งให้เด็กชายไปเรียกตาแสงเอารถออกเพื่อพาทารกไปโรงพยาบาล

      “รถอยู่หน้าเรือนแล้วครับ”

      “งั้นก็ไปกัน”

.....................................................





      หน้าห้องฉุกเฉิน ของโรงพยาบาลประจำจังหวัด เด็กชายรู้สึกว่าเข็มนาฬิกาที่เขานั่งจ้องมันอยู่นี่ทำไมกระดิกช้า แต่ละวินาทีที่ผ่านไปมันเหมือนจะพลอยทำให้เขาอึดอัดหายใจไม่ออก สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ ก็เหมือนมันจะไปไม่ถึงปอด มันนานเกินไปจนเริ่มนั่งไม่ติด ต้องผุดลุกนั่งด้วยความกระวนกระวายใจทุกห้านาทีเพื่อชะเง้อมองว่ามีใครสักคนออกมาจากห้องฉุกเฉินนั้นแล้วรึยัง แต่จนแล้วจนรอดประตูห้องก็ยังปิดสนิท

      “คุณแม่น้องจะเป็นอะไรไหม ผมห่วงน้อง” 

       มือใหญ่ของเด็กชายยกขึ้นเขย่าแขนของผู้เป็นแม่   ริมฝีปากเอ่ยถามด้วยความห่วงใยน้องน้อย สายตาสีแปลกทอประกายความกังวลเต็มพื้นที่  หญิงสูงวัยดึงเด็กชายเข้ามานั่งใกล้ๆ ยกมือบอบบางของตัวเองตบลงเบาๆ ที่มือของเด็กชายที่กุมอยู่บนแขนของตัวเอง

      “น้องจะไม่เป็นไรจ๊ะ”

      “แต่ทำไมอาหมอไม่ออกมาสักทีล่ะคุณแม่ อาหมอต้องช่วยน้องได้ใช่ไหมครับ”  เด็กชายทอดสายตาอ้อนวอน ดั่งจะเค้นหาความมั่นใจจากผู้เป็นแม่ว่าน้องจะไม่เป็นอะไร

      “สิงห์ใจเย็นๆ ลูก”   หญิงผู้เป็นแม่ดึงเด็กชายเข้ามาโอบกอดเหมือนจะเป็นการปลอบประโลมให้กำลังใจซึ่งกันและกัน




      ผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า พร้อมกับมือที่มองไม่เห็นบีบคั้นจนเจ็บปวดใจของเด็กชาย ในที่สุดประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก คุณอาหมอก้าวเดินออกมาจากหลังบานประตู เด็กชายรีบลูกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติวิ่งถลาเข้าไปหาคุณอาหมอ มือกำชายเสื้อกราวน์ด้วยความกังวัล

       “คุณอาหมอ น้องผม น้องผมเป็นยังไงครับ”  เด็กชายระล่ำระลักถามคุณอาหมอด้วยความร้อนใจอยากรู้อาการของน้อง

      “ไม่เป็นไรแล้วครับ น้องปลอดภัยแล้ว”  คุณอาหมอตอบเสียงเหนื่อยล้าแต่เจือไปด้วยความอ่อนโยน มือใหญ่ยกขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มบนหัวทุยเพื่อให้กำลังใจเด็กชาย

      “สวัสดีครับคุณพี่ ถึงเด็กจะปลอดภัย แต่ผมอยากจะให้อยู่ที่นี่สักระยะเพื่อรอดูให้ละเอียดก่อนว่ามีอาการแทรกซ้อนหรือไม่ เด็กคลอดก่อนกำหนดตัวเล็ก มีอาการตัวเหลือง แล้วปอดไม่ค่อยแข็งแรง จำเป็นต้องเข้าตู้อบและดูแลอย่างใกล้ชิด ตามตัวที่มดกัดผมป้ายยาให้แล้วครับ”

      “เอางั้นก็ได้ พี่อยากจะให้หมอดูแลอย่างใกล้ชิด พี่ฝากด้วยนะจ๊ะ”  คุณแม่กล่าวฝากฝังพิเศษกับคุณอาหมอ

      “ครับคุณพี่ เดี๋ยวผมคงจะต้องขอตัวมีเคสพิเศษเข้ามานะครับ สวัสดีครับ” คุณอาหมอรับปาก ก่อนจะเอ่ยขอตัวเพราะพยาบาลเข้ามาตามให้ไปดูเคสด่วน

      “ไปทำงานเถอะ ขอบใจมากที่เป็นธุระให้ทุกอย่างเลย”  คุณวาดยกมือขึ้นตบที่ไหลของคุณอาหมอด้วยความขอบคุณ หมอหนุ่มยกมือขึ้นไหว้ลาก่อนจะผละตัวเดินตามพยาบาลไป

      “งั้นเราไปดูน้องกันนะครับคุณแม่”  เด็กชายฉุดแขนของผู้เป็นแม่ไปทางห้องเด็ก



      คุณวาดแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบหาพ่อแม่ที่แท้จริงของเด็ก ตลอดสองสัปดาห์ที่น้องอยู่โรงพยาบาลไม่มีใครมาแจ้งว่าเป็นพ่อแม่  ตำรวจทำสำนวนปิดคดีและสรุปง่ายๆ ว่าน่าจะเด็กสาวใจแตกที่รักสนุกสักรายที่ไม่สามารถรับผิดชอบชีวิตเล็กๆ นี้ได้  จึงคิดทำแท้งเพื่อฆ่าเด็ก แต่เด็กไม่ตายจึงนำมาทิ้งไว้

      สิงห์ไม่อยากจะคิดหาคำอธิบายให้กับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเด็กน้อย ตั้งแต่ได้เห็นหน้าเล็กๆ นั้น  มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่ยากเกินบรรยาย เด็กชายรับรู้ได้ว่าระหว่างเรามีเส้นใยบางที่ชักนำให้เราเจอกันเป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน  แล้วกรรมเป็นตัวชักพาให้คนเรามาอยู่ด้วยกันรับใช้กรรมร่วมกัน นี่ยังไม่รวมถึงบริเวณที่ถูกทิ้งก็ที่เดียวกันอีก

      “ขอน้องให้ผมนะครับ” 

      “หืม...!?”  คิ้วเรียวสวยของคนเป็นแม่ยกขึ้นเป็นคำถามไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กชายกล่าวออกมา

       “นะครับขอน้องให้ผม ผมไม่สัญญาว่าจะไม่ทำให้ร้องไห้หรือเจ็บปวดเพราะเวลาข้างหน้าผมไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง แต่ผมสัญญาว่าจะดูแลให้ดีที่สุดเท่ากับชีวิตผม”


       “แม่เชื่อใจได้ใช่ไหมจ๊ะว่าสิงห์จะดูแลให้ดีที่สุด” 


       ตาสีแปลกคู่นั้นบอกเล่าถึงความรู้สึกพิเศษที่คนๆ หนึ่งจะมีให้อีกคนหนึ่งโดยไม่มีเงื่อนไข กว่านาทีคุณวาดจึงหลุดยิ้มกว้างอ่อนโยน มืออบอุ่นของแม่วางลงบนผมนิ่มของสิงห์ลูบไปมา สิงห์ยิ้มตอบ




      ตั้งแต่วันนั้นน้องน้อยจึงเป็นสมาชิกของเรือนชิดชล เป็นครอบครัว เป็นทั้งชีวิตของเด็กขายภูมิรพี เป็นเด็กเลี้ยงที่เด็กชายภูมิรพีตั้งชื่อให้ว่าว่า “น้ำนิ่ง” และพระคุณเจ้าที่วัดใกล้บ้านที่คุณวาดศรัทธาตั้งชื่อจริงให้ว่า “นภนที บุลวัชร”


      นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของสายใยผูกพันเส้นบางๆ  ของคนสองคนที่เป็นส่วนเติมเต็มของกันและกัน...








(http://image.goosiam.com/imgupload/j/hW80CoUQUpDl.jpg) (http://image.goosiam.com/view.asp?uid=96436&s=hW80CoUQUpDl)
Credit :  babyphotography1

TBC. :bye2:

ปล.นิยายเรื่องแรกที่อยากจะเขียนเพื่อสนองความต้องการของตัวเองฝากติดตามด้วยนะครับผม :)
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง [7102558]
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 07-10-2015 21:21:42
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง [7102558] EP.2
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 07-10-2015 22:16:24
2.1






      16 ปีที่ผ่านมาหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งสิงห์ 'ตาลุงขี้หวง' คำล้อเลียนจากน้ำนิ่ง ที่ทำเอาผมหน้าหงิกงอแต่ก็ฝืนทนยอมรับมันโดยไม่มีข้อโต้แย้ง อายุที่เพิ่มขึ้นทุกปีของน้ำนิ่งไปกันได้ดีในระนาบเดียวกันกับอาการหวงแหนเด็กเลี้ยงของผม

      นภนที อายุ 16  ปี กับส่วนสูง 164 ค่อนข้างผอมบางกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แขนขาเรียวเล็ก จับทีแทบจะหัก หน้าสวยหวาน (จนถูกจับแต่งหญิงให้เล่นละครเวทีของโรงเรียนเป็นประจำนั่นแหล่ะ) เจ้าเด็กนี่แอบมีส่วนเว้าส่วนโค้งราวกับผู้หญิงอีก ตากลมโต ขนตางอนยาว ปากสีชมพูอวบอิ่มช่างเจรจาจูบทีมีเคลิ้ม ผิวสีน้ำผึ้งจางเนียนละเอียดเวลาสัมผัสเรียบลื่นราวไหมเนื้อดี ผมหยักศกน้อยๆ สีน้ำตาลอ่อนเวลาลูบนุ่มมือ

       น้ำนิ่งเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดซึ่งเป็นชายล้วน แล้วเจ้าตัวเค้าก็ดังพอตัวรุ่นพี่รุ่นน้องรู้จักทุกคน มดแมลงเยอะก็รู้กันอยู่ เผลอนิดเผลอหน่อยมันคอยจะเข้ามาเจาะไซ้ตลอด อย่าให้ภูมิรพีต้องพูด

      เด็กน้อยไม่เรียกผมว่าสิงห์เหมือนคนอื่นและไม่มีคำว่าพี่นำหน้า เขาเรียกผมว่า “ภูมิ” และแทนตัวเองกับผมว่า “หนู”  วันดีคืนดีมีเรียก “ลุง” ด้วยน้ำเสียงแบบ...เฮ้อ!! ไม่อยากจะพูดของมันขึ้น



      ผมกับน้ำนิ่งเราไม่ได้อยู่เรือนชิดชลแล้ว ผมซื้อที่ดินว่างเปล่าแถบชานเมืองปลูกบ้านเรือนไทยอยู่ด้วยกัน มียายชื่น พี่นิ่ม  แม่บ้านและคนสวนอีก  6  คน ตามมาอยู่ด้วย จุดประสงค์ตอนแรกคืออยากให้น้ำนิ่งมีบ้านที่เป็นบ้านของเราจริงๆ เด็กน้อยบ่นเหมือนกันว่าผมฟุ่มเฟือยเขาไม่อยากจะได้อะไรที่มันอลังการวังเวอร์

      ‘อยู่ตรงไหน ยังไงถ้าอยู่กับภูมิทุกที่เป็นบ้านของเราทั้งหมดนั่นแหละ จะทำให้มันเวอร์ทำไมไม่เข้าใจ’  น่ารักเนอะเด็กผม



      วันเวลาของผมแต่ละวันหมดไปกับการเฝ้าดูการเติบโตของน้ำนิ่ง และทำงานให้ผู้ใหญ่ตามแต่เจ้าตัวเขาจะสั่งมา  แต่โดยปกติผมใช้พรสวรรค์ที่มีสร้างรายได้ แค่พ่อค้าซื้อควายขายหมูทำเล่นๆ รอน้ำนิ่งเรียนจบแล้วจะเกษียณตัวเอง

       ความจริงตอนที่ผมขอน้ำนิ่งจากแม่ก็มีคนเสนอที่จะอุปการะนะ แต่ผมแมร่งหยิ่งไงจะรับเลี้ยงเขาแต่ไม่มีเงินเป็นของตัวเองนี่...มันก็ไม่ใช่ไง  เลยเสนอว่าจะทำแบบนี้ เขาไม่ว่าอะไรบอกแค่ว่า “เชื่อมั่นในตัวเอง” และให้รู้ว่าเขาอยู่ข้างผมเสมอ

       พ่อค้ามือใหม่อย่างผมมันมีแค่พรสวรรค์กับความมั่นใจหลายคนปลอบๆ ว่าไม่ต้องหวังสูงครั้งแรกอาจจะไม่ได้ แต่ใครจะรู้ว่าเป็นความโชคดี ความบังเอิญหรือพรสวรรค์ก็แล้วแต่ เวลาผมเคาะคำสั่งซื้อขายแต่ละครั้งไม่เคยหลุดดอย ภายในเวลาหนึ่งปีผมได้ผลกำไรจำนวนมหาศาล ความสำเร็จนั้นทำให้ผมเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในตลาดต่างประเทศในฐานะพ่อค้ามือใหม่ที่อายุน้อยที่สุด

      หลายปีที่ผันตัวเองเป็นพ่อค้าไม่เคยมีคำว่าบักโกรกในพจนานุกรมของผม  ผลกำไรที่ได้จากการ ซื้อขายผมผลักเข้าบัญชีเด็กน้อยครึ่งหนึ่ง จึงทำให้ตอนนี้เด็กผมมีเงินในบัญชีเกือบสิบหลักเข้าไปแล้ว รวยกว่าผมซึ่งเป็นพ่อค้าซะอีก..  ส่วนที่เหลือผมจัดสรรปันส่วนเก็บเข้ากองกลางส่วนหนึ่ง ค่าใช้จ่ายภายในบ้านส่วนหนึ่ง และมอบให้แม่วาดใช้บริหารจัดการภายในเรือนชิดชลส่วนหนึ่ง

      ของทุกสิ่งในโลกมันจะมีสองด้านและมีค่าความเสียหายเสมอ นั่นคงจะจริง ชื่อเสียงที่ได้มามันก็พ่วงมากับอะไรหลายๆ อย่าง พวกที่ชอบเรากับพวกที่ไม่ชอบเรา พวกได้ประโยชน์กับพวกเสียประโยชน์ ไม่รู้จะดีใจได้รึเปล่านะที่ตัวเองมีชื่อติดแบล็คลิสต์เจ้าพ่อ ไม่อยากจะบอกว่าถูกตามฆ่าหลายครั้งเหมือนกันแต่ผู้ใหญ่ช่วยไว้ทันตลอด เรื่องนี้ไม่ได้บอกให้เด็กรู้เดี๋ยวตกใจ



      วิถีชีวิตของผมกับเด็กน้อยวนลูปอยู่อย่างนั้น จนวันหนึ่งธุรกิจการผลิต นำเข้าและส่งออกสินค้าของครอบครัวบุลวัชรที่มั่นคงมายาวนานกำลังซวนเซ  สินค้าที่ส่งออกถูกปลอมปน เปลี่ยนแปลงคุณภาพจนต้องชดใช้เงินให้แก่บริษัทคู่ค้าเป็นจำนวนมหาศาล ผลประกอบการในรอบปีที่ผ่านมาไม่มีผลกำไรเท่าที่ควรจะเป็น แค่นี้ก็ทำให้ธุรกิจแทบทรุด

       แต่ดูมันจะยังเลวร้ายไม่พอ  แม่เล็กรู้เรื่องก็พยายามแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองไม่อยากให้แม่ใหญ่คิดมาก  บริษัทกำลังจะล้มละลายและจะถูกเทคโอเวอร์จากบรรษัทเงินทุนในเครือ ACE โรงงานที่กำลังสร้างใหม่ต้องชะงักการก่อสร้างเพราะไม่มีเงินทุนหมุนเวียน 

       ความเครียดสะสมจากปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามาแทบจะทุกทาง  ทำให้แม่เล็กคิดมากจนเส้นเลือดในสมองแตก  แม้จะนำตัวส่งโรงพยาบาลและสามารถช่วยไว้ได้ทันท่วงที แต่ก็อย่างว่าเรายังจ่ายค่าของไม่ครบ คุณแม่เล็กเป็นอัมพาตขยับไม่ได้ครึ่งตัว ทุกคนในบ้านต่างทุกข์ใจ หลายชีวิตในบ้านรอความหวัง  แม่ใหญ่ซึ่งอายุมากแล้วต้องเข้าบริหารทั้งที่บริษัทและดูแลคุณแม่เล็กร่างกายเริ่มทรุดโทรมและส่อเค้าป่วยกระเสาะกระแสะ แต่ก็พยายามทำตัวเข้มแข็งเพื่อเป็นหลักให้กับทุกคน

       ผมไม่อาจทนดูต่อไปได้ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมผ่ายผอมลงไปมาก ผมบนศีรษะแซมสีดอกเลามากขึ้น แก้มซูบตอบ หางตามีรอยย่นของกาลเวลาชัดเจน  หน้าตาเหนื่อยล้า แต่แววตายังเปล่งแสงของความรักส่งมาให้ผม  ผมคุกเข่าลงตรงหน้าผู้หญิงที่มอบความรักความห่วงใยให้ผมโดยไม่มีเงื่อนไข ดึงร่างผ่ายผอมเข้ามากอดด้วยความรัก แม่ใหญ่ยกมือผ่ายผอมขึ้นมากอดผมไว้แน่น  ผมพึมพำกับอกผู้หญิงที่รักที่สุดว่า  “เชื่อใจผม”

       แม่ใหญ่ผลักตัวผมออกมา มองสบตา ยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้ แล้วดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้ง จูบเบาๆ ลงที่หัวของผม พึมพำแค่ว่า “แม่รักสิงห์ที่สุด”

       ความรักและอ้อมกอดของผู้หญิงคนนี้มันอุ่นวาบกรุ่นกำจายในใจของผม ผู้หญิงที่ไม่ได้อุ้มท้องและไม่ได้คลอดผมออกมา ไม่ใช่แม่ที่แท้จริงแต่รักผมสุดหัวใจยิ่งกว่าลูกในอุทธรณ์ของตัว ร่ำไห้เงียบๆ กับบ่าของผม น้ำตาที่ไหลจนเปียกชุ่มบ่าบีบรัดใจผมแทบขาด  ผมสัญญากับตัวเองว่าจะเอาคืนคนที่มันทำให้แม่เป็นอย่างนี้ให้ถึงที่สุด



      ผมจำเป็นต้องเรียนหลักสูตรบริหารแบบเร่งรัด โดยความช่วยเหลือจากพี่ณิต พี่พี กับคุณพิสิฐทนายประจำตระกูล  พี่ณิตและพี่พี เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นเด็กกำพร้าที่แม่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย  จึงรักและเทิดทูนแม่ยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ทั้งคู่จบบริหารธุรกิจเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาลัยดังของรัฐแห่งหนึ่ง และเข้าทำงานกับคุณแม่เล็กทันทีที่เรียนจบ

       ส่วนคุณพิสิฐเป็นลูกชายคุณลุงประสิทธิ์ทนายความเก่าแก่ประจำตระกูลที่ปลดเกษียณตัวเองไปเลี้ยงหลาน และให้คุณพิสิฐมาทำงานแทน ทั้งสามมีความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต และไว้ใจได้ 

       เส้นทางการทำงานของผมมันไม่ได้ปูด้วยพรมแดง เนื่องจากผมปรับเปลี่ยนระบบบริหารจัดการภายในบริษัทหลายอย่าง จึงทำให้มีทั้งผู้ที่ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์อย่างที่กล่าวไว้แล้ว สองสามเดือนแรกของการบริหารงานเหมือนมันจะสงบเรียบร้อยดีแต่ผมรู้ว่ามันมีคลื่นใต้น้ำอยู่

      เดือนที่สองผมยอมเสียส่วนลด 3 เปอร์เซ็นต์ที่จะได้จากการส่งออกสินค้าให้กับบริษัทคู่ค้า สินค้าที่พวกเขาจะได้ก็ไม่ได้ลดเกรดหรือคุณภาพแต่อย่างใด พวกเขามีแต่ได้กับได้มันเป็นการให้เพื่อซื้อใจคน  สิ่งที่ผมคิดหรือผมทำมันเหมือนคนโง่ยังไงก็ขาดทุน แต่ในทางกลับกันผลตอบแทนอย่างอื่นที่มันจะกลับคืนมามหาศาลกว่าเงินส่วนลด 3 เปอร์เซ็นต์ที่เสียไปนั่นอีก

      หลังจากคุณคมกิจญาติของคุณแม่และคนเก่าแก่ของเจ้าสัวกู้รู้เงื่อนไขที่ผมต่อรองกับบริษัทคู่ค้าพวกเขาเหล่านั้นได้เข้ามาพบผมในทันทีซึ่งน่าตลกสิ้นดี

      “สวัสดีครับคุณอา มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”  ผมทำความเครารพคุณคมกิจและคนเก่าแก่ของเจ้าสัวเส่ง ก่อนที่จะเชิญทุกคนนั่ง

       “ฉันมาในฐานะผู้ใหญ่ของบริษัทและเป็นคุณอาของแม่เธอแค่อยากจะมาเตือนเด็กเมื่อวานซืนที่มันผยองอวดเก่งทำอะไรข้ามหัวผู้ใหญ่”  คุณคมกิจเปิดประเด็นด้วยคำพูดและสีหน้าค่อนข้างโกธรเกี้ยว

      “คุณอากล่าวหาแรงไปหน่อยนะครับ ผมทำดีที่สุดกับสิ่งที่ผมมี” ผมยกยิ้มพูดสัพยอกคนกลุ่มนั้นออกไป

      “ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนเธอ สิ่งที่เธอทำมันเป็นความคิดของเด็กเมื่อวานซืนที่ไม่รู้อะไรเลย  เธอทำอะไรโดยพละการไม่ปรึกษาคนเก่าแก่อย่างฉันและคุณอาทั้งหลายเลย  แม้นเหมือนก็ยังต้องปรึกษาพวกฉันก่อนจะทำอะไร  ที่สำคัญพวกฉันคงไม่ทนดูเธอบริหารงานจนบริษัทล่มจมหรอกนะ”  คุณคมกิจเอ่ยคำพูดตำหนิเสียงเข้ม

      “เรื่องทำให้บริษัทล่มจมต้องถามคุณอาแล้วละครับ ส่วนที่ผมทำคุณแม่ให้สิทธิ์ขาดการตัดสินใจ ทุกเรื่องในบริษัทกับผม  คุณอาไม่จำเป็นต้องห่วงนะครับ ขอแค่ทำงานของคุณอาให้ดีก็พอแล้วนี่ครับ”  ผมกล่าวเสียงเรียบเหมือนไม่ใส่ใจพร้อมยกยิ้มการค้าให้คนกลุ่มนั้น

      “เธอนี่มัน... ฉันเตือนด้วยความหวังดีบริษัทนี้ไม่ใช่ที่เล่นขายของ ไม่เข้าใจว่าสองคนนั้นไว้ใจให้ เด็กที่เก็บมาเลี้ยงแถมไม่มีความรู้อะไรเลยมาบริหารงานได้ยังไง รั้งแต่จะทำให้บริษัทเสียหาย ฉันคงต้องพูดเรื่องนี้กับเหมือนวาดให้เข้าใจ”  คุณคมกิจยังคงแสดงสีหน้าไม่พอใจ

      “ขอบคุณสำหรับความหวังดีครับคุณอา อย่างที่ผมได้นำเรียนไปไม่มีอะไรที่คุณอาต้องห่วง ทำงานของคุณอาให้ดีก็พอครับ  อ้อ ผมขอตัวนะครับต้องเข้าประชุมกับฝ่ายผลิต  เชิญครับ” 

       ผมกล่าวกับคนเหล่านั้น ยกยิ้มส่งท้ายก่อนที่คนกลุ่มนั้นจะออกไปจากห้อง  ไม่ได้ใส่ใจนักกับคำพูดของคนกลุ่มนั้น เพราะใจผมมันไม่ได้เจ็บปวดอะไรเลยกับการเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ทิ้งขวาง เพราะคนสำคัญที่อยู่รอบตัวผมเขาเติมเต็มสิ่งเหล่านั้นให้ผมจนเต็มอยู่เสมอไม่เคยขาด...

      ผมใช้พรสวรรค์ที่ตัวเองมีอยู่ผลักดันให้บริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จในเดือนที่สามได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นหุ้นพื้นฐานที่น่าจับตามองและน่าลงทุนในตลาด บริษัทยังไม่มีผลกำไรจากการประกอบการ  แต่ความเชื่อมั่นความไว้ใจค่อยๆ คืนกลับมา บริษัทเริ่มฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ มันคุ้มค่ากับที่พวกเราทุ่มเททำงานอย่างหนักจนแทบไม่มีเวลาจะพักผ่อน 

 

       ผมไม่ได้เจอเด็กน้อยเลยตั้งแต่วันนั้น ไม่ได้ละเลยหรือลดความสำคัญของเด็กแต่อย่างใด  ใจผมยังเป็นห่วงหวงอยู่เสมอ ความรักที่มีต่อเด็กมันเพิ่มพูนมากขึ้นตามเวลาที่ผมไม่ได้เจอเค้า อยากเจอใจแทบขาดแต่ไม่ได้เจอ ผมอยากจะเร่งทำงานแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้จบโดยเร็ว จะได้วางมือให้พี่พีเข้ามาบริหารงานแทน  หลังวางมือจากบริษัทผมจะได้ทำสิ่งที่ผมกับเด็กน้อยอยากทำด้วยกันในอนาคตข้างหน้า 

        ‘สวัสดีครับ ยายหนูกลับมาจากโรงเรียนรึยัง’

        // กลับมาสักพักแล้วจ๊ะสิงห์  นี่ก็ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เห็นบอกว่าจะลงครัวเองวันนี้ นั่นเขาดีใจว่าสิงห์จะกลับมาทานข้าวด้วย หน้างี้บานเป็นจานเชิงแล้วมั้ง ไม่ได้เจอสิงห์นานแล้วนี่เนอะ”

        ‘ช่วงนี้ปลีกตัวไม่ได้จริงๆ ครับยาย บริษัทเข้าขั้นวิกฤตรุนแรงมาก ต้องสะสางปัญหาหลายอย่างเลย แต่นี้ก็ใกล้จบเรื่องแล้วล่ะครับยาย ผมก็หวังอยู่ว่าหนูเขาจะเข้าใจที่ผมไม่ค่อยมีเวลาให้ช่วงนี้ ‘

        // ยายเข้าใจจ๊ะสิงห์ ก็อธิบายให้เขาฟังอยู่ว่ามันจำเป็น น้ำเขาก็ดูไม่พูดอะไรรับฟังนิ่งๆ แต่ยายว่าน้ำเขาเงียบๆ ไม่ค่อยสดใสเท่าไร//

        ‘ผมจะพยายามเร่งให้ปัญหามันจบเร็วๆ ครับยาย แต่วันนี้ยังไงผมก็กลับแน่ครับ ‘

        // อ๊ะน้ำกำลังลงมาพอดีจะคุยกับน้องไหมจ๊ะ//

        ‘ ไม่ดีกว่าครับยาย เดี๋ยวอดใจไม่ไหวบึ่งรถกลับบ้าน ผมถูกตำหนิจากบริษัทคู่ค้าที่กำลังจะเข้าพบอีกสิบนาทีแน่ๆ ’

        // จ๊ะงั้นไปทำงานเถอะ สวัสดีจ๊ะ //

        ‘สวัสดีครับยาย ‘



       นั่นเป็นอีกครั้งที่ผมผิดสัญญา  วันนั้นผมไม่ได้กลับบ้าน ต้องบินด่วนไปฝั่งยุโรปมีเหตุสุดวิสัยคู่ค้าไม่ยอมเจรจากับพี่พีซึ่งเป็นตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจจากผม  เขายืนยันต้องเป็นผมคนเดียว บริษัทเราเพิ่งจะฟื้นตัวความไว้วางใจความน่าเชื่อถือยังเปราะบางมาก  หากผมไม่ไปสิ่งที่เราทุ่มเทกันมาทั้งหมดก็จะไร้ประโยชน์ พอไปถึงว่าจะโทรกลับมาบอกเด็กน้อยปรากฏว่าผมลืมโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะในห้องทำงานสามวันต่อๆ มาผมแทบจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเองต้องเข้าพบคนนั้นคนนี้  แถมผู้ใหญ่ใจดีรู้ว่าผมบินมาทำงานที่สิงคโปร์ก็สั่งให้ไปดูงานให้เขาด้วยคนงานที่นั่นนัดหยุดงานประท้วงเรื่องค่าแรง ยุ่งจนไม่มีเวลาจะหาโทรศัพท์โทรหาเด็กน้อยก็หวังว่าเขาจะไม่งอนผม....
 


TBC.
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง [7102558] EP.2.1
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-10-2015 00:24:56
พี่สิงห์กินเด็กสินะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง [7102558] EP.2.1
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 08-10-2015 06:43:06
เนื้อเรื่องน่าสนใจ  คำบรรยายให้ความรู้สึกแบบภาษารุ่นเก่าในบางครั้งไม่ทราบว่าคนแต่งตั้งใจหรือเปล่า?   

ตอนที่ 2.1 นั้นเริ่มต้นบรรยายเป็น GEV  แล้วก็กลับมาเป็นการเล่าจากมุมมองของบุรุษที่ 1  ทำให้รู้สึกแปลกๆอาจจะเพราะว่าไม่มีการแยกย่อหน้าที่ชัดเจนก็ได้

มีคำผิดนิดหน่อยค่ะ ลุกขึ้น   กังวล

คำว่าบักโกรกที่ใช้นี่หมายถึงสุขภาพของสิงห์หรือหรือว่าการประสบความสำเร็จในการทำงานของสิงห์คะ?

รออ่านต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง [7102558] EP.2.1
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 08-10-2015 09:14:49
เนื้อเรื่องน่าสนใจ  คำบรรยายให้ความรู้สึกแบบภาษารุ่นเก่าในบางครั้งไม่ทราบว่าคนแต่งตั้งใจหรือเปล่า?   

ตอนที่ 2.1 นั้นเริ่มต้นบรรยายเป็น GEV  แล้วก็กลับมาเป็นการเล่าจากมุมมองของบุรุษที่ 1  ทำให้รู้สึกแปลกๆอาจจะเพราะว่าไม่มีการแยกย่อหน้าที่ชัดเจนก็ได้

มีคำผิดนิดหน่อยค่ะ ลุกขึ้น   กังวล

คำว่าบักโกรกที่ใช้นี่หมายถึงสุขภาพของสิงห์หรือหรือว่าการประสบความสำเร็จในการทำงานของสิงห์คะ?

รออ่านต่อค่ะ


ช่วงแรกของเรื่องจะแต่งโดยใช้ภาษาเก่าสักหน่อยเพราะเป็นสมัยโน้น สมัยคุณวาดกะคุณแม้น (เมื่อสักยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว)

ส่วนการแต่งเนื้อเรื่องเป็นลักษณะของคนแต่งบรรยายเองด้วย  ตัวละครบรรยายความรู้สึกด้วย จึงอาจจะแปลกแปร่งสักหน่อย

ขอบคุณสำหรับการตรวจคำผิดครับผม อ่านหลายครั้ง แก้ไขเนื้อเรื่องหลายครั้ง จนบางทีเบลอๆ เอง (คือเรื่องนี้เขียนไว้ตั้งกะสองปีที่แล้ว)

"บักโกรก" ในที่นี่หมายถึงการทำงานของสิงห์ครับ ออกจะเป็นภาษาวิบัติของเรื่องหุ้นหน่อยๆ

และขอบคุณทุกการติดตามครับผม ^^
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง [7102558] EP.2.1
เริ่มหัวข้อโดย: aaoo ที่ 08-10-2015 10:04:21
น่าสนใจดี  ติดตามจร้า :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง [7102558] EP.2.1
เริ่มหัวข้อโดย: kajeaw ที่ 08-10-2015 10:04:53
การดำเนินเรื่องน่าติดตามมากครับ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง [8102558] EP.2.2
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 08-10-2015 11:29:53
2.2



     ผมเพิ่งบินกลับมาถึงไทยเมื่อสักชั่วโมงนี้เอง ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำตัวยังกับเป็นศิลปินดังออกทัวร์คอนเสริ์ตก็ไม่ปาน  สิงคโปร์เป็นประเทศสุดท้ายที่ผมเข้าพบผู้บริหารของบริษัทลีเทรดดิ้ง จำกัด (มหาชน) คู่ค้ารายใหญ่ของสิงคโปร์ พร้อมกับลงนามทำสัญญาทางธุรกิจ  ตอนแรกคิดว่าจะเซ็นสัญญาเสร็จตั้งแต่วันแรกแต่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามคาดหวัง คุณโซเฟียประธานกรรมการบริหารขอเลื่อนการเซ็นสัญญามาเป็นเมื่อวานจะให้พี่พีอยู่แทนเธอไม่ยอมระบุต้องเป็นผมเท่านั้น เลยต้องให้พี่พีกลับมาดูงานทางนี้ก่อน

        คิดถึงอยากกลับไปหาเด็กมากครับแต่โดนสกัดดาวรุ่งซะก่อน พี่มันโทรเข้าหาคุณพิสิฐให้ผมเข้าบริษัทก่อนมีเรื่องจะคุย ผมเลยต้องเปลี่ยนเส้นทางมาที่บริษัทแทน  เปิดประตูห้องเข้ามาพี่พีกับพี่ณิตนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

        “กว่าจะมาได้นะมึง ติดใจละสิถึงได้ยืดเวลาอยู่ด้วยกันแล้วกลับมาเอาจนปานนี้”  พี่พีพูดเสียงประชดเปิดประเด็น

        “ได้ข่าวว่าเขาสวยมากนี่ ดินเนอร์สุดหรูที่ The Sky on 57 มารีน่า เบย์ แซนด์ส คงจะปริ่มเปรมมากจนถึงกลับต้องเลื่อนเที่ยวบินมาเป็นบ่ายวันนี้เลยเหรอวะไวไฟนะมึง”  พี่ณิตกล่าวน้ำเสียงประชดประชันอีกคน

        “พวกพี่จะประชดผมเพื่อ...??  มันก็แค่งานเปล่าวะ”

        “แค่งานจริงน่ะ แต่ไอ้ที่ควงกันสวีทหวานช๊อปปิ้งห้างดังกลางสิงคโปร์ก็คืองานเหรอวะ” พี่พีถามสีหน้าจริงจัง

        “มันก็น่าจะเป็นยังงั้นไม่ใช่เหรอพี่  ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ใครอยู่ใกล้แล้วไม่หลงรักก็คงจะบ้ามาก  เก่งไปหมดซะทุกอย่างเอาอกเอาใจจนเราเคลิ้ม แต่ส.....” 



   -พลั๊ก-

         ผมยังพูดไม่จบ หมัดไม่มีตาของพี่ณิตชัดเปรี้ยงเข้าหน้าผมเต็มๆ จนสะบัดไปตามแรงเหวี่ยง เสียหลักล้มลงกับพื้นหูอื้อไปชั่วขณะ เท้าเบอร์ 12 (ไซด์ฝรั่ง) อัดกระแทกเข้าสะบักเอวค่อนข้างแรง ผมนอนจุกตัวงอ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเต็มปากจนต้องบ้วนทิ้งสะบัดหัวไล่ความมึนงง 

         “แมร๊งเอ้ย!!... กูสงสารน้องจริงๆ โง่ทนนั่งรอจนตัวเองจะตายห่า  แต่อีกคนกลับระเริงมีความสุขอยู่กับหญิงอื่น กูอยากให้มันตายไปจริงๆ จะได้ไม่ต้องทนเจอเรื่องเจ็บปวดห่าเหวนี่”  พี่ณิตสบถดังลั่นด้วยความโมโหกำลังจะเข้ามาซ้ำผมอีกรอบ แต่พี่พีเข้ามาดึงตัวออกไปก่อน

         “เฮ้ย พอ พอ ใจเย็นๆ ณิต”

         “มึงจะให้กูใจเย็นได้ยังไงวะ! ดูที่มันทำตอนนี้น้องเป็นยังไงมึงก็เห็น ยังจะให้ใจเย็นอีกเหรอ” พี่ณิตด่าเสียงดังลั่นฮึดฮัดพยายามฝืนตัวออกจากแรงกอดรัดของพี่พีให้ได้

         “ว่าอะไรนะ พี่ว่าหนูเป็นอะไร”  ผมรีบลุกขึ้นเดินไปดึงแขนพี่มันมาถามด้วยความร้อนใจ

         “จะอยากรู้ไปทำไม มึงสนใจด้วยเหรอว่ามันจะเป็นจะตายยังไง”  พี่ณิตตอบเสียงเข้มสะบัดดึงดันจะชกผมให้ได้

         “ไม่เอาน่าพอแล้ว” พี่พีห้ามปราม

         “แล้วหนูเป็นอะไร” ผมถามซ้ำด้วยน้ำเสียงร้อนรนห่วงใยอีกคน

         “น้องเป็นไข้หวัดใหญ่ขั้นรุนแรง มีภาวะปอดบวมแทรกซ้อน ถ้าส่งโรงพยาบาลช้าอีกนิดเดียวก็คงได้เผาผีกันแล้ว” พี่พีตอบผม

       “ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลยทำไมไม่มีใครบอกผม”  ผมถึงกับเข่าอ่อนจนต้องนั่งลงตรงโชฟาใกล้ๆ อย่างหมดแรงเพียงแค่คิดว่าถ้าไม่มีนิ่งอยู่ต่อไปชีวิตผมจะอยู่ยังไง

       “หมามันก็คงจะตามตัวได้หรอก เล่นปิดโทรศัพท์ตลอด กูถามจริงๆ ตั้งแต่เข้าทำงานมึงกลับบ้านหาน้องมันบ้างรึเปล่า ทำอะไรเคยคิดถึงใจคนที่เขารักมึงบ้างไหม  เรื่องระยำที่มึงทำอยู่ตอนนี้ถ้าคิดว่ามันเป็นความสุขของมึงก็ทำไป แต่ขอร้องมึงปล่อยน้องกูไปเถอะ ปล่อยให้มันไปมีชีวิตของมันเอง อย่าให้มันรอโดยไม่มีจุดสิ้นสุดเห็นใจกันบ้างเหอะนะ”  พี่ณิตพูดระบายยืดยาว

          “พวกพี่เข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น” 

          “ก็เห็นๆ กันอยู่..”

          “ฟังก่อนได้ไหมล่ะ พูดยังไม่จบก็ซัดเปรี้ยงเข้ามาเต็มๆ เจ็บนะเว้ย..ที่ผมบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นใครอยู่ใกล้แล้วไม่หลงรักก็คงจะบ้ามาก เก่งไปหมดซะทุกอย่าง เอาอกเอาใจจนเราเคลิ้มน่ะมันก็จริง แต่สำหรับผู้ชายคนอื่น ขอย้ำว่าสำหรับชายอื่น มารยาหญิงแบบนั้นมันใช้ไม่ได้กับผมหรอกที่ทำมันก็แค่ยิ้มการค้า“  ผมชี้แจงแถลงไขให้พวกพี่มันเข้าใจ

           “กูจะรู้เหรอ แมร่งแสดงออกซะขนาดนั้น”  พี่ณิตแย้ง

           >// ผมตายด้านกับผู้หญิงวะ แต่ดันขึ้นกับเด็กนั่นเพียงคนเดียวทั้งๆ ที่มันไม่ได้ทำห่าอะไรเลย //<   

          ผมหันหน้าหนีไปอีกทางเพราะคิดว่าหน้าคงแดงด้วยความอาย พึมพำในลำคอแผ่วเบาไม่อยากให้พี่มันรู้ว่าตั้งแต่เริ่มรู้สึกถึงความต้องการตามธรรมชาติของผู้ชายที่โตเต็มตัวยังไม่เคยปลดปล่อยกับใครเลยสักคนนอกจากมือของตัวเอง ก็เดี๋ยวมันจะว่าผมอ่อนจริงๆ เวลาผมไปทำงานก็มีเด็กมาเสนอตัวให้หลายคนอยู่จะทำก็ได้  แต่จะหยิบก้อนกรวดพวกนั้นมาเชยชมทำไมในเมื่อมีเพชรอยู่ในมือ (ถึงแม้เพชรนั้นผมจะยังไม่เจียระไนก็ตาม)

          “มึงบ่นอะไรนะกูไม่ได้ยิน นินทากู??”  พี่ณิตเอ่ยถามเสียงเข้ม กำปั้นยกขึ้นเตรียมชัดหน้าผมอีกรอบ

          “โว้ย!!  พี่แมร๊งไม่มีอะไรก็แค่คิดถึงเด็กตามประสาผมนั่นแหละ”

           “แต่กูได้ยินอะไรด้านๆ  คือด่ากู?”  พี่ณิตแมร่งตาจ้องเขม็งคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้

            “มึงจะบอกไม่บอก ถ้าไม่บอกกูจะยุให้น้องงอนแมร่งยาวเลยคอยดู”

            “โธ่ ไม่ทำงั้นดิพี่...”

            “งั้นเมื่อกี้มึงบ่นอะไร”

            “โว้ย!! ไรนักหนาวะเนี่ย ผมก็แค่บอกว่า ผมไม่ขึ้น พี่แมร่ง”  ผมพูดเบาๆ ในลำคอ

          “อะไรนะกูไม่ได้ยินมึงพูดดังๆ หน่อย”  พี่ณิตมันยังไม่ยอม

            “ผมไม่ขึ้นกับผู้หญิงพวกนั้น!! จะถามเพื่อ...”   ผมตอบเสียงดังตอนแรก แต่แผ่วเบาลงในตอนท้าย  หน้าคงแดงเห่อแล้วตอนนี้ เพราะร้อนๆ ยังไงไม่รู้ พวกพี่มันปล่อยก๊ากหัวเราะดังลั่นพอใจกับคำตอบ

           “ห๊ะ!! มึงจะบอกว่าตั้งแต่มึงรู้ความมานี่มึงมีเมียเป็นนางทั้งห้าเหรอวะฮ่า ฮ่า”  พี่ณิตตาโต อ้าปากค้างด้วยความแปลกใจ  แล้วสักพักก็หัวเราะเสียงดังอีกครั้ง

           “สิงห์น่ารักวะ พี่ดีใจแทนน้องมันนะนี่ ไม่เหมือนใครบางคนกว่าจะมาถึงเราผ่านใครมามั่งก็ไม่รู้”   พี่พีแซวดังลั่นยกมือขึ้นบีบแก้มผม เจ็บจนต้องซี๊ดปากก็ดันบีบมาตรงรอยโดนชกเต็ม

           “โอ๊ะ โทษทีลืม ๆ ฮะ ฮ่าๆ”  ดูพี่มันทั้งผัวทั้งเมียแก้แค้นให้น้องมันเต็ม ฟังไม่ผิดหรอกครับ สองคนนี้เป็นเช่นนั้นแล

           “เดี๋ยวๆ พีครับกูว่าตอนท้ายมันทะแม่งไงไม่รู้คือจะสื่ออะไรรึเปล่าวะ ขอใช้สิทธิชี้แจงเหตุผลว่าถ้ากูไม่มีประสบการณ์มาโชกโชนจะทำคุณมึงครางลั่นขอแรงๆ ลึกๆ จนนับแต้มไม่ทันเหรอครับคุณมึง”

           พี่ณิตยกมือชี้แจง แล้วก็เต็มๆ ครับ หมัดฮุกจุกนั่งตัวงอไปแล้ว เห็นหน้าสวยแบบนั้นพี่แกโหดครับ พี่ณิตบางทีหยาบและหื่นก็สมควรโดนครับ

           “ใช่เรื่องเหรอวะณิต เดี๋ยวเย็นนี้มีเคลียร์กะกูตัวต่อตัว”   พี่พีชี้นิ้วคาดโทษ

           “ตัวต่อตัวนี่เสื้อผ้าเกี่ยวเปล่าครับคุณมึง พร้อมเมื่อไรบอก จะเอากี่ท่ากี่ยกพี่จัดเต็มจะได้รู้ว่าคนอย่างไอ้ณิตไม่ใช่มีแค่คำคุยครับ”  พี่ณิตยังปากดีทำหน้าตาท้าทายกลับ

           ”ชริ!!  แล้วที่คุณโซเฟียเค้าให้สัมภาษณ์นั่นล่ะ” พี่พีจิปากด้วยความขัดใจ เปลี่ยนเรื่องชะงั้นพูดกับคนหน้ามึนไปก็ไม่จบ  ก่อนจะหันมาถามผม

           “ผมขอไล่เคลียร์ทีละประเด็นเลยก็แล้วกัน เรื่องดินเนอร์ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะทำเซอร์ไพรส์ขนาดลงทุนเหมาทั้งภัตตาคารเพื่อกินข้าวกับผมสองคนเท่านั้น ตอนเข้าไปถึงกับอึ้งแดกทั้งภัตตาคารมีแค่โต๊ะเดียว  เธอพยายามมากเอาอกเอาใจสารพัดแต่ผมอึดอัดมากรีบกินพอเป็นพิธีสบโอกาสเหมาะขอตัวชิ่งออกมาเลย เธอชักสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจเท่าไรแต่ก็เก็บอารมณ์ได้ดี แล้วใครจะสนคือถ้าจะทำแบบนี้ผมก็รับไม่ไหวเหมือนกัน แล้วที่เห็นพยุงลงจากรถมันก็แค่มารยาททางสังคมไม่มีอะไร ยอมรับแบบหน้ามึนๆ เลยว่า เธอเอาอกตูมอวบอูมมาถูจนเกือบจะหกใส่หน้าผม ไอ้น้องชายตัวดีของผมก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวหรอกนอนเหี่ยวเป็นมะเขือเผาพี่วางใจเหอะ”

            “โอ๊ย!! ไอ้น้องบ้าเชี๊ย ช่างเปรียบเทียบจนกูเห็นภาพเลยฮ่า ฮ่า” 

           พี่ณิตแมร่งหัวเราะดังลั่นกั้นขำจนหน้าดำหน้าแดงที่รู้ความจริงว่าผมเป็นยังไง แต่ผมไม่แคร์หรอกให้รู้กันไป ผมไม่ได้นอกใจเด็กผม อาจจะนอกกายบ้างเพราะฝ่ายหญิงเอาสินค้าเขามาให้ผมลองสัมผัส   แต่ผมไม่ได้ลองใช้ถือว่าไม่ได้นอกใจนอกกาย

           “ เรื่องช็อปปิ้งห้างดังฝ่ายนั้นเขาว่าผมเป็นผู้ชายน่าจะเข้าใจผู้ชายด้วยกันดี สัปดาห์หน้าที่บ้านเธอจะมีงานแซยิดของพ่อเลยอยากจะได้ของขวัญไปเซอร์ไพรส์  จึงขอให้ผมไปช่วยเลือกของขวัญ และจะได้ทำความรู้จักแลกเปลี่ยนแนวคิดการดำเนินธุรกิจด้วย ผมก็เลยตกลงเผื่อจะได้อะไรดีๆ มาปรับใช้กับธุรกิจของเรา  ไอ้ที่เห็นควงกันนั้นก็เพราะเขาสะดุดล้มขาเจ็บก็เลยต้องพยุง แต่การเดินห้างจบลงแค่นั้นบอดี้การ์ดส่วนตัวของฝ่ายนั้นเข้ามารับตัวไป ส่วนผมก็กลับโรงแรม

            ตอนเช้ากำลังจะขึ้นเครื่องดันมาเจอสัมภาษณ์ห่าเหวนั่น ผมแมร่งโคตรจะหงุดหงิดเลื่อนเที่ยวบิน แล้วตรงไปที่พบเธอที่ออฟฟิตเดี๋ยวนั้น  ผมบอกเขาตรงๆ เลยว่า ผมมีแฟนแล้วเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ผมรักเขามากชีวิตนี้คงจะรักใครไม่ได้อีกแล้ว เขาถามผมว่าเป็นเกย์เหรอ  ผมเลยตอบว่าถ้าการที่ผมรักผู้ชายคนนี้แล้วทำให้คนอื่นคิดว่าผมเป็นเกย์งั้นก็คงจะเป็นเกย์ ถ้ารับตรงนี้ไม่ได้จะยกเลิกสัญญาผมก็ไม่ว่าเธอหน้าเสียนิดหน่อยแต่ก็ปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วบอกว่าผมตรงและเด็ดขาดดี  ขอโทษที่ให้สัมภาษณ์ไปแบบนั้น หวังว่าจะได้ร่วมงานกันต่อไป ช่วงบ่ายเธอจัดแถลงข่าว ผมไม่ได้อยู่ดูเพราะต้องรีบขึ้นเครื่องกลับ ผมว่าเธอเป็นนักเลงพอตัวเลยหละ เข้าใจตรงกันนะ”  ผมอธิบายร่ายยาวถึงเหตุผลที่เลื่อนเที่ยวบิน

            “กูจบ แต่น้องมันไม่รู้ ความหึงหวงไม่เข้าใครออกใครมึงเข้าใจรึเปล่า อีกย่างที่มึงไม่ค่อยกลับบ้านอีกล่ะทำให้น้องมันคิดมากเป็นห่วงมาก แล้วมันมีความจำเป็นอะไรวะที่ไม่กลับบ้านพวกกูข้องใจ” พี่ณิตถามเสียงเข้ม

            “พี่ก็รู้ผมสงสารแม่ไม่อยากให้ท่านเสียใจ อีกอย่างผมซีเรียสนะช่วงนั้นเราวางใจอะไรไมได้เลยสถานการณ์มันเปราะบางแค่ไหนผมอยากจะเคลียร์ทุกปัญหาที่เกิดตอนนี้ให้มันตัดจบเร็วๆ  ก็เลยเอาเวลาทั้งหมดทุ่มเททำงาน ถ้างานไปได้สวยก็จะวางมือให้พวกพี่ทำแทน ผมอยากจะออกไปเปิดร้านอาหารหรือร้านขนมเล็กๆ กับเด็กน้อย เขาเปรยหลายทีแล้วว่าอยากจะทำแบบนั้นด้วยกัน  ผมเองก็อยากจะมีเวลาดูแลเขาให้เต็มที่”  ผมแก้ข้อสงสัย

           “เออพวกกูเข้าใจ แต่มึงไม่เคยบอกหรืออธิบายให้น้องมันฟังไง มันก็ไม่รู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ เมื่อไม่รู้อะไรเลยแล้วมันถูกปล่อยไว้อย่างนั้นก็ต้องคิดเองเออเองว่ามึงเบื่อมันไม่รักมัน ทีหลังมีอะไรก็พูดออกมาสิวะ ถึงมันจะมีความคิดหลายอย่างเหมือนผู้ใหญ่ แต่มึงเข้าใจเปล่าว่าน้องมันก็แค่เด็กอายุสิบหกมีวุฒิภาวะแค่นั้น ไม่ได้เข้าใจความคิดซับซ้อนห่าเหวแบบผู้ใหญ่หรอกนะเว้ย”

            พี่ณิตพูดมามันก็ถูก ผมคิดผิดไปจริงๆ การที่คนสองคนจะรักและเข้าใจกันได้ บางทีเวลายาวนานมันก็ไม่ได้ช่วยให้เรารู้จักกันได้ลึกซึ้ง มันมีอะไรให้เราต้องเรียนรู้กันและกันอยู่ตลอดเวลา การกระทำอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ช่วยให้อีกคนรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่

           “กูสงสารน้องมันจริงๆ วะ ใจกูแปลบเลยนะตอนที่รู้ว่ามันนั่งรอมึงจนถึงเช้า แล้วตัวเองก็ต้องมาป่วยจนเกือบช็อกตาย  สมมติว่าถ้ามันตายจริงๆ กูไม่อยากจะคิดว่าจะเป็นยังไง มันไม่อยากให้มึงเหนื่อย ถึงขนาดทำขนมขายเก็บเงินให้ได้เยอะๆ อยากจะดูแลมึงเอง กูนี่น้ำตาซึมเลยช่างคิดอะไรเยอะเกิน  มึงสองคนยังกับความคิดสื่อถึงกันได้ ต่างคนต่างคิดแทนกันแต่ไม่พูดกันแล้วเมื่อไรจะเข้าใจกันวะ”  เสียงพี่ณิตที่พูดถึงเด็กน้อยมันยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่

            “ผมรักเด็กนั่นพี่  รักมากหวงมากด้วย ผมไม่สัญญาหรอกนะว่าจะไม่ทำให้เขาเสียใจ อนาคตข้างหน้ายังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางทีมันอาจจะเหนือการควบคุมของผม แต่ผมจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดและก้าวผ่านมันไปพร้อมๆ กัน”  ผมให้คำสัญญาอย่างหนักแน่น

          “เออรู้กลับไปไป๊ง้อน้องมันหน่อย มันน้อยใจมึงฉิบหายแล้วป่านนี้ หนักนิดก็อภัยให้น้องมัน มึงเป็นผู้ใหญ่กว่าก็ใจเย็นๆ ค่อยพูดค่อยจากันนะ น้องมันยังเด็ก อย่าแกล้งมันมากนักถึงแม้ว่าเวลาแกล้งแล้วมันน้ำตาเล็ดเป็นอะไรที่น่ารักมาก แต่ให้มันร้องๆ มากมึงไม่ปวดใจมั้งเหรอวะ”  พี่ณิตสั่งสอนกลัวผมจะรุนแรงกับเด็ก ใครจะกล้าดวงใจผมเลยนะนั่นน่ะ

           “ผมเคยกล้าทำรุนแรงสักครั้งเหรอ ก็รู้ว่าผมยอมตลอดแหละ”

           “เออ เออ ก็ให้มันจริงตลอดไป รีบกลับไปได้แหละ กูก็จะกลับแล้ว มีเคลียร์กับเด็กเหมือนกัน”  พี่ณิตรีบไล่

           “เออลืมไป ไอ้ที่กูลงมือกับมึงนั่นไม่ขอโทษนะเว้ย  มันสมควรโดนชดเชยกับความเสียใจของน้องมัน แต่คิดๆ แล้วกูว่ามันยังน้อยไปนะนั่น น้องเกือบตายก็เพราะมึงคนเดียวเลย อย่าให้มีอีกครั้งนะทีนี้กูเอามึงตายแทนน้องเลย”  พี่ณิตบอกเสียงจริงจังเข้มดุ
 
           “รู้แล้วน่าไม่กล้าแล้วไปละพี่”  ผมเอ่ยโบกมือลาสองคนนั่น ยิ่งรู้อย่างนี้ยิ่งอยากจะรีบกลับไปเคลียร์กันให้รู้เรื่อง






TBC.


ปล.  1.เรื่องก็ยังเรื่อยๆ ไม่มีปมอะไรมากมายหรอกนะคะ เพราะชีวิตจริงก็ยุ่งเหยิง ก็เลยเขียนเพื่อจรรโลงใจเท่านั้นเอง
       2. ขอบคุณสำหรับการติดตาม และคอมเม้นส์ดีเป็นกำลังใจทำงานออกมาดี
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.2.2 [8_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-10-2015 12:03:01
พี่สิงห์รีบกลับไปดูแลน้องเลยนะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.2.2 [8_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 08-10-2015 12:34:58
ดีใจตรงที่คนเขียนบอกว่าไม่มีปม แทบวิ่งไปกอด
ติดตามค่าา
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.2.2 [8_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 08-10-2015 13:30:20
ติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.2.2 [8_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 08-10-2015 13:31:15
เล่าเรื่องดีมาก โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ><

จนถึงตอนนี้น้ำนิ่งค่าตัวแพงเหลือเกิน ออกมาได้ 3 นาที TvT


รอน้องมาเปิดตัวนะคะ  :pig2:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.2.2 [8_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 08-10-2015 13:50:00
รอน้องมาเปิดตัวด้วยคนค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.3.1_ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ [8_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 08-10-2015 22:23:40
3.1

ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ











           “เด็กดื้อของภูมิ ตื่นรึยังน้า..”  เสียงตาลุงแก่ฮะเป็นปกติเวลานี้ประจำ

           “ฮือ”  หนูขานรับนะแต่ยังไม่อยากตื่นไง เลยกลิ้งตัวหนีตาลุงไปอีกด้านยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปงด้วย

           “ตื่นแล้วทำไมยังไม่ลุกละหึ  สายแล้วนะครับ” 

            ลุงยังไม่ละความพยายามดึงผ้าห่มออก พลิกตัวหนูเข้าไปในอ้อมกอดของลุงเอาจมูกปากซุกไซร้ไปตามซอกคอ ร่นเสื้อนอนขึ้นมาจนถึงอกเลื่อนปากลงไปฟัดพุงตอหนวดเคราเสียดสีละไปตามหน้าท้องทำให้หนูต้องบิดตัวให้หลุดพ้นออกจากใบหน้านั้น

            “ฮื้อ...ฮะ ฮ่า....พ พอ ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว ลุงงงง...”  อุ๊ย!! *0* ลืมตัวเรียกปมด้อยของตาลุงเค้า หนูรีบยกมือเล็กของตัวเองปิดปากเร็วพลัน โดนฟัดจนตายแน่

            “ห๊ะ!! ลุงเหรอ ลุงใช่มั้ย”  ลุงทำหน้าเหมือนโกธรเสียงเข้ม ก้มลงฟัดพุงหนูแรงกว่าเดิมอีกครั้ง ดิ้นหนีสิจั๊กกะจี้จะตายหัวเราะแทบขาดใจอยู่แล้ว

            “ฮะ ฮ่า...ภูมิไม่  ไม่เอาแล้ววว ฮะ ฮ่า..”  หนูเงยหน้าขึ้น ดวงตาสวยสีแปลกยังคงทอประกายความรักที่มีต่อหนูอยู่เต็มเปี่ยม อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นคล้องคอโน้นหน้าลงมาให้ปากเราแตะกันขบกัดริมผีปากล่างลุงเขาเบาๆ ก่อนจะผละปากออก

            “อยู่ด้วยกันอีกนะวันนี้” 

             “รักหนูเหมือนกันเด็กดีของภูมิ”  ลุงก้มลงเอาปากมาแตะปากนิ่มอีกครั้ง

             “ลุกได้ละเด็กดื้อ พระจะมาแล้วนะ”

              “อุ้ม”  ลุงยกยิ้มก่อนที่จะซ้อนตัวหนูขึ้นจากที่นอน อุ้มไปวางที่เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า โน้มหน้ากดจมูกสูดดมไปตามหน้าผาก ตาสองข้าง แก้มสองข้าง จบลงที่ปาก ก่อนหยิบแปรงสีฟันที่บีบยาสีฟันไว้แล้วส่งมาให้ แล้วตาลุงก็เดินออกไปเตรียมเสื้อผ้าให้ตามปกติ



              อ๊ะ! ขอโทษฮะเสียมารยาทจังเลยผ่านมาตั้งหลายบรรทัดหนูยังไม่ได้แนะนำตัวเลย  สวัสดีครับ ชื่อ นายนภนที  บุลวัชร  หรือน้ำนิ่ง นะครับ ปีนี้เป็นหนุ่มน้อยอายุ  16  ปี แล้ว เย้! โตไวเหมือนโกหกเลย (แต่เชื่อเถอะตาลุงนั่นยังเห็นหนูเป็นเด็กน้อยอยู่วันยังค่ำ) คงจะรู้จักหนูบ้างแล้วจากที่ตาลุงเขาเล่าไป ระหว่างที่ลุงเขาไปจัดการนั่นนู้นนี่ให้เดี๋ยวหนูเล่าไปก่อนแล้วกันนะฮะ

             เรื่องของหนูก็ไม่มีอะไรมากเท่าที่จำความได้ก็อยู่กับลุงเขามาตลอด  คนนี้บอกว่าดีใจที่หาเจอ เขารักและดูแลหนูดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ลุงเขาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตหนูเลยนะนั่น รักทุกสิ่งที่เป็นตัวตนของตาลุงคนนี้  พวกเราอยู่เรือนชิดชลจนหนูอายุได้ 7  ปี ก่อนที่จะย้ายมาอยู่บ้านเราเอง จำได้ว่ามันเป็นวันเกิดของหนูตาลุงเข้าเดินเข้ามาบอกหน้านิ่งๆ (ลุงเขาถือเอาวันที่เจอหนูครั้งแรกเป็นวันเกิด)

              “กลับบ้านเรากัน”

              วันนั้นก็มองหน้าตาลุงแบบล้อเล่นเหรอ?? ก็นี่อยู่บ้านแล้วจะมีบ้านที่ไหนอีก แล้วก็สะบัดบ๊อบไปลงครัวกับคุณแม่ใหญ่ ไม่เข้าใจไม่สนใจเพราะคิดว่าตาลุงเขาพูดเล่น จะมีบ้านเราที่ไหนอีก ก็ไม่รู้นี่ว่าเขาแอบไปสร้างบ้านไว้ข้างนอก คนแก่ขี้งอนน้อยใจยกใหญ่ร้อนถึงคุณแม่ต้องมาไกล่เกลี่ยอยู่นานกว่าตาลุงจะยิ้มได้

              แต่คำว่า “บ้านเรา” ที่ตาลุงเอ่ยออกมาวันนั้นมันทุ่มนุ่มอุ่นไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ  เราทั้งคู่จะได้กลับบ้าน ใจก็พลันเต้นแรงมากจนคิดว่าลุงจะต้องได้ยินมันแน่ๆ  ดีใจที่มีคำว่า “เรา”  ดีใจที่ทุกวันมี  “ลุง”

              ตอนที่ลุงบอกว่า “อยู่ด้วยกันไปนานๆ” หนูไม่ได้หวังว่ามันจะไปถึงวันไหน  แค่ทุกวันที่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นลุงยังอยู่ข้างๆ หนูก็ดีใจที่สุดแล้ว...”

             โอ้ย! ยังเม้าส์มอยไม่จบเลย เดี๋ยวเอาไว้แอบนินทาใหม่นะฮะ  ตาลุงเดินเข้ามาแล้วถ้ายังไม่เสร็จเดี๋ยวคนแก่ตรงนี้จะบ่นหูชา เขาไม่อยากให้เล่นน้ำนานหนูไม่สบายง่าย  (อ๊ะ!! เดี๋ยวสัญญากันก่อนนะห้ามบอกลุงว่าหนูแอบเรียกภูมิว่า “ลุง” เดี๋ยวคนแก่งอน)

             “เสร็จยังครับ มาภูมิถอดเสื้อให้”

             ลุงเขาจะน่ารักเสมอแหละ ดูแลหนูทุ๊ก..อย่าง ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าตื่นหรือหลับ เมื่อเสร็จครบถ้วนกระบวนความทุกอย่างเขาก็จะคิดค่าบริการเป็นจูบบ้าง หอมบ้าง ขบเม้มบ้างตามความหื่น  ณ เวลานั้น สมใจอยากเขาก็ไปจัดการกับตัวเอง??

              “เฮ้อ!! ละเหี่ยใจกะตัวเองฮะหลงรักตาลุงคนนี้มากเกินไป”

              “ไปตักบาตรกัน ยายชื่นรอแล้วมั้งปานนี้” 

              “อุ้ม”  หนูยืดตัวกางแขนออกให้ลุงเขายกตัวอุ้มเข้าเอว ตัวลุงหอมมากจนอยากจะเคลิ้มหลับอีกครั้งจริงๆ การันตีเลย


               การตักบาตรเป็นกิจวัตรประจำวันที่เราทำด้วยกันก่อนลุงจะไปส่งที่วิทยาลัยการอาชีพประจำจังหวัด ยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่าเรียนเอกคหกรรม ก็กะเพิ่มเสน่ห์ปลายจวักผัวรักผัวหลงอะไรประมาณนี้ เอ๊ย!!  ไม่ใช่ล่ะก็รู้ตัวว่าเรียนไม่เก่งแต่ชอบทำอาหารขนมอะไรแบบนี้มากกว่า แค่ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ใจแตกก่อนวัยอันควร ลุงเขาตามใจอยากจะเรียนอะไรก็เรียนสนับสนุนเต็มที่เขาว่างั้นนะ

              ตอนที่มาถึงหน้าบ้านยายชื่นกับพี่นิ่มรออยู่แล้ว ถอดรองเท้าก่อนเข้าประจำที่ไม่นานหลวงปู่ก็เดินมาถึงลุงนิมนต์ให้หลวงปู่รับบาตรจนครบ รับศีลรับพร กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลให้คนที่เรารักและเจ้ากรรมนายเวร 

              ตักบาตรเสร็จก็ประมาณหกโมงครึ่ง กลับเข้าบ้านทานข้าวเช้าพร้อมกัน ประมาณเจ็ดถึงเจ็ดโมงครึ่ง ลุงขับรถไปส่งที่วิทยาลัย มารับอีกทีก็สี่โมงเย็นไม่เกินนี้ กิจวัตรประจำวันก็จะวนลูปอยู่แค่นี้นะฮะ แต่น้ำนิ่งก็คิดว่ามันไม่สำคัญว่าสิ่งที่ทำนั่นจะซ้ำ แต่มันสำคัญที่ว่าเรื่องซ้ำๆ ที่เราทำนั้นเราทำกับใคร ความสุขมันก็อยู่แค่นี้เอง  “แค่มีภูมิ”

              กระทั่งวันหนึ่งลุงกลับบ้านด้วยสีหน้าอิดโรยวิตกกังวล ลุงไม่ได้ไปรับเพราะคุณแม่ใหญ่เรียกหากระทันหันแต่ให้พี่ณิตไปรับแทนลุงเล่าให้ฟังว่าแม่เล็กป่วยเป็นอัมพาต  แม่ใหญ่ก็สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ลุงจะต้องเข้าทำงานที่บริษัทแทนแม่เล็กเพราะบริษัทโดนโกงและกำลังล้มละลาย

              ลุงทำงานอย่างหนักทุ่มเทเพื่อกอบกู้สถานะและความเชื่อมั่นของบริษัทให้คืนกลับมา  ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยมากในช่วงสามเดือนแรกจนไม่ได้กลับบ้าน  วิถีชีวิตที่วนลูปแบบเดิมจึงค่อยๆ เปลี่ยนไป


             หนูเข้าใจนะว่าลุงต้องทำงานช่วยแม่ ทุกคนต่างมีหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง  แต่ความเหงามันไม่เคยเข้าใจอะไรเลย..มันค่อยๆ เข้ามาแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างเรา กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เป็นยิ่งกว่าเพื่อนสนิทที่ไม่เคยห่างหายไปไหน ทุกค่ำคืนเจ้านี่จะนอนกอดหนูแทนที่ที่ตาลุงเคยนอน อ้อมกอดของมันไม่ได้อบอุ่นอ่อนโยนหรืออบอวลไปด้วยความรัก มันมีแต่ความว่างเปล่าและเหน็บหนาว....


              หนูย้ายตัวเองไปนอนกับยายชื่นที่ตรงนั้นถึงจะไม่ใหญ่เท่าที่ห้องเราแต่มันมีคนอยู่ ยายชื่นรู้ว่าหนูเหงา จึงพยายามอยู่เป็นเพื่อน หนูไม่อยากจะให้ยายหรือคนอื่นๆ เป็นห่วง จึงต้องแอบซ่อนมันไว้ให้ในซอกหลืบลึกสุดในก้นบึงของหัวใจ พยายามยิ้มทั้งที่ไม่อยากจะยิ้ม  หนูเรียนทำอาหารขนมทุกชนิดจากจากยายชื่นเพื่อใหม่ตัวเองมีเวลาว่างมาคิดฟุ้งซ่าน

              ยายชื่นเล่าให้ฟังว่าเคยเป็นคุณข้าหลวงในวังมีชื่อด้านทำอาหารและขนม แทบทุกชนิด ตอนนี้ดีใจเหลือเกินที่มีคนสืบทอดความรู้ที่เก่งและมีพรสวรรค์ ความรู้ไม่ตายไปพร้อมกับยายแล้ว พูดไปน้ำตายายชื่นก็ซึมออกหางตาหนูกอดปลอบยายชื่นเพื่อให้อ้อมกอดนั้นมันสะท้อนให้ตัวเองอบอุ่นในเวลาชั่วเสี้ยว   



              เย็นนี้ลุงจะกลับมากินข้าวที่บ้าน  หนูดีใจมากก็เราไม่ได้เจอกันจะสามเดือนแล้ว จึงบอกยายชื่นกับคนอื่นๆ ให้ไปพักผ่อน ไม่ต้องห่วงหนูจะดูแลลุงเอง

              ผ่านไปสามชั่วโมงลุงก็ยังไม่มา อาหารที่ตั้งโต๊ะรอตั้งแต่ทุ่มครึ่งเย็นชืด ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าลุงคงจะยังไม่เสร็จงานเดี๋ยวก็คงกลับแล้วแหละ อาหารนำไปอุ่นแล้วอุ่นอีกให้ร้อนเมื่อคิดว่าอีกเดี๋ยวลุงก็จะมาถึง แต่ก็ไม่เห็น ...


            เสียงหยดน้ำฝนจากชายคาตกกระทบพื้นดังเปาะ แปะ ลมเย็นพัดหอบเอาละอองฝนเม็ดเล็กมากระทบผิวจนตอนนี้เริ่มเย็นซีด สายตาเฝ้าเหลือบแลถนนหน้าบ้าน เพียงเพื่อจะพบว่า มันเงียบงันไร้เสียงตอบรับ...อาหารจากความตั้งใจยังอยู่ที่เดิมมันคงจะเย็นชืดและถูกวางทิ้งไว้อย่างนั้น..ไร้การเหลียวแล…. 

              กี่ชั่วโมงที่คอยผุดลุกนั่งทุกครั้งที่คิดว่าใช่  แต่มันไม่เคยใช่ ...

              กี่ชั่วโมงที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน...

              กี่ชั่วโมงที่ไม่เคยมีใครบอกให้ต้องรอ และก็ไม่เคยมีใครอีกเหมือนกันที่บอกให้เลิกรอ

              การรอคอยมีจุดเริ่มต้นแต่ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดว่ามันจะอยู่ตรงไหน...

              กี่ชั่วโมงที่ความสุขนั้นอยู่กับเรา...ก่อนที่จะลับหายเพียงแค่ชั่วกระพริบตา...

              กี่ชั่วโมงที่รอยยิ้มแตะแต้มบนใบหน้าจะเลือนหาย...

              แต่...ทว่าความเหงาและรอยน้ำตาอยู่เป็นเพื่อนเราเสมอไม่เคยไปไหน...

              จะรู้ไหมว่าตรงนี้มีใครรออยู่...



TBC.
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.3.1_ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ [8_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 08-10-2015 22:29:28
 :ling3:

น้องนิ่ง เด๋ยวลุงจะมาหาแล้วนะ รออีกนิดนึง  :กอด1:

(แอบสงสัยว่าที่บ้าน ผู้ปกครองรับรู้กันแล้วสินะว่าลูกๆตัวเองรักกัน :D น่าจะรับได้อยู่ อิอิ)
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.3.2_ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ [8_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 08-10-2015 22:57:48

3.2

ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ (2)








05.30 น. เช้าวัดถัดมา

         “ว้าย!!  ตายแล้ว คุณน้ำทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ คุณน้ำคะ คุณน้ำ  ตายจริงๆ ตัวร้อนจี๋เลย” 

          //เสียงใครกันอื้ออึงน่ารำคาญ อย่าเขย่าตัวได้ไหม ปวดตัวจะตายอยู่แล้ว เวียนหัวอยากจะอาเจียน จะเขย่าทำไม หิวน้ำ..ขอน้ำกินหน่อยได้ไหม// น้ำนิ่งขมวดคิ้วทั้งที่ยังไม่ลืมตา เปล่งเสียงที่แหบพร่าขอน้ำเพื่อดับความระคายคอ เสียงเหมือนจะดังแต่มันกลับแผ่วเบาแค่ในลำคอเหมือนคนละเมอ

          “ป้า...ป้า  ป้าชื่น.... คุณน้ำไม่สบาย” 

           // พี่นิ่มใช่ไหม ตะโกนทำไม น่ารำคาญจริงๆ  ขอน้ำกินหน่อย ปวดหัวเหมือนจะระเบิด พื้นโคลงเคลงจะไปไหนเวียนหัวไม่เอาไม่ไปเดี๋ยวภูมิกลับมาไม่เห็น...//  น้ำนิ่งคิดว่าตัวเองพูดแย้งผู้หญิงคนที่เขย่าตัวเองออกไป แต่มันกลับเป็นเพียงเสียงละเมอแผ่วเบาในลำคอ

           "ภูมิ นะ น้ำ น้ำ ขะ ขอน้ำ”  น้ำนิ่งพยายามเค้นเสียดังขึ้นมาอีกนิดในความรู้สึก เมื่อขอจากพี่นิ่มไม่ได้ น้ำนิ่งขอภูมิก็น่าได้

           “นิ่มจะตะโกนเสียงดังทำไม  มีอะไรแล้ว....อะ น้ำของยายทำไมมาอยู่ตรงนี้”  ยายชื่นร้องด้วยความตกใจ รีบถลาเข้ามาโอบประคองน้ำนิ่งไว้

            “น้ำ ขอน้ำ...”  น้ำนิ่งพยายามเปล่งเสียงขอน้ำออกไป ระคายคอ เจ็บจนกลืนน้ำลายยังลำบาก

          “ไปเอาน้ำมาให้คุณน้ำก่อน  แดง!  แดงไปเรียกเรืองเอารถออกเร็วพาคุณน้ำไปโรงหมอเดี๋ยวนี้”

            ยายชื่นรับน้ำมาจากพี่นิ่มก่อนจะจ่อแก้วน้ำมาที่ริมฝีปากบาง น้ำนิ่งดื่มมันเข้าไปอึกใหญ่ แต่เมื่อกลืนไปมันกลับเกิดอาการปั่นป่วนมวนในช่องท้องแล้วตีกลับขึ้นมาจนต้องพยุงตัวที่เจ็บร้าวลุกขึ้นโก่งคออาเจียน น้ำใสและลมจนสิ้นไส้สิ้นพุง ยายชื่นยกมือขึ้นลูบหลังให้หายจากอาการอาเจียน  เอาน้ำให้บ้วนปาก น้ำนิ่งหลับตานิ่งพยายามลืมเลือนอาการวิงเวียนและปวดหัวที่รุมเร้ามาเป็นระลอก

            “ฮึก..ฮืออออ..ภูมิ ยะ..อยู่ไหน จะหาภูมิ ฮึก ฮืออออ...” 

            ความเจ็บป่วยทั้งร่างกายและจิตใจทำให้อารมณ์ของน้ำนิ่งอ่อนไหวน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้พังทลายอาบเต็มสองแก้มที่แดงระเรื่อจากความร้อนของพิษไข้ร้องเรียกหาภูมิรพีหวังเพียงอ้อมกอดของคนนั้นจะช่วยเยี่ยวยาความเจ็บป่วยได้

             “จะหาภูมิ...ภูมิ...ปวดหัวฮือออออ...”

             “โธ่..น้ำของยายชื่น อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะคะ ตัวร้อนจี๋เลย นิ่มไปเอากะละมังกับผ้ามา ฉันจะเช็ดตัวลดไข้ให้คุณหนู” 

              ยายชื่นสั่งระรัว พี่นิ่มหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมกับกะละมังใส่น้ำและผ้าขนหนูนุ่มมาให้ยายชื่นเช็ดตัวให้น้ำนิ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้น้ำนิ่งแทนตัวเดิมที่ชื้นละอองฝน

              “ภูมิ อยู่ไหน  หนูเวียนหัวฮือออออ”

              “รถมารึยังนี่ ทำไมเรืองช้าจริงๆ นิ่มไปตามอีกสิ” ยายชื่นบ่นด้วยความร้อนใจกลัวว่าน้ำนิ่งจะเป็นอะไรมากกว่านี้

              “ฉันจอรถรอตรงบันไดจ๊ะป้าชื่น”  เรืองวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาบอก

              “งั้นเอ็งมาอุ้มคุณน้ำไปใส่รถเร็วๆ ตัวร้อนไม่ลดลงเลย  นิ่มโทรหาคุณสิงห์หรือยัง” ยายชื่นร้องสั่งเรืองและหันมาถามพี่นิ่ม

              “ยังติดต่อไม่ได้เลยจ๊ะป้า แม้แต่คุณพี คุณณิตก็ติดต่อไม่ได้” พี่นิ่มตอบ

              “จะไปไหน ไม่ไปเดี๋ยวภูมิมา  จะหาภูมิ..ฮือ ฮือ.. หาภูมิ...เวียนหัวฮือ...” 

              “ไปหาหมอนะคะหนูของยาย  คนดีของยายชื่น”

              น้ำนิ่งขืนตัวไว้ไม่อยากไปไหน เพราะถ้าภูมิรพีมาจะไม่เจอกัน ยายชื่นอ้อนวอนด้วยสีหน้าเป็นกังวลเพราะตัวของน้ำนิ่งร้อนจี๋ ตาสวยแดงก่ำ แก้มแดงระเรื่อเพราะพิษไข เสียงหอบหายใจฟืดฟาดเหนื่อยอ่อนราวจะขาดห้วงทุกครั้ง
              “ภูมิอยู่ไหน..ฮือออ...ไม่รักหนูแล้วเหรอฮือ..ปวดหัว ฮึกฮืออออ...” 

              “ไปหาหมอกับยายชื่นก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณพี่จะเป็นห่วงเอานะคะคนดีของยายนะคะ”

               “...”   น้ำนิ่งพยักหน้าและยอมให้เรืองอุ้มไปที่รถ  เพียงเพราะกลัวว่าภูมิจะเป็นห่วงและไม่สบายใจที่น้ำนิ่งไม่ยอมดูแลตัวเองจนป่วย

               สรุปว่าน้ำนิ่งเป็นไข้หวัดใหญ่ และปอดบวมต้องพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเกือบสัปดาห์ คุณบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้อาจช๊อกและเสียชีวิตได้  ตลอดระยะเวลาที่อยู่โรงพยาบาลน้ำนิ่งเฝ้ารอว่าเมื่อไรภูมิรพีจะมาหาสักที ชำเลืองมองประตูห้องที่เปิดเข้ามาที่ครั้งอย่างคาดหวังว่าคนที่เข้ามาต้องเป็นภูมิรพี...แต่ภูมิรพีก็ ไม่เคยอยู่ตรงนี้..



   - แกร๊ก -

              น้ำนิ่งหันขวับมองไปทางประตูที่เปิดเข้ามา  ความหวังถูกจุดขึ้นมาในหัวใจที่อ่อนล้าอีกครั้ง แต่แล้วต้องดับวูบลงเมื่อคนที่ปรากฏตัว..ไม่ใช่คนที่รอคอย รอยยิ้มน่ารักฝาดเฝื่อนและค่อยๆ จางหาย แววตาเหงาแลสบกับคนมาใหม่เพียงชั่วครู่ก่อนจะกลบเกลื่อนแทนที่ด้วยความสดใสที่ฝืดฝืน  คณิตสืบเท้าเข้ามายืนข้างเตียง ยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มปัดเกลี่ยส่วนที่ตกลงปิดหน้าขึ้นทัดหูให้ ก่อนจะดึงตัวน้ำนิ่งเข้าไปกอดปลอบสักพักก็ปล่อยตัวออก

             “เป็นไงคนเก่ง”  พี่ณิตถามเสียงอ่อนโยน

             “หายแล้วครับ  พี่ณิตภูมิอยู่ไหน น้ำอยากหาภูมิ”  น้ำนิ่งเอ่ยเสียงเว้าวอน

             “สิงห์ไปติดต่อธุรกิจต่างประเทศครับก็ไปกับพี่นี่ล่ะ แต่พอดีว่ามีเรื่องด่วนที่โรงงานพี่เลยต้องกับมาก่อน ส่วนสิงห์มันต้องบินต่อมาที่สิงคโปร์ครับ ไปติดต่อบริษัทนี้หลายครั้งแล้วล่ะทางนั้นเพิ่งจะตกลงรับข้อเสนอของเราแล้ว จึงให้ไปเซ็นสัญญามันจะให้พีไปแทนแล้วนะ  แต่ฝ่ายนั้นไม่ยอมต้องเป็นสิงห์คนเดียวมันเลยต้องไปเอง” 

             คณิตอธิบายเหตุผลให้ฟัง น้ำนิ่งพยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่จะก้มหน้าลงมองมือของตัวเองที่กุมแน่นอยู่บนตัก ความเหงาแผ่กระจายทั่วดวงตาคู่สวยให้คณิตเห็นเต็มอยู่ทุกพื้นที่ น้องเสหน้าไปทางอื่นไม่อยากจะให้เขาเห็นว่ากำลังกลั้นน้ำตา

             ‘หนูเข้าใจนะว่าภูมิต้องทำงาน แต่ความน้อยใจที่หนูไม่เคยจะห้ามมันได้สักครั้ง จะว่างี่เง่าก็ได้แต่ถ้าไม่ตั้งใจจะมาตั้งแต่แรกก็อย่ามานัด ให้คอยทำไม ให้หนูอยู่อันดับสุดท้ายก็ได้ถ้าพอจะเจียดเวลาน้อยนิดได้ค่อยมาหาก็ไม่ว่า แต่ถึงขั้นที่ไม่มีแม้อันดับหรือตัวตนเลยมันก็เกินไป...’

              น้ำตาอุ่นๆ ล้นขอบตา น้ำนิ่งยกมือปาดน้ำตา พี่ณิตดึงน้องเข้ามากอดปลอบลูบหลังไปมาเบาๆ ยายชื่นเดินเอายาหลังอาหารมาให้กินไม่กี่นาทีต่อมาน้ำนิ่งก็ตาปรือปรอยและหลับไปเพราะฤทธิ์ยา

             “ตกลงน้ำเป็นอะไรครับยายชื่น”  คณิตถามยายชื่นซึ่งกำลังดึงผ้าขึ้นมาห่มให้น้ำนิ่ง

             “เป็นไข้หวัดใหญ่ อย่างที่รู้ๆ น้ำมีภูมิคุ้มกันบกพร่องอยู่แล้ว มันก็เลยรุนแรงมีภาวะอาการปอดบวม แทรกซ้อนอีก ถ้ามาช้ากว่านี้อาจช็อกถึงเสียชีวิตได้”  ยายชื่นบอกเสียงเบาไม่ให้รบกวนคนป่วย สายตามองดูน้ำนิ่งด้วยความรัก มือเหี่ยวของยายชื่นยื่นเข้าไปจับมือของน้ำนิ่งกุมไว้ในมือของตนเอง

           “ตั้งแต่เมื่อไรกันครับยาย”

             “ก็ตั้งแต่วันที่คุณสิงห์บอกว่าจะกลับมาทานข้าวที่บ้านนั่นแหละ ทางนี้ก็ดีใจใหญ่ว่าคุณพี่จะกลับมาทานข้าวด้วย ยิ้มตลอดตั้งกะบ่าย ลงมือทำอาหารเองรอคุณพี่ทำไปฮัมเพลงไปดูมาความสุขที่สุดในรอบสามเดือน  เสร็จแล้วก็บอกให้พี่นิ่มจัดโต๊ะส่วนตัวเองก็รีบขึ้นไปอาบน้ำ เวลาคุณพี่กอดจะได้หอมๆ  ลงมาก็ให้ พวกเราไปพักผ่อน เขาจะดูแลของเขาเอง ก็นั่งรอคุณพี่ที่โซฟาตรงใต้ถุนเรือนหน้านั่นแหละ ยายคิดว่าถึงเวลาเดี๋ยวคุณสิงห์ก็คงจะมายายเลยไปพักผ่อนกัน จนเช้านั่นแหละเจ้านิ่มเขาถึงมาเห็นน้ำนอนไม่ได้สติอยู่ที่เดิม”  ยายชื่นยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตรงหางตาหลังจากจบคำอธิบายยาว

             “วันนั้นพวกผมต้องบินด่วนทางเจ้าของบริษัทที่เราติดต่อด้วยเค้าไม่ยอมให้พีเซ็นสัญญาเค้าระบุมาต้องเป็นสิงห์เท่านั้น ก็เลยต้องบินด่วนภายในคืนนั้น ผมก็นึกว่ามันจะโทรบอกน้อง” คณิตอธิบายถึงสาเหตุที่ ภูมิไม่ได้กลับบ้านในวันนั้น

             “ยายว่าสิงห์คงจะรีบเลยลืม  ทางนี้ไม่รู้ก็นั่งรอไปสิ...คิดว่าจะรู้เองรึอย่างไร”   ยายชื่นพูดตำหนิเชิงประชดประชันกลายๆ  ก็อีกแหละน้ำนิ่งคนโปรดของยายชื่นสุดรักสุดหวงเหมือนกัน

             “ที่ว่าทำกับข้าวเองนี่คือน้องทำเป็นเหรอยาย” คณิตยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะเฉไฉไปเรื่องอื่น

             “ก็เขาเรียนด้านอาหารและโภขนาการอยู่ ยายก็สอนทำอาหารให้เขาไม่อยากจะให้ความรู้ที่มีมันตายไปกับตัว น้ำเค้ามีพรสวรรค์รู้จักดัดแปลงพลิกแพลงสูตรจากอาหารธรรมดาหน้าตาบ้านๆ ก็กลายเป็นอาหารภัตตาคารหรูไปซะได้ ช่างคิดจริงๆ 
อีกอย่างตั้งแต่คุณสิงห์ต้องทำงานแล้วไม่ได้กลับบ้าน  น้ำของยายดูเหงาๆ เวลาอยู่คนเดียวก็เหม่อๆ พวกเราพูดด้วยก็ยิ้มนะแต่เป็นรอยยิ้มแกนๆ ฝืนๆ  คงรู้ว่าพวกเราห่วงก็พยายามทำร่าเริง ข้าวก็ทานเหมือน แมวดมก็อย่างที่ณิตเห็นน้ำเค้าตัวเล็กบางอยู่แล้วนี่ยิ่งบางลงกว่าเดิมเลยหาอะไรให้ทำ

              ตอนแรกก็ทำเล่นๆ หลังๆ ชักสนุกทำมากขึ้นทีนี้กินไม่ทันก็เอาไปแจกคนแถวบ้าน  แล้วเกิดมีคนติดใจน้ำมือก็เลยมาขอให้เค้าทำส่งที่ร้านทีนี้ยิ่งสนุกกว่าเดิมเพราะทำแล้วได้สตังค์ดีใจยกใหญ่เก็บใส่กระปุกบอกจะหาเงินเลี้ยงคุณพี่  โตแล้วอยากจะหาเงินเลี้ยงคุณพี่ไม่อยากให้เหนื่อยแล้ว ยายได้ฟังน้ำตาซึมเลย” 

              ยายชื่นเอ่ยถึงเด็กในความดูแลด้วยสีหน้าชื่นชมเอ็นดูทำให้คณิตยิ้มตามไปด้วย  ถึงหน้าจะยิ้มแต่เขาโมโหเจ้าสิงห์มากกว่ามันทิ้งเด็กที่มันรักนักรักหนาไว้แบบนี้ได้ยังไง แมร่งเอ๊ย!!  ถ้าไม่มีคนไปพบแล้วส่งโรงพยาบาล ไม่ทันน้องมิตายเหรอ

             ผมผละจากเตียงเดินออกไปที่ระเบียงล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดโทรหาเจ้าสิงห์ แต่เสียงปลายสายที่ตอบกลับมากลับบอกว่าไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้  จึงกดวางสายแล้วโทรออกไปหาอีกคนรอสายอยู่ไม่นานปลายสายก็กดรับ

             “พี เจ้าสิงห์มันนัดเซ็นสัญญากับบริษัทที่สิงคโปร์เมื่อไร”

             // เสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะพี่ณิต มีอะไรกับน้อง//

             “เสร็จแล้วมันจะกลับเลยใช่มั้ย”

             // สิฐเขาโทรมาบอกผมว่าจะกลับพรุ่งนี้เช้าวันนี้สิงห์ต้องไปดูงานให้ผู้ใหญ่ แล้วตกลงมีอะไร//

             “น้องไม่สบาย ตอนนี้นอนอยู่ที่โรงพยาบาล...”

             // ห๊ะ!!  เป็นอะไร  ทำไมไม่มีใครโทรมาบอก แล้วงานจะเข้าบริษัทไหม//

            “เพิ่งรู้เหมือนกัน พี่นิ่มโทรบอก น้องเป็นไข้หวัดใหญ่หวิดช็อกตายจากอาการปอดบวม  ตอนนี้อาการดีแล้ว งานเสร็จแล้วไม่ต้องห่วงแต่ไม่เข้าบริษัทนะพี่จะเฝ้าน้องเองให้ยายชื่นกลับไปพัก”

             // โล่งใจไป เดี๋ยวผมจะเข้าไป //

             “เออ เออ เลิกงานแล้วค่อยมา ซื้อข้าวเข้ามาด้วยนะ”
             // โอเคครับ เย็นนี้นอนเฝ้าน้องด้วยกัน //

              “ครับๆ จะรอครับ”  หลังจากที่คุยกับคนปลายสายเสร็จผมเดินกลับเข้ามาให้ห้อง

              “เจ้าสิงห์มันจะบินกลับถึงพรุ่งนี้เช้า  แล้วหมอจะให้น้องออกได้ตอนไหนครับ”

              “ถ้าไม่มีอะไรก็คงจะมะรืนนี้”

              “คืนนี้ยายชื่นไปพักผ่อนนะครับ เดี๋ยวผมกับเจ้าพีจะดูน้องเอง พรุ่งนี้สายๆ สิงห์มันก็กลับมาดูเด็กของมันเองแล้ว”

              “เอาแบบนั้นก็ได้ เดี๋ยวยายจะกลับเลยแล้วกัน ดูแลน้องดีๆ นะณิต” 

              “ครับ”

              คณิตนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงเอื้อมจับมือเล็กผอมบางมากุมไว้ในมือของตัวเอง คณิตรักน้ำนิ่งเหมือนน้องแท้ๆ ของตัวเอง  เป็นเหมือนน้องคนเล็กที่พวกเราต้องดูแลอย่างดี  ยิ่งสิงห์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กนี่เป็นยิ่งกว่าชีวิตของผู้ชายคนนั้น  รักยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดหวงยังกับจงอางหวงไข่ แต่ตอนนี้คณิตไม่เข้าใจความคิดของเจ้านั่น...รักแต่ทิ้งขวาง
   
              พี่ณิตบอกว่าภูมิจะกลับมาถึงตอนสายๆ  หนูฝืนไม่ยอมนอนแม้จะกินยาหลังอาหารแล้ว  จนบ่ายสามก็ยังรอด้วยตาปรือปรอยแต่หลับไปตอนไหนไม่รู้  ตื่นมาอีกทีตอนห้าโมงเย็นแล้ว  ถามพี่ณิตว่า ภูมิมารึยัง     พี่ณิตไม่ตอบแต่ดึงตัวเข้าไปกอดปลอบว่าภูมิคงยังไม่เสร็จงาน เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็กลับแล้ว วันนี้อยู่กับพวกพี่ อีกวันแล้วกัน

              วันนี้คุณลุงหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ หนูเปิดโทรทัศน์ดูระหว่างรอพี่ณิตไปจัดการชำระค่ารักษา พยาบาลกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยไม่ได้เจาะจงดูช่องใดช่องหนึ่ง 

              จนกระทั่งมาสะดุดช่องข่าวสังคมเศรษฐกิจที่ทำให้ใจหนูเจ็บแปลบเหมือนโดนค้อนทุบเข้าอย่างจัง ภาพข่าวที่ฉายตรงหน้ามันเป็นภาพเมื่อคืนวานของภูมิที่ดูหล่อสมาร์ทในสูทพอดีตัวราคาแพงแสนแพงควงคู่ กับไฮโซสาวสวยนักธุรกิจชาวสิงคโปร์ทั้งคู่ไปดินเนอร์กันที่ The Sky on 57 มารีน่า เบย์ แซนด์ส  ภูมิยิ้มหวานทรงเสน่ห์ให้ผู้หญิงคนนั้น ตอนที่เดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้เธอ  มือใหญ่เอื้อมไปรับมือเล็กเรียวตอนเธอคนนั้นลงจากรถ ก่อนที่เลื่อนมาแตะลงที่ข้อศอกเดินคู่กันขึ้นบันไดมารีน่าเบย์ แซนด์ส ด้วยกัน ทั้งคู่ยิ้มและส่งสายตาฉ่ำหวานให้กันราวกับว่าเป็นคู่รักที่รักกันมาก ภูมิดูเป็นสุภาพบุรุษที่อบอุ่นต่างจากที่เคยปฏิบัติกับหนูอย่างสิ้นเชิง 

นี่สินะสาเหตุที่ภูมิไม่ได้กลับมาเมื่อวาน

            เนื้อหาของข่าวเป็นการสัมภาษณ์กระเซ้าเย้าแหย่ไฮโซสาวถึงดินเนอร์ที่แสนโรแมนติกในค่ำคืนที่ผ่านมา ฝ่ายไฮโซสาวมีท่าทีเขินอายพองามกล่าวตอบนักข่าวอย่างมั่นใจว่า
 
            “เคยเห็นและรู้จักคุณภูมิรพีผ่านสื่อต่างประเทศมานานตั้งแต่ตัวเองเข้าบริหารงานช่วยคุณพ่อใหม่ๆ  ตอนนั้นคุณภูมิรพีเป็นที่รู้จักในฐานะพ่อค้าในตลาดที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดตั้งแต่ยังเด็กๆ พอได้มาเจอตัวจริงและมีโอกาสได้ร่วมธุรกิจกันยิ่งทำให้ปลื้มไปใหญ่ ก็เป็นการรับประทานอาหารร่วมกันธรรมดาไม่ได้โรแมนติกอะไร...”   

              นักข่าวอีกคนถามว่านอกจากจะร่วมธุรกิจกันแล้ว คาดว่าจะมีการสานสัมพันธ์กันด้านอื่นหรือไม่     นักธุรกิจสาวไฮโซตอบอย่างเขินอายว่า
              “อันนี้โซว์ก็ตอบไม่ได้ มันเป็นเรื่องของอนาคต ก็คงจะแล้วแต่คุณภูมิรพีว่าอยากจะขยับฐานะเป็นอย่างอื่นรึเปล่านะคะ แต่คุณพ่อโชว์ชอบคุณภูมิรพีมากพูดถึงตลอด  ยังไงขอตัวนะคะโซว์มีประชุมต่อนะค่ะ”

              ภาพตัดมาที่ห้องข่าว ฝ่ายผู้ประกาศข่าวยังมีเนื้อหาของข่าวเพิ่มเติมอีกว่าในบ่ายวันเดียวกันก่อนมีดินเนอร์สุดหรู บังเอิญมีปาปารัซซี่มือดีเก็บภาพที่ทั้งคู่ควงกันเดินช๊อปปิ้งห้างดังของสิงคโปร์ ผู้ประกาศข่าว แซวว่า เห็นอย่างนี้ก็คงไม่แคล้วกันแล้ว เป็นคู่ที่มีความเหมาะสมกันมาก...

             หลังจากนั้นเนื้อหาของข่าวอื่นๆ ก็ไม่ได้ผ่านเข้าหูของหนูแล้ว น้ำตาเอ่อล้นออกมาโดยอัตโนมัติ เหมือนหัวใจถูกบีบรัด สิ่งที่วิ่งวนอยู่ในหัวคือ “ความว่างเปล่า”  ก่อนที่มันจะก่อตัวเป็นคำถามที่ไม่รู้ว่าคำตอบอยู่ตรงไหน

             ‘เหตุผลนี่รึเปล่าที่ทำให้อีกคนลืมไปว่า...ตรงนี้ยังมีอีกคนรออยู่’

             “น้ำ น้ำนิ่ง เป็นอะไรรึเปล่าฮึ”  พี่ณิตเขย่าตัวเรียกเบาๆ  หนูรีบยกมือขึ้นป้ายเช็ดน้ำตาที่เอ่อคลอ ก่อนจะฝืนยิ้มให้คนตรงหน้า
             “ไม่เป็นไร  ยังมีพวกพี่อยู่ข้างๆ เสมอนะ”  พี่ณิตดึงตัวหนูเข้าไปกอดลูบปลอบเบาๆ สักพักหนูจึงผละออกจากอ้อมกอดของพี่ณิต

             “เปล่าซะหน่อย ไม่ได้เป็นอะไร  นั่งดูทีวีอยู่ดีๆ มันเหมือนมีผงฝุ่นปลิวเข้าตา แล้วมันระคายไง น้ำเลยขยี้จนเจ็บตาแล้วนี่  อ๊ะ! เสร็จแล้วเหรอฮะ  เราจะกลับกันรึยังน้ำอยากนอนพักจังพี่ณิต...” 

             “ไอ้ผงนั้นมันน่าฆ่าให้ตายจริงๆ ทำให้น้องพี่ตาบวมแดงหมดแล้ว เดี๋ยวพี่จัดการให้ทุกอย่างเลย ไม่ร้องนะ”  พี่ณิตพูดยังกับรู้เหตุผลว่าทำไมหนูถึงร้องไห้

             “อะไรเล่าพี่ณิตก็...เราลงไปกันเลยไหมฮะ น้ำอยากกลับแล้ว”  หนูทำหน้ากระเง้ากระงอดเบี่ยงเบนประเด็นฉุดรั้งให้คนพี่กลับบ้าน

             “เอางั้นก็ได้ ถ้าไม่อยากจะบอกพี่ว่าร้องทำไม ก็กลับกันเลยลืมอะไรรึเปล่าหืม เก็บหมดรึยัง”

          “ไม่มีอะไรซะหน่อย ก็ผงมันเข้าตาจริง”

            “เออๆ ผงก็ผง แต่สัญญาว่าจะจัดการให้”

          “...”  พี่ณิตเดินไปหิ้วเอากระเป๋าที่วางอยู่บนเตียงให้ และดูอีกครั้งว่าลืมอะไรรึเปล่า มือสากแต่อบอุ่นของพี่ชายกุมกระชับมือหนูเดินออกจากห้องมาด้วยกันเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร  ถึงบ้านพี่ณิตจะอุ้มไปส่งห้อง  แต่หนูบอกให้ปล่อยหนูลงที่หอนั่ง หนูบอกพี่นิ่มที่หิ้วกระเป๋าตามมาให้จัดห้องรับรองแขกที่เรือนทิศให้หนูจะไปนอนที่นั่นแทนห้องภูมิ

          “อ้าว แล้วไม่นอนที่ห้องหละ” คณิตถามน้ำนิ่งด้วยความแปลกใจ

            “นั่นห้องพี่สิงห์ไม่ใช่ห้องของน้ำซะหน่อย” น้องตอบผม

            “ก็ทุกทีเห็นนอนด้วยกันตลอด ห่างกันได้ที่ไหน” 

            “ก็ตอนนั้น มันใช่ตอนนี้เหรอ พี่สิงห์ก็คงอยากจะมีความเป็นส่วนตัว”

            “ไอ้สิงห์มันคงยอมหรอก เดี๋ยวกลับมาคงได้อาละวาดบ้านแตก” คณิตพยายามไกล่เกลี่ยเพราะไม่อยากให้น้องทะเลาะกัน

            “พี่สิงห์ไม่สนใจหรอกว่าน้ำจะนอนตรงไหน ดีเสียอีกที่ไม่มีน้ำไปเกะกะ”  น้ำนิ่งยังให้เหตุผลข้างๆ คู

           ‘ ถ้าสนใจ ถ้ายังรักอยู่ ก็คงไม่ทำอย่างนั้น

             น้ำนิ่งก้มหน้าลงพึมพำเสียงแผ่วเบา เพราะคิดว่าคณิตจะไม่ได้ยิน แต่พี่ชายก็ได้ยินมันชัดเจน คนตัวโตมองน้องด้วยความฉงน  สรรพนามที่เรียกสิงห์ก็เหินห่าง  เคยที่ไหนที่น้ำนิ่งจะเรียกคนของตัวเองว่า “พี่สิงห์”  มันชัดเจนแล้วว่าน้ำนิ่งเห็นข่าวห่าเหวนั่นแล้ว แม้อยากจะเชื่อใจคนของตัวเองสักเท่าใดแต่สิ่งที่เห็นมันก็ชวนให้คิดคล้อยตามข่าวจริงๆ  คณิตอยากจะรู้นักภูมิ
รพีกำลังทำบ้าอะไรอยู่ 

            “น้ำโตแล้ว ควรจะแยกห้องมานอนเองสักที จะอยู่ให้พี่ดูแล ตลอดไป ได้ยังไง สักวันหนึ่งพี่สิงห์ก็ต้องมีครอบครัวของตัวเอง ก็คงจะไม่มีเวลามาดูแลน้องอย่างน้ำเท่าไร  ขอให้น้ำหัดยืนให้ได้ด้วยขาของตัวเองซะบ้างเวลาพวกพี่ที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันจะได้ทำอะไรเองได้  จะหวังพึ่งพาคนอื่นไปตลอดไปได้ยังไง น้ำพูดถูกมั้ย” 

             น้ำนิ่งอ้างเหตุผลโน้มน้าวให้พี่ชายคล้อยตาม ซึ่งคณิตคิดว่าถ้าสิงห์มันจะเลือกอย่างนั้นจริงๆ เหตุผลที่ น้องให้มามันก็ถูกต้อง แต่จะคิดเองเออเองจะใช่เหรอต้องให้ความยุติธรรมกับไอ้ตัวต้นเหตุด้วย คณิตว่าสิงห์มันคงจะมีเหตุผลที่ทำไปอย่างนั้น  และเชื่อว่าสิงห์มันไม่มีวันทิ้งน้องได้หรอก ชีวิตทั้งชีวิตของมันเลยนะคนนี้ รักน้ำนิ่งจนจะคลั่งตายแล้วตอนนี้

           “ตกลงคือจะแยกห้องให้ได้ใช่ไหม งั้นก็เอาที่น้องสบายใจเลย ถ้ามันโกธรก็อย่ามาง๊องแง๊งกับพวกพี่ก็แล้วกัน”

             น้ำนิ่งพยักหน้า แต่ความมั่นใจหายไปเกินครึ่งตอนนี้คิ้วเรียวสวยของเด็กตรงหน้าเริ่มขมวดยุ่ง  ก็เคยเห็นฤทธิ์กันอยู่ว่าเวลาสิงห์มันโกธรแล้วเป็นยังไง  แต่ด้วยทิฐิบวกกับความน้อยเนื้อต่ำใจมันบังตาทำให้เด็กน้อยของเราใจฮึกเหิมบ้าบิ่นยืนยันที่จะแยกห้องให้ได้  ก็ตามใจสิงห์มันคงไม่ทำอะไรน้องแรงหรอกม้าง...นะ

             “น้ำพี่จัดห้องให้เสร็จแล้วนะคะ” พี่นิ่มเดินมาบอก  ผมพยักหน้ารับทราบพี่นิ่มขอตัวลงไปช่วยยายชื่นเตรียมอาหารเย็น
   น้ำนิ่งเดินมาที่ห้องนอนใหญ่เก็บที่เป็นของตัวเองใช้เวลาไม่นานเพราะเลือกเอาแต่ของที่จำเป็นมาที่ห้องรับรองซึ่งต่อไปมันคงจะเป็นห้องที่เขาใช้นอนประจำ หัวเริ่มมึนๆ พี่ณิตคงจะดูออกเขาตวัดตัวหนูออกจาก ตู้เสื้อผ้าไปวางที่เตียง

            “พอเถอะเดี๋ยวจะให้พี่นิ่มมาทำต่อให้ กินยาแล้วนอนพักตัวรุมๆ อยู่นะ”

         หลังจากที่หนูกินยาเรียบร้อยแล้ว พี่ณิตขยับตัวให้นอนในท่าสบาย  หยิบผ้าเน่าประจำตัวมาให้กอดก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้อีกทีจนถึงคอ นั่งเป็นเพื่อนสักพัก หนูแกล้งหลับสนิท พี่ณิตกันผ้าไม่ให้หลุดก่อนจะลุกขึ้นไปปรับเครื่องปรับอากาศให้อุณหภูมิพอเหมาะหรี่ไฟให้มีแสงสลัว รูดม่านหน้าต่างให้ปิดสนิท ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

           พอคล้อยหลังพี่ณิต ยาที่กินเข้าไปไม่ได้ทำให้น้ำนิ่งง่วง กลับลืมตาโพล่ง ครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ จากที่เห็นยิ่งคิดถึงท่าทีที่ภูมิแสดงต่อผู้หญิงคนนั้นมันยิ่งชัดเจนว่า ที่ตรงข้างๆ ภูมิคงไม่ใช่ที่ของหนูอีกแล้ว ใจมันเจ็บแปลบทุกครั้งเหมือนเข็มสักพัน สักหมื่นเล่ม ที่ทิ่มแทงในใจ 

           บาทีตอนนี้คำว่า “ตลอดไป” มันคงเดินทางมาถึงสุดสายปลายทางแล้ว...

         สักวันภูมิคงจะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง...ทำในสิ่งที่อยากทำกับคนที่รักโดยที่ไม่มีหนูอยู่ตรงนั้น...

         สิ่งที่หนูต้องพยายามทำให้ได้คือ “เข้มแข็ง”

           คงต้องหัดอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ก้าวเดินช้าๆ อย่างมั่นใจด้วยขาของตัวเอง...อยู่ในที่ๆ เป็นของตัวเองเลือกอย่างมีความสุขเท่าที่จะทำได้ในวันที่ไม่มีภูมิ…

           หนูไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ไปมากแค่ไหน...น้ำตาที่ไหลออกมามันเปียกหมอนจนชุ่มหรือไม่..ความอ่อนเพลียและฤทธิ์ยาทำให้หลับไปทั้งที่น้ำตายังอาบแก้มใส....





TBC.

ปล. ลักษณะการเขียนของอิฉันหลายคนอาจจะงง เพราะในแต่ละตอนจะมีทั้งคนเขียนอธิบายแทนตัวละคร และตัวละคร
บรรยาความรู้สึกเอง ภาษาบางทีก็เก่า ขอบคุณมากมายที่แวะเข้ามา :)
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.3.2_ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ [8_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 08-10-2015 23:04:14
 :monkeysad:

น้องนิ่งเห็นข่าวแล้วเข้าใจผิดซะแล้ว



งานนี้สิงห์ต้องมาง้ออีกยาว

แต่คงจะระเบิดก่อนเพราะน้องแยกห้องนี่ล่ะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.3.2_ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ [8_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 08-10-2015 23:12:45
ม่ายยยย หนูน้อย สิงห์ไม่ใช่แบบนั้นน สิงห์มีอารมณ์กับหนูคนเดียวลูกก (เกี่ยว?) สงสาร มากอดทีมาาา
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.4 วางมัดจำ [9_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 09-10-2015 22:18:50
4

วางมัดจำ






   “สวัสดีครับยาย”    

   “อ้อ กลับมาแล้วรึพ่อ แล้วนั่นหน้าไปโดนอะไรมาล่ะ”

   “ไม่มีอะไรหรอกครับ มีเรื่องเข้าใจผิดกับพี่ๆ เขานิดหน่อย”

   “ทำไมไม่พูดกันดีๆ พี่น้องกันทำไมต้องใช้กำลังด้วยก็ไม่รู้ รอตรงนี้เดี๋ยวยายทำแผลให้”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมก็สมควรจะโดนซะบ้าง แล้วหนูอยู่ไหนครับ” ผมถามชะเง้อมองหาเด็กซึ่งน่าจะนั่งประจำอยู่แถวนี้

   “รายนั้นไม่สบาย เลยให้นอนพักอยู่ในห้อง ยายพยายามติดต่อพ่อแล้วแต่ติดต่อไม่ได้”

   “ขอโทษครับ บังเอิญผมลืมโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะทำงานไม่ได้เอาไปด้วย ก็พอดีกับงานยุ่งจนขยับตัวทำอะไรไม่ได้เลยครับ”

   “ก็เหตุสุดวิสัยแหละนะ งั้นไปเถอะ อยู่ในห้องนั่นแหละ”  ยายชื่นบอก ก่อนจะนั่งทำงานที่อยู่ตรงหน้าต่อด้วยความหมางเมิน


   ผมเปิดประตูเข้าไปคิดว่าจะเจอคนที่ต้องการ แต่บริเวณกรอบสายตากลับว่างเปล่า ห้องน้ำ ห้องแต่งตัวก็ไม่เห็น ข้าวของส่วนตัวของเด็กหายไปจากที่ที่มันเคยอยู่ ผมกำลังจะเดินออกมาจะถามป้าชื่นพอดีเจอพี่นิ่มที่กำลังจะเอาตะกร้าผ้าลงไปข้างล่าง

   “เค้าไปไหนครับพี่นิ่ม”  ผมเริ่มจะมีอารมณ์กรุ่นโกธรเสียงที่ถามพี่นิ่มออกจากจึงค่อนข้างแข็งกร้าวพอสมควร เด็กน้อยชักจะเอาใหญ่

   “เออ อยู่ห้องรับรองเรือนใต้จ๊ะ”  พี่นิ่มคงสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เริ่มกรุ่นโกธรของผมจึงตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ก้มหน้านิ่ง

   “แล้วเค้าไปทำบ้าอะไรที่นั่น ไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ”  ผมตวาดลั่นใส่พี่นิ่มทั้งที่ไม่ควร จึงรีบปรับอารมณ์ของตัวเอง แล้วหันไปขอโทษพี่นิ่ม

   “ขอโทษครับพี่นิ่ม”

   “เออ น้องย้ายไปนอนห้องนั่นตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาล พี่ก็ไม่รู้เหตุผล ภูมิก็ไปคุยกับน้องดีๆ นะ” 

   พี่นิ่มพูดเสียงอ่อน ก่อนจะขอตัวลงจากเรือนไป ผมยืนนิ่งระงับอารมณ์ที่กำลังปะทุ ไม่อยากจะโมโหนะ แต่มาเจอแบบนี้ก็อดไม่ได้ เขาน่าจะรู้ว่าผมรักเขามากแค่ไหน ไม่มีวันที่จะทิ้งอยู่แล้ว ชอบคิดเองเออเองไม่รอถามความจริงจากผมก่อนแล้วก็งอน เมื่อความโมโหเริ่มคลายตัวผมจึงเดินไปยังห้องรับรองแขกซึ่งอยู่ฝั่งทิศใต้




   - แกร๊ก –

   ผมเปิดประตูเข้าไปเด็กอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนลายแมวสีฟ้านั่งอยู่ตรงโซฟาริมหน้าต่างบนตักมีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ แต่สายตาของเขามันไม่ได้จดจ่ออยู่ที่หนังสือเล่มนั้น กลับเสมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยและไร้จุดหมาย

   น้ำนิ่งสะดุ้งน้อยๆ หันมามองด้วยความตกใจ ดวงตาคู่สวยหม่นหมองมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ เมื่อเห็นว่าเป็นผมเขาหันหน้ากลับไปรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ใจผมมันเจ็บแปลบเหมือนมีเข็มทิ่มแทง ผมทำให้เด็กน้อยเสียใจอีกแล้ว

   เด็กหันกลับมาส่งยิ้มให้ แต่รอยยิ้มนั่นมันช่างฝืนปากบางที่ยกยิ้มสั่นน้อยๆ แววตาหวานมีรอยหม่นเศร้าที่กลบไม่มิด  ผมเดินไปนั่งลงข้างๆ ยกตัวเด็กขึ้นนั่งตัก ตัวเขาเบาและผอมบางลงกว่าเดิมมากนั่งบนตักแทบจะไม่รู้สึกว่าหนัก  น้ำนิ่งพยายามฝืนตัวลงจากตัก แต่ผมกระชับวงแขนแน่นขึ้น

   ก้มลงจรดปากร้อนของตัวเองที่หน้าผาก เปลือกตาบวมเบ่งจากการร้องไห้  แก้มนิ่มสองข้าง จูบเบาที่ปลายจมูกงอน ละลงมาที่ปากนิ่มที่ขบเม้มไม่ให้ผมล้วงล้ำ  ผมใช้ลิ้นร้อนเลียดูดดึงค่อนข้างแรงแต่ น้ำนิ่งก็ไม่ปล่อยปาก  พยายามดิ้นรนออกจากการสัมผัสของผม มือเล็กแกะมือผมออกจากเอวบาง ผมกอดกระชับวงแขนแน่นกว่าเดิม  เมื่อไม่สามารถลงจากตักผมได้เขายอมอยู่นิ่งๆ  ไม่คลอเคลียเหมือนเคย ผมเริ่มใจเสีย จึงผละหน้าออกมามองคนบนตักให้เต็มตา เด็กน้อยก้มหน้านิ่งไม่ยอมสบตา

   “พะ พี่สิงห์เพิ่งกลับมาไปอาบน้ำก่อนไหมครับจะได้สบายตัว ผมจะไปบอกพี่นิ่มตั้งโต๊ะให้”  ผมนั่งจ้องกดดันเขาอยู่นาน เด็กน้อยคงจะอึดอัดเขายอมเปิดปากถามน้ำเสียงสั่นแต่ก็พยายามให้เรียบเฉยเหินห่างจนชักจะหงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้ว

   “เรื่องนั้นช่างมัน  ที่ทำอยู่นี่คืออะไร  แล้วมาทำบ้าอะไรที่ห้องนี้ห๊ะ”  ผมถามเสียงเย็น พยายามข่มความไม่พอใจกับคำพูดและท่าทางเย็นชาเหินห่างของคนบนตัก เข้ายังก้มหน้าไม่มองสบตาผม

   “ผมนอนที่นี่ครับ” 

   “ใครอนุญาต“   ผมกดเสียงเย็นต่ำถามคนตรงหน้า

   “ม..ไม่มีครับ ผมก็แค่..” 

   “แค่อะไร...บอกแล้วเหรอให้ทำแบบนี้ห๊ะ!

    เขายังไม่ได้ตอบผมก็ตะคอกถามเสียงดังเสียก่อน เด็กตรงหน้าตาเริ่มแดง น้ำตาปริ่มๆ จะหยดมิหยดแหล่ ริมฝีปากนุ่มขบกัดกันแน่นจนเริ่มจะห้อเลือด ก้มหน้าจนคางแทบจะชิดหน้าอกไม่กล้าสบตา คงจะรู้แล้วว่าอารมณ์ผมเริ่มคุกกรุ่น ข่มกั้นน้ำตาก่อนจะตอบผมเสียงเบาตะกุกตะกัก

   “กะ แค่อยากจะให้พี่มีเวลาส่วนตัวบ้าง จ..จะได้ไม่อึดอัดเสียเวลาดูแลผม เผื่อบางที..” 

   “อะไร!  บอกแล้วเหรอว่าอยากมีเวลาส่วนตัว  เคยบอกว่าเป็นภาระเหรอ หา!! บอกหรือยัง  ตอบ!

   ผมถามเสียงดังกว่าเดิม ไหล่บางเริ่มสั่นๆ น้อย น้ำตาไหลอาบแก้มใสเลยทีนี่  ใจผมแทบขาดไม่เคยตะคอกใส่ซักที  เขาไม่รู้เลยหรือไงว่าตัวเองมีความสำคัญกับผมแค่ไหน มีอะไรทำไมไม่พูดกัน เขาน่าจะเป็นคนที่เข้าใจผมมากที่สุด ไม่ใช่ตัดสินใจเอาเองจากสิ่งที่เห็นโดยไม่ฟังผม

   “แล้วคำพูดนี่อีก ใครสั่งใครสอนให้พูดแบบนี้”

   “....”  เขายกมือของตัวเองปิดปากไม่ให้เสียงร้องไห้เล็ดลอดออกมา  น้ำไหลอาบแก้มเป็นทางยาวหยดลงเปียกกางเป็นดวงๆ

   “พูด!!  ไม่ได้ให้เงียบ” 

   เสียงตอบคำถามของผมกลับมามีเพียงเสียงสะอึกสะอื้น กับน้ำตาเม็ดโตที่ร่วงพรู  มือเล็กผละออกจากปาก หยิกครูดเนื้อตามหน้าขาตัวเองจนเกิดรอยเล็บแดงด้วยอารมณ์ที่แปรปรวนเพราะเกิดจากความหวาดกลัวหรือตกใจมากๆ  การกระทำของคนบนตักบีบคั้นจิตใจผมแทบขาด

   “หยุด!! ไม่ต้องร้อง.. ตอบมาเคยบอกรำราญเหรอ เคยอยากมีเวลาส่วนตัวเหรอ”  ผมตะคอกเขาเสียงดังไม่เคยจะต้องทำอย่างนี้กับคนตรงหน้าสักที  ดึงมือเล็กที่กดหยิกหน้าขามากุมไว้ในมือตัวเอง

   “...”   น้ำนิ่งไม่ตอบแต่สั่นหน้า

   “พูดมา  ทั้งหมดที่คิดเองนั่นเคยพูดเหรอห๊ะ!! ”  ผมยังพูดเสียงดัง

   “ม...ไม่เคย ภูมิไม่เคยพูด..แต่ที่ทำมันก็คือคำตอบแล้วไม่ใช่เหรอ..ฮึกฮือออ....” 

   น้ำนิ่งร้องไห้โฮเสียงดังเลยตอนนี้  แขนเรียวเล็กโผเข้ากอดเอวผมแน่น  พอแล้วใจจะขาดกับเสียงสะอื้นน้ำตาเม็ดโตที่อาบแก้ม  อารมณ์ที่แปรปรวนเพราะความกลัว  ผมยกแขนขึ้นกอดกระชับเด็กน้อยเข้าแนบอก มือลูบหลังปลอบ กดจมูกดมกลุ่มผมหอมไปหลายที ดึงตัวเขาออกจากอ้อมกอดน้ำนิ่งขืนตัวไว้ แต่ผมก็ดันจนสามารถจ้องมองดวงตาสวยที่ยังมีน้ำใสคลอครอง พูดย้ำให้เขารู้ว่าผมคิดยังไงกับเรื่องของเรา

   “ในเมื่อภูมิไม่เคยพูด ก็อย่าทำอย่างนี้อีก อยากรู้อะไรให้ถาม  ถ้าภูมิไม่ได้บอกด้วยตัวเองก็ไม่ต้องไปเชื่อ เข้าใจที่พูดไหม ตอบภูมิให้ชื่นใจหน่อย” 

   “.....”  เด็กน้อยไม่ตอบเพราะมัวแต่กลั้นสะอื้น แต่พยักหน้าว่าเข้าใจ

   ผมดึงร่างบางของเด็กเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง มือลูบปลอบประโลมไปตามแผ่นหลังบาง อีกข้างบีบคลึงกลางผ่าเท้าเล็กที่เกร็งให้คลายออก เสียงสะอื้นค่อยคลายลง ผมกดจูบอ่อนโยนไปตามหัวหอม ขมับ แก้มนิ่มคนร่างบางที่ซบอยู่กับอกผม

   “รักหนูคนเดียวก็รู้อยู่”

   “หนูก็รักภูมิคนเดียวเหมือนกัน”

   “อย่าทำอย่างนี้อีก  ใจภูมิจะขาด เสียใจนะที่หนูไม่เชื่อใจ  หนูน่าจะรู้ว่าภูมิรู้สึกยังไง  ทำไมต้องให้อารมณ์เพียงชั่ววูบอยู่เหนือความเชื่อใจที่เคยมีมาตลอดของเรา  ใจภูมิยกให้หนูไปแล้วไม่เคยจะขอคืนเพื่อไปยกให้คนอื่น แล้วทำกับภูมิแบบนั้นได้ยังไง” 

    ผมเอ่ยเสียงเหนื่อยล้าเจ็บปวดที่น้ำนิ่งทิ้งขวางความเชื่อใจของผมอย่างไม่แยแส  แต่ผมจะโทษเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ผมผิดที่ไม่มีเวลาให้เขา ทำตัวเหมือนพ่อแม่ที่เอาแต่ทำมาหากินแล้วละเลยความห่วงใยใส่ใจลูก ทิ้งเงินให้ลูกใช้เต็มที่แต่ไม่ทิ้งความรักของพ่อแม่ไว้ให้ด้วย เด็กวัยรุ่นจึงไขว้เขวคล้อยตามสิ่งที่เห็นและทำตามได้ง่ายๆ โดยไม่ไตร่ตรองด้วยเหตุผล

   “หนูขอโทษ”  น้ำนิ่งเอ่ยปากขอโทษแผ่วเบาสีหน้าสำนึกผิดและเสียใจแค่ไหนผมสัมผัสได้  เขากดปากนิ่มจูบลงตรงหัวใจของผมที่ตอนนี้มันเต้นตึกตักด้วยความรักท่วมท้นต่อคนตรงหน้า

    “ผู้หญิงคนนั้น..”   เรานั่งกอดกันเงียบๆ อยู่สักพักเด็กน้อยก็เอ่ยถามเสียงเบาอย่างกล้าๆ กลัวๆ   กับอกผม เรื่องนี้มันคงรบกวนจิตใจเขาตลอดหลายวันที่ผ่านมา

   “มันไม่มีอะไรเลย ภูมิไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น มันก็แค่....”   ผมเล่าเรื่องที่เป็นข่าวกับผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ รวมทั้งเหตุผลว่าทำไมผมไม่ได้กลับบ้านตลอดเวลาเกือบสามเดือน

   “เข้าใจแล้วนะว่าเรื่องมันเป็นยังไง  ภูมิไม่เคยเบื่อที่จะดูแลหนู มันไม่ใช่ภาระ ไม่เคยคิดจะเลิกรักเลยสักครั้ง ยิ่งนานวันยิ่งหวงมาก  ไม่คิดจะทิ้งไปไหน  ดีใจทุกวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอหนูยังอยู่ในอ้อมกอด...เข้าใจภูมิรึเปล่า”

   “เข้าใจแล้วครับ” เด็กยิ้มกว้างเต็มหน้า แก้มขึ้นสีระเรื่อเขินอายที่ผมบอกรักแค่ไหน

   “ถ้าเข้าใจแล้ว ยังจะทิ้งภูมิอีกเหรอหืม  รับผิดชอบกับความรู้สึกที่เสียไปหน่อยดีไหม ได้ไหมนะ”  ผมแกล้งทำหน้าโกธรๆ งอนๆ ตบท้ายด้วยเสียงอ้อนออดเอาแต่ใจตัวเองกดดันให้อีกฝ่ายยินยอม

   “โอ๋..ไม่ ไม่ใครว่าจะทิ้ง”  เด็กน้อยรีบปฏิเสธ

   “ไม่ทิ้ง แล้วทำไมหอบผ้าหอบผ่อนมานอนที่นี่อีก”

   “ก็รอภูมิอุ้มอยู่ไง เมื่อไรจะกลับห้องซักทีละ คิดถึงนะรู้ไหม”

   เด็กน้อยทำหน้าอ้อนๆ เหมือนเหมียวน้อย เอาหัวมามาคลอเคลียกับอกผม แขนเรียวยกขึ้นคล้องคอ  ผมยกยิ้มพอใจน่ารักจริงเด็กอะไรวะ  ผมอุ้มเด็กกลับมาที่ห้องวางลงบนเตียง แล้วตัวเองก็ขยับตัวขึ้นนอนลงทาบทับตัวเด็กไว้ คิ้วเด็กน้อยขมวดแน่น ยกมือเล็กขึ้นแตะตรงมุมปากผมที่โดนต่อย

   “ใครทำ เจ็บไหม”

   “ไม่มีอะไรครับ ภูมิสมควรโดนแล้ว”

   “เจ็บไหม” นิ้วยังเกลี่ยบนรอยชก ตาสวยหวานทอประกายของความห่วงใยส่งมาให้ผม

   “ไม่เจ็บแล้วครับ ถ้ามันจะแลกมาด้วยการที่เราเข้าใจกัน”  ผมส่งยิ้มอบอุ่นให้คนตรงหน้า

   “หนูขอโทษ หายเจ็บนะ”  เด็กน้อยยื่นปากแตะจูบเบาๆ ไปทั่วรอยชกและแผลปากแตก แล้วทำราวกับผมยังเป็นเด็กเล็ก

   “ขอบคุณครับ ภูมิหายเจ็บแล้ว”  นัยน์ตาสีอ่อนเชื่อมส่งให้คนใต้ร่าง ตอนนี้ความรู้สึกของผมมันแทบระเบิดกับการแตะนิดแตะหน่อยของเด็กน้อย

   “แล้วภูมิจะให้หนูทำอะไรที่พอจะชดเชยความรู้สึกที่เสียไปได้บ้างไหม”  เด็กน้อยถามด้วยความเขินอาย เพราะสายตาของภูมิรพีมันแทบจะกลืนกินเด็กน้อยได้ทั้งตัวแล้วนี่สิ  ใช่ว่าน้ำนิ่งจะไม่รู้เรื่องพวกนี้นะแค่ไม่เคยมีประสบการณ์ตรงเท่านั้นเอง

   “ได้จริงๆ เหรอ”

   “ก..ก็แล้วแต่สิ หนูไม่รู้”  น้ำนิ่งเขินอาย หน้าแดงจนไม่กล้าจะสบสายตาวิบวับของคนบนร่างได้ จึงหันหน้าหนีไปอีกทาง

   “เด็กดีภูมิวางมัดจำไว้ก่อนได้ไหมละครับ”

   “ก็ไม่รู้ไง...”

   เด็กน้อยเขินอายหน้าแดงระเรื่อจนถึงหูแล้วตอนนี้  น่ารักเนอะ  ผมอดไม่ได้เลยนาบริมฝีปากอุ่นร้อนลงที่แก้มใส บรรจงจูบละไปตั้งแต่หน้าผาก ปลายจมูก คาง แล้วสุดท้ายผมอ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากบางเนิบช้า ลิ้นเล็กของคนใต้ร่างที่ไม่ประสาให้ความรู้สึกหวานปานน้ำผึ้ง จูบหวานเนิ่นนานจนคนใต้ร่างเคลิ้มลอยแทบลืมหายใจผมต้องผละปากออกให้เขากอบโกยอากาศเข้าปอด แขนเรียวเล็กยกขึ้นโอบรอบคอของผม ร่างกายของเราทั้งคู่ร้อนขึ้นจากการสัมผัสของกันและกัน

   ภูมิรพีเลื่อนใบหน้าลงฝังอยู่กับซอกคอหอมกรุ่นของเด็กน้อย งับเบาๆ หยอกเย้าก่อนที่จะเลียชิมด้วยลิ้นร้อน เด็กน้อยครางครือกับความแปลกใหม่ที่ภูมิรพีมอบให้  มือสากหนาแกะกระดุมเสื้อนอนออก สองสามเม็ดริมฝีปากหนาดึงสาบเสื้อแยกออก เผยให้เห็นยอดอกประดับด้วยเม็ดทับทิมเล็กๆ มันล่อตาล่อใจให้ใช้ลิ้นอุ่นเลียหยอกเย้ากับเม็ดทับทิมหวานสลับกับการขบเม้มดูดดึง เด็กน้อยคงเจ็บส่งเสียงประท้วง  แต่ก็ยังแอ่นอกของตัวเองให้ภูมิรพีถึงปาก

   ความซาบซ่านแผ่กระจายไปทั้งตัวโดยเฉพาะแก่นกายของเด็กเริ่มแข็งขืนส่วนปลายมีน้ำซึมออกมาจนเปียกกางเกงนอนเนื้อบาง  ภูมิรพีดึงทั้งกางเกงนอกและในของเด็กออกพ้นจากขาเรียวสวย เสร็จแล้ว  จึงคลายหัวเข็มขัดปลดตะขอดึงรูดซิปพร้อมกับการรูดรั้งกางเกงของตัวเองโยนทิ้งไปข้างเตียง ภูมิรพีกอบกุมแก่นกายของตัวเองกับเด็กน้อยไว้ด้วยมือข้างเดียวเริ่มรูดขึ้นลงเบาบ้างเร็วบ้างสลับกัน

   คนตัวโตเลื่อนปากขึ้นไปกดจูบดุดันหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม ลิ้นสอดลึกเข้าไปในโพรงปากหอมหวานของเด็กน้อยที่กำลังอ้าประท้วงทักทายและหลอกล่อให้คล้อยตามก่อนจะเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและวาบหวามจนพอใจจึงละปากออกมาดูดเม้มที่ซอกคอหอม  เราทั้งคู่หอบสะท้านเมื่อภูมิรพีเร่งขยับมือรูดรั้งรัวเร็วขึ้น เด็กน้อยทั้งจิกทั้งกัดเพื่อระบายความซ่านเสียวที่ไม่เคยพานพบ

   “ภ ภูมิ  หยุดก่อนหนูเหมือนจะปวดฉี่ อ๊ะ...”

   ผมไม่ได้หยุดให้เด็กน้อยแต่กลับยกตัวขึ้น มือหนึ่งค้ำยันไว้กับที่นอน  มือที่กอบกุมแก่นกายกลับเร่งขยับมือรัวเร็วขึ้น  เมื่อถึงระดับหนึ่งที่เราเกือบจะแตะขอบความสุขอยู่แล้ว ผมผ่อนแรงขยับลงเหลือเพียงเนิบนาบเด็กน้อยใต้ร่างมองค้อนอย่างขัดใจที่ผมไม่ยอมให้เขาได้แตะขอบสวรรค์ ผมยกยิ้มร้าย

   “บอกภูมิก่อนว่าอยากได้อะไร”

   “....”   เด็กน้อยไม่ตอบก็ไม่รู้จะตอบอะไร น้ำนิ่งไม่รู้ว่าอยากได้อะไร แต่ความรู้สึกมันบอกว่ายังไปไม่ถึงจุดหมาย หน้าเล็กๆ ของน้ำนิ่งแดงระเรื่อ ปากบวมเบ่งจากจูบเผยออ้าน้อยอย่างขัดใจ ภูมิรพีก้มลง ดูดดึงอ้อยอิ่ง เว้าวอนอยู่กับปากนั้นจนพอใจโดยไม่ได้สอดลิ้น ปากร้อนละไปนาบคลอเคลียกับแก้มนิ่ม มือยังขยับรูดรั้งแก่นกายทั้งสองอันเนิบนาบน้ำใสจากส่วนปลายไหลทะลักจนเปรอะมือใหญ่

   “อยากได้อะไรครับ”

   “นะ หนูไม่รู้.............ตะ แต่ภูมิทำแบบนั้นแรงๆ ได้ไหมหนูชอบ” 

   เด็กน้อยตอบตะกุกตะกักแต่ได้ใจความ น้ำนิ่งหันหน้าที่แดงระเรื่อของตัวเองไปอีกทาง อายก็อาย แต่จะให้ทำยังไงความอยากที่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรยังไม่ได้รับการสนองตอบก็จำเป็นต้องเอ่ยปากขอกับคนตัวโตก็ถูกแล้ว 

   “ยินดีครับ” 

   ภูมิรพีกดจูบอ่อนโยนวาบหวามให้เด็กน้อยอีกครั้ง ก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วเริ่มขยับมือรัวเร็ว เด็กน้อยคงจะทนไม่ไหวขยับสะโพกตามแรงรูดรั้งของภูมิรพี แก่นกายของคนทั้งคู่เสียดสีกัน มันเสียวซ่านจนเกินฉุดรั้งคนตัวโตเร่งขยับมือระรัวเร็ว จนในที่สุดความรู้สึกของทั้งคู่ไต่ขึ้นไปจุดสูงสุดและทะยานออกไปสู่ห้วงความรู้สึกที่ไร้แรงดึงดูด หัวสมองขาวโพลน  น้ำนิ่งทิ้งร่างลงนอนราบกับเตียง ภูมิรพีเลื่อนตัวลงไปจนหน้าเสมอกับแก่นกายของเด็กน้อย มันยังแข็งขืนส่วนปลายพ่นน้ำออกมาไม่หมดภูมิรพีครอบปากลงดูดดื่มกินน้ำรักของน้ำนิ่งจนหมดทุกหยาดหยดก่อนจะปล่อยปากออกใช้ลิ้นเลียทำความสะอาดทั่วทั้งลำเลยไปจนถึงหน้าท้องแบนที่มีหยาดหยดความรักของคนทั้งคู่เปรอะเลอะอยู่เต็ม

   “อ๊ะ!  ลุงไม่เอามันสกปรก”  มือเล็กดันหัวคนตัวโตออกจากแก่นกายของตัวเอง

   “ใช่ที่ไหน มันหอมหวานต่างหากจนภูมิอยากจะกินอีก” 

  ภูมิรพีทำเสียงอ้อนเอาแต่ใจตรงหน้าท้องแบนราบกดจูบทำรอยระเรื่อสีกุหลาบเกือบเต็มพื้นที่ที่ปากนาบไป  คนตัวโตเลื่อนตัวขึ้นเมื่อไล้เลียดื่มกินน้ำรักที่เปรอะเปื้อนบริเวณนั้นหมด กดจูบลงที่ปากบวมเจ่อของคนใต้ร่าง ปากเล็กเผยออ้าให้ภูมิรพีสอดลิ้นเข้าไปควานหาความหวานในโพรงปากได้เต็มที่  ลิ้นของทั้งคู่เกี่ยวกระหวัดพันกันจนวาบหวาม เด็กน้อยชักจะเริ่มเป็นงานรู้จักจูบตอบคนตัวโต แม้จูบนั้นจะยังเงอะงะอยู่บ้างแต่ก็สร้างความพึงพอใจให้ภูมิรพีได้อย่างยิ่งยวด คนตัวโตถอนปากออกแต่ยังอ้อยอิ่งเนิบนาบอยู่กับริมฝีปากบางขบเม้มเบาบ้าง แตะนิ่งๆ บ้าง กดจูบที่มุมปากบ้าง

   “วางมัดจำแล้วนะ ห้ามบอกต่อด้วย ห้ามใครแตะต้องของของภูมิเด็ดขาด หวงมากเข้าใจนะ”

   “ครับ” น้ำนิ่งกัดริมฝีปากล่างของภูมิรพีเบาๆ เป็นการตอบรับการจอง คนตัวโตส่งยิ้มอ่อนโยนอบอุ่นไปให้ก้มลงหอมแก้มนิ่มอีกครั้ง

   “หิวข้าวรึยังฮึ”

   “ชักจะรู้สึกนิดแล้ว”

   “งั้นไปอาบน้ำกันเนอะ”  เด็กน้อยพยักหน้ารับ ภูมิรพีเลยลุกขึ้นอุ้มเด็กในวงแขนเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยกัน หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ยังอุ้มเด็กน้อยออกมาจากห้องเดินลงบันไดมายังห้องอาหารด้วยกัน





   “แล้ววันนี้ยายชื่นทำอะไรทานครับ”

   “วันนี้มีต้มจืดหมูใส่หน่อไม้  ปลาทับทิมทอดน้ำปลา แล้วก็ผัดฉ่าปลาคัง  รับประกันโดยเซฟคนนี้นี่เอง”  น้ำนิ่งยกนิ้วโป้งจิ้มที่อกตัวเองอย่างมั่นใจ

   “เชื่อครับ ว่าเด็กภูมิสุดยอด ได้ข่าวว่าเก่งกว่ายายชื่นแล้วตอนนี้”  ผมเอ่ยชมเด็กในอ้อมกอด ให้รางวัลเป็นหอมแก้มหนึ่งที  เขายิ้มกว้างด้วยความพอใจ

   “ยายชื่นสอนเก่ง แล้วก็สนุกด้วยเวลายายสอน หนูมีความสุขทุกครั้งเลยเวลาทำอาหาร ทำขนม”  เด็กบอกความรู้สึกของเขา นัยน์ตาสวยวาววับพึงพอใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำ  ผมไม่ได้ตอบแต่ยิ้มกว้างไปกับสิ่งที่น้ำนิ่งชอบ

   เราทั้งคู่เดินจนถึงห้องอาหารซึ่งป้าชื่นจัดโต๊ะเรียบร้อยแล้ว  ภูมิรพีวางเด็กน้อยลงบนเก้าอี้ฝั่งขวามือก่อนที่ตัวเองจะเดินมานั่งที่หัวโต๊ะ พอชายหนุ่มนั่งเรียบร้อยเด็กน้อยตักปลาทับทิมทอดน้ำปลามาวางในจานภูมิรพีๆ ยิ้มขอบใจก่อนจะตักเข้าปาก เด็กมองอย่างลุ้นๆ ว่ารสชาติจะถูกปากภูมิรพีหรือเปล่า เนื้อปลาสดหวานกรอบนอกนุ่มใน น้ำปลาที่ราดบนตัวปลามันหวานประแล่มกลมกล่อมมาก

   “อร่อยไหมภูมิ” 

   เด็กถามเมื่อเห็นชายหนุ่มกลืนข้าวเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ตอบแต่ตักต้มหน่อไม้กระดูกหมูอ่อนมากินแทน  น้ำซุปมีความนุ่มละมุนลิ้น หอมเข้มข้น รสชาดหวานกลมกล่อมที่เกิดจากการเคี่ยวกระดูกหมู หน่อไม้ไผ่หวานต้มจนไม่เหลือความขมมันสดหวานเพราะเก็บมาใหม่ๆ  (ไผ่หวานปลูกเองแถวสวนหลังบ้านครับ)  เนื้อหมูแทบจะละลายในปาก คือมันอร่อยมาก เด็กยังไม่ลงมือทานข้าวแต่มองอย่างลุ้นๆ รอคำตัดสิน คนตัวโตเปิดยิ้มกว้างส่งไปให้เด็กน้อย

   “อร่อยมากกกกกครับ เก่งจริงตัวแค่เนี่ย”  ภูมิรพียกยิ้มเต็มหน้า ยกนิ้วเกลี่ยแก้มนิ่ม เด็กยิ้มกว้างด้วยความดีใจ  แค่นี้ก็ทำให้ใจภูมิรพีเป็นสุขแล้ว

   “ไม่เสียแรงที่ตั้งใจเรียน...เสน่ห์ปรายจวักของเค้าพอจะออกเรือนได้ใช้มะ” เด็กน้อยหัวเราะพูดติดตลกในตอนท้าย

   “ยังไม่เข้าใจคำว่าหวงมากของภูมิใช่ไหม อยากให้มันตายคาตีนก็เสนอมาสักคนดูสิ”  ภูมิรพีทำหน้าหงิกพูดเสียงจริงจังแกล้งเด็ก ก็รู้อยู่แก่ใจอยู่หรอกว่าเด็กพูดเล่น แต่ก็นิดหนึ่งนะ

   “ภูมิน่ะ ไม่มีซะหน่อย”  เด็กทำหน้างอนๆ แล้ว

   “ไม่มีก็แล้วไป  อย่าให้รู้ว่าไปอ่อยใครจะเอาให้ตายทั้งคู่เลย  แล้วรู้ไว้อย่างนะว่า ถึงภูมิจะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยก็ไม่ยกให้ใครหรอกนะ”  ภูมิรพีพูดจริงจัง

   “รู้แล้วน่า...หนูว่าไหนๆ ตัวเองก็เรียนด้านอาหารและโภชนาการมา แถมมีครูดีอย่างยาย  หนูกะว่าจะทำร้านอาหารเล็กๆ ขายพวกอาหารขนมภูมิว่าดีไหม”  เด็กน้อยบอกถึงสิ่งที่อยากจะทำมีทำเสียงอ้อนๆ ตอนท้ายด้วยน่ารักวะ

   “ก็ถ้าหนูชอบ อยากทำก็ทำเลยจ๊ะ ภูมิก็จะยืนอยู่ข้างๆ คอยสนับสนุน ช่วยเหลือ แล้วก็เป็นกำลังใจให้ดีรึเปล่า”

   “เย้! หนูจะทำ”

   “งั้นไว้ถ้าเรื่องต่างๆ มันเรียบร้อย ภูมิจะให้พี่พีเข้าบริหารงานที่บริษัทแทน แล้วถึงตอนนั้นเราทำสิ่งที่อยากทำด้วยกันนะ”

   “สัญญาแล้วนะ”  เด็กน้อยยกนิ้วก้อยขึ้นมา

   “ครับ”  คนตัวโตเอานิ้วก้อยของตัวเองเกี่ยวเข้าที่นิ้วของเด็ก

   “ที่หนูพยายามทุกวันนี้ เพราะเห็นภูมิเหนื่อยก็อยากจะดูแลคนสำคัญของหนูให้ดีที่สุดแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตามรู้ไหมนี่ว่าห่วงภูมิแค่ไหน” 

   คำพูดของเด็กพร้อมกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอประกายของความรักความไว้ใจที่ส่งมาทำให้ใจภูมิรพีอุ่นซ่าน ตกหลุมรักคนตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่อยากจะปืนหนีไปไหนอยากจะให้คนตรงหน้าฝังกลบเลยด้วยซ้ำ

   “แล้วจะทำให้ผมหลงรักคุณไปถึงไหนครับคุณนภนทีที่รักของกระผม นี่ก็รักคุณจนไม่รู้จะรักยังไงแล้วนะเด็กขี้งอนของภูมิ” 

   ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนติดเว้าวอนกลับไปให้คนตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วมือขึ้นเกลี่ยแก้มนิ่มนั่น เด็กน้อยส่งยิ้มอบอุ่นจริงใจคืนให้ภูมิรพี

   “มันเป็นแผนการตลาดระยะยาวที่จะทำให้คุณหลงรักและจงรักภักดีเชื่อมั่นในสินค้าของผมจนคุณไม่เปลี่ยนใจหันไปสนใจใช้สินค้าของที่อื่นตลอดไปไงครับคุณภูมิรพี”  เด็กน้อยพึมพำแผ่วเบาด้วยความ เขินอาย แก้มขึ้นสีระเรื่อยน่าฟัดจริงๆ เด็กน้อยของภูมิ

   “ถึงคุณไม่มีแผนโปรโมทสินค้าอะไรเลย ผมก็ตัดสินใจแต่แรกแล้วว่าจะใช้แต่สินค้าของคุณคนเดียวตลอดไป...นอกจากนี้ผมยังมีแผนจะเทคโอเวอร์แล้วจดทะเบียนเป็นสินค้าลิขสิทธิ์ส่วนตัวในเร็ววันครับคุณนภนที”  เด็กน้อยเขินแก้มใสหูเห่อแดงระเรื่อแทบแตกไปไม่เป็นแล้วเลยเฉไฉไปเรื่องอื่นเอากะเขาสิ

   “กินข้าวได้แล้วพูดมากแล้วอิ่มเหรอฮึ”

   “ไม่อิ่มท้อง  แต่อิ่มใจที่จะโดนเทคโอเวอร์ หึ หึ”




(http://image.goosiam.com/imgupload/j/Bp8lrilSbH2H.jpg) (http://image.goosiam.com/view.asp?uid=97450&s=Bp8lrilSbH2H)



TBC. 




ปล. ขอบคุณมากมายสำหรับการติดตามเรื่อยมา ตอนนี้ NC นิดหน่อยไม่มากไม่น้อย สนองความอยากรู้อยากเห็นของเด็กไปเล็กๆ น้อยๆ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.4_วางมัดจำ [9_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 09-10-2015 22:35:37
น้องนิ่งน่ารักมาก ฟังเหตุผลนะ ไม่ใช่โวยวายคิดเองอย่างเดียว :)

พอพี่สิงห์อธิบายก็เข้าใจ

nc เล็กๆ ต้องค่อยๆสอนน้องโน๊ะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.4_วางมัดจำ [9_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 09-10-2015 22:47:56
น่ารัก ไม่โวยวาย นี่แหละนายเอกที่น่ารัก
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.4_วางมัดจำ [9_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: yaoisamasang ที่ 09-10-2015 23:16:29
งั้นพี่ภูมิก็ช่วยเทคโอเวอร์แรงๆนะฮะ  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.4_วางมัดจำ [9_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 10-10-2015 18:17:22
ตอนที่น้ำนิ่งเศร้านี่ปวดใจตามเลย  :hao5:

แต่พอเข้าใจกันแล้ว โอโฮ้มดเต็มคอมฯเลย :-[
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.4_วางมัดจำ [9_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 10-10-2015 18:22:19
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.5_เด็กผมโดนเล่น [11_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 11-10-2015 10:55:18
5


เด็กผมโดนเล่น





   “พี่พีมาดูนี้เดี๋ยว ตรงที่ผมวงไว้ตัวเลขมันผิดไปไม่ตรงกับใบส่งสินค้าและการโอนเงินเข้าบัญชี แล้วดูบัญชีรายรับ-รายจ่าย ในห้วงเดียวกันมีการลงตัวเลขชุดเดียวกันแต่สลับที่กันอยู่ทั้งๆ  ที่เป็นการซื้อขายจากคนละบริษัท”  ภูมิรพีชี้จุดบกพร่องที่เขาตรวจเจอให้พีระณัฐดู

   “จริงอย่างเอ็งว่า พี่มองข้ามมันไปได้ยังไงว่ะ”  พีระณัฐก้มดูรายการที่ภูมิรพีขีดไว้อย่างพินิจพิจารณาอีกครั้งก็เห็นว่ามันตกแต่งบัญชีจริงๆ

    “แล้วดูนี่อินซอลล์สั่งซื้อทางเราส่งของเรียบร้อย เขาชำระค่าสินค้าครบถ้วนตามใบโอนเงิน  แต่พอมาดูรายการโอนในบัญชีบริษัทกลับไม่มี แล้วดูนี่มีรายการตามใบโอนเงิน แต่กลับเป็นยอดเดียวกันกับตรงนี้ ไม่พอพวกนั้นยังปลอมแปลงใบเสร็จรับเงินในห้วงเดียวกัน” ภูมรพีอธิบายสิ่งที่เจอ

         “มีความเก่งแต่ใช้ในทางที่ผิด  เงินตัวเดียวที่ทำให้คนยอมทำอะไรก็ได้ เราไว้ใจคนพวกนั้นเพราะเห็นเป็นคนเก่าแก่จนไม่คิดจะตรวจสอบการทำงานเลยสักครั้ง  กรรมการผู้จัดการฝ่ายโรงงาน 2 คน สั่งเปลี่ยนวัตถุดิบกับบริษัทใหม่ซึ่งมีคุณภาพต่ำแต่ราคาสูงฉิบหายโดยไม่ผ่านการอนุมัติจากผู้บริหารระดับสูง อ้างเหตุผลความจำเป็นในการผลิตเร่งด่วน  คุณภาพของสินค้าไม่ผ่านคิวซีจากบริษัทคู่ค้า ฝ่ายนั้นเลยยกเลิกสัญญาและให้เราชดใช้ค่าเสียหาย”  พีระณัฐมีสีหน้าหนักใจระหว่างที่ชี้จุดผิดปกติที่ตัวเองค้นเจอให้ภูมิรพีดู


----------------------------------




   “เอ้านี่ เด็กมึงฝากมาให้ห่วงกันออกหน้าออกตาไปเปล่าวะ กูอิจฉาแล้วนี่”  คณิตยื่นถุงผ้าที่บรรจุกล่องอาหารพร้อมกับกระติกน้ำเก็บความร้อนมาตรงหน้าภูมิรพี หน้าตาท่าทางคณิตบ่งบอกว่าอิจฉาจริงๆ ก็เด็กมันน่ารักไง

   “อะไรพี่”

   “เมื่อเย็นแวะเข้าไปดูน้องมัน  เขาห่วงว่ามึงจะได้กินได้นอนรึเปล่า เลยฝากนี่มาให้ไง น้องมันทำอาหารอร่อยมากสู้เชฟมืออาชีพได้เลย” 

   คณิตไขข้อข้องใจ  ภูมิรพีหยิบกล่องออกมาจากถุงผ้าเปิดออกดูมันเป็นเส้นหมี่ เป็ดพะโล้หน้าตาน่ากินสองกล่องภายในกล่องแยกเป็นสองชุด อีกกล่องเป็นพุดดิ้งนมสดกล้วยหอมสี่ชิ้น ส่วนในกระติกเก็บความร้อนเป็นชาเขียวมะลิกลิ่นหอมชื่นใจ

   “สิงห์กูอยากจะได้บ้างทำไงวะ” คณิตพูดเฟ้อๆ แต่ภูมิรพีแอบเห็นว่าคณิตชำเลืองตาเจ้าเล่ห์มอง อีกคนด้วย

   “พี่พีกินตอนนี้เลยไหมกำลังร้อนๆ”  ภูมิรพีหันไปถามพีระณัฐซึ่งยังไม่ได้กินข้าวเย็นเหมือนกัน

   “เออเอาสิหิวพอดี”   พีระณัฐพยักหน้าเห็นด้วย เขายื่นมือมารับกล่องอาหารที่ภูมิรพียื่นให้ก้มลง ดมกลิ่นที่ชวนน้ำลายสอทำหน้ามีความสุขทั้งที่ยังไม่ได้ลิ้มรสชาด

   “แล้วพี่ละเอาเปล่า” ภูมิรพีหันไปถามอีกคน

   “พวกมึงกินเถอะ กูกินกับน้องมันมาอร่อยและอิ่มมาก ดูปากกูนะอิ่มมากกกกกกกก”   คณิตเดินมาหยิบพุดดิ้งไปกิน  น้องสองคนมองหน้ากันแล้วส่ายหน้าไม่เข้าใจคำว่าอิ่มมากแต่ยังหยิบพุดดิ้งไปกินได้ของคณิต

   “กูอยากได้แบบน้องวะมึง”  คณิตกระเซ้าเย้าแหย่สายตาแอบชำเลืองรอดูปฏิกริยาอีกคนจะว่ายังไง แต่คิดว่าจะได้ผลเหรอ ไม่มีหรอกพีระณัฐยังโซ่ยบะหมี่สบายใจเฉิบเหมือนเดิม

   “อร่อยจริงๆ วะสิงห์ น้ำซุปกลมกล่อม เส้นเหนียวนุ่ม เนื้อเป็ดนี่แทบจะละลายในปาก หอมกลิ่นเครื่องเทศจางๆ อร่อยกว่าซื้อจากร้านอีกพี่ว่า”  พีระณัฐเอ่ยชมไม่ขาดปาก

   “ไม่ยักกะรู้ว่าน้ำจะทำอาหารเก่งขนาดนี้ ฉันตกข่าวไปหลายชอตป่าววะ”  พีระณัฐพูดต่อหลังจากกลืนอาหารแล้ว

   “ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันแหละ ตอนแรกที่รู้ทำเอาผมยิ้มแก้มแทบแตก เจ้าเด็กนี่บอกว่าที่ตั้งใจทำทุกอย่างด้วยตัวเองเพราะอยากจะดูแลผม อยากให้ผมได้พักบ้าง”  ภูมิรพีบอกคนพี่ด้วยสีหน้ายิ้มภูมิใจกับความคิดของคนที่กล่าวถึง

   “น้องกูอายุแค่นี้จะรีบเตรียมตัวออกเรือนมากไปรึเปล่า แต่ก็ว่านะน้ำมันห่วงมึงมาก  วันนี้นั่งกินข้าวด้วยกันถามถึงมึงแทบจะไม่หยุดปาก ไม่เหมือน... กูอิจฉาโว้ย ภูมิกูอยากได้แบบมึงอะ..”

   คณิตพูดถึงน้ำนิ่งด้วยสายตาเคลิ้มลอย ตอนท้ายยังเล่นไม่เลิกตาชำเลืองอีกคนว่าจะมีปฏิกิริยายังไง คณิตชอบแกล้งให้อีกคนงอนเพราะถ้างอนมากๆ ก็แสดงความตัวเองยังอยู่ในความสนใจอยู่

   “ที่พูดนี่เพื่อ...  ไอ้ที่ผมทำทุกวันนี้ไม่เรียกว่าห่วงแล้วจะเรียกว่าอะไรเหรอครับคุณคณิต ถ้าคุณไม่พอใจก็บอกผมมาเอาให้เคลียร์  ผมยินดีออกไปจากตรงนี้” 

   กระแสเสียงน้อยเนื้อต่ำใจของพีระณัฐตอบกลับไปชัดถ้อยชัดคำ มือปิดกล่องอาหารที่ยังกินไม่เสร็จ สะบัดหน้าเสหน้ามองไปอีกทาง ไหล่บางเริ่มสั่นน้อยๆ คณิตยกยิ้มพอใจส่งสายตาเจ้าเล่ห์กับภูมิรพีโดยอีกคนไม่เห็น ชอบใจที่แกล้งเมียให้ร้องไห้ได้ ภูมิรพีคิดว่าถ้าเขาซื้อหวยก็คงถูก พีระณัฐคนขี้ใจน้อยชอบคิดเองเออเองถ้าเรื่องนั้นเกี่ยวกับคณิต

    ‘ พี่ณิตคุณมึงชั่วมาก มีความสุขเหรอที่ทำเขาร้องไห้ได้ ’  ภูมิรพีส่งสายตาถามคาดคั้น

    ‘ มันรักกูมากไงมันถึงเป็นแบบนี้ กูอยากให้แมร่งรักตัวเองให้มากๆ ’  เหตุแค่นี้เองที่คณิตทำให้อีกคนมีน้ำตา ท่าทางเหมือนไม่สนใจกัน แต่รักและห่วงกันมาก มันมีประเด็นถ้ามีเวลาคิดว่าคณิตคงจะเล่าให้พัง

   “ไม่เอาน่ากูล้อเล่น หยุดร้องเถอะกูปลอบไม่เป็นนะเว้ย ก็รู้อยู่ว่ามึงเป็นอะไรสำหรับกูแล้วจะร้องทำไมวะ”

   “ผมเพื่อนเล่นพี่เหรอ”

   “ก็ไม่ใช่ไง รู้อยู่แก่ใจน่า”

   คณิตรีบเข้าไปออดอ้อนงอนง้อเปิดฝากล่องอาหารคีบเนื้อเป็ดไปจ่อที่ปาก แต่อีกคนยังนิ่งเฉยไม่มองหน้ายกมือขึ้นเช็ดน้ำตา คณิตเลยก้มลงหอมแก้มอีกคนดังฟอด พีระณัฐหันหน้ากลับมาเตรียมจะด่า เป็นจังหวะเดียวที่คนพี่ป้อนเนื้อเป็ดเข้าไปในปากหมดโอกาสด่าจำเป็นต้องเคี้ยวอาหารแทน

   “กินอีกนะยังไม่อิ่มไม่ใช่เหรอ ตัวแค่นี้เดี๋ยวไม่มีแรงทำกับพี่ เอ๊ย!! ทำงาน”

   คณิตออดอ้อนสายตาเจ้าเล่ห์ พีระณัฐคิดตามหน้าเริ่มขึ้นสีระเรื่อเลยยกกำปั้นทุบไปที่ไหล่หนา   ไม่แรงนัก คณิตนิ่วหน้าเอามือลูบตรงที่ถูกชกไปมาแต่ไม่พูดอะไรยกยิ้มพอใจ

   “พี่แมร่ง..”  พีระณัฐพูดได้แค่นั้น ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง

   “กูรักมึงคนเดียว เด็กโง่อย่ารักกูให้มากนักรักตัวเองห่วงตัวเองให้มากทำได้รึเปล่า อย่าทำร้ายคนที่กูรักอีกเลยขอร้อง” 

   คณิตโน้มหน้าไปกระซิบข้างหูของอีกคน กัดเม้มที่ติ่งหูเบาๆ ก่อนจะผละหน้าออก พีระณัฐหน้าแดงระเรื่อขึ้นสีชัดกว่าเดิม รีบก้มลงจ้วงอาหารในกล่องอย่างลืมตายหนีความอายแอบชำเลืองมามองว่าภูมิรพีมองอยู่หรือเปล่า ภูมิรพีกลัวคนพี่อายทำเนียนก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าง่วน คนต้นเรื่องเดินไปนั่งทำงานด้วยสีหน้าเบิกบานใจที่แกล้งเด็กให้งอนสำเร็จอยู่อีกฝั่งแล้ว ทั้งคู่ค่อนข้างจะระวังตัวไม่ค่อยแสดงความรักต่อหน้าคนอื่น  ภูมิรพีส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจต่อคนทั้งคู่


    หลังจากทานอาหารเสร็จทั้งหมดลุยงานกันต่อ จนเกือบห้าทุ่มคณิตยื่นกระดาษบางอย่างให้ภูมิรพีมันเป็นสำเนาใบสั่งซื้อกับใบส่งของฉบับของจริงก่อนที่จะตกแต่งตัวเลข

   “สิงห์จะเอายังไง ถึงเราจะเจอหลักฐานหลายอย่าง รู้ว่าใครมีส่วนร่วมในการโกง  แต่มันก็ยังเอาผิดไม่ได้เพราะมันยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าเขาทำจริง”  พีระณัฐออกความเห็น

   “ผมก็คิดเหมือนพี่หลักฐานมันยังอ่อน  รู้อยู่เต็มอกว่าจุดบกพร่องมันอยู่ตรงไหน แต่ก็ระบุตัวเอาผิดใครไม่ได้ เราคงต้องช่วยกันรวบรวมหลักฐานอีกสักนิด แล้วช่วงนี้คงจับตาดูไปก่อน  ผมอยากให้มีทีมสอบสวนบุคลากรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง  หากพบว่าใครที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุดไม่เว้นว่าเป็นใคร พี่สองคนคิดว่าไง”

   “ก็ดีเหมือนกัน ระหว่างนี้กูอาจจะไม่ค่อยได้เข้ามาบ่อยนะ จะไปเฝ้าโรงงานสักหน่อยกลิ่นไม่ค่อยดีวะ” คณิตบอกน้องสองคน

   “ระวังตัวด้วยนะ” 

   พีระณัฐไปบอกคณิต อีกคนพยักหน้ารับดึงมือซ้ายเข้าไปกุมไว้นิ้วโป้งเกลี่ยไปที่แหวนทองคำขาวเกลี้ยงบนนิ้วนางของพีระณัฐ อีกคนรีบดึงมือออกมาแก้มขาวขึ้นสีอีกครั้งด้วยเขินอาย  ภูมิรพีทำ เป็นไม่สนใจเขาสองคน แต่จะรู้ไหมว่าอีกคนอิจฉา

----------------------------------------






   “สวัสดีคะเจ้านาย  ดิฉันสุนีย์ ผู้จัดการฝ่ายบัญชีคะ” 

   หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมกล่าวรายงานตัว ดวงตาของเธอแดงกร่ำราวกับผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก  มือที่ประสานกันอยู่ข้างหน้าสั่นเล็กน้อย

   “เชิญนั่งครับ”  เธอดึงเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าโต๊ะของผมออกพอประมาณก่อนที่จะนั่งลง

   “เลขาบอกว่าคุณมีเรื่องจะคุยกับผม”  ผมพูดได้เท่านั้นเธอก็ปล่อยโฮออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ เธอยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา นั่งรอสักพักกว่าเธอจะหยุดร้องไห้

   “ดะ ดิฉันขอโทษ ไม่รู้จะหันไปพึ่งใครอีกแล้ว  ฮือ..ขอความเมตตาจากเจ้านายอย่าเอาความผิดดิฉันเลยนะคะดิฉันจำเป็นต้องทำ ฮือ...”  เธอพูดไปร้องไห้ไป

   “เดี๋ยวๆ ใจเย็นค่อยๆ พูด ถ้ามีอะไรผมยินดีให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย” ผมบอกคนตรงหน้า เธอกลั้นสะอื้นก่อนจะเริ่มเล่าให้ผมฟัง

   “ดะ  ดิฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะคะท่าน ดิฉันเข้าทำงานที่นี่ครั้งแรกในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้างานบัญชี คุณคมกิจรู้ว่าดิฉันต้องการเงินก้อนใหญ่เพื่อไปรักษาแม่ที่เป็นมะเร็งและใช้หนี้ของที่บ้าน จึงยื่นข้อเสนอว่าจะชดหนี้แทนและให้เงินดิฉันไปรักษาแม่ แค่ให้ดิฉันตกแต่งบัญชีและทำเอกสารปลอม

    เขาให้ดิฉันหักร้อยละ 20 ของราคาสินค้าเมื่อมีการโอนเงินค่าสินค้า โอนเข้าบัญชีส่วนตัวของเขา  หากไม่ทำก็จะไล่ดิฉันออกจากงานและแจ้งความว่าดิฉันโกงบริษัท ดิฉันไม่ได้มีเจตนาจะทำอย่างนั้น แต่ต้องทำ.. มันไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ เมื่อปีที่แล้วคุณคมกิจผลักดันให้ดิฉันเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชี  ดิฉันไม่ได้ตั้งใจคะท่านเมตตาด้วยนะค่ะ อึกฮือ...ดิฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”  เธอสะอึกสะอื้นเบาๆ อีกครั้งดวงตาแดงกร่ำที่คลอน้ำตาใสส่งประกายอ้อนวอนสำนึกผิดและขอความเห็นใจมายังผม

   “แล้วคุณมีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าคุณคมกิจเป็นคนบงการเรื่องทั้งหมด” ผมเอ่ยถามยังไม่อยากฟันธงว่าบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างนั้นผิดจริง

   “ดิฉันเคยสำเนาเอกสารคำสั่งของคุณคมกิจ พวกใบสำคัญสั่งซื้อ ใบเสร็จรับเงิน ใบโอนเงินไว้ แต่มันหายไปจากลิ้นชักโต๊ะ ดิฉันพยายามรื้อค้นมาหลายวันแล้วแต่ยังไม่เจอเลยคะ ตะ...แต่ที่ดินฉันพูดเป็นความจริงนะคะ เชื่อดิฉัน”  เธอมีสีหน้าครุ่นคิดและกังวล ก็คงจะเป็นกระดาษแผ่นที่พี่พีค้นเจอนั่นแหละ

   “ผมจะรับไว้พิจารณา ตอนนี้คุณอย่าแสดงท่าทีพิรุธอะไร ขอให้ทำงานไปตามปกติ ไม่ต้องบอกใครว่าผมรู้เรื่องนี้แล้ว คุณกลับไปทำงานเถอะ แล้วถ้ามีอะไรคืบหน้าให้รีบรายงานผมหรือคุณพีระณัฐโดยด่วนได้เลยครับ” คุณสุนีย์ลุกขึ้นโค้งหัว และหันหลังเดินออกไปจากห้อง

   คำกล่าวอ้างของคุณสุนีย์หลายอย่างตรงกับเอกสารที่พวกเราค้นเจอ แต่ก็ยังไม่สามารถชี้ชัดหรือเอาผิดคุณคมกิจได้ อย่างที่บอกเอกสารของเรายังอ่อนเกินไป อีกอย่างภาพลักษณ์ที่เขาแสดงออกต่อหน้าคุณแม่ราวกับว่าเขาห่วงใยและมีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อบริษัทเสียเหลือเกินจนคุณแม่ไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นคนทำ ผมกดเครื่องติดต่อเรียกคนข้างนอกเข้ามาหา

   “พี่พีเข้ามาหาผมหน่อย”  ไม่ถึงนาทีคนที่ผมเรียกหาก็มานั่งลงตรงหน้า

   “เมื่อกี้คุณสุนีย์เขามาสารภาพว่าคุณคมกิจเป็นคนอยู่เบื้องหลังการโกงบริษัททั้งหมด แล้วก็ผลักดันให้เธอได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดฝ่ายบัญชีทั้งๆ ที่ทำงานมาแค่สี่ปีข้ามหัวผู้อาวุโสไปหลายคน  เพื่อให้เป็นมือเป็นเท้าให้” ผมสรุปคราวๆ ให้พี่พีฟัง

   “มันจะเป็นไปได้เหรอ ท่าทางคุณคมกิจก็ไม่น่าจะทำอย่างนั้น ฐานะทางบ้านใช่ย่อย นั่นนะเศรษฐี มีอันดับของประเทศก๊กผู้ดีเก่ากันทั้งนั้น  แต่อย่างว่าฉากหน้ากับความเป็นจริงมันคนละเรื่องกัน  ถึงยังงั้นเราก็ชี้ชัดไม่ได้หรอกนะสิงห์  มันเป็นแค่คำพูดไม่ได้มีเอกสารหลักฐานอะไรรับรองว่าสิ่งที่พูดนั้นจริง เขาสองคนอาจใส่ร้ายป้ายสีกันก็ได้”

   “ก็ไม่รู้สิพี่ แต่ผมว่าหลายๆ อย่างมันมีแนวโน้มว่าจะเป็นไปได้ เค้าไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่ผมเข้ามาบริหารงานแทนแม่เล็ก ตอนนี้เราไว้ใจใครไม่ได้ผมจะส่งคนได้เฝ้าติดตามคุณคมกิจและคนเก่าแก่ของเจ้าสัวอย่างใกล้ชิด”

   “พี่เห็นด้วย  อ้อพี่ณิตโทรขึ้นมาบอกว่าถ้าสิงห์จะออกไปโรงงานด้วยกันรถพร้อมแล้ว”

   “บอกพี่ณิตอีกสิบนาทีครับ ขอผมดูแฟ้มอีกนิดเดียว แล้วตอนบ่ายมีอะไรที่สำคัญรึเปล่า ผมว่าจะไปรับเด็กนะครับ คิดถึง”  คำว่าคิดถึงผมกล่าวมันเพียงเบาๆ  แต่พี่พีกลับได้ยินและทำเสียงอะไรสักอย่างล้อเลียนผม

   “ไม่มีแล้วครับ ถ้ามีอะไรเข้ามาด่วนเดี๋ยวพี่จัดการเองก็แล้วกัน  นี่หละน่า...” 

   พี่พีทำน้ำเสียงล้อเลียนในตอนท้าย จึงเงยหน้าขึ้นจะต่อว่าคนรู้ทัน แต่เขาก็เดินไปถึงประตูกำลังจะเปิดออกไป หันมานิดๆ พร้อมสายตาเจ้าเล่ห์ส่งมาให้ผมก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป

   “ชริ พี่แมร่งพอกันทั้งคู่เลย” ผมพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะก้มหน้าลงทำงานต่อไป






[มีต่อด้านล่างนะครับ]
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.5_เด็กผมโดนเล่น [11_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 11-10-2015 10:57:08
[ต่อจากด้านบน]


   เกือบห้าโมงเย็น  ผมขับรถมาถึงวิทยาลัยของเด็ก ขณะนี้ยังเหลือนักศึกษาอยู่บ้างประปราย กวาดสายตามองหาเด็กเห็นนั่งเล่นอยู่ที่เก้าอี้สนามบริเวณลานจอนรถข้างภาควิชาคหกรรม  จึงเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา

   “หนูครับ”

   เด็กเงยหน้าขึ้นและหันมาตามเสียงเรียก หน้าตาน่ารักนั้นแดงระเรื่อเหมือนคนเป็นไข้ เม็ดเหงื่อซึมตามไรผม ปากเผยอน้อย

   “ภูมิ”

   น้ำเสียงแหบโหยแผ่วเบา ร่างบางสะท้านไหว น้ำนิ่งหยุดชะงักเท้าที่กำลังจะเดินเข้ามาหาผม ตัวบิดเกร็งสะท้าน อากัปกิริยาของน้ำนิ่งทำให้ผมระคนสงสัยแปลกใจอยู่ในที  รีบสาวเท้าเข้าไปโอบกอดคนตัวเล็กร้องไห้สะอึกสะอื้นสั่นระริกตัวร้อนผะผ่าว

   “ห หนูไม่รู้เป็นอะไร ร้อน..อึกฮื่อ...”

   “ชู่ว์ๆ ไม่เอาไม่ร้องนะภูมิอยู่นี่แล้ว ชูว์ๆ  เด็กดีของภูมิไม่ร้องนะครับ”

   ผมกอดกระชับเด็กในอ้อมกอดแน่นขึ้น มือตบหลังเล็กเบาๆ ปลอบให้หยุดร้อง รู้สึกได้ถึงเสียงเต้นตึกตักของหัวใจที่หอบสะท้อนขึ้นลงอย่างแรง ก้มลงจูบที่ขมับ น้ำนิ่งยกแขนเรียวเล็กโอบไปรอบคอของผม คลายสะอื้น ยกตัวขึ้นเอาปากนิ่มกดลงที่ปากผมกัดเบาๆ ก่อนจะผละออกแล้วซบหน้าลงกับบ่าผมอีกครั้ง

   “อ๊ะ..ฮือ..คิดถึง”   เด็กพูดเสียงแหบโหยชิดคอ ผมคลียิ้มเต็มหน้า

   “คิดถึงเหมือนกัน” กดปากจูบลงเน้นๆ ที่แก้มนิ่ม

         “...” 

   น้ำนิ่งไม่พูด ร่างบางยังสั่นระริกเหมือนข่มกลั้นแรงอารมณ์บางอย่าง  ปากร้อนผ่าวของเด็กน้อยงับลงที่คอผมเต็มแรงจนสะดุ้งเกร็งบดกรามแน่นรับแรงกัดนั้น สักพักก็ผละปากออกมองดูสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วก็หน้าเสียเมื่อเห็นเลือดซึมออกจากรอยกัด เขาเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ลิ้นร้อนเล็กๆ เลียที่รอยกัดจนเลือดหยุดไหลแล้วจึงซบหน้าลงกับบ่าผมเหมือนเดิม ร่างบางเกร็งสะท้านแรงขึ้น

   ท่าทางที่แปลกไปของน้ำนิ่งทำให้ผมอุ่นวาบที่กลางกาย อยากจะตีก้นเด็กนี่นักใครสั่งใครสอนให้ทำแบบนี้กัน แค่ไม่กี่ชั่วโมงที่ไม่เจอกันแมวน้อยน่ารักหยิบหนังแมวยั่วสวาทมาห่มซะงั้น   

   “เป็นอะไรครับ” 

   “....” 

   ร่างบางครางเครือฮือ อา ฟังไม่ได้ศัพท์  ยกหัวขึ้นจากบ่ากดปากนิ่มจูบลงบนรอยกัดที่คอผม ก่อนจะกระชับแขนเล็กๆ ให้แน่นขึ้น ร่างเล็กสะท้านเกร็งอีกครั้ง ตรงกลางกายของน้ำนิ่งพองตัวแข็งขืนเสียดสีไปกับหน้าท้องผมจนรู้สึกได้   

   “รอนานไหมครับ”

   “...”  น้ำนิ่งไม่ตอบแต่สั่นหน้าน้อยอยู่บนบ่า  ผมยกยิ้มเด็กหนอเด็กคงงอนจริงๆ ใช่ไหมอาการ แบบนี้

   “เรากลับกันนะ”  ผมกระซิบริมหูเล็กคนในอ้อมกอดพยักหน้า ผมอดไม่ได้ที่จะกดจมูกลงสูดดมความหอมจากแก้มนิ่มนั่นอีกครั้ง

   “ระ รักภูมิ”  น้ำนิ่งพึมพำเสียงหวานเว้าวอน แรงผลักดันที่ทำให้ผมมีกำลังฮึดสู้ต่อ ความเหน็ดเหนื่อยที่เจอมาทั้งวันมลายหายไปเพียงคำพูดที่เหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจนั้น

   ผมก้มลงหยิบเป้ของน้ำนิ่งขึ้นสะพายไหล่ แต่ก่อนจะเดินไปที่รถหางตาผมเหลือบเห็นเงาของใครบางคนที่หลบวูบเข้าหลังต้นไม้ใหญ่ห่างจากบริเวณที่เด็กนั่งประมาณห้าสิบเมตร  อยากจะตามไปดูแต่ตอนนี้อาการของ  เด็กผมชักจะแปลกๆ จึงละความสนใจเดินมาที่รถแทน

   มาถึงรถน้ำนิ่งไม่ยอมนั่งเอง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาคนตัวเล็กนั่งบนตักหันหน้าซุกซบแนบอก รู้สึกถึงแรงจากแขนเรียวเล็กโอบกระชับแน่นรอบลำคอผม  เสียงครางอือ อา แผ่วเบา ปากร้อนนาบจูบลงบนคอดูดเม้มตามรอยกัด คาง เรื่อยไปจนถึงติ่งหู ก้นงอนขยับบดเบียดเสียดสีไปกับกลางกายผม นี่มันชักจะไม่ธรรมดาแล้ว  จึงนำรถเข้าจอดข้างทางหลังจากขับออกมาจากวิทยาลัยไม่ไกลนัก

   “ระ ร้อน  ลุงร้อน ชะ ช่วยหน่อย” 

   เด็กผละออกจากตัวผม แผ่นหลังบางเอนไปกับพวงมาลัยรถ ตาฉ่ำหวาน  ลิ้นเล็กสีชมพูแลบเลียตามริมฝีปากของตัวเองอย่างกระหายยั่วยวน  มือเล็กยกขึ้นบดบี้ที่ยอดอกของตัวเองผ่านเสื้อนักศึกษา     อีกข้างลดลงไปคลายเข็มชัดปลดตะขอล้วงมือเข้าไปในกางเกงจับรูดรั้งแก่นกายที่แข็งขืนของตัวเองอย่างแรง ก้นงอนยังคงส่ายบดเบียดลงกับแก่นกายของผมซึ่งตอนนี้มันเริ่มจะแข็งขืนจนแทบระเบิด 

   เด็กบนตักตัวเกร็งก้นงอนยกลอยมือเล็กเร่งขยับรูดรั้งแก่นกลางของตัวเองเร็วขึ้น เสียงครางหวานดังยาวนานเมื่อความกระสันเสียวถึงขีดสุดน้ำสีขาวขุ่นถูกปลดปล่อยออกมาเลอะไปตามเสื้อผ้าของเราทั้งคู่ เด็กตัวอ่อนซวนซบร่างลงกับอกผม แต่พักเดียวร่างนั้นก็สั่นสะท้านอีกครั้ง

   “อือ..อา..ละ ลุง ชะช่วยหน่อย หนูเป็นไรไม่รู้ ฮึก..อา..” 

   เสียงครางสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสารของคนบนอก บอกว่าสับสนแค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ความโกรธแล่นริ้วผมอยากจะฆ่าคนที่ทำแบบนี้กับน้ำนิ่ง กรามบดแน่นขึ้นข่มเก็บความโกรธก่อนเปล่งเสียงทุ่มนุ่มปลอบเด็กบนตัก

   “ทนนิดนะเด็กดี เดี๋ยวถึงบ้านเราแล้ว”  ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแผ่วเบา ร่างบางสั่นไหวระริกอีกครั้ง เหนียบขาเข้ากับลำตัวผมแน่นขึ้นโดยอัตโนมัติ

   “ภะ ภูมิ มะมันรู้สึก อะอีกแล้วฮึก ฮือ...”  น้ำตาไหลอาบแก้มใส  ผมดึงตัวเข้ามากอด ปากนิ่มกัดที่บ่าผมเพื่อข่มอารมณ์ปรารถนา แต่กระนั้นก็มิอาจทนแรงเร้าตามกลไกธรรมชาติของร่างกายได้ ก้นงอนกลับบดเบียดไปกับกลางกายผม 

   “ลุง ม..ไม่ไหว ล..แล้ว  ช่วยหนูก่อน ฮึก.. อ๊ะ...ฮือ..”  เด็กพูดอ้อนวอนปนสะอื้นอย่างน่าสงสาร

   “ภูมิ...” เสียงหวานเว้าวอนกระซิบข้างหู ก่อนที่ลิ้นร้อนเล็กจะเม้มดูดติ่งหูจนผมรู้สึกหวามไหวในกาย

   “ชู่ว.. เด็กดีของภูมิ...อดทนนะครับ”

   “ไม่..ไม่ไหวแล้ว...ฮือออ.”  มือบางไขว่คว้ามือผมไปจับร่างกายของเขาพัลวันไปหมด

   ผมจับตัวเด็กให้เอนหลังพิงไปกับพวงมาลัยรถ ดึงเข็มขัดนักศึกษาออกจนหมด ล้วงมือเข้าไปจับแก่นกายเล็กที่แข็งขืนให้พ้นจากกางเกง

   “อา.. อ๊า...ลุงอื้อ...” 

      ผมเริ่มรูดแก่นกายน่ารักของร่างบางขึ้นลงช้าๆ อีกข้างสอดเข้าไปในเสื้อนักศึกษาดึงร่นขึ้นไปก่อนจะครอบปากลงดูดดุนเลียวนเม้มแรงๆ ที่ยอดอกเล็กสีชมพู

   “ลุง  ซี๊ด...อา อา..” 

   ร่างบางบิดเร่าเสียงครางเครือด้วยความซ่าน อกเล็กยกแอ่นรับการครอบครองจากปากผม  มือเล็กยกขึ้นสอดนิ้วเข้าไปในเรือนผมกดหัวของผมให้ปากแนบไปกับยอดอกของตัวเองมากขึ้น

   “ลุง  อะ อา เร็วๆ  อื้อ...” 

   ผมขยับมือที่กอบกุมตัวตนแข็งขืนของร่างบางให้เร็วขึ้น ผละปากจากยอดอกเล็กขึ้นไปขบเม้นริมฝีปากนิ่ม ดูดกลืนลิ้นเล็กแรงๆ คนตัวเล็กหวี๊ดร้องด้วยความซ่าน  ไขว่คว้าความสุขตรงสุดปลายทางร่างบางเกร็งตัวปลดปล่อยน้ำขุ่นขาวออกมาเต็มมือผมอีกรอบ ผมยกตัวเด็กขึ้นครอบปากลงดูดกลืนไล้เลียน้ำหวานที่ทะลักจากส่วนปลายทำความสะอาดจนหมด จัดเสื้อให้เรียบร้อยโอบกอดร่างอ่อนระทวยเข้ามาซบพิงกับอกผม  แต่ขณะนี้กำลังจะสตาร์ทรถเพื่อกลับบ้าน คนในอ้อมดอกสั่นสะท้านขึ้นมากอีกครั้ง 

   “ภูมิ อะ...อีกแล้ว อึก..ฮือ..ภูมิ”  น้ำนิ่งสะอื้นไห้สับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างบางพยายามข่มความต้องการตัวบิดเร่าด้วยความทรมาน

   “ชูว์..เด็กดีของภูมิ ทนนิดนะ เดี๋ยวถึงบ้านแล้ว”  ผมสตาร์ทรถก่อนจะรีบขับออกไปด้วยความเร็ว


   ผมขับรถถึงบ้านในเวลาไม่ถึงห้านาที  จอดรถแทบจะเกยบันไดบ้าน  พี่นิ่มมองด้วยความฉงนผมไม่ได้สนใจอธิบายความ  รีบอุ้มร่างบางขึ้นบ้านอย่างรวดเร็ว น้ำนิ่งตัวบิดเร่าด้วยความต้องการ มือเล็กรูดกางเกงลงไปถึงแค่หน้าขาก่อนจะรูดรั้งแก่นกายที่แข็งขืนรัวเร็วเพื่อบรรเทาความต้องการ 

   “ภูมิ ไม่ไหว ละแล้ว..ฮืออ..”  เด็กครางกระเส่าอย่างน่าสงสาร

   “ไม่เป็นไรนะคนดี”  ผมก้มลงปลอบ มือลูบผมยาวให้พ้นจากหน้าตา

   “ชะ ช่วย หนูนะ..มันอะอีกแล้ว ฮึก ฮือ...”  เด็กน้ำตาไหลพราก เมื่อความต้องการมันวนกลับมาระลอกใหญ่อีกครั้ง

   “ชูว์ ๆ คนดีไม่เป็นไร” 

   ผมยืนขึ้นกำลังจะอุ่นร่างบางที่บิดเร้าเข้าไปอาบน้ำเย็น คนตัวเล็กส่ายหน้าปฏิเสธระรัวจับมือผมไปกอบกุมแก่นกายของตัวเอง มือเล็กซ้อนทับมือผมให้ช่วยรูดรั้ง  ถ้าผ่านวันนี้ไปได้ผมสัญญาว่าจะฆ่ามันจริงๆ 

   ชายหนุ่มตัดสินใจนั่งคุกเข่าลงที่พื้นข้างเตียง เอื้อมมือดึงร่างบางมาจนถึงริมเตียงถอดกางเกงออกโยนไว้แถวๆ นั้น  แก่นกายสีชมพูระเรื่อขนาดน่ารักสมตัวผงกหัวทักทาย มือแกร่งจับขาเรียวเล็กยกขึ้นเหยียบไว้บนบ่าตัวเอง  จับแก่นกายน่ารักรูดขึ้นลงเนิบนาบ ใช้ลิ้นดุนดันก่อนจะครอบปากลงเต็มความยาวจนถึงโค่น  รูดขึ้นลงช้าเร็วสลับกับเลียวนก้นงอนยกลอยตามจังหวะดูดดึงของผม  คนตัวเล็กครางเสียงหวานด้วยความพอใจ   

   ผมผละปากออกมาดูดบอลแฝดน่ารักโดยเฉพาะตรงเส้นแบ่งของบอลทั้งสองลูกนั่นแรงๆ  เด็กน้อยถึงหวี๊ดร้องครางกระเส่าฟังไม่ได้ศัพท์ปลายเท้าจิกแน่นลงบนบ่า  จึงใช้มือดันก้นนิ่มขึ้นจนเผยให้เห็นช่องทางรักจีบพับสีขมพูอ่อนยังปิดสนิทแน่นมันขมิบแผ่วเบาเหมือนเชิญชวนให้เข้าไปสำรวจ ผมยอมสละบอลแฝดกดปากจูบเน้นๆ ลงไปที่ช่องทางรักแทน ใช้ลิ้นเลียวนรอยจีบพับสลับกับแยงลิ้นเข้าไปข้างใน  เสียงครางหวานดังขึ้นตามระดับของความเสียวซ่าน ตัวบิดเร่าก้นยกลอยตามจังหวะที่แยงลิ้น

   ร่างบางครางกระเส่าตอนปลายสุดของเส้นทางสวรรค์ ผมผละจากช่องทางรัก ครอบปากลงที่แก่นกายเล็กอีกครั้ง ดูดส่วนปลายบานแรงๆ จนแก้มตอบก่อนจะเริ่มขยับปากขึ้นลงอย่างรวดเร็ว นิ้วโป้งกดไล้วนจีบพับไปพร้อมกัน

   “ปะ ปล่อยหนูเถอะนะลุง  จะ จะไปแล้ว”

   เสียงครางฟังได้ประมาณนี้ผมจึงยิ่งขยับปากรูดขึ้นลงรวดเร็วยิ่งขึ้น เด็กยกก้นสอดใส่ตามจังหวะรูดรั้งของผม  สักพักเขาเกร็งตัวฉีดน้ำหวานไหลลงสู่ลำคอ ผมกลืนกินมันทั้งหมดอย่างไม่รังเกียจ

   “อะ อ๊า  ฮึก อื้อ....” 

   เสียงหวานครางแผ่วเบาแหบพร่า ทิ้งตัวอย่างอ่อนแรงลงไปกับเตียงนุ่ม  ผมดูดกลืนน้ำหวานเลียทำความสะอาดจนหมดจด จึงปล่อยตัวตนน่ารักที่เริ่มอ่อนตัวออกจากปากของตัวเอง

     ชายหนุ่มก้มลงดูดเม้นไปตามริมฝีปากบนและล่าง เสียงครางแหบพร่าเรียกผมว่า “ลุง” ช่างเรียกร้องเชิญชวนกระตุ้นความต้องการของผมให้มากยิ่งขึ้นจนแทบระเบิด อารมณ์มันเหมือนตาแก่หื่นกามยังไงยังงั้น ผมผละลุกขึ้นถอดกางเกงของตัวเองออก สายตาฉ่ำหวานปรือปรอยระคนแปลกใจแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ผมนอนลงข้างกันจับเด็กนอนตะแคงในอ้อมกอดโดยผมนอนซ้อนข้างหลัง 

   “ไม่ไหวแล้ว  ช่วยภูมิหน่อยนะเด็กดี”

   ผมกระซิบเสียงแหบพร่าเว้าวอนชิดหูหอม เด็กหันหน้ามาจูบคาง ผมเอื้อมมือลงไปรูดรั้งแก่นกายแข็งตัวเต็มที่ของตัวเอง เสียดสีไปตามร่องก้นงอนงามของคนตรงหน้าจงใจให้ส่วนปลายถูไถกับช่องทางรัก เด็กครางแผ่วเบาอย่างเสียวซ่านพึงพอใจ  อยากจะฝากฝังตัวตนเข้าไปในร่างเล็กใจแทบขาด แต่คงทำเช่นนั้นไม่ได้ผมไม่อยากฉวยโอกาสที่ได้มาเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของน้ำนิ่ง อีกอย่างน้ำนิ่งยังไม่พร้อมร่างบางนั่นคงรับผมไหวถ้าจะโถมใส่อย่างแรง ผมสอดใส่ความแข็งขืนนั้นเข้าที่กลางหว่างขาเรียวแทน

   “เด็กดีหนีบขาแน่นๆ นะครับ” 

   เด็กพยักหน้ารับอารมณ์หวามไหวเจืออยู่เต็มหน้า  ผมขยับช่วงล่างเนิบช้ามือซ้ายกอบกุมรูดรั้งตัวตนของเด็กน้อยที่เริ่มแข็งตัวอีกครั้ง มือขวาสอดเข้าไปในสาบเสื้อที่เปิดอ้าบดบี้ปลายนิ้วลงกับยอดอกของเด็กมันคงจะทั้งเจ็บทั้งเสียวซ่านมากจนครางลั่น

   “ซี๊ดดด... อา...ลุง”

   “หนู....”

   ผมกดปากจูบเม้มไปตามลาดไหล่เนียนจนถึงซอกคอหอม  การเคลื่อนไหวรุนแรงตรงหว่างขากับกลิ่นหอมที่แสนพิสุทธิ์เป็นแรงขับเคลื่อนพาความเสียวกระสันให้ทะยานสูงอย่างระงับไม่อยู่ ผมกระแทกสอดใส่คนตรงหน้าอย่างแรงและเร็วขึ้น แรงข้อมือขยับแก่นกายน่ารักระรัวเพื่อเร่งให้เราทั้งคู่ถึงปลายทางพร้อมกัน  ในที่สุดร่างบางก็ปลดปล่อยน้ำหวานออกมาจนร่างกระตุกเกร็ง

   “อีกนิดนะเด็กดี”

   ผมกระซิบบอก ขยับมือมายึดสะโพกมนไว้แน่น กระแทกตัวสวนกายเข้าแรงเร็วอยู่สองสามที ความบิดมวนในช่องท้องมันอัดแน่นจนทนไม่ไหวผมเกร็งตัววาดวงแขนกอดกระชับร่างบางแน่น และปลดปล่อยออกมาในที่สุด

   “หนู....อา อ้า...”

   ผมกดจมูกสูดดมกลุ่มผมหอม ดึงมือของเด็กไปจับที่ส่วนปลายบานที่น้ำรักยังไหลทะลักออกมาไม่หมด มือนิ่มที่แตะลูบวนตรงส่วนปลายมันทำให้ตัวผมสั่นสะท้านจนต้องกอดกระชับเด็กน้อยแน่นขึ้น กระแทกตัวตนให้ส่วนปลายชนกับมือนิ่มของเด็กกระตุ้นให้น้ำรักปลดปล่อยออกมาจนหมด เด็กในอ้อมกอดตัวอ่อนระทวยแนบร่างไปกับอก  ผมยกมือขึ้นปัดเส้นผมที่ระหน้ามาทัดไว้ที่หูเล็ก ปากร้อนจูบไล้ไปตามไรผมที่ชื้นเหงื่อของคนตัวเล็ก เด็กในอ้อมกอดนอนนิ่งหลับตาพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อนแต่คิ้วเรียวขมวดแน่นเหมือนครุ่นคิดอะไรสักอย่าง

   “คิดอะไรอยู่หืม” 

   “มะ ไม่มีอะไร” 

   เด็กน้อยตอบกลับผมด้วยเสียงหวานแผ่วเบา  ฤทธิ์ยาคงจะคลายตัวลงมากแล้ว  ผมก้มลงจูบที่ไหล่มนอีกครั้งก่อนจะผละตัวลุกขึ้น เดินไปเปิดน้ำอุ่นรอจนน้ำเต็มอ่าง จัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเอง เสร็จแล้วจึงเดินมาอุ้มเด็กไปอาบน้ำด้วยกัน  เขาสะดุ้งเมื่อถูกอุ้มลงนั่งในอ่างอาบน้ำที่อุ่นเกือบร้อนเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เค้าลืมตาปรือปรอยเตรียมจะประท้วง

   “ชู่ว์ ๆ ภูมิอาบน้ำให้นะ  หลับไปก่อนเลยครับ”

   “ฮือ” 

   เด็กขานรับตัวเขาเอนลงพิงกับอกผมหลับไปอีกครั้ง  เรานั่งแช่น้ำอุ่นจนน้ำเกือบเย็น ผมอุ้มร่างบางขึ้นจากน้ำเช็ดตัวให้แห้งทาครีมบำรุงผิวให้ทั่วตัวก่อนจะหาชุดนอนมาใส่ให้ อุ้มตัวไปวางไว้ที่ตั่งข้างหน้าต่างเอาผ้าเน่าให้กอดรอไปก่อน  รีบเดินกลับมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่เค้าจะได้นอนสบายตัว เสร็จแล้วจึงเดินไปอุ้มเด็กมานอน คงจะต้องให้นอนสักพักตัวเค้าร้อนรุมๆ  ผมเดินลงไปบอกให้ป้าชื่นเตรียมโจ๊กให้เด็กตื่นมาจะได้กินข้าวและกินยาดักไว้ก่อน ดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุดไม่ต้องไปโรงเรียน



TBC.

แต่งนิยายชายรักชายครั้งแรกแล้วเป็นเรื่องแรกไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมียอดวิวถึงพัน ปริ่มเปรมและดีใจมากนะครับ :impress2: [ปกติอ่านนิยายชายหญิงมาตลอดครับ] อาจจะผิดพลาดบ้างอะไรบ้างก็แนะนำกันได้ครับผม ^^

ขอบคุณมากมายสำหรับการติดตามและเม้นท์ให้กำลังใจ   ขอบคุณพิเศษสำหรับ magarons  sirin_chadada BlueCherries ที่ติดตามและเม้นท้ให้กำลังใจตั้งกะตอนแรกจนถึงตอนนี้
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.5_เด็กผมโดนเล่น [11_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 11-10-2015 11:42:09
 o22


ใครบังอาจทำน้องนิ่ง น่าจับเจี๋ยนให้ตายเลย พี่ภูมิต้องสอบปากคำมาให้ได้นะ !!!

(ส่วนแม่นางบัญชีคนนั้น.......มาสารภาพบาปใช่ไหม ไม่ใช่เป็นนางล่อให้ฝ่ายนั้นหรอกนะ?)
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.5_เด็กผมโดนเล่น [11_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: imyours8888 ที่ 11-10-2015 12:17:00
 :hao3:น่าร๊ากกกกกกกทั้งน้ำนิ่งและพี่ภูมิเลย รอติดตามนะคะ สู้ๆค่ะ :z2: :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.5_เด็กผมโดนเล่น [11_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 11-10-2015 13:39:36
ใครเป็นคนเอายาให้น้ำนิ่งกิน!!!!
จะได้ขอบคุณงามๆเลยยย
เป็นกำไลใจให้นะค่าา
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.5_เด็กผมโดนเล่น [11_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 11-10-2015 14:42:20
ใครทำเด็กขนาดนี้ พี่สิงห์จัดการด่วนๆ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.5_เด็กผมโดนเล่น [11_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-10-2015 15:07:09
เข้ามาอ่านแล้วอยากบอกว่าหลงรักน้องน้ำกับสิงห์ :mew1:

น่ารักอ่ะ พี่สิงห์รักน้องมากจนไม่ชายตามองใคร

ถึงจะเหี่ยวเป็นมะเขือเผาต้องพึ่งแม่นางทั้งห้าก็เต็มใจ

ดีกว่านอกกายนอกใจน้องน้ำ o13 o13 o13 o13 o13

น้องน้ำน่ารักไม่โวยวายรับฟังเหตุผลจากพี่สิงห์

หวังว่าน้องน้ำจะหนักแน่นและเข้าใจพี่สิงห์ไปตลอดนะ

อยากเรียกน้องหนูกับพี่ภูมิแต่ไม่กล้าให้เขาเรียกกันเองดีกว่า :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.5_เด็กผมโดนเล่น [11_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 11-10-2015 15:31:35
ใครมันวางยาหนู  :m28: เดี๋ยวเถอะ  :z6:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.6_ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ (2) : เสียดายไม่สุด [13_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 13-10-2015 21:58:16
เด็กเลี้ยง



- 6 -

ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ (2) : เสียดายไม่สุด






   “เฮ้  น้ำวันนี้พ่อมึงมารับเหมือนเดิมป่าววะ”   

   บ๋อม หรือบารมี ศิริวงศ์สกุลชัย เพื่อนสนิทในกลุ่มถามขึ้นขณะนี้ที่เราช่วยกันเก็บล้างอุปกรณ์การทำอาหาร  วันนี้เป็นเวรของเราสองคน  และไม่ต้องแปลกใจพวกเพื่อนเรียกภูมิว่า “พ่อ” ด้วยความเข้าใจผิดมาตั้งแต่วันแรกที่น้ำนิ่งเข้าเรียนที่นี่แล้วล่ะ ถึงจะเพียรพยายามบอกว่าไม่ใช่พ่อมันก็ไม่ยอมก็เลยตามน้ำมาตั้งแต่นั้นมา  คิดๆ อีกทีที่เพื่อนเรียกมันก็ถูกแหละ  ภูมิเลี้ยงดูน้ำนิ่งมาตั้งแต่เกิด เป็นคนให้ชีวิต เป็นทุกอย่างในชีวิตมาตั้งแต่แรกเรียก “พ่อ”  ก็ไม่ผิด

   “ก็เดี๋ยวทำนี่เสร็จก็จะออกไปนั่งรอที่เดิมนั่นแหละ แล้วมีอะไรรึเปล่า”  น้ำนิ่งตอบคำถามขณะที่มือก็ล้างทำความสะอาดเครื่องครัว

   “มึงจำพี่โอ๋ได้เปล่าพี่ไอ้เอ๋น่ะ กลับมาเที่ยวนี้มึงเห็นนี่คงจะจำไม่ได้เลย ได้ยินว่าไอ้เอ๋เล่าว่าพี่มันประสบอุบัติเหตุหน้าตาเละเกือบแปดสิบเปอร์เซนต์จนต้องศัลยกรรมแต่ก็ไม่ผิดหวังแหละไม่รู้จะบอกว่าหล่อหรือสวยดีคือดูดีจนจนกูเคลิ้ม เขากลับจากฮ่องกงแล้วมีของเด็ดๆ มาเพียบเลยวะ บอกให้ชวนมึงไปด้วยอยากจะเจอท่าจะชอบมึงเอามากๆ ด้วยถามถึงตลอด อีกอย่างพี่เขาอยากจะแนะนำให้มึงรู้จักน้องอีกคนของเขาพี่อีกคนของไอ้เอ๋นั่นแหละ ชื่ออะไรสักอย่างกูจำไม่ได้ ความจำกูแมร่งปลาทองมัวแต่กูล่ะอิจฉาหุ่นพี่แกเท่ฉิบหาย ”

   “อ้าว!! พี่โอ๋กลับมาแล้วเหรอ”

   “กลับมาหลายวันแล้ว เห็นว่าขยายฐานธุรกิจมาที่ไทยก็คงจะไปๆ มาๆ แล้วเอาไงจะไปไม่ไป”

   “น้ำคงต้องขอพ่อก่อน ไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ  เอาไว้วันหลังก็แล้วกันนะ” 

   “เออๆ เอาที่มึงสบายใจแล้วกัน  แต่มึงรู้ไหมเมื่อวานแมร่งเด็ดมาก กูดูมาแล้วเลยอยากจะชวนคุณมึงออกจากกะลาบ้าง  ไอ้พี่โอ๋มันโคตรเจ๋งเลยวะจนกูเก็บไปฝันเปียกเลยห่า”  บ๋อมทำหน้าเคลิบเคลิ้มกับสิ่งที่เจอเมื่อวาน

   “ฝันเปียก?  มันคือไร แล้วไปดูอะไร?”  น้ำนิ่งถามด้วยความสงสัย

   “ไอ้อ่อน..นี่ไม่รู้??  พ่อมึงไม่เคยสอนเหรอวะ ว่าผู้ชายที่โตเต็มที่เค้าต้องทำไง  กูเองก็เพิ่งรู้เมื่อวานนี้แหละพี่โอ๋มันถามว่าโตขนาดนี้แล้วเคยทำอะไรแบบที่ผู้ชายโตๆ เขาทำแบบในหนังกันรึเปล่า ”  บ๋อมทำหน้าฉงนสงสัยน้ำนิ่งส่ายหน้า

   “ทำอะไร?  แล้วฝันเปียกมันเหมือนกับเราฉี่รดที่นอนรึเปล่า น้ำงงบ๋อมพูดไรให้เคลียร์หน่อยสิ”

   “กูก็อธิบายไม่ถูก ก็เมื่อวานตอนที่นั่งดูหนังอย่างว่า...”

   “หนังอย่างว่า??”

   “แมร่ง!! ไอ้น้ำมึงรู้อะไรมั้งวะเนี่ย อ่อนของแท้เลยมึง ก็หนังที่ผู้ชายกะผู้หญิงเขาเอากันอะมึง เดี๋ยวมึงก็จะถามอีกใช่มะว่าเอากันคือไร  กูไม่รู้จะอธิบายยังไงเอาง่ายๆ มึงจำตอนที่เรานั่งอยู่ข้างสนามบาสแล้วมีหมาสองตัวมันโอบเอวกันแล้วร้องเอ๋งๆ ได้ไหมวะก็แบบนั่นแหละเข้าใจนะ อย่าขัดอีกให้กูเล่าก่อน”   บ๋อมอธิบายยืดยาวแต่น้ำนิ่งก็ยังทำหน้างงเหมือนยังไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ขัดเพื่อน

   “ต่อนะกูกับไอ้เอ๋นั่งดูหนังอย่างว่ากันอยู่ใช่ปะ พี่โอ๋กับพี่มันอีกคนดันเปิดประตูเข้าจ๊ะเอ๋พอดี พวกกูก็ตกใจสิกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม แล้วมึงรู้ไหมน้องชายกูสองคนกำลังตุงๆ เคารพธงชาติกันอยู่ด้วย  พี่มันคงเห็นแหละ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ทำหน้ายิ้มๆ กดล๊อกประตูพี่โอ๋เดินเข้ามานั่งซ้อนหลังกู พูดกระซิบเสียงเซ็กซี่พี่ช่วยนะ แล้วมีกัดเบาๆ ตรงซอกคอกู ห่ากูผู้ชายนะพี่มันก็ผู้ชาย แต่กูก็ดันไม่ขัดขืนแถมยอมให้พี่มันขยับรูดน้องชายกูขึ้นลง ไม่พอพี่มันยังมือล้วงเข้ามาในเสื้อบีบบี้หัวนมกูยังกับกูเป็นผู้หญิงที่อยู่ในหนังนั่น แมร่งเอ๊ย!!  กูเสียวแว๊บถึงหัว xx  เลย 

   พี่โอ๋คงรู้ว่าไอ้เอ๋มันคงจะอยากจ้องมองที่พี่มันทำกับกูเขม็งมือก็ลูบน้องชายตัวเองไปด้วย  เขาก็หันไปหาพี่อีกคนให้ทำกับไอ้เอ๋เหมือนที่เขาทำกับกู ไม่นานมึงรู้เปล่าแมร่งเหมือนมีกระแสไฟอ่อนๆ แล่นพล่านไปทั่วตัวโดยเฉพาะตรงนั้น กูทนไม่ไหวน้ำแตกใส่มือพี่โอ๋เต็มๆ สุขสมเบาตัวเลย กูก็เพิ่งจะรู้ว่าผู้ชายก็ทำแบบนั้นได้”   บ๋อมมันอธิบายยืดยาวหน้าบอกว่ามีความสุขมาก

   “น้ำก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกนั่นอยู่ดีแหละบ๋อม” 

   น้ำนิ่งยังทำสีหน้างงๆ คิดว่าคงต้องถามภูมิว่ามันใช่แบบเดียวกันกับที่เขาวางมัดจำรึเปล่า  ตอนทำเราไม่ได้นอนหลับซะหน่อย  แต่มันก็รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟอ่อนวิ่งทั่วร่างแบบที่บ๋อมบอก แล้วแบบนั้นมันจะเรียกฝันเปียกได้รึเปล่าล่ะ??  งงนะครับ!!

   “นี่แหละมันต้องไปเรียนรู้เอง กูบอกไม่ถูก”

   “ถึงยังไงน้ำก็ต้องขอพ่อก่อนแหละ เอาไว้ถ้าไปได้น้ำจะบอกนะ”

   “เสร็จยังวะบ๋อมพี่กูมาแล้ว น้ำไปบ้านกูไหมพี่กูให้ชวนมึงไปด้วย”  เอ๋ หรือ อนรรฆ ไกรสรชัย เพื่อนสนิทอีกคนโผล่หน้าตรงกรอบประตูเข้ามาเรียกบ๋อม และหันมาชวนน้ำนิ่งไปบ้านตัวเองด้วย

   “น้ำต้องขอโทษด้วยนะเอ๋ ต้องขออนุญาตพ่อก่อน เดี๋ยวเขาจะโกธรเอา”  น้ำนิ่งบอกเอ๋ด้วยความเกรงใจที่เพื่อนชวนไปบ้านหลายครั้งแล้วแต่ไม่ได้ไปสักที เวลามีงานกลุ่มหรืออะไรภูมิให้สองคนนี่มาที่บ้านทุกที  เขาห่วงไม่ค่อยอยากให้ไปไหน

   “ไม่เป็นไร วันหลังก็ได้ แล้วมึงเสร็จยังวะบ๋อมชักช้าไอ้นี่”  เอ๋พยักหน้าเข้าใจ หันไปเร่งบ๋อม

   “กูชักเร็วเหอะมึงก็รู้   อ๊ะนี่น้ำของฝาก พี่โอ๋เขาฝากมาให้เผื่อมึงจะฉลาดขึ้นมาบ้าง กูเอาถุงขยะไปทิ้งแล้วจะเลยไปกับเอ๋เลยนะ”  บ๋อมหันไปสวนคำเอ๋อย่างรวดเร็ว แล้วจึงหันมาพูดกับน้ำนิ่งมือหยิบเป้ขึ้นมาสะพายบ่า เอ๋เข้ามาช่วยบ๋อมยกถุงขยะเดินออกจากห้องไป 

   น้ำนิ่งมองตามหลังเพื่อนสองคนไปจนลับตา ก่อนจะก้มลงมองสิ่งที่อยู่ในมือมันเป็นลูกอมช็อคโคแลตด้วยความฉงนแล้ว มันจะเกี่ยวอะไรกับฝันเปียกล่ะ??   

   น้ำนิ่งแกะกระดาษห่อลูกอมเม็ดนั้นออกแล้วโยนเข้าปากอมไปมาอยู่สักพักก่อนจะบดฟันเคี้ยวละเอียดให้ช็อคโคแลตค่อยละลายลงสู่ลำคอ ไส้ข้างในเยิ้มๆ  รสขมฝื่นแปลกๆ  เดินไปเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดเสร็จแล้วจึงหันไปหยิบเป้ของตัวเองเดินออกจากห้องไปนั่งรอลุงมารับที่เดิม


   “ร้อน ร้อนเหลือเกิน...”

   “ภูมิจ๋า หนูเป็นไรฮึก..อา  ทำไมยังไม่มาสักที หนูเป็นอะไรไม่รู้ ตรงนี้มันปวดเหลือเกิน”

   น้ำนิ่งสะท้านไปทั่วตัว มันมีความรู้สึกปวดมวนหวามไหวกระจุกตัวอยู่บริเวณท้องน้อย ตรงนั้นของเขามันบวมเบ่งแข็งขืนจนจะแตก เหมือนจะฉี่แตกแต่ไม่ใช่มันรู้สึกมากกว่านั้น น้ำซึมตรงปลายจนเปียกกางเกงชั้นใน  น้ำนิ่งเอามือของตัวเองวางลงแก่นกายที่แขนขืนมันซ่านขึ้นมาเหมือนมีกระแสไฟอ่อนๆ วิ่งพล่านไปทั่วตัว ขาเรียวเล็กเกี่ยวไขว้กันบีบเกร็งแน่นเพื่อข่มความรู้สึกที่ตีกระหน่ำ มืออีกข้างจิกลงหน้าขาจนคิดว่ามันคงเป็นรอยเล็บแดง

   “อึกอา..ลุง”




   “หนูครับ”

   “ภะ ภูมิ”

   น้ำนิ่งหันกลับไปตามเสียงเรียก ร้องหาภูมิรพีด้วยเสียงแหบโหยตรงนั้นของเขามันเป็นอะไรไม่รู้ ไม่ไหวแล้ว มันเหมือนมีกระแสไฟอ่อนวิ่งพล่านไปตามตัวเกร็งจนสั่นสะท้าน  ขาอ่อนแรงจนไม่สามารถจะก้าวเดินได้  ภูมิรพีเดินมาโอบประคองไว้ในอ้อมกอด อยากจะทำอะไรสักอย่างให้หลุดพ้นจากความรู้สึกนี้แต่นี้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

   “ห หนูไม่รู้เป็นอะไร ร้อนฮึกฮื่อ...”   ไม่ไหวแล้วตรงนั้นมันแข็งปั๋งเลย มันจะแตกไหม ยิ่งถูกตัวภูมิยิ่งรู้สึก

   “ชู่ว์ๆ ไม่เอาไม่ร้องนะภูมิอยู่นี่แล้ว ชู่ว์ๆ คนดีของภูมิไม่ร้องนะครับ”

   เสียงปลอบของภูมิรพีทุ้มนุ่มอ่อนโยนน้ำนิ่งรับรู้ได้  แต่ก็ไม่สามารถปัดเป่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ได้สักนิด ยิ่งสัมผัสที่ภูมิรพีกำลังทำตอนนี้มันกระตุ้นความรู้สึกอยากปลดปล่อยของน้ำนิ่งให้พุ่งสูงขึ้นไปจนต้องโอบแขนของตัวเองไปรอบคอแกร่ง  ยกตัวขึ้นเอาปากร้อนของตัวเองกดลงที่ปากของภูมิรพี  กัดเบาๆ ที่ริมฝีปากหนาได้รูปผละปากออกอย่างรวดเร็วแล้วซบหน้าลงกับบ่าหนาของลุง

   “อ๊ะ...คิดถึง” 

   ความรู้สึกนั้นมันตีตื้นขึ้นมาจนร่างกายของน้ำนิ่งสะท้านแก่นกายที่พองคับแน่นมันเหมือนจะแตก  คนตัวเล็กยื่นปากร้อนผ่าวของตัวเองงับลงที่คอของภูมิรพีเต็มๆ คนตัวโตสะดุ้งบดกรามแน่น  ปากเล็กผละออกจากคอแกร่งเมื่อรับรู้สึกถึงรสปะแล่มของเลือดจากรอยกัด  คนตัวเล็กหน้าเสียเอ่ยปากขอโทษแผ่วเบา ลิ้นเล็กไล้เลียที่รอยกัดจนเลือดหยุดไหลแล้วซบหน้าลงกับบ่ากอดคอภูมิรพีแน่นขึ้น เกร็งตัวจนส่วนนั้นของตัวเองแนบไปกับหน้าท้องแกร่งของภูมิรพี

   “อ๊ะ อา...”   

   ความรู้สึกที่แก่นกายของตัวเองสัมผัสแนบชิดกับแก่นกายของภูมิรพีมันซ่านไปทั่วท้องน้อย เหมือนจะได้ปลดปล่อยจากอะไรสักอย่าง  ภูมิรพีพูดอะไรบางอย่างแต่มันไม่ได้อยู่ในความสนใจน้ำนิ่งเพียงพยักหน้าส่งๆ บอกรักคนตัวโตอย่างเหม่อลอย จิตใจจดจ่ออยู่ที่แก่นกายของตัวเองความต้องการมันรุนแรงจนต้องบดเบียดสะโพกให้แนบชิดกับแก่นกายของภูมิรพีมากขึ้น ปากนิ่มกดจูบ ดูดเม้ม เปะปะไปตามลำคอ แก้ม ติ่งหูของคนตัวโต  ยิ่งขยับแรงยิ่งเหมือนจะไปถึงสิ่งที่ตัวเองไขว่คว้ามากขึ้นทุกที

   “ระ ร้อน ลุงร้อน ชะ ช่วยหน่อย”

   น้ำนิ่งรู้ว่าตัวเองหน้าไม่อายที่ร้องขอไปอย่างนั้น ไม่รู้ภูมิรพีจะโกธรไหม แต่จะให้ทำยังไงความต้องการเหมือนจะได้ของที่ไขว้คว้ามันอยู่แค่เอื้อม ถ้าภูมิรพีจะโกรธหรืออะไรค่อยง้อทีหลังก็คงจะได้

   ในเมื่อความต้องการมันอยู่เหนือสติสัมปะชัญญะ  น้ำนิ่งไม่อายที่จะเอนแผ่นหลังบางแนบไปกับพวงมาลัยรถ  มือเลื่อนไปคลายเข็มขัดปลดตะขอรูดซิปลงแทบไม่ทัน ล้วงมือเข้าไปในกางเกงจับแก่นกายที่พองคับแน่นของตัวเองออกมาแค่สัมผัสแรกยังแทบจะแตกสลาย เขาขยับเข้าไปใกล้สิ่งที่อยากได้อีกก้าวแล้ว แค่กำแน่นๆ แล้วขยับมือก็คงจะรู้แล้วล่ะว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการ 

   น้ำใสปริ่มเยิ้มจนส่วนหัววาวใส บางส่วนไหลเปื้อนมือแต่ไม่ได้ใส่ใจเริ่มรูดขึ้นลงแรงๆ  โยกสะโพกไหวให้ร่องก้นของตัวเองเสียดสีบดเบียดกับแก่นกายของภูมิรพีที่เริ่มแข็งขืนเหมือนกัน  หน้าแหงนเงยขึ้นตาสวยหวานหลับพริ้มราวกับว่าได้ลอยไปจนถึงสวรรค์แล้ว

   “ฮือ อา...”

   คนร่างบางปรือตาฉ่ำหวานมองสบตาสีแปลกของภูมิรพีที่ฉายแววของความต้องการเอ่อท้นส่งมาให้  ความร้อนรุ่มเกิดขึ้นกระทันหันจนต้องไล้ลิ้นเลียไปตามริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง  สายตาร้อนแรงนั่นราวกับเปิดเปลือยตัวตนของน้ำนิ่งกระตุ้นความรู้สึกให้พุ่งสูงขึ้นแทบจะแตกสลาย

   อีกนิดเดียวน้ำนิ่งก็จะได้สิ่งที่ตัวเองไขว้คว้าแล้ว  มืออีกข้างยกขึ้นบีบบี้ยอดอกผ่านเนื้อผ้า ความกระสันเสียวซ่านส่งผ่านไปถึงแก่นกายส่วนปลายยอดน้ำใสปริ่มทะลักออกมาไม่หยุด  มือเล็กรูดรั้งแก่นกายระรัวเร็วขึ้นสอดผสานกับแรงขยับสะโพกให้ร่องก้นเสียดสีกับแก่นกายแข็งขืนของภูมิรพีอย่างหนักหน่วง ไม่นานคนตัวเล็กก็ตะกายไปถึงจุดสูงสุดที่ตัวเองไขว่คว้าจนเปล่งเสียงครางหวานด้วยความสุขสมยาวนาน 

    กายเล็กเกร็งสะท้านปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาเลอะไปตามเสื้อผ้าเราทั้งคู่  เมื่ออารมณ์หฤหรรษ์ค่อยเบาบางลงน้ำนิ่งซบหน้าลงกับบ่าของภูมิรพีอย่างเหนื่อยอ่อน  หัวใจยังเต้นแรงราววิ่งออกกำลังกายมาหนักหน่วง แต่เพียงครู่เดียวความรู้สึกต้องการมันก็หวนกลับมาอีกครั้ง...

   “อือ..อา..ล ลุง ชะช่วยหน่อย หนูเป็นอีกแล้ว ฮึก..อา...”

   “ทนนิดนะเด็กดี เดี๋ยวถึงบ้านเราแล้ว” 

   ภูมิรพีเอ่ยปลอบ แต่น้ำนิ่งไม่ไหวแล้วความรู้สึกมันตีตื้นขึ้นมาอีกระลอกจนต้องร้องไห้ออกมา ก้มลงกัดไปที่บ่าของคนตัวโตเพื่อข่มความรู้สึกอยากปลดปล่อย  ปากเล็กร้อนผ่าวกดเม้มเปะปะไปทั่ว บดเบียดแก่นกายตั้งชันของตัวเองกับท้องแกร่งภูมิรพีเพื่อบรรเทาความต้องการแต่มันไม่พอครั้งนี้มันต้องการมากกว่านั้น

   ภูมิรพีขยับตัวของน้ำนิ่งให้เอนหลังพิงไปกับพวงมาลัยรถอีกครั้ง  มือแกร่งกอบกุมแก่นกายที่แข็งขืนของคนบนตักแผ่วเบา  แค่เพียงสัมผัสแผ่วเบานั่นความรู้สึกทั้งหมดแทบจะทะลักทะลายมันรู้สึกดียิ่งกว่ามือของตัวเองที่ทำไปเมื่อกี้ซะอีก

   “อา..อ๊า...ลุงอื้อ..”

   มือใหญ่รูดรั้งแก่นกายของน้ำนิ่งขึ้นลงช้าๆ  อีกมือยกขึ้นแกะกระดุมเสื้อนักศึกษาแหวกออก แล้วครอบปากร้อนลงตรงยอดอกของคนตัวเล็กทั้งตวัดเลียดูดดึงขบกัดแรงๆ บางครั้งไล้วนลิ้นระรัวมันเจ็บจนน้ำตาเล็ด แต่ความเสียวซ่านมีมากกว่าจนอดไม่ได้ที่ครางหวานด้วยความพึงพอใจ  นิ้วเรียวเล็กสอดเข้าไปเกี่ยวกระหวัดเรือนผมนุ่มกดหัวของภูมิรพีลงมาให้ครอบปากดูดดึงลงลิ้นกับยอดอกที่ยกแอ่นให้แนบแน่นยิ่งขึ้น  ภูมิรพีระรัวลิ้นไล้เลียเร็วแรงขบกัดเป็นบางครั้งสลับกันทั้งสองข้าง คนตัวเล็กรู้ว่าตัวเองกำลังจะก้าวเท้าไปแตะขอบสวรรค์ที่เคยขึ้นมาแล้วอีกครั้ง

   “ลุง อะ อา เร็วๆ อื้อ..”

   ภูมิรพีขยับมือรัวเร็วขึ้นตามคำร้องขอ ผละปากออกจากยอดอกขึ้นมาขบเม้มที่ริมฝีปากที่ช่างเรียกร้องของน้ำนิ่ง สอดลิ้นร้อนเข้ามาในปากดูดดึงลิ้นเล็กหยุ่นอย่างแรงจนน้ำนิ่งหวี๊ดร้องด้วยความเจ็บปนเสียวซ่านสมองขาวโพลนฉับพลันตัวเกร็งกระตุกปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาเต็มมือแกร่ง 

    น้ำนิ่งถูกภูมิรพียกตัวขึ้นจนแก่นกายที่ยังตั้งซันจ่อหน้า คนตัวโตครอบปากดูดกลืนน้ำขุ่นขาวที่ทะลักจากส่วนปลายไล้ลิ้นเลียทำความสะอาดแท่งร้อนของน้ำนิ่งจนสะอาด ก่อนจัดเสื้อของทั้งคู่ให้เรียบร้อย  ดึงคนตัวเล็กให้เอนซบไปกับอกแกร่งของตัวเอง  แต่ที่ปลดปล่อยไปเมื่อครู่มันเหมือนจะไม่สิ้นสุด ความต้องการตีรวนสะท้านมาอีกระลอกจนต้องร้องขอออกไปอย่างไม่อาย  คนตัวโตปลอบให้อดทนแล้วเร่งขับรถออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงห้านาทีก็ถึงบ้าน น้ำนิ่งแทบจะทนไม่ไหว ความต้องการมันมากกว่าครั้งไหนๆ เหมือนยิ่งปลดปล่อยยิ่งอยาก คนตัวโตรีบอุ้มน้ำนิ่งขึ้นบ้านอย่างรวดเร็ว

   “ภูมิไม่ไหว ละแล้ว ฮือ...ชะช่วย หนูนะ..มันอะอีกแล้วฮึก ฮือ..”

   ความต้องการปลดปล่อยมันตีตื้นจนแทบทะลายทำให้น้ำนิ่งร้องขออย่างไร้ความอายอีกครั้ง  ภูมิรพีละล้าละลังไม่คิดจะทำอะไรที่พอจะลดทอนความต้องการให้ได้  จึงลดมือลงปลดตะขอกางเกงรูดลงไปจนถึงหน้าขา มือเล็กดึงรั้งแก่นกายแข็งขืนตั้งชันรูดขึ้นลงเพื่อบรรเทาความต้องการที่ปวดมวนอยู่ท้องน้อยระลอกแล้วระลอกเล่า

   น้ำนิ่งรีบไขว้คว้ามือใหญ่สากของคนตัวโตที่กำลังจะเดินไปมากอบกุมแก่นกายของตัวเอง มือเล็กกุมทับอีกทีบังคับให้ขยับมือรูดรั้งขึ้นลง  เพียงแวบที่สบตากันน้ำนิ่งเห็นสายตาของภูมิรพีฉายแววของความโกธร กรามที่บดแน่นกดข่มความรู้สึกพยายามปรับสีหน้าท่าทางให้ปกติ  ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงพื้นข้างเตียง ดึงตัวน้ำนิ่งไปจ่อตรงหน้าของเขา  มือแกร่งดึงรูดกางเกงที่ถอดค้างไว้ที่หน้าขาเรียวโยนทิ้งไป แก่นกายสีชมพูระเรื่อของน้ำนิ่งผงกตัวราวเชิญชวน  นัยน์ตาสีแปลกทอประกายวาววับบ่งบอกถึงความต้องการอยากจะกลืนกินทั้งหมด ยิ่งทำให้แก่นกายที่แข็งขืนอยู่แล้วเหมือนมันจะยิ่งพองตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 

   ภูมิรพีจับเท้าของน้ำนิ่งขึ้นวางไว้บนบ่าของเขา มือหนาเอื้อมจับแก่นกายน่ารักตรงหน้ารูดขึ้นลงเนิบนาบความต้องการอยากปลดปล่อยลามเลียไปทั่วกายบางจนทรมาน  น้ำใสปริ่มส่วนปลายออกมาตามแรงรูดรั้ง คนตัวโตยกยิ้มพอใจก่อนที่จะใช้ลิ้นร้อนดุนดันเลียลงบนปลายยอดที่มีน้ำใสปริ่ม ความหวามไหวกระจุกตัวทั่วบริเวณท้องน้อยอีกครั้ง ภูมิรพีครอบปากลงเต็มความยาวจนถึงโค่น รูดขึ้นลงช้าเร็วสลับกับเลียวนมันเสียวซ่านจนน้ำนิ่งต้องยกสะโพกเด้งรับตามจังหวะการดูดดึงนั่น

   “อ๊ะ อ๊ะ อ๊า อา...”

   น้ำนิ่งครางแทบไม่ได้ศัพท์ตอนที่ปากร้อนของภูมิรพีดูดดึงบอลแฝดแรงๆ ปลายเท้าจิกแน่นบนบ่าหนา ความต้องการปลดปล่อยเอ่อท้นจนแทบจะทนไม่ไหว หัวสมองเหมือนจะว่างเปล่าอยากจะหลุดพ้นไปจากตรงนี้ มือหนาของภูมิรพีดันก้นของงอนจนลอย  ปากร้อนกดจูบลงตรงช่องทางสีหวานที่ยังปิดแน่น  ลิ้นสากเลียวนรอบรอยจีบพับจนชื้นแฉะไปหมด ไม่พอลิ้นร้ายยังแยงแหย่เข้าไปข้างในช่องทางหวาน

   น้ำนิ่งแทบจะบ้าตายกับความเสียวซ่านที่บิดเขม็งเกลียวตรงท้องน้อยจนถึงปลายยอดบาน น้ำใสทะลักล้นจนทำให้ส่วนนั้นวาวใส ก้นงอนยกลอยรอรับการแยงลิ้นให้ลึกเข้ามาอีก ยิ่งภูมิรพีแยงลิ้นลึกเท่าไรช่องทางรักยิ่งตอดรัดระรัว

   “ปะ ปล่อยหนูเถอะนะลุง จะ จะไปแล้ว”

   ภูมิรพีผละปากออกจากช่องทางรัก ปากร้อนดูดดุนส่วนปลายวาวใส แล้วจึงครอบปากลงดูดเม้มสุดโค่นจนแก้มตอบ นิ้วโป้งกดไล้วนจีบพับตรงช่องทางข้างหลังไปพร้อมกัน ปากหนาเริ่มขยับรูดรั้งแก่นกายเร็วขึ้น ข้างในโพรงปากของภูมิรพีมันช่างอุ่นร้อนโอบรับตัวตนของน้ำนิ่งไว้จนหมด  คนตัวเล็กเด้งสะโพกสวนรับตามจังหวะการดูดดึงของภูมิรพี การถูกกระตุ้นทั้งข้างหน้าหลังพร้อมกันมันเกินบรรยายจะไปแต่ยังไม่ไป  มือเล็กสอดเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มกดศีรษะของคนข้างบนรับกระแทกให้ลึกยิ่งขึ้น 

   น้ำนิ่งกระแทกสะโพกใส่โพรงปากร้อนของภูมิรพีไม่กี่ครั้งก็แตะถึงขอบสวรรค์  กระแสไฟอ่อนของความวาบหวามวิ่งพล่านไปทั่วกายเล็กของตัวเอง ภูมิรพีดูดกลืนน้ำรักที่ฉีดพ่นลงคอจนหมดอย่างไม่รังเกียจ คนตัวเล็กทิ้งตัวลงนอนราบกับเตียงนุ่มอย่างเหนื่อยอ่อนแทบจะหมดสภาพ

   ภูมิรพีเลื่อนตัวขึ้นมากดจูบขบเม้นอ้อยอิ่งอยู่กับปากนิ่มจนเจ้าตัวยอมเผยอปากให้ลิ้นร้อนสอดเข้าไปเกี่ยวพันดูดดึงคว้านทั่วโพรงปากอยู่นานแทบจะหายใจไม่ออก ต้องยกมือที่อ่อนแรงผลักร่างแกร่งออก แต่ปากร้อนนั่นไม่ผละไปไหนยังอ้อยอิ่งดูดเม้มไปตามริมฝีปากของน้ำนิ่ง แก่นกายใหญ่เสียดสีกับเรียวน่องของคนตัวเล็กเนิบนาบ ความวาบหวามแล่นริ้วขึ้นมาอีกครั้งจนหลุดครางแผ่วเบาออกมา

   “อึก...ฮืออา...”

    ร่างหนาผละตัวออกไปความรู้สึกเบาโหว่งโหยหายากจะบรรยาย ความรู้สึกที่ไม่อยากให้ภูมิรพีออกห่างตัวมันตีตื้นจนใจเจ็บแปล๊บ น้ำนิ่งปรือตาขึ้นมองเห็นคนตัวโตกำลังถอดกางเกงของเขาออกอย่างรวดเร็วก่อนที่จะลงมานอนข้างกัน เขาจับคนตัวเล็กนอนตะแคงโดยที่ตัวของเขาซ้อนอยู่ข้างหลัง

   “ไม่ไหวแล้ว ช่วยภูมิหน่อยนะเด็กดี” 

   เสียงกระซิบอยู่ริมหูมันแหบพร่าเซ็กซี่วอนขอจนใจอ่อนยวบแทบจะยอมให้คนที่ซ้อนหลังอยู่หมดทุกอย่างที่ตัวเองมี ลมหายใจร้อนที่กระทบตรงซอกคอทำให้ขนลุกซู่ น้ำนิ่งหันไปจูบคางสากของคนที่นอนซ้อนอยู่ข้างหลัง นั่นเหมือนคำอนุญาต ภูมิรพีจับแก่นกายของตัวเองรูดรั้งไปมาเสียดสีกับร่องก้น ส่วนปลายถูไถกับช่องทางด้านหลังอย่างจงใจ มันเสียวซ่านจนต้องครางเสียงหวานแผ่วด้วยความพึงพอใจ  เพียงชั่วแล่นเกิดความคาดหวังขึ้นในอก

   ‘ ถ้ามันเข้ามาอยู่ลึกๆ แรงๆ ในตัวคงจะรู้สึกดีไม่น้อย....แต่คงจะหวังมากไป  เพราะลุงเมินเฉยเลือกที่จะเอามันสอดใส่หว่างขาแทน....“เสียดาย“.... เสียงในหัวบอกอย่างนั้น แล้วอาการต่อมาคือ  'ผิดหวัง


   “เด็กดีหนีบขาแน่นๆ นะครับ”

   เสียงของลุงสั่งให้หนีบขาแน่นๆ ดึงความคิดของน้ำนิ่งให้มาจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังจะมาถึงตรงหน้า มือหนาสากของลุงกอบกุมรูดรั้งแก่นกายของน้ำนิ่งที่หลับคอพับคออ่อนจนไม่น่าเชื่อว่าจะตื่นอีกแล้ว แต่แค่มือสากสัมผัสไม่กี่ทีเจ้านั่นกลับรู้สึกตัวเริ่มแข็งขืนพองคับแทบแตกอีกครั้งจนได้  มืออีกข้างของภูมิรพีสอดเข้ามาในสาบเสื้อบีบบี้ยอดอกอย่างแรงมันทั้งเจ็บทั้งเสียวไปพร้อมกันน้ำนิ่งถึงกลับหลุดครางออกมา

   “ซี๊ดดด...อา..ลุง”

   “หนู...”

   ภูมิรพีกดปากร้อนนาบจูบดูดไปตามลาดไหล่ซอกคอ ขบเม้มดูดดึงติ่งหู  สะโพกกระแทกอย่างแรงเข้าหว่างขาของคนในอ้อมกอด หน้าท้องแกร่งกับบอลแฝดของคนตัวโตกระทบกับก้นงอนจนเกิดเสียงตั๊บ ตั๊บ ตั๊บ ดังก้องผสานไปกับเสียงครางทุ่มต่ำของคนที่ซ้อนหลังอยู่  แรงกระตุ้นจากทั้งข้างบนข้างล่าง ความวาบหวามที่กำลังจะได้ปลดปล่อยอีกครั้งสั่งให้น้ำนิ่งขยับสะโพกเด้งสวนรับการกระแทกของภูมิรพีแรงไม่แพ้กัน 

   เมื่อมันสุดจะทานทน เราสองคนเกร็งกระตุกปลดปล่อยน้ำรักออกมาพร้อมกัน  แต่เหมือนภูมิรพีจะยังไม่เสร็จเขาจับมือของคนตัวเล็กไปจับส่วนปลายบานที่น้ำรักยังไหลทะลักอยู่  น้ำนิ่งลูบวนที่ส่วนปลายบานละเลง น้ำรักที่เอ่อล้นไปทั่ว ภูมิรพีกอดกระชับแน่นขึ้นกระแทกแก่นกายให้ส่วนปลายชนกับมือนิ่มของคนในอ้อมกอดอยู่สักพักเขาก็ปลดปล่อยออกมาจนหมด 

   “หนู...อา อ้า...”

   ภูมิรพีคลายอ้อมกอดออกเล็กน้อย มือหนาอุ่นลูบปัดเส้นผมที่ตกระหน้าออกให้ ปากร้อนจูบไล้ไปตามไรผมที่ชื้นเหงื่อเม็ดเล็ก  ร่างที่เหนื่อยอ่อนของน้ำนิ่งแทบจะไม่อยากขยับทำอะไรตาหรี่ปรือจะหลับให้ได้  มันเป็นการทำรักที่อิ่มเอมแต่  “ไม่สุด”  นั่นแหละตะกอนความรู้สึกที่ตกค้างในใจของน้ำนิ่งตอนนี้ 

    “คิดอะไรอยู่หืม”

     “มะ ไม่มีอะไร” 

   ตอบเสียงแผ่เบาไปทั้งที่ยังหลับตานั่นแหละ เหมือนตัวจะรุมๆ ปวดหัวนิดๆ แล้วด้วย ความเย็นของลมจากเครื่องปรับอากาศลอยมากระทบแผ่นหลังภูมิรพีคงลุกออกจากเตียงอยากรู้นะว่าไปไหนแต่ไม่ไหวความง่วงมันจู่โจม

   “อ๊ะ” 

   น้ำนิ่งสะดุ้ง มือผวาไขว่คว้าความว่างเปล่าในอากาศ เคยเป็นหรือเปล่าตอนที่เรากำลังจะเคลิ้มหลับแล้วมันเหมือนกับเราจะตกหลุมอากาศจนสะดุ้งสุดตัวอาการของน้ำนิ่งก็แบบนั้นแหละ

   “ชู่ว์ๆ ภูมิอาบน้ำให้นะ หลับไปก่อนก็ได้ครับ”

   เสียงทุ้มนุ่มของคนคุ้ยเคยที่กระซิบปลอบประโลมอยู่ริมหูก็ทำให้หนูไว้วางใจเอนหลังพิงราบไปกับอกแกร่งของคนข้างหลัง หลับใหลไม่รับรู้แล้วว่าลุงจะทำอะไรให้มารู้ตัวอีกทีลุงปลุกขึ้นมากินโจ๊กกับกินยา ตื่นแบบเบลอๆ ก่อนจะหลับไปอีกครั้ง 

   ‘ จนถึงตรงนี้แม้จะกินลูกอมที่บ๋อมให้จนหมด ก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดีว่า 'ฝันเปียก'  มันคืออะไร ’ 










TBC.

ปล.  * ตอนนี้แค่จะสื่อว่าสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เห็น จิตใจมนุษย์นั่นยากแท้หยั่งถึงความอยาก..??  มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกผู้ น้ำนิ่งเองก็เหมือนกัน 

* ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านนะค่ะ :) เป็นงานเขียนครั้งแรกอาจจะยังไม่ดีนักก็แนะนำกันได้ ยินดีน้อมรับเพื่อแก้ไขให้ได้งานที่ดีกว่า

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.6_ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ (2) : เสียดายไม่สุด [13_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 13-10-2015 22:10:18
เห

เงาที่ภูมิเจอตอนแรกนั่นบ๋อมหรือเปล่านะ???
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.6_ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ (2) : เสียดายไม่สุด [13_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 13-10-2015 23:22:47
อืมมม น้ำนิ่งง หนูชักมากกกแล้วนะลูก
.
.
.

ชักทำให้ฉันรักเธอมากเกินไปแล้วว
เออ อย่างนี้แหละ อยากก็บอกอยาก
แต่ถ้าพูดสิ่งที่คิดออดมาก็อาจจะดี (มั้ง)
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.6_ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ (2) : เสียดายไม่สุด [13_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-10-2015 10:06:35
เงาที่เห็นอาจเป็นบ๋อม โอ๋ หรือแม้แต่เอ๋ ไม่อย่างนั้นอาจจะรู้เห็นกันทั้ง 3 คน
เพราะโอ๋เป็นคนซื้อลูกอมมาย่อมต้องรู้ว่ามันจะมีผลยังไง
แต่ก็ยังฝากลูกอมมาให้น้ำและโอ๋ยังเป็นคนให้บ๋อมกับเอ๋ชวนน้องน้ำไปเล่นที่บ้านด้วย
ไหนจะแปลกที่โอ๋ช่วยบ๋อมแล้วให้บ๋อมช่วยเอ๋ตอนดูหนังโป๊อีก
กลัวจะหลอกพาน้องน้ำไปกินตับจริงๆเลย :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.6_ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ (2) : เสียดายไม่สุด [13_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 14-10-2015 15:18:52
น้ำนิ่งแอบหื่นนะนี่  :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.7_เลี้ยงเด็ก [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 18-10-2015 00:15:00
เด็กเลี้ยง

-7-

เลี้ยงเด็ก








   “วันนี้ผมไม่เข้าบริษัทนะครับ ถ้ามีอะไรพี่พีตัดสินใจได้เลย”  ภูมิรพีกรอกเสียงบอกคนปลายสาย

   // มีอะไรรึเปล่า //

   “นิ่งไม่สบายน่ะครับ ไม่มากแต่ก็ไม่อยากจะปล่อยเขาไว้ ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบวันนั้น”

   // แล้วน้องกินยาหรือยัง เช็ดตัวหาแผ่นเจลลดไข้แปะหน้าผากให้น้องด้วยนะ //

   “ปลุกมากินยาเมื่อตอนเข้ามืดไปแล้วครั้งหนึ่ง  อ้อพี่ณิตไปโรงงานรึเปล่าวันนี้”

   // ไปตั้งแต่เช้าแล้ว มีอะไร //

   “ผมอยากให้พี่ณิตไปขอภาพกล้องวงจรปิดบริเวณลานจอดรถภาควิชาของนิ่งหน่อยน่ะครับ”

   // ทำไม!! มีอะไรเกิดขึ้นกับน้องรึไง //

   “เมื่อวานนิ่งโดนยา ผมโมโหจนอยากจะฆ่าคนที่มันทำให้ตายอยู่นี่ ไม่อยากจะคิดถ้าผมไปช้ากว่านั้นอีกนิดเดียวนิ่งคงจะโดนเอาตัวไปแล้ว ตอนผมจะพานิ่งออกมาเห็นเงาคนหลบเข้าหลังต้นไม้ห่างจากสนามสักห้าสิบเมตรคิดว่ามันคงซุ่มดูเหยื่อรอยาออกฤทธิ์อยู่แถวนั้นแหละ  อยากจะตามไปดูอยู่เหมือนกันแต่เด็กไม่ไหวแล้วไงเลยต้องปล่อยมันไปก่อน.”

   / ภูมิ...ฮึก...อยู่ไหน...ฮือ../

   “แค่นี้ก่อนนะพี่เด็กตื่นแล้ว ไม่เห็นเดี๋ยวงอแงหนัก”

   // เออ เออ เรื่องนั้นเพลาๆ บ้างนะสงสารน้อง ส่วนภาพจะบอกพี่ณิตให้ //

   “รู้หรอกน่า ฝากด้วยนะพี่ครับสวัสดีครับ”

   ภูมิรพีกดตัดสายก่อนที่จะรีบเปิดประตูระเบียงเดินไปที่เตียง น้ำนิ่งนั่งหัวยุ่งปากแดงจากพิษไข้ น้ำตาคลอคลองนัยน์ตาสวย มือกำผ้าเน่าอยู่บนเตียง

   “ครับๆ  ภูมิอยู่นี่ มานี่มา” 

   ภูมิรพีนั่งลงขอบเตียงเอื้อมมือดึงตัวน้ำนิ่งเข้ามาในอ้อมกอด เอาหน้าผากตัวเองชนกับหน้าผากของเด็กวัดไข้  ความร้อนทุเลาลงแล้วตามไรผมชื้นเหงื่อเล็กน้อย  มือหนายกขึ้นเกลี่ยไรผมที่ระหน้าขึ้นทัดหูบางให้ กดจมูกสูดดมหัวหอมหลายครั้งจนพอใจ

   “ปวดหัวไหมหือ”  ภูมิรพีเอ่ยเสียงนุ่มทุ้มถามชิดหู 

   “ไม่ฮะ ภูมิไปไหนมา” เด็กน้อยสั่นหัวไปมา เอ่ยปากถามภูมิรพีด้วยเสียงแหบ

   ”ภูมิคุยโทรศัพท์กับพี่พีนิดหน่อย ไปเช็ดตัวก่อนเนอะจะได้ไปกินข้าวกินยา”

   “แต่ว่าหนูอาบน้ำไม่ได้เหรอ มันเหนอะหนะตัวนะฮะ”

   “เอางั้นก็ได้ครับ น้ำอุ่นนะ”

   “ฮะ”

   ภูมิรพีอุ้มร่างบางเข้าไปในห้องน้ำวางลงบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า จัดการยื่นแปรงที่บีบยาสีฟันเตรียมไว้แล้วให้น้ำนิ่งจัดการตัวเอง ก่อนจะหันไปเปิดน้ำอุ่นในอ่าง หันกลับมาอีกทีเจ้าตัวหอมก็แปรงฟันเสร็จแล้ว กำลังแกะกระดุมเสื้อนอนชายหนุ่มเลยเดินเข้าไปช่วยแกะอีกคน 

    สาบเสื้อที่แหวกออกเผยให้เห็นผิวสีน้ำผึ้งระเรื่อที่แต่งแต้มรอยสีกุหลาบ รอยยิ้มละมุนผุดพรายเต็มหน้าและอดไม่ได้ที่จะกดจมูกสูดความหอมจากซอกคออุ่นของร่างบาง เสียงกระซิบทุ่มนุ่มพร้อมลมหายใจร้อนที่เป่ารดผะผ่าวที่คอทำให้อีกคนหดคอหนีหน้าขึ้นสีระเรื่อ


   “ของของภูมิ”

   “ฮืออ...” 

   ร่างยางย่นคอหนีด้วยความจั๊กกะจี้เมื่อโดนไรหนวดเคราของภูมิรพีเสียดสีไปตามผิวนุ่นบริเวณซอกคอ มือเล็กดันหน้าของภูมิรพีออก  ทำหน้างอนส่งสายตาขึงขังห้ามปรามมันน่ารักมากกว่าจะน่ากลัว ภูมิรพียิ้มกว้างมากกว่าเดิม ก่อนจะถูกงอนมากไปกว่านั้นเลยอุ้มไปวางในอ่างน้ำ คนตัวโตเดินไปหยิบผ้าขนหนูในตู้เก็บมาเตรียมไว้ให้ ชายหนุ่มปล่อยให้เด็กตัวหอมแช่อยู่ไม่นานก็อุ้มขึ้นจากน้ำเช็ดตัวและแต่งตัวให้จนเสร็จ

   “จะกินอะไรฮึ ข้าวต้ม หรือโจ๊ก” 

   “ข้าวต้นเปล่ากับหมูหวาน.. ภูมิอุ้มเค้า” 

   เด็กน้อยกางแขนรอคนตัวโตเลยจัดการอุ้มลงมาข้างล่างเดินไปที่ครัวยายชื่นกำลังอุ่นข้าวต้มเปล่าให้คนป่วย

   “อ้าวตื่นแล้วเหรอลูก ไหนใครไม่สบาย”

   ยายชื่นเอ่ยทัก พร้อมกับเดินมาจับตามตัวเด็กเพื่อวัดความร้อน  เด็กน้อยยกหัวขึ้นจากบ่าหันไปหอมแก้มยายชื่น ทำหน้าตาออดอ้อนกับคนแก่

   “ยาย...น้ำปวดหัวจังเลย ทำไงดีอยากกินหมูหวานกับข้าวต้มเปล่าที่ยายทำด้วย ทำให้น้ำนะฮะ”

   “ก็นี่ไงยายทำให้แล้วลูก น้ำนั่งรอเลยครับ”

   “รักยายที่สุดเลย”  คนในอ้อมแขนของภูมิรพีชโงกตัวไปหอมแก้มคนแก่อีกครั้ง ยายชื่นยิ้มชอบใจใหญ่ที่โดนอ้อน

   “อ๊าว!! แล้วไหนว่ารักภูมิที่สุดไง”

   “ก็รักยายที่สุด แต่หนูรักภูมิแบบพิเศษใส่ไข่ไง” 

   ผมให้รางวัลเป็นหอมแก้มสองฟอดใหญ่ในฐานะที่เด็กน้อยทำตัวน่ารัก ยายชื่นหัวเราะชอบอกชอบใจก่อนจะหันไปสนใจข้าวต้มที่กำลังอุ่นบนเตา

   “ชื่นใจที่สุดเลย” 

   น้ำนิ่งยกมือเล็กทั้งสองข้างจับแก้มภูมิรพีให้ตรงก่อนจะยื่นหน้าเอาปากนุ่มอุ่นแตะลงบนปากหนาของคนตัวโตอย่างรวดเร็ว แล้วผละออกส่งยิ้มน่ารักให้ภูมิรพีก่อนที่จะซบหน้าลงกับบ่าดังเดิม 

   “หนูนั่งกับภูมินะ”

    น้ำเสียงอ้อนทำให้คนตัวโตยิ้มกว้างอดไม่ได้ที่จะหันไปหอมแก้มเบาๆ อย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดูยิ่งป่วยยิ่งอ้อน น่ารักเกินไปแล้ว การรับประทานอาหารในเช้านี้ภูมิรพีจึงกลายเป็นเก้าอี้มีชีวิตให้เด็กขี้อ้อนไปซะงั้น ยายชื่นตักข้าวต้มเปล่าชามโตและหมูหวานมาวางตรงหน้า ภูมิรพีป้อนใส่ปากคนบนตักคำใส่ปากตัวเองคำ (ตอนแรกก็ไม่ได้กินด้วยหรอกครับ กะว่าจะป้อนเด็กให้เสร็จก่อนแล้วถึงจะกิน แต่เด็กน้อยไม่ยอมก็เลยได้กินด้วยกัน)  ข้าวต้มชามโตหมดภายในเวลารวดเร็ว หลังกินยาเสร็จก็อุ้มขึ้นข้างบน คาดว่าอีกสักครู่ก็คงหลับเพราะฤทธิ์ยาแล้ว

   “หนูดูหนังได้มั้ย”

   “ครับ งั้นไปนอนที่เรือนพักผ่อนนะ” 

   “ฮะหนูดู Larva นะ”

   “ตามใจเลยครับ”  ภูมิรพีอุ้มน้ำนิ่งมาจนถึงห้องพักผ่อนซึ่งอยู่ติดกับห้องนอน วางเด็กน้อยลงโซฟาเบดหลังใหญ่ 

   “คนเก่งไปเลือกแผ่นรอเลยครับ เดี๋ยวภูมิเดินไปเอาผ้ามาให้”

   “หนูใส่แผ่นไว้รอมาเร็วๆ นะฮะ”

   ภูมิรพียกมือขึ้นขยี้ผมนุ่มก่อนจะเดินกลับมายังห้องนอนเพื่อเอาผ้าเน่าประจำตัวของเจ้าเด็กตัวหอม กลับไปอีกครั้งเจ้าตัวก็นั่งรอแล้ว ชายหนุ่มเดินไปปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ รูดปิดม่านหน้าต่างให้มืดอีกนิด เปิดตู้เอาผ้าห่มนวมติดมือมาด้วย ได้ของครบแล้วจึงเดินไปเอนนั่งลงข้างๆ กัน  แขนแกร่งโอบกอดร่างบางกระชับแล้วล้มตัวลงนอนด้วยกัน  เจ้าตัวหอมกอดผ้าประจำตัวไว้แนบอก ขยับตัวหยุกหยิกจนเป็นที่พอใจจึงหันไปกดรีโมทให้เครื่องเล่นแผ่น

   เกือบจะครึ่งเรื่อง คนในอ้อมกอดเริ่มตัวอ่อนคงจะฝืนฤทธิ์ยาไม่ไหวแล้ว ภูมิรพีกอดกระชับร่างบางแนบอกอีกนิด มือหนึ่งลูบหลังไปมาอีกมือตบก้นงอนเบาๆ  ครู่เดียวคนในอ้อมกอดก็ตัวอ่อนยวบลมหายใจสม่ำเสมอ  จึงหันไปหยิบรีโมทกดปิดหนังนอนกอดเด็กน้อยหลับไปด้วยกัน...




   “ตื่นแล้วเหรอครับ มานี่มาดูสิหายรึยัง” 

    ภูมิรพีงัวเงียตื่นตอนที่รู้สึกว่ามีอะไรหยุกหยิกอยู่บนตัว พอลืมตาขึ้นดูชัดๆ จึงเห็นเจ้าตัวหอมกำลังนั่งอยู่บนพุง ชายหนุ่มเอื้อมมือลูบแตะไปตามซอกคอของคนบนตัวตัวไม่ร้อนแล้ว มือแกร่งโอบเลยไปด้านหลังคอดึงรั้งเบาๆ โน้มหน้าผากมาจรดริมฝีปากหนาของตัวเอง จมูกป่ายปัดกันก่อนที่ริมฝึปากนุ่มจะถูกกวาดชิ่มความหวานทั่วโพรงปากจนพอใจ ร่างบางเอนตัวซบลงกับอกวางคางเล็กไว้บนมือของตัวเองที่วางนาบบนอกแกร่ง หน้าหวานขึ้นสีระเรื่อ ภูมิรพีหลุดยิ้มบางเบา เลื่อนมือไปตบก้นงอนเบาๆ เจ้าตัวหอมหลุดเสียงหัวเราะกังวานใสอย่างชอบใจ

   “หิวรึยังครับ” ภูมิรพีถามคนบนตัวเด็กน้อยพยักหน้าระรัว ส่งยิ้มประจบมาให้  ด้วยความหมั่นไส้แกมเอ็นดู คนตัวโตเลยยกมือขึ้นแนบแก้มแล้วดึงหน้าหวานมาใกล้ๆ ปากแล้วกัดที่จมูกงอนเชิดเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจูบ

   “เจ็บ”  เด็กน้อยบ่นหงุ๋งหงิ๋งไม่จริงจังนัก

   “หึ หึ ก็น่ากินทำไมล่ะฮืม  แล้วจะกินอะไรสปาเก็ตตี้ไหมเดี๋ยวภูมิทำให้”

   ขี้เมาทะเลได้ไหม..หนูอยากกิน”  เสียงออดอ้อนกับนัยน์ตาเป็นประกายวาววับก่อนจะยิ้มจนตาเป็นสระอิ น่ารักเกินไปแล้ว อดไม่ได้เลยฟัดแก้มหอมๆ ไปอีกที 

   “ถ้าอยากกินก็ลุกเลยครับ เดี๋ยวภูมิทำให้”

   น้ำนิ่งไม่อิดออดลุกจากตัวภูมิรพีลงไปนั่งข้าง ๆ  คนตัวโตลุกขึ้นเสยผมให้เข้าทีเข้าทาง ก่อนจูงมือเด็กมาที่ห้องน้ำในห้องนอนล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น

   “ล้างหน้าก่อนครับคนเก่ง”

   “ภูมิหนูเอาน่องไก่ทอด แล้วก็สลัดผักด้วยได้ไหมอยากกิน”  น้ำนิ่งอ้อน แสดงว่าคงจะหายแล้วเลยอยากกินนั้นนี่เยอะไปหมด

   “ครับๆ จะทำให้ทุกหมดแหละ”  ภูมิรพีเอาผ้าขนหนูนุ่มซับหน้าให้เด็กไปด้วย รับคำเด็กไปด้วย

   “มานี่ก่อนมาเดี๋ยวภูมิผูกผมข้างหน้าให้ ชักยาวแล้วเดี๋ยวทิ่มตา”

   คนตัวโตเปิดตู้กระจกหยิบหนังยางออกมาอีกมือจับผมข้างหน้ามัดรวบไปข้างหลังให้  ยกยิ้มกับผลงานตรงหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะยกแขนแกร่งโอบไหล่คนตัวเล็กเดินลงไปข้างล่างด้วยกัน วันนี้ยายชื่นไม่อยู่เห็นว่าจะไปทำบุญที่วัดกับคนแก่ในละแวกบ้าน ภูมิรพีเปิดตู้เย็นหลังใหญ่เตรียมวัตถุดิบทำอาหารตามที่เจ้าตัวหอมต้องการมาวางไว้ที่เคาน์เตอร์

   “ภูมิหนูทำสลัดเองนะ”

   “ได้อยู่แล้วครับ”

   น้ำนิ่งจัดการทำน้ำสลัดแอปเปิ้ล คนตัวโตหันมาเตรียมเครื่องทำสปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล  น่องไก่ก็แค่หยิบออกมาจากกล่องเก็บอาหารแล้วหย่อนลงกระทะที่น้ำมันกำลังเดือดปุดๆ เท่านั้นเอง เพราะยายชื่นหมักไว้แล้ว กำลังสาระวนทำอาหารกันอยู่ พี่พีร้องทักขึ้นที่ประตูครัวแล้วตามมาด้วยพี่ณิต

   “ทำอะไรครับคนป่วย โว๊ะ!!  ใครผูกผมให้น่ารักวะ มานี่ดิ”

   พี่พีเดินเข้ามาชะโงกดูที่ชามว่าน้องทำอะไร แต่ตาสะดุดเข้ากับหัวเปิดเหม่งของเด็กอดไม่ได้ที่จะ ดึงตัวเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงจนพอใจก่อนจะปล่อยตัวน้องให้ทำสลัดต่อ

   “ทำสลัดพี่พีกินด้วยกันนะ”   น้ำนิ่งเอียงชามใหญ่ใส่สลัดให้ดูก่อนจะชวนกินด้วยกัน

   “ไหนว่าป่วย หายแล้วเหรอถึงมาทำอะไรแบบนี้น่ะฮึ”  พี่ณิตเอาหน้าผากตัวเองมาชนหน้าผากน้อง เมื่อเห็นว่าไม่ร้อนแล้วเลยหอมหัวเหม่งน้องสองสามทีก่อนจะปล่อยหน้าน้อง

   “ฮือหายแล้วเห็นไหมน้องตัวไม่ร้อนแล้วด้วย” คนน้องตอบ 

   “เอ้านี่เครฟเค้กที่เราชอบ ไปซื้อเกือบไม่ทันเหลือก้อนสุดท้ายเลย” พี่พียื่นกล่องเครฟเค้กให้น้อง

   “วู้!!  รู้ใจน้องจริงๆ  น่ารักที่สุดเลย”   

   ไอ้คนน้องโผเข้าไปกอดคนพี่หอมแก้มซ้ายขวา ยิ้มประจบประแจงยื่นหน้าเข้าไปคลอเคลียอ้อนคนพี่ จะเหลือเหรอครับ คนสวยเขายิ้มกว้างหอมแก้มซ้ายหอมแก้มขวาคนน้องจนอีกคนที่มาด้วยกันชักเคือง

   “พี่กินข้าวมายัง” ผมถามพวกพี่มัน

   “ยังก็กะว่าจะมาฝากท้องที่นี่แหละ”  พี่ณิตหันมาตอบ ก่อนจะหยิบน่องไก่ที่ควันฉุยในจานขึ้นไปกัดกินโดยไม่อนาทรกับความร้อน

   “มือไม่ล้างหยิบของมากินได้ไง ไปเลยนะไปล้างมือเดี๋ยวนี้เลย”  พี่พีตีมือคนพี่ดังเพียะเลย

   “โธ่ก็หิว เนี่ยข้าวเช้าก็ยังไม่ตกถึงท้องกินชิ้นนี้ก่อนไม่ได้เหรอครับนะ น้า...”   คณิตทำเสียงอ้อนคนของตัว

   “วางเลย แล้วไปล้างมือก่อน”  แต่คนเจ้าระเบียบอย่างนั่นหรือจะยอม

   “ก็ได้ แกล้งคนหิวนี่บาปนะครับ”

   น้องหัวเราะชอบใจใหญ่ที่พี่ณิตโดนดุเหมือนเด็กๆ  ภูมิรพียกยิ้มมุมปากส่ายหน้าอย่างระอาก่อนจะหันมาทำสปาเก็ตตี้เพิ่มอีกสองที่ เสร็จแล้วก็นั่งทานข้าวกันตบท้ายด้วยเครฟเค้ก หลังทานข้าวเสร็จก็ย้ายกองขึ้นมาตรงหอนั่ง สองคนนั่นอิ่มท้องก็สะบัดก้นหนีไปดูหนังแล้วก็เดินห้างซื้อของเข้าบ้าน

   ส่วนน้ำนิ่งพอหนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อนตาปรือปรอยจะหลับมิหลับแหล่ ยิ่งมาถูกลมเย็นที่พัดเอื่อยๆ ตอนนี้แล้ว ตาจะลืมไม่ขึ้นซะให้ได้ คนตัวโตก็เลยอุ้มพาไปแปรงฟัน ล้างมือ ล้างเท้า พามากล่อมนอน คิดว่าถ้าเด็กหลับภูมิรพีคิดจะไปทำงานที่พี่พีหอบมาให้นิดหน่อย  แต่กล่อมกันท่าไหนไม่รู้หลับไปพร้อมกับเด็กน้อยซะงั้น

   เช้าวันจันทร์น้ำนิ่งสามารถไปเรียนได้ตามปกติ ภูมิรพียังไม่ได้ถามถึงสาเหตุที่เด็กโดนยา ประเด็นสำคัญคือ ภูมิรพีไม่อยากให้น้ำนิ่งมีความทรงจำที่เลวร้ายติดในสมองถ้าลืมได้ก็อยากให้เด็กลืมมันไปซะ  ขอเป็นเขาเองที่จะจำและเอาคืนคนที่มันทำกับเด็กร้อยเท่าพันทวี สองครั้งแล้วที่เขาช้าแล้วเด็กเกือบได้รับอันตราย ไม่อยากจะคิดถ้าช้ากว่านี้มันคงเป็นความสูญเสียที่เกินจะรับไหว



บริษัทบุลวัชร เทรดดิ้ง จำกัด (มหาชน)

   “สองปีที่ผ่านมาคุณอาเดินทางไปฮ่องกงกับมาเก๊าแทบทุกเดือน  และจากการตรวจสอบสถานะทางบัญชีมีเงินเข้าบัญชีก้อนใหญ่สามเดือนครั้ง แต่จากบัญชีของบริษัทจะโอนเข้าทุกหกเดือน”  พี่พีรายงานความคืบหน้าของการติดตามเป้าหมาย

   “อืม พี่ช่วยสืบให้ผมด้วยนะว่าเขาไปที่นั่นทำไม  เขามีเงินนอกอื่นๆ โอนเข้าบัญชีด้วยเหรอนี่ มันน่าสงสัยนะว่าไหม เขาไม่มีธุรกิจอย่างอื่นแต่มีเงินเข้าเป็นกอบเป็นกำ”

   “มันก็น่าคิด  มีจุดที่น่าจะต้องจับตามองเวลาที่เขาเดินทางต้องมีเสี่ยวิชัยไปด้วยตลอด  เราก็รู้กันดีว่าเสี่ยเป็นยังไง มันจะบังเอิญไปรึเปล่า”

   “พี่สืบด้วยว่าสองคนนี้เกี่ยวพันกันยังไง ถ้ามีประเด็นอื่นรายงานผมด่วนนะครับ”

   “ได้ แล้วงานวันนี้สิบโมงครึ่งมีประชุมบอร์ดผู้บริหาร  บ่ายโมงครึ่งเข้าพบคุณธอมัสคู่ค้าเขตอเมริกาที่โรงแรมเดอบัวร์  บ่ายสามนัดเซ็นสัญญากับคุณเจียงที่บริษัทเจเจคอร์ปฯ  ทุ่มครึ่งเลี้ยงรับรองคุณธอมัสอีกครั้งที่ริสเรสตัวรองส์”

   “วันนี้สิงห์จะไปรับน้องมั้ย”

   “ไปครับ ยิ่งเกิดเรื่องนั้นผมยิ่งห่วงนะ คิดแล้วถ้าวันนั้นผมไปไม่ทันนิ่งจะเป็นยังไง ตอนนี้เลยให้คนตามเฝ้านิ่งอยู่ก็วางใจได้เปาะหนึ่ง”

   “ดีแล้วล่ะ เรื่องเซ็นสัญญากับคุณเจียงพี่ไปแทนเอง สิงห์ไปรับน้องเถอะ ถ้ามีอะไรด่วนพี่จัดการเอง”

   “ขอบคุณครับ”




วิทยาลัยการอาชีพ

   ภูมิรพีขับรถมารับน้ำนิ่งที่วิทยาลัย บรรยากาศยามสี่โมงเย็นยังคงเหมือนเดิม เขามองเห็นเด็กนั่งอยู่บนเก้าอี้สนามตัวเดิม สายตาเหม่อมองเพื่อนนักศึกษาที่กำลังเดินกันขวักไขว่เพื่อกลับบ้าน  ห่างไปห้าสิบเมตรผมมองสบตาคนติดตามน้ำนิ่งพยักหน้าให้แยกย้ายได้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กน้อยเงียบๆ ไม่ได้ส่งเสียงเรียก จนไปยืนอยู่ข้างหลังแต่เด็กก็ยังไม่รู้สึกตัวว่ามีคนอยู่ข้างหลังเขา คนตัวโตก้มลงกดจูบลงที่หัวหอมน้ำนิ่งสะดุ้งตกใจไม่ทันได้ร้องภูมิรพีก็ยกตัวขึ้นจากเก้าอี้อุ้มแนบอก

   “ภูมิ”

    เด็กน้อยร้องก่อนที่จะกางแขนกอดคอ ขาเล็กเกี่ยวเข้าที่เอวหนา ก่อนจะยกตัวขึ้นกดจมูกงอนเชิดมาหอมแก้มดังฟอดทั้งสองข้าง

   “รอนานมั้ยเด็กดี”

   “ไม่นานฮะหนูเพิ่งลงมา”

    น้ำนิ่งตอบเสียงใส ผละหน้าออกจากบ่าหนายกมือทั้งสองข้างขึ้นแนบแก้มสากไรหนวดเครา จ้องเข้าไปในตาสีแปลกที่สะท้อนเงาของเด็กน้อยอยู่เต็มพื้นที่ น้ำนิ่งเอาปากนิ่มๆ แตะปากหนาของคนตัวโตสองสามทีโดยไม่ได้สอดลิ้น  แต่ก่อนจะผละออกเด็กกัดริมฝีปากล่างภูมิรพีเบาๆ อย่างหยอกเย้าแล้วกลับไปซบหัวลงที่บ่าหนาเหมือนเดิม พฤติกรรมของน้ำนิ่งวันนี้ทำเอาภูมิรพีแทบจะคลั่งมันไม่เจ็บแต่เสียว ก็ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นกับน้ำนิ่งอีกเลย

    ‘เฮ้อ!! ไอ้ภูมิหนอไอ้ภูมิเบื่อตัวเอง เจ้าเด็กนี่ก็ขยันอ่อยผู้ใหญ่เหลือเกินมันน่านัก ‘

   “คิดถึง”

   “หนูครับภูมิขออะไรอย่างได้ไหมครับ”

   “ภูมิจะให้หนูทำอะไร หนูจะทำให้หมดเลย สัญญา” เด็กน้อยชูสองนิ้วสัญลักษณ์ของลูกเสือ

    “เด็กดีฟังภูมินะ สิ่งที่ทำกับภูมิหนูอย่าไปทำกับใครนะ ถ้าจะทำก็ทำได้กับภูมิเพียงคนเดียวเท่านั้นเข้าใจไหมครับเด็กดี” 

   “ฮะเข้าใจแล้วห้ามทำกับคนอื่น  ทำกับลุงคนเดียวสัญญาเลย”

    น้ำนิ่งรับคำเสียงใสพร้อมคำสัญญาหนักแน่น  คนร่างบางก้มลงเอาริมฝีปากนิ่มแตะลงบนริมฝีปากหนาอีกครั้ง แล้วก่อนผละออกเด็กน้อยกัดเม้มที่ริมฝีปากล่างของคนตัวโตอย่างหยอกเย้า

   “น้ำนิ่ง!” ภูมิรพีเรียกเด็กเสียงเข้ม  แต่เด็กก็ไม่ได้สลดแต่อย่างใด กลับหัวเราะชอบใจที่แกล้งคนตัวโตได้

   “เดี๋ยวเถอะพูดไม่ฟัง งั้นวันนี้งดไอศกรีมกับเค้กดีไหม”

   “โห้ยยยยย ภูมิอะ ไม่เอาสิ แกล้งหนูอีกแล้ว...ไม่รักเค้าแล้วเหรอฮึ....” น้ำนิ่งโอดครวญเสียงหวานสายตาหวานเชื่อมออดอ้อนยั่วอารมณ์มาก

   “...”  ผมทำหน้านิ่งเฉย

    “ไม่แกล้งน้าาา... หนูอยากกินจริงๆ ได้ไหมนะ...นะฮะ”

    เสียงหวานเว้าวอนออดอ้อนไม่พอยังเอาแก้มนิ่มถูกับแก้มสาก จมูกเล็กป่ายปัดไปมากับจมูกของคนตัวโต คือเด็กนี่กะจะอ่อยให้ตายคามือเลยใช่ไหม รู้ไหมแค่นี้ก็จะไม่ปันใจไปไหนแล้ว

    “...”  ผมยังแสร้งทำเหน้าโกรธ

   “นะฮะ..น้าา ภูมิคนดีของเค้า”

    คนตัวเล็กหอมแก้มคลอเคลียหนักกว่าเดิม  เอ้ออออ..ให้มันได้ยังงี้..ก็เป็นซะแบบนี้จะโกรธก็ทำไม่ลงไหนๆ ก็ยอมมาตลอดยอมอีกก็ไม่เห็นเป็นไร

   “อะ อะ ก็ได้ ก็ได้เห็นแก่ที่เด็กทำตัวน่ารักเลยนะ”  ภูมิรพีพูดยิ้มๆ และยกมือขึ้นบีบจมูกเล็กของเด็กเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว

   “เย้ ภูมิน่ารักที่สุดเลย”

   “งั้นไปกันเนอะ” ภูมิรพีก้มลงหยิบเป้ของน้ำนิ่งขึ้นสะพาย แล้วเดินไปที่รถพาเด็กไปกินไอศกรีมและเค้กตามที่ต้องการ




ร้าน  @Zee U Zone

    ร้านประจำของเรา น้ำนิ่งชอบเครฟเค้กของร้านนี้ กินที่ร้านไม่พอมีรบเร้าให้ซื้อกลับบ้านด้วย สภาพภูมิทัศน์และการตกแต่งร้านออกแนวเรโทรจัดแบ่งร้านเป็นสองโซน เรานั่งกันโชนด้านนอกซึ่งเป็นพื้นยกลอยขึ้นจากสระน้ำใสที่มีปลาคร๊าฟหลายสิบตัวว่ายวนไปมา รอบๆ สระปลูกพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับหลากหลายพันธุ์ รวมถึงก้ามปูต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาทำให้บรรยากาศเย็นสบายสายลมพัดเอื่อย ช่วยผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยได้ดีทีเดียว เด็กน้อยนั่งตรงข้ามกำลังกินเครฟเค้กหลังจากกินไอศครีมไปแล้วหนึ่งถ้วยใหญ่ ผมจิบกาแฟนั่งมองเด็กน้อยกินอย่างมีความสุข

   “กินเยอะขนาดนี้จะกินข้าวได้ไหมละนั่น”

   “กินได้ฮะ ถ้าไม่กินนะเดี๋ยวยายชื่นร้องไห้เสียใจแย่เลย” 

    น่ารักไหมละนั่น รู้จักใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นด้วย ผมยิ้มพยักหน้าเข้าใจก่อนจะยื่นมือไปเช็ดปากที่เปื้อนเศษเครฟเล็กๆ ออก แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วที่เหน็ดเหนื่อยมามันมลายหายไปสิ้นเพียงแค่เห็นรอยยิ้มที่น่ารักนั่น

   “วันนี้ภูมิกินข้าวกับหนูไหม” เด็กเงยหน้าขึ้นถาม มองด้วยแววตายิ้มคาดหวัง

   “ไม่ครับเด็กดี ภูมิมีงานที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ” 

    แววตาหวานคาดหวังฉายแววของความเหงาให้เห็นเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะฝืนยิ้มน้อยๆ  แล้วก้มลงกินเครฟเค้กต่อ ไหล่บางสั่นน้อยๆ

    ผมขยับไปนั่งข้างๆ ร่างบาง ยกมือขึ้นเชยคางเล็กให้เงยหน้าขึ้น แววตาที่ผมเห็นคลอครองด้วยหยาดน้ำตาใจผมแทบขาด เลื่อนนิ้วมือเกลี่ยไล้หยาดน้ำตาเบา ๆ ดึงร่างเล็กเข้ามากอดปลอบประโลม

   “ภูมิขอโทษเด็กดี คืนนี้หนูอยู่กับยายชื่นก่อนนะครับ ไม่เกินห้าทุ่มภูมิถึงบ้านแน่นนอนสัญญาเลย”

   “สัญญาแล้วนะฮะ”  ปากเล็กพึมพำแผ่วเบาขอความมั่นใจ

   “ครับผม”

    เด็กน้อยยิ้มกว้างส่งมาให้ ผละออกจากตัวผมก่อนจะก้มลงกินเครฟเค้กของเขาต่อ เด็กหนอเด็กอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายเหลือเกิน ผมยกยิ้มด้วยความเอ็นดู

   “ภูมิ  ภูมิ!”

    ผมเหมือนเห็นมือเล็กปัดผ่านหน้าผมไปมา จึงหันมองเห็นเด็กน้อยกำลังหน้าบึง เลยหัวเราะกลบเกลื่อน ยกมือขึ้นบีบจมูกเล็กๆ ของเด็กน้อย นิ่งปัดมือผมออก จิกตามองอย่างเอาเรื่องปากเชิดสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างแงงอน น่ารักวะ

   “ชริ! ไม่สนใจหนู เรียกตั้งหลายครั้งไม่ได้ยิน จะกลับหรือยัง”

   “อิ่มแล้วเหรอ จะเอาอะไรอีกไหมฮึ”

   “งั้นหนูซื้อเค้กไปฝากยายชื่น พี่นิ่ม แล้วก็ป้าๆ ได้ไหมอะภูมิ”

    น้ำนิ่งหันกลับมาทำเสียงกังวานใสอ้อนๆ  สายตาวาววับมองสบมาเป็นสเตปเลย  ผมยกมือขยี้ผมนุ่มของเด็กด้วยความเอ็นดูในความเอื้ออาทรคนอื่นของเขา แต่แกล้งซะหน่อย

   “จะเอาไปฝากยายชื่นหรือกินเองกันล่ะฮึตัวแสบ”

   “ไม่ใช่ซะหน่อย เค้าจะเอาไปฝากยาย พี่นิ่ม แล้วก็ป้าๆ เหอะ เค้าจิตใจดีเหมือนหน้าตาภูมิรู้ไรมั้งปะเนี่ย” เด็กสะบัดบ๊อบริมฝีปากเล็กเชิดขึ้นยกมือกอดอก  ทำหน้างอนๆ  น่ารักมากเปล่าวะนั่น

   “โอ๋ โอ๋ ไม่งอนน้า..ภูมิล้อเล่น  ไป ไป๊ จะเอาอะไรไปฝากใครไปเลือกเลยจ้าภูมิทุ่มสุดตัว”

    ผมรีบง้อกลัวเด็กแถวนี้จะงอนยาว แต่เจ้าตัวดียังกอดอกยืนเฉยผมเลยคว้าหัวหอมเข้ามาจุ๊บเหม่งเป็นการขอโทษ  ตบก้นงอนๆ อย่างหมั่นเขี้ยว เด็กยิ้มแล้ววิ่งสะบัดบ๊อบไปยืนสั่งเค้กใส่กล่องเสียงดังเจื้อยแจ้วกับพี่พนักงาน  ได้ข่าวว่าที่สั่งนะเครฟเค้กที่เจ้าตัวชอบมากสุด  ผมยิ้มกว้างส่ายหน้าไปมาก่อนจะเดินตามไปชำระเงิน แล้วพาไปส่งบ้านก่อนที่ผมจะออกไปพบคุณธอมัสตามนัด



   หลังจากส่งคุณธอมัสที่โรงแรมเสร็จ ผมรีบบึ่งรถกลับบ้าน  จอดรถเสร็จเดินขึ้นบันไดยังไม่พ้นขั้นสุดท้ายสายตาปะทะเข้ากับเด็กที่นั่งทำคอยืดคอยาวแต่ตาเริ่มปรือปรอยอยู่ตรงหอนั่ง  จึงยิ้มกว้างเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ ยกตัวเด็กขึ้นมานั่งบนตัก ยื่นจมูกคลอเคลียแก้มใสด้วยความรักใคร่ น้ำนิ่งเงยหน้าขึ้นจุ๊บปากผมก่อนซบหน้าลงกับอกแขนเรียวเล็กกอดรอบเอวหลอมๆ

   “ยังไม่นอนเหรอครับดึกแล้วนะ”

    ผมก้มลงถามเด็กในอ้อมกอด  เงยหน้าขึ้นเห็นป้าชื่นกำลังจะเดินมาดูเราผมเลยโบกมือบอกป้าไปนอนเถอะเดี๋ยวผมจัดการเด็กเอง  ป้าชื่นพยักหน้าแล้วหันหลังกลับเรือนไป

   “หนูรอภูมิ”  เด็กตอบทั้งที่ตายังหลับพริ้ม ปากนุ่มสีชมพูระเรื่อเผยออ้าน้อยๆ โอ้ย!! น่ากัดมาก

   “กินนมอุ่นก่อนไหมฮึม”  ผมถาม ก้มลงจูบปากน่ากัดที่เล็งไว้ก่อนจะเลื่อนไปกดจูบดมหัวหอมๆ  มือลูบหลังเบาๆ

   “ฮื้อออ ไม่เอาดื่มแล้ว เค้าง่วงอะภูมิ” เด็กครางหงุ๋งหงิ๋งเสียงเบาเหมือนรำคาญ ปากเล็กบอกว่าดื่มนมแล้ว

   “ง่วง นอนกันนะ น้า” 

    เฮ้อ!! ง่วงนะแต่ไม่ยอมนอน ร่างบางคลอเคลียกดจูบที่อกผมหลายครั้ง กระชับกอดให้แน่นขึ้น อ้อนไม่รู้อยากได้อะไรสินะ ผมยกยิ้มพอใจซ้อนร่างบางอุ้มขึ้นกระชับวงแขนเดินเข้าห้องนอน  วางบนเตียงกว้างจัดที่จัดทางเอาผ้าวิเศษให้กอดก่อนดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้จนถึงคอ น้ำนิ่งมองผมตาแป๋วไม่ยอมหลับตา ผมก้มลงกดจูบราตรีสวัสดิ์ที่ปากนิ่ม เจ้าตัวดีกลับยกแขนขึ้นกอดคอผมแน่น ดึงลงไปหาตัวเองอย่างแรงจนเกือบล้มทับเด็ก ต้องใช้มือค้ำยันไว้มองหน้าว่าเด็กงอแงอยากได้อะไร

   “ไหนว่าง่วงทำไมไม่นอนล่ะครับหึ...”

   “ภูมินอนกับเค้านะ”  น้ำนิ่งไม่ยอมปล่อยแขนแต่กลับยกตัวขึ้นกดปากจูบตรงแอ่งชีพจรตรงคอ แล้วเลียเบาๆ ผละหน้าออกมาส่งสายตาเว้าวอน

   ‘โอ้ย! อยากจะบ้าตาย น้ำนิ่งนะน้ำนิ่ง เย็นไว้ไอ้ภูมิมึง ยุบหนอพองหนอๆ’

   “นอนกับหนูนะภูมิ น้าาา”

    เฮ้อ! ผมทนไม่ได้หรอกนะถ้าจะอ่อยกันขนาดนี้เลยก้มลงจูบปากเล็กช่างออดอ้อนนั่น เขาเผยอปากรับลิ้นที่สอดเข้าไปอย่างไม่เกี่ยงงอน เราจูบกันอ่อนหวานเนิ่นนาน ก่อนจะผละออกด้วยความเสียดายเพราะคนร่างบางกำลังขาดอากาศหายใจ 

   “เด็กดีนอนไปก่อนนะ ขอภูมิอาบน้ำแป๊ปเดียวนะครับ”

    ร่างยางยอมยอมปล่อยแขนออกจากคอ เลยรีบลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำจัดการล๊อกประตูอย่างแน่นหนาจัดการธุระส่วนตัวอย่างเร่งรีบก็บอกแล้วไม่ขอทน เสร็จแล้วจึงจัดการอาบน้ำและแต่งตั้งอย่างรวดเร็ว เกือบครึ่งชั่วโมงคนบนเตียงยังไม่นอนแต่ตาปรือมากแล้ว รีบเดินไปปิดไฟแล้วกลับมาขึ้นเตียงล้มตัวลงนอน ร่างบางขยับเข้ามาในอ้อมกอดซบหน้าลงตรงตำแหน่งแถวๆ จั๊กแร้ มือหนึ่งวางตรงอกอีกข้างกอดเอวหนา ขาเล็กยกขึ้นเกี่ยวขาผมไว้ เด็กยกหัวขึ้นจูบตรงคาง กดปากนิ่มจูบลงที่อกผม

    “หลับฝันดีฮะ รักภูมินะ”

   “รักเหมือนกัน ฝันดีเด็กดื้อของภูมิ”

    ผมกระซิบตอบเบาๆ กดจมูกปากไปที่ขมับและแก้มนิ่ม  ยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้จนถึงคอแล้วจึง สอดมือเข้าไปในเสื้อนอนลูบไปมาเบาๆ ตามแผ่นหลังบางลื่นมือ  คนในอ้อมกอดขยับหยุกหยิกจนเป็นที่พอใจไม่กี่นาทีต่อมาก็อ่อนยวบลงตามมาด้วยเสียงหายใจสม่ำเสมอ เด็กหนอเด็กง่วงจนงอมแล้วยังฝืนดื้อรอนอนพร้อมกัน  แล้วจะไม่รักได้ไงแบบนี้ ผมยกยิ้มก้มลงไปหอมหัวทุยเล็กอีกครั้งก่อนที่จะหลับตาพักผ่อน วันดีๆ ที่ผมรักเด็กน้อยหมดไปอีกวันแล้ว...







TBC.


ปล.
1) ยังเป็นอะไรที่เรื่อยๆ เฉื่อยๆ ออกจะน่าเบื่อหรือเปล่า?  แต่ในความเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ยอมรับว่ามันเขียนยากเอาการแก้แล้วแก้อีกหลายครั้ง  รีไรท์จากของเดิมไปเกือบทั้งหมด บทสรุปได้มาแค่การดำเนินชีวิตหนึ่งวันของน้ำสิงห์ และพี่ชาย
2) ขอบคุณมากมายสำหรับ BlueCherries, magarons, TaecKhun Imagine Love และ Ginny Jinny  ที่ติดตามอย่างเหนียวแน่นพร้อมเม้นท์ดีๆ ที่เป็นกำลังใจเป็นแรงผลักดันให้เราอยากจะรีไรท์เรื่องให้ดีที่สุด้ท่าที่จะทำได้ให้ได้อ่านกัน (แต่ก็ได้แค่นี้จริงๆ )  ขอบคุณอีกครั้งที่ยังติดตามกันอยู่
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.7_เลี้ยงเด็ก [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 18-10-2015 01:04:54
อยากรู้ว่าใครวางยาเด็ก แล้วสิงห์จะจัดการยังไง
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.7_เลี้ยงเด็ก [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 18-10-2015 01:15:44
พลาดเรื่องนี้ได้อย่างไง น้ำนิ่งน่ารักมากเลย น่าฟัดจริงๆ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.7_เลี้ยงเด็ก [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 18-10-2015 01:22:55
อืมม ขอพูดอะไรสักหน่อยนะค่ะ เรารู้สึกเหมือนเหตุการณ์มันเร็วๆ ไป จินตนาการตามไม่ทัน
คือมันมีหลายๆ เหตุการณ์ในหนึ่งวัน คุณนักเขียนอาจไม่ต้องมาเล่าทุกๆอย่างตามที่ตัวละครได้เจอจริงๆอ่ะค่ะ อาจจะแบบ ผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว แล้วให้ตัวละครเล่าไล่ย้อนหลัง อาจจะได้ฟิลมากกว่า

ป.ล.เราก็คิดเองเออเอง อย่าโกธรเค้าเลยน้าา
ป.ล.2 คุณแต่งดีแล้วค่ะ อ่านรู้เรื่อง เข้าใจตัวละคร วิถีใครวิถีมันเนอะ แนวคนเขียนอาจเป็นแบบนี่ แต่เราก็ชอบค่า

(ค่อนข้างสับสนในตัวเองนิดหน่อย :z3: :z3: :z3: )
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.7_เลี้ยงเด็ก [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 18-10-2015 02:26:50
อืมม ขอพูดอะไรสักหน่อยนะค่ะ เรารู้สึกเหมือนเหตุการณ์มันเร็วๆ ไป จินตนาการตามไม่ทัน
คือมันมีหลายๆ เหตุการณ์ในหนึ่งวัน คุณนักเขียนอาจไม่ต้องมาเล่าทุกๆอย่างตามที่ตัวละครได้เจอจริงๆอ่ะค่ะ อาจจะแบบ ผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว แล้วให้ตัวละครเล่าไล่ย้อนหลัง อาจจะได้ฟิลมากกว่า

ป.ล.เราก็คิดเองเออเอง อย่าโกธรเค้าเลยน้าา
ป.ล.2 คุณแต่งดีแล้วค่ะ อ่านรู้เรื่อง เข้าใจตัวละคร วิถีใครวิถีมันเนอะ แนวคนเขียนอาจเป็นแบบนี่ แต่เราก็ชอบค่า

(ค่อนข้างสับสนในตัวเองนิดหน่อย :z3: :z3: :z3: )


ไม่โกธรครับผม ดีใจที่เม้นท์กันตรงๆ จะได้เอาไปปรับแก้ไข คือเราเองก็สับสนกับตัวเองพอสมควรเหมือนกัน
แก้ไขไปแก้ไขมาจนเวิ้นเว่อกับตัวเอง 

ปล. ขอบอกจากใจจริงเราชอบเม้นท้แบบนี้จริงๆ มันทำให้รู้ว่าเราบกพร่องตรงไหน ควรแก้ไขจุดบอดของตัวเองยังไง
ขอบคุณมากมายจากใจอีกครั้งครับผม  ^^
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.7_เลี้ยงเด็ก [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-10-2015 09:08:13
น้องน้ำน่ารักกกกกกอ่ะ อยากได้ๆๆๆๆๆๆๆ

ใครวางยาน้องน้ำนะ  :beat: :z6: :z6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.7_เลี้ยงเด็ก [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 18-10-2015 10:21:01
@ Yara , TaecKhun Imagine Love ไขข้อข้องใจใครวางยาเด็ก

>> จากตอนที่ 6 ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ (2) : เสียดายแต่ไม่สุด  น้ำนิ่งได้รับลูกอมช็อกโกแลตจากบ๋อมที่เป็นของฝากจากพี่โอ๋ หลังจากน้ำนิ่งกินลูกอมนั้นไปมันเกิดอาการแปลกๆ จนเป็นที่มาของตอนที่ 6 แต่ภูมิรพีไม่รู้ว่าน้ำนิ่งกินลูกอมเจ้าปัญหา และอาการที่น้ำนิ่งแสดงออกมันเป็นอาการเดียวกับคนโดนยาปลุกเซ็กซ์ ประกอบกับเงาต้องสงสัย จึงมโนไปว่ามีคนวางยาเด็กน้อยที่รัก

ที่แน่ๆ คือ ลูกอมนั้นโอ๋ฝากมาให้น้ำนิ่ง ส่วนเรื่องเงาคนยังไม่เคลียร์อาจเป็นไปได้ทั้งบ๋อม โอ๋ เอ๋ หรือคนอื่นๆ  เอาไว้ติดตามกันต่อไปครับผม

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.8_ความกลัวในจิตใจกลายเป็นความห่วงใยของฉันถึงเธอ P.2 [19_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 18-10-2015 15:00:32
เด็กเลี้ยง

- 8 -


ความกลัวในจิตใจกลายเป็นความห่วงใยของฉันถึงเธอ






   “สิงห์เรื่องที่ให้สืบสายรายงานว่า คุณอาชอบไปที่คลับ Heaven  ที่นั่นถือเป็นคาสิโน่ที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกงและมาเก๊า  แต่น้อยคนมากจะรู้ว่าชั้นใต้ดินเป็นคลับส่วนตัวที่เอ๊กซ์คลูซีฟมากเปิดรับเฉพาะสมาชิกระดับ VVIP ที่ได้รับเลือกเท่านั้น พวกมันจะมีการนัดพบปะสังสรรค์ระหว่างสมาชิก เดือนละ 2 ครั้ง เพื่อเปิดประมูลสัตว์เลี้ยงสำหรับเศรษฐี  แต่ก็ระบุไม่ได้ว่าเขาเป็นสมาชิกคลับนี้รึเปล่า” พี่พีรายงานความคืบหน้าที่ผมให้พี่เขาทำ
 
   “Heaven รู้สึกคุ้นๆ ใช่แล้วตอนไปฮ่องกงกับแม่เล็กคู่ค้าเลี้ยงรับรองที่คลับนี่ ก็เห็นเศรษฐีและคนสำคัญๆ ระดับ VVIP มาใช้บริการเยอะมาก ไม่คิดว่ามันจะมีแบบนี้”  คณิตโพล่งขึ้นมาหลังจากได้ฟังสิ่ง     พีระณัฐพูด ส่วนภูมิรพีนิ่งฟังมือหนายกขึ้นบีบคลึงไปตามขมับและหน้าผากด้วยสีหน้าครุ่นคิด

   “อืมผมเคยได้ยินเรื่องประมูลสัตว์เลี้ยงอะไรนี่เหมือนกัน ถ้าคุณอาเขาเป็นสมาชิกของที่นั่นจริง มันก็น่ากลัวมากนะ แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเขาต้องเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย ไม่งั้นเขาจะมีเงินจากไหนโอนเข้าบัญชีเยอะขนาดนั้น แล้วเท่าที่ผมรู้สัตว์ที่พวกเขานำมาประมูลเป็นเด็กชายหญิงอายุไม่เกิน 10 ปีเลยนะพี่  ยิ่งอายุน้อยเท่าไรยิ่งราคาสูงลิ่ว คนพวกนี้ชอบเล่นเซ็กวิตถารทุกรูปแบบกับสัตว์ที่ประมูลได้ มียาเสพติดให้เล่นทุกอย่างที่สมาชิกต้องการเลวระยำผิดมนุษย์จริง” 

    ผมเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ยินมาด้วยความหดหู่และหนักใจ กระหวัดคิดไปถึงตอนที่เด็กน้อยโดนยา       แล้วล่าสุดก็ตอนที่คุณคมกิจเข้าไปเยี่ยมแม่เล็กเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วันนั้นผมต้องแวะดูงานให้ผู้ใหญ่ก่อนเสร็จแล้วจะตามเข้าไปสมทบทีหลัง จึงให้เด็กไปอยู่เป็นเพื่อนแม่เล็กก่อน

    หลังเสร็จธุรกิจผมรีบตามไปที่เรือน ตอนไปถึงไม่เจอน้ำนิ่งอยู่ที่ห้องแม่เล็ก ตามไปเจออยู่ห้องครัวผมแทบอยากจะฆ่าคนนี้ให้ตายคาตีน  สายตาคุณอาที่ใช้มองเด็กผมมันวาววับเจ้าเล่ห์โลมเลียหื่นกระหายเหมือนหมาในจ้องคอยตะครุบเหยื่อยังไงยังงั้น  ฉุดกระชากเข้าถึงเนื้อถึงตัวพยายามสอดมือเข้าในกางเกงเด็กผม น้ำนิ่งขืนตัวสุดแรงให้หลุดออกจากการลุกล้ำของคุณอาแต่ก็สู้แรงไม่ได้  ผมรีบเข้าไปดึงกระชากตัวคุณอาออกแล้วอุ้มเด็กออกมาพากลับบ้านทันทีโดยไม่คิดจะรักษามารยาทอีก  หลังจากนั้นเขามาที่เรือนอีกหลายครั้งทำเป็นเลียบเคียงถามหาเด็กผม  แม่ใหญ่ยังไม่รู้ว่าเขาแสดงพฤติกรรมยังไงกับเด็กผม  แต่ก็สงสัยกับพฤติกรรมแปลกประหลาดเช่นนั้นของคุณอาจึงเปลี่ยนประเด็นไปพูดเรื่องอื่นตลอด

   “พี่เรียกพวกพี่แสนกลับมาได้ไหม”  ผมหันไปพูดสิ่งตัวเองกำลังคิดออกไปกับพี่ณิต

   “ไอ้ได้นะมันได้อยู่หรอกนะ ก็ตอนนี้พวกมันว่างงานไม่ได้รับจ้างอารักขาใคร แล้วจะเรียกพวกมันมาทำไม”  พี่ณิตถามด้วยความสงสัย

   “เรามีอะไรต้องทำกันนิดหน่อยแก้เซ็ง”  ผมบอกพวกพี่มันยิ้มๆ

   “หวงยิ่งกว่าจงอางหวงไข่อีกนะมึง  แต่ไอ้งานแก้เซ็งนี่น่าสนใจวะกูซักคันไม้คันมือ”  คณิตยักคิ้วและทำหน้าล้อเลียน คนน้องยกนิ้วปรามพี่ให้หยุดแสดงอากัปกริยาล้อเลียน

     “พอเลยว่าแต่ผม ตัวเองก็เหมือนกันนั่นล่ะ” 

    คนน้องส่งสายตาดุพูดปรามพี่อีกครั้ง แล้วจึงเล่าถึงพฤติกรรมของคุณอาให้ทั้งสองฟัง พี่ณิตยกโทรศัพท์ต่อสายหาพี่แสนเดี๋ยวนั้น ซึ่งฝ่ายนั้นตกลงรับปากจะกลับมาทันทีไม่มีอิดออด  ผมเบาใจได้ว่าเด็กน้อยจะมีคนดูแลคุ้มครองตอนที่ไม่อยู่

   “เออเกือบลืมไปเลย เรื่องกล้องวงจรปิดที่ให้ไปขอน่ะ ทางวิทยาลัยบอกกล้องวงจรปิดตรงนั้นเสียไม่ได้ใช้นานแล้ว ที่เด็ดอะไรรู้เปล่าเจ้าหน้าที่ควบคุมบอกว่างบประมาณค่าซ่อมบำรุงไม่เพียงพอเลยไม่ได้เอาไปซ่อม ห่าเอ๊ย!! ถ้ามีคนเป็นอะไรถึงตายก็คงจะจับมือใครดมไม่ได้หรอกแบบนี้  แมร่งตอบง่ายมากปัดความรับผิดชอบเห็นๆ กูแมร่งโคตรหงุดหงิดเลย” คณิตบอกอย่างมีอารมณ์

    “อ้าว!!  แบบนี้ก็แย่นะสิ แล้วที่ระดมทุนขอรับบริจาคจากผู้ปกครองจำนวนมากเป็นค่าซ่อมบำรุงอุปกรณ์และอาคารของวิทยาลัยจำนวนมากเอาไปไว้ไหนหมดวะ มันน่าร้องเรียนจริงๆ“ พีระณัฐสำทับอย่างมีอารมณ์อีกคน

   “ผมคิดว่าไว้แล้วว่าคงจะเป็นแบบนี้  ผมให้คนติดตามเด็กอย่างใกล้ชิดแล้วจะให้เขาสืบด้วยว่าใครทำ” ผมเอ่ยเสียงราบเรียบอิดหนาระอาใจกับระบบบริหารงานของวิทยาลัย

   “ก็ได้ แต่กูโคตรเคืองวะยอมรับเลย แล้วเรื่องคลับห่าเหวนี้เอาไง”  คณิตพยักหน้ารับ

    “ถ้าพวกเราจะทำกันเองมันงานล้มช้างเลยนะนั่นนะ หรือส่งเรื่องต่อให้กรณ์ดีไหม มันอยู่หน่วยสืบราชการลับของรัฐบาลน่าจะทำเรื่องนี้ได้ดีกว่า พี่ไม่อยากให้สิงห์ถลำตัวยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้”  พี่พีออกความเห็นด้วยสีหน้ากังวล ผมก็ไม่อยากจะบอกว่าพี่พีหรอกว่าอันที่จริงผมยุ่งเข้าไปเกือบทั้งตัวแล้วตั้งแต่เริ่มทำตัวเป็นพ่อค้า แต่ถ้าจะไม่ทำอะไรเลยคนทำผิดมันก็ย่ามใจว่าไม่มีใครทำอะไรมันได้

   “เย็นนี้เรียกพี่กรณ์มาคุยกันที่บ้าน แล้วผมตัดสินใจอีกทีว่าจะเอายังไงกัน”  พี่พีรับคำและยกโทรศัพท์ต่อสายหาพี่กรณ์นัดเจอกันที่บ้านผมเย็นนี้

   “ตกลงจะคุยกันเย็นนี้ที่บ้านใช่ไหมสิงห์ งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วกูขอตัวนะมีบรรยายพิเศษที่มหาวิทยาลัยตอนเก้าโมงครึ่ง เสร็จแล้วจะไปโรงงานเลย วันนี้ไม่ได้มากินข้าวเที่ยงด้วยนะพีพอดีนัดวิศวกรมาดูเครื่องผลิตที่มันชำรุด” พี่ณิตมองดูนาฬิกาบนข้อมือก่อนที่เงยหน้าขึ้นบอกผมและคนของเขา

   “ผมอยากจะมั่นใจอะไรหลายๆ ก่อน เย็นเราค่อยคุยรายละเอียดกันอีกที” ผมเอ่ยตอบพี่ณิต คนพี่พยักหน้าเข้าใจก่อนที่จะขอตัวไปมหาวิทยาลัยเพราะจวนถึงเวลาแล้ว 

   “พี่ก็จะออกไปเลยเหมือนกันนะนัดคุณพิสิฐไว้สิบโมงไม่อยากไปสาย” พี่พีต้องไปพบคู่ค้าเรื่องสัญญากับคุณพิสิฐเลยเดินออกไปพร้อมกันกับพี่ณิต ผมอยู่โยงที่บริษัทเคลียร์งานค้างและมีประชุมความคืบหน้าเรื่องโกงบริษัทกับทีมสืบสวนตอนบ่ายโมงตรง
   
   



   ผมไปรับเด็กตามปกติ  ก่อนกลับก็แวะพาเด็กทานเครฟเค้กก่อนเข้าบ้านเพราะเด็กน้อย รีเควสว่าอยากมากไม่ได้กินนานแล้ว คือไม่เข้าใจนะว่าอะไรคือนานมาก เมื่อวานก็กินไง วันนี้กินเสร็จก็ซื้อกลับเหมือนเมื่อวานเป๊ะ  ออกมาจากร้านก็เกือบห้าโมงครึ่งเพราะเจ้าตัวดีมัวเถลไถลตรงนั้นตรงนี้ถึงบ้านเกือบหกโมงครึ่ง 

   “ไปอาบน้ำก่อนไป๊ เหม็นเปรี้ยวมาก”  แกล้งเด็กครับจริงๆ คือตัวยังหอมมากพิสูจน์แล้วหลายรอบ

   “ชริ ว่าเค้า แล้วตอนอยู่ วิท’ ลัย ร้านเครฟ  ร้านหนังสือ ทำไมหอมแล้วหอมอีกไม่เห็นบ่น”

    เด็กน้อยเถียงหน้าจริงจังดึงเสื้อตัวเองขึ้นมาดม ไม่พอมีพิสูจน์หลักฐานแขนเล็กกอดหัวผมเข้าไปซุกคอหอมของตัวเอง (ผมนั่งยองอยู่ไง เกือบล้มดีว่ายั้งทัน)

    “หอมไหม หอมรึเปล่าบอกมาเลยนะ” 

   “ก็บอกว่าเหม็น  ซิวๆ ไปอาบน้ำเลยไป ไป๊”  ผมทำจมูกฟุตฟิต ไม่เลิกนิสัยมีความสุขได้แกล้งเด็ก  ยังไม่หมดเวลางานทำต่อครับ

   “เค้าหอมเหอะ ยอมรับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ เมื่อกี้ยังแอบเลียตรงนี้ด้วย”  เด็กเริ่มเสียงดัง เอานิ้วจิ้มที่คอตรงผมใช้ลิ้นเลีย ตาโตหวานมองจิกๆ เมื่อผมไม่ตอบ  เขาสะบัดบ๊อบ กอดอกหน้าเชิดปากงี้เม้มแน่น มาหละเดี๋ยวมีโอที และก่อนที่จะได้ทำโอทีเสียงกริ่งประกาศยกเลิกโอทีช่วยไว้ได้ทัน

   “ไงครับคนเก่งของพี่กรณ์ กลับมาแล้วเหรอ มาเติมพลังก่อนเร๊ว”  พี่กรณ์แฟนคลับเด็กผมร้องทักเสียงดังจากด้านหลังน้ำนิ่ง

   “พี่กรณ์...” 

    เด็กขี้งอนหันขวับตามเสียงร้องทัก ทำตาโต อ้าปากหวอ ด้วยความตื่นเต้นไม่คิดว่าจะเจอคนพี่ได้ เด็กวิ่งถลาเข้าอ้อมกอดที่กางแขนรออยู่ พี่กรณ์ยกตัวเด็กอุ้มขึ้น หอมแก้มนิ่มทั้งสองข้างด้วยความคิดถึง  พวกเราไม่ค่อยได้เจอกันพี่มันติดราชการลับตลอด

   “คิดถึงพี่กรณ์ มาได้ไง จะค้างที่นี่ไหม  กินข้าวกับน้ำนะฮะ น้า...” 

    เด็กผมเอามือทั้งสองประคองแก้มพี่กรณ์ไว้ก่อนจะถามระรัวไม่เว้นช่องว่างให้คนพี่ตอบ พี่กรณ์จับมือน้องแล้วจูบลงตรงกลางฝ่ามือเล็ก ส่งยิ้มอ่อนโยนให้คนน้อง

   “เดี๋ยวๆ หยุดก่อนเด็กน้อย หายใจปะเนี่ย พี่ได้วันลาสองวันก็รีบมาหาน้ำเลยนะ ว่าจะขอข้าวบ้านเรากินนี่แหละ มีอะไรพอจะเลี้ยงพี่ได้รึเปล่าเอ่ย”   คนพี่ถามพร้อมกดจมูกลงบนแก้มหอมของเด็กอีกครั้ง

   “บ้านเรามีอะไรให้กินเยอะแยะเนอะภูมิ ยายชื่นทำอร่อยทู๊กกกกอย่าง หรือถ้าไม่ชอบที่ยายทำน้ำทำให้กินก็ได้” 

    คำว่า “บ้านเรา” ที่เด็กพูดมันอุ่นวาบเข้าไปในใจของผม ทุกอย่างที่เป็นเรามันดีเสมอ  ผมพยักหน้าพร้อมยิ้มกว้างเต็มหน้าให้เด็กน้อย

    “พี่กรณ์กินเยอะๆ นะจะได้โตไวๆ เหมือนภูมิ ตอนนี้จะเลี้ยงไม่ไหวละกินเปลืองมากกกก” 

    เด็กน้อยบอกคนพี่ แต่ไม่ดูตัวเองว่าเล็กนิดเดียว พอได้ยินคำพูดนั้น  พี่กรณ์ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นด้วยความพอใจ

   “ครับๆ ว่าแต่ทำเป็นเหรอเราน่ะ”  คนพี่ถามอย่างสงสัย ทำหน้าฉงนคิ้วขมวด

   “มาอีกคนหละ ก็เป็นสิถ้าไม่เป็นน้ำจะกล้าพูดเหรอ” เด็กน้อยจิ๊ปากอย่าขัดใจ 

    “โอเคๆ อยากให้กินอะไรจัดมาพี่กรณ์จะสนองให้เต็มที่ ว่าแต่นี่เย็นมากแล้วคนเก่งไปอาบน้ำก่อนดีกว่าครับ  ปะพี่พาไปจะได้มากินข้าวกัน” เด็กพยักหน้ารับ

   “พี่กรณ์รอน้ำแป๊ปนะ  ปะภูมิอาบน้ำกัน” 

    เด็กบอกพี่กรณ์ก่อนจะโผตัวมาให้ผมอุ้มไปอาบน้ำด้วยกัน  มาถึงห้องผมอุ้มเด็กไปวางที่เคาน์เตอร์ในห้องน้ำให้ถอดเสื้อผ้าระหว่างรอน้ำเต็มอ่าง ผมเดินออกมาเตรียมเสื้อผ้าให้เด็กได้ยินเสียงพี่กรณ์แว่วๆ อยู่หน้าห้องว่าจะลงไปก่อนขอไปอ้อนยายชื่นทำของอร่อยให้กินระหว่างรอ


   หลังจากเราทั้งคู่อาบน้ำเสร็จก็อุ้มเด็กลงมากินข้าวที่พี่นิ่มตั้งโต๊ะไว้รอแล้ว พี่ณิตกับพี่พีก็มากินข้าวที่บ้านด้วย  โต๊ะอาหารจึงคึกคักอบอวลไปด้วยบรรยากาศของความสุขและเสียงหัวเราะของพวกเรา เด็กกินข้าวได้เยอะขอเติมข้าวสองครั้งยายชื่นยิ้มแก้มปริดีใจที่ช่วงนี้เด็กน้อยของยายชื่นกินข้าวได้เยอะจนแก้มเริ่มป่องน่าฟัดมาก

      กว่าพวกเราจะจบมื้ออาหารค่ำได้ก็สามทุ่มครึ่งตาเด็กเริ่มปรือหน่อยๆ เพราะถึงเวลานอนของเขา  ผมจึงขอตัวอุ้มเด็กขึ้นข้างบนพาไปแปรงฟัน ล้างมือ ล้างเท้า ก่อนจะอุ้มมานอนที่เตียงด้วยกัน  โอบกอดลูบหลังอยู่ไม่นานเด็กก็หลับสนิท ผมเลยลากผ้าเน่าประจำตัวของเด็กมาให้เค้ากอดแทนดึงผ้าห่มคลุมให้จนถึงคอกันผ้าเข้าให้แน่น ก่อนจะก้าวขาลงจากเตียงออกจากห้องไปยังห้องทำงานตามที่นัดพวกพี่ๆ ไว้




   ผมเดินมาจนถึงห้องทำงานซึ่งอยู่ส่วนหน้าของเรือน  เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปในห้องพวกพี่ และชายหนุ่มอีกคนหนึ่งนั่งรออยู่แล้ว ผมยกมือไหว้ผู้มาใหม่

   “สิงห์นี่เอ็กซ์คู่หูพี่อยู่หน่วยเดียวกัน คนกันเองไม่ต้องห่วง”  พี่กรณ์แนะนำคนที่นั่งข้างๆ ให้ผมรู้จักผมส่งยิ้มให้พี่เขาอีกครั้ง

    “สวัสดีครับคงไม่ว่านะถ้าพี่จะร่วมทริปนี้ด้วย”  พี่เอ็กซ์บอกและส่งยิ้มมาให้

   “ไม่มีปัญหาครับพี่ ว่าแต่พวกพี่ดื่มอะไรไหม ดื่มกันไปคุยกันไปจะได้ไม่เครียด” ผมถามพี่เขาก่อนจะเดินมาที่บาร์ที่วางเครื่องดื่ม

   “กูเอาบรั่นดี”  พี่ณิตร้องบอก

   “เอ็กซ์กับพี่ขอเบียร์นะสิงห์”   ผมพยักหน้ารับก่อนจะจัดการเครื่องดื่มไปแจกจ่ายให้กับคนทั้งสาม และจัดกาแฟสำหรับผมและพี่พี เสร็จแล้วจึงเดินไปนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวข้างพี่ณิต

   “Heaven คลับที่ดำเนินการภายใต้เครือข่ายของ ACE (เอช) เป็นองค์กรใหญ่มาก เงินหมุนเวียนภายในองค์กรมาจากการค้ามนุษย์เป็นส่วนใหญ่  แล้วกำลังขยายฐานมาที่ไทย ทางผู้ใหญ่มอบให้พวกพี่ตามเรื่องมาสักปีกว่าแล้วล่ะแทนคนเดิมที่ถูกลอบฆ่าแบบทารุณ”

    พี่กรณ์เปิดประเด็น ก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่ม สายตาฉายแววของความเจ็บปวดและเครียดแค้น ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าคนที่ถูกลอบฆ่านั้นเป็นเพื่อนนักเรียนตำรวจและคู่หูของเขา

   “ACE มีเครือข่ายหลายประเทศ แต่เริ่มขยายฐานเข้ามาประเทศเราสักสองปีที่แล้ว  การกวาดล้างทำได้ยากมาก พวกมันมีตัวใหญ่หนุนหลังหลายคนเวลาเราเข้ากวาดล้างก็จับได้เฉพาะตัวเล็กๆ”  พี่กรณ์กล่าวเสริม

   “ที่สำคัญพวกมันไม่ได้ทำเฉพาะค้ามนุษย์อย่างเดียวแล้วตอนนี้ ที่เราสืบอยู่มันลักลอบขนยาเสพติดข้ามประเทศก็เด็กที่พวกมันล่อลวงไปนั้นล่ะเป็นมดงาน  เด็กพวกนี้หลังจากโดนคนที่ประมูลใช้ร่างกายจนพอใจพวกมันก็จะเอาเด็กส่งขายซ่องแถวชายแดน  ซ่องเหล่านี้ก็ของพวกมันอีก บังคับให้เสพยาจนติดใช้ทั้งขายตัววันละไม่ต่ำกว่าสิบแล้วก็เป็นมดงานด้วย ใครขัดขืนหรือทำไม่ได้มันก็ฆ่าแล้วล้วงเอาอวัยวะไปขายพวกลูกเศรษฐีที่ป่วยต้องการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเลวระยำหมามาก

         นอกจากนี้พวกมันแผ่ขยายอิทธิพลโดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายขยายฐานธุรกิจด้านสัมปทานน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ  รวมถึงการตัดไม้ในประเทศเพื่อนบ้านเรา นี่ยังไม่รวมเครือข่ายธุรกิจเล็กๆ อย่างพวกเงินกู้มหาโหดอีกนะ”  พี่เอ็กซ์กล่าวเสร็จพี่เขาบดกรามแน่น  ก่อนจะเงียบไปสีหน้าฉายแวววิตกกังวลและครุ่นคิดเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

.

.

.

.

.

   “อาร์น้องชายพี่หายตัวไปจนถึงตอนนี้ก็เกือบเดือนแล้ว ยังไม่เจอตัว” 

    พวกเราเงียบกันไปนานต่างคนมีสีหน้าฉายชัดถึงความตระหนกถึงสิ่งที่ได้ยิน พี่เอ็กซ์พูดทำลายความเงียบออกมาด้วยเสียงแหบพร่าก่อนจะหลับตาแล้วเอนศรีษะไปข้างหลังพิงกับพนักโซฟา มือข้างหนึ่งยกขึ้นคลึงที่ขมับทั้งสองข้าง  พี่กรณ์ยกมือขึ้นบีบบ่าคู่หูราวกับจะส่งกำลังใจให้แก่กัน  สักพักพี่เอ็กซ์ลืมตาขึ้นหันหน้าไปทางคู่หูตัวเอง ฝืนรอยยิ้มบางเบาส่งให้คนข้างตัว  พี่กรณ์ตบบ่าเพื่อนเบาๆ อย่างให้กำลัง  แล้วหันมาคว้ากระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม  พี่เอ็กซ์ลุกขึ้นนั่งตัวตรงเหมือนเดิม แต่สายตาที่ส่งผ่านมามันแฝงความเศร้าสร้อยและเจ็บปวดระคนกัน

   “เดี๋ยวอย่าบอกนะว่าน้องพี่โดน...”  พี่พีถามด้วยความสงสัย

   “ก็ตามที่คิด  สายรายงานว่ามีคนเห็นเด็กชายที่มีรูปพรรณสัญฐานเหมือนอาร์ถูกเศรษฐีชาวต่างชาติซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในสมาชิก ACE กระชากลงจากรถที่หน้าผับดังย่าน...  เด็กพยายามหนี แต่ถูกชกเข้าที่ท้องก่อนจะถูกจับยัดเข้าไปในรถคันเดิมแล้วขับออกไปจากผับนั่น  พี่ตามไปแต่ไม่ทันขอตรวจดูกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงแม้จะเห็นไกลๆ แต่ขนาดของรูปร่างท่าทางอะไรต่างๆ  มันชัดเจนว่าเป็นอาร์จริงๆ  แต่จนถึงตอนนี้... ”

   เสียงของพี่เอ็กซ์ขาดหายไปในตอนท้าย ดวงตาคมฉายแววของความเศร้าเสียใจและเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยน้องตัวเองได้ พี่กรณ์ยกมือขึ้นโอบบ่าเพื่อนและบีบเบาๆ  ผมคิดว่าถ้าตอนนั้นเด็กของผมถูกจับไปก็คงใจแทบสลายแบบพี่เอ็กซ์  แม้ไม่ถูกจับไปแต่โดนยาแบบนั้นผมยังโกธรจนแทบอยากจะฆ่าแมร่งให้หมด เกิดบรรยากาศเดดแอร์ขึ้นอีกครั้ง

.

.

.

.

.

   “ถึงตอนนี้พี่ไม่ได้หวังว่าอาร์จะยังมีชีวิตอยู่ ที่เข้ามารับงานนี้เพราะอยากจะกวาดล้างมันให้สิ้นซาก แค่คิดว่าถ้าเป็นเด็กคนอื่นถูกจับตัวไป  คนที่รักเด็กนั่นก็คงจะใจสลายเหมือนพี่เช่นกัน”  พี่เอ็กซ์พูดออกมาด้วยเสียงที่แหบโหยเศร้าสร้อยแต่แฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่น

   “พวกมันลงทุนทำเรือสำราญขนาดใหญ่ “Lady Q”  ล่องทะเลแถบฝั่งตะวันออก ภายในเรือมีทุกอย่างครบวงจร ชั้นบนเป็นคลับ & คาสิโน สระว่ายน้ำ สปา ชั้น 2 - 3 เป็นโรงแรม สำหรับชั้นล่างเป็นเขต หวงห้ามเฉพาะกลุ่มสมาชิก  VVIP การเข้าออกชั้นนี้ป้องกันหนาแน่นมาก 

   Lady Q จะเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่  9 เดือนหน้า ข่าววงในบอกว่านายใหญ่ของพวกมันจะมาเปิดด้วยตัวเอง  แล้วประเดิมด้วยการเปิดประมูลสัตว์เลี้ยงครั้งใหญ่ด้วย สมาชิกที่จะเข้าประมูลต้องมีบัตรเชิญ และสแกนลายนิ้วมือกับทางคลับในรอบการประมูลเท่านั้นจึงจะเข้าได้”  พี่กรณ์พูดเสร็จลุกขึ้นเดินไปหยิบเบียร์มาเพิ่มให้เพื่อน

   “เหลืออีกสองอาทิตย์ซิงั้น”  พี่พีกล่าวจบหันมามองหน้าผม ผมครุ่นคิดสักครู่

   “ถ้าจะรอคนของทางรัฐบาล ผมว่าคงจะช้าไม่ทันการณ์กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้แล้ว อีกอย่างเราจะมั่นใจใครได้บ้าง...”  ผมออกความเห็นหลังจากที่นั่งฟังมานาน

   “นั่นสิ คนพวกนี้มีความกระหายอยากมันถมไม่เคยเต็ม เราจะเชื่อใครได้..” พี่ณิตพูดท้วงเหมือนไม่ต้องการคำตอบ

    “เรื่องนี้ผมจัดการทุกอย่างเองแล้วกัน  เสร็จเรียบร้อยแล้วให้พี่กรณ์รับหน้าเสื่อได้ไหมครับ” ผมครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างไป

   “จะเสี่ยงเกินไปรึเปล่าวะสิงห์” พี่ณิตถามแย้งๆ

   “พวกพี่ก็คิดเหมือนณิตนะสิงห์ นายจะเสี่ยงเกินไป มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะ คิดดีๆ ให้ทางรัฐบาลจัดการไม่ดีกว่าเหรอ”  พี่กรณ์แย้งความคิดของผมอีกคน

   “วางใจน่าพี่ เชื่อใจผม”  พวกพี่ๆ ทำหน้าห่วงและไม่ค่อยจะเชื่อใจ  ผมยกยิ้มแต่ไม่ได้ขยายความอะไรเพิ่ม

   “คิดใหม่ไม่ดีกว่าเหรอสิงห์ ถึงเราจะเรียกพวกพี่แสนมาช่วยมันก็ยังเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเราอยู่ดีนะ” พี่พีทักท้วงอีกคนด้วยสีหน้าห่วงใย

   “นี่แสนมันเห็นด้วยเหรอที่จะทำอย่างนี้”  พี่กรณ์หันมาถามด้วยความสงสัย

   “ไม่มีอะไรหรอกน่า เอาตามนั้น ก่อนวันที่ 9 เราจะคุยรายละเอียดกันอีกที เราจะทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำให้เสร็จซะที  แล้วพวกพี่แสนจะมาถึงไทยสิบโมงใช่ไหมวานพี่ณิตไปรับด้วยนะผมมีประชุมช่วงนั้นพอดี พาเข้าบริษัทเลยนะพี่”  ผมตัดบทกล่าวนัดแนะพี่กรณ์ ก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่ณิต

   “เออ ๆ แมร่งเผด็จการไม่เชื่อพวกกูเลย เอาที่มึงสบายใจแล้วกัน”  พี่ณิตพยักหน้ารับอย่างยอมจำนนในการตัดสินใจของผม คนอื่นๆ เลยพลอยยอมรับการตัดสินใจของผมไปโดยปริยาย

   “ถ้าไม่มีใครสงสัย ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะครับเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว” ผมบอกให้ทุกคน แยกย้ายกันไปพักผ่อน 

    หลังจากทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ผมเดินไปหยุดยืนอยู่ริมหน้าต่างมองออกไปนอกหน้าต่างดาวนับพันดวงเปล่งแสงแข่งกันในความมืดมิดของท้องฟ้ายามค่ำคืน มันทำให้ผมคิดถึงใครบ้างคนจนอดที่เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาต่อสายหาเขาพูดอธิบายถึงสิ่งที่ผมต้องการอยู่นานเกือบยี่สิบนาที ก่อนจะบอกลาและตัดสายไป  ยกยิ้มพอใจกับสิ่งที่ทำไปผมเองก็คงจะถึงเวลากลับไปหาที่พักใจแล้วเหมือนกัน....

   ผมเปิดประตูห้องนอนเข้ามา เดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงนอนหลังใหญ่  แสงสีส้มนวลตาของโคมไฟตรงหัวเตียงที่เปิดทิ้งไว้ ทำให้เห็นใบหน้าน่ารักของเด็กกำลังนอนหลับตาพริ้มขนตางอนยาวขยับหยุกหยิก ราวกับว่าการนอนนั้นทำให้พบเจอความฝันที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ผมอดไม่ได้ที่จะก้มลงสูดดมความหอมจากซอกคอเด็ก นาบปากร้อนของตัวเองกดจูบลงที่ปากเล็กที่ขยันเชิดใส่เวลางอนบางเบา ก่อนจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูงยืมมองเด็กที่ผมมอบความรักให้อย่างหมดใจโดยไม่มีเงื่อนไข 


    “ภูมิจะปกป้องรอยยิ้มและความสุขให้อยู่กับหนูตลอดไปภูมิสัญญา”

    ผมให้คำสัญญาหนักแน่นกับร่างที่หลับใหลก่อนจะหันหลังเดินเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัว แล้วเดินมานั่งลงบนเตียงฝั่งของตัวเองกดปิดไฟหัวเตียงก่อนจะสอดตัวเข้าในผ้าห่มขยับไปดึงตัวเด็กเข้ามากอด เด็กน้อยครางอือออ ยกปากนิ่มกดจูบลงตรงแผงอกผมเหมือนละเมอ ขยับตัวไปมาจนเป็นที่พอใจจึงกลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งด้วยความเชื่อใจว่าอ้อมกอดนี้เป็นที่ของเขาคนเดียวตลอดไป...












TBC.



ปล.

1) บ้าบอฟังเพลงของ  Nickelback  มาเป็นอาทิตย์ อินกับมันจนคลั่งไคล้ เพลงเก่าแล้วแหละแต่ยังบ้ากับเส้นเสียงหนักแน่นของนักร้อง เนื้อหาของเพลง ดนตรี  มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกแต่ฟังแล้วของขึ้น  เลยเอามาปล่อยอีกตอน  แล้วอาจจะไม่ได้เจอกันนานเพราะช่วงนี้งานหลวงรุมเร้าจนแทบไม่มีเวลาเป็นตัวของตัวเอง

2) ขอบคุณมากมายที่ติดตามกันตลอดมา ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดี  ถ้าผิดพลาดประการใดก็บอกเล่าเก้าสิบกันได้นะครับยินดีรับฟังและแก้ไข  :)
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.8_ความกลัวในจิตใจกลายเป็นความห่วงใยของฉันถึงเธอ P.2 [19_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 18-10-2015 15:24:02
ขอให้เด็กปลอดภัย  สิงห์ทำงานประสบความสำเร็จ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.8_ความกลัวในจิตใจกลายเป็นความห่วงใยของฉันถึงเธอ P.2 [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-10-2015 15:39:28
สู้ๆจ้า
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.8_ความกลัวในจิตใจกลายเป็นความห่วงใยของฉันถึงเธอ P.2 [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: PPink ที่ 18-10-2015 20:53:03
สงสัยว่าสิงห์ไปเอาความมั่นใจมากขนาดนั้นมาจากไหน

(คือเราเพิ่งมีโอกาสมาอ่าน)
น้องหนูนี่ยังเด็กอยู่เลย แซ่บกว่าที่คิดแฮะ 5555
พี่เค้าก็อยากถนอม แต่น้องก็อยากเนอะ
บอกพี่เค้าไปตรงๆ เลยลูก 55555
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.8_ความกลัวในจิตใจกลายเป็นความห่วงใยของฉันถึงเธอ P.2 [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-10-2015 21:28:12
ภูมิจะปกป้องรอยยิ้มและความสุขให้น้องน้ำ

เพราะฉะนั้นภูมิก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ อย่าเสี่ยงอันตรายมาก

เพราะความสุขและรอยยิ้มของน้องน้ำมาจากตัวภูมินะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.8_ความกลัวในจิตใจกลายเป็นความห่วงใยของฉันถึงเธอ P.2 [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 18-10-2015 21:30:41
 “อาร์น้องชายพี่หายตัวไปจนถึงตอนนี้ก็เกือบเดือนแล้ว ยังไม่เจอตัว” อันนี้ใช่ตอนที่พากันไปเที่ยวผับแล้วโดนฉุดขึ้นรถเปล่า

:hao4: (แต่ถ้าไม่ใช่ก็แปลว่าเราจำสับกับเรื่องอื่น) ขอให้คนที่จับน้องไปอย่าได้ทำร้ายน้องเลยนะ

คือว่านิยายเรื่องนี้มันหวานง่ะ ถ้ามีดราม่าก็ช่วยบอกล่วงหน้าสักเดือนนะ เขาจะเตรียมตัวเตรียมใจ :sad5:

อันนี้ความรู้สีกส่วนตัวเลยนะ บางทีอ่านไปๆ ก็คิดว่าเฮ๊ย!น้ำนิ่งเป็นเด็ก 6 ขวบเปล่าว่ะ  :hao7:
แต่โดยรวมอ่านแล้วสนุก เรื่อยๆหวานๆอิจฉาน้ำนิ่งเล็กๆ  :m23:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.8_ความกลัวในจิตใจกลายเป็นความห่วงใยของฉันถึงเธอ P.2 [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 18-10-2015 22:08:12
“อาร์น้องชายพี่หายตัวไปจนถึงตอนนี้ก็เกือบเดือนแล้ว ยังไม่เจอตัว” อันนี้ใช่ตอนที่พากันไปเที่ยวผับแล้วโดนฉุดขึ้นรถเปล่า

:hao4: (แต่ถ้าไม่ใช่ก็แปลว่าเราจำสับกับเรื่องอื่น) ขอให้คนที่จับน้องไปอย่าได้ทำร้ายน้องเลยนะ

คือว่านิยายเรื่องนี้มันหวานง่ะ ถ้ามีดราม่าก็ช่วยบอกล่วงหน้าสักเดือนนะ เขาจะเตรียมตัวเตรียมใจ :sad5:

อันนี้ความรู้สีกส่วนตัวเลยนะ บางทีอ่านไปๆ ก็คิดว่าเฮ๊ย!น้ำนิ่งเป็นเด็ก 6 ขวบเปล่าว่ะ  :hao7:
แต่โดยรวมอ่านแล้วสนุก เรื่อยๆหวานๆอิจฉาน้ำนิ่งเล็กๆ  :m23:




 “อาร์น้องชายพี่หายตัวไปจนถึงตอนนี้ก็เกือบเดือนแล้ว ยังไม่เจอตัว”
>> ก็เรื่องนี้แหละครับ แล้วก็เป็นคนเดียวกันนั่นแหละมิต้องสงสัย

อันนี้ความรู้สีกส่วนตัวเลยนะ บางทีอ่านไปๆ ก็คิดว่าเฮ๊ย!น้ำนิ่งเป็นเด็ก 6 ขวบเปล่าว่ะ  :hao7:
>> คาแรคเตอร์ของน้ำนิ่งที่วางไว้คือ เด็กชายขี้อ้อน (สารภาพว่าจิ้นมาจากหลานชายที่บ้าน ซึ่งเขาชอบเรียกตัวเองว่า หนู เราฟังแล้วน่ารักมากเลยสำหรับเด็กผู้ชายที่เรียกตัวเองแบบนั้น) พฤติกรรมโดยรวมคือ น้องเล็ก ลูกชายคนเล็กประมาณนี้ เด็กที่ถูกตามใจจากคนรอบข้างมาโดยตลอด ตัวน้ำนิ่งเองก็ติดที่จะอ้อนกับคนที่ตัวเองรักและรักตัวเอง พฤติกรรมที่แสดงออกบางครั้งจึงยังติดพื้นนิสัยของคนที่ยังไม่รู้จักโต แต่กับคนอื่นที่เขาไม่สนิทก็จะแสดงพฤติกรรมอีกแบบซึ่งอาจจะเห็นในโอกาสต่อไปนะครับ

>> ถ้ามีเรื่องดราม่าจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับ แต่ก็คงจะยากเพราะคนเขียนไม่ชอบความเศร้าอย่างที่บอก ชีวิตจริงมันก็ลำบากแสนเข็ญอยู่แล้วน่ะนะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.8_ความกลัวในจิตใจกลายเป็นความห่วงใยของฉันถึงเธอ P.2 [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 18-10-2015 22:27:52
ภูมเท่โคตรอ่ะ คำพูดตอนจบอ่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.8_ความกลัวในจิตใจกลายเป็นความห่วงใยของฉันถึงเธอ P.2 [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Chise ที่ 18-10-2015 23:11:32
แอบกลัวดราม่าจัง พวกเพื่อนน้องน้ำนิ่งดูไม่น่าไว้ใจเลย
หวังว่าภูมิกับพวกพี่ๆจะทำสำเร็จจัดการพวกชั่วๆได้
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.8_ความกลัวในจิตใจกลายเป็นความห่วงใยของฉันถึงเธอ P.2 [18_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 18-10-2015 23:51:48
สิงห์คิดการใหญ่ต้องรอบคอบมากๆนะ ขอให้ทำสำเร็จ เด็กน้อยที่โดนจับไปจะได้พ้นทุกข์ อ่านเจอเรื่ิองเด็กๆโดนกระทำทีไรรับไม่ได้ทุกที
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.9_น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา P.2 [22_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 22-10-2015 08:10:18
เด็กเลี้ยง


- 9 -

น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา






   “คุณดลฤดีเชิญผู้จัดการฝ่ายบัญชีมาพบผมหน่อยนะครับ”  ผมกดเครื่องต่อสายภายในบอกให้เลขาให้เชิญคุณสนีย์มาพบ ไม่ถึงห้านาทีผู้จัดการฝ่ายบัญชีก็มาถึง เธอกล่าวทักทายพร้อมส่งยิ้มหวานหยดมาให้ผม

   “สวัสดีค่ะเจ้านาย” 

   “นั่งสิ ที่ผมให้คุณทำไปถึงไหนแล้ว”  ผมเอ่ยถามเสียงราบ โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเพราะกำลังตรวจพิจารณาแฟ้มงบประมาณจัดซื้อ

   “ยังไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลยคะ ตะ แต่ว่าเออ..ดิฉันไม่รู้ว่าจะนำเรียนท่านดีไหม” เธอทำท่าอ้ำอึงเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ผมจำต้องเงยหน้ามองเธอด้วยความฉงนสงสัย

   “มีอะไรเหรอครับ คุณบอกมาเลย  แล้วผมจะตัดสินใจเองว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ”  ผมบอกก่อนจะเอนหลังในท่าสบายกับพนักเก้าอี้รอฟังสิ่งที่เธอจะบอก

   “คือเมื่อคืนดิฉันกับเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยไปงานเลี้ยงรุ่นกันที่ผับดาร์กแองเจิลแล้ว......”   เธอบอกเล่าถึงสิ่งที่เห็นเมื่อคืนอย่างละเอียดด้วยสีหน้าแดงระเรื่อระคนหวาดหวั่น


   “พวกเขาเห็นคุณรึเปล่า”

   “ไม่ค่ะโต๊ะดิฉันอยู่ตรงมุม แต่ก็สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งร้าน ดิฉันมีคลิปแล้วก็ภาพถ่ายของพวกเขามาด้วยคะ” 

   เธอตอบเสียงไม่มั่นคงนัก ก่อนจะวางแผ่นซีดีและภาพถ่ายสองสามใบลงบนโต๊ะ ผมหยิบภาพถ่ายขึ้นมาดูมันไม่ค่อยชัดนักแต่ก็พอจะ สันนิษฐานได้ว่าเป็นใคร 

   “ดิฉันกลัวว่าพวกเขาจะรู้ว่าถูกแอบถ่ายเลยไม่กล้าใช้แฟลต”  ผมไม่แปลกใจเท่าไรถึงสิ่งที่ได้ยิน  แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกล้าทำอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะ 

   “เรื่องที่คุณเล่าให้ฟังในวันนี้นับว่ามีประโยชน์มากทีเดียว ขอบคุณมาก ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปทำงานเถอะ  และหากมีความเคลื่อนไหวอะไรให้รีบรายงานผมโดยตรงได้ตลอดเวลานะครับ” 

   “ค่ะท่าน  ดิฉันขอตัวนะคะ”  เธอส่งยิ้มหวานก่อนจะลุกเดินออกไปทำงาน

   “เชิญครับ”  ผมเก็บภาพและแผ่นซีดีใส่ซองแล้วจึงสอดไว้กระเป๋าทำงาน  ก่อนที่สมาธิจะจดจ่ออยู่กับงานที่อยู่ตรงหน้า






   “สวัสดีครับ..”  ผมกดรับสายหลังจากชำเลืองดูว่าใครเรียกเข้ามา ฝ่ายนั้นไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไรนอกจากคำทักทาย

   [.....]

   “ครับแบบนั้นก็ได้ สวัสดีครับ” 

   ผมครุ่นคิดตามและรับคำอย่างง่ายดายตามที่ฝ่ายนั้นเสนอมา  มือยังกำโทรศัพท์ไว้แน่นหลังจากฝ่ายนั้นกล่าวลาและตัดสายไป  ผมเอนศีรษะพิงกับพนักเก้าอี้หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ยกมือขึ้นกดคลึงขมับที่กำลังปวดตุบๆ จากความเครียดของปัญหาที่สะสมมาหลายวัน เรื่องต่างๆ ชักจะบานปลายใหญ่โต  ถ้าผมไม่อยู่เด็กจะเป็นยังไง....


    ผมนั่งจมอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงประตูที่เปิดเข้ามา รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีเสียงทักจากคนที่เข้ามาใหม่  ผมลืมตาแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะยกหัวขึ้นมองคนที่เดินเข้ามาใหม่ เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงส่งยิ้มเต็มหน้าไปให้ ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปกอดทักทายด้วยความดีใจ

   “เฮ้!  ไอ้สิงห์ คิดถึงพี่มึงมั้ย”  เสียงพี่แสนนำเข้ามาก่อน

   “พี่ๆ สวัสดีครับ”  ผมยกมือไหว้พี่ทั้งสาม เชิญให้พวกพี่มันนั่งก่อนจะเดินไปบอกเลขาให้หาเครื่องดื่มของว่างมาให้พวกพี่มัน

   “คิดถึงวะพี่”  ผมพูดกับพวกพี่ๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยวข้างพี่ฉาน 

   “คิดถึงพวกมึงที่ไทยเหมือนกัน อยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนบ้านเรา”  พี่ฉานบอก

   “แล้วน้ำเป็นไงมั้งวะตอนนี้ ชักคิดถึงแก้มนิ่มๆ น้องวะ”  พี่หนึ่งเอ่ยถาม ส่งยิ้มกว้างขวางน่ารักเมื่อพูดถึงน้ำนิ่ง

   “เออใช่วะ เจอครั้งสุดท้ายรู้สึกน้องจะอยู่ ม.1 คงโตขึ้นมากแล้วสิ  อยากฟัดแก้มนิ่มๆ ของมันวะ”  พี่แสนไปอีกคนแล้วครับ

   “เปรี้ยวปากอยากกินเด็กกูบอกตรงๆ เลย”  พี่ฉานเอ่ย พร้อมทำตาเจ้าชู้ล้อเลียน 

   “พอเลยๆ  นั่นเด็กผมนะ  พูดแบบนี้ชักไม่อยากให้เจอแล้ววะพี่ หวง!! นี่จากใจเลยบอกตรงๆ”  ผมพูดดักทางเสียงเข้ม ถ้าไม่ปรามไว้ก่อนมีแกล้งหนักๆ ครับ

   “เออ ๆ ก็รู้เด็กมึง แต่พวกกูพี่มึงนะแล้วนั่นก็น้อง  หวงวะมึง กูก็รักมันนะไอ้นี่”  พี่แสนพูดเชิงตัดพ้อ อีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของพี่แสน

   “มึงก็รู้ว่าน้องมันหวงของมัน ยังจะแหย่มันอยู่ได้พวกมึงนี่”  พี่ณิตผลักหัวพี่คมเบาๆ

   “ก็ล้อเล่น...แต่คิดถึงน้องจริงๆ นะเว้ย”  พี่หนึ่งทำเสียงล้อเลียน

   “กูก็ล้อเล่น แต่รักน้องนะของจริงฮ่า ฮ่า  ตกลงเรื่องที่ณิตมันพูดนี่ จริงหรือเปล่าวะ”  พี่แสนพูดล้อ ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นเป็นจริงจังในตอนท้าย

   “จริงพี่”  ผมยืนยันสิ่งที่พี่เขารู้มา

   “พวกกูสงสารแม่ว่ะไว้ใจญาติตัวเองเกินไป  แต่อย่างว่าแหละสันดานคนมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวไม่เกี่ยวกับต้นตระกูล”  พี่หนึ่งแสดงความคิดเห็น

   “เรื่องน้องได้ยินแมร่งโคตรขึ้นเลย ถ้ากูรู้ว่าใครนะแมร่งจะตัดมันไม่ให้เหลือตอเลย แล้วตกลงมึงเอาไงวะสิงห์”  พี่แสนพูดเสียงเข้มเย็นด้วยความโมโห

   “เดี๋ยวค่อยคุยกันเย็นนี้ที่บ้านผมนะพี่  ไปพบแม่ก่อนดีกว่าโทรมากำชับตั้งหลายรอบกำชับแล้วว่าถ้าพวกพี่มาให้รีบเข้าไปหาทันที ผมว่าป่านนี้ชะเง้อหาแล้วมั้ง”

     ผมกล่าวตัดบทก่อนจะชวนกันเข้าไปหาแม่ที่เรือน  หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จผมขอตัวออกมาก่อนเพราะมีประชุมที่บริษัท 




    มีใครอยากรู้รึเปล่าว่าคนพวกนี้เป็นใคร แต่ถึงจะไม่อยากรู้ผมก็ยินดีจะเปิดโปงตีแผ่ความหลังอันระทมขมขืนของชายเหล่านี้ให้ได้รู้กันอยู่ดี  เราทั้งหมดเป็นเด็กกำพร้าจากเรือนชิดชล  แม้จะไม่ใช่พี่น้องร่วมอุทรแต่เมื่อชะตาต้องกันก็รักกันเป็นพี่น้องได้ครับ 

   พี่แสน หรือ นายแสนคม  บุลวัชร  ชายไทยไซด์ฝรั่งกับความสูง 193 เซนติเมตร  หล่อไม่มากแต่ท่ายากพี่แกแยะ นิสัยเฟลนลี่ คุยสนุก ค่อนข้างเจ้าชู้ขอแค่ถูกใจจะชายหรือหญิงแสนไม่เกี่ยง จึงเป็นเหตุ และผลให้พวกนั้นเที่ยวไล้เที่ยวขื่อตบตีแย่งชิงให้ได้มีอะไรสักครั้งกับแสน   พี่แกชอบทำชีวิตให้เหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ  แต่ในเรื่องเล่นพี่มันจริงจังครับ อย่าให้ของขึ้นนะ..บรรลัยคำเดียวเลย อาชีพนะเหรอทหารรับจ้างถ้าเบื่อก็เปลี่ยนบรรยากาศไปเป็นบอดี้การ์ดบ้างเป็นครั้งคราว

   พี่ฉาน หรือ นายฉะฉาน  บุลวัชร  หนุ่มรูปงาม  192 เซนติเมตร ไหล่กว้าง  เอวสอบ กล้ามแขนขา หน้าท้อง สมส่วน  (โครงร่างรูป Y สมบูรณ์แบบมาก) ผมว่าพี่ฉานน่าจะเป็นลูกครึ่งซักสัญชาติมากกว่าชายไทย เพราะ ผิวงี้ขาววิ๊งอมชมพู ผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศกนิดๆ  ปากด้านบนเป็นรูปกระจับด้านล่างมีรอยบุ๋มกลางสีออกชมพูระเรื่อทั้งที่สูบบุหรี่เยอะหยั่งกะเป็นเจ้าของโรงงานยาสูบซะเอง (ผมแอบได้ยินพวกผู้หญิงที่พี่แกเคยควงนินทาว่าปากพี่แกเป็นปากที่น่าจูบที่สุด) นิสัยนิ่งๆ แต่โหดไม่เข้ากับหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตรกรีกสักนิด  ความท้าทายและเสี่ยงตายทุกชนิดฉะฉานชอบ จึงเป็นที่มาของอาชีพทหารรับจ้าง  ถ้ารวมพี่หนึ่งเข้าไปด้วยอีกคนนี่น่าเรียกได้ว่าคี่ซี่มหาประลัยกันเลยทีเดียว

   เรื่องราวของสองคนนี้เริ่มจากตำรวจเข้าทลายกวาดล้างการค้ามนุษย์ (Human Trafficking) แก๊งค์ใหญ่ที่มักจะนำเด็กที่ล่อลวงมาไปนั่งขอทานตามหน้าร้านสะดวกซื้อ หน้าโรงเรียน ร้านอาหาร ส่วนพวกที่  โตหน่อยก็บังคับให้ขายของตามสี่แยกไฟแดง การกวาดล้างครั้งนั้นช่วยเหลือเด็กไว้ได้สิบคน  ตำรวจส่งตัวเด็กมาไว้ที่มูลนิธิสงเคราะห์ เด็กและสตรีก่อนที่จะแจ้งให้พ่อแม่ ผู้ปกครองมารับเด็กกลับบ้าน 

    เด็กคนอื่นๆ มีพ่อแม่ ผู้ปกครอง มายืนยันตัวบุคคลและขอรับเด็กกลับไปหมดตั้งแต่ข่าวการกวาดจัดทะลายแก๊งค์เผยแพร่ออกไป  แต่สองนี่หลายเดือนผ่านไปก็ยังไม่มีใครมาขอรับซักที ทางมูลนิธิเลยส่งต่อมาที่เรือนชิดชล  สองคนอยู่ที่เรือนจนจบระดับมัธยมปลายก่อนจะได้ทุนสนับสนุนการศึกษาจากมูลนิธิแห่งหนึ่งของต่างประเทศให้ต่อระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงของสหรัฐ  หลังจบปริญญาตรีทั้งคู่สมัครเข้ารับราชการทหารในกองทัพ ก่อนจะลาออกมาเป็นทหารรับจ้างแถบตะวันออกกลางอยู่หลายปี (สองคนนี้อายุเท่ากัน  แต่พี่ฉานอ่อนกว่า 3  เดือน  และพวกพี่มันอายุมากกว่าผม 3  ปี)

   พี่กรณ์ หรือ  ร.ต.ท.กรณ์  บุลวัชร  หนุ่มหล่อมาดนิ่งสไตล์เกาหลีกับความสูงราว 191  เซนติเมตร  ลักษณะทางกายภาพที่เถื่อนด้วยรอยสัก  ‘Birth of the angel’  เต็มหลัง รอยสักนี้พี่กรณ์บอกว่าหมายถึง “การเกิดใหม่ของความหวัง”  เราทำทุกอย่างได้เพียงแค่ไม่สิ้นความวาดหวัง พี่มันบอกเราทุกคนแบบนั้น  ถัดขึ้นมาอีกนิดเป็นสักยันต์พุทธคุณที่ขนาดพอเหมาะตรงต้นคอด้านหลัง  แขนข้างซ้ายเป็นลายมังกรเกี่ยวกระหวัดพันรอบแขนตั้งแต่หลังมือ (ส่วนหาง) ไปจนถึงต้นแขน (ส่วนหัว) ซึ่งหมายถึง “จิตวิญญาณของการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีขึ้น” 

         สุดท้าย นิ้วกลางข้างซ้ายเป็นรูปหน้าสิงโตตัวผู้ ข้างขวาเป็นหน้าสิงโตตัวเมีย  หมายถึง “การอยู่เย็นเป็นสุขหรือรู้อยู่”  พี่กรณ์เป็นคนที่เชื่อเรื่องเวรกรรมและการปฏิบัติดีตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด  แต่ก็อีกนั่นแหละอย่างให้พี่มันของขึ้นบึ้มได้เหมือนโก้โก้ครั่น

   จากประวัติของตำรวจระบุว่า แม่พี่กรณ์ชื่อ ช่อฟ้า เป็นสาวเหนือที่หนีความยากจนเข้ามาหางานทำในเมืองใหญ่  รู้จักกับแม่เลี้ยงนิรมนสาวใหญ่ใจดีเจ้าของร้านนวดแผนไทยที่ชื่อ Butterfly Spa & Massage บนรถไฟแม่เลี้ยงชักชวนให้ช่อฟ้าไปทำงานด้วยกัน  ความอ่อนต่อโลกทำให้ช่อฟ้าตอบตกลงทันทีอย่างไม่ลังเล กล่าวขอบคุณแม่เลี้ยงซ้ำๆ ในความเอื้ออารีนั่น  โลกสวยงามที่ช่อฟ้าได้สัมผัสในไม่กี่ชั่วโมงต่อมาที่แท้มันคือนรกสำหรับช่อฟ้าดีๆ นี่เอง

   เธอถูกแม่เลี้ยงมอมยาขายแขกชาวต่างชาติที่นิยมเสพพรหมจรรย์ในราคาสูงลิ่ว และแขกคนเดิมขอออฟต่ออีกสองเดือนระหว่างที่พักอยู่ไทย  เธอถูกบังคับให้มีเซ็กซ์วันละไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง  ถ้าขัดขืนก็ถูกทำให้เจ็บ ในแต่ละวันของเธอผ่านไปด้วยความชาชินไร้ความรู้สึกไม่รับรู้ถึงตัวตนของตัวเอง  ครบสองเดือนเธอ  ถูกส่งตัวคืนให้แม่เลี้ยงและถูกขายต่อทันทีให้ชายต่างชาติอีกคน ขณะที่กำลังจะออกจากร้านตำรวจนำกำลังเข้าทะลายและจับกุมแม่เล้านิรมลที่เปิดร้านนวดแผนไทยแฝงขายบริการทางเพศได้ทันควันในข้อหาล่อลวง กักขัง หน่วงเหนี่ยว บังคับข่มขู่ให้ขาดซึ่งอิสรภาพ กระทำต่อบุคคลอื่นโดยเจตนาเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบสำหรับตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะยอมหรือไม่ก็ตาม   

   ช่อฟ้าถูกนำตัวส่งให้เรือนชิดชลในสภาพที่เลื่อนลอย  จึงถูกส่งตัวเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูสภาพจิตใจกับจิตแพทย์นานนับเดือน  สภาพแวดล้อมที่ดี การเอาใจใส่ปฏิบัติต่อเธออย่างดีทำให้สุขภาพจิตของเธอดีขึ้นตามลำดับพร้อมกับเมล็ดพันธุ์ที่สวยงามกำลังเจริญเติบโตในครรภ์ของเธอ 

    “ลูก”  แรงผลักดันยิ่งใหญ่ให้เธออยู่ต่ออย่างมีความหวัง  เก้าเดือนต่อมาเธอให้กำเนิดบุตรชาย อ้วนท้วนสมบูรณ์ท่ามกลางความยินดีของแม่ๆ ในเรือนชิดชล ช่อฟ้าตั้งชื่อลูกชายว่า “กรณ์”  เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พ่อที่ตรอมใจตายเพราะความดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเองอย่างช่อฟ้า เธอเลี้ยงดูลูกชายด้วยตัวเองแค่สามเดือนก่อนจะขออนุญาตแม่ใหญ่ไปปฏิบัติธรรมที่บ้านเกิดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พ่อผู้ล่วงลับไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่  สำหรับกรณ์ถ้ามีบุญต่อกันก็คงจะได้เจอกันในสักวันหนึ่งข้างหน้าหากเธอไม่ตายเสียก่อน

    พี่กรณ์อยู่เรือนชิดชลจนจบ ม.6  ก่อนจะสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้จึงย้ายออกมาเช่าหอพักอยู่และหาพาร์ทไทม์ทำไปด้วย  ระหว่างเรียนพี่กรณ์ได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิแห่งหนึ่งจึงย้ายไปเรียนโรงเรียนตำรวจที่เวสต์พอยท์แทน  หลังจบการศึกษาเข้าทำงานหน่วยพิเศษให้รัฐบาลมาตลอด  (พี่กรณ์อายุมากกว่าผม 2 ปี)


   พี่หนึ่ง  หรือ นายหนึ่งฤทัย  โยชิฮาระ  บุลวัชร  ลูกครึ่งไทย – ญี่ปุ่น ร่างสูงโปร่ง 182 ซม.   ตาเรียวเชิดเหมือนตาหงส์  ปากบางอิ่มมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย จมูกเชิดงอน  ผิวขาวอมชมพูระเรื่อราวกับตุ๊กตาพอร์ซเลนเนื้อดี หน้าเล็กๆ สวยหวานปานผู้หญิง  (คงจะสวยเหมือนแม่ เพราะแม่ใหญ่บอกว่าแม่ของพี่หญิงสวยมาก)  หุ่นผอมเพรียวแขนขามีกล้ามน้อยๆ พองาม ผมยาวตรงดำขลับนุ่มราวกับไหมเนื้อดีถูกมัดรวบไว้กลางหลัง  ผมเตือนไว้ก่อนอย่าชมเด็ดขาดว่าสวย เจอเตะสะบักมาแล้วหลายราย

        ถึงจะหน้าตาแบบนั้นเคยอยู่หน่วยรบของทหารบกก่อนที่จะลาออกมาเป็นบอดี้การ์ด  ผมว่าความสูงของพี่หนึ่งก็ไม่ถือว่าเตี้ยนะมาตรฐานชายไทยปกติไปหลายช่วงตัว  แต่พอมันเข้ากลุ่มคี่มหาประลัย พี่มันตัวเล็กน่าทนุถนอมทันทีไง

   คนสวยเขาเป็นเด็กกำพร้าแบบไม่ถามความเห็นสักคำว่าอยากเป็นไหม  บ้านพี่หนึ่งเป็นบ้านเช่าหลังเล็กห่างจากเรือนชิดชลไปสามหลัง  แม่ใหญ่เล่าให้ฟังว่า แม่พี่หนึ่งตายเพราะเกิดอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน  เพื่อนบ้านแถวนั้นได้ยินเสียงเด็กร้องมาสองวันแต่ไม่มีใครมาเปิดประตู  เลยมาแจ้งให้แม่ไปดูเคาะประตูเรียกอยู่นานไม่มีคนมาเปิด

   แม่ใหญ่เลยตัดสินใจให้คนงัดประตูเข้าไปแทบผงะกับกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ภาพตรงหน้าทำให้แม้แต่คนที่ใจแข็งที่สุดยังร้องไห้ด้วยความเวทนาสงสาร  เด็กชายน่าจะอายุประมาณหนึ่งขวบนอนโอบกอดศพแม่ที่เริ่มขึ้นอืดมาตลอดสองวัน  ปากเล็กๆ ดูดนมจากอกแม่ด้วยความหิวโหย  กางเกงผ้าอ้อมเต็มล้นทะลักส่งกลิ่นคละคลุ้ง  แม่ใหญ่รีบเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมาในอ้อมกอด เด็กร้องไห้จ้าแขนเล็กไขว้คว้าหาคนเป็นแม่อย่างหดหู่และเวทนา  เอกสารที่ค้นเจอภายในบ้านบอกว่าพี่หนึ่งมีพ่อเป็นคนญี่ปุ่น แต่เสียชีวิตแล้วอยู่กับแม่สองคนในบ้านเช่าหลังนี้ 

   แม่ใหญ่ทำเรื่องรับพี่หนึ่งมาเลี้ยงที่เรือน  พี่หนึ่งอยู่เรือนชิดชลจนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย แล้วได้ทุนระดับปริญญาตรีจากรัฐบาลจากประเทศหนึ่งในแถบตะวันออกกลาง  หลังจบการศึกษาก็ทำงานใช้ทุนรัฐบาลในองค์กรด้านความมั่นคงเกือบสองปี ก็ต้องลาออกเพราะประสบอุบัติเหตุพักรักษาตัวอยู่นานกว่าร่างกายจะกลับมาใช้การได้เหมือนเดิม และถูกชักชวนให้ไปทำงานเป็นบอดี้การ์ดให้เศรษฐีน้ำมันชาวซาอุฯ  (พี่หนึ่งอายุมากกว่าผม 1 ปี)


   พี หรือ นายพีระณัฐ  บุลวัชร คนนี้มาพิมพ์เดียวกันกับพี่หนึ่งคือ ผมข้องใจพวกพี่จะสวยไปไหน ผู้ชายนะเว้ยเกรงใจผู้หญิงจริงๆ เขาบ้างไรบ้างเถอะครับขอร้อง  พีตัวเล็กบางกว่าพี่หนึ่งอีก สูงแค่ 179  เซนติเมตร ตากลมโตเหมือนตากวางมีแววหวาน  ขนตางอนยาว  ปากเรียวเหมือนคันธนูมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เวลาหุบปากนิ่งๆ ยังเหมือนยิ้มนิดๆ  ผิวขาวอมชมพูบางใสแทบจะเห็นเส้นเลือด แต่พยายามทำเป็นเข้มดุ  (อายุน้อยกว่าแต่ผมเรียกพี่ เพราะซ้อเป็นเมียพี่ณิตนี่ครับ)

   พี่ณิต (ตอนนั้นอายุ  13 ปี) เป็นคนไปเจอซ้อนอนอยู่ในห่อผ้าขนหนู ถูกทิ้งไว้ตรงที่ทิ้งขยะหลังโรงเรียนซึ่งเป็นป่าหญ้าสูงเกือบถึงเอว เส้นทางนี้ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมานักเพราะมันค่อนข้างเปลี่ยว แต่เผอิญวันนั้นเป็นเวรพี่ณิตรดน้ำแปลงผักของห้องซึ่งอยู่สวนเกษตรหลังโรงเรียนเลยกลับค่ำมาก ด้วยความขี้เกียจเดินย้อนกลับมาหน้าโรงเรียนพี่มันเดินกลับทางด้านหลังโรงเรียนแทนระยะทางไกลกว่าถึงเรือนก็เหมือนหมาหอบแดด

    ระหว่างที่ผ่านบริเวณที่ทิ้งขยะได้ยินเสียงร้อง แว๊ แว๊ ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงแมวทะเลาะกันก็ไม่ได้สนใจ  พอจะผ่านไปเสียงมันดังชัดขึ้นฟังดีๆ มันไม่ใช่เสียงแมว เลยเดินตามเสียงไปจนเจอเด็กถูกทิ้งไว้ในกองขยะเปียกกลิ่นนี่สุดจะทนแมลงวันบินแตกกระจายออกตอนที่พี่ณิตอุ้มเด็กทารกในห่อผ้าขึ้นแนบอกรีบวิ่งกลับเข้าไปในโรงเรียนอีกครั้งตรงดิ่งไปบ้านลุงหมานภารโรงประจำโรงเรียนอ้อนวอนเร่งเร้าให้แกเอารถมอเตอร์ไซด์อีแก่ของแกไปส่งที่เรือนด่วน 

    วันนั้นโกลาหลกันใหญ่ แม่รีบพาเด็กไปโรงพยาบาลด่วนเพราะตามตัวแขนขามีผื่นแดงลามเกือบทั่วตัว บางแห่งเป็นตุ่มใสแตกมีน้ำเหลืองเหนียวๆ ไหลออกมา ปรากฏว่า เด็กติดเชื้อสแตฟฟิโลคอกคัสออเรียส คุณอาหมอบอกว่าโชคดีเหลือเกินที่ไปเจอแล้วพามาโรงพยาบาลทันที  เชื้อแบคทีเรียไม่ลามเข้ากระแสเลือด  เด็กนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเกือบเดือน  ไม่มีเอกสารหลักฐานใดที่จะสามารถระบุตัวตนที่แท้จริงของเด็กได้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แม่ใหญ่จึงทำเรื่องขอรับเด็กมาอุปการะเลี้ยงดู ตั้งชื่อให้ว่า  ‘เด็กชายพีระณัฐ  บุลวัชร’  และมอบหมายให้เด็กชายคณิตดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดภายใต้การกำกับดูแลจากยายชื่น

   คุณคิดเหมือนผมไหมว่าการที่คนหนึ่งเจออีกคนแล้วตกหลุมรักทันที ยอมอ่อนข้อให้ด้วยความรัก ความห่วงใยทั้งหมดที่มีโดยไม่มีเงื่อนไข ว่ามันคือ  “พรหมลิขิต”  พี่ณิตก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน


   พี่ณิต หรือ  นายคณิต  บุลวัชร สูง  191 เซนติเมตร รูปร่างหนากว่าพี่กรณ์นิดหน่อย หล่อสไตล์ตี๋ๆ ตาเรียวเชิดขึ้นนิดๆ ผิวขาว รักจริงจังมั่นคงสนิทแนบแน่นอยู่คนเดียวซ้อคนสวยของเขาแหละครับ  พี่ณิตเป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาลัยของรัฐที่พี่เขาจบออกมานั่นแหละ นอกจากนี้ยังรับผิดชอบงานด้านโรงงานบริษัทแม่เล็ก อาจจะดูชิวๆ แต่โหดนะครับ ยิ่งถ้าเรื่องนั้นเกี่ยวกับซ้อพี่แกมีของขึ้น ขอเตือนอย่าแหย่เสือหลับ (พี่ณิตอายุไล่เลี่ยกับพวกพี่กรณ์)

   พี่ณิตกำพร้าเพราะจำเป็น  แม่นวลแม่ของพี่ณิตอุ้มลูกเข้ามาฝากกับแม่ทื่อๆ  ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายน้ำตานองหน้าละล่ำละลักบอกว่ากำลังจะตายเพราะมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย  ลูกชายไม่เหลือใครแล้ว เสี่ยกวง (ทายาทเจ้าสัวฟงชายชาวจีนอพยพที่ทำมาค้าขายในเมืองไทยจนร่ำรวย) ไม่ยอมรับว่าพี่ณิตเป็นลูก

   เสี่ยซึ่งเป็นคนกลัวเมียแต่งอย่างคุณนายใหญ่ (ลูกสาวเจ้าสัวไต้เพื่อนของเจ้าสัวฟง)  อยู่แล้วรีบบอกปัดกล่าวหาว่าแม่นวลให้ท่าร่านผู้ชายไปทั่วอ้าขาให้คนสวนคนขับรถเอาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนท้อง ลูกในท้องก็ไม่รู้ว่าเป็นลูกใคร  เพราะเครียดแค้นที่เสี่ยไม่ยอมเล่นด้วยจึงโยนความผิดมาให้  คุณนายใหญ่และคุณนายอีก 4  คน จึงไล่แม่นวลออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมาหาว่าเนรคุณกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา

   แม่ใหญ่ตกลงรับพี่ณิตมาเลี้ยงด้วยความยินดีและส่งตัวแม่นวลเข้ารับการรักษาที่ศูนย์มะเร็งโดยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด  แต่สองเดือนต่อมาแม่นวลก็สิ้นลมหายใจอย่างสงบที่ศูนย์ฯ นั่น 

   พอพี่ณิตอายุ 18 ปี แม่ใหญ่บอกให้พี่ณิตรู้ว่าเสี่ยกวงคือพ่อของเขา และพร่ำสอนว่าถึงแม้ครอบครัวนั้นจะไม่ยอมรับว่าเป็นลูกหลานก็ให้สำนึกบุญคุณ ถ้ามีโอกาสให้ไปหาพ่อไปไหว้สักครั้งเพื่อแสดงความกตัญญูรู้คุณที่พ่อให้เกิดมาและอโหสิกรรมต่อกัน

        พี่ณิตคิดอยู่นานจึงชวนผมไปบ้านนั้น พี่มันเข้าไปคนเดียวให้ผมรออยู่ข้างนอกไม่ถึงสิบนาทีผมได้ยินเสียงดังโหวกเหวกในบ้านจึงรีบลงจากรถวิ่งเข้าไปในบ้านเห็นชายฉกรรจ์ยกไม้ฟาดเข้าที่หัวที่ณิตจนแตกเลือดอาบ หญิงร่างท้วมอีกคนใช้ไม้กวาดฟาดตามเนื้อตัวไล่ตะเพิดพี่ณิตเหมือนหมูเหมือนหมาให้ออกจากบ้าน 

        ผมมองขึ้นไปเหนือบันได้ขั้นสุดท้ายชายวัยกลางคนชาวจีนท่าทางภูมิฐานยืนมองการกระทำนั้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนผู้หญิงที่ยืนข้างกันส่งสายตาวาวโรจน์ปากสีสดยกยิ้มสะใจ  จึงรีบเข้าไปดึงพี่มันขึ้นรถแล้วขับออกมา ตามเนื้อตัวเป็นรอยฟกซ้ำดำเขียวแผลตรงหัวเลือดไหลอาบเป็นทางเปรอะเสื้อผ้าแต่พี่มันไม่ยี่หระ  ตาเรียวแข็งกร้าวมือที่วางบนตักกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน  เสียงเย็นทุ่มต่ำที่เปล่งออกมาจากปากของพี่ณิตไม่เหลือเยื่อใย  ไม่มีอาวรณ์  ไม่เหลือแม้แต่ความชิงชัง 
พี่มันไม่เคยพูดถึงคนนั้นอีกเลยตั้งแต่วันนั้น

‘กูทำดีที่สุดแล้ว ไม่ได้อยากให้เขารับเป็นลูก ไม่ได้หวังสมบัติ แค่อยากให้เขารู้ว่าเคยมีแม่กับกูในชีวิต และขอบคุณที่ทำให้มีกูในวันนี้ 
น้ำหยดเดียวขอชดใช้ด้วยเลือดนี่  ไม่มีบุญคุณอะไรอีกแล้วที่กูต้องชดใช้เขาตลอดชีวิต







TBC.



ปล.

ผ่านไปอีกตอนกว่าจะเข็นออกมาได้ ก็ยังเรื่อยๆ ยังไม่มีอะไรมากนัก เป็นการตีแผ่ปูมหลังเล็กๆ ของคนในครอบครัวน้ำสิงห์
ก่อนที่เล่าเรื่องราวของพวกในโอกาสต่อๆ ไป (ถ้ามีเวลา และตราบเท่าที่ยังมีคนติดตาม)

ขอบคุณสำหรับการติดตาม อาจทำได้ไม่ดีนัก เห็นข้อผิดพลาดประการใดแนะนำกันได้นะครับ ยินดีรับฟังและแก้ไข
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.9_น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา P.2 [22_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 22-10-2015 09:20:40
เม้นแรกๆ  :hao7:

(ผมแอบได้ยินพวกผู้หญิงเคยพี่แกเคยควงนินทาว่าปากพี่แกเป็นปากที่น่าจูบที่สุด) พิมพ์ผิดเปล่า?  :hao4:

โฮ้ว....ประวัติแต่ละคนเกินคำบรรยาย   :ling3:



หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.9_น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา P.2 [22_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-10-2015 10:39:26
ชีวิตแต่ละคนนี่เศร้าสุดๆ ทั้งโดนทิ้งทั้งแม่ตาย

ดีนะที่แต่ละคนเจอแม่ใหญ่อุปการะเลี้ยงดู

เรื่องเงินทองนี่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ แม้แต่พี่น้องยังทำกันได้

เอาใจช่วยพี่น้องบุลวัชรให้ปลอดภัยทุกคนทั้ง

พี่แสน พี่ฉาน พี่กรณ์ พี่หนึ่ง พี่ณิต ซ้อพี พี่ภูมิ และน้องน้ำ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:




หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.9_น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา P.2 [22_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 22-10-2015 12:39:30
เข้ามาเป็น  FC น้องน้ำนิ่งด้วยคนค่ะ :impress2:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.9_น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา P.2 [22_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 22-10-2015 12:44:57
มีแบ็คกราวด์ที่น่าสนใจกันดีค่ะ
ไม่ทราบว่ามีแพลนที่จะขยายบทแต่ละคนหรือเปล่าคะ?
คือ ณ ตอนนี้ปูพื้นให้แต่ละตัวละครก็หมดไปแล้ว 1 ตอนโดยที่มีพี่คณิตนำมาก่อน
รออ่านต่อว่าจะไปในรูปไหน
ระวังนิดนะคะเรื่องการแบ่งบทเพราะว่ามีตัวละครเยอะ

ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.9_น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา P.2 [22_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 22-10-2015 13:26:19
 :L2:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.9_น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา P.2 [22_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 22-10-2015 15:06:46
เรือนชิดชลนี่รับอุปการะเด็กไว้หลายคนเลยนะคะ
แถมแต่ละคนมีความสามารถพิเศษที่โดดเด่นทุกคน น่าชื่นชมมากค่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.9_น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา P.2 [22_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 22-10-2015 23:12:03
ขอบคุณมากมายสำหรับการติดตาม และเม้นท์ดีๆ


@ Ginny Jinny 
>> ขอบคุณครับผม  คือพิมพ์ผิดไปจริงๆ มือมันไปก่อนสมอง คือจะพิมพ์ “ที่”  มือกลับพิมพ์ “เคย” 

@ TaecKhun Imagine
>> จิตใจคนเรายากแท้หยั่งถึง   ชาติตระกูลที่ดีใช่ว่าจะทำให้คนเป็นคนดีได้  ขอบคุณกำลังใจพวกเราจะทำให้ดีที่สุด
เรื่องนี้อยากจะสื่อแบบนั้นแหละครับ

@ BeeRY
>> ยินดีต้อนรับสู่โลกของการกินเลี้ยงเด็กไว้กินเองครับผม

@ Freja
>> ตัวละครเหล่านี้จะโล้ดแล่นสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเล่าเรื่องของตัวเองไปอีกยาวนานเท่าที่มีคน ต้องการอ่าน 

@ ❣☾月亮☽❣
>> ขอบคุณครับผม

@ Yara
>> เรือนชิดชลส่วนหนึ่งเปิดเป็นบ้านเด็กกำพร้าและผู้ยากไร้ครับผม แต่ ณ ที่นี่เราจะโฟกัสไปที่เด็กกำพร้าซะส่วนใหญ่
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.9_น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา P.2 [22_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 22-10-2015 23:45:20
แต่ละคนชีวิตไม่สมบูรณ์ แต่รักดีกันทุกคนเลย น่าปลื้มใจแทนแม่ๆ นะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.9_น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา P.2 [22_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: choinudee ที่ 23-10-2015 11:35:13
เรื่องน่าติดตามมากกกกกกกก

ไม่ว่าแต่ละคนจะต่างที่มา แต่เมื่อมาอยู่ด้วยกัน

เป็นพี่น้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน ความรักมันจะแข็งแกร่งมากขึ้น

ขอให้สิ่งที่คิดที่ทำสำเร็จนะ  อย่าลืมดูแลน้องดีๆ รักกันให้มากๆนะ (เหมือนอวยพรบ่าวสาว555)
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.9_น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา P.2 [22_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: PPink ที่ 23-10-2015 18:49:12
ประวัติแต่ละคนนี่โชกโชนจริงๆ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.9_น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา P.2 [22_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 23-10-2015 21:04:41
ประวัติแต่คนนนน ชีวิตนี่มีอะไรที่ยากแท้จริงๆ
อืมม แต่ครอบครัวบุลวัชรนี่ใหญ่จริงไรจริงนะ
พี่น้องเยอะมากกก
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.10_ P.3 [24_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 24-10-2015 14:17:59
เด็กเลี้ยง


- 10 -



   เกือบจะห้าโมงครึ่ง ผมบึ่งรถจากบริษัทไปรับน้ำนิ่งคิดว่าปานนี้คงจะออกอาการงอนผมเต็มรูปแบบไปแล้วล่ะ ก็ตั้งแต่เกิดเรื่องผมไม่เคยมารับช้ากว่าสี่โมงเย็นสักที  การประชุมที่คิดว่าจะจบเร็วกลับกลายเป็นว่ามีเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ต้องตัดสินใจลากยาวมาจนถึงเกือบห้าโมงครึ่งก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้เลยให้พี่พีดำเนินการประชุมต่อ

    มีคนเคยถามว่า น้ำนิ่งโตขนาดนี้แล้วทำไมไม่หัดให้กลับบ้านเอง  “ห่วง”  เป็นคำตอบที่ออกจากปากผมไป  มันคงจะยากถ้าใครสักคนมีความหวาดกลัวและไม่เชื่อใจค้ำคออยู่  ตอนน้ำนิ่งขึ้น ม.3 เคยขอกลับบ้านเองหลายครั้ง ด้วยความวิตกกังวลและห่วงใยกลัวเด็กได้รับอันตรายจึงปฏิเสธความต้องการของเขาไป ครั้งสุดท้ายน้ำนิ่งรบเร้าหนัก เลยจับตัวนั่งคุยกันนานจนได้คำตอบว่าทำไมเขาอยากจะกลับเอง กลายเป็นโอละพ่อความต้องการของเขากับของผมมันคนละเรื่อง กันเลย

   ‘อายใช่ไหมที่ไปรับไปส่ง...’   

    ผมหลุดคำถามที่มันตกตะกอนขุ่นในใจมาเนิ่นนานหลายเดือน  คิดว่าเด็กน้อยคงจะอายโตขนาดนี้แล้วยังต้องมีผู้ปกครองไปรับไปส่ง น้ำนิ่งอายุ 15 ปี เข้าช่วงวัยรุ่นย่อมต้องการอิสระในทางความคิด เขาคงจะอยากมีช่วงเวลาใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นบ้าง แต่ผมกลับตามติดเขาตลอดเด็กก็คงจะอึดอัดตามวัยไม่อยากจะให้ผมวุ่นวายมากนัก

   ‘…..’  เด็กน้อยนิ่งชะงักงันกับคำถามของผม เขานิ่งเงียบดวงตาหวานที่สบกันไหวระริกนี่คงเป็นคำตอบ ผมใจสั่นวูบกับท่าทางของเขาก่อนจะหลุดเสียงพูดราบเรียบที่พยายามปกปิดความน้อยใจของตัวเอง

   ‘เข้าใจแล้ว หนูโตแล้วคงจะต้องการอิสระอยากจะทำอะไรเอง อยากมีความเป็นส่วนตัวแบบวัยรุ่นทั่วไป แต่ช่วยเข้าใจหน่อยว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะเป็นห่วง  แต่ถ้าหนูต้องการอย่างนั้นจริงๆ ก็ได้ ’

   ‘ภูมิ.............มะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ”  น้ำนิ่งหน้าเสียตกใจกับคำพูดที่ผมเอ่ยออกมา ก่อนจะละล่ำละลักเค้นเสียงตอบออกมา หน้าที่เงยขึ้นมาสบตากันเต็มไปด้วยความเสียใจและสำนึกผิดที่ทำให้ผมคิดแบบนี้

   ‘ ก็ถ้าไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วจะอยากกลับเองทำไม ‘   ผมถามเสียงเข้มมองคนตรงหน้าอย่างเค้นหาคำตอบ น้ำนิ่งนั่งก้มหน้ามองมือตัวเองที่ว่างอยู่บนตักนิ่งเงียบไปนาน  คนตัวเล็กทอดถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าขึ้นสบตาผม สายตาที่ส่งมาให้เต็มไปด้วยความหวงแหนฉายมันชัดอยู่ในนั้น

   ‘ หวง'    น้ำนิ่งพรูลมออกจากปากบางก่อนจะตอบเสียงเบาในลำคอ ก่อนจะหลบซ่อนหน้าที่แดงระเรื่อของตัวเองลงมองมือที่กุมแน่นบิดไปมาอยู่หน้าตัก

   ‘ ไม่เข้าใจ เงยหน้าขึ้นมาพูดกันให้รู้เรื่องนะน้ำนิ่ง'  ผมถามเสียงคาดคั้น ชักจะหงุดหงิดกับการถามคำตอบคำไม่ชัดเจนของคนตรงหน้า

   ‘…..’

   ‘น้ำนิ่ง!!’  ผมย้ำเสียงเข้ม

   ‘ก ก็หวง  หวงมากๆ เข้าใจไหม ไม่อยากให้ใครมอง ไม่อยากให้สนใจภูมิ  พี่ผู้หญิงพวกนั้นอยากได้ภูมิจนตัวสั่นแม้แต่ครูประจำชั้นยังชอบ พวกเขาฝากของมาให้ภูมิทุกวันแต่หนูเอาทิ้งไปแล้ว หนูกลัวว่าภูมิจะชอบพวกนั้นแล้วลืมหนู...’ 

    น้ำนิ่งพูดสารภาพรัวเร็วแทบจะฟังไม่ทัน นัยน์ตาหวานไหวระริกฉายแววของความกลัวการสูญเสีย แต่หลักๆ คือไม่อยากให้ผมเจอผู้หญิงหรือครู? ที่โรงเรียนของเขา กลัวว่าผมจะสนใจคนอื่นมากกว่า น่ารักมากเกินไปหรือเปล่าวะเด็กผม กลั้นยิ้มจนปวดหน้าลิงโลดด้วยความดีใจ  แต่ยังตีหน้าขรึมถามเด็กเสียงเข้ม

   ‘ผู้หญิงพวกนั้น....” 

   ‘ไม่!!  ภูมิเป็นของหนู จะให้หนูอกแตกตายเพราะหึงหวงใช่ไหมฮึกฮืออออ... ’ 

    ผมพูดยังไม่จบน้ำนิ่งชิงตัดบทเสียงดังหนักแน่นในตอนแรก ตามด้วยเสียงแผ่วเบาตัดพ้อต่อว่า ดวงตาคู่สวยที่มองสบกันฉายแววน้อยใจเต็มเปี่ยม  ริมฝีปากบางลั่นระริกแล้วในที่สุด...น้ำตาแตกราวกับทำนบพัง       

   ‘ชูว์ เด็กดีไม่เอาไม่ร้อง ไม่อยากให้มองก็ไม่มอง ไม่เคยสนใจพวกนั้นด้วยซ้ำ เคยทำให้เห็นเหรอฮืม”

   ผมดึงตัวน้ำนิ่งเข้ามากอดเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มปลอบให้หยุดร้อง  อยากจะทึ้งหัวตัวเองคิดได้เป็นตุเป็นตะให้ตัวเองเจ็บปวดใจเล่นอยู่ตั้งนาน น้ำนิ่งไม่เคยอายไม่ได้สนใจความแตกต่างของอายุของเราที่ห่างกันมาก   แต่ ‘น้ำนิ่งแค่หวงของ’

   ‘ถ้าไม่เห็น ภูมิก็จะทำใช่ไหม บอกมานะจะทำใช่ไหม’  น้ำนิ่งผละตัวออกเงยหน้าขึ้นสบตาเอ่ยถามเสียงเข้มคาดคั้นเจือปนก้อนสะอื้นนิดๆ

   ‘คิดมากน่า เคยที่ไหน ก็บอกแล้วไม่เคยสนใจมองใครที่ไหน แค่หนูคนเดียวก็ไม่มีใจจะรักใครแล้ว ถามแบบนี้เคยเชื่อใจกันบ้างรึเปล่า น่าจะเป็นภูมิมากกว่าที่จะต้องคิดมากเรื่องนี้” 

    ผมเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มปลอบประโลมพร้อมถามหาความเชื่อใจของน้ำนิ่ง ผมเข้าใจดีเด็กวัยขนาดนี้วุฒิภาวะทางอารมณ์ยังไม่มั่นคงมักเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ กับสิ่งยั่วยุแปลกใหม่ที่เขาพบเจอจากการใช้ชีวิตประจำวันระหว่างที่อยู่โรงเรียน

   ‘ภูมิก็ไม่ต้องห่วงไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาดฮะ‘

    ‘เข้าใจตรงกันแล้วภูมิไปรับส่งเหมือนเดิมนะ เป็นห่วงไม่อยากให้กลับเองนะครับ’

   ‘ฮะ’





   คิดอะไรเพลินๆ จนขับรถมาถึงวิทยาลัยโดยไม่รู้ตัว  บรรยากาศตอนเกือบหกโมงเย็น ยังมีนักศึกษานั่งอยู่โต๊ะใต้ถุนภาควิชาเจ็ดแปดคน  ลำแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับมุมตึกยังทอแสงสีล้มเหลือบสีแดงคล้ำอมม่วงของยามเย็นอยู่บางเบากระทบกับพื้นลานจอดรถ  แสงไฟนีออนจากเสาไฟฟ้าตามถนนทางเดินเริ่มเปิดขึ้นทีละดวง 

    ผมกวาดตามองไปทั่วสนามข้างลานจอดรถเห็นร่างของน้ำนิ่งนั่งบนเก้าอี้สนามปลายเท้าเล็กไขว้กันเหยียดยาวไปข้างหน้า เอนหลังพิงไปกับพนักเก้าอี้ แขนเรียวเล็กวางประสานกันอยู่บนหน้าท้อง สายตาเหม่อลอยทอดไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย  รู้สึกหงอยเหงาและอ้างวางเหมือนกับว่าในโลกใบใหญ่ที่แสนวุ่นวายนี้เหลือเพียงเราคนเดียว ห่างออกไปห้าสิบเมตรคนของผมเฝ้ามองเด็กน้อยอยู่ไม่ห่าง  เมื่อเห็นผมพวกเขาก้มหัวให้แล้วก็สลายตัวกันไป

   ผมเดินเข้าไปยืนตรงหน้าน้ำนิ่งวางมือข้างหนึ่งแนบไปกับแก้มนิ่มดึงให้หน้าหน้าหวานเงยขึ้น นิ้วแกร่งเกลี่ยไล้เบาๆ น้ำนิ่งยกยิ้มหวานเต็มหน้าส่งมาให้

   “ขอโทษที่ช้านะครับ” 

   “งานยุ่งเหรอฮะ”  เด็กน้อยถามเสียงเบา

   “ครับภูมิปลีกตัวออกมาไม่ได้เลย ขอโทษนะครับที่ให้รอ” ผมเอ่ยขอโทษเสียงนุ่ม ก่อนจะดึงตัวน้ำนิ่งเข้ามากอดด้วยความคิดถึง

   “กลับบ้านเลยหรือว่าจะแวะที่อื่นก่อน” 

   “กลับบ้านฮะ ”

    ผมกดจมูกลงซอกคอหอมและแก้มนิ่มอีกครั้ง ก่อนจะผละออกก้มลงหยิบกระเป๋าเป้อีกมือยื่นไปกุมกระชับมือน้ำนิ่งเดินไปที่รถ เปิดประตูให้เด็กขึ้นไปนั่งฝั่งของเขา ส่วนผมวนกลับมานั่งฝั่งคนขับก่อนจะขับรถออกจากวิทยาลัยกลับบ้าน  ถึงบ้านก็เย็นมากแล้วพวกพี่มันอยู่กันที่โซนใต้ถุนด้านทิศใต้เลยมาจนถึงลานสนามหญ้าข้างบ้านกันทุกคนแล้ว เสียงพูดคุยกันโหวกเหวกเป็นที่สนุกสนาน


    ผมเดินจูงมือน้ำนิ่งเข้ามาด้วยกันกำลังจะถึงใต้ถุนบ้าน  น้ำนิ่งเงยหน้าขึ้นมองตามทิศทางของเสียงพูดคุยที่ต่างไปจากทุกวัน  ก่อนเด็กน้อยจะทำตาโตด้วยความประหลาดใจที่เห็นคนที่ตนเองคุ้นเคยอยู่เต็มใต้ถุนและลานข้างบ้าน  หน้าที่ประหวาดใจเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ก่อนจะ ดึงมือเล็กออกจากมือผม

   “พี่หนึ่งงงงงง” 

    เด็กน้อยร้องเสียงดังลั่นด้วยความดีใจ วิ่งถลาเข้าไปหาอ้อมกอดของคนหน้าสวยที่กางแขนรออยู่แล้ว  สองคนพี่น้องกอดรัดฟัดเหวี่ยงหอมแก้มซ้ายขวาของกันและกันอยู่หลายนาทีไม่ยอมปล่อย 

    พี่ฉานที่จ้องมองด้วยความหมั่นไส้สองคนพี่น้องอยู่แล้วเดินย่องเข้ามาด้านหลังกอดหมับเข้าที่เอวคอดบางของน้ำนิ่งก่อนจะดึงตัวเข้าหาอ้อมกอดของตัวเอง จับตัวน้องให้หันหน้าเข้าหาตัวเองแล้วฟัดแก้มนิ่มนั้นหลายที  เอ้อ..ผมนี่อยากจะเข้าไปฉุดตัวเด็กออกจากอิพี่ฉานเหลือเกิน แก้มนิ่มๆ นั่นขึ้นรอยแดงเถือกเลยล่ะ

   ได้แค่คิดยังไม่ได้ก้าวเดินเข้าไปแยกเด็กออกมาด้วยซ้ำ พี่แสนไม่รู้เดินมาจากทางไหนฉกตัวน้องออกไปจากอิพี่ฉานได้ก็ยกตัวอุ้มขึ้นในอ้อมกอดฟัดแก้มนิ่มเด็กผมอย่างหมั่นเขี้ยวน้ำนิ่งหัวเราะร่วน เอาไปเอามากลายเป็นศึกแย่งเด็กระหว่างพี่ทั้งสามคน ผมกลัวเด็กจะเหนื่อยหอบเพราะหัวเราะมากเกินไปเลยเดินเข้าไปแย่งเด็กออกมาจากมือพวกพี่มัน  กอดกระชับไว้กับอกมือลูบแผ่นหลังเล็กบางเบาๆ ให้เด็กหายจากอาการเหนื่อยหอบ ก่อนจะปล่อยเด็กลงยืนตรงหน้ายกแขนโอบกอดไว้

   “พอ พอ พี่นี่เด็กผม ไม่ให้เล่น”  ร้องห้ามพี่มันเสียงจริงจัง กลัวเด็กหัวเราะมากๆ แล้วจะเหนื่อยพอเหนื่อยมากๆ มีอ๊วกครับ

   “ไงคนเก่ง ทำไมกลับช้าจัง  พวกพี่มารอเราจนรากจะงอกแล้วนะ”  พี่ฉานก้มตัวลงถามเด็กเสียงนุ่ม

   “วันนี้ภูมิงานยุ่งฮะ  แต่ว่าทำไมพวกพี่มาอยู่นี่ได้”  น้ำนิ่งไขข้อข้องใจ  เพราะไม่ได้พบกันนานเด็กน้อยเลยตื่นเต้นดีใจถามพวกพี่ด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นใคร่รู้

   “ตอนนี้พวกพี่ตกงานไม่มีที่อยู่...ไม่รู้คนแถวนี้พอจะให้อาศัยอยู่ด้วยได้ไหมสักเดือนสองเดือน”  พี่ฉานทำเสียงอ้อนขอความเห็นใจ พี่อีกสองคนพยักหน้าสนับสนุนเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ฉาน  ในเมื่อพี่ฉานส่งบทมาแบบนี้น้ำนิ่งหรือจะเมินเฉยกระโจนลงสวมวิญญาณดาราเจ้าบทบาท น้ำตาสั่งได้เริ่มคลอหน่วยตาแดงๆ ฉายแววของความน้อยใจตัดพ้อต่อว่าด้วยเสียงหวานแหบพร่าสั่นน้อยๆ

   “หายไปอยู่ที่อื่นมาตั้งนานไม่เคยคิดจะกลับมาหา โทรศัพท์มีก็ไม่คิดที่จะติดต่อมา  พอจะมาก็มา พวกพี่เคยคิดถึงเค้าไหม  แล้วเคยรักเค้าบ้าง รึเปล่า” 

   “ทำไมคิดว่าพวกพี่จะไม่รักน้ำล่ะ ไม่ร้องนะ”  พี่แสนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจ ดึงตัวน้องเข้าไปกอดปลอบ

   “พวกพี่รักน้ำนะแล้วก็รักมากๆ ด้วย  งานที่ทำเวลามันไม่เอื้อให้เรากลับมาหาน้องๆ ได้บ่อยทั้งที่อยากจะมา”  พี่หนึ่งอธิบายเสียงนุ่มให้น้องเข้าใจ มือเรียวยื่นไปขยี้ผมนุ่มคนเป็นน้อง ก่อนจะผละนิ้วมือมาเกลี่ยไล้น้ำตาออกจากแก้มนิ่มเบาๆ

   “ก็ถ้ารักแล้วจะถามเหมือนเราไม่ใช่พี่น้องกันทำไม ไม่อยากกลับมาอยู่กับน้องก็บอกมาตรงๆ เลย”  ยังมีเสียงตัดพ้อเล็กๆ จากคนเป็นน้อง ก่อนจะผละตัวออกจากอ้อมกอดของพี่แสน สะบัดหน้าเชิดๆ งอนๆ

   “ถ้าไม่อยากอยู่ด้วยกันพวกพี่ก็คงไม่รีบกลับมาทันทีที่มีโอกาสหรอกนะ  ขอโทษที่เมื่อกี้พูดให้น้อยใจนะครับ”  พี่ฉานเอ่ยเสียงนุ่มลุแก่โทษ

   “ก็แค่นั้นแหละที่ต้องการ ท่ามากกับน้องอยู่ได้นะคนเรา” น้ำนิ่งเอ่ยตอบน้ำเสียงกังวานใส น้ำตาที่สั่งพิเศษหยุดไหลทันควัน  รอยยิ้มน่ารักของความสุขกระจายอยู่เต็มหน้า

   “นี่มารยา??”  พวกพี่มันพูดขึ้นพร้อมกันด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้เล็กๆ ยื่นมือมายีผมน้องจนผมยุ่งไปหมด คนน้องส่ายหัวหนีพัลวันก่อนที่จะถลาตัวมายืนกอดแขนผม

   “ก็ใช่ไงฮะ พวกพี่ส่งบทมาทำไมล่ะ ถ้าน้ำไม่เล่นด้วยก็กลัวจะเสียใจอะไรอย่างนี้  ที่นี้ก็ไม่ต้องอะไรแล้วนะจะอยู่กี่วันก็อยู่หรือจะอยู่ตลอดไปน้องก็จะดีใจมาก  อ๋อแล้วอย่าพูดหรือคิดอะไรเหมือนดูถูกน้ำใจน้องๆ อีกนะ ถ้าได้ยินอีกคราวหน้าเค้าจะงอนจริงๆ ด้วยบอกไว้เลย”  คนน้องลอยหน้าลอยตาตอบแบบเชิดๆ  ก่อนจะพูดน้ำเสียงจริงจังในตอนท้ายกับพวกพี่มัน

   “คือน้องกูโตแล้วสะดีดสะดิ้งเก่งซะด้วย พี่ยอมเลยหนู  เมื่อกี้ล้อเล่นเพราะคิดถึงนะครับ ตอนนี้เราได้พักครับเด็กน้อยเลยรีบกลับมาอยู่กับน้องๆ ทันที”   พี่ฉานมันเอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะปนความเอ็นดู

   “อ้าวๆ พวกมึงทางโน้นจะดราม่าหรือจะอะไรอีกนานไหมล่ะนั่น เย็นมากแล้วนะเด็กๆ กินข้าวไม่ตรงเวลาเดี๋ยวมีปวดท้องแล้วงานเข้านะเว้ยเฮ้ย”  พี่ณิตตะโกนเรียกเสียงดังมาจากเตาปิ้งย่างบาร์บีคิวและอาหารทะเล

    “มันเร่งมาล่ะ สิงห์พาน้องไปอาบน้ำไป๊อากาศค่อนข้างเย็นเดี๋ยวจะไม่สบาย เสร็จแล้วรีบมาเลยนะจะรอกินข้าวพร้อมกัน”  พี่คมหันไปดูพี่ณิตก่อนจะหันกลับมาบอกน้องสองคนให้รีบไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวหลังจากที่ไม่ได้อยู่กินด้วยกันมานานหลายปี


   หลังอาบน้ำเสร็จเรารีบลงมาข้างล่าง  พวกพี่มันเริ่มลงมือกินกันไปคุยกันไป  ผมกุมมือเด็กให้เดินมา นั่งลงที่ว่างข้างพี่หนึ่ง พี่แสนเอาจานกุ้งเผาที่แกะเปลือกแล้วกับบาร์บีคิวอีกสองไม้มาวางตรงหน้าเด็กน้อย

   “ขอบคุณครับ”  น้ำนิ่งหันไปขอบคุณพร้อมรอยยิ้มละลายใจคนพี่เลยก้มลงหอมเหม่งน้องเป็นค่าอาหาร

   “กินเยอะๆ นะเราน่ะ ผอมไปรึเปล่าเนี่ย” 

   “อ้วนแล้วเหอะ พี่แสนกินมากินกับน้ำนะฮะ” 

   “เรานะกินไปเถอะ พี่กินไปบ้างแล้ว”
   
      พี่แสนเอ่ยเสียงทุ่มนุ่ม ส่งยิ้มอ่อนโยนให้น้องเล็ก ก่อนจะผละไปที่เตาปิ้ง ผมเลื่อนน้ำจิ้มซีฟู๊ดแบบไม่เผ็ดมากและซอสมะเขือเทศมาวางตรงหน้าเด็กน้อย  ก่อนจะรับแก้วเครื่องดื่มจากพี่กรณ์ 

   “ขอบคุณครับ”

   “ภูมิกินกับหนูนะ” 

    เด็กน้อยยื่นกุ้งที่ราดน้ำจิ้มแล้วยื่นมาจ่อปากผมเลยอ้าปากรับ พี่นิ่มตักข้าวใส่จานมาให้  ผมติดนิสัยต้องกินข้าวก่อนถึงจะดื่มครับ วันนี้มีหมึกผัดไข่เค็ม ห่อหมกทะเล แกงจืดเต้าหู้หมูสับกับผักกาดขาว กินเองด้วยป้อนใส่ปากเด็กน้อยจนข้าวหมดไปสองจาน

    เรานั่งกินกันไปคุยถึงเรื่องราวชีวิตของแต่ละคนที่ผ่านมา บางทีก็หันมาแกล้งเด็กผมบ้าง คือเวลาเด็กงอนแล้วมันน่ารักน่าฟัดไง พวกพี่มันเลยชอบจะได้ฟัดเด็กให้หนำใจ  เด็กน้อยยิ้มหน้าบานตลอดเพราะพวกเราไม่ได้เจอกันมานาน  สี่ทุ่มเศษๆ เด็กขยับตัวขึ้นมานั่งตัก หน้าเล็กๆ  ซุกเข้ากับอกผม แขนเรียวเล็กโอบกระชับไปรอบเอวของผม   ตาเริ่มปรือเพราะถึงเวลานอนแล้ว

   “ภูมิจ๋าหนูง่วงจัง..”  น้ำนิ่งพึมพำเสียงเบากับอกผม  ผมก้มลงหอมหัวทุยของเด็ก

   “งั้นไปนอนเนอะ”  เด็กพยักหน้า 

   “พี่เดี๋ยวผมพาเด็กไปนอนก่อนนะ”

   “น้ำไปนอนก่อนนะฮะ เดินทางมาเหนื่อยๆ อย่าอยู่ดึกกันมากนะฮะ” น้ำนิ่งหันไปกล่าวลากับพี่ๆ  ก็ใช่ย่อยกรูกันเข้ามาฟัดแก้มซ้ายขวาบอกให้น้องนอนหลับฝันดีกันเซ็งแซ่

   ผมขยับปากบอกพี่ๆ โดยไม่มีเสียงว่าเดี๋ยวเจอกันที่ห้องทำงาน  น้ำนิ่งตัวอ่อนโงนเงนจะหลับแหล่มิหลับแหล่จนต้องอุ้มกระชับวงแขนพาขึ้นไปนอน  ถึงห้องก็ปลุกให้ล้างมือมือ และแปรงฟัน  เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดนอนให้เรียบร้อย เสร็จแล้วจึงอุ้มไปวางบนเตียงเอาผ้าห่มวิเศษประจำตัวใส่ในอ้อมแขนให้เด็กกอด  หันดึงผ้าห่มมาห่มให้จนถึงคอก่อนจะสอดตัวเข้าในผ้าห่มเอนตัวลงนอนดึงเด็กเข้ามาในอ้อมกอด  เด็กยกหัวขึ้นกดปากนิ่มจูบลงตรงอกผม

   “นอนหลับฝันดีนะภูมิ”

   “ฝันดีครับ รักมากนะ”

   ผมก้มลงหอมหัวทุย นาบปากร้อนจูบลงหน้าผากเหม่ง  มือสอดเข้าไปในเสื้อลูบแผ่นหลังนุ่มลื่นมือกล่อมร่างในอ้อมกอดไม่ถึงกี่สิบนาทีต่อมาเด็กตัวอ่อนยวบลมหายใจสม่ำเสมอ  ผมนอนกอดร่างบางอยู่สักพักวนเวียนกดจมูกปากจูบหอมทั่วหน้าเด็กจนพอใจ  ก่อนจะลุกขึ้นดึงผ้าห่มขึ้นคลุมและกันผ้าให้แน่นเด็กน้อยจะได้ไม่รู้สึกว่านอนอยู่คนเดียว ก่อนจะเดินออกไปห้องทำงานคุยเรื่องที่ผมให้พวกพี่มันกลับมา





[มีต่อเน้อ]
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.10_ P.3 [24_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 24-10-2015 14:28:25
[ ต่อ ]



ห้องทำงาน

   พวกพี่มันอยู่กันครบทุกคนแล้ว  พี่เอ็กซ์ไปราชการด่วนอยู่จังหวัด...เพิ่งมาถึงก่อนหน้าผมสักยี่สิบนาที เมื่อเห็นผมเข้ามาในห้องปิดล๊อกประตูแน่นหนา  พวกพี่ที่ยืนอยู่ตามมุมนั้นมุมนี้ก็เดินมานั่งที่โซฟา

   “ตกลงที่เรียกมานี่มันมีเรื่องมากกว่าที่พวกกูรู้ใช่ไหมวะ”  พี่แสนเปิดประเด็นด้วยเสียงเครียดจริงจัง

   “มันไม่ใช่แค่เรื่องโกงบริษัทอย่างเดียวแล้วพี่  ตอนนี้เรื่องมันใหญ่กว่าที่คิด”  ผมตอบกลับหน้าตาเคร่งขรึม

   “เดี๋ยวขอกูหาอะไรดื่มกระแทกคอก่อนจะรับเรื่องเครียดๆ นี้เข้าในหัว”

     พี่ฉานขอพักเบรกก่อนจะหันไปถามว่าใครจะเอาอะไรไหม  ผมลุกขึ้นไปช่วยพี่มันจัดเครื่องดื่มให้คนอื่นๆ เมื่อเรียบร้อยแล้วผมจึงเล่าเรื่องคุณอาคมกิจโกงเงินบริษัทให้พวกพี่มันฟังอย่างละเอียด  แต่ละคนทำหน้าเครียดเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด

   “แล้วตกลงมึงเอาไงวะสิงห์”  พี่หนึ่งถามผม

   “เรื่องบริษัทตอนนี้ผมให้ตั้งทีมสอบสวนแล้ว ถึงรู้ว่าคุณอาเป็นคนบงการและมีคนเก่าแก่สองสามคนร่วมอยู่ด้วยแต่เรายังรวบรวมหลักฐานที่จะเอาผิดเขาได้ไม่ชัดเจนพอ..อีกอย่างช่วงนี้พวกเขาระวังตัวมาก ไม่ค่อยจะแสดงพิรุธอะไรให้เราจับได้  ผมให้คนติดตามพวกเขาอย่างใกล้ชิด  ติดเครื่องดักฟังทั้งห้องทำงานและที่บ้านของพวกนั้นแล้ว”  ผมสรุปประเด็น

    “ผมได้ข้อมูลบางอย่างมาซึ่งคาดว่ามันต้องเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องใหญ่ที่เรากำลังเผชิญกันอยู่”

    ผมบอกพวกพี่มันก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงานเปิดลิ้นชักหยิบซองสีน้ำตาลออกมาจากลิ้นชัก แล้วเดินไปเปิดทีวียัดแผ่นซีดีเข้าไปในเครื่องเล่น

   “อะไรวะสิงห์” 

    พี่ณิตถามด้วยความฉงนสงสัย  ผมไม่ตอบแต่เดินไปเครื่องเล่นยัดแผ่นเข้าไปในเครื่องก่อนจะกดปุ่มเพลย์  ไม่นานภาพบรรยากาศแสงสลัวค่อนข้างมืดของผับปรากฏขึ้น ภาพไม่ค่อยชัดนักแต่ก็ระบุรูปพรรณได้ว่าเป็นใคร  ชายหนึ่งในสองหันไปผสมเครื่องดื่มเสร็จแล้วเทของจากขวดเล็กๆ ที่ล้วงออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทลงในแก้วแล้วยกไปให้เด็ก พวกมันคะยั้นคะยอให้ดื่มแต่เด็กไม่ยอมพยายามขัดขืน  ชายคนหนึ่งก้มไปพูดอะไรสักอย่างกับเด็กจนยอมยกแก้วขึ้นดื่มจนหมด หลังดื่มเสร็จเด็กพยายามลุกออกจากเก้าอี้อีกครั้ง  แต่ก็โดนฉุดให้นั่งเหมือนเดิมทุกครั้ง ไม่ถึงสิบนาทีต่อมาเด็กนั่นเริ่มมีอาการแปลก

    ร่างบางกระสับกระส่ายมือเล็กพยายามดึงกระชากเสื้อออกจากตัว หน้าตาท่าทางราวกับเจ็บปวด ร้องครวญครางนอนหลับตาพริ้มเอนตัวไปกับพนักโซฟา  มือล้วงเข้าไปในกางเกงเล่นกับส่วนนั้นของตัวเอง  พวกมันยกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจสายตาวาวโรจน์เต็มไปด้วยความหื่นกระหาย (คุณสุนีย์ก็ช่างซูมจับตรงนี้ได้ดีเหลือเกิน)  พวกมันคนหนึ่งเอาปลอกคอมาใส่ที่คอเด็ก จับแขนเรียวเล็กทั้งสองข้างไพล่ไปข้างหลังล็อกด้วยกุญแจมือ

   ส่วนอีกคนล่วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทหยิบเอาบางอย่างออก มันเอื้อมมือไปดึงกางเกงเด็กลง จากนั้นเอาของที่อยู่ในมือรัดไปตรงโคนอวัยวะเพศของเด็ก  เชี๊ยะ!! สัสเอ๊ยเลวระยำหมา แมร่งจิตดันเอาค๊อกริงรัดเพื่อไม่ให้เด็กปลดปล่อยได้ง่ายๆ  เสร็จแล้วมันเอาดิลโด้ยัดเข้าไปช่องทางด้านหลังของเด็กอย่างแรงจนร่างบางผวาเฮือก (ถึงว่าทำไมคุณสุนีย์ละตรงนี้ไว้แล้วก็หน้าแดงจนไม่กล้ามองหน้าผมตอนเล่าให้ฟังเมื่อเข้านี้) 

         มันก้มลงดูดเลียแก่นกายของเด็กอยู่หลายนาทีจึงผละออก  พวกมันครอบปากลงไปกัดที่ยอดอกของเด็กคนละข้าง ท่าทางเหมือนเด็กร้องครางลั่นอาจจะด้วยความเจ็บหรือเสียวก็ไม่ทราบได้ คนทั้งสามแสดงท่าทางแปลกขนาดนั้นแต่ก็ไม่มีใครสนใจมองหรือเข้าไปช่วย  พวกมันผละออกจากยอดอกยกยิ้มุมปากมองดูเลือดที่ซึมเปรอะเสื้อตรงหน้าอกของเด็กอย่างหื่นกระกาย

    ทั้งคู่พยักหน้าให้กันคนหนึ่งเดินออกไปก่อน อีกคนลุกขึ้นก้มลงอุ้มเด็กเดินตามกันออกไปคลิปจบแค่นั้น  ภาพที่ผมเปิดให้พวกพี่มันดูเหมือนกับที่คุณสุนีย์เล่าให้ผมฟังเมื่อเช้านี้ทุกประการ หลังจากดูคลิปจบสีหน้าที่แต่ละคนแสดงออกแตกต่างกันไป แต่ที่เหมือนกันคือ ความเวทนาสงสารเหยื่อที่โดนล่อลวงและถูกกระทำอย่างทารุณ  พวกเรานั่งเงียบกันอยู่นานแม้เข็มสักเล่นหล่นลงก็คงจะได้ยินเสียง

.

.

.

.

.

.

   “อาร์”  พี่เอ็กซ์พูดขึ้นอย่างเหม่อลอย

   “อะ อะไร นะพี่”  ผมถามด้วยความตกใจ 

   “เด็กนั่นน้องพี่  ขอโทษ...อาร์พี่ขอโทษ..”

    พี่เอ็กซ์ตอบออกมาด้วยเสียงสั่นแหบพร่า  สายตาที่มองเหม่อบ่งบอกว่าเจ็บปวดและเสียใจแค่ไหน  ริมฝีปากพึมพำโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองซ้ำๆ  ก่อนจะก้มหน้าซบลงกับฝ่ามือของตัวเอง ร่างสั่นเทาที่เกิดการข่มกลั้นความเจ็บปวดที่กำลังจะทะลักล้น  พี่กรณ์เอื้อมมือไปดึงเพื่อนเข้ามากอดปลอบ  มือของพี่เอ็กซ์ตกลงมากำแน่นที่หน้าขาตัวเอง มันเกร็งจนข้อมือขาวเห็นเส้นเลือดปูดโปน

   “ชูว์ ๆ พวกเราจะไปช่วยอาร์ด้วยกัน น้องนายต้องปลอดภัย” 

    พี่กรณ์ให้คำมั่นสัญญาแต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมามันไม่ได้หนักแน่นอะไรผมรู้สึกได้  ไม่มีหลักประกันอะไรว่าเด็กจะยังมีชีวิตอยู่ มือใหญ่คอยลูบตบปลอบเพื่อนเบาๆ  ผ่านไปสักครู่พี่เอ็กซ์ลุกชึ้นนั่งตัวตรงแววตาเจ็บช้ำปนเครียดแค้นยังคงฉายอยู่เต็มพื้นที่ พี่เขาบดกรามแน่นมือที่ประสานกันบนตักบีบกำแน่น  พี่กรณ์เอื้อมมือไปตบลงเบาๆ ที่มือของพี่เอ็กซ์ส่งผ่านกำลังใจถึงกัน 

.

.

.

.

.

.



   “ฉันไม่หวังแล้วว่าน้องจะยังมีชีวิตอยู่ ถ้าสิงห์จะเอายังไงกับเรื่องนี้พี่ร่วมด้วยเต็มที่”

    หลังจากที่ต่างคนต่างเงียบกันไปนานในที่สุดพี่เอ็กซ์ก็กล่าวออกมาด้วยเสียงแหบพร่าเจ็บปวด  ผมคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าเด็กที่อยู่ในคลิปที่คุณสุนีย์ถ่ายไว้จะเป็นน้องพี่เอ็กซ์  คนเป็นพี่คงใจสลายกับเรื่องที่น้องถูกกระทำ เรื่องเลวระยำเช่นนี้มันไม่สมควรที่จะเกิดขึ้นอีกไม่ว่ากับใคร ผมคงจะปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อต่อไปไม่ได้แล้วมันถึงเวลาที่จะตัดจบซะที

   “แมร๊งเอ๊ย เลวระยำหมาจริงๆ ถ้าจับมันได้กูอยากจะทำเหมือนที่มันทำกับเด็กเหลือเกิน”  พี่แสนพูดด้วยความเครียดแค้นหมายมาดถึงสิ่งที่อยากจะทำ

   พี่พีเดินไปที่บาร์เครื่องดื่มรินเหล้าที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นใส่แก้ว แล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด รินเติมใหม่อยู่สองครั้ง ทั้งๆ ที่ตัวเองคออ่อนหน้าสวยเริ่มจะมีสีแดงระเรื่อจากฤทธิ์แอลกอฮอร์  แววตาวาวโรจน์ กรามขบแน่น  มือที่กำแก้วบีบเกร็งจนแทบจะแหลกคามือ พี่ณิตเดินเข้าไปดึงแก้วออกจากมือไม่ให้ดื่มอีก เรื่องนี้ใครเห็นก็คงหดหู่เศร้าสลดใจไม่ต่างกัน

   “แล้วที่ว่าเรื่องใหญ่คืออะไรวะ”  พี่ฉานถามเสียงเครียด ผมจึงเล่าเรื่อง  ACE ให้พวกพี่มันฟังอย่างละเอียด   

   “ตอนที่ยังอยู่ในกองทัพพวกกูก็พอจะรู้เรื่ององค์กรห่าเหวนี้พอสมควร  แต่พอออกมาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไร กูไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใกล้ตัวพวกเราแบบนี้”  พี่แสนพูด

   “ช่วงเดือนหน้าผมว่าเราน่าจะหาอะไรสนุกๆ ทำกันซักหน่อยต้อนรับที่พวกพี่กลับไทย”  ผมบอกพวกพี่เสียงราบเรียบ

   “กูชักคันไม้คันมือ จะเล่นแมร่งให้เละเลย” พี่ณิตพูดอย่างหมายมาด

   “ไม่ใช่ทุกคนจะได้ไปนะตั๋วที่จองมีไม่ครบทุกคนวะพี่ เอาเป็นว่าพี่สองคนก็อยู่บ้านกับน้องแล้วกันนะ”  ผมมองไปที่พี่หนึ่งกับพี่พีพูดจบเท่านั้นล่ะพี่มันโวยวายทันที

   “แมร๊งง!! กวนตีน  คือมึงเข้าใจอะไรผิดรึเปล่าวะกูกะไอ้พีก็ผู้ชายเหอะ แข็งแรงพอที่จะทำเรื่องแบบที่พวกมึงทำได้”  พี่หนึ่งโวยดังลั่น  ผมจึงเล่าเรื่องน้ำนิ่งโดนยาและท่าทีแปลกๆ ของคุณอาคมกิจมีต่อน้ำนิ่งให้พวกพี่มันฟัง

   “อย่างที่บอกเราไว้ใจใครไม่ได้เลยตอนนี้  ผมอยากจะให้พี่คอยดูแลทางนี้พี่หนึ่ง”  ผมบอกถึงสิ่งที่คิดอยู่ในใจ

    “หลักๆ คือมึงหวงเด็ก แล้วให้กูเป็นพี่เลี้ยงนี่นะ”  พี่หนึ่งยังไม่ยอม

   “ผมไว้ใจพวกพี่นะ ถ้าเราไปกันหมดแล้วใครจะอยู่ดูแลแม่ บริษัทอีก ผมห่วงจริงๆ กลัวว่าจะเกิดเหตุตอนพวกเราไม่อยู่”  ผมแสดงสีหน้ากังวล

   “เออๆ ก็ได้วะมึงแมร๊งงี้ทุกที” พี่หนึ่งยังบ่น  แต่ก็ยอมตกลงตามที่ผมขอ 

   “พูดถึงเรื่องเลี้ยงเด็กแล้วผมคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เมื่อสักห้าหกเดือนที่แล้วคุณอาพาเพื่อนนักธุรกิจชาวต่างชาติมาแนะนำให้แม่รู้จักชื่อ มิสเตอร์แฟรงค์  เค. นายแฟรงค์แจ้งความประสงค์ว่า อยากจะขอเด็กไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม  คุณแม่ขอเวลาตรวจสอบคุณสมบัติและอยากให้นายแฟรงค์นี่สร้างความสนิทสนมกับเด็กที่อยากจะรับเป็นบุตรบุญธรรมก่อน  เขาก็เอาประวัติภาพถ่ายครอบครัวเขา แม่ตรวจสอบประวัติบุคคลไปที่สถานทูตแล้วก็ไม่พบพิรุธอะไร ตลอดสัปดาห์พวกเขาแวะมาที่บ้านทุกวัน จนสนิทกับบี น้องน่ารักมากนะพี่แม่เพิ่งเข้ามาอยู่ที่เรือนได้สองเดือนเองมั้ง“ ผมพูดให้พวกพี่มันฟัง

    “คุณอาคะยั้นคะยอให้คุณแม่ยอมยกบีเป็นลูกบุญธรรมของฝรั่งคนนี้  รับรองว่าเป็นคนดีอย่างนั้น  อย่างนี้ ภาพลักษณ์ที่พวกเขาแสดงออกทำให้คุณแม่เริ่มแสดงท่าทีไว้ใจ แต่ก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ ขอถามความสมัครใจของบีก่อน เพราะอยากจะให้เด็กได้ไปอยู่ในที่ดีๆ มีคนรักเขาอย่างจริงใจ ตอนนั้นแวบหนึ่งผมเห็นพวกเขาทั้งสองมองสบตาอย่างสื่อความหมาย ผมยังไม่ทันได้สงสัยอะไรดันของขึ้นต้องรีบดึงแขนเด็กออกมาซะก่อน ”  ผมพูดถึงสิ่งที่คิดได้ยืดยาว

   “ญาติของแม่ละสิที่เป็นสาเหตุให้ของขึ้น”  พี่แสนประชดประชัน

   “ก็เออไง พี่ไม่เห็นสายตาท่าทางที่เขาใช้กับเด็ก เห็นแล้วขึ้นถ้าไม่ใช่ญาติแม่นะผมจัดแมร่งแล้ว เรื่องเด็กโดนยาผมก็สงสัยเขาอยู่”

   “สรุปแล้วเด็กบีนั่น..”  พี่กรณ์ถามขัดขึ้นมาก่อน

   “จะเหลือเหรอพี่ ผมเข้าไปที่เรือนสัปดาห์ต่อมา คุณแม่อนุญาตให้นายแฟรงค์นั่นรับบีเป็นลูกบุญธรรมเรียบร้อยแล้วจะขัดอะไรก็ไม่ได้แล้ว  เขามารับเด็กกลับไปก่อนผมเข้าเรือนแค่สองชั่วโมงเอง  สัปดาห์แรกๆ ที่บีไปอยู่กับฝ่ายนั้นเขาก็ส่งภาพถ่ายครอบครัวมาให้แม่ดู เห็นเด็กมีหน้าสดใส ท่าทางมีความสุขดี ผมเลยไม่ได้สนใจอีก ช่วงหลังๆ ผมยุ่งทั้งงานที่บริษัทแล้วก็งานส่วนตัวเลยไม่ได้ตามเรื่องพวกนี้เท่าไร  ตอนหลังได้ข่าวว่าเขาพาคนมาขอปิ่นกับแมนไปเป็นลูกบุญธรรมอีก พอมารู้เรื่องนี้ผมว่ามันชักจะยังไงๆ ป่านนี้เด็กพวกนั้นไม่รู้จะเป็นยังไงโคตรห่วงเลยวะพี่  เด็กบริสุทธิ์ต้องมารับเคราะห์กรรมแบบนี้ ผมให้คนของผมสืบประวัติคนพวกนั้นแล้วก็ตามเรื่องเด็กๆ ด้วย แต่ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร คนพวกนี้ระวังตัวเองมากไม่ออกสื่อด้วย”  ผมจบคำพูดยาวเหยียดด้วยสีหน้ากังวลห่วงใย 

   “ถ้าที่มึงพูดมาแล้วเกิดพวกมันเป็นสมาชิก ACE จริง  กูว่ามันเห็นบ้านเราเป็นแหล่งหาเด็กชั้นดีของมันเลยนะเว้ย”   พี่หนึ่งสรุปได้ตรงใจผมมาก

   “กูว่าแบบนี้ยิ่งปล่อยพวกแมร่งไว้ไม่ได้แล้วภัยสังคมเราดีนี่เอง  สงสารคนบริสุทธิ์ที่ต้องตกเป็นเหยื่อ ถึงจะเป็นเด็กกำพร้าชีวิตแมร่งเหี้ยอยู่แล้วไง ยิ่งไม่สมควรจะโดนแบบนี้”  พี่แสนพูดเสียงเข้ม

   “แล้วบอกเรื่องนี้กับแม่รึเปล่าสิงห์”   พี่พีหันมาถามผม

   “ญาติที่เขานับถือมากเลยนะนั่น สุขภาพของแม่ไม่ดีเท่าไรผมไม่อยากให้เขาคิดมาก มันมีความเป็นไปได้สูงที่คนพวกนั้นจะเป็นคนของ ACE”   ผมเอ่ยตอบด้วยสีหน้ากังวล

        "นามสกุลดังต้นตระกูลดี ไม่ได้แปลว่าคุณคมกิจควรได้รับการยกย่องนับถือ"  คำคมดีจากพี่แสนซึ่งนานๆ ครั้งพี่มันจะมีสาระสักทีหนึ่ง

   “ดี ถ้าใช่กูก็จะจัดแมร่งให้หนักเลย”   พี่ณิตพยักหน้าเห็นด้วย

   “ตกลงเอาตามแผนที่เราคุยกันไว้ใช่ไหม”  พี่กรณ์ถามผม

   “ใช่ พี่นำกำลังเข้าพื้นที่ตามที่เราคุยกันนั่นแหละ  ส่วนก่อนหน้านั้นจะมีทีมเข้าจัดการเคลียร์ให้ สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ เราจะคุยกันอีกทีตอนไปทริปนะครับ เชื่อใจผม” ผมกล่าวย้ำอีกครั้ง

   “ผมว่านี่ก็สมควรแก่เวลาแล้ว  พวกพี่ไปพักผ่อนกันเถอะเราต้องใช้แรงกันอีกหลายเรื่องกว่าจะถึงวันนั้น” 

   ผมตัดจบเพื่อให้พวกพี่มันไปพักผ่อนเพราะเห็นว่าดึกแล้ว พวกพี่แสนนอนกับผม พี่กรณ์กับพี่เอ็กซ์ผมไม่อยากให้กลับด้วยสภาพจิตใจแบบนั้นของพี่เอ็กซ์ผมไม่อยากเสี่ยงให้ขับรถเองจึงให้นอนด้วยกันที่นี่  ส่วนพี่ณิตกับพี่พีกลับบ้านซึ่งก็ไม่ไกลเดินข้ามรั้วข้างบ้านไปก็ถึง เมื่อตกลงกันได้แล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ผมก็จะได้ไปนอนกอดเด็กสักทีคิดถึงตัวหอมของเด็ก งั้นเสร็จสิ้นภารกิจสำหรับวันนี้เพียงแค่นี้นะครับ.










TBC.



ปล.

1. 23 ตุลาคม 2558 วันหยุดพิเศษก็มีเวลาที่จะคิดเขียนนั้นนู่นนี่จนกลายเป็นตอนนี้ออกมา ถ้าเจอข้อผิดพลาดอะไร หรือยากจะแนะนำอะไรก็บอกกันนะครับยินดีรับฟังและปรุงแก้ไขให้ถูกต้องต่อไป

2. ตอนต่อไปขอเวลาอีกสักวันสองวันนะครับ เขียนเสร็จแล้วล่ะแต่ขอเวลาพิสูจน์อักษรและปรับแก้สำนวนอีกเล็กน้อย

3. ขอบคุณสำหรับการติดตามเรามาโดยตลอด  หวังว่าจะยังอยู่เป็นเพื่อกันไปอีกนานๆ เน้อ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.10_ P.3 [24_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 24-10-2015 14:40:23
น้ำนิ่งก็น่ารักมีหวงลุงด้วย :o8:
สงสารน้องอาร์ น้องบี พี่ๆช่วยให้ได้นะ :mew4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.10_ P.3 [24_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 24-10-2015 14:54:43
ขอให้ทำลายพวกชั่วนี่สำเร็จ โดยที่เด็กไม่ได้รับผลกระทบนะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.10_ P.3 [24_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 24-10-2015 17:41:03
สงสารอาร์  :ling3: ไอ้พวกเ_ี้ยนั้นจับได้จัดหนักนะเพ่  :angry2:

แต่ถ้าคิดไม่ออกว่าต้องทำไง ส่งมาเดี๋ยวเจ้จัดให้  o11
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.10_ P.3 [24_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 24-10-2015 18:25:25
เอาใจช่วยพวกพี่ๆให้ทะลายแก๊งระยำนั่นให้ได้
สงสารน้องง่า
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.10_ P.3 [24_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: เลิฟลี่ ที่ 24-10-2015 22:05:05
จับพวกมันให้หมดอ่านแล้วของขึ้นค่ะ 

อ่านเพลินมากๆ สำนวนดีมากค่ะ ติดตามเรื่องนี้อีก 1 คนนะคะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.10_ P.3 [24_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-10-2015 22:43:48
ภาวนาขอให้น้องอาร์ น้องบี และเด็กๆคนอื่นที่ถูกเอาตัวไปยังมีชีวิตอยู่ :call: :call:

ขอแค่มีชีวิตและได้ตัวกลับมา แล้วค่อยมาฟื้นฟูสภาพร่างกายและสภาพจิตใจเด็กๆ

พวกเลวระยำพวกนั้นถ้าจับได้แล้ว จับแก้ผ้ามัดมือมัดเท้า

ทาเนยทาน้ำตาลใส่จุ๊ดจู๋มันแล้วปล่อยให้หนูแทะให้มดกัดทีละนิดๆ

ส่วนรูก้นมันก็เอาสากหินไม่ก็สากตำข้าวกระทุ้งเข้าไปเลยเอาเน้นๆหนักๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.11_ บทเพลงเห่กล่อม_P.3 [26_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 26-10-2015 08:52:20
เด็กเลี้ยง


- 11 -


บทเพลงเห่กล่อม











    Lady Q กำหนดจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในอีกสามวันข้างหน้า  แผนการล่องเรือสำราญของพวกเราได้เตรียมการอย่างรัดกุมรอเพียงเวลาที่เหมาะสมที่จะลงมือเท่านั้น

    สงสัยกันล่ะซิว่าผมยังทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่ทั้งๆ ที่เป็นตัวต้นเรื่องและพวกพี่ๆ ก็ล่วงหน้ากันไปหมดแล้ว ‘บ่วง’ นั่นแหล่ะที่ผมอยากจะบอก และมันก็เป็นบ่วงเล่ห์เสน่หาดีๆ นี่เองที่ทำเอาผมแทบคลั่ง

    บ้าเอ๊ย!!  ชายหนุ่มสบถในลำคอด้วยความหงุดหงิดอารมณ์กำลังขึ้นเพราะเจ้าเด็กตัวหอมในอ้อมกอด ที่กำลังกล่อมให้นอนไม่ได้อนุญาตให้ขยับตัวขึ้นมานั่งคล่อมบนตัวผม นั่งเฉยๆ ก็จะไม่ว่าเหมือกันถ้าเอวบางจะไม่พริ้วไหวร่อนสายให้เสียดสีกับกลางกายที่เริ่มจะแข็งขืนของผม มือนุ่มป่ายเปะปะไปทั่วตัวอย่างไม่ประสา แค่นั้นยังไม่เพียงพอหลังจากดูดดึงขบเม้มริมฝีปากผมจนพอใจ มียกตัวขึ้นมือนุ่มลูบไล้เล่นกับเรือนร่างของตัวเอง  ลิ้นเล็กแลบเลียงริมฝีปากอิ่มจนฉ่ำวาวด้วยท่าทางยั่วยวน
 

   ‘ บ้าเอ๊ย!!!  ใครสั่งใครสอนวะ ถ้าจะขนาดนี้ผมก็ไม่อยากจะทนแล้วเอาจริงๆ’

    น้ำนิ่งมองอากัปกิริยาของผมอย่างท้าทายเชิญชวน  เจ้าตัวหอมโน้มตัวลงมาล้อเล่นกับยอดอกผมดูดเลียไล้วนอย่างเงะงะแต่ถึงกระนั่นก็ทำให้ผมถึงกับขนลุกเกลียว ร่างบ้างเลื่อนตัวลงไปจนถึงตัวตนของผม มือเล็กเกี่ยวดึงกางเกงนอนลงไปกองไว้ที่ปลายเท้าข้างหนึ่ง แก่นกายขนาดใหญ่ที่แข็งขืนดีดตัวขึ้นทักทาย  เจ้าเด็กขี้ยั่วจ้องมองตัวประกันในมือที่กำลังร่ำไห้อย่างพึงพอใจรอยยิ้มหวานระบายเต็มหน้า ไอ้ตัวประกันยิ่งรู้ว่าเค้ามองก็ยิ่งลำพองตัวขู่ฟ่อๆ  น้ำใสปริ่มทะลักออกมาไม่หยุด ปากนุ่มอุ่นร้อนครอบดูดที่ส่วนปลายจนแก้มตอบ ก่อนจะผละออกเอาลิ้นเล็กหยุ่นสีขมพูไล้เลียจากโคนจนถึงยอดปลายบานราวกับเลียแท่งไอติมที่แสนอร่อยก็ไม่ปาน 

   “อ๊า...” 

    แค่เจ้าเด็กตัวหอมนี่ส่งลิ้นเล็กแตะโดนตัวตนของผมแผ่วเบาก็ทำเอาผมแตะขอบสวรรค์หวามไหวจนต้องหลุดเสียงครางแหบพร่า อากัปกิริยาเนิบนาบเงอะงะนั่นทำให้ผมหัวหมุนร่างกายสั่นระริกด้วยความต้องการ   

    การล่อลวงที่แสนหวานนั้นก็ทำให้ผมขาดสติเส้นใยบางๆ ที่ฉุดรั้งความยั้งคิดของผมกำลังจะขาดผึง   สุดท้ายแล้ว....ผมก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่ยังจะมีรัก โลภ โกรธ หลง ในกมลสันดานเต็มเปี่ยม  ถ้าจะทำกันซะขนาดนี้ ผมลุกขึ้นโน้มตัวสอดมือเข้าไปในกางเกงนอนของน้ำนิ่งกดนิ้วย้ำๆ ลงตรงจีบพับไล้วนตรงปากทางแต่ไม่สอดเข้าไป 

   “อ๊ะ...ฮือ...” 

    เด็กตัวหอมครางเสียงหวาน ผมผละมือออกดึงรูดกางเกงของเขาออก จับร่างบางให้ก้นงอนหันมาเผชิญหน้ากัน  ก้นนิ่มถูกแหวกออกกว้างช่องทางรักสีหวานขมิบถี่ยิบเรียกร้องเชิญชวนให้ผมก้มลงไปสำรวจ 

   “อา ..อ๊ะ...อ๊ะ..ซี๊ด...”

   เสียงครางหวานนั่นช่างเสนาะหูและยาวนานเมื่อผมส่งลิ้นเลียวนแยงสำรวจช่องทางรักสีหวานที่ยังคับแน่น  น้ำนิ่งกั้นเสียงร้องครางของตัวเองด้วยการครอบปากนุ่มลงตัวตนของผมลึกเท่าที่ปากอุ่นร้อนของเขาจะรับได้  ขยับโยกหัวขึ้นลงตามแรงที่ผมแยงลิ้นใส่ช่องทางรักของเขา  อีกมือผมเอื้อมไป  กอบกุมแก่นกายน่ารักที่มียอดปลายปริ่มน้ำใสเริ่มรูดรั้งขึ้นลงตามจังหวะลงลิ้นของตัวเอง เด็กน้อยผละปาก จากตัวตนของผมร้องครางกระเส่าเพราะโดนปรนเปรอทั้งหน้าและหลังพร้อมกันความกระสันเสียวมันจึงทบ เท่าทวี

   “ลุง..อา อ๊ะ อ๊ะ“ 

    เสียงหวานครางกระเส่าร้องเรียกแทนตัวผม “ลุง” ช่างเป็นเสียงที่กระตุ้นให้ตัวตนของผมพองคับแน่น ในปากอุ่นร้อนของน้ำนิ่งยิ่งขึ้นแทบแตกสลาย  เด็กน้อยของผมกำลังจะไปถึงขีดสุดของความสุขสมที่ไขว่คว้า ผมจึงทั้งขบเม้มดูดไล้เลียวนแย้งลิ้นสลับกันมือของผมขยับแก่นกายคนร่างบางรัวเร็วขึ้นไม่นานเด็กน้อยเกร็งตัวและปลดปล่อยน้ำรักขุ่นขาวออกมาเต็มหน้าอกผม 

    ผมพลิกตัวน้ำนิ่งให้นอนหงายลงกับเตียงครอบปากลงส่วนปลายยอดตัวตนน่ารักดูดกลืนกินน้ำหวานที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุด น้ำนิ่งเกร็งกระตุกอีกครั้งเมื่อน้ำหวานหยดสุดท้ายที่ผมดูดกลืนไหลลงสู่ลำคอ  เด็กน้อยตัวอ่อนนอนราบลงบนเตียงนุ่มหอบเหนื่อยจากสิ่งที่ได้รับ ผมดูดเลียทำความสะอาดตัวตนของเขาจนสะอาดก่อนผละปากออก

   “ขอภูมินะครับเด็กดี”

   ตอนนี้ชักจะเกินทนผมขยับตัวเข้ากอดรัดจับน้ำนิ่งนอนตะแคงบอกให้เขาหนีบขาให้แน่นๆ ก่อนจะสวนกระแทกแก่นกายที่แข็งขืนของตัวเองเข้าใส่หว่างขาเด็กน้อยแรงๆ  เสียงเนื้อกระทบกันดังก้องเป็นจังหวะ ร่างบางตัวไหวโยกตามแรงกระแทก ผมจับมือนิ่มของเขาให้ยื่นมากำแก่นกายของผมตอนที่กระแทกเข้าไปมันให้ความรู้สึกซ่านเสียวเกินบรรยาย  อีกมือผมเอื้อมไปกอบกุมแก่นกายของน้ำนิ่งขยับรูดขึ้นลงตามแรงกระแทกของผม

   “ซี๊ด...ดีเหลือเกิน  มีความสุขไหม.....เด็กดีของภูมิ”

   “ลุงเร็วอีก  อ๊ะ อ๊ะ ....” ผมขยับมือรูดรัวเร็วตามคำขอของน้ำนิ่ง สะโพกซอยกระแทกไม่ยั้งตามแรงอารมณ์ที่ไต่ระดับสูงขึ้นของเราทั้งคู่

   “ไม่ไหวแล้ว ซี๊ด....อา อา..”

    ผมกอดกระชับร่างบางแน่นขึ้นก้มลงสูดกลิ่นหอมจากซอกคอเนียน มือขยับตัวตนของคนในอ้อมกอดรัวเร็วสะโพกขยับกระแทกเข้าใส่แรงเร็วไม่กี่ครั้งความเสียวกระสันก็ซัดพาอารมณ์พุ่งทะยานอย่างระงับไม่อยู่ เราทั้งคู่เกร็งตัวและปลดปล่อยน้ำรักออกมาพร้อมกัน ในที่สุด  คนตัวเล็กในอ้อมกอดตัวอ่อนระทวยหายใจหอบเหนื่อย ผมยกมือเสยผมอ่อนนิ่มที่ระหน้าของเด็กขึ้น  นาบปากจูบขมับชื้นเหงื่อเรื่อยมาตามลาดไหล่บางอย่างรักใคร่หวงแหน

   “มีความสุขไหมฮึ” 

    ผมกระซิบถามเสียงแหบพร่า  กดจูบสูดดมทำรอยรักไปทั่วแผ่นหลังเนียนเรียบลื่น เด็กน้อยครางเครือก้นงอนส่ายบดเบียดแก่นกายที่ยังคงแข็งขืนของผมบางเบา

   “มาก....”  เสียงตอบยังหอบเหนื่อย  แก้มเนียนละเอียดขึ้นสีระเรื่อ ผมยกยิ้มพอใจกับคำตอบที่ได้รับ

.

.

.

.

.

   “ภูมิ....”

   “ครับ...” 

   “หนูขออีกได้ไหม”  สิ้นเสียงหอบเหนื่อยที่ร้องขอ น้ำนิ่งกลับส่ายก้นงอนเสียดสีบดเบียดแก่นกายผมแรงขึ้น 

   “ลุง...อ๊า...อา” 

    เสียงครางกระเส่าเชิญชวนนั่นมาอีกแล้ว ชักจะเอาใหญ่แล้วเจ้าเด็กนี่เลยจัดการพลิกร่างบางนอนหงายแทรกตัวเองเข้าหว่างกลางน้ำนิ่งตาปรือฉ่ำหวาน  ริมฝีปากเผยอน้อยๆ ลิ้นเล็กอุ่นชื้นสีชมพูแลบเลียให้ความชุ่มชื่นริมฝีปากของตัวเอง

    ช่างยั่วให้หลงอยู่ในวังวนของความเสน่หาจนอดไม่ได้ที่จะก้มลงประกบจูบสอดลิ้นร้อนเข้าไปดูดดึงกวาดต้อนลิ้นเล็กช่างยั่วในโพรงปากหวานจากบางเบาอ่อนโยนแล้วรุนแรงขึ้นตามอารมณ์ความปรารถนาและจบลงด้วยความอ่อนโยนนุ่มนวลอีกครั้งเมื่อร่างบางเริ่มขาดอากาศหายใจ  ผมไล้เลียลิ้นกดนาบตามริมฝีปากนุ่มดูดเม้มจนบวมเจ่อ นาบปากจมูกสูดดมขบเม้มไปตามซอกคอหอมจนถึงยอดอก ผ่านไปจนถึงยอดอกเล็กสีหวานตวัดลิ้นเลียวนขบกัดเบาๆ จนตุ่มไตตั้งชัน 

   “ซี๊ดภูมิ ภูมิ อา..”

    เสียงร้องครางหวานของคนใต้ร่างบ่งบอกว่าคงจะทั้งเจ็บทั้งเสียวแต่ก็แอ่นอกเสนอให้ถึงปากผมไล้เลียสลับขบเม้มดูดดึงทำรอยจนพอใจ ก่อนผละปากนาบจูบมาจนถึงสะดือบุ๋มจูบกัดทำรอยจนคนใต้ร่างซี๊ดปาก มืออีกข้างหนึ่งคีบบีบเขี่ยยอดอกสลับไปมาทั้งสองข้าง  แก่นกายน่ารักแข็งขืนผงกหัวทักทายเชิญชวนให้ผมดื่มกินน้ำหวานใสที่ผุดปริ่มตรงปลายยอด ปากร้อนครอบลงตามคำเชิญชวนดูดเม้มดื่มกินที่ส่วนปลายแรงจนคนใต้ร่างครางเสียงหวานกระเส่า

   “ซี๊ด..อ๊ะ ลุง ฮือ...”    

   ผมครอบปากลงจนสุดความยาวขยับปากขึ้นลงรัวเร็ว สะโพกมนของน้ำนิ่งขยับไหวตามแรงขยับปากของผม ผมละมือจากยอดอกเล็กที่ขึ้นสีชมพูเข้มจากการดูดดึงและบีบขย่ำ  ชะโงกตัวเปิดลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงหยิบหลอดเจลมาชโลมนิ้วมือจนชุ่ม  มือดันสะโพกมนลอยขึ้นสูงจนเผยให้เห็นช่องทางรักสีหวาน ผมเอานิ้วที่ชุ่มไปด้วยเจลไล้วนจีบพับสีหวานก่อนจะค่อยกดนิ้วลงไปในช่องทางรักที่คับแน่นและยากต่อการขยับเข้าไปได้  เด็กน้อยสะดุ้งและขยับสะโพกให้หลุดพ้นจากนิ้วแกร่ง มือเล็กพยายามผลักผมออกจากตัวเขา

   “อ๊ะ..เจ็บ...ภูมิ เอาออกไป..ไม่เอาฮึกฮือ...”

   คนตัวเล็กร้องครางด้วยความเจ็บ นัยน์สวยคลอคลองด้วยหยาดน้ำใสมีบางส่วนไหลปริ่มหางตา หยาดเหงื่อผุดพรายซึมตามไรผม ร่างบางบิดเร่าพยายามผลักดันสิ่งที่กำลังรุกล้ำออกจากร่างกาย  ผมก้มลงจูบซับน้ำตาทั้งสองข้างปากพึมพำปลอบประโลมชิดริมฝีปากนุ่ม  นิ้วยังคงแช่ค้างไว้ไม่ขยับ

   “ชู่ว์ ชู่ว์ เด็กดีๆ  ปล่อยให้ภูมิช่วยนะครับ นะ”

   ผมดึงตัวน้ำนิ่งเข้ามากอดปลอบ สอดลิ้นเข้าเกี่ยวกระหวัดดูดดึงลิ้นเล็กด้วยความอ่อนโยนจนคนใต้ร่างครางเครือในลำคอ ผละปากออกอย่างเสียดายเพื่อให้เด็กในอ้อมกอดได้มีโอกาสสูดลมหายใจเข้าปอด  ดูดเม้มค่อนข้างแรงใต้คางจุดไหวสัมผัสที่ทำให้ร่างบางครางกระเส่าแทบไม่เป็นภาษา แก่นกายเล็กที่อ่อนตัวเริ่มแข็งขืนอีกครั้งตามแรงอารมณ์ที่เริ่มพุ่งสูง จนช่องทางรักเริ่มผ่อนปรน

   “เด็กดีไม่เกร็งครับ  เชื่อใจภูมินะ”

   ผมถอนนิ้วเข้าออกจนสุดก่อนที่จะดันกลับเข้าไปใหม่อยู่สองสามครั้งเพื่อสร้างความคุ้นเคย  ผนังอุ่นร้อนตอบรับนิ้วผมระรัว ผมคว้านนิ้วไปทั่วช่องทางคับแน่นจนไปสะดุดเข้ากับจุดไหวสัมผัสที่ทำให้ร่างบางถึงกับหวีดร้องลั่นนิ้วเท้าจิกเกร็งด้วยความซ่านเสียวภายในผนังอุ่นร้อนตอดรัดนิ้วผมอย่างแรงจนต้องยกยิ้มกว้างด้วยความพอใจ

   “อ๊ะ...ตรงนั้น อา...”

   “หึ หึ..” ผมชักนิ้วออกจากช่องทาง ชโลมเจลลงบนนิ้วมือสามนิ้วก่อนจะกดกระแทกเข้าไปในช่องทางอุ่นร้อนให้โดนจุดนั้นเน้น ๆ

   “อ๊ะ...อ๊ะ ...อา...ลุง”

   ผมยืดตัวขึ้นประกบปากนุ่มดูดซับเสียงครางหวาน เกี่ยวกระหวัดกวาดต้อนดูดดึงจนคนในอ้อมกอดครางกระเส่าผมผละปากออกมาอ้อยอิ่งขบเม้มที่ริมฝีปากล่างบางเบา  นิ้วมือถูกชักออกจนสุดและดันเข้าไปใหม่กระแทกตรงจุดนั้นเน้นๆ แรงเร็วผนังอุ่นร้อนตอดรัดนิ้วผมระรัว คนใต้ร่างเกร็งกระสันเสียวซ่าน

   “ลุง ซี๊ด แรงๆ อ๊ะ  อา...”

   ความกระสันเสียวผลักดันให้น้ำนิ่งยกสะโพกมนกระแทกสวนใส่นิ้วมือผมที่ยังชักเข้าออกอย่างแรง ช่องทางรักตอดรัดนิ้วผมอย่างบ้าคลั่ง จนถึงจุดหมายน้ำนิ่งเกร็งตัวและปลดปล่อยน้ำรักขุ่นมัวออกมาอีกครั้งทั้งทีไม่ได้แตะต้องแก่นกายน่ารัก 

    แค่เพียงเพราะเสียงครางกระเส่ากับคำว่า “ลุง”  และปฏิกิริยาตอบสนองที่น้ำนิ่งกระแทกตัวเองใส่นิ้วมือผมอย่างแรง เท่านั้นจริงๆ ที่ทำผมแตกสลายทั้งที่ผมไม่ได้สอดใส่ (ไอ้อ่อนเอ๊ย!!)  ร่างบางเกร็งปลดปล่อยจนหยาดหยดสุดท้าย ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงนอนนุ่มอย่างเหนื่อยอ่อน  แผ่นอกบางสะท้อนขึ้นลงตามแรงหอบถี่ของหัวใจที่ทำงานหนักราวกับวิ่งมาราธอนมาหลายพันกิโล  แขนเรียวเล็กทิ้งลงข้างลำตัวอย่างหมดแรง ตาหวานฉ่ำปรือง่วงงุนจะหลับมิหลับแหล่

   ผมถอนนิ้วออกจากช่องทางรักที่ยังตอดรัดเบาๆ อย่างเสียดาย  ใช้มือดันก้นงอนยกขึ้นสูงช่องทางรักที่เคยเป็นสีชมพูระเรื่อตอนนี้บวมแดงนิดหน่อย ผมก้มลงใช้ลิ้นไล้เลียช่องทางรักกดจูบอ่อนโยนบางเบา ระเรื่อยมาจนถึงแก่นกายเล็กที่เริ่มอ่อนตัว หน้าท้องแบนราบที่เปรอะไปด้วยหยาดน้ำหวานของคนตัวเล็กจนสะอาด  ยืดตัวขึ้นนาบจูบลงที่ปากนุ่มเบาๆ เลื่อนจูบซับเหงื่อชื้นตามไรผมระเรื่อยมาจนถึงแก้มนิ่ม ขบเม้นหูเล็กเบาๆ ก่อนจะผละตัวลุกจากเตียง

   ผมเดินเข้าห้องน้ำเปิดน้ำอุ่นใส่อ่าง ระหว่างรอน้ำเต็มอ่างผมเดินกลับเข้ามาในห้องอุ้มคนตัวเล็กไปว่างไว้ที่ตั่งก่อนจะกลับมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ ปลุกให้คนตัวเล็กกินยาแก้ไข้แก้อักเสบดักไว้ก่อน  แล้วจึงอุ้มคนตัวเล็กลงไปแช่น้ำในอ่างด้วยกัน ความอุ่นเกือบร้อนทำให้ร่างเล็กผ่อนคลายจนต้องครางฮือ อา ตัวอ่อนยวบลงบนอกผม เราแช่น้ำกันจนน้ำเริ่มอุ่นจึงอุ้มน้ำนิ่งขึ้นมาเช็ดตัวลงสารพัดครีมจนครบถ้วน สวมชุดนอนตัวใหม่ให้ก่อนจะอุ้มมาวางที่เตียงนุ่ม

    เด็กน้อยนอนหลับตามพริ้ม เรียวปากนุ่มยกยิ้มน้อยๆ  ราวกับบทเพลงเห่กล่อมนั่นทำให้พบเจอฝันดี ผมวางผ้าวิเศษประจำตัวเข้าในอ้อมกอด ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนถึงคอกันด้านข้างให้แน่นแล้วจึงกดจูบที่แก้มนิ่มอีกครั้ง

   “รักมากนะแรดน้อยของภูมิ  รอภูมินะเด็กดี”

   “ฮือ กลับมาเร็วๆ นะฮะ”













[มีต่อด้านล่าง]






หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.11_ บทเพลงเห่กล่อม_P.3 [26_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 26-10-2015 08:53:59
[ต่อจากด้านบน]



   ผมมาถึงจุดนัดหมายตอนตีห้าครึ่ง คนที่ออกมายืนรอรับที่หน้าบ้านพักตากอากาศริมหน้าผาไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้ผมนัก  ‘เฮียเซน’ ชายชาวจีนรูปร่างสูงใหญ่กำยำ (192) แขนขาปรากฏกล้ามเนื้อแน่นสวยตามลักษณะของคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ หน้าหล่อคมแต่เรียบนิ่งเย็นชา นัยน์ตาดุเรียวรีหางตาเชิด ถ้าเฮียจะยิ้มสักนิดนะผมว่าสาวแก่ แม่ม่าย เก้ง กวาง ติดเฮียตรึมไม่แพ้พี่ฉานนั่นล่ะ

   เขาให้เฮียมาควบคุมทีมสังหารและทีมสไนเปอร์จำนวนหนึ่ง พร้อมอาวุธสงครามเต็มอัตราร่วมทริปครั้งนี้  แม้คนที่เขาส่งมาจะน้อยนิดแต่ไม่ต้องห่วงเรื่องฝีมือทุกคนระดับพระกาฬทั้งสิ้น 

    บ้านพักตากอากาศริมหน้าผาที่อยู่ตรงหน้าเฮียเซนเป็นคนจัดหาเอง ชั้นล่างด้านติดทะเลอยู่ตรงชะง่อนผาติดกระจกบานใหญ่จากเพดานจรดพื้นมองเห็นบริเวณโดยรอบรวมถึง Lady Q ได้ชัดเจน พื้นที่ทั้งหมดถูกปรับเปลี่ยนเป็นห้องประชุม  ห้องทำงาน  รวมถึงติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารทันสมัยเพื่อซับพอร์ทการทำงานของทีมสังหารให้สะดวกและปราศจากอุปสรรคที่จะรบกวนการทำงาน เขาโทรทางไกลข้ามประเทศมาสั่งเด็ดขาดให้ผมสังเกตการณ์ได้แต่ห้ามลงเล่นเองเด็ดขาดถ้าขัดคำสั่งทุกอย่างยกเลิก ทุกกิจกรรมให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ  “เฮียเซน” 



   ผมเดินมาถึงบริเวณพื้นที่ประชุมพวกพี่ๆ และคนของเฮียเซนพร้อมอยู่แล้วรอการมาถึงของผม หลังจากที่ผมเข้านั่งเรียบร้อยเฮียเซนเริ่มแจงรายละเอียดของทริปทันที

    “ถ้าพร้อมแล้วเรามาเริ่มกันเลย คืนพรุ่งนี้ผมไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด จึงให้ทุกทีมทำตามแผนและรักษาเวลาด้วยนะครับ เราจะแบ่งทีมออกเป็น 3 ทีมหลัก และหกทีมซัพพอร์ท ทีม A  คุณแสน อันเดรีย และอาแจ๊กซ์  เก็บกวาดห้องประมูล  ทีม B คุณณิต อัลแบร์โต้ และดิเอโก้ เก็บกวาดห้องเก็บสินค้า  ทีม C คุณฉาน  ฟรังโก้ และปิแอร์ เก็บกวาดทำความสะอาดทุกพื้นที่  หลังจากนั้นจึงเป็นเรื่องของทีมคุณกรณ์นำกำลังฝ่ายรัฐบาลเข้าจับกุมกลุ่มคนร้าย

   “ผมให้ทีมซัพพอร์ทแทรกซึมเข้าไปในเรือแล้วบางส่วน  และที่เห็นอยู่บนจอตรงหน้าคือ แบบพิมพ์เขียวทั้งหมดของ  Lady Q บริเวณโถงทางเดินทุกชั้น บันไดหนีไฟ หน้าลิฟต์ ติดกล้องวงจรปิด แต่นั้นไม่เป็นปัญหากับเรา

    ชั้นใต้ดิน พื้นที่เป้าหมายมีระบบการป้องกันแน่นหนา ทุกห้องในโซนนี้มีติดสัญญาณอินฟาเรดด้วยซึ่งก็ไม่ยากในการเข้าถึง ชั้นนี้มันแบ่งเป็นสามส่วน คือ ห้องควบคุม  ห้องประมูล และห้องเก็บสินค้า

        งานปาร์ตี้เปิดตัว Lady Q จัดขึ้นบริเวณชั้นดาดฟ้าเรือ เวลา 21.00 นาฬิกา ตัวใหญ่จะใช้เวลาอยู่ในงานหนึ่งชั่วโมง หลังตัวใหญ่เข้างานทีมสื่อสารจะแฮกค์เข้าคอมพิวเตอร์หลักของระบบควบคุมกล้องวงจรปิดทำการกรอภาพและฉายซ้ำ รวมทั้งตัดสัญญาณอินฟาเรด เรามีเวลาแค่ 20 นาที ให้ทีม B  เข้าตรวจสอบสินค้าเตรียมขนย้าย แล้วทีมสื่อสารจะออกจากระบบควบคุมเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต 

    ตัวใหญ่จะออกจากงานปาร์ตี้ เวลา 22.00 นาฬิกา โดยใช้ลิฟต์ส่วนตัวจากบริเวณนี้ ลิฟต์นี้จะตรงถึงห้องประมูล ใช้เวลาราว 1 นาที ทีม A ต้องเร่งรัดตัดจบทุกอย่างให้ได้ภายใน 20 นาที หลังจากนั้นทีม C เข้าเก็บกวาดให้เสร็จ และทุกทีมถอนตัวออกจากพื้นที่ เวลา 23.00 น. เขาให้จับเป็นตัวใหญ่แต่ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยก็ให้เก็บได้เลย

    ทีมคุณกรณ์นำกำลังของหน่วยพิเศษเข้ากวาดล้าง เวลา 23.15 นาฬิกา และต้องออกจากพื้นที่ เวลา 23.45 นาฬิกา ระเบิดที่เราตั้งไว้จะทำงานหลังจากนั้น 1 นาที มีใครสงสัยอะไรรึเปล่า” เฮียเซนอธิบายแผนให้เราทุกคนฟังอย่างละเอียด

        "พวกคุณชอบปาร์ตี้รึเปล่า?"  เฮียเซนถามขึ้นหลังจากที่ไม่มีข้องใจหรือสงสัยแผนล่องเรือสำราญ

   “ปาร์ตี้?”  พี่เอ็กซ์ถามขึ้นด้วยความสงสัย

   “ใช่ปาร์ตี้”  เฮียเซนตอบเสียงเรียบ

   “น่าสนใจดีนี่”  เสียงพี่เอ็กซ์ตอบกับด้วยความกระตือรือร้น

   “มันแน่อยู่แล้ว”  เฮียเซนตอบกลับสีหน้าเย็นชาเรียบนิ่ง

   “อืม งั้นวันนี้ก็คงจะแค่นี้แยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อน  พรุ่งนี้คิดว่าคงจะยาวนานสำหรับพวกเราทุกคน” เฮียเซนตัดจบและให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน



หนึ่งวันก่อนทริปเรือสำราญ

   เวลา  10.00 น. พวกเรารวมตัวกันอยู่ห้องประชุมชมบรรยากาศภายใน Lady Q แทบทุกตารางนิ้ว และบริเวณโดยรอบจากจอมอนิเตอร์นับสิบในห้องนี้ 

   “ตอนนี้เป้าหมายของพวกคุณเข้าพื้นที่แล้ว  คนของผมยืนยันแล้วว่าคุณคมกิจเป็นตัวการสำคัญในการโกงบริษัทของคุณแม้นเหมือน  แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของ ACE ในฐานะที่พวกเขาเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนจน Lady Q สามารถเปิดตัวได้สำเร็จ  ACE รับรองสถานะของเขาให้เป็นสมาชิกขั้น 3 พร้อมสัตว์เลี้ยงที่เขากระเหี้ยนกระหือรืออยากได้โดยไม่ต้องเข้าประมูล และปาร์ตี้เอ๊กซ์คลูซีฟส่วนตัวที่คลับบนชั้นดาดฟ้า Lady Q คืนนี้

    เป้าหมายของพวกคุณไม่ได้เพิ่งจะทำอย่างนี้กับเด็ก พวกนั่นทำกันมายาวนาน แหล่งหาเด็กของคนพวกนี้คือ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทั่วประเทศรวมถึงเรือนของพวกคุณด้วย  ล่อลวงจากผับ ร้านคาราโอเกะ ร้านเกมส์ เด็กที่พ่อแม่เอามาขัดดอกเบี้ยเงินกู้นี่แค่บางส่วน”  เฮียเซนพูดเสียงเย็น ตาคมดุเต็มไปด้วยความโกธรเกรี้ยว

   “คนเราจะทำสิ่งที่น่าแปลกใจ เมื่อมีแรงกระตุ้นที่มากพอ และแรงกระตุ้นของคนแบบมันก็คงจะไม่พ้นอำนาจ เงิน ยาเสพติด และเซ็กซ์ กูว่าถ้าปล่อยไว้ก็ยิ่งอันตรายกับคนอื่น“  พี่ณิตเสียงเรียบนิ่งเจือความหดหู่

   “แมร่งเอ๊ย!! ระยำหมา ชาติตระกูลหรือการศึกษาไม่ได้ช่วยขัดเกลาให้แมร่งเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลย กูไม่อยากปล่อยเศษสวะนี่มีชีวิตอีกแล้ว กูสงสารน้องๆ วะ”  พี่แสนพูดเสียงเข้มกรามขบแน่น ตาวาวโรจน์ด้วยโทสะเริ่มคุกรุ่น คนอื่นๆ ต่างพยักหน้าเห็นด้วย

   “ถ้ามันทำมานานขนาดนี้แล้วยังลอยนวลอยู่  กูว่ากฎหมายแมร่งก็คงเอาผิดมันไม่ได้ จะรอทำไมจัดแมร่งเลยสิ”  พี่ฉานพูดเสียงเข้มออกเสียงสนับสนุนอีกคน

   “เราจะจบเรื่องนี้กันคืนนี้”  ผมหันไปพูดเสียงต่ำเย็นกับเฮียเซนซึ่งพยักหน้าเห็นด้วย

   “ตามนั้น”  เฮียเซนตอบรับเสียงเรียบ



    เวลา  22.00  น. พวกเรานั่งจับจ้องทุกความเคลื่อนไหวบน Lady Q โดยเฉพาะบรรยากาศงานปาร์ตี้เอ็กซ์คลูซีฟของ   คุณคมกิจ ผมเห็นคุณคมกิจ คุณธนู (ผู้ถือหุ้นและกรรมการบริหารบริษัท บุลวัชร) มิสเตอร์แฟรงค์ (คงจำคนนี้ได้เคยมาขอน้องบีไปเป็นบุตรธรรม ชัดเจนว่ามันเป็นคนของ ACE ไม่อยากจะคิดว่าตอนนี้น้องบีจะเป็นยังไงใจผมหดหู่ที่คิดถึงน้องขึ้นมา) เสี่ยวิชัย และชายแปลกหน้าอีกคนที่ผมไม่รู้จัก

    ทั้งหมดกำลังเล้าโลมเด็กชายสองคนที่ถูกสวมปลอกคอ มือเท้าถูกมัดด้วยเชือกโยงใส่กัน ดูจากหน้าตาอายุคงจะไม่เกินสิบปี คาดว่าเด็กทั้งคู่คงจะโดนยาปลุกเซ็กซ์เข้าไปเต็มๆ เสียงร้องครวญครางที่ไม่มั่นใจว่าเจ็บหรือสุขสมมันปะปนกันจนแยกแยะไม่ออกจากปากเด็กทั้งสอง ภาพที่เห็นมันทั้งน่าสงสารและน่าสมเพทเวทนาจนใจหดหู่แทบจะรับไม่ไหว 

    ขณะที่ชายแก่ทั้งหมดกำลังมัวเมากับเรือนร่างเปล่าเปลือยของเด็กอยู่นั่นเอง อาแจ๊กซ์  ฟรังค์โก้ และการ์ดอีก 3 คน ตรงเข้ากระชากชายมากตัณหาออกจากตัวเด็ก เหวี่ยงหมัดไม่มีหูรูดเปรี้ยงเดียวเข้าปลายคางชายเหล่านั้นน็อคกลางอากาศ  การ์ดร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเข้าช่วยเหลืออุ้มเด็กขึ้นบ่าเดินออกจากห้องไปก่อน 

    ส่วนอีก 4 จัดการมัดมือเท้าของชายทั้งหมดแล้วแบกใส่บ่าออกจากห้อง  ภาพเคลื่อนไหวไปยังมุมอับท้ายเรือที่มีรถโฟล์วิวสองคันจอดติดเครื่องรออยู่ คนของเฮียเซนแบกชายทั้งห้าโยนเข้าไปในรถโฟล์วิลก่อนทั้งหมดจะตามขึ้นรถแล้วขับลับหายออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว




   จนกระทั่งเวลา 23.00 น. คนของเฮียเซนรายงานเข้ามาว่า  ทุกอย่างพร้อมในงานแล้ว พวกเราทั้งหมดจึงแยกกันขึ้นรถสองคันที่จัดเตรียมไว้ไปยังสถานที่จัดงาน

   รถเคลื่อนตัวไปตามถนนสายรอบเมืองมายังอีกอำเภอหนึ่งของจังหวัดแต่ไม่ได้ตรงเข้าตัวอำเภอ กลับเลี้ยวไปตามถนนเส้นเล็กๆ เหมือนทางเข้าหมู่บ้านระยะทางประมาณ  9  กิโลเมตรจากถนนใหญ่ เลี้ยวลงถนนดินของสวนปาล์มเข้ามาอีกราว 900 เมตร จนถึงบริเวณป่าหญ้าที่ขึ้นสูงเกือบท่วมหัวเนื้อที่เกือบไร่ผ่านป่าหญ้าไปมีบ้านร้างอยู่หลังหนึ่งคาดว่าคงไม่มีคนอยู่มาหลายปีเพราะสภาพภายนอกสีมันผุกร่อนจนไม่เหลือเค้าเดิม  คนของเฮียก็ช่างสรรหาสถานที่เหลือเกินทั้งห่างไกลและเปลี่ยวร้างเพื่อนบ้านแหกป่าให้ตายก็ไม่มีใครได้ยิน

    บริเวณหน้าบ้านมีรถโฟร์วิลจอดอยู่แล้วสองคัน พวกเราขับรถเข้าไปจอดบริเวณหน้าบ้านได้ยินเสียงดังโวยวายลอดออกมาจากในบ้าน  ฟรังค์โก้เปิดประตูออกมาทักทายพวกเรา

    ผมมองเข้าไปบริเวณห้องโถงอาแจ๊กซ์และบอดี้การ์ดอีกสามคนยืนเฝ้าชายทั้งห้าอยู่  คนพวกเขานั้นถูกมัดมือไขว้ไปข้างหลังนอนอยู่บนพื้น  หน้าตาบวมปูดแตกยับหลายแห่งเลือดยังไหลซิบ  อาแจ็กซ์และคนอื่นๆ หันมาทักทายพวกเรา 

   “พวกมึงเป็นใคร ปล่อยกูเดี๋ยวนี้ มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร” 

    พอได้ยินเสียงประตูเปิด คุณคมกิจตะคอกเสียงดังและข่มขู่ให้ปล่อย บริเวณหน้าบ้านที่พวกเรายืนอยู่มันไม่ค่อยสว่างเขาจึงยังไม่รู้ว่าใคร  พวกเราเดินเข้าไปในบ้านคนของเฮียเซนปิดประตูแล้วให้คนของเขาคนหนึ่งไปเฝ้าหน้าบ้านไว้  พอพวกเราเดินไปถึงบริเวณห้องโถงที่มีแสงสว่างของไฟหลอดกลมแรงเทียนน้อย คนทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจที่ไม่คิดว่าจะเป็นพวกเรา

   “สัสเอ๊ย!! พวกลูกกระหรี่พ่อไม่เอานี่เอง มึงจับกูมาทำไม”  คุณคมกิจที่ได้สติก่อนใครพ่นคำบริภาษเสียงแข็งกร้าว 

   “ครับคุณคมกิจ ขอต้อนรับสู่นรกที่แท้จริงอย่างเป็นทางการ  หวังว่าคงจะพอใจกับการต้อนรับของพวกเรา”  ผมตอบกลับด้วยเสียงเย็นราบนิ่ง

   “กูเป็นอาของแม่มึงนะ กล้าเนรคุณกับคนที่แม่มึงนับถือเหรอ..”  ผมยืนฟังด้วยสีหน้าเรียบเย็นชา ความเดือดดาลเริ่มพลุกพล่านในอก มันยังกล้าเอาแม่มาอ้างผมกำมือแน่น

   “จุ๊ๆ แล้วทำไมกูจะไม่กล้า..สิ่งที่พวกทำแค่นี้มันยังน้อย”  พี่แสนเอามือบีบกรามของคุณคมกิจแน่นตอบกลับด้วยเสียงทุ่มต่ำ ก่อนจะผลักคนนั้นล้มลงไปกับพื้นเหมือนเดิม

   “จับกูมาทำไม กูไปฆ่าพ่อมึงเหรอ ลืมไปพวกมึงลูกไม่พ่อ  รู้ไหมกูเป็นใคร ถ้ากูรอดไปได้จะเอาลูกตะกั่วยัดปากพวกมึง”  เสี่ยวิชัยพ่นคำข่มขู่เสียงแข็งกร้าวหลังจากตั้งสติได้

   “ยังปากดีนะมึง แต่ที่แน่ๆ กูไม่รู้ว่ามันจะมีวันนั้นรึเปล่านี่สิ เวลานี้ ตรงนี้ กูมั่นใจว่าความตายมันนั่งกอดคอพวกคุณมึงแล้ว”  พี่ณิตตอบกลับพวกมันเสียงกร้าว

   “ปะ ปล่อยผมเถอะ คะ คุณสิงห์ ผะ ผมไม่รู้เรื่อง”  คุณธนูพูดอ้อนวอนลนลาน

   “ผะ ผม โดนบะ บังคับ หะ ให้ทำ ผะ ผม มะ ไม่ รู้เรื่อง” 

    คุณธนูคลานเข้ามาซบที่เท้าผม  ฟรังค์โก้เดินเข้ามาแล้วยกเท้าใหญ่ที่หุ้มด้วยคอมแบทยันโครมเข้าตรงกลางลำตัว จนร่างของคุณธนูลอยหวือไปกระแทกเสากลางบ้าน เสียงร้องดังอั๊ก ก่อนที่ร่างนั้นจะแน่นนิ่งไป คุณคมกิจตาเบิกโพลงเหลือกลาน เอ่ยละล่ำละลักปัดความผิดให้พ้นตัว

   “มะ ไม่ อาไม่ระ รู้เรื่อง ไอ้ธนูมันต้นคิด ปล่อยอาไปเถอะ อาไม่รู้เรื่อง” 

   “จับกูมาทำไม กูทำอะไรให้พวกมึงๆ กูไม่เกี่ยวกับพวกมัน ปล่อยกูนะโว้ย พวกชาติหมา...”  ชายอีกคนที่ผมไม่รู้จักรีบปฏิเสธเป็นพัลวันดิ้นรนกระเสือกกระสนจากสิ่งพันธนาการ  เลยโดนฟรังโก้เตะเข้าสะบักเอวเต็มๆ ถึงกับล้มคว่ำกระแทกพื้นอีกครั้ง

   คุณคมกิจเบิกตากว้าง  ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว  เมื่อความตายเข้ามาเคาะประตูบ้าน  คนเรามักจะอ้อนวอนปัดความผิดให้พ้นตัว ตัวเองจะได้เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่คิดว่าผมจะเห็นใจเหรอสิ่งที่พวกเขาทำกับเด็กมันเลวระยำยิ่งกว่าเดรัจฉาน

   “น้องกูอยู่ไหน”  พี่เอ็กซ์ดึงกระชากผมจนหน้าคุณคมกิจแหงนเงยขึ้นตะคอกถามเสียงแข็งกร้าว

   “คะ ใคร ไม่รู้เรื่อง ทะ ทำอะไร อาไม่ได้ทำ”  คุณคมกิจละล่ำละลักปฏิเสธพัลวัน

   “มึงยังว่าไม่ได้ทำอีกเหรอ แล้วเด็กที่มึงกับไอ้แก่นั้นมอมยาแล้วทำระยำที่ผับดาร์กแองเจิลคืออะไร น้องกูอยู่ไหน มึงเอาเขาไปไว้ไหน”   พี่เอ็กซ์ตะคอกใส่หน้าคุณคมกิจเสียงดังด้วยโทสะที่พุ่งสูง ตาวาวโรจน์ด้วยความเครียดแค้นชิงชัง

   “อาไม่ได้ทำนะ ส สิงห์  อาไม่รู้เรื่อง ไอ้ธนูมันเอายาให้เด็กเกินขนาดจนเด็กนั่นทนไม่ไหวตายเอง ไว้ชีวิตอาเถอะ  อาไม่เกี่ยว อาไม่รู้เรื่องธนูมันทำ มันขายร่างเด็กไปแล้ว”  ความกลัวที่ฉายชัดอยู่ในแววตาของชายแก่ที่น่าสมเพททำให้เขาปัดความผิดออกจากตัวเองพัลวันกระเสือกกระสนตัวเองจนมาแทบเท้าผม

   “มึง!!” 

   “ผลัวะๆๆๆ”

   “ตุบ”

   เส้นความอดทนขาดผึง พี่เอ็กซ์ร้องดังลั่นกระแทกหมัดใส่หน้าชายแก่อย่างแรงรัวเร็วติดหลายมัดด้วยความคั่งแค้น เลือดสาดกระจายฟันหน้าหลุดกระเด็นจากเหงือกเกือบทั้งแผง คุณคมกิจล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรงพื้น เลือดสีแดงฉานทะลักออกจากปากกระเด็นเปรอะไปตามพื้น พี่เอ็กซ์ย่างสามขุมเข้าไปหาร่างที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นหวังจะซ้ำแต่พี่กรณ์เข้ามาดึงตัวออกไปก่อน

   “เอ็กซ์ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันตายเสียก่อนแล้วงานเราจะกร่อย”  พี่กรณ์บอกเสียงเรียบมือแกร่งดึงเพื่อนออกห่างจากคุณคมกิจ

   “กูคงให้อภัยกับสิ่งที่มึงทำไม่ได้”  พี่เอ็กซ์สบถดังลั่น นัยน์ตาแข็งกร้าว ผมหันไปพยักหน้ากับคนของเฮียเซน

   “ในเมื่อคุณเสพติดปาร์ตี้ก็ขอให้สนุกกับมันให้เต็มที่นะครับขาดเหลืออะไรบอกผมยินดีสนองเต็มที่”  ผมบอกเสียงเย็นกับคุณคมกิจที่พยายามยกหัวขึ้นมาส่งสายตาวอนขอชีวิต

   คนของเฮียดึงกระชากกางเกงของชายแก่ทั้งห้าออกจากตัว  แล้วลากตัวไปมัดไว้กับเสากลางบ้านคู่ละต้น เชือกที่มัดตรงข้อเท้าทั้งสองข้างถูกดึงจนตึง ทำให้ขาทั้งคู่ยกแนบไปกับอกก้นลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อย 

    อาแจ๊กซ์ ฟรังโก้ และการ์ดอีก 2 คน เอาเข็มฉีดยาขนาดใหญ่ดูดน้ำสีใสจากขวดเท่าฝ่ามือเด็กจนเต็ม ฉีดเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่ตรงแขนของชายทั้งห้า หลังจากนั้นจึงเอายาปลุกเซ็กซ์แบบสอดยัดเข้าไปในช่องทางด้านหลัง  พวกเขานำแท่งของเทียมขนาดใหญ่กระแทกเข้าไปในช่องทางนั้นอย่างไม่ปราณีปราศรัย ทั้งหมดร้องโอ๊ดโอ๊ยด้วยความเจ็บปวดพยายามดิ้นหนีแต่คนของเฮียกดยึดสะโพกไว้แน่นดันแท่งของเทียมนั้นมิดด้ามอย่างแรงจนยาถูกดันเข้าไปในช่องทางจนหมด พวกเขาไม่ได้ดึงแท่งนั้นออกแต่เสียบมันไว้อย่างนั้น

    ผมว่ายาที่ยัดเข้าไปนั่นคงหลายสิบเม็ด ชายแก่ทั้งห้าตาเบิกโพลงด้วยความกลัวกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ ไม่กี่นาทีต่อมาแก่นกายของพวกคุณกิจเริ่มแข็งขืนขึ้น คนของเฮียเอาค๊อกริงรัดเข้าไปที่โคน ไม่พอการ์ดนำหมุดขนาดเท่าปลายก้อยเด็กสองเม็ดยัดเข้าไปในรูตรงส่วนปลายที่บานใหญ่ เสียงร้องของคนพวกนั้นโหยหวนด้วยความกำหนัดอยากจะปลดปล่อยแต่ไม่สามารถทำได้

   ปาร์ตี้มันเพิ่งจะเริ่ม คนของเฮียดึงแท่งเทียมออกจากช่องทางของคนทั้งหมดอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง 'พล๊อก' ช่องทางนั้นเมื่อไม่มีอะไรยัดอยู่เกิดเป็นรูกร๋วงโบ๋เลือดสีแดงชาดไหลซึมออกมา พวกการ์ดเอาเครื่องช่วยตัวเองซึ่งตรงปลายมีแท่งของเทียมสีดำขนาดใหญ่เท่าแขนเด็กเล็กไปจ่อตรงรูกร๋วงโบ๋  เมื่อมันอยู่ในรัศมีทะลวงก็กดปุ่มเปิดเครื่องระดับแรงที่สุดของเทียมนั้นกระแทกอย่างแรงเข้าไปในรูกร๋วง 

         ตึก ตึก

         อ๊ากกกกกกกกก...

    ชายตัณหากลับร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน  พยายามกระถดร่างหนีแต่ไม่สามารถขยับไปไหนได้เพราะติดเสา  แต่ยิ่งดิ้นเชือกยิ่งมัดแน่นเปิดช่องทางให้รัศมีการทะลวงแม่นยำยิ่งขึ้น ตรงแก่นกลางเริ่มมีสีคล้ำเพราะไม่สามารถปลดปล่อยความต้องการได้ 

   “ตึก ๆ ๆ ๆ”

    เสียงเพลงแห่งความตายดังก้องผสานเสียงโหยหวนที่บ่งบอกถึงเจ็บปวดเมื่อเครื่องนั่นกระแทกเข้าออกช่องทางด้านหลังอย่างรุนแรง เลือดสีแดงฉานทะลักออกมาจากช่องทางนั้นไหลไปตามแก้มก้นก่อนหยดลงพื้นทุกครั้งที่เครื่องนั้นถูกดึงเข้าออก กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งลอยปะปนกับอากาศในห้องแทบคลื่นเหียน

    เสียงโหยหวนดังขาดห้วงราวกับแผ่นเสียงตกร่องค่อยๆ เงียบลงเมื่อเวลาประมาณตีสี่ คุณคมกิจและพวกอยู่ในสภาพช็อกตาเหลือกโปน ปากอ้าค้างเลือดไหลทะลักจากปากและช่องทางด้านหลัง เครื่องเพศดำคล้ำคลั่งไปด้วยเลือด มันเป็นภาพที่สยดสยองและน่าสมเพทจนต้องเบือนหน้าหนี  การ์ดเดินเข้าไปจับชีพจรปรากฏว่าพวกนั้นหัวใจวายตาย มันเหมาะสมกันดีกับสิ่งที่พวกมันทำกับเด็ก ไม่มีอะไรฟรีในโลกนี้ทุกอย่างต้องแลกเปลี่ยนทั้งนั้น…ชีวิตต่อชีวิต

   “เก็บกวาด”  เฮียเซนสั่งคนของเขาเสียงต่ำเย็นไร้ความรู้สึก ก่อนที่นะหันมาพยักหน้าให้พวกเราออกจากพื้นที่เพื่อไปพักผ่อนเตรียมตัวไปทริปกันในเย็นวันนี้















TBC.



ปล.

1. เขียนบทนี้จบรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อย เหมือนฆาตกรโรคจิตรึเปล่า (แอบสะใจเล็กๆ) ไอ้ตัวรีพาย 2 คงไม่แรงไปหรอกนะ พิมพ์แล้วตัดแก้ไขอยู่หลายครั้งเหมือนกันเพื่อไม่ให้มันดูโหดและเถื่อนมากเกินไป

2. ขอย้ำเรื่องนี้มันไม่หวานอย่างเดียวหรอกนะ อย่างที่บอกมนุษย์ไม่ได้มีใครดีร้อยเปอร์เซ็น จิตใจของมนุษย์มันยากแท้หยั่งถึงตราบใดที่ยังมีความรัก โลภ โกธร หลง คอยชักใยสั่งการอยู่เต็มพื้นที่   

3. อีกสักสองสามวันเราจะไปทริปล่องเรือสำราญกันเตรียมตัวให้พร้อมนะครับ เขียนเสร็จแล้วขอพิสูจน์อักษรและแก้ไขสำนวนอีกนิดครับ :)

4. ขอบคุณมากมายจากใจสำหรับการติดตามเราเสมอมา หากเจอข้อผิดพลาดประการใดอยากให้แก้ไขก็บอกเล่าเก้าสิบกันนะครับยินดีรับฟังและแก้ไข


หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.11_ บทเพลงเห่กล่อม_P.3 [26_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 26-10-2015 09:01:47
เศร้ามากที่น้องตายแล้ว

ไหนๆเรื่องมันก็จิตได้ขนาดนี้ ช่วยจัดให้ทุกคนโดนอย่างสาสมด้วยเถอะค่ะ พลีส
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.11_บทเพลงเห่กล่อม_P.3 เมื่อฉันลองเป็นฆาตกรโรคจิต[26_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-10-2015 16:54:54
สงสารน้องอาร์ แม้แต่ร่างก็ไม่ได้กลับไปทำพิธีเผา :monkeysad:

สงสัยตอน

คนของเฮียดึงกระชากกางเกงของชายแก่ทั้งหกออกจากตัว 

เอาเข็มฉีดยาขนาดใหญ่ดูดน้ำสีใสจากขวดเท่าฝ่ามือเด็กจนเต็ม ฉีดเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่ตรงแขนของชายทั้งห้า

สรุปว่าหกคนหรือห้าคนที่โดน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.11_บทเพลงเห่กล่อม_P.3 เมื่อฉันลองเป็นฆาตกรโรคจิต[26_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 26-10-2015 19:26:53
แรดน้อยของภูมิ ชอบประโยคนี้จัง  :m4:

อุ้ยตาย..พวกชิงหมาเกิด จัดหนักถูกใจแม่ยก  :z4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.11_บทเพลงเห่กล่อม_P.3 เมื่อฉันลองเป็นฆาตกรโรคจิต[26_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 26-10-2015 19:41:25
การลงโทษพวกนี้มันดูโหดก็จริง
แต่ก็แอบคิดว่า มันก็สมควรแล้ว
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.12_ไปล่องเรือกันเถอะ_P.3 อัพเดต 28-10-2558
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 28-10-2015 22:03:30
เด็กเลี้ยง




- 12 -

ไปล่องเรือกันเถอะ









20.45 น.

   ผม เฮียเซน และบอดี้การ์ดซึ่งที่มีหน้าที่ควบคุมเครื่องมือสื่อสารอีก 3 คน กำลังนั่งดูความเคลื่อนไหวบริเวณรอบๆ Lady  Q และทั่วทั้งบริเวณงานประดับประดาด้วยไฟประดับสีส้มเล็กและดอกไม้สวยงาม เสียงเพลงจากวงดนตรีชื่อดังร้องขับกล่อมคลอเบาๆ แข่งกับเสียงพูดคุยเซ็งแซ่จนไม่ศัพท์ ภายในงานคราคร่ำไปด้วยกลุ่มผู้ทรงอิทธิพล คนดังไฮโซเซเลปทั่วฟ้าเมืองไทยและต่างประเทศ แม้กระทั้งคนปล่อยยาเสพติด อีตัวชั้นสูงที่ทำตัวเป็นไฮไซหวังตกถังข้าวสาร แต่ใครจะสนทุกคนต่างหัวร่อต่อกระซิกสนุกสนานเต็มที่กับสิ่งที่เจ้าของงานจัดหาไว้ให้

   จอมอนิเตอร์ 4 – 6 ที่พวกเรามองอยู่เป็นส่งจากกล้องขนาดจิ๋วที่ติดอยู่กับทีม B พี่ณิต อัลแบร์โต้ และดีเอโก้ ทั้งสามกำลังเดินอย่างระแวดระวังลัดเลาะไปตามกาบเรือไปสู่ทางลงบันไดหนีไฟที่เชื่อมไปถึงห้องกักเก็บสินค้า ไฟที่ติดประดับระหว่างทางเดินอวดความหรูหราบอกรสนิยมของเจ้าของแต่ไม่อาจส่องแสงสว่างมาถึงเส้นทางที่ทั้งสามกำลังเดินลงไปสู่ห้องกักเก็บสินค้าได้ 

    ในที่สุดทั้งสามก็เดินมาจนถึงบริเวณชั้นใต้ดิน ห่างจากประตูทางเข้าสิบเมตรทีมซัพพอร์ตรออยู่แล้ว 3 คน แต่ไม่เห็นคนของ ACE เฝ้าประตู  การรักษาความปลอดภัยช่างหละหลวมกว่าที่คาดไว้มากทั้งที่เป็นพื้นที่ต้องห้าม

   พี่ณิตล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหยิบแว่นดำที่ใช้สำหรับสแกนและตรวจจับสัญญาณอินฟาเรดขึ้นมาสวม ภาพที่ปรากฏคือเส้นสีแดงโยงไขว้กันไปมาเต็มหน้าจอมอนิเตอร์ เพราะอย่างนี้เองพวกมันถึงไม่มีคนเฝ้าหน้าห้องเก็บกับสินค้า

   “พร้อมตรวจสอบสินค้า”

    พี่ณิตให้สัญญาณมายังศูนย์ควบคุม  ทิมหันดำเนินการแฮกค์เข้าระบบคอมพิวเตอร์เมนเฟรมของฝ่ายนั้นใช้เวลาไม่ถึงนาทีทิมก็บล็อกสัญญากล้องและอินฟาเรดได้สำเร็จ

    - เคลียร์ -

   ทั้งหมดรีบเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปยังประตู แต่ปรากฏว่ามันคล้องไว้ด้วยแม่กุญแจตัวเขื่อง พี่มันกระดิกนิ้วเรียกสมาชิกในทีมให้เข้ามาจัดการ แค่ชั่วอึดใจแม่กุญแจหล่นแคร๊งลงกระทบพื้น  ประตูถูกกระชากเปิดด้วยมือของพี่ณิต 

    ด้านหลังประตูสลัวด้วยไฟแรงเทียนน้อยที่ติดเว้นระยะห่างไปตามแนวผนัง ทั้งหมดเดินไปตามทางแคบๆ จนไปถึงประตูเหล็ก ด้านข้างของกรอบประตูมีอุปกรณ์แผงอิเล็กทรอนิกส์ติดอยู่ หน้าปัดมีตัวเลขตั้งแต่ 0 - 9 ด้านบนเป็นสวิตซ์สีแดงกระพริบอยู่เป็นจังหวะ มันเป็นประตูอัตโนมัติที่ต้องใส่รหัส 

    - คลิ๊ก -

    ประตูปลดล๊อกอย่างง่ายดายสัญญาณไฟสีแดงก็กลายเป็นสีเขียวภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีหลังจากทิมบอดี้การ์ดคนเดิมพรมนิ้วก๊อกแก๊กลงบนแป้นคีย์บอร์ดตรงหน้า

    - เคลียร์ -

   สมาชิกของทีมคนหนึ่งชะโงกหน้าเข้าไปดู เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงเดินนำหน้าพวกพี่ณิตเข้าไปสำรวจความเรียบร้อยก่อนจะส่งสัญญาณให้ตามเข้ามา ข้างในสว่างกว่าข้างนอกเพราะมีแสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ลอดออกมาจากช่องประตูที่เปิดแง้มอยู่ เสียงเอ็ดตะโรสบถคำหยาบคายดังลั่นให้จัดเตรียมสินค้าให้พร้อม สลับกับเสียงครวญครางสะอึกสะอื้นอย่างหวาดกลัวและเจ็บปวดของเด็ก 

    อัลแบร์โต้เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปยืนหลังช่องประตูที่แง้มอยู่ชะโงกมองเข้าไปภายในห้องก่อนจะให้สัญญาณว่ามีพวกมันอยู่ 5 คน  และเด็กอีก 12  คน ก่อนจะทำสัญญาณมือให้ทุกคนหลบก่อน เพราะมีเสียงฝีเท้าคนเดินมาที่ประตู แต่ละวินาทีที่ผ่านไปช่างน่าอึดอัดและยาวนานราวกับเป็นชั่วโมง

    ชายผิวคล้ำรูปร่างล่ำสันหน้าตากักขฬะดึงกระชากประตูให้เปิดออก  ก่อนที่มันจะได้เดินพ้นประตูออกไปอีกห้องอัลแบร์โต้พุ่งเข้าชาร์ตจากด้านหลังเพียงชั่วเสี้ยววินาทีไม่เพียงพอที่จะให้ชายคนนั้นได้ร้องคร่ำครวญด้วยซ้ำเสียงกระดูกคอหักดังขึ้น

    - ก๊อก -

    อัลแบร์โต้ลากร่างไร้วิญญาณหลบเข้าไปใต้บันได แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เดินออกมาจากใต้บันได ประตูห้องเปิดออกอีกครั้งโดยมือของชายอีกคนที่กักขฬะไม่แพ้คนแรก เสียงสบถตะโกนหาชายที่นอนสงบนิ่ง ไร้วิญญาณอยู่ใต้บันใดดังลั่น

   “ไอ้วิทย์ สัสเอ๊ย!! มึงไปเอาของถึงไหนวะ พ่อมึงยิ่งเร่งอยู่จะถึงเวลาแล้ว”

   “ไอ้วิทย์  ไอ้เหี้...”

   ชายคนนั้นยังพูดไม่จบ ดิเอโก้พุ่งมาจากอีกทางเข้าชาร์ตจากด้านหลังกดหัวของชายคนนั้นเอาไว้ แน่นมืออีกข้างยกมีดเดินป่าปาดเข้าที่คอเลือดพุ่งกระฉูดเปรอะตามพื้นเป็นด่างดวง สิ้นลมหายใจโดยไม่มีเสียงร้องสักแอ๊ะ ดิเอโก้ทิ้งร่างไร้วิญญาณลงพื้น วินาทีนั้นเองพวกมันที่เหลืออีกสามคนกรู่ออกมาจากในห้อง เกิดการชุลมุนขึ้นภาพในจอหมุนวนยากจะจับทิศทางได้ เสียงเหล็กสัมผัสกับเนื้อและกระดูก

    
    “โป๊ก”


    “ ปั๊ก”


    “ผัวะ”


   “โพล๊ะ”    


    เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือ เสียงของกะโหลกที่กระแทกลงกับพื้นปูนดังสนั่น  ก่อนที่ทุกอย่างในบริเวณนั้นจะอยู่ในความสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  พวกมันทั้งหมดนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นปูนสภาพร่างกายเละจนจำแทบไม่ได้ มีซัพพอร์ตเข้าเคลียร์พื้นที่อย่างรวดเร็วราวกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด

    พี่ณิตและคนอื่นๆ เดินเข้าไปภายในห้อง สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือ เด็กชายอายุไม่น่าจะเกินสิบห้าปี จำนวน 12 คน ถูกใส่ปอกคอโซ่เส้นยาวเกี่ยวไว้บนตะขอติดผนังราวกับสัตว์ เนื้อตัวมีเพียงกางเกงชั้นในหนังห่อหุ้มร่างกาย ท่าทางแต่ละคนเหมือนโดนยากล่อมประสาท ร้องครวญครางด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด พวกพี่ณิตและสมาชิกทุกคนเข้าไปช่วยกันปลดเด็กๆ ออกจากพันธนาการ และเคลื่อนย้ายเด็กออกจากบริเวณนั้นไปยังที่ปลอดภัยเพื่อรอทีมพี่กรณ์มารับช่วงอีกที

   ผมหายใจคล่องขึ้นแต่ก็ไม่โล่งซะทีเดียว เด็กยังอยู่ในพื้นที่อันตราย แต่ก็วางใจได้เพราะทีมซัพพอร์ต ยังซุ่มดูอยู่  ตอนนี้พวกเราก็แค่รอเวลาเวลาดูหนังบู๊ฉากใหญ่ที่จะเริ่มฉายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า…

   จอ 1 – 2 ฉายภาพบรรยากาศบนดาดฟ้าเรือและบริเวณโดยรอบอีกครั้ง งานปาร์ตี้กำลังดำเนินไปด้วยความสนุกสนานกับทุกสรรพสิ่งที่พร้อมเสริ์ฟตามรสนิยมของแขกไม่ว่าจะต้องการบริการแบบไหนหญิง ชาย เด็ก หรือแม้กระทั่งยาทุกชนิดทุกประเภทที่ต้องการเจ้าภาพจัดหามาบริการให้ทั้งสิ้น
 
   เฮียเซนชี้ให้ผมดูคนๆ หนึ่งที่แต่งตัวด้วยชุดกี่เพ้าสีขาวตัวยาวด้านหลังปักไหมสีทองเป็นรูปมังกรคาบแก้วตลอดชุด คนนั้นรูปร่างสูงโปร่งบอบบางหน้าตาสวยสง่าทรงอำนาจ  ดวงตาเรียวปลายเชิดขึ้นเหมือนตาหงส์  ผมดำยาวตรงถูกปล่อยเคลียไปถึงกลางหนัง กำลังพูดคุยอยู่กับนักธุรกิจสิ่งทอผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของฟ้าเมืองไทยอย่างอารมณ์ดี

    “สิงห์เห็นผู้ชายผมยาวใส่ชุดกี่เพ้าที่ยืนคุยอยู่กับนักธุรกิจคนนั้นไหมนั่นคือ ไต้ชินหยาง หรือ นายอะเคื้อ สัชฌุกรกังวาล ลูกครึ่งไทย-จีน นายใหญ่ รุ่นที่ 4 ของ ACE ส่วนอีกคนที่ยืนเยื้องมาข้างหลัง คือ มาร์โค บอดี้การ์ดและคู่ขาของชินหยาง ที่สำคัญเป็นน้องชายบุญธรรมของชินหยางด้วย”

    ผมหันมองตามที่เฮียชี้แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจถ้าไม่บอกว่าชินหยางเป็นผู้ชายผมก็คิดว่าคนนั้นเป็นผู้หญิงเพราะความสวยสง่าจนผู้หญิงในงานบางคนยังอาย  ส่วนมาร์โคเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่พอๆ กับผม หน้าตาหล่อคม นัยน์ตาดุคอยชำเลืองมองชินหยางด้วยความจงรักภักดีและเทิดทูนที่ไม่ปิดบัง

   “ผมเหมือนจะรู้สึกว่าคุ้นหน้าแต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน”

   “ก็อาจจะใช่ก็ได้ ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยไต่ชินหยางประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์หนักพอสมควร เพราะฉะนั้นหน้าตาของเขาเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ได้รับการศัลยกรรมจนเหลือเค้าเดิมน้อยมาก ไต่หยงผู่ปิดข่าวนี้รู้เฉพาะวงในเท่านั้น  ส่วนตัวเขาเองก็ไม่ชอบออกสื่อ นี่ก็เพิ่งได้รับเลือกจากสมาชิกชั้นสูงของ ACE ให้เข้ารับตำแหน่งรุ่นที่ 4 พร้อมสืบทอดธุรกิจจาก พ่อชาวจีนที่ถูกลอบฆ่าโดยยังจับมือใครดมไม่ได้ มันน่าสนใจตรงที่ว่าไต้หยงผู่ถูกฆ่าตายก่อนที่ชินหยางจะเข้ารับตำแหน่งเพียงวันเดียว สมาชิกหลายฝ่ายต่างเคลือบแคลงสงสัยถึงสาเหตุการตายของไต่หยงผู่  หลายกระแสว่าชินหยางฆ่าพ่อเลี้ยงของตัวเองเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่ง  ส่วนแม่กับน้องยังมีชีวิตอยู่แต่เขาไม่เคยพูดถึง นามสกุลที่ใช้เป็นนามสกุลที่ชินหยางตั้งขึ้นมาใหม่   

   มาร์โครักและเทิดทูนซินหยางยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ยอมทำให้ทุกอย่างเพื่อให้พี่ชายพึงพอใจและแม้ชีวิตก็สละให้ได้  แต่สำหรับชินหยางแล้วสิ่งที่รักมากที่สุดก็คือ ตัวเอง  มาร์โคก็แค่สุนัขรับใช้ที่มีไว้เพื่อสนองตัณหาของชินหยางชั่วครั้งคราวในเวลาที่ยังหาสัตว์ถูกใจไม่ได้”  เฮียเซนพูดขยายความเป็นมาของชินหยางให้ผมฟังค่อนข้างละเอียด

   ผมมองคนทั้งคู่เดินทักทายแขกคนสำคัญทั่วงาน จนถึงเวลา 22.00 น. ชินหยางบอกให้แขกทุกคนสนุกเต็มที่ต้องการสิ่งใดให้บอกคนของเขาได้เลย ก่อนจะขอตัวไปจัดการธุรกิจสำคัญ ทั้งคู่เดินแยกมาที่ลิฟต์ส่วนตัวก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดผมเห็นมาร์โคก้มลงจูบปากชินหยาง  คนเป็นนายผลักมาร์โคออกอย่างแรง ความโกธรกรุ่นอาบไล้อยู่ทั่วหน้าสวย  มาร์โคมีสีหน้าสลดและก้มหน้าลงเหมือนจะสำนึกผิดต่อสิ่งที่ตนเองทำ

   ผมหันไปมองจอมอนิเตอร์ 3 มันเป็นภาพที่ส่งจากกล้องที่ติดอยู่หน้าห้องประมูลตอนนี้คนทั้งคู่มาถึงหน้าห้องแล้ว มาร์โคยื่นนิ้วมือไปวางยังแผงควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ข้างประตูเพื่อสแกนลายนิ้วมือ ปุ่มสวิตซ์สีแดงด้านบนที่กระพริบปิ๊ปๆ สลับเป็นสีเขียว แล้วประตูก็เลื่อนเปิดออก ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องประตูเลื่อนปิดโดยอัตโนมัติตามหลังคนทั้งคู่

    ผมมองไปที่จอมอนิเตอร์ 7 – 9 ซึ่งฉายภาพบรรยากาศภายในห้องประมูลมันเหมือนงานปาร์ตี้ของกลุ่มเศรษฐีเซเลปคนดังทั้งหลาย เหล้า ยาเสพติด โสเภณีทั้งชาย หญิง และเด็ก โดยเฉพาะเด็กจะเป็นที่ต้องการของคนเหล่านี้มากที่สุด  ควันสีเทาลอยฟุ้งคลอไปกับเสียงดนตรีจากเครื่องเสียงที่เปิดเบาๆ ขับกล่อมบรรดาแขกในงาน  ผนังห้องทุกด้านหรูหรากรุด้วยผ้าไหมเนื้อดีสีครีมสลับกับกระจกสูงตั้งแต่เพดานจรดพื้น  เพดานด้านบนเป็นกระจกสะท้อนทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นในห้องนี้  ตรงกลางห้องเป็นเวทีทรงกลมยกพื้นไม่สูงนัก รอบเวทีจัดตั้งชุดโซฟาสีน้ำตาลทองดูหรูหราขนาดใหญ่หลายสิบชุด โต๊ะเล็กข้างโซฟาแต่ละชุดเพียบพร้อมไปด้วย เหล้า ยา  สารพัดชนิดตามรสนิยมของแขกในงาน


    แขกในงานนั่งบ้างยืนบ้างตามที่ต่างๆ ทั่วห้อง แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ร่างกายเปลือยเปล่าในมือจูงสัตว์เลี้ยงที่เนื้อตัวเปลือยเปล่าเช่นเดียวกับเจ้านายเข้ามาด้วย  บางกลุ่มก็เล่นรักแบบหมู่กับสัตว์เลี้ยง  บ้างก็เล่นเซ็กซ์วิตถารประเภทโซ่ แส่ กุญแจมือ น้ำตาเทียน กับโสเภณีชายหญิงอย่างเมามันและรุนแรง

   ชินหยางพร้อมด้วยบอดี้การ์ดคนสนิทเดินเข้ามาในห้องเดินตรงไปยังโซฟาหรูหราชุดใหญ่ตรงหน้าเวทีทุกคนในห้องหยุดกิจกรรมชั่วคราวลุกขึ้นกล่าวทักทายนายใหญ่...

   “สวัสดีทุกท่าน ยินดีตอนรับสู่ความสำเร็จครั้งใหม่ของ  ACE  ขอให้ทุกท่านสนุกกันให้เต็มที่ ผมมีสิ่งพิเศษสำหรับทุกท่าน...” 
   
   เสียงกังวานทรงอำนาจที่ไม่แพ้หน้าตาของนายใหญ่กล่าวกับเหล่าแขกในห้องประมูล ผมไม่ได้ฟังจนจบ แต่ตวัดสายตามามองจอมอนิเตอร์ 10 – 12  ฝั่งด้านนอกห้องประมูลพี่แสน อันเดรีย อาแจ็กซ์ และสมาชิกในทีม 3 คน เดินเลียบผนังเข้ามาตามทางเดินอย่างง่ายดายจนมาหยุดห่างจากประตูห้องประมูลสิบเมตร ก็อย่างที่บอกระบบการรักษาความปลอดภัยหละหลวมมาก เชื่อมั่นในการวางระบบป้องกันของตัวเองเกินไปว่าปลอดภัย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะลูกน้องส่วนใหญ่ขึ้นไปสนุกกันบนดาดฟ้าและไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น 

    คอมพิวเตอร์เมนเฟรมถูกบล๊อกสัญญาณกล้องและสัญญาณอินฟาเรดอีกครั้ง ทั้งหมดเคลื่อนตัวไปหยุดหน้าประตูห้องประมูลอย่างง่ายดาย  อันเดรียล้วงหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วว่างลงที่ช่องว่างของแผงควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดอยู่ข้างประตู ไฟสีแดงที่กระพริบปิ๊บๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว อันเดรียหยิบของสิ่งนั้นเก็บลงในซองซิบแล้วยัดใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าตามเดิม  ลายนิ้วมือที่อันเดรียใช้เปิดประตูผมคาดเดาว่ามันคงจะเป็นของคนใดคนหนึ่งที่ให้เป็นของสมนาคุณจากงานปาร์ตี้เอ๊กซ์คลูซีฟเมื่อคืนเป็นแน่แท้ 

   เมื่อประตูปลดล๊อกทั้งหมดแทรกตัวเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว ภายในห้องหรี่ไฟให้มีแสงไฟสลัวมากกว่าเดิม เสียงดนตรียังคลอเบาแต่ก็ไม่มีใครให้ความสนใจ ผู้คนภายในห้องต่างให้ความสนใจที่เวทียกพื้นกลางห้องแทน  กล้องที่ติดประจำตัวของอันเดรียซูมเข้าไปกลางเวทียกพื้นภาพที่เห็นทำเอาผมแทบช็อก

   “บี!!”

    น้องกำลังเล่นกับกลางกายของตัวเอง นัยน์ตาหวานปรือปรอยเหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเอง ปากเล็กร้องครวญครางอย่างเสียวกระสันต์ แขกภายในงานต่างยกป้ายชูราคาเพื่อให้สามารถครอบครองน้อง...ผมกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ โทสะเริ่มคุกรุ่นขึ้นทีละน้อย

     ชินหยางนั่งเอนตัวตามสบายไปกับโซฟา  สายตามองการประมูลมือข้างหนึ่งยกกล้องยาขึ้นสูบส่วนอีกมือกดหัวเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังครอบปากเล็กรูดรั้งกลางกายใหญ่ของผู้เป็นนายขึ้นลง  มาร์โคยืนอยู่ข้างๆ กำลังดำเนินรายการประมูล บางครั้งสายตาคมดุวาวโรจน์ลอบชำเลืองมองเด็กชายที่กำลังครอบครองตัวตนของชินหยางด้วยความริษยา

   การประมูลยังดำเนินการต่อไป ขณะนี้ชายหน้าตาเหมือนชาวตะวันออกไกลก็คงจะเป็นเศรษฐีน้ำมันในแถบนั้น ให้ราคาเด็กคนนี้ 50,000 ดอลล่าร์

   “มีท่านใดจะให้ราคาสูงกว่านี้หรือไม่” มาร์โคร้องถาม

   “55,000 ดอลล่าร์” เสียงสู้ราคาจากเศรษฐีน้ำมันจากแถบนั้นอีกคน

   “55,000 ครั้งที่ 1   55,000 ครั้งที่ 2  และ 55,000 ครั้งที่ 3” มาร์โคขานราคาเมื่อไม่มีผู้ใดสู้ราคาอีก

   “เคาะที่ราคา 55,000 ดอลล่าร์  สัตว์เลี้ยงนี่เป็นของคุณจาฟา” 

    บี ถูกบอดี้การ์ดอุ้มตัวไปวางใส่ตักของชายที่ชื่อจาฟา เมื่อได้ตัวเด็กมาไว้ในครอบครองนายจาฟาใช้สายตาโลมเลียหื่นกระหายก่อนก้มลงกัดเข้าไปเต็มรักที่ยอดอกเล็กตรงหน้า ส่วนมือก็จับแก่นกายใหญ่ของตัวเองทิ่มพรวดเข้าไปในช่องทางคับแน่นของบีโดยไม่มีการเบิกทาง  น้องสะดุ้งสุดตัวร้องเสียงดังลั่นด้วยเจ็บมือเล็กพยายามผลักดันให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการ จาฟาดึงกระชากผมน้องจนหน้าแหงนเงย ก้มหน้าลงกัดเข้าซอกคอน้องอย่างแรง  ยิ่งบีดิ้นหนียิ่งโดนกระทำอย่างรุนแรง

   ชินหยางยกยิ้มด้วยความพึงพอใจกับสิ่งที่เห็น ร่างโปร่งบางยืนขึ้นเต็มความสูง มือเรียวยึดหัวเด็กที่นั่งอยู่แทบเท้าไว้แน่น ก่อนเด้งสะโพกกระแทกซอยรัวเร็วเข้าในปากของเด็ก ตาของเด็กเหลือกลานเพราะแก่นกายกระแทกแรงโดนลิ้นปี่แทบหายใจไม่ออก  ในที่สุดหน้าสวยเชิดขึ้นหลับตาพริ้มปลดปล่อยใส่ปากเด็กนั่นจนเปรอะเปื้อนเลอะขอบปากออกมา  หลังเสร็จกามกิจก็ผลักเด็กคนนั้นออก กระดิกนิ้วเรียกบอดี้การ์ดอีกคนมานำตัวเด็กไปที่เวทีกลางห้องเพื่อประมูลขาย

    ชินหยางกระดิกนิ้วเรียวเรียกมาร์โคมาที่โซฟา คนเป็นน้องยิ้มกว้างด้วยความดีใจนัยน์ตาฉายแววสุขสม ชินหยางผลักคนมาใหม่คว่ำหน้ากับโซฟาดึงกระชากกางเกงของมาร์โคลงไปกองอยู่ที่ข้อพับ มือเรียวสวยแหวกแก้มก้มของคนใต้ร่างออกเผยให้เห็นช่องทางรักสีระเรื่อ

     ชินหยางเอาแก่นกายใหญ่ที่ฝังมุกของตัวเองจ่อช่องทางนั้นก่อนจะกระแทกทีเดียวมิดด้าม  ปากสวยก้มลงกัดเข้าตรงชอกคอของคนใต้ร่างอย่างแรง เสียงแหบพร่าของมาร์โคร้องครางอย่างพึงพอใจ ชินหยางยกตัวขึ้นเห็นแขกอีกคนกำลังเล่นกับแก่นกายของตัวเองจึงพยักหน้าเรียกให้เอาแก่นกายกระแทกใส่ปากของมาร์โคเพื่อปิดกั้นเสียงคราง ก่อนที่ตัวเองจะดึงแท่งร้อนออกจนสุดลำแล้วกระแทกกลับเข้าไปใหม่อย่างแรง มือเรียวอ้อมไปกำแก่นกายของคนใต้ร่างนิ้วโป้งกดปิดรูตรงส่วนปลายไม่ให้ปลดปล่อย อีกข้างยกขึ้นบีบบี้ ยอดอกอย่างแรงผ่านเนื้อผ้า ฝ่ายคนถูกระทำได้เพียงร้องครางเครือในลำคอด้วยความกระสันซ่านเสียว ภาพที่ปรากฏบนจอมันน่าสมเพทเวทนาผมทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว การกระทำของพวกมันผิดมนุษย์เลวระยำยิ่งกว่าหมา


   “เอาเด็กออกมาเดี๋ยวนี้ แล้วจัดการมันให้หมด”


    ผมพูดเสียงต่ำเย็นผ่านไมโครโฟนสั่งทีม A ทันทีที่สิ้นเสียงสั่งเกิดความโกลาหลขึ้นในห้องประมูล เสียงร้องด้วยความตกใจ  ตามมาด้วยเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด  เสียงของหมัดที่กระทบกับเนื้อ เสียงของกะโหลกที่กระทบเข้ากับของแข็ง


   “ปังๆๆๆๆๆๆ”


   “ผลัวะๆๆๆๆ”


   “โผล๊ะ”


    “ปึกๆๆๆ”


   เกือบสิบนาทีภาพที่สั่นพร่าไหวกลับมานิ่งอีกครั้ง กล้องแพนภาพไปทั่วไปห้อง สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าคือ สภาพเละเทะของเหล่านักประมูลและคนติดตามทั้งหลายนอนเกลื่อนพื้นราวกับใบไม้ร่วง แต่กลับไม่เห็นตัวของชินหยางอยู่ในกรอบสายตา

   อีกจอที่อยู่ข้างกันปรากฏหน้าของพี่แสนที่มุมปากแตก โหนกแก้มแตก เลือดซึมออกมาเล็กน้อย แต่ข้างเท้ามีร่างของ มาร์โคสลบเหมือดอยู่บนพื้น เลือดไหลออกมาจากริมฝีปากที่ปริแตก รอยเนื้อแตกที่โหนกแก้ม  หางคิ้ว  ขมับเลือดอาบไหลหยดลงพื้น  พี่มันใช้เท้าเขี่ยร่างนั้น แต่ก็ไม่ไหวติง

   “เอาเชือกมามัดไว้ก่อน” พี่แสนหันไปสั่งสมาชิกในทีม ก่อนจะยืดตัวขึ้นยืนตัวตรงกำลังจะหันกลับนั้น..


   “ปัง  ปัง  ปัง”

    เสียงปืนดังขึ้นสามนัด ภาพในจอหมุนคว้างไม่เป็นท่าอีกครั้งก่อนจะกระแทกพื้นแล้วนิ่งไม่ไหวติง ภาพที่เห็นคือพื้นปูนเอียงๆ และดับวูบไป


   “ระยำเอ๊ย!!” 


    ผมร้องเสียงดังด้วยความตกใจและคิดไม่ถึง ทุกคนตกตะลึงเกินกว่าจะสามารถพูดอะไรออกมาได้ มือผมบีบกันจนเกร็ง แน่นหน้าอกลมหายใจสะดุดเป็นห้วงเหมือนมีอะไรมาจุกหลอดลมเอาไว้ ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือให้พี่แสนปลอดภัย

   จอมอนิเตอร์ 11 เป็นภาพของอันเดรียวิ่งเข้าไปประคองพี่แสนลุกขึ้นนั่งที่ไหล่ข้างซ้ายมีแผลถูกยิงวิถีกระสุนไม่ฝังมันเจาะจากด้านหลังทะลุออกด้านหน้า แขนขวา และบริเวณชายโครงกระสุนน่าจะแค่ถาก เลือดสีแดงไหลทะลักออกจากปากแผลจำนวนมาก พี่มันขบฟันแน่นข่มความเจ็บ ตามไรผมมีเหงื่อกาฬผุดพราย หน้าเริ่มซีดเผือดไร้สีเลือด...

    ผมใจเต้นแรงเร็วด้วยความโกธร หน้าแดงก่ำ ขบกรามแน่น  ดวงตาคมดุวาวโรจน์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มเข้มเกือบแดง เฮียเซนหันมามองก่อนจะยื่นมือมาบีบมือผมที่บีบเกร็งตรงพนักโซฟา  เขารู้ว่าตอนนี้อารมณ์ของผมมันพลุกพล่านเพียงใด เขาไม่ได้ตกใจกับสิ่งที่เห็นเพราะรู้มานานแล้วว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษทุกรุ่นของผม  ผมไม่ได้มองหน้าพี่แสนกลับแต่สั่งเสียงเย็นเยียบ


   “เคลื่อนย้ายเขาออกมาด่วน  ทุกทีมเข้ากวาดล้างให้หมด ใครตายก็ช่างแมร่งกูไม่สน  ย้ำ จับตาย!!


   “ได้ยินแล้วนะ” 

    เฮียเซนสำทับเสียงต่ำเย็น สายตาผมสะดุดเข้ากับคนๆ ที่หลุดหายไปจากกรอบสายที่จอ 10 ชินหยางลดปืนลง ก่อนจะหันหลังวิ่งเข้าไปในช่องทางลับ

   “อันเดรียยี่สิบนาฬิกามันกำลังจะหนี รีบตามไป จับตาย”

   ผมสั่งเสียงรัวเร็ว อันเดรียส่งร่างของพี่แสนให้อาแจ๊กซ์ที่เข้ามารับช่วงต่อ แล้วลุกขึ้น รีบวิ่งไปตามทางที่ชินหยางวิ่งลับหายไป  ฟรังโก้ที่เพิ่งมาถึงพยักหน้าให้ทีมเข้าเคลียร์พื้นที่แล้วเขาวิ่งตามอันเดรียไป

   ผมมองจอภาพที่ฉายจากกล้องติดตัวของอันเดรียตอนนี้เขาวิ่งตามชินหยางมาจนถึงลานจอดฮอลิคอปเตอร์บนดาดฟ้าเรือซึ่งอยู่คนละฟากกับบริเวณงาน

    ทั้งคู่ยืนประจันหน้ากัน ตาจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ชั่วเสี้ยวนาทีชินหยางยกปืนกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. Smith & Wesson MP9c ขึ้น นิ้วเตรียมลั่นไก ไหวพริบและสัญชาตญาณสั่งให้อันเดรียพุ่งเข้าหาคนที่อยู่ตรงหน้า ด้วยน้ำหนักตัวที่มากกว่ากับแรงเหวี่ยงทำให้ฝ่ายตรงข้ามล้มโครมตั้งตัวไม่ติด ปืนในมือหลุดกระเด็นไปอีกด้าน ชินหยางกระเสือกกระสนร่างจะไปคว้าปืนที่กระเด็นหลุดมือ แต่ยังไปไม่ถึง...

   “ผลัวะๆ”

   อันเดรียยกเท้าเตะเข้าที่สีข้างของชินหยางเต็มแรงจนอีกฝ่ายตัวงอด้วยความจุก ก่อนจะดึงปืนกึ่งอัตโนมัติ Desert Eagle ขนาด .44 Magnum จากด้านหลังของเสื้อเกราะกันกระสุน ตบเข้าที่กกหูของชินหยางเต็มแรงทำให้หน้าสวยหันตามแรงเหวี่ยง เลือดพุ่งกระจายออกจากจากปากสวยเปรอะไปตามพื้นเป็นดวงๆ

    อันเดรียยกปากกระบอกปืนจ่อไปที่ขมับชินหยาง ไม่ห่างจากคนทั้งคู่ฟรังโก้ยกบาเร็ตตา ทอมแคท .32 ในมือเล็งมาที่ชินหยาง  ถ้าฝ่ายนั้นเล่นตุกติกก็มีหวังหน้าฝากประดับรูโดยไม่ต้องร้องขอแน่นอน

   ชินหยางแสดงสีหน้าหวาดกลัวเพราะขณะนี้รอบตัวไม่เหลือใครแล้ว มาร์โคถูกพวกมันซัดซะหมอบ แต่ก็ยังอุตสาห์ส่งเสียงกร้าวข่มขู่อันเดรีย

   “พวกมึงเป็นใคร”

   “ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรู้ว่าพวกกูเป็นใคร แต่สิ่งที่มึงทำมันต้องได้รับการชดใช้ เด็กพวกนั่นทำอะไรให้มึง   พวกเขาทำอะไรให้มึง..” 

   “พวกมันเป็นญาติพี่น้องของมึงหรือไง กูถึงจะ เXด ไม่ได้ กูไม่สน”

   “พลั่ก”

   “ยังปากดี”

   อันเดรียยกปืนขึ้นตบเข้าที่แก้มกึ่งจมูกของชินหยางอย่างแรง หน้าที่หันตามแรงตบหันกลับมาจ้องเขม็งและสำรอกคำพูดหยาบช้าโสมมใส่พวกเขาทั้งคู่  ตอนนี้หน้าของผู้ชายตรงหน้ามันไม่เหลือเค้าของความสวยงามอีกแล้ว แก้มบวมปูด มุมปากแตกมีเลือดไหลซึม จมูกหักเบี้ยวผิดรูปเลือดไหลออกมาไม่หยุด

    ชินหยางก็แค่ชายที่มีปัญหาทางจิตคนหนึ่งที่พอไม่มีใครรองมือรองเท้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้เองอันเดรียจับตัวชินหยางคว่ำหน้าลงกับพื้นเรือ มือข้างที่ว่างล้วงหยิบกุญแจมือจากกระเป๋าออกมาล๊อกข้อมือบางของชินหยางที่พยายามดิ้นหนี

   “สัส!! พวกมึงอย่าให้กูรอดออกไปได้นะ จะยัดปากพวกมึงด้วยคXX กู”

   “ผลัวะ”
   
   “ผลัวะ”

     ชินหยางยังปากดีประกาศกร้าวข่มขู่ หมัดลุ่นๆ กระแทกเข้ากับปากกึ่งจมูกซ้ำกันสองครั้ง ร่างของ ชินหยางกระเด็นไปจากที่เดิมเกือบเมตรจากแรงชก จมูกของมันมีเลือดไหลทะลักออกมา ฟันหน้ากระเด็นหลุดจากเหงือกเกือบทั้งแผง  ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด มันสมควรที่จะเรียนรู้ว่าไม่มีหนี้อะไรที่ไม่ต้องชดใช้

   “จะฆ่าก็รีบฆ่า”

   “มึงได้ตายแน่น แต่ไม่ใช่ตอนนี้  ความตายมันง่ายเกินไปสำหรับคนอย่างมึง”  อันเดรียกมือแกร่งบีบกรามชินหยางแน่น พูดเสียงเหี้ยมเกรียมใส่หน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บของชินหยาง อันเดรียปล่อยมือและผลักอีกฝ่ายล้มกลิ้งไปกับฟื้น ลุกขึ้นเต็มความสูง

   “ภารกิจเคลียร์”

   สิ้นเสียงแจ้งศูนย์ควบคุมของฟรังโก้หน้าจอที่รับภาพจากกล้องของทั้งคู่ก็มืดสนิทไป ผมคงไม่ต้องคาดเดาว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชินหยางในค่ำคืนนี้คืออะไร...แต่มันคงจะเป็นฝันร้ายที่น่าสยดสยองสำหรับชินหยางมากทีเดียว..
   
   “ทีม C ทีมซัพพอร์ตเข้าเก็บกวาดให้สะอาด ถอนกำลังภายใน 15 นาที”

   ผมและเฮียเซนนั่งดูการเก็บกวาดพื้นที่จนทุกอย่างสะอาดหมดจด ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะเชื่อมโยงมาถึงพวกเราได้ จึงหันไปสั่งทิมให้แจ้งพี่กรณ์นำกำลังเข้ากวาดล้างในพื้นที่

   เวลา 21.30 น. ทุกอย่างถูกอพยพออกจากพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ถูกบังคับให้ขายบริการ โสเภณีทั้งชาย และหญิง คนของ ACE ที่โดนจับมัดไว้ในห้องประมูล การเข้ากวาดล้างจับกุมของพี่กรณ์ขยายผลไปถึงการจับกุมกลุ่มผู้ยาเสพติดรายใหญ่ได้ที่คาสิโนอีกด้วย 

   บื้ม!  บึ้ม!! 

       เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวบริเวณท้ายเรือลามมาถึงกลางลำเรือหลังจากพี่กรณ์เคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ ไฟลุกท่วมอย่างรวดเร็ว ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนฉาบไปด้วยแสงสีส้มแดง

   “ภารกิจเคลียร์”  เสียงรายงานจากทุกทีมเมื่อเวลา 00.00 น.

   “ปิดทริป”   

   เฮียเซนกรอกเสียงใส่เครื่องมือสื่อสาร  เวลา 00.30 น. ทุกทีมกลับเข้าบ้านพัก อันเดรีย  อัลแบร์โต้ และฟรังค์โก้ ขาดหายไป แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจว่าทั้งสามหายไปไหนหรือไปทำอะไร...
















TBC.


ปล.

1. ฉากบู๊ เป็นอีกตอนที่เขียนยากเขียนเย็น อาจจะเขียนได้ไม่มันส์สะใจเท่าไรนักก็ขออภัยนะครับผม พยายามสุดๆ แล้วได้เท่านี้เอง  หากเจอข้อผิดพลาดประการใดแจ้งกันได้ยินดีรับฟังและแก้ไขเหมือนเดิมนะครับผม

2. ขอบคุณ TaecKhun Imagine Love ที่หาจุดผิดพลาดเจอ แก้ไขแล้วนะครับ บางทีสมองก็สั่งการไปก่อนมือ อ่านทวนตั้งหลายรอบแต่ก็ยังเล็ดลอดสายตาไปได้  (“ - -)

3. ขอบคุณมากมายทุกการติดตามมาจนถึงตอนนี้ ตอนหน้าอาจจะช้านิดนึงนะครับติดสัมมนานอกพื้นที่ตั้งหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ



หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.12_ไปล่องเรือกันเถอะ_P.3 อัพเดต 28-10-2558
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-10-2015 23:29:10
อั๊ยย่ะ!!! ชินหยางที่ดูเหมือนผู้หญิงแถมยังสวยกว่ากลับเป็นเมะซะงั้น :a5:

       “ผมเหมือนจะรู้สึกว่าคุ้นหน้าแต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน”

ประโยคนี้ทำให้เกิดการตะหงิดๆ ว่าอาจมีการกลับมาเอาคืนภูมิซึ่งอาจจะเป็นพี่น้องของชินหยาง

ACE สาขาอื่นที่กระจายอยู่ทั่วล่ะจะยอมง่ายๆเหรอ

พี่แสนจะเป็นอะไรมากไหม  :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

อันเดรีย อัลแบร์โต้ ฟรังค์โก้ หายไปจัดหนักจัดเต็มให้ชินหยางเหรอ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.12_ไปล่องเรือกันเถอะ_P.3 อัพเดต 28-10-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 29-10-2015 03:22:32
ไม่ใช่ชินหยางเป็นญาติอะไรกับผู้หญิงคนที่ชอบสิงห์จนเหมาปิดห้างร้านเพื่ออยู่กันสองต่อสองกับสิงห์นะ

ตอนที่บรรยายลักษณะของชินหลง ภาพเฟยหลงของอ.ยามาเนะ อายาโนะโผล่ขึ้นมาในหัวเราเลย
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.12_ไปล่องเรือกันเถอะ_P.3 อัพเดต 28-10-2558
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 29-10-2015 18:53:00
ตอบเม้นท์ # EP.12


@ TaecKhun Imagine Love

>> ต้องดูกันต่อไปครับผม แต่มีการเอาคืนแน่ แต่ไม่รู้ว่าจะรูปแบบไหนนะ ไปเมื่อ ACE ไม่ได้มีที่นี่ที่เดียวน่ะนะ พี่แสนไม่ต้องห่วงแกหรอกนะคนนี้ถึกจิงไรจิง 



@ Freja

>>  เราไม่ได้คิดถึงงานของ อ.ยามาเนะ  อายาโนะ เลยจริงๆ  (ไม่ได้คิดถึงเลยด้วยซ้ำอะนะ) ตอนวางคาแรคเตอร์กำลังดูซีรี่ย์เรื่อง Prison Break แล้วอินกับคาแรคเตอร์ของ ธีโอดอร์ แบกเวลล์ “ทีแบก”  เลยคิดว่าถ้าเอานิสัยของทีแบกที่มันจะโหดมากเมื่อใครกล้าไปแหยมเวลาที่มันไม่ได้ดังใจอารมณ์จะแปรปรวนแล้วมันฆ่าได้แบบหน้าตาเฉย มาปรับรูปลักษณ์ใหม่ที่ดูบอบบาง สวยสง่าจะเป็นยังไงนะ  เลยออกมาเป็นชินหยางเมะหน้าสวย อยากให้รูปลักษณ์ภายนอกอำพรางจิตใจที่วิปริตของนาง(แต่นางก็ยังแสดงนิสัยที่แท้จริงออกมายังไม่หมดดันโดนสามหนุ่มจัดไปซะแล้ว)
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.12_ไปล่องเรือกันเถอะ_P.3 อัพเดต 28-10-2558
เริ่มหัวข้อโดย: You MakeMe ที่ 29-10-2015 21:04:38
รีบมาต่อน้าาา  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.12_ไปล่องเรือกันเถอะ_P.3 อัพเดต 28-10-2558
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 29-10-2015 22:45:03
รีบมาต่อน้าาา  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณสำหรับการติดตามครับผม  เขียนเสร็จแล้วกำลังตรวจพิสูจน์อักษรและแก้ไขสำนวนอีกเล็กน้อย แต่กว่าจะได้มาโพสอีกทีก็คงจะอาจจะเป็นวันศุกร์ หรือเร็วกว่านั้นถ้าได้กลับมาเร็วนะครับ 
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.13_หนีเที่ยว_P.3 อัพเดต 2-11-2558
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 02-11-2015 14:53:26
เด็กเลี้ยง



- 13 -

หนีเที่ยว





   ผมขยับตัวตื่นตอนตีห้าครึ่งของเช้าวันเสาร์ทั้งที่เมื่อคืนกว่าจะหลับได้ก็เกือบตีสี่ ร่างกายมันเด้งขึ้นมาเอง เมื่อวานเป็นอีกวันที่ยาวนานเหลือเกิน ถึงจะแก้ไขปัญหาได้หลายเรื่อง แต่ในใจผมมันยังหนักอึ้งอยู่เหมือนเดิมปัญหามันไม่ได้เบาบางลงแต่ทำให้พวกเราต้องคิดหนักกว่าเดิม ระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม ตัวเองคงไม่เท่าไรแต่สำคัญคือเด็กน้อยต่างหากที่น่าห่วงกว่าอะไรทั้งหมด  ยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์จากหัวเตียงต่อสายตรงถึงคนนั้นตอนนี้ฝั่งนั้นคงพลบค่ำแล้ว รอสายอยู่ไม่นานฝ่ายนั้นก็กดรับสาย

   //ว่าไง//

    “ขอบคุณครับผม”

   //ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม//

   “ก็ไม่ให้ผมเล่นเองจะเป็นอะไรได้ไง มีเฉพาะพี่แสนโดนยิงสามนัดตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ”

   //เป็นห่วงเข้าใจรึเปล่า อีกอย่างนับจากนี้ก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน  ครั้งนี้เราถล่มมันซะเละเรื่องมันคงไม่จบง่ายๆ //

   “ครับ จะระวังจนยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมพอใจรึยังครับ”

    // ได้ยังงั้นยิ่งดี เปิดหูเปิดตาให้กว้างเข้าไว้ไอ้ลูกชาย อ้อฉันจะให้เซนอยู่เคลียร์ทางนั้นให้เรียบร้อยแล้วบินกลับเช้าวันอาทิตย์พร้อมพวกอันเดรียงานทางนี้ยุ่งมากไม่มีคนทำ การ์ดชุดใหม่จะไปถึงวันจันทร์นะ//

   “ครับผม  /ก็แล้วทำไมตัวเองไม่ทำก็มัวแต่เฝ้ากันอยู่นั่นแหละ/ ” ผมรับคำแต่มีแอบนินทาเสียงเบาๆ คนเดียวเพราะคิดว่าฝ่ายโน้นจะไม่ได้ยิน

   //บ่นเพื่อ??  งานมันเยอะพูดมากพรุ่งนี้มากับเซนมารับช่วงต่อแบบเต็มตัวไปเลยปล่อยสบายมานานแล้ว//  ฝ่ายนั้นพูดเสียงเข้มดุจริงจังกลับมา

   “อ้าว!!  ไม่สิ พูดความจริงแล้วพาลคนเรา  ทุกวันนี้ผมก็ทำแทนคุณในส่วนของผมอยู่ แล้วน้องยังเรียนไม่จบก็รู้อยู่ สัญญาแล้วไง”

   //เออๆ รู้แล้วก็ทำแทนอยู่นี่ไง  แค่นี้แหละฉันมีงานต้องทำ ดูแลตัวเองด้วย//

   “ครับผม ฝากความคิดถึงเกลล์ด้วยนะ” 

   //เออ//


   ฝ่ายนั้นวางสายไปนานแล้ว ตัวเลขหน้าจอโทรศัพท์มันบอกเวลาหกโมงเด็กผมคงตื่นแล้วปานนี้ จึงสไลด์เลื่อนหารายชื่อแล้วกดโทรออกอย่างรวดเร็ว รอไม่ถึงนาทีฝ่ายนั้นก็กดรับสายเสียงหวานปลายสายที่ได้ยินอ้อล้อขี้อ้อนทำให้ผมส่ายหัวยิ้มกว้างด้วยความเอ็นดู

   /ลุง...หนูนอนไม่หลับไม่มีใครกอด...คิดถึ้ง คิดถึงแหละ ลุงคิดถึงเค้าไหมหือ/ สรรพนามแทนตัวผมที่คนปลายสายส่งมามันแรดๆ อ้อนๆ ทำเอาผมขึ้น

   “อยากกอดหนูเหมือนกัน”

   /อยากกอดก็ทำไมไม่รีบกลับมากอดละนะน้า...ลุง/ เสียงแรดๆ ตอนท้ายตามมาหลอนอีกแล้ว หัวผมไพล่ไปคิดถึงตอนที่น้ำนิ่งยกสะโพกกระแทกใส่มือผม แค่นั้นจริงๆ ไอ้ลูกชายตัวดีแมร่งเริ่มพองตัวพ่นน้ำใสขู่ฟ่อๆ แล้ว ไอ้ภูมิมึงหื่นมากแค่เสียงกับจินตนาการเล็กๆ เองนะมึง

    “คะ ครับคงถึงบ้านเราสักสี่โมงเย็นนะ”

   /เยส งั้นหนูทำกับข้าวไว้รอนะ ภูมิอยากกินอะไร /  เด็กทำส่งเสียงตื่นเต้นกระตือรือร้นมาตามสาย

   “กินหนูได้รึเปล่าหือ อยากมากตอนนี้”  ผมส่งเสียงอ้อนตอบกลับไปปลายสายเงียบไปสักพัก

   /ลุงอ๊ะ.../  เสียงเรียก ‘ลุง’ แบบแรดๆ กระเส่าเชิญชวนไม่ปิดบัง พร้อมเสียงผ้าขยับสวบสาบแผ่วเบาที่เล็ดลอดเข้ามาในสาย ทำเอาจินตนาการของผมตอนนี้บรรเจิดจนพองคับแน่นแทบบ้า 

   “อ้าซิ๊... อุ๊บ”   ห่านเอ๊ย!! มือแมร่งไปอยู่ตรงนั้นตอนไหนก็ไม่รู้...ผมรีบเม้นปากตัวเองแน่นก่อนที่เสียงครางจะลอดเข้าไปในโทรศัพท์ แต่นั่นก็ยังไม่ทัน

    /ภูมิเป็นอะไร../  เด็กน้อยถามด้วยความร้อนรน

   “ซู้ด..มะ ไม่มีอะไรครับ” ผมตอบละล่ำละลัก ขณะนี้มือยังสาวแก่นกายตัวเองไม่หยุดจน... บ้าเอ๊ย!!  แมร่งบ้าไปแล้ว แค่เสียงกับความขี้มโนชั่วแวบเองนะโว้ย! ผมก่นด่าความง่ายของตัวเอง ก้มลงมองแก่นกายที่ส่วนปลายน้ำขุ่นขาวทะลักเปรอะเต็มมือด้วยความสมเพทเวทนาตัวเองที่สุด  เป็นเอามากเปล่าวะกับคนๆ นี้

   /งั้นเย็นนี้เจอกัน เดินทางปลอดภัยนะฮะ คิดถึงภูมิรู้นะ/ ตัดสายหนีไปแล้วครับ หึ หึ ผมยิ้มจ้องมองความง่ายของตัวเองด้วยความเอือมระอาเบื่อหน่ายตัวเอง ก้าวลงจากเตียงไปอาบน้ำและจัดการภารกิจให้เสร็จก่อนกลับบ้านวันนี้



   เจ็ดโมงครึ่งผมเดินออกมาที่ห้องอาหาร พวกพี่มันนั่งประจำโต๊ะกำลังจิบกาแฟบ้าง กินอาหารเช้ากันบ้าง  แต่ในนี้ก็ยังขาดอันเดรีย อัลแบร์โต้ และฟรังค์โก้ เหมือนเดิม พี่แสนลุกได้แล้วกำลังกินโจ๊กข้าง ๆ แก้วน้ำมียาวางรอ หน้าตาพี่มันยังดูซีดแผลตรงไหล่และแขนซึ่งไม่ได้ถูกปิดด้วยเสื้อกล้ามเห็นเลือดซึมออกมาเล็กน้อย ยอมรับจริงๆ ว่าพี่มันอึดถึก

    ผมเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะ ดีเอโก้ยกกาแฟมาวางตรงหน้าพร้อมหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าที่จั่วหัวหน้าหนึ่งตัวเป้งถึงการเข้ากวาดล้างบ่อนลอยฟ้าที่แอบแฝงการค้ามนุษย์ สามารถทะลายล้างและจับกุมผู้ก่อการร้ายข้ามชาติได้เกือบหมดยกเว้นนายใหญ่ ช่วยเหลือเด็กชายที่ถูกล่อลวงมาขายบริการได้  28  คน  หญิง/ชาย ขายบริการ  38 คน และขยายผลจนสามารถจับผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ 2 ราย  มูลค่าทรัพย์สินที่ยึดได้กว่าพันล้านบาท 

    ที่สำคัญกว่านั้นพวกเราช่วย “บี” จากขุมนรกนั่นได้น้องถูกส่งตัวเข้ารับการบำบัดและฟื้นฟูสภาพจิตใจแล้ว ก็หวังเพียงแค่ว่าการบำบัดฟื้นฟูจะทำให้น้องเข้มแข็งสามารถต่อสู้กับฝันร้ายนั่นได้ ไม่ปล่อยให้มันตามหลอกหลอนไปชั่วชีวิตอีก  วันนี้เราอาจจะจบปัญหาตรงนี้ได้ แต่ในไม่ช้าก็จะมีคนแบบพวกมันผุดขึ้นมาแทนที่อีกไม่สิ้นสุด ในเมื่ออำนาจ เงินตรา ตัณหาราคะ ของคนเรามันถมไม่เคยเต็ม...ส่วนการหายตัวไปของชายแก่ตัณหากลับทั้งห้าคนยังเงียบเชียบราวกับสายลมพัดผ่าน 

   “สิงห์จะกลับบ่ายนี้ใช่ไหม สามคนนั้นขอลาพักร้อนหนึ่งอาทิตย์ครบแล้วก็จะบินกลับเลยทางนั้นเร่งมาแล้วให้รีบกลับไปทำงาน เฮียจะเคลียร์เรื่องทางนี้ให้เรียบร้อยแล้วจะบินกลับพรุ่งนี้วันอาทิตย์ วันจันทร์การ์ดชุดใหม่จะมาอยู่แทนสามคนนั้นนะ”  เฮียเซนบอกผม

   “ครับ ผมคุยกับเขาแล้ว  แล้วคนอื่นๆ ล่ะ”

   “สมาชิกคนอื่นๆ กลับหมดแล้วเขาส่งเครื่องบินส่วนตัวมารับไปแล้วตั้งแต่ตอนเข้ามืด  ”  เฮียเซนบอก

   “หนึ่งจะตามมาตอนบ่าย พวกพี่เลยจะกะจะพักร้อนกันสักอาทิตย์”  พี่แสนเงยหน้าขึ้นจากถ้วยโจ๊กมาบอก

   “อ้าว! ผมไม่รู้ว่าพี่หนึ่งจะมาด้วย” ผมถามทำหน้าประหลาดใจ

   “ก็พอดีหนึ่งมันรับงานอารักขาให้ผู้นำประเทศแถบอเมริกากลางไว้ เขาจ้างเราทั้งสามคน ก็จะเริ่มงานอีกสองอาทิตย์ก็เลยถือโอกาสพักร้อนแล้วก็รอแสนรักษาตัวด้วย”  พี่ฉานไขข้อข้องใจของผม

   “ส่วนพี่เดี๋ยวทานเสร็จก็จะออกเลยนะเว้ย  เด็กง๊องแง๊งมาล่ะ”  พี่ณิตบอก

   “งั้นถ้าพี่หนึ่งจะมาผมให้เอาเด็กมาด้วยดีกว่า ถือโอกาสลาพักร้อนพาเด็กเที่ยว”

   “เออๆ เข้าท่านี่หว่า ไม่ได้ฟัดมาหลายวัน อยากอ้อนมันเหมือนกัน คิดถึงเด็กโว้ย” พี่ฉานทำหน้ากรุ่มกริมถึงเด็กผม

   “พี่ๆ ข่าวว่านั่นเด็กผมเปล่าวะ”  ผมส่งเสียงโวยวาย

   “เออๆ รู้แต่มันก็น้องกูนะ กับพี่เชื้อยังหวงไม่เว้น”  พี่ฉานทำบ่นแต่หน้ายิ้มๆ เฮียเซนหัวเราะหึๆ ส่ายหน้าระอาความเป็นเด็กของพวกเรา

   “เฮียว่าถ้าจะเที่ยวในไทยก็ไปที่กระบี่ดีกว่าที่เที่ยวเยอะดี  ไม่ต้องห่วงเรื่องที่พักด้วย เรามีโรงแรมและรีสอร์ทในเครืออยู่สองสามแห่ง อ่าวนางเป็นไงเดี๋ยวโทรสั่งผู้จัดการให้เลย”  เฮียเซนรวบรัดตัดความเสร็จสรรพโดยไม่ถามพวกผม ก็เลยต้องเลยตามเลยเอาที่เฮียสบายใจก็แล้วกัน

   “อ้าวเฮ้ย!! แล้วใครจะทำงานวะ พวกมึงหนีเที่ยวกันหมด...”  พี่ณิตโวยลั่น

   “มึงกับพีก็ทำไปสิได้ยินว่าบริษัทอยู่ในความรับผิดชอบของพวกมึงแล้วไม่ใช่เหรอวะ” 

    พี่ฉานพูดสอดขึ้น ขี้เกียจฟังพวกพี่มันทะเลาะกันข้ามหน้าข้ามตาผมเลยล้วงมือหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาพี่พีบอกสิ่งที่ต้องการเสร็จสรรพโดยที่ฝ่ายนั้นยังไม่ได้อ้าปากโต้ตอบกลับมาสักคำ ก่อนจะกดวางสาย หันหน้าไปยกคิ้วเป็นคำถามกับพวกพี่มันสองคน

   “เคลียร์จบนะพี่”  คนทั้งคู่พยักหน้ารับกับการตัดสินใจของผม

   “สิงห์แมร่งเผด็จการ ไม่ถามสักคำว่ากูอยากรึเปล่า” พี่ณิตบ่นพึมพำ ผมยกยิ้มมุมปากทำหน้ารู้ทัน  ก่อนจะยกโทรศัพท์กดหาอีกคน เสียงเรียกของโทรศัพท์ดังไม่ถึงสามครั้งด้วยซ้ำฝ่ายนั้นก็กดรับ

   //ภูมิมีอะไรเหรอฮะ//

   “หนูทานข้าวรึยังครับ”  พวกพี่ๆ เบ้หน้าเบื่อหน่าย  ผมเลยเดินออกมาที่ห้องโถง

   //เรียบร้อยแล้วฮะ  กำลังทำซิฟฟอนส่งร้านกับยายชื่น//  ขยันทำมาหากินจริงเด็กผม ไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์จริงๆ

   “งั้นให้ยายชื่นทำต่อนะ แล้วหนูไปบอกให้พี่นิ่มจัดกระเป๋าให้นะมาเที่ยวทะเลกัน”

   //เย้!  จริงนะฮะ//

   “ครับ ไม่ต้องเอามาเยอะนะ ค่อยมาซื้อเอาที่นี่”  ผมได้ยินเด็กน้อยเรียกหาพี่นิ่มเสียงดังวุ่นวาย บอกพี่สาวคนสวยด้วยความตื่นเต้นว่าจะไปเที่ยวทะเลกับผม

   //หนูไปจัดกระเป๋าช่วยพี่นิ่มนะ//

   “ครับๆ  พี่หนึ่งอยู่ตรงนั้นไหม ภูมิขอคุยด้วยหน่อย” 

   //พี่หนึ่ง ภูมิจะคุยด้วย....//  เด็กน้อยเรียกพี่หนึ่งให้มารับสาย ก่อนที่เสียงหวานใสจะค่อยห่างออกไปเจ้าตัวดีคงวิ่งตามพี่นิ่มขึ้นบ้านไปจัดกระเป๋าแล้ว

   //ว่าไงสิงห์// 

   “ได้ยินว่าพี่จะพักร้อนสองอาทิตย์ ผมเลยแพลนกับพวกพี่แล้วว่าจะไปกระบี่กัน”

   //ก็ว่างั้นแหละ  รอพี่แสนรักษาตัวด้วยก่อนจะเริ่มงานใหม่//

   “พี่ฉานว่างั้นเหมือนกัน  พี่เดี๋ยวอีกยี่สิบนาทีพี่พีจะไปรับนะครับ”

   //พีไปด้วยเหรอก็ไหนว่าพี่ณิตจะกลับบ่ายนี้//

   “ก็นี่แหละตาแก่แถวนี่งอแง  หาว่าพวกเราหนีเที่ยวก็เลยจะไปกันทั้งหมดให้คุณแม่ทำงานรอไปก่อนสักสองสามวัน ถือโอกาสพักร้อนพาเด็กเที่ยว”

   //ถึงว่าทำไมเด็กน้อยถึงยิ้มหน้าบาน  อ๊ะ! เหมือนเสียงรถเข้ามา พีคงมาแล้วแหละ ค่อยเจอกันนะ//

   “ครับพี่”  ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะเดินเข้าไปในห้องรับประทานอาหารต่อ




   รถบีเอ็มดับบลิว เอ็กซ์วัน สีน้ำเงินเมทัลริกเคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่หน้าบ้านพักตากอากาศในเวลาเกือบเที่ยง ประตูด้านหลังเปิดออกก่อนที่รถจะจอดสนิท เจ้าตัวดีก้าวลงมาจากรถวิ่งถลามาหา ผมเลยย่อตัวกางแขนรับเอาร่างบางที่โถมตัวเข้ามากอดกระชับไว้กับอก ขาเรียวเล็กที่โผล่พ้นกางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีขาวเกี่ยวรอบเอวผม น้ำนิ่งผละตัวออกเล็กน้อยหน้าสวยหวานเผยรอยยิ้มเต็มหน้าจนถึงดวงตาหวานส่งมาให้ผม มือเล็กจับหน้าผมให้อยู่นิ่งๆ ก่อนจะก้มลงเอาปากของเราทั้งคู่ทักทายกัน กอดหอมจนพอใจของเขานั่นแหละจึงก้มหน้าซบลงกับซอกคอ ลมร้อนจากปากนิ่มเอ่ยเสียงหวานใส

   “คิดถึงจัง”       

   “คิดถึงหนูเหมือนกันครับ” ผมยื่นหน้าไปหอมหัวคนในอ้อมกอด

   “เฮ้ย! โลกนี้ไม่ได้มีอยู่สองคนนะเว้ย ทักพี่รึยังฮึไอ้ตัวดีไหนหันมาให้ฟัดก่อนสิ” 

    พี่ฉานขัดขึ้นเสียงดัง ก่อนจะยื่นมือมาแย่งเด็กจากอ้อมกอดผม  พี่มันกดจมูกโด่งของตัวเองลงบนแก้มนิ่มสองข้าง หน้าผาก เปลือกตา พี่แสนหมั่นไส้เลยจับหน้าเด็กน้อยหันมาหาตัวเองทับรอยที่พี่ฉานทำไว้ น้ำนิ่งหัวเราะเสียงกังวานใส ก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มซ้ายขวาของพวกพี่มันทั้งคู่เป็นการตอบแทน

   “คิดถึงเค้าไหม”  เสียงหวานใสออดอ้อนพร้อมกับรอยยิ้มน่ารักละลายใจคนพี่  ทั้งคู่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มและกดจูบไปที่แก้มนิ่มคนละข้างอีกครั้ง คนน้องเลยยิ้มกว้างกว่าเดิม พี่ณิตเดินเข้าไปแยกน้องออกมาจากทั้งสอง ก่อนก้มลงหอมเหม่ง แก้มซ้ายขวาจนพอใจ จับหน้าของไอ้ตัวดีผละออกมองให้เต็มตา

   “แมร่งกูเพิ่งจะเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่า ผู้หญิง (?) อย่าหยุดสวย มันเป็นยังไง ไม่เจอสี่ซ้าห้าวันน่าฟัดมากไปเปล่าวะ ใครติดกิ๊ฟให้แมร่งน่ารัก พวกมึงดูนี่คิดเหมือนกูปะ” 

    พี่ณิตยกมือขึ้นบีบแก้มน้องเรียกสองคนมาดู แล้วพี่มันก็กรูเข้าหาน้องอีกครั้ง ผมก็เห็นด้วยกับพี่มันครับออร่าความน่ารักวิ๊งกระจายมากขึ้นกว่าหลายวันก่อน ผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนนิ่มที่ยาวเคลียไหล่ปลิวตามลม ส่วนของผมด้านหน้าถูกเสยขึ้นติดกิ๊ฟรูปดาวสีฟ้าไว้ ตากลมโตทอประกายของความสุข แก้มเนียนออกสีระเรื่อด้วยไอร้อนของแดดตอนเที่ยงยิ่งทำให้น่าฟัดให้จ่มเขี้ยว ปากสีชมพูสดเกือบแดงน่ากัดแย้มยิ้มไม่หยุด 

   “อ่อยอะ อ้องเอ๊บ”  (ปล่อยนะ น้องเจ็บ) น้ำนิ่งพยายามสะบัดหน้าให้หลุดจากมือพี่ณิตที่บีบแก้มตัวเองอยู่  ผมเลยเข้าไปแยกเด็กออกมา

   “อะไรวะยังเล่นไม่เสร็จเลย จะรีบไปไหน”  ทั้งสามโวยวายเสียงดังลั่น ผมทำท่าขึงขังคาดโทษที่ทำเด็กน้อยของผมเจ็บ ก่อนจะดึงไอ้ตัวดีแยกเด็กมาหาเฮียเซนที่ยืนมองดูพวกเราหยอกล้อกันด้วยสีหน้ายิ้ม


   “หนูครับนี่เฮียเซนเป็นพี่ชายอีกคนของพวกเรา”  ผมแนะนำให้น้ำนิ่งรู้จักเฮียเซน

   “สวัสดีฮะ ยินดีที่รู้จักฮะ”

   น้ำนิ่งยกมือขึ้นไหว้คนอายุมากกว่า เมื่อเงยหน้าขึ้นเด็กน้อยยิ้มกว้างน่ารักที่เกิดจากใจมันส่งไปถึงนัยน์ตาสวยหวานให้เฮีย  ฝ่ายนั้นตะลึงไปแล้วครับเดินเหมือนละเมอเข้าหาเด็กผม  เฮียเซนคว้าตัวน้ำนิ่งเข้าไปกอดกระชับตอนแรกน้ำนิ่งทำท่าจะขืนตัวออกด้วยความตกใจแต่สุดท้ายก็ยอมยืนนิ่งๆ อยู่ในอ้อมกอดของเฮีญเซนนานหลายนาที ก่อนผละตัวออกเฮียกดจูบลงที่หน้าผากของน้ำนิ่งอย่างหลงลืมตัวอีกครั้ง 

   “สวัสดีครับน้ำนิ่งเจอกันซะทีนะ”

   “.....”

   เด็กน้อยยังอยู่ในอาการงงงวยจึงส่งยิ้มบางเบาตอบแทนไปแต่แค่นั้นก็ทำให้เฮียเซนยิ้มกว้างได้อย่างพึงพอใจ  พี่หนึ่งกับพี่พีเดินเข้ามาผมเลยแนะนำให้รู้จักกับเฮียเอ่ยทักทายกันพอหอมปากหอมคอ พี่พีเดินไปยืนข้างๆ คนของตัวเอง ผมแอบเห็นพี่ณิตก้มลงฉกจมูกผ่านแก้มคนข้างๆ ก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็วพี่พีเงยหน้าแดงระเรื่อขึ้นมองถลึงตาใส่ ส่วนพี่หนึ่งเดินไปหาพี่แสนสำรวจสภาพร่างกายของพี่มันจนทั่วว่าแตกหักตรงไหนบ้างจนพอใจ

   “เท่าที่เห็นยังไกลหัวใจ  เพราะแก่ใช่เปล่าวะเลยช้า”  พี่หนึ่งแซวเล่นหน้ายิ้ม  คนเป็นพี่เลยยกนิ้วดีดไปที่หน้าผากมนของคนตรงหน้าดังแป๊ะค่อนข้างแรงขึ้นรอยแดงทันตาเห็น

   “โอ้ย!! เจ็บนะดีดมาได้”  พี่หนึ่งยกมือคลึงเบาๆ ตรงรอยถูกดีด

   “ก็ปากดีไปแหย่ปมแก่มันนี่น่า” พี่ฉานหันไปว่าพี่หนึ่ง

   “ก็แก่จริงเปล่าวะ”  พี่หนึ่งหันหน้าไปอีกด้านแอบนินทาเบาๆ แต่ก็ดังพอที่ทุกคนจะได้ยิน ก่อนจะหันกลับมายกยิ้มน่ารัก นัยน์ตาสวยมีแววล้อเลียนส่งให้พี่สองคน

   “เดี๋ยวเถอะยังจะปากดี” 

    พี่แสนยกมือเตรียมจะดีดหน้าผากอีกครั้ง แต่พี่หนึ่งไวมากหลบไปอยู่หลังพี่ฉานแล้วครับ เฮียเข้าสงบศึกด้วยการเชิญทุกคนเข้าบ้านเพราะเลยเวลาทานอาหารเที่ยงมาพอสมควรแล้ว 




    หลังรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จ พวกเราเคลื่อนขบวนออกจากบ้านพักถึงสนามบินเกือบบ่ายสองเพื่อนั่งเครื่องบินส่วนตัวต่อไปยังกระบี่ ภายในห้องโดยสารยังกับโรงแรมหลายดาวแบ่งเป็นโซน ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่นเก้าอี้โซฟาหรูหราบุหนังเนื้อดีราคาแพงระยับ ห้องรับประทานอาหารจุคนได้ 14 คน เพดานด้านบนติดไฟดาวไลท์ส่องแสงนวลตา  ห้องประชุมขนาด 20 ที่นั่ง ผนังมีทีวีจอใหญ่ติดทุกห้อง

    นอกจากนี้ยังมีห้องนอนใหญ่ห้าห้อง น้ำนิ่งตื่นตาตื่นใจมองสิ่งแวดล้อมที่ต่างไปจากที่เคยเห็นต้องจูงมือเดินไม่งั้นมีหวังลงไปวัดพื้นทางเดินแน่เพราะมัวแต่หันซ้ายหันขวาไม่มองทาง จะว่าไปผมไม่เคยพาน้ำนิ่งไปเที่ยวไหนไกลกว่าบริเวณบ้านที่อยู่เลยตื่นเต้นมาก เฮียเซนจะไปส่งเราจนถึงกระบี่ก่อนจะกลับมาสะสางเรื่องที่ทำค้างไว้ ส่วนขากลับพวกเราจะกลับกันเองไม่ต้องให้เฮียส่งเครื่องบินมารับ


   ผมนั่งเอนตัวตามสบายไปกับโซฟานุ่มโดยมีร่างบางนอนซบอก ในอ้อมแขนคนตัวเล็กมีผ้าวิเศษกอดกระชับไว้หลอม คิดว่าคงจะเพลียเพราะไม่เคยเดินทางไกลต่อเนื่องแบบนี้แถมกินอิ่มตาก็เริ่มปรือปรอยแล้วครับ

   “ง่วงเหรอฮืม ไปนอนที่ห้องไหม”  ผมก้มหน้าลงถามเด็กในอ้อมกอดน้อย อดไม่ได้ต้องกดจูบไปที่หัวหอมเป็นของแถม

   “ฮือเหนื่อย แต่หนูตื่นเต้นจัง”  เสียงตอบกลับมาแผ่วเบา

   “ภูมิพาไปนอนที่ห้องนะ”

   “นอนนี่ ให้ภูมิกอด หนูง่วงจัง...”  เด็กน้อยตอบทั้งที่ตาหลับพริ้มอยู่กับอกผม นิ้วมือเรียวเล็กดึงคีบผ้าเน่าของตัวเองตามความเคยชิน 

    “ง่วงก็นอนเดี๋ยวถึงแล้วภูมิจะปลุก”

    ผมกอดกระชับเด็กให้นอนในท่าที่สบายมือตบสะโพกมนอีกมือก็ล่วงเข้าไปในเสื้อเชิ้ตบางสีขาวลูบแผ่นหลังบางกล่อมเบาๆ เฮียเซนซึ่งไม่เคยเห็นส่งสายตามองมาด้วยเอ็นดู ก่อนยกกล้องขึ้นปากขยับพูดโดยไม่มีเสียงว่าขอถ่ายน้องได้ไหม ผมพยักหน้าอนุญาต เท่านั้นแหละเฮียแทบจะกดนิ้วรัวไม่มีพักเอาทุกซ็อต ไม่พอเริ่มอัดวิดีโอแล้วครับ

    คนร่างบางในอ้อมกอดก็ไม่ได้สนอะไรแล้วครับ จะไปเฝ้าพระอินทร์อย่างเดียวแต่ยังฝืนขยับตัวขึ้นกดจูบลิ้นหยุ่นชื้นสีชมพูแลบเลียลงบนริมฝีปากผม ด้วยความหลงลืมตัวผมสอดลิ้นตัวเองเข้าไปเกี่ยวกระหวัดมอบจูบอ่อนโยนให้คนในอ้อมกอดจนพอใจก่อนผละออกมีขบเม้มริมฝีปากล่างแถมอีกที น้ำนิ่งเลื่อนตัวลงไปกดจูบที่อกซ้ายของผมขยับตัวไปมาจนพอใจ ปากนุ่มสีชมพูระเรื่อเอ่ยนอนหลับฝันดีกับอก เลิกฝืนตัวอ่อนยวบหลับไปแล้วคงจะง่วงจริงๆ หลับเร็วมาก ผมก้มลงจูบผมหอมกรุ่นกอดกระชับให้อยู่ในท่าสบาย พี่พีเดินเอาผ้าห่มมาคลีห่มให้กลัวว่าน้องโดนแอร์เย็นมากจะไม่สบาย  ผมเงยหน้าขึ้นเห็นเฮียอึ้งๆ ถือกล้องค้าง ผมเก้อเล็กน้อยลืมตัวทุกทีสินะเลยพยักหน้ายิ้มๆ ไปให้ เฮียมันหลุดยิ้มอย่างอดไม่ได้

   “สิงห์ไม่เอาน้องไปนอนที่ห้องเหรอ” เฮียถามผมด้วยความเป็นห่วงกลัวผมจะเมื่อย

   “ไม่ได้หรอกเฮีย  ถ้าขยับเปลี่ยนที่แล้วตื่นขึ้นมามีงอนครับ”  ผมบอกเฮียพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหยิบกล้องข้างตัวขึ้นมากดดูภาพที่ถ่ายได้ รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นที่มุมปาก สายตาคมที่ทอดมองภาพในกล้องมันส่อแววเอ็นดูรักใคร่อย่างจริงใจ

   “เฮียคิดว่าถ้ามีน้องก็คงจะเหมือนเด็กนี่  เฮียไม่แปลกใจเลยทำไมสิงห์ถึงรักน้องนักหนา น้ำนิ่งเหมือนน้องสาวคนเล็กที่คอยอ้อนให้พี่ชายดูแล ช่างฉอเลาะ ปากเล็กจิ้มลิ้มช่างเจรจานั้นอีก...”  แววตาของคนตรงหน้าที่ส่งมาให้ผม มันเต็มไปด้วยความรักของพี่ชายเต็มเปี่ยม




   “สิงห์..”

   “ครับ”

   “เฮียขอเป็นพี่ชายอีกคนของน้องได้ไหม” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า สายตาของเฮียวิบวับอบอุ่นเหมือนได้พบกับสิ่งที่สามารถเยียวยาจิตใจที่เหน็บหนาวของตัวเองได้อีกครั้ง

   “แน่นอนอยู่แล้ว ก็เฮียเป็นพี่ผม นิ่งก็เป็นลูกป๋ากับแม่ก็ต้องเป็นน้องของเฮียอยู่แล้วสิครับ เป็นครอบครัวเราครับ”  ผมตอบยิ้มๆ ให้กับเฮียเซน


   “อ้าวๆ  หยุดดราม่า เดี๋ยวน้องนอนไม่พอตื่นมาจะงอแงแล้วงานเข้านะเฮีย”  พี่ฉานเดินเข้ามาบริเวณที่เรานั่งอยู่แล้วส่งแก้วเครื่องดื่มมาให้เราทั้งคู่

   “เอาจริงๆ เราทุกคนรักน้ำนิ่งครับ เลี้ยงกันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจนตอนนี้ฝาหอยเล็กกว่าตีนน้องก็ยังรักแต่มันพ่วงด้วยความหวง จะให้โตแค่ไหนน้องยังเป็นเด็กน้อยสำหรับพวกเราตลอด ถ้าเฮียรักชอบพอจะเป็นพี่เป็นน้องก็ได้ ไหนๆ ก็ยกให้เฮียเป็นพี่ใหญ่แล้วกันเพราะน่าจะอายุมากกว่าพวกผมทุกคนในนี้”  พี่แสนเดินเข้ามาสมทบในมือถือแก้วเครื่องดื่มมาด้วย

   “เฮ้!! บางคนรีบเชียว  ดีใจอะดิมีคนแก่กว่าตัวฮา ฮา”  พี่หนึ่งยังปากดีครับ ร้องแซวคนเป็นพี่กำลังจะยกนิ้วขึ้นดีดแต่หลบทันได้อย่างหวุดวิด ทุกคนเลยหัวเราะชอบใจ

   “เฮียดีใจที่ทุกคนยอมรับเป็นพี่น้อง  ถ้ามีอะไรก็บอกเฮียได้เลยพร้อมช่วยเหลือเสมอ”  พวกพี่มันนั่งคุยแลกเปลี่ยนสารทุกสุขดิบกันกับเฮียจนได้เวลาเครื่องลง ผมก้มลงกระซิบปลุกคนในอ้อมกอด

   “หนูครับ จะถึงแล้วตื่นยังฮึ”  ผมก้มหน้าลงสูดความหอมของแก้มใส  เฮียเค้าหยุดกิจกรรมที่กำลังทำหันมาสนใจสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่อยู่บนอกผมแล้วครับ

   “ฮือ...ไม่เอาไม่กวนสิหนูง่วง”  คนในอ้อมกอดยังไม่ยอมลืมตา แต่ปรามเสียงเบา ขยับตัวคลอเคลียเหมือนแมวน้อยขี้อ้อนหน้าเล็กซุกซอกคอผมตายังหลับพริ้มเหมือนเดิม เฮียไม่พลาดสักซ็อตกดรัวเก็บภาพน้องตลอด  ปากนี่ยิ้มไม่หุบกับความน่ารักของน้อง

   “เฮียไม่กลับไปทำงานได้ป่าววะ”  ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าที่สายตาคมฉายแววอ่อนโยนมองการกระทำของเด็กในอ้อมกอดผมอย่างหลงลืมตัวด้วยความฉงนปนอึ้ง เอากับเขาสิคำที่ไม่คิดว่าจะหลุดออกจากปากคนจริงจังรับผิดชอบงานแบบนี้ได้ก็หลุดออกมาแล้ว

   “ก็พักสักวันสองวันกับน้องจะเป็นไรไป ธุรกิจเขาไม่ล่มหรอกน่าก็แค่ขาดทุนหลักร้อยซิวมาก”  ผมยุส่งแถมหันไปพยักเพยิดกับพวกพี่ๆ มัน ซึ่งแต่ละคนพยักหน้าสนับสนุน

   “เอาน่าเฮียพักสักวันสองวัน ก็ให้คุณท่านทำงานรอไปก่อน เหมือนสิงห์มันให้แม่ทำรอไปก่อนนั่นแหละ”  พี่ณิตหว่านล้อมอีกคน

   “ใช่ ใช่ เนี่ยครั้งแรกของน้องเลยถ้าเฮียไม่อยู่จะเสียใจนะ ถ้ามีทริปครั้งหน้าบรรยากาศความตื่นเต้นมันก็จะไม่เหมือนครั้งแรกเฮียเข้าใจเปล่า”  พี่หนึ่งสปอยแหลกแล้วครับ เฮียทำหน้าลังเลกังวลกับงานก็ด้วย

   “นะ”  ไม่ใช่เสียงของพวกเราครับ แต่เป็นเสียงหวานใสติดจะออดอ้อนของคนในอ้อมกอดผม นัยน์ตาหวานทอประกายเว้าวอนและรอยยิ้มละลายใจส่งไปให้เฮียเซน

   “ครับ..”   เอาแล้วเฮียเซนรับปากง่ายๆ ไม่มีลังเลซะงั้น พวกผมพูดอยู่ตั้งนานไม่ตกปากรับคำแต่เด็กพูดแค่ “นะ” คำเดียวเรียบร้อยไร้ข้อกังขา

   “เออเฮียแล้วเราจะพักกันที่ไหนเหรอครับ” พี่พีหันมาถามเฮีย

   “เฮียสั่งผู้จัดการโรงแรมที่อ่าวนางให้เขาเตรียมห้องพักไว้แล้ว พรุ่งนี้เราจะข้ามฟากไปที่หาดไร่เลย์ไปปีนผากันคิดว่าพวกนายต้องชอบ”

   “ข้ามวันนี้เถอะนะฮะไปพักที่รีสอร์ทได้ไหมฮะ”

    น้ำนิ่งส่งเสียงหวานถามอย่างกระตือรือร้น รอยยิ้มน่ารักพร้อมกับสายตาเว้าวอนออดอ้อนที่มีให้พี่ชายตัวโตตรงหน้า เท่านั้นแหละ เฮียเซนของผมล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสั่งคนที่รีสอร์ทให้เตรียมเรือนรับรองทันที เด็กน้อยดีใจยกมือไหว้ขอบคุณยกใหญ่ที่พี่ชายตามใจ เฮียยกยิ้มพอใจชะโงกตัวมายกมือใหญ่ขึ้นบีบจมูกเล็กของน้องเบาๆ  จับโยกไปมาด้วยความเอ็นดู

   “เรานี่น้า..”



    เฮียเซนโทรศัพท์ให้คนของโรงแรมเอารถตู้มารอรับ รถเคลื่อนตัวช้าๆ จากสนามบินเข้าสู่แหล่งชุมชนของตัวเมืองที่คลาคล่ำไปด้วยรถรา จนไปถึงโรงแรมบริเวณอ่าวนางเพื่อขึ้นเรือยอร์ชไปหาดไร่เลย์  ระหว่างที่นั่งรถตู้มาขึ้นเรือผมได้ยินเฮียโทรไปสั่งงานดีเอโก้หลายอย่าง ก่อนจะตัดสายและกดปิดเครื่องเก็บยัดเข้าในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางเร่งรีบราวกับสิ่งที่เป็นอะไรสักอย่างที่ไม่น่าพิสมัย พวกผมหัวเราะหึ หึ ขำๆ กับคนหัดทำตัวเกเร  เฮียจิ๊ปากใส่พวกผม แล้วพวกผมสนเหรอ...บอกแล้วว่าไม่

   พวกเราเดินทางจากท่าเรืออ่าวนาง ประมาณ 15 นาที ก็มาถึงบริเวณรีสอร์ทแต่ไม่ได้พักกันที่รีสอร์ทเราพักกันที่เรือนรับรองหลังใหญ่ที่อยู่บริเวณใกล้กันกับรีสอร์ท ผมนอนห้องนอนใหญ่กับน้ำนิ่ง เฮียนอนกับพี่ฉาน  พี่แสนนอนกับพี่หนึ่ง พี่ณิตแน่นอนว่าต้องนอนกับพี่พีอยู่แล้ว  ระหว่างที่กำลังตกลงกันว่าใครจะนอนกับใครเด็กน้อยของผมเปิดประตูห้องโถงนั่งเล่นออกไปยังระเบียง สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้เด็กผมกระโดดโลดเต้นดีใจใหญ่อยากเล่นน้ำ ก็ลงบันไดไปมันเป็นหาดส่วนตัวครับ ทรายขาวสะอาดเม็ดเล็กนุ่มเท้า น้ำนิ่งวิ่งมาเกาะแขนอ้อน สายตาวิบวับอ้อนๆ

   “ภูมิหนูเล่นน้ำได้ไหมฮะ”

   “แดดยังร้อนอยู่ครับ เย็นๆ เราค่อยเล่นกันนะ ตอนนี้ไปนอนกับภูมิก่อนเร็วเมื่อกี้นอนนิดเดียวเองไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวตอนเย็นไม่มีแรงเล่นน้ำนะ”

   “ภูมิเล่นกับหนูด้วยนะ”

   “ครับไปนอนก่อนนะ” 

    เด็กน้อยพยักหน้ามือเล็กกุมกระชับเข้ามาในมือผมดึงให้ขึ้นไปบนห้องด้วยกัน  แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันไปโบกมือบอกพวกพี่ว่าไปนอนก่อนเจอกันตอนเย็น  ได้ยินเสียงเฮียสั่งให้แม่บ้านของรีสอร์ทที่มาดูแลพวกเรายกเป้ของผมกับเด็กตามขึ้นห้องมา ถึงห้องเราสองคนอาบน้ำให้สบายตัว เสร็จแล้วก็เข้ามาในห้องเปิดตู้เสื้อผ้าหาชุดนอนให้เด็กน้อย

    ผมแอบทึ่งกับเฮียเซนมาก ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงเฮียเตรียมทุกอย่างได้ครบครันมาก ชุดนอนที่ผมเอามาใส่ให้น้ำนิ่งมันพอดีเป๊ะราวกับวัด จนไม่คิดว่าคนเย็นชาอย่างเฮียเซนจะทำเรื่องอย่างนี้ได้ แล้วในตู้เสื้อผ้าไม่ว่าจะข้างนอกข้างในทั้งของผมกับของเด็กน้อยมีครบทุกอย่าง  ละเอียดรอบคอบจริงเฮียผม...





TBC.

ปล.  ตอนนี้ก็กลับมาสู่ความเรื่อยเฉื่อยกันอีกครั้ง  ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.13_หนีเที่ยว_P.3 อัพเดต 2-11-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 02-11-2015 17:00:10
อิจฉาโว๊ย! อิจฉาน้ำนิ่ง  :fire:

อยากไป เที่ยวทะเล

อยากมี คนให้อ้อน

อยากมี คนคอยเอาใจ

อยากมีๆแบบนี้มั่ง  o9 o9

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.13_หนีเที่ยว (2) _P.3 อัพเดต 2-11-2558
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 02-11-2015 23:45:05
เด็กเลี้ยง




- 14 -


หนีเที่ยว (2)








   
   หลังจากจัดการภารกิจทุกอย่างเสร็จ ผมอุ้มกระชับคนร่างบางมาวางที่เตียงกว้าง เดินไปรูดม่านปิดให้สนิท ปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศให้พอเหมาะ กดปิดไฟกลางห้อง เหลือไว้เฉพาะไฟหัวเตียงที่ส่องแสงสีเหลืองนวลตา ผมเดินกลับมาที่เตียงล้มตัวลงนอนเด็กผมก็ช่างรู้หน้าที่ขยับตัวเข้าสู่กอดโดยไม่อิดออด

   ผมพลิกตัวขึ้นคล่อมตัวร่างบางสานต่อเรื่องที่ทำไว้กับผมเมื่อตอนเช้า น้ำนิ่งฉงนกับการกระทำของผม ริมฝีปากแห้งผากถูกลิ้นหยุ่นสีชมพูสดแลบเลียจนชุ่มชื้นมันวาวปากนุ่มเผยออ้าเชิญชวนให้ผมสอดลิ้นร้อนแทรกเข้าไปในโพรงปากหวานไล่กวาดต้อนลิ้นเล็กอย่างหิวกระหาย ดูดดึงเบาๆ ควานหาความหวานจนทั่วโพรงปาก  มือหนาสอดเข้าไปในชายเสื้อบีบบี้ที่ยอดอกเล็กจนเกิดเสียงครางอู้อี้จากปากนิ่มของคนใต้ร่าง ผมผละปากออกเพื่อให้คนตัวบางได้มีโอกาสสูดเอาอากาศเข้าไปเลี้ยงปอด

   “คิดถึง ภูมิกอดหนูนะ”

   ผมกระซิบเสียงเบาริมหูเล็ก ผละมือออกจากหน้าอกเล็กยกชายเสื้อนอนร่นขึ้นจนเห็นยอดอกเล็กชมพูระเรื่อ อดไม่ได้จนต้องตวัดลิ้นลงไล้เลีย เสียงครางหวานจากปากเล็กๆ นั้นยิ่งกระตุ้นให้ผมดูดดึงยอดอกแรงขึ้นอีกนิด เด็กน้อยแอ่นอกขึ้นสอดรับการดูดเลียของผม ลูบไล้มือลงไปตามสะโพกมนล้วงมือเข้าไปในกางเกงนอนลูบไล้มาจนถึงแก่นกายเล็กที่เริ่มแข็งขืนนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเบาๆ ที่ส่วนปลายน้ำใสปริ่มเล็กน้อย คนร่างบางยกสะโพกขึ้นเสียดสีกับกายผม

   “อา..ภูมิ”

   เด็กน้อยเลื่อนมือมาทาบทับมือผมที่ตอนนี้กุมตัวตนน่ารักของเค้าอยู่ให้ขยับ ผมผละปากจากยอดอกเล็กยิ้มพอใจ ยกตัวขึ้นมองคนร่างบางที่ตอนนี้สายตาฉ่ำหวานเชิญชวนให้ผมรักเขาอยู่ตรงหน้า จึงก้มลงเอาลิ้นเลียไล้ลงที่ริมฝีปากนิ่ม คนร่างบางครางเครือ

   “บอกภูมิก่อนว่าอยากให้ทำอะไรฮึ”  ผมถามแนบปากคนตัวบาง เด็กน้อยหน้าแดงเขินอายหันหน้าไปอีกข้าง ผมคิดว่าการทำรักมันคือการทำให้คู่รักของเรามีความสุขทั้งฝ่ายผู้ให้และฝ่ายผู้รับ ไม่ใช่เราสุขแล้วคู่ไม่เคยได้รับความสุขจากการทำรักเลย อันนั้นก็ไม่ใช่การทำรักแล้วมันคือความเห็นแก่ตัวของคนๆ หนึ่งครับ

    ผมชอบนะที่จะให้เด็กผมครางเสียงกระเส่าแล้วบอกผมว่าอยากให้ผมทำอะไรให้เขามีความสุข มันดูเซ็กซี่และกระตุ้นความต้องการได้สุดบรรยายยามที่เอ่ยออกมาจากปากน่าฟัดนั่น  ผมรู้ว่าน้ำนิ่งกำลังต้องการ เลยถามย้ำไปอีกครั้ง

   “หือ..อยากให้ภูมิทำยังไงครับ” 

   คนใต้ร่างถอนหายใจข่มกลั้นความอายจับมือผมไปวางที่ตัวตนน่ารักของตัวเองที่ตอนนี้น้ำซึมเปียกกางเกงนิดหน่อย น้ำนิ่งขบกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเบา...

   “ดูดแรงๆ ให้หนูหน่อยนะ...”     

        ปากเล็กเอ่ยเว้าวอนเสียงแผ่วหวาน นัยน์ตาวิบวับอย่างคาดหวัง ผมยกยิ้มอย่างพอใจ รู้ว่าตัวเองใช้สายตาโลมเลียคนตรงหน้ายังไงแก้มนิ่มของคนใต้ร่างขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขินอาย ก่อนจะหันหน้าหนีมีจะทิ้งหางตาที่ไม่รู้ว่าจะงอน เขิน เชิญชวน หรืออ้อน ผมบอกไม่ถูกแต่แมร่งแบบนี้ผมจะตายเอาให้ได้

   “เด็กดีไม่เห็นจะต้องอายอยากได้อะไรก็บอก  ภูมิจะทำให้หนูมีความสุขนะครับ”

   คนร่างบางหันหน้ากลับมามองสบตาสื่อความหมาย แขนเรียวเล็กยกขึ้นโอบไปที่คอโน้มหน้าผมลงมาจนปากเราประกบกัน ผมดูดดึงปากเล็กสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กของคนใต้ร่าง  ดูดชิมความหวานจากอ่อนโยนแล้วเริ่มรุนแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ของเราทั้งคู่จนพอใจจึงผละออก แทรกตัวเข้ามา หว่าง กลางยื่นมือแกร่งรูดดึงกางเกงนอนของน้ำนิ่งออกโยนไว้ข้างเตียง แก่นกายเล็กที่ได้รับการปลดปล่อยจากสิ่งพันธนาการดีดตัวขึ้นทักทายผมด้วยความดีใจจนน้ำตาปริ่ม

   ผมไม่รอช้าเกี่ยวยึดสะโพกมนดึงร่างเล็กจนมาจ่อที่หน้าตัวเอง ครอบปากลงส่วนปลายยอดสีชมพู ซีดดูดชิมน้ำหวานที่ไหลปริ่มออกมาไม่หยุด ตวัดลิ้นเลียวนตั้งแต่โคนถึงปลาย สลับกับการครอบปากดุนดันดูดกลืนกินจนสุดความยาว ขยับรูดขึ้นลง ดูดเน้นๆ ตรงส่วนรอยหยักรูปตัววี จนร่างบางหลุดเสียงครางหวาน

   “อ๊ะ..อา..เสียว”

   นิ้วเรียวเล็กสอดเข้ามาเกี่ยวกระหวัดเส้นผมของผมกดดึงรั้งหัวไว้ เด็กน้อยยกสะโพกมนกระแทก แก่นกายสวนสอดรับกับการดูดดึงครอบครองของผม มืออีกข้างของผมเลื่อนลงไปดึงรั้งกางเกงของตัวเองถีบขาจนมันหลุดไปกองอยู่ปลายเท้า เลื่อนมือไปกอบกุมแก่นกายใหญ่ที่ตอนนี้มันพองตัวคับแน่นเต็มมือตัวเอง ขับรูดรั้งขึ้นลงจังหวะเดียวกับที่ปากก็ทำหน้าที่รูดรั้งขึ้นลงครอบครองแก่นกายของร่างบางเร็วขึ้น มือเล็กที่กดหัวผมอยู่เกร็งแน่น เด็กผมกำลังจะไป

   “อ๊ะ...อา...เร็วอีกหนูไม่ไหวแล้ว”

   ผมห่อปากดูดเม้มแก่นกายเล็กขยับขึ้นลงระรัวเร็ว ร่างบางยกสะโพกกระแทกแก่นกายเข้าปากผมแรงๆ แล้วเกร็งตัวแน่นปลดปล่อยน้ำรักขุ่นขาวไหลลงสู่ลำคอผมกลืนกินมันอย่างไม่รังเกียจ  ขยับรูดปากมาส่วนปลายดูดกลืนน้ำรักของคนใต้ร่างจนหมดจด

   น้ำนิ่งทิ้งร่างลงบนที่นอนนุ่ม ผมเลื่อนตัวขึ้นไปประกบจูบปากเล็กที่เผยออ้าด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยน ก่อนจะลุกขึ้นอุ้มเตงเด็กพาไปยังโซฟาเบดริมหน้าต่างบานกว้าง นั่งลงโดยมีเด็กน้อยนั่งค่อมอยู่บนตัก แขนเรียวเล็กยกขึ้นโอบรอบคอผม

   “หนูช่วยภูมิหน่อยนะ” 

   ผมเอ่ยเสียงแหบพร่าข้างหูน้ำนิ่ง ปากหนาได้รูปขบเม้มใบหูเล็กเบาๆ จูบละไปตามคอดูดเน้นๆ จุดไว้ความรู้สึกตรงใต้คางเสียงครางแผ่วเบาอย่างพึงพอใจจากคนบนตัก มือแกร่งกอบกุมสะโพกมนยกร่างบางขึ้นจนยอดอกเล็กจ่ออยู่ที่ปากตวัดลิ้นเลียไล้วนครอบดูดจนคนบนตักเชิดหน้าครางเสียงหวานด้วยความเสียวซ่าน  สะโพกมนขยับบดเบียดเสียดสีไปกับตัวตนที่พองใหญ่แข็งขืนของผม

   “ซี๊ด...อา...หนูของภูมิ.”

   ผมขยับมือไปกอบกุมแก่นกายร้อนทั้งของตัวเองและของคนบนตักไว้ด้วยกันแน่นด้วยมือเดียว เอ่ยเสียงแหบพร่าบอกคนบนตักขยับกระแทกสะโพกเข้าใส่ในมือผมแรงๆ  ผมตวัดลิ้นเลียสลับการดูดดึงยอดอกของร่างบาง  มือที่กอบกุมสะโพกมนลูบไล้บีบกระชับก้นงอนกลมกลึง  นิ้วมือกดย้ำๆ ที่ปากทางรักสลับลูบวนรอยจีบพับระรัว ความกระสันเสียวจากการถูกกระตุ้นหลายทางมันเป็นแรงผลักดันให้ร่างบางขยับสะโพกกระแทกเข้าใส่มือผมอย่างแรง การเสียดสีแก่นกายทั้งคู่ที่กุมแน่นอยู่ในมือผมมันสร้างความหฤหรรสุดบรรยายจนเราครางไม่เป็นภาษา

   “อา...ดีเหลือเกิน  แรงๆ อีก”

   “อ๊ะ...อา...อา”

   “อ๊ะ..ซี๊ด.. เสียวเหลือเกิน”

   “หนูไม่ไหวแล้ว  กำแน่นๆ อีก”

   ผมกำมือที่มีแท่งร้อนของเราทั้งคู่ให้แน่นกว่าเดิมตามคำขอ น้ำนิ่งกระแทกใส่แรงเต็มที่ไม่ยั้ง ตอนนี้เรากำลังจะไปถึงตรงนั้นแล้ว ปากผมทั้งดูดทั้งเลียที่ยอดอกหวาน  นิ้วมือไล้วนระรัวบนรอยจีบพับ คนบนตักก็ไม่ยอมแพ้เพิ่มแรงขยับสะโพกกระแทกเสียดสีแก่นกายในมือผมอย่างแรง ในที่สุดความเสียวซ่านก็วิ่งมาจนสุดปลายทางเราทั้งคู่เกร็งตัวแน่นปลดปล่อยน้ำรักออกมาพร้อมกันเลอะเต็มมือและหน้าท้องของเรา หัวสมองขาวโพลนความสุขสมแล่นริ้วตามร่างกายจนอุ่นซ่าน 

   ความสุขสมยังไม่สิ้นสุดผมยังไม่ปล่อยแก่นกายทั้งคู่  น้ำนิ่งยังคงขยับสะโพกกระแทกเข้ามาในมือเนิบนาบ แก่นกายของเรายังเสียดสีสร้างความสุขสมเสียวซ่านจนหยาดหยดสุดท้ายของความรัก หน้าสวยหวานที่เชิดรั้งซบลงกับบ่าแขนเรียวเล็กที่เกาะกอดผมยังเกร็งแน่น 

   ผมลุกขึ้นอุ้มเด็กไปวางริมเตียง ขาเรียวเล็กสั่นระริกจากการเกร็งห้อยลงข้างเตียงอย่างเหนื่อยล้า ผมคลุกเข่าลงที่พื้นข้างเตียงดึงร่างเล็กมาจ่อตรงหน้า ตวัดลิ้นเลียแก่นกายน่ารักที่ยังแข็งขืนดูดกลืนกินหยาดน้ำรักที่เปรอะเปื้อนจนสะอาดหมดจด เลื่อนตัวขึ้นไปกอดกระชับจูบที่ปากนิ่มอีกครั้ง

   “แรดน้อยของภูมิ มีความสุขไหมฮืม..”  ผมกระซิบถามเสียงพร่ากับริมฝีปากนุ่ม

   “มากฮะ..”

   เสียงหวานแหบพร่าหอบโยนตอบกลับมา ตาฉ่ำเยิ้มที่มองสบกันมันสื่อความหมายว่าสุขสมเพียงใดกับสิ่งที่ได้รับ ผมยิ้มกว้างก่อนที่จะกดจมูกสูดดมไปที่ขมับชื้นเหงื่อทั้งสองข้าง ระเรื่อยมาที่แก้มใส่ที่ตอนนี้ ยังแดงระเรื่อก่อนจะจบลงที่ปากนุ่มหยุ่น  ผมอยากทำมากกว่านี้แต่น้ำนิ่งยังเด็กเกินกว่าจะรับผมได้ทั้งหมด แค่นิ้วที่ผมทำให้วันนั้นยังทำให้น้ำนิ่งป่วยอยู่สองวันจนพี่หนึ่งมันโทรด่าจนหูชา

   “รักเหลือเกินเป็นของภูมิไปนานๆ นะ”

   “ภูมิก็เป็นของหนูไปนานๆ นะ” 

   “ครับ”

   “ไปอาบน้ำกันนะ”

    ผมลุกขึ้นยืนข้างเตียงก้มลงอุ้มร่างบางขึ้นกอดกระชับแน่น น้ำนิ่งซบหน้าลงกับบ่าผมเดินเข้าห้องน้ำไปยืนใต้ฝักบัวปล่อยตัวคนในอ้อมกอดลงยืน แต่เจ้าตัวคงจะเหนื่อยมาก ซบหน้าพิงกับอกผม มือโอบประคองไว้ไม่ให้ล้มคว่ำ อีกข้างยื่นไปเปิดน้ำอุ่นรดเราทั้งคู่  ฟอกสบู่แล้วล้างตัวออกอย่างรวดเร็ว สงสารครับจะยืนไม่ไหวแล้ว อุ้มไปเช็ดตัวลงครีมหาทาทั่วตัวหาเสื้อผ้าให้ใส่ก่อนจะอุ้มมาวางที่เตียง เด็กผมจะหลับมิหลับแหล่ แต่ฝืนตารอ ผมก้มลงเก็บเสื้อชุดนอนตัวเก่าใส่ตะกร้าซัก รีบเดินไปหยิบกางเกงนอนขายาวออกมาจาก ตู้สวมแล้วจึงเดินไปล้มตัวนอน   

    ร่างบางขยับตัวเข้ามาในอ้อมกอดในตำแหน่งประจำ ผมยื่นมือไปหยิบผ้าประจำตัวอีกฝั่งมาให้ ขาเรียวเล็กยกขึ้นเกี่ยวขาผม ๆ เอื้อมมือไปตบก้นงอนเบาๆ ไม่นานคนในอ้อมกอดก็หลับสนิทลมหายใจสม่ำเสมอ ผมนอนมองหน้าร่างบางด้วยความรักกดจมูกสูดดมความหอมตามหน้าผาก แก้ม ซอกคอ บางครั้งกดจูบปากบางที่เผยออ้าน้อยๆ จนพอใจไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร...

.

.

.

.

.

   

   ผมคิดว่าตัวเองคงจะหลับไปนานพอสมควรควานมือไปข้างๆ หวังจะดึงเด็กตัวหอมมากอด แต่ที่นอนข้างตัวกลับว่างเปล่า ผมเด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำนิ่งไม่ได้อยู่ในกรอบสายตาไม่รู้หายไปไหน  เดินไปเปิดดูในห้องน้ำไม่มี เดินลงมาข้างล่างจนถึงห้องโถงแต่ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนี้

   เสียงดังเอะอะบริเวณหาดทำให้ผมหันไปมองจึงเห็นว่าเป็นเด็กของผมกับพวกพี่ๆ มันกำลังเล่นแย่งบอลในน้ำกันอยู่ เด็กน้อยของผมขี่คอพี่ฉาน  พี่พีชี่คอพี่ณิต  พี่หนึ่งกับพี่แสนเป็นกองเชียร์อยู่ข้างๆ หนีลงมาเล่นไม่ปลุกต้องมีทำโทษกันบ้างแล้ว (คือไม่ใช่จะทำอะไรรุนแรงหรอก แค่หาเรื่องกดเด็กอะครับ) 

    เมื่อเห็นว่าเด็กอยู่ไหนเลยหันหลังเดินกลับขึ้นไปบนห้องล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีดำกับเสื้อกล้ามขาวตามลงไปยังหาด

   ผมเดินมานั่งลงบนพื้นทรายข้างๆ เฮียเซนที่ตอนนี้ยกกล้องกดซัตเตอร์รัวเก็บภาพความสนุกสนานข้างหน้าแต่ให้เดาก็คงเน้นเฉพาะเด็กตัวหอมศูนย์กลางของจักรวาลนั่นแหละ  ร่างบางหันมาเห็นผมโบกไม้โบกมือไหวๆ บอกให้พี่ฉานปล่อยตัวลง วิ่งถลาเข้ามาหา มาถึงไม่พูดพล่ามทำเพลงนั่งปรุลงบนตัก แขนเรียวเล็กยกขึ้นคล้องคอ จมูกเล็กน่ารักคลอเคลียป่ายปัดไปมากับจมูกผม มือผมตบลงเบาๆ ที่ก้นงอนในกางเกงว่ายน้ำสีฟ้า

   “อ๊ะ เค้าเจ็บ”   แอ๊คติ้งสุดยอดของเด็กตัวหอมทำให้เฮียรีบวางกล้องหันมาดูว่าน้องเป็นอะไร ผมเลยทำปากว่าเด็กแกล้ง เฮียเลยหลุดขำส่ายหน้ากับความเจ้าเล่ห์ของเด็ก

   “ทำโทษที่ลุกมาไม่ปลุก”  ผมทำเสียงเข้มใส่คนบนตัก

   “ก็...”  น้ำนิ่งก้มหน้างุดเหมือนพยายามหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองพ้นผิด

   “ก็อะไร...” แกล้งทำเสียงแข็งใส่

   “ก็เฮียบอกภูมิเหนื่อยไม่ให้ปลุก พี่ฉานไม่ให้เวลาตอบรับหรือปฏิเสธเลยอุ้มหนูลงมาเลย”

    เด็กตัวหอมตรงหน้าบอกพร้อมเงยหน้าส่งสายตาอ้อนๆ มาให้ แล้วผมจะกล้าโกธรเหรอ...แค่อยากแกล้งเด็กน่ะ ปฏิกิริยาน่ารักทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้เลยก้มลงกดจูบหน้าผากมนที่ตอนนี้มีกลิ่นเค็มของเกลือเจอปนอยู่แต่นั่นก็ไม่สามารถกลบกลิ่นหอมรวยรินจากร่างของคนตรงหน้าได้หมด

   “ภูมิไม่ได้ว่าซักหน่อย แล้วเล่นอะไรอยู่ครับ”

   “เล่นแย่งบอลฮะ กำลังจะชนะอยู่เชียว ภูมิเล่นกับหนูไหม” เด็กบนตักบอกด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน

   “เหรอแล้วทำไมไม่ชวนเฮียไปเล่นด้วยล่ะหืม”

   “เดี๋ยวคนแก่หัวใจวาย เล่นไม่ได้หรอกเนอะ”  เด็กน้อยทำเสียงสัพยอกคนข้างๆ ผม นั่นก็ฮึมๆ ใส่น้อง

   “เดี๋ยวๆ ว่าใครแก่ ไม่รู้ซะแล้ว มานี่เลยมา” 

    เฮียยกตัวน้ำนิ่งจากตักผม ดึงแขนน้องเดินตรงไปที่พวกพี่ๆ มันเล่นบอลกันอยู่ เสียงดังโหวกเหวกท้าทายกัน ทีนี้เกิดเป็น 3 ทีมครับ เฮียเซนกับเด็กผม  พี่ฉานกับพี่หนึ่ง  พี่ณิตกับพี่พี แข่งกันสองอย่างคือแย่งบอลใครทำบอลตกถือว่าแพ้ แล้วก็แข่งว่ายผลัด ใครแพ้ทั้งสองครั้งจะต้องจ่ายค่าอาหารเครื่องดื่มคืนพรุ่งนี้ทั้งหมด ผมถอดเสื้อ กล้ามและกางเกงขาสั้นออกเหลือแต่กางเกงว่ายน้ำเดินไปยืนข้างพี่แสนให้กำลังใจเด็กใกล้ๆ

   “เฮียซ้ายๆ อิ๊บ”  น้ำนิ่งร้องบอกทาง ก่อนจะส่งบอลไปทีมพี่ณิตแต่ตีให้ห่างไปนิดหน่อยกะให้ฝ่ายนั้นพลาด

   “อ๊ะ แกล้งเหรอ ขวาๆ ณิต”  เสียงร้องของพี่พีสั่งคนของตัวดังลั่น แต่ก็สามารถรับบอลส่งต่อให้ทีมพี่หนึ่งได้ พี่หนึ่งตีคืนส่งให้พี่พีเหมือนเดิม เกือบรับไม่ได้ครับ

   “แมร่งรุม...ได้”  พี่ณิตโวยวาย แต่ก็สามารถรับและส่งบอลต่อให้เด็กผมได้เฉียดฉิว

   “เฮียๆ ขวาๆ อีกนิด”  เด็กน้อยส่งบอลคืนให้พี่พี ฝ่ายนั้นรับได้
 
    เสียงหัวเราะกังวานใสที่เกิดจากความสุขของน้ำนิ่ง เสียงโหวกเหวกของพี่ชายตัวใหญ่หกเจ็ดคน ท่ามกลางลำแสงสีส้มแดงของพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า มันเป็นภาพของความสุขที่ตราตรึงอยู่ในใจที่ไม่อาจลืมได้ ความสุขรอยยิ้มของคนตัวหอมผมสัญญาจะดูแลรักษาอย่างดีไม่ให้เลือนหายไปจากใบหน้าสวยหวานนั่น ผมหันไปทางดงมะพร้าวส่งสายตาคมดุมุ่งมั่นดั่งเป็นสัญญาให้ใครก็ตามที่กำลังเฝ้ามองพวกเราอยู่ตลอดเวลาได้รับรู้

   “มีอะไร”  พี่แสนหันมาเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าสงสัย

   “พี่รู้สึกใช่ไหมว่ามีคนจ้องพวกเราอยู่”  ผมหันไปถามเสียงเข้มติดจะกังวลกับพี่แสน

   “กูรู้”  น้ำเสียงที่ตอบกลับมาติดจะกังวลเหมือนผม

    บทสนทนาของเราจบลงแค่นั้น ก่อนจะให้ไปสนใจเกมส์ตรงหน้า เสียงตอบโต้ส่งบอลกันไปมาอยู่เกือบยี่สิบนาทีด้วยความเหนื่อยที่เล่นกันมานานประกอบกับคลื่นลมแรง ในที่สุดพี่พีก็พลาดบอลลอยหวือเฉียดมือไปนิดเดียว พี่แกสบถออกมาด้วยความเจ็บใจ คนอื่นๆ เลยหัวเราะลั่น

   “โธ่เว้ย! แมร่ง บอกให้ไปซ้าย กลับไปขวา”

   “เออ มันเพิ่งเริ่มต้น รับรองว่ายน้ำไม่แพ้แน่” พี่ณิตประกาศกร้าวเดินลุยน้ำมาเกือบถึงฝั่งรอคนอื่นๆ เดินมาสมทบเพื่อแข่งว่ายน้ำต่อ เด็กน้อยวิ่งเข้ามากระโดดเอาขาเกี่ยวเกาะเอวผมหัวเราะเสียงใส

   “เค้าสนุกจัง แต่เหนื่อยมากเลย”   เสียงบอกเล่าของความสนุกเจือมากับน้ำเสียงกังวานใสที่บอกผม

   “เหนื่อยที่ไหน อยู่บนคอเฮียตลอด”  เฮียเซนคัดค้านคำพูดน้องทันควัน คนสวยหน้างอง้ำแต่ก็ยังส่งเสียงเถียงคอเป็นเอ็น

   “ที่ไหน ถ้าไม่มีมันสมองและการเล็งเป้าที่แม่นยำของหนูแพ้ตั้งนานแล๊ว  ภูมิว่ายน้ำแทนเค้าน้า นะ นะ...”

   “มีอะไรแลกเปลี่ยน บอกภูมิก่อน” 

    ผมก้มลงเอาริมฝีปากร้อนแตะหน้าผากมนและป่ายปัดจมูกของเราไปมา กระซิบเสียงเจ้าเล่ห์กับร่างบางที่ผมยังอุ้มอยู่ ฝ่ายนั้นนิ่วหน้าขมวดคิ้วคำนวณผลได้ผลเสียแล้วครับ

   “เค้าให้หมดเลย ถ้าภูมิชนะนะ”  ตกหลุมพรางแล้วครับ ผมยกยิ้มสุขสมใจ

   “สัญญาแล้วนะ”  ก้มลงขบเม้นปากนุ่มหยุ่นเบาเป็นการมัดจำ

   “ฮือ..ชนะก่อนสิ”  เด็กน้อยดันหน้าผมออก เสียงหัวเราะใสพึงพอใจ

   “ก็มัดจำ เดี๋ยวไม่มีแรงแข่ง”

   “เอ้า!!  ผัวเมียคู่นั้นจะออเซาะอีกนานเปล่าวะ  จะได้นั่งจิบเบียร์รอ”  พี่ฉานส่งเสียงล้อเลียนมาจากในน้ำ

   “เรื่องของเขาสิเนอะ ตัวอิจฉาเค้าเหรอ” 

    คนน้องปากยื่นปากยาวต่อล้อต่อเถียงแล้วหันมาหาพรรคพวกกับผม พี่ๆ มันหัวเราะชอบใจใหญ่กับท่าทางของน้ำนิ่ง  ถามว่าเด็กผมอายไหมที่พี่ฉานเรียกแบบนั้น คำตอบคือไม่ ชอบมากกว่าที่ได้ประกาศตัวว่าเราเป็นอะไรกัน  เราสองคนมีนิสัยที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ  “หวงของ”  อะไรที่เป็นของเรายิ่งเป็นของสำคัญด้วยแล้วคนอื่นห้ามยุ่ง  อยากประกาศให้ใครๆ รู้ไปเลยด้วยว่านี่ของเราห้ามยุ่งเด็ดขาด

   “เอาให้พี่ฉานหงายเก๋งไปเลยนะ แล้วหนูจะให้ทุกอย่างเลย” 

    ร่างบางยื่นหน้ามากระซิบริมหูติดสินบนที่ผมเต็มใจรับ  ปากนิ่มร้อนขบเม้มติงหูเบาๆ ฉกจูบปากเป็นของแถม ก่อนที่เจ้าตัวจะรูดลงจากตัวผม ตบก้นผมเร่งให้เข้าสนามแข่ง ผมหันไปยิ้มเจ้าเล่ห์ให้อีกครั้งรู้สึก ได้ว่าแข่งครั้งนี้ถึงจะไม่ชนะตัวเองได้กำไรเห็นๆ 

   ผมคู่กับเฮียแทนน้ำนิ่ง แต่ละคนจะว่ายไปจนถึงทุนสีแดงก็ประมาณร้อยเมตรแล้วว่ายกลับมาแตะมือคู่ของตัวเองให้ว่ายต่อ ไปกลับก็ตกคนละสองร้อยเมตร ค่อนข้างหินพอสมควรเพราะตอนนี้คลื่นและลมแรงมาเป็นระลอก รอบแรกที่แข่งมีเฮียเซน  พี่พี  และพี่หนึ่ง  ส่วนรอบสองผมแข่งกับพี่ณิต และพี่ฉาน พี่แสนยืนเป็นกรรมการ น้ำนิ่งเป็นกองเชียร์

   รอบแรกเฮียว่ายเข้ามาแตะมือผมก่อน  ตามด้วยพี่พี และพี่หนึ่ง ซึ่งเข้ามาในเวลาใกล้เคียงกันมาก หลังจากแตะมือกับเฮียผมรีบว่ายอย่างรวดเร็วหนีสองคนนั้น ได้ยินเสียงโวยวายของพี่ณิตที่โดนพี่ฉานแกล้ง ดึงกางเกงว่ายน้ำ ผมละเอือมระอาถ้าไม่ใช่เวลาทำงานพวกพี่มันทำตัวได้ยิ่งกว่าเด็กมากครับ

   “เฮ้ย!! ไอ้ฉานไม่เล่น  มึงโกง”  พี่ณิตโวยวายมือดึงกางเกงเท้าถีบอีกคนเป็นพัลวัน ก่อนจะว่ายตามมา

   “ก็ไม่ได้บอกให้เล่นใสสะอาดนี้หว่า”  พี่ฉานรีบว่ายหนีมา

   “ณิตอย่ายอมนะ เร็วๆ ถ้าแพ้ไม่ต้องกอดห้าวันนะ” 

    พี่พีกลัวคนของตัวเองเพลี่ยงพล้ำ มีติดสินบนครับคิดว่าพี่มันคงได้ยินคำว่าไม่ให้กอด เท่านั้นแหละพี่ณิตรีบสปีดว่ายตามมาจนทันก่อนที่มือแกร่งจะดึงกระชากกางเกงว่ายน้ำของพี่ฉานหลุดลอยไปตามน้ำ

   “เอ้ย!!”

    เสียงร้องตกใจทำให้เสียจังหวะ พี่ณิตถือโอกาสนั้นถีบตัวว่ายนำหน้าอย่างรวดเร็ว ถามว่าพี่ฉานอายจนต้องตามไปคว้ากางเกงว่ายน้ำที่ลอยไปรึเปล่า ไม่ครับความอายไม่มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรมของฉะฉานครับ พี่มันว่ายตามมาอย่างรวดเร็วเกือบจะคว้าข้อเท้าของพี่ณิตได้อยู่แล้ว แต่คนนี้ก็ไวกว่านักกีฬา ว่ายน้ำเหรียญทองของมหาวิทยาลัยนี่น่าว่ายหนีได้เฉียดฉิว

   “ฉานเร็วๆ เมียเค้าติดสินบนกันแล้ว กูเชียร์มึงอยู่นะ เร็วๆ อย่าให้เสียชื่อนะมึง“ 

   พี่หนึ่งตะโกนเชียร์ทีมตัวเองเสียงดัง ผมว่ายลอยตัวอยู่ตรงทุ่นยังไม่ว่ายกลับรอจนพวกพี่มันตามมาเกือบถึงห่างกันแค่สองช่วงตัว ผมทำหน้าตาท้าทายพวกพี่มัน ปากบอกไม่มีเสียงว่าไปก่อนนะพี่  ผมสปีดตัวว่ายออกมา ระหว่างสวนกันพี่ฉานมันจะเข้ามาคว้าข้อเท้าผมไว้ แต่ผมไวกว่าอยู่แล้ว ถีบตัวออกอย่างรวดเร็ว เด็กผมบนฝั่งร้องโวยวายฟ้องพี่แสนให้ลั่น

   “ไม่เอาสิพี่ฉานแกล้งภูมิอ๊ะพี่แสนเห็นไหมๆ  ปรับแพ้เลยน้ำไม่ยอม แพ้ๆ”

   “เฮ้!! ฉานมึงอย่าตุกติก เห็นไหมเมียเค้าโวยวายห่วงผัวแล้วเนี่ย” 

    เสียงดังตะโกนตำหนิพี่ฉานไม่จริงจังนักตอนท้ายมันทะแม่งๆ ไงไม่รู้ แล้วก็หัวเราะกันลั่นหาด มือเล็กๆ ของน้องเลยซัดเผี้ยะตรงแขนแกร่งเข้าให้ ถอยหนีเป็นพัลวัน เสียงหัวเราะของความสุขที่แกล้งน้องได้ดังลั่นหาด

   ผมว่ายเข้ามาถึงฝั่งก่อนเป็นคนแรก ตามด้วยพี่ณิต แล้วก็พี่ฉาน พี่หนึ่งเอาผ้าเช็ดตัวไปให้พี่ฉานพันตัวไม่อยากจะให้น้องเห็นภาพอุจาดตา แต่สรุปคือ ทีมพี่ฉานโดนปรับแพ้เพราะรบกวนทีมอื่น  สองทีมเลยต้องเป็นคนจ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่มคืนพรุ่งนี้

    พวกเราเล่นน้ำกันต่อจนลำแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดเริ่มเคลื่อนตัวเข้าครอบครองแผ่นฟ้ากว้างแทน ดาวเล็กๆ ทอแสงวิบวับบนฟากฟ้า ลมเย็นที่พัดหอบเอาความเค็มของทะเลกระทบร่างทำให้เหนียวตัวไปหมด เมื่อเห็นว่าเล่นกันนานเดี๋ยวเด็กจะไม่สบาย เฮียเซนเลยให้แยกย้ายกันไปอาบน้ำก่อนจะไปทานอาหารค่ำกันข้างนอก 

         ก่อนที่จะแยกย้ายความรู้สึกนั่นมันกลับมาอีกแล้ว ผมหยุดชะงักเสตาไปทางดงมะพร้าวชั่วแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับมาสบเข้ากับสายตากังวลของพี่แสนเราทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

    เด็กตัวหอมกับสัตว์สายพันธุ์เล็กอย่างพี่หนึ่งกับพี่พี รีเควสว่าเหนื่อยไม่อยากออกไปกินข้างนอกทำปิ้งย่างอาหารทะเลกันเองได้ไหมสายตาเว้าวอนวิบวับส่งให้พี่ชายใหญ่ของกลุ่ม เท่านั้นแหละครับ เฮียก็เฮียเถอะหน้านิ่งเย็นชาขนาดไหน ถ้าเจอสามคนนี้รวมพลังกันนะ บึ้มเป็นโกโก้ครั่น ขึ้นไปอาบน้ำไม่ถึงชั่วโมงกลับลงข้างล่างทุกอย่างพร้อมสรรพ หมึก กุ้ง หอย ปู  เครื่องดื่ม เพียบลานหน้าบ้าน เฮียท่าจะหลงเด็กหัวปักหัวปำแล้วครับทูนหัวทูนเกล้าให้ทุกอย่าง แต่ผมว่าดีแล้วที่ไม่ออกไปทานกันข้างนอกให้ได้ห่วง









>>มีต่อด้านล่าง<<
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.13_หนีเที่ยว (2) NCเบาบาง _P.3 อัพเดต 2-11-2558 23:45:05
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 02-11-2015 23:47:43
>> ต่อจากด้านบน<<


   หน้าที่ปิ้งย่างเป็นของฝ่ายแม่บ้านสาวๆ (?) เค้ารับอาสาอยากทำ  น้ำนิ่งทำน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดตาม ด้วยยำหอยนางรมตามรีเควสของพี่หนึ่งซึ่งออกสีหน้าท่าทางเปรี้ยวปากอยากกินราวกับผู้หญิงแพ้ท้อง แถมด้วยต้มโคล้งปลากะพง ตบท้ายด้วยหมึกผัดไข่เค็มให้ผมกับพี่แสนกินข้าวเย็น  คือพี่แสนมันเหมือนผมก่อนที่จะดื่มหรืออะไรก็ตามแต่จะต้องมีข้าวรองท้องก่อน ไม่งั้นแมร่งเมาฉิบหายวายป่วง

   เฮียเซนอึ้งตาโตตอนลงมาเห็นน้องทำกับข้าว วิ่งตึงๆ กลับขึ้นไปบนบ้านพวกผมนึกว่าเป็นอะไรมองหน้ากันงงๆ แล้วก็ถึงบางอ้อเมื่อเฮียเอากล้องมาเก็บภาพตอนน้องทำกับข้าวครับ พวกผมเลยส่ายหน้าเอือมระอากับคนเห่อน้อง

   เฮียเปิดไวน์ขาวโซวินญองทานคู่กับอาหารทะเล  มันเป็นไวน์ขาวที่ทำจากองุ่นพันธุ์โซวินญอง บลอง หมัดบ่มไว้หลายสิบปีแล้ว เวลาดื่มมันให้ความรู้สึกสดชื่นยิ่งกับพวกอาหารทะเลนี่ยิ่งดื่มได้เรื่อยๆ พวกพี่มันอนุญาตให้สาวๆ ดื่มได้เพราะอยู่บ้าน

    บรรยากาศของลมทะเลพัดเอื่อย ดาววิบวับเต็มท้องฟ้า  อาหารอร่อย และไวน์ขาวรสเลิศ ทำให้พวกเราเจริญอาหาร เฮียเซนเติมข้าวสองจานใหญ่ติดใจฝีมือเด็กผมเข้าให้แล้วครับ นั่งกินนั่งดื่มกันจนเกือบห้าทุ่ม ไวน์หมดไปเจ็ดขวด น้ำนิ่งเริ่มเลื้อยตัวมานั่งตักคลอเคลียราวลูกแมวอ้อนเจ้าของ แก้มใสแดงระเรื่อจากแอลกอฮอร์ในกระแส เลือด  ตาฉ่ำหวานเชิญชวน  น่าฟัดเอี้ยๆ

    ฝั่งตรงข้ามผมตอนนี้พี่พีที่ปกติจะไม่แสดงออกให้รู้ว่าเป็นอะไรกับพี่ณิต แต่ตอนนี้กลับสร้างโลกส่วนตัวเลื้อยขึ้นไปนั่งตักจูบปากแลกลิ้นกับคนของตัวเองไม่สนใจสิ่งรอบข้าง  ผมว่าพี่ณิตก็คงไม่ไหวแล้วเหมือนกันหน้าออกอาการมาก (อาการหื่นนะ) พี่มันลุกขึ้นอุ้มคนบนตักขึ้นมาในอ้อมกอด

   “เฮ้ย!  ขอตัววะพาเด็กไปเก็บก่อน” 

   “เออๆ อย่ารุนแรงกับน้องนัก ถนอมมันบ้าง” พี่แสนทำหน้าตาล้อเลียนคนทั้งคู่ แต่พี่ณิตจะสนเหรอครับจูบโชว์อย่างดูดดื่มก่อนผละออกจากกันกัดริมฝีปากล่างคนในอ้อมกอดโชว์อีก ผมล่ะอ่อนใจกับพี่มันถ้าเมาแล้วก็แบบนี้แหละครับ

   “ซี๊ด! ฮือไม่เอาเจ็บ”  คนในอ้อมกอดบ่นงุ๊งงิ๊ง ผลักหน้าพี่ณิตออกจากปากตัวเอง

   “ไปเลยมึง เห็นใจพวกกูบ้างอะไรบ้างจะขึ้นแล้วเนี่ยห่านเอ๊ย”   พี่ฉานโบกมือไล่คนทั้งคู่

   “เออๆ เดี๋ยวกูทำเผื่อแล้วกันนะโว้ย”  พี่ณิตยังปากดี ยกยิ้มสะใจแล้วหันหลังเดินเข้าบ้านไป


    “อะไรอีกหละนี่ ง่วงก็ขึ้นไปนอนบนห้องเลยไป”

    พี่ฉาน ส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่สบอารมณ์พยายามผลักหัวพี่หนึ่งที่อยู่ๆ ก็เลื้อยเอาหัวมาวางปรุลงบนตักของตัวเอง  แต่คนถูกผลักกลับพลิกตัวสอดแขนที่มีกล้ามเล็กน้อยนั้นโอบไปรอบตัวคนโตกว่า หน้าซุกซบกับหน้าท้องแกร่งของพี่ฉาน ไม่พอมีกัดเม้มหน้าท้องแกร่งของพี่มันเบาๆ อีก

   “ซี๊ด แมร่ง!!”  พี่ฉานร้องด้วยความตกใจ ผลักหัวคนบนตักพัลวัน เฮียเซนที่วางหน้านิ่งเย็นชายังหลุดหัวเราะส่ายหน้าให้กับพฤติกรรมของพวกเรา 

   “แสนมึงมาอุ้มมันไปนอนดิ”  พี่ฉานยังไม่ยอมครับเรียกพี่แสนซึ่งนอนห้องเดียวกันให้มาอุ้มคนที่ชุกตักอยู่ไปนอน
   “เรื่องกูปวดแผลอยู่เห็นไหมนี่ ปะเฮียไปนอนห้องผม”  พี่แสนปฏิเสธ รีบลุกขึ้นกวักมือเรียกเฮียให้ไปนอน  พูดเสร็จหันหลังขึ้นห้องไม่สนใจฟังเสียงโวยวายของพี่ฉาน  เฮียลุกขึ้นยืนกำลังจะเดินตามพี่แสนไป แต่เหมือนคิดอะไรได้หันมามองผมสายตากรุ่มกริ่มและ...

   “สิงห์ก็เหมือนกันนะอย่ารุนแรงกับน้องเพลาๆ บ้าง  แค่บ่ายก็พอแล้วมั้งนะ” 

    ผมนี่ *0*  แร๊งงงงงง  อึ้งกับคำพูดทิ้งท้ายของคนหน้านิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ยินก็ได้ยิน  หลังจากดึงสติกลับมาได้ผมหันมาสนใจสองคนข้างหน้าที่ยังเคลียร์ปัญหากันไม่จบ

   “ก็รู้ว่าตัวเองอ่อนยังจะกินไม่ดูตัวเอง  แล้วใครเหนื่อย...กูนี่” 

    พี่ฉานบ่นอย่างหัวเสียเลยครับ ขยับตัวลุกขึ้นอุ้มพี่หนึ่งขึ้นไว้ในอ้อมแขนอย่างยากลำบาก ตัวพี่มันเองก็กึ่มๆ แต่ไม่ถึงกับเมา เดินโซเซก้าวขึ้นบันไดปากก็บ่นให้คนในอ้อมแขนไปด้วย

   “ถ้าดูแลตัวเองไม่ได้ทีหลังก็ไม่ต้องกิน ทำให้คนอื่นเขาลำบาก”

   “ก็ไม่ต้องมายุ่ง เหนื่อยไม่ใช่เหรอ ปล่อย...”

    พี่หนึ่งที่ผมคิดว่าหลับเถียงกลับเสียงแข็งแต่เสียงนั้นติดจะสั่นๆ เหมือนข่มกลั้นความน้อยใจ  ดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนแกร่งของพี่ฉาน

   “หยุด!! มึงจะดิ้นทำห่าไร เดี๋ยวได้ตกคอหักตายกันทั้งคู่”  พี่ฉานตะคอกเสียงดังใส่คนในอ้อมแขน

   “ฮึก...ฮือออ...”  ทำนบน้ำตาพังจนได้ครับ

   “เงียบ!! มึงจะร้องทำไม“  พี่ฉานตะคอกใส่คนในอ้อมแขนอีกครั้ง  ก็หยุดนะครับแต่ยังมีสะอึกสะอื้น

   “ก..ก็มึงตะคอกเสียงดัง ด..ด่ากูด้วย ไม่ชอบ” 

   “กูด่าเพราะกูห่วง ถ้าไม่อยากให้กูตะคอกทีหลังอะไรที่กูไม่ชอบก็ไม่ต้องทำ เข้าใจไหมที่พูดนะ”

   “ฮือ”

   เสียงของสองคนนั้นเริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ ผมส่ายหน้าระอาใจพวกพี่มันทะเลาะดุด่าแกล้งกัน  แต่สามคนนั้นก็รักกันดีครับ อาจเป็นเพราะพวกพี่มันอยู่ด้วยมาตลอดก็เลยห่วงใยและผูกพันกันมาก

   “ภูมิหนูเวียนหัวฮึก...ฮือ” 

    เอาแล้วไงผมมัวแต่ตะลึงกับคำพูดของเฮียเซน ภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่จนลืมไปเลยว่าเด็กผมก็สภาพไม่ต่างจากสองสาว? นั่นเท่าไร น้ำนิ่งซบหน้าอยู่ซอกคอผมพึมพำสะอึกสะอื้นน้ำตาไหลชุ่มคอผม 

   “ชู่ว์ ชู่ว์ ภูมิรู้แล้ว ไม่ร้องนะ” 

    ผมกอดกระชับมือล้วงเข้าไปในเสื้อลูบหลังปลอบโยน ลุกขึ้นอุ้มกระชับคนตัวบางพาเดินเข้าไปในครัว วางเด็กลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะอาหาร เดินกลับไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำส้มคั้นออกมารินใส่แก้ว และขนมปังหนึ่งแผ่นยื่นให้เด็กกินป้องกันการอาเจียน

   “เด็กดีกินนี่ก่อนครับให้หมดแผ่นนะ”

   “ไม่หนูเวียนหัวฮืออ..”

   “กินก่อนครับจะได้ไม่เวียนหัวนะครับ”   ผมยื่นขนมปังจ่อปากให้ร่างบางกัดกินอีกครั้ง เขาพยายามฝืนกินจนหมดแผ่น ผมยกแก้วน้ำส้มคั้นเย็นเจี๊ยบจ่อปาก

    “ดื่มน้ำส้มด้วยครับจะได้หายเวียนหัวนะ”  เด็กน้อยหลับตาอยู่ครับแต่เผยอปากรับน้ำส้มดื่มจนหมด

   “ดีขึ้นรึยังครับ” 

    ผมนั่งลงบนซ้นเท้าของตัวเองเอ่ยปากถามเด็กตัวหอมตรงหน้า มือยกขึ้นปัดปอยผมที่ระหน้าไปทัดหูไว้ มือที่โอบประคองหน้าสวยหวานลูบไล้แผ่วเบา  ร่างบางตรงหน้าพยักหน้าว่าดีขึ้นแล้ว ผมชะโงกหน้ายื่นจมูกไปสูดดมกลุ่มผมหอม

   “งั้นไปอาบน้ำนอนเนอะ”

   “ครับ” 

    ร่างบางชะโงกตัวเอาแขนเรียวเล็กคล้องคอผมหน้าซบลงกับซอกคอ ผมลุกขึ้นยืนอุ้มเด็กขึ้นในอ้อมแขน มือก็ลูบปลอบจนไปถึงห้อง จัดการอาบน้ำให้เราทั้งคู่เสร็จแล้วจึงอุ้มมานอนหลับไปด้วยกันไม่มีอะไรแบบที่เฮียมันคาดหวังหรอก สงสารเด็กเมาหัวทิ่มครับอีกอย่างถ้าทำแบบนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เด็กไม่สบายอดเที่ยวจะยุ่งกันหลายฝ่าย ขอเก็บทบต้นทบดอกไว้ก่อนแล้วกัน




   ผมตื่นตอนตีห้าขยับตัวจะปลุกเด็กตัวหอมในอ้อมกอดไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน แต่ปรากฏว่า ร่างบางครางประท้วง ซุกตัวเข้ากับอกผมแน่นไม่ยอมลุกก็เลยต้องกอดนอนหลับไปด้วยกันอีกครั้ง 

    สะดุ้งตื่นอีกทีก็หกโมงครึ่งแต่น้ำนิ่งยังไม่ขยับตัว คิดว่าคงจะเหนื่อยและเพลียสะสมแถมมาดื่มอีก  ผมกอดกระชับแน่นขึ้นกดจมูกไปตามซอกคอหอม ก้มลงกัดเบาๆ บนปากนุ่มเล็กที่เผยอน้อยๆ เชิญชวนผม ให้ก้มลงไปชิมความหวาน แระเล็มสักพักปากนุ่มหยุ่นนั้นก็เผยออ้ากว้างขึ้นเปิดโอกาสให้ผมสอดลิ้นเข้าไปมอบความอ่อนโยนตามแรงอารมณ์จะพาไป ร่างบางในอ้อมกอดครางอืออา..ผลักผมออกเพราะกำลังจะขาดอากาศหายใจเลยต้องผละปากออก  กลิ้งตัวลงนองราบกับเตียงมือก็ยกเด็กขึ้นมานอนซบบนตัว

   “ฮือ..”

   “ยังไม่ตื่นเหรอครับฮืม”

   “ฮือ..ภูมิจ๋าหนูง่วง”  ให้ตายสิมีอัพเลเวลการอ้อนจะน่ารักไปไหน ตายังหลับพริ้มหน้าซบอยู่กับซอกคอ ลมหายใจอุ่นกระทบเข้าผิวกายบริเวณนั่นจะซ่านไปหมด ผมล้วงมือเข้าไปในเสื้อนอนลูบไล้หลังบางเรียบลื่น อีกมือตบก้นงอนเบาๆ  ให้นอนอีกสักพักก็แล้วกัน…..

   “เจ็ดโมงแล้วนะ ตื่นยังจะไปปีนผารึเปล่าเด็กดื้อ”

   “หึ!! เออจริงด้วยๆ” 

    เด็กน้อยยกหัวขึ้นจากซอกคอผม ตาโตเหมือนเพิ่งคิดได้ว่าวันนี้จะทำอะไรกัน เขาลุกจากตัวผมโดดลงไปยืนข้างเตียงเต้นเร่าเร่งให้ผมอาบน้ำให้

   “ภูมิเร็วๆ อาบน้ำให้หนูหน่อยสายแล้วตายๆ”  น้ำนิ่งเดินวนไปวนมา ปากเร่งให้ผมอาบน้ำให้ ผมเอื้อมมือจับเขาให้อยู่นิ่งๆ แกะกระดุมเสื้อนอนแล้วถอดเสื้อกางเกงออกให้ ยกมือโอบประคองหน้าสวยหวานไว้ในมือก้มลงจูบปากนุ่มหยุ่นของร่างบาง ตบก้นงอนให้ไปรอในห้องน้ำ 

   “หนูเข้าไปแปรงฟันในห้องน้ำก่อนนะ ภูมิเตรียมเสื้อผ้าให้ก่อนแล้วจะตามเข้าไป” 

   น้ำนิ่งยืนแปรงฟันอยู่หน้ากระจก ผมเดินเข้าไปยืนซ้อนหลัง สอดแขนเข้าไปโอบประคองเอวบาง ก้มลงกดจูบสูดดมจากลาดไหล่ไปจนถึงด้านหลังคอหอม ร่างบางเอียงคอเปิดทางให้ผมดอมดมได้สะดวกขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นจากลาดไหลสบตาคนตัวหอมในกระจกความรัก ความผูกพัน  มันฉายชัดอยู่ในแววตาของเราทั้งคู่ ผมก้มลงกดจูบลงบนลาดไหล่ของคนตรงหน้าอีกครั้ง แล้วจึงผละตัวออกไปเตรียมน้ำอาบให้ร่างบางอาบ



   โปรแกรมที่พวกเราแพลนไว้คือ ล่องเรือยอร์ชแวะชมเกาะแก่งในหมู่เกาะปอดะ จุดเด่นของแพลนอยู่ที่ทะเลแหวก ความอัศจรรย์ที่ทำให้น้ำนิ่งตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าอะไร เพราะสามารถเดินเหยียบทรายขาวละเอียดจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งได้เวลาน้ำลด เกาะที่ว่านั่นคือ เกาะไก่  เกาะหม้อ เกาะทับ เกาะทั้งสามตั้งอยู่ใกล้กัน เมื่อคลื่นพัดทรายมาพบกันที่จุดนี้ก็จะทำให้เกิดเป็นสันทรายเชื่อมเกาะทั้งสามนี้ไว้ด้วยกัน  สันทราย นี้จะจมหายไปเมื่อน้ำขึ้นสูง เมื่อน้ำลดจนถึงระดับต่ำแนวสันทรายก็จะค่อยๆ โผล่ขึ้นมา แม้น้ำไม่ลดต่ำสุดก็สามารถเดินเล่นได้

   พวกเราแวะเกาะไก่ ที่เรียกว่าเกาะไก่เพราะทางด้านปลายสุดของเกาะมีหินแหลมๆ เมื่อมองขึ้นไปคล้ายคอไก่ ให้พวกสาวๆ (?) ได้เล่นน้ำให้อาหารปลาโดยเฉพาะน้ำนิ่งร้องวี๊ดว้าย (สาวแตก) ใหญ่เมื่อโรยขนมปังไว้รอบๆ ตัวแล้วปลาว่ายมากินขนมปังรอบๆ ตัว เล่นน้ำอยู่ที่กันเกือบชั่วโมง ก่อนจะย้ายไปดูปะการังน้ำตื้นที่เกาะทับ ระหว่างทางก็มีพายเรือแคนูบ้าง ตกปลาบ้าง  ดำน้ำดูปะการังน้ำลึก บริเวณหาดถ้ำพระนางซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา แล้วจบโปรแกรมในวันนี้ที่การปีนหน้าผาเวิ้งอ่าวไร่เลย์ 

    ทุกกิจกรรมทำเอาเด็กผมตื่นตาตื่นใจกับประสบการณ์ใหม่ตลอดทั้งวัน  พวกเราเห็นเด็กน้อยมีความสุขก็พลอยมีความสุขไปด้วย  โดยเฉพาะเฮียเซนเห่อกว่าใครเพื่อน เหมือนจะมีประสบการณ์ครั้งแรกร่วมกับน้องตลอด ถ่ายเก็บบรรยากาศแทบจะทุกซ็อต กลับจากล่องเรือ ปีนผาก็เกือบหกโมงเย็นแยกย้ายกันอาบน้ำ วันนี้ทานอาหารค่ำกันที่ห้องอาหารกึ่งผับของรีสอร์ทอยากให้เด็กลองเจอแสงสีกลางคืนบ้าง...












TBC.


ปล.

1. หนีไปเที่ยวทะเลมา 5 วัน เขียนได้  2 ตอนเลยรีบเอามาลงให้ในวันเดียวกัน เพราะตั้งแต่วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน ยาวไปจนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายนจะไม่ได้อยู่ประจำที่ตั้ง (อีกแล้ว) ติดงาน Bike for Dad งานหลวง และงานราษฎร์อื่นอีกมากมายจนแทบจะไม่มีเวลา

2. ขอบคุณมากมายสำหรับการติดตาม :)  (ถึงจะไม่เม้นท์แต่ก็ดีใจที่แวะเข้ามาอ่าน)
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.14_หนีเที่ยว (2) NCเบาบาง _P.4 อัพเดต 2-11-2558 23:45:05
เริ่มหัวข้อโดย: sakurako12 ที่ 03-11-2015 17:18:26
ฉาน แสน หนึ่ง กลิ่น 3p มันฟุ้งไงไม่รุ  :haun4: :haun4:

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.14_หนีเที่ยว (2) NCเบาบาง _P.4 อัพเดต 2-11-2558 23:45:05
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 03-11-2015 19:30:05
ขอบคุณมากจ้า  สนุกดีอ่ะ  อบอวลอบอุ่นไปด้วยความหวานละมุนละไม  อิอิ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.14_หนีเที่ยว (2) NCเบาบาง _P.4 อัพเดต 2-11-2558 23:45:05
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 03-11-2015 20:31:32
แต่ละคู่หวานกันจังเลยน๊า  :m1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.14_หนีเที่ยว (2) NCเบาบาง _P.4 อัพเดต 2-11-2558 23:45:05
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-11-2015 20:52:19
มีบุคคลปริศนาทั้งฝ่ายภูมิและคนที่อยู่ตรงดงมะพร้าว

น้ำนิ่งน่ารัก มีแต่คนรักคนเอาใจ นี่ถ้าพวก ACE จับน้ำนิ่งไป

มีหวังโดนพวกพ่อยกหนูน้ำตามถล่มจนเละแน่ๆ

ถ้าคนที่มาคอยแอบดูเป็นพวก ACE จริงนี่แสดงว่าพวกนี้สุดยอดเลย

เพราะตามมาดูพวกภูมิเร็วมากๆๆๆๆๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.14_หนีเที่ยว (2) NCเบาบาง _P.4 อัพเดต 2-11-2558 23:45:05
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 03-11-2015 21:10:44
 :-[.
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.14_หนีเที่ยว (2) NCเบาบาง _P.4 อัพเดต 2-11-2558 23:45:05
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 03-11-2015 22:23:54
ใครจะมาทำอะไรน้ำนิ่งหรือเปล่า แอบเสียวหน่อยๆ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.14_หนีเที่ยว (2) NCเบาบาง _P.4 อัพเดต 2-11-2558 23:45:05
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 04-11-2015 22:06:47
เที่ยวกันอย่างสนุกสนาน อิอิ :impress2:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.14_หนีเที่ยว (2) แถมสปอยล์ EP.15 เล็ก_P.4 อัพเดต 4-11-2558 22:22
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 04-11-2015 22:26:28

ตัวอย่างตอน 15


   “ภ..ภูมิฮือ.....”  น้ำนิ่งยื่นมือเล็กสั่นเทาของตัวเองออกไปข้างหน้าหวังให้คนตรงหน้าปลอบประโลม แต่คนนั้นกลับนิ่งเฉย นัยน์ตาสีแปลกที่เคยสะท้อนภาพน้ำนิ่งกลับเรืองรองไปด้วยโทสะ มือแกร่งกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน  กรามบดแน่นพยายามกดข่มแรงอารมณ์ที่ปะทุเดือด

   “ฮึก...ฮือออออ....อย่าทำกับหนูแบบนี้ฮือ..” 

   “เมินเฉยทำไมฮือออ.....อย่าทำแบบนี้ฮือออ...” 

    น้ำนิ่งเสือกตัวที่สั่นระริกไปจนถึงภูมิรพีมือเย็นเยียบสั่นเทาของคนตัวเล็กเอื้อมคว้าเกาะกุมมือใหญ่ที่กำแน่นของคนตรงหน้า คนตัวโตก้มมองมือเย็นสั่นเทาที่กุมทับมือของตัวเองด้วยแววตาว่างเปล่า...





ถ้าไม่มีอะไรคิดว่าอีกสัก 4 - 5 วัน คงจะมาต่อได้นะครับ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.14_หนีเที่ยว (2) แถมสปอยล์ EP.15 เล็ก_P.4 อัพเดต 4-11-2558 22:22
เริ่มหัวข้อโดย: เลิฟลี่ ที่ 06-11-2015 20:35:07
เกิดอะไรขึ้น!  o22
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.14_หนีเที่ยว (2) แถมสปอยล์ EP.15 เล็ก_P.4 อัพเดต 4-11-2558 22:22
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 06-11-2015 20:45:09
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:เข้ามาติดตามด้วยคน :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.14_หนีเที่ยว (2) แถมสปอยล์ EP.15 เล็ก_P.4 อัพเดต 4-11-2558 22:22
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 06-11-2015 20:50:23

ตัวอย่างตอน 15


   “ภ..ภูมิฮือ.....”  น้ำนิ่งยื่นมือเล็กสั่นเทาของตัวเองออกไปข้างหน้าหวังให้คนตรงหน้าปลอบประโลม แต่คนนั้นกลับนิ่งเฉย นัยน์ตาสีแปลกที่เคยสะท้อนภาพน้ำนิ่งกลับเรืองรองไปด้วยโทสะ มือแกร่งกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน  กรามบดแน่นพยายามกดข่มแรงอารมณ์ที่ปะทุเดือด

   “ฮึก...ฮือออออ....อย่าทำกับหนูแบบนี้ฮือ..” 

   “เมินเฉยทำไมฮือออ.....อย่าทำแบบนี้ฮือออ...” 

    น้ำนิ่งเสือกตัวที่สั่นระริกไปจนถึงภูมิรพีมือเย็นเยียบสั่นเทาของคนตัวเล็กเอื้อมคว้าเกาะกุมมือใหญ่ที่กำแน่นของคนตรงหน้า คนตัวโตก้มมองมือเย็นสั่นเทาที่กุมทับมือของตัวเองด้วยแววตาว่างเปล่า...





ถ้าไม่มีอะไรคิดว่าอีกสัก 4 - 5 วัน คงจะมาต่อได้นะครับ

อะไรๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :serius2: มันคืออะไร อย่าทำแบบนี้ค้างงง อยากรู้  :z3:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.15_เสียตัวอย่าเสียใจ _P.4 อัพเดต 7-11-2558 00.55
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 07-11-2015 01:12:26
เด็กเลี่ยง



- 15 -


เสียตัวอย่าเสียใจ








Fellin’ Way  Pub   เวลา 22.00 น.

   บรรยากาศของผับเปิดโล่งริมหาดคลาคล่ำไปด้วยนักเที่ยวทั้งไทยและเทศ เสียงดนตรีจากเครื่องเสียงชั้นดีสลับกับวงดนตรีแสดงสดบนเวทียกพื้นดังกระหึ่มร้านได้ยินมาจนถึงริมหาด  ไฟหลากสีกระพริบสลับกันพร่างพราย หลอกล่อผีเสื้อราตรีคอยแวะเวียนเข้ามาหาความสำราญมิได้ขาด  ไม่เว้นแม้แต่พวกเราก็ยังอดไม่ได้ที่จะลองเข้าไปสัมผัสบรรยากาศของร้าน



   Rrrrrrr Rrrrr

   น้ำนิ่งล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูเมื่อว่าเห็นว่าเป็นเพื่อนบ๋อม จึงพยักหน้าบอกให้พวกพี่เข้าไปข้างในก่อน

   “ว่าไงวะ” 

   //ตั้งกะไลน์บอกกูว่าจะไปกระบี่กับพ่อแล้วหายเงียบไปเลย// บ๋อมบ่นมาตามสาย

   “ก็ยุ่งๆ แล้วมีอะไร”

   // ไปเที่ยวเหอะมีไรต้องยุ่งวะ  กูจะถามว่างานที่จะส่งพรุ่งนี้มึงทำเสร็จยัง ถ้าไม่นี่ฝังอย่างเดียวนะมึง//

   “เรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เข้าไปเอากับยายชื่นที่บ้านได้เลยน้ำฝากไว้แล้ว”

   //เออๆ  แล้วจะกลับวันไหนศุกร์หน้ามีควิซย่อยของอาจารย์ป้านะมึงห้ามขาด  อยู่ไหนเสียงดัง//   

   “อยู่ Fell’n Way Pub กับพวกพี่ๆ  คิดว่าคงกลับทันสอบแหละ”

   //เที่ยวให้สนุกนะมึง แค่นี้แหละ// น้ำนิ่งเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเหมือนเดิมหลังจากที่บ๋อมตัดสายไปก่อน  พวกพี่ๆ อยู่บริเวณโซน VIP จึงเดินตามเข้าไปนั่งลงที่ว่างตรงกลางระหว่างภูมิกับเฮียเซน ภูมิยื่นแก้ว ดรายมาร์ตินี่มาให้น้ำนิ่งรับมาจิบ

   “บ๋อมโทรมาถามเรื่องงานที่จะส่งพรุ่งนี้ หนูมีสอบย่อยศุกร์หน้าด้วยฮะ”  น้ำนิ่งหันไปบอกภูมิรพีเพราะถึงจะทำหน้านิ่งเฉยเหมือนไม่อยากรู้แต่สายตาคมดุกลับคาดคั้นให้น้ำนิ่งบอกออกมาเอง

   “อ้าวแล้วทำเสร็จหรือยังงานน่ะ แล้วสอบอีก”  ภูมิรพีถามกลับด้วยสีหน้ากังวลนิดๆ กลัวเด็กเสียการเรียน

   “หนูทำเสร็จแล้วน่าไม่ต้องห่วง ฝากไว้กับยายชื่นแล้ว บ๋อมจะไปเอาไปส่งพรุ่งนี้ ส่วนสอบย่อยก็สบายมากวิชาถนัดของหนูเลยหมูในอวยฮะ”  น้ำนิ่งบอกเสียงหวานใสแบบสบายๆ ไม่ให้ภูมิรพีเป็นกังวล

   “อึม ก็แล้วไป”



เวลา 23.00 น.


    ยิ่งดึกนักเที่ยวยิ่งเยอะผู้คนเริ่มเบียดเสียดยัดเยียด  น้ำนิ่งจึงขอเข้าไปนั่งพักเพราะเริ่มจะปวดขาจากการที่ออกมาเต้นกับสองสาว??  เกือบชั่วโมงจนซักจะสร่างเมากันเลยทีเดียว

   “เหงื่อโทรมหน้าเลยมานี่มา” 

   “สนุกแต่ปวดขาจัง” 

    ภูมิยื่นดรายมาร์ตินี่มาให้น้ำนิ่งยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ซ่าได้ใจ  คนตัวโตล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายของน้ำนิ่งเอากระดาษชำระแบบเปียกมาซับเหงื่อให้ร่างบาง น้ำนิ่งกดจูบให้รางวัลคนช่างเอาใจไปสองทีคนปรนนิบัติยกยิ้มพอใจใหญ่

   “เฮ้ย!! เดี๋ยวๆ ที่มึงเอามาเช็ดให้น้องน่ะมันใช้เช็ดก้นเด็กไม่ใช่เหรอวะสิงห์”  ขณะที่ภูมิกำลังเช็ดหน้าให้อยู่นั่นเองพี่แสนทักท้วงมาจากอีกฝากของโต๊ะ

   “พี่ไม่รู้อะไรของที่มันใช้กับก้นเด็กอ่อนได้ แสดงว่าอันนั้นมันไม่เป็นพิษเป็นภัยกับหน้าเรา แล้วยิ่งหน้าแพ้ง่ายอย่างเจ้าเด็กนี่ยิ่งไม่มีปัญหา แถมมันสะอาดกว่ากระดาษชำระอีก” ภูมิอธิบายสรรพคุณให้คนฝั่งตรงข้ามฟัง น้ำนิ่งเลยพยักรับรองว่าได้ผลจริง

   “พี่แสนเอามะสะอาดสดชื่นจริงๆ นะ”  น้ำนิ่งยื่นห่อกระดาษชำระเปียกให้พี่แสน ฝ่ายนั้นหยิบไปเช็ดหน้าตัวเอง

   “เออวะ ค่อยยังชั่วกำลังเหนียวๆ หน้าอยู่ เอาป่าววะฉาน”

   “เห็นมะน้ำบอกแล้ว เอาเปล่าพี่ฉาน” 

   “เอาก็ได้แต่ว่ามาเช็ดให้ด้วยสิ” 

   มีเสียงเอะอะโวยวายหน้าตรงหน้าเวทีที่กำลังเต้นกันอย่างเมามันส์  คนทั้งหมดในโต๊ะนี้ไม่มีใครให้ความสนใจแต่พักเดียวเสียงก็เงียบหายไป เหล่าผีเสื้อราตรียักย้ายส่ายสะโพกดิ้นกันอย่างเมามันส์ต่อไป เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

   “รอพี่หนึ่งเช็ดให้สิ น้ำขยับตัวไม่ไหวแล้ว”

   “เอนหลังไปพิงกับสิงห์ไปเดี๋ยวเฮียนวดให้”  เฮียที่นั่งข้าง ๆ ยกขาของน้ำนิ่งขึ้นมาวางบนตักตัวเองแล้วเริ่มนวดที่น่องให้

   “พี่หนึ่ง พี่ฉานให้เช็ดหน้าให้ครับ”

   “พี่ง่อยเหรอ อารมณ์ไม่ได้ดีเหมือนหน้าตานะอย่ากวนตีน”  หนึ่งฤทัยที่เพิ่งเดินเข้ามาตอบกลับด้วยเสียงค่อนข้างหงุดหงิด ทำหน้าบอกบุญไม่รับใส่คนพี่ ก่อนจะเดินไปกระแทกตัวลงนั่งลงตรงกลางระหว่างฉะฉานกับแสนคมแทบจะเกยบนตักทั้งคู่

   “เป็นไรอีกล่ะ  เมนส์ไม่มาเหรอ”  แสนคมแหย่รังแตน เลยโดนคนสวยทุบเข้าที่แขนดังปึก

   “โอ๊ย!! อะไรวะ เจ็บนะโว้ย โกธรแล้วพาลนะมึง” แสนคมลูบแขนที่โดนชกปอยๆ  ดีนะที่ไม่ใช่แขนข้างที่ถูกยิง

   “ก็ไอ้นั่นมันบีบก้นกู”  หนึ่งฤทัยบอกด้วยสีหน้าโกธรกรุ่น

   “ใคร!!”  สองหนุ่มหันขวับมองหน้าคนกลางแล้วถามเสียงดังขึ้นพร้อมกัน

   “กูจัดแม่งไปล่ะ แต่ไม่สะใจไงมาเที่ยวไม่อยากมีเรื่อง”  คนทั้งคู่พยักหน้ารับ แต่อาการโกธรยังคุกรุ่นอยู่เต็มหน้า

   “ที่เอะอะเมื่อกี้เป็นมึงเองเหรอวะ”  แสนคมเอ่ยถามคนข้าง

   “ก็เออ”  หนึ่งฤทัยตอบด้วยเสียงกระแทกกระทั้นก่อนจะยกแก้วเครื่องดื่มของตัวเองขึ้นดื่มจนหมดแล้วหันไปสั่งใหม่

   “เฮียแล้วพรุ่งนี้เราจะไปไหนกันเหรอครับ”  น้ำนิ่งถามเฮียเซนเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นให้อารมณ์ของหนึ่งฤทัยเย็นขึ้น

   “ก็ที่แพลนไว้ว่าจะไปตั้งเต้นท์นอนกันที่หมู่เกาะห้อง ตกปลา ดำน้ำดูปะการังกัน  หรือจะนอนบ้านพักก็ได้ที่นั่นก็มี แต่ถ้าอยากได้บรรยากาศก็กางเต้นท์แล้วก็เล่นรอบกองไฟกัน  วันถัดไปเราค่อยเลยเข้าตรังกันคร่าวๆ ก็ประมาณนี้หรือคนอื่นอยากจะทำอะไร”

   “โห้ย!! โปรแกรมน่าเที่ยวมาก พี่หนึ่งเคยไปตรังยังสวยเหมือนที่นี่ไหม”  น้ำนิ่งหันไปพยักเพยิดกับหนึ่งฤทัย

   “ยังไม่เคยไปเหมือนกัน น่าสนใจมากอะเฮีย เรานอนเต้น์กันมั้ยน้ำน่าสนุกเนอะ พีว่าไงนอนเต้นท์กัน”  หนึ่งฤทัยส่งเสียงกระตือรือร้นมันเป็นครั้งแรกของพี่น้องกลุ่มนี้ที่ได้เที่ยวด้วยกัน

   “แล้วแต่หนึ่งเลย พีไงก็ได้”  พีระณัฐเป็นพวกประนีประนอมกับพี่น้องไม่ค่อยเรื่องมากว่าไงว่าตามกัน

   “เออไงก็ได้เที่ยวอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดมากดื่มนี่ไปเลยไป๊”

    ฉะฉานยื่นแก้วดรายมาร์ตินี่แก้วใหม่ที่บริกรเพิ่งยกมาเสริ์ฟให้คนตัวเล็ก น้ำนิ่งรับมาดื่มรวดเร็วหมด หันไปกวักมือเรียกบริกรเอาแก้วใหม่มาให้อีก  แล้วเอนตัวซบไปกับอกแกร่งของภูมิรพี

   ค่ำนี้ภูมิรพีหล่อเข้มมากถึงจะใส่แค่เสื้อยืดสีดำคอวีกระชับตัวกับยีนส์เข้ารูปสีดำราคาแพงระยับ หน้าตาคมเข้มไรเคราตามสันกรามสีเขียวจางๆ เพิ่มความเท่ที่ข้อมือด้วย Barrel lock และสร้อยคอของ Cast of Vices น้ำนิ่งเห็นสายตาทั้งของชะนี  เก้ง กวาง ในนี้มองแบบเสนอตัวให้พรึบ แต่ที่เด็ดไม่มีใครเกินฉะฉานเพราะชะนีเก้งกวางที่เข้ามาตีสนิทแทบจะนั่งเกยบนตักหลายคน แต่คนหล่อไม่ได้สนใจยังคงนั่งดื่มอย่างเดียว บางคนถูกหนึ่งฤทัยตอกหน้าหงายออกไปแทบไม่ทันก็มี





   “ภูมิเค้าไปห้องน้ำก่อนนะ” น้ำนิ่งหันไปบอกภูมิรพีที่กำลังนั่งคุยอยู่กับพี่ๆ อย่างออกรดชาด ตั้งแต่เข้ามานั่งน้ำนิ่งชนจนแทบเรียกประกันไม่ทัน  ชักจะร้อนๆ ตามหน้าตาเนื้อตัว น้ำเริ่มตุงท้องจึงกะว่าจะไปปลดปล่อยแล้วสูดอากาศข้างนอกซะบ้างเผื่ออาการร้อนวูบวาบจะดีขึ้น 

   “ไหวรึเปล่า ให้ไปด้วยไหมฮึ”  ภูมิรพีถามด้วยความห่วง เพราะตอนยืนขึ้นน้ำนิ่งมีอาการเซนิดๆ
 
   “ไม่เป็นไรน่าเค้าไปได้แค่นี้เอง”  น้ำนิ่งปฏิเสธไปเพราะเห็นภูมิรพีกำลังคุยติดพันกับพวกพี่ ๆ ไม่อยากขัดจังหวะ น้ำนิ่งคิดว่าเขาแค่กึ่มๆ ยังไหวอยู่และไปแค่นี้เองคงไม่เป็นไร

    “ระวังตัวด้วย”  ภูมิรพีบอกคนตัวเล็กด้วยความเป็นห่วง สัญชาตญาณเตือนว่าพวกเขาถูกตามและจับตามองอยู่ตลอดเวลามันรุนแรงในความรู้สึกของภูมิรพี แต่คิดอีกทีมันไม่น่าเป็นไปได้ก็ที่นี่เป็นผับในเครือของโรงแรมที่เฮียเชนดูแลอยู่มันไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรงได้หรอก บางทีเขาอาจจะกังวลมากเกินไปก็ได้ ภูมิรพีสลัดความกังวลที่อยู่ในหัวทิ้งไป ก่อนจะหันไปฟาดมือตบลงที่ก้นงอนของน้ำนิ่งเป็นเชิงหยอกเย้า ร่างบางหันมาค้อนและตอบรับเสียงสะบัดส่งให้ภูมิรพี

   “รู้แล้วน่า”

   น้ำนิ่งคิดว่าตัวเองคงจะดื่มมากเกินขีดจำกัดของตัวเอง จึงชักจะมึนๆ ร้อนวูบวาบตามตัว ความรู้สึกวูบไหวราวกระแสไฟอ่อนวิ่งพล่านไปทั่วร่าง อาการปวดมวนที่บริเวณท้องน้อยตีรวนขึ้นมาอย่างกะทันหันมันกระจุกอยู่กลางลำตัวจนต้องจิกมือกับขอบเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าเกร็งจนสะท้านไหว แรงอารมณ์ฉุดรั้งให้ต้องการอะไรสักอย่างที่สามารถจะปลดเปลื้องให้หลุดพ้นจากความรู้สึกนี้ได้ อาการมันเหมือนกับวันนั้น แต่ครั้งนี้ความรู้สึกมันรุนแรงมากกว่า น้ำนิ่งคงจะโดนเล่นเข้าให้แล้วอีกแล้ว

    ร้อนเหลือเกิน  ภ..ภูมิจ๋าช่วยหนูด้วย...



   สติสัมปชัญญะเริ่มขาดห้วงความรู้สึกเคลิ้มลอยอยู่ในห้วงอารมณ์หวามไหว ร่างบางรับรู้ได้เลือนรางว่าใครบางคนเข้ามายืนซ้อนหลังลมหายใจร้อนที่เจือกลิ่นแอลกอฮอร์ฉุนเป่ารดที่ต้นคอเนียนละเอียด มือหยาบกระด้างของมันโอบจากด้านหลังเกาะกุมล้วงเข้าไปในกางเกงลูบไล้ที่แก่นกายของน้ำนิ่ง  อีกข้างขยุ้มผมของน้ำนิ่งจนหน้าแหงนเงยลิ้นสากไล้เลีย ขบกัด ไปตามลำคอจนถึงใบหูเล็กของน้ำนิ่งอย่างกักขฬะ

    ตัวตนที่แข็งขืนของมันบดเบียดเสียดสีที่ก้นงอนของน้ำนิ่งอย่างย่ามใจ สัมผัสพวกนั้นของมันน่าขยะแขยงเหลือเกิน  สติสัมปชัญญะบางส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่บอกให้ต่อต้านเพื่อจะหลุดพ้นจากอ้อมแขนกักขฬะ น้ำนิ่งใช้แรงน้อยนิดของตัวเองบิดกายหนี แต่ทว่ายิ่งดิ้นร่างกายก็ยิ่งเสียดสีกัน สัมผัสที่น่าขยะแขยงของมันกลับก่อให้เกิดความเสียวซ่านเหมือนจะได้ปลดปล่อยจากอะไรก็ตามที่ดึงรั้งอยู่ตอนนี้ น้ำนิ่งหลุดครางออกมาด้วยความซ่านที่สุดระงับ

   “อ๊ะ...อา”

    “ไม่เสียแรงที่กูตามมาหลายวัน  ยากูมันดีละสิตรงนี้ของมึงถึงรู้สึกเร็วขนาดนี้  มาให้กูสนองความร่านถึงที่  แม่ง!! จะเย่อให้คลานแบบหมาทั้งคืนเลยอีตุ๊ด...” 

    เสียงครางกระเส่าของน้ำนิ่งกระตุ้นให้มันกัดลงที่ลำคอระหงค่อนข้างแรง มันน่าแปลกที่ร่างบางไม่เจ็บแต่กลับพึงพอใจและวาบหวามจนแทบจะไปแตะขอบความสุขที่ไขว่คว้า มือหยาบของมันปลดกระดุมกางเกงดึงรูดลงไปที่หน้าขาก่อนที่ดึงเอาท่อนลำที่กำลังแข็งขืนของน้ำนิ่งออกมารูดรั้ง มันเลื่อนมือไปบดบี้ที่ยอดอกเล็กผ่านเสื้อยืดสีดำจนเจ็บมันน่าขยะแขยง แต่ขัดขืนไม่ได้ความรู้สึกที่ถูกบงการจากยามีแต่อยากจะให้มันทำกับตัวเองแรงเพื่อปลดปล่อยจากพันธนาการไปให้ถึงความสุขสมที่ไขว่คว้า  อาการร้อนวูบวาบมวนบริเวณท้องน้อยตีวนรุนแรง  ความกระสันวิ่งพล่านทั่วร่างอีกครั้งจนต้องเกร็งตัวตอบสนองสัมผัสน่าขยะแยงกักขฬะของมัน

   ภูมิจ๋าช่วยด้วย…หนูไม่ไหวแล้ว

    “ฮึก...ฮือออออ.ภูมิ...”


   “ไม่..ยะ...อย่า ไม่....ปะ...ปล่อย...ภ..ภูมิ”   สติที่ยังหลงเหลืออยู่ของน้ำนิ่งพยายามดิ้นขัดขืนมัน แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นมันจับไหล่น้ำนิ่งกดแนบไปกับเคาน์เตอร์อ่างล่างหน้า ดึงก้นงอนให้จ่อท่อนลำที่แข็งขืนของมันมือสากกระด้างเกาะกุมสะโพกมนให้เสียดสีกับท่อนลำอย่างจงใจ

   “โอ้ว!!...ซี๊ด..อา..สะ เสียวแค่ถูข้างนอกยังจะแตก...แม่งดีกว่าผู้หญิงขายตัวพวกนั้นอีก  กูจะเย่อให้แรงจนร้องครางทั้งคืนเลยอีตุ๊ด...” 

         มือสากกระด้างของมันตบลงแก้มก้นของน้ำนิ่ง เต็มแรงสองครั้งติด ก่อนจะแหวกแก้มก้นออกจนเผยให้เห็นช่องทางรักสีชมพูระเรื่อ มันถ่มน้ำลายลงใส่ช่องทางด้านหลังของน้ำนิ่ง ก่อนจะใช้นิ้วสากกระด้างลูบวนช่องทางแล้วมันก็จับท่อนลำของมันถูกไถร่องก้นป่ายปัดช่องทางของน้ำนิ่งอย่างแรงพยายามดันหัวบานของมันเข้ามาในช่องทางรักของน้ำนิ่ง

   “มะ ไม่มมม...ฮืออออ..ไม่..ยะ...อย่า  ภูมิ.....ช่วยด้วย” 

   ร่างบางระดมแรงเฮือกสุดท้ายของตัวเองดิ้นหนีท่อนลำที่มันพยายามดันเข้ามาได้นิดหน่อยให้หลุดออก มันสบถดังลั่นก่อนจะฟาดมือลงที่แก้มก้นของน้ำนิ่งอย่างแรงที่ขัดขืนมัน ก้นเนียนปรากฏเป็นรอยมือแดงกล่ำ มันกุมกระชับสะโพกไว้แน่นอีกครั้งก่อนจะจับหัวบานจ่อเข้าช่องทางอีกครั้ง เสียงของความกลัวร้องเรียกหาภูมิรพีดังลั่นในความรู้สึกของน้ำนิ่ง  แต่แท้ที่จริงแล้วเสียงร้องนั่นผ่านริมฝีปากนุ่มมาเพียงเบาบาง ไม่สามารถส่งไปถึงอีกคนได้ 


   ‘น่าขยะแขยงแต่ขัดขืนไม่ได้ ไม่อยากจะเป็นอย่างนี้ ภูมิอยู่ไหน..ได้ยินเสียงหนูไหม จะไม่ไหวแล้ว ’ 




    ขณะที่ความหวังว่าจะมีใครสักคนผ่านเข้ามาช่วยกำลังลางเลือน  เสียงฝีเท้าหนักๆ ของผู้ชายตัวโตหลายคนดังใกล้เข้ามาในห้องน้ำ  ไม่ถึงอึดใจสัมผัสที่น่าขยะแขยงนั้นก็ถูกกระชากอย่างแรงเหวี่ยงเต็มแรงโทสะกระเด็นไปกระแทกเข้ากับผนังห้องน้ำ

    “ปึก” 

    “อั๊ก”  ร่างของมันร่วงลงพื้นเลือดแดงฉานที่กระอักออกจากปากมันกระเซ็นถูกผนังไหลเป็นทางหยดลงพื้น

   น้ำนิ่งรูดลงกองกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง  ความต้องการที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยตีรวนเป็นระลอก ดั่งกระแสไฟวิ่งพล่านทั่วร่าง จนต้องเกร็งตัวจิกเล็บมือลงบนหน้าขาตัวเองเพื่อกดข่มความเสียวซ่านนั้น     

   “ไม่ใช่เรื่องของตัวเองอยากเสือกครับ ถ้าอยากสนุกเชิญข้างนอกเลยครับ”  ฉะฉานหันไปผลักดันทั้งไทยทั้งเทศมุงทั้งหลายออกไปจากห้องน้ำก่อนที่จะกดปิดล๊อกประตูแน่นหนา

   “ผัวะๆๆๆ”  เสียงเนื้อกระทบกันเร็วแรงหลายครั้งดังก้องห้องน้ำ

   “กล้าทำของๆ กูให้เกิดรอย”

   “ผัวะๆๆๆๆๆ”  ฟันหน้าทั้งบนล่างของมันหยุดออกมาทั้งแผง ดั้งจมูกยุบหักจากการกระแทกหมัดลงทีเดิมซ้ำๆ หน้าตาแตกยับหาส่วนดีไม่เจอ

    “อย่ายุ่งกับของๆ กู”

   “พลั่ก”

   “อย่าได้บังอาจเอามือสกปรกของมึงมาแตะต้องของๆ กู”

   “กร๊อบ   อ๊ากก”  ภูมิรพีหักแขน นิ้วมือจนบิดผิดรูป ตัวมันรูดกองลงกับพื้นนอนหายใจรวยรินรอคำพิพากษา

   “มึงกล้ากับของๆ กูก็อย่าใช้มันอีกเลย”  ภูมิรพีพูดเสียงต่ำเย็นยะเยือกโทสะที่ยากจะฉุดรั้งเจืออยู่ในน้ำเสียงที่เปล่งออกมา ก่อนยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงไปเต็มแรงตรงแก่นกายของมัน

    “ปึก”

   “อ๊ากกกกกกก”

   “ของรักของกู  จำไว้ไอ้สัส!!”

   “พอแล้วสิงห์ เดี๋ยวเฮียจัดการต่อเอง พาน้องกลับไปก่อน”

    เสียงที่ได้ยินแว่วๆ ทำให้น้ำนิ่งเงยหน้าขึ้นมอง ภูมิรพีกำลังถูกเฮียและพี่ๆ ฉุดดึงออกจากร่างของมัน ที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นห้องน้ำ

   “ภ..ภูมิฮือ.....”  น้ำนิ่งยื่นมือเล็กสั่นเทาของตัวเองออกไปข้างหน้าหวังให้คนตรงหน้าปลอบประโลม แต่คนนั้นกลับนิ่งเฉย นัยน์ตาสีแปลกที่เคยสะท้อนภาพน้ำนิ่งกลับเรืองรองไปด้วยโทสะ มือแกร่งกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน  กรามบดแน่นพยายามกดข่มแรงอารมณ์ที่ปะทุเดือด

   “ฮึก...ฮือออออ....อย่าทำกับหนูแบบนี้ฮือ..” 

   “เมินเฉยทำไมฮือออ.....อย่าทำแบบนี้ฮือออ...” 

    น้ำนิ่งร้องเรียกปนเสียงร่ำไห้ฟังแทบไม่เป็นภาษา เสือกตัวที่สั่นระริกไปจนถึงภูมิรพีมือเย็นเยียบ สั่นเทาของร่างบางเอื้อมคว้าเกาะกุมมือใหญ่ที่กำแน่นของคนตรงหน้า ภูมิรพีก้มมองมือเย็นสั่นเทาที่กุมทับมือของตัวเองด้วยแววตาว่างเปล่า... จนนานหลายนาทีความเข้มข้นของเม็ดสีนัยน์ตาค่อยเจือจางกลับเป็นสีเดิม สติที่หลงวนในห้วงโทสะเริ่มคืนกลับมา

    ภูมิรพีค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าร่างบาง มือแกร่งดึงตัวน้ำนิ่งเข้ามาในอ้อมกอดที่ยังสั่นเทาด้วย  แรงโทสะของตัวเอง น้ำนิ่งไม่ได้กอดตอบแต่กลับผลักไสให้พ้นจากอ้อมกอดของภูมิรพี ไหล่บางสั่นไหวน้ำตาเม็ดโตร่วงพรูหยดลงกระทบมือเล็กที่กดจิกลงอยู่หน้าขาเรียวของตัวเอง  ภูมิรพีโอบประคองใบหน้าสวยที่ อาบไปด้วยน้ำตาของน้ำนิ่งให้เงยขึ้น ปากร้อนกดจูบเช็ดคราบน้ำตาจนเหือดแห้ง

   “ขอโทษ เด็กดีไม่เป็นไรแล้ว ไม่ทำแล้ว ชู่ว์”  โทสะยังเจือจางในอารมณ์ ภูมิรพีพยายามปรับน้ำเสียงให้ทุ้มนุ่มอ่อนโยนปลอบประโลมคนตรงหน้า ร่างบางพยายามเบือนหน้าหนี ปากบางพึมพำเสียงแผ่วเบาซ้ำๆ คำเดิมไปมา

   “อย่าเมินเฉยได้ไหม... ไม่รักแล้วใช่ไหมฮืออ....อย่าทำแบบนี้กับหนูฮืออออออ...” 

   “ชู่ว์ ขู่ว์ ไม่ร้องนะ  ไม่ทำแล้วคนดี ไม่ทำแล้ว” 

    เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นอย่างเสียงขวัญ  คำพูดเดิมซ้ำๆ แผ่วเบาหลุดจากปากบางแทบจะไม่ได้ยิน แต่กระนั้นมันก็ดังก้องเสียดแทงจิตใจของคนทั้งหมด โดยเฉพาะภูมิรพีเขาเจ็บปวดวูบโหวงไปหมด ความเสียใจของคนตรงหน้าเขารับมันแทบไม่ไหวแล้ว ภูมิรพีรวบร่างสั่นเทาเข้ามากอดมือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังบางปลอบประโลมไปมา

   “อย่าเมินเฉยได้ไหม  สกปรกแล้ว ..ฮือออ...ลบมันทีๆ”

   “ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง ใจภูมิจะขาดแล้ว คนดีของภูมิไม่ร้อง กลับกันนะ” 

   “ไปเถอะสิงห์ พาน้องกลับ ตรงนี้เดี๋ยวจัดการเอง”

        พี่แสนพูดเสียงเย็น สายตาที่มองสบกันมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่พวกเขาประมาทจนเกิดเรื่อง  มือตบลงบนบ่าของภูมิรพี คนตัวโตอุ้มน้ำนิ่งขึ้นกระชับอ้อมกอด  แขนเรียวเล็กที่สั่นเทาของน้ำนิ่งห้อยตกลงข้างตัวอีกข้างกุมกดแน่นตรงตำแหน่งหัวใจของตัวเอง นัยน์ตาสวยหลับลงไม่ยอมสบตาของภูมิรพี น้ำตายังคงไหลตามหางตา น้ำนิ่งเกร็งสะท้านริมฝีปากเม้มแน่นข่มกั้นอาการวูบวาบที่ตีรวนกระจุกตัวอยู่บริเวณท้องน้อยอีกระลอก ภูมิรพีใจเสียกับปฏิกิริยาของน้ำนิ่งจนร้อนใจไปหมด

   “ฝากด้วยนะพี่”   พวกพี่ๆ ตบลงบนบ่าให้กำลังใจ








>>>มีต่อเอาแบบให้เคลียร์กันไป จะได้ไม่ค้างอะครับ<<<

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.15_เสียตัวอย่าเสียใจ _P.4 อัพเดต 7-11-2558 00.55
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 07-11-2015 01:23:06
>>> ต่อจากข้างบน <<<





   “ขอร้องอย่าเป็นอย่างนี้ ภูมิไม่ไหวแล้ว”  ภูมิรพีเอ่ยเสียงแหบโหยเว้าวอนกับร่างบางที่นั่งขดตัวแน่นอยู่ใต้สายน้ำฝักบัว ลำแขนเรียวเล็กโอบกอดตัวเองตามแรงอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นราวกับสัตว์บาดเจ็บ

   “สกปรก”  น้ำนิ่งพึมพำคำเดิมซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น หยาดน้ำตาไหลอาบเป็นทางผสมกับสายน้ำ ภาพตรงหน้าทำให้ใจของภูมิรพีไหวยวบ แทบขาดใจ โกธรตัวเองทั้งที่รู้สึกได้แต่ก็ยังประมาท คนตัวโตเอื้อมปิดน้ำ ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าร่างบาง

   “ขอโทษ อย่าทำอย่างนี้ได้ไหม บอกภูมิจะให้ทำยังไง ขอร้องนะ....”  เสียงร้อนรนวิงวอนของภูมิดึงสติของน้ำนิ่งให้หันกลับมามอง นัยน์ตาหวานวูบไหวคลอคลองไปด้วยน้ำตา ภูมิรพียกมือขึ้นเกลี่ยเช็ดมันออก

   “ขยะแขยงน้ำใช่ไหมถึงไม่อยากแตะต้อง....”  เสียงถามแผ่วเบาจากริมฝีปากบาง นัยน์ตาหวานที่มองสบมาราวกับจะคาดคั้นเอาคำตอบ ภูมิรพีชะงักงันไม่คิดว่าคำถามเช่นนี้จะออกจากปากน้ำนิ่ง ภูมิรพีจ้องมองหน้าหวานนิ่งงันเสียใจที่คนตรงหน้าดูถูกความรักของเขา แถมไม่เชื่อใจต่อความรักของเขา

   “....”   ชั่วแวบภูมิรพีเห็นแววตาหวานเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แขนเล็กโอบกอดตัวเองแน่นขึ้น น้ำตาเอ่อกลบตาก้มหน้าซบลงบนเข่าตัวเอง ไหลบางสั่นไหวตามแรงสะอื้น

   “ไม่เลยสักนิด คิดได้ยังไง ไม่เชื่อใจภูมิแล้วเหรอ จะให้ทำยังไงถึงจะเชื่อภูมิ”  ภูมิรพีตอบหนักแน่น นัยน์ตาสีแปลกฉายแววอบอุ่นบ่งบอกว่ารักคนตรงหน้าแค่ไหน

   “ลบมันให้หนูที...ฮือ..ลบมันทีนะ...หนูไม่ไหวแล้ว...”  น้ำเสียงที่น้ำนิ่งเปล่งออกมาแหบพร่าเจือความขยะแขยงตัวเองเต็มเปี่ยม ร่างบางเกร็งสะท้านเมื่อความกระสันยังเหลืออยู่ถูกกระตุ้นอีกครั้ง

   ภูมิรพีไม่ได้ตอบออกไปแต่ถอดเสื้อผ้าทั้งของตัวเองและน้ำนิ่งออกจนหมด ช้อนอุ้มร่างบางกระชับในอ้อมกอด เดินกลับเข้าไปในห้องวางร่างบางที่สั่นสะท้านจากแรงกระตุ้น ก่อนขึ้นคร่อมทับบนร่างบาง ปากร้อนนาบจูบไล้ลิ้นตั้งแต่หน้าผาก เปลือกตา แก้ม  ประกบจูบสอดลิ้นเข้ากวาดต้อนเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กของคนใต้ร่างดูดกลืนความหวานทั่วโพรงปากจากอ่อนหวานและร้อนแรงขึ้นตามแรงอารมณ์จนคนตัวเล็กครางแผ่วเบาเพราะเริ่มขาดอากาศหายใจ คนตัวโตผละจากริมฝีปากบาง ไล้ลิ้นร้อนโลมเลียขบเม้มไปตามจุดไว้สัมผัสไม่ว่าจะเป็นใต้คาง ไล่ดะมาจนถึงยอดอกหวานสีชมพูลิ้นร้อนตวัดเลียไล้วนครอบปากดูดขบเม้มสลับทั้งสองข้างจนแข็งเป็นตุ่มไต 

   “อา..ภูมิ”

    ปากร้อนนาบจูบไล่ละมาจนถึงกลางกายที่แข็งขืน  ภูมิรพีเมินเฉยต่อส่วนแข็งขืนแต่เลือกกดจูบดูดดึงลงที่ขาอ่อนด้านใน สลับการกัดขบเม้มเบาๆ ย้ำๆ อยู่บริเวณนั้นจนชื้นแฉะความหวามไหวแล่นริ้วไปทั่วร่าง น้ำนิ่งครางลั่นไม่เป็นภาษาทั้งๆ ที่แก่นกายไม่ได้โดนแตะต้องเลยด้วยซ้ำ

    ภูมิรพีผละจากขาอ่อนมาหาบอลแฝดที่ไกวไหวเรียกให้คนตัวโตครอบอมดุนดันจนเกิดเสียงดัง กระตุ้นอารมณ์ยิ่งนัก  ความซาบซ่านจากแรงกระตุ้นจากอะไรสักอย่างที่ร้อนรุมอยู่ในอกฉุดรั้งให้น้ำนิ่งแอ่น อกเชิดขึ้นนิ้วเล็กเรียวยกขึ้นขย้ำบดบี้ยอดอกของตัวเอง  อีกมือยื่นไปดึงรูดรั้งตัวตนของตัวเองขึ้นลงระรัวตามแรงอารมณ์ที่เริ่มไต่สูงขึ้น

   “อ๊ะ อา”

   ภูมิรพียอมปล่อยปากจากบอลแฝด จับมือร่างบางออกแล้วแทนด้วยปากร้อนของตัวเองลิ้นหนา ดูดดุนไล้เลียส่วนปลายยอดจนแก้มตอบ สลับการครอบปากรูดขึ้นลงจากโคนจนสุดส่วนปลาย  บางครั้งมันลึกจนจมูกโด่งของภูมิรพีแนบไปกับหัวเหน่าของน้ำนิ่งแรงๆ ทำให้คนตัวเล็กกระตุกเสียว จากจังหวะเนิบนาบกลายเป็นเร่งรัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ  น้ำนิ่งทนไม่ไหวความเสียวซ่านฉุดรั้งให้ต้องยกสะโพกกระแทกเข้าใส่ปากร้อนของคนตัวโตแรงๆ

    ยิ่งกระแทกแรงความซาบซ่านยิ่งวิ่งพล่านทั่วร่าง น้ำนิ่งเร่งจังหวะกระแทกใส่เร็วขึ้นจนในที่สุดความอดทนทั้งมวลก็มลายสิ้นคนตัวเล็กเกร็งตัวและปลดปล่อยน้ำรักเข้าใส่ในปากของภูมิรพี เขากลืนกินทุกหยาดหยดลงคอจนหมดโดยไม่รังเกียจ

   “อา...ดีเหลือเกิน”  น้ำนิ่งครางเสียงแผ่วเบากับตัวเอง 

    หลังปลดปล่อยน้ำนิ่งทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างอ่อนแรง ภูมิรพียืดตัวขึ้นมาประกบจูบร้อนแรงดุดัน จนเห็นว่าน้ำนิ่งกำลังจะหายใจไม่ออกจึงผละตัวออก น้ำลายของทั้งคู่โยงเป็นสาย ภูมิรพีปัดเช็ดเลียออกจากปากและคางของน้ำนิ่ง  คนตัวโตลุกขึ้นยืนข้างเตียงเดินไปหยิบหลอดเจลจากลิ้นชักข้างเตียง แล้วเดินกลับมาบนเตียงอีกครั้ง

   เขาจับร่างบางนอนคว่ำหน้ากับเตียง ตัวเขาขึ้นมาทาบทับข้างหลัง ปากร้อนดูดเม้มหลังคอ ลิ้นร้อนลากเลียไล้ตามแนวกระดูกสันหลังไปจนถึงก้นงอน  มือแกร่งจับแก้มก้นของน้ำนิ่งแหวกออก ลิ้นร้อนตวัดเลียตามรอยจีบพับของช่องทางด้านหลัง  สลับดูดเม้มชอนลิ้นร้อนเข้าไปในช่องทางรัก  ความหวามไหวซ่านเสียวในอกไต่ระดับสูงขึ้นจนยากจะฉุดรั้งน้ำนิ่งหลุดครางหวานแผ่วเบา

   “อ๊ะ อา...ภูมิจ๋า ภูมิ”

   ภูมิรพีบีบเจลชโลมใส่นิ้วมือตัวเองจนชุ่ม  มือแกร่งของเขายกขาของน้ำนิ่งตั้งเข่าขึ้นช่องทางรักสีขมพูระเรื่อลอยเด่นอยู่ตรงหน้า คนตัวโตก้มลงไล้ลิ้นตามรอยจีบพับสลับดูดเลียขบเม้มอย่างหลงใหล ปากร้อน ผละออกแล้วแทนที่ด้วยนิ้วชี้ไล้วนรอบจีบพับอยู่สักพักก่อนที่จะกดเข้าไปในทางร้อนที่เชิญชวนตรงหน้า

   “อ๊ะเจ็บ...ซี๊ด..“

   “อย่าเกร็งจ๊ะ เด็กดี”

   ภูมิถอนนิ้วออกมาชโลมเจลใส่อีกครั้งก่อนจะกดพรวดทีเดียวสุดโคนนิ้ว  น้ำนิ่งสะดุ้งสุดตัวด้วยความเจ็บมือเล็กกำแน่นกับผ้าปูที่นอน  ภูมิรพีแช่นิ้วค้างไว้ให้น้ำนิ่งปรับตัว เขาชะโงกตัวมากดจูบและนาบปากร้อนไปตามลาดไหล่ ซอกคอ ดึงหน้าร่างบางให้หันมาประกบจูบสอดลิ้นเกี่ยวกระหวัดดูดดึงกันอย่างร้อนแรง

    มือแกร่งอีกข้างโอบไปกอบกุมแก่นกายที่อ่อนตัวเพราะความเจ็บของน้ำนิ่งรูดรั้งจนแข็งขืนขึ้นมาอีกครั้ง  คนตัวโตผละปากออกให้น้ำนิ่งได้สูดอากาศเข้าปอด ปากหนาอ้อยอิ่งขบเม้มริมฝีปากล่างของคนตัวเล็ก  อาการหวามไหวในช่องท้องกลับมาอีกครั้งจนยอมผ่อนคลายช่องทางรัก  ภูมิรพีดึงนิ้วออกมาแล้วกระแทกกลับเข้าไปใหม่โดนจุดนั้นจนน้ำนิ่งหวีดร้องด้วยความเสียวกระสัน  ช่องทางอุ่นร้อนตอดรัดนิ้วแกร่งถี่ยิบ ภูมิรพีกระแทกนิ้วเน้นๆ เข้าจุดนั้น จากนิ้วเดียวจนตอนนี้สามนิ้วที่กดกระแทกจนจะแตกสลายอยู่แล้ว

   “อ๊ะ อ๊า.. อา.. ภูมิจ๋า..”

   “ครับ”

   “ไม่เอานิ้ว..หนูอยากได้ภูมิในตัวหนูลึกๆ  แรงๆ”

   “ครับ”   

   ความกระสันและแรงกระตุ้นเร่งเร้าจากอะไรบางอย่างทำให้น้ำนิ่งเอ่ยขออย่างไม่อาย ภูมิรพีถอนนิ้วออกจากช่องทางรักความรู้สึกโหยหาตีกระหน่ำอยากเติมเต็มจนทำให้น้ำนิ่งไพล่มือไปข้างหลังกดนิ้วของตัวเองเข้าไปในช่องทางรักจนสุดโคนก่อนจะดึงชักเข้าออก

   “อ๊ะอา...”

   “เด็กดีปล่อยให้ภูมิเถอะนะ”

     ภูมิรพีชโลมเจลไปทั่วแก่นกายใหญ่ของตัวเอง จับมือของน้ำนิ่งดึงออกมาจนนิ้วมือหลุดออกจากช่องทางรัก เขาก้มลงดูดเม้มตวัดเลียช่องทางของน้ำนิ่งอีกครั้ง  ก่อนจะยืดตัวขึ้นจ่อหัวบานไปที่ช่องทางรักที่ฉ่ำด้วยเจลและน้ำลาย รู้โดยสัญชาตญาณว่าร่างบางจะต้องเจ็บมาก เขาโน้มตัวไปกอดน้ำนิ่งไว้ กระซิบข้างหูเบาๆ

   “หนู..ไว้ใจภูมินะ..”

   “หนูไว้ใจภูมิ..”  แม้จะหวั่นใจไม่น้อยกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นทว่าคำตอบในใจผนวกกับแรงกระตุ้นที่เกิดจากยาที่ได้รับก่อนหน้านั้น ทำให้น้ำนิ่งตอบอย่างไม่ลังเล

   ภูมิรพีนาบจูบร้อนลงที่ลาดไหล่ เขาค่อยดันท่อนลำเข้าไปในช่องทางรักอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ร่างบางหน้าเหยเกทั้งเจ็บทั้งจุกจนกัดฟันแน่น เจ็บจนพูดไม่ออก นึกอยากจะให้ภูมิรพีถอนท่อนลำออกไปจากตัว  คนตัวโตหยุดชะงักเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของร่างบาง เม็ดเหงื่อผุดพรายตามไรผมจนชื้น น้ำนิ่งเกร็งตัวมือกำผ้าปูที่นอนแน่นจนขึ้นข้อขาว น้ำตาซึมหางตา หัวบานใหญ่พึ่งมุดเข้าไปได้แค่นิดเดียวแต่อีกฝ่ายถึงกับน้ำตาเล็ด

   “เจ็บมากไหม...ทนไหวหรือเปล่า..จะให้ถอนออกก่อนไหม..”

   “มะ ไม่เป็นไรหนูทนได้”  น้ำนิ่งกัดฟัน มันไม่เสียวเหมือนตอนใช้ปากทำรัก ตอนใช้นิ้วทำถึงจะเจ็บแต่ก็ไม่เท่าตอนนี้  แต่ความกระสันที่เร่งเร้าอยากจะปลดปล่อยจนแทบคลั่งทำให้ร่างบางเอี้ยวตัวมามองหน้า  ภูมิรพี เห็นชัดถึงความปรารถนาในดวงตาคู่นั้น น้ำนิ่งยอมผ่อนปรนช่องทางรัก

   ภูมิรพีทาบตัวไปกับแผ่นหลังบาง ตัวตนของน้ำนิ่งอ่อนตัวลงเพราะความเจ็บ ภูมิรพีนาบจูบร้อนเล้าโลมไปตามหลังคอลาดไหล่ของร่างบาง  มือหนาเลื่อนไปกอบกุมท่อนเนื้อน้อยที่หดตัวอยู่ตรงหว่างขาของน้ำนิ่งขยับมือเล้าโลมรูดรั้งขึ้นลงเบาๆ ให้คลายความตื่นเต้นกังวลลง ร่างบางหันกลับมากดจูบแลกชิมความหวานของลิ้นกันและกันอย่างร้อนแรง 

    ภูมิรพีผละปากออกไปจูบซับน้ำตาก่อนที่จะกลับมาประกบจูบที่ปากเรียวเล็กอย่างดูดดื่มอ่อนหวานอีกครั้ง มือหนาสากผละจากแก่นกายที่เริ่มแข็งขืนขึ้นไปบดบี้ยอดอกเล็กอย่างแรง มันทั้งเจ็บทั้งเสียวน้ำนิ่งร้องครางหวาน พอความเสียวซ่านเริ่มครอบงำร่างกายก็เริ่มผ่อนคลายจนรู้สึกได้ว่าช่องทางคับแน่นเริ่มขยายตัว เขาค่อยๆ ดันดุนท่อนลำเข้าไปทีละน้อย ปากก็จูบไซ้เพิ่มความซ่านเสียวให้ร่างบางไปด้วย หัวบานใหญ่มุดไถลเข้าไปทีละน้อยจนมิดส่วนหัว ภูมิรพีสูดปากขนาดเข้าไปแค่หัวยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นรัดรึงในตัวน้ำนิ่ง มันวิเศษจริงๆ เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน มันเสียวกว่าตอนที่เขาใช้มือให้ตัวเองเสียอีก

   “อ๊ะ ขะเข้าไปแล้ว..อา..”  น้ำนิ่งหลับตาแน่น ร่างบางรู้ว่าภูมิรพีมีความสุขเขายิ่งไม่กล้าแสดงออกให้รู้ว่าตัวเองเจ็บ ภูมิรพีดันท่อนเนื้อเข้ามาเรื่อยๆ จนร่างบางจุกแน่นไปหมด มือกำผ้าปูที่นอนแน่น 

   “หนูเจ็บไหม...เจ็บไหม ภะ ภูมิเสียวมากเลย  อา...”

   ภูมิรพีแช่ทอนลำไว้ครู่หนึ่ง เอามือลูบไล้เล้าโล้มไปตามผิวเนื้อของน้ำนิ่งอย่างเอาใจ คนตัวโตตั้งจะทำรักกับน้ำนิ่งช้าๆ อย่างนุ่มนวลที่สุด

   “ทนได้ไหม ถ้าเจ็บก็บอกนะ..ภูมิจะค่อยๆ ทำ...”  น้ำนิ่งพยักหน้าหงึกหงัก เขานิ่วหน้าเมื่อภูมิรพีค่อยๆ ดันท่อนลำลึกเข้ามาอีก มันจุกจนถึงลิ้นปี่ ทั้งร้อนทั้งแสบช่องทางด้านหลังไปหมด...

   “อา..สะ...เสียว... ภูมิเสียวเหลือเกิน”  ภูมิรพีครางเสียงดัง เขาก้มมองท่อนลำของตัวเองที่มุดเข้าไปในตัวของน้ำนิ่งช้าๆ ยิ่งร่างบางเกร็งตัวด้วยความเจ็บปวดยิ่งทำให้ช่องทางรักหดรัดท่อนลำของเขาแน่นขึ้นไปอีก ภูมิรพีเสียวจนแทบคลั่ง เขาพยายามยั้งใจตัวเองไม่ได้เผลอกระแทกเข้าไปแรงๆ อย่างใจปรารถนา คนตัวโตสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ทั้งเกร็งและตื่นเต้นเหมือนจะกระฉูดน้ำรักออกมาได้ทุกเมื่อ...อีกนิดเดียวท่อนลำของเขาก็จะเข้าไปมิดด้าม 

   “ดันเข้ามาทีเดียวเถอะ”

   “อย่าเกร็งนะครับ ผ่อนคลาย”

   ภูมิรพีกอดร่างบางกระชับเข้าในวงแขนแกร่งของตัวเอง  ก่อนที่จะกระแทกเข้ามาทีเดียวมิดด้าม น้ำนิ่งสะดุ้งสุดตัวด้วยความเจ็บเสียงดึงปึกเหมือนช่องทางรักฉีกขาดเจ็บจนแทบทนไม่ไหว น้ำตาเม็ดโตร่วงพรูไหลซึมหางตา มือเล็กจิกต้นขาของคนตัวโตจนเลือดซึม  แม้จะเตรียมช่องทางอย่างดีชโลมเจลจนชุ่ม แต่ความใหญ่โตและความใหม่สดคับแน่นทำให้ร่างบางเจ็บจนได้
 
   “ขะ ขอโทษ...เจ็บมากไหม ไหวรึเปล่า...” ภูมิรพีกระซิบถามไม่รู้ครั้งที่เท่าไร กลัวร่างบางจะเจ็บจนทนไม่ไหว ภูมิรพีกอดปลอบร่างรางไว้แน่น ทำรักกันครั้งนี้แม้จะเพื่อคลายความกำหนัดจากยาที่น้ำนิ่งโดนเท่านั้น มันมากกว่านั้นเหมือนกับพวกเขาได้กลายเป็นคนเดียวกันไปแล้วจริงๆ

   “ภูมิมีความสุขมากจริงๆ หนูรู้ไหม..”

   “หนูก็มีความสุขภูมิ..”  น้ำนิ่งตอบ หันหน้ามาแลกลิ้นกันอย่างร้อนแรงก่อนจะผละปากออกเพราะ   น้ำนิ่งกำลังขาดอากาศหายใจ

   “ทั้งๆ ที่เจ็บ..จนร้องไห้นี่นะ”

   “ก็หนูเห็นภูมิมีความสุขนี่...”  ภูมิรพีหัวเราะหึ หึ ชื่นใจเหลือเกินห่วงความสุขของเขามากกว่าตัวเอง ภูมิรพีถอนท่อนลำออกช้าๆ ริมฝีปากร้อนนาบจูบไซ้หลังคอ ลาดไหล่ ให้ร่างบางคลายความเจ็บ คนตัวโตถอดถอนท่อนลำออกมาเกือบสุดลำ คาไว้แค่หัวก่อนจะดันเข้าไปใหม่ น้ำนิ่งเสียวท้องน้อยวูบ ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ความเจ็บความจุกค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่าน รู้สึกเหมือนร่างกายสอดผสานไปตามจังหวัดเคลื่อนไหวของภูมิรพี กระทั่งลมหายใจยังเป็นจังหวะเดียวกัน...

   “อาห์...หนูภูมิเสียวเหลือเกิน...”  ภูมิรพีครางเสียงแหบพร่าเว้าวอน อยากให้น้ำนิ่งรู้ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหน ชายหนุ่มโยกเอวพลิ้วเข้าหาร่างบาง มือข้างหนึ่งชักรูดท่อนลำของร่างบางไปด้วย แม้ใจอยากจะกระแทกกระทั้นแรงๆ แต่ทั้งเขาและน้ำนิ่งยังใหม่ด้วยกันทั้งคู่แม่จะเคยทำให้น้ำนิ่งแต่มันก็แค่นิ้ว เขาไม่อยากจะให้น้ำนิ่งเจ็บจนเข็ดกับประสบการณ์ครั้งแรก

    “เค้าไม่ไหวแล้ว เสียวเหลือเกิน ลุง ทำแรงๆ ลึกๆ อีก...”

   ความหวามไหวเริ่มตีวนในช่องท้อง น้ำนิ่งร้องขอด้วยเสียงแหบโหยเว้าวอนไร้สิ้นความอาย ร่างบางหันหน้ากลับมาปรือตามองอย่างเว้าวอน นัยน์ตาสวยฉ่ำเยิ้มเหมือนคนเป็นไข้ ทั้งเนื้อทั้งตัวเป็นสีชมพูจัด ภูมิรพีปล่อยตัวน้ำนิ่งลงมือใหญ่กดตรงไหล่คนตัวเล็กให้แนบไปกับเตียงนุ่ม ยกก้นงอนขึ้นจนได้ระดับ มือแกร่งอีกข้างกุมกระชับสะโพกมนของร่างบาง ภูมิรพีถอดถอนตัวตนออกจนเกือบหมดแล้วกระแทกกลับเข้าไปใหม่ด้วยจังหวะเนิบนาบ  ร่างบางโยกสะท้านตามจังหวะเคลื่อนตัวของเขา น้ำนิ่งทำหน้าเหยเกเมื่อเขาเพิ่มจังหวะกระแทกกระทั้นแรงขึ้น มือสากเร่งจังหวะชักรูดท่อนลำรัวเร็ว น้ำนิ่งบิดตัวครางกระเส่าด้วยความซ่านเสียว

   “เจ็บไหม..หนู..สะ เสียวไหม”

   น้ำนิ่งส่ายหน้า เขาเกือบจะไม่เหลือความเจ็บอีกต่อไป ทุกครั้งที่ภูมิรพีดันท่อนลำร้อนเข้าออกในตัวเขามันทำให้เสียวท้องน้อยอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งคนตัวโตรูดรั้งท่อนลำให้เขาด้วยแล้ว มันเหมือนถูกโจมตีด้วยความเสียวทั้งสองด้าน หลับตาครางลั่นอย่างเดียว...

   “สะ เสียว อ๊ะ อ๊า...ลุงจ๋าหนูจะไม่ไหวแล้ว”

   “เรียกอีก”

   “ลุงจ๋า..อา แรงๆ อีก”

   ภูมิรพีโหมแรงซอยสะโพกกระแทกใส่เต็มแรง เพราะมั่นใจว่าน้ำนิ่งหายเจ็บแล้วแน่นอน เขาเองก็เสียวจนตัวเกร็งไปหมด รับรู้ได้ถึงแรงบีบรัดรอบหัวบานเหมือนจะรีดน้ำให้พุ่งออกในไม่ช้า ภูมิรพีพยายามชะลอตัวเองให้ช้าลงเพื่อจะยื้อเวลาเล่นรักกับร่างบางให้นานที่สุด แต่ร่างกายเขามันอยู่เหนือการควบคุม ภูมิรพีแร่งจังหวะกระแทกกระทั้นเอวให้รัวถี่โดยไม่รู้ตัว ความเสียวซ่านเข้าจู่โจมจนหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทั้งสองครางแข่งกันจนไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร ภูมิรพีเอื้อมมือไปจับมือของน้ำนิ่งไว้แน่น


   ‘ตั๊บ ตั๊บ ตั๊บ’  เสียงเนื้อที่กระทบกันก่อให้เกิดเสียงที่น่าอายแต่มันกลับกระตุ้นให้ความกระสันเสียวเริ่มบิดเขม็งเกลียว

   “ลุง..อึก.นะ หนู จะไม่ไหวแล้ว อ๊า...” 

        น้ำนิ่งร้องครางเสียงดังลั่น เด้งเอวสวนท่อนลำของภูมิรพีที่กระทุ้งเข้ามาในตัวโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกได้ถึงมือแกร่งของภูมิรพีที่บีบแน่น จากที่เคยเจ็บปวดในคราแรก  ตอนนี้เขากลับอยากให้ภูมิรพีฝังเข้ามาในตัวเขาแรงๆ ท่อนลำร้อนระอุของภูมิรพีก่อความเสียวจากท้องน้อยแผ่ซ่านไปทั่วร่างราวกระแสไฟอ่อน รู้สึกเหมือนลอยคว้างอยู่ในสุญญากาศสูงขึ้นไปเรื่อยๆ น้ำนิ่งนอนเกร็งตัว หายใจหอบกระเส่าราวกับวิ่งมาไกลสักพักกิโล

   “หนูครับ ภูมิใกล้ แล้ว...กะ ใกล้ แล้ว ไปพร้อมกันนะครับโอ๊วววว”  ภูมิรพีกระซิบเสียงแหบพร่า..เขาเสียวใจแทบจะขาด  ภูมิรพีถอดถอนท่อนลำออกมาจนเกือบสุดคาไว้แค่หัวก่อนจะกระแทกเข้าไปใหม่อย่างแรง บดขยี้โคนที่เต็มไปด้วยไรขนใส่ร่องก้นงอนของร่างบาง มือแกร่งรูดรั้งท่อนลำของน้ำนิ่งระรัวเร็ว

   “โอ๊วว...อ๊า  อา..”  น้ำนิ่งครางดังลั่นเมื่อปลดปล่อยน้ำรักอุ่นๆ กระฉุดใส่มือของภูมิรพีจนเปรอะไปหมด ความรู้สึกตอนนี้เหมือนตัวเองตกวูบจากที่สูงกระทันหัน ความเสียวแผ่ซ่านไปทั่วตัวเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าอ่อนช๊อตไปทั่วตัว ร่างบางเกร็งสะท้านเพราะความเสียวสุดขีด ก่อนจะกระตุกสองสามครั้งแล้วอ่อนปวกเปียกลง

   ภูมิรพียังไม่ถอนท่อนลำออกจากตัวของน้ำนิ่ง เขาแช่นิ่งคาไว้อย่างนั้น  ผนังอุ่นร้อนด้านในช่องทางรักบีบรัดแน่นดูดรัดท่อนลำเขารุนแรงเหมือนจะรีดน้ำในตัวเขาทุกหยาดหยุด ภูมิรพีครางเสียงทุ่มต่ำ ใบหน้าคมเข้มเหยเกยด้วยความเสียวทรมาน

   “โอ๊ว..!! อาส์ส์...”  ภูมิรพีส่งเสียวคำราม น้ำรักพุ่งกระฉูดตามร่างบางไปติดๆ โดยไม่ต้องกระแทกท่อนลำ มัดกล้ามทุกมัดในตัวเขาบิดเขม็งเกลียวแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาสั่นกระตุกแรงๆ ติดๆ กันสองสามครั้ง ฉีดน้ำรักขุ่นข้นเข้าไปในตัวน้ำนิ่ง ก่อนจะผวาตัวลงกอดร่างที่นอนระทวยอยู่ใต้ร่าง  ผนังด้านในช่องทางรักของน้ำนิ่งขมิบถี่ยิบรีดน้ำจากท่อนลำของเขาจนไม่เหลือ แต่ให้ตายเถอะเขายังไม่อยากถอดถอนออกจากช่องทางอุ่นร้อนที่ชุ่มฉ่ำนี้เลย

   ภูมิรพีหอบหายใจหนักหน่วง รู้สึกเหมือนถูกรีดพลังออกจากร่างจนเกือบหมดแต่ก็ยังไม่อิ่มเขายังอยากจะกินอีกอย่างตะกละตะกรามด้วย  เขากอดร่างบางไว้กับอกแน่น  ท่อนลำที่เริ่มอ่อนตัวยังไม่ได้ถอดถอนออกมา ภูมิรพีขยับสะโพกเนิบนาบจนท่อนลำแข็งขืนขึ้นอีกครั้งเหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขาพลิกตัวเองลงนอนบนที่นอนนุ่มแขนแกร่งตวัดเอาตัวน้ำนิ่งยกขึ้นซ้อนข้างบนแผ่นหลังบางแนบไปกับหน้าอกแกร่งแรงเต้นของหัวใจของทั้งคู่ยังกระหน่ำจนรู้สึกได้ ลำแขนแกร่งโอบกระชับตัวร่างบาง  มือสากหนาเลื่อนไปกุมท่อนลำของน้ำนิ่ง  อีกข้างเลื่อนไปกุมกระชับยอดอกเล็กบีบบี้อย่างแรง  กระซิบเสียงแหบพร่าวอนขนจนน้ำนิ่งขนลุกซู่

   “ขอลึกๆ อีกนะ”

   น้ำนิ่งยังไม่ได้เอ่ยตอบรับหรือปฏิเสธภูมิรพีถอดถอนท่อนลำออกมาจนเกือบสุดแล้วกระแทกเข้ามาในร่างบางใหม่ในจังหวะเนิบนาบเน้นๆ  และเร็วแรงขึ้นตามแรงนำพาของไฟอารมณ์ความปรารถนา  ปากร้อน ไล่กดจูบขบเม้มลาดไหล่บางจนขึ้นรอยสีกุหลาบระเรื่อเต็มพื้นที่  มือหนาสากรูดรั้งท่อนลำอ่อนระทวยของ   น้ำนิ่งให้แข็งขืนจนน้ำใสเริ่มปริ่มปลาย  ร่างบางครางหวานแทบไม่เป็นภาษาด้วยไฟอารมณ์ที่คุกกรุ่นขึ้นอีกครั้ง

   “โอ๊ววว  อ๊ะ...อา..ลุง...”

   ภูมิรพีปล่อยตัวน้ำนิ่งลงนอนตะแคงกับเตียงโดยที่ท่อนลำยังสอดรับกันอยู่ แขนแก่รงสอดเข้าใต้ข้อพับให้ช่องทางรักเปิดกว้างขึ้น  มือข้างที่สอดรองหัวร่างบางเลื่อนมาบดขยี้ยอดอกค่อนข้างแรงมันเจ็บแสบ  แต่เสียวได้จนน้ำนิ่งต้องซี๊ดปาก  ภูมิรพีขยับจนได้ทีแล้วเริ่มซอยสะโพกถี่ยิบรัวเร็ว  ทุกแรงกระแทกกระหน่ำโดนจุดกระสันอย่างแม่นยำ  น้ำนิ่งหวีดร้องครวญครางอย่างสุขสมครั้งแล้วครั้งเล่า  แทบขาดใจหัวสมองขาวโพลนว่างเปล่า

   “อ๊า  อา  ลุงจ๋าแรงอีก.. จะไปอีกแล้ว อ๊า...”

   “อื้ม..อา.. หนูตอดแรงเหลือเกินโอ๊ววว...”

   คนตัวโตขยับซอยสะโพกกระแทกแรงๆ ลึกๆ เน้นๆ อยู่ไม่นานทั้งคู่ก็เดินจูงมือไปแตะเส้นความสุขสมด้วยกัน หลังจากไฟอารมณ์เริ่มมอดดับภูมิรพียังไม่ถอดถอนกลับขยับตัวเนิบนาบให้ช่องทางอุ่นร้อนที่ยังเต้นระริกโอบล้อมปลอบประโลมตัวตนของเขาที่ยังกระหายอยากอยู่

   “หนูไม่ไหวแล้ว ขอพักก่อนได้ไหม”  น้ำนิ่งเปล่งเสียงเบาบางอย่างเหนื่อยอ่อนบอกคนที่กำลังขยับตัวตนอยู่ข้างหลังให้หยุด  ร่างบางรู้ว่าตัวเองกำลังจะสำลักความสุขที่มากล้นเกินไป หัวใจเต้นระรัวจากการทำรักมาหลายชั่วโมงจนแทบจะไม่อยากขยับตัวมันเจ็บปวดราวกับจะแตกร้าวไปหมด 

   “แรดน้อยสิ่งสวยงามที่ดีที่สุดของภูมิ  ของภูมิคนเดียว....”

   “รักลุงที่สุด”

   แขนแกร่งกอดกระชับแน่นขึ้นแทนคำตอบ “ของรักของหวง”  จะกอดไว้กับตัวจนวันตาย  คนตัวโตประทับจูบอ่อนโยนระคนออดอ้อนประกาศความเป็นเจ้าของแทบจะทุกแห่งที่ปากร้อนนาบไปถึง   

    เพศรสที่ได้ดื่มกินมาหลายชั่วโมง  ไม่ได้ทำให้ภูมิรพีอิ่มเขายังอยากจะกินอีกด้วยความตะกละตะกรามไม่รู้เบื่อ เขาขยับตัวเนิบช้า ผนังอุ่นร้อนเต้นตุบ ๆ บีบรัดตัวตนใหญ่โตที่กำลังอ่อนยวบให้เริ่มแข็งขืนอีกครั้ง 

    น้ำนิ่งครางประท้วงอย่างเหนื่อยอ่อน  แต่ร่างกายกลับทรยศระริกระรี้เปรมปรีโอบรัดดูดดึงตัวตน ของภูมิรพีอย่างรักใคร่หวงแหน เชิญชวนอย่างไร้ยางอาย  หมดหนทางห้ามปรามเสียงประท้วงแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางกระเส่าหวานแว่ว ความสุขสมที่ทะลักล้นทำให้น้ำนิ่งสลบกลางอากาศขณะที่กำลังทำรักยกที่ เท่าไรไม่รู้.....

    ‘แค่ความสาว (?) ที่เสียตัวให้เขาไป เสียตัวอย่าเสียใจไม่นานก็หายดี คุณค่าของเธออยู่ที่ใจมากกว่าผู้ชายพรรค์นั้น  เจ็บใจหนึ่งทีเปิดทางให้คนดีๆ ได้เดินเข้ามา...’












TBC.




ปล.

1.  เป็นตอนที่ยาวมากที่สุดเท่าที่เขียนมา (20 หน้ากระดาษ A4)  ฟังเพลงไปตั้งหลากหลายแนวเพลงเพื่อ บลิ้วอารมณ์ พยายามสมมติตัวเองเป็นฆาตกรโรคจิตกระทำการปู้ยี่ปู้ยำน้ำนิ่ง  อยากจะเข้าให้ถึงแก่นของความเศร้าเสียใจของน้ำนิ่งที่โดยเพิกเฉย (ยาก) ตอนนางถูกสอดใส่น้อยนิดนั่น ภูมิจะโกรธได้ระดับไหน  (อันนี้ก็ยาก) สรุปเขียนไปเขียนมาก็ได้แค่นี้อารมณ์ยังสื่อไปไม่ถึงเลย..

2. ตะแรกกะว่าจะอ่านทวนอีกหลายๆ รอบเพื่อปรับสำนวน แล้วก็พิสูจน์อักษร  แต่ยิ่งอ่านยิ่งเลอะเทอะเอาเป็นว่าพอดีกว่า แล้วก็กลัวว่ายิ่งปล่อยไปเนิ่นนานยิ่งจะไม่มีเวลา ถ้าเจอที่ผิดพลาดบอกต่อด้วยนะครับ

3. ตัวละครทุกตัวก็แค่มนุษย์ปถุชนธรรมดา มีรัก โลภ โกธร หลง แฝงไว้ด้วยความเห็นแก่ตัวบ้างเป็นบางครั้งตามแต่สถานการณ์นั้นจะชักพาไป คนเหล่านี้มีให้เห็นอยู่กลาดเกลื่อนในสังคมที่เรียกว่าโลกใหญ่ใบนี้

4. ขอบคุณที่ติดตามกันตลอดมาพิเศษสำหรับ Ginny Jinny / TaecKhun Imagine Love / ❣☾月亮☽❣  / BeeRY / dahlia / sakurako12 / warin / เลิฟลี่ / ormn
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.15_เสียตัวอย่าเสียใจ _P.4 อัพเดต 7-11-2558 00.55
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-11-2015 10:17:14
ใจหายแว๊บนึกว่าภูมิจะรังเกียจน้องน้ำ ยังดีที่น้ำโดนเข้าไปนิดหน่อย

ถ้าโดนถึงขั้นสุด น้ำคงรังเกียจตัวเองมากๆ เลย

ภาวนาขออย่าให้มีอะไรที่ร้ายแรงมากไปกว่านี้เกิดขึ้นกับน้องน้ำอีกเลย

ขนาดว่าอยู่ในถิ่นของตัวเองแท้ๆ ยังประมาทจนเกิดเรื่องได้

ยิ่งกับพวกศัตรูที่รอวันเอาคืนอย่าง ACE  ด้วยแล้ว ไม่รู้ว่าจะลงมือหนักขนาดไหน

ศัตรูจะเข้ามาทางภูมิหรือจะเข้ามาทางน้ำก็เดาไม่ออก

แล้วพวกพี่ๆ แต่ละคนก็ใช่ว่าจะอยู่รวมตัวด้วยกันตลอดเวลาเสียเมื่อไหร่

ถ้าเกิดเรื่องร้ายตอนแต่ละคนแยกย้ายกันกลับไปทำงาน คงรับมือยาก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.15_เสียตัวอย่าเสียใจ _P.4 อัพเดต 7-11-2558 00.55
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 07-11-2015 13:29:29
เห้อออออออ.  รอดไปเน้อ
ถ้าภูมิมาไม่ทันนี่คงจะแย่มากๆ. บอกรักกันแล้ว.  :o8: 
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.15_เสียตัวอย่าเสียใจ _P.4 อัพเดต 7-11-2558 00.55
เริ่มหัวข้อโดย: choinudee ที่ 07-11-2015 16:46:34
โอ้ยยยยยย ใจหายใจคว่ำ นึกว่า......

ดีนะที่ภูมิมาทันเวลา ไม่งั้นโกรธคนแต่งแน่ๆ!!!

หนูคงเสียใจมากซินะตอนที่ภูมินิ่งไปแบบนั้น

แต่ลุงไม่ได้รังเกียจ แต่รู้สึกผิดมากๆใช่มั้ยละ

เอาเป็นว่าเรื่องร้ายๆผ่านไป เรื่องแรดน้อยผ่านมา555

อ๊ายยยย เขินนนนน แรดน้อยของภูมิ

ในที่สุดก็ได้กัน อุ๊ย!! ไม่สุภาพ เอาใหม่ ในที่สุดก็เป็นคนๆเดียวกัน

รักกันมากๆแบบนี้ตลอดไปนะ
...
ตอนกระทืบไอ้เลวนั่นสะใจมาก จริงๆต้องเอาให้ตาย!!!

แล้วอย่าลืมสืบว่าฝีมือใคร หรือใครบงการ เอาแม่งให้หนัก อุ๊ย! อินไปหน่อย

......

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.15_เสียตัวอย่าเสียใจ _P.4 อัพเดต 7-11-2558 00.55
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 07-11-2015 22:53:39
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:หูนเกือบไปแล้ว :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.15_เสียตัวอย่าเสียใจ _P.4 อัพเดต 7-11-2558 00.55
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 08-11-2015 03:41:18
 อ่านไปๆ :a5: ป้าก็ลุ้นว่าอิภูมิจะมาช่วยแรดน้อยทันเปล่า

แต่พอช่วยกลับไปได้ทำเอาป้า :pighaun:

ครั้งนี้ช่วยทันแต่ก็ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะเป็นไง :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.15_เสียตัวอย่าเสียใจ _P.4 อัพเดต 7-11-2558 00.55
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 10-11-2015 14:48:28
        สนุกดีคับ ชอบฉากบู๊มากๆแต่เสียดายมีน้อยไปหน่อย  อ่านแล้วสนุกดี  รอ รอ รออ่านตอนต่อไปคับ มาเร็วๆนะคับ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.15_เสียตัวอย่าเสียใจ _P.4 อัพเดต 7-11-2558 00.55
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 10-11-2015 18:45:43
 :m25: ลุ้นมาก ๆ ดีที่ภูมิมาช่วยหนูทัน ลาไปซับเลือดก่อน
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.16_ความจริง_P.4 อัพเดต 11-11-2558 00.30
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 11-11-2015 00:45:50
เด็กเลี้ยง



- 16 -

ความจริง







   “ดีมากเด็กน้อย”  บ๋อมหน้าแดงระเรื่ออายม้วนแทบจะทำอะไรไม่ถูก เมื่ออีกคนเกลี่ยไล้นิ้วแกร่งไปตามแก้มขาว ริมฝีปากบางเอ่ยชมด้วยเสียงอันทุ่มนุ่มคลอเคลียไม่ห่างจากริมฝีปากของเขา

   “มะ ไม่เป็นไรครับ คะ..แค่นี้เอง”  บ๋อมเอื้อนเอ่ยเสียงแผ่วเบาขาดห้วงกับสัมผัสและรอยยิ้มยั่วเย้าของคนตรงหน้าที่มอบให้
   “แล้วจะให้ตอบแทนสิ่งที่เธอทำให้ฉันยังไงดีน้า...”  บ๋อมขนลุกซู่ไปทั้งตัวแทบคลั่งกับสัมผัสของอีกคนที่เล้าโลมลูบไล้ไปตามเรียวขาอ่อนจนเกือบจะถึงกลางกายอยู่แล้วมือแกร่งกลับหยุดแค่นั้น ดวงตาเรียวเชิดวาววับซ้อนขึ้นมองหน้าที่แดงระเรื่อของบ๋อม ปากเรียวบางยกยิ้มพึงพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กหนุ่ม

   “ดะ ได้เหรอครับ..อะ..ฮือ” 

   “ได้สิก็เธอเป็นเด็กดี น่ารักขนาดนี้ ฉันแทบอดใจไม่ไหวเลยน้า...”

   “ทะ ทำแบบนี้นั่นให้ผมอีกได้ไหม...”  เมื่อถูกรุกเร้าทั้งมือและปากร้อนอย่างหนักแรงปรารถนาที่พุ่งสูงทำให้บ๋อมร้องขอเสียงกระเส่าอย่างไม่อาย อีกคนยกยิ้มมุมปากด้วยความสมเพท นัยน์ตาเรียววาวโรจน์เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย

   “ตามบัญชาเด็กน้อย...หึ หึ”

   นั่นเป็นบทสนทนาที่ผ่านมาแล้ว 10 ชั่วโมงหลังจากที่น้ำนิ่งวางโทรศัพท์จากบ๋อม  ซึ่งน้ำนิ่งไม่มีวันจะรู้…









08.00 น.  ณ เวลาปัจจุบัน

   แสงแดดอ่อนๆ ทอดตัวลอดผ่านผ้าม่านที่รูดปิดไม่สนิทเข้ามาในตอนสายปลุกให้ร่างบางที่กำลังนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนใหญ่ขยับเปลือกตาขึ้นและต้องปิดลงไปอีกครั้งเมื่อเจอกับแสงแดดจ้า ก่อนจะค่อยๆ  ลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้ง  หันมองคนที่นอนข้างกันมาตลอดคืน กลับพบเพียงว่างเปล่าพื้นที่ข้างๆ ที่เคยบ่งบอกว่ามีคนเคยนอนอยู่เย็นเยียบ ภูมิรพีคงลุกไปนานแล้ว

    น้ำนิ่งขยับตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ความเจ็บร้าวแล่นริ้วร้าวจากช่วงกลางตัวไปจนถึงปลายเท้า จนต้องขบริมฝีปากแน่นข่มความเจ็บ  ผืนตัวเองลุกจากเตียงพยายามเดินด้วยความลำบากไปจนถึงประตูเปิดออกไปยืนคว้างตรงโถงทางเดิน มองหาคนตัวโตแต่บริเวณกรอบสายตากลับไม่ปรากฏร่างของ ภูมิรพี ทั่วทั้งบริเวณเงียบกริบไร้สิ้นเสียงของคนอื่นๆ 

   “ภะ..ภูมิ อยู่ไหน..”

    เงียบ.....ถูกทิ้งเหรอ.....อาการปวดหัวไมเกรนพุ่งจี๊ดขึ้นมาอย่างกะทันหันจนแทบอาเจียน ตัวร้อนผะผ่าว แสบจมูกไปหมดเพราะพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอไม่ให้ไหลออกมา เข่าอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงทรุดตัวลงกับพื้นเย็นอย่างหมดแรงกลางโถงทางเดิน ซบหน้าลงร่ำไห้กับพื้นทางเดินด้วยความอ้างว้างกระวนกระวายใจ ความรู้สึกผิดจู่โจมหัวใจจนปวดร้าว  สมเพชตัวเองที่มีอารมณ์ร่วมกับมัน เนื้อตัวนี่ช่างน่าขยะแขยงจนเขาไม่อยากจะได้  พิษของไข้ทำให้พร่าเลือนในหัวตอนนี้มีเพียงเสียงสะท้อนของตัวเองซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง

   “ผิดไปแล้ว ขอโทษ...ขอโทษ..อย่าทิ้งฮือ.....” 
.

.

.

.


   ภูมิรพีฮัมเพลงเบาๆ เปิดประตูเข้ามาในบ้าน หลังจากที่คุยโทรศัพท์สายด่วนกับคุณเหมือนวาดเรียบร้อยแล้ว วันนี้พวกเราเลื่อนโปรแกรมทั้งหมดเพราะเมียเด็กของผมป่วยตัวร้อนจี๋พิษจากโดนชนกระแทกอย่างหนักหลายชั่วโมง ก่อนผมจะลุกออกมาเขาก็เพ้ออะไรสักอย่างที่ฟังไม่ชัดปลุกขึ้นมาป้อนยา ป้ายยาให้แล้วเลยกล่อมนอนต่อตื่นมาอีกทีถ้าไม่เจอผมมีหวังงอแงหนักแน่ๆ 

   เฮียเซนกับพวกพี่ๆ ออกจากบ้านไปตั้งแต่ตีสามเห็นว่าไปล่องเรือตกหมึกทะเลน้ำลึก  ผมว่าเหยื่อที่ใช้ล่อคงจะใหญ่และหนักพอสมควร...ก็ได้แต่หวังว่าเหยื่ออย่างเศษสวะของ ACE จะไม่ทำให้น้ำทะเลเกิดมลภาวะเป็นพิษจนเป็นอันตรายต่อสัตว์ทะเลอื่นหรอกนะหึ หึ



   ผมกำลังจะเดินเลี้ยวเข้าห้องสายตาผมปะทะเข้ากับร่างของเมียทูนหัวที่นั่งหมอบซบหน้ากับพื้นร่างบางสั่นน้อยๆ ตามแรงสะอื้นไห้ ใจผมวูบโหวงรีบเดินเข้าไปคุกเข่าข้างๆ ยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังบางที่สั่นเทานั้น ก่อนที่จะดึงเด็กเข้ามากอด 

    ร่างบางของคนตรงหน้าฝืนตัวออกจากอ้อมกอดผม เงยหน้าขึ้นมองหน้าแต่ในแววตานั้นกลับว่างเปล่าไม่สะท้อนเงาของผมเลย มันไม่มีผมอยู่ในนั้น...  นัยน์ตาสวยหวานฉ่ำไปด้วยน้ำตา แขนเรียวเล็กข้างหนึ่งทิ้งลงข้างตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง อีกข้างเกาะกุมหัวใจตัวเองไว้มันสั่นน้อยๆ เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายตามไรผมจนเปียกชื้น 

    “ผิดไปแล้ว ขอโทษ อย่าทิ้งนะ”  ริมฝีปากบางเอ่ยเสียงแผ่วเบาสิ้นหวังซ้ำไปซ้ำมา น้ำนิ่งดิ้นรนผลักไสให้พ้นจากอ้อมกอดของผม มือเล็กจิกลงที่หน้าขาตัวเองจนเลือดซึม  เสียงร่ำไห้อย่างสิ้นหวังแหบพร่าขาดห้วงและการทำร้ายตัวเองนั่นทำให้ผมรู้สึกแย่มากๆ 

   “ซู่ๆ ไม่ร้องนะครับ ภูมิรักหนูนะเด็กดี”

   “ทิ้งแล้ว  ไม่เอาแล้ว ไม่เชื่อแล้ว...”

   ปรางแก้มนิ่มทั้งสองข้างเปรอะไปด้วยหยาดน้ำตาเม็ดโตที่ร่วงพรู  ร่างบางกัดเม้มปากตัวเองแน่น ไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา เมินไม่มองผม  เขาหันหน้าหนีราวกับว่าตรงนี้ไม่มีผมอยู่  ผมใจเสียมันแย่มากๆ ตอนนี้

   “ซู่ๆ ภูมิอยู่นี่แล้ว ภูมิลบมันให้แล้ว ไม่ทำแบบนี้นะครับ อยู่ด้วยกันนะ...นะครับ” 

    ผมยิ้มสู้ ยกร่างบางนั่งบนตักดึงมือเล็กออกจากการทำร้ายตัวเองกุมกระชับไว้ในมือของตัวเอง  ก่อนจะยกขึ้นโอบกอดเราทั้งคู่ไว้ด้วยความรักทั้งหมดของผม  ร่างในอ้อมกอดร้อนผะผ่าว  เขายังคงนิ่งสนิทในอ้อมแขนของผม  ผมนาบปากคลอเคลียมอบจูบอ่อนโยนไปตามลาดไหล่บางที่สั่นด้วยความกลัวและกระวนกระวายใจ โยกตัวเบาๆ เหมือนปลอบเด็กเล็ก

   ผมทำพลาดอีกแล้ว  รู้ทั้งรู้ว่าน้ำนิ่งจะต้องเกิดอาการ  ‘ภาวะจิตเศร้ากึ่งๆ ซึมเศร้า’ ยังกล้าทิ้งเขาไว้คนเดียว ใช่แล้วน้ำนิ่งเป็นโรคจิตเวชความจริงอีกอย่างที่ผมและพวกพี่ๆ รู้ดี

   ภาพเหตุการณ์คนงานก่อสร้างรุมฉุดน้ำนิ่งมันทิ้งบาดแผลแห่งความกลัวเอาไว้และบาดแผลนั่นก็ติดเชื้อลุกลามไปทั่วไม่อาจรักษาให้หายได้  เมื่อเจอสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อจิตใจซ้ำๆ บาดแผลนั้นจะยิ่งกลัดหนองลุกลามไปทั่วยังกับเนื้อร้าย  น้ำนิ่งจะมีอาการอ่อนไหว  ขาดความมั่นใจ  ย้ำคิดย้ำทำถึงความไร้ค่าของตัวเองอยูตลอดเวลา  จิตใต้สำนึกจะจดจำเรื่องเดิมๆ  ที่ฝังใจแล้วเชื่ออย่างนั้น   

    น้ำนิ่งเข้ารับการบำบัดโดยจิตแพทย์เป็นประจำตั้งแต่นั้นมา  ความรักความเอาใจใส่ของผมและพวกพี่ๆ ตลอดจนคนใกล้ชิดสามารถบำบัดได้ก็จริง แต่ถ้ามีเหตุการณ์อะไรก็ตามที่รุนแรงกว่ามากระทบจิตใจ  ภาวะจิตเศร้านั่นก็อาจกลายพันธุ์เป็นโรคซึมเศร้าได้เต็มรูปแบบ

   อย่าแปรเจตนาที่ผมและพวกพี่ๆ แสดงความรักความเอาใจใส่พะเน้าพะนอต่อน้ำนิ่งที่ผ่านมาจนโอเวอร์แอคติ้งเป็นเพราะความเวทนาหรือสงสาร  ขอให้เข้าใจและเชื่อว่า ความรักที่พวกเราแสดงออกมันคือของจริง ผมรักเด็กนี่อย่างไม่มีเงื่อนไข จะเป็นยังไงแตกหักเสียหายแค่ไหน เด็กนี่ก็คือ “คนสำคัญที่สุดในชีวิตผม“


   “หนูเป็นสิ่งสวยงามที่ดีที่สุดในชีวิตของภูมิ ไม่ว่าหนูจะเป็นยังไงก็ไม่เคยคิดจะทิ้ง อยู่ด้วยกันนะครับ  อย่าเมินแบบนี้”
 
   “.......”

.

.

.


   “นะครับ...”

    ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองผมเหมือนจะรับรู้  เขาเอาหน้ามาคลอเคลียที่อกผม  ริมฝีปากบางร้อนผ่าวๆ ของเขากดลงที่หน้าอกผมเบาๆ แขนเรียวเล็กที่ยังสั่นเทาเลื่อนมาโอบกอดรอบตัวผม มือเล็กกำชายเสื้อด้านหลังผมไว้แน่น ปฏิกิริยาตอบสนองทำให้ผมใจชื้นขึ้นมากโข

   “ปวดหัวไหม กินโจ๊กนะครับจะได้กินยา”  ผมเอ่ยถามคนในอ้อมกอดเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยน ร่างบางพยักหน้าน้อยๆ ผมยิ้มกว้างด้วยความดีใจ จัดการอุ้มกระชับร่างบางในท่าเจ้าสาวเดินลงบันไดจนถึงครัว   

   “เจ็บอึก..” เด็กสะดุ้งเมื่อก้นแตะโดนพื้นเก้าอี้เพียงนิดเดียว ขืนตัวไม่ยอมนั่ง

   “งั้นเดี๋ยวภูมิหาเบาะมารองให้นะ”

    ร่างบางพยักหน้ารับ ผมจึงวางเมียเด็กนอนตะแคงลงบนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เอากล่องยาและเบาะนั่งมาวางที่เก้าอี้แล้วยกเด็กน้อยลงมานั่ง ทำแผลที่ขาอ่อนให้ แล้วจึงหันไปตักโจ๊กที่อุ่นอยู่บนเตามาป้อนเด็กดีของผม  เขากินโจ๊กได้เล็กน้อยบอกอิ่มแล้ว  ผมเลยเอายาให้กินติดแผ่นเจลลดไข้แปะที่หน้าผากมน  แถมจูบร้อนให้หนึ่งครั้งบนหัวหอมๆ ก่อนจะอุ้มร่างบางขึ้นไปนอน วางบนเตียงขยับที่ทางให้เรียบร้อยแล้วจึงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้จนถึงคอ ก้มลงจูบหน้าผากมนอีกครั้ง

    ผมกำลังจะยืดตัวขึ้น  มือเล็กที่ยังสั่นน้อยๆ ของเขาดึงชายเสื้อของผมไว้แน่น นัยน์ตาหวานที่มองสบกันผมไม่มั่นใจว่าอะไรมากกว่ากันระหว่างความไม่มั่นใจ ความกลัว หรือความกระวนกระวายใจ แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันบ่งชัดว่า ไม่อยากให้ผมออกห่างจากกรอบสายตา

   “หืมว่าไง  จะให้ภูมินอนด้วยเหรอครับ”

    น้ำนิ่งพยักหน้ารับ ผมยิ้มอ่อนโยนกลับไปให้ก้มหน้าลงไปหอมแก้มนิ่มๆ ของเขา ขยับขึ้นเตียงอีกครั้ง ล้มตัวลงนอนก่อนจะดึงร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด  มือสอดเข้าไปลูบหลังปลอบโยนให้ผ่อนคลาย น้ำนิ่งขยับตัวแนบชิดผมมากขึ้นกว่าเดิมมือกำเสื้อผมแน่น จนต้องดึงมากุมไว้ในมือตัวเอง สักพักตัวก็อ่อนยวบลงลมหายใจสม่ำเสมอแม่ทูนหัวของผมหลับไปแล้ว แต่คิ้วบางยังขมวดมุ่นด้วยความกังวลผมยกมือขึ้นนวดคลึงให้คลายออก พึมพำแผ่วเบาริมหูบาง

   “ไม่ต้องห่วงนะ ภูมิอยู่นี่แล้ว”

    คนในอ้อมกอดคงจะรับรู้ได้เขายกยิ้มบางเบาขยับตัวแนบชิดผมมากขึ้นก่อนจะนิ่งสนิทไปอีกครั้ง ผมรักเด็กนี่เหลือเกิน  อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจูบแผ่วเบาบนปากแดงระเรื่อด้วยพิษไข้นั่น แระเล็มขบกัดริมฝีปากบางอย่างหลงใหล ขอบคุณพระเจ้าที่ผมช่วยเขาไว้ได้ทัน  ถ้าผมเฉลียวใจช้าอีกนิดเดียวผมไม่อยากจะคิดถึงผลที่จะตามมา  ผมคงแบกรับมันไหวแน่ๆ 

    น้ำนิ่งจะกำจัดตัวเองให้พ้นไปจากผม เขาตายได้แค่ความคิดว่าตัวเองน่าขยะแขยง ไร้ค่า ไม่คู่ควรจะให้ผมรักถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง  เหตุการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นแล้ว ดีเหลือเกินที่ผมไปทัน..ดีเหลือเกินที่ยังมีร่างบางอยู่ตรงนี้กับผม...





   เช้าวันที่สี่ด้วยความรักเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด คอยพูดคุยของพวกเราทูนหัวของผมหายป่วยค่อยๆ กลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเดิมอีกครั้ง ผมรู้เขาไม่ได้ลืมเหตุการณ์วันนั้น เวลาที่เผลอตัวและคิดว่าพวกผมไม่เห็นสีหน้าของเขามันบ่งบอกว่าเจ็บปวด และขยะแขยงตัวเองแค่ไหน  พอพวกเราเข้าไปทักน้ำนิ่งจะทำเป็นกลบเกลื่อน แสร้งทำเป็นว่าลืมมันไปแล้ว เขาไม่อยากจะให้พวกผมห่วงใยหรือกังวลกับตัวเขามากนัก   

         วันนี้พวกเราเลยได้ฤกษ์ล่องเรือยอร์ชเลาะแถบหมู่เกาะห้องเข้าตรังตามกำหนดการเดิม เมียเด็กตื่นเต้นใหญ่ตื่นนอนตั้งแต่เช้าโดยไม่ต้องให้ปลุกเหมือนทุกครั้ง ระหว่างรอคนอื่นจัดการธุระส่วนตัวผมก็แกะส้มป้อนใส่ปากแม่ตัวดี ส่วนเจ้าตัวนะเหรอมือกดไอแพดตาจ้องเขม็งกับเกมส์ที่กำลังเล่นพอส้มหมดปากก็หันมาอ้าปากรอราวลูกนกรออาหารจากแม่นกก็ไม่ปาน ต้องอัดวิตามินซีเยอะๆ ครับ กลัวเด็กไข้กลับแล้วเขาจะอดสนุก  โทรศัพท์ผมสั่นอยู่ในกระเป๋าเลยล้วงขึ้นมากดรับโดยไม่ได้ดูว่าใครโทรมา   

   “สวัสดีครับ”

   // ฟรังโก้กำลังไปรับ ฉันรอที่แม่ฮ่องสอนพาเด็กนั่นมาด้วย  บอกเจ้าเซนด้วย!! // 

    คนนั้นพูดเสร็จก็กดตัดสายไปโดยไม่รอตอบรับหรือปฏิเสธมาเร็วเคลมเราซะจริงๆ  ผมหันไปมองหน้าเฮียที่กำลังแกะส้มป้อนทูนหัวแทนผม

   “มีอะไร?” เฮียเอ่ยถามด้วยความสงสัย

   “เขาอยู่ที่ที่แม่ฮ่องสอนให้เราไปหา  ฟรังโก้กำลังมารับฟังน้ำเสียงดูโกธรๆ”

   “ก็ว่าแล้วไม่มีอะไรรอดพ้นสายตาคนนั้นได้หรอก ถึงกับมาเองนี่แสดงว่าคงเหลืออดจริงแล้วหึ หึ”

   “มีอะไรเหรอครับเฮีย?”  แสนคมเอ่ยถาม

   “เฮียคงจะต้องเปลี่ยนแผนวะ เขาให้ฟรังโก้มารับไปแม่ฮ่องสอนเดี๋ยวนี้เลย  แล้วพวกนายเอาไง”
   
   “เหลือเวลาอีกตั้งอาทิตย์กว่าจะเริ่มงานใหม่ พวกผมคงต้องไปตามแผนเดิม”  ฉะฉานเป็นคนตอบ

   “พวกนายเอาเรือไปก็แล้วกันจะได้สะดวก ถ้าจะบินก็เอาไปจอดที่ตรังนั่นแหละเดี๋ยวมีคนไปจัดการต่อเอง แล้วณิตเอาไง”

   “ก็คงต้องกลับครับเฮีย ทิ้งงานมานานแล้ว”   พีระณัฐเป็นคนตอบแทน เฮียพยักหน้ารับก่อนที่จะล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครสักคนคุยกับคนปลายสายอยู่ ไม่นานก็กดวางสาย

   “เฮียจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้แล้ว บ่ายโมงตรงพวกนายไปเช็คอินได้เลยให้รถที่นี่ไปส่ง”  กล่าวไม่ทันจบก็มี รถหรูสีดำมันปล๊าบขับเข้ามาจอดหน้าบ้านพัก  แขกที่ไม่แปลกหน้าปรากฏตัวหน้าประตูทางเข้าห้องทานอาหาร

   “สวัสดีครับ ดอนให้ผมมารับพวกคุณ”  ผู้มาใหม่กล่าวทักทาย ก่อนจะหันมาบอกผมกับเฮีย

   “เฮ้อ!! ถึงเวลาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงสินะ งั้นคงจะถึงเวลาแยกย้ายแล้วเจอกันนะครับพี่” ผมหันไปบอกลาคิดว่าอีกนานกว่าจะได้เจอพวกพี่แสนอีกครั้ง พวกพี่มันกรูกันเข้ามาหอมแก้มโอบกอดกระชับน้องกันจนพอใจจึงผละออก ฝ่ายน้องก็ตามแดงเหมือนจะร้องไห้ ผมกุมกระชับมือเล็กแน่นขึ้น พวกพี่มันสัญญาถ้ามีเวลาตรงกันจะรีบกลับมาหา เด็กผมจึงยิ้มออกมาได้

   “โชคดีวะ แล้วเจอกันเมื่อชาติต้องการ” พวกพี่ๆ มันเอ่ยลา ผมหันไปจูงเด็กเดินตามฟรังโก้ออกไป







>>>ต่อด้านล่าง<<<



หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.16_ความจริง_P.4 อัพเดต 11-11-2558 00.30
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 11-11-2015 00:47:43
>>>ต่อจากข้างบน<<<


   บ้านพักตากอากาศบนภูเขาหลังใหญ่ตกแต่งสไตล์เรโทรย้อนยุค ตั้งอยู่ท่ามกลางไร่ชานับพันไร่ปลูกเป็นขั้นบันไดสุดลูกหูลูกตาที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน (จริงๆ น่าจะบอกว่ามันภูเขาทั้งลูกนั่นแหละ) เขาคงจะร้อนใจจริงๆ ถึงขนาดให้เครื่องบินส่วนตัวไปรับเรามา เราถูกเชิญให้มานั่งรอที่ห้องรับแขกที่มองออกไปเห็นทิวเขาอยู่เบื้องหน้า ลมพัดเอื้อยโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศ

    คนที่น่าจะเดือดเนื้อร้อนใจน่าจะเป็นเฮียเซนกับภูมิรพี แต่ ณ สถานการณ์ปัจจุบันกลับเป็นน้ำนิ่งเสียเองที่ตื้นเต้นนั่งกระสับกระส่ายมือชื้นเหงื่อจนเย็นไปหมด สองคนนั่นกลับหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายอะไร ภูมิรพีคงรู้สึกได้ว่าน้ำนิ่งกังวลจึงดึงไปกุมไว้และคลึงเบาๆ อย่างให้กำลังใจ  เฮียเซนที่นั่งอยู่อีกฝั่งขยับมานั่งขนาบอีกข้างอีกคน

   “ตื่นเต้นเหรอ ไม่ต้องห่วงนะไม่มีอะไรหรอกเชื่อภูมิสิ”  ภูมิรพีเอ่ยถามเสียงทุ่มอ่อนโยนปลุกปลอบให้กำลังใจมืออีกข้างยกขึ้นโอบไหล่ลูบไปมาเพื่อลดอาการตื่นเต้นของน้ำนิ่ง

   “ละ แล้วเรามาพบใครเหรอฮะ” น้ำเสียงกังวลของน้ำนิ่งเอ่ยถามออกไปอย่างไม่มั่นใจนัก

   “ตาแก่หัวรั้นขี้โมโหไม่ต้องห่วงนะ” เสียงตอบที่ไม่เคลียร์ของทั้งสองคน ยิ่งทำให้หัวใจของน้ำนิ่งเต้นตึกตักจนแทบทะลุออกมาจากอก ทั้งๆ ที่ทั้งคู่บอกว่าไม่มีอะไรแต่มันก็ไม่ทำให้ใจของน้ำนิ่งสงบลงได้ จนกระทั่งยี่สิบนาทีต่อมา....




   “มาได้ซะที  เหลวไหลกันทั้งพี่ทั้งน้องทำให้ฉันต้องมาถึงนี่” 

    เสียงเข้มทรงอำนาจดังขึ้นข้างหลังทำให้น้ำนิ่งรีบหันกลับไปมอง แล้วก็แทบตะลึงผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นเค้าโครงหน้าแม้แต่สีนัยน์ตาเหมือนภูมิรพีแทบจะเป็นแฝดกันได้ เพียงแต่ว่าสีตาของชายคนนั้นอ่อนกว่าเล็กน้อย  อายุเขาดูน่าจะมากกว่าเฮียเซนแค่สี่ห้าปีได้ (มารู้ภายหลังว่าป๋าอายุ 52 ปี แม่เกลล์ 45 ปี จะหน้าเด็กกันไปไหนให้ตายเถอะ!!)

   “ป๋า”  ภูมิรพีและเฮียเซนเรียกผู้ชายคนนั้นพร้อมกัน

   “ ห๊ะ…!?”  น้ำ

   “เอ้า!?  พวกแกไม่ได้พูดให้น้องฟังมาก่อนเหรอ”  ชายคนนั้นหันมองทางน้ำนิ่งที่ตาเบิกกว้างอ้างปากค้างด้วยสีหน้าฉงนแต่สายตาที่มองสบมามันอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนรู้จักคุ้นเคยกันมาเนิ่นนาน  เขาเดินมานั่งที่โซฟาใหญ่ฝั่งตรงข้างพวกเรา

   “น้ำนิ่งครับนี่ดอนอเลสซานโดร  จิโอวานดินี่ ป๋าของพวกเรา  แล้วแม่ล่ะ”

   “โน้นในครัว ไปจัดแจงเรื่องอาหารให้พวกแกกลัวไม่ถูกปาก”

   “สะ สวัสดีครับ คะ คุณ...”

    น้ำนิ่งยกมือไหว้ดอนอเลสซานโดรด้วยอาการประหม่าแกมสับสน  ดอนส่งยิ้มอบอุ่นจริงใจมาให้อีกครั้งแล้วกวักมือเรียกให้ไปหา  คนร่างบางหันมองสองหนุ่มข้างตัว ภูมิรพีพยักหน้าให้ไปหาคนนั้น

   “คุณ เคิ้น อะไร เรียกป๋าเหมือนเจ้าพวกนั้นสิ  ป๋าเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของไอ้ลูกเกเรหัวแข็งทั้งคู่นั่นแหละ  โดยเฉพาะราฟาเอล อ้อก็เจ้าสิงห์หรือภูมิรพีนั่นน่ะ ดื้อด้านบอกให้ทำอย่างมันก็จะทำอีกอย่างหัวแข็งได้ใครก็ไม่รู้ อย่าเบื่อนะคนแก่นะก็บ่นไปเรื่อยแหละลูกไม่ได้ดั่งใจ มานี่มาให้ป๋าดูใกล้ๆ สิ”  ป๋าเอ่ยตำหนิด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก ก่อนจะกวักมือเรียกให้น้ำนิ่งเข้าไปหา และดึงให้นั่งลงข้างๆ กัน

    “โว้ โว้! ไม่เลวนี่หว่าไอ้ลูกชายไม่ได้เจอนานยิ่งโตยิ่งสวยน่ารักอย่างนี้นี่เองไอ้ผู้ชายหัวดื้อตรงนั้นถึงไม่ยอมกลับบ้าน  อีกคนก็ถึงกับขัดคำสั่งทิ้งงานทิ้งการไม่บอกไม่กล่าวปิดโทรศัพท์หนีไปเฉยเลย ถ้าเป็นอะไรฉันจะรู้ไหม รึต้องรอขึ้นอืดให้พวกฉันสืบรู้กันเอง”  ป๋าเอ่ยปากชม มือใหญ่ที่อบอุ่นอ่อนโยนลูบหลังไหล่น้ำนิ่งไปมาด้วยความรักเอ็นดู  และตำหนิลูกชายทั้งสองกลายๆ ในตอนท้าย

   “ป๋า...อย่าบ่นเลยน่าก็มาแล้วนี่ไง บ่นมากเดี๋ยวก็ถูกเกลล์เบื่อโดนทิ้งไม่รู้ด้วยนะ” ทั้งคู่เหมือนไม่สำนึกแต่กลับหยอกเย้าคุณป๋ากลับคืน 

   “ปากมีไว้กินข้าวไอ้หนู”  ป๋าส่งเสียงปราม ทำหน้าคาดโทษก่อนที่จะหันมายิ้มอ่อนโยนให้น้ำนิ่ง

   “บ่นอะไรนักหนาคุณ ลูกก็มาแล้วน่า”   เสียงกังวานใสที่นำเข้ามาก่อนร่างสูงโปร่งจะเดินเข้ามาในห้อง

   “โธ่! เกริดา ที่รัก เขาไม่เรียกว่าบ่น  แค่พูดให้ลูกคุณสำนึกว่าเราห่วงมันแค่ไหน”

    คุณป๋าคว้ามือเรียวของคนที่เดินเข้ามาใหม่มาจูบอ่อนโยน แล้วดึงนั่งลงข้างๆ  น้ำนิ่งแอบชำเลืองมองอยากจะยื่นมือของตัวเองไปสัมผัสมันคงจะนุ่มลื่นมือเป็นแน่แท้ก็จะอะไรผิวขาวอมชมพูเนียนละเอียดเปล่งปลั่งอย่างคนสุภาพดี ผมสีน้ำตาลอ่อนตัดแต่งทรงอย่างดียาวเลยบ่าเล็กน้อย  ตาเรียวทรงเสน่ห์รับกับคิ้วเรียวเชิดนิดๆ เจือแววหวานทอประกายอ่อนโยนอบอุ่นส่งมาให้ร่างบาง ปากรูปกระจับสีชมพูแดงระเรื่อโดยไม่ต้องพึ่งลิปสติก (?) คือสวย สวยกว่าพวกผู้หญิงที่มาชอบภูมิรพีเสียอีก

   “สวัสดีลูก ต๊าย!!  ดูลูกเราทำหน้าอึ้งๆ งงๆ แม่เกลล์จ๊ะ สงสัยคงจะจำแม่ไม่ได้สินะ ก็แน่ล่ะเราเจอกันตั้งแต่หนูยังเล็กๆ อยู่เลย แม่เป็นแม่ของราฟ อ๊ะภูมิกับเซน”  น้ำนิ่งยกมือขึ้นไหว้ผู้มาใหม่ด้วยอาการงง แต่มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าเขาไม่รู้จักผู้หญิงสวยที่นั่งช้างๆ แน่ๆ

   “อ้าว! พูดซะลูกงงแล้ว เอารับไปปลอบซะให้พอ  อยากเจอมากจนต้องวิ่งมาหาถึงที่นี่ไม่ใช่เหรอ” 

   ป๋ายกร่างบางที่ยังงงๆ ไปวางบนตักแม่ที่กางแขนรับอยู่แล้ว แขนเรียวโอบกอดน้ำนิ่งกระชับแน่น  อึ้งเป็นครั้งที่สองตาโตเบิกกว้างกว่าเดิม  คือที่กอดกันแนบแน่นจนหน้าอกหน้าใจถูไถให้ความรู้สึกราบเรียบ และส่วนกลางกายที่ไม่แบนราบนี่อีกตกลง  “ผู้ชาย”  (จริงๆ มันหน้าอกก็ไม่ได้แบนราบซะทีเดียวมันนูนเป็นกระเปลาะเล็กๆเหมือนนมเด็กผู้หญิงที่เพิ่งจะแตกพาน แต่ยังไงนี่ก็ไม่ใช่นมผู้หญิง)

    น้ำนิ่งขืนตัวผละออกจากอ้อมกอดมองหน้าเกลล์อึ้งๆ งงๆ  ตาโตเท่าไข่ห่าน ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปากที่อ้าหวอ  ก้มมองหน้าอกสลับกับหน้าเกลล์ไปมา คนเป็นแม่หัวเราะเสียงกังวานใสผสานไปกับเสียงทุ้มนุ่มอย่างขบขันของป๋า ก่อนจะพยักหน้ายืนยันความคิดด้วยเสียงหัวเราะว่าน้ำนิ่งคิดถูก 

   “หึ หึ ตามที่หนูคิดเลยลูก”   โอ้!! พระเจ้า โลกของน้ำนิ่งช่างแคบอยู่แต่ในกะลาจริงๆ จะไม่ให้เข้าใจผิดยังไงได้รูปร่างหน้าตามันช่างห่างไกลเพศสภาพราวกับเหรียญคนละด้าน แม่เกลล์ดึงตัวน้ำนิ่งเข้าไปกอดกระชับมือยกขึ้นลูบหลังไปมาให้หายจากอาการตะลึง

   “หรือคุณไม่คิดถึงลูก ครอบครัวเราไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันนานแล้วนะ แม่น้อยใจจริงๆ นะราล์ฟ พวกลูกหนีเที่ยวกันได้แต่ไม่มีเวลามาหาแม่คืออะไรครับ”  แม่ถามด้วยน้ำเสียงเจือความน้อยใจ

   “โธ่แม่ครับอันนั้นมันกะทันหัน แล้วเดี๋ยวเราก็จะเจอกันอยู่แล้วตอนปิดเทอมก็สัญญาแล้วไง ไม่โกธรน่าคนสวย”

   “ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยเรา ถ้าอยากจะให้หายโกธรก็พักกับแม่สักอาทิตย์สิ”  ภูมิรพีไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ในสถานการณ์อย่างที่ภูมิกับเฮียเซนทำแม่เกลล์ก็น่าสงสารนะในความรู้สึกของน้ำนิ่ง คนตัวเล็กหันไปมองหน้าภูมิกับเฮียเซนคาดคั้นให้ยอมรับปาก

   “นะฮะ” 

   “ครับ”  สองหนุ่มตอบรับออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย น้ำนิ่งพอใจกับคำตอบจึงส่งยิ้มน่ารักไปให้ทั้งคู่ เผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นมาให้เกลล์ด้วย คนเป็นแม่กดหัวทุยของน้ำนิ่งให้ซบลงกับซอกคอหอมที่มีกลิ่นเหมือนกับภูมิรพี  แขนเรียวเล็กกอดกระชับรอบเอวคอดของเกลล์แน่นขึ้น

   “ก็เป็นซะอย่างนี้สิ เจ้านั่นถึงหวงนักหวงหนายังกับไข่ในหินไม่ยอมให้คลาดสายตา แล้วนี่เลี้ยงน้องไม่ดีรึไง ดูสิผอมบักโกรกขนาดนี้”  น้ำเสียงเอ่ยเอื้อนเอ็นดูน้ำนิ่งไม่ปิดบัง นัยน์ตาสวยหวานตวัดฉับถามจิกเชิงตำหนิภูมิรพีกลายๆ

   “ตอบดีๆ นะไอ้หนู อย่าให้คุณนายโกธรนะเว้ยเดี๋ยวงานงอก” คุณป๋าพูดแหย่ไม่จริงจังนัก

   “โธ่แม่อะ ผมเลี้ยงดีเหอะ สุดรักสุดหวงที่สุดจนจะบ้าแล้วนี่  เด็กเพิ่งหายป่วยหรอก” 

   “ที่ป่วยนั่นผมได้ข่าวว่าคุณทำไม่ใช่รึไงครับ ไม่ถนอมน้องเลย ทำลูกสาว (?) ฉันได้นะ ไม่สงสารน้องเหรอตัวแค่นี้ ทนแกเข้าไปได้ไง”

    น้ำนิ่งคิดตามสิ่งที่เกลล์พูดแล้วก็หน้าร้อนเห่อเหมือนจะแตก โอ้! ให้ตายเถอะเกลล์จะพูดสองแง่สามง่ามเพื่อ? ถ้าจะอายย้อนหลังมันจะยังทันอยู่ไหม เขารับเข้าไปได้ไง แถมเร่งยิกๆ ให้แรงๆ อีก ถึงว่าทำไมภูมิรพีเรียกเขาว่า  ‘แรดน้อย’ เพราะงี้เอง เขินๆ จริงๆ นะ น้ำนิ่งหลบซ้อนความอายกับซอกคอหอมของเกลล์ยิ่งขึ้น ไม่กล้าจะสู้หน้าใครได้อย่างเต็มภาคภูมิหรอกตอนนี้

   “เอ้า แม่ก็มันจำเป็น ก็เด็กผมโดนเล่น  ถ้าผมไม่ทำเกิดเด็กช็อกผมมิแย่กว่าเหรอ”

   “แล้วมันใช่ข้ออ้างเหรอ ไม่รู้จักหักห้ามใจ วิธีแก้ไขมีเยอะแยะ”  เสียงตำหนิของเกลล์เข้มกว่าเดิมหนึ่งระดับ นึกเห็นใจน้ำนิ่งที่สุดลูกชายเขาใช่ย่อยซะเมื่อไร

   “แม่ก็รู้รอมาตั้งนาน มันก็เลย...”   เกลล์ขึงตาใส่ภูมิรพีเลยเงียบขืนต่อความยาวน้ำนิ่งยิ่งจะอายม้วนมากกว่าเดิม ผิวที่พ้นร่มผ้ามันก็แดงระเรื่อเกือบทั่วแล้ว

   “ไอ้เสือนั่นไม่คลั่งเหรอ  แล้วจัดการรึยัง”  คุณป๋าหัวคิ้วขมวดมุ่นหันไปถามเฮียเซนน้ำเสียงจริงจัง แต่พยักเพยิดหน้ามาทางภูมิ

   “ก็แรงพอดูครับป๋า  ผมคิดว่าหมึกคงตรงนั้นคงจำศีลไปอีกนานหึ หึ”  เฮียเซนตอบคำถามของป๋าด้วยเสียงกลั่วหัวเราะ

   “ก็ดี ระวังตัวไว้ด้วยก็แล้วกันฉันคิดว่ามันคงจะเล่นหนักขึ้น  ที่นี้มาพูดเรื่องที่ให้มาวันนี้ฉันไม่ชอบนะที่พวกแกทำตัวเหลวไหล มันใช้ได้ที่ไหนที่แกสองคนพี่น้องทิ้งงานทิ้งการอย่างไร้ความรับผิดชอบ แทนที่จะปรามกันนี่อะไรหายเงียบทั้งคู่ ไม่พอเจ้าเซนปิดโทรศัพท์หนีอีก แกโทรบอกฉันสักคำจะเป็นอะไรไหม

    ฉันให้อิสระพวกแกตัดสินใจกันเองมาตลอดไม่เคยขัดไม่เคยห้าม อยากทำอะไรก็ทำเพราะมันเป็นชีวิตของพวกแก แต่ช่วยบอกให้ทราบหน่อยเถอะว่าจะทำอะไรกันแค่นั้น ขอแค่นั้นจริงๆ ที่พูดย้ำนี่ไม่ใช่อะไรเพราะห่วง แกเข้าใจหัวอกพ่อแม่ไหม นี่ถ้าพวกที่รีสอร์ทไม่รายงานฉันก็คงไม่รู้ว่าพวกแกทั้งคู่อยู่ไหน  รู้ทั้งรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่น่าไว้ใจพวกแกก็ยัง... เคยนึกถึงใจคนเป็นห่วงรึเปล่า”  ป๋าตำหนิทั้งคู่เสียงเข้มจริงจัง

   “ขอโทษครับป๋า”  ทั้งคู่กล่าวขอโทษป๋าตัวเองทำหน้าสำนึกผิดอีกครั้ง

   “จำไว้อย่าทำอีก พวกแกโตๆ กันแล้ว ครั้งนี้ฉันไม่ปล่อยผ่านหรอกนะ  ช่วงน้องปิดซัมเมอร์ทำงานแทนฉันแบบเต็มตัวทั้งสองคน ส่วนน้องแม่แกเขาจะดูแลเองห้ามปฏิเสธ ขัดคำสั่งเพิ่มเวลา”

   “เอ้า!  ไม่เอาแบบนั้นสิป๋า”  ภูมิรพีโอดครวญกับคำตัดสินโทษของป๋าอย่างหนัก

   “อ้าว ก็แกบอกให้ฉันหัดห่างๆ เมียบ้างไง  ฉันมาคิดๆ ดูแกสองคนก็ลูกฉันก็น่าจะหัดไว้บ้าง”

   “โห้ย!!  แม่...” ภูมิรพีหันหาคุณนายแม่หวังให้คนสวยช่วยแต่เปล่าเลย คุณนายปากเบ้แบมือพร้อมยักไหล่ประมาณว่าธุระไม่ใช่  ภูมิรพีหน้าเสียเพราะตัวช่วยหมายเลขหนึ่งปฏิเสธความรับผิดชอบ จึงหันไปหาคนข้างตัวหวังเอาเป็นพวก  "เฮีย” 

   “ก้มหน้าก้มตาทำงานไปสามเดือนมันแป๊ปเดียวน่า”  เฮียเซนไม่ช่วยเพราะตัวเองก็มีชนัฏปักหลังอยู่พูดไปสองไพล่เบี้ยนิ่งเสียตำลึงทองนั่นแหละที่เซนกำลังคิดอยู่ในหัว เกิดป๋าคิดได้วกกลับมาหามิแย่เหรอ

   “อะไร!!”  ป๋าหันมาถามเสียงดังทำให้สองหนุ่มแยกจากกัน

   “ไม่มีอะไรครับ เรากำลังตกลงว่าใครจะทำอะไรช่วงสามเดือนนี้”  เฮียเป็นคนตอบป๋า

   “อย่าให้ฉันรู้ ฉันคิดอะไรได้อย่างไหนๆ ก็เป็นพี่น้องกันจะทำโทษคนเดียวเดี๋ยวจะหาว่าฉันลำเอียง เจ้าเซนห้ามแกแอบไปเลี้ยงกระต่ายเหมือนกัน แกพักที่เพ้นท์เฮ้าส์บนสำนักงานใหญ่ได้เลยห้ามกลับบ้าน แต่ไม่ดีกว่าเดี๋ยวฉันให้เมียฉันเอามาเลี้ยงเองดีกว่า พวกแกจะได้มีสมาธิทำงานทำการได้เต็มที่”

   “.....”   ทำไมแม่งเกร็งหุ้นไม่เคยจะถูกวะ  เซนทำหน้าบอกบุญไม่รับก็อยู่เงียบในมุมตัวเองแล้วนะยังไม่พ้นโดนตัดตอน

   “สำนึกกันไปนะ ป่ะน้ำไปกับแม่ดีกว่า”  ไปแล้วครับคุณนายจูงมือเมียเด็กผมไปด้วย ส่วนแม่เมียทูนหัวทูนเกล้านะเหรอหน้าระรื่นไม่อยู่เป็นกำลังใจผัวแก่คนนี้เลยโว้ย!!  ห่างกันไม่กี่นาทีนารีปันใจให้ชายอื่นคำคมนี้ใช้ได้ทุกยุคสมัย (ชายนั่นก็แม่ไม่ใช่เหรอวะ)

   “ก็ตามนั้นแหละ ฉันตามไปช่วยเมียฉันดีกว่า”   ป๋าเดินออกไปแล้วครับ เราสองคนนั่งมองหน้ากันด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว

   “เฮียเอาไง ตั้งสามเดือนเลยนะเว้ย”

   “ก็เออไม่รู้โว้ย...”

   “ข่าวว่างดกินเนื้ออื่นมานานแล้วไม่ใช่เหรอ กลับจากเที่ยวครั้งนี้จะล้างท้องกินเนื้อกระต่ายให้เต็มคาบไม่ใช่เหรอ เฮียอดได้เหรอเนื้อหวานๆ นะ  ถ้าไม่เฝ้าไว้เดี๋ยวก็โดนคนจับกินก่อนนะ” 

   “รู้ดี  อย่ามาย้อนฉันไอ้เด็กหัวแข็ง  ถ้ามันจำเป็นฉันก็จะแอบเลี้ยงแหละวะ”  เฮียเซนตบบ่าปุๆ ปลอบใจผมแต่เหมือนจะเผื่อแผ่ไปให้ตัวเองด้วยนะแหละ รู้หรอก









TBC.


ปล.

1. งงกับการลำดับเหตุการณ์ของตัวเองนิด ๆ แต่ก็คงพอจะเข้าใจได้เนอะ ความจริงเริ่มเผยออกมาแล้ว เอ็นดูเด็กน้อยของเราอีกสักนิดเถอะนะครับ เด็กชาย อายุ 7 – 8 ปี กับเหตุการณ์ที่เจอตอนนั้นมันเกินกว่าที่เด็กขนาดนั้นจะรับได้

2. ตอนนี้ก็เบาๆ ไม่มีอะไร  พักเบรกให้ฝั่ง  ACE  ฟอร์มทีมกันใหม่  เราจะอยู่กับน้ำสิงห์อีกสักสองตอน แล้วเราจะไปตามติดชีวิตคนอื่นกันบ้าง (แพลนที่วางไว้และเขียนไปแล้วประมาณนี้)

3. ขอให้สนุกกับการอ่าน  และขอบคุณที่ยังติดตามกันมาตลอดครับผม   ถ้าเจอความผิดพลาดตรงไหนบอกต่อด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.16_ความจริง_P.4 อัพเดต 11-11-2558 00.47.43
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-11-2015 11:17:05
ใครนะที่อยู่กับบ๋อมแล้วต้องการอะไร ถ้าเป็นพวกACE แล้วเข้าทางเพื่อนน้ำนี่อันตรายน่าดูเลย

น้ำนิ่งเป็นโรคจิตเวชแล้วก็ขออย่าให้มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นมากระทบกระเทือนจิตใจน้องอีกนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.16_ความจริง_P.4 อัพเดต 11-11-2558 00.47.43
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 11-11-2015 11:44:23
สงสารน้องน้ำอ่า
ขอบคุณ  :L2: 
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.16_ความจริง_P.4 อัพเดต 11-11-2558 00.47.43
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 11-11-2015 19:06:01
 :laugh: คุณแม่เฉียบมากสองหนุ่มโดนลงโทษ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.16_ความจริง_P.4 อัพเดต 11-11-2558 00.47.43
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 11-11-2015 19:44:45
สรุปคือ ภูมิเจอพ่อแม่แท้ๆของตัวเองนานแล้ว แต่ก็มาอยู่กับน้ำนิ่งใช่มั้ยคะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.16_ความจริง_P.4 อัพเดต 11-11-2558 00.47.43
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 11-11-2015 20:01:28
กระต่ายน้อยของเฮียเซนๆ อยากรู้จักจังเลย  :a3:

เค้าพึ่งได้โหวต + เป็ด ก็เลยตัวเองเป็นคนแรกเลยน๊า  :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.16_ความจริง_P.4 อัพเดต 11-11-2558 00.47.43
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 11-11-2015 20:35:08

@ TaecKhun Imagine Love
>> ใครกันน้า...ที่อยู่กับบ๋อม??   อันนี้เรายังไม่บอกนะเออ  เราจะให้โอกาส  ACE ฟอร์มทีมให้เป็นกลุ่มก้อนก่อนแล้วจะจัดการทีหลัง  เราจะไม่ตีงูตอนหลังหัก ถึงมันจะแว้งกันบ้างก็ยังไม่จัดการขั้นสุดท้ายหรอก เราจะค่อยกำจัดมันทีละคนๆ ตอนมันเผลอ  (ฟังเหมือนโรคจิต... ก็นะเราทีมน้ำนิ่งอะ)

@ ❣☾月亮☽❣
>> ฝากเอ็นดูและรักน้องกันมากๆ นะครับ

@ boonpa
>> ต้องยกให้คุณนายเขาครับ ไม่มีใครในตระกูลมีอำนาจกว่านางแล้ว

@ Yara
>>  เรื่องของภูมิเดี๋ยวจะให้คุณนายเขามาเล่าเองครับ  รอเจอคุณนายได้ตอนหน้านะครับ 

@ Ginny Jinny 
>>  ขอบคุณครับที่ให้การสนับสนุนด้วยดีเสมอมา  กระต่ายน้อย?? ของเฮียเซนต้องรออีกสักสามตอน ค่าตัวนางแพงกำลังต่อรองราคาค่าตัวกันอยู่อะครับ 

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.16_ความจริง_P.4 อัพเดต 11-11-2558 00.47.43
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 11-11-2015 21:31:09
 :hao4: :hao4: :hao4: :hao4: :hao4:ใครอยู่กับบ๋อมอะ :hao4: :hao4: :hao4: :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.16_ความจริง_P.4 อัพเดต 11-11-2558 00.47.43
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 12-11-2015 22:02:49
มีคำถามหลายข้อ รอการเปิดเผย
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.16_ความจริง_P.4 อัพเดต 11-11-2558 00.47.43
เริ่มหัวข้อโดย: maytarapat ที่ 13-11-2015 08:16:59
ตั้งสามเดือนแล้วพี่ภูมิจะทำยังไง
555555555 ฝึกไว้พี่ๆ ห่างเมียบ้าง
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.17_เรื่องเล่าคั่นเวลาจากแม่ปั๋ว_P.5 อัพเดต 14-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 14-11-2015 15:49:51
เด็กเลี้ยง




- 17 -

เรื่องเล่าคั่นเวลาจากแม่ปั๋ว









      หลังจากทิ้งให้สองหนุ่มนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดที่ห้องรับแขก ตลอดช่วงสายจนถึงเที่ยงป๋ากับเกลล์จูงมือ ลูกชายคนเล็กชมบ้านแทบจะทุกซอกทุกมุม หลังทานอาหารกลางวันเสร็จคุณป๋าลากสองหนุ่มเข้าปางไม้ที่สบเมย  ส่วนสองแม่ลูกคู่ใหม่ย้ายมาประจำกันที่ห้องนั่งเล่น  เพื่อไม่ให้น้ำนิ่งเบื่อกับการที่จะต้องนั่งเฉยไม่มีอะไรทำเกลล์รื้ออัลบั้มรูปเก่าๆ ที่บันทึกเรื่องราวของครอบครัวมาให้น้ำนิ่งดูระหว่างรอพวกหนุ่มๆ กลับ


      “โอ๊ว!! พระเจ้า...พระเจ้านะ นี่ งะ งั้น..โอ๊ยไม่อยากจะเชื่อให้ตาย!!” 

       น้ำนิ่งตาตั้งค้างตื่นเต้นปนประหลาดใจเป็นครั้งที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้ ละล่ำละลักพูดไม่เป็นภาษา ‘เกลล์ตั้งท้อง’  มันน่าตื่นน้อยอยู่เหรอกับความจริงข้อนี้  ตอนแรกน้ำนิ่งเชื่อว่า ภูมิเป็นลูกติดของป๋ากับผู้หญิงอีกคน แล้วป๋ากับแม่จริงๆ ของภูมิแยกทางกัน แต่มันไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับว่าทำไมเกลล์ถึงมีสถานะเป็นแม่เลี้ยงได้ ที่คิดนี่มันผิดหมดเลย  แต่ถ้ามองตามความเป็นจริงก็จะเห็นว่าหน้าตาท่าทาง นิสัยใจคอ บางอย่างของภูมิเหมือนแม่เกลล์ค่อนข้างมาก
 
      “โธ่เอ๊ย!! ร้องซะตกใจนึกว่าอะไร เด็กน้อยภาพนั้นน่าจะตั้งท้องราล์ฟได้สักห้าเดือนมั้ง”  เกลล์ชะโงกตัวมาดูภาพที่เปิดค้างอยู่บนตักน้ำนิ่งพยักหน้ายิ้ม ๆ

      “มันมหัศจรรย์มาก เท่าที่น้ำเคยได้ยินข่าวมีผู้ชายที่ท้องแล้วคลอดอย่างปลอดภัยมีไม่กี่คนเองในโลกนี้แม่เล่าให้ฟังหน่อยนะฮะ น้า..”  น้ำนิ่งขยับตัวเข้าไปเกาะแขนเกลล์น้ำเสียงออดอ้อนตื่นเต้น


      “ก็ได้ๆ ช่างอ้อนซะจริงๆ นะเราน่ะ เรื่องมันเริ่มจากป๋ากับแม่เราอยู่ด้วยกันแบบสามีภรรยามานานป๋า เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องลูกเลยสักครั้งแม่ก็เลยเข้าใจว่าป๋าคงไม่ชอบเด็ก วันหนึ่งป๋าเขาชวนแม่ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะเดินกันจนเหนื่อยเลยหาที่นั่งพักกัน  ก็คุยนั่นนู้นนี่กันอยู่ๆ ดี ป๋าเขาเงียบไปแม่เลยหันไปมองเห็นสายตาของป๋ากำลังทอดมองคู่พ่อลูกกำลังเล่นกันอยู่บริเวณสนามเด็กเล่นคนเป็นแม่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ สายตาที่ป๋ามองดูครอบครัวนั้นมันเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน  แม่พูดไม่ออกเลยตอนนั้น ในหัวอื้ออึงวนเวียนอยู่แค่ว่าป๋าอยากมีลูก มันน่าเจ็บปวดนะ...ที่ให้ในสิ่งที่เขาต้องการไม่ได้

       เรื่องลูกถือเป็นปมใหญ่ในชีวิตแม่ตั้งแต่ตอนนั้น แม่พยายามแสร้งทำว่ามีความสุขเหลือเกินเวลาอยู่ต่อหน้าป๋า  แต่ระหว่างเรามันเหมือนมีเส้นบางๆ กั้นอยู่มันไม่สนิทใจที่จะอยู่ด้วยกัน  ป๋าสงสัยถึงความเปลี่ยนแปลงแต่ก็ไม่ถามถึงเขาอยากให้พูดออกมาเอง ก็อย่างว่าความคิดของเราฆ่าเราเอง ความสุขที่เคยมีเริ่มเหินห่างออกไป  แม่หวาดระแวงที่จะอยู่กับป๋าผลักไสทุกครั้งที่เขาเข้ามาหา ในที่สุดก็ขอแยกตัวไปอยู่คอนโดต่างหากจ่อมจมและเฝ้าวนเวียนโทษตัวเองว่า เป็นคนตัดโอกาสของป๋า ทำให้เขาไม่มีความสุข ทำให้ป๋าไม่มีลูก ถ้าไม่มีแม่ซะคน..ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้  เราระหองระแหงกันจนถึงขั้นทะเลาะกันใหญ่โตแทบจะเลิกกันเพราะความมโนงี่เง่าของแม่  เขาหงุดหงิดและโกธรที่แม่คิดเองเออเอง เส้นความอดทนของป๋าขาดผึงเขาบุกมาหาแม่ที่คอนโดปากพร่ำอยู่แต่ว่า

       ‘เพราะลูกใช่ไหม อยากจะได้นักก็เอา’ ป๋าพูดเสียงเข้มดุดัน จับแม่กดทำอย่างบ้าคลั่งจนพอใจ


      .................



      ‘เราต้องคุยกันเกลล์ แล้วก็ไม่ต้องขุดมันขึ้นมาทะเลาะกันอีก’ หลังบทรักเร้าร้อนยาวนานผ่านไป เรานอนกอดกันโดยที่ไม่มีใครปริปากอยู่นาน อเลสซานโดรคงทนไม่ได้เขาพูดขึ้นมาก่อน สิ่งที่เขาพูดวันนั้นแม่จำมันได้เหมือนกับว่ามันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

       ‘ผมก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่มีความรักมากมายให้กับเกลล์ที่เป็นผู้ชาย แล้วความรักของผมมันผิดเหรอ อะไรคือถูกอะไรคือผิดใครบอกได้ ถ้ามีใครบอกได้ก็สงเคราะห์ผู้ชายที่ไม่รู้อะไรเลยคนนี้ทีเถอะนะจะเป็น  พระคุณ ’

      ‘ แต่ว่า...’

       ‘ใจผมบอกว่าเกลล์คือคนที่ใช่ผมก็ไม่สนว่าเกลล์จะเป็นผู้ชาย ทำไมต้องเกี่ยงงอน แคร์คนอื่นทำไม เกลล์รักผมบ้างรึเปล่า เคยมีผมอยู่ในใจไหม สนใจความรู้สึกของผมคนเดียวไม่ดีกว่าเหรอ แล้วปัญหาของเราคืออะไร...’ 

      ‘เกลล์รักคุณอเสสซานโดร รักมากแล้วก็หวงมากขอให้เชื่อ รักเพราะคุณเป็นคุณขอให้เชื่อเถอะนะ...’  แม่ตอบป๋าไปทันที ก่อนที่จะเงียบกันทั้งสองฝ่าย ความรักฉายชัดออกมาจากดวงตาของเราทั้งคู่ ป๋าเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนเขาเปิดเปลือยทุกความรู้สึกกับแม่

       ‘ถ้าเรื่องลูกมันไม่ใช่จุดแตกหักของชีวิตครอบครัวๆ หรอกนะเกริดา ลองคิดในมุมกลับกันชายหญิงที่สังคมยอมรับว่าเป็นคู่ที่ถูกต้องธรรมเนียมประเพณีก็ใช่ว่าเขาจะมีลูกเสมอไป อีกฝ่ายอาจจะเป็นหมันหรือเหตุอื่นใดก็ตามแต่ทำให้เขาไม่มีลูกเขาก็อยู่กันได้ ใช่ว่าชายหญิงที่แต่งงานกันทุกคนจะต้องมีลูก หนำซ้ำบางคู่อาจจะอยู่กันไม่ยืดหย่าร้างกันภายในเวลาไม่กี่ปีที่แต่งงาน แล้วอะไรคือปัญหา ทำไมต้องเอาความรู้สึกของคนอื่นที่ไม่ได้อยู่กับเรามาเป็นบรรทัดฐานกับชีวิตของเรา ทำไมไม่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนที่อยู่กับเรา..’

      เท่านั้นแหละเกลล์ร้องไห้โฮทำนบน้ำตาพังทลายเสียใจที่ทำตัวหมางเมินขอเลิกโดยไม่มีเหตุผล ทำให้เราทั้งคู่ต้องห่างกันตั้งหลายวัน อเสสซานโดรกอดกระชับร่างที่สั่นเทาของภรรยาแน่นขึ้น มือหนาลูบแผ่นหลังบางปลอบประโลมกระซิบบอกรักเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยน

       ‘ความรักที่ผมให้เกลล์คนเดียวมันไม่พอเหรอหึ ทำไมต้องคิดอะไรมากมาย ไม่มีก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะรักเกลล์น้อยลงเลย...หยุดสำออยได้แล้วน่า ไม่ชอบเลยน้ำตานี่ให้ตายเถอะ!!’ 

      'ขอโทษ เกลล์ขอโทษ...ฮือออ. จะไม่คิดมากอีกแล้ว'

      ‘ชู่ว์ Querida…ที่รัก เงียบน่า’


       อเลสซานโดรกอดกระชับเกลล์แน่นขึ้น มือหนาลูบปลอบแผ่นหลังบางอยู่เกือบสิบนาที แรงสะอื้นค่อยเบาบางมือเรียวยกขึ้นไล้เช็ดน้ำตาป่อยๆ  เกลล์รู้ถ้าเป็นคนอื่นคนตัวโตคงจะเมินเฉยและเดินหนีไปนานแล้ว  แต่ที่ยังกอดเอาอกแกร่งให้เช็ดน้ำตาได้นี่คือรักมากหวงมาก คนนี้เลยยอมให้เสียทุกอย่างก็บอกแล้วจะไม่ให้คนนี้เสียใจ 

       ‘อเลสซานโดรเกลียดพวกล้ำเส้นเจ้าน้ำตาพิรี้พิไร แม้แต่ตอนที่กำลังนัวเนียถึงพริกถึงขิงแล้วทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ อเลสซานโดรถอนตัวเขี่ยทิ้งทันทีไม่สนด้วยกำลังทำอะไรกันอยู่พวกคู่ควงคู่ขารู้ซึ้งกันดี’

       ขณะที่เล่าแม่ยิ้มกว้างเต็มหน้า นัยน์ตาหวานเฟ้อฟันเหม่อลอยถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของทั้งคู่ น้ำนิ่งอดที่จะยิ้มตามไม่ได้คิดถึงตอนที่ตัวเองตกหลุมรักภูมิครั้งแล้วครั้งเล่ามันก็คงจะแบบเดียวกัน  เกลล์เปิดอัลบั้มหน้าถัดไปเป็นรูปที่เกลล์นอนหนุนตักป๋ามือของทั้งคู่สอดประสานกันวางอยู่บนหน้าอกของเกลล์ มือแกร่งอีกข้างลูบปัดผมที่ระหน้าฝากให้  แสงแดดยามเช้าทอลำแสงสีทองอ่อนผ่านรอยแยกของผ้าม่านบางเบาที่พลิ้วไหวตามแรงลมอาบไล้ทั้งคู่ดูอบอุ่นอ่อนโยน ป๋าก้มหน้าลงเหมือนพูดอะไรสักอย่างกับคนที่นอนหนุนตัก เกลล์เงยหน้าขึ้นมองความรักเอ่อล้นจากสายตาที่สบกัน

      ‘ ฟังนะเกริดาผมยอมรับในจุดนี้มาตั้งแต่ตอนที่รู้ตัวว่าตกหลุมรักเกลล์แล้ว ลูกไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับผมขอแค่ข้างๆ มีเกลล์ แค่นั้นจริงๆ ที่ผมมองไม่ใช่ว่าอยากจะได้ก็แค่มองดูเฉยๆ ไม่ได้ร้อนรนหรือรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เข้าใจรึยังละฮึม ‘  นั่นเป็นคำพูดยืนยันหนักแน่นของอเสสซานโดร

       เมย์เป็นคนถ่ายรูปนี้ตอนแรกที่เห็นน้องคิดว่ามันเป็นภาพที่อาบทอไปด้วยความอบอุ่น ความรักที่อบอวลอยู่ทั่วห้อง แต่ฟังไปฟังมากลายเป็นว่าเรากำลังทะเลาะและปรับความเข้าใจกันพอดี แม่น้องสาวรับทราบถึงปัญหาระหองระแหงของเราสองคน น้องไม่พูดพล่ามทำเพลงเธอชี้หน้าเราสองคน

       ‘ไม่รู้ว่าพี่สองคนจะมีน้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ทำไม เรื่องมีลูกไม่เห็นจะต้องคิดมาก เกลล์ก็ท้องเองเลยสิไม่เห็นจะยาก’ เธอว่าอย่างนั้นแล้วก็หันไปหาป๋าทำหน้าทะเล้นที่แต่แววตาจริงจัง

       ‘ป๋าเมย์ขอน้ำเชื้อหน่อยได้มะ อย่าปฏิเสธว่าไม่กับน้องนะรู้หรอกตอนนี้คงเยอะน่าดูเลยสิไม่ได้ยิงประตูมานานแล้วนี่’ ป๋าทำหน้าจะขำก็ไม่ขำจะโกธรก็ไม่โกธรหันมองแม่

       ‘เฮ้ย!! ลามกนะเรา แล้วจะเอาไปทำไม’  แม่ร้องถามเมย์แม่ตัวแสบหัวเราะร่วนก่อนจะไขข้อข้องใจพี่ชายทั้งสอง 

       ‘ฮั่นแน่ หน้าแบบนี้ป๋าก็คิดอยู่ป๊ะ ไม่ต้องเลย ถามคำเดียวอยากได้รึเปล่าลูกนะ’ เราทั้งคู่มองสบตากันไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

       ‘เอาเหอะน่าไม่ต้องคิดมาก เอาสเปิร์มมาเลยแล้วกัน แลกกับไข่ที่ดีที่สุดยื่นหมูยื่นแมว’

      ‘แล้วจะเอาไปทำไม แล้วเกลล์จะท้องได้ไง เค้าเป็นผู้ชายนะตัวก็รู้’ 

      ‘คืองี้นะเกลล์ของเค้า เมย์คนสวยก็จะเอาสเปิร์มของป๋ากับไข่ที่ดีที่สุดของเมย์คนสวยมาผสมเทียมทำเด็กหลอดแก้ว เมื่อเกิดการปฏิสนธิเมย์คนสวยก็จะเอาตัวอ่อนไปฝังในท้องของเกลล์ที่รักไงแบบนี้เกลล์ของเค้าก็ท้องและมีลูกได้แล้ว’

      ‘มันอันตรายไม่ใช่เหรอเมย์ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะเปอร์เซ็นต์ที่จะสำเร็จน้อยมาก ป๋าไม่อยากจะเสี่ยงกับชีวิตของเกลล์ ถ้าเกลล์เป็นอะไรไปป๋าคงจะแบกรับไม่ไหว ขอย้ำเลยนะลูกไม่ได้สำคัญเท่ากับเกลล์เลยนะ เมย์เข้าใจป๋าใช่ไหม’ 

      ‘เมย์รับรองว่ามันจะสำเร็จ ป๋าเชื่อใจเมย์รึเปล่า’

      ‘ป๋าเชื่อ แต่เมย์จำที่ป๋าบอกตอนแรกก่อนที่จะขอคบกับเกลล์ได้ไหม ป๋าขอยืนยันอีกครั้งว่า ชีวิตป๋าขอแค่เกลล์อยู่ข้างๆ  อะไรอื่นก็ไม่สำคัญแล้ว ป๋าไม่อยากจะเสี่ยงนะเมย์ เห็นใจป๋าบ้างไม่อยากสูญเสียอะไรอีกแล้ว’



      น้องสาวที่น่ารักของเกลล์เธอทรุดนั่งลงอย่างอ่อนแรงแทบเท้าเอาหน้าซบลงกับตักของแม่ มือเรียวเล็กซีดเย็นของเมย์กุมที่มือแม่แน่นจนรู้สึกถึงความเปียกชื้นตรงตัก ความเงียบเข้าครอบงำทั่วบริเวณต่างคนต่างจ่อมจมอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเอง

.

.

.

.

      ‘เกลล์...’  เสียงเรียกแผ่วเบาดังขึ้นมาจากตัก  แล้วก็เงียบไปนาน

       ‘เค้ากำลังจะตาย’ 

      ‘ตะ..ตัวพูดอะไร นี่ไม่ใช่เรื่องจะพูดเล่นนะ เค้าไม่ยอม’

      ‘เวลาที่เหลือมันแทบจะไม่พอแล้ว...ตัวรู้ไหมเค้ายังไม่ได้ทำอะไรตั้งหลายอย่าง...’ 


      ไหล่เล็กดูบอบบางลงเมื่อมันสั่นเทาตามแรงสะอื้น  ความเปียกชื้นตรงตักขยายวงกว้างขึ้น เกลล์เพิ่งสังเกตตอนนั้นเองว่ามือเรียวของน้องสาวมันเล็กและผ่ายผอมแทบจะเหมือนหนังหุ้มกระดูก หน้าตาถึงแสร้งทำให้ดูสดใสแต่ก็ซูบผอมไร้แววของความสุข

      ‘มะเร็งกระดูกระยะสุดท้าย โอกาสมันปิดตายสำหรับเค้าแล้ว แต่ของตัวยังมีอยู่..’

      เสียงเธอแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยิน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากตัก ใบหน้าสวยหวานเปรอะเปื้อนอาบไล้ด้วยคราบน้ำตา  สายตาเว้าวอนคลอคลองไปด้วยน้ำตาวาวใสที่เตรียมหยด ริมฝีปากบางลั่นระริกกลั้นก้อนสะอื้น เกลล์เอื้อมมือทั้งสองไปประคองหน้าซูบผอมของน้องสาวนิ้วเกลี่ยเช็ดน้ำตาออกจากแก้มนิ่ม น้องสาวที่น่ารักของเขาซูบผอมเหลือเกิน น้องทรมานกับความเจ็บปวดเพียงคนเดียวมานานเท่าไรกัน เกลล์ไม่เคยรับรู้ถึงความเป็นไปของน้อง ละเลยที่จะเหลียวหลังไปดูน้องสาวที่น่ารักคนนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน  ลืมได้อย่างไรกัน เมย์เอื้อมมือขึ้นมาเช็ดเกลี่ยแก้มของคนเป็นพี่ นั่นจึงทำให้เกลล์รู้ว่าตัวเองร้องไห้อยู่

      ‘อย่าร้องไห้ อย่าเสียใจเพียงเพราะคิดว่าตัวละเลยเค้าๆ ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้นเอง เกลล์ของเค้าเหมาะกับใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มเท่านั้นรู้ไหม อย่าเสียน้ำตาเพื่อเค้าอีกเลยนะ มันไม่เจ็บปวดอะไรเลย เค้าเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันมาหลายปี อย่าร้องไห้จนทำให้เค้าห่วง เค้าไม่อยากจะนอนหลับโดยที่ยังห่วง ขอร้องนะอย่าทำ..’

      พี่น้องมองหน้ากันเนิ่นนานดังจะบันทึกทุกรายละเอียดของกันและกันไว้ เมย์ซบหน้าลงกับตักเกลล์เหมือนเดิม เกลล์หันไปสบตาคนข้างตัวด้วยความอ้ำอึ้งระคนร้าวรานเศร้าสร้อย มือเรียวของคนเป็นพี่ยกขึ้นลูบผมยาวสลวยของน้องสาวเบาๆ  คนตัวโตเลื่อนมือมากุมกระชับมืออีกข้างของเกลล์ส่งผ่านความรักและกำลังใจทั้งหมดให้แก่กัน  ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งสามอีกครา เกลล์คิดว่าน้องสาวคงจะหลับไปแต่ไม่ใช่เมย์เงยหน้าขึ้นจากตักหน้าตาเหนื่อยอ่อน แต่แววตาทอประกายของความมุ่งมั่นและกำลังใจเต็มเปี่ยม

      ‘ได้โปรดเถอะนะขอร้อง เค้าแค่อยากจะให้สิ่งนี้แทนความรักทั้งหมดที่เค้ามีกับพี่ชายที่เค้ารักทั้งสองคนได้ไหม นะครั้งสุดท้าย แล้วเค้าจะไม่ขออะไรอีกเลย...’

      ‘ได้ไหมซานโดร...นะครับ’  เกลล์หันไปหาอเสสซานโดรหลุดเสียงสั่นเครือขออนุญาตทำสิ่งสุดท้ายให้น้อง สายตาเว้าวอนที่ส่งมาให้ ป๋ารู้เกลล์รักน้องแค่ไหน อยากจะทำเพื่อน้องเป็นครั้งสุดท้าย ป๋าเองก็ไม่ต่างจากเกลล์ เขารักเมย์ดั่งน้องสาวของตัวเอง แล้วป๋าจะขัดใจคนที่ป๋ารักที่สุดได้ยังไง

      ‘ป๋าเชื่อใจเมย์ได้ใช่ไหม’

      ‘ขอแค่ป๋าเชื่อ’

      เมย์ยิ้มกว้างทั้งน้ำตา แขนเล็กโผเข้าโอบกอดเราทั้งคู่ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความดีใจอยู่กับอกเราจนหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน..อเลสซานโดรอุ้มน้องไปนอนในห้อง เราทั้งคู่นั่งมองน้องอยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมงจนน้องสาวเราตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนเที่ยงครึ่ง เธอบ่นหิวข้าวจนแสบท้อง อเลสซานโดรเข้าครัวทำของชอบของน้องด้วยตัวเอง.. มือเรียวของเกลล์ลูบไปบนภาพของน้องสาวสายตามองดูคนในภาพด้วยความรักและอาลัยอาวรณ์


      “ขอโทษฮะ นิ่งไม่น่าถามเรื่องนี้”  น้ำนิ่งเอ่ยคำขอโทษด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาระคนเสียใจ สีหน้าเศร้าเฝ้าโทษตัวเองไม่น่าจะอยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมาเลย ขยับเข้าไปกอดเอวเกลล์อิงหัวทุยตัวเองไปกับไหล่บางของเกลล์ๆ ยกมือขึ้นโอบไหล่น้ำนิ่งลูบมือไปมากับไหล่บางราวปลอบเด็ก

      “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร เมย์ไม่ได้ไปไหนซะหน่อยเขาก็ยังอยู่กับพวกเราเสมอ เมย์เขาอธิบายหลักการท้องให้ฟังคร่าวๆ ว่ามันคล้ายกับการ in-vitro fertilization ในผู้หญิง เป็นการนำไข่มาผสมกับสเปิร์มในหลอดแก้ว แล้วเอาตัวอ่อนฝังในช่องท้องหรือที่เรียกว่า  Abdominal pregnancy จริงๆ มันก็คือการตั้งครรภ์นอกมดลูกนั่นแหละ มันเสี่ยงต่อชีวิตมากโอกาสที่สำเร็จแทบจะเป็นศูนย์ แต่เราก็ยังเสี่ยงนั่นเพราะเรารักน้อง

      กว่าแม่จะได้รับการฝังตัวอ่อนนะเมย์ให้แม่กินฮอร์โมนเพศหญิงอยู่นานเกือบปีเลย เพื่อปรับสมดุลและเตรียมความพร้อมของร่างกาย  (หน้าอกกระเปลาะเล็กๆ นั่นมาจากการกินฮอร์โมนของเกลล์นี่เองคำตอบตรงนี้คลายปมในใจน้ำนิ่งได้ซะที)  ด้วยความตั้งใจและอยากจะให้เด็กเป็นตัวแทนความรักทั้งหมด แม่น้องสาวเฝ้าเก็บไข่และคัดเลือกสเปิร์มตัวที่แข็งแรงที่สุดสมบูรณ์ที่สุดจนพอใจ แล้วจึงเอาไข่ผสมกับอสุจิในหลอดแก้ว จนเกิดการปฏิสนธิ แล้วจึงคัดแยกยีนส์ด้อยออกให้เหลือยีนส์เด่น

       เมื่อเห็นว่าแม่พร้อมเธอจึงเอาตัวอ่อนมาฝังในท้อง ตอนอายุครรภ์ได้ 20 สัปดาห์ เมย์หน้าเสียบอกไม่ดีเลยเพราะไม่มีมดลูกรกที่เป็นตัวแลกเปลี่ยนอาหาร ออกซิเจน มันไม่ได้ยึดตัวเข้าเฉพาะในตับ ไต เท่านั้นแต่มันยึดตัวเข้าไปม้ามบางส่วนด้วย  เป็นภาวะที่อันตรายยิ่งอายุครรภ์มากยิ่งเสี่ยงต่อภาวะตกเลือด แต่เมย์ยืนยันกับป๋าว่าควบคุมได้ไม่ต้องห่วง...ระหว่างนี้แม่น้องสาวทรุดหนักต้องนอนโรงพยาบาลเกือบสองสัปดาห์ แต่เธอก็มีแรงฮึดสู้ รักษาตัวเองจนลุกขึ้นมาได้อีกครั้งเฝ้าทะนุถนอมดูแลการตั้งครรภ์ของแม่อย่างใกล้ชิด

      โชคไม่ค่อยเข้าข้างเรานัก ตอนอายุครรภ์สักประมาณ 34 จะ 35 สัปดาห์ แม่เกิดอาการปวดท้องรุนแรงและตกเลือดในช่องท้อง ถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัดเร่งด่วน เมย์บอกว่าป๋าแทบคลั่งมือนี่ชื้นเหงื่อกุมมือเย็นชืดของแม่ตลอดเวลาที่อยู่ในห้องผ่าตัดนั่น  สัญญาเด็ดขาดจะไม่ให้แม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว เขาร้องพร่ำวอนหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มอบปาฏิหาริย์ไม่ขาดปาก เหมือนพระเจ้าจะเห็นใจเรา เมย์และคณะแพทย์สามารถผ่าตัดเอารกออกได้สำเร็จช่วยชีวิตเราทั้งคู่ไว้ได้ แต่แม่ก็ไม่สามารถที่จะมีลูกเองได้อีกแล้ว....”  แม่หยุดพูดหลับตาลงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นหลายนาที  น้ำนิ่งยื่นมือของตัวเองไปกอบกุมมือของแม่ๆ ลืมตาขึ้นเลื่อนมืออีกข้างมาวางทับมือของน้ำนิ่งที่กุมอยู่ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ก่อนที่จะบอกเล่าเรื่องราวต่อ

      “หลังผ่าตัดแม่สำเร็จแม่น้องสาวมีสีหน้าเหนื่อยอ่อน หน้าสวยไร้สีเลือดซีดขาวราวกระดาษ น้องประคองตัวเองแทบจะไม่ไหวนัยน์ตาสวยหวานมองดูเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังที่ตัวเองเฝ้าฟูมฟักด้วยความรักจนแตกตัวเป็นสิ่งที่สวยงามสมบูรณ์อยู่ตรงหน้าด้วยความภาคภูมิใจ  ก่อนที่สติของเมย์จะดับวูบไปในอ้อมแขนของป๋า เธอเรียกเด็กน้อยของเธอว่า  “ราฟาเอล”

       เธอนอนป่วยไม่ได้สติอยู่ในโรงพยาบาลนานกว่าสามสัปดาห์ แต่วันหนึ่งเธอกลับฟื้นและมีอาการดีขึ้นราวกับไม่ได้เป็นอะไรเลยเมื่อเข้าสัปดาห์ที่สี่เราเอาน้องมาพักกับเราที่บ้าน

.

.

.

       วันเวลาผ่านไปสิ่งที่เราไม่อยากจะพบเจอมันจะมาเร็วเสมอ วาระสุดท้ายของชีวิต เมย์เธอเลี้ยงดูและเฝ้ามองเด็กน้อยที่ตั้งใจมอบให้เราด้วยสายตารักใคร่และภาคภูมิใจในสิ่งสวยงามครั้งสุดท้ายในชีวิตของเธอ  เมย์จากเราไปอย่างสงบในวันที่ราฟาเอลอายุได้สามเดือน...

       เราไม่ร้องไห้ฟูมฟายเพราะน้องไม่ชอบ งานศพของน้องเป็นเสมือนงานพบปะสังสรรค์ของเพื่อนที่รักเธอ ไม่มีความความเศร้า ไม่มีหยาดน้ำตา ไม่มีใครสักคนที่แต่งสีดำ ทุกคนแต่งสวยแข่งกันราวกับงานแฟชั่นวีคกันเลยทีเดียว  เสียงเพลงป๊อบร๊อคที่เมย์และก๊วนเพื่อนชอบดังกระหึ่มตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายที่เราโปรยเถ้ากระดูกของเธอ เมย์อยู่ในใจพวกเราเสมอ...."  แม่ยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้น้ำนิ่ง คนร่างบางขยับตัวเข้าไปหายกแขนเรียวเล็กขึ้นโอบกอดแม่ไว้

      “น้ำเสียใจ...”

      “ไม่เป็นไรจ๊ะ ก็อย่างที่บอกเรื่องมันผ่านมานานแล้ว เมย์ยังอยู่กับเราเสมอ...ตรงนี้”  เกลล์ตอบเสียงนุ่ม แย้มยิ้มส่งมาให้มือเรียววางทาบที่อกซ้ายของตัวเอง


            “แต่ว่าทำไมในเมื่อภูมิเป็นลูกบ้านนี้แล้วภูมิไปอยู่ที่เรือนชิดชลได้ยังไงละฮะ” เราทั้งคู่ต่างอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเองอยู่นานกว่าที่น้ำนิ่งจะถามออกไป

      “มันก็มีเหตุขัดข้องหลายอย่างน่ะนะ  แม่ขอทำความเข้าใจกับเราสักนิดว่าธุรกิจของป๋ามันไม่ขาวหรือดำชัดเจนมันเป็นสีเทาซะส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่มีส่วนไหนของธุรกิจเรายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมายเลยแต่ถึงจะอย่างนั้นเราก็มีอำนาจต่อรองทั้งรัฐบาลและกลุ่มผลประโยชน์ได้เสมอ กว่าจะมาถึงวันนี้ได้เราสู้กันมาด้วยตัวเองไม่เกี่ยวกับตระกูลต้องฟันฝ่าหลายอย่างศัตรูเพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลาที่ผ่านมา

       เรื่องมันเกิดตอนราล์ฟอายุ 1 ขวบ เราเดินทางมาที่ไทยเรากำลังจะบินต่อไปยังประเทศข้างเคียงเพื่อเจรจาเรื่องสัมปทานไม้และก๊าซธรรมชาติ แล้วก็ดูที่ทางขยายสาขาโรงแรมและคาสิโน่แถบชายแดนภาคเหนือด้วย  ก่อนเดินทางมานี่เรามีเรื่องขัดผลประโยชน์สัมปทานขุดเจาะก๊าซธรรมชาติกับ KAB ของวัลโด้  และ ACE ของไต้หย่งผู่ ทั้งสองกลุ่มเป็นพันธมิตรกันอยู่ คนของวัลโด้ตามมาถึงที่นี่แล้วลักพาตัวราล์ฟเพื่อต่อรอง เอ็ดมันซ์พ่อของอันเดรียช่วยราล์ฟออกมาได้แต่ฝั่งนั้นก็ตามติดอย่างไม่ลดละ เอ็ดมันซ์รู้ดีว่าคงจะหนีไม่รอดระหว่างที่สลัดคนร้ายหลุดช่วงหนึ่งเขาเลยเอาตัวราล์ฟไปซ่อนไว้ตรงที่คุณเหมือนวาดเจอนั่นแหละ เมื่อเห็นว่าเด็กปลอดภัยเขาก็หนีต่อ แต่ก็ไม่รอดเขาถูกฆ่าอย่างทารุณในวันต่อมา   

       เราตามหาราล์ฟอยู่หลายปีจนเกือบจะหมดหวังอยู่แล้ว โชคและปาฏิหารย์มันวนกลับมาหาเราอีกครั้ง เมื่อคุณเหมือนวาดเอาตัวราล์ฟไปวัดประเมินระดับสติปัญญาที่สถาบันพัฒนาศักยภาพการใช้สมอง ซึ่งอยู่ในความอุปถัมภ์ของมูลนิธิเมย์ฟราย ซึ่งเราตั้งขึ้นเพื่ออุทิศให้เมย์นะน่ะ ก็หลายปีเหมือนกันกว่าทางสถาบันฯ จะสงสัยว่าเป็นเด็กที่พวกเราตามหาแล้วส่งประวัติคร่าวๆ พร้อมผลการประเมินมาให้เราดูแล้วมันก็บิงโก 14 ปีกับตามหาลูกสิ้นสุดกันซะที 

       เราเดินทางมาพบคุณเหมือนวาดเพื่อยืนยันว่าราล์ฟเป็นลูกของเราที่หายไป ตอนแรกท่านก็ลังเลไม่เชื่อว่าเราเป็นพ่อแม่ของราล์ฟจริงๆ เลยให้ตรวจดีเอ็นเอผลปรากฏเป็นลูกจริง คุณเหมือนวาดไม่ขัดข้องหากเราจะนำราล์ฟกลับบ้าน  ตอนนั้นราล์ฟเขาดูแลน้ำอยู่  ป๋ากับแม่ตกลงขอรับหนูเป็นลูกอีกคนจะเอาหนูมากับเราด้วย แต่ราล์ฟเสียงแข็งเลยว่า เขายอมให้ป๋ากับแม่รับหนูเป็นลูกบุญธรรมได้ แต่เขาจะไม่กลับบ้านกับพวกเราเขาจะอยู่ที่นี่ดูแลน้ำเอง “ของของเขาเขาดูแลได้”  ตาดุคมกับคำพูดแข็งกร้าววันนั้นที่แม่จำได้ดีทีเดียว เด็กอะไรก็ไม่รู้ช่างเย่อหยิ่ง เด็ดเดี่ยว เชื่อมั่นในตัวเองไม่มีใครเกิน ยีนส์พ่อเขาเต็มๆ ไม่มีผิดเพี้ยน”

       น้ำนิ่งโน้มตัวเข้าไปโอบกอดเกลล์แทนคำขอโทษ นัยน์ตาสวยหวานบ่งบอกว่าเศร้าเสียใจแค่ไหนเพราะคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้ครอบครัวต้องพลัดพลาด เกลล์ยกมือขึ้นประคองใบหน้าสวยหวานของเด็กตรงหน้านิ้วโป้งเกลี่ยไล้แก้มนิ่มเบาๆ อย่างปลอบโยนไม่ให้คิดมาก

      “ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร เรื่องมันนานแล้ว ไม่คิดมากนะ ป๋าเขาไม่บังคับนะก็ให้อิสระและเคารพการตัดสินใจของลูกอยู่แล้ว  ความสุขของลูกๆ สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ลูกมีความสุขกับสิ่งที่เขาเลือกป๋ากับแม่ก็มีความสุขนะ อีกอย่างราล์ฟเขาเข้าใจสถานการณ์ดีเรามีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มค่อนข้างรุนแรง ลอบฆ่ากัน  ไม่เว้นแต่ละวัน ป๋าเองก็ไม่อยากจะเสี่ยงกับความสูญเสีย จึงให้พวกหนูอยู่กันที่นี่”  เกลล์เอ่ยยิ้มๆ ให้น้ำนิ่งสบายใจว่าไม่ใช่สาเหตุให้ครอบครัวแตกแยกแต่อย่างใด









มีต่อข้างล่างตัวอักษรเกิ๊น :a5:

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.17_เรื่องเล่าคั่นเวลาจากแม่ปั๋ว_P.5 อัพเดต 14-11-15 15.49.51
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 14-11-2015 15:51:43
[ต่อ]





      “เฮ้อ!! รักแม่จัง ดีใจที่น้ำก็มีแม่เหมือนคนอื่นๆ ”  เกลล์ชะโงกหน้าไปหอมแก้มลูกชายคนเล็ก ก่อนจะผละออกมาส่งยิ้มหวานกลับไป คิ้วเรียวยกขึ้นเป็นเชิงถามอย่างรู้ทัน

      “อ้อนนี่จะเอาอะไรละครับ” 

      “ไม่มีอะไรซักหน่อย ก็น้ำรักแม่นี่ฮะ”  น้ำนิ่งเอาหัวทุยถูไปมาตามหน้าอก แขนเรียวเล็กโอบไปรอบตัวคนเป็นแม่อย่างอ้อนๆ

      “เรานี่น่า บอกมาจะเอาอะไรหึม” เกลล์ยกมือขึ้นบีบจมูกของน้ำนิ่งบิดไปมาด้วยความรัก คนตัวเล็กยกยิ้มน่ารัก แต่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป

      “เอ..รึแม่จะบอกป๋าให้ราล์ฟดูแลงานที่ไทยดีไหมคนสวย”

      “….”   น้ำนิ่งไม่ตอบแต่ยกยิ้มพอใจกับอกของเกลล์   “ว่าไงตกลงรึเปล่า”

      “หนูแล้วแต่แม่ฮะ”

      “ฮือ ฉลาดตอบ เดี๋ยวแม่จัดการให้แล้วกันนะ”

      “ขอบคุณฮะ รักแม่ที่สุดเลย” 

      “แม่ก็รักน้ำนะ อย่าคิดว่าไม่มีใครอีก เราเป็นครอบครัวเดียวกันมันเป็นแบบนี้มาตลอด”

      “ฮะแม่”  แขนเรียวเล็กกอดกระชับแม่แน่นขึ้น

      “น้ำรู้สึกได้นะป๋ารักแม่เกลล์เหลือเกิน น้ำแอบเห็นสายตาที่ป๋ามองแม่แล้วเขินจัง มันจะต้องมีเรื่องเล่าดีๆ แน่เลยเล่าให้ฟังได้ไหมฮะ”  น้ำนิ่งทำหน้าเขินกับการแสดงออกของป๋าที่มีต่อแม่ทั้งคู่ดูจะตกหลุมรักกันอยู่ตลอดเวลาเลยเชียว

      “เรานี่น้า เอาจริงเหรอ”

      “นะฮะ..”

       “เอ้าก็ได้ จริงๆ แม่กับป๋าเราไม่ได้รักกันมาก่อนหรอกนะ แม่ออกจะเกลียดป๋าเข้ากระดูกดำ ผู้ชายอะไรเจ้าชู้ขอแค่ลูบแล้วไม่มีหางคุณชายเขาฟันเรียบ  เสือผู้หญิงตัวยงวันหนึ่งควงหญิงหลายคนไม่ซ้ำหน้าเลยล่ะ ผู้ชายแบบอเลสซานโดรไม่ใช่ผู้ชายในสเปคและไม่เคยจะเป็นด้วย ผู้ชายเจ้าชู้แบบนี้แม่ขอลาขาดเลยเกลียดที่สุดในชีวิต เอาจริงๆ ก่อนที่จะตกลงคบกับป๋าแม่มีแฟนมาหลายคนแต่ก็คบทีละคนนะ แล้วก็ไม่ชอบแบ่งปันของของตัวเองกับใครด้วย

       ป๋าเราน่ะเข้ามาจีบแม่ผ่านแม่น้องสาวแต่ระหว่างที่ขอจีบไม่เคยคุยกับแม่เลยสักทีนะ ป๋าสนิทกับยายน้องมากกว่าหัวร่อต่อกระซิกราวกับคู่รักหวานแหวว  แต่กลับส่งสายตาว่าอยากจะได้แม่เหลือเกินมาให้ แทนที่สายตานั้นจะมองแต่แม่น้องสาวเท่านั้น จะให้คิดยังไงถ้าไม่หวังฟันทั้งพี่ทั้งน้อง อะไรวะนิสัยแบบนี้มันจะเกินไปแล้วแม้แต่เกย์คุณชายแกยังไม่เว้นทำแบบนี้ได้ไง..ก็เอาสิออกฤทธิ์ออกเดชเต็มที่ เกลียดผู้ชายเจ้าชู้ไง ถ้าแม่น้องสาวได้ผู้ชายคนนี้ไปมีหวังชีช้ำ น้ำตาเช็ดหัวเข่าไม่มีความสุขตลอดชีวิตเป็นแน่

      แม่ทำทุกวิถีทางเพื่อเปิดเผยธาตุแท้ของคุณชายให้เมย์ได้รับรู้ บางครั้งรุนแรงจนเจ็บตัวได้เลือด แต่เขาก็ไม่เคยโกธรหรือโมโหเลยนะที่ทำกับเขาขนาดนั้น  จนแม่น้องสาวเราเองแหละทนเห็นคุณชายเจ็บตัวไม่ไหว โพล่งออกมาว่า

       ‘อเลสซานโดรเขามาขออนุญาตจีบตัวกับเค้าต่างหากเล่า ถ้าตัวพอจะสังเกตเห็นก็จะรู้ว่าอเลสซานโดรรักตัวแทบคลั่งรู้ตัวซะบ้างเลิกทำแบบนี้ซะที’ 

       เราก็อึ้งค้างงงเป็นไก่ตาแตกเลยสิ แต่หน้ายังเชิดถือดีท้าทายเพราะคิดไงคนบริโภคเซ็กซ์แทนข้าวแบบนี้คงจะหยุดอยู่ที่คนๆ เดียวไม่ได้ แล้วที่สำคัญเราเป็นเกย์ เขาไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อนไงจะให้คิดไง อยากลองของแปลกเหรอ แม่ไม่ยอมรับหรอก” แม่หัวเราะเสียงใสเมื่อพูดถึงตรงนี้

      ‘ถ้าเลิกเจ้าชู้ เลิกคบกับผู้หญิงทั้งหมดได้เด็ดขาดอยู่กับผมเพียงคนเดียว ผมก็จะคิดดูอีกครั้ง เหอะ!!ผมไม่หวังว่าคนอย่างคุณจะทำได้’  จำได้ว่าวันนั้นปากดีท้าทายไปแบบนี้แหละ

      ‘พูดแล้วนะ จำไว้ด้วยแล้วจะมาทวงสัญญา’

      “คุณชายพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วอเลสซานโดรก็ไม่เคยโผล่หน้ามาที่บ้านอีกเลยหายไปราวคลื่นกระทบฝั่ง ความรู้สึกตอนนั้นคือ  ‘แค่นั้นเอง’   ยิ้มหยันๆ สมเพทตัวเองชะมัด”

       แม่น้องสาวตัวแสบก็ใช่ย่อยพูดกรอกหูอยู่ได้ทุกวันว่าป๋ารักเกลล์อย่างนั้นอย่างนี้ แม่ก็ไม่มีตอบรับหรือปฏิเสธอะไร ทำหน้าระรื่นไปตามปกติทั้งที่เริ่มใจเสียนิดๆ จนวันหนึ่งแม่น้องสาวเขายืนคำขาดเลย

       ‘อเลสซานโดรรักตัวมานานแล้ว  ถ้าไม่ใช่คนนี้ก็ไม่ต้องพามาแนะนำนะอีกแล้วนะ แต่ละคนที่ผ่านมาน่ะไม่สลัมบอมเบย์ก็พวกนนนี่ทั้งนั้น มันมาคบก็แค่หวังฟัน ตัวทุ่มเทให้พวกมันแค่ไม่ยอมให้ฟันมันก็ทิ้งไปง่ายๆ

       แล้วจำความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายจากไอ้ชั่วมิกุเอลได้ใช่ไหม ตัวรักมันมากจนยอมเสียครั้งแรกให้มัน ปรนเปรอมันทุกอย่าง เพราะคิดว่ามันจะจริงจังด้วยแล้วเป็นไงทั้งลูกทั้งเมียมาร้องไห้อ้อนวอนขอผัวคืน ถูกมันทำร้ายทั้งตัวทั้งหัวใจแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่ตั้งหลายเดือน  อย่า..ไม่ต้องเถียงเค้า!! เอาคนนี้แหละดีที่สุดแล้ว ถ้าป๋ากลับมาหาก็ไม่ต้องเล่นตัวเข้าใจรึเปล่ารับปากเค้ามาเลยเดี๋ยวนี้! จะได้ไม่ต้องห่วงมากเข้าใจนะ’ 


       ‘ก็ไม่รู้สิ อย่างที่ตัวว่าเค้าไม่อยากจะคิดอะไรไปเองอีกแล้ว เอาไว้ถ้าคนนั้นกลับมาก่อนแล้วกัน ไม่อยากจะเชื่อน้ำยาคนแบบนั้น ใครจะมารักคนแบบเค้าจริง ก็คงจะเหมือนที่ผ่านๆ มาเค้าไม่อยากจะเจ็บอีกแล้วตัวเข้าใจเค้าใช่ไหม’

      ‘ก็แล้วแต่ตัวเองแล้วกันเค้าอยากจะให้ตัวมีความสุขกับคนที่ใช่ แล้วกว่าจะเจอมันผ่านเข้ามาไม่บ่อยนะ’

           ‘เอาไว้ถึงตอนนั้นเค้าอาจจะรู้ก็ได้’




      “หลังจากที่ป๋าหายไปเดือนกว่าๆ มีข่าวซุบซิบหนาหูจากวงไฮโซถึงงานหมั้นของป๋ากับคุณหนูลูกสาวนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใหญ่  เพื่อตอกย้ำว่าข่าวนั้นเป็นความจริงว่าที่คู่หมั้นแสนดีของคุณชายแล่นมาออกงิ้วฟาดหน้าแม่อย่างแรงประกาศความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอเลสซานโดร  แม่ก็ไม่ได้ตอบโต้หรอกเพราะงงว่าอะไรแล้วอีกอย่างเขาเป็นผู้หญิง แต่แม่น้องสาวสวนกลับทันควันด้วยกำปั้นที่ปากกึ่งจมูก เธอกรี๊ดลั่นกำลังจะกระโจนเข้ามาใส่เราพร้อมกับบอดี้การ์ดของเธอ อเลสซานโดรเข้ามาทันเวลาดึงลากเจ้าหล่อนกลับบ้านไป

       ความรู้สึกตอนนั้นก็แค่ยิ้มหยันมันน่าสมเพทตัวเอง หวังอะไรอยู่วะเกลล์ ความรักของผู้ชายแท้กับเกย์มันไม่มีอยู่จริงหรอกวะ ตัดใจซะเถอะไอ้เกลล์ตอนที่แกมีแค่ความรู้สึกชอบให้เขา ไม่ตายหรอกถ้าไม่อยู่กับคนนี้  ถึงจะคิดแบบนั้นตรงนี้มันเจ็บปวดมากนะน้ำแค่คิดว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่เคยเป็นมาตั้งแต่แรก ร้องไห้ทุกครั้งที่คิดถึงคำสัญญาของคนสับปรับนั้นขึ้นมา

      ว่าที่คู่หมั่นของคุณชายเอาหน้าที่บวมเป่งไปฟ้องคุณปู่ของอเลสซานโดร ท่านโกธรมาก เรียกซานโดรเข้าไปหา คุณชายเขายอมรับว่ามีคนรักแล้วเป็นผู้ชาย  ปรากฏว่าครอบครัวนั้นรับไม่ได้เป็นเรื่องที่เสื่อมเสียของตระกูล  จึงให้มีงานหมั้นและแต่งแบบสายฟ้าแลบในวันถัดมา  อเลสซานโดรปฏิเสธเสียงแข็งกร้าวอาละวาดยังกับหมาบ้าซะจนผู้หลักผู้ใหญ่คนในตระกูลที่ร่วมในงานแตกกระเจิง ทะเลาะกับปู่จนถึงขั้นแตกหักว็อคเอาท์ออกจากตระกูลกอนซาเสสโน่ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับตระกูลนี้อีกต่อไป 

      ‘ถ้าให้ความสำคัญกับหน้าตาชื่อเสียงเกียรติยศของตระกูล มากกว่าความรู้สึกความสุขของผม ครอบครัวก็ไม่จำเป็นต้องมีผม’

      นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดปู่ก่อนจะเดินออกมาโดยไม่หันกลับไปมองเลย เขามาหาแม่ที่บ้านผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าแม่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว ถือดีหยิ่งจองหอง แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่เท่ากับนัยน์ตาสีแปลกเอ่อท้นไปด้วยความรักทั้งหมดที่เขามีให้แม่มันแจ่มชัดอยู่ในความรู้สึกจนถึงวันนี้  มือที่เกาะกุมกันมันทั้งอบอุ่นอ่อนโยนพร้อมจะปกป้องเราจากอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า


      ‘เกริดาผมรักคุณมากเหลือเกิน ขอโอกาสให้ผมได้ดูแลหัวใจคุณนับแต่นี้ต่อไปได้หรือไม่ ถึงตอนนี้จะยังไม่รักผม แต่พอจะเชื่อใจและวางหัวใจของเกลล์ให้ผู้ชายที่ไร้สกุลคนนี้ดูแลได้ไหมครับ..’ 

      ‘......’

      ‘ได้ไหมครับ’
  เสียงของอเลสซานโดรที่ถามย้ำมาช่างเอาแต่ใจ มือใหญ่ที่กุมมือแม่อยู่ชื้นไปด้วยเหงื่อและสั่นน้อยๆ ด้วยความตื่นเต้น คาดหวัง บังคับให้แม่ต้องยอมจำนนอยู่ในที

      'ชีวิตคนเรามันช่างสั้น คิดเหมือนผมไหมเราไม่รู้ว่าความสุขจะผ่านมาอีกเมื่อไร และถ้าผ่านมาก็ไม่รู้จะใช่รึเปล่าอีก แต่ชีวิตมันต้องเสี่ยงกันทั้งนั้นไม่มีอะไรได้มาฟรี ถ้าอยากได้ก็ต้องเสี่ยงครั้งนี้คงจะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับผมที่วางเดิมพันไว้สูงมาก ถ้าพลาดก็คงจะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว... ที่อยากจะพูดคือ ถ้าคุณไม่รังเกียจผู้ชายแบบเกลล์ ผู้ชายที่เคยถูกใช้งานมาแล้ว เกลล์ก็ยินดีจะใช้ชีวิตต่อไปกับคุณ'

      ‘ไม่เลยที่รัก ผมก็ไม่ได้ดีอะไรนักหนา ชีวิตที่ผ่านมามันเป็นอดีตที่เราไม่สามารถจะแก้ไขได้ก็ให้มันผ่านไปเถอะมันไม่สำคัญ ขอแค่เกลล์นะครับ’

      ‘ขอบคุณ ผมชอบคุณนะครับอาจจะยังรักได้ไม่ทั้งหมด แต่คุณจะทำให้ผมรักคุณหมดใจได้ใช่ไหมจากนี้ต่อไป สัญญาได้ไหมว่าเรื่องนี้เราตกลงกันสองคน ถ้าวันหนึ่งคุณจะไม่ใช่คนของผมก็ขอให้บอกตรงๆ อย่าไปโดยไม่บอก ผมไม่อยากจะเจ็บเพราะไม่รู้อีกแล้ว’

      ‘โอ้!! เกริดา ที่รักขอบคุณเหลือเกิน ขอบคุณที่เชื่อใจกันผมจะไม่ทำให้คุณเสียใจ รับปากว่าจะอยู่ด้วยกันแล้วต่อไปนี้ห้ามเบื่อ ห้ามขอเลิก ห้ามนอกใจ ห้ามรักน้อยกว่าเดิมนะครับ’ 

      ‘คุณเองก็เหมือนกัน’


      เกลล์ยิ้มหวานซบหน้าลงกับต้นแขนของ 'แฟน' หมาดๆ ราวกับอดไม่ได้ อเลสซานโดรโอบกระชับร่างบางแน่นขึ้นพร้อมก้มลงหอมผมนุ่มนิ่มอย่างอดใจไว้ไม่ได้ นัยน์ตาคมมองแต่ใบหน้าสวยปานนางฟ้าด้วยสายตาหยาดเยิ้มราวกับโลกนี้มีเพียงเขาสองโดยลืมไปว่าบริเวณนั้นยังมีแม่น้องสาวยืนมองด้วยความสุขสมหวังอยู่ใกล้ๆ

      ‘แฮ่ม!! ไปทำกันต่อที่ห้องดีไหม’  ป๋าหัวเราะลั่นเลย ก้มลงแตะจูบอีกครั้งก่อนจะกอดร่างบางแน่นขึ้นกว่าเดิม

      ‘ชริ์!!’  เกลล์สะบัดบ๊อบใส่แม่น้องสาวเพราะหมั่นใส้แกมเอ็นดู

      ‘เค้าดีใจนะที่ตัวเองมีคนดูแลแล้ว ป๋าอยู่กับเกลล์ไปนานๆ นะ ดูแลเกลล์แทนเมย์ในวันที่เมย์ไม่อยู่ด้วยรู้ไหมคนสำคัญของเมย์เลยนะนี่’

      ‘ไม่ทิ้งหรอกดวงใจของตัวเองเลยนะ’
  แม่จบเรื่องราวรักโรแมนติกของตัวเองด้วยรอยยิ้มหวานละมุนราวกับตกหลุมรักอีกแล้ว




      “น้ำหนูรักลูกชายของแม่ไหม”  อยู่ๆ เกลล์ก็ถามออกมาโดยไม่ตั้งตัวทำเอาน้ำนิ่งชะงักค้างไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

      “ห๊ะ!!  อะ อะไรนะครับ”

      “หนูรักราล์ฟรึเปล่าหึม”  แม่เกลล์เลิกคิ้วถาม  น้ำนิ่งยังอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบยังไง

      “รักฮะ แต่ว่า...ถ้าเราเป็นพี่น้องกันแบบนี้ ละ แล้วแม่กับป๋าจะให้เราเลิกกันรึเปล่าฮะ”

      “ทำไมถึงคิดแบบนี้ล่ะครับ ก็อย่างที่บอกเราไม่คิดจะห้ามความสุขของลูก ชีวิตของพวกหนูต้องลิขิตเองไม่ใช่พ่อแม่ชักนำ ที่ถามแม่แค่อยากจะมั่นใจว่าหนูรักพี่เขาจริงๆ อย่าว่างั้นว่างี้หรือโกธรเลยนะแม่แค่อยากจะมั่นใจ จะว่าไปด้วยวัยเท่าน้ำเพิ่งจะผ่านโลกมาไม่กี่ปี ยังต้องเจออะไรอีกหลายอย่าง แล้วที่สำคัญวุฒิภาวะทางอารมณ์ก็ยังไม่คงที่ผันแปรได้ตามสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา  เด็กวัยขนาดหนูเวลารักใครก็เอาแต่ใจเรียกร้องจะเอาให้ได้ แต่หลังจากได้แล้วก็ไม่รักษาของ พอเจอสิ่งใหม่ที่น่าสนใจก็ทิ้งของเก่าแม่เห็นหลายรายแล้วเปลี่ยนคู่เป็นว่าเล่น แล้วยิ่งราล์ฟอายุมากกว่าน้ำแบบนี้....บอกตรงๆ แม่ห่วง”

      “ไม่ฮะขอให้เชื่อน้ำรักลุง หวงมากด้วย ไม่ใช่เพราะสำนึกบุญคุณที่ลุงเลี้ยงมาแต่รักเพราะรัก รักแบบอยากจะเป็นคู่ชีวิต น้ำไม่เกี่ยงด้วยว่าลุงจะอายุมากกกว่า...น้ำลองทบทวนความรู้สึกของตัวเองแล้วถ้าใช่ไม่ความรักน้ำก็คงจะไม่ปวดใจแทบตายตอนที่ลุงมีข่าวกับผู้หญิงคนนั้น...” . น้ำเสียงยืนยันร้อนรนจริงจังกับนัยน์ตาหวานเด็ดเดี่ยวที่มองไม่หลบสายตาจากเกลล์ เรียกรอยยิ้มอบอุ่นจากเกลล์อย่างง่ายดาย

      “ลุง…ผู้หญิง!?”  สีหน้าเกลล์เต็มไปด้วยความสงสัยกับสิ่งที่น้ำนิ่งกล่าวถึง จำไม่ได้ว่าเจ้าลูกนั่นเคยมีความรู้สึกแบบนั่นกับผู้หญิงด้วย

      “อะ เออ คือมันเป็นสรรพนามที่ใช้เรียกเวลารู้สึกว่ารักแบบอธิบายความรู้สึกไม่ได้ คือน้ำไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไงแต่ชอบเวลาเรียกยังงี้ แล้วภูมิเขาค่อนข้างจะเซนซิทีฟกับคำเรียกนี้เอามากๆ”  นัยน์ตาเพ้อฝันของน้ำนิ่งทำให้เกลล์ยิ้มตาม

      “แม่รู้แล้วแหละว่าทำไม ฟังจากน้ำเสียงที่หนูใช้เรียก “ลุง” มันดูเชิญชวนจนอยากจะจับกด ไม่โกธรกันนะที่พูดตรงๆ  แม่ยังรู้สึกแล้วเจ้านั่นจะไม่รู้สึกได้ยังไง เวลาที่มันได้ยินเสียงเรียกแบบนั้นแม่ว่ามันคงหื่นขึ้นคอแน่ๆ เลยทำเป็นโกธรกลบเกลื่อนความอยากของตัวเองนะสิ  โอ้ย!! ไอ้เด็กบ้าเอ๊ยฮ่า ฮ่า”

      “แม่น่ะ...”  เกลล์ทำเสียงสัพยอกล้อเลียนน้ำนิ่งยิ่งตัวแดงหน้าแดงอายม้วนกว่าเดิมน่ารักจริงเจ้าเด็กนี่

      “แล้วเรื่องผู้หญิงมีแบบนั้นด้วยเหรอ เป็นข่าวใหม่ที่ทำเอาแม่แปลกใจเลยนะ เจ้านั่นมีความรู้สึกแบบนั้นด้วยเหรอนี่”

      “เออ..คือจริงๆ มันเป็นความเข้าใจผิดของน้ำเองฮะ  เราปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้วฮะ” 

      “อ้องั้นเหรอครับ  เอหรือเราหาเรื่องแกล้งให้เจ้าเด็กหัวดื้อคลั่งดีไหม เอางี้เราเปลี่ยนมาเรียกเจ้าเด็กนั่นว่า “ลุง” เลยดีไหมเอาให้มันคลั่งไปเลยหึ หึ...”

      “โห้ย! แม่...ไม่เอาหรอกฮะ เดี๋ยวตาลุงขึ้นแล้วน้ำจะโดนชนกระแทกยับเรียกประกันไม่ทันแน่ๆ อะ เออ..แม่ฮะน้ำมีเรื่องอยากจะถาม  ตะ..แต่ไม่รู้ว่าจะเหมาะไหม”  หน้าหวานแดงระเรื่อเจือความสงสัยกระจายไปทั่ว มือบางบิดกุมกันบนตักอย่างคนขาดความมั่นใจ

      “เรื่องอะไรล่ะหึ”
 
      “ระ..เรื่องบนเตียงน้ำไม่ค่อยเข้าใจหลายเรื่องๆ  ถะ..ถ้าหนูเป็นคนเริ่มก่อน เรียกร้องบ้าง  อ..เออมันจะน่าเกียจไหม ละ แล้วเค้าจะว่าเราเยอะไหม...” 

       หลังจากตัดสินใจถามออกไปอย่างเปิดเปลือย น้ำนิ่งก้มหน้าและใบหูที่แดงระเรื่อกว่าเดิมลง มือเรียวเล็กกุมอยู่หน้าตักบิดไปมาด้วยความเขินอาย เกลล์มองคนข้างๆ ด้วยความเอ็นดู ยกมือของตัวเองไปขยี้ผมนุ่มบนหัวทุย ก่อนจะเลื่อนมากุมกระชับมือเล็กที่บิดไปมาอย่างให้กำลังใจ

      “หึ หึ อายทำไมละหืม มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่เห็นเป็นไรเลยถ้าเราจะเริ่มก่อน เรียกร้องเอาแต่ใจบ้าง มันเป็นเสน่ห์ของการทำรัก ถ้าทำแบบนั้นขี้คร้านเจ้าบ้านั่นไปไหนไม่รอด ถ้าเราไม่พูดไม่บอกเขาไม่รู้หรอกนะว่าเราชอบแบบไหน เรื่องบนเตียงมันก็จะจืดชืดพานจะเลิกรากันไปแบบนั้นก็แย่ใช่ไหมล่ะ เราเองก็ถามเขาบ้างก็ได้ว่าชอบแบบไหนก็สนองเขาอย่างที่เขาชอบไม่แปลกนี้จ๊ะ แม่จะบอกว่า เมียที่ดีคือโสเภณีบนเตียงของผัว นะครับจำเอาไว้ที่รัก  แต่ข้อเท็จจริงคือต้องเป็นยิ่งกว่าโสเภณีอีกมั้ง”  เกลล์อธิบายยิ้มๆ มองคนร่างบางที่กังวลจนหน้านิ่วคิ้วขมวดไปแล้ว

      “ไม่ต้องกังวลนะที่รัก เรารักใครก็อยากจะให้เขามีความสุขใช่ไหมล่ะ สัญชาตญาณจะบอกเองว่าหนูจะทำยังไงให้เขามีความสุข  เคล็ดลับอีกอย่างถ้าทะเลาะกันอย่าปล่อยให้ข้ามคืนเด็ดขาด ต้องหันหน้าคุยกันให้เข้าใจเอาให้เคลียร์ในวันนั้น  แต่ก็อย่าคุยในตอนที่อารมณ์ร้อนนะแม่รับประกันได้ว่ามันพังอย่างเดียว ทางที่ดีคือเข้ามุมใครมุมเราอารมณ์เย็นก็ค่อยคุยกัน ไม่มีใครที่จะเข้าใจใครหรือเอาใจใครได้ตลอดหรอกครับ ชีวิตคู่มันก็แบบนี้บางเวลาก็ต้องมีพื้นที่ส่วนตัวของเขาของเราบ้าง ปล่อยบ้างดึงบ้างผู้ชายก็แบบนี้ จะรักเราแค่ไหนเขาก็ไม่ชอบการถูกควบคุมหรอกนะที่รัก 

       ชีวิตคู่มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนปีกย่อยเยอะแยะ ต้องศึกษากันไปตลอดชีวิตนั่นแหละ อย่างป๋ากับแม่เรายังมีเรื่องที่ต้องให้เรียนรู้กันอยู่ตลอดเวลาเลยนะ จะไปเปลี่ยนเขาให้เป็นตามใจเราต้องการก็ไม่ได้ ก็แค่ต้องยอมรับที่เขาเป็นเขา ต้องรู้จักผ่อนปรนรอมซอม คิดตริตรองด้วยเหตุผลอย่าใช้อารมณ์ ไว้เนื้อเชื่อใจอย่าซักไซ้  ไร่เรียงแม้จะอยากรู้แทบตายทำเหมือนหูหนวกตาบอดบ้าง ให้เกียรติยกย่อง ให้อิสระ เชื่อฟังราวกับช้างเท้าหลัง

       และที่บอกว่าเชื่อฟังในที่นี่ก็ไม่ได้หมายความเราจะต้องอ่อนถ้อยยอมความไปเสียทุกอย่าง แค่เชื่อฟังและถกเถียงบ้างด้วยข้อเท็จจริง เหตุและผล ผู้ชายร้อยทั้งร้อยจะรู้สึกภาคภูมิใจว่าเป็นผู้นำ โลกทั้งใบอยู่ในกำมือ อ๋อ!! ขาดไม่ได้เลยรู้จักใช้มารยาหลายพันเล่มเกวียนอย่างเหมาะสม เขาจะรักเกรงใจเรามากถึงมากที่สุด ที่นี่รู้นะว่าใครยอมใคร ใครบังคับใคร ใครใหญ่สุดในบ้าน” แม่เกลล์จบคำอธิบายปรัชญาชีวิตครอบครัวยืดยาวด้วยรอยยิ้มละมุนอ่อนโยนมาให้น้ำนิ่ง

      “ห๊ะ!! ต้องขนาดนี้เลยเหรอ” 

      “ต้องขนาดนั้นเลยที่รัก  แต่จริงๆ มีอีกเยอะแยะน่ะนะ ก็อย่างที่บอกมันเป็นการศึกษาตลอดชีวิตไม่มีวันจบถ้าไม่ตายจากกันะครับ”  เกลล์ตบมือเล็กที่ยังกุมอยู่ปุปุให้กำลังใจ
 
      “น้ำจะพยายามฮะ”

      “แม่เชื่อครับที่รัก  ตาลุงของหนูไปไหนไม่รอดหรอก หึ หึ”













TBC.

ปล.

1. ว่างๆ ระหว่างมาเฝ้าเด็กซ้อมรำก็เอามาลงให้ เป็นตอนคั่นเวลาเบาๆ กับปูมหลังของครอบครัวภูมิรพี (ระหว่างรอฝ่ายนั้นฟอร์มทีม ก็บอกแล้วเราไม่เอาเปรียบคู่ต่อสู้ที่อยู่ระหว่างอ่อนแอ) ตอนหน้าเราจะยังอยู่กับสองคนนี้อีกสักตอน แล้วเราไปรู้จักคนอื่นกันบ้างนะครับ

2. ขอให้สนุกกับการอ่านและขอบคุณสำหรับการติดตามครับผม  :)
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.17_เรื่องเล่าคั่นเวลาจากแม่ปั๋ว_P.5 อัพเดต 14-11-15 15.49.51
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 14-11-2015 20:38:45
ที่มาทีไปของ ลุง เป็นงี้เอง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.17_เรื่องเล่าคั่นเวลาจากแม่ปั๋ว_P.5 อัพเดต 14-11-15 15.49.51
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-11-2015 21:04:05
นี่ถ้าพ่ออเลสซานโดรไม่รักแม่เกลล์จนยอมทะเลาะกับปู่แล้วหันหลังให้กับตระกูลคงไม่มีพี่ภูมิ

และถ้าไม่มีน้าเมย์ที่ลงทุนขอร้องให้ทั้งคู่มีลูกก็คงไม่มีพี่ภูมิเช่นกัน

ว่าแต่ศัตรูที่มีแค่ ACE ก็ไม่รู้ว่าจะรับมือไหวไหม แล้วนี่มีทั้งKAB และ ACE

ที่เป็นพันธมิตรกันอยู่อีกถ้าร่วมมือกันพวกภูมิจะไหวไหมเนี่ย  :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.17_เรื่องเล่าคั่นเวลาจากแม่ปั๋ว_P.5 อัพเดต 14-11-15 15.49.51
เริ่มหัวข้อโดย: เลิฟลี่ ที่ 15-11-2015 08:18:01
สนุกมาก ตามอ่านทุกตอนเลย  แล้วใครนะช่างทำกับหนูได้ ลุงกำจัดมันซะนะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.17_เรื่องเล่าคั่นเวลาจากแม่ปั๋ว_P.5 อัพเดต 14-11-15 15.49.51
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 15-11-2015 14:07:18
@ Ginny Jinny
>>  ครับลุงเขาก็พอจะมีชาติตระกูลอยู่ ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกซะทีเดียว  ด้วยความที่ติดเด็กเลยจำให้ต้องห่างบ้านห่างเมืองห่างอาป๊าอาหม๊า 

@ TaecKhun Imagine Love
>>  พวกไม่มีคนเหล่านั้นก็คงจะไม่มีภูมิรพีจริงๆ  ส่วนสองกลุ่มนั้นมันก็เป็นวิถีมาเฟีย  ถ้าไม่มีอุปสรรคก็ไม่ทำให้แกร่งขึ้นมาได้ ต้องรอดูกันไปครับ

@ เลิฟลี่
>>  ขอบคุณสำหรับการติดตามครับผม  ภูมิรพีกำจัดศัตรูแน่ เมื่อเวลาเหมาะสม

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.18_แม่ตัวดี_P.5 อัพเดต 17-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 17-11-2015 20:28:20
เด็กเลี้ยง



- 18 -

แม่ตัวดี








   “คิดอะไรอยู่ครับ ยังไม่นอนเหรอฮืม”  ภูมิรพีถามขณะเดินออกมาจากห้องน้ำบนร่างแกร่งสวมเพียงกางเกงขายาวตัวเดียว มีผ้าเช็ดตัวผืนเล็กพาดบ่าออกมาด้วย ผมถูกเสยขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจแต่เซ็กซี่เอ็กซ์แตกอยากจะขย่มแรงๆ อยู่บนร่างแกร่งโคตรๆ สามีใครก็ไม่รู้เนอะ น้ำนิ่งไม่ได้เยอะนะแต่อย่าบอกตาลุงนั่นก็แล้วกันว่าอะไรคิดอยู่ ก็แค่คิดแต่ยังไม่พร้อมรับอะไรหรอกตอนนี้

   “มานี่สิเดี๋ยวหนูเช็ดผมให้” 

    น้ำนิ่งลุกขึ้นขยับตัวไปนั่งริมเตียง ภูมิรพีเดินมานั่งลงพื้นเตียงตรงหว่างขาของคนตัวเล็ก มือแกร่งยกขาเรียวเล็กทั้งสองข้างของน้ำนิ่งไปพาดบ่ามือใหญ่กอบกุมที่ข้อเท้า นาบปากร้อนกดจูบลงที่ขาอ่อนด้านในย้ำๆ ลากไปเกือบจะถึงจุดยุทธศาสตร์ของน้ำนิ่งอยู่แล้ว เวลาภูมิรพีทำแบบนี้คนที่นั่งซ้อนหลังก็ขึ้นง่ายเกิ๊นหลุดครางเสียงหวานโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้ดัดจริตแต่มันเสียวโคตรๆ ชะโงกไปกัดปากล่างอย่างหยอกเย้าค่อนข้างแรงกับคนตัวโตน้ำนิ่งได้ยินเสียงซี๊ดปากคงจะเจ็บหรือหื่นก็สุดจะเดา ไม่ได้ตั้งใจให้วาบหวามแค่อยากจะให้หยุดความหื่นของตาลุงเท่านั้นเอง คนร่างบางยืดตัวขึ้นดึงผ้าขึ้นมาเช็ดผมให้ภูมิรพีอย่างเบามือแถมกดคลึงนวดไล่คลายความเมื่อยล้าไปด้วย ภูมิรพีครางเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ

   “ว่าไงทำไมยังไม่นอนคิดอะไรอยู่”

   “วันนี้มีเรื่องให้ประหลาดใจตั้งหลายเรื่อง ที่ไม่คิดว่าตัวเองจะมีก็มี แล้วมันก็อดน้อยใจไม่ได้ว่าภูมิไม่เคยบอกหนูเลย”

   “อย่าโกธรภูมิเลยนะที่ไม่ได้บอกหนูก่อน ก็กะว่าจะพาไปเซอร์ไพร์ตอนปิดเทอม”

   “ไม่ได้โกธร แต่ภูมิเข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกกันออกจากความจริงหลายเรื่องๆ รึเปล่า”

   “ขอโทษเด็กดี ภูมิไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้  แต่ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เราเลยยังไม่บอกภูมิไม่อยากให้หนูกังวล”

   “แล้วตอนไหนถึงจะเป็นเวลาที่เหมาะสมกันล่ะ ภูมิทำเหมือนเราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน”

   “ไม่ใช่นะครับ โธ่..แม่ทูนหัวของภูมิคิดมากไปได้น่า ป๋ากับแม่อยากจะเอาหนูไปเลี้ยงเองด้วยซ้ำ แต่สถานการณ์หลายๆ อย่างมันไม่อำนวยที่จะบอกได้ เราไม่อยากจะให้หนูเป็นเป้าหมายของการต่อรองอีกคน ภูมิไม่อยากเสี่ยงแลกหนูกับอะไรทั้งนั้น เข้าใจสิ่งที่พวกเราทำนะครับ”

   “แม่บอกหนูแบบนี้เหมือนกัน”

   “แล้วแบบนี้ยังจะงอนภูมิอยู่อีกหรือเปล่า”

   “ก็ไม่แล้วล่ะ แต่ถ้าคราวหน้ามีเหตุการณ์แบบนี้อีกและยังคิดว่าหนูเป็นครอบครัว เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตภูมิก็บอกหนูด้วย...บางเรื่องหนูอาจจะช่วยไม่ได้แต่อยู่เป็นกำลังใจให้ได้”

   “เข้าใจแล้วครับ  ภูมิว่าถ้านอนไม่หลับ งั้น....”  ไม่เข้าใจว่าภูมิรพีจะสับสวิตช์เปลี่ยนโหมดได้ไวขนาดนี้ อิลุงส่งสายตา  วิบวับแสดงความต้องการไปให้คนที่นั่งซ้อนหลัง มือร้อนของคนตัวโตลูบไล้ไปตามเรียวขาสวย นาบปากร้อนไปตามเรียวขาโดยเฉพาะข้อเท้าดูดดึงขบเม้มจนน้ำนิ่งแทบจะขึ้น

   “อะภูมิ...หยุดน้าไม่เอา...”

   “หลายวันแล้วนะที่หนูไม่ยอมกอดภูมิ..นะครับ นะ..คิดถึง”

   “ปล่อยก่อนฮะ ไม่เอาแม่กับป๋าอยู่”

   “เขารู้แล้วน่าว่าหนูเป็นอะไรกับภูมิ.. นิดเดียวนะครับคิดถึงหนูจะตายอยู่แล้ว..”  ภูมิคลอเคลียนาบปากร้อนไปตามเรียวขาสวยจนมาหยุดดูดเม้มที่ขาอ่อนด้านในหนักข้อขึ้นคนตัวบางหลุดเสียงครางเบา ภูมิรพียกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยเสียงอ้อนคนตัวเล็กออกไปอีกครั้ง

   “นะครับ”

   “ให้หนูช่วยได้ไหมละ  แล้วพอถึงบ้านเราค่อยทบต้นทบดอกนะ น้า...”  คนตัวเล็กชะโงกหน้าไปนาบจูบที่แก้มสากอย่างหลงใหลเอาอกเอาใจสลายความหื่นตาลุงชั่วคราว  ไม่ใช่จะเล่นตัวอะไรมากมายหรอกนะ เอาจริงๆ น้ำนิ่งก็อยากให้ภูมิเหมือนกัน แต่ก็นะ...เกรงใจแม่สามี ถึงเกลล์จะบอกให้ทำตัวเป็นโสเภณีของสามี แต่มันก็ไม่ใช่ไงเจอพ่อแม่ปั๋วครั้งแรกไม่ไปเห็นเดือนเห็นตะวันแต่ให้นอนซมติดเตียงมันคงไม่เหมาะสักเท่าไรใช่ไหมละ

   “กอดเลยไม่ได้เหรอหึ...ครั้งเดียวเสร็จแล้วภูมิพอเลยไม่ต่อรอบได้ไหมนะ” 

    ภูมิรพียังต่อรองกับเมียเด็กใช่ว่าจะผ่อนปรนไม่ได้  ก็แค่อยากจะอ้อนเมีย แต่ถ้าได้ก็ดีไม่ใช่รึไง  มือหนายกขึ้นโอบไปด้านหลังคอของคนตัวเล็กโน้มคอให้หน้าของคนตัวเล็กคลอเคลียไปกับปากของตัวเองที่ยื่นไปหา น้ำนิ่งเองก็กดจมูกสูดดมไปตามขมับและกลุ่มผมนุ่มหอมของภูมิรพีอย่างรักใคร่ นิ้วเรียวแกร่งของคนตัวโตคลึงนวดหลังคอสอดพันเกี่ยวกระหวัดกับเส้นผมอ่อนนุ่มของคนตัวเล็กอย่างเผลอไผล่

   “ไม่เอาพอก่อน  ไว้ทบต้นทบดอกทีเดียวนะ...หนูยอมให้คิดดอกทั้งคืนเลยไม่ดีกว่ารึไง”  ดูเสียงหวานที่หลอกล่อให้เราตกปากรับคำนี่อีกทำราวกับเราเป็นเด็กน้อยเอาขนมมาหลอกล่อก็จะกระโจนลงหลุมทันทีรึไง

   “นะลุง...”


.


.

   “เฮ้อ...ภูมิปฏิเสธหนูไม่เคยได้สักทีสิน่า”  ผมตายสนิทไปแล้วครับกับคำว่า “ลุง” ท้ายที่สุดก็ต้องยอมเด็กนี่จนได้ แต่เอาเถอะเก็บเปรี้ยวไว้กินหวาน ยังไงซะเด็กน้อยก็เป็นของเขาวันยังค่ำแหละ ปล่อยไปก่อนก็แล้วกันถึงเวลาเขาจะเก็บดอกคืนเอาให้คุ้มจนลุกจากเตียงไปไหนไม่ได้เลยเชียว  คืนนั้นเลยเป็นอันว่าภูมิรพีได้แต่นอนปลอบลูกชายที่ร้องไห้เพราะแม่ไม่ยอมกอดอยู่นานกว่าจะยอมอ่อนข้อให้แต่ไม่ยอมนอน ยิ่งความหอมจากผิวกายที่กรุ่นกำจายจากคนในอ้อมกอดยิ่งทำให้ทรมาน  หลังจากน้ำนิ่งหลับสนิทภูมิรพีรีบปลีกวิเวกทำภารกิจโลกสวยด้วยมือเราเกือบชั่วโมง...วินาทีนี้ภูมิรพีรู้สึกว่าตัวเองชักจะเหมือนตาลุงหื่นกามดีๆ นี่เอง...



   น้ำนิ่งรู้สึกตัวตื่นตอนตีห้าครึ่งตามนาฬิกาชีวิตที่ปฏิบัติเป็นประจำ คนที่นอนกอดกันมาทั้งคืนยังไม่รู้สึกตัวตื่น น้ำนิ่งมองหน้าของภูมิรพีอย่างรักใคร่หลงใหล  คนตรงหน้าหล่อเหลาคมเข้มแม้ยามหลับจนอดไม่ได้ที่จะก้มลงแตะจูบบางเบาบนริมฝีกปากหนาได้รูปนั่น ก่อนจะเคลื่อนตัวลงจากเตียง 

    อากาศตอนเช้าของที่นี่สดชื่นเย็นสบาย  ท้องฟ้าด้านนอกที่มองเห็นจากรอยแยกของผ้าม่านที่ปิดไม่สนิทเจือสีน้ำเงินหมองหม่นของเวลาเช้าตรู่ แสงอาทิตย์บางเบายังไม่โผล่พ้นเหลี่ยมเขาเบื้องหน้า ปุยหมอกลอยเอื่อยอย่างเกียจคร้าน  ไกลออกไปไร่ชาสุดลูกหูลูกตาที่ปลูกเป็นขั้นบันไดคนงานกำลังขะมักขะเม้นเก็บใบชากระจายไปทั่วบริเวณ

    น้ำนิ่งบิดตัวคลายความเมื่อยขบสองสามทีก่อนหันหลังกลับเดินเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัว เสร็จภารกิจจากห้องน้ำคนตัวโตบนเตียงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เดินเข้าไปจนชิดเตียงก้มลงกดจมูกของตัวเองสูดดม กลิ่นกายหอมของภูมิรพีอย่างหลงใหลจนพอใจ ก่อนจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูงเดินออกจากห้องปิดประตูตามหลังแผ่วเบาไม่ให้รบกวนคนบนเตียง



    ร่างบางคิดว่าจะไปเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์แล้วก็ชมไร่ชาตอนเช้ารอภูมิรพีตื่นน่าจะดีกว่า เดินลงบันไดมายังไปไม่ถึงประตูเลยด้วยซ้ำต้องชะงักเท้าเปลี่ยนใจเดินไปตามเสียงพูดคุยจนมาถึงครัวใหญ่

   “อรุณสวัสดิ์ฮะ”  น้ำนิ่งกล่าวทักทายคนเป็นแม่ ปากบางได้รูปสวยแย้มยิ้มน่ารักเลยไปจนถึงแม่บ้านที่ช่วยแม่เตรียมทำอาหารอยู่

   “อ้าวลูก ตื่นเช้าจังเลยเราหลับสบายดีไหม”  เกลล์วางมือจากเครื่องปั่นน้ำผลไม้เดินมากอดน้ำนิ่งกดจมูกโด่งหอมแก้มคนตัวเล็กฟอดใหญ่ ลูกชายคนเล็กก็ไม่ยอมแพ้หอมแก้มคนเป็นแม่คืนจนได้ยินเสียงหัวเราะของความพอใจ

   “หลับสนิทเลยฮะ  แม่กำลังทำอะไรเหรอฮะ” 

   “กำลังจะปั่นน้ำฝรั่งแล้วก็เตรียมอาหารเช้าครับ แต่ยังไม่ได้ดูเลยว่าจะทำอะไร หนูอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”

   “งั้นให้น้ำทำนะฮะ”

   “ฮืม ทำเป็นเหรอเราน่ะ”

   “เป็นสิฮะ เดี๋ยวน้ำจัดการเอง แม่ไปนั่งรอเลยฮะ”

   “เอางั้นเลยเหรอ”  น้ำนิ่งจูงมือคนเป็นแม่ไปนั่งที่เคาน์เตอร์  เดินกลับมารินน้ำฝรั่งให้แม่จิบรอไปพลาง ตัวเองก็เดินกลับมาเปิดตู้เย็นหลังใหญ่ดูว่ามีอะไรพอจะทำได้บ้าง

   “ป๋ากับแม่ชอบกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าฮะ”

   “ไม่จ๊ะ ป๋าเขาไม่เรื่องมากอะไรก็ได้จ๊ะง่ายๆ” 

   “งั้นน้ำทำข้าวต้มปลากระพง  ไข่กระทะ  มันฝรั่งอบกระเทียมกับแอปเปิ้ลทอด กินกับน้ำฝรั่งสด แล้วกันนะฮะ ”

   “โอ้ เยอะขนาดนั้นให้แม่ช่วยไหม”

   “ไม่เป็นไรฮะ แม่นั่งเลยแป๊ปเดียวเองครับ”

   “แม่ทำด้วยกันดีกว่า อยากมีบรรยากาศแม่ลูกเข้าครัวครั้งแรกนี่น่า”

   “ฮ่า ฮ่า งั้นเราช่วยกันทำดีกว่าฮะ” 

    ระหว่างพูดมือของน้ำนิ่งก็กดมันฝรั่งที่ต้มจนนิ่มแล้วให้แบนเล็กน้อย เสร็จแล้วเอาน้ำมันมะกอกทาไปที่มันฝรั่งโรยด้วยกระเทียมและผงสมุนไพรที่สับไว้แล้ว ก่อนจะนำเข้าตู้อบ หลังจากนั้นก็หันไปทำข้าวต้มปลากระพงต่อ

   “น้ำทำทุกอย่างคล่องแคล่วเชียว ใครสอนหึม” 

   “ยายชื่นฮะ”

   “ใครเหรอครับ”

    “อ๋อน้ำหมายถึงยายที่ดูแลตั้งกะพวกเรายังเด็กนะฮะ ยายเก่งมากเลยฮะแม่ ก่อนที่จะมาดูแลพวกเรา เคยเป็นคุณข้าหลวงในวังประจำอยู่ห้องเครื่องเลยนะทำอาหารเป็นทุกอย่างเลยโดยเฉพาะอาหารชาววังต้นตำรับน่ะสุดยอดมาก  ถ้ามีเวลานะน้ำจะทำให้ทานเลย” 

   น้ำนิ่งคุยเสียงใสเจื้อยแจ้วไม่หยุด มือก็ทำข้าวต้มอย่างคล่องแคล่วจนเสร็จในเวลาไม่นาน ก่อนที่จะหันไปเอามันฝรั่งอบออกจากเตาอบยื่นให้แม่บ้านจัดใส่จานเตรียมเสริ์ฟ  หันไปทำแอปเปิ้ลทอดต่อ คนเป็นแม่และแม่บ้านที่ช่วยงานในครัวสองสามคนมองคนตัวเล็กทำอาหารด้วยสายตาชื่นชมเอ็นดู ขณะที่คณะแม่ครัวกำลังทำอาหารกันอย่างสนุกสนาน  สองหนุ่มเดินเข้ามาในครัว

   “อรุณสวัสดิ์ครับแม่”

    สองหนุ่มเอ่ยทักทายและเดินเข้ามาหอมแก้มแม่คนละข้างฟอดใหญ่  ภูมิรพีเดินเลยเข้าไปโอบเอวคนตัวเล็กซึ่งกำลังหั่นแอปเปิ้ลเป็นแว่นๆ เอาพิมพ์กดไส้กลางออก แล้วนำไปชุบแป้งทอด บางส่วนที่สุกเหลืองก็นำขึ้นมาโรยด้วยไอซิ่ง

   “กำลังทำอะไรครับ ตื่นมาไม่ปลุกภูมิเลย”

   “ฮื่อ..ปล่อยก่อนทำอาหารอยู่เห็นไหมเนี่ย” 

   “ก็ทำไปสิ จะกอดเฉยๆ ไม่ได้กวนสักหน่อย” 

    ปากบอกกอดเฉยๆ แต่การกระทำมันไปคนละทางเลย ปากร้อนของคนตัวโตนาบไปตามลาดไหล่หลังคอ เม้มติ่งหู มือหนาโอบประคองหน้าหวานไปแตะจูบอ่อนโยน หน้าของคนตัวเล็กแดงระเรื่อขึ้นทันตาเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นสายตาล้อเลียนของแม่และพวกป้าๆ

   “ก็มันทำไม่ถนัด หยุดนะฮื่อ...เฮียช่วยเค้าหน่อยเอาไปเก็บทีเหอะไม่ไหวจะเคลียร์” 

   น้ำนิ่งร้องหาตัวช่วยเมื่อคนตัวโตชักจะเยอะ คนถูกเรียกก็ช่างได้ใจเหลือเกินวางแก้วน้ำที่ยังไม่ได้ดื่มลงที่เคาน์เตอร์แทบจะทันที เข้ามาดึงน้องชายตัวดีออกจากคนตัวเล็กทันที

   “มานี่เลย เก็บๆ มั้ง กวนน้องนะมึง” 

   “โอ๊ย!!  น้องเฮียนะเมียผมเปล่าวะ”

   “เออรู้ เพลาๆ บ้างเถอะ”  เสียงร้องประท้วงของภูมิรพีไม่ได้ทำให้เฮียเซนหยุดอาการกระชากลากถูแต่อย่างใด ภูมิรพีโดนลากออกไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร เกลล์มองสองหนุ่มแล้วส่ายหน้าน้อยๆ ด้วยความหมั่นไส้

   “อ้าว!! ก็เด็กมันยั่ว เฮียก็เห็น”

   “ที่ไหนน้องทำอาหารไม่ได้อะไรเลย” 
   
   “โว้ย!! เฮียไม่เข้าใจ”

   “เข้าใจหัวอกเดียวกันเปล่าวะ!! ถ้าไม่ติดเคอร์ฟิวนะ เฮียเผ่นไปแล้ว”

    เสียงสองหนุ่มยังตอบโต้กันไม่หยุด ทำเอาตัวต้นเรื่องเขินจนวางตัวไม่ถูก เลยทำเป็นสนใจทำแอปเปิ้ลทอดจนเสร็จ เกลล์สั่งให้แม่บ้านจัดโต๊ะเพราะป๋ากลับมาจากไร่แล้ว ทุกคนพร้อมกันที่โต๊ะอาหารไม่นานป๋าก็เดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร มาถึงก็เดินเข้ามาหอมแก้มเกลล์ทั้งสองข้างก่อนที่จะผละตัวเดินไปนั่งหัวโต๊ะ

   “วันนี้ทำอะไรเยอะแยะเลย” 

   “วันนี้ลูกชายคนเล็กลงครัวเองครับ” 

   “ฮื่อจริงเหรอหน้าตาน่าทานมากนะ อะไรบ้างล่ะเนี่ย” ป๋าหันมาถามด้วยความแปลกใจ

   “ป๋าจะรับอะไรฮะข้าวต้มปลากะพงหรือไข่กระทะ” น้ำนิ่งเสนอเมนูทางเลือก

   “ชักหิวๆ ป๋าเอาข้าวต้มก่อนแล้วกัน”  แม่บ้านตักข้าวต้มใส่ชามมาเสริ์ฟป๋ากับเกลล์ ภูมิรพีขอไข่กระทะ เฮียเซนขอข้าวต้ม กับไข่กระทะ

   “ฮื้อฮือ อร่อยเข้าท่าเลยนะเนี่ย”  ป๋ากับแม่เอ่ยปากชมพร้อมกันหลังจากตักข้าวต้มกินไปคำแรก คนตัวเล็กยิ้มแก้มปริเมื่อเห็นว่าอาหารที่ทำถูกปากป๋ากับแม่ เลยตักมันฝรั่งอบกระเทียมสองสามชิ้นมากิน

   “อ้าว!!  แล้วเราไม่กินเหรอ กินแค่นั่นมันจะอิ่มเหรอหึ เพราะงี้สิเลยไม่โตสักทีผอมบางแทบจะปลิวตามลมแล้วนะนั่น” ป๋าถามด้วยเสียงห่วงใยเมื่อเห็นน้ำนิ่งไม่กินข้าว

   “แค่นี้น้ำก็อิ่มแล้วฮะ” คนตัวเล็กเอ่ยตอบ ป๋าพยักหน้าเข้าใจก่อนที่จะหันไปขอข้าวต้มเพิ่มจากแม่บ้าน ส่วนแม่เกลล์ขอแอปเปิ้ลทอดสามชิ้นราดน้ำผึ้ง  ส่วนตาลุงหื่นกำลังจัดการมันฝรั่งอบกระเทียม

   “ช่วงสามเดือนที่ป๋าให้พวกแกทำงานจะให้เซนรับผิดชอบดูแลงานฝั่งยุโรปกับอเมริกา ราล์ฟก็ดูฝั่งเอเชียกับออสเตรเลียทั้งหมดแล้วกัน”

   “แล้วป๋า..” เฮียเอ่ยถาม

   “ฉันก็จะพาเมียเที่ยวสิ  ทำงานแทนพวกแกมาตั้งกี่ปีแล้ววะ  ขอเวลาส่วนตัวบ้างเถอะ”  ป๋าเอ่ยตอบ

   “ผมก็ไม่ได้จะอะไรสักหน่อย ก็ถ้าป๋าจะพาแฟนเที่ยวแล้วเรื่องกระต่ายผมล่ะ”  เฮียทำเสียงติดจะล้อเลียนป๋า ก่อนจะเลยไปถึงประเด็นหลักของตัวเอง

   “แกก็เลี้ยงเองแล้วกัน  เด็กแกๆ ก็ดูแลกันเองแล้วกัน เดี๋ยวเมียฉันจะเหนื่อย”  น้ำนิ่งหันไปมองหน้าเกลล์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม  เกลล์ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาปากสวยเปิดยิ้มกว้าง นัยน์ตาสวยของเกลล์บอกเป็นนัยว่าใครคือผู้มีอำนาจสูงสุดของบ้านนี้

   “ขอบคุณครับป๋า”  สองหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกันที่ป๋ายอมยกเลิกเคอร์ฟิว 

   “ยอมให้ขนาดนี้แล้ว รับผิดชอบงานให้ดีด้วย”  ป๋ากล่าวสำทับ

   “ขอรับคุณท่าน”  คุณท่านไม่เอ่ยอะไรออกมามีเพียงสายตาคาดโทษส่งมาให้ สองหนุ่มยกยิ้มก่อนจะก้มหน้ากินอาหารตรงหน้า

    หลังทานอาหารเช้าเสร็จป๋าลากสองหนุ่มไปตรวจงานโรงแรมและรีสอร์ทสี่ห้าแห่งที่กระจายตัวอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของอำเภอ  น้ำนิ่งถูกแม่หนีบตัวเข้าไร่ชา ลุงหมานผู้จัดการไร่พาทัวร์จนทำให้รู้ว่าไร่นี้ปลูกชา 2  สายพันธุ์ใหญ่ๆ  คือ ชาสายพันธุ์อัสสัม ชาพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมของไทย และสายพันธุ์จีน  ซึ่งนำเข้ามาจากประเทศไต้หวันและจีน 

    การเก็บใบชาสามารถเก็บได้ตั้งแต่เดือนมีนาคม – พฤศจิกายน ของปี ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวยอดชาประมาณเวลา 05.00 – 14.00 น.  โดยเฉลี่ยจะเก็บใบชา 10 วันต่อครั้ง การเก็บยอดชาจะต้องไม่อัดแน่นในตะกร้าเพราะทำให้ยอดชาช้ำและคุณภาพใบชาเสีย เนื่องจากความร้อนที่เกิดขึ้นจากการหายใจของใบชา หลังการเก็บเกี่ยวลูกชายลุงหมานซึ่งเป็นหัวหน้าคนงานจึงรีบนำส่งโรงงานผลิตให้  น้ำนิ่งได้ลองเก็บแล้วก็ไม่ยากเท่าไร ถ้าเกิดเรียนจบแล้วไม่มีงานจะมาขอเป็นชาวไร่ดูสักตั้ง  ออกจากไร่ลุงหมานพาเข้าโรงงานขนาดใหญ่ของไร่ ชมขั้นตอนการผลิตชาซึ่งกว่าจะได้ชาคุณภาพมีขั้นตอนยุ่งยากพอสมควรไม่ว่าจะเป็นการผึ่ง  คั่ว นวด หมัก อบแห้ง  และสุดท้ายคือการคัดบรรจุ 

   ระหว่างนั้นภูมิโทรมาแทบจะทุกชั่วโมงสั่งนั่นนู้นนี่จะอะไรของเขานักหนาก็ไม่รู้  สองแม่ลูกพร้อมบอดี้การ์ดอีกเป็นพรวนออกจากโรงงานเวลาเกือบเที่ยง ขับรถตามกันมาจนถึงโรงเตี๊ยมซึ่งตั้งห่างจากทางเข้าไร่ ประมาณ 500 เมตร  บรรยากาศของร้านเป็นอะไรที่น้ำนิ่งอยากจะกรี๊ดจนสาวแตก  การตกแต่งออกสไตล์เรโทรย้อนยุคผสมผสานรูปแบบโรงเตี๊ยมของจีนอย่างลงตัว สภาพภูมิทัศน์โดยรอบร่มรื่นน่านั่งมากที่นี่มีห้องพักสำหรับแขกที่ชอบการพักผ่อนแบบโฮมสเตย์กึ่งผจญภัย 50 ห้อง

   “เป็นไงชอบละสิ เรียนจบแล้วแม่ยกให้เราดูแลเลยดีไหมล่ะ”  แม่เกลล์เอ่ยถามยิ้มๆ  มือเรียวของแม่ปัดเกลี่ยผมยาวที่ปลิวตามลมจนยุ่งเหยิงของน้ำนิ่งขึ้นทัดหูให้

   “สวยมากจนน้ำอยากจะกรี๊ดให้สาวแตกเลย น้ำฝันอยากจะทำร้านแบบนี้มาตลอดเลย แต่มันจะได้จริงๆ เหรอฮะ”  น้ำนิ่งตอบแม่ทั้งที่ไม่ได้ถอนสายตาออกจากอาคารโรงเตี๊ยมที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า

   “หึ หึ เป็นเอามากนะเรา ถ้าจะทำก็มา มันไม่มีอะไรเกินความสามารถเราหรอกน่า ปะเข้าไปข้างในเถอะโดนแดดมากเดี๋ยวไม่สบายแล้วเจ้านั่นจะเฉ่งแม่อีก”  เกลล์เอื้อมมือไปจูงน้ำนิ่งจะเดินเข้าไปข้างในแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาทักทายคนทั้งคู่

   “สวัสดีครับ คุณท่าน” 

   “สวัสดีคุณรวี”  เกลล์เอ่ยตอบชายหนุ่มผู้มาใหม่ แต่สายตาของชายคนนั้นกลับแลเหลือบแสดงความสนใจมาให้น้ำนิ่งแทน

   “สวัสดีครับ คุณ...” 

   “อ้อ นี่นภนทีลูกชายฉัน  ส่วนนี่คุณรวีผู้จัดการโรงเตี๊ยมครับลูก”  คุณรวียื่นมือมาทักทายแต่น้ำนิ่งเลือกที่จะยกมือขึ้นไหว้ผู้มีอายุมากกว่าแทน  คุณรวีหน้าเก้อๆ แต่ก็ปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มได้อย่างรวดเร็ว

   “เป็นยังไงบ้างช่วงนี้ มีปัญหาอะไรไหม”  แม่เกลล์ถามคุณรวีก่อนจะจูงน้ำนิ่งก้าวเดินเข้าไปข้างในด้วยกัน 

   “ช่วงนี้โลว์ซีซั่นครับท่าน แขกไม่เยอะเท่าไรแต่ก็มีมาเรื่อยๆ  มีแขกพักมา 32 ห้อง ช่วงนี้ยังอยู่ในฤดูการเก็บเกี่ยวเราเลยมีกิจกรรมเก็บเกี่ยวผลผลิตให้แขกได้ทำกัน  ส่วนปลายเดือนพฤศจิกายน – มกราคม หมดหน้าเก็บเกี่ยวเราจะเพิ่มกิจกรรมเดินป่าตั้งแคมป์ครับท่าน”  คุณรวีตอบ

    “ก็ดีนะ แล้วเรื่องระบบความปลอดภัย คนนำทาง เราพร้อมรึเปล่า ความปลอดภัยของแขกสำคัญนะดูให้ดีด้วยอย่าให้มีอันตราย”  เกลล์กล่าวกำชับกับคุณรวี  เราเดินกันจนมาถึงบริเวณห้องอาหาร

   “มีครับ เรามีพรานและคนนำทาง 5 คน  ส่วนพื้นที่เดินป่าเรากำหนดโซนน้ำตกท้ายไร่ พื้นที่แถบนั้นยังคงความเป็นป่าที่สมบูรณ์ครับผม”

   “กินข้าวก่อนนะลูกเที่ยงกว่าล่ะ” หลังจากที่เรานั่งเรียบร้อยแล้ว เกลล์จึงหันมาถามน้ำนิ่งที่มัวแต่สนใจหันมองบรรยากาศรอบๆ

   “ยังไม่หิวเลยฮะแม่ ขอแค่น้ำขากับขนมได้รึเปล่าครับ”  น้ำนิ่งตอบคนเป็นแม่

   “ไม่ได้กินข้าวก่อนเดี๋ยวปวดท้อง  เจ้าบ้านั่นมันยิ่งสั่งแล้วสั่งอีกกลัวหนูไม่ทานข้าว เอากะหล่ำปลีทอดน้ำปลา หล่นปลาอินทรีสด  หมูหวาน  แกงคั่วหอยขม  ฟรังโก้ไปจัดการที”  แม่เกลล์ทำเสียงเข้มก่อนจะหันไปสั่งฟรังโก้ให้จัดการเรื่องอาหาร

   “ทานข้าวด้วยกันสิคุณรวี”  แม่เกลล์หันไปเชิญขวนคุณรวี 

   “ขอบคุณครับท่าน  ผมเรียบร้อยแล้วครับมีประชุมบ่ายโมงตรง  ผมขอตัวก่อนนะครับคุณท่าน”   คุณรวีกล่าวกับแม่ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้น้ำนิ่ง

   “งั้นก็ตามสบายเถอะนะ” 

   “สวัสดีครับคุณท่าน คุณนภนที”  คุณรวีลุกขึ้นยืน ก่อนจะโค้งให้คนทั้งคู่

   “สวัสดีครับ”  คล้อยหลังคุณรวีไม่นานอาหารที่เราสั่งก็ลำเลียงมาเสริ์ฟ รสชาดของอาหารอร่อยใช้ได้เลยเชียวแหละ ระหว่างกำลังนั่งทานกันอยู่ น้ำนิ่งรู้สึกถึงการสั่งของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง จึงหยิบออกมาดูปรากฏเป็นภูมิรพีโทรเข้ามา ทำให้คนตัวเล็กยกยิ้มขำๆ ตาลุงนี่ชักเยอะไม่โทรหาก็จะส่งข้อความหาแทบจะทุกชั่วโมงเลย

   “อะไรอีกล่ะภูมิ”  น้ำนิ่งกรอกเสียงลากยาวลงไป   

   // คิดถึง อยากกอด //

   “บ้าเหรอ จะคิดถึงอะไรนักหนาทุกชั่วโมง”  น้ำนิ่งเอามือป้องปากตอบกลับภูมิรพีด้วยเสียงเบา

    //ก็คิดถึงจริงๆ นี่น่า  แล้วกินข้าวรึยังเที่ยงกว่าแล้วนะ //

   “กำลัง แล้วภูมิกินยัง”

   // กำลังเหมือนกัน แต่อยากกินหนูมากกว่า แล้วอยู่ที่ไหนบ้าน?? ภูมิกลับไปกินได้ไหมนะน้า...//

   “บ้าแล้ว  เค้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมกับแม่ รีบไปกินข้าวเลยไป๊ ไม่ต้องโทรมาอีกแล้วนะ เย็นก็เจอกันแล้ว”  น้ำนิ่งกดตัดสายทันทีไม่รอให้ทางนั้นต่อความยาวสาวความยืดแต่ประการใด หย่อนโทรศัพท์ใส่กระเป๋าตามเดิม พอเงยหน้าเห็นแม่ส่ายหน้ายิ้มๆ น้ำนิ่งเลยยิ้มตอบแบบเขินๆ เจ้าลูกตัวดีก็ช่างห่วงเมียเด็กเกินเหตุ

   “เจ้าราล์ฟล่ะสิ  มันบ้าบอโทรหาแม่แทบจะทุกครึ่งชั่วโมงย้ำแล้วย้ำอีกให้ดูเมียมันดีๆ นิสัยเหมือนป๋าไม่มีผิดหึ หึ“  แม่เกลล์กล่าวถึงอีกคนด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้แกมเอ็นดู

   “.....”  ไม่มีเสียงตอบจากน้ำนิ่ง มีแต่หน้าที่ขึ้นสีระเรื่องรอเวลาระเบิดและรอยยิ้มเขินอายให้คนเป็นแม่ ก่อนจะก้มหน้างุดจ้วงตักข้าวกิน แต่ยังได้ยินเสียงหัวเราะล้อเลียนของแม่กระทบโสตให้ได้เขินอายกว่าเดิม

   “เติมข้าวอีกไหมครับ” เกลล์ถามหลังจากเห็นข้าวในจานของน้ำนิ่งหมด แล้วคนร่างบางเตรียมรวบช้อน

   “พอแล้วฮะ อาหารอร่อยมากทำให้น้ำลืมตัวกินจนอิ่มตื้อพุ่งปลิ้นเลย” 

   “อ้าว ยังงี้ก็ไม่มีเหลือพอสำหรับใส่ทับทิมลอยแก้ว  กับบัวลอยไข่หวานนะสิ เอาไหมครับที่นี่ของเขาอร่อยนะแม่รับรองเลย”

   “ไม่ไหวแล้วฮะ แม่ดูสิพุงปลิ้นแล้วด้วย”  คนตัวบางทำหน้ามุ่ย ยกเสื้อเชิ้ตสีขาวเปิดพุงที่ยังแบนราบให้คนเป็นแม่ดู จนคนเป็นแม่หัวเราะเสียงดังลั่น

   “ฮ่า ฮ่า เอ้าอิ่มก็อิ่ม งั้นกลับบ้านไปพักผ่อนดีกว่า แดดชักแรงแล้วเดี๋ยวไม่สบาย”

   “ก็ได้ฮะ”

   คณะคุณนายเคลื่อนขบวนออกจากโรงเตี๊ยมตอนบ่ายโมงเศษ ระหว่างทางเราแวะดูร้านค้าผลิตภัณฑ์จากใบชาและของฝากนิดหน่อยกว่าจะถึงบ้านก็เกือบบ่ายสอง  เกลล์สั่งให้น้ำนิ่งอาบน้ำให้สบายตัวแล้วนอนพักผ่อนได้เลย แล้วเกลล์ก็กลับออกไปดูงานที่ออฟฟิตซึ่งอยู่ปากทางเข้าไร่ต่อ





   น้ำนิ่งรู้สึกตัวตื่นเพราะแรงกอดกระชับจนรู้สึกถึงความอึดอัดหันหลังกลับไปมองเห็นใบหน้าหล่อคมเข้มของคนตัวโตที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง น้ำนิ่งขยับตัวหันหน้าเข้าหาคนตัวโตใช้แรงผลักให้นอนหงายสงสัยจะเหนื่อยและง่วงจริงๆ จึงยังไม่รู้สึกตัว น้ำนิ่งปีนขึ้นไปนั่งทับหน้าท้องแกร่งชะโงกตัวลงไปใช้ลิ้นเล็กชื้นของตัวเองไล้เลียและกดจูบไปตามกลีบปากหนาค่อนข้างแรง แต่คนใต้ร่างก็ยังไม่ตื่น มีเพียงเสียงครางฮืออาในลำคอแล้วก็เงียบไป ยิ่งทำให้คนร่างบางได้ใจก้มลงไล้ลิ้นเลียขบเม้มริมฝีปากหนาหนักข้อกว่าเดิม น้ำนิ่งลากจูบไปจนถึงใต้คาง ซอกคอ มือเรียวเล็กสอดเข้าไปในเสื้อกล้ามของคนตัวโตดึงรั้งขึ้นมาจนเผยให้เห็นยอดอกสีชมพูจาง น้ำนิ่งยกยิ้มมุมปากพอใจ ก้มลงครอบปากลงดูดดึงและตวัดลิ้นเล็กเลียวน  อีกข้างก็บีบบี้อย่างแรง  สะโพกกลมมนร่อนส่ายไปมาเสียดสีกับท่อนลำของคนใต้ร่างจนเริ่มแข็งขืนน้ำเหนียวข้นเริ่มปริ่มปลายนิดๆ ซึมเปียกกางเกงนอนเนื้อบางจนรู้สึกได้

   “อ๊า  อา...ลุง” 

   “อา...ยั่วเหรอ?” คนใต้ร่างหลุดคราง  เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆ ลืมขึ้นดูคนบนร่างที่ยังร่อนส่ายสะโพกให้คลึงเคล้ากับท่อนลำของเขาอย่างหลงใหล นัยน์คมสีแปลกเปิดเปลือยถึงความต้องการราวกับสัตว์ป่าที่กำลังกระหายอยาก...คิ้วเข้มยกขึ้นเป็นเชิงถาม

   “อยาก!?”

   “....”

    ไม่มีเสียงตอบจากปากร่างบาง  น้ำนิ่งยืดตัวขึ้นเอนทั้งตัวไปข้างหลังมือเรียววางบนหน้าขาของภูมิรพีค้ำยันไว้ไม่ให้ล้ม หน้าหวานแหงนเงยตาหลับพริ้ม  สะโพกมนขยับบดเบียดเนิบนาบเป็นจังหวะ ริมฝีปากนุ่มชื้นแวววาวด้วยน้ำลายเผยออก ลิ้นเล็กนุ่มหยุ่นสีแดงแลบเลียริมฝีปากของตัวเองจนฉ่ำชื้น  แม่ตัวดีเปิดตามองภูมิรพีฉ้ำหวานเชิญชวน  ยิ้มหวานยั่วเย้าทำเอาคนใต้ร่างชะงักค้าง  ก่อนที่จะทันได้รู้สึกตัวน้ำนิ่งโดดผลุงลงข้างเตียงวิ่งเผ่นแผ่วอย่างรวดเร็วถึงประตู

   “หิวต่างหาก ลามกนะลุง” 

    ตอบแค่นั้นแม่เมียตัวดีดันตัวออกจากประตูไปอย่างรวดเร็ว  เสียงประตูที่ปิดกลับดังปังทำให้ตาลุงลามกสติกลับคืนสบถดังลั่น...

   “แม่ตัวดี!!”









TBC.

ปล. 


1. เหนื่อยกับงานราษฎร์งานหลวง แต่ก็เข็นตอนนี้จนจบก็ยังไม่มีอะไรก็แค่นำเสนอชีวิตหนึ่งวันของครอบครัวสุขสันต์ตอนหน้าจะพักสองคนนี้ไว้ก่อนเพราะเคลียร์คิวว่างไม่ได้  (จริงๆ คือหมดมุขที่จะเล่าต่อ55+) เราจะเอาคนอื่นมายำบ้าง

2. ขอบคุณสำหรับการติดตาม  และขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ    :)



หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.18_แม่ตัวดี_P.5 อัพเดต 17-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-11-2015 20:50:36
ตัวแสบมากกว่า อิอิ
ขอบคุณค่ะ มุ้งมิ้งจัง
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.18_แม่ตัวดี_P.5 อัพเดต 17-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 17-11-2015 22:04:50
 :z2: จับได้ละเหนื่อยแน่อีหนู
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.18_แม่ตัวดี_P.5 อัพเดต 17-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-11-2015 09:45:39
“ฮื่อ..ปล่อยหอนทำอาหารอยู่เห็นไหมเนี่ย”  
ส่วนแม่เกลล์ตักขอแอปเปิ้ลทอดสามชิ้นราดน้ำผึ้ง
หล่นปลาอินทรีสด  หมูหวาน  แกงคั่วหอมขม

ช๊อบชอบ คณะคุณนาย ว่าแต่คุณผู้จัดการโรงเตี๊ยมนี่หลงเสน่ห์น้องน้ำซินะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.18_แม่ตัวดี_P.5 อัพเดต 17-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 18-11-2015 17:10:40
น้ำนิ่งร้ายจริงๆ

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.18_แม่ตัวดี_P.5 อัพเดต 17-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 18-11-2015 17:19:38

ขอบคุณมากมายสำหรับติดตามเสมอมา :)


@ ❣☾月亮☽❣
>>  “ตัวแสบ”  ทำไมตอนเขียนเค้าคิดไม่ออกน่าคำนี้


@ boonpa
>>  ข่าวว่ากว่าภูมิรพีจะได้จับกดคงจะอีกนาน555+ น่าสงสารเนอะ


@ TaecKhun Imagine Love
>>   ขอบคุณครับผม  ขอยอมรับว่าอ่านไม่ละเอียด  แก้ไขคำไม่หมดทุกบรรทัดจริงๆ 


@ Ginny Jinny 
>>   เห็นจะต้องยกความดีความชอบให้แม่ปั๋ว ที่เทรนงานมาอย่างดี หุ หุ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.18_แม่ตัวดี_P.5 อัพเดต 17-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-11-2015 17:55:41
มีคำผิดอีกจุดนึงค่ะ ตอนท้ายๆ. คำว่า เป็นจังหวะ. เขียนว่าเป็นจังหวัด. ฮาเลย
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.18_แม่ตัวดี_P.5 อัพเดต 17-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 18-11-2015 18:09:32
มีคำผิดอีกจุดนึงค่ะ ตอนท้ายๆ. คำว่า เป็นจังหวะ. เขียนว่าเป็นจังหวัด. ฮาเลย


ขอบคุณครับเค้าแก้ไขแล้วน้า...บางทีมือเค้ามันก็ไปไวกว่าหัวสมอง
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.18_แม่ตัวดี_P.5 อัพเดต 17-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 18-11-2015 21:03:09
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:ลุงอย่างหื่นอะ :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.18_แม่ตัวดี_P.5 อัพเดต ตัวอย่างตอนต่อไป 18-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 19-11-2015 23:52:35

ตัวอย่างตอนต่อไป


   ‘ตุบ  ผลัวะ’ 

   “อั๊ก...อึก..”

   ‘มึงจะไม่ยอมอ้าปากใช่ไหมไอ้หมูโสโครก  สัส!! มึงเอาของกูไปไว้ไหน’

   ‘กูไม่ได้เอาไป กูไม่รู้...อ๊ากก’   มันหักแขนเด็กหนุ่มจนบิดห้อยผิดรูป

   ‘มึงได้ตายแน่น... ถ้ายังไม่พูด’

   ผลัวะ! ผลัวะ!  มันประเคนหมัดที่หนักราวค้อนปอนด์เข้าชายโครงเด็กหนุ่มจนร่างทรุดกองลงแทบเท้า มันเอื้อมมือไปด้านหลังดึงมีดสนามออกมาก่อนจะก้มลงกระชากร่างที่นอนหายใจขาดห้วงอยู่บนพื้นถนนจ้วงแทงเข้าที่ท้องไม่ยั้ง

   ฉึกๆ

   ‘อึก...กู มะ...ไม่ ได้ เอา ไป..’

   ‘ตุบ’  ร่างของเด็กหนุ่มทรุดกองกับพื้นก่อนจะยกเท้าเบอร์ 42 กระทืบเหยียบบดลงบาดแผลถูกแทงเน้นๆ  เลือดไหลทะลักออกมาจากปากแผลหยดลงไปตามพื้น

   ผลัวะ!  ตุบ!  ตุบ!  โผละ!

   เสียงหมัด เสียงกระโหลกที่โขลกกับพื้นถนนอย่างแรงไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายของเด็กหนุ่มเพราะมันเจ็บจนด้านชาหนักอึ้งขยับตัวไม่ได้แล้ว หน้าตาแตกยับบวมปูดเลือดจากหางคิ้วที่แตกไหลกลบตาจนแทบมองไม่เห็นสิ่งรอบข้าง แขนบิดห้อยผิดรูปแผลถูกแทงเลือดสีแดงข้นคักไหลทะลักไม่หยุด ลมหายใจรวยรินแทบจะจับสัญญาณชีพ เสียงเย็นเยียบที่ได้ยินทำให้เด็กหนุ่มขนคอตั้งชันราวมัจจุราชปลิดชีพก่อนสติจะดับวูบไป

   ‘เก็บกวาดซะ’ 






เด็กหนุ่มนี่เป็นใครกันน้า....???



หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.18_แม่ตัวดี_P.5 อัพเดต ตัวอย่างตอนต่อไป 18-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 20-11-2015 22:52:33
 :confuse: :confuse:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.19_Keep the Faith_P.5 อัพเดต 21-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 21-11-2015 16:41:58
เด็กเลี้ยง




- 19 -


Keep the Faith









   ย่านสลัมของฮ่องกงเมืองศิวิไลซ์ ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ห้าคนกำลังรุมกินโต๊ะเด็กหนุ่มร่างสูงผอม ทั้งหมัดทั้งเท้าถูกประเคนเข้าใส่ร่างอ่อนแรงดังสะท้อนก้องตรอกแคบๆ นั่น

   ‘ตุบ  ผลัวะ’ 

   'อั๊ก...อึก..'

   ‘มึงจะไม่ยอมอ้าปากใช่ไหมไอ้หมูโสโครก  สัส!! มึงเอาของกูไปไว้ไหน’

   ‘กูไม่ได้เอาไป กูไม่รู้...อ๊ากก’   มันหักแขนเด็กหนุ่มจนบิดห้อยผิดรูป

   ‘กูอยากรู้ว่ามึงเอามันไปไว้ที่ไหน’

   ‘…’

   ‘จะพูดได้หรือยังว่าเอามันไปไว้ที่ไหน’  ผลัวะ! ผลัวะ! มันประเคนหมัดที่หนักราวค้อนปอนด์เข้าชายโครงเด็กหนุ่มจนร่างทรุดกองลงแทบเท้า มันเอื้อมมือไปด้านหลังดึงมีดสนามออกมาจากซองก่อนจะก้มลงกระชากร่างที่นอนหายใจขาดห้วงอยู่บนพื้นถนนขึ้นมาตะคอกถามเสียงข่มขู่

   ‘มึงอยากตาย...กูสงเคราะห์มึงได้’ 

   ฉัวะ ฉัวะ   

   ‘อึก...กู มะ...ไม่ ได้ เอา ไป..’

   ‘ตุบ’  ร่างของเด็กหนุ่มทรุดกองกับพื้น มันยกเท้าเบอร์ 42 กระทืบลงบนบาดแผลถูกแทงเหยียบบดเน้นๆ  เลือดแดงข้นคักไหลทะลักออกมาจากปากแผลหยดลงไปตามพื้น

   ผลัวะ!  ตุบ!  ตุบ!  โผละ!

   เสียงหมัด เสียงกระโหลกที่โขลกกับพื้นถนนอย่างแรงไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายของเด็กหนุ่มเพราะมันเจ็บจนด้านชาหนักอึ้งขยับตัวไม่ได้แล้ว หน้าตาแตกยับบวมปูดเลือดจากหางคิ้วที่แตกไหลกลบตาจนแทบมองไม่เห็นสิ่งรอบข้าง แขนบิดห้อยผิดรูปทิ้งลงข้างตัว แผลถูกแทงเลือดสีแดงข้นคักไหลทะลักไม่หยุด  ลมหายใจรวยรินแทบจะจับสัญญาณชีพไม่ได้  เสียงเย็นเยียบที่ได้ยินทำให้เด็กหนุ่มขนคอตั้งชันราวมัจจุราชปลิดชีพก่อนสติจะดับวูบไป

   ‘เก็บกวาดซะ’ 









   แสงสว่างจ้าจากไฟนีออนที่ติดกลางเพดานทำให้เด็กหนุ่มต้องหลับตาลงอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ลืมขึ้นมาใหม่ บาดแผลถูกแทงไม่ปวดเท่าไรแล้ว แขนข้างขวาหนักอึ้งติดอยู่ในเฝือก เด็กหนุ่มยกมือข้างซ้ายเสียบเข็มน้ำเกลือดึงสายส่งออกซิเจนเสียบระโยงระยางออกจากจมูก กลิ่นยาฆ่าเชื้อเจือจางอยู่ในบรรยากาศ เหนือหัวขึ้นไปขวดน้ำเกลือที่เหลือค่อนขวดบอกให้รู้ว่าเขานอนอยู่โรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง...

    เขายังไม่ตายอีกเหรอ ชายชุดดำเหล่านั้นช่วยเขาเหรอ พวกมันต้องการอะไร? เขาก็แค่หมาขี้เรื้อนที่ไม่มีใครต้องการถึงจะตายในตรอกแคบๆ นั่นก็คงไม่ได้รับความสนใจจากใคร...


   ‘รู้สึกตัวแล้วเหรอ ฉันนึกว่าเธอเบื่อไอ้โลกเฮงชวยนี้จนไม่อยากจะฟื้นแล้วซะอีก เห็นนอนเงียบเกือบสามสัปดาห์แล้ว’

   ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองนั้น เสียงเรียบนิ่งกังวานทรงอำนาจของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นฉุดดึงให้ความคิดของเด็กหนุ่มกลับมาที่ปัจจุบัน  เขาหันตามเสียงสบเข้ากับดวงตาสีแปลกคมดุแฝงความเด็ดขาดของชายต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่ ชายชุดดำหน้านิ่งเรียบเฉยชาอีกสี่คนยืนเฝ้าห่างออกไป เด็กหนุ่มขยับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อหนีทำให้ความปวดแผลแล่นริ้วทั่วร่าง

   ‘ซี๊ดด...’

   ‘อยู่นิ่งๆ!!’ 

   เสียงตวาดเข้มดุนั่นทำให้เด็กหนุ่มชะงักนิ่งขนคอตั้งชันด้วยความกลัว ก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรประตูห้องถูกเปิดเข้ามาโดยหมอและพยาบาลซึ่งถูกเรียกตัวด่วนให้มาตรวจอาการเด็กหนุ่ม ผู้มาใหม่ก้มหัวทักทายชายหนุ่มก่อนจะเลี่ยงมาที่เตียงลงมือตรวจร่างกายเด็กหนุ่มอย่างละเอียดอยู่หลายนาที

   ‘เขาเป็นยังไงบ้างหมอ’   ชายคนนั้นเอ่ยถามหลังจากที่คุณหมอตรวจร่างกายเด็กหนุ่มเสร็จ

   ‘อาการไม่มีอะไรน่าห่วงครับ บาดแผลสมานกันเกือบสนิทหมดแล้ว ท้องไม่บวมไม่มีเลือดออกในช่องท้องถือเป็นข่าวดีครับท่าน  ถ้าจะเคลื่อนย้ายเขากลับวันนี้ก็ทำได้ครับแต่ขอให้ระวังด้วย’  คุณหมอแจ้งผลการตรวจกับคุณท่านก่อนจะหันกลับไปหยิบชาร์ตจากปลายเตียงมาเขียนผลการตรวจและใบสั่งยาเสร็จแล้วจึงยื่นชาร์ทคืนให้กับพยาบาลหลังจากนั้นคุณหมอก็ขอตัวออกไปตรวจคนไข้คนอื่นต่อ 

    คุณท่านไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา สายตาคมดุหรี่ลงมองนิ่งไม่ได้กดดันแต่กลับทำให้เด็กหนุ่มขยับตัวหนีไปอีกฝั่งด้วยความลืมตัว เหงื่อเม็ดโตซึมตามไรผม ใจสั่นมือสั่นจนคิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าคงจะรู้สึกได้ พูดปฏิเสธเสียงอึกอัก

   ‘โอ๊ย!! ผะ ผมไม่รู้  ไม่ได้เอาอะไรของคุณมา ยะ อย่าทำอะไรผมเลย’   

   ‘ขยับทำซากทำไม  แล้วนี่อะไร!! หรือเล่นมันไปแล้ว’ 

    คุณท่านตะคอกถามเสียงดังด้วยโทสะ  เดินเข้ามากระชากแขนซ้ายของเด็กหนุ่มที่ปรากฏรอยเข็มฉีดยาจางๆ หลายรอย  ก่อนจะทิ้งมันลงไปตามเดิม สายตาหลุกหลิกของเด็กหนุ่มชำเลืองมองชายหนุ่มเพียงแวบก่อนจะก้มลงหลบสายตาเหมือนเดิม  มือใหญ่ที่แข็งราวกับคีมตัดเหล็กบีบกรามแน่นบังคับให้หน้าของเด็กหนุ่มเงยขึ้น สายตาคมดุจ้องมองเขม็งกดดันให้เปิดปากเล่าความจริง ความกลัวแผ่ไปทั่วตัวเด็กหนุ่มพยายามเบือนสายตาไปทางอื่น เหงื่อผุดพรายตามไรผม มือแกร่งบีบกรามเด็กหนุ่มแน่นขึ้น จนยอมเบือนสายตาที่เต็มไปด้วยความกลัวมองสบสายตาคมดุนั่นอีกครั้ง

   'ฉันเกียจการโกหก และฉันฆ่าเธอได้ไอ้หนู'  เสียงต่ำเย็นราวจะกระชากวิญญาณบอกให้รู้ว่าชายหนุ่มหมายความตามนั่นจริงๆ ตาสีแปลกคมดุของเขาสีเข้มขึ้น

   “มอร์ฟีน  แค่มอร์ฟีน...”

   “แค่!  เธอบอกแค่เหรอ”  เสียงตะคอกเข้มดุด้วยความโกธรของคุณท่านดังขึ้นอีกครั้ง จนทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งมือสั่นเทาด้วยความกลัว เหงื่อกาฬเม็ดโตผุดพรายเต็มหน้า

   “ผะ ผม พยายามเลิกมันอยู่ สาบานได้ ผะ ผม ไม่ได้ขโมยอะไรของพวกคุณมา” ความเย็นยะเยือกยังแผ่ไปทั่วบริเวณกดดันให้เด็กหนุ่มบอกเสียงละล่ำละลักตัวสั่นเทาด้วยความกลัวยิ่งกว่าเดิม

   “เมื่อไร”

   ‘....’ 

   ‘เมื่อไร!! เธอเล่นมันมานานเท่าไรแล้ว’ 

   ‘คะ คริสมาสต์ที่แล้ว แรกๆ ก็แค่ระงับปวด แต่ตอนหลังผมใช้มันเพราะอยากจะลืมอะไรบางอย่าง ทะ ที่มันตีกันยุ่งอยู่ในหัวผม”  ชายหนุ่มรับฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มบอกด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง สายตาสีแปลกหรี่ลงไม่ได้บ่งบอกว่าเชื่อในสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดซะทีเดียว



    ‘เอาเป็นว่าฉันจะเชื่อแล้วกัน  ฉันชื่ออเลสซานโดรไม่ใช่พวกสวะนั่น เธอชื่ออะไร แล้วไปทำห่าอะไรอยู่ที่นั่น’  หลังจากนิ่งเงียบกันไปนานคุณท่านเอ่ยถามเสียงเรียบนิ่ง

   ‘ชะ เซน  ใช่ผมชื่อ เซน  ผมจำได้แค่ว่าตัวเองชื่อนั้นตั้งแต่ที่ฟื้นมาคราวที่แล้ว ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครทำอะไรมาก่อนหน้านั้น  พวกมันคิดว่าผมมีส่วนรู้เห็นในการขโมยโคเคนมา เด็กติดยาอย่างผมอาจจะไม่มีเกียรติเพียงพอที่จะให้คุณเชื่อสิ่งที่ผมพูด แต่พระเจ้า สาบานได้ผมไม่รู้ ผมไม่ได้ขโมยมันมา’ เด็กหนุ่มตอบเสียงเข้มจริงจัง สายตาที่มองมาเด็ดเดี่ยว ไม่หลุกหลิก ต่างไปจากตอนที่เขาพยายามเบี่ยงเบนประเด็นการเสพย์มอร์ฟืนโดยสิ้นเชิง เขาคงจะเชื่อได้ว่าเด็กนี่พูดจริง แต่ไม่เข้าใจว่ามีเรื่องกับพวกนั่นได้ยังไง

   ‘บ้านอยู่ไหนจะให้คนไปส่ง’  อเลสซานโดรถามเสียงเรียบนิ่งหลังจากที่ยืนครุ่นคิดอยู่นาน เซนก้มหน้าเงียบมองมือตัวเองที่วางอยู่บนหน้าตักอยู่นานก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบ

   ‘ผมไม่มั่นใจ...’ 

   ‘ก่อนที่จะมีเรื่องนายอยู่ยังไง’

.   ‘ผมอยู่กับเหว่ย แต่เขาหายไปตอนที่ผมถูกจับตัวมา ผมไม่รู้ว่าเขาไปไหน’

.   ‘.....’   

   ‘ไปอยู่กับฉัน’

   ‘แต่...’

   ‘ฉันสั่งก็ทำ’ 

   อเลสซานโดรสั่งเสียงเข้มจริงจังกับเซนทำให้เด็กหนุ่มปิดปากเงียบ ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออก ร่างสูงใหญ่เดินห่างออกไปหยุดยืนริมหน้าต่าง สายตาครุ่นคิดมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมพูดตอบโต้คนในสายด้วยภาษาที่เซนไม่เข้าใจ

   ‘เกริดา สถานการณ์ที่เผชิญอยู่มันน่าเป็นห่วง คุณจะว่าอะไรรึเปล่าถ้าผมจะเอาเซนไปอยู่กับเราด้วย’

   // ชื่อเซนเหรอครับ น่าจะอายุเท่าๆ ราฟาเอล แล้วครอบครัวเขาละครับ //

   ‘คิดว่าน่าจะอายุมากกว่าเจ้านั่น ไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว ความจำเสื่อม แถมเล่นยาถึงจะแค่มอร์ฟืนตามที่เขาบอกแต่ยังไงมันก็คือยาเสพติด เขาก้าวพลาดเพราะขาดทุกอย่างที่ควรจะมี เกริดาเราทุกคนควรมีหลุมฝังศพตัวเอาไว้เพื่อฝังความผิดของเพื่อนๆ และผู้ที่เขารัก เราดึงเขากลับมาในทางที่ถูกต้องได้ ช่วยกันเยี่ยวยาเขา ผมเชื่อว่าเจ้าเด็กนี่ไม่ได้เลวในกมลสันดานแต่ที่ล้มเหลวเพราะขาดความเด็ดเดี่ยว หรือคุณว่าไง’

   //เขาเป็นของขวัญอันล้ำค่าที่พระเจ้าประทานมา สิ่งที่เราจะสามารถมอบให้เขาได้คือ ความรักและตัวอย่างที่ดี เราจะช่วยเขาครับ//

   ‘ตามใจคุณ เราอาจจะถึงบ้านช้าสักนิดผมอยากจะให้หมอตรวจสมองเขาให้ละเอียดอีกครั้ง’

   //ดีครับ เผื่อมีอะไรเราจะได้รักษาเขาได้ทันที แม้เพิ่งจะรู้จักเขาผมก็ไม่อาจสูญเสียใครอีกแล้ว //

   “ได้เดี๋ยวเจอกันครับ รักที่รักนะครับ” 

   // ครับรู้แล้ว รักคุณเหมือนกัน แล้วเจอกันครับ //


   ‘แดเนียลติดต่อหมอคิมทีบอกเขาว่าฉันต้องการให้เซนเข้าตรวจสมองโดยละเอียดเดี๋ยวนี้’

   หลังจากเก็บโทรศัพท์เข้าที่เดิมอเลสซานโดรหันกลับมามองคนป่วยบนเตียง แล้วสั่งแดเนียลทั้งที่ยังมองหน้าของคนป่วยอยู่

   ‘ท่านครับ คุณหมอคิมให้พาคุณเซนไปพบได้เลยครับ’ แดเนียลบอกกับอเลสซานโดรหลังจากที่คุยโทรศัพท์กับคุณหมอคิมไม่นาน

   ‘งั้นเราไปกันเลย’

   คุณท่านสั่งเสร็จก็หันกลับเดินออกประตูไปก่อน เซนถูกบอดี้การ์ดอีกคนเข้าประคองตัวเดินตามไป เราลงลิฟต์มาจนถึงชั้นสี่บริเวณห้อง TC Scan เซนถูกแนะนำให้รู้จักกับคุณหมอคิมและถูกนำตัวเข้าห้องสแกน ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย หมอคิมให้คุณท่านพร้อมคนป่วยนั่งรอผลการตรวจที่ห้องพักแพทย์ของเขาร่วมยี่สิบนาทีผลการตรวจก็ส่งถึงมือหมอคิมๆ อ่านผลการตรวจอยู่ไม่นานก็เงยหน้าขึ้นมองคนป่วย

     ‘ผลจากการแสกนโดยละเอียดคุณเห็นนี่ไหมจุดเล็กๆ สักประมาณ 0.1 มิล อยู่ตรงนี้ หมอสันนิฐานว่าเลือดที่คลั่งอยู่นี่คงจะเป็นสาเหตุทำให้ความจำบางช่วงของคุณเซนหายไป บริเวณรอบไม่มีรอยฟกซ้ำ ฉีกขาด หรือสมองบวม จุดเล็กๆ นี่ไม่ได้มีอันตรายอะไรจึงไม่จำเป็นต้องผ่าตัด หมอเดาว่าจุดนี่คงจะมาจากรอยแผลเป็นยาวสักนิ้วบริเวณท้ายทอยข้างซ้าย พอจะบอกได้ไหมครับว่าคุณเซนมีอาการแบบนี้มานานเท่าไรแล้วครับ’  คุณหมอคิมอธิบายผลการสแกน เซนมองหน้าคุณหมออยู่อึดใจใหญ่ก่อนจะยอมเปิดปากเล่าถึงสาเหตุให้ทั้งหมดฟัง


   ‘ก่อนคริสมาสต์ที่แล้วผมถูกทำร้าย  เหว่ย อะ เออคนที่ให้ผมอยู่ด้วยเขาช่วยผมจากคนของ ACE สภาพตอนนั้นเป็นตายเท่ากันเขาเอาผมไปทิ้งไว้กับญาติของเขาที่เป็นหมอสัตว์ย่านชุมชนแออัด ผมนอนสลบอยู่เป็นเดือนฟื้นขึ้นมาจำได้แค่ว่าตัวเองชื่ออะไร จำไม่ได้ว่าก่อนหน้าจะโดนทำร้ายอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรมาก่อน พวกเขารักษาผมแบบตามมีตามเกิดเวลาปวดมากๆ เขาฉีดแค่มอร์ฟีนระงับปวดให้ พอหายเหว่ยเขาให้ผมไปอยู่กับเขา…’  เซนอธิบายยืดยาวให้คุณหมอฟัง หางตาเห็นคุณท่านที่นั่งกอดอกเอนตัวพิงพนักโซฟารับแขกห่างออกไปเล็กน้อยด้วยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเองไม่ได้บ่งบอกว่าสบายเหมือนท่าทางที่คุณท่านแสดงออก

   ‘ตอนนี้คุณเชนจำอะไรได้บ้างหรือยังครับ ปวดหัวรึเปล่า’   คุณหมอคิมถามผม

   ‘มันว๊าบเข้ามาในสมองบางครั้งแล้วก็เลือนหายเมื่อผมพยายามจะคิดถึงมัน พอคิดมากๆ เข้าในหัวนี่มันปวดแทบระเบิด ผมอาเจียนจนหมดไส้หมดพุงทุกครั้ง เหว่ยทนเห็นผมเป็นแบบนั้นไม่ไหวเขาฉีดมอร์ฟีนให้ผมเพื่อให้ลืมมัน  หลังๆ ผมใช้มันเพราะติด’ เชนตอบคำถามเหมือนไม่ยี่หระและปลงสังเวชในชีวิต คุณหมอคิมชำเลืองมองไปทางคุณท่านทั้งคู่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

   “ระ เรื่องมอร์ฟีนผมกำลังพยายามเลิกมันอยู่  ผะ ผมไม่ได้ใช้มันนานแล้ว”  เด็กหนุ่มบอกด้วยเสียงร้อนรน มือเย็นชื้นเหงื่อสั่นน้อยๆ จับแขนหมอคิมแน่น

   ‘หมอเข้าใจไม่เป็นไรไม่ต้องคิดมากนะ เรื่องความจำหมอแนะนำว่าคุณเชนควรปล่อยวาง อย่าเครียด อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดี คนรอบข้างก็ควรให้ความรักความเอาใจใส่ หมอว่าแบบนี้จะทำให้ความจำที่หายไปของคุณค่อยๆ กลับมาเร็วขึ้น ส่วนเรื่องบำบัดหมอจะส่งเรื่องให้เพื่อนของหมอดูแลต่อนะครับ’  หมอคิมตบลงบนบ่าของเซนอย่างให้กำลังใจ

   พวกเรานั่งรับฟังผลการตรวจและการรักษาตัวของผมอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เมื่อได้รับความกระจ่างคุณท่านหน้าเข้มดุเอ่ยขอตัวพาผมกลับไปพักผ่อน ก็พอดีกับคุณหมอคิมมีคนไข้ด่วนเข้ามาเหมือนกัน

   ‘แดเนียลไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย เราจะกลับกันแล้ว’

   คุณท่านหันไปสั่งบอดี้การ์ดคนสนิทก่อนที่จะพยักหน้าให้ทุกคนออกเดินทาง  ผมถูกบอดี้การ์ดคนเดิมประคองตัวเดินตามหลังคุณท่านหน้าเรียบนิ่งแต่สายตามีแววกังวลครุ่นคิดเข้าไปในลิฟต์ บรรยากาศภายในลิฟต์เงียบกริบ แม้เข็มสักเล่มหล่นลงก็คงจะได้ยิน พวกเราลงมาจนถึงชั้นใต้ดินลานจอดรถ หน้าประตูลิฟต์มีรถหรูสีดำมันปลาบจอดรอพวกเราอยู่ คนขับรถเปิดประตูรถให้คุณท่านเข้าไปนั่งก่อน แล้วบอดี้การ์ดคนเดิมประคอง ผมขึ้นไปนั่งข้างคุณท่าน ปิดประตูให้ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณโรงพยาบาล



   รถคันหรูขับผ่านย่านจอแจของเมืองออกสู่เส้นทางไปยังเกาะทางใต้ของฮ่องกง  คุณท่านไม่ได้พูดอะไรกับผมอีก เขาวุ่นอยู่กับการดูตารางตัวเลขบนหน้าจอโน้ตบุ๊คขนาดกะทัดรัดที่เปิดกางไว้บนตักพร้อมกับพูดโทรศัพท์ด้วยภาษาที่ผมฟังไม่เข้าใจ บางครั้งเขาก็โทรสั่งงานเสียงเข้มดุติดจะหงุดหงิด บรรยากาศภายในรถ  ชวนให้อึดอัดราวกับจะขาดอากาศหายใจทั้งที่เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศชั้นดี ผมเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถเพื่อลดความตึงเครียดในอารมณ์

    เกือบชั่วโมงรถคันหรูขับเข้าไปจอดที่บ้านพักตากอากาศหลังใหญ่แบบพลูวิลล่าริมหน้าผาอ่าวแสตนลีย์ บริเวณบันไดหน้าบ้านมีพ่อบ้านและเมดนับสิบคนยืนคอยต้อนรับอยู่ พอรถจอดสนิทพ่อบ้านเดินมาเปิดประตูรถฝั่งคุณท่านออกเขาก้าวลงจากรถ ส่วนผมโดนบอดี้การ์ดคนเดิมประคองลงจากรถไปยืนเยื้ยงหลังคุณท่านอีกที

   ‘สวัสดีครับคุณท่าน’   ชายวัยกลางคนกล่าวทักทาย เมดคนอื่นๆ ก็กล่าวทักทายและโค้งคำนับเช่นกัน

   ‘สวัสดีลุงเจียง  ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ นายหญิงอยู่ไหน’  คุณท่านเอ่ยถามเสียงเรียบ

   ‘เรียบร้อยครับคุณท่าน  นายผู้หญิงอยู่ที่ห้องรับแขกครับ’  คุณพ่อบ้านกล่าวตอบเสียงอ่อนน้อม

   ‘อ้อ นี่เซนลูกชายของฉัน พี่ชายของราฟาเอล’  คำพูดของนายท่านทำให้ผมถึงกับชะงักอึ้งในน้ำเสียงที่เขาพูดมันหมายความตามนั้นจริงๆ 

   ‘สวัสดีครับคุณเซน ขอต้อนรับสู่จิโอวาดินี่ ถ้ามีอะไรขาดเหลือเรียกผมได้ตลอดเวลานะครับ’

   ‘ส  สวัสดีครับ’ 

   ผมกล่าวคำทักทายพ่อบ้านเจียงและส่งยิ้มไปให้เขา ก่อนที่บอดี้การ์ดจะประคองพาผมตามคุณท่านเข้าไปในบ้าน ที่ห้องรับแขกผมเห็นผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่งที่สวยมากคนหนึ่งยืนรอพวกเราอยู่ รอยยิ้มของเธอมันทำให้ห้องทั้งห้องสว่างไสวอบอวลไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนที่ฉายชัดจากดวงตาเรียวสวย เธอกางแขนเรียวเล็กออกกว้าง คุณท่านเดินเข้าไปในอ้อมกอดนั้น  กดจูบที่ปากรูปกระจับสีสดนั้นอย่างอ่อนโยนเพียงชั่วครู่ก่อนจะผละออก แต่แขนแกร่งของคนตัวโตยังโอบร่างโปร่งบางไว้ ทั้งคู่เดินเข้ามาหาผมรอยยิ้มอบอุ่นที่แตะแต้มบนหน้าสวยของเธอมันทำให้ใจผมอุ่นวาบราวกับได้พบกับคนคุ้นเคย

   ‘เซน ลูกชายของเรา’   คุณท่านเอ่ยแนะนำผมกับภรรยาของเขา

   เธอผละออกจากอ้อมกอดของคุณท่านเดินมาหยุดตรงหน้าผมกางแขนออกโอบกอดผมไว้แน่น ความรู้สึกแรกที่รับรู้ว่าคนที่กอดผมเป็นผู้ชายมันไม่ได้แปลกแปร่ง  กลิ่นอายของความเป็นแม่มันอวลอยู่รอบตัวของผู้ชายคนนี้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างอ้อมกอดของแม่ อ้อมกอดของครอบครัว ความรู้สึกมันเป็นเช่นนี้เอง สิ่งที่ผมโหยหามาตลอดเป็นเช่นนี้เอง ที่นี่คือบ้าน ผมถึงบ้านแล้ว.อ้อมกอดของแม่ที่ผมโหยหามันมีอยู่ในตัวของผู้ชายตรงหน้าผม...ผ่านไปนานหลายนาทีเขาคลายอ้อมกอดออก ผละออกห่างจากผมเล็กน้อยนิ้วเรียวเล็กยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่ผมไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองร้องไห้ออกจากหน้า

   ‘ไม่เป็นไรแล้วนะครับ อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปไม่ต้องคิดไม่ต้องพูดถึงมัน  เรามาเริ่มสร้างความทรงจำที่ดีกันใหม่ด้วยกัน ต่อไปนี้เซนมีป๋า มีแม่ แล้วก็มีน้อง เซนไม่ได้อยู่คนเดียว เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะครับ’ 

   เธอเอ่ยปลอบเสียงหวานกังวานใส ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้ง  ผมโอบมือที่ไม่ติดเฝือกไปกอดตอบเธอแน่น  สักพักผมรับรู้ได้ถึงอ้อมกอดที่แข็งแกร่งกว่าของคุณท่านที่โอบเราทั้งคู่เข้าในอ้อมกอดของเขา มันอบอุ่นกว่าตอนที่ผมกอดตัวเองเป็นไหนๆ... 

   ‘ขอต้อนรับสู่ครอบครัวไอ้ลูกชาย’  เสียงทุ้มอ่อนโยนของคุณท่านเอ่ยอยู่เหนือหัวปากหนากดจูบที่กระหม่อมของผม มือใหญ่หนาสากแต่อบอุ่นลูบไปมาที่ไหล่ของผม

   ‘ป๋า  แม่’  ผมตอบรับเสียงเบา





   ผมเข้าบำบัดรักษาผู้ป่วยติดยาเสพติดจนหายขาด พวกเขามอบความรักและความเป็นครอบครัวให้ผมอย่างจริงใจ  เหว่ยตามหาผมจนเจอเขามาดักรอพบผมที่หน้ามหาวิทยาลัยในวันหนึ่ง ท่าทางเขาลุกลี้ลุกลนสายตาหลุกหลิกมองบริเวณรอบๆ อยู่ตลอดเวลา เขาถามหาสร้อยคอห้อยกุญแจที่ให้ผมไว้ในวันที่เราอยู่ด้วยกันครบสามเดือน  ผมถามกลับว่าทำไม  เขาบอกแค่ว่าอยากจะได้มันคืน ผมไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรอีก ล้วงมือเข้าไปในเสื้อถอดสร้อยที่ห้อยกุญแจออกจากคอยื่นคืนให้เหว่ยไป เขาเอ่ยขอบคุณละล่ำละลักก่อนจะรีบผละจากผมไปอย่างรวดเร็ว 

    ผมไม่ได้ข่าวเขาอีกจนสามเดือนต่อมากรอบข่าวเล็กๆ ของหนังสือพิมพ์หัวสีลงข่าวความขัดแย้งค้ายาเสพติดระหว่างแก๊งค์ เหว่ยซึ่งเป็นสมาชิกแก๊งค์ลู่หยางถูกเช็คบิลที่คลินิกเถื่อนของญาติเขาเอง

   ผมได้พบกับราฟาเอลน้องชายต่างสายเลือดของผมตัวเป็นๆ หลังจากนั้นสองปี ตอนเด็กนั่นเดินเข้ามานั่งตรงหน้า ผมอึ้งแดกเลยก็เบ้าหน้าแถมนิสัยบางอย่างเหมือนป๋ายังกับโขลกออกมาจากบล็อกเดียวกัน แต่เด็กนี่เวอร์ชั่นเด็กกว่า หน้าหล่อๆ หยิ่งๆ ของมันส่งยิ้มแบบเดียวกันกับแม่มาให้ผมก่อน ใจผมกระตุกวูบรู้อย่างเดียวว่า  ‘ผมรักมัน’  น้องชายที่ผมอยากมีมาตลอด



   19  ปีที่ผ่านมาชีวิตผมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ดอนอเลสซานโดร  และมาดามเกลล์  จิโอวาดินี่ รับผมเป็นบุตรบุญธรรม ราฟาเอลรักผมเหมือนพี่ชายอย่างไร้ข้อกังขา ผมซึมซับคำว่าครอบครัวที่แท้จริงว่าเป็นยังไงจากพวกเขา ในเวลาที่ความเหน็บหนาวเงียบเหงาผมไม่จำเป็นต้องกอดตัวเองเพียงคนเดียวอีกแล้ว  ผมรักพวกเขามากกว่าชีวิตของผม  ถ้าไม่มีพวกเขาก็คงจะไม่มีผมในวันนี้..

   ป๋าและแม่ไม่เคยถามถึงชีวิตก่อนหน้านั้นของผม  ผมว่าเขารู้แต่ไม่รื้อฟื้นถึงมันแต่สร้างความทรงจำอบอุ่นอันใหม่ให้ ผมซึมซับและรับผมเข้าไว้ในชีวิตด้วยความเต็มใจ  แต่ชีวิตก่อนหน้านั้นที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมันคอยรบกวนจิตใจของผมมากพอสมควร  เหมือนเป็นเสี้ยนหนามที่คอยทิ่มตำอยู่ตลอดเวลาว่าผมทำบางอย่างที่สำคัญในชีวิตหายไป... 

   บางเวลาที่สมองโปร่งโล่งความทรงจำนั่นก็สว่างวาบเข้ามาในหัวแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งเมื่อไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นคืออะไร  หลายครั้งผมทำจิตใจให้ปล่อยวางสิ่งนั้นมันกลับเข้ามาในหัวอีก ผมเริ่มปะติดปะต่อจิ๊กซอว์ความคิดทีละตัวๆ จนเป็นภาพความทรงจำที่เสร็จสมบูรณ์เมื่อห้าหกปีที่ผ่านมานี้เอง

   กระต่ายน้อยที่ผมเก็บได้จากหอโคมแดง..ผมทำมันพลาด สัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ลืมแต่ผมก็ลืมเขา สัญญาว่าจะไปรับมาอยู่ด้วยกันแต่ผมก็ไม่ได้ทำ..ผมพยายามลืมเขายอมปล่อยให้ตัวเองติดอยู่ในบ่วงของความแปลกใหม่ที่เหว่ยปรนเปรอให้จนหลงลืมตัวเองไป  ผมไม่โทษว่าเป็นความผิดของเหว่ย แต่เป็นผมเองที่อ่อนแอล้มเหลวกับทุกๆ เรื่องจนขาดสติยั้งคิด

   ผมตามไปที่บ้านเด็กกำพร้าแต่ที่นั่นบอกว่ามีครอบครัวคุณพ่อขายาวขอรับกระต่ายน้อยของผมไป คุณแม่อธิการให้ที่อยู่ของเขามา แต่ผมออกก้าวเดินช้าเกินไป กระต่ายตัวนั้นไม่ที่อยู่ที่นั่นแล้ว อพาร์ทเม้นท์นั่นถูกรื้อถอนเพื่อสร้างห้างสรรพสินค้าไปแล้ว

    ผมตามหากระต่ายตัวนั้นนานเกือบปีจนไปเจอว่าเขาย้ายไปอยู่อพาร์ทเม้นของการเคหะแถบชานเมือง กระต่ายน้อยตัวนั้นเติบโตขึ้นมากหน้าตาของเขาเปลี่ยนไปแต่ก็ยังคงเค้าโครงเดิมค่อนข้างมาก  รูปร่างสูงโปร่งน่าจะสัก 180  ผิวขาว หน้าตาหล่อน่ารักแบบหนุ่มลูกครึ่ง ตามแขนขามีกล้ามเนื้อพอประมาณ  ต้นแขนข้างขวาปรากฏรอยสักรูปสร้อยกางเขนวางไว้ในมือ พร้อมกับคำว่า “Keep the Faith”  ผมสีน้ำตาลเข้มตัดแต่งตามสมัยนิยม 

   เวลามันผ่านมานานเหลือเกิน  ผมละอายเกินกว่าที่จะเดินเข้าไปหาแล้วบอกว่า เฮียกลับมาแล้ว ผมได้แค่เฝ้ามองอยู่อย่างนั้น  ผมไม่รู้ว่ากระต่ายตัวนั้นจะยังรอผมอยู่หรือยังจำผมได้รึเปล่า สัญญาระหว่างเราจะยังมีผลหรือไม่..ผมอยากจะเดินเข้าไปถามถึงเรื่องที่คำถามค้างคาอยู่ในใจ

   แต่สิ่งที่ผมทำคือตัดใจหันหลังออกมาจากตรงนั้นด้วยความขลาดเขลาและล้มเหลว แต่ยังให้คนของผมเฝ้าติดตามชีวิตประจำวันของเขาและรายงานให้ผมทราบทุกวัน จนทำให้รู้ว่ากระต่ายหนุ่มตัวนั้นอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาดูมีความสุขเวลาอยู่กับเธอ ริมฝีปากบางได้รูปยิ้มสดใสอ่อนโยนทุกครั้งเมื่ออยู่กับผู้หญิงคนนั้น  สองคนพักอยู่ด้วยกันในห้องนั้น ..

   ใจผมปวดร้าวทุกครั้งที่มองภาพของคนทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ที่ยืนข้างๆ ตรงนั้นมันน่าจะเป็นที่ของผม แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ผมเป็นฝ่ายที่ปล่อยมือหนีจากมา เขามีความสุขผมต้องยอมรับผลของความเปลี่ยนแปลง เวลามันเนิ่นนานเกินไปเขาไม่รอก็ไม่แปลกอะไร..ใจผมควรเป็นสุขเมื่อเขามีความสุขแค่นั้นน่าจะเพียงพอแล้ว...









TBC.


ปล. 

1. 2 สัปดาห์ กับการเขียน/ปรับเปลี่ยน/แก้ไข การเปิดตัวเฮียเซน เด็กหลงทางที่ได้รับโอกาสจากคุณท่านอเลสซานโดรและมาดามเกลล์ให้มีชีวิตใหม่เป็นคนใหม่  ขอแค่  “ศรัทธา”  โอกาสเปิดสำหรับเราเสมอ

2. หากพบความผิดพลาดบอกต่อด้วยนะครับ ยินดีนำไปแก้ไข

3. ขอบคุณสำหรับการติดตามกันเสมอมา และขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ :D






หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.19_Keep the Faith_P.5 อัพเดต 21-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 21-11-2015 17:07:16
 :mew4:  พี่เชน
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.19_Keep the Faith_P.5 อัพเดต 21-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 21-11-2015 19:01:22
เฮียเซนกล้าๆหน่อยสิ

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.19_Keep the Faith_P.5 อัพเดต 21-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 21-11-2015 19:14:33
 :sad4: มัวแต่หลงอย่างอื่นถึงเสียสิ่งสำคัญไป
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.19_Keep the Faith_P.5 อัพเดต 21-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-11-2015 20:53:03
ระโยงระยางออกจากจมูด กลิ่นยาฆ่าเชื้อเจือจางอยู่ในบรรยายกาศ
เขายังไม่ตายอีกเหรอก
ใบสั่งยาเสร็จแล้วจึงยื่นซาร์ทคืน
เขาเป็นของขวัญอันล้ำค่ำที่พระเจ้าประทานมา 
ตามใจคุณ เราอาจจะถึงบ้านข้าสักนิด
อ้อมกอดของแม่ที่ผทโหยหา

เฮียน่าสงสารอ่ะ แถมยังทนมือทนตีนน่าดู
แขนหักจนผิดรูปยังโดนแทงอีกดีที่ป๋ามาเจอแล้วพาไปเลี้ยงดู

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.19_Keep the Faith_P.5 อัพเดต 21-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 22-11-2015 22:51:51
ขอบคุณสำหรับการติดตามมาโดยตลอด :D



@ ❣☾月亮☽❣
>>  ขอบคุณครับ  พี่เซนตัวละครในดวงใจตะแรกจะให้เฮียแกเป็นตัวประกอบมาแค่ไม่กี่ตอน แต่ไปๆมาๆ เฮียแกน่าสนกว่าน้องภูมิซะอีก เลยเอาซะหน่อย

@ Ginny Jinny 
>>  ถึงจะดูอ่อนแต่เฮียแกเจ๋งพอตัวนะเออ รอดูกันต่อไปครับผม :D

@ boonpa
>>  อย่าว่าเฮียแกเลยครับ ช่วงนั้นเฮียแก่สมองเสื่อม ในเมื่อมีคนเสนอเฮียแกก็สนองเป็นธรรมดาครับ

@ TaecKhun Imagine Love
>>   ขอบคุณมากมายครับผม  ฝ่ายพิสูจน์อักษรยอดเยี่ยม So cool  เค้าแก้ไขแล้วเรียบร้อยนะครับ 

ส่วนเซนเห็นจะต้องยืมคำของคุณท่านมาใช้แล้วล่ะครับ
“เราทุกคนควรมีหลุมฝังศพตัวเอาไว้เพื่อฝังความผิดของเพื่อนๆ และผู้ที่เขารัก เราดึงเขากลับมาในทางที่ถูกต้องได้”

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.20_Zhen Side Story : ไม่รู้จัก (1)_P.5 อัพเดต 25-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 25-11-2015 21:44:07
เด็กเลี้ยง

 




- 20 -

Zhen Side story  :  ไม่รู้จัก [1]




 








       ‘ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าอย่างนั้น’

      ‘ขอโทษ...’

      ‘จะขอโทษทำไมแบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว เฮียดูแลเซล่าอย่างดีมาตลอดหลายปี ถึงจะทำเพราะคำสัญญาที่ให้กับแม่ แต่เซล่าก็ดีใจมากนะที่อยู่กับเฮีย’

      ‘ขอโทษ’   ผมคงจะเอ่ยได้เพียงคำนี้จริงๆ ในอกมันจุกแน่นหน่วงไปหมด

      ‘จะขอโทษทำไมมันไม่จำเป็นเลยสักนิดเดียว ก็อย่างที่บอกเฮียไม่จำเป็นต้องผูกมัดตัวเองไว้กับคำสัญญานั่น เราไม่มีอะไรที่จะต้องชดใช้กันอีกแล้ว เฮียดูแลเซล่ามาอย่างดีตลอดหลายปีส่งเสียจนเรียนจบปริญญานั่นก็เพียงพอแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว…’

      ‘แต่...’

      ‘ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เซล่าขอบคุณทุกๆ อย่างที่เฮียทำให้ เจอกันคราวหน้าหวังว่าเฮียจะมีความสุขจริงๆ สักทีไม่ต้องแสร้งทำเหมือนตอนอยู่กับเซล่าน่ะนะ เอาล่ะเซล่าต้องไปแล้วดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน...’  น้องสาวที่ผมดูแลมาตลอดหลายปีหลังจากแม่ของเธอเสียส่งยิ้มสดใสมาให้ผม เธอยืดตัวขึ้นแตะจูบเบาๆ ที่แก้มผม มือเรียวยกขึ้นโบกลาก่อนจะผละออกหันหลังเดินจากไป ไม่ได้พูดหรือฉุดรั้งเธอไว้สิ่งที่เธอเลือกมันคงจะดีกว่าแน่..ผมคงต้องปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามทิศทางของมัน













Routine’69 Pub  เวลา 01.00 น.


        เสียงเพลงจังหวะเร้าใจจากเครื่องเสียงชั้นดีเริ่มเพลงใหม่เพลงแล้วเพลงเล่าดังแว่วเข้ามาภายในห้องน้ำ นักเที่ยวที่มาใช้ห้องน้ำพูดคุยเสียงดังเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์แข่งกับเสียงเพลงข้างนอกมันไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มร่างโปร่งละอายที่จะปฏิบัติกามกิจกับผู้หญิงที่เพิ่งเจอเมื่อสักชั่วโมงที่แล้วในห้องน้ำห้องสุดท้ายเลยสักนิด

      ‘ซี๊ด...อา...โอ๊วววดีเหลือเกิน...อ๊ะ อ๊ะ ใกล้แล้วแรงๆ อีก’ 

      เธอคงใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว ชายหนุ่มกระชับสะโพกมนแน่นก่อนจะซอยกระแทกท่อนลำเข้าช่องทางด้านหลังเร่งจังหวะเร็วแรงถี่ยิบตามเสียงครางกระเส่าที่เธอร้องขอ ไม่นานตัวเธอเกร็งสะท้านร้องครางเสียงดังลั่นอย่างสุขสมไปก่อน 

       ผนังอุ่นร้อนเต้นตุบๆ ตอดรัดอย่างบ้าคลั่งยิ่งชายหนุ่มขยับสะโพกซอยกระแทกแรงเร็วก่อนจะถอดถอนท่อนลำออกมาดึงถุงยางทิ้ง มือขยับรูดท่อนลำตัวเองรัวเร็ว ใบหน้าแหงนเงยตาหลับพริ้มครางเครือเสียงต่ำด้วยความสุขสม หญิงสาวนั่งคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรู้งาน ปากสีสดของเธออ้ารองรับน้ำขุ่นขาวที่พุ่งจากปลายยอดท่อนลำ กลืนกินมันลงคอราวเป็นน้ำทิพย์ที่แสนอร่อย บางส่วนที่เลอะขอบปากเธอใช้ลิ้นสีสดหยุ่นชื้นไล้เลียจนสะอาดด้วยท่าทางที่ยั่วยวน

       ชายหนุ่มจับท่อนลำที่ยังแข็งขืนตีลงที่ปากสีสดช่างยั่วเย้านั่นเป็นเชิงหยอกเย้า หญิงสาวส่งเสียงหัวเราะกังวานใสอย่างพึงพอใจ ก่อนจะครอบปากลงส่วนปลายดูดดุนเลียทั่วทั้งท่อนลำจนสะอาด นิ้วเรียวเกี่ยวดึงกางเกงชั้นในของชายหนุ่มขึ้นมา จับท่อนลำที่เริ่มอ่อนตัวเข้าเก็บให้อย่างเรียบร้อย เธอจูบลามันอย่างรักใคร่ ดึงรูดกางเกงยีนส์ให้เข้าที่ แล้วจึงลุกขึ้นจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะเปิดประตูห้องน้ำ หญิงสาวเข้ามาคลอเคลียฉุดรั้งร่างโปร่งไว้

      “วันนี้คุณค้างกับฉันนะค่ะน้า...”

      “....”  สติที่ถูกครอบงำด้วยแอลกอฮอร์ที่ดื่มอย่างหนักตั้งแต่หัวค่ำทำให้ชายหนุ่มตอบกลับเธอด้วยความเฉยเมยไร้ความรู้สึก ไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือถึงเซ็กซ์ขนาดนั้น  แต่ถ้าเธอยังต้องการเขาสามารถสนองให้ได้  สำหรับเขามันก็แค่การปลดปล่อยเพื่อให้ลืมความหน่วงในใจที่ได้เพิกเฉยต่ออะไรหลายๆ อย่างที่ผ่านมาจนเรื่องมันเลยเถิดมาจนถึงเมื่อสองสามวันก่อน 

      “นะน้า..ฉันอยากกอดคุณอีกนะค่ะ” 

       เธอทำสีหน้ายั่วเย้าเชิญชวนหนักขึ้น  ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ก็แค่เหตุผลเดียวที่มันวาบเข้ามาคือไม่อยากอยู่คนเดียวคืนนี้ หญิงสาวยิ้มกว้างเธอยืดตัวขึ้นแขนเรียวเล็กของเธอโน้มคอของเขาลงมาเพื่อจูบปาก แต่ชายหนุ่มเบี่ยงหน้าหนีแทบจะทันที ปากสีสดนั่นเลยเฉี่ยวไปโดนแก้มแทน ชายหนุ่มหันกลับมาแสดงสีหน้าไม่พอใจที่หญิงสาวพยายามจะล้ำเส้น ชายหนุ่มแกะมือของหญิงสาวออกจากแขนกำลังจะเปิดประตูห้องน้ำออก 

      “ขะ ขอโทษอย่าไปเลยนะ”  เธอคงจะสัมผัสกระแสความไม่พอใจของผมได้จึงรีบยิ้มหวานยั่วเย้าเชิงลุแก่โทษส่งมาให้ สายตาหวานเชื่อมออดอ้อน

.

.

.

      “นะค่ะ”

      “ถ้ายังอยากจะให้ผมกอด ก็อย่าล้ำเส้น” 

       ชายหนุ่มกล่าวเสียงจริงจัง หญิงสาวพยักหน้ารับปากสวยเผยอยิ่มหวานเย้ายวนมาให้ แขนเรียวเล็กของเธอเลยยกขึ้นคล้องแขนผมฉุดให้เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยกัน นักเที่ยวที่ใช้ห้องน้ำหันมามองเราอย่างสอดรู้สอดเห็นแต่ผมไม่ใส่ใจ ก็อย่างที่บอกผมสนองตอบความต้องการของพวกเธอได้ทุกแบบ แต่อย่าหวังว่าผมจะใช้ปากโอ้โลมหรือทำรักให้เด็ดขาด มันไม่ใช่สำหรับพวกเธอ ที่ตรงนี้มันมีคน “จอง” แล้ว

.

.

.

.

      ภาพที่ชายหญิงที่ปรากฏในกรอบสายตาทำให้เซนอยากจะฆ่าใครสักคนเพื่อระบายอารมณ์กรุ่นโกธรในอกที่พุ่งสูงจนแทบระเบิด จะทำยังไงกับกระต่ายตัวนั้นดี  รายงานที่ได้รับจากลูกน้องของอาแจ็กซ์ทำเอาฟิวส์ขาดต้องบินจากไทยทั้งที่งานไม่เสร็จกลับมาจับกระต่ายหลุดกรง ให้ตายเถอะเด็กนั่นกำลังเข้าสู่วังวนชีวิตแบบเดิมๆ ทำกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าในที่แบบนี้ แล้วยังจะเอาแม่พวกนั้นไปต่อที่อพาร์ทเม้นต์อีก

      “มันน่านัก!! ฉันจะทำยังไงกับนายดี ห่างสายตาไม่ได้เลยใช่ไหม”  เซนพึมพำเสียงทุ่มต่ำสันกรามบดจนขึ้นนูน มือกำแน่นเพื่อระงับโทสะที่แล่นริ้วอยู่ในอก ตาดุวาวโรจน์จ้องมองทั้งคู่ที่โอบกันออกมาจากห้องน้ำอยากจะฆ่าให้ตายคามือนัก เขารู้ว่าตัวเองยังไม่มีสิทธิ์เด็ดขาดในการครอบครองกระต่ายตัวนั้น แต่สักวันเจ้านั่นก็ต้องเป็นของเขาอยู่ดี ก็เขา  “จอง”  ไว้แล้ว เจ้าเด็กนั่นกล้าดียังไงถึงเอาของๆ เขามาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เรื่องนี้เห็นจะปล่อยผ่านไม่ได้มันต้องลงโทษให้หลาบจำ

      “เฮอร์เซลนายไปวนรถมาทางหลังร้าน เดี๋ยวฉันจัดการเจ้านั่นเอง”

       เซนหันไปบอกบอดี้การ์ดคนสนิทของตนเอง แล้วเดินจ้ำพรวดไปกระชากไหล่ร่างโปร่งให้หลุดออกจากการวงแขนของหญิงสาวคนนั้น 

      “ว้ายกรี๊ด!! ทำอะไรของคุณน่ะ” เธอร้องด้วยความตกใจ ก่อนจะเข้ามาดึงตัวชายหนุ่มกลับคืน เซนตวัดสายตาคมดุเย็นเยียบมองหญิงสาวเขม็งจนเธอรู้สึกกลัวจนตัวสั่น ปล่อยมือจากแขนของร่างโปร่งโดยอัตโนมัติยืนเม้มปากแน่น

      “กลับ!!”  เซนพูดเสียงเข้มดุมือหนาสากฉุดกระชากร่างโปร่งอย่างไม่ปราณีปราศรัยให้เดินตามออกทางหลังร้าน

      “ปล่อยโว้ย มึงจะพากูไปหน่าย..”  กระต่ายดื้อด้านพยายามสะบัดให้หลุดพ้นจากแรงฉุดกระชาก มือเกี่ยวทุกอย่างตามรายทางไม่ยอมเดินตาม ทำให้เซนหน้าตึง กรามแกร่มบดแน่นด้วยโทสะขึ้นมาอีกครั้ง

      “จะไปดีๆ หรือต้องให้เจ็บตัวก่อน”  เซนพูดเสียงต่ำเย็นอย่างข่มโทสะที่กำลังไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ กับความดื้อดึงของอีกฝ่าย

      “กูไม่ไป ปล่อยโว้ย กูไม่รู้จักมึง” 

      “......”   เซนใช้แรงที่มากกว่าฉุดกระชากกระต่ายปากดีออกไปอย่างไม่ปราณีปราศรัย ไม่สนใจเสียงประท้วงแต่อย่างใด

      “ปล่อยโว้ย...ฮึยยย มึงจะพากูไปไหน...” 

      “หยุด!!  ถ้าพูดอีกคำเจ็บตัวแน่”

       ความอดทนของเขาชักจะหมดลงทุกทีกับความดื้อดึงของกระต่ายตัวนี้ ไม่อยากจะใช้ความรุนแรงแต่เด็กนี่ก็ช่างยั่วยุให้ตบะแตก มือใหญ่สากกำข้อมือร่างโปร่งแน่นขึ้น ก่อนจะตะคอกเสียงดังคุกคามทำเอากระต่ายดื้อด้านที่พยายามดิ้นหนี้ชะงักงันด้วยความกลัว เซนเลยถือวิสาสะอุ้มขึ้นพาดบ่า  ร่างโปร่งร้องดังลั่นด้วยความตกใจ มือกำหมัดทุบหลังเซนไม่ยั้งแต่เหมือนคนถูกทุบตีจะไม่สะทกสะท้าน ยังคงก้าวเดินดุ่มจนไปถึงด้านหลังผับซึ่งมีรถยนต์ Mercedes-Benz S-Class S 500  สีดำมันปล๊าบเปิดประตูจอดรออยู่
   
      “โอ๊ย! เจ็บนะโว้ย” 

       ร่างโปร่งที่ยังไม่ได้ตั้งตัวถูกโยนเข้าไปในรถล้มกลิ้งไปกับเบาะหลัง หัวโขกไปกับขอบประตูฝั่งตรงข้ามค่อนข้างแรงจนปวดตุบๆ บวมปูดทันตา กำลังพยายามเอี้ยวตัวควานหาที่เปิดประตู แต่ตัวต้นเหตุก็ตามเข้ามานั่งข้างๆ อย่างรวดเร็ว มือหนาเกี่ยวเอวร่างโปร่งเข้ามานั่งแนบข้างจนแทบจะขึ้นไปเกยอยู่บนตักแกร่ง

      “นั่งนิ่งๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”  เซนพูดเสียงต่ำเจือความหงุดหงิดในความดื้อด้านของกระต่ายตัวนี่

      “ไม่!! มึงปล่อยกูๆ ไม่รู้จักมึง สัสเอ๊ย!!  จะพากูไปไหน..”  กระต่ายตัวนั้นยังคงดิ้นรนสุดแรงเกิดเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเซนที่โอบร่างโปร่งไว้ทั้งสองแขน 

      “อ๊ากกก...ปล่อยกู” 

       จังหวะที่เซนหันไปปิดประตูรถกระต่ายปากเสียพลิกตัวเข้าหาร่างแกร่งฟันคมบดกัดลงบนบ่าหนาเต็มแรง คนตัวโตสะดุ้งด้วยความเจ็บเลยเผลอปล่อยมือจากร่างโปร่ง  เมื่อหลุดพ้นจากอ้อมกอดกระต่ายปากเสียรีบหันตัวกลับควานมือไปเปิดประตูเพื่อวิ่งสู่อิสรภาพ

       แต่ด้วยความมึนเมาที่ยังหลงเหลือส่งผลให้สมองประมวลผลและสั่งการให้เคลื่อนไหวได้เชื่องช้าทำให้เซนคว้าเอวไว้ได้ และกระชากอีกฝ่ายให้หันกลับมาใช้น้ำหนักตัวที่มากกว่ากดให้นอนลงไปกับเบาะของรถ มือหนาสากจับแขนทั้งสองข้างของกระต่ายปากดียึดไว้เหนือหัวด้วยมือข้างเดียว คนหมดทางสู้เตรียมร้องประท้วง แต่ช้ากว่าริมฝีปากหนาได้รูปของเซนที่ก้มลงบดเบียดริมฝีปากบางของคนใต้ร่าง ลิ้นที่สอดเข้ามาเกี่ยวกระหวัดดูดดึงอย่างร้อนแรงดุดัน กวาดต้อนให้กระต่ายปากดีตอบสนองอย่างเงอะงะในตอนแรก แล้วเริ่มร้อนแรงขึ้นในเวลาต่อมา  เซนยอมผละปากออกให้คนใต้ร่างได้มีโอกาสโกยอากาศเข้าปอดได้เต็มที่ โทสะที่ยังพุ่งพล่านสั่งให้ร่างสูงใหญ่กัดเม้มริมฝีปากล่างของกระต่ายปากดีค่อนข้างแรงจนรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่อวลอยู่ในปากเพื่อเป็นการลงโทษ 

       ความอ่อนนุ่มระคนชื้นกลิ่นเหล้าที่เจือด้วยเลือดซึ่งแทรกซึมผ่านปลายลิ้นที่ซอนรอยแยกของปากเข้ามากระทบฟัน ดั่งมีดคมกริบตัดเส้นด้ายแห่งความยับยั้งชั่งใจจนขาดสะบั้น.เซนสอดลิ้นสากหนาเข้าไปในโพรงปากของคนใต้ร่างอีกครั้ง เกี่ยวกระหวัดดูดดุนตักตวงความหวานจากปากบางนุ่มอย่างรุนแรงตามอารมณ์คุกรุ่นที่มีอยู่ก่อนหน้า  ลำแขนของร่างโปร่งที่ได้รับการปลดปล่อยเลื่อนขึ้นไปโอบกอดลำคอแกร่ง  มือเรียวที่เตรียมผลักไสค่อยๆ สอดเข้าไปในเรือนผมนุ่มสีน้ำตาลของเซน ศีรษะเล็กถูกมือแกร่งของเซนโอบประคองปรับองศาเพื่อให้สามารถรับริมฝีปากของเขาได้ถนัดถนี่ขึ้น 

       การตอบสนองอย่างหลงลืมตัวของใครบางคน ก่อให้เกิดความหวามไหวในอกร้อนรุ่มไปถึงตัวตนที่ต้องการปลดปล่อยฉุดรั้งกันและกันไปให้ถึงอีกฝั่งของท้องฟ้า มือหนาสากสอดเข้าไปในเสื้อของร่างโปร่งโดยเจ้าตัวไม่รู้สึกตัว บีบคลึงยอดอกแบนราบของอีกฝ่ายอย่างหลงใหล  ปากร้อนผ่าวเลื่อนมาซุกและกัดเม้มเบาๆ ที่ใต้คาง ซอกคอหอมกรุ่น  มือซุกซนป่ายปัดเสื้อยืดของอีกฝ่ายร่นขึ้นข้างบน ปากหนาร้อนผ่าวครอบครองดูดดึงขบเม้มที่ยอดอกสีหวานอย่างลุ่มหลง  อีกมือลูบไล้ผิวเนียนนุ่มลื่นดุจแพรไหมเนื้อดีของร่างโปร่งระเรื่อยผ่านหน้าท้องแบนราบ มือล้วงเข้าไปในกางเกงสัมผัสตัวตนที่เริ่มแข็งขึงของคนใต้ร่างที่ปลายยอดเริ่มจะชุ่มฉ่ำแล้ว

      “โอ๊ว อ๊ะ อา...”

      เสียงครวญครางแหบพร่าและสูดปากด้วยความพึงพอใจของอีกฝ่าย กระตุ้นความต้องการของเซนอย่างสุดระงับ เขาผงกหัวขึ้นเพื่อใช้ปากดูดซับเสียงของอีกฝ่ายไว้  กระต่ายปากเสียลืมสิ้นแม้เสียงประท้วงของตนเอง ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองยังอยู่ในอารมณ์หน่วง  และประเด็นสำคัญอีกฝ่ายเป็น “ผู้ชาย”  สิ่งที่ได้เจอะเจอมาสองสามวันมันทำให้เขาเบี่ยงเบนทางเพศเหรอ..!? แต่ก็ช่างประไรความสุขอยู่ตรงหน้าทำไมเขาจะต้องบอกปัด...

      ก่อนที่ทุกอย่างจะอยู่นอกเหนือการควบคุม เซนผลักคนใต้ร่างออกเหมือนเจอของร้อน ชายหนุ่มสบถและก่นด่าตัวเองที่ตกหลุมพรางของอารมณ์ได้โดยง่าย เพียงเพราะ...

      “โธ่เว้ย!! ใครสั่งใครสอนให้เอาของๆ คนอื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตห๊า!!  มันเป็นความผิดของนาย ให้ตายเถอะแมร่งเอ๊ย”  เซนสบถใส่คนตรงหน้าก่อนจะร้อนรนเปิดประตูรถออกไปยืนริมฟุตบาท  ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าดึงบุหรี่ออกมาจุดสูบดับอารมณ์กรุ่นโกรธเจือความร้อนรุ่มที่ยังควบคุมไม่ได้ของตัวเอง

      ร่างโปร่งมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความงุนงง  เพราะดื่มเข้าไปอย่างหนักมาหลายชั่วโมง แถมเหน็ดเหนื่อยจากการปลดปล่อยอารมณ์ดิบกับหญิงสาวคนนั้นมาอย่างหนักหน่วง ทำให้สมองประมวลเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปด้วยความเชื่องช้า แต่ก็ยังทันได้ยินเสียงของคนไม่รู้จักสั่งให้คนขับรถออกรถเพื่อกลับบ้าน..ก่อนที่ตาจะหรี่ปรือและปิดลงสมองหยุดการประมวลผลชั่วคราว จึงไม่ได้รับรู้ถึงอ้อมกอดที่อบอุ่นหวงแหนและรักใคร่ของคนไม่รู้จักที่มีให้ในเวลาต่อจากนั้น...











TBC.

ปล. 

1. เอาครึ่งแรกไปก่อนนะครับ จะเขียนให้จบร่างกายมันก็ฝืนไม่ไหวโหมงานหนักมาหลายวัน สมองมันเลยตื้อคิดอะไรไม่ค่อยออกอีกสัก 2 - 3 วันเขาจะเอาส่วนที่เหลือมาลงให้อีกเน้อ

2. ก็เหมือนเดิมถ้าเจอข้อผิดพลาดประการใดบอกเค้าด้วยนะเออ เขาจะได้แก้ไขให้ถูกต้องต่อไป

3. ขอบคุณสำหรับการติดตามกันเสมอมา ขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ :)
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.20_Zhen Side Story : ไม่รู้จัก (1)_P.5 อัพเดต 25-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-11-2015 08:36:00
ทำให้เซนอยากจะฆ่าใครสักคนเพื่อระบายอารมณ์กรุ่นโกธรในอก

เรื่องนี้เห็นจะปล่อยผ่านไม่ได้มันต้องลงโทษให้หราบจำ >>> หลาบจำ

ความอดทนของเขาซักจะหมดลงทุกที

 “นั่งนิ่งๆ ถ้าไม่อยากเจ็บแน่”  >>> เจ็บตัว

คนตัวโตสะดุ้งด้วยความเจ็บเลยเผยอ >>> เผลอ

ร่างสูงใหญ่กัดเม้มริมฝีปากล่างของกระต่ายปากดีนี่นค่อนข้างแรง

ก่อนจะร้อนรนเปิดประตูรถออกไปยืนริมฟุตบาตร >>> ฟุตบาท

เฮียเซนไปเก็บกระต่ายที่ไหนมาเลี้ยงนะ ดูท่าจะทั้งดื้อและซนสุดๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.20_Zhen Side Story : ไม่รู้จัก (1)_P.5 อัพเดต 25-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 26-11-2015 09:03:47
เอาล่ะสิพี่เชนจะทำอะไรกับกระต่ายกันนะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.20_Zhen Side Story : ไม่รู้จัก (1)_P.5 อัพเดต 25-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 26-11-2015 11:26:35
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.20_Zhen Side Story : เผชิญหน้า (2)_P.5 อัพเดต 26-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 26-11-2015 20:46:09
เด็กเลี้ยง





- 20 -

Zhen Side story  :  เผชิญหน้า [2]





      แสงแดดที่สว่างจ้าทำให้คานินจำใจปรือตาตื่นด้วยความมึนงง  ภาพเบื้องหน้าคือผนังกระจกบานใหญ่จากเพดานจรดพื้น กับสวนที่ร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาชนิดพื้นหญ้าเขียวขจีตัดแต่งอย่างดี เป็นส่วนผสมของธรรมชาติภายนอกและการตกแต่งภายในได้เป็นอย่างกลมกลืน 

       “ที่ไหนกัน??” 

       คานินผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วแต่มีอันต้องต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะที่ปวดตุบๆ ของตัวเอง ผ้าห่มที่ร่นไปกองบนตักทำให้ร่างเปลือยเปล่าสัมผัสได้ถึงไอเย็นของเครื่องปรับอากาศ หัวคิ้วขมวดมุ่น ไอ้บ้านั่นมันทำแบบนี้กับเขาทำไม? แต่จะยังไงช่างแมร่งเถอะ มันไม่มีเหตุที่เขาจะต้องอยู่ที่นี่

       “แมร่งเอ๊ย!! กูทำบ้าอะไรลงไปวะนี่” 

       คานินขยี้หัวตัวเองพึมพำอย่างหัวเสีย เหวี่ยงเท้าลงจากเตียงพาร่างเปลือยเปล่าเดินสะโหลสะเหล่เข้าไปอาบน้ำจากคอกฟักบัวอย่างลวกๆ จะไม่ให้รีบได้ไงเขาเพิ่งสังเกตว่าแม้แต่ผนังห้องน้ำยังเป็นกระจกบานใหญ่เต็มพื้นที่ ไกลออกไปตรงมุมสวนฝั่งโน้นคนงานกำลังตัดแต่งต้นไม้อยู่ เขารีบสวมเสื้อคลุมอาบน้ำที่ค้นเจอจากตู้เคาน์เตอร์ในห้องน้ำ ลองเปิดประตูอีกบานที่อยู่ใกล้ๆ พบว่ามันเป็นห้องแต่งตัว จึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแบบบิ้วอินซึ่งยาวไปตามแนวผนังแต่ละตู้แยกประเภทเสื้อผ้าชัดเจน เสื้อผ้าแต่ละตัวไซด์ใหญ่กว่าตัวเขาหลายเบอร์ คานินเลยตัดสินใจหยิบเสื้อยืดคอวีสีเทาและกางเกงชั้นในที่ยังไม่ได้แกะกล่องอีกตัวออกมาสวม แม้จะเลือกที่เล็กสุดชายเสื้อก็ยังยาวมาจนถึงหน้าขา กำลังจะปิดประตูห้องเป็นอันให้ต้องตกใจกับชายหนุ่มคนหนึ่งผลักประตูอีกด้านเข้ามาโดยไม่ให้ซุ่มเสียง

      “ขอโทษครับ เสี่ยให้เตรียมอาหารไว้ให้คุณครับ”  ชายหนุ่มคนนั้นวางถาดอาหารลงบนโต๊ะหน้าโซฟา

      “สะ เสี่ย!?” ตกลงบ้านไอ้โรคจิตนั่น? แล้วจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไงโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับไอ้เสี่ยนั่น 

      “เสี่ยออกไปทำงาน ถ้าคุณต้องการอะไรกรุณาบอกผมได้เลยนะครับ”  คานินพยักหน้ารับรู้ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะกำลังครุ่นคิดหาทางออกไปจากที่นี่โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับไอ้เสี่ยนั่นหรือคนของมัน

      “ผมอยากได้เสื้อผ้าของผมคืน”

      “ผมเอาไปซักเมื่อสักครู่นี้เอง อีกสักไม่เกินครึ่งชั่วโมงคงจะเรียบร้อยครับ คุณรับประทานอาหารรอไปก่อนนะครับ” ชายหนุ่มคนนั้นกล่าวเสียงเรียบ

      “ขอบใจมาก ผมอยากได้เสื้อผ้าให้เร็วที่สุด”

      “เดี๋ยวเรียบร้อยแล้วผมจะเอาขึ้นมาให้ครับ” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับโค้งตัว และหันหลังเปิดประตูออกไป

      คานินเดินมานั่งลงบนโซฟาหนังสีขาว และลงมือทานอาหารเช้าที่ไม่เช้าแล้วอย่างหิวโหย เขาเพิ่งสำนึกได้ว่าตัวเองนั้นเพิ่งจะได้ทานอาหารเต็มที่ก็ตอนนี้เอง 

       สองสามวันมานี่เขาทำตัวแย่มาก ช่างโง่เขลาที่ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลทั้งปวง ผมไม่ได้รักเซล่าแต่ที่อยู่ด้วยกันเพราะมันคือความรับผิดชอบและการรักษาคำมั่นสัญญา เซล่ารักผมมากเกินกว่าพี่ชาย เป็นผมเองที่ไม่อาจตอบรับสิ่งนั้นได้ ถึงจะทำกันผมก็ให้เธอได้แค่สถานะเดียวคือ “น้องสาว”  เซล่ายอมรับมันได้แต่ผมจะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนอื่นระหว่างที่อยู่ด้วยกัน นั่นคือข้อตกลงที่ผมให้เธอได้อย่างเต็มใจ

       วันหนึ่งเมื่อทุกอย่างเดินมาจนถึงจุดอิ่มตัว เซล่าขอฉีกสัญญาและข้อตกลงทั้งหมดทั้งมวลระหว่างเราทิ้งไป เธอบอกว่าเหนื่อยและอึดอัดที่จะทำแบบนี้แล้ว เซล่าตกลงคบหาดูใจกับชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานคนหนึ่ง นั่นก็ดีแล้วถึงคนนั้นจะมีบ้านใหญ่บ้านเล็กหลายหลังแต่ก็ดูแลเซล่าอย่างดี เธอดูมีความสุขยิ้มได้เต็มหน้ามากกว่าอยู่กับผม แต่สิ่งที่ทำให้ผมกังวลจนขาดสติและทำอะไรแบบนั้นก็เพราะรู้สึกเสียใจที่เพิกเฉยต่อบุญคุณที่แม่ของเซล่าชุบเลี้ยงมา ทั้งที่รับปากว่าจะทำแต่ผมก็ไม่เคยทำในสิ่งที่จะต้องทำเลยสักครั้ง 

      หลังจากท้องเริ่มอิ่มตาเรียวจึงเริ่มมองสำรวจรอบๆ ห้อง  มันเป็นห้องนอนหรูหราขนาดใหญ่สไตล์โมเดิร์นการตกแต่งเน้นสีขาว ดำ และเทา เตียงขนาดดับเบิ้ลคิงส์ไซด์สีขาวถูกจัดเก็บคลุมด้วยผ้าห่มผืนใหญ่สีดำเรียบร้อย พื้นห้องบริเวณที่ตั้งเตียงใหญ่และโซฟาที่คานินนั่งปูรองด้วยพรมผืนใหญ่สีเทาเข้มนุ่มเท้าตัดกับพื้นสีขาว  ติดผนังกระจกปลายเตียงตั้งโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่กำลังเสนอรายการบันเทิงอะไรสักอย่างที่คานินไม่ได้ใส่ใจ

       “ไอ้เสี่ยนั่นเป็นใครกัน ..??”






      คานินเพิ่งได้รับเสื้อผ้าของตัวเองเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา  หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย  เขาค่อยๆ เปิดประตูแล้วเดินออกมาจนถึงห้องโถงไม่มั่นใจว่าตนเองจะออกไปทางไหนจึงยืนคว้างอยู่อย่างนั้น  ตาเรียวสวยมองไปรอบๆ ห้องอย่างอดที่จะชื่นชมไม่ได้ ชุดรับแขกสีขาวชุดใหญ่ถูกจัดวางอย่างลงตัว ผนังโดยรอบเป็นกระจกบานใหญ่สูงจากเพดานจรดพื้นมองเห็นสวนร่มรื่นโดยรอบ  ถัดไปอีกด้านถูกจัดแต่งเป็นโซนห้องครัวและโต๊ะอาหารขนาดนั่งได้แปดคน

      “คุณจะไปไหนครับ” 

       เสียงเรียกที่สุภาพทำเอาคานินสะดุ้งชะงักมือที่กำลังเอื้อมเปิดประตูออกสู่ระเบียง ความรู้สึกเหมือนขโมยที่แอบขึ้นบ้านแล้วโดนเจ้าของบ้านจับได้ยังไงยังงั้น  เมื่อหันกลับไปพบว่าเป็นหนุ่มแว่นหน้าตาดี ผิวสีแทนร่างสูงโปร่งน่าจะสูงกว่าคานินนิดหน่อย เขาส่งยิ้มราบเรียบมาให้คานิน

      “ขอโทษที่ทำให้ตกใจครับ ผมแม็กซิมัส เรียกแม็กก็ได้ครับ เป็นเลขาของเสี่ยครับ”

      “อะ เออ..สวัสดีครับ ผมจะกลับบ้าน”

      “เสี่ยกำลังจะกลับเข้ามาแล้ว ท่านมีเรื่องสำคัญจะพูดกับคุณ ผมอยากให้คุณรอก่อนน่ะครับ”

      “คะ คงไม่หรอกครับ เห็นจะอยู่รอไม่ได้พอดีผมจะต้องไปทำธุระสำคัญ  เออ ผมฝากขอบคุณท่านของคุณด้วยนะครับ ผมขอตัวก่อนนะครับคุณเลขา”

      ยังไม่ทันที่คานินจะได้ก้าวเท้าออกจากบริเวณนั้น  รถคันหรูสามคันก็แล่นเข้ามาภายในบริเวณบ้านด้วยความเร็วขับลงไปตามทางลาดถนนหายเข้าไปใต้ถุนอาคาร ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำประตูที่ผมเล็งไว้ว่าน่าจะเป็นทางออก ถูกดึงกระชากให้เปิดออกด้วยมือของชายชาวจีนร่างสูงใหญ่กำยำน่าครั่นคร้าม ร่างสูงใหญ่อยู่ในสูทสีเทาเข้มเรียบกริบอย่างกับเพิ่งจะออกจากบ้านไป ทั้งที่ความเป็นจริงน่าออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า มือแกร่งดึงแว่นสีชาที่สวมอยู่ออกก่อนจะวางมันไว้ที่โต๊ะแถวนั้น  หน้าตาหล่อคมแค่เห็นก็รู้ว่ามีแรงดึงดูดทางเพศสูงเดินเข้ามาหยุดยืนประจันหน้ากัน  ตาดุหรี่ลงส่อแววคุกคามจ้องมองมาที่ผมราวกับเสือจ้องตะครุบเหยื่อ บรรยากาศรอบตัวบีบอัดจนเท้าขยับถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ใจเต้นผิดจังหวะชั่วเสี้ยวนาทีก่อนที่จะกลับมาเต้นในจังหวะปกติเหมือนเดิม ผมก้มหน้าต่ำลงหลบซ่อนสายตาที่เจือแววตระหนกของตัวเองให้พ้นจากคนตรงหน้า

      ‘เอาไงดีวะหนีไม่ทันแล้ว มันจะฆ่าผมไหมวะนั่น ตาแมร่งโคตรดุจะจ้องให้กูพรุ่นเลยหรือไง เอาวะหนีแมร่งมันดื้อๆ นี่แหละ’ เท้าก้าวออกไปอย่างรวดเร็วเท่าความคิด

      “หยุดนะ!!” เสียงตวาดดังลั่นทำให้คานินสะดุ้งหยุดชะงักค้างก้าวขาไม่ออกทันที

      “เดี๋ยวสิ จะไปโดยไม่ร่ำไม่ลากันเลยหรือไง”

      เสียงห้าวทรงพลังดังออกมาจากริมฝีปากหนาได้รูปนั่นอีกครั้ง มือใหญ่เอื้อมมาคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนของคานินดึงกระชากค่อนข้างแรงก่อนที่จะได้วิ่งไปที่ประตูด้วยซ้ำ  คานินไม่ทันระวังตัวจึงเสียหลักหมุนคว้างหันกลับมาจนหน้าชนเข้ากับอกแกร่งของอีกคน กลิ่นหอมเย็นสะอาดผสมกับกลิ่นบุหรี่อ่อนๆ ที่อบอวลอยู่รอบร่างสูงทำให้คานินสูดเข้าปอดเต็มแรง มันไม่ได้ทำให้เขารังเกียจตรงกันข้ามใจของเขาเต้นแรงจนกลัวว่าอีกคนจะรับรู้ถึงมันได้  จึงพยายามขยับตัวออกให้ห่างจากร่างแกร่ง ก้มลงซ่อนหน้าที่ร้อนวูบวาบเพราะประหม่าของตัวเองกับอกแกร่ง
 
      “แม็กกลับบริษัทไปทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”

       เซนสั่งเสียงเรียบกับเลขาและบอดี้การ์ดของตัวเองโดยที่ดวงตาเรียวดุยังคงก้มมองคนในอ้อมกอด แก้มและใบหูแดงระเรื่อทำให้คนตัวโตยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ

      “จะไปไหน” แม้ไม่มองหน้าคานินก็รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังมองเขาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ  เพราะแรงบีบตรงแขนมันบอกเขาอย่างนั้น

      “ไปทำงานไม่กี่ชั่วโมงก็คิดถึงนายเกือบทุกนาที รีบสะสางงานทุกอย่าง เลื่อนนัดทุกนัดของบ่ายวันนี้  เพื่อกลับมาหานายนี่แค่จูบนิดเดียวเองนะ ฉันยังแทบบ้าเพราะความต้องการนายรู้ไหมหืม แบบนี้ฉันจะแย่เอานะเด็กน้อย” 

       คนหล่อหน้านิ่งตาดุเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนออดอ้อนทำเอาคานินขนลุกซู่ อึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก ถึงจะบอกว่าไม่รังเกียจแต่มันสมควรแล้วเหรอที่แมร่งจะมาแสดงอาการแทะโลมยังกับกูเป็นผู้หญิง คานินหันหน้าหนีไม่มองคนตรงหน้า พยายามบิดตัวให้พ้นจากการอ้อมกอดของคนตรงหน้า

       “ผะ ผมจะกลับแล้ว พอดีนึกได้ว่ามีธุระ  พูดตรงๆ ผมไม่รู้จักคุณด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจว่าคุณต้องการอะไรจากผม และที่สำคัญมันไม่จำเป็นสักนิดที่ผมจะต้องบอก  แต่ถึงจะยังไงผมก็ขอบคุณ และลาคุณตรงนี้ก็แล้วกันนะครับ”  คานินกล่าวตัดบทเสียงเย็นชาพยามยามบิดแขนออกจากมือของคนตัวโตที่เปลี่ยนมาบีบแรงขึ้นจนเริ่มรู้สึกเจ็บ

      “อ้อเป็นข้ออ้างสินะ  ไม่รู้จักไม่อยากอยู่ ทั้งๆ ที่เราเข้ากันได้ดีในทุกด้าน ทุกประเด็นว่าไหม ร่างกายนายรู้จักฉันดีพอๆ กับที่ฉันรู้จักนายนั่นแหละคานิน รึไม่ใช่  ไม่เอาน่านะฮันนี่คุยกันก่อน”  คำพูดของคนตัวโตตอนท้ายทำให้อารมณ์ของคานินฉุนขาด 

       “กูไม่ใช่ผู้หญิง  อย่าเอาคำนั้นมาใช้กับกูๆ จำไม่เคยได้ว่ารู้จักมึง อยู่ๆ ก็ลากกูมาที่นี่ทั้งที่เพิ่งเจอกัน  มึงดูปากกูชัดๆ นะ ‘กู-ไม่-ใช่-เกย์’  กูสนองความอยากให้มึงไม่ได้หรอกยังอยากจะเอากับผู้หญิงอยู่ หรือถ้ามึงทนไม่ไหวจนระงับไม่อยู่พวกที่เขาขายๆ กันก็มีเยอะแยะ หน้าตาแบบมึงกูว่าคงจะหาที่ถูกใจได้ไม่ยากหรอก เข้าใจชัดไหม อย่าทำกับกูเหมือนที่มึงทำเมื่อคืนอีก”  เซนหน้าตึงแดงก่ำตามแรงอารมณ์ที่เริ่มขึ้นนิดๆ กับฝีปากจัดจ้านเถียงคำไม่ตกฟากของคนตรงหน้า

       “ก็ได้อย่างเป็นทางการฉันชื่อ  เซน  จิโอวาดินี่  หรือนายจะเอาชื่อพ่อชื่อแม่ โคตรตระกูล แล้วลงมือฆ่ากันเลยไหมล่ะ ถ้าไม่ก็เอาเป็นว่าเรารู้จักกันแล้วนะ..อีกอย่างฉันเป็นพี่นาย อายุมากกว่านาย ไม่ใช่เพื่อนเล่น ถ้าไม่เรียกพี่หรือเฮีย ก็อย่าใช้คำว่ากูมึง คำพูดคำจาก็เหมือนกันถ้าได้ยินคำพูดแบบนี้หลุดออกมาจากปากสวยๆ ของนายอีกครั้งจะตบให้เลือดกบปากจำเอาไว้ หัดทำตัวให้น่ารักเหมือนหน้าตาซะบ้าง.แล้วจะคุยกันได้หรือยัง”  เซนตอบกลับด้วยเสียงเข้มจริงจัง สายตาคมวาวบ่งบอกความไม่พอใจและจะทำอย่างที่พูดจริง คานินเริ่มกลัวยอมละพยศกล่าวขอโทษเสียงเบา

      “ขะ ขอโทษ  ผมไม่รู้จักคุณจริงๆ  ปล่อยผมไปเถอะครับ”

       “ไม่เอาน่าฮันนี่ นายก็รู้ดีแค่ยังไม่อยากจะยอมรับมันเท่านั้นเอง จะไม่มีเยื่อใยกันสักนิดเลยเหรอฮือ คำก็ไปสองคำก็ไป”  เมื่ออีกคนขอโทษเซนก็ยอมละความโกธร ปรับเสียงนุ่นนวลจนคานินรู้สึกขนลุกซู่อีกครั้ง

      “ผมชื่อ คานิน ถ้าจะให้ผมคุยก็เรียกผมว่า “คานิน” ได้โปรด เอาจริงๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยรู้จักคุณหรือเปล่า และที่สำคัญผมไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนความชอบของตัวเองไม่ว่าจะเดี๋ยวนี้หรือหรือวันหน้า คุณอย่าพยายามยัดเยียดตัวเองเขามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมจะดีกว่า ได้โปรด...”  ใช่เขาจะเปลี่ยนความชอบของตัวเองได้ไง เขาไม่มีใจจะรักใครได้อีกแล้วนอกจากผู้ชายคนนั้น คานินก็แค่ผู้ชายโง่เขลาที่หลงรักผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีวันกลับมาหาตัวเอง..โง่เขลาที่ยังรอทั้งที่ไม่มีหวัง...

       คานินโกรธตัวเองที่ไม่คิดว่าจะมีความรู้สึกกลับใครได้อีก แต่ผู้ชายตรงหน้านี่วิเศษมาจากไหนล่ะถึงทำให้เขารู้สึกได้มากขนาดนี้ ความโกรธนั้นเป็นแรงฮึดให้ร่างโปร่งพยายามบิดตัวให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของเซน เหมือนสิ่งที่เขาพูดพร่ำไปไม่ได้กระทบโสตประสาทของไอ้เสี่ยนี่เลยด้วยซ้ำ เจ้าบ้านั่นกลับเลื่อนมืออีกข้างรั้งเอวของเขาแล้วดึงเข้ามาแนบร่างมัน คานินผงะด้วยความตกใจและหวาดหวั่น  เซนมองสำรวจร่างกายของคนในอ้อมกอดอย่างโลมเลียเต็มไปด้วยความต้องการที่เอ่อล้น 

    คานินไม่ได้รู้สึกว่าการมองของเซนหยาบคายในทางกลับกันร่างกายของเขามันร้อนวูบวาบอยากจะให้เซนสัมผัสทั่วทั้งร่างอย่างร้อนแรง  เขาอยากจะก่นด่าตัวเองด้วยความเจ็บใจปากบอกปฏิเสธเสียงแข็งแต่แค่ไอ้เสี่ยมันสัมผัสนิดหน่อยดันมีปฏิกิริยาตอบสนองทันทีจะไว้หน้ากันสักนิดก็ไม่ได้ และมันก็คงจะรู้สึกได้ถึงยิ้มเหี้ยๆ แบบนั้น

      “โธ่!! ทูนหัวฮันนี่ พูดแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ สงสัยฉันคงต้องสอนนายใหม่หมดแล้วล่ะ ไปคุยกันในห้องดีกว่านะ..”  เซนพูดอ้อนๆ แต่เหมือนออกคำสั่งอยู่ในที

      “ไม่กะ..เออ ผมเป็นผู้ชาย ได้โปรดอย่าเรียกผมแบบนั้นอีก ขอให้เห็นแก่พระเจ้า”

      “ไม่เอาอย่าดื้อน่า เข้าไปคุยกันในห้องเถอะนะ” 

       “คุณจะเอายังไงกับผม ปัดโธ่โว้ยปล่อยซะทีสิ จะเอายังไงกับกูวะ!” เมื่อเห็นว่าการอ้อนวอนขอความเห็นใจไม่เป็นผลคานินตะโกนลั่นด้วยความคับแค้นใจปะปนกับความโกรธกรุ่นที่ไม่สามารถสู้คนนี้ได้  เซนรู้สึกสนุกและพอใจกับอาการของคนในอ้อมกอดมาก อาการขู่ฟ่อออกมาทั้งที่ใจกำลังหวั่นกลัว  มันทำให้คานินดูน่ารักน่าจับกดในสายตาของเซน ริมฝีปากที่เชิดขึ้นแต่แอบกัดริมฝีปากล่างของตัวเองโดยไม่รู้ตัวของคานินมันดูยั่วยวนน่ากัดยิ่งนัก

      “ฉันก็ผู้ชาย มีตรงไหนที่บอกว่าฉันไม่ใช่ผู้ชายกันล่ะฮันนี่  ลองเล่นบทนี้ดูสักพักเถอะ ฉันรู้น่าว่านายชอบ”  คานินแทบจะปรี๊ดแตกกำลังจะโต้กลับด้วยวาจาเผ็ดร้อนเหมือนกันแต่ต้องร้องลั่นเมื่ออยู่ๆ  เซนก็ตวัดอุ้มเขาขึ้นแนบอกราวกับตัวเขาเป็นสิ่งของที่ไร้น้ำหนักแล้วเดินตัวปลิวตรงไปยังห้องนอนที่คานินเพิ่งจากมา

      “เฮ้ย!! ปล่อยนะจะทำบ้าอะไรวะ” คานินทั้งร้องทั้งดิ้นและทุบ เพื่อให้ตัวเองได้รับอิสรภาพ

      “โว้ย!! หยุดดิ้น  เดี๋ยวได้ตกหลังหัก”

       เซนตวาดกลับมาดังลั่นทำให้คนบนบ่าชะงักเพราะตกใจจึงหยุดดิ้นโดยอัตโนมัติ จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูห้องนอนเซนจึงยอมปล่อยตัวคานินลง แต่ยังจับข้อมือไว้แน่น  ก่อนที่จะมีใครได้ทำหรือพูดอะไรร่างโปร่งยกข้อมือที่ยังจับไว้แน่นขึ้นมาก้มลงกัดมือแกร่งอย่างแรงจนได้รสเลือดในปาก ใครจะว่าเขาเอานิสัยผู้หญิงมาใช้ก็ช่างเขาไม่เกี่ยงวิธีการอยู่แล้วขอให้หลุดพ้นจากไอ้เสี่ยบ้านี่เป็นพอ  เซนไม่พูดแต่ใช้มือที่ยังว่างอีกข้างบีบจมูกคานินอย่างแรงจนเจ้าตัวเริ่มไม่มีอากาศหายใจจึงยอมปล่อยปากออก รอยฟันเด่นหราบนหลังมือแกร่งเลือดไหลซึมออกมาจากรอยกัด แต่เซนก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ  คานินจ้องสบตาคนตรงหน้าอย่างไม่ลดละด้วยความโกรธ  ริมฝีปากบางมีเลือดของเซนเลอะอยู่เล็กน้อย

   “ไอ้สัส!! ปล่อยโว้ยกูจะกลับบ้าน  กูไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกับมึง”  คานินตะโกนโวยวายด่าทอ มือพยายามแกะบิดออกจากการเกาะกุมของเซน

   “เจ็บนะ!! เป็นหมาบ้ารึไง ถ้ายังปากดีไม่หยุดนายโดนหนักแน่” 

   เซนผลักประตูให้เปิดออกแล้วดึงร่างของคนที่ยังดิ้นรนเต็มที่เข้าห้อง  นรกนะสิใครจะยอมให้ทำอะไรกลางวันแสก คราวนี้คานินทั้งหมัดทั้งเท้าทุบถ่องเพื่อให้ตัวเองหลุดจากการกระทำนั้น

   “ไม่! ปล่อยกูโว้ย” 

    คานินตะโกนลั่นเลิกสนใจที่จะรักษามารยาทโดยสิ้นเชิง ก็ไอ้เสี่ยนี่มันวิตถารหรือไงกัน จะเอาท่าเดียว คุณมึงเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่ากูก็ผู้ชายนะโว้ย  แล้วดูห้องมันกระจกใสแจ๋วแบบนี้ สว่างโร่ขนาดนั้นมึงยังจะกล้า ถึงกูจะเอาไม่เลือกที่แต่กูก็ไม่กึ่งเอาท์ดอร์นะโว้ย และถึงจะโดนทิ้งก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะเป็นเกย์แมร่งเอ๊ย คานินดิ้นรนสุดแรงเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากการฉุดกระชากของเซน ในหัวก็ตะโกนก้องแต่ไม่กล้าส่งเสียงออกมา ถ้าขืนหลุดสิคงโดนมันตบคว่ำแน่น

   “หยุดโว้ย! จะดีดดิ้นทำไม”  คนโดนทุบตีหนักเข้าชักหงุดหงิดเหมือนกัน

   “ไม่!!  ไปตายซะเถอะไอ้นรก ปล่อยกู สัสหูแตกหรือไง กูไม่ใช่เกย์  motherfucker  ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสะ....

   “ฉาด!!”   เซนมือฟาดลงบนแก้มของคานินอย่างแรงสองครั้ง มันเกิดรอยแดงปื้นบนแก้มขาวทันที ร่างโปร่งหยุดชะงักตะลึงค้างอยู่อย่างนั้น มุมปากเลือดซึมออกมาจนได้กลิ่นคาวอวลอยู่ในปาก

   “หุบปากซะ!  เรื่องนี้มันมีแค่กูกับมึงอย่าดึงพ่อแม่กูมาเกี่ยว ถ้ามึงไม่คุยก็ไม่ต้องคุย กูเหลืออดเหมือนกันคนอย่างมึงมันเกินเยียวยา” 

    เซนเสียงต่ำห้วนด้วยโทสะ มือแกร่งผลักร่างของคานินอย่างไม่ปราณีปราศรัยจนล้มลงไปบนเตียง ก่อนจะตามขึ้นไปคร่อมกดร่างโปร่งกดไว้จนไม่สามารถดิ้นหนีได้ถนัด  มือแกร่งถอดเสื้อผ้าของตัวเองอย่างใจเย็น  ตาคมวาวโรจน์จ้องมองคานินด้วยสายตาเย็นชา แรงโทสะเจืออยู่ในอารมณ์จนคานินรู้สึกได้

   เซนไม่อยากจะทำแบบนี้ แต่ถ้าไม่กำหลาบซะบ้างไอ้เด็กนี่ก็คงจะเหลิงเที่ยวปากดีไปทั่ว คงจะตายเพราะปากเข้าสักวัน  มือแกร่งดึงกระชากเสื้อยืดของอีกฝ่ายจนหลุดออกจากตัวทิ้งลงข้างเตียงโดยไม่ใส่ใจ กางเกงกำลังเลื่อนหลุดไปถึงหน้าขาเรียวสวย หลังจากตะลึงค้างอยู่นานคานินดันตัวขึ้นเงื้อกำหมัดเหวี่ยงใส่หน้าของเซนอย่างแรง เซนเบี่ยงหลบได้ทันแต่ก็ยังเฉี่ยวโดนมุมปากเสียงดัง   “ปึก”

   ทุกอย่างหยุดชะงักงันอีกครั้ง  ใบหน้าคมเข้มของเซนหันตามแรงเหวี่ยงของหมัด มุมปากแตกเลือดซึมไหลออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมามองคนใต้ร่างช้าๆ แววตาคมลุกวาบจนร่างโปร่งคิดว่าเซนจะชกคืน แต่ผิดคลาดเซนใช้นิ้วกลางปากเช็ดเลือดมุมปาก ลากนิ้วที่เปื้อนเลือดมาตามริมฝีปากล่าง ลิ้นหนาสากไล้เลียรอยเลือดจนหมด ก่อนดุนดันกระพุ้งแก้มอย่างไม่ใส่ใจ ยกยิ้มเย็นก่อนจะดึงกระชากกางเกงของคานินที่เหลืออยู่จนหลุดออกจากเรียวขาสวย เลือดบ้ากำลังขึ้นหน้าเขา เห็นจะสั่งสอนคนใต้ร่างให้รู้สึกซะบ้างว่าตัวเองเป็นใคร มีฐานะอะไร

   “หึ หึ ขอต้อนรับสู่ความหฤหรรษ์...” 













TBC.

ปล. 

1. ครบถ้วนแล้วนะครับสำหรับบทที่ 20  ถ้าเจอข้อผิดพลาดประการใดแจ้งเขาด้วยนะครับ  ขอให้สนุกกับการอ่าน  ที่สำคัญคือ  ขอขอบคุณที่ติดตามอยู่เป็นกำลังใจเสมอมา

2. ขอบคุณพิเศษ @ TaecKhun Imagine Love  เค้าแก้ไขส่วนที่ผิดแล้ว
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.20_Zhen Side Story : เผชิญหน้า (2)_P.6 อัพเดต 26-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 26-11-2015 20:54:58
อื้อหือ โหดจริงๆ
งานนี้ได้เลือดแน่ๆ
ค้างได้ที่เลยนะเนี่ย
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.20_Zhen Side Story : เผชิญหน้า (2)_P.6 อัพเดต 26-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 26-11-2015 21:15:58
บ้านเสี่ยเซนก็คงจะประมาณนี้นะครับ


(http://image.goosiam.com/imgupload/l/yCk7HQuS8PTA.jpg) (http://image.goosiam.com/view.asp?uid=118202&s=yCk7HQuS8PTA)

(http://image.goosiam.com/imgupload/l/tUIXm1EDb7wl.jpg) (http://image.goosiam.com/view.asp?uid=118203&s=tUIXm1EDb7wl)

(http://image.goosiam.com/imgupload/l/JgB06fhWkddq.jpg) (http://image.goosiam.com/view.asp?uid=118204&s=JgB06fhWkddq)

(http://image.goosiam.com/imgupload/l/gxK4bLcQf6pK.jpg) (http://image.goosiam.com/view.asp?uid=118205&s=gxK4bLcQf6pK)

(http://image.goosiam.com/imgupload/l/1xjaxNjZ9vOm.jpg) (http://image.goosiam.com/view.asp?uid=118207&s=1xjaxNjZ9vOm)

credit : Contemporist.com
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.20_Zhen Side Story : เผชิญหน้า (2)_P.6 อัพเดต 26-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-11-2015 08:56:31
คุณใช้เวลาและมันสมองกรั่นกรองออกมาจนมาเป็นนิยายเรื่องนี้
ที่ขอบคุณต้องเป็นเรามากกว่านะ ขอบคุณมากๆที่แต่งนิยายเด็กเลี้ยงมาให้อ่าน

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ลิ้นหนาสากไล้เลียรอยเลือกจนหมด
ดุนดันกระพุ่งแก้มอย่างไม่ใส่ใจ >>> กระพุ้งแก้ม

เฮียเซนกล่าวต้อนรับเข้าสู่ความหฤหรรษ์ แล้วทำไมเฮียมาปิดประตูใส่หน้ากันแบบนี้
เฮียรู้ไหมว่ามันค้างงงงงงงง :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.20_Zhen Side Story : เผชิญหน้า (2)_P.6 อัพเดต 26-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 27-11-2015 12:23:05
เฮียเซนทำไมโหดกับกระต่ายน้อยจังง่า :mew2:

แล้วแบบนี้ใครเขาจะรักลงเล่า  :katai1:

เฮียมันค้างงงงงงง  :z3:

ขอบคุณคนเขียนเช่นกันค่ะ  :กอด1: ที่สละเวลามามาเขียนนิยายให้ได้อ่านกัน
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.20_Zhen Side Story : เผชิญหน้า (2)_P.6 อัพเดต 26-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 29-11-2015 01:40:10
สปอยเล็กๆ



      “เลิกเล่นตัวสักที กูไม่เคยต้องอดทนกับเรื่องอย่างนี้“

      “ก็ไม่ต้องอดทนไปเอากับคนที่เขาเต็มใจสิจะมายุ่งกับกูทำไม กูไม่ทำ มึงไม่มีสิทธิ์บังคับกู” 

      “มีหรือไม่ ร่างกายมึงจะตอบเองตอนอยู่ใต้ร่างกู” 

      “อย่านะไอ้สัส  อย่า!...”
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.20_Zhen Side Story : เผชิญหน้า (2)_P.6 อัพเดต 26-11-15
เริ่มหัวข้อโดย: เลิฟลี่ ที่ 29-11-2015 07:39:23
บอกเลยว่าตอนหนูคานินนี่ระทึกมาก เสี่ยจะไม่ยอมบอกจริงๆเหรอว่าเป็นใคร  ท่าทางน้องก็รออยู่นะนี่
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.21_Zhen Side Story : ถั่งโถมโหมแรงไฟ_P.6 อัพเดต 291115
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 29-11-2015 15:06:02
เด็กเลี้ยง






21


Zhen Side story (3)  :   ถั่งโถมโหมแรงไฟ








      “ไม่! ปล่อยกูไอ้เหี้ย สัสเอ๊ย  กูไม่ใช่เกย์ ไม่ใช่ที่ระบายความอยากของมึง ไอ้...ฮื้อ...” 

      เสียงบริภาษถูกดูดกลืนหายไปพร้อมกับริมฝีปากร้อนที่บดขยี้ลงมาอย่างจาบจ้วง คานินดิ้นขัดขืนให้พ้นจากการกระทำของอีกฝ่าย ฝ่ามือหนาสากลูบไล้ไปทั่วร่างโปร่งนวลเนื้อไม่ได้นิ่มเหมือนผู้หญิงแต่ก็เนียนแน่นไปทั้งตัว แม้ไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้งแต่ก็ยังดูเร้าใจ โดยเฉพาะจุดเล็กๆ บนหน้าอกที่ลุกชันแข็งเป็นตุ่มไตสู้สายตาโลมเลียอย่างหื่นกระหายของเซนยิ่งปลุกอารมณ์ดิบให้กระพือโหม

      “ฮื้อ...”

      เพียะ!!

      คานินดิ้นพล่านขัดขืนป่ายปัดข้อมือเล็กที่สะบัดไปมาฟาดเข้าไปที่ซีกแก้มขวาของเซนอย่างแรง ทำเอาความอดทนของเซนแทบจะขาดผึง คนตัวโตใช้มืออีกข้างที่เหลือบิดใบหน้าคนใต้ร่างให้มองตรงมาที่เขา ก่อนจะซุกไซร้ซอกคอขาวจนเป็นรอยฟัน ปากร้อนกระซิบเสียงเรียบนิ่งริมใบหูบาง

      “เลิกเล่นตัวสักที กูไม่เคยต้องอดทนกับเรื่องอย่างนี้“

      “ก็ไม่ต้องอดทนไปเอากับคนที่เขาเต็มใจสิจะมายุ่งกับกูทำไม กูไม่ทำ มึงไม่มีสิทธิ์บังคับกู” 

       คนใต้ร่างตอกกลับเสียงลั่นทำให้ความอดทนของเซนขาดผึง เขาไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่ง แต่ที่ไม่ชอบมากที่สุดคือ ความดื้อดึงและคำพูดที่ไม่รู้จักเด็กหรือผู้ใหญ่ของเจ้าเด็กนี่  ช่างกล้าพูดออกมาได้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์  มันคงจะยังไม่รู้ว่ามันเป็นของๆ เขา และเขาก็มีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะทำกับมันยังไงก็ได้

      “มีหรือไม่ ร่างกายมึงจะตอบเองตอนอยู่ใต้ร่างกู”  เซนเชยคางมนขึ้นมาพร้อมกับไล้ปลายจมูกลงไปตามนวลแก้ม คานินพยายามเบือนหน้าหนี  เซนหัวเราะในลำคออย่างคนถือไพ่เหนือกว่าก่อนจะยืดตัวขึ้นไล้ข้อมือไปตามกรอบหน้าหล่อน่ารักของคานิน

      “อย่านะไอ้สัส  อย่า!...”

      คานินพูดยังไม่จบประโยคก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่าเซนโยนกางเกงทิ้งไปแล้ว ในสถานการณ์แบบนี้แล้วหน้ามึงจะร้อนทำซากทำไมวะไอ้คานินแมร่งเอ๊ย!! ไม่ใช่เพราะเห็นผู้ชายด้วยกันโชว์ของลับแล้วทำเป็นกระแดะอายหรอกนะ  แต่คือ.กูเป็นผู้ชายมีอยู่รูเดียวที่มันจะใส่เข้ามาได้ แล้วมันก็ไม่ใช่เพื่อการนั้น สายตาเหลือกลานของคานินหยุดนิ่งอยู่ที่ท่อนลำเก้านิ้วของเซนก่อนจะกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคอด้วยความยากลำบาก  ถ้าไอ้เสี่ยนี่มันทะลวงเข้ามากูไม่อยากจะคิด...!!!

      “ยะ อย่า กะ กู...” หัวใจเต้นแรงมองทุกการกระทำของเซนด้วยความกลัว ริมฝีปากหนาแสยะยิ้มก่อนจะเคลื่อนตัวลงมาทาบทับร่างโปร่ง คานินดิ้นรนสุดตัวเพื่อควานหาอิสรภาพโดยลืมคิดไปว่ายิ่งดิ้นลำตัวก็ยิ่งแนบชิดกัน แล้วมันก็ยิ่งกระตุ้นให้ท่อนลำนั่นพองตัวเต็มที่ เซนกัดกรามแน่นหลุดครางออกมาแผ่วเบาจากความเสียวซ่าน

      “แมร่งเอ๊ย!! ซี้ดดด ถ้ายังไม่หยุดดิ้น กูไม่รับรองว่ามึงจะไม่เจ็บอา.....”

      เซนลดสายตาโลมเลียสำรวจร่างของคานิน  แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาตื่นตระหนกของร่างโปร่ง เขาลดตัวลงปิดปากที่อ้าขึ้นเพื่อจะบริภาษของคานิน  ร่างโปร่งสะบัดหน้าหนีทำให้เซนต้องบังคับและกัดเม้มอ้อยอิ่งอยู่กับริมฝีปากล่างเบาๆ ในตอนแรก แต่เมื่ออีกคนเริ่มดิ้นแรงขึ้นทำให้เซนขบฟันลงค่อนข้างแรงจนอีกฝ่ายร้องด้วยความเจ็บ กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายในปากเซนยอมผละปากออก

      “โอ๊ย!! เหี้ยเอ๊ย! มึงจะกัดทำไม ปล่อยกู!!”  คานินดิ้นแรงกว่าเดิมให้หลุดพ้นจากร่างกำยำที่กดทับตัวเองอยู่

      “หยุด! ถ้ามึงยังปากดีแล้วยังไม่หยุดดิ้นอีก กูจะกัดแรงกว่านี้” 

      เซนกัดฟันพูดเสียงเข้ม มือแกร่งบีบหน้าคานินไว้แน่นจนกรามแทบแตก ตาที่มองสบกันบอกให้รู้ว่าเซนทำจริง  คานินพยายามเบือนหน้าหนีมือแกร่งเพิ่มแรงบีบก่อนจะก้มลงบดขยี้จูบร้อนแรง และยอมผละปากออกเมื่อคนใต้ร่างกำลังจะหมดอากาศหายใจ ลิ้นร้อนสากไล้เลียซอนไซ้ไปที่ใบหูของอีกฝ่ายจนขนลุกซู่ มือแกร่งลูบไล้ไปทั่วร่างของคานิน ปากร้อนไล้เลียลงมาที่ซอกคอขาวขบกัดสร้างร่องรอยฟันที่แดงซ้ำ ลิ้นสากไล้เลียรอยกัดที่ตนเองทำเอาไว้คานินรู้สึกทั้งแสบและเสียว  เซนโลมเลียตั้งแต่หัวจรดเท้าละลายทุกการต่อต้าน  รสชาดที่หอมหวานและกลิ่นกายอันพิสุทธิ์ทำให้เขาแทบคลั่งราวกับโดนวางยา

       คราวใดที่คานินอ้าปากจะประท้วงริมฝีปากหนาก็บดขยี้ลงมา เซนทั้งดูดดึงส่งลิ้นร้อนเข้าไปหยอกล้อ รุกล้ำพัวพันอย่างถือสิทธิ์ ร่างโปร่งไม่สามารถทำอะไรได้ สุดท้ายก็ต้องยอมให้อีกคนบดเบียดริมฝีปากประกบจูบอย่างร้อนแรง ลิ้นเล็กถูกดูดดึงจนรู้สึกเจ็บ ฟันซี่คมขบกัดริมฝีปากของคานินอย่างหื่นกระหาย  และทุกครั้งก็ทำให้คานินร้องครางออกมาด้วยความเจ็บแต่ก็รู้สึกเสียวซ่านอย่างบอกไม่ถูก หัวใจเต้นถี่รัวขึ้นและรู้สึกดีทุกครั้งกับบทรักร้อนแรงแปลกใหม่ เฝ้ารออย่างคาดหวังด้วยใจระทึกเพราะไม่รู้ว่าเซนจะทำยังไงกับร่างกายของเขาต่อไป

      “ร่างกายของนายมันน่าทำให้เกิดรอยที่สุดเลยรู้ไหม ทุกๆ ที่มันเป็นของฉัน”

      “อ..อ่ะ.. อย่า...ไม่เอา! อ๊าาา” 

      เสียงประท้วงจากปากบวมซ้ำของคานินกลายเป็นเสียงครางแสนหวานเร้าอารมณ์เมื่อเซนเล้าโลมไล่กัดตั้งแต่ไหล่เนียนสลับกับการจูบดูดเม้นลงไปจนถึงท่อนลำที่ใหญ่เกินตัวของคานิน เซนไม่แปลกใจเท่าไรที่ผู้หญิงหลายคนจะติดใจกระต่ายดื้อด้านนี่ ถึงมันจะทิ้งผู้หญิงเหล่านั้นมาอยู่กับเซล่าคนเดียวก็ยังมีแวะเวียนมาหาตลอด พอเลิกกับเซล่าเขาคิดว่าเจ้าเด็กนี่จะทิ้งนิสัยเดิมไปแล้ว แต่ไม่ใช่มันกลับเข้าสู่วังวนชีวิตแบบเดิมสนองให้ผู้หญิงทุกคนที่ร้องขอตลอดสองสามวันที่ผ่านมา แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้ยังไง 

      เซนเลื่อนมือไปกอบกุมท่อนลำของคานินนิ้วมือสะกิดป่ายปัดส่วนปลายบานไปมาเหมือนไม่ตั้งใจทำเอาร่างโปร่งดิ้นพล่าน ยิ่งเซนขยับมือรูดรั้งรัวเร็วเคล้าคลึงมากเท่าไรคานินยิ่งเกลียดตัวเองมากเท่านั้นเกลียดที่รู้สึก...รู้สึกดีไปกับรสสัมผัสที่อีกฝ่ายยัดเยียดให้

      “รู้สึกดีสินะ...เดี๋ยวจะได้รู้สึกดีกว่านี้อีก”  เซนยกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจกับร่างกายที่ตอบสนองอย่างซื่อสัตย์ของกระต่ายดื้อด้าน

      “ย...อย่าไม่..ได้โปรดอย่าทำกับผมอย่างนี้”  คานินพยายามอ้อนวอน แน่นอนว่าด้วยสภาพนี้ เซนไม่รู้สึกสงสารเลยสักนิด ก็บอกแล้วร่างกายเจ้านี่มันน่าทำให้เกิดรอยจะได้หลาบจำ

      “ทำไมกันล่ะ นายเป็นถึงขนาดนี้...ฉันจะช่วยเต็มที่ก็แล้วกัน”

      “อย่า...ไม่ ไม่”

      เซนไม่ฟังคำอ้อนวอนร้องขอใดๆ อีก ลำแขนแกร่งทั้งสองข้างกดสะโพกคานินไว้แน่น ดวงตาคมวาววับหื่นกระหายมองท่อนลำสีชมพูอ่อนที่ขึ้นลำสวยปลายยอดมีน้ำใสปริ่มเรียกร้องให้เขาดื่มกิน เซนไม่รอช้าที่จะครอบริมฝีปากหนาลงจนมิด ดูดและรูดปากขึ้นลงตามความยาวจนเกิดเสียงดังกระตุ้นอารมณ์อยากฉุดรั้งแรงปรารถนาที่เริ่มไต่ระดับขึ้นสูงเรื่อยๆ




       คานินกัดริมฝีปากล่างของตัวเองใจเต้นระรัวเสียวซ่านดั่งกระแสไฟเล็กๆ วิ่งพล่านไปทั่วร่าง  สายตาหวานฉ่ำเยิ้มด้วยไฟอารมณ์ เมื่อไม่สามารถปฏิเสธได้เขาก็จะสนุกกับมัน ปล่อยใจและกายไปตามสายธารแห่งความหฤหรรษ์

       คานินสอดมือเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มกดหัวของเซนจนหน้าแนบกับหัวเหน่าที่มีกลุ่มขนอ่อนบางเบาของตัวเอง สะโพกยกสวนรับจังหวะการดูดดึงเพื่อให้เซนได้ดื่มกินตัวตนของตัวเองได้ลึกและมากยิ่งขึ้น 

      “หึ หึ”

      “แรงอีกสิครับ อะ อ๊ะ ฮื้อออ...แรงอีก..ไม่ไหวแล้ว..”


      เสียงครางหวานที่ผ่านริมฝีปากบวมเจ่อ ทำให้เซนยกยิ้มน้อยๆ เมื่อรู้ว่าคานินกำลังจะถึงขีดสุดของแรงอารมณ์ ริมฝีปากหนาเร่งดุนดันดูดรูดขึ้นลงรัวเร็วยิ่งขึ้น ฟันของเซนที่จงใจให้มันครูดถูกท่อนลำเบาๆ เป็นบางครั้ง เพิ่มความเสียวซ่านให้คานินสุดบรรยาย จนถึงขีดสุดมือของคานินกดหัวเซนแน่นกระแทกจนท่อนลำให้ลึกที่สุดก่อนจะเกร็งกระตุกและปลดปล่อยน้ำหวานขาวข้นเข้าเต็มปากเซน คนตัวโตกลืนกินจนหมดอย่างไม่รังเกียจ

      คานินยังขยับกระแทกท่อนลำใส่ปากของเซนเนิบนาบสองสามครั้งแล้วเกร็งค้างร่างกายสั่นระริกเมื่อเซนดูดส่วนปลายอย่างแรงจนแก้มตอบ คนตัวโตดูดกลืนน้ำรักจนหยาดหยดสุดท้ายก่อนจะยอมปล่อยปากออก ร่างโปร่งทิ้งร่างสั่นระริกซ่านความสุขสมลงนอนราบกับเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน เมื่อจังหวะหายใจเริ่มปกติทั้งหน้าตาเนื้อตัวเห่อร้อนสำนึกได้ถึงปฏิกิริยาของตัวเองที่หลุดการควบคุม  เขาหันหน้าหนีด้วยความละอาย  แต่ถึงกระนั้นก็อดที่จะประหลาดใจกับความรู้สึกดีที่ตัวเองได้รับจากการปรนเปรอของไอ้เสี่ยนี่ไม่ได้ ร่างกายของเขาถึงขนาดยอมผ่อนปรน ร้องขอและตอบสนองทุกสัมผัสของมันด้วยความเต็มใจหมดกัน...

      สะโพกยังถูกตรึงแน่นด้วยแขนแกร่งของเซน แม้จะปลดปล่อยจนแทบจะทุกหยาดหยดแล้ว แต่ปากหนาก็ยังครอบลงดูดดึงที่ปลายยอดท่อนลำแรงๆ ไล้เลียทำความสะอาด และลากลิ้นสากร้อนมาจนถึงช่องทางรักสีหวานจีบสีชมพูระเรื่อปิดแน่น เซนไม่รอช้าลงลิ้นไล้เลียแหย่เข้าไปในช่องทางรักนั้น  มันขมิบเม้มตอดรัดเหมือนเชิญชวนให้เขาเข้าไปสำรวจหาความหอมหวานทุกซอกมุม

      “อะ อ๊ะ  ยะ อย่า  มะ ไม่เอา พะ พอเถอะ ฮื้อ มันสกปรก” คานินร้องครางด้วยความซ่านเสียวปนเปไปกับความตกใจเมื่อยกหัวขึ้นมาดูเห็นไอ้เสี่ยกำลังปรนเปรอช่องทางด้านหลังของเขาด้วยลิ้นร้อน

      คานินยกมือที่อ่อนแรงของตัวเองผลักดันหัวของเชนออกจากตรงนั้น แต่เหมือนแกล้งไอ้เสี่ยมันกดสะโพกเขาไว้แน่นกว่าเดิม ดูดดึงเลียสลับกับการแหย่ลิ้นเข้าไปในช่องทางรักอยู่หลายครั้งจนเขาหลุดเสียงครางกระเส่าด้วยความเสียวซ่าน  การถูกเล้าโลมช่องทางด้านหลังอย่างหนักหน่วงมันเป็นเช่นนี้เองสินะ มิน่าผู้หญิงพวกนั้นถึงเรียกร้องนักหนาอยากจะให้เขาทำให้  แค่คิดท่อนลำของคานินที่สิ้นแรงไปแล้วเริ่มแข็งขืนลุกชันอีกครั้ง 

      เซนยืดตัวขึ้นใช้มือแหวกรอยแยกบั้นท้ายของคานินออกนิ้วเรียวยาวกดวนปากทางรักย้ำๆ พร้อมชำแรกนิ้วเข้าไปสองนิ้วโดยไม่มีสิ่งล่อลื่นมันทั้งฝืดและคับแน่น เซนไม่รอให้คานินได้ตั้งตัวเขากระแทกเข้าไปอย่างแรงจนสุดโคนนิ้ว  ร่างบางผวาเฮือกมันทั้งเจ็บแสบและอึดอัด

      “โอ๊ยยย!!..อื๊ออ..อ๊าาา..อ๊ะ” 

       คานินครางดังลั่น รู้สึกเย็นเยียบไปทั้งร่างทั้งๆ ที่เหงื่อผุดพรายท่วมตัว หัวใจเต้นรัวแรง ตกใจกับปฏิกิริยาของตัวเองเขารู้สึกมากๆ กว่าปกติ ทั้งที่แสบร้อนช่องทางรักแต่ก็เสียวท้องน้อยสุดๆ จนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาปรารถนาให้ท่อนลำของเซนเข้ามาในตัวเขามากกว่าจะเป็นนิ้วมือนั่น

       ร่างโปร่งชะงักงันกับความคิดของตัวเอง แต่ช่องทางร้อนของเขามันไม่อย่างนั้นกลับขมิบรัดรัวเร็วกว่าเดิมจนรู้สึกได้เมื่อเซนเริ่มขยับนิ้วกระแทกเข้าออกอย่างรุนแรง  และคิดว่าเซนก็คงจะรับรู้ถึงแรงตอดรัดดูดดึงได้เป็นอย่างดีเหมือนกันเพราะคนตัวโตขยับนิ้วเข้าออกรัวเร็วแรงกว่าเดิม จนมันเริ่มคล่องเมื่อช่องทางรักหลั่งสารหล่อลื่นออกมา

      “ชอบแบบนี้เหรอที่รัก”  เซนถามเสียงพร่าเขาเองก็แทบจะทนไม่ไหวแล้วกับท่าทางยั่วยวนผ่อนปรนของแม่กระต่ายดื้อด้านนี่ แต่ยังก่อน...

      “.......” 

       คานินตอบคำถามด้วยหัวใจที่เต้นถี่แรงร่างกายสั่นระริกซ่านเสียว ช่องทางด้านหลังตอดรัดดูดดึงนิ้วแกร่งอย่างบ้าคลั่ง  ตาคมวิบวับเฝ้ามองเสี้ยวหน้าที่บิดเบี้ยวร้องครางของคานินอย่างพอใจและเอ็นดู ร่างโปร่งกระตุกทุกครั้งเมื่อเซนกระแทกนิ้วโดนจุดไวสัมผัสในช่องทางนั่นย้ำซ้ำๆ พอรู้สึกว่าร่างโปร่งกำลังจะแตะขอบความสุขสมเซนก็จะฉุดรั้งมันไว้อยู่อย่างนั้นหลายครั้ง เสียงครางอื้ออึงขัดใจอย่างน่าสงสารเอวบางบิดทรมานแทบขาดใจกับสัมผัสนั่น

      “อื้อ..หยุดเถอะ ฮึก..อ๊าส์..ไม่ไหว ไม่เอาแล้ว!!”

      “ขอร้องงั้นเหรอ!?”  เซนกระหยิ่มยิ้มย่อง ก็บอกแล้วร่างกายนายมันซื่อสัตย์ เอาสิรู้สึกให้มากกว่านี้อีก ร้องขอสิ่งที่นายต้องการออกมา

      “ฮึก อ๊ะ..อ๊าาา...พอแล้ว ไม่เอาแล้ว...ยะ ยอมแล้ว” เสียงครางคล้ายละเมอตาเรียวหวานฉ่ำเยิ้มมีน้ำใสคลอตรงหางตา ใบหน้าน่ารักสะบัดไปมาไม่ได้ทำให้เซนหยุดการกระทำจ้วงจาบของตัวเอง นิ้วเรียวแกร่งสะกิดจุดไวสัมผัสเบาๆ คล้ายหยอกล้อกระนั้นร่างโปร่งก็ยังหวีดร้องอย่างกระสันเสียว  เซนก้มลงใช้ลิ้นเลียเบาๆ ที่จีบพับของช่องทางรักขณะที่นิ้วก็ยังขยับเสียดสีเข้าออกไม่หยุด ยิ่งเห็นสะโพกมนร่อนไหวเขายิ่งได้ใจ ความสนุกมันเพิ่งจะเริ่ม...

      “ขอร้องมาสิ อยากได้มันรึเปล่า? หืม?”  คำถามทำเอาคานินเม้มปากแน่น ตาเรียวหวานหลับลงหลบซ่อนความต้องการของตัวเองหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างจนด้วยคำตอบ

      “...”

      “เข้าใจตรงกันนะว่าฉันมีหรือไม่มีสิทธิ์  ที่นี้อยากให้ฉันเข้าไปในตัวนายหรือเปล่า ถ้าไม่ตอบก็ค้างมันอยู่อย่างนี้ แล้วอย่าหวังว่าจะเสร็จด้วยนิ้ว..ว่าไงหืม!?"


       ....................


      “ดะ ได้โปรด...อย่าใจร้ายกับผม”

      “หือ?..ได้โปรดอะไร?...”

      “คุณก็รู้ว่าหมายความว่ายังไง อ๊ะ ฮื้อ....”  เซนแกล้งกระแทกนิ้วให้โดนจุดไวสัมผัส แล้วก็แช่ค้างไว้อย่างนั้นไม่ทำต่อ  คานินพยายามจะยื่นมือที่สั่นระริกด้วยความต้องการไปกอบกุมท่อนลำที่แข็งขืนของตัวเอง แต่ถูกมือแกร่งของเซนอีกข้างรวบกดไว้เหนือหัวแทน

      “ฉันไม่รู้หรอกนะ ถ้านายไม่พูดออกมาตรงๆ”   

      “ฮึก...ทำไมต้องเป็นผม


      “นายเป็นของฉัน ว่าไงอยากได้มันรึเปล่า


      “......................”


      “จะอยู่อย่างนี้?... ก็ได้นะ..”

       “คะ คุณ...อึก เข้ามาในตัวผม ได้โปรด...


      “หึ..พูดได้ดี งั้นฉันก็ไม่เกรงใจ

      เซนถอนนิ้วออก ก้มลงกระซิบเสียงทุ่มต่ำแหบพร่าขบเม้มติ่งหูเบาๆ อ้อยอิ่งไล้เลียลิ้นร้อนมาจนถึงริมฝีปากบาง ก่อนที่จะสอดลิ้นร้อนเข้าเกี่ยวกระหวัดดูดดึงกับลิ้นของคานินจากจูบอ่อนหวานกลายเป็นร้อนแรงต่างคนต่างไม่ยอมกัน  คนตัวโตผละปากออกเพื่อให้กระต่ายดื้อด้านได้มีโอกาสสูดหายใจ ปากร้อนขบเม้มริมฝีปากล่างจนถึงใต้คางของคานินค่อนข้างแรง ปากหนายังขบกัดและดูดเม้นที่ลาดไหล่ของร่างโปร่งจนเกิดรอยฟันซ้ำๆ ทั่วบริเวณ  มือแกร่งยกขึ้นบีบขยี้เม็ดทับทิมของคานินอย่างแรงจนเจ้าตัวร้องครางด้วยความเจ็บแสบ แต่ก็แอ่นอกรับแรงบีบขยี้อย่างเต็มใจมันคงเจ็บแสบและเสียดเสียวจนปากบางบวมเจ่อครางไม่หยุด

      ชายหนุ่มผละจากลาดไหล่ ไล้เลียดูดดึงจนมาถึงเม็ดทับทิมที่ตอนนี้ตั้งชันสู้ริมฝีปากหนา เซนก้มลงดูดดึงฟันซี่คมขบกัดค่อนข้างแรงสลับการไล้เลีย  มันทั้งเจ็บแสบทั้งเสียวแต่ถึงใจ คานินแอ่นอกให้เซนกัดและดูดดึงแรงๆ ตามใจปรารถนา  สะโพกหนาโยกบดเบียดตามแรงอารมณ์จนรู้สึกได้ว่ามันแข็งขืนและเริ่มมีน้ำใสปริ่มปลายยอด เซนยืดตัวขึ้นชะโงกตัวไปที่ลิ้นชักข้างหัวเตียงหยิบหลอดเจลออกมาบีบชโลมไปที่ท่อนลำที่ขยายตัวเต็มที่ของตนเองและช่องทางรักของคานิน

      “เอาถุงยางรึเปล่า” 

      “ไม่”   คานินตอบหนักแน่นทันควันโดยไม่คิด ขนาดนี้แล้วมึงยังจะมีอารมณ์ขัน ถามเพื่อ..?

      “หึ หึ ตามนั้นครับฮันนี่”  เซนจับตัวคานินคว่ำหน้าลงกับที่นอน จับขาทั้งสองข้างให้ตั้งเข่าขึ้น สะโพกมนลอยเด่นช่วงบนแนบไปกับเตียงนอน

      เพียะ!!!

      “อ๊ะ!!”  คานินผวาเฮือกร้องลั่น เมื่อถูกเซนฟาดฝ่ามือลงที่บั้นท้ายขาวเนียนอย่างแรงจนขึ้นรอยฝ่ามือ เซนบีบเค้นบั้นท้ายของคานินเต็มมือพร้อมทั้งฟาดมือลงไปอย่างแรงอีกครั้ง ทั้งๆ ที่รู้สึกเจ็บจนน้ำตาเล็ดแต่คานินกับชอบที่จะให้เซนทำอย่างนั้นกับร่างกายของตน  เซนทาบทับร่างโปร่งซุกไซร้ซอกคอขาวขบกัดอย่างรุนแรงจนขึ้นรอยแล้วก็ไล้เลียรอยกัดนั้น กลิ่นคาวเลือดซ่านอยู่ในปากหนา

      เสียงครางต่ำในลำคอของเซนเหมือนพึงพอใจอะไรสักอย่างที่คานินไม่อยากคิดตาม เซนจับท่อนลำใหญ่โตของตัวเองตีลงบนบั้นท้ายมนอยู่สักพัก ก่อนจะจับถูไถปากทางรักไปมา คานินรับรู้ถึงความต้องการที่พุ่งสูงของตัวเองจึงแสดงอาการฮึดฮัดขัดใจที่เซนไม่ยอมสอดใส่เข้ามาสักที

      “ใส่เข้ามาสักทีสิ ทำแบบนี้มันอึดอัด”  เซนยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ก่อนจะกดส่วนหัวเข้าไปช่องทางรักที่ขมิบระรัวเรียกร้องเชิญชวนของคานินแล้วดันพรวดทีเดียวมิดด้านโดยไม่บอกกล่าว

      “ปึก!! เจ็บ...”  คานินร้องลั่นสะดุ้งเฮือกทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วมันทั้งเจ็บแสบ จุกและคับแน่นช่องทางด้านหลัง ที่สำคัญมันคงจะฉีกขาดแน่ๆ  เหงื่อกาฬไหลซึมตามไรผม คานินกัดผ้าปูที่นอนแน่นเพื่อบรรเทาความเจ็บ มือเล็กกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ น้ำตาใสไหลซึมเปียกผ้าปูที่นอนเป็นดวงๆ เซนปวดหน่วงลมหายใจติดขัด เหงื่อไหลซึมลงมาจนโทรมกาย เปียกชุ่มหยดลงบนตัวคนใต้ร่าง นี่ยังไม่ได้ขยับยังตอดรัดจนเสียวซ่านแทบจะยั้งอารมณ์ไม่อยู่
 
      “ไหวไหม? อย่าเกร็งนะฮันนี่”  เซนก้มลงถาม กัดกรามแน่นข่มความเสียวซ่านที่ได้รับ ปากร้อนนาบจูบบางเบาลงที่ลาดไหล่ ก่อนจะยืดตัวขึ้นมือกอบกุมสะโพกมนแน่น ขยับสะโพกตัวเองเข้าออกอย่างแรงโดยไม่คิดจะออมแรงอีก  คานินรู้ว่าไม่ใช่เพราะความเจ็บอย่างเดียวที่เขาได้รับ มันปะปนไปด้วยความสุขสมและความพึงพอใจที่ไม่เคยได้รับจากเซ็กซ์ครั้งไหนๆ ที่เขาเคยทำกับผู้หญิงพวกนั้น

      เพียะ!!

      ตั๊บ ตั๊บ ตั๊บ....

      เสียงเนื้อกระทบกันทั้งที่เกิดจากแรงกระแทกและฝ่ามือของเซนที่ฟาดลงสะโพกขาวอย่างแรง ร่างกายของคานินโยกคลอนตามแรงกระแทกถี่ยิบ เสียงครางของทั้งสองดังระงมลั่นห้อง คานินรู้สึกเสียววูบวาบเหมือนกระแสไฟอ่อนวิ่งพล่านจากท้องน้อยจรดปลายท่อนลำของตัวเองทั้งๆ ที่ไม่ได้แตะต้อง เจ็บเสียวช่องทางด้านหลัง แต่ก็ร่อนสะโพกรับทุกแรกกระแทกหนักหน่วง มันเบียดเสียดเสียวปลาบแล่นไปทั่วทุกอณูร่างกาย ความรู้สึกดีอัดแน่นทรมานอยู่เต็มอกราวกับลูกโปร่งอัดอากาศรอเวลาแตกกระจาย   

      “อ๊ะ...โอ๊ววว..อา”

      “โอ๊วว ซี๊ดดด. Fuck!! Fuck!!...รู้สึกดีใช่ไหมล่ะ?  ชอบไหม?  อ้าซี๊ด..ชอบสินะตอดรัดฉันซะขนาดนี้”


      คำถามเหมือนดูถูก คานินจะปฏิเสธก็ทำได้ไม่เต็มปากเต็มคำอีกแล้ว ได้แต่กัดริมฝีปากบางแน่นไม่ยอมให้เสียงครางสุขสมของตัวเองหลุดรอดออกมา เซนยกยิ้มพอใจกับความเงียบของอีกฝ่ายมือแกร่งดึงร่างโปร่งขึ้นมากอดกระชับจนแผ่นหลังบางหลังแนบตลอดลำตัว ปากร้อนนาบจูบซุกไซร้ซอกคอหอมและลาดไหล่ที่เต็มไปด้วยรอยฟัน เซนตอบรับจูบของคานินที่หันกลับมาประกบจูบอย่างร้อนแรง เร่งเร้าให้ส่วนที่เชื่อมต่อกันร้อนขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งช่องทางรักรัดแน่นเท่าไร เซนยิ่งเสือกกายเข้าหาแรงเท่านั้น

      “โอ๊วว Fuck!!  Fuck!! ซี๊ดดด ฮืมมม นายมันสุดยอดจริงๆ...เรียกเซนสิเร็วๆ ”

      “ชะ เซน  เซนโอ๊วว...อ๊ะ อ๊า..”


      คานินครางเรียกด้วยเสียงกระเส่าและนั่นก็เหมือนการเติมเชื้อไฟแห่งความพิศวาสให้โหมกระพือขึ้นไปอีก ก่อนถึงขีดสุดของอารมณ์คานินร้องขอสิ่งที่ต้องการอย่างหลงลืมตัวตนและไร้สิ้นความละอาย

      “เซน.. เข้ามาลึกๆ แรงอีกจะไปแล้ว  อ๊า อ๊า ซี๊ดดดด อ้า....”

      “โอ๊วว! ฮืมมม..Fuck!!  ซี๊ดดดด...”

      เพียะ!!  ตั๊บ  ตั๊บ

       “อ๊าาา...เซนแรงๆ ใกล้แล้ว แรงอีก  โอ๊วววว...”

      เสียงครวญครางกระเส่าแหบพร่าของคานินที่ร้องขอยิ่งทำให้เซนเร่งเร้าจังหวะโยกไหวกระแทกจุดไวสัมผัสหนักหน่วงรุนแรงขึ้น  มือเรียวบางกำผ้าปูที่นอนแน่นเซนเอื้อมมือหนาสากของตัวเองสอดกุมมือคานินไว้แน่น...

             เซนรับรู้เมียเขากำลังจะถึงจุดสูงสุดของอารมณ์จึงกระแทกเน้นๆ ให้โดนจุดไวสัมผัสอย่างแรงส่งท้ายมันทำให้คานินเกร็งกระตุกหน้าท้องร่างกายสั่นระริกด้วยความสุขสม น้ำรักขาวขุ่นทะลักเปื้อนผ้าปูที่นอน คานินหายใจหอบเหนื่อยใบหน้าฟุบไปกับที่นอนแต่สะโพกยังลอยเด่นให้เซนกระแทกเน้นๆ คานินพานพบกับความสุขสมครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งที่ไม่ได้แตะต้องท่อนลำของตัวเองเลย 

      “อื้ออออ....อา...”

      “โอ๊วววว..Fuck!!...แม่คุณทูนหัวของผัว...”


      เซนครางเสียงต่ำขยับโยกไหวเน้นๆ แรงๆ อยู่สองสามครั้งก่อนจะถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ตามกันไป คานินเพิ่งเข้าใจความหมายของคำว่า ‘เอาถุงยางรึเปล่า’  ก็ตอนที่น้ำรักอุ่นร้อนของไอ้เสี่ยฉีดพ้นเข้าไปในช่องทางรักของเขาเต็มแม็กนี่เอง แมร่งไอ้ผัวบ้า เออ! ไม่ต้องอึ้งกันไปหรอก ก็ยอมมันซะขนาดนี้ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ไม่อยากจะกระแดะยอมรับแบบหน้าไม่อายแรดๆ ร่านๆ ด้วยว่ารู้สึกดีโคตรที่โดนแบบสดถึงอารมณ์กว่าครั้งไหนๆ ที่เคยทำมา ขอให้รับรู้ไว้ด้วยนะว่าแม้จะโดนกระทำก็ไม่ได้รู้สึกเสียศักดิ์ศรีอะไร เพราะแมร่งก็สุขเหมือนกันไม่ว่าใครจะทำ ไม่อายด้วยที่จะอ้อนผัวตัวเอง ในทางตรงกันข้ามนี่อาจจะเป็นการปลดโซ่ตรวนของใครคนนั้นที่ผูกยึดผมมานานให้เป็นอิสระ ผมจึงไม่ได้รู้สึกผิดอะไรกับสิ่งกระทำครั้งนี้

      เซนก้มลงมอบจูบอ่อนหวานให้คานินเนิ่นนาน ยืดตัวขึ้นถอดถอนท่อนลำออกจากช่องทางรัก ก้มลงมองช่องทางรักของแม่กระต่ายร่านรักที่ยังปิดไม่สนิท (ก็คงจะสนิทยากสักนิดโดนของใหญ่ชนกระแทกแรงซะขนาดนั้น) มันบวมแดงฉีกขาดและมีเลือดไหลซึมปะปนออกมากับน้ำรักของเขา เซนเลื่อนตัวลงมาใช้ลิ้นไล้เลียดูดกลืนจนเลือดหยุดไหล

      “อ๊ะ!!  พอเถอะ ไม่เอาเซนมันสกปรก พอเถอะนะ” 

       หน้าที่แดงก่ำกับสายตาเว้าวอนของคานิน ทำให้เซนยอมหยุดทั้งๆ ที่เขาอยากจะทำมากกว่านั้น เซนขยับตัวขึ้นประกบจูบอ่อนโยน คานินรับรู้ถึงคาวเลือดและน้ำรักที่อวลอยู่ในปากของเซน มันไม่ได้น่ารังเกียจแต่กลับสร้างความหวามไหวให้คานินตอบรับจูบนั้นด้วยความร้อนแรงในอารมณ์ และก็เป็นคานินอีกเหมือนกันที่ดันให้เซนผละปากออกเพราะตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ




        หลังจากอารมณ์หวามไหวพ้นผ่าน ตาสองคู่มองสบกันนิ่ง คู่หนึ่งร้อนแรงด้วยไฟราคะแห่งความรักและลุ่มหลง อีกคู่ฉ่ำเยิ้มคลอครองด้วยหยาดน้ำแห่งความสุขสมปะปนไปกับความแปลกประหลาดใจในบทรักที่ทำให้พานพบความสุขอย่างท่วมท้นจนเกินพอดีครั้งแล้วครั้งเล่า

      ความรู้สึกที่คานินได้รับมันมากกว่าที่เขาเคยทำกับผู้หญิงครั้งไหนๆ  ร่างกายที่ยังซ่านบอกว่ายังอยากจะให้คนตรงหน้าเติมเต็มอีกแรงๆ  ไอ้เสี่ยมันจะว่าเขาร่านไหมนะถ้าเขาจะ...



      “เซนเอาอีกได้ไหม...นะครับ”








TBC.

ปล.
1. กว่าจะเข็นออกมาได้กับบทพิศวาสบาดจิตของเสี่ยเซนกับแม่กระต่ายร่านรักอยากจะให้ดิบเถื่อนตามพื้นเพนิสัยก็คงได้แค่นี้แหละครับ

2. เหมือนเช่นเคยอ่านไปถ้าเจอข้อผิดพลาดที่เค้าซ่อนไม่มิดหรือไม่ถูกต้องตามหลักภาษาไทยก็บอกต่อด้วยเน้อจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง :D

3. ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมา ขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ  (เป็นความปริ่มเปรมล้นเหลือของคนเขียนที่เขียนออกมาแล้วมีคนอ่านนะครับ :D)






หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.21_Zhen Side Story : ถั่งโถมโหมแรงไฟ_P.6 อัพเดต 291115
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-11-2015 15:46:13
 :pighaun:
เฮียกินกระต่ายได้แซ่บมากกกกกกก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

และขอให้รับ รู ไว้ด้วยนะว่าแม้จะโดนกระทำก็ไม่ได้รู้สึกเสียศักดิ์ศรีอะไร 
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.21_Zhen Side Story : ถั่งโถมโหมแรงไฟ_P.6 อัพเดต 291115
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 29-11-2015 16:24:01
 :haun4:  กรี้ดด. อุบ๊ะ กระต่ายขออีกรอบ
เสียเลือดไม่เป็นไรอ้อนผัวได้อีก. น้องกระต่ายจะจำเฮียเชนได้ไหมนะ
ขอบคุณค่ะ.  :katai2-1:   
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.21_Zhen Side Story : ถั่งโถมโหมแรงไฟ_P.6 อัพเดต 291115
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 29-11-2015 17:35:32

กว่ากระต่ายน้อยจะจำเฮียเชนได้
คนอ่านคงเสียเลือดกันอีกหลายหยด
 :pighaun:
(เป็นการสูญเสียที่ยินยินยอมเป็นอย่างยิ่ง 555)


ขอบคุณนะจ๊ะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.21_Zhen Side Story : ถั่งโถมโหมแรงไฟ_P.6 อัพเดต 291115
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 29-11-2015 19:31:23
 :pighaun: :haun4: :jul1: :m25: :m10: :haun1:

  “เซนเอาอีกได้ไหม...นะครับ”

กระต่ายน้อยยยยยยยยย นางแรงร่านแรดดีจริงถูกใจป้ามั๊กๆ  o13

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.21_Zhen Side Story : ถั่งโถมโหมแรงไฟ_P.6 อัพเดต 291115
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 29-11-2015 20:31:52
 :pighaun: :jul1: :pighaun: :jul1: :pighaun:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.22_Zhen Side Story [4] : หวนคืนรัง_P.6 อัพเดต 21215
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 02-12-2015 20:17:34
เด็กเลี้ยง







- 22 -


Zhen Side story [4]   :   หวนคืนรัง








      หลังบทพิศวาสผ่านพ้นไปผมคิดตัวเองคงจะต้องโดนจัดหนักทั้งมือทั้งเท้าโทษฐานทำให้ผู้ชายคนหนึ่งสูญสิ้นศักดิ์ศรีความเป็นชายแน่ๆ แต่ผิดคาดคำขอของแม่กระต่ายทำเอาผมอึ้งชะงักงันอยู่นาน พอเห็นว่าผมไม่แสดงทีท่าตอบรับหรือปฏิเสธคุณเธอออกอาการฮึดฮัดผลักผมลงกับเตียงแล้วเป็นฝ่ายควบขี่โชว์ลีลาเด็ดดวงยิ่งกว่าจ๊อกกี้มือหนึ่งเสียอีก คุณเธองัดกลเม็ดเด็ดพรายที่จำจากผู้หญิงที่เคยนอนด้วยมาโต้ตอบผมอย่างร้อนแรงหนักหน่วงทุกท่วงท่าเราทั้งคู่สุขยิ่งกว่าสุข

       ครั้งแรกสำหรับมือใหม่ที่ถูกกระทำชำเราผมว่าแค่นี้ร่างกายก็เกินจะรับไหวแล้ว เพราะสภาพร่างกายแม่กระต่ายแล้วบอบช้ำเสียหายมากพอควรจึงควรจะหยุดไว้ที่ยกสอง  แต่ที่ไหนได้ผมคงประเมินสถานการณ์ต่ำไป แม่กระต่ายร่านรักของผมออกอาการกระเง้ากระงอดสะบัดหน้างอนแสดงอาการไม่พอใจที่ผมจะหยุดแค่นั้น ไอ้ผมก็ไม่อยากให้คุณเธอขุ่นเคืองใจจึงสนองความต้องการอย่างไม่อิดออด

      ผมอุ้มแตงแม่กระต่ายร่านรักไปถึงผนังกระจกที่สว่างโล่ง ต้นไม้น้อยใหญ่ในสวนทอดเงาร่มรื่นภายใต้แดดของยามบ่ายสามดูอบอุ่นและนุ่มนวล ใบไม้ไหวตามแรงลมที่พัดเอื่อยๆ โพซิชั่นดี แบล็คกราวน์เยี่ยม แสงสีพอเหมาะ  คนบนตัวอยู่ในท่าที่เหมาะสมทุกอย่างลงตัว เป๊ะเวอร์

       แต่พอแผ่นหลังบางแตะถูกความเย็นของกระจกเท่านั้นล่ะ คุณเธอทำสะบัดสะบิ้งดีดดิ้นหนีสุดแรงเมื่อรู้ว่าผมคิดจะทำตรงนี้ คุณเธอกลัวว่าบอดี้การ์ดที่เฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยอยู่ริมรั้วไกลๆ โน้นจะเห็นแล้วจะเอามาพูดให้ได้อายยันลูกบวช?? (ผมพูดว่าลูกใช่ไหมเมื่อกี้ ก็คาดหวังอยู่นะว่าจะติดไม่ดอกใดก็ดอกหนึ่งแหละขยันทำซะขนาดนี้) 

       แม่กระต่ายร่านรักนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกันมาหลอกให้อยากแล้วจะจากไปเหรอ ไม่มีทางผมจัดการเล้าโลมหนักหน่วงทั้งข้างหน้าข้างหลัง มือปากป่ายปัดทั้งกัดทั้งดูดแทบทุกที่ที่เป็นจุดไวสัมผัส  ท่อนลำบดเบียดเสียดสีกันจนน้ำใสเยิ้ม เมื่อความต้องการตีรวนจนความอายแตกทัพ ความสว่างโล่งแม้แต่บอดี้การ์ดก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของคุณเธออีกต่อไป แม่กระต่ายร่านรักของผมเป็นฝ่ายเปิดศึกรุกหนัก ความตื่นเต้นทำให้คุณเธอตอบสนองบทรักของผมอย่างร้อนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ  ผมแทบจะแตกตั้งแต่ยังสอดใส่ไม่หมด…ให้ตาย!

      หลังแสดงลีลาโยกไหวควบขี่อย่างช่ำชองแบบ half way around the world ในยกสี่ คุณเธอสิ้นฤทธิ์นอนหมดแรงเป็นผักเฉาน้ำหลัง เจ้าเด็กนี่รู้ว่าจะทำยังไงให้ผมคลั่งคุณเธอก็ใส่เต็มที่ไม่มีหมกเม็ด ก็มันเชี่ยวขนาดนี้น่ะสิผู้หญิงถึงติดใจแวะเวียนเข้ามาหาไม่หยุดหย่อน

       คิดๆ แล้วก็เสียดายเวลาที่ผ่านไป ถ้ารู้ว่าแม่กระต่ายของผมไม่อิดออดยอมง่ายขนาดนี้ผมน่าจะเข้าหาตั้งแต่ตอนที่เซล่าเปิดโอกาสให้ผมเมื่อสองปีก่อนไม่น่าจะปล่อยเวลาให้ยาวนานจนปานนี้ เจ็บใจฉิบหายให้ตายเถอะ...

.

.

.

      ครั้งแรกเล่นกันแรงขนาดนี้ไม่ยับเยินก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว เวลาขยับตัวทีมีครางเครือด้วยความเจ็บแถมน้ำตาเล็ดซึมหางตามันน่าเอ็นดูน้อยซะเมื่อไร  กำลังจะเอื้อมมือไปแตะก้นเนียนที่เต็มไปด้วยรอยฝ่ามือแดงเป็นปื้นเพื่อสำรวจความเสียหายว่าสมควรที่จะเรียกประกันหรือไม่  แต่แค่สัมผัสบางเบาแม่กระต่ายป่วยของผมก็ครางฮือด้วยความเจ็บปัดป่ายมือผมออกพัลวัน

      “ไม่เอาฮื่อ...อย่าเจ็บ....”

      “ชู่ว์!! นิดเดียวนะเฮียดูก่อน เสียหายมากรึเปล่า”

      “ก็ใครมันทำ...”
  ตอบเสียงสะบัดแบบงอนๆ กลับมาทันควัน เซนกรอกตาไปมา

       ‘ยาหยีก็นะพี่ทำคนเดียวที่ไหน ก็ทำด้วยกันไม่ใช่รึไง บอกให้เฮียใส่แรงๆ ลึกๆ แล้วคนอย่างเฮียเคยขัดใจที่ไหนก็เห็นกันอยู่ ที่ทำไปก็ทำตามคำสั่งยาหยีไม่ใช่รึไงวะ แล้วข่าวว่ายาหยีของเฮียขย่มเองอีกสองแบบ ลึก – แรง - เร็ว ด้วยเฮียรู้สึกได้เฮียสัมผัสได้’  ผมอยากจะตอบออกไปแบบนี้เหลือเกิน แต่ความจริงมันท่วมปาก ก็ได้แต่เก็บเงียบไว้คนเดียวเท่านั้นแหละ

      “ขอโทษครับ เฮียผิดเอง ไม่งอนนะครับ..น้า” ผมตีหน้าเศร้าเหมือนสำนึกผิดกับคนข้างตัว กดจูบลงที่ขมับและกลุ่มผมนุ่มหอมสงสารก็สงสารอยู่หรอก  แต่เอาจริงๆ ผมไม่ได้สำนึกถึงความผิดที่ก่อด้วยซ้ำ ชั่วเนอะที่รังแกสัตว์เล็กให้ได้รับความยากลำบากเจ็บปวดขนาดนี้ 

      “เอางี้เฮียอาบน้ำให้ไหมจะได้สบายตัว” ผมก้มลงถามชิดริมหูก็นะผมผิดก็ต้องเอาใจคุณเธอหน่อยก็แล้วกัน คุณเธอพยักหน้ารับผมยกยิ้มก้มลงกดจูบขมับอย่างอ่อนโยนก่อนจะลุกจากเตียงเดินเข้าไปเปิดน้ำอุ่นจัดใส่อ่างอาบน้ำ ระหว่างรอน้ำเต็มก็จัดการเปลี่ยนสนามรบใหม่ แม่กระต่ายครางประท้วงแผ่วเบาในลำคอตอนผมอุ้มไปนอนตรงโซฟาคงจะเจ็บนั่นแหละก็เลยอ้อยอิ่งจูบขอโทษ กว่าผมจะตัดใจผละไปจัดการกับเตียงได้ก็ใช้เวลาพอสมควร เมื่อเรียบร้อยจึงเดินไปอุ้มคุณเธอเข้าไปอาบน้ำ ผมนั่งลงตรงขอบอ่างจับร่างโปร่งนั่งตักอ้าขาออกกว้าง ปากเรียวบางร้องประท้วงด้วยความตกใจและเจ็บ

      “ฮึก....เจ็บไม่เอาพอแล้วนะ...”

      “ชู่ว์ อดทนนิดนะครับ เฮียเอาลูกเราออกมาก่อนจะได้สบายตัว”


      แม่กระต่ายพยักหน้ารับรู้ ความสุขปริ่มเปรมเอ่อท่วมท้นหัวใจร่างกายอิ่มเอมไปกับเพศรสอย่างล้นเหลือ แต่ก็ยังพร้อมที่จะเริ่มใหม่เพียงแค่เห็นน้ำรักของผมที่ไหลย้อนออกมาผสมกับสีเลือดจางๆ ตามเรียวขาอ่อนด้านในของอีกฝ่าย แม่กระต่ายคงรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผมคุณเธอผงะตัวออกเล็กน้อยด้วยความตื่นตระหนก

      “ชู่ว์ นิ่งก่อนวันนี้เฮียไม่ทำแล้วครับ” แม่กระต่ายยอมเอนตัวซบลงเหมือนเดิม ผมรีบควานนิ้วมือไปรอบช่องทางรักกวาดเอาน้ำรักที่คั่งค้างออกมาจนหมด ช่องทางยังใหม่มันเลยไม่ไหลออกมาเองตามธรรมชาติ

      เมื่อเห็นว่าลูกๆ ออกหมดแล้วผมยืนขึ้นเต็มตัวโดยที่ยังมีแม่กระต่ายอยู่ในอ้อมแขน วางคนในอ้อมแขนนั่งลงในอ่างก่อนคุณเธอสะดุ้งเล็กน้อยเพราะน้ำมันค่อนข้างร้อน ปากบางบวมเจ่อครางด้วยความพอใจ เป่าลมพรูออกมาทั้งทีตาหลับพริ้ม  ผมหัวเราะกับท่าทางของแม่กระต่าย แมร่งน่าฟัด!! อีกสักรอบดีไหมวะ อย่านะโว้ยใจเย็นๆ ไว้ไอ้เซนสงสารเขาบ้างเถอะ สี่ดอกนี่เขาก็เยินจะแย่แล้ว เพื่อเห็นแก่พระเจ้าผม ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวานก็ได้ ผมตามเข้าไปนั่งลงในอ่างน้ำ แขนกวาดโอบกระชับร่างโปร่งเข้ามากลางหว่างขาแม่กระต่ายรู้งานเอนตัวพิงอกผมไม่อิดออด 

      เราทั้งคู่นั่งแช่อยู่นานจนน้ำเริ่มอุ่นจึงอุ้มแม่กระต่ายขึ้นจากน้ำเช็ดตัวหาเสื้อผ้าให้ใส่อุ้มไปนอนบนเตียง เดินไปเปิดตู้เย็นเล็กที่เจาะฝังเข้าไปในผนังข้างประตูห้องหยิบน้ำขวดเล็กพร้อมแก้วเดินมานั่งริมเตียงชะโงกตัวไปเปิดลิ้นชักโต๊ะข้างหัวเตียงหยิบยาแก้ไข้แก้อักเสบมาให้แม่กระต่ายได้กิน 

      คุณเธอทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บตอนขยับตัวลงนอนคว่ำหน้ากับเตียงหลังทานยาเสร็จ ผมเอื้อมมือไปดึงกางเกงร่นลงจนถึงขาอ่อนแหวกแก้มก้นของแม่กระต่ายออกคุณเธอสะดุ้งและดิ้นประท้วงเล็กน้อย

      “ชู่ว์ ขอโทษครับ ไม่เป็นไรเฮียจะใส่ยาให้”

       ช่องทางรักบวมแดงตรงรอยฉีกเลือดไม่ซึมแล้ว ผมป้ายทายาตรงรอยฉีกขาดความเย็นของยาทำให้แม่กระต่ายสะดุ้งหลุดเสียงครางแผ่วเบา ผมขยับล้มตัวลงนอนข้างๆ พลิกตัวแม่กระต่ายเข้ามาในอ้อมกอด คุณเธอขยับตัวซุกทั้งตัวเข้ามาในอ้อมกอดผมด้วยความเต็มใจ เลยมอบจูบอ่อนโยนเป็นรางวัลความใจง่ายของแม่ยอดยาหยี คุณเธอตอบรับจูบผมกลับมาด้วยความเต็มใจเหมือนกัน

.

.

.

       เราต่างเงียบปล่อยเวลานาทีผ่านไปอย่างไม่สนใจใยดี จนผมคิดว่าแม่ยอดยาหยีคงจะหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่เปล่าเลยเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรได้คุณเธอผละตัวออกจากอ้อมกอดขยับลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว  ปากบางเม้นแน่นหน้าเหยเกด้วยความเจ็บช่วงล่างที่โดนชนกระแทก ก็ไม่รู้จะลุกให้เจ็บตัวทำไม คงจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่คุณเธอเลยชักสีหน้างอนๆ ขัดใจให้ผม  ผมส่งยิ้มลุแก่โทษยื่นมือไปลูบแขนปลอบๆ

      “ผมไม่เข้าใจเฮียทำแบบนี้กับผมทำไม เราไม่ได้รู้จักกันไม่มีเหตุผลที่จะทำแบบนี้สักหน่อย หรือเฮียแก้แค้นที่ผมไปทับเส้นทางของเฮีย”  เสียงถามด้วยความฉงนและคาดคั้นเอาความจริงของแม่กระต่ายทำให้เซนหลุดยิ้มเต็มหน้า

      “หึ หึ มันใช่เหตุผลแบบนั้นซะที่ไหน ไม่สนหรอกเรื่องทับไม่ทับ เฮียก็แค่ตามมาเอากระต่ายหลุดจากกรงของเฮียคืน”

      “อะไรยังไง ผมไม่เข้าใจอยู่ดี มองในแง่มุมไหนผมก็ไม่คุ้นว่ารู้จักเฮีย”

      “ก็นี่กระต่ายตัวนี้สมควรที่จะรู้ตัวซะทีว่าใครเป็นเจ้าของ จะต้องอยู่ตรงไหน ไม่ใช่สะเปะสะปะออกนอกลู่นอกทางไปเรื่อยโผไปให้คนนั้นคนนี้เลี้ยงยังกับเจ้าไม่มีศาล  ลองนึกดูดีๆ กระต่ายน้อยจำเฮียไม่ได้จริงๆ เหรอ”

.

.

.

.

.
      คานินพยายามคิดตาม เท่าที่จำได้ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าย่านสลัมแถบชานเมือง ไม่เคยรู้ว่าพ่อเป็นใครแต่รู้ว่าแม่เขาเป็นผู้หญิงจากหอโคมแดงที่พลาดตั้งท้องตั้งแต่ครั้งแรกที่ยอมขาย แต่ก็ช่างเถอะนั่นมันเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว...

       หลังแม่ตายแม่ของเซล่ารับเขาไปเลี้ยงดูและอยู่ที่บ้านเซล่าจนอายุ 16 ปี แล้วจึงย้ายออกมาเช่าห้องใต้หลังคาเล็กๆ อยู่ พร้อมทำงานและหาเงินเรียนเองจนจบมหาลัย หลังเรียนจบก็ค่อนข้างจะโชคดีที่ที่งานทันทีเพราะพี่ชายของเพื่อนฝากงานให้ จึงย้ายออกจากห้องใต้หลังคามาเช่าอพาร์ทเม้นท์เล็กๆ แทนเพราะเซล่าจะมาอยู่ด้วย แล้วช่วงไหน?? ที่จะทำให้เขามีโอกาสได้รู้จักผู้ชายที่อยู่คนละชนชั้นคนนี้กันล่ะ....เอ๊ะ!! หรือว่านี่...









      แม่กระต่ายมองหน้าเซนนิ่งนานคิ้วขมวดมุ่น มือเรียวบางยกขึ้นลูบไล้ไปตามแก้ม คิ้ว คาง ริมฝีปากหนาได้รูปของเซนอย่างแผ่วเบา เซนยกมือตัวเองขึ้นมาซ้อนทับสอดประสานมือแม่กระต่ายคลอเคลียใบหน้าของตัวเองไปกับฝ่ามืออุ่นเรียวนั่น  สัมผัสอบอุ่นอ่อนโยนก่อให้เกิดกระแสอุ่นวาบขึ้นในอกของคานิน

      ร่างโปร่งจ้องลึกเข้าไปในแววตาที่ทอประกายอ่อนโยนของคนตรงหน้า เหมือนจะคุ้นเคยแต่ก็เลือนรางเหลือเกิน  รอยยิ้มอบอุ่นนั่นเหมือนคนที่รู้จักแต่ก็ไม่มั่นใจว่าใช่หรือเปล่า เค้าโครงหน้าที่เปลี่ยนไปมันไม่เหมือนคนในความทรงจำสักเท่าไร  คงโทษกาลเวลาและความเยาว์วัยในตอนนั้นที่ทำให้คานินลืมเลือน...

      คานินนิ่งคิดและรื้อฟื้นเรื่องราววัยเด็กที่มันถูกทับถมด้วยเรื่องราวอื่นๆ มากมายในชีวิตให้จมอยู่ใต้ก้นกล่องความทรงจำด้วยความยากลำบาก ภาพที่รื้อออกมามันช่างเลือนรางเก่ามัวสีซีดจางตามกาลเวลา...

       เช้าวันเกิดครั้งแรกของคานินกับคนนั้น แม่กระต่ายตื่นขึ้นมาด้วยความสุข คนที่คิดว่าอยู่ข้างๆ ตลอดคืนกลับไม่อยู่ เขาออกวิ่งและร้องเรียกหาอย่างหนัก แต่เสียงที่ตอบกลับมาในเช้าวันนั้นและวันอื่นๆ คือความว่างเปล่าและเงียบงัน คนนั้นไม่เคยกลับมา คนสำคัญที่เขายอมเชื่อใจสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกัน แต่สุดท้ายก็เหมือนคนอื่นๆ ที่ทิ้งเขาไว้ข้างหลังเพียงลำพัง

      “กระต่ายตัวนี้เป็นของเฮีย จองไว้แล้วห้ามไปให้ใครเลี้ยงเด็ดขาดจำไว้นะครับ”

       คำสัญญาวัยเด็กยังดังอยู่ในหัวแต่มันก็แผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน กระนั้นคานินก็ยังตั้งใจฟังและรอด้วยใจที่ขัดแย้งและสับสนตลอดมา...

       ความเงียบเหงาและเหน็บหนาวช่างโหดร้าย  คานินไขว่คว้าโหยหาอ้อมกอดของใครสักคนมาเติมเต็มให้ชีวิตในแต่ละวันผ่านไปโดยไม่ต้องเฝ้ารอด้วยใจที่จดจ่อ...

       นั่นจึงเป็นข้ออ้างอันชอบธรรมให้คานินไม่เคยขาดคู่นอน เขาใช้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงบ่อยราวกับเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่ก็ไม่เคยจริงจังกับใครแม้แต่เซล่า ถ้าพวกเขาหรือเธอร้องขอเขายินดีสนองความต้องการให้อย่างถึงใจแต่อย่าล้ำเส้นไประรานเซล่าเท่านั้นที่เขาขอ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาให้เซล่าได้

      กาลเวลาทำให้ความรู้สึกของคนเราเปลี่ยนผันหรือเปล่าคานินไม่รู้  สำหรับเขาไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปกี่ปีคนนั้นก็ยังเป็นคนสำคัญเสมอ  ไม่ว่าระหว่างทางจะเฉไฉแวะพักตรงนั้นตรงนี้บ้างแต่สุดท้ายก็กลับมารออยู่ที่เดิมเสมอ คานินก็เหมือนบูมเมอแรงนั่นแหละต่อให้ขว้างออกไปไกลแค่ไหนสุดท้ายแล้วก็วกกลับมาที่เดิมตลอด...เพราะเป็นคนนี้สินะคานินถึงไม่อาจปฏิเสธสัมผัสได้...



      “ขอโทษนะที่หายไปนานเหลือเกิน ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กัน หรือแม้กระทั่งความเชื่อใจของกระต่ายน้อยมันอาจจะเปลี่ยนไป แต่ไม่ว่าจะยังไงขอโอกาสให้เฮียอีกสักครั้งจะได้ไหมครับ” 


      “..........................”


      ความเงียบงันของแม่กระต่ายทำให้เซนใจเสียหรือโอกาสมันปิดตายสำหรับเขาแล้วจริงๆ เซนขยับตัวเข้ามากอดกระชับแม่กระต่ายไว้แน่น  ริมฝีปากหนาเฝ้าวนเวียนจูบอ่อนโยนตามลาดไหล่ไม่ได้ห่าง

      “นะครับได้ไหม...”

       เซนกระซิบเสียงเว้าวอนออดอ้อน จมูกโด่งกดลงสูดดมกลุ่มผมนุ่ม ปากหนากดจูบลงที่ขมับ แม่กระต่ายหน้าขึ้นสีระเรื่อเงยหน้าขึ้นสบสายตาอบอุ่นอ่อนโยนของเซนอย่างค้นคว้า สิ่งที่รับรู้คือ ความรักทั้งหมดที่ผู้ชายตรงหน้ามีให้เขา

      “ม มันเป็นเรื่องจริงเหรอ...แบบนี้ดีแล้วเหรอ”

      “ดีสิดีมากที่สุด  เฮียขอโทษนะที่กลับมาหาช้าเกินไป กว่าจะหาตัวเองเจอว่าเป็นใคร กว่าจะรู้ว่ากระต่ายน้อยอยู่ที่ไหน  กว่าจะกล้าบอกรักเฮียเสียเวลาไปหลายปีจนใครบางคนแถวนี้หาเรื่องเฉไฉออกนอกลู่นอกทางไปเยอะเกือบกู่ไม่กลับ แค่นั้นก็ทำเอาใจเสียไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว กระต่ายยังจะใจร้ายกับเราทั้งคู่ได้ลงคอเหรอ”


      “ก็เจ๊ากันผมรอเฮียนานกว่าอีก  แต่มันหมายความว่ายังไงที่เฮียไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร”

      “วันเกิดครั้งแรกของกระต่ายน้อยเฮียตั้งใจมากนะ อยากจะสร้างความทรงจำดีๆ แทนเรื่องราวร้ายๆ ที่กระต่ายน้อยพบเจอมา จำได้ใช่ไหมที่เฮียออกไปข้างนอกทุกวัน นั่นน่ะเฮียไปทำงานพิเศษเฮียอยากจะมีเงินเยอะๆ ซื้อความสุขให้กระต่ายน้อยของเฮีย  เช้านั้นเฮียออกไปรับเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายกะว่าจะเอาไปซื้อน้องกระต่ายให้กระต่ายน้อยของเฮีย  แต่ตอนขากลับเฮียถูกทำร้ายปางตายฟื้นขึ้นมาอีกทีก็จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร  กว่าจะประติประต่อเรื่องราวต่าง ๆ ได้เวลามันก็ล่วงเลยมาหลายปี

       พอจำได้ทั้งหมดก็รีบไปตามกระต่ายน้อยที่บ้านเด็กกำพร้านั่น แต่ปรากฏว่ากระต่ายของเฮียไปอยู่ที่อื่นแล้ว เสียเวลาตามหาอีกเกือบปีกว่าจะเจอ แต่พอเจอกระต่ายน้อยของเฮียก็มีเจ้าของใหม่ไปแล้ว จะให้ทำยังไงเฮียไม่มีความกล้าพอที่จะเข้าไปแทรกกลางระหว่างกระต่ายน้อยกับเซล่าหรอกนะ เห็นกระต่ายน้อยมีความสุขก็ดีใจแล้ว เพราะงั้นตลอดห้าหกปีที่ผ่านมาเฮียทำได้แค่คอยเฝ้าติดตามดูแลอยู่ห่างๆ เท่านั้นจริงๆ”

      “เฮียจะบอกว่ารู้จัก..?”

      “เซล่านะเหรอ? รู้จักนานแล้ว เฮียบอกเซล่าเองว่ากระต่ายน้อยเป็นอะไรกับเฮีย”

      “เดี๋ยวๆ เฮียบอกเซล่าว่าเป็นอะไรกับผม”

      “จะให้บอกอะไรล่ะ ก็แค่บอกว่าเป็นน้องชายที่เฮียตามหามานานเท่านั้นเอง  ส่วนเธอจะคิดเป็นอย่างอื่นอันนั้นเฮียไม่รู้หรอก” 


       เซนเบ้ปากทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้น่าหมั่นไส้ซะจนกำปั้นเล็กๆ แต่หนักของคานินชัดปึกเข้าที่ต้นแขนของเซนค่อนข้างแรง คนตัวโตทำได้แค่สูดปากด้วยความเจ็บและลูบแขนตัวเองไปมา ตาคมหรี่ลงอย่างคาดโทษ แม่กระต่ายดื้อด้านหรือจะสนทำหน้าตาล้อเลียนอย่างไม่ยี่หระ เพราะไอ้คนตรงหน้านี่เองสินะ เซล่าถึงพูดทิ้งท้ายไว้แบบนั้น...

       ‘การวิ่งสามขาถ้าคนหนึ่งล้มอีกคนก็ต้องล้มแล้วก็เจ็บกันทั้งคู่ เซล่าฉุดรั้งเฮียให้ลุกวิ่งให้ตรงลู่เพื่อไปถึงเส้นชัยด้วยกันไม่ไหวแล้วล่ะมันเหนื่อยเกินกว่าเซล่าจะทำคนเดียว จิตใจที่เศร้าจากการรอคอยมันทำให้เฮียไม่พยายามที่จะทำอะไรเพื่อคนอื่นเลยด้วยซ้ำ  เซล่าขอยอมแพ้…ไปต่อไม่ไหวแล้วขอเดินออกจากเกมส์เองก็แล้วกัน การรอคอยของเฮียมันต้องถึงเวลาสิ้นสุดเสียที...’

       “เธอฝากให้เฮียดูแลกระต่ายขี้เหงาของเธออย่างดี  แต่ถึงเธอจะไม่ฝากเฮียก็ต้องมาเอากระต่ายของเฮียคืนอยู่แล้ว คงไม่สามารถปล่อยมือไปอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่ากระต่ายจะเจ็บอยู่คนเดียว เฮียก็เจ็บไม่น้อยไปกว่ากัน ทั้งที่อยู่แค่เอื้อมแต่ทำได้แค่เฝ้ามองโดยไม่อาจครอบครองมันเจ็บปวดมากนะ  อย่าปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามชะตากรรมเลยนะเรามาช่วยกันขีดเขียนมันไปด้วยกันเถอะ ทั้งหมดคือขอโอกาสให้เฮีย ขอโอกาสให้เราอีกสักครั้งได้ไหม...”


      ……………………...


      “นะครับ..”

      “ผมไม่รู้มันจุกแน่นไปหมด บางสิ่งบางอย่างมันไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมรอมาตลอด รอมาด้วยความสับสนไร้ความหวัง แต่บทจะมามันก็มาเร็วจนผมตั้งรับไม่ทันจริงๆ ขอเวลาผมได้คิดทบทวนอะไรๆ ก่อนได้รึเปล่า เฮียรอผมได้ไหม ไม่นาน...”

      “ก็ได้ แต่อนุญาตให้อยู่รอข้างๆ กันเท่านั่นนะไม่มีการปล่อยมืออีกเป็นครั้งที่สอง”

      “.....”

      “นะครับ...” 

      “ครับ”


.

.

.

      “เฮีย...”   หลังจากที่เงียบไปนานเสียงเรียกของคนในอ้อมกอดแผ่วเบาเหมือนละเมอ 

      “ครับยาหยี” นิ้วเรียวยาวของแม่กระต่ายขี้ยั่วลูบไล้ดึงขนหน้าอกของผมเล่นอย่างลืมตัว บางครั้งปลายนิ้วก็ปัดป่ายยอดอกของผมเหมือนไม่ได้ตั้ง แต่จะรู้ไหมการทำแบบนี้มันทำให้ผมแทบจะขึ้นอีกครั้ง

      “จะอยู่ด้วยกันจริงๆ ใช่ไหม ไม่ทำเหมือนเดิมอีกแล้วใช่ไหม” 

      “ครับผม ตีตราจองขนาดนี้ยังไม่มั่นใจรึไง บอกไว้แล้วนี่น่าว่าจะเลี้ยงเองห้ามให้คนอื่นเลี้ยงจำไม่ได้รึไง” 


       ผมพยายามข่มอารมณ์ความต้องการตอบเสียงเข้มจริงจัง  แม่กระต่ายร่ายรักยังเช็คเลตติ้งไม่หยุดยั่วยวนป่วนอารมณ์ผมอย่างต่อเนื่องจะขึ้นแล้วนี่  ปากเรียวบางกดจูบตรงยอดอกมีแอบกัดเบาๆ อีก จะบ้าตายไอ้ข้างล่างก็ไม่รู้จะอะไรนักหนาดื้อดึงไม่ยอมหลับยอมนอน...ชักจะไม่ไหวถ้าขืนยังปล่อยไว้มีหวังใครแถวนี้ได้เจ็บตัวแล้วครางหงิงโทษว่าเป็นความผิดผมคนเดียวอีก ผมรีบจับมืออีกฝ่ายมากุมไว้

      “หึ หึ”  คานินหลุดเสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจที่ทำให้ผมรู้สึกได้ แม่กระต่ายตัวดีหยุดป่วน เรานอนกอดกันเงียบอยู่อย่างนั้น

.

.

.


      “เฮีย...” 

      “ครับ”

      “ผมเข้าใจความรู้สึกของคนที่โดนผมเปิดซิงแล้วล่ะมันเป็นยังไง...”

      “หึ หึ แล้วมันยังไงล่ะครับ”
  ผมหลุดหัวเราะเลยสิไร้สาระมาก

      “เจ็บสิไอ้บ้าถามมาได้  แมร่งเหมือนมีข้าวโพดฝักใหญ่เสียบตูดตลอดเวลาเลย เนี่ยตอนนี้ก็ยังรู้สึก”  เอากับเขาสิครับ แล้วจะมาสะบัดเสียงงอนๆ ใส่ผมทำไมล่ะวะนั่น ผมแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว แม่กระต่ายช่างคิดหยิกหมับเข้าที่เอวแรงมากจนต้องห่อปากด้วยความเจ็บมันต้องเป็นรอยช้ำแน่ ผมจับมือเล็กที่ประทุษร้ายร่างกายผมมามากุมไว้

      “งั้นเฮียทำบ่อยๆ ดีกว่าเนอะจะได้ชิน”

      “บ้าเหรอ  แบบนั้นก็หลวมจนรถไฟวิ่งสวนกันได้พอดี”

      “เออแล้วจะพูดเรื่องนี้ทำไม หลวมก็รักเหมือนเดิมนั่นแหละน่า นอนได้แล้วไม่เหนื่อยรึไง  รึจะไม่นอนงั้น...”


      “ไม่เอาแล้ว  พอเลยหื่นในสันดานรึไงเนี่ย”

      “ปากดีเดี๋ยวจะโดนฟาดปากด้วยข้าวโพดหวานพันธุ์พิเศษ”

      “ไอ้บ้า!!..”

      “ยังจะปากดีอีก..”


      “ชริ”

      “ยัง!”


      “ก็ดีแต่ขู่...”

      เซนนาบปากร้อนจูบบางเบาลงที่ขมับทั้งสองของแม่กระต่าย ในที่สุดการเดินทางยาวนานของกระต่ายหลงทางก็สิ้นสุดซะที  กระต่ายถึงบ้านแล้ว... เซนก้มลงกดจูบที่หน้าผาก เปลือกตามทั้งสองข้าง แก้มนิ่ม และริมฝีปากช่างต่อล้อต่อเถียง เซนนอนมองหน้าแม่กระต่ายของเขาจนหลับไปเมื่อไรก็ไม่รู้ๆ ในความฝันของเขาวันนี้และต่อๆ ไปคงจะมีมันมีแต่เรื่องดีๆ...









TBC.

ปล.


1. ผ่านไปอีกหนึ่งตอนสำหรับเฮียเซนกับกระต่ายร่านรัก เป็นอันว่ารู้แล้วนะครับว่ากระต่ายนี่เป็นของเสี่ยมาแต่อ้อนแต่ออก  หนุ่มบ้านนี้นิยมเลี้ยงเด็กไว้กินเองเพราะปลอดสารพิษ

2. ขอให้มีความสุขกับการอ่าน  และขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมา <33




หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.22_Zhen Side Story [4] : หวนคืนรัง_P.6 อัพเดต 21215
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-12-2015 20:33:24
ไอ้ผมก็ไม่อยากให้คุณเธอขุ่นเคืองใจจึงสนองความต้องย่างไม่อิดออด

เฮียคิดจะพากระต่ายของเฮียไปเจอกับน้องน้ำของพี่สิงห์ไหม

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.22_Zhen Side Story [4] : หวนคืนรัง_P.6 อัพเดต 21215
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 02-12-2015 21:10:08
จิ้มไว้ก่อน  :z13: พรุ่งนี้ค่อยมาอ่าน

ง่วงนอนมากกกกกก o19 o19
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.22_Zhen Side Story [4] : หวนคืนรัง_P.6 อัพเดต 21215
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 02-12-2015 23:21:01
หวานและฟินมากค่ะ ข้าวโพดหวานยักษ์ กี้ดดดด
คานินนึกออกเร็วเพราะฝังใจมาตลอดสินะ โอ๋ๆ เจ๊ากันเนาะ
ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.22_Zhen Side Story [4] : หวนคืนรัง_P.6 อัพเดต 21215
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 02-12-2015 23:58:52
เฮีย ทำไมเฮียคิดเหมือนกระต่ายเป็นตัวเมียอ่ะ นี่คิดให้น้องต่ายเป็นกระต่ายข้ามเพศแต่อ้อนแต่ออกเลยรึ น้องต่ายออกจะแมนและลีลาเด็ดจนสาวติดตรึมขนาดนั้นแท้ๆ T^T
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.22_Zhen Side Story [4] : หวนคืนรัง_P.6 อัพเดต 21215
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 03-12-2015 09:14:55
 :m25: กระต่ายน้อยเป็นเด็กเฮียเต็มตัวแล้วนะคราวนี้
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.23_Zhen Side Story [5] : อีหนูของเสี่ยเซน_P.6 อัพเดต 61215
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 06-12-2015 11:23:53
เด็กเลี้ยง





23

Zhen Side story   :  อีหนูของเสี่ยเซน





      คานินรู้สึกผิดและละอายใจต่อคนที่โดนเขาเปิดซิงทั้งหลายเหลือเกิน ความจริงที่กระแทกใจอย่างแรงหลังจากยินยอมพร้อมใจเสนอตัวให้เสี่ยเซนโดยไม่เกี่ยงงอน นอกจากความสุขสมที่ไม่เคยพานพบจากครั้งไหนๆ แล้ว มันมีของสมนาคุณพิเศษด้วยร่างกายร้าวระบมราวกับถูกรุมโทรมมาอย่างหนัก ไหนจะพิษไข้จากอาการอักเสบของแผลฉีกขาดบริเวณช่องทางด้านหลัง ผมนอนเป็นผักเน่าที่แม่ค้าตัดแต่งเอามาทิ้งท้ายตลาด จะโทษว่าเป็นความผิดของเสี่ยฝ่ายเดียวก็ให้ละอายใจจำต้องกล้ำกลืนยอมรับโดยดุษฎีว่าตัวเองก็ผิดอยู่ไม่น้อย ณ จุดนั้น จากที่เคยเป็นเฉพาะผู้กระทำกลายมาเป็นถูกกระทำ ความหฤหรรษ์มันช่างแตกต่าง....

       แต่ถึงกระนั้นผมก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากตัวต้นเรื่องเป็นอย่างดี ทำเอาน้ำตารื่นทุกครั้งที่เสี่ยเซนเฝ้าดูแลใกล้ชิดด้วยความห่วงใยรักใคร่ กระหวัดไปถึงสิ่งที่ตัวเองทำกับคู่ขาชายที่ผ่านมายิ่งทำให้รู้สึกระอายแก่ใจว่าตัวเองเลวแค่ไหนหลังปลดปล่อยเขาแยกตัวออกมาไม่เคยค้างคืนกับคนเหล่านั้นสักครั้ง ถ้าฝ่ายนั้นร้องขอก็มาเจอกันได้ แต่พวกนั้นก็ไม่เคยพูดถึงความเจ็บปวดที่ได้รับจากเพศสัมพันธ์นั่นเลย ทำให้เขาไม่เคยรับรู้ว่าความเจ็บปวดมันมีอยู่จริง จนมาเจอกับตัว...

       ผมนอนหลับๆ ตื่นๆ จากฤทธิ์ยาแก้ไข้อักเสบ แต่ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นก็จะเห็นตัวต้นเรื่องก็นั่งทำหน้าสลดแววตาเต็มไปด้วยความไม่สบายใจอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัวลดความร้อนทุกสิบนาทีจนหนาวสะบั้นทำท่าจะป่วยมากกว่าเดิมอีก

      “ฮื่อ..หนาว” คานินเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบา มือเล็กอุ่นจัดจับมือเสี่ยเซนที่กำลังใช้ผ้าเช็ดตามตัวของเขาให้หยุด ช้อนตาเรียวหวานขึ้นมองเสี่ยอ้อนๆ

      “เอาผ้าห่มอีกไหม?” เสี่ยเซนมีสีหน้ากังวล มือหนาดึงรั้งผ้าห่มขึ้นมาให้ถึงคาง กำลังจะลุกขึ้นไปเอาผ้าห่มให้อีกผืน แต่คานินดึงมือใหญ่ไว้แน่นเข้าโหมดอ้อนผัวเต็มสตรีม

      “ไม่เอาผ้า เฮียกอดผมหน่อยนะครับ...นะ”  คานินทำหน้าอ้อนๆ เลียนแบบพวกผู้หญิงที่เขาเคยนอนด้วยเวลาเจ้าหล่อนอ้อนอยากจะให้ผมทำอะไรให้

      “นี่คืออ้อนเหรอ!?” เสี่ยเซนถามเสียงเรียบนิ่ง ตาคมวิบวับส่ออาการไม่น่าไว้ใจ คานินหน้าร้อนเห่อลามไปถึงใบหู อยู่ๆ ก็รู้สึกริมฝึกปากแห้งจนต้องแลบลิ้นหยุ่นชื้นไล้เลียปากบางจนฉ่ำวาว กลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากเฮือกใหญ่เมื่อสบกับสายตาสื่อความหมายของเสี่ยเซน

      “ก็มั้ง ละ แล้วไม่ได้เหรอ?” ผมถามน้ำเสียงขัดเขินไม่คิดว่าตัวเองจะได้เล่นบทนี้ แต่ไม่มายด์อยู่แล้วไงจะบทไหนมันก็สุขได้เหมือนกันเปล่าวะ ที่ทำนี่ก็ไม่เห็นจะเป็นไรแค่อยากจะอ้อนผัวใช่ใครที่ไหน

      “กระแดะ!  ที่ทำแบบนี้มึงปรึกษาใครรึเปล่าวะ”  ผมทำหน้าเหวอๆ ก็ดูปากมันสิแมร่งคนละอารมณ์กับเมื่อคืนเลยจะเปลี่ยนโหมดก็ไม่แจ้งล่วงหน้ากูเก้อมึงเห็นไหมเนี่ย แล้วน้ำเสียงจะโหดจริงจังทำไมนักวะ 

      “เออ! แมร่งไม่ทำก็ได้วะ เสียอารมณ์ สรุปจะไม่กอด??”  ดูแมร่งทำหน้าตา..ถึงจะหน้าด้านก็ก็อายเป็นเหมือนกันนะแมร่ง

      “จะทำสะดีดสะดิ้งเพื่อ??  กูแค่อึ้ง ดีใจว่ะ ก็เพราะเป็นแบบนี้ไงคู่ขาพวกนั้นถึงติดมึงนักหนา นี่ถ้าไม่ติดว่าหมอห้ามนะ แมร่งกูจัดข้าวโพดหวานเป็นของว่างมึงแล้วครับ มานี่มาเพราะเป็นมึงหรอกนะมากกว่ากอดกูก็ให้ได้ว่ะ” เสี่ยเซนขยับตัวเข้ามาใกล้ดึงตัวคานินเข้าไปโอบกอด คนร่างโปร่งรู้สึกได้ว่ามันทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน ถ้าจะเป็นถึงขนาดนี้ก็จะลองวางชีวิตไว้กับคนๆ นี้ ลองเชื่อใจอีกสักครั้ง...

      “บ้าไปแล้วแมร่ง...รอให้หายก็ได้เปล่าวะ ไม่มีขัดขืนอยู่แล้ว คานินบ่นพึมพำแต่ก็ยกแขนของตัวเองกอดเอวหนา ซุกหน้าลงบนอกที่เต็มไปด้วยไรขนอ่อนและมัดกล้ามแกร่ง จมูกปากคลอเคลียดมกลิ่นกายหอมอ่อนๆ อย่างลืมตัว


      “ฮืมมม..ถ้ายังไม่อยากหลวม อย่าร่านครับยาหยี” 

       เซนปรามเสียงทุ้มนุ่มไม่จริงจังนัก  แม่กระต่ายยิ้มกับอกดีใจที่ตัวเองยอมปล่อยวางทิฐิไว้เบื้องหลัง และไม่ลังเลที่จะไขว่คว้าความสุขที่ผ่านมาไว้กับตัวอีกครั้ง นี่ถือเป็นความโชคดีเหลือเกินที่คนๆ นี้ยังตามหาแม้จะนานไปสักหน่อยก็เถอะ

       สัมผัสของเสี่ยบางครั้งแม้จะรุนแรงดุดันแต่ก็แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนหวงแหน คนนี้เติมเต็มเขาจนล้น ร่างโปร่งหลงลืมไปว่าร่างกายของตัวเองยังไม่เต็มร้อยยืดตัวขึ้นโน้มหน้าเข้าหาปากหนาที่ยกยิ้มของคนตัวโต เพียงปากสัมผัสกันจากที่จะแตะเพียงเบาบางแล้วกะว่าจะผละออก กลับกลายเป็นจูบดูดดื่มอ่อนหวานเคลิ้มลอยจนไม่รู้ว่าขึ้นไปอยู่บนตัวเสี่ยเซนตั้งแต่เมื่อไร รู้ตัวอีกทีก็เพิ่มจะสำนึกได้ว่ากำลังจะจับตัวเองใส่พานประเคนให้มันเอาอีกครั้ง ถ้าไม่มี...




      Rrrrrr  Rrrrr…

      เสียงโทรศัพท์ของเซนดังขึ้น ทำให้ทั้งคู่ที่กำลังเคลิ้มลอยกับรสจูบผละออกจากกันเพียงเล็กน้อย  เซนแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์คานินคิดว่าเสี่ยจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ แต่เปล่าเลยไอ้หื่นนี่กลับไม่อนาทรร้อนใจก้มลงลากลิ้นร้อนดูดเม้นที่ใต้คางซอกคอของเขาสบายใจเฉิบ คนที่โทรเข้ามาก็ช่างมีน้ำอดน้ำทนกระหน่ำต่อสายเข้ามาอย่างไม่ลดละ คานินผลักหัวไอ้เสี่ยหื่นออกจากซอกคอของตัวเอง มันไม่ขยับเขยื้อนอะไรหรอกก็แมร่งแข็งขืนไว้ ผมเลยเอื้อมมือไปควานหาโทรศัพท์หัวเตียงมายื่นให้ไอ้หื่นที่กำลังขย้ำคอผมอย่างเมามัน

      “ฮือออ..เฮียหยุดก่อน รับหน่อยเถอะเผื่อเขามีเรื่องด่วน”

      แมร่ง!! ก็บอกแล้วไม่ให้กวน ถ้าไม่สำคัญนะจะตัดเงินเดือนพร้อมโบนัสแมร่งให้หมดเลย” เซนสบถเสียงติดจะหงุดหงิดให้คนในสาย ยอมเอื้อมมารับโทรศัพท์มาดูว่าใครจะชะตาขาด เมื่อเห็นว่าเป็นเฮอร์เซลมือขวาคนสนิทจึงยอมกดรับสายด้วยเสียงห้วนเข้ม

      “มีอะไร!”

      //ขอโทษครับเสี่ย โรงผลิต 2 กับ 7 ถูกวางเพลิงครับ //

      “บ้าเอ๊ย!! แล้วเสียหายมากรึเปล่า” 

       เซนขยับตัวลุกขึ้นนั่งยกตัวแม่กระต่ายให้นอนลงบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะขยับตัวลุกออกจากเตียงอย่างรวดเร็ว เสียงสบถบ่งบอกว่ามีโทสะ แม่กระต่ายมองไปด้วยความเป็นห่วง เซนหันมาทำมือให้นอนพักซะ และหันไปคุยกับคนในสายต่อ

      // โรง 2 วอดทั้งหลังพร้อมแอร์บัสประกอบใหม่ 1 ลำ ส่วนโรง 7 เสียหายเล็กน้อยเราสกัดเพลิงไว้ได้ทันจึงไม่ลามไปถึงแอร์บัส 3 ลำที่อยู่ในโรงเก็บ  อาแจ๊กซ์รวบตัวหมาหลงทางได้ทันตอนมันกำลังจะหนี //

      “อยู่ไหน”  เซนถามเสียงเย็น

      //โกดัง 28 ครับ ผมคุ้นว่ามันเป็นคนของ KAB คอร์ปฯ คงทำเพื่อแก้แค้นและกะดีสเครดิตเราครับเสี่ย//

      “ไม่เกินครึ่งชั่วโมง “  เซนตัดสายสีหน้าบ่งบอกว่าโทสะกำลังคุกรุ่นกับเรื่องที่ได้ยินแววตาเย็บเยียบแทบจะฆ่าคนได้ มือแกร่งกำโทรศัพท์ไว้แน่น พยายามข่มโทสะที่กำลังพุ่งสูงไม่อยากให้แม่กระต่ายกังวลกับเรื่องของเขาไปด้วย


       Khan and Bros. Corporation. Co.,Ltd. (KAB) อยู่ภายใต้เครือข่ายธุรกิจของ Waldoland  ของวัลโด้ๆ กับป๋าขัดแข้งขัดขากันมานาน ล่าสุดฝ่ายนั้นไม่พอใจที่ผมได้สัมปทานเปิดเส้นทางสายการบินพาณิชย์ระยะสั้น (Loganair) แห่งใหม่ รวมถึงสัมปทานทั้งหมดภายในภูมิภาคนี้ด้วย ก่อนหน้านั้นก็ชนะการประมูลผลิตเครื่องบินแอร์บัสให้ฮาเวิร์ดแอร์เพลนบริษัทสายการบินระหว่างประเทศรายใหญ่ที่รัฐบาลถือหุ้นอยู่เกือบครึ่ง และงานสุดท้ายที่ถือเป็นตอกย้ำความพ่ายแพ้ของวัลโด้มากที่สุดคือ สัมปทานปิโตรเลียมและน้ำมันกลางมหาสมุทรแปซิฟิกที่ผมได้มันมาโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย

      ข่าวจากวงในที่รู้มาคือ ช่วงประมูลงาน ACE กำลังระส่ำระสายเพราะนายใหญ่ไต้หย่งผู่ถูกลอบฆ่าโดยยังจับมือใครดมไม่ได้ การบริหารงานภายในองค์กรระส่ำระสายผู้อาวุโสแต่ละสายแย่งชิงกันขึ้นแทนไต่หย่งผู่

       เมื่อ ACE ไม่สามารถซัพพอร์ทใครได้วัลโด้จึงต้องเล่นเอง มันอยากจะชนะการประมูลทั้งหมดเพราะเป็นตัวชี้วัดว่ามันจะได้รับเลือกหรือไม่ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการรัฐ งานนี้ถือเป็นการกอบกู้ฐานะเกียรติยศชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลให้กลับมาผงาดอีกครั้ง มันจึงวิ่งหัวซุกหัวซุนเหมือนหมาจนตรอกจ่ายเงินจำนวนมหาศาลของตัวเองล๊อบบี้ทุกฝ่ายให้ตัวเองได้ทั้งรับเลือกและสัมปทาน แต่สุดท้ายแพ้อย่างไม่เป็นท่าทุกอย่าง เงินที่จ่ายไปสูญเปล่าแถมสูญเสียผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้จำนวนมหาศาล

       ที่สำคัญกว่านั้นคือ เสียหน้า วัลโด้แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดใส่ทุกคน มันไม่ยอมเล่นตามกติกาส่งคนยิงถล่มผับของผม ปิแอร์บอดี้การ์ดคนสนิทอีกคนตายแต่ผมรอดเพราะมีใบสั่งให้บินไปไทยกระทันหัน จึงให้ปิแอร์เข้าไปคุมผับแทน มันแย่มากนะเหมือนผมสั่งเขาไปตายแทน ผมจะบินกลับมาฆ่าวัลโด้แต่ป๋าให้เงียบๆ ไว้ก่อน  พระเจ้าทรงรับรู้ว่าผมเอาคืนแน่ไม่มีอะไรฟรี

      วัลโด้ เป็นทายาทตระกูลขุนนางเก่าแก่ ทำธุรกิจเกี่ยวกับการคมนาคมและขนส่งแทบทุกประเภท สัมปทานก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน ช่วงหกเจ็ดปีหลังเริ่มขยายฐานธุรกิจเป็นโรงแรมและคาสิโน่ ผับสำหรับกลุ่มคนชั้นสูงแบบถูกกฎหมาย แต่ข่าววงในเท่าที่รู้ธุรกิจโรงแรมและคาสิโน่ครึ่งหนึ่งร่วมทุนกับ ACE ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรกันมานาน แล้ววัลโด้เองมีบ่อนเถื่อนแถบชายแดนหลายประเทศซึ่งมันเกี่ยวพันกับธุรกิจค้ามนุษย์และยาเสพติดด้วย  เงินจากธุรกิจมืดมันผลักเข้าซื้อหุ้นเกือบทุกตัวในตลาดหุ้นเพื่อฟอกเงิน




      “มีอะไรหรือเปล่า” 

      แม่กระต่ายคงจับอารมณ์ของเขาได้จึงถามมาด้วยความห่วงใย เซนเดินเข้าไปหาก้มลงหอมหัวทุยสูดกลิ่นหอมเข้าปอดเต็มแรง มือหนาสากยกขึ้นวางบนแก้มใสนิ้วโป้งเกลี่ยไปมาเลยมาถึงริมฝีปากบางที่ยังบวมซ้ำเพราะถูกเขากัด เซนโน้มหน้าลงไปแตะจูบเบาๆ แล้วผละออกไม่อ้อยอิ่ง ยิ้มอ่อนโยนให้คนตรงหน้าแค่นี้เขาก็พร้อมจะจัดการกับปัญหาแล้ว

      “มีปัญหาที่โรงผลิตนิดหน่อยเฮียต้องเข้าไปดูน่ะ”  เซนบอกเล่าเรื่องที่เผชิญอยู่เหมือนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญทั่วไป

      “ให้ผมช่วยอะไรไหม” 

      “ไม่เป็นไรยาหยีไม่มีอะไรต้องห่วง แค่เมื่อกี้ก็ช่วยได้มากโขเลย นอนพักเถอะเฮียไปเดี๋ยวเดียวก็จะกลับแล้ว จะให้เทรย์เวอร์อยู่เป็นเพื่อนนะถ้ามีอะไรเรียกเขาได้เลย”

      “ไม่มีอะไรให้ช่วยจริงๆ เหรอ” มือร้อนเอื้อมคว้ามือของเซนไว้ ตาเรียวที่มองสบกันเต็มไปด้วยความห่วงใย

      “ไม่ต้องห่วงน่าเฮียจัดการได้ นอนพักเถอะ อ้อรู้ไว้อย่างผัวคุณให้ความสำคัญกับเรื่องบนเตียงนะครับ ถ้าหายช้าถึงเจ็บก็ไม่สนนะหน้าที่คือหน้าที่ไม่มีอุทธรณ์ เข้าใจตรงกันนะครับยาหยี”  ดูเอาเถอะปัญหาจ่อคอขนาดนี้มันยังกล้าจะพูด มือใหญ่ของเสี่ยเซนยื่นมาเกลี่ยปอยผมที่ตกระหน้าขึ้นเหน็บหูให้ ผมจะทำอะไรได้แมร่งทำตัวไม่ถูกค้อนประหลับประเหลือกให้มันไปสิ

       อากัปกริยาที่แม่กระต่ายแสดงออกในความรู้สึกของเซน คือ  ‘แรด’  แมร่งเมียกูว้อนท์เหลือเกิ๊น ถ้าไม่มีเรื่องนะจะเอาข้าวโพดยัดอีกสักรอบให้หลังติดเตียงไม่ต้องเป็นอันทำอะไรกันเลยทีเลย  คานินเบือนหน้าหนีสายตากรุ่มกริ่มสื่อความหมายชัดเจนของเสี่ยแทบจะทันที

      “เออแมร่ง!! คิดผิดหรือถูกวะเนี่ย แล้วก็ไม่ต้องคิดถึงเรื่องฝักข้าวโพดเลยนะอิ่มจนจุกแล้ว  รีบไม่ใช่เหรอไปสิ  รู้นะว่าเป็นห่วง... 

      “หือ ยาหยีว่าอะไรนะ”

      “ไม่รู้  ค่อยกลับมาฟังแล้วกันจะนอนแล้ว”

       คานินขยับตัวลงนอนหันหลังให้เซนทันทีหลับตาหนีอาย เขินเอี๊ยๆ พูดได้ไงวะกู จะเรียกคืนคำพูดก็ไม่ทันแล้วล่ะ คิดว่ามันคงจะได้ยินเต็มสองรูหู  เสี่ยเซนเลยตอบกลับด้วยลมหายใจอุ่นปัดผ่านหน้าผากตามด้วยเสียง หึ หึ พร้อมความอุ่นของผ้าห่มที่ถูกดึงขึ้นมาคลุมให้จนถึงคอ  คานินแสร้งหลับตานิ่งนอนตัวแข็งทื่อหน้าตาหัวหูร้อนเห่อกับเสียงกระซิบทุ้มนุ่มของเสี่ยเซน

      “อย่าซนนะนอนรอดีๆ เป็นห่วงเหมือนกัน...”

      “ฮือ....”





ณ โกดัง 28


      “ลากตัวมันออกมา”
   
      เซนสั่งโอเว่นบอดี้การ์ดอีกคนเสียงเย็นเยียบทุ่มต่ำดวงตาคมดุสีน้ำตาลอ่อนมีประกายกร้าวเหมือนราชสีห์จ้องรอตะครุบเหยื่อ ลูกน้องสามคนเสียวสันหลังวาบแทบไม่อยากจะสบตาคนเป็นนาย โอเว่นฉุดกระชากชายฉกรรจ์สามคนที่โดนซ้อมจนไม่เหลือสภาพเดิมออกมาวางทิ้งราวกับผ้าขี้ริ้วตรงหน้าเซน นัยน์ตาบวมปูดเหลือกมองดูเซนด้วยความตื่นกลัว ตัวสั่นงันงกรอคำพิพากษา

      โอเว่นดึงกระชากเสื้อพวกมันจนขาด ก่อนจะผลักมันหน้าคว่ำลงไปกับพื้น แผ่นหลังของทั้งสามปรากฏรอยสักหน้าคาบูกิสีแดงราวเพลิงตาสีเหลืองเหลือกโปน ไม่ผิดจากที่คิดพวกมันเป็นคนของวัลโด้จริงๆ เซนยกยิ้มเย็นเยียบ

      “หึ หมารอบกัด พวกมึงเล่นผิดคนแล้ว”

      “เจ้าของมันรู้รึยังว่าเราจับหมาของมันได้”

      “มันรายงานเจ้านายมันไปแล้วก่อนผมจะจับตัวมันได้  แม็กปล่อยข่าวว่าโรงงานเราเสียหายหนัก คนอย่างนั้นคงจะหลงระเริงในความสำเร็จครั้งนี้จนลืมระวังตัวครับเสี่ย”

      เซนยกยิ้มมุมปากตวัดสายตาคมดุเย็นชาไปมองอาแจ๊กซ์โดยไม่พูดอะไรอีก บอดี้การ์ดร่างสูงใหญ่พยักหน้ารับหันไปพูดเสียงต่ำสั่งลูกน้อง

      “กำจัดขยะซะ”

      หลังจากยืนดูลูกน้องจัดการกับพวกเศษสวะจนมันไม่สามารถพ่นลมหายใจเสียๆ ออกมาทำให้อากาศเป็นพิษเรียบร้อยแล้ว เซนหันไปสั่งอาแจ๊กซ์น้ำเสียงราบเรียบไม่ได้บ่งบอกว่ารู้สึกอย่างไร แต่แบบนี้ทุกคนรู้ดีว่าควรหลีกให้ห่างที่สุด

      “อาแจ๊กซ์ดูให้เรียบร้อยแล้วไปรอที่โรงผลิต 7” เซนสั่งเสร็จก็เดินหันหลังไปขึ้นรถโดยมีเฮอร์เซลตามมาขึ้นรถคันเดียวกันมุ่งไปโรงผลิต 2


       โรงผลิต 2 เหลือเพียงซากโครงสร้าง กลิ่นควันยังกรุ่นอยู่ในชั้นบรรยากาศ ศพคนงานหลายสิบคนนอนเรียงรายอยู่บริเวณถนนทางเดินเตรียมลำเลียงพิสูจน์ตัวบุคคลเพราะสภาพดำเกรียมไม่เหลือเค้าเดิม บางศพถูกแรงระเบิดเหลือเพียงอวัยวะบางส่วน  เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่คนงานกำลังเปลี่ยนกะจึงทำให้คนงานถูกลูกหลง แอร์บัสที่เพิ่งประกอบเสร็จเตรียมบินตรวจสอบคุณภาพในอีกสองวันข้างหน้าเหลือเพียงซากห้องนักบิน ประเมินจากสภาพมันไม่ได้แค่วางเพลิงแต่เป็นการวางระเบิดด้วย สีหน้าเซนนิ่งเรียบเย็นชาขณะที่เดินสำรวจความเสียหาย ร่างสูงไม่พูดอะไรเดินกลับไปขึ้นรถที่เฮอร์เซลติดเครื่องรอ แล้วขับตรงไปยังโรงผลิต 7 ซึ่งประเมินสภาพแล้วเสียหายประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ 




ห้องประชุมภายในสำนักงาน โรงผลิต 7

      “ที่นี่เสียหายไม่มากเพราะคนงานเห็นควันพวยพุ่งเลยวิ่งมาดูที่เกิดเหตุแล้วช่วยกันดับไฟ รปภ.เก็บกู้ระเบิดเข้าเคลียร์พื้นที่ได้ทัน ส่วนโรง 2 อยู่ในช่วงเปลี่ยนกะคนงานเพิ่งทยอยเข้า-ออกงานพอดีกว่าเราจะไปเจอก็เป็นตอนที่เกิดเสียงระเบิดแล้ว” เฮอร์เซลรายงานสถานการณ์

      “บริษัทประกันเข้ามาตรวจดูสภาพความเสียหายประเมินแล้วตอนนี้ประมาณ  973  ล้านดอลล่าร์ พวกเขายังไม่ฟันธงว่าจะจ่ายค่าชดเชยทั้งหมดหรือบางส่วน จะต้องการรอผลพิสูจน์หลักฐานจากทางตำรวจและมติที่ประชุมบอร์ดผู้บริหารก่อน  คนงานเสียชีวิต 168 คน บาดเจ็บสาหัส 58 คน บาดเจ็บเล็กน้อยอีก 125 คน ส่วนแอร์บัสเราคงต้องยอมเสียค่าปรับที่ส่งล่าช้าครับเสี่ย” แม็กซิมัสเลขาและบอดี้การ์ดคนสนิทรายงานผลการสำรวจความเสียหายในเบื้องต้น

      “ศพคนงานแจ้งครอบครัวเขาให้ทราบด้วย เยียวยาครอบครัวเขาอย่าให้ได้รับความเดือดร้อน คนที่บาดเจ็บก็ให้ชดเชยเงินค่าทำขวัญตามสภาพความร้ายแรงที่ได้รับบาดเจ็บ รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลจนกว่าพวกเขาจะออกจากโรงพยาบาลทุกคน ผมอนุญาตให้พวกเขาพักรักษาตัวจนกว่าจะหายแล้วค่อยกลับมาทำงานโดยไม่หักค่าแรง

       แม็กประสาน CEO ของฮาเวิร์ดแอร์เพลนขอส่งมอบเครื่องล่าช้าออกไปอีกสี่เดือน ลองต่อรองกับทางนั้นเรื่องค่าปรับล่าช้าด้วย...”
   เซนสั่งเสียงเรียบนิ่งยังไม่ได้กล่าวอะไรต่อโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นเตือนว่ามีสายเรียกเข้าจึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบออกมาดูว่าเป็นใคร ก่อนที่จะกดรับสาย

      “ครับป๋า”

      //ได้ข่าวว่าโรงผลิตถูกระเบิด เสียหายหนักนี่//

      “ก็เกือบหลักพัน  สถานการณ์ระดับมีเดียมผมยังควบคุมได้อยู่ แค่เล่นกับหมาๆ เลียปาก ไม่มีอะไรให้ป๋าต้องห่วงเที่ยวให้สบายใจเลยครับ”

      //เออ! รู้ว่าเก่งที่โทรมานี่คือแม่เขาเป็นห่วง จะทำอะไรมองให้ดีๆ มองให้ลึกๆ ถ้าจะวัดกับคนแบบนั้นดูว่ามันคุ้มรึเปล่า วัลโด้มันเสือลำบาก เขี้ยวเล็บพอตัวไม่งั้นมันคงไม่อยู่มาจนถึงวันนี้ คิดดีๆ ทำอะไรอย่าใช้อารมณ์เข้าใจนะระวังตัวด้วยอย่าประมาท //

      “ผมรับมือได้ มันไม่มีที่ว่างให้ความอ่อนแอแล้วครับ  ป๋าเที่ยวให้สบายใจเหอะน่า ฝากจุ๊บแก้มคนสวยด้วยนะครับ”

      “เอออย่าประมาท ไปจัดการให้เรียบร้อย แค่นี้แหละ” เซนยกยิ้มนิดๆ แม่ก็อย่างนี้ตลอดทำยังกับเขาเป็นเด็ก แต่เขาก็ชอบนะความรักห่วงใยของครอบครัวและแม่ทำให้เขาเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ขนาดนี้

      “เออร์วินระดมทีมวิศวกรและทีมช่างมือดีทั้งหมดของเราเร่งประกอบแอร์บัสให้เสร็จภายในเวลาสี่เดือน” 

      “แต่เสี่ยครับ ผมเกรงว่าเราจะมีปัญหาอะไหล่บางชิ้นของเรายังไม่พร้อม และเราก็ขาดคนงานไปเยอะ”เออร์วินหัวหน้าทีมวิศวกรและบอดี้การ์ดคนสนิทอีกคนโต้แย้งด้วยความที่ไม่อยากรับปากชุ่ยทั้งๆ ที่หลายอย่างยังไม่พร้อม

      “อะไหล่ส่วนไหนขาดนายช่วยตรวจสอบไปที่ฝ่ายสต๊อกเดี๋ยวนี้” เซนสั่งเสียงเฉียบขาด

      “ครับผม” เออร์วินรับคำก่อนจะวีดิโอคอลไปยังฝ่ายสต๊อกโรงงานผลิต ไม่ถึงห้านาทีรายการอะไหล่ที่ขาดสต๊อกปรากฏพรืดเต็มหน้าจอไอแพดโปร เออร์วินเลื่อนมันไปตรงหน้าเซนๆ ไม่เอ่ยอะไรแต่มือหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเลื่อนหารายชื่อที่ต้องการก่อนจะกดโทรออก รอสายอยู่ในนานฝ่ายนั้นก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเข้มจริงจังติดจะหงุดหงิดเล็กน้อย

      //ครับเฮีย ได้ข่าวว่ากำลังเข้าขั้นวิกฤติ มีอะไรให้รับใช้ว่ามาได้เลย // 

      “ก็เออ!  รู้เรื่องเร็วนี่หว่า พอสิวๆ วะ ไม่ถึงหลักพันยังพอรับมือได้อยู่  เฮียมีเรื่องอยากให้ช่วย”

      //ว่ามา//

      “เฮียต้องเร่งประกอบแอร์บัสให้เสร็จภายในสี่เดือน แต่อะไหล่บางชิ้นมันไม่ได้สต๊อกไว้ ถ้าจะให้ทางโรงงานส่งตามกำหนดนี้ความหายนะเหยียบหลักหมื่นแน่ๆ สิงห์พอจะหาให้ได้รึเปล่า”

      //ส่วนไหนบ้างบอกมาเลย//

      “ส่งรายการไปที่แซทบ๊อกซ์แล้ว เห็นรึยัง”   ปลายสายเงียบไปเกือบสิบนาที

      //ไม่มีปัญหา ส่วนของปีก แพนหาง ล้อประธาน เครื่องยนต์หลัก ระบบหัวจ่ายเชื้อเพลิงเข้าเครื่องยนต์ผมจะให้โรงงานของเพื่อนที่เยอรมันส่งอะไหล่ให้เฮียอย่างช้าน่าจะได้วันมะรืน  ส่วนปลีกย่อยอีก 6 รายการ ขอเวลา 3 วัน เฮียเอาเครื่องบินขนส่งไปรับของที่โรงงานของมันที่สเปนได้เลย  แล้วทีมวิศวกรกับคนงานพอรึเปล่าหาให้เอาไหม ข่าวว่าบาดเจ็บตายเยอะไม่ใช่เหรอ //

      “ไม่เป็นไร ทีมงานเฮียพอระดมได้ไม่มีปัญหา  แล้วน้องเป็นไงบ้างตอนนี้สบายดีนะ”

      // สบายดีครับ มีง่องแง่งนิดหน่อยตามอารมณ์เขานั่นแหละเรียนปีสุดท้ายแล้ว ก็ค่อนข้างหนักไหนจะฝึกงาน ไหนจะทำโปรเจคก่อนจบด้วยเลยเครียดๆ นี่ก็ไม่พูดกับผมมาหลายวันแล้วด้วยเรื่องไปฝึกงานที่โรงแรมของเพื่อนที่แม่ฮ่องสอน ผมเลยเสนอว่าถ้าจะไปที่แม่ฮ่องสอนก็น่าจะฝึกที่โรงเตี๊ยมของแม่เท่านั้นแหละ เจ้าเด็กนั่นเถียงคอเป็นเอ็นเลยว่าติดต่อไว้แล้วๆ ทางนั้นก็ตอบรับการฝึกงานมาแล้วไม่อยากเสียคำพูด แล้วสุดท้ายงอนไม่พูดกับผม ผมแมร่งโคตรจะหงุดหงิดชักจะเอาใหญ่ // สิงห์บ่นยืดยาวมาตามสาย น้ำเสียงเครียดๆ งอนให้เมียเด็กของมันแต่เป็นอีหนูของผม

      “อ้าวก็ไม่เห็นจะเป็นไร  นายก็ย้ายสำนักงานไปที่นั่นก็จบเรื่องเปล่าวะไม่เห็นจะต้องให้เป็นเรื่อง”  เซนพูดเสียงอ่อนก็ตามเคยขัดใจน้ำนิ่งได้ซะทีไหน แทบจะทูนหัวทูนเกล้าให้ทุกอย่าง เห็นน้ำตากับหน้าหงอยๆ แล้วใจจะขาดทุกครั้งเลย

      //ไอ้ได้นะมันได้อยู่หรอกผมไม่มีปัญหาย้ายตูดตามเมียได้อยู่แล้ว  แต่ข่าวที่ผมได้รับเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วมันทำให้ผมต้องคิดหนัก เฮียคงยังไม่รู้ข่าวที่ชัดเจนรายงานมาล่าสุดมันทำให้ผมร้อนใจไว้ใจใครไม่ได้เลย...//

      “ข่าวอะไรที่ชัดเจนมันยังไม่ได้รายงานเฮีย”

      //สิ่งที่เราเห็นไม่ใช่อย่างที่เห็นนะสิ นายใหญ่ที่เราคิดว่าตายมันดันไม่ตาย ที่ตายห่านั่นแค่ร่างทรงของไต่ชินหยาง พวกนั้นเป็นบอดี้การ์ดที่ฝึกมาอย่างดี รูปร่างลักษณะท่าทางการวางตัว ทำศัลยกรรมแทบจะทุกอย่างไม่ผิดเพี้ยนจากนายใหญ่ มันระวังตัวมากไม่ออกสื่อเราจึงแยกไม่ออกระหว่างตัวจริงกับร่างทรง แล้วตอนนี้มันยังอยู่ที่ไทยเพื่อรอเคลียร์บิลกับพวกเรา//

      “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ชัดเจนปากแมร่งอมอะไรอยู่ ต้องให้มีเรื่องก่อนรึไงถึงจะรายงาน”   เซนตวาดลั่นด้วยความเกรี้ยวกราด มือแกร่งตบโต๊ะดังเปรี้ยงบอดี้การ์ดในห้องประชุมและคนอื่นๆ ต่างสะดุ้งตกใจ ก้มหลบหน้าเป็นพัลวันเพราะกลัวอารมณ์ของเซน

      //ผมก็เพิ่งรู้ ตอนนี้ก็ยังติดต่อมันไม่ได้เข้มแข็งคู่หูมันบอกว่าเจ้านั่นเข้าไปพื้นที่คิดว่าตรงที่มันไปคงจะอับสัญญาณจึงยังไม่ได้รายงานเฮีย//

      “สถานการณ์เสี่ยงเกินไปสิงห์คุยกับอีหนูของเฮียให้เข้าใจเหตุผลก็แล้วกัน แต่อย่ารุนแรงนะโว้ยสงสารเด็กมัน”

      //ยอมที่ไหนล่ะก็รู้เด็กเฮียแมร่งดื้อเงียบยังกับอะไร เรื่องฝึกงานเดี๋ยวผมจะพูดอีกที ถ้าจำเป็นก็จะพูดความจริงให้ฟังว่าเรากำลังเผชิญอะไรกันอยู่  มีอีกอย่างที่อยากให้รู้เรื่องสัมปทานป่าไม้ฝั่งเพื่อนบ้านกลิ่นมันดูทะแม่งๆ คู่แข่งที่ร่วมประมูลมันมีข้อบ่งชี้หลายๆ อย่างว่าน่าจะเกี่ยวกับ ACE แต่ผมไม่ฟันธงเพราะยังไม่เคยเจอตัวจริงของฝ่ายนั้นสักที เขาให้ทนายมาดำเนินการแทนตลอด ที่บอกอย่างนั้นเพราะมันมีเรื่องขู่ฆ่ามาตั้งแต่เริ่มประมูล เลยให้ชัดเจนสืบจึงทำให้รู้ว่านายใหญ่ไต่ซินหยางยังไม่ตายโดยบังเอิญ//

      บ้าเอ๊ยแล้วเพิ่งจะมาบอกนี้นะ!!! ทั้งเจ้านายลูกน้องแมร่งปากหนักพอกัน แล้วให้ส่งคนไปเพิ่มรึเปล่า”
 
       //ไม่ต้องยังไหวอยู่น่านี่แค่พูดให้ฟังเฉยๆ แล้วเฮียไม่ต้องเอาเรื่องนี้ไปปูดให้ป๋ากับแม่รู้นะ เดี๋ยวตาแก่สองคนนั่นได้วิ่งแจ้นมาเฝ้าอดหาความสุขให้ชีวิตวัยชราพอดี  อ๊ะเฮียไปทำงานเถอะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกมาได้เลย แค่นี้นะต้องไปรับเด็กแล้วช้าเดี๋ยวความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกได้ยุ่งตายชัก บายครับเฮีย//

      “เออรู้แล้วมีอะไรก็รีบบอกมาเลยนะ ระวังตัวด้วยแล้วกัน”  เซนกำโทรศัพท์แน่น หลังปลายสายกดตัดสายไป ตาคมดุหรี่ลงคิ้วขมวดมุ่น สันกรามบดแน่น


      “ชัดเจนมันไม่รายงานอะไรเหรอครับ” อาแจ๊กซ์เอ่ยถามเสียงไม่มั่นใจกับอารมณ์ของเซน

      “เสี้ยนที่เราคิดว่าบ่งออกไปแล้ว มันยังไม่ออกแถมยังดันบ่มหนองอีกนะสิ” เซนตอบเสียงเข้มเจือปนความกังวัลจนอาแจ็กซ์รู้สึกถึงมันได้

      “แล้วคุณราฟจะเอายังไงครับ”

      “พวกมันคงจะไม่ลงมือก็แค่หยั่งเชิง เรายังไม่ต้องห่วงเรื่องนี้น้องฉันดูแลอยู่ ส่วนเรื่องอะไหล่ไม่มีปัญหาเพื่อนของคุณราฟที่เยอรมันจะเอามาส่งอย่างช้าน่าจะถึงวันมะรืนฉันจะติดต่อกับเขาเรื่องเวลานัดส่งของที่แน่นอนอีกที  ส่วนรายการย่อยอีก 6 รายการ อีก 3 วัน เออร์วินเอาเครื่องบินขนส่งไปรับของที่โรงงานที่สเปน แล้วก็ระดมทีมวิศวกรกับคนงานด่วนเราจะเริ่มงานกันมะรืน แม็กซ์อย่างลืมทำข้อตกลงกับฮาเวิร์ดได้เรื่องยังไงรายงานฉันทุกอย่าง เรื่องคนงานที่ตายและบาดเจ็บให้เรนเดลไปจัดการก็แล้วกัน ถ้าไม่มีอะไรแล้วแยกย้ายกันไปทำงาน” เซนสรุปประเด็นงานก่อนที่จะให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานตามที่รับผิดชอบ








TBC.


ปล.
ขอให้มีความสุขกับการอ่าน  และขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมา <33


หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.23_Zhen Side Story [5] : อีหนูของเสี่ยเซน_P.6 อัพเดต 61215
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 06-12-2015 11:39:14
โหดหื่นแบบนี้แหละแม่กระต่ายเขาชอบ

ขอบคุณค่ะ.  :mew1: 
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.23_Zhen Side Story [5] : อีหนูของเสี่ยเซน_P.6 อัพเดต 61215
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 06-12-2015 15:56:11
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: รีบ ๆ ลุยศัตรูให้เกลี้ยงเหอะ ขี้เกียจลุ้น อยากอ่านแต่ตอนเบา ๆ หื่น ๆ จ้าาาา  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.23_Zhen Side Story [5] : อีหนูของเสี่ยเซน_P.6 อัพเดต 61215
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 06-12-2015 16:37:14
ดุเดือดเลือดสาดเข้าไปทุกที  :a5:

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.23_Zhen Side Story [5] : อีหนูของเสี่ยเซน_P.6 อัพเดต 61215
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-12-2015 19:09:04
 เยี่ยว ยาครอบครัวเขาอย่าให้ได้รับความเดือดร้อน

ฝั่ง ACE เริ่มจะลงมือแล้วซินะ ศัตรูที่เป็นตัวหัวโจกดันยังอยู่แบบนี้เฮียเซนกับสิงห์งานหนักแน่

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.23_Zhen Side Story [5] : อีหนูของเสี่ยเซน_P.6 อัพเดต 61215
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 06-12-2015 20:10:27
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆน๊า :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.23_Zhen Side Story [5] : อีหนูของเสี่ยเซน_P.6 อัพเดต 61215
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 06-12-2015 23:28:39

เฮียเซน  :  “เป็นเด็กดีไม่งอแงนะ ถ้าไม่ซนเดี๋ยวจะเลี้ยงไอติมแท่ง”  ทำหน้าตาเหมือนตาลุงแก่ๆ ที่หนีเมียเทียวได้สำเร็จ

แม่กระต่าย  :   “บ้า!! ใครจะอยากกินวะ พูดไม่อาย”  

เฮียเซน  :  “มโนไปไหน หื่นนะเรา ที่ถามน่ะไอติมจริงๆ ตอนเด็กเฮียจำได้ว่าชอบไม่ใช่เหรอ”

แม่กระต่าย  :  “ก็.....”    :katai1: โว้ย!!..แล้วหน้าแมร่งจะหื่นเพื่อ...

เฮียเซน  :  “รีบๆ กินแล้วไปทำงาน ฟุ้งซ่านอยู่ได้”   [เฮียก้มหน้าก้มตากินอาหารของตัวเองต่อ]

แม่กระต่าย  :  [รีบจ้วงกินอาหารตรงหน้าหนีอาย  ไม่อยากสนแมร่งแล้ว อยู่ด้วยกลัวอดใจไม่ไหวปล้ำกินไอติม
              แท่งแมร่ง..โว้ย!! ไม่ใช่ล่ะ หยุด ๆ ความฟุ้งซ่านฆ่ามึงได้ไอ้คานิน ตั้งใจทำงานเลยมึง]

เฮียเซน  :  “เฮียออกไปแล้วนะ ไม่ฟุ้งซ่านตั้งใจทำงานเดี๋ยวให้กิน ‘ติมแท่ง” 

แม่กระต่าย  :  “โว้ย!! จะไปไหนรีบไปเลย รำคาญแมร่ง”


   ..............................................

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.24_Zhen Side Story : อารมณ์แปรปรวนของผู้ชายวัยทอง_P.6_81215
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 08-12-2015 23:18:28
เด็กเลี้ยง




Zhen Side Story [6]


- 24 -

อารมณ์แปรปรวนของผู้ชายวัยทอง








      “พวกมันไม่รู้ว่าตัวเองโง่แค่ไหนที่กล้าเล่นแบบนี้  คืนนี้ทำตัวให้ว่างเราไปล่าหมาบ้ากัน อาแจ๊กซ์เอามือดีของเราไปด้วยสักสี่คนพร้อมกันห้าทุ่ม”  เซนสั่งบอดี้การ์ดคนสนิทระหว่างที่นั่งมาด้วยกันในรถ

      “ครับเสี่ย”  ทั้งสองรับคำเรียบนิ่งเหมือนนัดกันไปล่าสัตว์ธรรมดา หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างเงียบจนถึงบ้าน


       ……………………




       “พวกนายก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ฉันไม่ออกไปไหนจะดูแลให้อาหารกระต่ายก่อน”

      “ครับเสี่ย” บอดี้การ์ดทั้งคู่เดินเลยไปทางสวนหลังบ้าน ผ่านหลังแนวสวนไปจะเป็นบ้านพักของเหล่าบอดี้การด์ จำนวน 4 หลัง อาคารที่พักแบบอพาร์ตเม้นต์สองชั้นจำนวนยี่สิบห้องสำหรับลูกน้องหนึ่งหลัง  และโรงฝึกสำหรับบอดีการ์ด 1 หลัง







      เซนเดินเข้ามาทรุดตัวนั่งเอนหลังพิงไปกับพนักโซฟาด้วยความอ่อนล้า มือแกร่งยกขึ้นกดคลึงที่ขมับคลายความตึงเครียดหลับตานิ่งนาน

       “น้ำครับเสี่ย” เทรย์เวอร์ยกน้ำแร่ขวดเล็กมาว่างให้ เซนลืมตาขึ้นขยับตัวนั่งตัวตรง เอื้อมมือไปหยิบน้ำมาดื่มจนหมดขวดเล็ก

      “กระต่ายฉันงอแงรึเปล่า”

      “ไม่ครับ เมื่อตอนเที่ยงทานข้าวกับยาแล้วก็นอน ก่อนเสี่ยเข้ามาผมเข้าไปดูยังเห็นนอนอยู่ ตัวรุมๆ แต่ไม่ร้อนแล้วครับ” เทรย์เวอร์รายงานเสียงราบเรียบ

      “นายก็ไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันดูต่อเอง”

      “ครับเสี่ย” 

      เซนนั่งอยู่สักพักก่อนที่จะลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอน แม่กระต่ายของเขานอนหลับตาพริ้มราวกับเด็กน้อย ปากเรียวบางสีชมพูสดที่ยังบวมเจ่อเผยอ้าเล็กน้อยจนเซนอดไม่ได้ที่จะก้มลงแตะจูบเบาๆ หอมหวานแทบจะอดใจไม่ไหว เลื่อนปากจมูกมาที่แก้มเนียนตัวไม่ร้อนแล้ว เซนผละตัวออกยืนเต็มความสูง มองคนนอนหลับอยู่สักพักก่อนจะตัดใจเดินเข้าไปอาบน้ำ

      เกือบยี่สิบนาทีกว่าเซนจะจัดการตัวเองเสร็จ ร่างสูงเดินมาล้มตัวลงนอนแขนแกร่งดึงร่างโปร่งเข้ามาในอ้อมกอด คุณเธอแข็งขืนเล็กน้อยแต่ไม่ลืมตา มือใหญ่สากสอดเข้าไปในเสื้อลูบหลังเนียนปลอบไปมา แม่กระต่ายครางพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ก่อนที่จะขยับตัวไปมาในอ้อมกอดจนเป็นที่พอใจลมหายใจสม่ำเสมอเหมือนเดิม  เซนยิ้มเอ็นดูกับท่าทางของคนในอ้อมกอด กดจมูกหอมผมนุ่มอย่างรักใคร่ ก่อนที่จะหลับไปด้วยกัน







      “เฮียทำอะไรน่ะ กลิ่นหอมเรียกน้ำย่อย หิวจังครับ” 

       คานินเดินเข้ามายืนข้างเซนชะโงกหน้าไปดูบนเตาที่กำลังตุ๋นสตู กายกรุ่นกลิ่นสบู่หลังอาบน้ำโชยกระทบจมูกคนตัวโต เซนใช้แขนแกร่งข้างว่างโอบเอวแม่กระต่ายเข้ามาชิดกาย จมูกคมสูดดมซอกคอหอมซึ่งคุณเธอก็ไม่ขัดข้องปรับเอียงซอกคอขาวเปิดเปลือยให้ได้องศารองรับจมูกคมได้เต็มที่ไม่มีหวง ส่งเสียงหัวเราะกังวานใสพร้อมหดคอหนีเมื่ออีกคนขบเม้นค่อนข้างแรง เซนไม่ขัดปล่อยจมูกปากออกจากคอขาวผ่องโอบไหล่บางเดินมานั่งที่เก้าอี้ ก่อนจะหันกลับไปรินน้ำแอปเปิลให้อีกคนจิบรอระหว่างสตูได้ที่

      “ขอบคุณครับ”  คานินรับแก้วน้ำแอปเปิลมาจิบ ส่งยิ้มหวานและคำขอบคุณให้เซนเมื่อวางแก้วลงแล้ว

      “หิวมากรึเปล่า ยังไม่ได้ที่เลย”  เซนบอกคนตรงหน้ามือใหญ่ยื่นไปวางทาบหน้าผาก ซอกคอ ตัวไม่ร้อนแล้ว หน้าตาดูสดใสขึ้นคงเพราะได้นอนเต็มที่

      “ยังเจ็บอยู่ไหมหืม..” เซนเอ่ยถามเสียงนุ่มอ่อนโยนห่วงใย

      “ดีขึ้นแล้ว..เฮียกลับมาตอนไหน ผมไม่เห็นรู้เลย แล้วงานเป็นไงบ้าง”  คานินถามน้ำเสียงกังวลและห่วงใย ถึงท่าทางที่เฮียแสดงออกมาจะไม่มีอะไร แต่คานินจับความรู้สึกได้เซนดูเหนื่อยล้า เครียดและกังวลกับเรื่องที่ครุ่นคิดอยู่ในหัวแทบจะตลอดเวลา

      “ตั้งแต่สี่โมงเย็นครับ งานเรียบร้อยดีไม่มีอะไรต้องกังวลนี่น่า”  เซนตอบปัดๆ ไม่อยากให้คานินกังวลกับเรื่องของเขา

      “ถ้าเรียบร้อยดี แล้วคิ้วนี่จะขมวดมุ่นอะไรนักหนา มีอะไรบอกกันบ้างก็ได้ถึงบางเรื่องจะช่วยไม่ได้แต่ก็จะอยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้ได้  ไม่ใช่กีดกันให้อยู่วงนอกตลอดแล้วแบบนี้จะมาบอกว่าอยู่ด้วยกันไปทำซากทำไม  ถ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วดี ‘ป๋า’ อยู่คนเดียวไม่ดีกว่าเหรอ อย่าเอาผมไปเป็นตัวภาระเลยจะดีกว่าไหม” คานินทำเสียงจริงจังอย่างไม่ยอมแพ้

      “หืม..เมื้อกี้เรียกว่าอะไรนะ”  แมร่งเมียกู ก็ได้ยินนะ แต่อยากจะมั่นใจ

      “อย่าเฉไฉน่ารู้หรอกว่าได้ยิน มันไม่ตายหรอกนะถ้าจะไว้ใจใครสักคนนะ พูดออกมาบ้างก็ได้”  คานินตัดพ้อต่อว่าอย่างไม่พอใจ แววตาดื้อดึงเอาเรื่อง ถึงเขาไม่รู้เรื่องการบริหารงานของเซน แต่เรื่องอยู่เป็นกำลังใจคานินทำได้ รวมถึงเรื่องใช้กำลังคานินก็ทำได้ดีอีกเหมือนกัน

       เซนชะงักกับปฏิกิริยาของแม่กระต่ายตัวดี จึงนั่งดึงเก้าอี้ของอีกคนเข้ามาตรงกลางหว่างขาของตัวเอง ยื่นมือใหญ่ไปกอบกุมมือของอีกคนไว้ สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยห่วงใยจริงจัง
 
      “ไม่ใช่ยังงั้น เมื่อกี้เรียกเฮียว่าไงบอกก่อนแล้วจะเล่าให้ฟังทั้งหมดโอเค๊” เซนอ้อนคนตรงหน้า ส่งสายตาหวานเชื่อมกรุ่มกริ่มสำทับไปอีกที ก็อยากได้ยินชัดๆ  คานินหน้าขึ้นสีระเรื่อถอนหายใจหนักหน่วงก่อนที่จะยอมเปิดปากด้วยความเขินอาย

      “ป๋า...”

      “แมร่ง!! เมียกูกระแดะเว้ยเฮ้ย ใครสั่งใครสอนให้เรียกแบบนี้วะ ถ้าจะเล่นแบบนี้มึงเรียกตัวเองว่า “หนู” ด้วยเลยสิ จะรู้ดำรู้แดงไปเลยมึงมันอีหนูของกู”

      “อะ เออ คำว่า “หนู” ไม่เอาได้ไหม...”

      “มึงอาย!?..”  ตะคอกเพื่อ..?  จะขี้หงุดหงิดติดไฟง่ายไปรึเปล่าวะ หรืออารมณ์วัยทองเลือดจะไปลมจะมา

      “ถึงขนาดนี้ไม่มีเหอะ จะให้เรียกก็ได้แต่ว่าเอาตอนเรากอดกันได้รึเปล่ามันน่าตื่นเต้นกว่าไม่ใช่รึไงนะครับ...ป๋านะน้าาา”

      “แมร่ง!!  มึงอ้อนกูซะขนาดนี้..ก็เอาที่มึงสบายใจก็แล้วกัน ถ้ามึงลืมเมื่อไรมีเจ็บกูบอกไว้เลย” เซนดึงหน้าคานินเข้ามาแตะจูบที่หน้าผากเป็นคำมั่นสัญญาว่าเขาเอาจริง

      “เอาล่ะไม่ต้องเฉไฉนอกเรื่อง บอกมาที่คิดอยู่ในหัวตลอดเวลาคือเรื่องเมื่อเช้าใช่ไหม” พอยอมให้หน่อยองค์ลงนิสัยเมียหลวงแมร่งมาทันทีโดยไม่ต้องเชื้อเชิญให้ตาย!!  ไม่ว่าจะหญิงหรือชายขึ้นชื่อว่าเมียนิสัยช่างชักแมร่งเหมือนกันหมด แต่กูยอมเพราะ รักมึง  เซนหรี่ตาลงมองคนตรงหน้าอยู่นาน ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนจะยอมเล่าเรื่องที่โรงผลิตถูกลอบวางระเบิด รวมทั้งความขัดแย้งยาวนานกับวัลโด้และ ACE

      “ปัญหามันสิวๆ เฮียดูแลได้ ไม่อยากให้กังวลน่ะนะ”  เซนพูดเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นมันธรรมดามาก แล้วท่าทางไม่ยี่หระกับปัญหา คานินอึ้งค้างอดคิดไม่ได้ว่าระดับเกือบพันล้านนี่คือสิวๆ ยิ่งเรื่องความขัดแย้งระหว่างกลุ่มนี่อีกทำเอาคานินหวั่นใจเป็นห่วงเซนมากกว่าเดิม
   
      “คืนนี้ผมไปด้วยได้ไหม”

      “คืนนี้ไม่ได้จริงๆ เรื่องนี้มันไม่เหมือนที่กระต่ายยกพวกตีกันตอนเรียนมหาลัยหรอกนะ เฮียเป็นห่วงจะให้เทรย์เวอร์มาอยู่ด้วย”

      “แต่...”  คานินชักสีหน้าไม่พอใจ เอาจริงเขาอยากจะทำตัวให้มีประโยชน์กับคนๆ นี้บ้าง

      “ไม่งอแงครับ  เข้าใจเฮียหน่อยได้ไหม กว่าเราจะเจอกันมันนานมากนะ เฮียไม่อยากเสียใจอีก กระต่ายเข้าใจที่เฮียพูดไหม รออยู่ที่นี่นะครับ” เซนบอกเสียงทุ่มอ่อนโยนแกมบังคับกลายๆ

      “.....”  คานินไม่ตอบทำหน้าคว่ำประท้วงเงียบ

      “โธ่! ยาหยีไม่เอาแบบนี้สิที่เฮียห้ามเพราะเป็นห่วง คนพวกนั้นไม่ใช่นักเลงที่เราเห็นอยู่ตามถนนทั่วไป เชื่อป๋าหน่อยนะครับนะ..” 

      “....”  แมร่งใส่มาเป็นชุดเล่นเอาไปต่อไม่เป็น ก็แล้วทำไมกูต้องรู้สึกเกรงใจแมร่งนักวะ

       เซนขยับตัวเข้าไปใกล้ชะโงกหน้าเอาปากหนาของตัวเองมาแตะปากบางนุ่มที่เม้นแน่นของคานิน ลิ้นร้อนไล้เลียเชิญชวนเว้าวอนจนแม่กระต่ายยอมเปิดปากคล้อยตามอย่างเหม่อลอย จากจูบบางเบากลายเป็นเร่าร้อนดูดดื่มแล้วกลับมาอ่อนหวานจนแทบสำลักความสุขตาย ขยับตัวขึ้นไปนั่งบนตักเซนตอนไหนก็ไม่รู้ ทุกทีสิน่าคานินเอ๊ย!! กูแมร่งแรด

      “ก็ได้...รับปากมาด้วยว่าจะดูแลตัวเองให้ที่สุดได้ไหมครับ” 

      “คนอย่างกูไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก เมียกูมันแรดไง ไม่มีกูอยู่คุม มันก็ตีปีกพับๆ เที่ยววิ่งร่านหาทั้งผัวทั้งเมียใหม่เป็นว่าเล่น กูนี่คงได้อกแตกตายซ้ำซ้อนนะสิไม่เอาหรอกแบบนั้นนะ พอๆ จบเรื่องเพราะกูไม่ตายเข้าใจตรงกันนะ ทีนี่มาว่าเรื่องที่กูแมร่งโคตรจะโมโหมากกว่าโรงผลิตถูกวางระเบิด “ไอ้โจ” มันเป็นใคร จำเป็นต้องโทรมาเซ้าชี้ขนาดนี้เลย ถามก็ไม่บอก แมร่งกวนตีนอย่าให้กูรู้จะเหยียบแมร่งจมตีนเลย มันเป็นใครห๊ะ!!  แล้วก็ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นกูโมโหมึงอยู่เห็นไหมนี่” 

       นี่คือคดีพลิกใช่ไหมบอกคานินที เสียงตะคอกตอนท้ายทำเอาคานินคอหดด้วยความตกใจลนลานจะขยับตัวลงจากตักหนีความผิด แต่เซนรู้ทันรีบยกมือแกร่งโอบกระชับเอวคานินไว้แน่นไม่ยอมให้ขยับไปไหน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคมวาวเต็มไปด้วยความหึงหวงเตรียมเอาเรื่องเต็มที่ เลือดจะไปลมจะมาอีกแล้วใช่ไหม

      “อะ เออ มันไม่ใช่แบบนั้น จ ใจเย็น..”  คานินพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่แรงกอดกระชับก็ยังไม่คลาย คานินเอามือของตัวเองลูบไหล่ลูบแขนของเฮียปลอบให้ความโกธรคลาย

      “จะให้ใจเย็นได้ไง แค่เซล่ายังทำให้กูเจ็บไม่พอใช่ไหม  ยังไม่สะใจใช่ไหมถึงต้องตอกย้ำด้วยผู้หญิงหกเจ็ดคนเมื่อสองสามวันก่อน แล้วก็ไอ้โจนี่อีกตกลงจะเอาให้กระอักเลือดตายเลยใช่ไหม ไอ้โจนั่นมันบอกว่าเป็นคนสำคัญของมึง มันเป็นผัวหรือเมียมึงล่ะ  แล้วกูเป็นอะไรสำหรับมึง ถามหน่อยกูเป็นอะไร  เป็นคนที่เท่าไรกันหรือไม่มีอันดับ  ดีกรีความร้อนแรงยังไม่ลดละน้ำเสียงเข้มข้นเจือปนคำตัดพ้อต่อว่า เตรียมหาเรื่องเต็มที่ถ้าได้รับคำตอบที่ไม่พึงประสงค์

      “โธ่เว้ย!!  ฟังก่อนได้ไหมเล่า จะโมโหอะไรนักหนายอมให้ทำขนาดนี้แล้วยังไม่เชื่อใจกันอีก ความโมโหน่ะลดลงซะบ้างเถอะเดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตกตาย ที่นี้เอาอะไรมาฉุดผมก็ไม่อยู่หรอกนะจะจัดหนักจัดเต็มเอามันทั้งผัวทั้งเมียให้บานฉ่ำแบบไม่แคร์สื่อด้วย ผัวแมร่งตายห่าแล้วนี่”  คานินพูดติดตลกทำหน้าแป้นแล้นให้อีกคนคลายโทสะ

      “แมร่งปากดีถ้ากูยั้งอารมณ์ไม่ไหวได้เลือดกบปาก จำไว้ถ้ากูยังไม่ตายอย่าหวัง อย่าเปลี่ยนประเด็นมึงอธิบายมาเลยว่ามันเป็นใคร รึจะให้กูสืบเองแล้วให้คนไปกระทืบแมร่งให้ตาย ”  เซนข่มขู่ แต่ดูเอาสิแม่ตัวแสบยังทำหน้าไม่อนาทรร้อนใจ ยิ้มยั่วจนเซนปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเลยทีเดียว

      “ไม่เอาไม่โกธรสิ ผมยอมรับว่าเฮียโจเป็นคนสำคัญของผมจริงๆ นั่นน่ะเขาเป็น...”

      “มึงจะเล่นไม่เลิกใช่ไหม ได้ ได้เฮอร์เซ.....”  เซนทำหน้าถมึงทึง กำลังจะขยับตัวเรียกหาคนของตัวเองเสียงดัง คานินชะโงกตัวมาอย่างรวดเร็วเอามือปิดปากเซนแน่น

      “โธ่ป๋าฟังเค้าก่อนได้ไหมเล่า ที่บอกว่าสำคัญเพราะเฮียโจเขาหางานมาให้ทำตลอด ถ้าไม่ได้เฮียโจก็คงจะเอาตัวเองไม่รอดมาจนถึงขนาดนี้  เออเฮ้ย!!...ใช่ ใช่ ลืมไปเลยว่าต้องส่งงานพรุ่งนี้นี่หว่า ถึงว่าทำไมเฮียมันโทรกระหน่ำนัมเบอร์เซลล์”  คานินร้องดังลั่นเพิ่งจะสำนึกว่าตัวเองเหลวไหลแค่ไหนมาสามสี่วันนี้

      “งาน??”  เซนทำหน้าฉงนถึงเขาจะตามติดเฝ้าดูชีวิตความเป็นไปคานินตลอดหลายปี ก็รู้แค่ว่าคานินเป็นมนุษย์เงินเดือนทำงานที่บริษัทผลิตสื่อโฆษณาและสิ่งพิมพ์ขนาดกลางแห่งหนึ่ง ไม่ได้คิดว่าคานินมีงานอื่นด้วย

      “อ๋อ จ๊อบพิเศษนะครับ งานนี้มันเป็นความชอบส่วนตัวล้วนๆ เลย ผมชอบพวกงานออกแบบโปรแกรม ออกแบบเกมส์ แคสเกมส์อะไรเทือกนั้น เฮียโจเขาเปิดบริษัทออกแบบเกมส์ออนไลน์รวมถึงเกมส์แผ่นต่างๆ ช่วงนั้นมันมีงานพัฒนาเกมส์ของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งมาจ้างเฮียเขาทำ แต่เฮียเขาทำไม่ทันคนเขียนโปรแกรมลาออกจากงานกระทันหัน

       เผอิญช่วงนั้นมันเป็นช่วงวิกฤติของผมพอดี กำลังเดือดร้อนเรื่องเงินทั้งต้องส่งตัวเองเรียน ผ่อนรถ ดูแลเซล่า ค่าเช่าอพาร์ทเม้นท์อีก อี้เพื่อนผมตั้งแต่สมัยมัธยมต้นมันรู้ว่าผมชอบอะไรแบบนี้แล้วก็ทำได้มันเลยพูดกับเฮียมันให้ เฮียเขาเลยให้ทดลองแก้เกมส์ที่เขากำลังพัฒนาอยู่ และทำโมเดลอื่นๆ ไปให้เขาดูก่อน

       เมื่อโอกาสมันมีมาแล้วจะปิดประตูหันหลังก็ใช่ที่ ผมเลยลองทำดูปรากฏว่าลูกค้าชอบ ผมเลยได้งานนั้นแบบฟลุคๆ หลังๆ พอมีงานเฮียเขาก็ส่งมาให้ทำตลอดเงินค่อนข้างดีใช้จ่ายสองคนได้ไม่ขัดสนนัก นี่ผมลืมไปเลยว่าจะต้องแก้ไขงานอีกตั้ง 30 เปอร์เซ็นต์แน่ะ เอาไงดีๆ ป๋าช่วยเค้าคิดหน่อย”
  คานินหันไปอ้อนถามคนตรงหน้า

      “คืนนี้ขอผมกลับไปนอนที่อพาร์ทเม้นต์นะ งานมันอยู่ในคอมที่นู้นทั้งหมดเลย”  คานินทำเสียงอ้อนขอความเห็นใจ

      No!! ไม่อนุญาตครับ ไม่มีข้อต่อรอง เดี๋ยวให้เทรย์เวอร์ไปขนของมาไว้ที่นี่ไม่ต้องออกไปแล้ว”  เซนตัดสินใจแทนคนบนตักทันทีเพราะเห็นว่ามัวแต่อ้ำอึ้ง

      “ไม่เป็นไรหรอกน่า เฮียคิดมากไปเองเหอะ ไม่มีใครทำอะไรผมได้หรอกน่า ให้ผมกลับเถอะ พอเสร็จเรื่องแล้วค่อยเจอกันก็ได้นะครับ...”

        คานินทำเสียงอ่อน บางทีเขาก็อยากจะมีพื้นที่ส่วนตัวคิดทบทวนอะไรเงียบกับตัวเองอีกครั้ง ถึงเขาจะยอมรับไปแล้วว่าตัวเองมีความสัมพันธ์แบบไหนกับเฮีย ถูกวางไว้ในฐานะอะไร แต่เมื่อรับรู้ความจริงที่กระแทกใจว่าคนอย่างเฮียไม่ธรรมดาเขาก็ค่อนข้างหวั่นใจ เกิดคำถามขึ้นในใจที่ยังไม่รู้ว่าจะตอบยังไง ‘เราจะไปกันได้จริงเหรอ’ 

       ความกังวลที่มันหน่วงใจในของผมไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คนรอบข้าง การงาน การยอมรับ หรือแม้แต่คำครหาจากคนเหล่านั้นที่จะสะท้อนกลับมาก็ไม่รู้ว่าเราจะแบกรับผลของมันได้รึเปล่า แม้สังคมจะเปิดกว้างแต่คนเหล่านั้นรับได้จริงๆ เหรอ?? พ่อแม่บุญธรรมของเฮียล่ะจะว่ายังไง เห็นแก่พระเจ้าเขาไม่อยากทำให้ทุกอย่างพังอีกแล้ว

      “ไม่ก็คือไม่ เฮียตัดสินใจแล้ว ไม่งอแงนะครับ  ไม่เอาไม่คิดแล้วหิวไม่ใช่เหรอ สตูได้ที่แล้วเดี๋ยวเฮียตักให้”

       เซนตัดบทยกตัวคานินลงนั่งที่เก้าอี้ ส่วนตัวเองเดินไปตักสตูเนื้อแกะมาเสริ์ฟ ยกขนมปังอบใหม่ๆ จากเตาอบหอมกรุ่นมาวางเรียกน้ำย่อยจนท้องคานินร้องโครกครากด้วยความหิวไม่ไว้หน้ากันเลยทีเดียว  เฮียมันหัวเราะลั่นเลยได้รับสายตาเคืองๆ ของแม่กระต่ายตอบกลับมา

       “เอ้ากินเลยครับ ไม่ต้องเคืองน่า หึ หึ”  เซนรินไวน์แดงในถังแช่มาเสริ์ฟ คานินทำทีเป็นยกแก้วขึ้นจิบเพื่อหลบสายตาล้อเลียน แมร่งกูอายกับท่าทางของมัน

      “เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมง เทร์ยเวอร์จะมาติดตั้งเครื่องคอมให้ ตั้งใจทำงานนะครับ”

      “รู้แล้วน่า ไม่เปลี่ยนใจให้ไปด้วยจริงๆ เหรอ” คานินถามแหย่อีกครั้ง

      “คำไหนคำนั้นครับ พูดง่ายจะได้โตๆ เร็ว กลับมาเดี๋ยวจะเลี้ยง ไอติมแท่ง  แมร่งพูดแล้วทำหน้าหื่นๆ เจ้าเล่ห์ให้คิดอีก

      บ้า!! ใครจะอยากกินวะ พูดไม่อาย”

      “มโนไปไหน หื่นนะเรา ที่ถามน่ะไอติมจริงๆ ตอนเด็กเฮียจำได้ว่าชอบไม่ใช่เหรอ”

      “ก็.....” เขินโว้ย!! ไปไม่เป็นเลย

      “หยุดพูดรีบๆ กินแล้วไปทำงาน ไม่ฟุ้งซ่านนะครับ” เซนพูดเสร็จก็ก้มหน้าก้มตากินส่วนของตัวเอง มีเงยหน้าขึ้นมองเป็นพักๆ แล้วทำท่าบอกให้แม่ตัวดีรีบกินแบบกวนๆ มาให้ คานินมองหน้าเคืองๆ ยอมก้มหน้าก้มตากินอาหารส่วนของตัวเองแล้วรีบชิ่งจากคนตรงหน้าไปอยู่ในมุมของตัวเอง ไม่อยากสนแมร่งล่ะ กลัวอดใจไม่ไหวปล้ำกินไอติมแมร่ง..โว้ย!! ไม่ใช่ล่ะ หยุด ๆ ใจเย็นทำงานโว้ยทำงาน

.

.

.

.


      “เฮียจะไปแล้วนะ ไม่ฟุ้งซ่านตั้งใจทำงานเดี๋ยวให้กิน ‘ติมแท่ง' หึ หึ”  เซนก้าวเข้ามาบริเวณที่คานินนั่งทำงานก้มลงกระซิบเสียงกระเส่าข้างหู ลมหายใจร้อนเป่ารดหู  ลิ้นร้อนไล้เลียรอยฟันตรงคอบางเบาจนคานินขนลุกซู่  คนร่างโปร่งสะบัดตัวออกห่างหันไปมองไอ้เฮียหื่นอย่างเคืองๆ

      “โว้ย!! จะไปไหนรีบไปเลย รำคาญแมร่ง” คานินสบถดังลั่น มือผลักคนตัวโตไปให้พ้น จะล้อยันลูกบวชเลยรึไง ก่อนที่จะหันมาสนใจงานของตัวเอง แต่หน้าตาหัวหูขึ้นสีระเรื่อ เซนยิ้มกว้างกับปฏิกิริยาตอบสนองของแม่กระต่ายด้วยความพึงพอใจ

      “จะรีบกลับมา”

      เซนบอกเสียงเบา เขาจ้องมองแม่กระต่ายที่ทำท่าตั้งใจทำงานอยู่หลายวินาที ก่อนจะหันหลังออกจากห้องไป คานินเหลือบตามองแผ่นหลังกว้างของเซนอย่างห่วงจนประตูปิดกลับคืนจึงก้มหน้าทำงานต่อ












TBC.

ปล.  เบาๆ กับไอ้ผู้ชายวัยทอง ตอนหน้าเสี่ยแกจะกลายร่างเป็นเทศกิจไปช่วยแกจับหมาบ้ากันหน่อยนะครับ
หลังจากวันที่ 10 ไปค่อนข้างจะยุ่งติดอยู่เวรยาว อาจจะมาต่อตอนต่อไปช้าสักหน่อยนะครับ สุดท้ายขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมา...





หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.24_Zhen Side Story : อารมณ์แปรปรวนของผู้ชายวัยทอง_P.6_81215
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 09-12-2015 02:03:48
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.24_Zhen Side Story : อารมณ์แปรปรวนของผู้ชายวัยทอง_P.6_81215
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-12-2015 09:34:21
ผ่านหลังแนวสวนไปจะเป็นบ้านพักของเหล่าบอดี้การด์ จำนวน 4 หลัง
 และโรงฝึกสำหรับบอดีการ์ด 1 หลัง
  “น้ำครับเสี่ย” เทรย์เวอร์ยกน้ำแร่ขวดเล็กมาว่างให้ 
 “เอ้ากินเลยครับ ไม่ต้องเคืองน่า หึ หึ”  เซนรินไวน์แดงในถังแช่มาเสริ์ฟ

เฮียกับกระต่ายน่ารักอ่ะยิ่งตอนคุยกันเรื่องไอติมแท่งยิ่งชอบ :impress2: :impress2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.24_Zhen Side Story : อารมณ์แปรปรวนของผู้ชายวัยทอง_P.6_81215
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 09-12-2015 09:44:21
 :o8:  อิอิ คู่นี้หวานหื่นตลอด
น้องนั่งไหวไหมเนี่ย  ยังมีการคิดถึงไอติมแท่งอีก ทำงานไปๆ  :L1:

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.24_Zhen Side Story : อารมณ์แปรปรวนของผู้ชายวัยทอง_P.6_81215
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 09-12-2015 20:51:10
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:มีเลี้ยงไอติมแท่งด้วย :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.24_Zhen Side Story : อารมณ์แปรปรวนของผู้ชายวัยทอง_P.6_81215
เริ่มหัวข้อโดย: เลิฟลี่ ที่ 10-12-2015 11:18:36
สนุกทุกตอนค่ะ กดเป็ดให้หมดเลย ชอบคู่ป๋ากะกระต่ายแรดจังค่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.25_Zhen Side Story [7] : วิถีของสุนัขเลี้ยงแกะ_P.7_101215
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 10-12-2015 20:35:30
เด็กเลี้ยง



- 25 -
Zhen Side Story [7]  :  วิถีของสุนัขเลี้ยงแกะ




      วัลโด้แลนด์ คฤหาสน์เก่าแก่สไตล์บาโรกและโรโกโกตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่หลายร้อยเอเคอร์ คฤหาสน์ของต้นตระกูลที่ตกทอดกันมาจนถึงวัลโด้ทายาทคนปัจจุบัน

       คฤหาสน์แห่งนี้ได้ชื่อว่ามีระบบป้องกันภัยดีที่สุดแห่งหนึ่ง แต่ในเวลานี้กลับมีบอดี้การ์ดเดินรักษาความปลอดภัยเพียงหยิบมือ  เจ้าของคฤหาสน์คงหลงระเริงกับข่าวดีที่ได้รับเมื่อตอนบ่ายจนลืมระแวดระวังภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามาจ่อประตูบ้านอย่างกระชั้นชิด มันคงคิดว่าเขาจะยุ่งอยู่กับแก้ปัญหาโรงงานถูกลอบวางระเบิดจนไม่คิดว่าจะตลบหลังมันได้เร็วขนาดนี้

      /อาแจ๊กซ์ฝั่งนาย  20 นาฬิกา /  เซนกรอกเสียงสั่งในเครื่องมือสื่อสาร


      - กรอบ -


      เพียงเสี้ยวนาทีที่สิ้นเสียงสั่งการ บอดี้การ์ดเคราะห์ร้ายถูกอาแจ็กซ์ที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วเข้าประชิดตัว มือแข็งแรงราวกับปลอกเหล็กโอบเข้าล็อกเหยื่อแน่นหนาก่อนที่จะบิดอย่างแรงจนเกิดเสียงหักของกระดูกคอ เหยื่อไม่มีโอกาสได้ร้องโหยหวนเพราะความเจ็บปวด อีกคนวิ่งเข้ามาหวังจะเข้าชาร์จอาแจ๊กซ์จากด้านหลัง ถูกเฮอร์เซลเป่าดับด้วยปืนเก็บเสียงหงายหลังตึงลงกับพื้น ร่างไร้วิญญาณถูกลากอย่างเงียบเชียบเข้าไปในแนวพุ่มไม้ 


      / เคลียร์ /


      ภัยมืดลุกคืบจากบริเวณแนวรั้วของคฤหาสน์ไปจนถึงสวนหน้าคฤหาสน์ บริเวณด้านหน้าบันไดทางขึ้นมีกล้องวงจรปิด 2 ตัว  บอดี้การ์ดเฝ้าปีกซ้าย 3 คน  ปีกขวา 3 คน และตรงหน้ามุขประตูหน้า 4 คน 

       เซนส่งสัญญาณให้เฮอร์เซลเคลื่อนไปประจำปีกขวา  อาแจ๊กประจำปีกซ้าย  ส่วนตรงหน้ามุขเขาจัดการเอง 

      / ทิมนายรบกวนสัญญาณกล้องวงจรปิดทุกตัวให้ด้วย /  เซนกรอกเสียงผ่านเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่ติดไว้ที่หูสั่งทิมซึ่งเป็นทีมซัพพอร์ทให้ตัดสัญญาณกล้องวงจรปิดภายในคฤหาสน์

      / เคลียร์ /   ไม่ถึงสองวินาทีทิมกรอกเสียงตอบกลับมา


      ปุ๊   ปุ๊   ปุ๊  ปุ๊


      หลังสิ้นเสียงทิมเพียงชั่วเสี้ยวนาทีเสียงปืนบาเร็ตต้า.92 เก็บเสียงทั้งสามจุดดังขึ้นพร้อมกันเป่าบอดี้การ์ดชะตาขาดที่เฝ้าบริเวณหน้าคฤหาสน์ร่วงกราวราวใบไม้หลุดจากขั้ว


      / เคลียร์ /

       เซนจุดกรอกเสียงในเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็ก และทำมือเป็นสัญญาณให้ทีมซัพพอร์ทเข้าเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณ 

      /ไมค์นำทีมเก็บกวาดบริเวณโดยรอบให้สะอาด/  เซนกรอกเสียงสั่งหัวหน้าชุดทีมซัพพอร์ท ก่อนที่ทั้งสามจะเคลื่อนตัวออกจากแนวสวนเร่งฝีเท้าไปตามเงามืดจนถึงด้านข้างก่อนจะป่ายปีนตามขอบหน้าต่างเหวี่ยงตัวอย่างรวดเร็วขึ้นไปยืนบนระเบียงห้องนอนของวัลโด้ 

      ประตูระเบียงห้องนอนของวัลโด้เปิดรอราวกับรู้ว่าจะมีแขกพิเศษมาเยือนยามวิกาล เซนแนบตัวไปกับผนังเคลื่อนตัวไปตามเงามืดของกิ่งไม้ที่ทอดตัวเป็นระยะตามระเบียง สอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณไม่พบใคร  จึงให้สัญญาณว่าปลอดภัย ทั้งสามย่างสามขุมผ่านประตูระเบียบเข้าไปอย่างง่ายดาย  ภายในห้องนอนอาบทอไปด้วยแสงของโคมไฟหรูหราส่องแสงนวลตาแต่ไร้เงาเจ้าของห้อง เสียงเพลง Blue Danube จากเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่นเก่าดังหวานแว่วมาจากห้องทำงานที่ประตูเปิดเชื่อมถึงกัน

      ทั้งสามเดินเงียบกริบเข้าประชิดประตูห้องทำงานที่เปิดแง้มเกือบทั้งบาน  ภายในห้องทำงานอบอวลไปด้วยควันและกลิ่นของแดร็กที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในชั้นบรรยากาศจนน่าคลื่นเหียน  บนโต๊ะรับแขกหน้าโต๊ะทำงานปรากฏแดร็กและโคเคนที่ยังไม่ได้เสพบางส่วน อุปกรณ์การเสพวางเกลื่อนโต๊ะ

       บนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ปรากฏร่างเปลือยเปล่าของนางแบบและนักแสดงสาวคราวลูกที่กำลังโด่งดังถูกจับคว่ำหน้าในท่าโก้งโค้งกับโต๊ะ เธอคงจะเป็นอีกคนที่ถูกเอเยนซี่ส่งตัวมาสังเวยกามให้กับวัลโด้ในค่ำคืนฉลองชัยนี้

       วัลโด้กำลังกระแทกแก่นกายแข็งขึงเข้าช่องทางด้านหลังของเธออย่างแรงจนโต๊ะทำงานหนักอึ้งยังเขยื้อนดังกึกๆ แก้วบรั่นดีที่วางหมิ่นเหม่ตกลงบนพื้นพรมของเหลวสีอำพันที่บรรจุภายในแก้วกระฉอกลงพื้นเปียกเป็นด่างดวงแต่หาได้มีใครใส่ใจ 

       สีหน้าของหญิงสาวบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บระคนเสียวซ่านในคราเดียวกัน เสียงครวญครางอย่างสุขสมของทั้งคู่สอดประสานกับเสียงเนื้อกระทบกันดังระงมห้อง แผ่นหลังที่ปรากฏรอยสักรูปยักษ์คาบูกิหน้าแดงฉานแสดงความกราดเกรี้ยวตามแรงขยับโยกร่างของวัลโด้ ตาโปนสีเหลืองจ้องมองพวกของเซนราวกับมีชีวิต

      “อ๊า...อ๊า...โอ๊วววว”

      “อ๊า..โอ๊ววว..ซี๊ด..fuck fuck!!!!”


      “ท่านทำผมแสบมากนะ”  เซนกล่าวเสียงต่ำเย็นเยียบ มือยกปืนบาเร็ตต้า.92 จ่อขมับวัลโด้ ทำให้คนที่ได้ยินเย็นวาบขนคอตั้งชันราวกับมัจจุราชปลิดชีพ

      - กรี๊ด -

      นางแบบสาวที่กำลังครางลั่นด้วยความสุขสมจากกามกรีฑา กลับต้องเปลี่ยนเสียงครางเป็นกรี๊ดลั่นด้วยความตกใจเมื่อหันกลับมามองสบเข้ากับมัจจุราชที่ยืนถมึงทึงอยู่ข้างหลังวัลโด้ สายตาเธอเหลือกลาน ดิ้นรนสุดแรงจนท่อนลำของวัลโด้หลุดจากช่องทางดังพล๊อก  ร่างโปร่งบางลนลานกระเสือกกระสนออกไปยืนสั่นงันงกอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่อีกฝั่งของโต๊ะทำงานใหญ่

      “ถ้ายังอยากจะมีลมหายใจเดินบนพรมแดงอย่างเฉิดฉาย หุบปากให้สนิท อย่าคิดทำอะไรโง่ๆ  ออกไป!”

       เซนพูดเสียงกร้าวเย็นเยียบ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคมดุคุกคามไม่ได้ละออกไปจากหน้าของวัลโด้  สิ้นเสียงของเซนเธอไม่รอให้สั่งซ้ำลนลานเก็บเสื้อผ้าวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต

      “กูเลี้ยงหมาเสียข้าวสุกสินะ”  วัลโด้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบลอๆ จากอาการเมาแดร็กผสมกับบรั่นดี 

       “ถึงจะไม่มีกู  แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าเรื่องมันจะไม่จบแค่นี้แน่” วัลโด้ตอบกลับด้วยท่าทางไม่ยี่หระ ฤทธิ์ของแดร๊กที่เสพเข้าไปผสมนิสัยส่วนตัวมันทำให้กร่างอย่างไม่กลัวใคร

      “......”  เซนไม่โต้ตอบเขาไม่อยากจะเสียเรื่อง กรามแกร่งบดแน่นกดข่มแรงโทสะของตัวเอง

       “มึงก็แค่หมาขี้เรื้อนที่ไอ้แก่นั่นเอามาซุบเลี้ยงให้ได้ดิบได้ดีแล้วพองขน..ถุย กูอยากจะรู้นักถ้าหมดไอ้แก่นั่นสักคนมึงมันก็หมาข้างถนนเหมือนที่มึงเคยเป็นดีๆ นี่เอง”  วัลโด้พ่นคำพูดและน้ำลายใส่หน้าเซนอย่างยั่วยุ  เฮอร์เซลกระเหี้ยนกระหือรือจะเข้ามาเอาเรื่อง แต่อาแจ๊กซ์ส่ายหน้าดึงไว้ไม่อยากให้เสียเรื่อง

      “มีคนอยู่สามประเภทในโลก แกะ หมาป่า และสุนัขเลี้ยงแกะ บางคนไม่เชื่อว่าในโลกนี้มัจจุราชมีอยู่จริงจึงไม่เคยระวังตัว เมื่อมัจจุราชมาเยือนที่หน้าประตูบ้านของพวกเขาๆ ก็จะไม่ป้องกันตัวคนพวกนี้คือ แกะ ต่อมาคือผู้ล่า พวกมันก้าวร้าว ชอบใช้ความรุนแรงกับเหยื่อที่อ่อนแอ นั่นคือหมาป่า

       จากนั้นก็เป็นพวกที่มีพรสวรรค์และอำนาจไว้คอยปกป้องฝูงแกะ พวกมันเป็นพันธุ์ที่หายากมีชีวิตเพื่อเผชิญหน้ากับหมาป่า พวกมันคือ สุนัขเลี้ยงแกะ แล้วรู้อะไรไหมพ่อแม่ผมไม่เคยเลี้ยงลูกให้เป็นแกะหรือหมาป่า แต่เขาเลี้ยงให้เราปกป้องฝูงแกะ ถ้าหมาป่าตัวไหนมันกล้าทำร้ายฝูงแกะหรือครอบครัว ผมได้รับอนุญาตให้จัดการมันซะ!!
  เซนเอ่ยตอบเสียงเรียบเย็นทันควัน พยักหน้าให้เฮอร์เซลเปิดคอมพิวเตอร์ที่ตั้งบนโต๊ะทำงาน ภาพหน้าจอเป็นภาพเดียวกันกับที่ปรากฏอยู่บนแผ่นหลังของวัลโด้

      “ทิมแฮคเข้าระบบฐานข้อมูลกลาง Waldoland”

       เฮอร์เซลกรอกเสียงลงในเครื่องมือสื่อสารไม่ถึงสามวินาทีหน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะปรากฏฐานข้อมูลกลาง Waldoland  เซนดึงกระชากมือของวัลโด้ทาบลงแท่นแสกนลายนิ้วมือ หน้าจอฐานข้อมูลขึ้นกล่องตอบรับ

      “Unlock Password”  ระบบประมวลผลอ่านค่าดาต้าเบสและลายนิ้วมืออยู่ครึ่งวินาทีก่อนจะวิ่งเข้าสู่หน้าธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์

      “มึงจะทำอะไร ไอ้สัส!!”   

      “มันถึงเวลาที่ต้องชดใช้ท่านเซอร์”
  เซนตอบเสียงกร้าว

      เฮอร์เซลเข้าสู่หน้าจอธนาคารอิเล็กทรอนิกส์จัดการกรอก ID ผู้ใช้และรหัสผ่าน รอสักพักหน้าจอปรากฏกล่องโต้ตอบให้กรอกเลขบัญชีธนาคาร มันไม่ยากเกินความสามารถที่บอดี้การ์ดคนสนิทจะกรอกเลขบัญชีของวัลโด้ลงไป ไม่กี่วินาทีต่อมาหน้าจอตรงหน้าปรากฏรายการเงินฝากในบัญชีของวัลโด้

       บอดี้การ์ดคนเก่งพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดป้อนคำสั่งถ่ายโอนเงินจากบัญชีธนาคารต่างประเทศของวัลโด้ทั้งหมดเข้าบัญชีองค์กรสาธารณกุศลเพื่อผู้ประสบภัยของหน่วยงานท้องถิ่น จำนวน 18 แห่ง ใช้เวลาไม่กี่นาทีเงินทั้งหมดในบัญชีของวัลโด้เป็นศูนย์  ก่อนจะโอนเงินจำนวนนั้นทั้งหมดไปให้คนงานผู้ได้รับความเสียหายทุกคนตามสัดส่วน 

       เฮอร์เซลออกจากหน้าธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ เข้าสู่หน้าตลาดหลักทรัพย์จัดการเทขายหุ้นทุกตัวที่อยู่ในครอบครองของวัลโด้ในตลาด ขายทอดตลาดทรัพย์สินในครอบครองทุกรายการยกเว้นคฤหาสน์วัลโด้แลนด์ผ่านระบบธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทในเครือทั้งหมดถูกเทคโอเวอร์โดยเศรษฐีชาวตะวันออกกลาง

       ภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีเงินรายได้จากการขายทอดตลาด ค่าหุ้น ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารต่างประเทศของวัลโด้และมันถูกถ่ายโอนต่อเป็นเงินบริจาคเข้าบัญชีของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าและคนยากไร้ และสาธารณกุศลอื่นทั่วโลกแทบจะทันที จดหมายอิเล็กทรอนิกส์จากองค์กรสาธารณกุศลตอบขอบคุณการบริจาคด้วยระบบอัตโนมัติเข้ามาแทบจะทันที

      หลังจัดการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างเสร็จสิ้นเฮอร์เซลปล่อยไวรัสทำลายระบบฐานข้อมูลกลางของ Waldoland ทั้งหมดชนิดที่โปรแกรมเมอร์หรือแฮคเกอร์ระดับเทพหน้าไหนก็ไม่สามารถกู้คืนได้ 

       ‘ถ้าจะบอกว่านี่คือการปล้นกลางอากาศแบบหน้าด้านๆ แล้วใครจะสนในเมื่อวัลโด้มีหนี้ราคาแพงที่ต้องชำระและคนที่ได้ประโยชน์ก็สมควรที่จะรับมัน’

      วัลโด้นั่งมองหายนะของตัวเองด้วยสายตาเหลือกลานช็อกตะลึงงัน  เหงื่อกาฬเม็ดเป้งผุดพรายทั่วหน้า มือใหญ่บีบกุมกระชับหัวใจที่เต้นกระหน่ำเจ็บแปล๊บเพราะถูกบีบกระชากจากสารอดรีนาลีน ผสมปนเปไปกับแดร๊กที่เสพเข้าไปจำนวนมากก่อนหน้านั้น  ร่างท้วมสั่นเทาอย่างรู้ชะตากรรมของตัวเองดี แต่ก็ยังกระเสือกกระสนดิ้นรนให้พ้นจากเอื้อมมือของเซน

      “ท่านเซอร์เห็นด้วยใช่ไหมที่กระผมทำแบบนี้” เซนดึงกระชากวัลโด้เข้ามาชิดหน้าตัวเองกระซิบเสียงเย็นยะเยือกริมหูของมัน  วัลโด้หันหน้ากลับมาเผชิญกับเซน

      “Fuckup!!”

      “หึ หึ”

      “คนอย่างท่านมันน่าทุเรศวะ พวกมือถือสากปากถือศีล แต่วันนี้ท่านก็ใจบุญเหลือเกินพวกเขาสำนึกในบุญคุณท่านนัก สุนัขเลี้ยงแกะอย่างกระผมไม่ชอบความรุนแรงยินดีอย่างยิ่งที่จะส่งท่านขึ้นสวรรค์ด้วยความสุข”


       เซนโยนคำพิพากษาใส่หน้าวัลโด้ที่เงยหน้าสบสายตาราวกับร้องขอชีวิต  ชายหนุ่มหันไปพยักหน้าให้คนของเขา อาแจ๊กซ์หยิบเอ็กซ์ตาซีออกมาจากกระเป๋า อาแจ๊กซ์หยิบสลิงที่วัลโด้ใช้ฉีดสารเสพติดมาดูดเอ็กซ์ตาซีเข้มข้นจากขวดในมือวัลโด้ผสมกับแดร็กอย่างละครึ่งสลิง เสร็จแล้วยื่นให้วัลโด้ฉีดมันเข้าเส้นด้วยตัวเอง ร่างอวบท้วมพยายามดิ้นรนสะบัดตัวไม่ยอมรับสลิงจากอาแจ็กซ์

      “ฉีดมันเข้าไป!!”

       เซนกดเสียงเย็นเยียบราวกับมัจจุราชปิดชีพกรอกหูวัลโด้ซึ่งรู้สึกเสียวสันหลังวาบขนคอลุกตั้งชันทั่วทั้งร่างเย็นวูบรับรู้ชะตากรรมของตัวเอง มืออวบอูมเย็บเยียบสั่นเทายื่นออกไปรับสลิงจากอาแจ็กซ์ ยกแขนที่เต็มไปด้วยรอยเข็มฉีดยาของตัวเองขึ้นมาจ่อแทงเข็มเข้าไปในเส้นเลือดฉีดสารเสพติดเข้าไปจนหมดสลิงสามเข็มเต็มๆ เซนปล่อยตัววัลโด้ให้ทรุดลงกับพื้น

      วัลโด้พยายามถลันตัวเข้าตอบโต้เชน แต่ฤทธิ์ของสารที่ฉีดเข้าไปเล่นงานแทบคลั่งร้องโหยหวน ดิ้นทุรนทุรายตาเหลือกลานมืออวบอูมกุมหัวใจแน่น  อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เหงื่อกาฬผุดพรายเต็มขมับ หัวใจเต้นกระหน่ำบีบรัดรุนแรงจนระบบการหายใจขาดเป็นห้วงๆ ตัวกระตุกสองสามครั้งแล้วก็แน่นิ่งในที่สุด...


      “ไม่มีหนี้อะไรที่ไม่ต้องชดใช้ท่านจำเอาไว้  เคลียร์บิลที่ท่านทำไว้กับปิแอร์และคนของผมอีก 168 คน”


       เซนไม่สนใจว่าใครจะมองว่าสิ่งที่เขาทำมันโหดร้าย ป่าเถื่อน เห็นแก่ตัวมหันต์ เขาก็แค่พยายามปกป้องสิ่งที่เป็นของเขา ครอบครัวของเขา คนของเขา  สิ่งที่ทำมันเป็นวิถีของสุนัขเลี้ยงแกะ...

      เซนและบอดี้การ์ดเก็บกวาดทุกพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิมก่อนที่พวกเขาจะเข้ามา  เมื่อเรียบร้อยทั้งหมดถอนตัวจากพื้นที่หายลับไปพร้อมกับความมืดของค่ำคืนไร้ดาว  เหลือไว้เพียงร่างเปลือยเปล่าไร้วิญญาณของวัลโด้บนพื้นเย็นเยียบในห้องทำงาน …





      หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จเซนแทรกตัวเองเข้าไปในผ้าห่มมือแกร่งดึงร่างแม่กระต่ายเข้ามาในอ้อมกอด ปากร้อนแตะจูบตั้งแต่หน้าผาก เปลือกตาทั้งสองข้าง ปลายจมูก และจบลงที่ปากเรียวบางได้รูปบางเบากำลังจะผละออกคนในอ้อมกอดกลับดูดดึงริมฝีปากของเขา แม่ตัวดีเผยอปากเชิญชวน คนอย่างเซนมีหรือจะกล้าขัดใจ สนองตอบด้วยจูบเร่าร้อนๆ จนพอใจจึงผละออก ปากหนาปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ 

      “อืม..กลับมาแล้วเหรอ”  คานินถามคนตัวโตทั้งที่ตายังหลับพริ้ม ขยับตัวให้แนบชิดร่างแกร่งมากขึ้น  ยกขาเรียวเกี่ยวกระหวัดกับขาของเซน แขนยกขึ้นโอบเอวหนา แนบหน้าไปกับอกแกร่งด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ

      “ซู่..นอนต่อเถอะเพิ่งจะตีสี่”

      “งานเสร็จแล้ว ป๋าให้หนูกินไอติมนะ”

      “.....”
  เซนก้มมองคนในอ้อมกอดไม่เข้าใจว่าพูดจริงหรือเล่น แต่แม่ตัวดีของเขายังหลับตาพริ้มไม่มีสัญญาณว่าตื่นอยู่  คือแมร่งละเมอเหรอวะ??  เซนเลยยื่นปากหนาไปชิดริมหูกดจูบบางเบาก่อนที่จะกระซิบเสียงทุ่มนุ่มอ่อนโยน

      “นอนก่อนครับ พรุ่งนี้ค่อยกินจะให้ทั้งแท่งเลย...”




      “นักธุรกิจหนุ่มใหญ่เจ้าพ่อคมนาคมขนส่งเสพยาเกินขนาดดับอนาถภายในห้องทำงานของคฤหาสน์”


      นั่นคือประเด็นร้อนที่โทรทัศน์ประโคมข่าวกันทุกช่อง และหนังสือพิมพ์หัวสีแทบทุกฉบับจั่วหัวตัวเป้ง แต่มันไม่สามารถดึงความสนใจของเซนจากหน้าจอไอแพดโปรที่เต็มไปด้วยตารางตัวเลขไปได้ เขาจิบกาแฟอย่างอารมณ์ดีเพราะหุ้นตัวที่เขาช้อนซื้อมาในราคาถูกเมื่อเดือนก่อนมันติดลิ่งราคาพุ่งสูงสุดเท่าที่เคยทำมากำไรเห็นๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างนี้เห็นจะต้องยกผลประโยชน์ให้แม่กระต่ายตัวแสบนั่น ตั้งแต่ได้ตัวมาอยู่ด้วยกันอะไรมันก็ดีไปซะทุกอย่าง

      คานินเดินเข้ามาบริเวณโซนรับประทานอาหาร เซนเงยหน้าขึ้นมองสำรวจทั่วหน้าและท่าทางการเดินเหินไม่ติดขัดเหมือนเมื่อวาน แสดงว่าอาการคงจะดีขึ้นแล้ว คานินเปิดยิ้มกว้างเดินตรงมาหาเซน คนตัวโตยกยิ้มกว้างตอบกลับไปให้ก่อนจะดึงตัวคานินเข้ามาใกล้มือแกร่งโอบเอวไว้หลอมๆ กดแนบจมูกตัวเองไปที่ท้องแกร่งแน่นของคานินอย่างหลงใหลสูดดมกลิ่นกายหอมกรุ่นอยู่นานราวกับต้องการกำลังใจ  คานินยกแขนขึ้นโอบกอดรอบคอสอดมือเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มของเซนก่อนจะกดจมูกลงที่กลุ่มผมนุ่มของเซน ทั้งคู่อยู่ในท่านั้นนิ่งนานราวกับจะให้อ้อมกอดและสัมผัสปลอบประโลมจิตใจกันและกัน คานินผละอ้อมกอดออกแล้วเดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งขวามือของเซน

      “อรุณสวัสดิ์ครับ”

      “หายดีแล้วเหรอ”

      “ครับ...”

      “ทำไมตื่นเช้าจัง เมื่อคืนเฮียกลับมากี่ทุ่ม”
   เซนเลิกคิ้วหนาเป็นคำถามด้วยความแปลกใจ สรุปคือเมื่อคืนเมียกูแค่ละเมออยากกินไอติม

      “ตี่สี่ แล้วงานเราล่ะเสร็จแล้วรึยัง”   เทรย์เวอร์ยก Pan con Tomate หรือขนมปังอบกับกระเทียมและซอสมะเขือเทศสดเหยาะด้วยน้ำมันมะกอกและเกลือ โรยหน้าด้วยชีส แฮม เสิร์ฟพร้อมกับกาแฟและน้ำฝรั่งสำหรับคานิน

      “ขอบคุณครับ” คานินหันไปยิ้มหวานและขอบคุณเบาๆ กับพี่หล่อ  “เสร็จแล้วส่งให้เฮียโจตั้งแต่ห้าทุ่มครึ่ง วันนี้เฮียเขาจะเอาไปคุยกับลูกค้า ถ้ามีแก้ไขจะส่งโทรมาบอกอีกที ถ้าไม่มีแก้ไขเขาจะโอนเงินค่างานให้ตอนเย็น”

      “อืม วันนี้จะพาไปเก็บของ บอกคืนห้องด้วย แล้วเลิกงานกี่โมง”

      “เฮียแน่ใจแล้วเหรอ...”


      “คุยกันเข้าใจแล้วน่าให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะอย่าเรื่องมาก ตกลงเลิกงานกี่โมง”  หน้ายิ้มๆ อารมณ์ดีของเซนหุบทันควันที่คานินทำท่าจะขัดความประสงค์ของเขา เซนเอนหลังพิงไปกับพนักเก้าอี้อย่างกระแทกกระทั้นมือทั้งสองยกขึ้นกอดอก ตาคมหรี่มองอย่างคาดคั้นกดดันแต่มันเจือความห่วงใยชั่วแวบให้คานินได้เห็น

      “ก็ไม่ได้บอกว่าไม่สักหน่อย ก็แค่อยากจะมั่นใจ”

      “มีตรงไหน? ที่ไม่มั่นใจ ตกลงเลิกงานกี่โมง”

       “ปกติห้าโมง แต่วันนี้ผมไม่มั่นใจอาทิตย์ที่แล้วลาไปสามวันคิดว่างานเต็มโต๊ะแน่”


      “จะให้เทรย์เวอร์ตามไปด้วย  ถ้าเลิกงานเมื่อไรค่อยตามไปที่ออฟฟิศ”

      “ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวผมขับรถไปเอง”

      “ให้เทรย์เวอร์ไปด้วยนั่นแหละ”

      “ครับ”  พอตามใจเข้าหน่อยยิ้มกว้างเลยเชียว อดที่จะยิ้มไปด้วยไม่ได้สักที คานินจัดการอาหารเช้าของตัวเองต่อก่อนที่จะต่างคนต่างแยกย้าย  เซนออกไปกับเฮอร์เซลและอาแจ๊กซ์ ตามไปด้วยรถหรูสีดำมันปล๊าบที่บรรจุบอดี้การ์ดอีกสามคน  คานินออกมาพร้อมกับเทรย์เวอร์และไมค์บอดี้การ์อีกคน

       พี่หล่อหน้านิ่งไม่ยอมเฉียดใกล้รถกระป๋องของผม (ทั้งๆ ที่เมื่อวานก็ได้ข่าวว่าพี่แกเป็นคนขับมาจอดไว้เองแท้ๆ ยังจะทำท่ารังเกียจรังงอน) ไม่ชายตามองด้วยซ้ำทำยังกะเป็นกิ้งกือไส้เดือน ตรงไปยังมายบัคสีดำคันหรูจากเยอรมัน เปิดประตูด้านหลังรอผมเสร็จสรรพ  ผมพ้นลมหายใจด้วยความเอือมระอาถึงความอวดร่ำอวดรวยของผัวมาเฟีย

      “ทำไมไม่ใช้รถผมล่ะ นี่มันเกินหน้าเกินตาพนักงานกินเงินเดือนอย่างผมนะ” ผมบ่นกระปอดกระแปดอิดออดไม่อยากจะขึ้นไปนั่ง กลัวโดนคำครหาจากคนในบริษัทว่าผมตกถังข้าวสาร

      “เสี่ยสั่งให้ใช้คันนี้ เชิญครับถ้ายังมัวโอ้เอ้คุณจะสายห้านาที” ชอบสั่งกันจังทั้งลูกพี่ลูกน้อง แล้วใครจะกล้าขัดคำสั่งไม่มี๊ ไม่มี ผมเดินมาอีกฝั่งเปิดประตูขึ้นไปนั่ง ผมเห็นนะพี่หล่อแก่ทำหน้าเอือมๆ ก็เอาหน่อยเหอะให้ผมได้ทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง

      “เร็วๆ สิผมรีบ เดี๋ยวเข้างานไม่ทัน”  พี่หล่อแกมองหน้าผมคาดโทษอีกแล้ว ปิดประตูที่แกเปิดไว้รอผมอย่างเบามือ แล้วเดินอ้อมมาประจำที่นั่งข้างคนขับ รถเคลื่อนตัวออกจากโรงจอดซึ่งเป็นส่วนของใต้ถุนตึก ผมประมาณโดยสายตาจนถึงประตูทางออกระยะทางเกือบกิโลเมตร ถึงว่าทำไมไม่เห็นรั้วบ้านตอนผมมองจากห้องนอน ถ้าผมหนีได้เมื่อวันก่อนก็คงจะลิ้นห้อยขาลากโดนจับได้เหมือนเดิมแน่นอน  แมร่งไกลสัส

      ผมว่าพี่ไมค์แกตีนผีมากนะ พาพวกเรามาถึงบริษัทภายในเวลาสิบห้านาทีแถมยังเหลือเวลาอีกตั้งสิบห้านาทีก่อนจะเข้างานอีก พี่แกเลี้ยวเข้าจอดที่ประจำของผมแบบนิ่มๆ  อ้อมมาเปิดประตูให้ผมอีก พอลงมายืนได้ผมอยากตายลาโลก ณ บัดนั้น  ลิซ่าและแอนน่าเบลเพื่อนสาวของหล่อนยืนอ้าปากค้างมองคนที่มากับผมและรถที่ผมนั่งมา  (แอนน่าเบล นางเป็นกระเทยที่ตัดแต่งพันธุกรรมเรียบร้อยแล้ว และก็สวยมากด้วย นางเคยมาเสนอให้ผมเมื่อนานมาแล้วแต่ผมไม่คิดกินของในบริษัทเลยปฏิเสธเด็ดขาด แต่นางก็ไม่ได้สะบั้นสัมพันธ์นะยังคงแวะเวียนถามไถ่อยู่ตลอดเวลาเผื่อผมจะเปลี่ยนใจ)  แอนน่าเบลรี่เข้ามาดึงแขนผมไปหาเพื่อนสาวของหล่อน  ผมยกมือห้ามไม่ปล่อยให้ทั้งสองได้มีเสียงหลุดจากปากตัดบทฉับ
 
      “ไม่ต้องอยากรู้เรื่องชาวบ้านสักเรื่องได้ไหม ไปทำงานเลยจะถึงเวลาเข้างานแล้ว..”

      “แร๊งงงงง...” ผมไม่ได้สนใจเสียงพวกเจ้าหล่อนหันเดินเข้าออฟฟิศโดยมีพี่หล่อเดินตามเข้าไปติดๆ









TBC.

ปล.


1. นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สิ่งที่เราให้คนอื่นแท้จริงแล้วคือของที่เราฝากให้แก่ตนเองในวันข้างหน้า (คำโดย ว.วชิรเมธี) เฉกเช่นเดียวกับท่านเซอร์วัลโด้ให้ความตายแก่เขาเท่ากับฝากความตายนั้นให้ตัวเอง
2. บทนี้เขียนเสร็จแล้วเลยลงให้ก่อนก็แล้วกันนะครับ  หลังวันที่ 10 ขออนุญาตลานะครับติดภารกิจอยู่เวรรักษาความปลอดภัยทางถนนและเวรรักษาสถานที่ยาวจนถึงปีใหม่
3. ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมา  และขอให้สนุกและผ่อนคลายกับการอ่านนะครับ

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.25_Zhen Side Story [7] : วิถีของสุนัขเลี้ยงแกะ_P.7_101215
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 10-12-2015 20:57:58
 :pig4:   
ดุเดือดดี
คู่นี้เค้าสมน้ำสมเนื้อกันดีนะ. มีละเมอถึงไอติมด้วย
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.25_Zhen Side Story [7] : วิถีของสุนัขเลี้ยงแกะ_P.7_101215
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-12-2015 21:16:45
ละเมออยากกินไอติม  o13 o13
รอวันสะใภ้เล็กกับสะใภ้ใหญ่ อ้อ แม่เกลด้วยอีกคน เจอหน้ากัน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.26_Zhen Side Story [8] : ยอมรับมาว่าเป็นเมียกู_P.7_171215
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 17-12-2015 18:33:40
เด็กเลี้ยง



- 26 -

Zhen Side Story [7]  :  ยอมรับมาว่าเป็นเมียกู




      ความไม่ชัดเจนทำให้ตลอดช่วงเช้าของการทำงานเต็มด้วยความอึดอัดจากเสียงซุบซิบของพนักงานทั้งชั้นจนถึงแม่บ้านที่อยากสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผมจนตัวสั่น แต่พอผมตวัดสายตามองตอบพวกนั้นก็ลนลานทำทีเป็นก้มหน้าก้มตาทำงาน นี่ยังไม่รวมถึงพี่หล่อหน้านิ่งที่นั่งสงบอยู่หน้าห้องผมไม่ยอมขยับไปไหนแต่ใช้สายตากดดันทุกครั้งที่เพื่อนร่วมแผนกเดินมาคุยงานกับผม

      “สวัสดีครับเฮีย ไปพบลูกค้ามาเหรอครับ”  คุณไป๋ซานลูกชายเจ้าของบริษัทซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกกราฟฟิกดีไซด์ของผม เดินเข้ามาหาพร้อมกล่องเค้กร้านดังทำเอาพี่หล่อจ้องเขม็งอย่างไม่วางตายิ่งกว่าเดิม

      “อืม พอดีพาลูกค้าไปที่สภากาแฟ แล้วจำได้ว่าเราชอบเค้กร้านนี้เลยซื้อมาฝาก”

      “ขอบคุณคร้าบ...ผมกินเลยได้ไหมกำลังหิวๆ เลย”

      “อ้าว!! กะว่าจะชวนไปกินข้าวที่ไชน่าทาวน์ เพราะยังไงบ่ายนายก็ต้องไปคุยงานกับเฮียที่นั่นอยู่แล้ว ถ้ากินเค้กแล้วเราจะกินข้าวได้อีกเหรอหึ” 

       “ได้น่าไม่ต้องห่วงนี่ยังไม่ถึงครึ่งท้องด้วยซ้ำ”  คุณไป๋ซานดูแลผมอย่างดีมาตลอดตั้งแต่ผมเข้าทำงานที่นี่ ผมนับถือเขาเสมือนพี่ชายคนหนึ่ง นั่นจึงทำให้ผมทำหน้าอ้อนเฮียตามความเคยชิน เฮียไป๋ซานยกมือใหญ่ของเขาขยี้หัวผมด้วยความเอื้อเอ็นดูหัวเราะเสียงดังลั่น

      “ไม่ต้องชักแม่น้ำยังไงก็เลี้ยงอยู่แล้วน่าน้องชายที่น่ารักทั้งคน”

      “ฮ่า ฮ่า รู้ทันตลอดเลย” 

      “หึ หึ  เรานี่น่า ไหนได้ข่าวว่ามีรถหรูมาส่งเราเหรอเมื่อเช้า”

      “ไม่มีอะไรสักหน่อยเขาก็พูดกันไป เมื่อสองสามวันก่อนผมดันไปอยู่ผิดที่ผิดทางรู้เรื่องที่ไม่สมควรจะรู้ คนร้ายพยายามจะตามฆ่าผมแต่พี่คนนั้นเขาช่วยผมไว้ทัน เขากลัวพวกมันจะย้อนกลับมาอีกเลยตามมาดูแลนะครับ เที่ยงนี้ผมให้พี่เขากับเพื่อนอีกคนไปด้วยนะครับ”
  ผมตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จให้เฮียไป๋ซานฟัง ไม่ได้อยากโกหกหรอกนะแต่บริษัทของผมทำหนังสือซุบซิบสังคมไฮโซด้วยไงถ้าเรื่องปูดออกไปอาจจะทำให้เฮียเซนของผมเสื่อมเสียชื่อเสียงและอาจส่งผลต่อธุรกิจของเฮียด้วย  ‘ขอโทษนะครับเฮียผมไม่ตั้งใจ’

      “อ้าวทำไมเฮียไม่รู้ รึที่เราหายไปสองสามวันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนะเหรอ “ 

      “ครับ” 

      “แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า”


      คุณไป๋ซานถลันตัวเข้ามาหาถามอย่างร้อนรน มือใหญ่ลูบหลังไหล่สำรวจตามร่างกายดูว่าผมบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า ดีนะที่อากาศค่อนข้างเย็นผมเลยใส่เสื้อคอเต่ามันจึงซ่อนรอยกัดตรงคอที่สามีตีตราของผมทำไว้ได้มิดชิดพ้นจากสายตามองสำรวจของเฮียไป๋ซานได้  แต่ไม่อาจหลุดพ้นสายตาพี่หล่อหน้านิ่งที่จ้องเขม็ง ผมกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่รีบผละตัวออกห่างจากการสำรวจของเฮียไป๋ซานที่ดูห่วงผมเกินจริง

      ตาย ตาย และตาย โธ่เอ๊ย!! ผมลืมไปได้ไงว่ามีคนคุม (ไม่ได้กลัวเฮียเซนหรอกนะผมก็แค่เกรงใจเฉยๆ) เรื่องนี้คงไม่แคล้วถึงหูเฮียและคาดว่าผมคงจะไม่รอดเย็นนี้

      “เออ ผมไม่ได้เป็นอะไรไม่มีแม้รอยขีดข่วนเขามาช่วยไว้ได้ทันนะครับ  อะ เออเฮียนี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วเราออกไปกันเลยดีไหมผมชักจะหิวๆ แล้วด้วย”

      “โล่งใจไปที เฮียห่วงเรามากรู้ใช่ไหม ออกไปกันเลยก็ดีเหมือนกัน จะไปรถเฮียหรือจะไปกับนั่น”
  คุณไป๋ซานทำปากบุ้ยใบ้ไปที่พี่หล่อหน้านิ่ง

      “ผมว่าเดี๋ยวผมไปกับพี่เขาดีกว่า พอดีว่าพี่เขาไม่ค่อยคุ้นทางด้วยนะครับ”

      “เอางั้นก็ได้ครับไปเจอกันที่ Zhunli Lounge ในไชน่าทาวน์นะอย่าช้าล่ะ”

      “ครับเดี๋ยวตามออกไปขอเก็บงานก่อนแป๊บเดียวครับ”
  เฮียไป๋ซานยกมือขึ้นขยี้หัวผมอีกครั้งก่อนจะเดินหันหลังออกไปจากห้อง ผมพรูลมออกจากปากด้วยความโล่งใจ 

      Rrrrrr Rrrrr  แรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมสะดุ้ง ลนลานล้วงมือหยิบออกมาดูหน้าจอ ลำคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ สูดลมเข้าปอดจนเต็มก่อนจะพ่นมันออกมา แล้วจึงตัดสินใจกดรับสาย

      /รับช้า!!/ เสียงเข้มติดจะหงุดหงิดลอดมาตามสาย ถ้าเสียงที่ส่งมาทำอะไรผมได้เฮียมันคงทำไปแล้ว ผมไม่ได้กลัวนะแค่เกรงใจ

      “อะ เออ ขอโทษครับ พอดีเมื่อกี้เจ้านายเข้ามาสั่งงานครับ” 

      /งั้นเหรอ เฮียมาตรวจงานที่ท่าเรือเลยแวะทานข้าวที่ฟิชเชอร์แมน วาร์ฟ อยากให้กระต่ายมาทานด้วยกัน คิดถึงอยากเจอ../ เสียงปลายสายอ่อนลงถึงตอนท้ายจะแอบอ้อนแต่ก็ยังแข็งๆ อยู่ดี ผมพรูลมออกจากปากด้วยความโล่งใจ รู้อยู่หรอกว่าเฮียมันไม่เชื่อ

      “ระ เหรอครับ แต่เอาไงดีผมมีนัดคุยงานกับลูกค้าแถวๆ ไชน่าทาวน์เลยกะว่าจะทานอาหารกันที่นั่นเลย  ถ้าไปทานข้าวกับเฮียก็ต้องย้อนไปย้อนมาไม่ทันนัดตอนบ่ายกันพอดี ขอโทษจริงๆ นะครับ แบบนี้ได้ไหมผมเสร็จงานคงสักประมาณบ่ายสามครึ่งแล้วไม่ต้องกลับเข้าบริษัทอีก ผมจะรีบไปหาเฮียเลยครับ”  ผมส่งเสียงขอความเห็นใจแบบไม่มากไม่น้อยถ้อยทีถ้อยอาศัยไปตามสาย

      /ก็ได้ให้เวลายี่สิบนาทีให้ถึงออฟฟิศเข้าใจนะครับ/
 
      “ครับ แค่นี้นะผมต้องไปแล้ว” คุณท่านที่เคารพของผมตัดสายฉับเมื่อได้ดั่งใจมาเร็วเคลมเร็ว ผมมองโทรศัพท์ในมืออย่างงงๆ ก่อนจะยัดมันเข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม หันมาเก็บของบนโต๊ะปิดคอมฯเรียบร้อย แล้วจึงเดินออกมาหาพี่หล่อเทรย์เวอร์

      “ไปกินข้าวที่ซุนหลีกัน”  ผมหันออกมาทันทีหลังจากกล่าวจบ แต่ได้ยินแว่วๆ ว่าพี่แกโทรศัพท์บอกอีกคนให้วนรับมารับพวกเราที่หน้าบริษัท



Zhunli Lounge

      “เฮียนี่เทรย์เวอร์กับไมค์ครับ  ส่วนนี่คุณไป๋ซานหัวหน้าผมครับ” ผมกล่าวแนะนำให้ทั้งสามรู้จักกัน

       “สวัสดีครับ”  บอดี้การ์ดทั้งคู่ก้มหัวให้เล็กน้อยและยกยิ้มมุมปากนิดๆ

      “สวัสดีครับ เชิญตามสบายนะไม่ต้องเกรงใจ”  เฮียไป๋ซานเชิญชวนพี่ทั้งคู่อย่างมีน้ำใจ

      “ลงมือเลยสิเฮียสั่งแต่ของที่เราชอบทั้งนั้นเลยนะ พวกคุณด้วยนะเชิญครับเดี๋ยวเย็นจะไม่อร่อย”  เฮียไป๋เอ่ยเสียงนุ่มเชิญชวนพี่หล่อทั้งสอง ก่อนมือใหญ่จะตักปูทอดพริกเกลือมาวางใส่จานให้ผมอย่างเอาอกเอาใจ

      “ขอบคุณครับ”

      ระหว่างทานอาหารเฮียไป๋ซานคอยดูแลผมตลอดเวลา พี่หล่อทั้งสองจะมองเขม็งทุกครั้งที่มือใหญ่ของเฮียเอื้อมมือตักอาหารมาให้ผม ผมคิดมาตลอดว่าเฮียคือพี่ชายเลยไม่เคยใส่ใจหรือสังเกตมาก่อนว่าเฮียดูแลเกินความจำเป็นไปหรือเปล่า จนมาเจอสายตาสองคู่ตรงหน้าทำให้ผมร้อนตัว อาหารที่เคยชอบกลับจืดชืดและกร่อย มันเป็นการกินอาหารเที่ยงที่น่าอึดอัด ผมรีบๆ กินเพื่อให้จบมื้ออาหาร

      “จะรีบกินไปไหนเดี๋ยวก็ติดคอ ดูสิเลอะหมดแล้ว”  เฮียไป๋ซานเอ่ยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดู ยื่นมือใหญ่มาหยิบเศษแป๊ะก๊วยชิ้นเล็กๆ ที่ติดอยู่ริมฝีปากผมออก แต่แทนที่เฮียแกจะทิ้งมันไป กลับเอามันเข้าปากของตัวเอง ผมชะงักงันกับการกระทำนั่น จนลืมไปว่ากำลังตักแป๊ะก๊วยร้อนเข้าปากความร้อนที่ลวกตั้งแต่ลิ้นจนถึงกระเพาะมันแสบร้อนซะจนต้องคายออกมาสำลักหน้าดำหน้าแดง ลนลานวางช้อนโดยไม่ได้มอง มือปัดถ้วยคว่ำน้ำแป๊ะก๊วยร้อนกระเด็นถูกขาตัวเองเต็มๆ ผมกระเด้งตัวลุกให้พ้นจากน้ำร้อนโดยอัตโนมัติ

      “คานิน / คุณคานิน!!” ทั้งสามคนร้องด้วยความตกใจ เทรย์เวอร์เด้งตัวลุกขึ้นกำลังจะเดินเข้ามาดู แต่เฮียไป๋ซานไวกว่าหยิบผ้าเช็ดปากของตัวเองมาซับน้ำร้อนออกจากขาให้ผม ดีที่มันเป็นกางเกงยีนส์น้ำร้อนจึงยังไม่ซึมถูกผิวหนัง

      “พูดยังไม่ขาดคำเลยเห็นไหม มานี่มาเดี๋ยวเฮียเช็ดให้”  ผมถูกกดดันด้วยสายตาสองคู่เขม็งให้ขยับตัวออกห่างเฮียไป๋

      “มะ ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมทำเองดีกว่า ผมซุ่มซ่ามจังลืมได้ไงว่ามันร้อน”

      “ไหนดูสิ ปากบวมแดงหมดเลยเห็นไหมเรานี่น้าต้องให้ห่วงตลอดเลย”
  เฮียไป๋ซานขยับตัวเข้ามาใกล้ผมยิ่งขึ้น ดันให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้มือใหญ่ข้างหนึ่งของเฮียยกดันคางของผมขึ้น นิ้วแกร่งลูบไล้ริมฝีปากผมแผ่วเบาราวกับกลัวถูกแผล เป็นอีกครั้งที่ผมตกใจนิ่งค้างกับอากัปกริยาของเฮียไป๋ซานเกือบสองสามนาทีผมจึงรู้สึกตัวรีบปัดมือของเฮียไป๋ซานออกจากปากตัวเอง เฮียไป๋ซานชะงักค้างกับอาการตอบสนองของผม ก่อนที่เฮียแกจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ยกยิ้มอบอุ่นให้ผมเหมือนเดิม การกินข้าวเที่ยงเลยต้องจบลงโดยปริยาย

      “ดื่มน้ำเย็นก่อนปากจะได้ไม่พองมาก”  ผมรับแก้วน้ำจากเฮียไป๋ซานมาดื่มโดยไม่อิดออด มันบรรเทาอาการปวดแสบร้อนได้พอสมควร

      “บ่ายนี้เราไม่ต้องไปกับเฮียก็ได้”

      “แต่ว่า...”

      “ไม่มีแต่ครับอย่าดื้อกับเฮีย ดูสิเสื้อผ้าเลอะเทอะขนาดนี้ แล้วไหนจะน้ำร้อนลวกขาอีกรีบกลับไปเปลี่ยนออก แล้วหายาทาซะ”


      “แล้วงาน...”

      “ไม่เป็นไรเดี๋ยวเฮียเรียกอาฮุ่ยมาแทนเราได้น่า”

      “ก็ได้ครับ แต่ถ้ามีตรงไหนลูกค้าอยากให้แก้ไขเฮียบอกผมได้นะผมจะรีบทำให้เลย”

      “เอาน่าไม่ต้องห่วง จะถึงเวลานัดแล้วเฮียต้องไปก่อน คืนนี้เฮียโทรหา”
  เฮียไป๋ซานหันไปยิ้มกับพี่หล่อทั้งสองของผม ก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่ผมสองสามทียิ้มอ่อนโยนมาให้

      “ขอบคุณครับ” เฮียแกหันมายิ้มอ่อนโยนโบกมือให้ผมก่อนจะแยกไปขึ้นรถซึ่งจอดห่างออกไปเล็กน้อย ผมยืนมองจนเฮียแกขึ้นรถและขับออกไป ก่อนจะหันหลังเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ใกล้ๆ กัน

      “เสี่ยอยู่ออฟฟิศ คุณจะไปที่นั่นเลยรึเปล่า”  เทรย์เวอร์เอ่ยถามเสียงเรียบ

      “ก็ได้ครับ”  ผมจะกล้าขัดใจเหรอ ทั้งเจ้านายลูกน้องแม้ไม่เอ่ยปาก แค่ท่าทางที่แสดงออกก็กดดันให้ผมเกรงใจจะตายอยู่แล้ว  ความเงียบแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งคันรถอีกครั้ง มันน่าอึดอัดยิ่งกว่าอะไรซะอีก ความเคยชินของผมกำลังจะฆ่าผมตายในอีกไม่กี่เพลานี้แล้วสินะ





      Osiris Dome สำนักงานใหญ่ตระกูลจิโอวาดินี่ เป็นอาคารโดมแก้วกันกระสุนขนาดใหญ่รูปทรงสามเหลี่ยมด้านไม่เท่า ครอบอาคารซึ่งถูกสร้างและออกแบบคล้ายกับสวนน้ำบาบิโลนอีกที บริเวณรอบอาคารภายในโดมแก้วถูกตกแต่งเป็นสวนหลายประเภทโดยแต่ละสวนรวบรวมพันธุ์พืชจากทั่วโลกมาไว้เพื่อการศึกษาและท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์

      ตัวอาคารมีทั้งหมด 5 ชั้น และหอดูดาว ชั้น 1 และบริเวณสวนพันธุ์ไม้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวัน แบ่งเป็นโซนร้านอาหาร กาแฟ ร้านสินค้า Duty Free และแกลอรี่แสดงงานศิลปะ ชั้น 2 เป็นสำนักงานและห้องประชุม ชั้น 3 เป็นคลับส่วนตัว โรงยิม และพื้นที่สันทนาการสำหรับพนักงานและบอดี้การ์ด ชั้น 4 เป็นที่พักของบอดี้การ์ด ส่วนชั้น 5 เป็นเซฟเฮ้าส์ของเฮียเซน

      ไมค์ขับรถอ้อมมาอีกด้านของโดม แล้วจอดเทียบบันไดทางเข้าสำนักงาน ผมเปิดประตูลงมาเองโดยไม่รอให้เทรย์เวอร์เปิดให้ พี่หล่อชักสีหน้าไม่พอใจ ผมเบ้ปากยักไหล่ทำหน้ากวนๆ ใส่พี่แกไป เลยได้รับสายตานิ่งคมดุตอบกลับมา ไมค์หัวเราะในลำคอก่อนตามลงมายื่นกุญแจให้บอดี้การ์ดที่อยู่บริเวณนั้นนำรถเข้าจอดที่ว่างต่อจากรถของเสี่ย เทรย์เวอร์เดินนำผมไปที่ลิฟต์ส่วนตัว ตลอดทางพนักงานของเสี่ยมองผมราวกับเป็นตัวประหลาดจากโลกอื่น บางคนแสดงสีหน้าใคร่รู้ว่าผมเป็นใคร ทำไมต้องให้บอดี้การ์ดคนสนิทของเสี่ยดูแลติดตามอย่างใกล้ชิด

       พนักงานหญิงสองคนตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์มองผมด้วยความดูถูกดูแคลน และสมเพชตั้งหัวจรดเท้า และคำว่า ‘เด็กขาย’ ลอยมากระทบโสตผมอย่างจังทำเอาผมสะอึกอึดอัดแทบจะหายใจไม่ออก เทรย์เวอร์ตวัดสายมองไปที่คนเหล่านั้น พวกนั้นลนลานรีบก้มหน้าก้มตาทำทีเป็นทำงาน

      “คำพูดเหล่านั้นไม่ควรค่าที่คุณจะใส่ใจ”  เทรย์เวอร์เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง แต่ในน้ำเสียงนั่นผมรับรู้ได้ว่าเขาแคร์ความรู้สึกของผมมากพอสมควร

      “......”





- มีต่อนะครับ -
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.26_Zhen Side Story [8] : ยอมรับมาว่าเป็นเมียกู_P.7_171215
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 17-12-2015 18:34:39
- ต่อจากข้างบน -




       ผมรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง ทั้งๆ ที่คนเรามีค่าของความเป็นคนเท่ากันแต่เขาเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองช่างต่ำต้อยไร้ค่าเหลือเกิน เพราะมัวแต่ตกอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเองรู้สึกตัวอีกทีก็ถึงจุดหมายปลายทางที่ชั้น 3 แล้ว เทรย์เวอร์เดินนำออกไปก่อนเช่นเคย พวกเราเดินมาหยุดที่ห้องซึ่งติดป้ายข้างหน้าว่า “President & CEO” ก่อนนะผลักประตูเข้าไป

      “สวัสดีครับคุณคานิน เจอกันอีกแล้ว”  แม็กซิมัสยิ้มกว้างก่อนจะลุกออกมาจากโต๊ะของเขาเดินมาทักทายผม

      “สวัสดีครับแม็กซ์...” ผมยิ้มตอบเขาแต่มันเจื่อนๆ เต็มที

      “เสี่ยรออยู่เชิญเลยครับ”  แม็กซ์เดินไปเคาะประตูก่อนจะผลักเข้าไปโดยไม่รอให้คนข้างในอนุญาต  คนในห้องเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มที่กำลังอ่าน ยกยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนให้ผม แม็กซ์ปิดประตูห้องให้อย่างรู้งาน

      “ได้ข่าวว่ากระต่ายของเฮียถูกน้ำร้อนลวก” 

      “นิดหน่อยผมซุ่มซ่ามเอง ไม่เป็นไรแล้ว”

      “มันกระเด็นถูกหน้าขาด้วยไม่ใช่เหรอ มานี่มาให้เฮียดูก่อนพองมากรึเปล่า”


       เฮียเซนกวักมือเรียกให้ผมอ้อมไปหาเขาหลังโต๊ะทำงานใหญ่  เมื่อถึงระยะที่พอจะเอื้อมได้แขนแกร่งของเฮียเซนดึงผมนั่งลงบนตักของเขา ปลายนิ้วมือลูบไล้ไปตามริมฝีปากของผมแผ่วเบาอ่อนโยน มือแกร่งโอบไปหลังคอโน้มหน้าผมลงมาสำรวจความเสียหายด้วยปากร้อนของตัวเองแทน ผมปรับเอียงศีรษะและเผยปากให้เฮียสอดลิ้นชื้นเข้ามาสำรวจความเสียหายในโพรงปากของตัวเองด้วยความเต็มใจ นี่ช่างเป็นจูบที่ร้อนแรงและประกาศให้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของผม

      “อืมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ด้วย ที่ขาโดนมากรึเปล่า”

      “ไม่ครับผมซับออกทัน แต่เสื้อกับกางเกงมันเหนียวๆ จนน่ารำคาญ” 

      “ลุกเร็วสิจะพาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า”
  ผมขยับตัวลงจากตักของเฮียแล้วเดินไปยืนรอข้างๆ เฮียลุกขึ้นตามมือหนาเอื้อมมาจับกุมมือผมไว้หลวมๆ อีกข้างกดเครื่องติดต่อภายในบอกให้แม็กซ์รู้ว่าเขาอยู่ไหน

      “แม็กซ์ฉันอยู่ข้างบนนะ มีอะไรโทรเข้ามือถือ”

      “ครับเสี่ย”


      เฮียเซนจูงมือผมเดินตรงไปยังลิฟต์พาขึ้นมาชั้น 5 ซึ่งแบ่งเป็นส่วนของเซฟเฮ้าส์  สวน และสระน้ำขนาดใหญ่  เฮียเซนสแกนม่านตาและใส่รหัสก่อนเข้าเซฟเฮ้าส์มือใหญ่อบอุ่นยังกุมมือผมจนมาถึงห้องนอนใหญ่

      “วันหลังจะให้แม็กซ์จัดการสแกนม่านตาและใส่รหัสของยาหยีนะ ไปอาบน้ำก่อนไป๊เสื้อผ้าเตรียมไว้ให้แล้วอยู่ข้างในนั่นแหละ”  เฮียเดินมาส่งจนถึงหน้าห้องน้ำ ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็พร้อมสรรพด้วยเสื้อยืดคอวีสีเทากับกางเกงยีนส์สกินนี่สีดำ เดินออกมาเฮียนั่งรออยู่ที่โซฟาริมหน้าต่าง พอเห็นผมเดินออกมาคนตัวโตตบมือลงที่ว่างข้างตัวจึงเดินข้าไปทรุดนั่งลงข้างๆ 

      “มีอะไรจะบอกอีกรึเปล่านอกจากน้ำร้อนลวก”

      “ก็ไม่มีนี่”  ผมปฏิเสธเสียงไม่มั่นคงนักเสมองมือของตัวที่วางอยู่บนตักนิ่ง

      “คานิน!! อย่าโกหก หน้าตามันฟ้องว่ามึงคิดห่าเหวอะไรอยู่ในหัวตั้งแต่มาถึงแล้ว”
เฮียเซนตวาดเสียงกร้าวกระด้างเจือความหงุดหงิดในอารมณ์ขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำปฏิเสธของผม

      “................................”

      “หรือมีใครพูดให้ผิดใจอะไรอีก เป็นห่าอะไรก็พูดมาเงียบแบบนี้เฮียไม่เข้าใจหรอก” เฮียเซนเอ่ยเสียงแข็งกระด้าง ตาคมดุจ้องเขม็งรอคำตอบ  ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะพ่นมันออกมาอย่างคนคิดไม่ตก

      “เฮียคิดว่าเราทำแบบนี้มันดีแล้วเหรอ”   ผมถามออกไปอย่างไม่มั่นใจนัก

      “ตกลงเรื่องเมื่อเช้ายังไม่จบ มึงไม่มั่นใจเฮีย หรือตัวเอง หรือมีใครพูดให้เปลี่ยนใจ พูดมาให้มันเคลียร์  อยากจะตบปากพวกที่มันสักแต่พูดไม่คิดชอบจังเสือกเรื่องชาวบ้านนี่”  เสียงกร้าวเต็มแรงอารมณ์ มือกำแน่นเตรียมจะตั๊นหน้าใครสักคนที่บังอาจขัดใจ

      “มะ ไม่มีใครพูดอะไร แต่ผมคิดว่าเราต่างกันหลายอย่างเหลือเกินไม่ว่าจะเป็นงาน ครอบครัว ฐานะทางสังคม คนรอบตัวเฮียเขาจะยอมรับเรื่องนี้ได้รึเปล่า ถะ ถ้าเราอยู่กันไปแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเฮียไหม ที่สำคัญพ่อแม่ของเฮียเขาจะรับเรื่องนี้ได้เหรอ ประเด็นคือผมไม่อยากทำให้ชีวิตของเฮียพังเพราะผม...”

      “แค่นี้นะที่มึงสร้างเงื่อนไขกับเฮีย”

      “มันไม่ใช่แค่นี้ เฮียคิดถึงผลข้างหน้าสิ เราไม่ได้อยู่กันแค่สองคน  มันยังมีคนอื่นๆ ที่เราจะต้องเกี่ยวข้องปฏิสัมพันธ์กับเขา  สำหรับผมมันไม่เป็นไรหรอกนะ แต่เฮียมันคนละเรื่องกับผม คิดง่ายๆ ธุรกิจของเฮียจะเป็นยังไงถ้า....”

      หยุด!!  ถ้ามึงจะพ่นเรื่องห่าเหวนี้ก็หุบปากไปเลย เฮียมีคำถามเดียวที่อยากจะรู้ มึงยอมรับว่าตัวเองเป็นเมียกูรึเปล่า’”  เซนตวัดสายตาวาวโรจน์มองคานินด้วยโทสะ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเข้มถึงสิ่งที่ยังค้างคาในใจ

      “ยอมรับ”  คานินตอบสวนหนักแน่นทันควันโดยไม่หยุดคิดหรือไตร่ตรองด้วยซ้ำ

      “ก็แค่นี่แหละ ถ้ามึงยอมรับตัวเองได้ก็ไม่จำเป็นต้องไปแคร์ความรู้สึกคนอื่น เอาล่ะฟังดีๆ เฮียจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกและมึงก็ไม่ต้องขุดมันขึ้นมาเป็นประเด็นห่าเหวอะไรอีก ครอบครัวกูเขารู้เรื่องนี้ดีและรู้ด้วยว่ามึงเป็นคนของกูมานานแล้ว เพราะงั้นประเด็นนี้เคลียร์นะ  เรื่องงานหรือสังคมรอบข้างนี่ก็ไม่ใส่ใจเขารู้มาเป็นชาติแล้วว่ากูเป็นคนยังไง ทำงานแบบไหน พวกนั้นสนแค่เงินกับอำนาจที่ครอบครัวกูมีเท่านั้นแหละ”

       “ที่นี้มาว่าถึงหน้าที่ของมึงคือ อยู่ข้างๆ คอยเป็นแรงใจและเมียที่กูรักคนเดียว รึถ้ามึงเบื่อที่ถูกกูรักข้างเดียว ถ้ามันไม่เป็นการรบกวนมากเกินไปมึงจะรักกูตอบบ้างก็ได้ไม่ว่ากัน ง่ายๆ แค่นี้ทำให้กูได้รึเปล่า”
  เซนอธิบายเสียงเข้มจริงจัง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเว้าวอนรอคำตอบที่อยากจะได้ยินด้วยความกระวนกระวายใจ

      “........................”

      “เฮียไว้ใจกระต่ายได้ใช่ไหม ว่าจะไม่หักหลังความรู้สึกของเฮีย”
  เซนกระซิบถามเสียงเว้าวอน มือที่กุมกระชับมือของคานินสั่นไหวเล็กน้อยราวกับกลัวคำตอบที่จะได้รับ

      “บางทีผมก็คิดว่าตัวเองไม่อยากจะเชื่อใจใครอีกแล้ว คนนั้นคนนี้ผ่านเข้ามาได้สมใจอยากแล้วก็ทิ้งผมไว้ข้างหลังไม่เคยถามกลับมาสักคำว่าผมอยากได้อะไรตอบแทนรึเปล่า ผมต้องเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบจะชาชิน  แต่เพราะเป็นเฮียผมจึงอยากจะลองมันอีกสักครั้ง ขออย่างเดียวเฮียอย่าทำลายความเชื่อใจของผมด้วยการโกหกคำโต แล้วใช้คำโกหกมาสร้างภาพมายาให้ดูว่านี่น่ะเป็นของจริงกับผม เฮียทำให้ผมได้ไหม

      “เข้าใจแล้ว เฮียจะไม่ขอให้กระต่ายเชื่อใจ แต่อยากจะให้ค่อยๆ เรียนรู้และซึมซับมันจากการกระทำของเฮียจากนี้ไป อยู่เป็นเมียเฮียนะครับ”   

      “.....”  คานินขยับตัวเข้าไปโอบกอดร่างหนาไว้แน่น หัวทุยซบลงกับบ่าแกร่งของเซน แม้จะไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากร่างโปร่งแต่การกระทำนั่นก็เป็นการตอบรับที่ดีแล้วสำหรับเซนๆ โอบรัดร่างโปร่งให้ขยับขึ้นมาบนตักของตัวเอง คานินรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นที่รินรดกดจูบลงบนบ่าของตัวเอง มือใหญ่ลูบไล้ปลอบประโลมทั่วแผ่นหลังบางอย่างรักใคร่และหวงแหน

      “ผมยังมีอีกเรื่องที่มันค้างคาใจ และคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญถ้าเราจะอยู่ด้วยกันต่อไป”

      “เรื่องที่พวกนั้นเรียกนายว่า ‘เด็กขาย’ แล้วก็เรื่องเรียกเด็กมาใช้บริการนะเหรอ”


      “จะเรียกผมว่ายังไงผมไม่สนหรอกนะ แต่ประเด็นที่เฮียเรียกเด็กมาใช้บริการน่ะผมไม่โอเค ถ้าผมปรนนิบัติไม่ดีไม่ถูกใจก็บอกผมตรงๆ จะได้หลีกทางให้แบบไม่เกี่ยงงอนยอมรับโดยดุษฎีเพราะผมบกพร่องจริง แต่ถ้าผมทำดีแล้วเฮียยังเรียกพวกนั้นมาใช้โดยที่ยังมีผมอยู่มันเท่ากับหยามหน้ากันชัดๆ ถ้าแบบนั้นก็เลิกกันไปเลยดีกว่าผมไม่ทนหรอกนะ”

      “หึ หึ หวงกู??....

      “ก็เออ แล้วจะหัวเราะเพื่อ..??  ของๆ ผมจะหวงไม่ได้รึไง”

      “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่  เรื่องเด็กขายมันนมนานตั้งกะสมัยกระผมยังความจำเสื่อมโน้น ก็ผู้ชายคุณเองก็น่าจะรู้ซึ้งและเข้าใจธรรมชาติของผัวคุณนะครับ ความต้องการแมร่งเหลือเฟือไงใครเสนอมาถ้าถูกใจก็ไม่เกี่ยงรึคุณไม่เคยล่ะครับ  แต่ผมว่านะที่คุณทำยิ่งกว่าผมอีกมั้งอย่าให้สาธยาย ถ้าคุณมัวแต่จะหึงหวงอดีตแล้วให้กระผมกลับไปแก้ไขมันก็ไม่ได้แล้วไง”


      “ผมก็ไม่ได้ให้เฮียกลับไปแก้ไขอดีต ที่พูดหมายถึงปัจจุบันและอนาคตต่อไป ถ้าเฮียจะทำก็ทางใครทางมัน”

       “ถึงขนาดจะทิ้งกระผมนี่เล่นแรงนะครับ ตรงนี้ผมขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ตั้งแต่กระผมเฝ้าตามติดชีวิตคุณผมก็ไม่ได้ประพฤติแบบนั้นแล้วครับสาบานเลย..ส่วนคุณมึงแมร่งเฮียไม่อยากจะพูด.น่าเจ็บใจชะมัดยาดของๆ เราทำหมายจองไว้ตั้งแต่ก่อนชาวบ้านชาวเมืองเขา ยังไม่เคยใช้แต่ดันถูกใครก็ไม่รู้เอาไปทดลองใช้แบบไม่บันยะบันยัง มันน่านัก!!”


      “ขอโทษๆ น้า...ก็ใครจะไปรู้ไม่มาเอาสักกะทีก็คิดว่าไม่เอาแล้วซะอีก ก็กลัวสินค้าเสื่อมคุณภาพนี่น่าผมเป็นพ่อค้าที่ดีก็ต้องหาทางระบายของออกจากสต๊อกสิไม่งั้นก็ขาดทุนแย่ เฮียน่าจะเข้าใจสิ” คานินเอ่ยขอโทษเสียงอ่อนเหมือนจะสำนึกผิดแต่ดูจากสีหน้าแล้วมันห่างไกลกันคนละโยชน์ เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวแถ่ซะสีข้างแสบจี๊ดแก้ผ้าเอาหน้ารอด เซนทำหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

      “เร่ขายของๆ เฮียซะเลยจุดคุ้มทุนแล้วมั้ง  เอาจริงๆ เฮียอยากจะรู้นักใครแมร่งพูดเรื่องนี้ขึ้นมาจะตบให้เลือดกบปากฐานยุแยงให้ผัวเมียเขาบาดหมางใจกัน”

      “ช่างเขาเถอะน่า ก็ทำจริงๆ ไม่ใช่รึไง คราวหน้าอย่าทำอีกก็แล้วกัน ทีนี้ไม่รอจริงๆ ด้วย”

      “บอกตัวเองด้วยนะนั่นน่ะ แล้วเรื่องของกระต่ายเฮียยังรอฟังคำอธิบายอยู่นะ”
  ผมเกลียดไอ้พี่หล่อหน้านิ่ง แมร่งไม่บอกเฮียมันสักเรื่องก็ได้เปล่าวะ ผมเสมองไปอีกทางลอบถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะยอมหันมาสบสายตาสีน้ำตาลที่มองอยู่ก่อนแล้ว  ผมชะโงกตัวไปแตะจูบที่ปากหนาที่เม้มแน่นบางเบาแล้วผละออก ยกยิ้มอ้อนอย่างสำนึกผิดให้คนตรงหน้า

      “ไม่มีอะไรสักหน่อยแก่แล้วคิดมากไปได้ เขาเป็นเจ้านาย แล้วผมก็นับถือคุณไป๋ซานเป็นพี่ชายคนหนึ่ง แค่พี่ชายไม่มากไปกว่านั้น ผมอาจจะไม่ใช่ผู้ชายซิง  แต่ผมคือสิ่งมหัศจรรย์ที่เฮียเป็นคนค้นพบคนแรกนะครับ  คานินยกยิ้มแถมยักคิ้วกวนๆ ให้เซน

      “มึงนี่มัน!!..มึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ใช่ไหม??”  เซนถามคนบนตักเสียงจริงจัง คานินพยักหน้ารับหงึกๆ 

       “งั้นคืนนี้เฮียจะท่องดินแดนมหัศจรรย์แบบโต้รุ่งเลยมึงอย่าอ้อนให้หยุดก็แล้วกัน”  เฮียมันไม่พูดเปล่าทำหน้าตาวิบวับมุ่งมั่นและหื่นกระหายแรงกล้า ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จนผมรู้สึกร้อนวูบทั่วร่างเปลี่ยนมานั่งคร่อมตักยกแขนของตัวเองโอบไปรอบคอหนาของเฮียเซน มือหนาของเฮียก็ยกขึ้นกอบกุมสะโพกผมแถมคลึงเคล้นโดยอัตโนมัติ ผมชะโงกตัวไปแตะริมฝีปากหนา ค่อยๆ และเล็มดูดดึงริมฝีปากหนาของเฮียราวกับเป็นขนมหวานที่ไม่อยากจะรีบกินให้มันหมด

      “หึ หึ”

      คนตัวโตขี้งอนของผมหัวเราะพึงพอใจ และเล็มริมฝีปากของผมเหมือนที่ผมทำ ก่อนจะสอดลิ้นเข้ามากวาดต้อนดูดดึงมอบจูบดูดดื่มร้อนแรง แล้วจบลงด้วยความอ่อนโยนผมแทบจะตายให้ได้กับจูบสูบวิญญาณของของคนตรงหน้า

      “หายงอนนะครับ”

      “ไม่ได้งอน”

      “ดูทำหน้าเข้าไม่เรียกว่างอนแล้วอะไร...”

      “อยากจะท่องแดนมหัศจรรย์มันซะตอนนี้เลยขอได้ไหมล่ะ”
  คานินเบ้ปากยกไหลทำหน้าเอือมๆ กวนๆ  เซนชะโงกหน้ามาขบเม้นริมฝีปากกระต่ายแสบด้วยความหมั่นไส้ คานินยกมือขึ้นดึงหน้าเซนออกด้วยความเจ็บ

      “รู้ แต่ตอนนี้มันใช่เวลาเหรอ นี่น่ะเวลางานใช่รึเปล่า ถึงจะเป็นเจ้าของแต่ทิ้งงานแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน ไปทำงานเลยตาแก่หื่นเอ๊ย ถ้าไม่งอแงคืนนี้หนูยอมให้ป๋าทำตามใจเลยโอเค๊”  แม่กระต่ายตัวดียกยิ้มอ่อนโยนทำหน้าอ้อนๆ แรดๆ ขัดกับปากช่างเจรจาที่เอ่ยตำหนิกลายๆ เซนมองอย่างคาดโทษฝากเอาไว้ก่อนเถอะคืนนี้จะเอาไอติมยัดปากให้พูดไม่ได้เลยเชียว

      “ก็ได้ห้ามคืนคำด้วย”

      “คร้าบไม่คืน  ว่าแต่ป๋าเถอะข้อเข่าดีรึเปล่า??”

      “ไอ้เด็กบ้านี่!! ยังไม่สำนึกอีก ผัวมึงถึงจะแก่แต่เอวยังดีโว้ย”
เฮียแมร่งไม่พูดเปล่ายังเด้งเอวให้ลูกชายที่กำลังประกาศความยิ่งใหญ่เสียดสีกลางตัวผมเน้นๆ

      “เฮียแมร่ง!! หน้ามึน...”  ผิวแก้มใสของคานินแดงระเรื่อขึ้นทันตากับการกระทำของเซน

      “ก็เออ มึงรู้ไว้คืนนี้จะเอามันอุดปากมึงไม่ให้พูดมาก หยุดไม่ต้องต่อปากแล้วไปทำงานช่วยกันเลยจะได้เสร็จเร็วๆ” เฮียเซนจับผมลงจากตัก ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแขนแกร่งหนีบหัวผมเข้ารักแร้ แล้วใช้มะเหงกบี้หัวผมสองสามที ผมร้องโว้ยวายด้วยความเจ็บดิ้นรนให้หลุดพ้นจากแรงหนีบแมร่งใส่แรงเต็มไง เฮียหัวเราะดังลั่นก่อนจะยอมปล่อยเปลี่ยนมาโอบไหล่ผมลงไปห้องทำงานด้วยกัน

      “วันลาพักผ่อนเหลืออยู่รึเปล่าวะ”

      “เหลืออีก 20 วัน ทำไมเหรอครับ”

      “กลางเดือนหน้าเฮียมีงานที่ไทยว่าจะพาไปด้วย”

      “เฮียไปทำงานไม่ใช่เหรอ แล้วจะพาผมไปด้วยทำไม”

      “ก็งานมันไม่กี่วันหลังเสร็จงานกะว่าจะพาเที่ยวด้วยไม่เคยไปที่นั่นไม่ใช่เหรอ”

      “ให้ไปจริงน่ะ”

      “เออลางานไว้เลย”

      “คร้าบ สั่งจังทั้งเจ้านายลูกน้อง”
  คานินบ่นพึมพำในลำคอเบาๆ แต่เฮียเซนกลับได้ยิน ตาสีน้ำตาลหรี่ลงอย่างคาดโทษ

      “อย่าพูดมาก งานตรงหน้าน่ะรีบทำไปเลย”

      “ครับ ๆ คุณท่าน”
  เฮียเซนทำหน้าเข้มจริงจังพร้อมชี้หน้าคาดโทษ คานินเลยหุบปากก้มหน้าก้มตาทำงาน แต่เซนแอบเห็นรอยยิ้มจึงได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอาแม่กระต่ายตัวแสบ















TBC.


ปล.

1. มาต่อแล้วนะครับขออภัยที่หายไปนาน มีช่วงวันพักหนึ่งวันเลยรีบมาลงต่อให้  สำหรับตอนต่อไปก็อาจจะช้าอีกเหมือนกันเพราะยังอยู่ในช่วงของเวรกรรมนะครับ
2. ถ้าเจอข้อผิดพลาด หรือไม่ถูกใจอะไรยังไงบอกกันด้วยนะครับจะได้เอาไปปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป (บางตัวเองก็มองจุดบกพร่องของตัวเองไม่เห็นนะครับ ต้องให้คนอื่นช่วยมอง)
3. ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมาและขอให้สนุกกับการอ่านนะครับผม
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.26_Zhen Side Story [8] : ยอมรับมาว่าเป็นเมียกู_P.7_171215
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-12-2015 19:50:14
เออเฮียนี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วเราออกไปกันเลยดีไหมผมซักจะหิวๆ แล้วด้วย”

เฮียไป๋คิดเกินเลยกับคานินหรือเปล่า ถ้าแค่เอ็นดูแบบพี่ชายน้องชายก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าคิดเกินเลยนี่ระวังจากไป๋จะเป็นเป๋แทนนะ เฮียแกคงไม่ปล่อยให้มาทำรุ่มร่ามกับเมียแกแน่ๆ
รอเฮียกับคานินกินไอติมพร้อมท่องแดนมหัศจรรย์ :oo1: :oo1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.26_Zhen Side Story [8] : ยอมรับมาว่าเป็นเมียกู_P.7_171215
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 19-12-2015 14:20:30
เออเฮียนี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วเราออกไปกันเลยดีไหมผมซักจะหิวๆ แล้วด้วย”

เฮียไป๋คิดเกินเลยกับคานินหรือเปล่า ถ้าแค่เอ็นดูแบบพี่ชายน้องชายก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าคิดเกินเลยนี่ระวังจากไป๋จะเป็นเป๋แทนนะ เฮียแกคงไม่ปล่อยให้มาทำรุ่มร่ามกับเมียแกแน่ๆ
รอเฮียกับคานินกินไอติมพร้อมท่องแดนมหัศจรรย์ :oo1: :oo1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ขอบคุณครับ แก้ไขแล้วนะครับ
ประเด็นเฮียไป๋น่าคิดๆ  แต่ก็ดูๆ แกไปก่อนว่าจะอะไรยังไงนะครับ
ตอนหน้าเรากลับไปเจอน้ำสิงห์กันสักหน่อยปล่อยให้ว่างงานกันนานเกิ๊นน :)
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.26_Zhen Side Story [8] : ยอมรับมาว่าเป็นเมียกู_P.7_171215
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 19-12-2015 15:37:05
 o13 เฮียแกแรงดีไม่มีตกจริงๆ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.27_อย่าลืมในสิ่งที่ควรจำ_P.7_261215
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 26-12-2015 21:23:50
เด็กเลี้ยง






- 27 -

อย่าลืมในสิ่งที่ควรจำ / อย่าจำในสิ่งที่ควรลืม







      “อวดเบ่งไม่ดูตาม้าตาเรือ” ไต่ซินหยางตวาดอย่างหงุดหงิดผ่านวิดีโอคอล  “สมควรแล้วที่ตาเฒ่านั่นถูกไอ้เซนจัดการ คุณอายังจะยุ่งเรื่องนี้อีกไหม”

      “ที่ทำก็เพราะช่วยเธอนะ”  เสียงกร้าวของสาวใหญ่ชาวจีนหน้าตาสวยพริ้งซึ่งขัดกับอายุจริงของเจ้าหล่อนโต้กลับไต่ซินหยางทันควันโดยไม่คิดเกรงกลัวนายใหญ่

      “ช่วยผม!? หึ หึ”  ไต่ซินหยางเลิกคิ้วเป็นคำถาม มุมปากเรียวยกยิ้มเยาะกับสิ่งที่ได้ยิน  “คุณอาคิดดูใหม่นะว่าเพื่อใคร”

      “ถ้าคนอย่างฉันคิดจะแทงข้างหลัง เธอคงไม่ได้มาถึงตรงนี้หรอก”

      “ก็ขอให้มันจริงเถอะ”

      “แล้วเราจะทำยังไงดีครับนายท่าน”
  เสียงร้อนรนของหนุ่มใหญ่ชาวจีนหน้าเข้มถามแทรกทะลุกลางปล้อง ไต่ซินหยางนิ่งเงียบ  ตาเฉี่ยวหรี่มองคู่สนทนาอยู่นานหลายนาที “ดูท่าทีมันไปก่อน” 

      “อยู่เฉยๆ ดูท่าที? งั้นเหรอ ถ้าเธอมัวแต่ลังเล มันก็จะแว้งกัดเอา”  สาวใหญ่โต้กลับเสียงเรียบเย็นสีหน้าเจือความกังวลอย่างเห็นได้ชัด  “แล้วดูซิไอ้ขี้เรื้อนนั่นทำเราสูญเงินที่ลงทุนกับไอ้แก่วัลโด้ไปทั้งหมด เธอยังจะทำใจเย็น” 

      “แล้วผมจะทำอะไรได้อีก คุณอากับไอ้แก่นั่นกวนน้ำจนขุ่นคัก คงต้องรอเวลาให้พวกมันซะล่าใจกว่านี้” ไต่ซินหยางตวัดเสียงกร้าว ตาเฉี่ยวที่เจือโทสะจ้องสาวใหญ่ที่เรียกว่าอาเขม็ง

      “แล้วให้อยู่เงียบๆ รอมันมาเก็บเราน่ะเหรอ พวกมันตามติดเราแทบจะหายใจรดต้นคอโดยเฉพาะไอ้เด็กนอกคอกนั่น เธอยังจะบอกให้ใจเย็นเหรอซินหยาง” 

      “ก็บอกแล้วให้ใจเย็นๆ เรื่องที่เกิดขึ้นคุณอาก็คงจะรู้ดีกว่าใคร อย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า”
เสียงปรามเย็นเยียบ และสายตาเฉี่ยวที่ตวัดมองด้วยโทสะของผู้เป็นนายไม่ได้ทำให้สาวใหญ่เกรงกลัว แต่ตอบกลับเสียงแข็งกร้าวเช่นเดียวกัน

      “ฉันแค่อยากจะช่วยเธอ” 

      “อย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้จะดีกว่า”   

      “ฉันจะไม่ยุ่งถ้าเธอจะไม่เอาความแค้นส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องธุรกิจ แล้วสำนึกไว้ด้วยถ้าไม่มีฉันเธอจะผยองได้ขนาดนี้เหรอ คิดให้ดีๆ ” 

      “คุณอาหรือผมที่ต้องสำนึก ผมไม่เกี่ยงวิธีการถ้าผลลัพธ์สุดท้ายแล้วไอ้เซนตายอย่างสาสมกับสิ่งที่มันทำ  แล้วที่ให้จัดการไอ้เด็กนั่นไปถึงไหน”
เสียงเรียบเย็นเอ่ยตอบอย่างหมายมั่นสิ่งที่อยู่ในใจ ก่อนจะหันมาถามหนุ่มใหญ่เสียงแข็งกร้าว

      “ยังไม่มีโอกาสเหมาะครับนายท่าน หลังเกิดเรื่องพวกมันระวังยิ่งตัวกว่าเดิม”

      “ไม่ได้เรื่องสักคน!! เงินที่ช่วยโอบอุ้มธุรกิจของครอบครัวคุณมันไม่ทำให้สำนึกบุญคุณสักนิดเหรอ”
  ไต่ซินหยางเอ่ยถามเสียงเรียบนิ่ง

      “ไม่ใช่ครับนายท่านผมสำนึกมันดี และยินดีรับใช้นายท่านด้วยชีวิตของผม”

      “ก็ดีรีบจัดการซะ  เดือนหน้าไอ้เซนมันจะเดินทางมาช่วยน้องมันประมูลสัมปทานก๊าซธรรมชาติ อย่าให้พลาดอีก ฉันหวังว่าชื่อมันทั้งคู่จะลบออกจากสารบบซะที”

      “ครับท่าน”

      “อย่าครับแต่ปากก็แล้วกัน”
  ไต่ซินหยางออฟไลน์ออกไปด้วยอารมณ์ที่ยังฉุนเฉียว

      คู่สนทนาทั้งคู่มองสบตากันนิ่ง ก่อนที่สาวใหญ่จะเลิกคิ้วสูงเป็นคำถาม เธอเอนร่างอวบอัดอยู่ในชุดสูทรัดรูปสีดำไปกับโซฟา มือเรียวที่ปลายเล็บแหลมเคลือบสีแดงสดรับกับปากอวบอิ่มเอื้อมไปไปหยิบกล้องยาขึ้นมาจุดสูบพ่นควันฉุยอย่างสบายอารมณ์  มุมปากคลี่ยิ้มเย้ายวน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบเหมือนไม่ยี่หระกับคนที่ยังอยู่

      “หลานฉันเขาให้เธอทำอะไร” 

      “อะ เออ ติดตามคนของเสี่ยเซน”

      “คนของเสี่ยเซนใคร? ตามทำไม?”
  มือเรียวยกกล้องยาขึ้นอัดควันเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะพ่นควันออกมาแผ่วเบา สีหน้าครุ่นคิดหาเหตุผลในสิ่งที่ไต่ซินหยางทำ

      “คานินเด็กใหม่ของเสี่ยเซนครับ ผมคิดว่าคงจะเป็นคนสำคัญมากทีเดียว เสี่ยพาเข้าบ้านซึ่งเป็นพื้นที่หวงแหนส่วนตัวและสั่งให้บอดี้การ์ดส่วนตัวดูแลอย่างดีไม่เหมือนรายอื่นๆ ที่ผ่านมา นายท่านคงจะใช้จุดอ่อนตรงนี้ในการแก้แค้นครับ”

      เธออัดควันเข้าปอดอีกครั้งอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ในเมื่อไม่ต้องทำอะไรส่วนแบ่งที่เธอควรจะได้รับมันก็ตกถึงมืออยู่แล้ว ไต่ซินหยางบอกให้เธออยู่เฉยๆ เธอจะทำมันหาความสุขใส่ตัวเต็มที่เรื่องอะไรจะต้องดิ้นรนหาเรื่องใส่ตัวดีไม่ดีถูกไอ้พี่น้องคู่นั่นตามล้างตามเช็ดไม่จบไม่สิ้นมันคงจะไม่คุ้มกัน

      “งั้นเหรอ เอาเถอะหลานฉันเขามันนายใหญ่นี่ ฉันจะพูดอะไรได้ก็คงจะอยู่เฉยๆ ตามเขาสั่งเท่านั้นแหละ”  เธอพูดแค่นั้นก็ออฟไลน์ไป  หนุ่มใหญ่ถอนหายใจหนักหน่วง ตัวเขาเองก็จะทำอะไรได้ คำว่าบุญคุณมันทำให้เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้




            ...............................................







       “นะได้ไหม” 

       หลายวันมาแล้วที่เจ้าเด็กแสบตรงหน้ากระเง้ากระงอดเรื่องฝึกงานอยู่ข้างหูผม ถ้าหากในสถานการณ์ปกติผมไม่เกี่ยงหรอกว่าเจ้าเด็กนี่จะไปฝึกที่ไหน เพราะถึงยังไงผมก็ตามเฝ้าอยู่แล้ว  แต่นี่มันไม่ใช่ไงทุกอย่างมันเขม็งเกลียวรอวันระเบิดผมปล่อยไปไม่ได้จริงๆ

       “แล้วทำไมต้องไปที่นั่น” 

      “.....”

       ภูมิรพีเงยหน้าขึ้นสบตาร่างบางตรงหน้าเพียงชั่วครู ก่อนจะเสมองไปทางอื่น ปิดหนังสือที่อยู่ในมือวางไว้บนโต๊ะหมดความสนใจที่จะอ่านต่อ  รออยู่นานก็ไม่มีคำตอบหลุดจากเจ้าตัวดีที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ ภูมิรพีถอนหายใจแผ่วเบาระงับความหงุดหงิด เอ่ยถามเสียงจริงจังคาดคั้น

        “ถ้าไม่มีเหตุผลดีๆ ก็ฝึกมันอยู่ที่โรงแรมที่นี่  หรือไม่ก็ที่โรงเตี๊ยม”

       “ได้ที่ไหนล่ะภูมิก็รู้”  เสียงออดอ้อนแผ่วเบา ร่างนิ่มขยับตัวเข้ามาใกล้แทบจะเกยตัก ลำแขนเกาะเกี่ยวแขนล่ำ หัวทุยถูไถคลอเคลียกับอกของภูมิรพีเหมือนแมวน้อย หน้าหวานเงยขึ้นยิ้มน่ารักประจบประแจง

       “ใครเขาจะกล้าใช้งานหนู พวกพี่ๆ ป้าๆ เขาเกรงใจภูมิกันจะตาย ฝึกเสร็จก็ไม่ได้ความรู้แม้แต่ประสบการณ์อะไรสักอย่าง” 

       “แล้วจะไปกับใคร พักที่ไหน ที่สำคัญมันปลอดภัยแน่เหรอ” 

       “ภูมิไม่ต้องกังวลนะ โรงแรมนั่นของญาติบ๋อมมันก็ต้องปลอดภัยอยู่แล้ว เขามีที่พักให้นักศึกษาฝึกงานด้วย ให้หนูไปเถอะนะ...น้า”



       “ถ้าโรงแรมนั่นเป็นของญาติบ๋อมแล้วคิดว่าเขาจะกล้าใช้งานหนู เขาก็ต้องเกรงใจบ๋อมเหมือนกันนั่นแหละ” 

       น้ำนิ่งคิ้วขมวดมุ่นเมื่อถูกย้อนด้วยคำพูดของตัวเอง ผละตัวออกจากอ้อมกอดของภูมิรพีเอนหลังพิงไปกับโซฟา ยกมือขึ้นกอดอกนิ่ง หน้าหวานงอง้ำออกอาการแสนงอน ภูมิรพีนิ่งเฉยตาเหลือบมองคนข้างๆ เป็นระยะรอคำตอบอย่างใจเย็น  ร่างบางถอนหายใจแผ่วเบาราวกับเรียกความมั่นใจ ก่อนจะยอมเปิดปาก

       “หนูติดต่อทางนั้นไปแล้ว เขาก็ตอบรับมาแล้วด้วย ภูมิก็เคยพูดนี่น่าว่า ก้าวแรกของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพก็จะต้องมีรับผิดชอบทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นไม่ใช่เหรอฮะ  อีกอย่างหนูโตนะ ไม่ใช่เด็กเจ็ดแปดขวบสักหน่อย หนูดูแลตัวเองได้ภูมิไม่เห็นจะต้องห่วงอะไรนักหนา”

       “นั่นสินะ...หึ หึ ภูมิเข้าใจแล้ว ถ้าตัดสินใจเองได้  แล้วจะมาขอทำไม..ความห่วงใยของคนแก่อย่างภูมิมันคงน่ารำคาญ..ขอโทษด้วยแล้วกันถ้าทำให้อึดอัด...” 

       น้ำเสียงของภูมิรพีที่เปล่งออกมาในความรู้สึกของน้ำนิ่งมันช่างเต็มไปความน้อยใจ ตาคมสีแปลกที่สบกันชั่วครู่ ก่อนที่ภูมิรพีจะเสมองไปอีกทางมันทั้งหม่นเศร้า  น้ำนิ่งชะงักงันอย่างคาดไม่ถึง แล้วก็เป็นน้ำนิ่งที่เบือนหน้ามองไปอีกทาง ร่างบางถอนหายใจแผ่วเบาไม่มั่นใจ ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี  ภูมิรพียืนนิ่งรอฟังคำอธิบายอย่างใจเย็น

      “ไม่ใช่นะ....หนูไม่ได้จะหมายความว่าแบบนั้น... “ 

      “ถ้าไม่ได้คิดก็คงจะไม่พูดออกมาแบบนั้น”
ภูมิรพีเอ่ยเสียงเรียบ ขยับลุกขึ้นเต็มความสูงจนน้ำนิ่งหน้าเหวอ  “ไม่เป็นไรภูมิเข้าใจเอา”

       น้ำนิ่งแน่ใจได้ว่าภูมิรพีไม่เข้าใจอย่างที่พูด คนตัวโตหันหลังเดินไปที่โต๊ะทำงานนั่งลงทำงานที่  ว่างอยู่บนโต๊ะอย่างใจจดใจจ่อ ไม่มีแม้แต่จะหันมามองหรือพูดคุยใดๆ กับน้ำนิ่งที่ยืนเหวออยู่กลางห้อง

       อากัปกิริยาของภูมิรพีสร้างความงงงันให้กับน้ำนิ่งจนอยากจะเอ่ยปากถามหมายครั้งแต่ก็ไม่กล้าได้ มือชื้นเหงื่อยกมือขึ้นมากัดเล็บตามความเคยชินในเวลาวิตกกังวลหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายตามไรผมบริเวณหน้าผากมน แต่ภูมิรพีก็ทำเหมือนไม่สนใจอากัปกริยาของน้ำนิ่ง


       “ลุง....”   เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีน้ำนิ่งตัดสินใจเอ่ยเรียกภูมิรพีแผ่วเบาเจือด้วยความสำนึกผิดที่พูดไม่คิด คนตัวโตทำเพียงเงยหน้าขึ้นมองเพียงแวบเดียวแล้วก็ก้มลงสนใจงานตรงหน้า






       “ขอโทษ นะ ที่หนูพูดไม่คิด แต่หนูไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ  หนูก็แค่เป็นห่วงบ๋อม...”   ภูมิรพีเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้วถาม ตาสองคู่มองสบกันอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที ร่างเล็กโผตัวสอดเข้ามานั่งบนตักผม แขนเรียวเล็กยกขึ้นกอดคอแน่น หน้าหวานซบไปกับซอกคอปากนิ่มนาบจูบไปตามซอกคอ ลาดไหล่ คลอเคลียไปมาอ้อนๆ แทนคำขอโทษ ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบาอีกครั้ง

       “หนูเป็นห่วงบ๋อม ช่วงหลังๆ หนูรู้สึกเหมือนบ๋อมเขามีอะไรในใจ เวลาอยู่คนเดียวก็ชอบเหม่อๆ หน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วก็ถอนหายใจเหมือนมีเรื่องที่บอกใครไม่ได้ตลอดเลย  พอถามเขาก็บ่ายเบี่ยงบอกว่าไม่เป็นอะไร หนูเป็นห่วงจนไม่อยากจะปล่อยให้เขาไปคนเดียว  หนูรู้ว่ายังไงซะภูมิก็จะต้องตามไปด้วยอยู่แล้วเลยตกลงจะไปฝึกที่นั่นเป็นเพื่อนบ๋อม ภูมิไปกับหนูนะ”

      “แล้วเพื่อนอีกคนล่ะ เอใช่ไหม? ปกติเห็นตัวติดกันตลอดเขาไม่ห่วงเพื่อนหรอกเหรอถึงไม่ไปด้วยกัน”

      “ไม่ฮะ เอเค้าบอกว่าม๊าให้ฝึกที่ภัตตาคารของครอบครัว แต่หนูว่าไม่ใช่เหตุผลนั่นแน่นอน หนูรู้สึกเหมือนเขาสองคนโกรธกันอยู่ เอไม่ยอมคุย ตรงไหนที่มีบ๋อมตรงนั้นเอจะไม่เฉียดเข้ามาใกล้ บางครั้งหนูก็แอบเห็นสายตาของเอที่มองบ๋อมแบบห่วงๆ แต่เขาสองคนก็ไม่พูดกัน”


      “หนูไม่ถามเพื่อนล่ะหึ”

      “ก็ถามแล้ว แต่ทั้งคู่ก็เฉไฉไปเรื่องอื่นตลอด หนูไม่รู้จะทำยังไงแล้วเนี่ย”
เจ้าเด็กแสบของผมทำหน้ามุ่ยค่อนข้างเสียจริตกับเพื่อนทั้งสองของเขา  ผมยกมือแนบแก้มนิ่มนิ้วเกลี่ยไปมาอย่างปลอบโย มือเรียวเล็กยกมือของตัวเองมาทาบมือผมหันปากมากดจูบลงกลางผ่ามือแผ่วเบา ก่อนจะคลอเคลียแก้มไปมา

      “ก็คงจะไม่เป็นไรล่ะมั้ง ให้เวลาพวกเขาได้ทบทวนกันบ้างเดี๋ยวพออารมณ์เย็นลงก็คงจะหันมาคุยกันอีกครั้งเองแหละ”

      “หนูก็หวังอย่างนั้น

      “ภูมิว่าอย่างที่ม๊าเอเขาคิดก็ดีนะ หนูเองก็น่าจะฝึกที่โรงเตี๊ยมนะ แม่ยกให้แล้ว ยังจะให้ภูมิทำแทนอยู่อย่างนี้เมื่อไรจะทำเป็นล่ะฮืม”

      “ก็นั่นไงคำตอบของคำถามวนกลับมาที่ข้อหนึ่ง เพราะประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และการยอมรับทำให้เราประสบผลสำเร็จในการงาน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่หนูจะต้องบ่มเพาะประสบการณ์จากหลายๆ ที่แล้วเอามาปรับใช้กับโรงเตี๊ยมของเรา จะให้กระโจนลงไปทำโดยที่ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้เลยมันก็ไม่ได้ไง ภูมิเข้าใจเนอะ”   

      “เจ็บสีข้างไหมล่ะนั่น  แต่เอาเถอะมันอนาคตของหนูภูมิจะไปขีดให้ก็ไม่ได้จะเอายังไงก็ตามไงก็แล้วกัน แก่แล้วก็จะอยู่เงียบๆ ในมุมของตัวเองไปก็แล้วกัน จะทำยังไงก็เอาที่หนูสบายใจเลยแล้วกัน”


      น้ำเสียงที่เปล่งออกมายังเจือปนความน้อยใจของหมาแก่ น้ำนิ่งหลุดยิ้มกว้าง ขยับตัวลุกขึ้นเปลี่ยนเป็นนั่งค่อมตัก มือเล็กยื่นไปประคองหน้าหมาแก่ขี้งอน ยื่นปากไปแตะจูบขบเม้มปากหนาทั้งบนล่าง ลิ้นเล็กหยุ่นชื้นแลบเลียไปตามเรียวปากหนาอย่างอ้อนวอนและขอโทษ หมาแก่พยายามเบือนหน้าหนีแต่ก็ไม่สามารถทำได้  ผมกดมือตรึงมือไว้ไม่ให้เขาหันหนี แตะจูบลงบนปากหนาอีกครั้งแต่หมาแก่ขี้งอนก็ยังไม่ยอมให้สอดลิ้นเข้าไปลุกล้ำในโพรงปากอยู่ดี

       “โธ่เอ๊ย!! หมาแก่ของหนู... ไม่เห็นจะต้องคิดมากสักนิด แก่เกร่ออะไรไม่เคยคิดยังงั้นสักที หนูไม่ได้อยู่กับภูมิเพราะอยู่ด้วยได้นะ แต่อยู่เพราะหนูขาดภูมิไม่ได้ จะคิดยังไงหมาแก่ตรงหน้านี่ก็เป็นของหนูอยู่ดี เป็นโลกทั้งใบของหนู แบบนี้แล้วยังจะน้อยใจอยู่ไหมฮึ”

      “หมาแก่เหรอฮึ”
ภูมิรพีจิ้มชี้ที่อกตัวเองย้ำๆ ถามเสียงเข้ม 

       “ฮือ...” น้ำนิ่งพยักหน้ารับรัวๆ  ยิ้มกว้างชอบใจที่หมาแก่ออกอาการจะบึ้งก็ไม่ใช่จะงอนก็ไม่เชิง

       “เอ้า!! ถ้าอยากจะให้เป็นหมาก็จะเป็นถ้าเจ้าของยอมให้เลีย..?? .แต่ที่เรากำลังพูดกันอยู่ตอนนี้มันคนละประเด็นไม่ใช่รึไง”

       “หนูรู้ว่าภูมิเป็นห่วง เอาแบบนี้ได้ไหมล่ะให้พี่แฝดตามไปเฝ้าที่โรงแรมตลอดเวลาที่ฝึกงานเลยโอเค๊...”
หน้าตาน่ารักนั่นส่อแววเจ้าเล่ห์แสนกล นัยน์ตาหวานที่มองสบมาวาววับวาดหวัง กลิ่นหอมกรุ่นกำจายจากร่างนิ่มที่เกยมาบนตักเกือบครึ่งตัวกับท่าทางกัดริมฝีปากล่างเบาๆ อย่างยั่วยวนกดดันให้ผมต้องรับปากอย่างแพ้ทาง

      “วิน - วิน ภูมิให้ไปก็ได้ แต่...”

      “ทำไมต้องแต่??...ไม่ต้องมีเงื่อนไงไม่ได้เหรอฮะ...น้า”
  ภูมิรพียกนิ้วชี้แตะลงแผ่วเบาที่ปากนิ่มได้รูปของน้ำนิ่ง คนโตตัวยกยิ้มละมุนพร้อมส่ายหน้าน้อยๆ ไม่ปล่อยโอกาสให้น้ำนิ่งได้ปฏิเสธข้อเสนอ 

       “อย่าได้ปฏิเสธความห่วงใยของภูมิๆ อนุญาตแต่ไม่มีการค้างต้องกลับมานอนที่ไร่ ภูมิจะไปรับส่งเอง ระหว่างวันจะให้สองแฝดไปฝึกด้วยโอเค๊  หรือจะให้เพื่อนเรามาค้างที่ไร่ด้วยก็ได้ภูมิไม่ว่า” 

      “แต่ว่าบ๋อม...”

      “ที่ภูมิยอมให้นี่ก็มากแล้วนะ เอาหรือไม่เอา”
  ผมแสร้งทำตาดุแถมหน้าหงิกบอกบุญไม่รับกดดันให้แม่ตัวดียอมรับข้อเสนอแบบจำใจ

      “ก็ได้ฮะ...” 

       ภูมิรพียิ้มละมุนด้วยความพึงพอใจกับการยอมรับข้อเสนอของน้ำนิ่ง อย่าคิดว่าน้ำนิ่งจะใช้เล่ห์มารยาร้อยเล่มเกวียนได้คนเดียวนะ ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จผมก็ทำเป็น 

       มือหนาเกลี่ยไล้แก้มนิ่มแผ่วเบา นิ้วแกร่งเกลี่ยปอยผมที่ตกละหน้าขึ้นทัดหูให้ ถึงแม้จะรู้ดีว่าคนตรงหน้ายอมด้วยความจำใจ แต่นั่นก็ช่างเถอะดีกว่าให้เกิดเรื่องแล้วเสียใจภายหลัง  น้ำเสียงที่เอ่ยถามในนาทีถัดมาของผมมันจึงทั้งอ่อนโยนเอาอกเอาใจแทนคำขอโทษและทดแทนความรู้สึกของน้ำนิ่งที่ถูกเล่ห์มารยาของผมตีแตกกระเจิง

       “เข้าใจนะว่าสิ่งที่ภูมิทำทั้งหมดเพราะห่วงหนู  แล้วเรื่องที่พักจะให้คุยกับบ๋อมให้ไหม”   น้ำนิ่งส่ายหน้าปฏิเสธ คนตัวโตยิ้มกว้างอ่อนโยนให้อีกครั้งอย่างเอาใจ

      “หนูเข้าใจ ส่วนเรื่องบ๋อมเอาไว้หนูคุยเองก็ได้ฮะ” 

      “โอเคเรื่องนี้จบแล้วนะ  ที่นี่มาเรื่องที่ค้างคากันมานานยังจำได้รึเปล่าฮึว่าพูดอะไรไว้กับพูด” 

       “โธ่!! หมาแก่ของหนู”
  น้ำนิ่งทำหน้าละห้อย ไม่ใช่ว่าจะตั้งใจละเลย เวลาที่คนตัวโตเข้ามากอดรัดแสดงความรัก น้ำนิ่งดีใจและปรารถนาให้อ้อมกอดแห่งความรักของภูมิช่วยขุดรากถอนโคนเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังและขยะแขยงตัวเองของน้ำนิ่งให้พังภินท์

       แต่...พอภูมิลุกคืบหนักเข้า กลายเป็นน้ำนิ่งซะเองที่ร้อนรนผลักไสทำตัวเหินห่าง..เวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานถึงจะทำเหมือนไม่มีอะไรแต่ใจมันกระหวัดไปถึงสัมผัสน่าขยะแขยงของไอ้ชั่วนั่นแทบจะทุกครั้ง 

      “.......”   น้ำนิ่งหรุบตาลงเสมองไปทางอื่น

      “ก็ไม่รู้ใครพูดสิน้า...ถ้าตอนนี้ยังไม่รักษาคำพูดต่อไปใครจะเชื่อคำพูด..ผู้ใหญ่ที่ดีต้องรับผิดชอบกันบ้างนะหนูว่าไหม”  ช่างยอกย้อนจนเราสะอึก น้ำนิ่งเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาสีแปลก ซึ่งกำลังจ้องมองเขาเขม็งเช่นเดียวกัน ทำเอากายบางร้อนผ่าว เลือดไหลซ่านทั่วทุกอณู เมื่อเห็นเปลวไฟแห่งความปรารถนาลูกใหญ่วิ่งวนทั่วดวงตาคมกริบ

      “อะ เออ ตะ แต่ว่าภูมิ...”

      “ไม่เป็นไรคนดีใจเย็นๆ นะ”
  ลำแขนแข็งแกร่งตวัดไปรอบเอวบาง มือใหญ่ลูบไปมาบนแผ่นหลังบาง ริมฝีปากหนาร้อนประทับจูบแผ่วเบาไปตามลาดไหล่อย่างปลอบประโลม

      “หลับตาลงซะคนดี แต่อย่าปิดกั้นหัวใจของหนูไม่ให้รู้สึกในสัมผัสของภูมิที่รับรู้ได้...”

      ภูมิรพีรับรู้ได้ถึงเหงื่อที่เปียกชื้นและแรงสั่นแผ่วเบาของมือเรียวเล็กที่วางบนอกกว้างยันไม่ให้ร่างบางแนบชิดไปกับกายร้อนผ่าวด้วยไฟปรารถนาของคนตัวโต

      “เชื่อใจภูมิ ไม่มีอะไรต้องกลัว ปล่อยใจตามสบาย รับรู้ทุกสัมผัสของภูมิด้วยใจ.ใช่แล้ว..อย่างนั้นเด็กดี”

      สัมผัสนุ่มนวลอ่อนโอน ลมหายใจร้อนเป่ารดไปตามลาดไหล่ ลำคอ ใบหู ผสานเสียงกระซิบสั่นพร่าเว้าวอนอ่อนหวาน ปลุกเร้ากระแสไฟรักในกายทั้งคู่ไหลพล่านทั่วทุกเส้นเลือด กายบางตวัดปลายลิ้นอุ่นชื้นลูบไล้ริมฝีปากของตัวเองดับกระหายที่เกิดขึ้นฉับพลัน ภูมิรพีแทบอยากจะกดจูบดูดซับความหวานจากเรียวปากคู่นั้น และเพียงแค่ปลายนิ้วเรียววางทาบบนแผงอกกว้างแผ่วเบา คนตัวโตอยากให้มือเรียวเล็กนั่นขยับลูบไล้สัมผัสลงไปยังท่อนลำร้อนผ่าวที่แข็งขมึง  เขาแทบอยากจะโลดแล่นเข้าไปอยู่ในดินแดนหฤหรรษ์ของคนในอ้อมแขนซะเดี๋ยวนี้

      น้ำนิ่งตัวสั่นเทิ้มรับรู้ได้ถึงกระแสแห่งไฟรักที่ได้แผ่ซ่านออกจากกายแกร่ง กอปรกับดวงตาสีแปลกคมกล้าที่จ้องมองอย่างเปิดเปลือย บอกให้รู้ว่าภูมิรพีต้องการตัวเขาในวินาทีนี้ ความรู้สึกขยะแขยงตัวเองจู่โจมรุนแรงจนทำให้ใจสั่นรัวเร็วแทบจะทะลุออกมาข้างนอก ร่างบางสั่นระริกดิ้นรนให้หลุดพ้นจากความกลัว

      “ยะ อย่า ไม่เอาแล้ว ยะ..อย่าทำ....

      “ซู่!! ไม่เป็นไรๆ คนดีของภูมิดีหายใจเข้าลึกๆ มองหน้าภูมิ และจำสัมผัสนี้ไว้มันเป็นของภูมิ เป็นภูมิคนเดียวที่สัมผัสหนูอยู่ รู้สึกได้ใช่ไหม...เชื่อใจภูมิแล้วปล่อยวางมันไปนะครับ” 

      มือหนาปลดเปลื้องเสื้อผ้าของน้ำนิ่งอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงกายบางที่งดงามราวสลักเสลา น้ำนิ่งมองสบตาภูมิรพีราวกับต้องมนต์สะกด ปากเรียวเผยออ้ารอรับปลายลิ้นนุ่มร้อนของภูมิรพีที่สอดเข้ามาควานหาความชุ่มฉ่ำหวานล้ำในโพรงปากของน้ำนิ่งอย่างเต็มใจ กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ที่กำลังปั่นป่วนหัวใจภูมิรพีทำให้ความต้องการของเขาพุ่งขึ้นอีกเป็นร้อยเท่า ตัวตนของเขาประท้วงด้วยการสั่นระริกไม่หยุด มันปวดหนึบๆ ยามน้ำนิ่งเสียดสีแก่นกายแข็งขึงเข้ามาแนบแน่น

      ฝ่ามือหนาเลื่อนขึ้นกอบกุมยอดอกเล็กอย่างหลงใหล บีบเค้นเบามือและหนักขึ้นเรื่อยๆ อย่างหมั่นเขี้ยว ร่างบางจิกเล็บลงบนแผ่นหลังกว้างซูดปากอย่างเสียวกระสัน  น้ำนิ่งแอ่นอกให้คนตัวโตสัมผัสได้อย่างถนัดถนี่

      “โอ๊วววว ซี้ดดดด อ๊า ละ ลุง!!”

      ร่างบางร้องเสียงหลงสะดุ้งสุดตัวเมื่อภูมิรพีส่งนิ้วแกร่งเข้าไปทักทายถ้ำฉ่ำหวาน แล้วดันผลุบเข้าผลุบออกครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่บอกกล่าว เรียวปากหนาเคลื่อนมาครอบครองกลีบปากอวบอิ่ม มอบจุมพิตแสนหวานเคล้าความเร่าร้อนจนร่างบางอ่อนระทวย สะโพกมนเด้งรับนิ้วแกร่งอย่างเป็นจังหวะ จนภูมิรพีครางออกมาอย่างพึงพอใจ

      “รับรู้และจดจำมันไว้ทุกสัมผัสที่หนูรู้สึกอยู่ข้างในมันเป็นของภูมิคนเดียว ไม่ใช่คนอื่น”

      “ไม่ไหวแล้ว ภะ ภูมิ...หยุดก่อนนะฮะ..”

      น้ำนิ่งผลักดันแขนที่ทำการหน้าที่ส่งนิ้วดึงและดันเข้าไปในช่องทางรักแน่น  เขารู้สึกเกร็งยะเยือกจนทนไม่ไหวอย่างที่บอกคนตัวโตไป แต่แทนที่ภูมิรพีจะหยุดตามคำร้องขอ ชายหนุ่มกลับเร่งจังหวะและเพิ่มนิ้วเข้าไปเป็นสามนิ้ว..มือหนาสอดเข้ายกขาข้างหนึ่งของน้ำนิ่งให้สูงขึ้น เปิดเปลือยช่องทางรักให้รับนิ้วมือให้ลึกขึ้น ภูมิรพีกระแทกให้ถูกจุดไวสัมผัสในตัวน้ำนิ่งเน้นๆ จนร่างบางบิดตัวไปมาเร้าๆ

      “ปล่อยมันออกมาให้ภูมินะครับเด็กดี มันเป็นของภูมิ..จำแค่ว่ามันเป็นของภูมิ”  ภูมิรพีเพิ่มความถี่ของนิ้วจนน้ำนิ่งขยับสะโพกรับจังหวะไม่ทัน ร่างบางสั่นคลอนไปตามแรงที่ภูมิรพีเร่งรัด

      “อ๊ะ ฮื่อ!  โอ๊ววววว!!! อ๊า...ลุง.....” 

      น้ำนิ่งเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง ผวากอดคอหนาเอาไว้แน่น พลางซุกหน้าลงกับแผงอกแกร่ง ภูมิรพีใช้แขนแกร่งอีกข้างอุ้มแตง ร่างบางหอบหายใจรัวเร็วลดต้นคอแกร่งอยู่เนิ่นนาน แต่ยังรับรู้ได้ถึงแรงตอดรัดจากผนังอุ่นร้อนที่ยังดูดดึงนิ้วแกร่งไม่หยุด คนตัวโตลุกขึ้นอุ้มร่างเปลือยที่ยังไหวระริกจากบทรักไปวางบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ก่อนจะถอดถอนนิ้วออกจากช่องทางรักที่บวมซ้ำเล็กน้อย มือหนาลูบใบหน้าเรียวหวานที่ชื้นเหงื่ออย่างรักใคร่ หลงใหล ก้มลงประกบจูบร้อนแรงตามแรงกระตุ้นของห้วงความปรารถนา ก่อนจะผละออกอ้อยอิ่งเมื่อร่างระทวยได้กอบโกยอากาศเข้าปอด

      ภูมิรพียืดตัวขึ้นเต็มความสูง มือปลดเข็มขัดและถอดกางเกงออกอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เป็นอิสระท่อนลำแข็งขมึงขนาดใหญ่ดีดตัวสู้สายตาของน้ำนิ่งที่มองมาอย่างสื่อความหมาย 

      “สัมผัสมันสิ มันเรียกร้องสัมผัสจากหนูแค่ไหนรู้สึกรึเปล่า...”   แค่มือเรียวบางยื่นมาสัมผัสตัวตนของภูมิรพี ความรักที่เก็บกักมานานก็แทบไหลทะลักคนตัวโตซี๊ดปากด้วยความซ่านเสียวที่วิ่งพล่านทั่วร่าง

       แม้ไฟกามารมณ์ที่สุมเต็มทรวงจะโชติช่วงเพียงใด  แต่ภูมิรพีก็ไม่เคยที่จะพลีผลามยอมผ่อนปรนหยิบเพลงบัลลาดมาบรรเลงแทนที่จะเป็นเพลงอัลเทอร์เนทีฟเมทัลอย่างที่ใจปรารถนา  ทุกเพลงถูกบรรเลงอย่างอ่อนหวานละเมียดละไม บางคราเนิบนาบเร่งเร้าให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ร่วม ยอมปล่อยตัวปล่อยใจตามครรลองของความหฤหรรษ์ที่ควรจะเป็นจนจบเพลย์ลิสต์  กระแสความสุขสมแผ่ซ่านทั่วร่างผู้ร่วมบรรเลงเพลงแล้วเพลงเล่าจนสุดท้ายหลับไหลไปทั้งที่เพลงสุดท้ายยังไม่จบท่อนฮุกด้วยซ้ำ...

      “Don’t forget the things you should remember. Don’t remember the things you should forget.”

      “ฮือ..”  ร่างบางครางรับแผ่วเบาราวกับอยู่ในห้วงความฝันแสนสุข ทำให้คนตัวโตกดจมูกสูดดมตั้งแต่แก้มไปจนถึงหัวหอม โอบอุ้มร่างบางไปวางบนเตียงกว้างในห้องนอน ก่อนจะล้มตัวลงนอนหลับไปด้วยกัน เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นเหงื่อและกลิ่นความใคร่ที่ลอยอวลอยู่ในชั้นบรรยากาศบางเบา














TBC.

ปล.

1.มาต่อแล้วนะครับ ขออภัยที่ช้ามากๆ เนื่องด้วยช่วงนี้ภารกิจงานราษฎร์งานหลวงติดพันยาว  ถ้าเจอข้อผิดพลาดประการใด หรือมีข้อแนะนำอะไรแจ้งด้วยนะครับ จะได้แก่ไข ปรับปรุงให้ถูกต้องต่อไป

2. ขอบคุณสำรับการติดตามตลอดมา และขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.27_อย่าลืมในสิ่งที่ควรจำ_P.7_261215
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 27-12-2015 16:23:56
เฮียไม่คิดว่าจะเป็นได้ขนาดนี้  :katai1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.27_อย่าลืมในสิ่งที่ควรจำ_P.7_261215
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 27-12-2015 18:58:36
 :m25: ลุงจัดเต็มจริง ๆ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.27_อย่าลืมในสิ่งที่ควรจำ_P.7_261215
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-12-2015 10:38:58
“แล้วผมจะทำอะไรได้อีก คุณอากับไอ้แก่นั่นกวนน้ำจนขุ่นคัก >>>  ขุ่นคลัก

 “ไม่เป็นไรภูมิเข้าใจเอา”

คนตัวโตหันหลังเดินไปที่โต๊ะทำงานนั่งลงทำงานที่  ว่างอยู่บนโต๊ะ

ผมยกมือแนบแก้มนิ่มนิ้วเกลี่ยไปมาอย่างปลอบโย มือเรียวเล็กยกมือของตัวเอง

น้ำน่าจะฝึกงานที่โรงเตี๊ยมนะ ไปฝึกกับบ๋อมแบบนั้นยิ่งอันตราย
ถึงจะมีคนตามไปดูแลก็ใช่ว่าจะไม่มีช่วงเวลาที่คลาดสายตาแฝดได้
แค่คราวที่แล้วยังกลัวจนฝังใจ


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.27_อย่าลืมในสิ่งที่ควรจำ_P.7_261215
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 28-12-2015 10:39:43
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.27_อย่าลืมในสิ่งที่ควรจำ_P.7_261215
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 28-12-2015 13:59:59
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.28_มีทางเลือกทางเดียวเท่ากับไม่มีเลย_P.7_812016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 08-01-2016 00:16:45
เด็กเลี้ยง



- 28 -

มีทางเลือกทางเดียวเท่ากับไม่ทางเลือกเลย





      “น้ำพ่อมึงมารึยัง ให้กูรอเป็นเพื่อนรึเปล่า”

      “มาแล้วรออยู่ตรงที่ฟร้อน เหลืออีกนิดหน่อยจะเสร็จแล้วไม่ต้องรอก็ได้”

      “ไม่เป็นไรมาเดี๋ยวช่วย”

      “เออน่า ไม่ต้องห่วงน้ำทำได้แค่นี้เองไปเถอะ”

      “กูจิตใจดีเหมือนหน้าตาไง จะรอก็แล้วกัน ชีวิตการทำงานมันยังงี้เองกว่าจะได้เงินเขาแต่ละบาทแมร่งยากสัด ชักอยากจะเรียนอย่างเดียวไปตลอดแล้วสิ”

      “ก็ไหนบ่นทุกวันอยากจะเรียนจบเร็วๆ หางานดีๆ ทำ จะได้ออกมาอยู่คนเดียวได้ไม่ใชรึไง”

      “นั่นก็ใช่ กูแค่บ่นเปล่าวะ”

      “หยุดบ่นได้ล่ะ รีบๆ กลับเลยไป๊ เหนื่อยไม่ใช่เหรอ”

      “ก็รอมึง กลับพร้อมกันเลยสิ เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอนั่นน่ะ”

      “อืม”
น้ำนิ่งพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบกระเป๋าจากล็อกเกอร์ในห้องพักพนักงาน เมื่อได้ของครบก็เดินออกมาสมทบกับบ๋อมซึ่งยืนรออยู่หน้าห้อง ก่อนจะเดินออกมาด้วยกัน



      “เจอกันพรุ่งนี้นะ / เจอกันวะมึง” 

       น้ำนิ่งยกกำปั้นชนกับบ๋อมเมื่อมาถึงทางแยกไปฟร้อนกับประตูด้านข้างไปบ้านพักพนักงาน บ๋อมยิ้มกว้างยกมือโบกไปมาให้น้ำนิ่ง ก่อนจะหันหลังผลักประตูออกไปสู่สวนหย่อมเดินเลียบสวนมุ่งตรงไปยังบ้านพักด้านหลังโรงแรม  ส่วนน้ำนิ่งเดินตามทางเดินก่อนจะผลักประตูกระจกด้านขวาเข้าสู่บริเวณฟร้อนท์ นัยน์ตาหวานกวาดมองทั่วบริเวณจนสะดุดเข้ากับคนตัวโตที่โซฟารับแขกริมผนังกระจกกำลังใช้นิ้วปัดป่ายหน้าจอไอแพดโปรดูอะไรบางอย่างด้วยความสนใจ  น้ำนิ่งยิ้มกว้างให้เหล่าบอดี้การ์ด อันประกอบด้วย เข้มแข็ง เด็ดขาด และสองแฝด เมืองแมนกับแดนสรวง จะขาดก็แต่ชัดเจนซึ่งไปทำธุระให้ภูมิรพีตั้งแต่เมื่อวานยังไม่กลับมา คนตัวเล็กยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากส่งสัญญาณไม่ให้เหล่าบอดี้การ์ดส่งเสียง มืออีกข้างปลดกระเป๋าจากบ่าส่งให้เมืองแมนรับไปถือ ก่อนที่ตัวเองจะเดินเข้าไปโอบกอดภูมิรพีจากด้านหลัง ชะโงกหน้าไปหอมแก้มคนหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่หน้าจอไอแพดโฟร


      “ขอโทษที่ช้า มานานรึยังฮะ”  น้ำนิ่งยิ้มประจบตั้งแต่ปากส่งไปจนถึงนัยน์ตาหวานอย่างออดอ้อนลุแก่โทษที่มาช้า

      “ภูมิก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน หิวรึเปล่าหืม”  ภูมิรพีปรับสีหน้าให้ปกติปากหนายิ้มละมุนหันไปหอมแก้มนิ่มกลับ

      “ยังฮะ หนูเพิ่งทานเค้กส้มไปเมื่อตอนห้าโมงเย็นเอง แล้วภูมิดูอะไรอยู่หน้ายุ่งเชียว”  ยื่นมือไปคลึงหว่างคิ้วที่ผูกปมของภูมิรพีไปมา  ก่อนจะขยับตัวลงมานั่งข้างๆ หน้าหวานชะโงกไปดูหน้าจอไอแพดที่เปิดหน้าค้างไว้ปรากฏตารางดัชนีตัวเลขเต็มพรืดไปหมดจนน้ำนิ่งหน้าเบ้ด้วยความไม่เข้าใจ 

      “....” 

      ความรู้สึกรุนแรงจากบางอย่างเรียกร้องให้ภูมิรพีเสมองออกไปนอกผนังกระจกบริเวณสวนหย่อมแทนการตอบคำถามของน้ำนิ่ง ตาคมดุสบเข้ากับเหล่าบอดี้การ์ดโดยไม่มีเสียงพูดเข็มแข็งและเด็ดขาดเลี่ยงเดินออกไปก่อนเพื่อตรวจดูบริเวณรอบๆ  ความเงียบของภูมิรพีทำให้คนตัวเล็กเกิดระคนสงสัยจึงเงยหน้าขึ้นจากจอไอแพดโปร มองตามสายตากังวลของภูมิรพีไปยังบริเวณมุมสลัวที่ไฟประดับส่งไปไม่ถึงของสวนหย่อม

      “มีอะไรรึเปล่าฮะ”

      “ไม่มีอะไรครับ ถ้าหนูยังไม่หิวงั้นก็รอกลับไปกินข้าวที่บ้านนะครับ...” 

      “ฮะ”

      “งั้นก็ย้ายตูดได้แล้วเจ้าเด็กแสบ”
ภูมิรพีลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือแกร่งดึงแขนน้ำนิ่งให้ลุกขึ้นตาม ฝ่ามือหนาอีกข้างฟาดลงก้นงอนอย่างหยอกเอิน หัวเราะในลำคอเมื่อเห็นหน้าเหยเกที่แสร้งว่าเจ็บของเจ้าเด็กแสบ

      “โอ๊ย!! ลุงงงงงง...”  น้ำนิ่งกระทืบเท้าอย่างสะบัดสะบิ้งแสร้งทำหน้างอนๆ ก่อนวิ่งตามคนตัวโตที่เดินนำออกไปก่อนเมื่อถึงตัวน้ำนิ่งกระโดดเกาะหลังขาเรียวเกาะเกี่ยวตัวแน่นหนาไม่ยอมให้ภูมิรพีเอาตัวลงจากหลัง

      “หึ หึ โตแล้วนะเรา ยังจะเล่นเป็นเด็กๆ”  ภูมิรพีพยายามดึงตัวน้ำนิ่งให้ลงจากหลัง แต่ทั้งขาทั้งแขนของคนตัวเล็กเกาะเกี่ยวร่างภูมิรพีแน่นหนาไม่ยอมลง เลยได้แต่ส่ายหน้าไปมาที่เจ้าแสบนี่ชอบอ้อนทำเหมือนยังเป็นเด็ก

      “ไม่เอาลุงงงงง...หนูเหนื่อย อุ้มเค้าน้า...”

      “เอ้า! ไม่อายรึไงโตแล้วนะเราน่ะ” ที่พูดไปแบบนั้นไม่ใช่ว่าภูมิรพีอายหรืออะไร ออกจะชอบด้วยซ้ำที่ช่วงนี้เจ้าแสบของเขาเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว แม้จะรู้สึกว่าน้ำนิ่งยังคิดถึงเหตุการณ์วันนั้นอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ดีแล้วเจ้าเด็กนี่กลับมาทำตัวออดอ้อนร่าเริงสดใสได้เกือบเหมือนเดิมแล้ว

      “ทำไมต้องอาย ก็นี่มันที่ของหนู ” ริมฝีปากนิ่มอุ่นนาบจูบละมุนลงหลังคอภูมิรพีประทับตราความเป็นเจ้าของ พร้อมเสียงหัวเราะกังวานใสอย่างพึงพอใจที่ได้ทำแบบนี้

      “คร้าบ คร้าบ เอาที่คุณนายสบายใจเลย” 

      “ล้อเลียน!! เดี๋ยวเถอะ ไปได้ล่ะ”





      ทางด้านบ๋อมหลังจากแยกย้ายจากน้ำนิ่ง ระหว่างที่กำลังเดินกลับห้องพักสายเรียกเข้าที่เขาไม่คิดว่าจะได้รับเป็นเหตุให้ใจของเขาเต้นตูมตามแทบจะทะลุออกมานอกอก รีบเปลี่ยนเส้นทางหันกลับทางเดิมเข้าประตูด้านข้างตรงไปยังลิฟต์ที่อยู่ข้างฟร้อน มือสั่นไหวกดชั้น 22 ด้วยอาการตื่นเต้นดีใจระงับไม่อยู่ เมื่อถึงจุดหมายเท้าเล็กตรงไปยังห้องสูทเดอลุกซ์ฝั่งขวาสุด กดกริ่งหน้าห้องและยืนรออยู่ไม่นานคนด้านในก็กระชากประตูเปิดออก บ๋อมรีบแทรกตัวเข้าข้างในห้องอย่างรวดเร็ว

      “ผมคิดถึงคุณ”

      “เด็กน้อย”
  แขนแกร่งของชายหนุ่มรวบร่างบ๋อมเข้ามาในอ้อมกอด ปากเรียวตะโบมจูบร้อนแรงเผาพลาญจนเด็กหนุ่มระทวย  คำพูดปฏิเสธถูกกลืนลงไปพร้อมกับน้ำลายเมื่อมือเรียวของคนโตกว่าเลื่อนต่ำลงและสอดลึกเข้าไปในกางเกงจนถึงกลางกายที่ส่วนหัวกำลังฉ่ำน้ำเหนียวใส

      บ๋อมตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อปากร้อนของชายหนุ่มพรมจูบลงบนตุ่มไตทั้งสองข้างเสื้อผ้าไม่รู้ว่าหลุดจากตัวไปตั้งแต่ตอนไหน  ปากร้อนระเรื่อยลงไปตามหน้าท้องแบนราบของเขา วนเวียนอยู่ตรงสะดืออยู่นาน จนบ๋อมสูดลมหายใจเข้าดังเฮือกโดยไม่รู้ตัว

      “เธอชอบไหม?..” 

      “ฮะ..ชะ  ชอบ ทำตรงนั้นแรงๆ”

      ชายหนุ่มผละปากออกจากกลางกายของบ๋อม แสยะยิ้มพึงพอใจด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีความปรารถนาทางกายเพียงใด หากในนาทีนี้มันยังไม่ใช่ เขาจะต้องมั่นใจได้ก่อนว่าสิ่งที่เขาจะได้กลับมามันมีค่ามากกว่าที่เขาจะมอบให้เด็กหนุ่ม

      “เคยมีใครทำให้เธอพอใจมากขนาดนี้ไหม เคยมีใครทำอย่างฉันไหม”

      “มะ ไม่มีฮะแค่คุณคนเดียว”

      “แล้วอยากให้ฉันทำให้รึเปล่าหืม”

      “อยาก  ผะ..ผมอยากให้คุณทำแบบวันนั้นอีก”

      “เธอรู้ใช่ไหมว่าจะต้องทำยังไงถึงจะได้มันมา”

      “ได้โปรด...ผมจะทำทุกอย่างที่คุณต้องการ”

      บ๋อมสละทุกอย่างทิ้งไป ปลดศักดิ์ศรีความภาคภูมิใจกองทิ้งแทบเท้าของชายหนุ่ม กราบกรานวิงวอนอย่างไร้สิ้นความละอาย เท่านี้ชายหนุ่มก็รู้แล้วว่าเขามีความสำคัญมากพอที่จะทำให้เด็กนี่ยอมทำทุกอย่างที่เขาสั่งอย่างไร้ข้อกังขา

      “ดีมากเด็กดีของฉัน ดื่มนี่ซะ” ชายหนุ่มยกยิ้มอ่อนโยน บ๋อมยื่นมือรับแก้วที่ชายหนุ่มยื่นให้มาดื่มอย่างไม่อิดออด  “เราจะได้มีความสุขกันไง ฉันจะทำให้เธอพอใจมากกว่าที่เธอเคยได้รับกว่าครั้งไหนๆ”

      ชายหนุ่มรั้งร่างที่สะท้านไหวระริกด้วยความต้องการของบ๋อมเข้าไปกอดแนบแน่น บ๋อมรวดร้าวไปด้วยความต้องการ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แอ่นร่างเปล่าเปลือยของตัวเองแนบกับร่างแกร่งของชายหนุ่มอย่างร้อนแรง ครางกระเส่าเมื่อชายหนุ่มผละออกจากริมฝีปากแล้วไต่ลงไปไล้เลียดูดเม้มตุ่มไตเล็ก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นครางแหลมด้วยความเจ็บและเสียวซ่านเมื่อชายหนุ่มขบกัดตุ่มไตเล็ก

      ขณะริมฝีปากประทับมอบความรัญจวนอยู่บนทรวงอกเล็ก มือเรียวแกร่งของชายหนุ่มก็เลื่อนไปกลางกายที่แข็งขืนของเด็กหนุ่มลงมือสัมผัสเล้าโลมหนักมือ

      “ฮือออ...ไม่ไหวแล้ว ผมอยากได้คุณในตัวผมแรงๆ ได้โปรด...”  ความรู้สึกต้องการรุนแรงที่ถูกกระตุ้นจากสิ่งที่ดื่มเข้าไปและการปรนเปรอของชายหนุ่มทำให้บ๋อมร้องขออย่างไร้สิ้นความอาย

      “ดะ..ได้โปรดเข้ามาแรงๆ” 

      หลังสิ้นคำขอของบ๋อมชายหนุ่มไม่เสียเวลากับการเล้าโลมอีก  เขากดแก่นกายใหญ่ของตัวเองพร้อมกับอวัยวะเทียมเพศชายที่ถือในมือเข้าไปช่องทางด้านหลังอย่างแรงในครั้งเดียวมิดด้าม คำรามลำพองพร้อมกับเสียงอุทานอย่างเจ็บปวดและพึงพอใจที่ลอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มของบ๋อม

      ขณะที่ชายหนุ่มเติมเต็ม ดวงตากร้าวของเขาก็จับจ้องทุกสีหน้าที่แสดงบนหน้าบ๋อม แสยะยิ้มมุมปากพลางพึมพำเสียงต่ำเมื่อก้มลงขบกัดลงบนหน้าอกเล็กค่อนข้างแรง

      “ลืมตามองฉัน แล้วร้องมันออกมาว่าเธอมีความสุขแค่ไหน”

      “โอ๊ววว...แรงอีก...อ๊า....”


      บ๋อมปรือตามองคนบนร่างด้วยแววตาพร่ามัวไปด้วยความสุขสมมัวเมาล้ำลึกกว่าครั้งไหนที่เคยมา หลงเข้าไปในวังวนสีเทาร้อนแรงที่สะกดให้เด็กหนุ่มสูญสิ้นความนึกคิดและหลงลืมตัวตน ด้วยความกำหนัดที่ถูกกระตุ้นทำให้เด็กหนุ่มตอบรับทุกจังหวะอย่างทัดเทียมและร้อนแรง ไม่สนใจหรือปฏิเสธแม้ชายหนุ่มจะใช้อุปกรณ์แบบไหนบ้างกับตัวเอง

      ชายหนุ่มพึมพำเสียงต่ำแทบไม่เป็นคำเมื่อส่งให้เด็กหนุ่มขึ้นสู่ปลายทางปรารถนาครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะเดียวกันช่องทางนั้นก็บีบรัดอย่างบ้าคลั่งรุนแรงจนเขาคำรามกระหึ่มปลดปล่อยความระอุร้อนฝากฝังให้เด็กหนุ่มอย่างหมดสิ้นทุกครั้งเช่นกัน  บ๋อมยิ้มหวานให้กับเพดานสูงอย่างเลื่อนลอยหลังจากบทเพลงพิศวาสร้อนแรงที่เขาหลงใหลมัวเมาผ่านพ้นไปจนค่อนคืน ก่อนจะปิดตาหลับลงอย่างเหนื่อยอ่อน






      “บัดซบเอ๊ย!! ตามไปสิแล้วเอาตัวมานี่”

      บ๋อมสะดุ้งตื่นจากเสียงตวาดก้องอย่างหัวเสียของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมเตียงอีกฝั่ง หน้าดุกระด้าง ตาเรียวเชิดแข็งกร้าวด้วยเพลิงโทสะราวจะฆ่าใครก็ตามที่เป็นต้นเหตุ เหมือนจะรู้ว่าอีกคนตื่นแล้ว ชายหนุ่มกดตัดสาย เสหันไปอีกทางเพื่อปรับอารมณ์ ความรู้สึกของบ๋อมตอนนี้คือหวาดกลัว สับสนและไม่เข้าใจกับสิ่งที่ได้ยิน


      “เออ..ผะ..ผมไม่คิดว่าจะเจอคุณที่นี่” 

       บ๋อมเอ่ยถามเสียงแหบโหยแผ่วเบาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพื่อทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด พยายามขยับตัวออกห่างจากอีกคน แต่ก็ต้องสูดปากน้ำตาเล็ดหางตา หน้าตาเหยเกด้วยเจ็บปวดตั้งแต่บั้นเอวจนถึงปลายนิ้วเท้า ร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยและกลิ่นคาวความใคร่จากชายหนุ่มที่ตั้งใจให้มันหลั่งรดลงมาจนทั่วหลายต่อหลายครั้งบ่งบอกการประกาศศักดาเหนือร่างกายของเด็กหนุ่มยังไม่ได้รับการชำระล้าง แตกต่างจากคนตัวโตที่ร่างกายได้รับการชำระล้างคราบคาวความใคร่จนหมดจดกลิ่นสบู่หลังอาบน้ำกรุ่นกำจายรอบกายคนรูปงามบ๋อมสูดมันเข้าไปเต็มปอดด้วยความลุ่มหลงมัวเมา 

       ตาเรียวสบกันยังคงเจือแววความไม่พอใจบางเบา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกรุ่มกริ่มจนเด็กหนุ่มเขินอายหน้าแดงระเรื่อ ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปสนใจหน้าจอแมคบุ๊คที่อยู่บนตัก บ๋อมขมวดคิ้วมุ่นระคนสงสัยกับปฏิกิริยานั่นแต่ก็เพียงครู่เดียวความสงสัยนั้นก็ปลิวหายไปกับรอยสัมผัสของมือเรียวที่ขยี้ลงบนผมของเขา

      “ฉันมาทำงาน”

      “เหรอครับ เออ...แล้วคุณจะพักที่นี่กี่วันครับ”

      “.........”

      “ละ...แล้วผมจะมาหาคุณอีกได้ไหม”

      “ไว้ถ้าฉันว่างแล้วจะบอก เธอจะกลับเลยไหม??”

      “อะ...เออคืนนี้ผมอยู่ด้วยไม่ได้เหรอ กว่าจะเจอคุณก็นาน...”

      “อย่าพูดไม่รู้เรื่อง”
ตาเรียวดุชำเลืองมองด้วยความหงุดหงิด เพียงครู่เดียวจึงยอมปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงแต่ก็ยังกร้าวกระด้างไม่พอใจอยู่ค่อนข้างมาก  “อย่างี่เง่าเธอก็รู้ฉันต้องทำงาน เอาเป็นว่าถ้าฉันว่างจะโทรหา”

      “กะ ก็ได้ครับ” 

       บ๋อมไม่อยากจะเซ้าซี้ให้คนนี้โกธร ได้แต่เม้มปากแน่นข่มความเจ็บ ตาสวยหรี่ลงอย่างอึดอัดและเจ็บปวดกับคำพูดของชายหนุ่มที่ทำเหมือนเขาเป็นอะไรสักอย่างที่มีไว้เพื่อบำบัดความใคร่  เด็กหนุ่มสะบัดหน้าพรืดด้วยอารมณ์น้อยใจตัดพ้อ  ขยับตัวลุกอย่างแรงจนหลงลืมไปว่าสภาพร่างกายบอบช้ำเพียงใด  น้ำตาที่ไหลอาบแก้มบ๋อมปาดเช็ดออกลวกๆ พยายามสูดลมหายใจลึกๆ ...ก้มเก็บเสื้อผ้าที่ตกเรี่ยราดของตัวเองมาสวมอย่างไม่ใส่ใจว่ามันจะยับยู่และกระดุมหลุดหายไปกี่เม็ด

      “ผมกลับก่อนนะครับ” 

       เสียงบอกลาแผ่วเบาแหบโหยได้รับตอบกลับมาเพียงความเงียบงัน เมื่อเห็นว่าคนตัวโตไม่ได้ละจากหน้าจอแม็กบุ๊ก และไม่มีคำเอ่ยใดเป็นหลักประกันว่าเขายังมีตัวตนอยู่ตรงนี้สำหรับชายหนุ่ม จึงได้แต่กล้ำกลืนก้อนแข็งลงคอหันหลังจากมาอย่างเงียบงัน

      บ๋อมพาร่างบอบซ้ำของตัวเองเดินโซซัดโซเซไปจนถึงประตู  กำลังจะเอื้อมมือไร้เรี่ยวแรงไปเปิด แต่ประตูนั้นก็ถูกผลักเข้ามาก่อนทำให้บ๋อมฉากตัวหลบแทบไม่ทัน มือไขว่คว้าเกาะผนังเพื่อพยุงตัวไม่ให้เสียหลักล้มลงไป  ตรงกรอบประตูปรากฏภาพสองบอดี้การ์ดของชายหนุ่มและเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งคาดคะเนด้วยสายตาอายุน่าจะอ่อนกว่าเขาสักสองหรือสามปี หน้าตาน่ารัก ผิวขาวอมชมพูระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี ปากอวบอิ่มสีชมพูสดยกยิ้มหยัน  ตากลมโตที่มองสบกันเต็มไปด้วยความสมเพชส่งมาให้บ๋อมๆ หลีกทางให้อย่างเหม่อลอยไม่ตอบโต้เมื่อถูกชนกระแทกไหล่อย่างแรงจากเด็กนั่น ทั้งหมดเดินผ่านเข้าห้องด้านในไปโดยไม่สนใจเขา  บ๋อมได้แต่หันมองตามโดยไม่ปริปากเอ่ยอะไรออกมา

      “ข้างนอกน่ะใครเหรอฮะ”  เสียงหวานของเด็กนั้นเอ่ยถามชายหนุ่มในห้องอย่างมีจริตออดอ้อน

      “จะใส่ใจทำไม..เธอเรียกร้องความสนใจเพราะอยากให้ฉันกอดไม่ใช่เหรอ มานี่สิแสดงให้ฉันดูว่าเธอน่ากอดแค่ไหน”

      “ฮือออ...ดะ...เดี๋ยวสิฮะ.อ๊ะ...”


      หน้าตาเนื้อตัวร้อนไปหมดกับคำพูดและเสียงที่ได้ยินลอดออกมาจากในห้อง บ๋อมเร่งฝีเท้าออกจากห้องอย่างรวดเร็วไม่ใส่ใจความเจ็บปวดของร่างกาย เขาอยากจะออกไปจากที่นี่ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ความเจ็บปวดที่แยกแยะไม่ออกมันรายล้อมไปหมดจนตัวสั่นเทิ้มด้านชา ใจหนึ่งอยากจะเข้าไปดึงกระชากทั้งคู่ออกจากกันด้วยความริษยาหึงหวง แต่เขาก็ทำไม่ได้... เขาไม่มีสิทธิที่จะทำอย่างใจคิด แค่เพื่อนของน้องชายมันไม่ได้บ่งบอกสถานะที่ชัดเจนอะไรสำหรับเขา...ไม่เคยมีมาตั้งแต่ต้น...

       อารมณ์ตอนที่เขาขึ้นไปใจเขาเต้นแทบจะทะลุออกมานอกอก แต่ตอนนี้เสียงเต้นของหัวใจตัวเองเด็กหนุ่มก็แทบจะไม่ได้ยิน  บ๋อมบีบมือตัวเองจนแน่นเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ  แต่คนที่เจ็บปวดก็มีแค่ตัวเองเท่านั้น..เกลียด เขาเกลียดตัวเองที่หลงรักผู้ชายคนนี้เหลือเกิน…รักด้วยความโง่เขลามาตลอดตั้งแต่แรกพบ




      น้ำนิ่งเฝ้ามองหน้าที่ซีดเผือดของบ๋อมแต่เสแสร้งทำเป็นร่าเริงสดใสอย่างกังวลมาตลอดเช้า พอเผลอและคิดว่าไม่มีใครเห็น บ๋อมเหมือนจะร้องไห้ออกมาทุกครั้ง พอน้ำนิ่งเอ่ยปากถามคนเป็นเพื่อนก็ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เป็นอะไร เขาไม่รู้ว่าบ๋อมไปทำอะไรมาเมื่อคืนถึงได้มีสภาพย่ำแย่แบบนี้


      “เป็นอะไรรึเปล่า” 

       บ๋อมสะดุ้งตกใจเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนตัวเล็กอย่างงงๆ เบลอๆ พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ น้ำนิ่งทำเป็นไม่สนใจอาการกระถดร่างหนีและตาแดงก่ำที่เหมือนจะร้องไห้ของเพื่อน สีหน้าที่ซีดเผือดทำให้น้ำนิ่งอดรนทนไม่ได้ ยื่นมือไปทาบหน้าผากและซอกคอของเพื่อนวัดอุณหภูมิ แล้วเป็นอันต้องชักมือกลับแทบไม่ทันเมื่อเจอกับร่างกายร้อนจี๋ของบ๋อม

      “ตัวร้อนจี๋เลย แล้วบอกว่าไม่เป็นอะไรนี่นะ น้ำดูเหมือนพึ่งพาไม่ได้รึไงบ๋อมถึงไม่กล้าบอกว่าไม่สบาย ปวดหัวรึเปล่า”  น้ำนิ่งใส่ยาวด้วยมีสีหน้าร้อนรนและยิ่งกังวลมากขึ้นเมื่อบ๋อมไม่ตอบแต่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้ คนตัวเล็กดึงเพื่อนเข้ามากอดมือเล็กลูบไปมาปลอบประโลมราวกับบ๋อมเป็นเด็กชายเล็กๆ

      “กลับไปพักไม่ต้องทำงานแล้ววันนี้  ไม่เป็นไรๆ ไม่ร้องน้ำอยู่นี่แล้ว” น้ำนิ่งผละอ้อมกอดของตัวเองเดินไปที่ตู้ยาหยิบแก้ไข้ตัวร้อนสองเม็ดพร้อมแก้วน้ำมายื่นให้บ๋อมกิน “นั่งรอตรงนี้เดี๋ยวน้ำไปบอกพี่ผู้จัดการก่อน” 

      “ป๊ะไปกันได้แล้ว”  น้ำนิ่งหายไปไม่นานก็กลับมาพยุงตัวบ๋อมให้ลุกขึ้นยืน แม้ตัวของน้ำนิ่งจะเล็กบอบบางกว่าด้วยสภาพร่างกายที่พร้อมกว่าก็พอที่จะฉุดรั้งให้บ๋อมเดินตามมาได้อย่างง่ายดาย

      “พี่แฝดรอตรงนี้แหละไม่ต้องตามเข้ามาหรอก” น้ำนิ่งหันไปสั่งห้ามเสียงเข้มเมื่อเห็นเมืองแมนและแดนสรวงทำท่าจะเดินตามเข้ามาในห้องนอนด้วย

      “แต่ว่า...”

      “ทำไมต้องขัดน้ำตลอดเลย” น้ำเสียงงอนๆ ของน้ำนิ่งทำเอาพี่แฝดยอมแพ้โดยดุษฎี ถ้าขืนยังดึงดันเด็กน่ารักของพวกเขาได้ขุ่นเคืองใจไม่ยอมพูดกับพวกเขาอีกหลายวันแน่

      “ถ้ามีอะไรเรียกพี่ดังๆ เลยนะ”  เมืองแมนดึงแขนน้องไว้เอ่ยกำชับด้วยความห่วงใย แดนสรวงไม่พูดอะไรแต่สายตาดุที่มองมาบอกให้รู้ว่าคิดแบบนั้นจริงๆ

      “จะให้มีอะไรได้อีก บ๋อมไม่สบายอยู่เห็นบ้างไหมเนี่ย ไม่ต้องห่วงน่าแค่นี้เองไปนั่งรอดีๆ เลยไป๊”  น้ำนิ่งพยุงบ๋อมเดินเข้าห้องนอนไปจนถึงเตียง ผลักให้นอนลงกับเตียง แล้วเจ้าตัวดีเดินเลยเข้าไปในห้องน้ำ สักครู่เดียวก็ออกมาพร้อมกับอ่างน้ำใบเล็กและผ้าขนหนูนุ่มจัดแจงว่างทั้งหมดไว้บนพื้น เดินกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้าค้นกุกกักหาเสื้อที่คิดว่าใส่สบายมาให้เพื่อนเปลี่ยน

      “น้ำเช็ดตัวให้นะ จะได้สบายตัว” บ๋อมพยายามขืนตัวออกจากแรงฉุดดึงเสื้อผ้าออกจากตัวของน้ำนิ่ง

      “ไม่เป็นไรๆ เชื่อใจน้ำนะ” 

       น้ำเสียงอ่อนโยนห่วงใยของน้ำนิ่งทำให้ตาที่แดงก่ำจากพิษไข้ปรือขึ้นมองน้ำนิ่งด้วยอาการเหม่อลอยกึ่งหลับกึ่งตื่น ก่อนเปลือกตาจะปิดลงอีกครั้ง ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธจากริมฝีปากที่แห้งผากของบ๋อม

       อาการนิ่งเงียบของบ๋อมจึงถือเป็นการยอมรับโดยปริยาย มือเรียวเล็กจัดการถอดเสื้อกางเกงของบ๋อมที่นอนหลับตานิ่งไม่ไหวติงออกอย่างเบามือ  พอเสื้อผ้าหลุดพ้นไปสภาพร่างกายภายใต้ร่มผ้าที่ปรากฏตรงหน้ามันหนักหนาสาหัสกว่าที่ตาเขาเห็น รอยฟันที่บางแห่งเลือดยังซึม รอยช้ำม่วง แทบไม่มีพื้นที่ว่างทั่วกายขาวเนียนทำเอาน้ำนิ่งผงะชะงักงันแทบทำอะไรไม่ถูก

       ริมฝีปากอิ่มของน้ำนิ่งเม้นแน่น เจ้าตัวดีสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะพรูมันออกมา มือเรียวเล็กหยิบผ้าขนหนูจุ่มลงในอ่างน้ำอุ่นบิดพอหมาดแล้วเช็ดไปตามหน้าตาเนื้อตัวของบ๋อมอย่างเบามือ   

      บ๋อมสูดปากแทบทุกครั้งเมื่อเช็ดไปถูกรอยกัด ร่างกายสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดและกระไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศ น้ำนิ่งเม้มปากแน่นกลืนก้อนสะอื้นของตัวเองอย่างยากลำบากน้ำตาคลอแทบจะหยดด้วยความสงสารเพื่อนรัก  เมื่อเช็ดข้างหน้าจนทั่ว น้ำนิ่งจึงพลิกร่างบางของบ๋อมอย่างเบามือเพื่อเช็ดด้านหลัง แผ่นบางหลังที่เคยขาวเนียนก็ไม่ต่างจากด้านหน้าสักเท่าไร  แต่ที่ทำให้น้ำนิ่งเห็นแล้วแทบจะเบือนหน้าหนีน้ำตาที่พยายามกลั่นไว้ร่วงพรูทันทีด้วยความสงสารจับใจคือ ช่องทางด้านหลังบวมแดง รอยฉีกขาดเหวอะจนน่ากลัว มีเลือดสีแดงจางๆ ไหลปะปนมากับน้ำขุ่นคาวที่ซึมอยู่ไม่หยุด 

       น้ำนิ่งสะท้อนเจ็บแปลบในอกมือเรียวเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาของตัวเองลวกๆ รีบหยิบเสื้อกางเกงมาสวมให้บ๋อมดึงผ้าห่มที่อยู่ปลายเท้าขึ้นมาคลุมให้จนถึงคอ บ๋อมผล่อยหลับไปแล้วด้วยฤทธิ์ยาแก้ไขแก้อักเสบ

       “น้ำอยู่ตรงนี้ไม่ต้องห่วงนะ” น้ำนิ่งยื่นมือไปปาดเช็ดน้ำตาตรงหางตาให้เพื่อน ก่อนจะลุกขึ้นจัดแจงเก็บอ่างน้ำเสื้อผ้าที่ใส่แล้วของบ๋อมไปไว้ในห้องน้ำ เมื่อจัดเก็บทุกอย่างเรียบร้อย จึงเดินมาหาพี่แฝดที่ห้องด้านนอก

       “พี่แดนไปซื้อยาตามรายการนี่มาให้ที บ๋อมอาการไม่ดีเลย”  นัยน์ตาหวานแดงก่ำเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำใส  น้ำเสียงที่บอกกับแดนสรวงไหวระริกเต็มไปด้วยความห่วงใยและกระวนกระวายใจเกินกว่าอะไรทั้งหมด

      “แย่มากเหรอครับ”  น้ำนิ่งพยักหน้าตอบรับต่อคำถามของเมืองแมนไม่สามารถตอบอะไรออกไปได้เพราะก้อนสะอื้นที่ตีขึ้นมากะทันหันจนต้องยกมือเล็กของตัวเองปิดปากแน่น  แดนสรวงรีบถลาปราดเข้ามากอดปลอบมือแกร่งเช็ดน้ำตาให้น้อง รอยสัมผัสและน้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและห่วงใย

      “ไม่เป็นไร บ๋อมจะไม่เป็นอะไร เชื่อพี่นะคนเก่ง”

      “พี่ว่าพาบ๋อมไปหาอาหมอเถอะ เผื่ออาการหนักกว่าที่ตาเราเห็น” เมืองแมนตัดสินใจฉับพลันใกล้มือหมอดีกว่าจะรักษากันเองแล้วเป็นอะไรที่คาดการณ์ไม่ถึงความเสียใจที่ตามมาคงจะรับกันไม่ไหว

      “ก็ได้ฮะ”

       “แดนมึงไปอุ้มบ๋อมออกมา เดี๋ยวกูไปวนรถมารับที่หน้าตึก น้องไปเตรียมเสื้อผ้าของจำเป็นของเพื่อนไป๊คนเก่ง”  หลังสั่งเสร็จแฝดพี่รีบกระวีกระวาดออกจากห้องไป




      “แผลปริขาดรอบขอบทวารหนักลุงทายาให้แล้ว  ส่วนเลือดที่ไหลออกมาจากทวารหนักไม่หยุดนั่นเกิดจากการขูดขีดเสียดสีจากของแข็งที่กระแทกเข้าไปอย่างแรงทำให้ผนังทวารหนักเกิดรอยแผลหลายแห่งลุงเหน็บยาให้แล้ว  แล้วรู้อะไรไหมเลือดและน้ำอสุจิที่ลุงให้ทางแล็ปเขาตรวจสอบผลมันเจือปนสารบางอย่างอยู่”  สายตาของลุงหมอที่ทอดมองคนไข้บนเตียงซึ่งหลับเพราะฤทธิ์ยาอยู่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลและห่วงใย

      “อะไรเหรอครับ” 

       แดนสรวงถามออกไปด้วยความอยากรู้ น้ำนิ่งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งงันกับสิ่งที่รับรู้ ใครกันช่างทำบ๋อมได้ขนาดนี้ เท่าที่รู้มาเพื่อนเขาอาจจะคะนองปากไปบ้างแต่ก็ไม่เคยคบใคร ไม่เคยมีแฟน เรื่องทำนองนี้บ๋อมไม่เคยพูดถึงอีกเลยตั้งแต่ครั้งแรกนั้น ที่สำคัญตั้งแต่มาฝึกงานที่นี่เป็นเดือนก็ไม่มีใครที่แสดงทีท่าสนใจบ๋อมถึงขนาดจะต้องทำอย่างนี้ ใครกันที่ทำ??

      “ทิงเจอร์ขาวหรือที่รู้จักกันดีในนามของเกล็ดขาว มันจัดอยู่ในกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นเซ็กส์อย่างรุนแรง คนให้ยากับเพื่อนน้ำมันคงทั้งให้ดื่มแล้วก็สอด ถึงได้เจอหนักขนาดนี้”

      “ใครกันทำได้ขนาดนี้” น้ำนิ่งซวนเซแทบยืนไม่อยู่เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของลุงหมอ  แดนสรวงเดินเข้าพยุงน้องนั่งลงที่โซฟา หน้าหวานที่แดนสรวงเห็นระบายเต็มไปด้วยความกังวลใจและห่วงใยเพื่อนสุดใจ

      “พี่จะสืบให้แล้วกันว่าใครเป็นคนทำ” 

      “ไม่ต้องห่วงนะแผลภายนอกลุงหมอรักษาให้หายได้”
ลุงหมอตบมือลงบนไหล่ของน้ำนิ่งอย่างให้กำลังใจ นิ้วใหญ่อวบอ้วนชี้ลงที่หน้าอกข้างซ้ายใจของตัวเอง  “แต่ตรงนี้ต้องการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัว คนรอบข้างอย่างเดียว  อ้อเดียวมีข้อปฏิบัติอีกอย่างพยายามอย่าให้เพื่อนท้องผูกหรืออุจจาระแข็งล่ะ เดี๋ยวแผลจะไม่หาย ควรให้กินอาหารที่มีกากใยสูงและดื่มน้ำมากๆ เข้าใจนะ”

      “ครับ”

      “เอาล่ะลุงต้องไปแล้วมีตรวจอีกเคส จะสั่งพี่พยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษให้เลยวางใจได้  แต่ถ้ามีอะไรก็เรียกได้เลย ลุงอยู่ตลอดแหละ”

      “ขอบคุณลุงหมออีกครั้งครับ”
  น้ำนิ่งยกมือไหว้ลุงหมออย่างขอบคุณจริงใจ ลุงหมอยิ้มอ่อนโยนให้น้ำนิ่ง มือใหญ่อวบอูมตบลงบนไหล่บางอย่างให้กำลังใจอีกครั้ง  เมืองแมนเดินไปส่งลุงหมอถึงหน้าประตู ก่อนที่จะเดินกลับมานั่งลงข้างเตียงคนป่วย

      “น้ำจะอยู่เฝ้าบ๋อมนะ”

      “ไม่ได้!! คุณสิงห์ให้จ้างพยาบาลแล้ว”
น้ำนิ่งชักสีหน้าไม่พอใจที่สองแฝดปฏิเสธคำขอของเขาเสียงแข็งออกมาพร้อมกัน สองคนนี้เป็นร่างอวตารของภูมิรึไงนะถึงชอบขัดใจเขาจังเลย

      “แต่ว่าบ๋อม...”

      “ไม่มีแต่ครับ พี่รู้ว่าบ๋อมเป็นเพื่อนรักของน้ำ เดี๋ยวพี่จะอยู่เฝ้าเพื่อนเราให้อย่างดีก็แล้วกัน”


       เป็นเมืองแมนที่รับปากน้องอย่างแข็งขัน น้ำนิ่งมองสลับคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยสายตาวิงวอนออดอ้อน ยิ้มประจบอย่างที่เคยทำ แต่ทั้งคู่ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเดียว สายตาวิงวอนที่เคยได้ผลตลอดมากลับเสื่อมมนต์ขลังมันใช้ไม่ได้กับครั้งกรณีนี้ซะงั้น น้ำนิ่งได้แต่ทอดถอนหายใจหนักหน่วงยอมรับอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

      “รับปากมาก่อนว่าจะไม่ให้คลาดสายตา จะดูแลอย่างใกล้ชิด”  น้ำนิ่งประกาศกร้าวขอคำสัญญาจากเมืองแมน

      “วางใจเถอะน่า จะเฝ้าดูแบบมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยสัญญา โอเค๊” 

       เมืองแมนชูสัญลักษณ์สามนิ้วเป็นคำสัญญา  น้ำนิ่งจำต้องพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้แต่สีหน้าบ่งบอกว่าเป็นห่วงเพื่อนอย่างสุดใจอันนั้นทั้งคู่รับรู้ได้ แต่ปฏิบัติตามความต้องการของของน้ำนิ่งไม่ได้ในเมื่อทุกสิ่งอย่างมันเกี่ยวด้วยความปลอดภัยของน้องทั้งสิ้น








-มีต่อด้านล้าง-
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.28_มีทางเลือกทางเดียวเท่ากับไม่มีเลย_P.7_812016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 08-01-2016 00:21:58
- ต่อ-



      น้ำนิ่งบังคับให้เพื่อนนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหนึ่งอาทิตย์จนแน่ใจว่าแผลทั้งภายในภายนอกหายดีแล้ว  ลุงหมอจึงอนุญาตให้บ๋อมกลับบ้านได้ ระหว่างที่นอนพักรักษาตัวนั้นบ๋อมคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงโทรศัพท์จากคนรูปงามที่โทรเรียกหาตัวเองแต่นั่นก็เป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ ที่พัดปลิวหายไปกับสายลมและแสงแดดที่สาดส่องไม่เคยหยุด ก็ได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าคนนั้นคงงานยุ่ง ใจที่เต็มไปด้วยเพลิงเสน่หาของบ๋อมจึงไม่ร้อนรุมมากนัก 

      “พี่เมืองไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนผมก็ได้ครับ ผมไม่เป็นไรแล้ว”   บ๋อมยิ้มหวานให้แฝดพี่ที่ขับรถมาส่งเขาถึงบ้านพักพนักงาน

      “ไม่ได้หรอกเดี๋ยวน้ำนิ่งจะตำหนิพี่ได้ว่าปล่อยปละละเลยเพื่อนของเขา” 

      “ผมไม่เป็นไรจริงๆ เห็นไหม”
  บ๋อมชูแขนเรียวเล็กของตัวเองเบ่งกล้ามให้แฝดพี่ดู เปล่งเสียงหัวเราะกังวานใสยืนยันว่าเขาหายแล้วจริงๆ  “อีกอย่างผมเกรงใจที่พี่เมืองต้องมาอยู่เป็นเพื่อนผมตั้งหลายวัน”

      “ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า  บ๋อมก็เหมือนน้องพี่ๆ ยินดีจะดูแลอย่างดีให้เหมือนดูแลน้ำนิ่งนั่นแหละอย่าคิดมากเลย”

       “ขอบคุณครับ แต่ผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ พี่เมืองกลับเถอะครับเหนื่อยมาหลายวันแล้ว ผมอยู่ได้อยากจะนอนพักคงไม่ออกไปไหนแล้ว”

      “เอางั้นก็ได้ตามใจเราเลย  ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ได้นะมีเบอร์อยู่นี่”

      “ครับสัญญาเลย”

      “ไปงั้นก็ขึ้นห้องซะ พี่จะยืนรอดูจนกว่าเราจะเข้าไปในห้อง”

      “ขอบคุณอีกครั้งที่ดูแลผมอย่างดี ไปนะครับ”
บ๋อมยกมือขึ้นโบกลาเมืองแมน ก่อนจะหลังกลับขึ้นบันใดตึกอาคารที่พัก เมื่อถึงห้องก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องคนตัวเล็กหันไปยกยิ้มอีกครั้งให้เมืองแมนที่มองมาแทบไม่วางตา บ๋อมทำมือให้แฝดพี่กลับได้แล้วตัวเองก็เปิดประตูเข้าห้องไป




      รอยยิ้มที่ค้างอยู่ในหน้าหุบฉับทันทีเมื่อจมูกสูดเข้ากับกลิ่นจากน้ำหอมราคาแพงที่แสนจะคุ้นเคยอบอวลอยู่ในชั้นบรรยากาศบางเบา  หัวใจเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง บ๋อมรู้สึกว่าตัวเองสั่นไปหมด ความรู้สึกของเขาตอนนี้ทั้งอยากและไม่อยากเผชิญหน้ากับคนๆ นั้นเลยสักนิด..

      “จะไปไหน” บ๋อมกำลังจะขยับถอยหลังไปยังประตูต้องสะดุ้งสุดตัวชะงักงันไม่กล้าขยับขาที่สั่นพรึบของตัวเองก้าวออกไปไหน เมื่อเสียงทรงอำนาจของคนนั้นตวาดก้องมาจากระเบียงที่เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามันเปิดประตูค้างไว้อยู่

      “.....”

      “ฉันถามไม่ได้ยินรึไง”

      “ปะ...เปล่าครับ”
บ๋อมเม้มปากแน่น คนนั้นก้าวเข้ามาเผชิญหน้ากัน ตาเรียวที่มองมามันดำมืดว่างเปล่าจนบ๋อมรู้สึกขนคอตั้งชันด้วยความกลัว เขาไม่รู้ว่าคนนี้คิดอะไรอยู่หรือมาหาเขาทำไม จึงได้แต่เงียบอยู่อย่างนั้น
 
      “คะ..คุณมาทำไม”  ความอึดอัดที่แผ่กระจายอยู่รอบตัวทำให้บ๋อมเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงสั่นระริก

      “มาทวงค่าความสุขและจิตวิญญาณที่เธอขายให้ฉันจำได้รึเปล่า”  ริมฝีปากบางเหยียดยิ้ม ขายาวก้าวเข้าประชิดตัวจนบ๋อมต้องถอยร่นไปติดกับผนังห้องอย่างไม่รู้สึก ร่างบางสั่นเทิ้มด้วยความกลัวผสมปนเปไปกับความโกรธที่ไม่รู้ว่าอะไรมันมากกว่ากัน

      “เงียบอยู่ทำไมหรือลืมไปแล้ว” คนตัวโตกว่ายื่นจมูกปากลงสัมผัสกับซอกคอขาวอย่างคุกคามจ้วงจาบ  “หรือฉันต้องทบทวนความจำของเธอ”  เขากระซิบอย่างคุกคามข่มขู่ ฝ่ามือเรียวราวกับผู้หญิงแต่แข็งแรงยิ่งกว่าคีมหนีบเหล็กดึงรวบแขนทั้งสองข้างของบ๋อมไว้เหนือหัว อีกข้างนวดวนอยู่แถวสะโพก บ๋อมพยายามสะบัดตัวหลบแต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้

      “ยะ อย่าปล่อยผมเถอะ”

      “จะเล่นตัวทำไม สุดท้ายเธอก็ครางกระเส่าร้องขออย่างไร้ยางอายอยู่ใต้ร่างฉันอยู่ดี”
  ประโยคที่หลุดจากปากของคนรูปงามที่บ๋อมหลงใหลได้ปลื้มมาตลอดทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำบ่งบอกว่าทั้งอับอาย อับจน และโกรธแค้น จนแยกแยะไม่ออกว่าอะไรมีน้ำหนักมากกว่ากัน

      “รู้ไหมฉันต้องจ่ายไปเท่าไรเพื่อพยุงฐานะการเงินของบริษัทพ่อเธอซึ่งไม่เคยมีวินัยทางการเงินมากี่ปี และอีกก้อนใหญ่เพื่อรักษาหน้าตาทางสังคมของแม่เธอที่ทำตัวเหมือนสัมภเวสีร้องขอส่วนบุญจนน่าสมเพช” ชายหนุ่มกระซิบเสียงเย็น ฝ่ามือลูบไล้เล้าโลมนวดเฟ้นไปตามร่างกายที่สั่นระริกของเด็กหนุ่มอย่างย่ามใจ

      “อึก....ยะ อย่า”

      “อย่าคิดแม้แต่ปฏิเสธ ถ้าเธอไม่อยากเจ็บตัว บริการฉันเอาให้ถึงใจเหมือนที่เธอเคยทำแบบวันนั้นก็ได้ หรือฉันสอนเธอให้ทำแบบเด็กนั่นดีล่ะ นั่นน่ะกะหรี่ที่ฉันเลี้ยงไว้ขายพวกแรงงานชั้นต่ำ ฉันเรียกมาใช้ต่อจากเธอไงจำได้รึเปล่าหืม”


       คำพูดจากปากคนรูปงามช่างเหมือนคมมีดที่กรีดลึกตามร่างกายจิตใจจนเป็นแผลเหวอะหวะ ทำไมจะไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองเป็นยังไง แต่นั่นก็คือพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเขามา คำพูดดูถูกเหยียดหยามถึงพ่อแม่ก็เหมือนพูดให้เขาเช่นกัน ความโกรธกรุ่นอยู่เต็มอกเขาอยากจะด่าใส่หน้าคนนี้ให้สาแก่ใจ อยากจะมีมีดสักเล่มในมือจะจ้วงแทงและควักหัวใจของคนนี้ออกมาดูว่ามีความเห็นใจเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์เหมือนกันหรือไม่  แต่เขาก็ทำเช่นนั้นไม่ได้...เพียงเพราะรักเหลือเกิน รักจนไม่กล้าที่จะแตะต้องเกิดริ้วรอย

      ชายหนุ่มดึงกระชากบ๋อมเข้าไปในห้องนอนอย่างไม่ปรานีปราศรัย ผลักอย่างแรงจนร่างบางทรุดลงกับพื้นห้อง  มือเรียวเลื่อนแกะเข็มขัดออกช้าๆ ริมฝีปากแสยะยิ้มหยัน  บ๋อมเบือนหน้าหนีด้วยความอดสูใจแต่ก็ถูกรั้งกลับมามองความพองนูนที่เบียดชิดอยู่กับหน้าตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

      สุดท้ายแล้วบ๋อมได้แต่เลื่อนมืออันสั่นเทาขึ้นไปปลดกระดุมกางเกงยีนส์ออกและรูดมันลงด้วยปากอย่างยอมจำนนต่อโชคชะตา ริมฝีปากอวบอิ่มคอยรองรับคาวความใคร่ทั้งหมดที่หลั่งรดลงมาจนแทบสำลัก และยิ่งตอกย้ำความด้อยค่าไร้ศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเองเมื่อต้องทำตัวร่านโลกีย์ตามที่คนรูปงามกะเกณฑ์จนกว่าจะพึงพอใจ...

       ทั้งหมดทั้งมวลที่บ๋อมทำมาหลายชั่วโมงนั้น เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าเพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่  เพื่อความพึงพอใจของคนรูปงาม  เพื่อความรักที่มีต่อคนรูปงาม หรือเพื่อความสะใจกันแน่  แต่ที่ตกตะกอนขุ่นคือความอดสูและสิ้นหวังของตัวเองที่เด่นชัดอยู่ในอารมณ์

      “ไม่ผิดหวังจริงๆ ที่ฉันเลือกเธอ” ชายหนุ่มรูปงามแสยะยิ้ม แววตาหื่นกระหายที่มองสบมาตรึงให้ร่างกายของบ๋อมสั่นระริกอย่างหวาดกลัว เขาเหนื่อยแทบขาดใจกับการปรนเปรอชายหนุ่มมาหลายชั่วโมง

      “จะทำอะไร พอเถอะผมขอร้อง”

      “หึ หึ ไม่ต้องกลัวฉันอิ่มและสะอิดสะเอือนเกินกว่าจะกินอะไรซ้ำซาก”

      “ละ แล้วจะให้ผมทำอะไร..??”

      “ยั่ว”

      “ยั่ว??  ใคร??”

       “ใช่ ฉันอยากให้เธอล่อหลอกเด็กนั่นเพื่อนเธอที่ชื่อน้ำนิ่งใช่ไหมเอาตัวเขามาให้ฉัน ระหว่างนั้นฉันอยากให้เธอทำยังไงก็ได้ให้ไอ้ภูมิรพีกับไอ้เหี้ยเซนมันหลงใหลเธอจนโงหัวไม่ขึ้น ถ้ามันจะฆ่ากันเพราะเธอได้ยิ่งดี มันเป็นงานที่เธอถนัดอยู่แล้วนี่ เธอทำได้แน่”

      “จะทำอะไรน้ำนิ่ง เขาเป็นเพื่อนรักของผมนะ”
  บ๋อมขึ้นเสียงดังอย่างลืมตัว คนรูปงามมองอย่างเย้ยหยัน แสยะยิ้มพอใจ

      “ก็ไม่รู้สิฉันยังไม่มีแพลนสำหรับเรื่องนั้น แต่น่าจะเป็นเรื่องที่ทำแล้วไอ้พี่น้องคู่นั้นกระอักเลือดแน่ๆ คิดแล้วชักน่าสนุกนะเธอว่าไหม”

      “คะ..คุณผมขอร้องอย่าทำอะไรเพื่อนผมเลยนะ จะให้ผมทำอะไรก็ได้ผมขอร้อง”
เป็นอีกครั้งที่บ๋อมร้องขออย่างสิ้นท่าแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกระอายที่จะทำอะไรเพื่อนคนดีอย่างน้ำนิ่งบ้าง

      “คนที่ขายจิตวิญญาณอย่างเธอยังจะมีสิทธิอะไรมาต่อรอง  ฉันขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าเล่นตุกติกกับฉัน อย่าแม้แต่คิดว่าความตายมันจะทำให้เธอหลุดพ้น  เธอยังไม่รู้ว่าฉันทำอะไรได้บ้าง”  มือแกร่งผลักร่างของบ๋อมให้ห่างตัวราวขยะแขยง ร่างสวยงามลุกจากเตียง เดินไปหยิบกางเกงมาสวมใส่อย่างเรียบร้อยเหมือนตอนที่เข้ามา ก่อนออกไปจากห้องคนรูปงามบีบกุมหน้าบ๋อมจนปวดกราม พูดคุกคามข่มขู่เสียงเข้มเย็นริมหู 

       “อย่าได้คิดลองดี”


      บ๋อมปล่อยโฮร่ำไห้อย่างอดสูใจกับทางที่ตัวเองกำลังเผชิญ จะก้าวเดินไปทางไหนก็มีแต่ไฟร้อนแผดเผาราวกับขุมนรก มีทางเลือกแค่ทางเดียวก็เท่ากับไม่มีทางเลือกเลย....เขาจะทำยังไงดี















TBC. 


ปล. มาต่อแล้วนะครับ ขอโทษที่หายไปนานอันเนื่องจากภารกิจรัดตัว  ขอบคุณที่ติดตามกันเสมอมา  และไม่ว่าจะอ่านอะไรก็ขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ  :mew1:

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.28_มีทางเลือกทางเดียวเท่ากับไม่มีเลย_P.7_812016
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 08-01-2016 12:34:07
มาม่าถ้วยใหญ่  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.28_มีทางเลือกทางเดียวเท่ากับไม่มีเลย_P.7_812016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 08-01-2016 12:40:14
 :L2:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 19-01-2016 14:26:51
เด็กเลี้ยง

-29 -










29


      “เพื่อนเป็นยังไงบ้าง”

      ภูมิรพีละมือจากงานที่ทำอยู่ยิ้มอ่อนโยนให้น้ำนิ่งที่เดินหน้านิ่วคิ้วขมวดไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาไม่ได้เอ่ยตอบแต่อย่างใด ภูมิรพีเลิกคิ้วเป็นเชิงถามไปยังแดนสรวงที่เดินตามเข้ามา ฝ่ายนั้นส่ายหน้าปฏิเสธ เลยเดินไปหาแต่คนที่เอาแต่กัดเล็บนิ้วมือด้วยสีหน้าครุ่นคิดก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าถูกปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนจากคนตัวโตที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นนานหลายนาที

      “คิดอะไรอยู่หืม”   

      “.....”

        “น้ำนิ่ง!”
น้ำนิ่งสะดุ้งทำหน้าเลิกลักงุนงงไม่เข้าใจว่าภูมิรพีพูดอะไรกับตัวเอง คนตัวโตหลุดหัวเราะในลำคออย่างขบขัน

      “วะ...ว่าอะไรนะครับ”

      “ถามว่าคิดอะไรอยู่หน้างี้ยุ่งเชียวฮึม เพื่อนเป็นยังไงบ้าง”

      “ทั่วๆ ไปก็ดีแล้วฮะ แต่ไม่รู้สิท่าทางเขาเหมือนฝืนๆ เหม่อๆ เรียกตั้งนานกว่าจะรู้สึกตัว ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ยอมบอก”

      “คงจะเรื่องส่วนตัวมากๆ ที่ไม่สามารถบอกเราได้นั่นแหละ หนูต้องเหลือพื้นที่ให้เพื่อนเขาได้มีเวลาอยู่กับตัวเองบ้าง เขาอาจจะยังไม่พร้อมที่จะบอก อย่ากังวลเลยน่าถ้าพร้อมเขาก็บอกเองแหละเอาน่า” 

      “ก็รู้ไง แต่เข้าใจเปล่าว่านอยด์ แค่อยากบ่น เรื่องที่หมางเมินกับเอก็ยังไม่เคลียร์ มาเจอเรื่องนี้อีกยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ทำยังกับว่าเป็นคนอื่นคนไกลปากบอกว่าเพื่อนที่รักและไว้ใจมากที่สุดไม่ใช่รึไง น้ำน่ะถึงบางเรื่องจะช่วยไม่ได้แต่ก็ช่วยฟังและให้กำลังใจได้นะไม่ได้เปล่าประโยชน์ซะหน่อย เบื่อเหรอ?”

      “ใครจะกล้า พ่อคุณพ่อมหาจำเริญเลิศเลอค่าเอาที่พ่อสบายใจเลย”
  มือใหญ่ยกขึ้นบีบแก้มน้ำนิ่งอย่างหยอกเอิน คนตัวเล็กพยายามสะบัดหน้าหนีแรงบีบแต่ก็ไม่หลุดพ้น 

       “อ่อยอะ! เอ็บอ้ำอดแอ้วเอี่ย”  (ปล่อยนะ! เจ็บช้ำหมดแล้วเนี่ย)  ภูมิยิ้มกว้างกับหน้าตาเหยเกนั่นแต่ก็ยอมปล่อยมือออก แต่เอาไปวางแปะไว้บนหัวแล้วโยกไปมาแทน

       “เอาน่าเลิกคิด เดี๋ยวสักวันก็รู้เองแหละเมื่อบ๋อมเขาพร้อม พรุ่งนี้วันหยุดถ้าห่วงเพื่อนก็ชวนมาพักที่ไร่สิ”

      “ได้เหรอฮะ”
คนตัวเล็กยิ้มร่าโผตัวกอดภูมิรพีเต็มแรง หอมแก้มสากซ้ายขวาของอีกคนอย่างขอบคุณ แพลนที่จะทำนั้นนู้นนี่กับเพื่อนผุดขึ้นเต็มหัวไปหมด บรรยากาศดีๆ แถวน้ำตกท้ายไรคงจะช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจของบ๋อมให้กลับมาร่าเริงสดใสได้อีกครั้ง

      “ได้อยู่แล้ว” ภูมิรพียิ้มอบอุ่น มือหนาเกลี่ยปอยผมที่ระหน้าขึ้นทัดหูเล็ก น้ำนิ่งหันมายิ้มขอบคุณแล้วกลับไปสนใจหน้าจอโทรศัพท์ในมือ แขนแกร่งยกคนตัวเล็กมานั่งกลางหว่างขาตัวเอง จมูกโด่งเป็นสันกดลงแผ่วเบาที่ลาดไหล่บางกรุ่นกลิ่นกายหอมละมุนจนอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปสูดดมครั้งแล้วครั้งเล่าจนพอใจก่อนจะวางปลายคางบนบ่าคนตัวเล็กนิ่ง  แขนเรียวเล็กโอบรอบคอสอดนิ้วเข้าไปผมนุ่มของภูมิรพีเกลี่ยเบาๆ อย่างหลงลืมตัวตามความเคยชิน

       ภูมิรพีชะโงกหน้าข้ามไหล่บางมองดูมือเรียวเล็กสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปมาค้นหารายชื่อคนที่ต้องการแล้วก็กดโทรออกทันทีคนตัวเล็กมีสีหน้ากังวลเมื่อรอจนสายตัดไปก็ไม่มีคนรับ จึงพยายามโทรออกอีกเกือบสิบสายผลตอบกลับมาก็ยังเหมือนทุกครั้ง จึงกระหน่ำส่งข้อความทั้งไลน์ แทงโก้ วอทแอพ ทุกช่องทางที่ใช้กันอยู่แต่ก็ไม่มีอะไรตอบกลับมา  แววกังวลเจือทั่วหน้าหวานหันกลับมากะทันหันเพื่อขอความเห็นจากอีกคนเป็นผลให้แก้มนิ่มชนเข้าเต็มๆ กับจมูกของภูมิที่รอจังหวะอยู่แล้ว น้ำนิ่งค้อนปะหลับปะเหลือกหน้าขึ้นสีระเรื่อ

      “ชื่นใจ”

      “คนบ้า” 

      “หึ หึ บ๋อมเขาอาจจะไม่ได้อยู่ใกล้โทรศัพท์ อีกทีอาจจะนอนหลับอยู่ก็ได้ ลองโทรถามพี่เมืองสิว่าอยู่ไหนแล้ว”
  ปลายสายตอบรับแทบจะทันทีพร้อมเสียงนุ่มอ่อนโยน

      //พี่ทำงานให้เฮียอยู่ น้ำมีอะไรรึเปล่าครับ//

      “น้ำติดต่อบ๋อมไม่ได้เลยไม่ว่าจะทางไหนๆ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”

      //อาจจะนอนหลับอยู่ก็ได้ ก่อนพี่ออกมาเจ้าตัวเขาบอกพี่แบบนั้น//

      “ถ้านอนจริงก็ดี กลัวจะไม่ใช่น่ะสิ พี่เมืองก็เห็นท่าทางฝืนๆ แบบนั้นมันดูไม่โอเคเลยนะ”

      //พี่รู้ แต่เพื่อนเราเขาก็โตแล้วนะ คงไม่ทำอะไรโดยไม่คิดหรอกครับ //

      “อารมณ์ชั่ววูบน่ะทำให้คนทำอะไรได้โดยไม่คิดมานักต่อนักแล้วนะฮะ เพื่อความสบายใจวนไปดูให้น้ำอีกทีนะฮะได้โปรด”

       //ก็ได้ ก็ได้ ยอมเราจริงๆ เลย เสร็จงานแล้วพี่วนกลับไปดูให้ หรือถ้าจะให้แน่ใจพี่เอาตัวไปพักที่ไร่เลยดีไหมหึ//

      “ถ้าได้แบบนั้นก็จะขอบคุณมากเลยฮะ”

      //หึ หึ แล้วเจอกันเจ้าแสบ//

      “ไม่ต้องซิ่งมากนักนะพี่ชาย รู้นะน้ำเป็นห่วง”  น้ำนิ่งวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะเล็กหน้าโซฟา สีหน้าดูผ่อนคลายมากขึ้น ภูมิรพีดึงมือเล็กเข้ามากุมไว้ในมือของตัวเองยกยิ้มอ่อนโยน

      “มันว่าไงบ้างหืม”

      “บ๋อมอาจจะนอนอยู่ เดี๋ยวพี่เขาจะวนรถกลับไปดูให้ฮะ”

      “อืม หิวรึยังจะทุ่มแล้ว”

      “ยังไม่หิวเลย กินเป็นเพื่อนบ๋อมก่อนเข้ามานี่ ภูมิหิวรึเปล่า

      “ยัง รอกินพร้อมหนูดีกว่าเนอะ”

       “ท้องติดกันที่ไหนล่ะ หิวก็กินจะรอทำไมเดี๋ยวได้ปวดท้อง”

      “หิวเหมือนกันแต่เป็นนี่นะ”
  น้ำนิ่งปัดมือคนขี้แกล้งออกจากกล่องดวงใจและยอดอกตัวเองเป็นพัลวัน  สบเข้ากับสายตาล้อเลียนของแดนสรวงยิ่งเขินอาย  ถึงจะไม่อายที่จะบอกกับสาธารณชนว่าตัวเองมีแฟนเป็นผู้ชายแต่ถึงขนาดจะให้มีแสดงบทพิศวาสโอ้โลมต่อหน้าแดนสรวงและบอดี้การ์ดคนอื่นที่ยืนหัวโด่อยู่สองสามคนอย่างโจ่งครึ่มก็ใช่ที่  ร่างสะบัดตัวจนหลุดจากวงแขนแกร่งโดดไปยืนอีกฝั่งฉับไว

      “ชะ ใช่เรื่องรึไง”

      “หึ หึ ไม่ทำหรอก มานี่มา”
  รอยยิ้มกวนๆ ที่ประดับบนหน้าหล่อเหล่ายิ่งทำให้น้ำนิ่งหมั่นไส้อยากจะซัดสักเปรี้ยง แต่ที่ทำคือฟาดมือลงไปบนฝ่ามือใหญ่ที่กวักเรียกค่อนข้างแรง ภูมิรพีไม่ว่ากระไรแต่สายตาคมออกแววท้าทาย เร่งรัดจนร่างบางยอมเดินเข้าไปหาอย่างงอนๆ อยู่ดี  ภูมิรพีจูงมืออีกคนที่ไปนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน เลื่อนแฟ้มเอกสารมาให้ตรงหน้า  คิ้วเรียวบางเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม

      “ทำรอไปจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน  ง่ายตรวจตัวเลขในบัญชีนี่กับเอกสารใบประมาณราคาในแฟ้มนี้ให้ทีว่ามันตรงกันรึเปล่า ถ้าเจอผิดก็วงไว้นะ ภูมิจะให้เขาเอาไปแก้ทีหลัง โอเคนะ”

      “ได้ครับท่าน ไม่มีปัญหาครับนาย”
  ภูมิรพีแจกมะเหงกกลางหน้าผากมนเป็นรางวัลสำหรับท่าทางล้อเลียนลูกน้องเขาอย่างหมั่นไส้
 
      “เดี๋ยวเถอะ ยอกย้อนทำไปเงียบๆ เลย”   คนตัวเล็กเบ้ปากไหวไหล่ไม่ได้แสดงอาการว่าเกรงกลัวต่อเสียงคำรามในคอของภูมิรพีแม้สักนิด มือหนาชี้บอกให้รีบทำงานแถมหน้าดุสำทับมาทำให้น้ำนิ่งหลุดยิ้มประจบก่อนจะก้มหน้าลงทำงานตรงหน้า ภูมิรพีส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจแกมเอ็นดูชักจะเอาใหญ่แล้วเจ้าเด็กนี่ แต่ก็เพราะใครล่ะถ้าไม่ใช่เขา

      ……………………………….






      “บ้าเอ๊ย!!”

      เมืองแมนสบถด้วยความไม่พอใจที่มาถึงห้องของบ๋อมแล้วเห็นว่าประตูห้องเปิดแง้มอยู่ เจ้าเด็กนี่มันไม่มีสัญชาตญาณการระมัดระวังตัวเลยเหรอวะ หรือต้องให้เห็นโลงศพก่อนจึงจะหลั่งน้ำตา คนตัวโตนึกตำหนิแล้วยิ่งประหลาดใจหนักเมื่อได้ยินเสียงร่ำไห้ดังเล็ดลอดออกมาจากหลังประตูห้องนอนที่เปิดแง้มอยู่ ร่างสูงสาวเท้าอย่างเร่งรีบตามเสียงไปจนถึงประตูห้องนอนมือผลักเปิดกว้าง

      “ฉิบ!!...หายแล้...ว”

       เมืองแมนหลุดสบถอีกครั้งกับสภาพห้องและเจ้าของห้องอยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยนั่งกอดเข่าบนพื้นหน้าเตียงซบหน้าลงกับเข่าร่างสะท้านไหวตามแรงสะอื้น เสียงร่ำไห้ที่ดังก้องบ่งบอกถึงความเจ็บปวดและอดสูใจหนักหนาสาหัสนั่นบาดลึกเข้าไปใจจิตใจที่แข็งแกร่งของเมืองแมนจนกระตุก

       เมืองแมนนั่งลงตรงหน้าร่างสั่นเทา  มือหนาวางลงบนไหล่บางเขย่าเบาๆ บ๋อมสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมองคนที่มาใหม่ด้วยอาการชะงักงัน ตาที่สบกันบวมแดงกลบไปด้วยหยาดน้ำตา กลิ่นคาวความใคร่ที่เลอะตามใบหน้า ลำคอ ตลอดจนหน้าอกที่เผยรำไรฟุ้งตลบจนต้องเสหน้าหนีด้วยความสะท้อนใจที่จุกแน่นในอกจนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้

       กรามแกร่งบดแน่นจากความขึงโกรธตัวเอง ถ้าเพียงแค่เขาเดินตามมาส่งจนถึงห้อง สละเวลารอดูอีกนิดให้แน่ใจจึงออกไป หรือรีบมาตั้งแต่ตอนที่น้ำนิ่งโทรหาไม่มัวโอ้เอ้กับลูกค้าคนนั้นของเฮียทั้งที่งานเสร็จแล้วเหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะไม่เกิดซ้ำรอยเดิม 

       มือใหญ่สากดึงร่างที่ยังสั่นเทาจากการร่ำไห้เข้ามาในวงแขนแกร่ง เขาอยากจะขอโทษแต่สุดท้ายก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากเมืองแมน มันน่าละอายเกินกว่าจะพูดว่าขอโทษออกมาได้ ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วห้องนานนับชั่วโมงจนร่างสั่นไหวและเสียงร่ำไห้สงบลง

      เมืองแมนโอบอุ้มร่างที่หลับใหลไปวางลงบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะเดินไปหาผ้าผืนเล็กชุบน้ำมาเช็ดตามหน้าตา ลำคอ และหน้าอกของบ๋อมจนสะอาด หยิบเสื้อผ้าเพียงกี่ชุดจากในตู้มาเปลี่ยนให้ ปลุกคนตัวเล็กขึ้นมากินยาแก้ไข้แก้อักเสบที่ได้จากโรงพยาบาลรอจนหลับไปอีกครั้งจึงหันไปเก็บทุกอย่างของเจ้าตัวยัดใส่เป้สะพายใส่บ่า เสร็จแล้วจึงอุ้มร่างคนที่หลับใหลไปวางบนเบาะข้างคนขับอย่างเบามือส่วนตัวเองอ้อมมาฝั่งคนขับก่อนจะเคลื่อนรถออกไปจากบริเวณบ้านพักไปยังไร่อย่างเร่งรีบ

      ..........................................




      “ทำไม เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน...” 

       สายตาที่ทอดมองร่างหลับใหลบนเตียงกว้างเต็มไปด้วยความสับสนจนแยกแยะไม่ออกว่าอะไรมากกว่ากันระหว่างความกังวล ห่วงใย หรือความกลัวที่มองไม่เห็นแต่รับรู้ได้ว่าเกาะกุมแทบจะเต็มพื้นที่หัวใจทำให้เสียงที่เปล่งออกมาแหบโหย วงแขนแกร่งของภูมิรพีดึงร่างบางซบแนบอกมือลูบปลอบประโลมให้คลายกลัวและกังวล

      “ซู่ว์...ไม่เป็นไรแล้ว เราจะหาทางช่วยเพื่อนหนูด้วยกันอย่ากังวล”

      “พี่ผิดเองที่ไม่ดูให้แน่ใจก่อน”

      “มันไม่ใช่ความผิดของพี่เมืองหรอกอยากโทษตัวเองเลย คนที่จ้องทำลายกับคนที่ถูกทำลายความระแวดระวังมันต่างกัน”

      “แต่ถึงอย่างนั้น...”
  เมืองแมนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาหน้าน้ำนิ่งตรงๆ มันอึดอัดละอายใจเหมือนน้ำท่วมปาก ถ้าเขาจะถูกเฮียซัดมาสักหมัดสองหมัดยังจะดีคำพูดเหมือนเขาไม่ผิดอะไรเลย

      “เอาน่าไม่มีใครอยากให้เรื่องมันเกิดหรอก มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป จะฟื้นฝอยหาตะเข็บว่าใครผิดใครถูกทำไมมันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย จำไว้เพราะทำอย่างนี้จึงเกิดเหตุนี้ต่อไปจะคิดจะทำอะไรจะได้มีสติและตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาทใช่หรือเปล่าเมืองแมน”  แม้น้ำเสียงของภูมิรพีจะเรียบนิ่งเหมือนไม่ยี่หระแต่คนที่อยู่ด้วยกันมานานจนรู้มือรู้เท่ากันมีหรือจะไม่รู้ว่าเฮียกรุ่นโกรธกับการกระทำของเขาแค่ไหน

      “ครับเฮีย”

      “อย่าครับแต่ปาก ต้องทำด้วย”

      “ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”

      “ยังจะมีครั้งหน้าอีกเหรอ”

      “ไม่ครับ ผมสัญญาว่าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”
 
        “อย่าสัญญาถ้าทำไม่ได้  ไปพักผ่อนได้แล้ว”

      “ผมว่าจะอยู่เป็นเพื่อนนั่น” 

      “ตามใจ”   

      “น้ำฝากด้วยนะพี่เมือง”

      “ครับ”


      .......................................





หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 19-01-2016 14:27:58



      “เห็นแบบนี้แล้วภูมิยังยืนยันเหมือนเดิมนะว่าไม่อยากให้ฝึกงานที่โรงแรมนั่น  แม้จะบอกว่าปลอดภัยแต่บางอย่างมันก็เหนือการควบคุมจริงๆ  เข้าใจที่พูดหรือเปล่า”

      “แจ่มแจ้งแดงแจ๋เลยว่าเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด เพราะมันมัวแต่กัดผู้ใหญ่จนลืมกัดเด็กที่เดินตาม”  น้ำนิ่งเบ้ปากทำท่ายักไหลไม่ยี่หระพร้อมหัวเราะร่วนราวกับเป็นเรื่องตลกขบขัน

       “มันน่าตลกนักหรือไง” คำพูดและกริยาท่าทางของน้ำนิ่งทำให้เชื้อไฟของความโกรธที่ปะทุอยู่ในอกระเบิดตูมภูมิรพีสวนกลับทันควันด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ตาวาวโรจน์ขึ้นสีเข้ม แต่ก็เพียงชั่วครู่ทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ

      “ก็ไม่ตลกเหรอฮะ ที่นั่นเป็นที่สาธารณะแขกเข้าพักก็พลุ่กพล่าน หนูอยู่ที่นั่นเกือบสองเดือนแล้วไม่เห็นจะมีอะไรทุกคนก็รู้จักกันหมด ภูมิคิดได้ไงว่าจะมีคนร้าย  เรื่องพี่แฝดก็เหมือนกันหนูโตแล้วดูแลตัวเองได้ไม่เห็นจะต้องมีคนคุมอย่างกับนักโทษติดเคอร์ฟิวตลอดเวลาแบบนั้น คิดๆ ดูบางทีภูมิก็ทำอะไรเกินกว่าเหตุ ห่วงซะใหญ่โตจนพี่ๆ ที่โรงแรมเขามองหนูเป็นตัวตลกหมดแล้วด้วย”

       “เรื่องของบ๋อมวันนี้หนูมีโอกาสได้ดูกล้องวงจรปิดทุกตัวอย่างละเอียดแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติ บ๋อมน่าจะรู้จักสนิทกันดีเพราะบ๋อมเป็นคนไปหาคนนั้นเอง  เพราะงั้นจะโทษว่าเป็นเพราะโรงแรมก็ไม่ถูกอีก” ภูมิรพีนิ่งสนิทกับคำพูดตื้นเขินของคนตรงหน้า พยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจให้อารมณ์เย็นลง แต่มือที่กำแน่นก็ยังคลายออกยกนิ้วขึ้นดีดหน้าฝากสวยของน้ำนิ่งสุดแรงเพราะเหลืออดเหลือทนกับอะไรหลายๆ อย่าง

      โอ๊ย!! เจ็บนะดีดหนูทำไม”  มือเล็กยกขึ้นคลำหน้าผากที่ปรากฏรอยแดงของตัวเองปอยๆ

      “เจ็บ? อาย? อะไรมากกว่ากันล่ะ”   ภูมิรพีปรายตามองคนข้างๆ ด้วยสายตาเจ็บปวดระคนผิดหวัง น้ำนิ่งตระหนกกับแววตานั่น  น้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรแต่สำหรับน้ำนิ่งมันคือสัญญาณของระเบิดเวลาชัดๆ  อยากจะตบปากตัวเองนักที่คะนองปากพูดไม่รู้จักคิด

      “อะ เออหนูไม่ได้หมายความตามที่...”
      
        “เข้าใจแล้ว”

      “ตะ แต่ว่าคือ...”
  ยิ่งภูมิรพีนิ่งเงียบน้ำนิ่งยิ่งรู้สึกร้อนรนอยากอธิบายว่าไม่ได้คิดตามที่พูดออกไป ก็แค่คะนองปากไม่ใช่ความรู้สึกจริงๆ แต่คำพูดคำอธิบายมันก็จุกอยู่แค่คอไม่หลุดจากปาก จึงได้แต่ก้มหน้ามองมือชื้นเหงื่อของตัวเองบิดไปมาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาคนข้างตัว

      “ไปนอนเถอะดึกแล้ว ขอตัวนะมีงานต้องทำ”  ภูมิรพีลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไม่แม้แต่จะปรายตาสบกับน้ำนิ่งซึ่งกลั้นใจเงยหน้ารออยู่ด้วยซ้ำ คนตัวโตก้าวเดินออกไปจากห้องโดยไม่รอฟังคำอธิบายของน้ำนิ่งที่หน้าเสียมองตามด้วยสำนึกกับความคะนองปากพูดโดยไม่คิดของตัวเอง


       ...................................




      “บ้าจริง” 

       ร่างบางหงายหลังนอนแผ่ลงบนเตียง มือเล็กตบลงบนปากของตัวเองซ้ำๆ ก่อนจะปล่อยมันตกลงข้างตัว หลับตานิ่งจ่อมจมอยู่กับอารมณ์ปวดหน่วงจากแววตาเจ็บปวดและผิดหวังของภูมิรพีเมื่อยี่สิบนาทีก่อน

       มือป่ายปัดไปมาสะดุดกับความเย็นของโทรศัพท์หยิบขึ้นมาดูนั้นนู้นนี่แก้เซ็งสุดท้ายจบลงที่ แกลเลอลี่ที่เต็มไปด้วยภาพของภูมิรพีในอริยาบถต่างๆ นิ้วเรียวสไลด์ภาพไปเรื่อยจากภาพแรกที่แค่ยิ้มจนยิ้มกว้างที่สุด ไม่ว่าในภาพนั้นภูมิรพีจะทำอะไรอยู่แต่สุดท้ายแล้วความรัก ความห่วงหวงที่ฉายชัดอยู่ในแววตาของภูมิรพีก็หยุดอยู่ที่น้ำนิ่งเสมอ ความอุ่นวาบเกิดขึ้นในใจจนอยากจะร้องไห้

      ‘หัวใจยังเต้นแรงเหมือนทุกครั้งที่อยู่ใกล้ นั่นเรียกว่าอายเหรอ’

       นิ้วเรียวเกลี่ยไล้หน้าจอโทรศัพท์ตามโครงหน้าที่ยิ้มกระจ่างราวกับว่านั่นเป็นหน้าของคนที่อยู่ห้วงคำนึง

      ‘ดวงตะวันของนภนที’


      ………………………………………




      “เฮียเซนน้องคิดถึงงงงงง”  

      //ไม่ต้องมาปากหวาน เฮียรู้หรอกถ้าไม่ทะเลาะกันไม่มีทางคิดถึงเฮีย//

      “ไม่ใช่ซะหน่อยน้องคิดถึงเฮียจริงๆ ที่ไม่ค่อยได้โทรหาเพราะเขาเรียนหนักหรอก ไม่เชื่อเหรอ งั้นเขาไม่รบกวนก็ได้”

      //เออๆ แมร่งเอาแต่ใจ พูดมาทำอะไรให้มันโกรธอีก//

      “ชิร์!! ไม่มีซะหน่อย”

      //ยังจะปากแข็ง มันคงจะนิ่งเงียบเย็นชาใส่ แถมกระเตงบั้งข้าวหลามหนองมนหนีด้วยล่ะสิใช่ไหม//

      “เฮียเซนนนน!!  เสื่อมกับน้องจะฟ้องเกลล์”

      //ก็ความจริงไม่ต้องโลกสวยเฮียรู้ว่าเราชอบ แม่ก็รู้  ตกลงว่าไง//

       “ก็นิดหน่อย”

      //บั้งข้าวหลามนะเหรอ??//

      “เฮียเซนนนนน จะไม่ฟังใช่ไหม”

      //เออ เออ  แต่เสียงเราเฮียว่าไม่นิดละม้างงง ทำอะไรให้มันโกรธขนาดนั้น//

       “ก็แบบว่า..........เรื่องมันเป็นแบบนี้แหละ”

      //สมควร เป็นเฮียจัดหนักไปแล้วไม่ปล่อยให้ต่อปากต่อคำหรอก แล้วเราน่ะเคยสำนึกรึเปล่า//

      “เฮียอ๊ะ แทนที่จะปลอบนี่อะไรพูดซ้ำเติมอยู่ได้”

       //เพราะมันรัก ห่วง หวงเรามากไง ถึงพยายามกันน้ำให้อยู่วงนอก อยากให้น้ำใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นปกติทั่วไป ไม่อยากให้เดินเข้าสู่วังวนชีวิตมืดบอดเหมือนสิงห์เหมือนเฮีย..//

      “ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ในเมื่อก็ไม่เห็นจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นซะหน่อย”

       //เฮ้อ!! ไหนๆ ก็ไหนๆ เอาง่ายๆ เรื่องนี้มันสืบเนื่องจากธุรกิจของครอบครัว ก็คงพอจะรู้นะว่ายังไง  ตอนนี้เรามีปัญหาขัดแย้งกับกลุ่ม ACE ของไต่ซินหยาง  ถ้าเพลี่ยงพล้ำหมายถึงชีวิตอย่างเดียว โรงแรมนี่ก็ถูกไต่ซินหยางเทคโอเวอร์ก่อนหน้าที่น้ำจะตอบตกลงมาฝึกงานไม่ถึงเดือน แล้วไอ้นั่นก็ดันเข้ามาพักที่นี่ซะอีกทุกอย่างมันดูบังเอิญเกินไปจนน่ากลัว  เรื่องเพื่อนเรานั่นก็อีกมันน่าคิดไหมล่ะ เราดูกล้องวงจรปิดไปแล้วนี่ไม่คุ้นบ้างเลยเหรอ  เพราะรักมากหวงมากไงมันเลยห้ามทุกเรื่องที่เป็นอันตราย  กันไว้ดีกว่าแก้แต่คนเราก็ดันรั้นเสาะแสวงหาเรื่องดีนัก เราน่ะเล่นกับความรู้สึกของคนที่รักเกินไปก็สมควร ที่พูดนี่ไม่ได้ซ้ำเติมหรอกนะแต่อยากให้คิด//

      “มะ ไม่เห็นจะรู้เลยว่ามีเรื่องแบบนี้ ภูมิไม่เคยเล่าไม่เคยพูดถึงสักครั้ง แต่อยู่ๆ ก็มีคนคอยติดตามทุกฝีก้าวก็น่าสงสัยอยู่แต่ก็ไม่ได้ถาม แต่มันน่าหงุดหงิดไงรู้สึกเหมือนถูกคุมประพฤติติดอยู่ในพื้นที่เคอร์ฟิวตลอดเวลา ภูมิทำเกินไปรึเปล่าก็เหวี่ยงใส่ภูมิไปโดยไม่คิดหลายครั้ง”

      //นิสัยเผด็จการจนเคยตัวแก้ไม่หายไง มันไม่สนความรู้สึกของคนรับหรอกว่าอยากได้หรือไม่ คิดแค่ว่าดีต่อน้ำมันก็ทำ  แต่ทุกอย่างก็เพื่อน้ำทั้งนั้นไม่ใช่คนอื่น ความสุขของน้ำคือจุดศูนย์กลางจักรวาลของมันยังไม่เข้าใจอีกเหรอ//

      “ก็ใช่ แต่เรื่องขนาดนี้บอกน้ำตรงๆ ก็ได้ นี่ก็ไม่ได้บอบบางจนรับรู้อะไรไม่ได้ซักหน่อยทำยังกับว่าไม่ใช่คนๆ เดียวกัน”

      //อย่าคิดอย่างนั้น ที่พวกเราไม่บอกก็เพราะไม่อยากจะให้กังวล เหตุผลมันอาจจะดูไร้สาระสำหรับน้ำแต่สำหรับสิงห์หรือแม้แต่พวกเฮียมันสำคัญ เราก็แค่อยากจะให้น้ำเป็นตัวแทนของพวกเราใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่ให้เหมือนดอกไม้ผลิบาน ท้องฟ้าสีคราม สายลมหน้าร้อนที่พัดโชยกลิ่นดินและหญ้า ความสดใสของแดดซึ่งชีวิตแบบนั้นพวกเราไม่เคยจะสัมผัสมันเลยต่างหากเล่า//

      “อย่างนั่นเหรอฮะ นี่น้ำก็ไม่เคยรู้เลย”

      //มันไม่ใช่ความลับอะไรหรอกเพียงแค่เจ้านั่นชอบทำมากกว่าพูด เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ช่วยเข้าใจพวกเราสักนิด//

       “ซึ้งถึงก้นบึ้งของหัวใจเลยตอนนี้แหละ แต่เอาจริงๆ ตอนนี้ความกล้ามันยังไม่พอที่จะไปง้อขอโทษไงเลยขอแหกโค้งผ่าด่านหาเฮียก่อนไง”

      //น้านนนกูว่าแล้ว...ผิดคำพูดที่ไหน กำลังใจให้ได้แต่ไม่ช่วยพูดหรอกนะ ครั้งนี้เราผิดจริงผูกปมซะยุ่งเหยิงก็แก้เองแล้วกัน  น้ำเอ๊ย! ความรู้สึกของคนมันอ่อนไหวแตกหักง่ายจะตาย ถ้าฟังเรื่องดีก็ดีไปถ้าเป็นเรื่องไม่ดีความรู้สึกที่เสียไปเราเรียกคืนไม่ได้หรอกนะ เหมือนเชือกที่เราผูกปมจนยุ่งเหยิงเมื้อกี้นั่นแหละตอนนี้มันขาดแล้ว ถึงจะดึงปลายทั้งสองด้านมาผูกให้แน่นแค่ไหนแมร่งก็มีปมเข้าใจที่พูดไหม//

      “ขะ เข้าใจฮะ  เฮียพูดซะเหมือนน้ำผิดจนไม่น่าได้รับการอภัยจากภูมิเลย ชักจะกลัวๆ แล้วนะ”

       //มั่นใจหน่อย  ไม่ต้องคิดมากถ้าอยากจะกินข้าวหลามหนองมนแบบหวานมันอร่อยก็รีบไปเคลียร์กันซะ แต่ถ้าเบื่อเพราะกินแล้วมันอืดท้องก็ปล่อยน้องเฮียไปอย่าละล้าละลังจบนะ//

      “เฮียเซนนนนนนนนนน เสื่อมสุด แล้วไม่ต้องพูดเรื่องเบื่อนะ มันจะไม่เป็นแบบนั้นแน่”

      //เออ! ก็แค่นี่ชอบอะไรก็กินอันนั้นจบนะ คิดเยอะทำไมพรุ่งนี้จะได้ตื่นรึเปล่าก็ยังไม่รู้  รีบไปสิ ชักช้าเดี๋ยวแมร่งงอนหนักแล้วเอาไปให้คนอื่นแคะกินก่อนมีอดนะโว้ย แค่นี้นะถึงเวลาให้อาหารเช้ากระต่ายวะ//

      “เฮียเซนนนนนนนนนนน”


      ………………………….





      “นั่นของภูมิเหรอ มาเถอะเดี๋ยวน้ำยกเข้าไปเอง” 

       เข้มแข็งไม่ขัดข้องที่น้ำนิ่งจะทำอย่างนั้น มือใหญ่ผลักประตูเปิดให้ก่อนจะลุนหลังบางเข้าไปในห้อง น้ำนิ่งหันกลับมามองอย่างลังเลเมื่อเห็นว่าภูมิรพีมีทีท่าไม่สนใจ มือใหญ่ของเข้มแข็งจึงทั้งผลักทั้งดันให้น้ำนิ่งเข้าไปในห้อง ยกยิ้มให้กำลังใจ มือโบกสะบัดเป็นสัญญาณให้น้องรีบเดินเข้าไปจนถึงหน้าโต๊ะทำงาน

       แม้หน้าตาเฮียจะเรียบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรแต่คนที่อยู่ด้วยกันมานานย่อมรู้ดีว่าแบบนี้ไม่ควรตอแยหลีกได้เป็นหลีกหลบได้เป็นหลบ  แต่ยังงี้ก็ไม่ไหวถ้าทั้งคู่คุยกันให้เคลียร์ ปล่อยให้ข้ามวันข้ามคืนได้เกิดปัญหาสภาพแวดล้อมเป็นพิษมีได้ตายยกรังแน่

       เข้มแข็งเผ่นกระโจนถึงประตูแทบจะทันทีที่สบเข้ากับสายตาของเฮียสิงห์ มือกระชากประตูปิดตามหลังราวกับจับถ่านร้อน หนีมาตั้งหลักนอกห้องพยายามเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวข้างในห้องอยู่เป็นนานเมื่อไม่มีอะไรจึงเบาใจเดินไปสมทบกับพรรคพวกที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มบริเวณห้องโถง

      “ส่งเครื่องบัดพลีเรียบร้อยแล้วเหรอวะ”  เด็ดขาดถามขึ้นหลังจากยกโคโรน่าขึ้นดื่มทีเดียวเกือบครึ่งขวด

      “เฮียก็เรียกน้องซะผมเห็นภาพ”  แดนสรวงซึ่งเดินเข้ามาพอดีถึงแม้จะเห็นด้วยกับความคิดนั้นแต่ก็ตำหนิเด็ดขาดกลายๆ

      “ก็รึไม่จริง เราส่งน้องเข้าไปเพื่อบูชาพายุทมิฬให้สงบไม่ใช่เหรอวะ”  เด็ดขาดแย้งกลับมาเสียงจริงจัง

      “ยังไงก็ช่างถือว่าภารกิจเคลียร์ตามที่เสี่ยสั่ง แต่ไม่รู้ว่าหนูจะโดนขย้ำหรือสิงห์จะถูกขย่ม ทะเลากันบ่อยแบบนี้มีหวังลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองฮ่า ฮ่า”  เข้มแข็งตัวตั้งตัวตีซึ่งรับมอบภารกิจจากเสี่ยเซนบอกเล่าด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

      “แล้วตอนน้องเข้าไปเฮียอารมณ์ดียังวะ”  แดนสรวงชักจะห่วงน้ำนิ่งซะแล้วสิ ก็รู้ๆ กันอยู่เวลาเฮียสิงห์โกรธมันเป็นยังไง ยิ่งเฮียไม่ใช่คนผิดด้วยแล้วไม่อยากจะคิดว่าน้ำนิ่งจะเหวอะหวะแค่ไหน

      “ยังเย็นชาสุดโต่ง ก็รอบนี่เฮียท่านไม่ผิดไงเลยเล่นตัวโก่งค่าตัวเต็มที่ นิ่งสนิทสยบทุกการเคลื่อนไหว เด็กน้อยของพวกเราก็ยิ่งกลัวเพราะตัวเองผิดจริงคอยแต่จะก้าวถอย ทั้งผลักทั้งดันกว่าจะยอมเดินเข้าไป แล้วมึงรู้ไหมเฮียมึงเขาพูดอะไร”

      “จะรู้กับคุณมึงเหรอครับลีลาพูดมาเลย”  กูว่าแล้วผิดจากที่คาดซะที่ไหนเฮียโหดแดนสรวงพึมพำกับตัวเอง

      “ 'มีอะไรอีก วางไว้นั่นแหละ’ แล้วไม่แม้แต่จะหยิบขึ้นมาจิบนะทั้งที่บอกกูเอาไปให้เอง” น้ำเสียงท่าทางเลียนแบบของเข้มแข็งแทบจะถอดแบบมาจากภูมิรพีจนพรรคพวกห่วงว่าน้ำนิ่งจะรองรับแรงอารมณ์ของพายุทมิฬไหวรึเปล่า ก็รู้กันอยู่น้ำนิ่งไม่เหมือนใคร

       “น้องอ้าปากกำลังจะพูดเฮียแกตัดฉับเลย ‘ขอตัวนะพอดีมีเรื่องด่วนเข้ามา’  เสียงงี้เรียบกริบเย็นชาบาดลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ สายตาไม่ต้องพูดถึงก็รู้ๆ กันอยู่นิ่งสนิทไม่มีความรู้สึกห่าอะไรเลยด้วย กูนี่อยากจะสลายเป็นอากาศธาตุฉิบหายแต่ก็ไม่ได้เพราะน้องมันส่งสายตาขอร้องไว้ไง  ตอนคุยโทรศัพท์ทั้งหน้าตาน้ำเสียงถ้าไม่รู้ว่าน้องเป็นเมียรักนะ กูว่าคนในสายนั่นยังให้อารมณ์เมียรักซะกว่าอีกแมร่งคนละฟิวชั่นเลย พอหันมาเห็นกูสายตาเนี่ยตวัดฉับจนต้องแจ้นออกมานี่แหละ”

      “น้องจะรอดเหรอวะแบบนี้ ยิ่งอ่อนไหวอยู่ด้วยชักห่วง”  ความกังวลห่วงใยน้ำนิ่งทำให้แดนสรวงผุดลุกผุดนั่งคอยชะโงกมองประตูห้องทำงานตลอด จนในที่สุดทนไม่ไหวจึงเดินไปเอาหูแนบเพื่อฟังเสียงของคนข้างในแต่ก็ไม่ได้ยินอะไร จึงเดินหน้ามุ่ยกลับมารวมกลุ่มที่ห้องโถงเหมือนเดิม

      “มึงก็ห่วงเกิน ถึงจะโกรธยังไงแสดงออกแค่ไหน มึงเคยเห็นเฮียเขาทำรุนแรงกับแก้วตาดวงใจของเขาหรือเปล่า เชื่อกู แต่ที่จะโดนตอนนี้คือมึงกะกูถ้าไม่รีบจร...ลี”



      - ปัง -


      ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าออกไปด้วยซ้ำ ประตูห้องทำงานที่ปิดสนิทเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วก็ถูกกระแทกเปิดดังสนั่น จนทั้งสามชะงักกึกมองหน้ากันเลิกลั่ก จะหนีก็ไม่ทันแล้วพายุทมิฬยืนทมึงตึงอยู่หน้าห้อง ถ้าเป็นไปได้ทั้งสามอยากย้อนเวลาไปเมื่อสักสิบนาทีที่แล้ว ถ้าแยกกันตั้งแต่ตอนนั้น...ไม่น่ามัวแต่คุยกันเลยแมร่งเอ๊ย 

      “กูว่าแล้ว”  เข้มแข็งพึมพำกับเพื่อนร่วมก๊วนเสียงเบ่า

      “ไอ้เข้ม ไอ้แดน ไอ้ตัวดีอยากจะหาเรื่องใช่ไหมไปด้วยกันเดี๋ยวนี้ เด็ดไปเรียกไอ้ชัดมาเฝ้าน้องของมันไว้ อย่าให้ย่างกรายออกไปจากไร่ได้เชียว ถ้าหลุดออกไปได้คนที่เป็นเวรเฝ้าไร่วันนี้เตรียมตัวตายได้เลย” 

       สั่งเสร็จพายุทมิฬเดินนำลิ่วไปขึ้นรถโดยไม่รอสองบอดี้การ์ดที่กระโดดขึ้นรถแทบไม่ทัน ขึ้นรถได้ต้องรีบควานหาเข็ดขัดนิรภัยและที่เกาะยึด เฮียสิงห์ขับรถตอนโกรธใครจะกล้าเสี่ยงวะ...ผมยังไม่อยากตาย



      .....................................












TBC.


ปล.มาต่อแล้วนะครับผม :) ขอโทษที่ช้าช่วงนี้งานยุ่งมากถึงมากที่สุดภายใต้สถานการณ์คนน้อยงานมาก555  เหมือนเช่นเคย ขอบคุณสำหรับการติดตาม ถ้าเจอข้อผิดพลาด อยากจะแนะนำอะไรก็แจ้งไว้นะครับยินดีน้อมรับไปแก้ไข  และไม่ว่าจะอ่านหนังสือเล่มไหนก็ขอให้สนุกกับการอ่าน
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-01-2016 15:17:26
 :hao5:  สารภาพว่าดองค่ะ ตัวละครเยอะจริงๆ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 19-01-2016 17:10:07
สิงค์ทมิฬ  0_0 ...
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 20-01-2016 06:11:42
อ่านไปอ่านมาเริ่มงง  :m28: :m28: ตัวละครเยอะเกิน  :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 20-01-2016 10:55:16
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-01-2016 11:43:49
ฝ่ายภูมิเหมือนยืนอยู่ในที่สว่างให้ถูกโจมตีได้
ถึงจะระวังแค่ไหนพวก ACE ก็หาวิธีไปได้เรื่อยๆ ตราบใดที่ยังไม่ถูกทำลาย
ถ้าไม่เข้ามายืมมือเพื่อนน้ำก็มีทางอื่นมากมายยิ่งน้องน้ำไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมด้วยแล้วยิ่งยากใหญ่

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.29_P.7_1912016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 20-01-2016 19:24:52
@ ❣☾月亮☽❣  / Ginny Jinny

การเดินเรื่อง  ดังนี้

น้ำสิงห์’s Story

   1. ตัวเดินเรื่อง
        1.1 ภูมิรพี / ราฟาเอล / สิงห์
       ที่มาของชื่อ
       1) ภูมิรพี เป็นชื่อที่แม่ใหญ่ตั้งให้ตอนอยู่บ้านเด็กกำพร้าชิดชล
       2) ราฟาเอล  เป็นชื่อที่พ่อแม่ (อเลสซานโตรและเกลล์) ของภูมิรพีตั้งให้ตั้งแต่เกิดตามความประสงค์ของเมย์ น้องสาวของเกลล์
       3) สิงห์  เนื่องจากแม่ใหญ่เก็บภูมิรพีได้ในเดือนสิงหาคมจึงเรียกว่า “สิงห์”  และคนอื่นๆ ก็เรียกตาม
       4) น้ำนิ่งเป็นเพียงคนเดียวที่เรียกภูมิรพีว่า “ภูมิ”  เพื่อแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
        1.2 นภนที หรือ น้ำนิ่ง  เด็กกำพร้าในอุปการะของภูมิรพี

    2. ลูกขุนพลอยพยัก
       ภูมิรพี  >>  ชัดเจน  เข้มแข็ง  และเด็ดขาด
       น้ำนิ่ง  >>  เมืองแมน และแดนสรวง (พี่น้องฝาแฝด) ได้มาจากการบังคับของภูมิรพี



Zhen Side Story

    1. ตัวเดินเรื่อง 
        1.1 เสี่ยเซน  พี่ชายของภูมิรพี 
        1.2 คานิน / กระต่ายของเสี่ยเซน 

   2. ลูกขุนพลอยพยัก
        เสี่ยเซน  >>  อาแจ๊กซ์  เออร์วิน  แม็กซิมัส    
        คานิน  >>  เทรย์เวอร์  และ ไมค์



ตัวเชื่อมโยงให้เกิดเรื่อง

1. ไต่ซินหยาง นายใหญ่ของ ACE 
2. บ๋อม (บารมี) และ เอ (อนรรฆ)  เพื่อนของน้ำนิ่ง
3. เฮียทั้งหลายจากเรือนชิดชล  >> พี่คม (แสนคม)  พี่ฉาน (ฉะฉาน)  พี่กรณ์  พี่หนึ่ง (หนึ่งฤทัย)  พี่พี (พีระณัฐ) และพี่ณิต (คณิต)
4. เฮียไป๋ซาน (เจ้านายของคานิน)
5. วัลโด้ (ถูกเสี่ยเซนกำจัดไปแล้ว)

      ตัวละครทุกตัวมีบทบาทที่ต้องแสดงจะมากบ้างน้อยบ้างก็เป็นไปตามที่ได้รับมอบหมายในตอนนั้นๆ (ไม่ว่าจะในชีวิตจริงหรือละครเราก็จำเป็นต้องปฏิสัมพันธ์กับคนหลายๆ คน) และทุกบทบาทจะเชื่อมโยงถึงกันเป็นเรื่องนี้ขึ้นมา บางตัวละครโผล่ขึ้นมาแวบๆ แล้วหายไป แต่จริงๆ ยังไม่ได้หายไปไหนหรอกค่ะ ยังจะกลับมาโลดแล่นอีกหลายตอนที่กล่าวถึงต่อๆ ไป
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.30_โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า P.7_2412016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 24-01-2016 18:43:55
เด็กเลี้ยง



30

โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า






      “มีอะไรอีก” 

       ภูมิรพีปรายตามองเพียงแวบแล้วก้มลงอ่านเอกสารที่ถืออยู่ในมือหน้าแล้วหน้าเล่า น้ำเสียงราบเรียบที่หลุดจากปากไม่ได้บ่งบอกว่าโมโหเกรี้ยวกราด ทำให้คนตัวเล็กสะอึกใบหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด สะกิดความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาจนช่องท้องปวดมวนอย่างน่าประหลาด อยากจะผละหนีเพราะความเฉยชาคงทำไม่ได้ในเมื่อตัวเองผิดก็ต้องพยายามให้อีกคนหายโกรธ แต่ถึงกระนั้นคำพูดขอโทษที่ติดอยู่ลำคอก็ไม่หลุดจากปากแต่อย่างใด

      “อะ เออ...”

      “วางไว้นั่นแหละ....” 

       น้ำนิ่งวางน้ำขิงร้อนลงที่วางบนโต๊ะทำงาน ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้งมันเงียบจนได้ยินเสียงปากกาในมือคนตัวโตที่ถูกขีดเขียนลงบนกระดาษ เสียงเข็มนาฬิกาที่เดินผ่านไปแต่ละนาที เสียงเต้นของหัวใจตึกตักที่ขลาดกลัว หรือแม้แต่เสียงหรีดหริ่งเรไรที่แข่งกันส่งเสียงอยู่นอกหน้าต่างไกลๆ ลมกลางคืนที่โชยพัดเอื่อยลอดบานประตูมุ้งลวดเข้ามาไม่ได้ช่วยให้จิตใจที่ร้อนลุ่มของน้ำนิ่งเย็นลง แต่มันกับร้อนอ้าวจนเหงื่อซึมเปียกตามไร้ผม

       ทำไมมันยากเย็นนักนะกับการขอโทษใครสักคน ขณะที่กำลังครุ่นคิดหาทางออกให้ตัวเองหน้าจอโทรศัพท์ของภูมิรพีสว่างวาบขึ้นบ่งบอกว่ามีวิดีโอคอลเข้ามาเข้าดึงสายตาน้ำนิ่งให้ชำเลืองมองหน้าจอระบุหมายเลขส่วนตัว คนตัวเล็กหน้าตึง ตาขวาง ด้วยความไม่พอใจ

       “ขอตัวนะพอดีมีงานด่วนเข้ามา”   ภูมิรพีบอกคนตัวเล็กทั้งที่ยังมองหน้าจอโทรศัพท์ตาไม่กระพริบ ปากได้รูปยิ้มบางเบา ก่อนจะกดรับสายที่ดังเตือนเป็นครั้งที่สอง

      //สวัสดีค่ะสิงห์ยุ่งอยู่รึเปล่าเอ่ย//

      “ผมว่างอยู่  สำหรับโชว์คุยได้อยู่แล้วครับ”  ว่างงั้นเหรอเมื่อกี้ยังทำเป็นยุ่งจนไม่อยากจะมองหน้ากันอยู่เลย ความน้อยใจกระจุกแน่นในอกอีกระลอกจนต้องเบือนหน้าหนีไม่อยากจะมอง ไม่อยากจะได้ยิน

       //โชว์โทรมาทวงถามนัดระหว่างเรานะค่ะ คุณหายเงียบไปเลย น้อยใจจังบอกว่าจะติดต่อถึงก็ไม่ยอมติดต่อมา โชว์อดทนรอมาสองวัน ทนไม่ไหวก็เลยโทรมานี่ล่ะค่ะ// 

       เสียงหวานตัดพ้ออย่างผิดหวังดังลอดมาตามสาย  ก็ไหนว่าไม่มีอะไรกันแค่เพื่อนทางธุรกิจ แต่ทั้งเสียงทั้งภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าบ่งบอกว่าทั้งคู่น่าจะสนิทสนมกันถึงขนาดฝ่ายหญิงกระเง้ากระงอดได้คืออะไร  ความรู้สึกน้อยใจ ริษยา หึงหวง ที่จุกแน่นในอกจนแยกแยะไม่ออกว่าความรู้สึกไหนมากกว่ากัน แววตาหวานวูบไหวเสมองออกไปนอกประตูเก็บข่มน้ำตาเอ่อคลอให้มันไหลตกลงก้นบึ้งของหัวใจดังเดิม

      “ขอโทษนะครับโชว์  ไม่ได้ลืมแต่ผมไม่ค่อยว่างเลยช่วงนี้ งานที่บริษัทเยอะมากไหนจะเรื่องขอสัมปทานอีกยุ่งไปหมดเลย เอาไว้ผมจะชดเชยให้คราวหน้านะ”

      //โธ่!! เห็นหน้าสิงห์ตอนนี้โชว์รู้หรอกว่าลำบากใจเรื่องอะไร ไม่ใช่เหตุผลที่สิงห์ว่ามาหรอกใช่ไหมค่ะ ถึงคุณจะบอกว่ามีคนรักอยู่แล้วก็ไม่เป็นไรนี่ค่ะ เราก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันได้นี่ เพื่อนมีเรื่องอยากปรึกษาเพื่อน คนนั้นของสิงห์คงเข้าใจ ถือว่าอนุเคราะห์เพื่อนคนนี้หน่อยก็แล้วกันไม่ได้เหรอค่ะ//

      “สำหรับโชว์ได้อยู่แล้วล่ะครับ บอกมาได้ทุกเมื่อทุกเรื่องผมไม่ขัดข้องอยู่แล้ว”

      //เปิดทางให้อย่างนี้ โชว์ไม่เกรงใจนะค่ะ//

      “ครับก็เราเป็น ‘เพื่อน’ กัน เพื่อนมีเรื่องเดือดร้อนถ้าช่วยได้ผมก็ต้องช่วยอยู่แล้ว”

      //สิงห์นี่น้าใจดีไม่เปลี่ยนเลย อาทิตย์หน้าโชว์จะไปไทยสิงห์ยังอยู่ที่แม่ฮ่องสอนหรือเปล่า โชว์ไปเจอได้ใช่ไหม”

      “ได้อยู่แล้ว มาถึงเมื่อไรโทรบอกด้วยนะครับผมจะไปรับ”

      //ค่ะ โชว์รบกวนแค่นี้แหละ สิงห์ทำงานต่อเถอะ อ๊ะ! ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยรักษาสุขภาพด้วยนะเป็นห่วงบายค่ะ//

      “ครับ โชว์ก็เหมือนกันนะ บายครับ”



      ความโกรธยามมันพวยพุ่งย่อมกลบปัญญา นั่นหมายถึงการตกเป็นผู้แพ้ต่อโมหะจริต คนเป็นทาสย่อมเหมือนเป็นคนบ้า แม้ยามนี้น้ำนิ่งไม่ได้อยู่ในห้วงความโกรธ แต่เขาตกอยู่ในห้วงของความอิจฉาริษยาที่อัดแน่นในอกเหมือนลูกโป่งที่สูบแก๊สเข้าไปจนตึงแน่นรอวันระเบิด ห้วงอารมณ์แบบนี้จึงทั้งโง่ทั้งบ้า

       เสียงเปิดปิดประตูดังทำลายความเงียบดึงรั้งสติให้น้ำนิ่งรู้สึกตัว หันมองข้างกายปราศจากร่างสูงใหญ่ของเข้มแข็ง แต่หางตาทันได้เห็นร่างสูงใหญ่แทรกตัวออกไปจากประตูอย่างรวดเร็วราวกับหนีอะไรซักอย่าง หันกลับมาสบเข้ากับสายตาคมดุที่จ้องนิ่งยิ่งทำให้ใจห่อเหี่ยว ความมั่นใจลดฮวบจนลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก ยิ้มปากสั่นแต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเฉยเมย  ภูมิรพีหันไปสนใจงานตรงหน้าอีกครา ความเงียบจนน่าอึดอัดแทรกอยู่ในบรรยากาศของห้องอบอุ่นจากแสงไฟนวลตาแต่กลับเย็นเยียบในความรู้สึกของน้ำนิ่งอีกครั้ง

      “ภูมิ...หนูขอโทษที่พูดแบบนั้น แต่....”  น้ำนิ่งปริปากขอโทษตะกุกตะกักหลังจากยืนเงียบราวกับไม่มีตัวตนอยู่เกือบสิบนาที

      “คำพูดก็พูดออกมาตามที่สมองคิดและสั่งการ  พอเถอะไม่อยากจะฟังดึกแล้ว”  ภูมิรพีเอ่ยตัดบทโดยไม่รอให้น้ำนิ่งอธิบายให้จบ ทั้งยังไม่ได้เงยหน้ามองใจจดจ่ออยู่แค่งานตรงตรงหน้าราวกับว่ามันสำคัญนักหนา สิ่งที่ตกตะกอนขุ่นในใจไม่ใช่ความโกรธแต่รู้สึกผิดหวังที่คนตรงหน้าเห็นความรักความห่วงใยมากมายของเขาเป็นเรื่องตลกไร้สาระ

      “ขอโทษ อย่าโกรธหนูได้ไหมที่พูดออกไปแบบนั้นก็เพราะความคะนองไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย....เชื่อหนูนะ”  น้ำนิ่งชะโงกตัวข้ามโต๊ะทำงานเอื้อมคว้าแขนของภูมิรพีไว้แน่น ปากเล็กพร่ำขอโทษไม่หยุด คนตัวโตมองหน้าคนพูดนิ่งแกะมือเล็กออกจากแขนของตัวเอง

      “เอาเถอะเข้าใจแล้ว ไม่ได้โกรธและไม่ต้องอธิบายอะไรหรอก ไปนอนเถอะ”

      “ไม่โกรธ แล้วเย็นชาทำไม แล้วทำแบบนั้นคืออะไร”  ภูมิรพีมองหน้าน้ำนิ่งอย่างเหนื่อยล้า

      “ขอร้อง เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะ”


      อากาศยามดึกเย็นสบาย บริเวณทั่วไร่เปิดไฟสว่างเรื่อเรือง ท้องฟ้าที่มองเห็นจากบานประตูกระจกที่เปิดกว้างยามนี้มืดสนิท คืนเดือนมืดแทบมองไม่เห็นเหล่าดวงดารา เหมือนใจของคนบางคนที่ยังไม่เห็นทางออกของปัญหา สายลมโชยพัดเอื่อยทำให้ยอดใบยาสูบที่เห็นอยู่ริบๆ ไหวเอน น้ำนิ่งยกมือขึ้นลูบต้นแขนอดแขวะลมเย็นๆ ว่า ทำไมไม่โบกพัดอารมณ์ขึงโกรธและความเฉยเมยของคนตรงหน้าให้หนีหายไปบ้าง

      ความอึดอัดที่แผ่กระจายในบรรยากาศชวนเครียด น้ำนิ่งล่ำๆ อยากจะพูดอธิบายอยากจะถามถึงคนนั้นเสียหลายหน แต่เพราะท่าทางของภูมิรพีบอกว่าหากเขาพูดออกมาอีกครั้งคนตัวโตก็พร้อมจะระเบิดอารมณ์ใส่ทันที  น้ำนิ่งจึงชิงเอาชนะด้วยการยืนเงียบอยู่อย่างนั้น แต่มันก็เป็นความชนะในความพ่ายแพ้เสียมากกว่า ในเมื่อใจไม่ได้ชนะตามไปด้วยเลย 



      “พอเถอะจะยืนอย่างนี้ทั้งคืนเลยรึไง”  ภูมิรพีวางปากกาในมือลงถอนหายใจกับความดื้อดึงของน้ำนิ่ง

      “จนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง”

       “ก็บอกแล้วไม่โกรธ”

      “ไม่ได้โกรธแล้วทำไมเฉยเมย  หรือว่ารำคาญ? เบื่อ? เพราะคนนั้น คุยกับเขาได้แต่ไม่คุยกับหนู ถ้าเบื่อไม่อยากอยู่ด้วยกันก็บอกมา”  สายตาตัดพ้อที่ส่งมาให้ทำให้ภูมิรพีใจกระตุกวุบ สบถออกมาเบาๆ

      “เลยเถิดไปใหญ่แล้ว ก็แค่เพื่อน....”  ภูมิรพีว่าเสียงดุเย็น

      “เพื่อน!! หึมันน่าหัวเราะนะกับท่าทางที่แสดงออกต่อเพื่อนแบบนั้น จะมาหาเหรอ? ถ้าหนูไม่อยู่ตรงนี้ก็คงจะนัดแนะไปทำกันถึงไหนต่อไหนสินะ หรือทำกันไปแล้ว ติดใจจนวิ่งแร่มาหาถึงนี่ นั่นก็รู้ทั้งรู้ว่าคนเขามีเจ้าของแล้วยังจะวุ่นวาย หรือการแย่งชิงของคนอื่นมันเป็นความท้าทาย...” 

       สีหน้าแววตาผิดหวังของภูมิรพีดึงสติน้ำนิ่งให้คืนกลับมา แต่ก็สายไปแล้วเมื่ออารมณ์หึงหวง อิจฉาริษยาบังตาบังใจทำให้ขาดสติจนปล่อยให้คำพูดพล่อยๆ ที่ดูถูกดูแคลนหลุดจากปากไปสร้างบาดแผลในใจคนที่รักอีกครั้ง มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง

      “คิดได้แค่นั้น!? ไม่เชื่อใจ...!?”  ร่างสูงลุกจากเก้าอี้แววตาที่สบกันมันว่างเปล่าใจของเขามันผิดหวังจนเหนื่อยล้า ภูมิรพีเบือนหน้าหนีก่อนจะเดินไปหยุดมองเหม่อท้องฟ้ามืดมิดนิ่ง


      “ขอโทษ”  ใจที่วูบโหวงเหมือนจะเสียของรักทำให้คำขอโทษหนักแน่นจริงใจหลุดจากปากร่างบางอย่างง่ายดาย แต่ร่างสูงยืนเฉย น้ำนิ่งมองแผ่นหลังกว้างด้วยความรู้สึกผิด ทำไมต้องพูดไม่คิดให้มันทำร้ายจิตใจของคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

      “ขอโทษที่หึงหวงงี่เง่า”  คนตัวโตหันกลับมามองด้วยแววตาจริงจัง ขายาวก้าวสวบๆ เข้าถึงตัว แต่แทนที่จะกอดไว้อย่างดีตามที่คาดคะเน ก็กลับยืนมองเฉยๆ



       “ดีใจนะที่ได้ยินแบบนี้ ความหวงแหนเป็นสิ่งที่ดีเป็นเสมือนเครื่องยืนยันว่าภูมิยังเป็นคนสำคัญ เป็นที่รัก เป็นที่ต้องการสำหรับหนู แต่ว่าความเชื่อใจไว้ใจก็เป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน ซึ่งในความรักนั้นอารมณ์เหล่านี้ควรสมดุลกันอย่าให้มากหรือน้อยไป  แต่ยังไงก็ตามทุกอารมณ์ความรู้สึกก็เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา ให้เรายึดมั่นถือมั่นในบางสิ่งที่เป็นของเราโดยชอบธรรม เมื่อมันเป็นสิ่งที่ตัวเราใจเราปรุงแต่งขึ้นมา เราก็เป็นนายต้องรู้จักควบคุมมันโดยมีสติเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว...” 

       แล้วรู้อะไรไหมการที่หัวใจภูมิยังเต้นแรงทุกครั้งเหมือนวันแรกที่ได้โอบอุ้มตัวหนูมาไว้ในอ้อมกอดนี่ยังพิสูจน์ไม่ได้อีกเหรอว่าหนูเป็นอะไรสำหรับภูมิ โชว์เป็นเพื่อนสถานะของเขามีแค่นั้น ก็เหมือนหนูกับบ๋อมเขาเดือดร้อนหนูก็ช่วยเป็นธุระให้ ภูมิเองก็เหมือนกัน”  หลังจากจบคำอธิบายยืดยาวภูมิรพียังคงมองหน้าสบตาน้ำนิ่งอยู่อย่างนั้น

      “หนูเข้าใจแล้วรับรู้สึกถึงตลอด แต่การรักมากมันก็ทำให้หวงมากเกินไป อารมณ์หึงหวงบังตาบังใจเหมือนคนโง่จนน่าสมเพช มันช่างเป็นทุกข์จากการยึดมั่นถือมั่นเหลือเกิน”

      “งั้นเราทั้งคู่ก็คงไม่ต่างกัน” 



      “ภูมิ...”  น้ำนิ่งเอ่ยเสียงเบาหลังจากที่ทั้งคู่ยืนนิ่งเงียบอยู่นานหลายนาที

      “หืม..”

       “ยกโทษให้กับความงี่เง่าของหนูได้หรือเปล่า” 

       เมื่อภูมิรพียังเฉยน้ำนิ่งก้าวเข้าชิด กอดคนตัวโตไว้เสียเองสอดแขนเข้ารอบเอว และซบหน้าลงกับอกเสื้อเชิ้ตโดยไม่กังวลว่ากระดุมจะกดแรงลงบริเวณผิวแก้มนิ่ม คนตัวโตยังยืนเฉย ปล่อยให้น้ำนิ่งกอดเขาข้างเดียวอยู่ครู่ใหญ่จึงทำเสียง  ฮื้อ! ในลำคอคล้ายกับจะรำคาญหรือหมดความบังคับตนเอง

      แขนแกร่งรัดร่างบางแน่นเข้าด้วยแขนข้างเดียว มือข้างที่วางกุมลำคอระหง ดันหน้าร่างบางให้เงยแหงน ริมฝีปากไล้เบาๆ ไปตามเรียวปากของน้ำนิ่งจนปากแย้มเผยอ จึงกดจูบลงมาอย่างดูดดื่ม

      ภูมิรพีจูบแล้วจูบอีกอย่างกระหาย กระทั่งน้ำนิ่งแทบจะหายใจไม่ออก จึงถอนริมฝีปากมาซุกซบกับเรือนผมนิ่มแล้วถอนหายใจยาว

      “เราโง่และผิดกันทั้งคู่ ต่างคนต่างขาดสติยอมให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล...”  น้ำนิ่งยิ้มบางเบากับคำพูดนั่น มือเล็กปลดกระดุมเสื้อของเขาออก แหวกสาบเสื้อเพื่อซุกซบกับเนื้อแท้ของของเขา มีความสุขและมั่นใจว่า เราทั้งคู่เป็นของกันและกัน เมื่อเขาดันร่างบางออกห่างเพื่อจะมองหน้า มือเล็กเหนี่ยวปกเสื้อเขาไว้ไม่ยอมให้ห่างมากแถมยกตัวขึ้นแตะจูบปลายคางทำให้เขาต้องยิ้ม

       “เมื่อกี้ทำไมเงียบ เฉยเมยจนหนูใจเสียไปหมด”

       “ไม่มีอะไรหรอกคิดเรื่องงานนิดหน่อยอย่าห่วงเลย สบายใจแล้วนะไปนอนเถอะพักผ่อนไม่เพียงพอจะไม่สบายเอา” 

      “ใครจะสบายใจได้ หนูโตพอที่จะแบ่งเบาภาระและความเหนื่อยล้าของภูมิได้แล้วนะ ที่คิดอยู่ตรงนี้เรื่องไต่ชินหยางเหรอ”  ภูมิรพีผละตัวออกมองร่างบางอย่างฉงนปนแปลกใจเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม 

       “เฮียเล่าให้ฟัง ทำไมไม่เคยพูด ไม่เคยบอก ความห่วงใยหนูก็รู้สึกเป็นไม่ใช่แค่ภูมิคนเดียว หนูกลัวภูมิจะลืมว่ามีหนูอยู่ข้างๆ”  เสียงตัดพ้ออย่างน้อยเนื้อต่ำใจทำให้ใจของภูมิรพีกระตุกวูบไหว  มือเอื้อมคว้าร่างบางเข้ามากอดปลอบในวงแขนอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง

      “ไม่เอาน่า ก็เพราะรู้ว่าอยู่ข้างๆ ไงถึงต้องห่วงกันขนาดนี้เข้าใจรึเปล่าหืม”

      แขนแกร่งยกร่างบางขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงานร่างหนาแทรกตัวเข้ากลางหว่างขาของคนตัวเล็กที่อ้ากว้างก่อนจะเกี่ยวกระหวัดตัวเขาไว้โดยอัตโนมัติ  มือหนาโอบประคองท้ายทอยปรับให้ได้องศารอรับริมฝีปากที่เคลื่อนเข้าหากันประกบจูบจนแนบสนิทเต็มไปด้วยความโหยหาราวกับห่างหายจากกันไปเนิ่นนานทั้งที่เพิ่งจะผละจูบเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วมา  จูบที่มอบให้กันราวกับบ่อน้ำทิพย์กลางทะเลทรายยิ่งดื่มยิ่งหิวกระหายนานหลายนาทีกว่าคนตัวโตจะยอมผละจากปากนุ่มให้คนตัวเล็กได้กอบโกยอากาศเข้าปอด ตาที่สบกันเต็มไปความหวามไหว

      “รู้อะไรมาบ้าง”

      “เฮียก็บอกแค่ว่าเขาเป็นศัตรูทางธุรกิจมีเรื่องขัดแย้งกันอยู่ ถ้าพลาดก็คือตาย แต่มันจะเป็นไปได้เหรอที่จะฆ่ากันได้ง่ายๆ แบบนั้น บ้านเมืองมีกฎหมายน่ะ”

      “หึ...”  ภูมิรพีขยับตัวไปนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานหน้าตาท่าทางเย้ยหยันกับอะไรสักอย่างที่น้ำนิ่งไม่เข้าใจ

      “ทำไม”

      “โลกนี้มันไม่สวยงามอะไรนักหรอก ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่เราวาดหวังเลยสักนิด”

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.30_โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า P.7_2412016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 24-01-2016 18:51:23

      “แล้วภูมิจะทำยังไง”  น้ำเสียงคาดคั้นพร้อมสายตากดดันอย่างใคร่รู้ของน้ำนิ่งทำให้ภูมิรพีเสมองไปอีกทาง ทอดถอนใจอย่างหนักหน่วง ท่าทางแบบนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก ตาที่สบกันบ่งบอกคนตัวโตห่วงเขามากมายแค่ไหน น้ำนิ่งโอบประคองใบหน้าที่ดูกังวลเหนื่อยล้าไว้โน้มปากนุ่มไปแตะจูบตั้งแต่หน้าผาก ดวงตามสองข้าง ปลายจมูกโด่งเป็นสัน แก้มสองทั้งข้าง จบลงที่ปากหนาได้รูปเนิ่นนาน

      “ขออะไรอย่างได้ไหม”

      “ถ้าสิ่งที่ขอมันจะช่วยแบ่งเบาความเหนื่อยล้าจากภูมิได้บ้างหนูก็จะทำ”

      “กลับมาฝึกงานที่โรงเตี๊ยม”

      “.......”

      “ได้มั้ยหืมขอแค่นี้”

      “ได้ไง”  น้ำนิ่งไถลตัวลงจากโต๊ะ ยกมือขึ้นกอดอกออกอาการไม่พอใจ สายตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร  “แบบนี้ไม่แฟร์นะ มันคนละเรื่องกันเลย...” 

      “ขอร้องฟังกันก่อนน่าอย่าเพิ่งโวย  ถ้ากลับมาทำงานที่โรงเตี๊ยมภูมิจะมั่นใจได้ว่าดวงตะวันของภูมิดวงนี้จะส่องแสงเจิดจ้าต่อไปในวันข้างหน้า ที่นี่เป็นที่ของเรา เราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เข้าใจที่พูดหรือเปล่าตอนนี้หลายมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกแล้ว ไต่ชินหยางต้องการจะแก้แค้น คนๆ นั้นจะทำทุกทางถ้ามันจะทำให้เขาบรรลุเป้าหมาย ถ้าเราประมาทมันมีแค่ตาย...ดูกล้องวงจรปิดแล้วใช่ไหม” 

      “ดูแล้ว แต่ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสงสัยนี่น่า คนที่อยู่กับบ๋อมก็รู้จักกันดี พี่โอ๋ไงพี่ชายเอ๋ภูมิจำเขาไม่ได้เหรอ”

       “ไม่รู้สิเขาดูต่างจากเดิมมากเลย แต่ว่าแน่ใจเหรอว่ารู้จักดี??”

      “แน่ใจ เคยได้ยินว่าพี่เขาได้รับอุบัติเหตุจนต้องศัลยกรรมตั้งหลายครั้งจนแทบไม่เหลือเค้าหน้าเดิม” 

      “งั้นเหรอ? แน่ใจ?”  คำถามย้ำนั่นน้ำนิ่งเข้าใจดีว่าไม่ได้หมายถึงหน้าตาแต่คือนิสัยใจคอ น้ำนิ่งชะงักงันเกิดความไม่แน่ใจคิ้วขมวดมุ่นนานหลายนาทีแต่ก็ยังพยักหน้าว่ารู้จักทั้งทีไม่มั่นใจอะไรเลย  “

      “แน่ซะยิ่งกว่าแช่แป้ง แต่แปลกใจเหมือนกันที่พี่เขาคบกับบ๋อมและไม่คิดว่าเขาจะเจอที่นี่”

      “หึ คงจะตามมาเก็บหนี้เก่า”  เสียงหัวเราะในลำคอและสีหน้าดุดันทำให้น้ำนิ่งฉงนแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป

       “ข้อมูลที่ชัดเจนสืบมาได้คือ ไต่ชินหยาง หรือนายอะเคื้อ  สัชฌุกรกังวาน พ่อจริงๆ ตายตั้งแต่เขายังเด็ก เจ้าสัวไต่หยงผู่ซึ่งเป็นลุงเลยรับเป็นลูกบุญธรรม มีน้องชายสองคนคือ มาร์โค ลูกบุญธรรมอีกคนของเจ้าสัว และเอ๋ หรือนายอนรรฆ ไกรสรชัย คนหลังแม่เดียวกันแต่คนละพ่อ หนูคงไม่รู้ล่ะสิว่าลูกสาวเจ้าสัวไต่แต่งงานกับเสี่ยกวงพ่อของพี่ณิต เพราะฉะนั้นไต่ชินหยางจึงถือเป็นญาติของพี่ณิตไปโดยปริยาย”

      “ห๊ะ!! ญาติพี่ณิตเนี่ยนะ”

      “อืมใช่ เรื่องมันยาวแต่พี่ณิตเขาก็ตัดขาดจากครอบครัวนั้นมาตั้งแต่นานแล้วล่ะ”

       “งั้นเหรอ ชื่อนามสกุลพี่โอ๋ก็ใช่อยู่ พวกเขาเป็นลูกบุญธรรมเจ้าสัวไต่แต่ก็ไม่รู้เป็นคนเดียวกันไหม ข้อมูลอื่นๆ ไม่แน่ใจ แต่ทั้งหมดนั่นมันชี้ชัดลงไปไม่ได้นี่น่าว่าพี่โอ๋จะเป็นไต่ชินหยาง อาจจะคนหน้าเหมือนก็ได้”

       ภูมิรพีลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือล้วงกระเป๋ากางเกง สูดลมหายเข้าเต็มปอดจนด้วยคำตอบ ตาคมหรี่หลุบลง เดินไปหยุดยืนริมบานประตูมองท้องฟ้ามืดมิดนิ่งนาน ความเงียบงันเกิดขึ้นอีกครั้ง

      “พรุ่งนี้ไม่ต้องไปที่นั่นแล้ว”  ภูมิรพีสั่งจริงจังโดยไม่ได้ละสายตาจากท้องฟ้ามืดมิดข้างนอกบานประตูนั่น

      “ได้ไง!”  น้ำนิ่งโผตัวจากโต๊ะที่ตัวเองอิงสะโพกอยู่ไปดึงตัวภูมิรพีให้หันมาเผชิญหน้ากัน “อีกไม่ถึงเดือนก็จะจบคอร์สแล้ว อีกอย่างถ้าหนูอยู่ต่อก็คงจะสืบได้ว่าสองคนนั่นใช่คนเดียวกันหรือเปล่า แล้วพี่เขามีจุดประสงค์อะไร...”

      “ไม่!! อย่าแม้แต่จะคิด”  ภูมิรพีหันกลับมาทั้งตัวปฏิเสธดังลั่น ความไม่พอใจเกลื่อนกล่นทั่วหน้าคมจนน่ากลัว

       “แต่ว่า หนูอยากจะช่วย...”

      “ขอร้องอยู่เฉยๆ ไม่ทำให้ห่วงจะขอบคุณมาก!!”

      “ทำไมต้องตะคอก”

      “ก็พูดดีๆ แล้วฟังเหรอห๊ะ!!”

      “ก็ฟังถ้าภูมิจะมีเหตุผลมากกว่านี้”  น้ำนิ่งยังเถียงคอเป็นเอ็น  “ห่วงนี่ไม่ใช่เหตุผลที่มากพอรึไง”  ภูมิรพีสวนกลับทันควัน

      “ก็มาก แต่ถ้ายังจำได้หนูก็ผู้ชายนะ ไม่บอบบางจนทำอะไรไม่”

      “ก็เพราะเป็นผู้ชายแบบนี้ไงถึงต้องห่วง ไม่รู้รึไงไอ้นั่นมันอยากได้ตัวเรา”

      “ก็นั่นแหละยิ่งต้องใช้ตัวเองเป็นนกต่อ”

      “อย่าดื้อ!! พูดให้รู้เรื่องทำไมพูดยากจังวะ!” 

      “ไม่ได้ดื้อ! แต่ภูมินั่นแหละที่ไม่เข้าใจ”

      “น้ำนิ่ง!! นี่งี่เง่าแล้วนะ”

      “……”

      “อย่าได้คิดทำอะไรไม่เข้าท่า”

      “...............”

      “อย่ามาเงียบ!!”

      “......................”

      “น้ำนิ่ง!!”  ภูมิรพีตะหวาดดังลั่นด้วยโกรธ

      “..............................”

      “โว้ย!!”  ภูมิรพีได้แต่ทึ้งหัวตัวเองด้วยความฮึดฮัดขัดใจทั้งโกรธทั้งโมโหกับการดื้อเงียบของน้ำนิ่งแต่ก็ทำอะไรรุนแรงไม่ได้

       “เออ!! จะเอาแบบนี้ใช่ไหม  ได้!  เงียบไปเลยนะ อย่าให้ได้ยินเสียงหลุดออกมาจากปากก็แล้วกันไม่งั้นเจอดีแน่ แล้วอย่าหวังว่าจะได้ไปที่นั่นอีก”  ภูมิรพีเดินตึงตังขัดใจดึงกระชากประตูเปิดอย่างแรง ตะโกนโหวกเหวกเรียกหาเหล่าบอดี้การ์ดลั่น

      “ไอ้เข้ม ไอ้แดน ไอ้พวกตัวดีอยากจะหาเรื่องใช่ไหมมึงไปด้วยกันเลยเดี๋ยวนี้  เด็ดไปเรียกไอ้ชัดมาเฝ้าน้องของมันไว้ อย่าให้ย่างกรายออกไปจากไร่ได้เชียว ถ้าหลุดออกไปได้คนที่เป็นเวรเฝ้าวันนี้เตรียมตัวตายได้เลย”

      .........................................



      - เอี๊ยด -

      เสียงล้อรถยนต์ครูดกับถนนดังสนั่นเพราะถูกขับออกไปด้วยความเร็วแรง น้ำนิ่งสั่นไปทั้งตัวทำไมภูมิรพีเป็นอย่างนี้ 

       ร่างบางทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้องอย่างหมดแรง มือที่กำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อบางวางอยู่บนหน้าขาค้ำยันตัวที่โงนเงนสั่นเทาจากการสะอื้นน้ำตาไหลเป็นทาง ไม่ได้อยากจะดื้อดึงทำตามใจตัวเองอย่างงี่เง่า แค่อยากจะมีความภูมิใจให้ตัวเอง แค่ไม่อยากจะได้รับการปกป้องหรืออะไรก็ตามที่เกินพอดีจากภูมิฝ่ายเดียว แค่อยากจะเป็นฝ่ายให้ทุกอย่างที่ได้รับมาคืนกลับบ้างมันผิดมากนักหรือไง

      “พี่ชัด..ฮึกฮืออออ...”  มือที่แตะลงบนไหล่อย่างอ่อนโยนทำให้น้ำนิ่งหันไปมองก่อนจะโผเข้าไปในวงแขนของชัดเจนที่กางรอ ร้องไห้สะอึกสะอื้นมือหนาใหญ่ลูบหลังปลุกปลอบอย่างอ่อนโยน ไม่มีคำปลอบประโลมจากชัดเจน

      “น้ำอึก...งี่เง่า...อึกทำให้ภูมิโกรธฮือ....อีกแล้วฮืออออ...”

      “ก็รู้ว่าที่ทำมันงี่เง่าแล้วจะร้องทำไม เงียบได้แล้วน่า”

      “ก็เสียใจฮืออออ...”

      “เสียใจ?  ถ้าเสียใจแล้วทำทำไม ไม่เหนื่อยรึไงว่างมากงั้นสิ หยุดร้องคร่ำครวญน่ารำราญฉิบ...  พี่รู้ว่าเราอยากจะทำอะไรหลายๆ อย่างให้เฮีย  แต่ร้องไห้เป็นผู้หญิงแบบนี้พี่ว่าอย่าคิดการใหญ่แบบนั้นทั้งทีตัวเองทำไม่ได้เลยวะ”

      “แล้วจะด่าอีกทำไม”

      “ตรงไหนที่พี่ด่าแค่พูดให้คิด ทำไมชอบเถียงนัก ทำไมชอบทำให้เฮียเขาโกรธ พอเขาโกรธตัวเองก็เสียใจร้อนรนจะบ้า มีความสุขไหมล่ะ ก็ไม่ มีเหตุผลหน่อยเถอะที่เขาทำเพราะเขารักเรา ถ้าอยากจะตอบแทนก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ รักและเชื่อใจผัวแค่นั้นเฮียเขาก็มีความสุขจะตายห่าแล้ว จะลุกขึ้นมาทำห่าอะไรให้มันทะเลาะกัน..??  บึ้งตึงใส่กันนี่รู้ไหมว่าสร้างความอึดอัดลำบากใจให้คนอื่นแค่ไหน เกรงใจกันบ้าง อย่าทำตัวไร้เหตุผลอีก...”

      “พอแล้วจะด่าจนถึงลูกบวชเลยรึไง”  น้ำนิ่งชะงักค้างจากที่น้ำตาไหลเป็นทางจนขนตาเปียกชุ่มเป็นกระจุกเจ็บปวดใจจนจะบ้า น้ำตาและใจที่เจ็บปวดคงจะเกรงใจคำด่าของคนปากจัดอย่างชัดเจนมันหยุดไหลเหือดแห้งเอาดื้อ ใจก็ไม่ได้เจ็บปวดทุรนทุรายอะไรมากมาย

      “เออ!! จะด่าถ้ายังงี่เง่าอีก”

      “ก็แค่...”

      “เฮียเขาสั่งว่าไงล่ะ”

      “ให้ทำงานที่โรงเตี๊ยม ห้ามออกจากไร่  และห้ามให้มีเสียงหลุดออกจากปาก”

      “ก็ไม่ยากนี่ ทำไปสิ”

      “แต่ว่า...”

      “นี่แหละเขาเรียกว่างี่เง่า”

      “ก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ทำ แค่จะบอกว่าทำงานโรงแรมก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนเยอะแยะจะไม่ให้พูดเลยใช่เรื่องที่ไหน”

      “ยังจะเล่น เขาก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้พูด แต่ถ้าพูดเรื่องงี่เง่าก็อย่าพูดจะดีกว่าโอเคนะ”

      “ฮือ”

      “ฮือนี่คือเข้าใจหรือไม่เข้าใจ”  น้ำนิ่งถลึงตาใส่ ไอ้พี่บ้า! จะคาดคั้นให้ตายเลยรึไง

      “ก็เข้าใจแล้ว ไม่งี่เง่า แต่ยังข้องใจอีกอย่าง”

      “เรื่องมาก ดึกแล้วไม่ใช่รึไง เดี๋ยวพ่อกลับมาแล้วยังไม่นอนมีหวังจุก เจ็บ ล่ะทีนี้”

      “ลูกน้องเฮียรึไง เสื่อมจริง”

      “ก็เออ จะถามอะไรก็รีบๆ จะได้ไปนอนซะที”

      “เรื่องไต่ชินหยางน่ะจริงเหรอ”

      “เห็นเป็นเด็กรึเปล่า ก็จริงนะสิคนที่เราคิดว่าไม่ใช่น่ะระวังไว้เถอะตัวอันตรายชัดๆ คราวนี้คงกะเอาคืนหนัก แค้นแทบกระอักนี่ทั้งเฮียทั้งเสี่ยตามเช็กบิลหนักจนสูญทั้งเงินเสียทั้งน้อง ถ้าอยากรู้เรื่องละเอียดเอาไว้ถามเฮียเองก็แล้วกัน เอานะเราก็โตแล้วคิดเองเป็นถ้าอยากจะเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่และคิดว่าจะรับผลของมันที่จะตามมาได้ก็ทำไป เอาล่ะเลิกถามไปนอนได้แล้วไป๊” 

      “พี่ชัดภูมิไปไหน ออกไปแบบนั้นจะเป็นอะไรรึเปล่า ถ้าเกิดไปเจอฝ่ายตรงข้าม...” 

      “เฮียไม่ได้บอก ก็เพราะเรานั่นแหละดื้อไม่เข้าเรื่องลองโทรตามสิ”

       น้ำนิ่งล้วงหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงพยายามต่อสายหาภูมิรพีหลายครั้ง แต่สายไม่ว่างและโอนสายให้ฝากข้อความตลอด จนสายสุดท้ายเป็นเสียงสัญญาณไม่สามารถติดต่อได้ น้ำนิ่งกลัวก็แต่จะไปเจอฝ่ายตรงข้ามแล้วปะทะกัน ถ้าเกิดขึ้นกับภูมิรพีพลาดพลั้งเขาคงจะแบกรับผลที่จะตามมาไม่ไหวแน่

      “ไปไหนก็ไม่บอก แล้วไม่รับโทรศัพท์อีก”  อาการร้อนรนกับตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้มือที่เกาะแขนของเขาบีบแน่นบ่งบอกถึงความห่วงใยปนเปไปกับความกลัวมือใหญ่ของชัดเจนตบลงบนมือของน้ำนิ่งเบาๆ

      “ใจเย็นๆ คงจะไม่มีอะไรหรอก อาจจะอยู่ที่อับสัญญาณหรืออีกทีเฮียอาจจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ไว้ใกล้ตัว พี่คิดว่าคงจะไม่ไปไหนไกล เอางี้ลองโทรไปถามที่โรงแรม คาสิโน โรงงาน หรือไม่ก็คลับดูก่อน” 

       น้ำนิ่งยกโทรศัพท์ต่อสายไปถามทุกที่ที่คิดว่าภูมิรพีจะไป แต่ทุกที่ปฏิเสธว่าไม่เห็นเฮียเข้าไปเลย อาการกระสับกระส่าย ตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้แต่ก็ไม่ร้องออกมาก็ให้สงสารจับใจแต่ก็จนใจไม่รู้ว่าเฮียไปไหน ระหว่างนั้นเขาโทรหาเข้มแข็งกับแดนสรวงแต่ทั้งคู่ก็ไม่รับโทรศัพท์เหมือนกัน ได้แต่ดึงน้องเข้ามากอดปลอบ

       “ทำไงดีหนูติดต่อภูมิไม่ได้แล้ว นี่ไม่โอเคนะ”

      “คงไม่มีอะไรหรอกเฮียเขาไปกับสองคนนั้นเชื่อมือได้ ตรงนี้ลมเย็นเดี๋ยวไม่สบายไปรอในห้องดีกว่าไหม” 

      “แต่ว่า...ถ้าเกิด...”

      “เรายังไม่รู้อะไรอย่าเพิ่งคิดไปก่อนสิไปรอที่ห้องนะ”

      “......”  ร่างเล็กไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ชัดเจนเลยถือวิสาสะจูงมืออีกคนไปยังห้องนอนกดให้นั่งรอที่เตียง ส่วนตัวเองก็ออกมาเอานมอุ่นให้น้ำนิ่งดื่ม

      “เอ้าดื่มนี้ก่อน” 

       มือเล็กยื่นมารับแก้วนมไปดื่มอย่างไม่อิดออด แต่ก็แค่นิดเดียวก็ว่างลงเพราะก้อนสะอื้นมันจุกแน่นขึ้นมาจนกลืนอะไรไม่ลง  ถ้าเพียงแค่คุยกันให้เข้าใจไม่ดื้อดึงภูมิรพีคงไม่หุนหันออกไปแบบนั้น ชัดเจนเฝ้ามองสีหน้าอมทุกข์อย่างคนสำนึกผิดของน้องด้วยความสงสาร มือใหญ่ยกขึ้นบีบไหล่บางเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

      “ดื่มให้หมด”  ชัดเจนรับแก้วออกจากมือเล็กไปวางไว้ที่โต๊ะเล็กข้างเตียง

       “นอนรอไปก่อนนะ พี่จะเอาแก้วไปเก็บ แล้วไปบอกพี่เด็ดเขาออกไปตามให้”

      “ภูมิจะกลับมาใช่ไหม..”

      “อย่ากังวล ตื่นขึ้นมาเฮียก็นอนอยู่ข้างๆ แล้ว”

      “ขอให้เป็นอย่างนั้น....









TBC.

ปล.
ถ้าเจอข้อผิดพลาดหรือข้อแนะนำอะไรก็บอกต่อกันได้นะครับน้อมรับไปแก้ไข  ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมา และขอให้สนุกกับการอ่านครับผม ^^





หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.30_โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า P.7_2412016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-01-2016 22:42:28
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.30_โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า P.7_2412016
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 25-01-2016 10:54:09
ความงี่เง่าไม่เคยปราณีใคร ถ้าเราเป็นเฮียภูมิหนูน้ำคงกลายเป็นอากาศ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.30_โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า P.7_2412016
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 25-01-2016 12:48:19
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.30_โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า P.7_2412016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 25-01-2016 13:54:22
 :3123:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.30_โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า P.7_2412016
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 25-01-2016 14:24:15
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:รอตอนต่อไปปปปป :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.30_โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า P.7_2412016
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 26-01-2016 17:05:45
เรื่องนี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
คุ้นๆ วันเคยอ่านเรื่อง ของ หนึ่ง ฉาน เเสง รึป่าว???
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
สนุกกกกก นี้นั่งอ่านทั้งวันติดมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.30_โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า P.7_2412016
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 27-01-2016 15:45:14
รออัพอย่างใจจดใจจ่อออออ o9
ติดมากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 30-01-2016 20:20:12
เด็กเลี้ยง


-31-

อารมณ์









      “ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนไหม”

      “ไม่เป็นไรน้ำจะนอนแล้ว พี่ชัดเองก็ไปพักผ่อนเถอะไม่ได้นอนมาหลายวันแล้วไม่ใช่เหรอ”

      “ไม่ให้อยู่แน่นะ”

      “ฮะ ไปเถอะซิ้ว ซิ้ว”

       น้ำนิ่งเอ่ยเสียงร่าเริงสดใส หน้าหวานระบายยิ้มกว้างเหมือนไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลใจ แต่ท่าทางแบบนี้ทำให้ชัดเจนเป็นห่วงยิ่งนัก ร่างเล็กล้มตัวลงนอนแสร้งหลับตาพริ้มราวกับง่วงนอนเสียเต็มประดาบอกเป็นนัยให้เขาออกไปจากห้อง แต่เชื่อขนมกินได้เลยพอเขาพ้นออกไปจากห้องน้องลุกขึ้นมาถ่างตารอเฮียกลับมาแน่

       ชัดเจนเดินเลี่ยงออกมายังระเบียงห้องนั่งเล่น ลมกลางคืนโชยปะทะทำให้รู้สึกเย็นสบายแต่มันไม่สามารถปัดเป่าความกังวลในใจของเขาออกไปได้ บุหรี่ในมือถูกยกขึ้นคาบใส่ปากมือล้วงหยิบไฟแข็คซิปโปจากกระเป๋าจุดบุหรี่สูบเพื่อผ่อนคลายอารมณ์

       ชัดเจนอัดนิโคตินเข้าปอดเต็มแรงจนปลายบุหรี่สว่างวาบขึ้นหลายครั้งติดกัน สายตาเหม่อมองตามกลุ่มควันบุหรี่ที่ลอยอ้อยอิ่งก่อนจะสลายไปกับท้องฟ้ามืดมดไร้ดาว ทอดถอนใจหนักหน่วงด้วยความกังวลไปพร้อมกับคนดื้อดึงในห้องครั้งแล้วครั้งเล่า 

       เวลานาทีเคลื่อนคล้อยไปอย่างเชื่องช้าพร้อมกับบุหรี่ที่ถูกเผาผลาญจนถึงก้นกรองเถ้าบุหรี่ที่ไม่ได้ถูกเคาะลงที่เขี่ยถูกลมพัดแตกกระจายลอยฟุ้งในอากาศ ชัดเจนมองเฉยเชยก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงบนที่เขี่ย  มือใหญ่ล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาเข้มแข็งรอจนสายตัดไปเองสองสามครั้งโดยไม่มีคนรับทำให้ความหวาดกลัวยิ่งทบเท่าทวีจิตใจร้อนรุ่มเกรงว่าภูมิรพีจะได้รับอันตราย ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปหาแดนสรวงแทน

       “อยู่ไหนวะ” 
 
      “โรงเตี๊ยม มีไร?”

      “อ้าว!! ก็ไหน...”  ชัดเจนร้องด้วยความความฉงน

      “เฮียสั่งไม่ให้บอก”

      “ทำไม!!

      “อารมณ์งอนของชายแก่วัยทอง ตอนน้องโทรมาก็อยากรับ เอื้อมมือจะไปหยิบหลายครั้งสุดท้ายก็ทำหน้าบึ้งตึง  ‘ให้รู้สึกซะมั่ง’ ให้รู้สึกซะมั่งแต่ปากนะสิแอบชำเลืองมองโทรศัพท์ตาเหล่แล้วมั่งกูว่า”

       “ทางนี้คลั่งจนจะบ้าที่ติดต่อไม่ได้ ร้อนรนไม่เป็นอันทำอะไร กูห้ามก็ไม่ค่อยอยากฟังจะแล่นออกไปตาหาเอง”

      “ซื้อหวยทำไมแมร่งไม่เคยถูกวะ นี่ล่ำๆ จะแอบส่งไลน์บอกน้องหลายทีล่ะ แต่เฮียตวัดตามองพวกกูจนขี้หดตดหายนั่งกุมไข่อย่างเดียวไม่กล้าขยับไปไหน แค่หายใจแรงยังตวัดตามอง นี่ก็นั่งหน้าหงิกบอกบุญไม่รับอยู่ในห้องทำงานโน้น กูว่าถ้าฟาดงวงฟาดงาใส่ได้ก็คงทำไปแล้วแต่เพราะรักมากไงเลยหนีมาสงบสติอารมณ์ แล้วตอนนี้น้องเป็นไง...”

      “ตอนติดต่อเฮียไม่ได้กูแทบไม่อยากจะบรรยายหน้างี้ซีดเป็นซีดจนกลัวว่าจะเป็นอะไรไป ไม่อยากให้นั่งกระสับกระส่ายคิดมากว่าเฮียจะเป็นอันตรายก็เลยทั้งขู่ทั้งปลอบให้นอน แต่ให้เดาก็คงจะไม่นอนหรอกป่านนี้น่าจะยังนั่งรอเฮียนะแหละ ไม่อยากนอนก็ไม่ต้องนอนให้นั่งตาแข็งไปสิดื้อดีนัก”

      “ไปดูน้องด้วยก็แล้วกันเผื่อเป็นไรไปได้โดนเฮียเอาตาย”

      “เออๆ รู้แล้ว ไอ้เข้มไปไหนกูโทรหามันไม่ติด”

       “โดนเฮียงับหัวอยู่ในห้องโน้น กูก็อยากจะตบกะโหลกมึงสักป๊าบเสือกโทรมาไม่ดูตาม้าตาเรือ..แมร่ง! เฮียเกือบจะงับหัวรีบเผ่นออกมาแทบไม่ทัน”  แดนสรวงสบถในลำคออย่างหัวเสีย

      “กูจะรู้เหรอห่า...แล้วเฮียจะกลับมานอนที่บ้านรึเปล่า”

      “ยังไม่แน่ใจ นี่ก็รอเวลาอยู่ต้องไปรับเสี่ยที่สนามบินเครื่องลงตอนตีสี่”

      “คืนนี้เหรอวะ ก็ไหนว่าจะมาวันประมูลเลย”

      “ได้ยินว่าจะพากระต่ายหนีหนาว”

      “เหรอวะ มึงดูเฮียดีๆ ก็แล้วกัน ระวังตัวด้วย”

      “เออ!! เชื่อมือพวกกูเถอะน่า”

      “ไอ้แดน!!”  เสียงกัมปนาทราวกับฟ้าผ่าดังมาจากหน้าห้องทำงาน แดนสรวงหันไปยิ้มแหย่ มือกดตัดสายโดยอัตโนมัติ ก่อนจะวิ่งตามภูมิรพีและเข้มแข็งที่เดินนำลิ่วออกไปก่อนแล้ว

      ......................................





      “เดินทางเรียบร้อยดีนะ” 

       พี่น้องยกกำปั้นชนกัน เซนดึงตัวน้องชายเข้ามากอดชั่วครู่จึงผละตัวออก ยกมือตบบ่ากว้างสองสามที ภูมิรพียิ้มกวนตาคมหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์ไปข้างหลังเซน ซึ่งปรากฏหนุ่มร่างสูงโปร่งคาดคะเนจากสายตาคิดว่าน่าจะอ่อนกว่าเขาสักสี่ห้าปี ผิวกายขาวอมชมพูคงจะเป็นผลพวงมาจากการเป็นลูกเสี้ยวของอีกฝ่าย หน้าตาไม่ได้หล่อเหลาขั้นเทพแต่เป็นส่วนผสมที่ถูกจัดวางอย่างลงตัวดูดีตามเชื้อพันธุ์ที่ได้รับมา

       ต้นแขนข้างขวาที่โผล่พ้นแขนเสื้อยืดสีขาวบางปรากฏรอยสักรูปสร้อยกางเขนวางไว้ในมือ กับคำว่า “Keep the Faith” สวมกางยีนส์สีดำรัดรูปกับบูทหนังสีน้ำตาลเข้มเกือบดำของ Original Chippewa และเครื่องประดับคอลเลคชั่น Rabel At Heart ของโธมัส ซาโบ ใบหูข้างซ้ายใส่ต่างหูที่เป็นห่วงเงิน 3 อัน และต่างหูเพชรแบบเสียบเม็ดเล็กๆ อีกอัน ท่าทางดูเซอร์ค่อนไปทางดิบเถื่อนนิดๆ ด้วยซ้ำ แต่ก็เหมาะกับนิสัยเฮียดี

      “เฮียบอกให้ตัดผมหลายทีแล้วนะ ไม่เคยจะฟัง รำคาญมั้งไหมห๊ะ” 

       เฮียเซนบ่นคนที่คอยแต่ยกมือขึ้นปัดเกลี่ยผมสีน้ำตาลที่ยาวเลยบ่ามาพอสมควรมันถูกลมตีปะทะใบหน้าจนพันกันยุ่งด้วยน้ำเสียงรำคาญแกมเอ็นดู  แม้ปากจะพร่ำบ่นแต่มือก็ดึงรูดหนังยางรัดผมสีดำจากข้อมือตัวเองไปมัดรวบผมยาวของอีกฝ่ายให้ด้วยหน้าตายิ้มๆ

      “ก็ชอบ จะบ่นทำไมไม่เหนื่อยรึไงบ่นเรื่องเดิมๆ ตลอด”  คานินเถียงหงุงหงิงต่างจากท่าทางที่เห็นลิบลับ มันคนละอารมณ์กันเลย

      “ยังจะเถียงอีก”

      “ก็ไม่ได้จะเถียง ตัวเองก็ชอบไม่ใช่รึไง!!”  คานินสบถเล็กๆ แถมค้อนหน้าตาปะหลับปะเหลือก ภูมิกลั้นขำกับท่าทางทั้งคู่เกือบหลุดฟอร์ม คานินชำเลืองแวบหน้าขึ้นสีระเรื่อทันตา

      “เออ!! เถียงเหลือเกิ๊นปากนี่” 

       เซนยกมือขึ้นบีบปากช่างเถียงบิดส่ายไปมา คานินสะบัดหน้าหนีแบบงอนๆ แต่เฮียเซนก็ยังไม่ยอมปล่อยมือแถมก้มหน้าลงมาแตะจูบก่อนผละออกมีกัดเบาๆ แถมท้ายคานินนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ  ภูมิรพีเลยได้แต่ส่ายหน้าเอือมๆ ไม่คิดว่าเฮียมันจะด้านได้ขนาดนี้ แล้วดูสิเลี่ยนซะจนเบาหวานขึ้นตา สายตาส่อแววล้อเลียนไม่บิดบัง คานินหน้าแดงระเรื่อเข้มขึ้นอีกระดับจึงเสมองไปอีกด้านด้วยความเก้อเขิน

      “หึ หึ คานินของเฮีย  ส่วนนี่ราฟาเอลน้องเฮีย หรือจะเรียกสิงห์ก็ได้เอาที่สะดวกเลยมันไม่ว่า”  เซนเอ่ยแนะนำยิ้มๆ ขยับตัวไปยืนข้างยกแขนขึ้นโอบไหล่อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ

      “สวัสดีฮะ/ สวัสดีครับ” 

      “จะนอนในเมืองหรือบ้าน” 

      “กลับบ้านดีกว่าอยากกอดเด็ก”  เซนก็เพิ่งจะสังเกตว่าน้ำนิ่งไม่ได้อยู่ในกรอบสายตาอนุมานได้ว่าทั้งคู่ยังเล่นแง่กันอยู่ จึงเลิกคิ้วเป็นคำถามอย่างคาดคั้น

       “อะไร!!”  คานินถามเสียงแข็งกับท่าทางลับๆ ล่อๆ ของทั้งคู ยกนิ้วสะกิดเอวหนายิกๆ อย่างใคร่รู้  เซนหันไปยิ้มกระหยิ่มเจือแววเจ้าเล่ห์

      “เจ้าเด็กเลี้ยงไม่เห็นมารับเลยถามหาน่ะ แมร่งคิดถึงฉิบห...ซี๊ดดด..”  เซนตอบเสียงเรียบแต่มันขัดกับหน้าตากระหยิ่มเหมือนตาเฒ่าหื่นของเซนทำให้คานินหยิกหมับเข้าเอวแกร่งเต็มแรงอย่างหมั่นไส้ คนตัวโตสูดปากด้วยความเจ็บแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมามีเพียงสายตาหรี่มองอย่างท้าทาย

      “จะเล่น..?” 

      “หึง!

       “เสี่ยล้อเล่นอยู่กับใคร..ห๊ะ?

      “ขึ้นเสียงทำไมหืม... เก็บเสียงไว้ครางตอนอยู่กันสองคนดีกว่าไหมจ๊ะ” 

       เสียงยียวนกับรอยยิ้มกวนๆ นั่นกวนประสาทคานินดีแท้อยากจะใส่ให้หนัก แต่ความที่ยังไม่สนิทใจทำให้คานินไม่กล้าที่จะตอกกลับการกระทำของเซนเท่าใดนัก ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจหน้างอง้ำ  ภูมิรพีเองก็ได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอากับตัวตนอีกด้านของเฮีย แต่ก็สุขใจดีใจมากจริงๆ ที่เฮียได้พบเจอความสุขซะที

       “หึ หึ”  เซนรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจยิ่งนักที่แหย่อารมณ์แม่กระต่ายได้ ก็ทำหน้าแบบนี้มันน่าแกล้งน้อยซะเมื่อไร  “อย่าอารมณ์บูดน่า...รักดอกจึงหยอกเล่นนะจ๊ะหืม... เด็กที่เป็นประเด็นน่ะ น้ำนิ่งเด็กเลี้ยงของเจ้าสิงห์ต่างหากเล่า ถ้ากระต่ายเจอน้องจะต้องหลงรักแน่ๆ”  คานินพยักหน้าหงึกๆ กับคำบอกเล่าของเซนเหมือนจะไม่ติดใจอะไรอีก ยิ้มให้เขาอย่างเก้อเขิน

       “ตกลงดีกันรึยัง”  เซนหันมามองหน้าสิงห์เอาคำตอบอีกครั้ง

      “ก็ไม่เชิง”  ภูมิรพีชักสีหน้าหงุดหงิด เบ้ปากยักไหล่เหมือนไม่ยี่หระแต่แววตาที่สบกันมันไม่ได้บอกเซนว่ารู้สึกอย่างนั้นสักนิด

      “อะไรกันอีกวะ โตๆ กันแล้วนะ”

      “ยิ่งโตยิ่งพูดยากเหอะ งอแงจะเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อเฮียว่ามันใช่ไหมล่ะนั่น”

      “บ๊ะ!! ว่าแล้วเชียว ถ้าคนอื่นไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัวให้ตาย ถามจริงๆ เลี้ยงด้วยอะไรวะสมองถึงคิดได้ขนาดนี้  ถึงเฮียจะรักมากตามใจทุกอย่าง แต่คิดได้แบบนี้มันโง่หรือบื้อกันวะ”  เซนเสียงกร้าวฉุนโกรธคนที่เป็นประเด็นนิดๆ

      “เลี้ยงดีเกินไปสิไม่ว่า ต่อไปเห็นจะต้องมีสันแข้งเป็นอาหารเสริมซะล่ะมั้ง”

      “ถามจริงกล้าเหรอวะ”

      “หยิกเล็บเจ็บเนื้อ...”

      “ก็นั่นแหละ น้องอายุแค่นั้นความคิดของตัวเอง ของเพื่อน ย่อมมีอิทธิพลมากกว่าพ่อแม่หรือคนเลี้ยงดู ต้องค่อยบอกค่อยสอน ตึงบ้างหย่อนบ้าง เหมือนเชือกถ้าตึงมากมันก็ขาด แต่ถ้าหย่อนยานก็พันกันยุ่งเป็นปมให้แก้กันวุ่นวาย”

      “สรุปก็คือสปอยน้องเหมือนเดิม....??”

      “ก็เออ! แต่ความหมายของเฮียคือถึงจะตามใจยังไงก็ต้องมีเหตุมีผลไม่ใช่หลับหูหลับตาตามใจนะเว้ย  เอาจริงๆ เฮียมาทีหลังเปล่าวะ ใครจะกล้าแก้ไขต้นฉบับดั้งเดิม นี่ก็กลัวใจอยู่ว่าต้องเหวี่ยงเฮียแน่ที่ไม่ได้บอกว่าจะมา”

      “เมื่อตอนเย็นได้ข่าวว่าสอนกลเม็ดเด็ดพรายให้กันไม่ใช่เหรอทำไมไม่บอกซะล่ะ” ภูมิรพีประชดประชันอย่างหมั่นไส้

      “อย่ามาหาเรื่อง เฮียอยากเซอร์ไพรส์น้อง  แล้วเรื่องนั้นตกลงเอาไง”

       “สั่งไม่ให้ไปที่นั่นแล้วล่ะ ตกลงจะกลับไม่กลับหรือจะยืนเป็นเป้าล่ออยู่นี่”

      “ก็คิดๆ อยู่ เผื่อเรื่องจบเร็วขึ้นไม่ดีรึไงวะ” 

      “ไป ไป มัวแต่คิดแกว่งเท้าหาเสี้ยนอยู่ได้”  ภูมิรพีตัดรำคาญเลยเดินไปยังรถก่อน เซนเลยต้องตามไปด้วย ทั้งหมดเดินไปขึ้นรถที่จอดห่างออกไปเล็กน้อยเรียบร้อยแล้วจึงเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

       ................................




      “สวัสดีครับเสี่ย”   ชัดเจนเอ่ยทักทายพร้อมก้มหัวทำความเคารพเสี่ยเซนอย่างนบน้อม

      “เออ เป็นไงมั้งวะ” 

      “สบายดีครับ”

       เซนยกมือขึ้นตบไหล่ชัดเจนอย่างเป็นกันเอง เด็กๆ พวกนี้ก็เหมือนคนในครอบครัว เป็นทั้ง พี่น้อง เพื่อน ญาติสนิท และบอดี้การ์ดในสังกัด Security Guard Unit หน่วยฝึกบอดี้การ์ดส่วนตัวของเขา เด็กในสังกัดหลายคนเป็นเด็กมีปัญหาที่ไม่มีใครต้องการ รวมถึงเด็กจรจัดที่ป๋ารับมาขัดเกลาอุปการะเลี้ยงดูกันมานาน เรียนจบแล้วก็ไม่มีใครไปไหนจะขออยู่ด้วยจนตาย

      “น้องคงนอนแล้วสินะ” 

      “ครับเสี่ย”

      “ถ้าน้องนอนแล้วเฮียก็คงไม่กวน จะเหวี่ยงจะวีนพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันใหม่แล้วกัน ป๊ะต่ายน้อยไปครางให้เฮียฟังหน่อยเสียงจะยังดีเหมือนอยู่สนามบินหรือเปล่าเร็ว...”  คานินซัดเปรี้ยงที่ไหล่หนาค่อนข้างแรงหนึ่งทีโทษฐานที่หื่นไม่ดูกาลเทศะ เซนยิ้มพอใจที่แกล้งให้อีกคนหน้างอง้ำได้อีกครั้ง พยักหน้าให้ภูมิรพีก่อนจะดึงมือคานินที่ขัดขืนเล็กๆ เดินไปยังทิศทางที่เป็นห้องนอนของเขาด้วยกัน

      “ตามสบายนะห้องเก็บเสียง”  ภูมิรพีเย้าแหย่คนของเฮียยิ้มๆ จนอีกฝ่ายหันมาค้อนแรงให้ จึงหลุดเสียงหัวเราะจากลำคออย่างเอ็นดู
 
      “ไปพักเถอะ”

      “เฮียจะไม่...”

      “เออ!! ไปเถอะน่า...”  ทำไมจะไม่รู้ว่าชัดเจนห่วงน้ำนิ่งนี่คงคิดว่าเขาจะทำอะไรเจ้าเด็กดื้อนั่นน่ะสิ  ภูมิรพีชัดสีหน้าหงุดหงิดถ้าขืนชัดเจนยังจะเซ้าซี้ต่อมีหวังได้โดนกระทืบจึงรีบถอยตัวออกไปให้พ้นจากรัศมีเท้าโดยเร็ว

      “ครับเฮีย” 

      …………………………….




      ภูมิรพียืนชิดริมเตียงทอดสายตามองร่างบางที่นั่งคอพับคออ่อนพิงพนักหัวเตียงหลับใหลไม่รับรู้ถึงการมาของคนตัวโต แววตาวูบไหวอ่อนแสงลง นี่คงจะรอเขาจนไม่อาจทานทนกับความง่วงได้สินะถึงหลับลึกอย่างนี้ มือใหญ่เอื้อมไปไปปรับระดับความสว่างของโคมไฟให้สลัวลง ก่อนจะชะโงกตัวข้ามร่างบางเอื้อมมือไปหยิบหนังสือรวมเรื่องสั้นของวินทร์ เลียววาริณ เรื่องสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนที่คนตัวเล็กหยิบขึ้นมาอ่านทุกครั้งเวลารู้สึกไม่สบายใจซึ่งตกอยู่ข้างตัวไปวางไว้โต๊ะเล็กข้างเตียง สอดแขนเข้าไปรองคอและข้อพับขยับร่างบางให้นอนราบไปกับเตียง

      ‘ภูมิ...’  บรรยากาศสลัวรอบด้านทำให้น้ำนิ่งครางครืออย่างไม่แน่ว่าใช่คนที่เฝ้ารอหรือเปล่า

      “ซู่....หลับซะเด็กดี” 

      เสียงกระซิบริมหูทุ้มนุ่มอ่อนโยนเหมือนลอยอยู่ในที่ไกลๆ เร่งเร้าให้ตากลมโตสีน้ำผึ้งปรือขึ้นมองอย่างคนครึ่งหลับครึ่งตื่นแต่แสงสลัวทำให้คนตัวโตไม่ชัดเจน กลิ่นกายหอมสะอาดที่เจือกลิ่นบุหรี่อ่อนๆ กับสัมผัสอ่อนโยนนั่นก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าภูมิรพีกลับมาแล้ว ทำให้ร่างบางยอมผ่อนคลาย ตัวอ่อนยวบผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ หลับสนิทลงไปอีกครั้ง

      ภูมิรพีดึงผ้าห่มที่ร่นอยู่ตรงหน้าขาคลุมให้จนถึงคอ ก้มลงแตะจูบแผ่วเบาที่ริมฝีปากนุ่มที่เผยออ้าเล็กน้อย ก่อนจะยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง เสียงครางเครือแผ่วเบาเหมือนละเมอในลำคอ  ปลายนิ้วมือแกร่งจึงยื่นไปไล้แผ่วเบาบนเส้นผมนุ่มน้ำนิ่งผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ  ภูมิรพีชักมือกลับมาสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แววตาอ่อนโยนทอดมองร่างบางที่หลับใหลนิ่งนาน  ก่อนจะตัดสินใจเดินหันหลังออกจากห้องไป....

      .....................................




มีต่อ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 30-01-2016 20:22:23


      แดดอ่อนยามเช้าที่ลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านอาบไล้ใบหน้าหวานจนมองราวกับภาพฝัน น้ำนิ่งหยีตาหนีแสงจ้า รีบหันมองข้างตัวด้วยวาดหวังว่าจะเจอคนตัวโต แต่ที่นอนที่เย็นเยียบและเรียบตึงทำให้รับรู้ได้ว่าตัวเองนอนอยู่คนเดียวทั้งคืน  แล้วสัมผัสอ่อนโยนกับกลิ่นกายที่โอบล้อมอย่างคุ้นเคยเมื่อคืนก็แค่ความเพ้อฝันของเขางั้นเหรอ??…น้ำนิ่งหลับตาลงอีกครั้งอย่างอ่อนล้าวูบโหวงในใจ


      “อ้าว! ตื่นแล้วเหรอครับ”  เสียงติดจะแหบของหนุ่มลูกครึ่งรูปร่างสูงโปร่งท่าทางเซอร์ๆ เถื่อนๆ ขัดกับรอยยิ้มอบอุ่นกว้างขวางจนข้างแก้มเห็นเป็นรอยบุ๋มของลักยิ้มเสริมให้ใบหน้าน่ามองขึ้น  แต่ก็ไม่ได้ทำให้น้ำนิ่งรู้สึกคุ้นเคยกับชายหนุ่มคนนี้แต่อย่างใด

      “คะ คุณเป็นใคร”

      “อ๊ะ! ขอโทษนะมัวแต่ตะลึงลืมแนะนำตัวไปเลยเนอะ”  คานินก้าวเข้ามานั่งริมเตียงอย่างถือวิสาสะ ส่งยิ้มกว้างระคนเอื้อเอ็นดูกับท่าทางระแวดระวังของเด็กเลี้ยงเฮียสิงห์

      “พี่คานินนะครับ”

      “แล้วเป็น...”  หน้าหวานฉงนไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคนตรงหน้าเป็นใคร เกี่ยวอะไรกับเขา

      “กระต่ายของเสี่ยเซนครับ”  คานินบอกยิ้มๆ

      “ห๊ะ!!....”  นัยน์ตาหวานเบิกกว้างหัวสมองมึนงงกับสิ่งที่ได้ยิน เฮียนะเหรอ? กับผู้ชายที่ดูเป็นชายสุดๆ คนนี้น่ะนะ?  เมื่อไร? ยังไง? ทำไมไม่เคยบอก? ท่าทางแปลกประหลาดบ่งบอกอารมณ์ชัดเจนไม่ได้ของน้ำนิ่งมันน่ารักซะจนคานินอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบจับแก้มนุ่มสุดท้ายก็ขยี้ผมนุ่มอย่างเอ็นดู

      “เฮียมา..? ยะ อย่าบอกนะว่ากระต่ายที่เฮีย....” กว่าหลายนาทีน้ำนิ่งจึงเรียกสติกลับมาได้ครบถ้วน  หลุดเสียงละล่ำละลักคาดคั้นเอาความกระจ่าง

      “ตามนั้นเลยครับ”  คานินพยักหน้าหงึกๆ ประกอบคำตอบ แย้มยิ้มละมุนจริงใจให้น้ำนิ่ง

      “อย่างนี้...”  หน้าตาหัวหูที่แดงระเรื่อ นิ้วชี้ทั้งสองข้างยกขึ้นแตะบดบี้กันไปมา และคำถามที่ถามไม่เคยจบ ทำให้คานินปล่อยก๊ากด้วยความขัน

      “ฮ่า ฮ่า นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่เสี่ยขาดไม่ได้ครับ  ไม่ตอบอะไรล่ะ ถ้าไม่ลุกไปอาบน้ำแล้วไปกินข้าว นี่เลยเวลานานแล้วด้วยจะปวดท้อง แล้วถ้าเป็นแบบนั้นพี่จะโดนเสี่ยจัดหนักที่ไม่ดูแลน้องรัก ถึงจะเป็นสิ่งที่พี่โปรดปรานแต่ก็ยังไม่อยากจะโดนในระยะเวลาวันสองวันนี้นะครับ”  คานินตัดบทขำๆ ฉุดร่างเล็กให้ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปส่งถึงห้องน้ำ

      “แล้วสองคนนั้นล่ะฮะ..”

      “ไม่เอาไม่ตอบ อย่าอิดออดไปอาบน้ำครับ พี่รอที่ครัวนะเร็วๆ ด้วย”  คานินหันหลังออกไปจากห้องน้ำ ยินเพียงเสียงสั่งแว่วๆ ว่าเสื้อผ้าวางไว้ให้แล้วบนเตียง

      น้ำนิ่งยืนมองเงาตัวเองในกระจกตรงอ่างล้างหน้า ยกมือขึ้นแตะรอยดำขอบตาล่าง สั่นหัวจนผมกระจายนึกโกรธความดื้อรั้นของตัวเองชะมัด  ถอนหายใจพรืดถึงตรงนี้มันไม่มีประโยชน์ถ้าจะมาคร่ำครวญกับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว  อยากจะเจอภูมิรพีจัง อยากจะบอกว่าการโกรธกันมันเหนื่อยแล้วก็ไม่มีความสุขเลย เขาจะไม่ดื้ออีกแล้ว..ต่อไปนี้ว่าไงก็ว่าตามกัน น้ำนิ่งยอมรับกับตัวเองอย่างปลงๆ

      เมื่อตัดสินใจทำภารกิจต่างๆ เสร็จเรียบร้อย กำลังจะเดินไปห้องครัวตามสั่งของคานินก็พลันคิดได้ว่าตัวเองมีเพื่อนมาพักด้วยจึงเบนเข็มไปทางห้องนอนของบ๋อม เคาะประตูให้สัญญาณก่อนจะผลักเข้าไป แต่ภายในห้องว่างเปล่า จึงเดินไปที่ครัวเสียงพูดคุยผสานกับเสียงหัวเราะทำให้รู้ว่าทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่

      “อ้าว! มา มา นั่งนี่ครับ จะเอาอะไรเดี๋ยวพี่จัดการให้”  เป็นอีกครั้งที่คานินยื่นน้ำใจไมตรีให้อย่างกระตือรือร้น  ฝั่งตรงข้ามบ๋อมส่งยิ้มมาให้แล้วก็ก้มลงกินต้มรากบัวกับถั่วลิสงและกระดูกหมูอ่อนต่อ

      “น้ำเอาเหมือนบ๋อมก็ได้ฮะ”

      “ได้อยู่แล้ว อ๊ะมีมันฝรั่งบดด้วยนะเห็นเฮียบอกว่าเราชอบเอาด้วยไหม”

      “ไม่ดีกว่าฮะ”

      “งั้นรอแป๊บครับ”  คานินเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อตักต้มรากบัวให้น้ำนิ่ง

      “เมื่อกี้ไปหาที่ห้องไม่เห็นใจหายหมดนึกว่าบ๋อมกลับไปแล้วซะอีก ดีขึ้นหรือยัง” 

      “ดีขึ้นแล้ว นี่ว่าจะไปทำงาน แต่พี่เขาไม่ยอมบอกถ้าไม่กินข้าวก็ไม่ต้องไปไหนกันล่ะ ใครวะไม่เคยเห็น เผด็จการสุดยอด”  บ๋อมกระซิบเสียงเบาในตอนท้าย

      “พี่ชายอีกคน เขาอยู่กับเฮียเซนเพิ่งมาถึงเมื่อคืน...”  คานินยกถ้วยต้มรากบัวมาวางตรงหน้าน้ำนิ่ง ตามด้วยแก้วนมและน้ำฝรั่ง

      “ขอบคุณฮะ แล้วพี่?”

      “อ๋อไม่ต้องห่วงพี่กินพร้อมเสี่ยแล้วตั้งแต่เช้า เรานะกินเยอะๆ เถอะผอมบางแทบจะปลิวตามลม”  คานินยิ้มอ่อนโยนพร้อมหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ข้างๆ  นั่งมองดูสองหนุ่มกินอาหารยิ้มๆ

      “แล้วสองคนนั่นไปไหนฮะ”

      “เข้าปางไม้เห็นว่าที่นั่นมีปัญหานิดหน่อยเลยเข้าไปดูตั้งแต่เช้านู้นแน่ะ”

      “เหรอฮะ แล้วเฮียเขาจะอยู่กี่วันฮะ”

      “ก็คงสักเดือน แต่ก็เอาแน่เอานอนกับชายแก่อารมณ์แปรปรวนแบบนั้นไม่ได้หรอกบุ๊ปบั๊ปจะไปก็ไป แล้วน้ำกับบ๋อมนี่เพื่อนสนิทกันเหรอ”  คานินมองหน้าบ๋อมนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยถามออกมา

      “ครับ ก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถมอย่างนั้นใช่ไหมน้ำ”  บ๋อมเสหน้ามาพยักเพยิดกับน้ำนิ่ง  “จริงๆ มีอีกคนแต่เขาไม่ได้มาฝึกงานที่นี่ครับ”

      “อ๋อ แล้ววางแผนไว้รึยังว่าจบแล้วจะเรียนต่อหรือว่าทำงาน”

      “ผมอยากเป็นปาติซิเย่ร์ครับ แพลนไว้ว่าจะไปเรียนต่อจบแล้วผมอยากจะมีร้านขนมของตัวเองไม่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า  ส่วนไอ้น้ำพ่อมัน เอ้อ ผมหมายถึงพี่สิงห์น่ะครับ ก็คงจะให้กลับมาทำงานที่โรงเตี๊ยมใช่เปล่าวะน้ำ”

      “ประมาณนั้น”

      “อืม น่าสนใจทีเดียว ถ้าเปิดร้านเมื่อไรบอกเลยนะพี่จะเป็นลูกค้าอุปถัมภ์ตลอดชีพเลย”

      “ได้เลยครับ”

       “พี่คานินรู้จักกับเฮียนานแล้วเหรอฮะ เออ...คงไม่ว่านะฮะถ้าน้ำจะถาม”  น้ำนิ่งยิ้มหวาน สีหน้าแววตาเกรงใจแต่ความใคร่รู้มันตีตื้นจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป

      “อ๋อไม่เป็นไร ไม่ใช่ความลับระดับชาติอะไร ถามว่ารู้จักนานหรือยัง ก็เท่าอายุของพี่แหละ คือเราสองคนเป็นเด็กจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแถบชานเมืองของฮ่องกง สภาพตอนนั้นมันไม่ได้ดีนักหรอกแต่ก็ไม่ถึงกับแย่อะไร ก็เราเลือกไม่ได้ก็ต้องอยู่กันไป มันเป็นบ้านเด็กกำพร้าเล็กๆ ที่เลี้ยงตัวเองจากเงินบริจาคของคนในแถบนั้น  พี่เลี้ยงมีคนเดียวกับเด็กยี่สิบกว่าคน คุณแม่เลยให้พวกเด็กโตช่วยดูแลน้องเล็กๆ จับกันเป็นคู่ๆ

       ทั้งบ้านพี่โตๆ ทุกคนต้องมีน้องดูแลหนึ่งหรือสองคน  แต่เสี่ยคนเดียวไม่เอาใครเลย จนพี่เข้าไปเสี่ยเขาอาสากับคุณแม่ด้วยตัวเองว่าจะดูแลพี่ คุณแม่ยังปรามาสอยู่ในใจว่าจะไปรอดเหรอ? ทำได้เหรอ? แต่คนแบบนั้นฆ่าได้หยามไม่ไง เขาดูแลพี่อย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง จนคุณแม่ชมเปลาะเลย

             ความสุขมันก็มาเร็วเคลมเร็วยิ่งกว่าประกันซะอีก คิดว่าความสุขที่ได้รับมันจะจีรังยั่งยืนซะอีก ที่ไหนได้แค่ลืมตาตื่นเสี่ยหายอันตธารหายไปไหนก็ไม่รู้ในวันเกิดพี่ที่เสี่ยสัญญาว่าเราจะฉลองด้วยกัน ความดีใจถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกเหงาและเจ็บปวดของการถูกทิ้งซ้ำซาก ในหัวนี่เสี่ยงมันดังก้องอยู่ตลอดเวลาเลยว่า เราเป็นตัวอะไรกัน สุดท้ายความไว้วางใจความเชื่อใจคนมันก็เหือดหายไปเอง มันแย่มากสำหรับเด็กอายุแค่นั้น แล้วพอโตจึงมารู้ทีหลังว่าเสี่ยถูกทำร้ายจนสมองเสื่อม กว่าจะจำอะไรได้ก็หลายปี เสี่ยเขาตามหาพี่จนเจอแล้วเรากลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง”

      “โอ้โหยาวนานเป็นหากาพย์เลย  ภูมิก็เลี้ยงน้ำมาตั้งกะตีนเท่าฝาหอยจนเดี๋ยวนี้ฝาหอยถูกน้ำเหยียบซะแหลกละเอียดก็ไม่ต่างจากพี่คานินนัก แต่ผิดหน่อยตรงที่น้ำไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ตัวเองเป็นใคร เพราะฉะนั้นภูมิจึงเป็นทุกอย่างในชีวิตน้ำมาตลอด ถึงจะไม่เคยห่างกันแต่น้ำว่าความรู้สึกมันต้องแย่มากแน่ๆ”

      “หนักหนาสาหัสเอาการอยู่เหมือนกัน ด้วยความที่ยังเด็กมากๆ จะให้พี่ไปตามหามันก็มืดแปดด้าน แต่ถึงจะอย่างนั้นพี่ก็รอมาตลอดนะ พอกลับมาเจอกันอีกครั้งเสี่ยเขาเอาความสุขมาใส่ในกำมือจนเต็มล้นจะปล่อยให้อยู่ในมืออย่างนั้นโดยไม่ใช้ประโยชน์จากมันเลยก็เสียเปล่า เรื่องอะไรพี่จะทุกข์ใจอีก พี่ไม่แคร์ด้วยว่าคนอื่นจะคิดยังไง หนึ่งเพราะเราไม่มั่นใจว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง จะได้ตื่นรึเปล่าก็ยังไม่รู้ สองคนของเราเขารักเรา เราก็รักเขาทุกอย่างลงตัว เพราะฉะนั้นทำไมต้องสนพี่ทำทุกวันที่ได้ลืมตาตื่นให้ดีที่สุด อยากทำอะไรก็ทำเลยถ้ามันจะทำให้ทั้งเราและเขามีความสุขนะน่ะ คนๆ หนึ่งกว่าจะรักกันได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญต้องผ่านอุปสรรคมากมายบางคู่ก้าวผ่านมันไปได้ความรักก็ยิ่งแนบแน่น คู่ไหนที่ข้ามไม่พ้นสะดุดล้มแล้วต่างคนยังจะต่างลุกขึ้นยืนเองอีกนั่นยิ่งแย่ อย่าเอาทิฐิมาสิ่งกางกั้นความสุขเลย วันนี้ยังรักกันมันดีที่สุดแล้ว"

      น้ำนิ่งพยักหน้าหงึกเห็นด้วยทุกประการแววตาทอประกายของความสุขเมื่อคิดถึงความรักมากมายที่มีต่อภูมิเต็มล้นอยู่ในใจ คานินเองมีเพียงรอยยิ้มอบอุ่นและมือที่ตบลงบนหัวน้ำนิ่งเบาๆ

       บ๋อมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกกันออกจากวงสนทนากลายๆ แต่ความรู้สึกนั่นก็ยังบางเบาเทียบไม่ได้เลยกับความอิจฉาที่หนักอึ้งในใจมืดมัวของตัวเอง น้ำนิ่งไม่เคยต้องพยายามอะไรเลยแต่ก็ได้ทั้งความรัก ความห่วงหวง หรือแม้แต่ความสุขมากมายมาไว้ในมืออย่างง่ายๆ แล้วเขาล่ะไม่เคยมีสักครั้ง พ่อแม่มัวแต่หาเงินเพื่อเติมต่อหน้าตาเกียรติยศทางสังคม พอเจอคนที่ใช่ก็มอบความรักให้หมดใจ พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครอบครอง แต่ต่อให้พยายามสักแค่ไหน คนนั้นก็ไม่เคยหันมอง สุดท้ายเขาเป็นไปได้ก็แค่สิ่งบำบัดความใคร่สำหรับคนนั้น  เข้าหาเพราะผลประโยชน์ต่างตอบแทน .มันน่าสมเพชน่าขยะแขยงยิ่งกว่าอะไรรู้ทั้งรู้แต่ก็ดีใจทุกครั้งที่คนนั้นเรียกหา...หล่อหลอมใจที่เจ็บปวดให้อยู่ได้ด้วยความสุขจอมปลอมนั่น...อย่างน่าสมเพช

      “เออ บ๋อมน้ำจะไม่ไปฝึกที่โรงแรมนั่นแล้วนะบ๋อมก็เหมือนกันย้ายมาทำที่แทนก็แล้วกันโอเคเปล่า”  เสียงเรียกของน้ำนิ่งดึงสติของบ๋อมกลับสู่ปัจจุบัน รีบปรับสีหน้าให้ปกติ ทำเป็นก้มลงมองชามต้มรากบัวตรงหน้าชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแสร้งยิ้มสดใสให้น้ำนิ่ง

      “อย่างนั้นก็ได้ มึงตัดสินใจไปแล้วนี่หว่ากูจะพูดอะไรได้ แต่ยังไงก็ต้องไปบอกทางนั้นให้รู้นะ”

      “ไม่ต้องครับเด็กๆ พี่จัดการให้เรียบร้อยแล้ว”  นี่สิเผด็จการของจริง บ๋อมจำต้องยอมรับโดยดุษฎีไร้ข้อโต้แย้งใดๆ หลุดออกมา

      “ไหนๆ วันนี้ก็ฟรีไม่ต้องทำงานแล้ว เที่ยวสักวันไหม”  น้ำนิ่งหันไปบอกเพื่อนรักเสียงสดใส

      “เอาที่คุณมึงสบายใจก็แล้วกัน กูยังไงก็ได้” 

      “พี่คานินเอาด้วยไหม”

      “ก็อยากอยู่หรอกแต่เฮียสิงห์สั่งไว้ห้ามออกจากไร่ไม่ใช่รึไง แล้วจะไปไหนได้”

      “ไม่ได้จะออกจากไร่สักหน่อย แค่ท้ายไร่ฝั่งโน้นเอง เฮียไม่ได้ล่ะสิว่ามันมีน้ำตกอยู่ไปกินข้าวป่า ตกปลา ตั้งแคมป์ไฟนอนดูดาวกันสักคืนดีไหม ถ้าไม่อยากนอนเต้นท์ก็มีบ้านพักอยู่”

      “เยี่ยม!! แค่คิดพี่ก็ชักจะสนุกแล้วนะนี่ ไม่ได้ทำแบบนี้มาตั้งแต่เรียนจบ ชวนเสี่ยไปตั้งแคมป์หลายทีแล้วนั่นก็ไม่ว่างตลอด แต่ว่าถ้าค้างคืนเฮียสิงห์จะไม่ว่าเอาเหรอ”

      “ก็เดี๋ยวน้ำโทรบอก ไม่มีอันตรายหรอกน่าอยู่ในไร่นะให้พี่เมืองไปด้วย อยู่ใช่ไหม”

      “อยู่ งั้นเดี๋ยวพี่ทำอาหารว่างง่ายๆ ไปรองท้องด้วยดีกว่า”

      “ผมช่วย”  บ๋อมอาสาอย่างกระตือรือร้น แววตาซุกซนเหมือนเด็กชายเล็กๆ โชนแสงแทนที่แววตาเศร้าๆ อย่างเห็นได้ชัด น้ำนิ่งค่อนข้างโล่งใจที่เพื่อนปล่อยวางซะบ้างจึงหลุดยิ้มกว้างออกมา

      “พี่คานินไม่ต้องเอาไปเยอะนะ ที่โน้นมีโรงครัวเพราะเราต้องทำเลี้ยงแขกที่ชอบไปตั้งแคมป์อยู่แล้ว”

      “โอเค้..”

      “พี่เมือง พี่เมืองอยู่ไหนเนี่ย”  น้ำนิ่งตะโกนเรียกแฝดพี่เสียงดังลั่น รอไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำกรอบประตูห้องครัวก็ปรากฏร่างสูงของเมืองแมน

      “น้ำต้องการอะไร”

      “พี่เมืองให้คนไปเตรียมบ้านพักแล้วก็พวกอุปกรณ์ตั้งแคมป์ทีนะฮะ พวกเราลงมติกันว่าจะไปตั้งแคมปส์ท้ายไร่กันคืนนี้ พี่เมืองไปกับน้ำนะ” 

      “เอางั้นเหรอ แล้วบอกเฮียหรือยัง”

      “เอางั้นแหละ อย่าขัดใจได้ไหมเล่า  เดี๋ยวน้ำจะโทรบอกภูมิเอง”

      “ก็ได้ ก็ได้ จะไปตอนไหนเรียกก็แล้วกัน”

      “คร้าบบบ”











TBC.

ปล.อารมณ์เรื่อยๆ มาเรียงๆ ก่อนจะพะบู๊ดีรึเปล่า??  เจอข้อผิดพลาดอยากจะแนะนำอะไรก็แปะไว้นะครับยินดีรับไปพิจารณาแก้ไขกันต่อไป  ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมานะครับ..:)



หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 31-01-2016 10:36:39
บ๋อมเริ่มจะทะแม่งๆแล้ววว
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 31-01-2016 16:13:45
เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 31-01-2016 19:49:29
เมื่อไหร่จะดีกันเสียทีนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 31-01-2016 21:36:39
งอนกันไปงอนกันมา  :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 31-01-2016 22:27:36
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:บ๋อมน่าสงสารที่สุดเลยอะ :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.32_เดินทางไกล [1] P.8_122016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 01-02-2016 23:02:10
เด็กเลี้ยง




- 32 -

เดินทางไกล [1]









      วันนี้ท้องฟ้าสีครามช่างสดใสแต่จิตใจน้ำนิ่งหม่นหมอง รู้สึกเศร้าแต่พูดกับใครไม่ได้ ไม่อาจปฏิเสธกับสิ่งที่ตัวเองกระทำ ไม่มีสิทธิ์จะทำหน้าเศร้าโศกให้ใครเห็น จำต้องกล้ำกลืนปั้นหน้าแสร้างว่ามีความสุขเสียเหลือเกิน  ทั้งๆ ที่เฝ้ารอโทรศัพท์อย่างกระวนกระวายใจ 

       สองคนนั้นหัวเราะตะโกนกันโหวกเหวกริมลำธารตื่นเต้นทุกครั้งที่ปลาติดเบ็ด  ผ่านไปจนเกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ตอบกลับมาจากคนที่ผมส่งทั้งข้อความไปหา ไม่มีการเปิดอ่าน กระหน่ำโทรหาตั้งแต่ออกมาจากบ้านจนมาถึงลำธารท้ายไร่เกือบจะร้อยสายแต่ทุกสายรอจนสัญญาณตัดไปเองทุกครั้ง....

       ผมรู้ว่าไม่ควรรบกวนเวลาทำงานแต่ถ้าจะทำเฉยเมยเหมือนเลยตามเลยแบบนี้ ผมคงจะเป็นบ้าตาย จึงตัดสินใจส่งข้อความไปหาอีกครั้ง

      ‘ขอโทษ เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ ภูมิโกรธหนูนานเกินไปแล้วนะ สาบานต่อพระเจ้าหนูสำนึกแล้วจริงๆ รู้สึกแย่ไปหมด’

      ‘จะไม่ยกโทษให้จริงๆ เหรอฮะ...’

      ‘รับโทรศัพท์หนูหน่อยขอร้อง...’

      ‘ตกลงเราจะไม่คุยกันแล้วใช่ไหม’

      ‘หนูรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง แต่ช่วยรับฟังอีกสักครั้งได้ไหมฮะ’



      “ไอ้น้ำทำอะไรอยู่วะ เขามาเที่ยวกันไม่ใช่ให้มึงมานั่งเล่นโทรศัพท์ มาช่วยกูก่อไฟเผาปลาเลยมึง”  บ๋อมยกมือเท้าสะเอวทำหน้าบึ้งอยู่ริมลำธาร พร้อมตะโกนเร่งเร้าให้ไปช่วยกันทำอาหาร

      “เออ ๆ แป๊บทำไปก่อนเดี๋ยวไปน่า”  น้ำนิ่งโบกมือสะบัดให้เพื่อนทำไปก่อน ส่วนตัวเองก็ก้มลงพิมพ์ข้อความส่งไปอีกครั้ง


      ‘เกลียดจนไม่อยากจะคุยกันแล้วใช่ไหม’

      ‘อ่านแล้วทำไมไม่ตอบ โกรธจริงๆ เหรอ ขอโทษ...อย่าทำแบบนี้’

      ‘ขอร้อง...อย่าเงียบแบบนี้ได้ไหม หนูใจไม่ดีนะ’

      ‘เข้าใจแล้ว...’

      ‘ขอโทษถ้าทำให้รำคาญ...ขอโทษอีกครั้งที่เซ้าซี้และทำตัวน่าเบื่อหน่าย’



      หลังจากที่ส่งข้อความสุดท้ายไป น้ำนิ่งจ้องโทรศัพท์นิ่งนาน จนแล้วจนรอดเกือบชั่วโมงข้อความนั้นก็ยังไม่ถูกอ่าน คงโกรธจริงๆ ร่างบางยิ่งหงอยหนัก กำลังคิดจะปิดเครื่อง แต่เสียงสัญญาณเตือนข้อความเข้าดังขึ้นก่อนทำให้ลนลานมือไม้สั่นไปหมดเกือบทำโทรศัพท์หลุดมือ กดเปิดอ่านข้อความมันทั้งดีใจและห่อเหี่ยวใจไปพร้อมกัน

      ‘ไม่ได้โกรธหรือรำคาญ ที่ไม่อยากตอบก็เพราะเห็นได้ชัดว่าคนบางคนก็แค่ง้อตามหน้าที่ อย่าทำเลยแบบมันเหนื่อย  ถ้าใจยังไม่พร้อมที่จะคุย ไม่พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของคนที่หวังดี จะให้คุยตอนนี้หรือตอนไหนค่ามันก็คงจะเหมือนเดิม ที่จริงห่างกันสักพักก็คงดีต่างฝ่ายจะได้คิดทบทวนตัวเองว่าเราทั้งคู่บกพร่องกันตรงไหนบ้าง’

      ‘ไม่เอาไม่ให้ห่าง อย่าทำแบบนี้กับหนู ภูมิใจร้ายเกินไปแล้วนะ ไม่เคยคิดว่าที่ง้อนี่เป็นหน้าที่สักครั้ง แต่ง้อเพราะภูมิเป็นคนสำคัญ ร่างกายที่ขาดลมหายใจจะอยู่ได้ยังไงกัน..?’



      เงียบ!!!......ไม่มีการสัญญาณตอบรับจากภูมิรพีทั้งที่อ่านแล้ว น้ำนิ่งรู้สึกใจแกว่งไกวราวจะหลุดจากขั้ว หมดหวังแล้วใช่ไหม...แต่ยี่สิบนาทีถัดมาข้อความที่ตอบกลับมาทำให้ร่างบางใจชื่นขึ้นมาทันที

       ‘จะกลับถึงไร่ประมาณหกโมงเย็น ค่อยคุยกัน’  น้ำนิ่งส่งอีโมชั่นดีใจจนน้ำตาไหลพรากกลับไป

      ‘จะรอ อ๊ะหนูอยู่ที่บ้านพักท้ายไร่นะ’

      ‘ไปทำอะไรที่นั่น’

      ‘พาสองหนุ่มมากินข้าวป่า ตกปลา ดูพระอาทิตย์ตกดิน แล้วจะตั้งแค้มป์ไฟ อย่าเพิ่งโกรธนะ งานนี่เฮียเซนผิดคนเดียวเลยทิ้งภาระการเลี้ยงกระต่ายมาให้น้ำเต็มๆ’

      ‘ยังไม่ได้ว่า’

       ‘ภูมิ…’

      ‘ว่า...’

       ‘เรานอนดูดาวด้วยกันนะ’

      ‘อืม...เมืองไปด้วยหรือเปล่า’

      ‘มาฮะพร้อมชายฉกรรจ์อีกสามคน ชายฉกรรจ์เหล่านั้นกำลังตั้งเต้นท์ กระต่ายเฮียเซนกระโดดเหย่งๆ อยู่ริมลำธารน่าจะตกปลาตัวแรกได้ บ๋อมถูกใช้ให้ก่อไฟเป่าซะหน้าดำหน้าแดงตลกชะมัด’

      ‘ตัวเองทำอะไร เอาเปรียบเพื่อนนะเรา’

      ‘ทำไมจะไม่ทำนี่นะงานใหญ่เลย’

      ‘หึ หึ ก็อู้น่ะแหละ ไปช่วยเพื่อนไป๊ แล้วอย่าไปไหนคนเดียว หรือถ้าจะไปก็ให้มีคนตามไปด้วยเข้าใจนะ จะรีบกลับ’

      ‘ครับผ้มม’
  น้ำนิ่งทำท่าวันทยหัตถ์ทั้งๆ ที่ภูมิรพีไม่มีทางเห็น นั่นโทษสารอดรีนาลีนที่หลั่งออกมาเพราะความดีใจทำให้สมองคนเราสั่งปฏิบัติการออกไปโดยไม่คิด

      ............................................



      น้ำนิ่งกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งมองไปทางไหนก็ดูดีไปหมดหลังจากเคลียร์ปัญหาครอบครัวได้ลงตัว  เพิ่งจะสังเกตว่าท้องฟ้าวันนี้สวยจริงๆ นั่นแหละ  แม้แดดจะจ้าแต่ลมหุบเขาก็ช่วยระบายความร้อนทำให้เย็นสบาย ใบไม้ใบหญ้าสีเขียวนั่นอีกสบายตาชะมัด หน้าบานเป็นจานดาวเทียมเพราะความดีใจโล่งใจ พี่คนงานตั้งเต้นท์เสร็จแล้ว ต่างแยกย้ายกันไปเฝ้าตามจุดต่างๆ  ส่วนเมืองแมนกับคนงานอีกคนเดินตรวจความเรียบร้อยอยู่ไกลๆ ตรงชายป่าฝั่งโน้น

      “น้ำนิ่งงงง...วู้!! ทำอะไรมานี่เร็วววววว โว้ โว้ ปลากินเบ็ดพี่แล้ว มาดู มาดู” 

       คานินกระโดดโลดเต้นดีใจราวกับเด็กผู้ชายซนๆ ที่ได้รับชัยชนะจากเกมส์ที่เล่นอยู่ มือสาวชักลอกสายเบ็ดเป็นระวิง ปลาที่ติดเบ็ดตัวโตพอสมควรมันดิ้นรนสุดแรงเกิดให้หลุดพ้นไปสู่อิสรภาพ

       ดูๆ ไปปลาเคราะห์ร้ายนั่นก็ช่างเหมือนคนเราดีๆ นี่เอง ความละโมบทำให้รีบตะครุบเหยื่อชิ้นโตทันทีโดยไม่คิดไตร่ตรองว่าสิ่งที่ตัวเองตะครุบไว้ในปากมันอาจนำภัยมาสู่ตัวเองจนกลายเป็นเหยื่อซะเอง ทฤษฎีปลาใหญ่กินปลาเล็กน่าจะเหมาะกับสถานการณ์นี้ที่สุด

      บางทีน้ำนิ่งก็คิดว่ามนุษย์นั่นเป็นเพียงแค่สัตว์ร้ายชนิดหนึ่ง ถึงแม้จะมีปัญญา มีวิทยาการความเป็นอยู่ล้ำหน้ากว่าสัตว์ สามารถประดิษฐ์เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกให้ตนได้มากกมายเพียงใด แต่ในที่สุดแล้วเทคโนโลยีและวิทยาการทั้งหมดทั้งสิ้น ก็เป็นเพียงเครื่องมือในการตอบสนองต่อการดิ้นรนต่อสู้หากินเพื่อความอยู่รอด เพื่อการแสวงหาความสุขความอิ่มทางวัตถุ และเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป!!...

       ฤามนุษย์เป็นได้เพียงแค่สัตว์ร้ายชนิดหนึ่งในสังคมกว้างใหญ่เท่านั้นจริงๆ  เอ๊ะ!! แล้วเขาจะคิดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมก็ไม่รู้สินะ แค่ปลาดิ้นหาอิสรภาพก็ทำให้เขาคิดไปใหญ่โตจึงส่ายหัวอย่างระอาตัวเอง ก่อนจะยิ้มร่าเดินไปหาคานินที่กวักมือเรียกอยู่ไหวๆ

      “ไหนๆ ว้าว! ตัวมันใหญ่กว่าที่น้ำตกได้ครั้งที่แล้วซะอีก”

      “นี่ใคร คานินมือเบ็ดพิฆาตนะจะบอกให้”

      “อ้าว!! ไหนว่าเป็นกระต่าย??”

      “นั่นก็ด้วยฮ่า ฮ่า ช่างยอกย้อนนะเรา มาช่วยพี่ปลดตะขอเบ็ดก่อนเร็วสิ”

      “มาๆ เดี๋ยวน้ำทำเอง”

       น้ำนิ่งรับคันเบ็ดไปจัดการปลดตะขอเบ็ดออกปลาหย่อนใส่ถังซึ่งมีปลาอยู่ในนั้นสองสามตัว คานินเกี่ยวเหยื่อใส่ตะขอแล้วหย่อนลงไปในน้ำอีกครั้ง นั่งรออย่างใจเย็น น้ำนิ่งเดินไปดูบ๋อมที่ก่อไฟสำหรับเผาปลาเสร็จแล้ว กำลังจัดการขอดเกล็ด ล้างคาวปลา โอบเกลือไปตามตัวปลาจนทั่วห่อด้วยกระดาษฟรอยด์และพอกโคลนทับอีกชั้น เสร็จแล้วจึงเอาไปเผาที่เตาหลุมดินที่พี่คนงานทำให้อย่างง่ายๆ

      “ให้น้ำทำอะไร”

      “มึงไปทำน้ำแป๊ะซิพี่คานินอยากจะลองกินกูโม้ไปเยอะว่ามึงทำอร่อย อย่าให้เสียชื่อนะโว้ย”

      “โอเค”  แล้วสองเพื่อนรักก็หมกมุ่นอยู่กับการทำน้ำจิ้มและเผาปลาอย่างเมามัน บางครั้งมีการหยอกเย้าโยนนั้นนู้นนี่ใส่กันราวกับเด็กชายเล็กๆ เสียงหัวเราะดังก้องริมลำธาร

      ................................



      ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากต่อทุกชีวิต ชีวิตกับธรรมชาติต่างก็มีความเกี่ยวเนื่องกัน เชื่อมโยง และผูกพันกันอยู่ตลอดเวลา ในฐานะที่ธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมต่างๆ เป็นปัจจัยที่จะเกื้อกูลให้สิ่งมีชีวิตเกิดความสมดุลขึ้น

      ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ สายน้ำ ดิน ฟ้า อากาศ และสัตว์ป่า ล้วนมีคุณูปการต่อชีวิตมนุษย์ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับร่างกายและจิตใจ ถ้าหากว่าธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ถูกทำลายลงไป ก็พลอยนำความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นกับชีวิตของมนุษย์เองด้วยเช่นกัน

      ในความเป็นจริง มนุษย์กับธรรมชาติเป็นความสัมพันธ์ที่มิอาจจะแบ่งแยกออกจากกันได้ เพราะมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และธรรมชาติเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์ การสร้างทัศนคติที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นกับธรรมชาติ การมองไม่เห็นคุณค่าของธรรมชาติ หรือการมองธรรมชาติเป็นแค่เพียงเหยื่ออันโอชะที่ตนเองจะพึงกอบโกยเอาผลประโยชน์จากมันเพียงอย่างเดียวแบบหน้ามืดตามัว โดยไม่คำนึ่งถึงผลร้ายมี่จะตามมาในอนาคต จึงเป็นการเข้าใจที่ผิดอย่างรุนแรง

       ปัจจุบันนี้มีปัญหามากมายที่เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์ได้กระทำต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำเน่าเสีย มลภาวะอากาศเป็นพิษ น้ำท่วม ฝนกรด ฝนแล้งหรือตกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล และภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน เหล่านี้ล้วนเกิดจากน้ำมือของมนุษย์เอง ที่พากันประทุษร้ายและทำลายธรรมชาติในรูปแบบต่าง ๆ โดยขาดการพิจารณาไตร่ตรองและขาดการยั้งคิด จนนำมาซึ่งความเดือดร้อนอย่างที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

      ตราบใดที่มนุษย์ยังมองไม่เห็นถึงความสำคัญของธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมที่มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงและสัมพันธ์กับสรรพชีวิต ยังมองทุกอย่างโดยความแปลกแยก และมองเห็นว่าเป็นเพียงทรัพยากรที่ตนเองจะพึงครอบครองกอบโกยเพื่อเอาผลประโยชน์ ตราบนั้นมนุษย์ก็คงจะต้องพบกับความเจ็บปวดและก้มหน้ารับผลกรรมที่ตนเองได้ร่วมกันกระทำขึ้นโดยไม่มีวันสิ้นสุด อย่างไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้

      ผืนป่าที่เห็นอยู่โดยรอบบริเวณนับว่ายังสมบูรณ์ถึงที่นี่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์แต่ครอบครัวจิโอวาดินี่ก็อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้แทบจะไม่บุบสลายเกือบเก้าสิบห้าเปอร์เซนต์ยังคงความเป็นผืนป่าดั้งเดิม ทั้งนกทั้งผีเสื้อหลากหลายสายพันธุ์บินให้ว่อน ฝั่งตรงข้ามเขาเห็นกวางสองแม่ลูกกำลังกินน้ำ ต้องขอบคุณครอบครัวนี้ที่ไม่ทำลายธรรมชาติที่สวยงามไป แม้ผืนป่านี้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งแต่ก็ถือเป็นก้าวที่กล้าที่จะขยายผลต่อไปยังผืนป่าอื่นๆ ให้กว้างออกไป

       แสงวูบสลัวลงฉับพลันจากเงาสูงใหญ่ที่ทาบทับข้างหลังทำให้คานินชะงักความคิดคำนึงของตัวเอง เอี้ยวตัวกลับไปมองแล้วต้องร้องลั่นด้วยไม่คิดว่าจะเจออีกคนที่นี่ได้

      “อ้าว! เฮ้ย!! เฮียไป๋มาได้ไง”

      “เราก็เหมือนกันมาไกลขนาดนี้เชียว”

      “ผมลาพักผ่อนไงเฮียจำไม่ได้เหรอ ไม่ได้หนีงานมานะ เอ๊ะหรือว่าเฮียตามมาสอดส่องพฤติกรรมผม”

      “ใช่ที่ไหนล่ะ เฮียมาสัมมนาทางวิชาการกับสมาคมสื่อสิ่งพิมพ์ระดับภูมิภาคเอเชียต่างหาก  ไม่อยากจะเสียเที่ยวเลยถือโอกาสหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ไปเขียนคอลัมน์ด้วย ลองเสริ์ชหาข้อมูลจากอากู๋ที่นี่มันเด้งขึ้นมาเป็นที่แรก ดูรายละเอียดแล้วน่าสนใจเลยลองเดาสุ่มมา นี่กำลังจะเดินไปหาผู้จัดการ แต่ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวทางนี้เลยเดินมาดู แล้วก็โป๊ะเซะ!! มันวิเศษมากที่เจอคานินที่นี่ เอาจริงๆ เฮียกำลังต้องการคนรู้พื้นที่ที่พอจะแนะนำสถานที่สำคัญภายในไร่ได้น่ะ”

      “ไม่ไหวละม้างงเฮีย ผมก็เพิ่งจะเคยมาที่นี่ครั้งแรกเหมือนกัน แล้วเฮียพักที่โรงเตี๊ยม หรือเรือนที่นี่”

      “พักที่เรือนหลังที่สามฝั่งโน้น  วันนี้ท้องฟ้าโปร่งสวยเลยกะว่าจะเก็บภาพบรรยากาศทั่วไร่เราพอจะหาคนรู้พื้นที่ให้เฮียได้ไหมล่ะ เวลากระชั้นเข้ามาแล้วให้ตายเถอะเฮียไม่อยากจะพลาดโอกาสดีๆ อย่างนี่เลย ช่วยหน่วยนะคานิน” 

       สีหน้าที่แสดงความกังวลร้อนใจและน้ำเสียงเครียดเขม็งตอนท้ายของเฮียไป๋ซานทำให้คานินรู้สึกแปลกแปร่ง จึงมองสบตาคนตรงหน้าแต่ก็ไม่เห็นอาการส่อพิรุธอะไร ด้วยสปิริตต่องานแม้จะลาพักร้อน คานินกลับรู้สึกละอายใจและร้อนตัว ขนาดเฮียเป็นถึงเจ้าของบริษัทในเวลาที่สมควรพักผ่อนยังคิดจะทำงานไปด้วยแล้วเขาเป็นแค่ลูกน้อง…

       คานินยุ่งยากใจหน้านิ่วคิ้วขมวดหันซ้ายหันขวาแล้วไปสะดุดเข้ากับร่างของน้ำนิ่งซึ่งกำลังง่วนทำอาหารอยู่ไม่ไกล

      “ผมคิดออกล่ะงานนี้คงไม่มีใครช่วยเฮียได้ดีกว่าเจ้าของไร่หรอกครับ เฮียเชิญทางนี้เลย”

      “น้ำนิ่ง บ๋อม มานี่หน่อยพี่อยากจะแนะนำให้รู้จักเจ้านายพี่”  ทั้งคู่วางมือจากสิ่งที่กำลังทำลุกเดินยิ้มเป็นมิตรไปหาคานิน
   
      “น้ำ บ๋อม นี่คุณไป๋ซาน เจ้านายพี่  เฮียนี่น้ำนิ่งเจ้าของไร่  ส่วนนี่บ๋อมเพื่อนของน้ำนิ่งครับเฮีย”

      “สวัสดีฮะคุณไป๋ซาน / สวัสดีครับคุณไป๋ซาน ยินดีที่ได้รู้จัก”

      “โอ๊ะ อย่าเรียกคุณเคิ้นอะไรเลยมันดูเป็นทางการแล้วเกร็งๆ ยังไงไม่รู้ เรียกพี่หรือเฮียเหมือนคานินก็ได้เป็นกันเองดี”

      “เฮียมาเที่ยวหรือมาทำงานฮะ”  น้ำนิ่งถามขึ้น

      “ทั้งสองอย่างครับ ผมมาสัมมนาทางวิชาการสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งจบไปเมื่อวานที่โรงแรม… เอาจริงๆ ที่ยังไม่กลับเพราะผมหลงเสน่ห์และประทับใจอะไรหลายๆ อย่างที่นี่เลยกะจะเขียนคอลัมน์เปิดประสบการณ์ใหม่กับท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์แบบดั้งเดิม แต่ปัญหาคือผมมีเวลาแค่วันนี้กับพรุ่งนี้อีกครึ่งวัน ถ้าจะให้เดินท่อมๆ หาแหล่งเก็บภาพบรรยากาศเองคิดว่าคงไม่ทัน แล้ววันนี้ท้องฟ้าสวยมากแดดก็เป็นใจถ้าจะปล่อยผ่านไปก็น่าเสียดายมาก เลยกะจะหาคนพอรู้พื้นที่ช่วยแนะนำ เออน้องน้ำพอจะอนุเคราะห์ได้ไหมครับ”

      “เออ น้ำขอออกตัวก่อนว่าถึงจะเป็นไร่ตัวเอง แต่ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่จึงไม่ค่อยชำนาญทางนักน้ำเกรงว่า...”

      “อย่ากังวลเลยครับ ถ้าไม่สะดวกเอาแค่บริเวณรอบๆ นี้ก็น่าจะได้ ถ้าไม่ได้วันนี้ผมเสียดายแย่เลยทุกอย่างมันดูเหมาะและลงตัวที่สุด  ถ้าเป็นวันอื่นความรู้สึกมันก็คงไม่เหมือนกับวันนี้อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์  อย่าว่างั้นว่างี้เลยนะนี่ผมก็อดใจไม่ไหวแอบเก็บภาพไปแล้วส่วนหนึ่งหวังว่าคงไม่ว่ากันนะครับ” 

       เฮียไป๋ซานยื่นกล้อง DSLR ยี่ห้อดังส่งให้น้ำนิ่งดู ภาพของพวกเขาสามคนหลายสิบภาพในอิริยาบถต่างๆ ถูกถ่ายทอดแบบ Portrait ผ่านมุมมองสายตาของเฮียไป๋ซานมันดูเรียลมากๆ จนคิดว่าตัวเองแสดงอารมณ์และแววตาแบบนั้นออกมาด้วยเหรอน่าแปลกใจจริง อีกสองคนเห็นอาการของน้ำนิ่งเลยชะโงกหน้าเข้ามาดู

      “เอ้ย!! เฮียทำแบบนี้แสดงว่ามาส่องพฤติกรรมผมจริงๆ น่ะสิ ก็บอกแล้วไม่ได้หนีงานลามาถูกต้องตามระเบียบเหอะ  แต่จะว่าไปฝีมือถ่ายภาพของเฮียแมร่งเจ๋งจริงยิ่งดูยิ่งขนลุกยังกับภาพดูดวิญญาณ คือไม่เข้าใจจะเรียลไปไหนถามจริง นี่อีกจะซูมให้เห็นตีนกาที่เหยียบหน้าเลยรึไง ผมรู้ ผมสัมผัสได้ ขอร้องเฮียไม่ต้องตอกย้ำ เข้าใจนะ”

      “ก็พูดเกินไป แต่ไม่ใช่แบบที่เราพูดหรอก แค่เห็นแล้วมันอดไม่ได้ที่อยากเก็บความรู้สึกเหล่านั้นไว้ ไม่อยากพลาดอย่างที่บอก ผมขอโทษนะครับน้องน้ำ น้องบ๋อม ที่ไม่ได้บอกกล่าวก่อน”

      “โอ๊ะ! ไม่เป็นไรหรอกครับ ภาพสวยพอให้อภัยได้ฮะ ไม่คิดว่าทิวทัศน์ธรรมดาแบบนี้พอถ่ายออกมาแล้วมันให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปเลย  เอ..ถ้าจะถ่ายบริเวณรอบๆ มันจะตรงกับคอนเซ็ปที่เฮียแพลนไว้เหรอฮะ”

      “เวลามันน้อยนะครับ แต่อยากจะได้บรรยากาศของวันนี้จริงๆ รบกวนด้วยนะครับ คานินเขาจะอยู่อีกหลายวัน ผมจะให้เขาเก็บภาพบรรยากาศส่วนอื่นๆ ให้...นะครับขอร้อง”

      “ก็ได้ฮะ นี่ก็เที่ยงกว่าแล้วด้วยคงจะไปได้แค่น้ำตก  กับไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ม่อนโอบตะวันเท่านั้น  แล้วค่อยกลับมาแค้มป์ไฟดูดาวกันตอนเย็นดีไหมฮะเฮียไป๋”

      “โอ้!! เยี่ยมเลยครับ ขอบใจที่น้องน้ำให้ความอนุเคราะห์”

      “ยินดีฮะ เฮียเป็นแขกของเราที่สำคัญยังเป็นเจ้านายของพี่คานินด้วย น้ำเป็นเจ้าของพื้นที่ช่วยได้ก็ต้องช่วยอยู่แล้วฮะ อ๊ะนี้ก็เที่ยงแล้วเชิญเฮียทานข้าวกับเรานะฮะ”

      “ไม่เกรงใจนะครับ”





มีต่อ....
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.32_เดินทางไกล [1] P.8_122016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 01-02-2016 23:03:37

      “งั้นเชิญทางนี้เลยครับ”  น้ำนิ่งเดินนำไปยังเสื่อที่ปูอยู่ใต้ต้นไม้ เมืองแมนกำลังจัดวางสำรับอาหาร เครื่องดื่มและผลไม้ เมื่อทุกคนนั่งประจำที่พี่เขาก็เลื่อนอ่างดินใส่น้ำลอยเปลือกมะนาวสำหรับล้างมือให้แต่ละคนได้ล้างมือ เรียบร้อยแล้วเมืองแมนจึงเดินไปนั่งข้างน้ำนิ่ง


      “เฮียไป๋ครับ นี่พี่เมืองแมนคนดูแลน้ำครับ พี่เมืองนี่เฮียไป๋ซานเจ้านายพี่คานิน เฮียเป็นแขกของโรงเตี๊ยมนะฮะ”

      “สวัสดีครับคุณไป๋ซาน / สวัสดีครับคุณเมืองแมน”

      “อ้อ พี่เมืองเฮียเขาอยากจะเก็บภาพบรรยากาศรอบๆ สำหรับการเขียนคอลัมน์ท่องเที่ยวน่ะ น้ำเลยกะว่าจะพาไปน้ำตกกับไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ม่อนโอบตะวันบ่ายนี้ แล้วเย็นค่อยกลับมาแค้มป์ไฟกันที่นี่อีกที”

      “แล้วบอกเฮียแล้วรึยัง”

      “บอกแล้วสิ ภูมิจะตามมาประมาณหกโมงเย็นฮะ”  เมืองแมนพยักหน้ารับรู้

      “เต็มที่เลยนะเฮียปลานี่น่ะผมตกเองกับมือนะขอบอก”  คานินอวดอ้างฝีมือการตกปลาของตัวเองโขมง

      “โม้รึเปล่าอะเรา ไม่ยักรู้ว่าเราชอบตกปลาด้วย”

      “โม้ที่ไหนหลักฐานก็มีในกล้องเฮียอ๊ะ จริงผมชอบนะแต่ไม่ค่อยได้ไปไง”

      “วันหลังเห็นจะต้องชวนคานินไปเป็นเพื่อนตกปลาซะแล้วสิ”

      “บอกมาก็แล้วกันถ้าไม่ติดอะไรผมยินดีเลย”

      “กินเนื้อปลาด้วยสิอย่ากินแต่ผัก” 

       เมืองแมนหันมามองคนข้างตัวที่เอาสารพัดผักพันเป็นคำจิ้มน้ำจิ้มหวานใส่ปากโดยไม่มีเนื้อปลา จึงตักเนื้อปลาชิ้นพอสมควรมาวางใส่จานของน้ำนิ่งและใช้สายตาบังคับให้กิน หน้าน้ำนิ่งเหมือนโดนบังคับให้กลืนยาขมยังไงยังงั้น ทำไมเมืองแมนจะไม่รู้ว่าน้องไม่ชอบกินเนื้อสัตว์เกือบทุกชนิด หน้าพะอืดพะอมนั่นก็สงสารอยู่หรอกแต่ร่างกายต้องการสารอาหารให้ครบห้าหมู่เลยจำเป็นต้องบังคับกัน

      “อย่างอแง แค่นี้เอง มาเดี๋ยวพี่ตักปลาป้อนเราค่อยหยิบผักกินเองโอเคไหม”  น้องพยักหน้า เมืองแมนเลยตักปลาพอดีคำป้อนใส่ปากเจ้าตัวหยิบผักสลัดใส่ปากสองสามใบต่อปลาหนึ่งคำ

      “กินสลัดผลไม้นี่อีกนิดนะ ห้ามต่อรองครับ”  หลังจากปลาชิ้นนั้นหมด น้ำนิ่งถูกบังคับกลายๆ ให้กินสลัดผลไม้ซึ่งตักมาวางตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว จึงจำใจต้องกินเพราะไม่อยากให้เมืองแมนเสียน้ำใจทั้งที่เขาอิ่มจะแย่

      ทุกการกระทำของทั้งสองถูกสายตาสองคู่มองไม่กระพริบ หนึ่งนั้นเต็มไปด้วยจิตอิจฉาซึ่งตีรวนจนจุกแทบจะหมดความอยากอาหาร หลายวันก่อนเขาได้รับการดูแลเอาใจใส่ห่วงใยแบบนั้นเหมือนกัน จนเขาคิดว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์เหนือใครความรู้สึกเหล่านั้นมันเป็นของเขาคนเดียวที่สมควรจะได้รับ เพราะมีน้ำนิ่งความสำคัญของเขามันก็ลงลดเป็นยังงี้มาตลอด

       แต่ก็เพิ่งจะตระหนักเดียวนี้เองเขาคิดผิดมันก็แค่จริตที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ทำไม่ได้มาใจที่แท้จริง แววตานั้นก็อีกมันช่างต่างกันลิบลับ...ขยะแขยงตัวเองที่มีความรู้สึกแบบนี้..อยากหลุดพ้นแต่เหมือนมันยิ่งติดหนึบในใจ   จนทำเป็นสนใจอาหารตรงหน้าแทน

       ส่วนอีกหนึ่งนั้นต่างกันลิบลับมันเต็มไปจิตที่มุ่งร้าย แต่เพียงครู่เดียวมันก็เจือจางเหมือน ทะเลยามคลื่นลมสงบแต่ซ่อนคลื่นแรงไว้ข้างใต้ลึกลงไปแทน  ถ้าไม่ตั้งใจมองก็คงจะไม่รู้ว่าคนนี้คิดอะไรอยู่

      บ๋อมเงยหน้าขึ้นมองเฮียไป๋ซานเก้ๆ กังๆ กับการกินปลาแป๊ะซะอย่างยากลำบากจึงจัดแจงทุกอย่างให้เสร็จสรรพจนถึงป้อนให้ถึงปาก

      “เฮียต้องเอาผักสลัดวางแบบนี้ ตักเนื้อปลามาใส่ เอาเส้นขนมจีนใส่ ผักเคียงอื่นๆ นี่บ๋อมเอาเฉพาะผักชีกับสะระแหน่ให้นะครับ ตักน้ำจิ้มทั้งสองแบบผสมลงไป เสร็จแล้วก็ห่อแบบนี้ เอ้าอ้าปากสิครับเร็วสิครับมันเมื่อยมือนะ”

       ส่วนไป๋ซานมองการกระทำของบ๋อมอึ้งๆ หูแดงแต่ก็ยอมอ้าปากรับสิ่งที่บ๋อมป้อนให้ถึงปากเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย  คราวนี้เป็นสามคนมองทั้งคู่ด้วยอารมณ์ที่ต่างกัน แล้วแสร้งทำเป็นสนใจอาหารตรงหน้า บ๋อมทำอย่างนั้นอยู่สองสามครั้ง แล้วก็ชะงักไปเหมือนเพิ่งคิดได้ หน้าขึ้นสีระเรื่อผลักจานของเฮียไป๋ให้เจ้าตัวทำเอง แสร้งก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าตัวเองง่วน วงรับประทานอาหารเงียบลง

      “เออ เฮียพอทานได้ไหมครับ น้ำจิ้มเผ็ดไปหรือเปล่า”  น้ำนิ่งถามนำทำลายความอึดอัด

      “ได้ครับ อร่อยมากถึงจะเผ็ดไปหน่อยก็เถอะ”

      “ขอโทษจริงๆ ครับ น้ำลดความเผ็ดลงมากแล้วนะ แต่น้ำจิ้มซีฟู้ดมันก็ต้องรสชาติประมาณนี้แหละครับถึงจะอร่อย”

       “อย่าขอโทษเลยมันเป็นความผิดของผมเองที่กินเผ็ดไม่ได้ แต่ถ้าเอาน้ำจิ้มหวานมาผสมด้วยก็ลดความเผ็ดได้เยอะเลย  แต่อะไรก็ไม่เท่าเนื้อปลามันสดใหม่เนื้อเลยหวานมาก กินเฉพาะปลาอย่างเดียวก็อร่อย แล้วน้องน้ำไม่ชอบกินปลาเหรอครับ”

      “ไม่ได้เรื่องมากอะไรหรอกฮะก็กินได้ แต่น้ำเป็นคนที่ไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ ยิ่งเนื้อวัวนะยิ่งปรารถนาเว้น เฮียรู้รึเปล่าว่ามันน่าสงสารมากๆ ตอนที่จะถูกฆ่า ตามันเศร้าๆ น้ำตามันไหลออกมายังกับรู้ว่าจะถูกฆ่าสลดหดหู่ที่สุด ถ้าเลือกได้ก็ไม่กิน”

      “นึกว่าถือศีลกินเจเลยไม่บริโภคเนื้อสัตว์ซะอีก”

      “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”

      “กินเผ็ดไม่ได้นี้ผมคิดได้เรื่องนึง เฮียจำตอนที่ผมเข้าทำงานใหม่ๆ ได้ไหมที่เฮียพาไปเลี้ยงข้าว ผมได้รับสิทธิ์เลือกร้านในฐานะเด็กใหม่ พวกเราไปกินสุกี้หม้อไฟเสฉวนกันน่ะ หน้าเฮียตอนที่เห็นหม้อไฟตอนนั้นผมโคตรขำ จะสั่งอาหารอย่างอื่นให้เฮียก็ไม่เอา เลยสั่งพิเศษลดความเผ็ดลงเหลือเท่ากับระดับเด็กอนุบาลให้เฮียต่างหาก ถึงขนาดนั้นกว่าจะกินเสร็จเฮียร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล เหงื่อโทรมกายราวกับไปใช้แรงงานกลางแดดจ้า  ปากงี้บวมเจ่อแดงจนน่ากลัว ผมและพี่ๆ นี่แอบขำตั้งหลายทีกับความทิฐิไม่เข้าท่าของเฮีย รู้ว่ากินไม่ได้ยังจะกินผมก็ขี้เกียจจะปรามก็เอาเลยโตๆ กันแล้วเอาที่เฮียสบายใจไงฮ่า ฮ่า”

      “เดี๋ยวเถอะเจ้าเด็กนี่” ไม่พูดเปล่าเฮียไป๋ซานดีดหน้าผากคานินดังแป๊ะขึ้นรอยทันตามเห็น  “ชอบนักเอาข้อบกพร่องของคนอื่นมาล้อเลียน  แล้วจะตัดเงินเดือนให้เข็ดโทษฐานล้อเลียนผู้บังคับบัญชา”

      “อู๊ย!! เจ็บนะเฮียดีดมาซะเต็มแรงสมองไหลจะว่ายังไงรับผิดชอบได้ไหมห๊ะ!! ซี๊ด..”  คานินหน้างอง้ำมือคลำหน้าผากปรอยๆ

      “เออ!! จะรับเลี้ยงตลอดชีวิตแล้วกัน”

      “ไม่รับหรอกมีคนเลี้ยงแล้ว”

      “ใครเป็นเจ้านายลูกน้องกันวะพูดไม่มีสัมมาคารวะ”

      “ก็เฮียนั่นแหละ ผมนี่น้องที่เคารพของเฮียจริงแท้แน่นอน”

      “เออๆ เฮียไม่น่าหลวมตัวเลยตอนนั้น...”

      “เฮียไป๋ดูสนิทสนมกับพี่คานินจังนะครับ”  บ๋อมเอ่ยถามน้ำเสียงฉงนเพราะท่าทางที่ทั้งสองปฏิบัติต่อกันมันดูล้นๆ เกินๆ ความเป็นเจ้านายกับลูกน้อง

      “ก็สนิทมากๆ เราอยู่ด้วยกันมากี่ปีแล้วนะ”  ไป๋ซานหันไปถามคานิน หน้านิ่วคิ้วขมวดคำนวณระยะเวลา

      “ก็ตั้งแต่ผมจบมหาลัย น่าจะสักเจ็ดปีนี่แหละ”

      “มันมนนานจนเข้าทฤษฎี “seven year itch” แล้วเหรอ ถึงว่าสินะคานินถึงเฉยเมยใจร้ายกับเฮียเหลือเกิน ความสัมพันธ์ของเรามันถึงทางแยกแล้วนี่เอง กระซิก กระซิก..”  เฮียไป๋ออกท่าทางเมียหลวงที่กำลังจะถูกละเลยได้สะดิ้งจนน้ำนิ่งเกือบหลุดขำ

      “เฮียยยยยยยยย นั่นมันใช้กับกับเราได้ที่ไหนล่ะ มโนเกิ๊น”

      “อ้าว!! ไม่ได้เหรอมันก็เหมือนๆ กัน  แล้วคานินจะลากเสียงยาวทำไมมันดูไม่ดีเลย”

      “ก็พูดให้คนอื่นเขาสับสนร่วมวงมโนไมล่ะ ไม่ได้เป็นไรกันสักหน่อย”

      “ไม่ได้เป็นไรกันอะไร  ก็เจ้านายกับลูกน้อง พี่กับน้อง ก็เห็นๆ อยู่ โกหกหน้าตายนะเรา”

      “ก็แค่นั้นเฮียจะทำให้คนอื่นเขามโนทำไมห๊ะ”

      “เห็นเครียดๆ กันเลยกะเอาสนุก ไม่ตลกเหรอ”

      “เฮียยยยยยยยยยยยยยย”

      “โอเค โอเค  อิ่มกันหรือยังบ่ายกว่าแล้วเดินทางกันเลยไหม”  ไป๋ซานหันไปถามผู้ร่วมทริปซึ่งทุกคนก็พยักหน้าตามๆ กันว่าอิ่มกันหมดแล้ว

      “พี่ให้ลุงหมานมานำทาง อีกสิบนาทีมาถึง”  เมืองแมนบอกน้ำนิ่ง ถ้าลำพังจะให้พาไปก็ยังไม่คุ้นเคยสักเท่าไร ส่วนน้ำนิ่งยิ่งแล้วใหญ่นั่นตัวหลงทางตัวแม่

      “ระหว่างรอเฮียขอไปเอากระเป๋าอุปกรณ์ที่ห้องก่อนแล้วกัน” 

      “งั้นถ้าใครจะพกพาอะไรไปด้วยก็ให้รีบไปจับไปหา ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย แล้วเจออีกสิบนาทีเจอกันที่หน้าบ้านพักหลังใหญ่นะครับ”  เมืองแมนตัดสินใจแทนผู้ร่วมทริป  ทุกคนต่างยกย้ายกันเต้นท์ใครเต้นท์เรา บ้างก็ไปเข้าห้องน้ำห้องท่าจัดการธุระส่วนตัว ก่อนจะออกเดินทางผจญภัยในอีกสิบนาทีข้างหน้า

      ....................................

 


      ชาวคณะทั้งสิ้นเจ็ดคน เดินเรียบไปตามริมลำธารขึ้นไปยังต้นทางน้ำตก การเดินค่อนข้างลำบากพอสมควรเพราะเป็นพื้นหินกรวดที่มีตะไคร้น้ำเกาะอยู่ บางครั้งต้องเดินย่องแย่งหาที่เหยียบให้มั่นคงเพราะไม่งั้นมีหวังได้จับกบภูเขาที่กระโดดหย่งเข้ากอว่านน้ำเวลาเราเดินผ่าน

       ป่าแถบนี้เป็นป่าเบญจพรรณหรือป่าผสมผัดใบที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ประเภทไม้สัก ประดู่ ชิงชัน มะค่าโมง แดง ไผ่ไร่ ไผ่ซางดอย เปล้าหลวง ส้าน ฯลฯ ยืนต้นกระจายอยู่ห่างกัน แสงตกถึงพื้นได้มาก และมีน้ำไหลตลอดปี จึงทำให้พืชตระกูลหญ้าหรือว่านน้ำหลายชนิดแข่งกันแตกเหล่าแตกกอแน่นขนัดตามริมตลิ่ง

       ลุงหมานกับพี่คนงานหาไม้ยาวเกือบวามาถือไล่แหย่ตามก่อต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นอยู่เต็มตลิ่งทางที่เราเดินผ่าน บางครั้งทำเสียงชู้ว...ชู้ว ไล่งูหรือสัตว์มีพิษอื่นที่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ สอดส่ายสายตาจ้องทุกอย่างที่เคลื่อนไหวอย่างไม่ไว้วางใจ

      ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าที่ไม่ได้ถูกลุกล้ำหรือแผ่วถางจึงเหมาะกับการดำรงชีวิตของนก แมลง และสัตว์ป่าต่าง ๆ เข้ามาอาศัยอยู่มาก แสงแดดเล็ดลอดเข้ามาจากกิ่งไม้ใบไม้จนฉายเป็นเส้นสีขาวสว่างสวยราวสวรรค์ เป็นที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้มาใหม่อย่างคานิน บ๋อม และเฮียไป๋ซานยิ่งนัก โดยเฉพาะเฮียไป๋ซานยกกล้องเก็บภาพบรรยากาศตามเบี้ยใบ้รายทางแทบจะทุกตารางนิ้ว

      เนื่องจากป่าแถบนี้มีเขตติดต่อกับอุทยานแห่งชาติและเขตดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน ก้อนหินพุ่มพงแวดล้อมจึงดูไม่น่าไว้ใจไปเสียทั้งหมด พวกสัตว์ป่าหรือแม้แต่สัตว์เลื้อยคลานเป็นอันตรายยังไม่น่าห่วงเท่ากับพวกศัตรูที่ไม่รู้ว่าจะโผล่มาเมื่อไหร่ เมืองแมนซึ่งเดินรั้งท้ายต้องครองสติของตัวเองอยู่ตลอดเวลาคอยสอดส่ายสายตาระแวดระวังภัยให้กับชาวคณะ

       บางช่วงของการเดินทางเป็นทรายนุ่มไร้กรวดหินการเดินง่ายขึ้น ชาวคณะเดินลัดเลาะกว่าชั่วโมงในที่สุดก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังสนั่น สายตาของคนมาใหม่วาวระยับกับความงดงามที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ความสูงใหญ่ของหน้าผาสูงจนแหงนคอตั้งบ่าที่มีสายน้ำตกลงมาไม่ขาดสาย รู้สึกได้ถึงละอองน้ำโปรยมาสัมผัสผิวจนเสื้อผ้าแต่ละคนชื้น

      “ว้าว!!  So Beautifulllll…ไม่เสียแรงจริงๆ ที่มาถึงนี่ สวรรค์บนดินชัดๆ”  เสียงความตื่นเต้นของคานินดังไม่ขาดปาก ถอดรองเท้าเดินป่าออกว่างไว้ที่โขดหิน ป่ายปืนลงไปตามก้อนหินใหญ่อย่างรวดเร็วจนไปถึงริมธารน้ำตก 

       “บ๋อมๆ ดูสิน้ำใสจนเห็นพื้นหินข้างล่าง น่าเล่นน้ำวะ” 

       คานินกวักมือเรียกบ๋อมซึ่งยืนอยู่บนโขดหินใกล้กัน บ๋อมเองก็ไม่รอช้าปีนลงไปยืนข้างกันตั้งแต่คานินยังพูดไม่จบ เท้าเปลือยเปล่าจุ่มน้ำลงไปครึ่งแข้งแล้วด้วย  ส่วนเฮียไป๋ซานแยกย้ายไปอีกทางเพื่อเก็บภาพ เมืองแมน ลุงหมาน และพี่คนงาน กระจายกันเดินสำรวจเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณใกล้ๆ

      “ถ้าพี่คานินกับบ๋อมจะเล่นน้ำ เราอยู่ที่นี่กันซักครึ่งชั่วโมงก็ได้ ถ้านานกว่านั้นจะไม่ทันดูพระอาทิตย์ตกดินน่ะ”  น้ำนิ่งก้มลงมองนาฬิกาเห็นว่ายังพอมีเวลาจึงไม่ขัดข้องหากทั้งคู่จะเล่นน้ำ

      “เล่นสิเล่น พี่ไม่อยากขัดศรัทธา น้ำใสแจ๋วซะขนาดนี้ไม่เล่นได้ไง แล้วน้ำล่ะ”  คานินถามเมื่อเห็นน้ำนิ่งยังยืนอยู่ที่เดิม

      “สองคนเล่นเถอะ น้ำมาที่นี่บ่อยมากซักจะเบื่อๆ น้ำจะได้คอยดูระแวดระวังภัยให้ไงเพราะบางทีก็มีสัตว์ใหญ่พลัดหลงมากินน้ำแถวนี้”

       “มีบ่อย..!??”  สองคนนั้นตาเบิกกว้างหน้าเลิกลั่กหันซ้ายหันขวาอย่างระแวดระวังและหวาดกลัว

      “ไม่นะน้ำมาหลายครั้งแล้วก็ไม่เคยเจอสักที ถ้ามีกลิ่นคนเขาก็จะไม่เข้ามาหรอกเชื่อสิ ไม่ต้องห่วงเล่นตามสบายเลย” น้ำนิ่งบอกยิ้มๆ

       “โอ๊ย!!  โล่งอกไปที มา มา บ๋อม เล่นน้ำเร็วครับ”

       เมื่อไม่มีอะไรต้องห่วงคานินจัดการถอดเสื้อกางเกงออกจากตัวระหว่างนั้นก็ร้องเรียกให้บ๋อมเล่นด้วยกัน  ฝ่ายนั้นก็ไม่อิดออดขึ้นจากน้ำมายืนที่โขดหินถอดเสื้อกางเกงอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงกางเกงว่ายน้ำกันทั้งคู่ นี่คือเตรียมความพร้อมกันมาล่วงหน้าใช่ไหมว่าจะต้องเล่นน้ำให้ได้ 

       ทั้งคู่ก็ปีนป่ายตามโขดหินขึ้นไปจนถึงหน้าผาที่ไม่สูงมากนัก เมื่อได้จังหวะก็กระโจนลงน้ำอย่างไร้ท่วงท่าเสียงดังตูมตาม โผล่ดำผุดดำว่ายแกล้งสาดน้ำใส่กันเป็นที่สนุกสนานราวกับเด็กชายจอมแก่นที่หนีพ่อแม่มาเล่นน้ำ 

       น้ำนิ่งยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีที่ตอนนี้แววตาของเพื่อนไม่มีแววเศร้าให้เห็น บางครั้งก็หัวเราะดังลั่นที่แกล้งพี่คานินได้ บางครั้งก็ตะโกนลั่นเสือกตัวหนีห่างเมื่อถูกแกล้งกลับ ร่างบางหย่อนกายลงนั่งบนโขดหินริมธารน้ำตก มือดึงกระตุกเชือกรองเท้าให้คลาย ถอดออกวางไว้ข้างกาย หย่อนเท้าลงน้ำปลาเล็กปลาน้อยตอดตามเท้า อ้า..ช่างผ่อนคลายดีจัง



      ห่างออกไปราวสิบเมตรเมืองแมนยืนเอาไหล่พิงต้นแดงมองดูเจ้าพวกเด็กแสบริมธารน้ำตกอย่างเห็นขบขัน แม้จะโตเท่าไรในส่วนลึกของจิตใจก็ยังมีนิสัยเด็กซุกซนซ่อนอยู่เสมอเจ้าพวกนั้นก็ไม่ต่าง


      - กรอบแกรบ-


      - ผัวะ  พลั่ก  อึก  ตุบ... -

      เสียงเหยียบใบไม้แห้งที่ดังกรอบแกรบอยู่ข้างหลัง เรียกให้คนหูไวหันขวับไปมอง แต่ก็ช้ากว่าหมัดที่กระแทกกรามอย่างจังจนศีรษะหันไปตามแรงส่งของหมัด เมืองแมนมีความรู้สึกราวกับว่าเยื่อหุ้มสมองยืดตัวออกอย่างฉับพลัน และก้อนสมองกระทบกับผิวกะโหลกศีรษะ ร่างกายเซเสียสมดุล ก่อนจะโดนหมัดเสยปลายคางอย่างพอเหมาะพอเจาะส่งผลให้ร่างใหญ่หงายหลังล้มตึงสิ่งรอบข้างดับวูบ ในที่สุดก็แน่นิ่งไป...












TBC.

ปล.
ตะแรกว่าจะฉะกันเลย กลายเป็นเกริ่นนำไปซะงั้น   หากเจอข้อผิดพลาดและประสงค์จะแนะนำอะไรก็แปะไว้นะฮะยินดีรับไปพิจารณาแก้ไขต่อไป   ขอบคุณสำหรับการติดตามกันเสมอมา..:)

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.32_เดินทางไกล [1] P.8_122016
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 02-02-2016 00:01:07
พายุจะเข้าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.32_เดินทางไกล [1] P.8_122016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-02-2016 10:37:52
ภูมิมัวแต่โกรธที่น้ำคิดจะเอาตัวเองมาเสี่ยงเลยหลบหน้าน้อง
ทีนี้จะทำยังไงล่ะคงไม่ได้เคลียร์กันแน่งานนี้

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.32_เดินทางไกล [1] P.8_122016
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 02-02-2016 10:53:45
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:ตูว่าแล้วจะต้องเกิดเรื่อง :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.32_เดินทางไกล [1] P.8_122016
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-02-2016 11:51:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.33_เดินทางไกล [2] กับดักหนู & ปิดประตูตีแมว P.8_722016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 07-02-2016 11:49:07
เด็กเลี้ยง

- 33 -

เดินทางไกล [2] : กับดักหนู & ปิดประตูตีแมว








      Rrrrrrrr Rrrrrrr


      "สวัสดีครับ ภูมิรพีพูดสายครับ”

      “หึ หึ ได้คุยกันซักทีนะ”  เสียงรื่นรมย์จากปลายสายทำให้ภูมิรพีรู้สึกฉงนจนได้เอาโทรศัพท์มาดูอีกครั้งว่าใครโทรศัพท์

      “คุณเป็นใคร”

      “คนที่นายอยากเจอมากที่สุดตอนนี้ไง”

      “ไต่ชินหยาง!!

      “อ่าฮ้า..ได้คุยกันซะที”

       “มีอะไรที่ต้องคุย”

      “หึ หึ ไม่มีอะไรก็โทรมาไม่ได้เหรอ ฉันแค่อยากทักทายพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ถ้าว่างก็ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อเป็นไง”

      “แกอยู่ไหน”

      “ก็ใกล้พอที่จะได้กลิ่นน้ำนิ่งตอนที่นั่งเล่นน้ำอยู่ริมน้ำตก ส่วนแกมัวแต่วิ่งยังกับหนูติดจั่น ตามกลิ่นฉันที่ปางไม้นั่นแหละ เด็กนี่แกคงเลี้ยงดูอย่างดีสินะ เวลาสัมผัสได้อารมณ์มากอ๊า....”

      “ฉันไม่รู้ว่าแกอยู่ไหนหรือทำอะไรอยู่ แต่ถ้าแกยุ่งกับน้ำนิ่ง หรือครอบครัวของฉัน ฉันขอสาบาน...”

      “ชู่ว์ ชู่ว์ สิงห์!! หุบปากไปเลย พวกแกฆ่ามาร์โคของฉัน”

      “ชีวิตแลกชีวิตโว้ย!! แกฆ่าอาร์และเด็กอื่นๆ อีก ของใครๆ ก็รัก”

      “หึ หึ สงสารไอ้เมืองแมนกับคนของแกอีกสองว่ะ ท่าทางอยากจะเป็นเป้านิ่งมากเลย”

      “แกอย่าทำอะไรพวกเขานะ!! พวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้


      - ปัง  ปัง  ปัง  ปัง –   เสียงปืนที่ดังแทรกเข้ามาในสายทำให้ภูมิรพีชะงักงันไป


      “โอ๊ะ!! ขอโทษปืนมันลั่นถูกกลางแสกหน้าวะฮ่า ฮ่า  โอเค!! สิงห์ที่นี้แกฟังฉัน แล้วก็ฟังให้ดีภูมิรพี เรื่องเมื่อสองปีที่แล้วฉันไม่รู้แกโง่หรือบ้ากันแน่ที่เข้ามายุ่งกับเรื่องของฉัน วันนี้ครบรอบสองปีมันมีค่าที่แกควรต้องจ่ายซะที คราวก่อนแกถล่มฉันซะเละ โอเคยกแรกแกชนะ แต่ยกนี้คงไม่ ถือว่าฉันขอแก้มือครั้งที่แล้วแกทำลายสิ่งที่ไม่สามารถหาอะไรมาทดแทนได้ของฉันไป ดังนั้นฉันก็จะพรากสิ่งนั้นไปจากแก บ้าง...”

      “ไต่ชินหยาง!!  ไต่ชินหยาง!!” ภูมิรพีตะโกนเรียกคนปลายสายลั่น แต่ฝ่ายนั้นตัดสายไปแล้ว 

       “ระยำเอ๊ย!! @#$*!!<&>%*&#....”   ภูมิรพีสบถหยาบคาย หน้าตาถมึงทึง แววตาสีทองอำพันจนเกือบแดง โชนแสงกล้าความโกรธแค้นปะทุราวกับจะระเบิด

      “อะไร!?”  เสี่ยเซนเอ่ยถามเสียงกร้าวร้อนใจ

      “ไต่ชินหยางมันจับน้ำนิ่งกับคานินไป..สัตว์!!” 

      “เฮ้ เฮ้! ใจเย็นๆ มันอาจจะเป็นแผนลวงให้เราติดกับเหมือนนี่ก็ได้ ไม่แน่ตอนนี้น้องอาจจะกำลังเล่นน้ำตัวเปื่อยแล้วมั้งปานนี้”

      “ไม่! ไม่! เฮียไม่เข้าใจ มันบอกพวกเราพรากสิ่งที่มีค่าของมันไป ตอนนี้มันก็จะพรากสิ่งที่มีค่าของเราเหมือนมัน มันจะฆ่าน้ำนิ่ง ฆ่าคานิน!!” 

      “สิงห์มันไม่มีทางเป็นไปได้น่า เมืองแมนแล้วคนของเราไปด้วยไม่ใช่เหรอ”

      “มันฆ่าเมืองแมนกับคนงานอีกสองคนแล้ว ระยำหมา..!!” 

      “รับสิ รับสิ  คานินรับสิวะ”  เสี่ยเซนล้วงโทรศัพท์ออกมาหาคานินอย่างร้อนรน เสียงรอสายดังต่อเนื่องยาวนานไม่มีคนรับ ยิ่งทำให้เสี่ยเซนร้อนใจกระสับกระส่ายเหมือนหนูติดจั่น กดตัดสายแล้วโทรออกไปใหม่อีกครั้ง

      “โทรศัพท์ของคานิน...”  ปลายสายตอบกับมาด้วยเสียงทุ้มนุ่มระคนสะใจ เสี่ยเซนชะงัก ชั่วครู่ ขบกรามแน่นตาหรี่คมกล้าก่อนจะตอบเสียงเย็นขัดกับใจที่ร้อนรุ่ม 

       “ขอกูคุยสายหน่อย”

      “แกมั่นใจเหรอว่าป่านนี้เขาจะยังไม่ตายฮ่า ฮ่า อำเล่นน่าเสี่ย ขำหน่อยซี้..ทำไมไม่มีอารมณ์ขันกันซะบ้างเลย อย่าทำหน้าโกรธเกี้ยวแบบนั้น”  เสียงดึงเทปปิดปากดังแทรกเข้ามาในสาย “เอ้านี่กระต่ายน้อยทักทายเสี่ยหน่อยสิ”

      “เฮีย!! เราอยู่ในหมู่บ้านติดชายแดน....”

      “คานิน!! คานิน!!  อยู่ไหน”

      “ตัวช่วยนี้ฉันให้ฟรี ส่วนที่เหลือพวกแกต้องออกแรงเอาเอง”

      “แกไม่รอดแน่!!  ฉันจะล่าแก  แล้วเอาชีวิตแกให้ได้”   เสี่ยเซนประกาศกร้าวหน้าบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความโกรธแค้น

      “โอ้จริงเหรอ ฮ่า ฮ่า แล้วฉันจะรอเวลานั้น นี่เป็นเกมส์ พวกแกต้องชอบเกมส์นี้นี่น่ากับดักหนู เกมส์เศรษฐี ยกแรกพวกแกฆ่าคนของฉัน ถล่ม Lady Q ซะเละ ยกสองฉันระเบิดโรงงานแก นั่นน่าเสียดายชิบหายที่มันไม่วอดแต่ก็โอเคมันทำให้แกทุรนทุรายได้   ยกสามแกปล้นกลางอากาศวัลโด้แลนด์จนย่อยยับ  ยกสี่ฉันฆ่าหมาเฝ้าแกะกับแกะอีกสามตัว  ยกห้าฉันจับแกะของพวกแกมา ตอนนี้ฉันเป็นต่ออยู่ถ้าอยากจะให้มีชีวิตอยู่ต่อ พวกแกจะต้องทำตามที่ฉันสั่ง เวลาที่ฉันสั่ง ถ้าแกยังยืนอยู่ได้จนถึงเลเวลสุดท้ายพวกแกจะได้แกะแกกลับไปเป็นรางวัล ฉันแฟร์นะ”

      “พูดเล่นใช่ไหมนี่ ฉันไม่เชื่อน้ำหน้าคนอย่างแก ไม่มีทางเชื่อ!”

      “โว้ โว้ อย่าโวยวายน่าเสี่ย พวกแกต้องเชื่อในสิ่งที่ฉันบอกให้เชื่อ เพราะว่าตอนนี้พวกแกไม่มีทางเลือกแล้ว โอเค โอเค ถ้าแกอยากได้คำใบ้ที่สองก็ต้องรีบตามไปจุดสุดท้ายที่น้ำนิ่งจะไปในวันนี้ ถ้าช้าฉันก็ไม่มั่นใจว่าซากจะยังเหลือให้แกตามกลิ่นได้ว่ะหึ หึ” 

      “สัตว์เอ๊ย!! มันเล่นเราแล้ว” 

       เสี่ยเซนสบถด้วยความโกรธ หลังจากที่ไต่ชินหยางตัดสายไป มือกำโทรศัพท์แน่นจนแทบจะแหลกคามือราวกับว่านั่นคือไต่ชินหยาง ไต่ชินหยางไม่อยู่กับร่องกับรอยอยากฆ่าก็ฆ่า นั่นยิ่งทำให้ภายในใจร้อนรุ่มห่วงน้องกับเมียอีกเท่าตัว

      “เฮียให้ทิมตรวจหาพิกัดมือถือของคานิน”  ภูมิรพีบอกเสร็จก็เดินออกจากแค้มป์ปางไม้ ตะโกนเสียงโหวกเหวกระดมคนและรถเพื่อตามล่าไอ้สัตว์ตัวนั้น

      “ทิมเราเจอปัญหาน้องฉันกับคานินถูกจับตัวไป นายช่วยตรวจหาพิกัดจีพีเอสจากมือถือของคานิน เจอแล้วส่งพิกัดมาด่วน”  หลังจากสั่งเสร็จเสี่ยเซนเปิดเซฟลับหยิบปืนสั้นออโตเมติกสองกระบอกเหน็บเอวเดินตามภูมิรพีออกไปขึ้นรถโฟร์วิลที่จอดรออยู่หน้าแค้มป์ เมื่อทุกคนพร้อมก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว

      ...................................




      รถโฟร์วิลสามคันแล่นห้อตะบึงจนฝุ่นตลบตรงไปยังท้ายไร่บริเวณตั้งแค้มป์ แต่เมื่อไปถึงยังไม่มีใครกลับมา ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าไต่ชินหยางมันทำจริง

      “พวกคุณๆ ยังไม่กลับใช่ไหม”  ภูมิรพีถามรวีผู้จัดการโรงเตี๊ยมซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการช่วยคนงานจัดเตรียมแค้มป์ไฟ และอาหารสำหรับเย็นนี้ตามคำสั่งของน้ำนิ่ง

      “เห็นว่าอาจจะกลับค่ำนิดหน่อย จะพาคุณคานินกับคุณบ๋อม แล้วก็ชายชาวจีนคนหนึ่งรู้สึกว่าจะเป็นเจ้านายของคุณคานินไปเที่ยวน้ำตก แล้วจะไปดูตะวันตกดินที่ม่อนโอบตะวันด้วยครับนายสิงห์”

      “ไอ้ไป๋ซานเหรอ?  ทำไมมันอยู่ที่นี่”  เสี่ยเซนชักสีหน้าไม่พอใจอะไรมันจะประจวบเหมาะ  ดีแท้

      “มีอะไรเหรอครับนาย แต่พ่อผม เมือง แล้วก็คนงานอีกสองคนไปด้วยไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้นได้นะครับ”

      “ได้ไม่ได้มันก็เกิดขึ้นแล้ว”  ภูมิรพีเอ่ยเสียงกร้าว ตาโชนแสงราวกับจะฆ่าคนได้  รวีขนคอตั้งชันไม่เคยสัมผัสอารมณ์เช่นนี้ของเจ้านาย   


      Rrrrrrrrr


      “ว่ายังไงทิม”  เสี่ยเซนกดรับทันที พร้อมเปิดลำโพงให้ภูมิรพีได้ยิน

      //เฮียสัญญาณสุดท้ายที่ตรวจจับได้อยู่ในเขตชนกลุ่มน้อยที่ตั้งตัวเองเป็นรัฐอิสระชื่อกะญายอ ห่างจากชายแดนไทย 91 กิโลเมตร แต่หลังจากนั้นสัญญาณมันก็หายไปเฉยเลย//

      “ระยำเอ๊ย!!  ค้นหาหมู่บ้านตามแนวชายแดนในรัศมี 91 กิโลเมตรมีกี่หมู่บ้านวะ”

      //ครับเสี่ย//  เสี่ยเซนรอปลายสายอยากร้อนรน แต่ละนาทีที่ผ่านไปราวกับมันคอยฉุดกระชากลมหายใจของคนที่เขารักให้เหลือน้อยลงทุกที

      //18 หมู่บ้านครับเฮียทั้งหมดอยู่ในปกครองของกะญายอ//

      “ให้ตายเถอะวะทิมแบบนี้มันก็เท่ากับงมเข็มในมหาสมุทร เอาพิกัดที่มันกระชับมากกว่านี้สิวะ”

      //มันอับสัญญาณครับ สัญญาณดาวเทียมเราตรวจจับความร้อนไม่ได้เลย//

      “เชี๊ย!! มีความสามารถแค่นี้เหรอวะ!! น้องกู เมียกู กำลังจะถูกฆ่า มึงเข้าใจมั้ย!

      //ผะ  ผมขอโ...//  ภูมิรพีบีบลงบนไหล่ของพี่ชาย ตาสบกันนิ่งนั่นทำให้เสี่ยเซนคิดได้ว่าตัวเองพาลใส่ทิมทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของทิมเลย

       “ขอโทษวะทิมเฮียพาลไปหน่อยทั้งที่ไม่ใช่ความผิดเอ็ง แล้วจากสัญญาณสุดท้ายที่จับได้ นายคิดว่ามันจะไปโผล่ที่ไหนได้บ้าง”

      //ถ้าออกแถบนั้นก็เข้าหมู่บ้านวาลา  วาโพ  เซงดู  หมึงเม นอข่อ  ลาฮู่  แล้วก็อาญ่า //

      “แมร่ง! ไอ้นรกเอ๊ย!! มึงอย่าให้กูตามเจอนะสัตว์เอ๊ย!! ก็ยังดีพื้นที่ค้นหาแคบเข้ามาดีกว่ากะญายอทั้งรัฐ ตรวจหาทุกช่องทางทั้งสัญญาณจีพีเอสและความร้อนถ้าเจอสงสัยแม้จุดเท่าแมงหวี่แมงวันอะไรก็บอกมา!!

      //ครับเสี่ย//


      “เฮียพร้อมแล้ว ไปเถอะ” 

      “นายสิงห์ผมขอไปด้วย”  รวีเห็นท่าทางของนายก็ให้รู้สึกเป็นห่วงพ่อจึงขอไปด้วย ภูมิรพีพยักหน้าไม่พูดอะไร ทั้งหมดแยกย้ายขึ้นรถโฟร์วิลขับตามเส้นทางไหล่เขาขึ้นม่อนโอบตะวันอย่างเร่งรีบถ้ามืดค่ำระหว่างทางพวกเขาจะลำบากในการติดตาม 

      .......................................




      เส้นทางไหล่เขาเป็นทางแคบๆ ที่วกวนไปมาเหมือนงู อีกด้านเป็นเหวลึกมีแค่ราวเหล็กกั้นง่ายๆ เพราะต้องการจะอนุรักษ์ความเป็นผืนป่าให้ได้มากที่สุดจึงไม่ให้สร้างทาง สภาพถนนจึงยังเป็นเส้นทางดินที่ชาวบ้านใช้สัญจรกันเอง คนที่ไม่คุ้นเคยต้องใช้ความระมัดระวังในการขับรถเป็นอย่างมาก ซึ่งปกติกว่าจะไปถึงม่อนโอบตะวันต้องใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง  แต่เวลานี้สำหรับภูมิรพีใจอันรุ่มร้อนสามารถพาทุกคนขึ้นมาถึงม่อนโอบตะวันในเวลาแค่สี่สิบนาทีแต่นั่นก็ยังช้าไปสำหรับภูมิรพีอยู่ดี

       รวีกั้นหายใจแทบจะฉี่ราดทุกครั้งเวลานายสิงห์เลี้ยวโค้งโดยไม่ชะลอความเร็ว เมื่อถึงจุดจอดรถยังจอดไม่สนิทด้วยซ้ำ รวีกระชากประตูเปิดออกแล้วกระโจนลงรถวิ่งถลาเข้าข้างต้นไม้คายของเก่าออกมาจนหมดไส้หมดพุ่ง  ชัดเจนเข้ามาลูบหลังและยื่นขวดน้ำให้ล้างปาก เมื่อรวีล้างปากเสร็จก็ส่งขวดน้ำคืนให้แต่ชัดเจนสั่นหน้าปฏิเสธ

      “นายเก็บไว้เถอะ ฉันมีนี่แล้ว”  ชัดเจนชี้กระติกน้ำในกระเป๋าข้างเป้  “อดทนหน่อยนี่ยังถือว่าช้านะ รีบเถอะยังต้องเดินอีกเกือบร้อยเมตรเดี๋ยวจะค่ำซะก่อน”  ชัดเจนฉุดให้รวีขึ้นยืน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทรงตัวได้ ก็หันหลังเดินตามเจ้านายอย่างเร่งรีบออกไปก่อน รวีเลยเร่งรุดเดินตามไป

      .....................................





      “เมือง!!”  /  “พ่อ!!”

      เสียงตะโกนสุดเสียงของแดนสรวงกับรวีดังขึ้นพร้อมกัน แขนขาไร้เรี่ยวแรง ทั้งคู่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น  รวีตาเบิกกว้างช็อกตะลึงค้าง พยายามปฏิเสธสิ่งที่เห็น ‘ไม่จริง’  ‘ไม่เชื่อ’ ‘เป็นไปไม่ได้’ อยู่อย่างนั้นราวคนเสียสติ

       คนอื่นตะลึงงันไปตามๆ กัน ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าชวนให้หดหู่ร่างไร้วิญญาณของเมืองแมน  ลุงหมาน  และคนงานสองคน ถูกมัดเท้าห้อยหัวลงมาจากต้นไม้เลือดจากรูกระสุนตรงหน้าผากและตามแขน ไหลหยดลงพื้นส่งกลิ่นคาวสะอิดสะเอียนคละคลุ้งในบรรยากาศ

      “ระยำสัตว์เอ๊ย!! กูจะฆ่ามึง สัญญาต่อพระเจ้ากูจะฆ่ามึง”  เสี่ยเซนประกาศกร้าวด้วยโทสะแห่งความโกรธแค้นที่อัดแน่นในอก

       แดนสรวงเหมือนถูกจู่โจมอย่างฉับพลันด้วยมือมัจจุราชกระชากจิตวิญญาณออกไปจากร่างให้รู้สึกชีวิตเขาจะดับไปด้วย ตลอดแนวป่าเปลี่ยนเป็นเงาตะคุ่มของแนวต้นไม้สูง ความมืดสลัวเริ่มเข้ามาแทนที่เมื่อแสงสุดท้ายของอาทิตย์กำลังจะลับเหลี่ยมเขาเบื้องหน้า

       บรรยากาศรอบตัวขะมุกขะมัวชวนให้วังเวงโดดเดี่ยววูบโหวงประดังประเดเข้ามาฉับพลัน อึดอัดแทบหายใจไม่ออกอย่างน่าประหลาด ดวงตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ แต่ไม่มีแม้หยดน้ำตาให้ไหล ร่างสั่นสะท้านมือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน หลับตาแล้วลืมใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าภาพตรงหน้าก็ยังเป็นอยู่เช่นนั้น ขบกัดฟันจนปวดกรามแต่ความโกรธแค้นปนเศร้าเสียใจก็ยังปะทุอยู่ในอก แค่เขายอมอ่อนข้อให้มันอีกสักครั้ง...แค่เขาอยู่กับมัน...

      ในความเงียบ สายลมพัดเอื่อยจนเกิดเสียงเสียดสีกันของใบไม้กิ่งไม้สลับกับเสียงเลือดที่ตกกระทบใบไม้แห้งเปาะแปะดังขึ้นเป็นระยะนั่นเสียดแทงเข้าไปในใจจนเจ็บปวด...ดวงตาแดงก่ำของแดนสรวงจ้องที่ร่างไร้วิญญาณของเมืองแมนด้วยความเจ็บปวดอาดูร...ไม่มีอีกแล้ว...
 
       ความสุขเป็นสิ่งที่กูพอจะฉาบฉวยเอาได้จากเวลาและสถานการณ์ที่มีมึงอยู่ แล้วมึงดูนะไอ้เมืองความทุกข์ที่มึงทิ้งไว้ให้ กูไม่อาจชิ่งหนีจากมัน จะสลัดมันออกจากใจไปได้โดยง่ายเช่นสลัดรองเท้าออกก่อนเข้าบ้านก็ไม่ได้...กูจะต้องจ่มอยู่กับมันอีกนานเท่าไรกันวะ...

       เมื่อเช้ากูยังดีใจที่ตื่นขึ้นมามึงยังอยู่กับกู ยังกวนตีนกูได้เหมือนทุกวัน แต่ผ่านไปครึ่งวันมันคืออะไร...ไอ้ตัวเย็นชืดเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณนั่นคืออะไร..ถ้านี่คือเรื่องล้อเล่น?...มึงก็เล่นกับความรู้สึกกูเกินไป  ถ้าจะเล่นกูขอให้ตรงหน้านี่เป็นศพของพวกมันสักคนที่ไม่ใช่มึงไม่ได้เหรอวะ

       ชีวิตกูหลังจากนาทีนี้คงจะกรุ่นไปด้วยควันดำของความทุกข์ซึ่งแน่นอนว่าจะยาวนานเหมือนนิรันดร์  ถ้านี่เป็นแค่ฝันร้ายมึงก็ปลุกกูตื่นที ตื่นมารับรู้ว่านี่แค่ฝันร้าย...แต่สุดท้ายความจริงคือไม่มีมึงอีกแล้ว...ไอ้บ้ากวนตีนนั่นไม่อยู่แล้ว...ทั้งๆ ที่สัญญากันไว้แล้วว่าจะให้กูตายก่อน  จนวาระสุดท้ายมึงก็ยังโกง....ไม่ยุติธรรมเลย...มึงมันไม่เคยรักษาสัญญาห่าอะไรเลย....ทิ้งกู...

       ภูมิรพีเข้ามาบีบไหล่แน่นพยักหน้าให้แดนสรวง ดวงตาที่สบกันมันผสมปนเปไปหมดไม่ว่าจะเศร้าเสียใจ เจ็บปวด หรือเครียดแค้น ที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ ชั่วเวลาหนึ่งนั้นกลับเต็มไปด้วยความยะเยือก แดนสรวงรู้ดีภูมิรพีฆ่าได้แบบไม่ลังเล

      “รีบปลดพวกเขาลงมาสิวะ!! ยืนตะลึงอยู่ทำไม” 

       เสี่ยเซนสั่งเสียงกร้าว ตาโชนแสงอย่างน่ากลัวไม่แพ้คนเป็นน้อง ตายังสอดส่ายไปรอบๆ หาสิ่งที่ผิดปกติที่น่าจะเป็นเบาะแสได้ แต่ก็ไม่พบอะไร แสงพระอาทิตย์เริ่มน้อยลงทุกทีถ้ายังไม่เจอโอกาสของพวกเขาก็จะน้อยลงตามไปด้วย

      “เห็นอะไรบ้างรึยัง” 

       ภูมิรพีถามด้วยสีหน้าบ่งบอกอารมณ์ไม่ได้ ตาก็สอดส่ายหาสิ่งผิดปกติ  ก่อนจะไปสะดุดเข้ากับสภาพศพทั้งสี่คนที่ถูกปลดลงมาวางกับพื้นหญ้า ตาคมหรี่หลุบลงไม่แสดงความรู้สึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

      “ยังไม่เห็นอะไรเลย หรือเราจะมาผิดที่”  เสี่ยเซนเองก็หน้านิ่วคิ้วขมวดร้อนรนไม่แพ้น้องชาย กังวลว่านี่จะเป็นกับดักเพื่อถ่วงเวลาให้พวกเขาล่าช้า

      “ไม่ ไม่ผิดแน่”  ภูมิรพีตอบด้วยน้ำเสียงแข็งเคร่งเครียด  “เฮียดูนี่สี่คนถูกยิงที่หน้าผากเลือดมันต้องไหลเฉพาะรอยกระสุนตรงหน้าผาก แต่นี่เลือดไหลตามแขนลงมาด้วย คว่ำหน้าคนที่เหลือแล้วถลกเสื้อขึ้นด้วย”  ภูมิรพีพลิกคว่ำหน้าเมืองแมนลงมือถลกเสื้อร่นขึ้น คนอื่นช่วยกันคว่ำหน้าศพ แล้วก็ต้องผงะอีกครั้งเพราะหลังของศพถูกถลกหลังเหวอะหวะ

      “เชี๊ย!! ระยำ..!!”  เป็นอีกครั้งที่เสี่ยเซนสบถด้วยความโกรธ

      “ดูดีๆ มันจงใจแซะให้เป็นคำใบ้ของอะไรสักอย่าง แยกเป็นชุดตัวเลข 17°52′ 11.2″    97° 32′ 37.5″   17.59n  และ  97.543k

      “อะไร! มันคือเหี้ยอะไร องศา ระยะทาง วันที่ รหัสอะไร ตรง 17.59 กำหนดเวลาเหรอวะ” เสี่ยเซนยกข้อมือขึ้นดูหน้าปัดนาฬิกา  “แต่ถ้าเป็นเวลามันก็ผ่านไปแล้ว”  ภูมิรพีครุ่นคิดก่อนจะตอบร้อนรน

      “ไม่ใช่นี่มันเป็นเส้นรุ้ง เส้นแวง ตัวเลขพวกนี้มันเป็นพิกัดสถานที่ ถ้าตามที่ทิมบอกงั้นนี่ก็เป็นพิกัดของรัฐกะญายอ ส่วน 17.59n กับ 97.543k  นี่จะบอกเราว่ามันเป็นพิกัดหมู่บ้านไหน เฮียส่งตัวเลขทั้งหมดให้ทิมตรวจสอบที”  เสี่ยเซนไม่รอช้าถ่ายภาพชุดของตัวเลขส่งให้ทิมอย่างรวดเร็ว โทรหาทิมอย่างเร่งรีบ

      “ทิม นายยังอยู่ไหม”  เสี่ยเซนกดเปิดลำโพงให้ได้ยินพร้อมกันทุกคน

      //ครับเฮีย ผมเห็นชุดตัวเลขที่อยู่บนหลังศพที่เฮียส่งให้แล้ว ไม่เกินหนึ่งนาที...//

       “ดี!! สิงห์บอกว่ามันเป็นหมู่บ้านไหนสักแห่งในกะญายอ...”  ชั่วระยะเวลาไม่นาน ทิมร้องด้วยความตื่นเต้นกลับมา

      //บิงโก้!! 17.59n กับ 97.543k เป็นพิกัดหมู่บ้านนอข่อ ไม่ผิดแน่ตัว n กับ k เป็นอักษรย่อชื่อหมู่บ้าน  มันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของกะญายอตั้งอยู่ในหุบเขาห่างจากชายแดนไทย 91 กิโลเมตร ถึงว่าด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่ตั้งนี่เองทำให้เราจับสัญญาณจีพีเอสของคุณคานินไม่ได้//

      “ถ้าเราจะลุยไปตอนนี้ก็คงจะมีแต่ตายกับตาย เฮียว่าคงต้องวางแผนให้รัดกุมและหาคนเพิ่ม  เราพลาดท่าเพราะประมาทคิดว่าเป็นถิ่นของตัวเองแล้วจะไม่มีอันตรายทิ้งเมืองแมนไว้คนเดียว..เฮียประมาทอย่างไม่น่าประมาท ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเลยเอาแค่สามคนนั้นมา จะเรียกมาเพิ่มก็คงไม่ทันแน่” สีหน้าของเสี่ยเซนบ่งบอกถึงความเศร้าเสียใจ และเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

      “ฝั่งนั้นเป็นถิ่นของมัน ถ้าผลีผลามเข้าไปแบบไม่คิดคงจะมีแต่สูญเสียเหมือนวันนี้ ต้องกลับไปทบทวนจุดบกพร่องของเรา วางแผนให้รอบคอบรัดกุมกว่านี้”

      //สูญเสีย...!?//  เสียงที่หลุดออกมาของทิมเต็มไปด้วยความสงสัยใจกระตุกถึงเหตุร้ายต่างๆ นาๆ

      “เมืองแมนตายแล้วทิม...พร้อมคนงานอีกสาม”  ภูมิรพีตอบเสียงทุ่มต่ำ

      //อะไรนะ!!//

      “มันยิงแสกหน้า แล้วก็ถลกหนังเขาแซะเนื้อเป็นชุดตัวเลขที่นายเห็นนั่นแหละ”





-มีต่อ-
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.33_เดินทางไกล [2] กับดักหนู & ปิดประตูตีแมว P.8_722016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 07-02-2016 11:50:33
      Rrrrrr  Rrrrrr

      เสียงโทรศัพท์ของภูมิรพีดังขัดจังหวะก่อนที่ทิมจะได้เอ่ยอะไร  “เดี๋ยวนะทิมมันโทรเข้ามาแล้ว ตรวจจับพิกัดสัญญาณมันด้วย”  เสี่ยเซนทำสัญญาณมือให้ทุกคนเงียบ ก่อนจะพยักหน้าให้ภูมิรพีกดรับโทรศัพท์พร้อมเปิดลำโพง

      / เก่งมากนี่หว่าสิงห์ แกมันอัจฉริยะอย่างเขาว่าจริงๆ  ไม่กี่นาทีสามารถแก้คำใบ้ของฉันได้ เสียใจด้วยว่ะที่พลั้งมือกับหมาเฝ้าแกะกับแกะไร้ประโยชน์ของแกนิดหน่อย  ฉันใจดีนะจะชดเชยค่าเสียหายให้ก็แล้วกัน ยกหกจะต่อเวลาให้ถึงหกโมงเช้าก็แล้วกัน  แต่มีเงื่อนไขว่าแกต้องเดินเท้ามาพร้อมกับใบมอบฉันทะสัมปทานก๊าซธรรมชาติทั้งหมดในแถบนี้.เอามันมาให้ฉัน.... / 

      “พูดเป็นเล่น!!  เวลาแค่นี้กับความไม่ชำนาญพื้นที่” 

      / นั่นมันก็แล้วแต่พวกแกจะจัดการ  ถ้ายังมาไม่ถึงจะมีการน๊อคเอาท์ก่อนกำหนด....ปิ๊บ/ ไต่ชินหยางกดตัดสายไปแล้ว

      “ได้อะไรรึเปล่าทิม”

      // มันมีคลื่นรบกวน บอกพิกัดแน่ชัดไม่ได้ เหมือนมันจะเคลื่อนที่ไปมาทางเหนือของหมู่บ้านแล้ววกเข้าในกลางหมู่บ้าน หลังจากนั้นสัญญาณมันก็ขาดหายไป //

      “ก็ยังดี ค้นต่อนะทิม” 

       // ครับ //  ทุกคนอยู่ในอาการเงียบครุ่นคิดหางทางแก้ไขสถานการณ์อีกครั้ง

      “ช่วยยกพวกเขาขึ้นรถ กลับไร่กันก่อน”

       หลังจากที่เงียบเกือบห้านาที ภูมิรพีตัดสินใจหันไปสั่งคนอื่นๆ ยกศพกลับไร่ ทุกอย่างต้องวางแผนให้รัดกุม รอบคอบถ้าใช้อารมณ์ตัดสินผลที่ได้มันคงจะมีแต่คำว่าสูญเสีย พวกเราไม่คุ้นเส้นทางแถบนั้นถ้าไปตามแรงผลักดันของโทสะก็คงจะมีแต่ตายกับตาย  นั่นเป็นเรื่องโง่เง่าสิ้นดี

      .....................................



ครึ่งชั่วโมงต่อมา ณ ห้องประชุมเล็ก บ้านไร่โอบตะวัน

      “ทิมขอภาพถ่ายทางอากาศเส้นทางไปกะญายอ พื้นที่โดยรอบเส้นทางรัศมี 10 กิโลเมตร  ภายในหมู่บ้านและรอบหมู่บ้าน 20 กิโลเมตร”  ไม่ถึงห้านาทีภาพถ่ายทางอากาศก็ถูกฉายขึ้นบนจอสไลด์

      จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศพบว่า มีอาคารขนาดต่าง ๆ กว่า 50 หลัง ในวงล้อมหุบเขา อาคารเหล่านี้มีการพรางเป็นอย่างดีกลมกลืนไปกับพื้นที่ป่า ลักษณะของการปลูกสร้าง ที่ตั้งไม่ใช่ลักษณะของหมู่บ้านประชาชนธรรมดา มันดูมั่นคงแข็งแรงถาวร จึงเชื่อได้ว่าอาคารเหล่านี้ไม่ใช่บ้านเรือนของประชาชนแต่เป็นศูนย์กลางกองบัญชาการของไต่ชินหยางในภาคพื้นนี้แน่นอน

       นอกจากนี้กลุ่มของอาคารทุกหลังมีทางเดินเชื่อมถึงกัน รอบๆ บริเวณมีการขุดร่องเหลดและหลุมบังเกอร์ปืนกลหนักอยู่เป็นระยะๆ  สภาพภูมิศาสตร์เป็นหลุมแอ่งกระทะรอบหมู่บ้านเป็นผืนป่าและเขาล้อมรอบ มีเส้นทางติดกับหมู่บ้านข้างเคียง รัฐอื่น และไทยได้ 4 เส้นทาง

       “คำนวณเวลาจากไร่จนถึงที่ตั้งแห่งนี้ หากเดินเท้าคงใช้เวลาประมาณ 9 – 10 ชั่วโมง เวลาเราไม่พอที่จะทำอย่างนั้นได้ ถ้าจะชนะได้ต้องชิงลงมือก่อนอย่างเดียว เราจะใช้ปฏิบัติการปิดประตูตีแมว” ภูมิรพีเอ่ยเสียงเครียด

      “มันจะเป็นไปได้เหรอวะ” เสี่ยเซนมีสีหน้าค่อนข้างสับสนและลังเล  “เด็กเมื่อวานซืนที่มีฐานธุรกิจแค่หยิบมือเมื่อสองสามปีก่อนจะมีขีดความสามารถขยายฐานกำลังถึงขั้นนี้ มีกองกำลังเป็นของตัวเอง มีอาวุธสงครามในครอบครอง แถมหมู่บ้านนี้ก็เหมือนจะไม่ได้อยู่ในความสนใจของรัฐบาล”

       “อำนาจ เงินตรา มันหอมหวานมักหลอกล่อให้พวกที่ใฝ่หาหลงใหลได้ปลื้มไปกับได้เสมอ เช่นกันน้ำและความทะเยอทะยานมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือมันจะเยอะขึ้นเสมอ” 

       ภูมิรพีตอบเสียงเรียบ ขณะนี้ต่างคนต่างหมกมุ่นจ่มอยู่กับความคิดของตัวเองนั้น เสียงหนึ่งเรียกให้ทุกคนหันไปมอง คนที่มาใหม่สร้างความประหลาดใจให้อย่างมาก


      “เฮ้!  พวกมีเรื่องสนุกไม่บอกกันเลย”

      “กรณ์ / พี่กรณ์ / เฮียกรณ์”  เสียงเซ็งแซ่ร้องเรียกคนมาใหม่ราวกับนกกระจอกแตกรัง

      “ก็ใช่นะสิ!! เห็นเป็นผีเหรอวะ นี่ถ้าไม่มีเสียงกระซิบไม่มีทางรู้เลยว่าน้องกำลังได้รับอันตราย” 

       กรณ์พูดเสียงเครียดจริงจัง จนทุกคนมองหน้ากันเลิกลัก ก็รู้ๆ กันอยู่ว่ากรณ์เคร่งในเรื่องการปฏิบัติขนาดไหน ถ้าเป็นคนนี่พวกเขาไม่กลัวอยู่แล้ว แต่สิ่งที่มองไม่เห็นก็ไม่อยากจะลบหลู่

      “แล้วทำไมมาได้เร็วขนาดนี้ ได้ข่าวว่าสืบราชการลับอยู่แถวฝั่งตะวันออกไม่ใช่เหรอ”  ภูมิรพีเอ่ยถามด้วยความสงสัย

      “พี่ตามแมวหลุดกรงมาถึงนี่สองสามเดือนแล้ว  ยังเจอกับชัดเจนหรือเข้มแข็งเลยตอนหาข่าว ไม่ต้องด่ามันพี่สั่งไม่ให้ปูดเองแหละ ความลับของทางราชการนี่หว่า  อ้อถ้าคนยังไม่พอเดี๋ยวตามมาอีกสอง”  กรณ์ตอบราบเรียบแต่น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดเล็กน้อย ยังไม่มีใครได้พูดอะไรประตูห้องเปิดขึ้นอีกครั้ง และคนที่เข้ามาใหม่ทำให้ทุกคนแปลกใจยิ่งขึ้น

      พี่เอ๊กซ์!  เฮียณิต!

      “หวัดดีทุกคน อ้าว! เฮีย”  ผู้มาใหม่เอ่ยทักทายทุกคนในห้องรวมทั้งเสี่ยเซนที่ไม่คิดว่าจะเจอ ก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ว่าง

      “มาได้ไง แล้วพี่พีล่ะ”  ภูมิรพีถามคณิต

      “พีไม่ได้มา กูเป็นตัวแทนมหาลัยมาสัมมนาทางวิชาการสื่อสิ่งพิมพ์ระดับภูมิภาคเอเชียที่โรงแรม....เพิ่งเสร็จกำลังว่าจะมาหาน้องที่ไร่ก็พอดีนั่นโทรหาบอกว่าน้องมีอันตรายกูเลยแจ้นมานี่  แล้วตกลง...”   ภูมิรพีเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้มาใหม่ฟังอย่างละเอียด ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดกันทุกคน

      “แล้วจะทำตามที่มันต้องการเหรอ”  พี่กรณ์ถามเคร่งเครียด

      “ชีวิตของน้ำนิ่งกับคานินสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ของพวกนั้นก็แค่ของนอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้หากมันอยากได้ก็ให้มันไป คราวที่แล้วเราตีงูแค่หลังหักมันเลยแว้งกัด คราวนี้ผมจะเล่นมันก่อนตีงูตัดนั้นให้ตายไม่งั้นมันก็จะแว้งกัดเราอยู่แบบนี้ไม่จบไม่สิ้น พวกมันเล่นผิดคนแล้ว”

      “แล้วมีแผนยังไง ถ้าจะทำอะไรก็ต้องรีบเวลากระชั้นเข้ามาแล้ว” 

       พี่เอ๊กซ์ซึ่งนั่งเงียบตั้งแต่มาเพิ่งได้มีโอกาสถามเสียงเครียด ภูมิรพีอธิบายแผนปฏิบัติการปิดประตูตีแมว จุดแข็ง จุดอ่อน ปัญหาอุปสรรค โอกาสที่คาดว่าจะเป็นช่องทางให้ปฏิบัติการนี้สำเร็จ สถานการณ์ข่าวที่สืบมาได้  ตลอดจนแผนสำรอง และทางแก้ไขหากเกิดปัญหาในแต่ละแผน

      “ปฏิบัติการครั้งนี้ จัดกำลังเป็น 4 ชุด  ชุดละ 10 คน ชุดแรกผม พี่ณิต และเด็ดขาด ปิดล้อมเส้นทางทิศเหนือ  ชุด 2 เฮียเซน  เฮอร์เซล และอาแจ๊กซ์ ปิดล้อมเส้นทางด้านตะวันออก  ชุด 3 พี่กรณ์ เข้มแข็ง และเทรย์เวอร์  ปิดเส้นทางด้านทิศใต้  ชุด 4 พี่เอ็กซ์ แดนสรวง และชัดเจน ปิดล้อมเส้นทางด้านทิศตะวันตก  แต่ละชุดมีบอดี้การ์ด 7 คน เป็นทีมซัพพอร์ต  เราจะจัดการกระชับพื้นที่เข้าไปจนถึงจุดกึ่งกลางซึ่งเป็นฐานบัญชาการ สำหรับนักบินให้กลับไปรับพวกเราตอนสองนาฬิกาตรงจุดส่ง  ส่วนการบังคับบัญชาทั้งหมดผมจะตัดสินใจเอง เราจะสื่อสารกันผ่านวิทยุสื่อสารเครือข่ายเฉพาะ ที่นี้ผมอยากให้ทุกคนศึกษาสภาพพื้นที่ให้เข้าใจ”

      กลุ่มผู้ร่วมปฏิบัติการฟังคำชี้แจงจากภูมิรพี รับทราบถึงความต้องการของภารกิจและอื่นๆ ถกปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติการจนเข้าใจอย่างแจ่มชัด หลังจากนั้นภูมิรพีให้ทุกคนจัดเตรียมสิ่งของจำเป็นสำหรับภารกิจไม่ว่าจะเป็นเข็มทิศ วิทยุติดต่อ โทรศัพท์เคลื่อนที่ พลุส่องแสง ระเบิดควัน ระเบิดสังหาร เชือกเดินป่า มีดสังหาร แว่นตาอินฟาเรด กล่องปฐมพยาบาลแบบพกพาที่มีมอร์ฟีนระงับปวดเป็นหลัก และที่สำคัญที่สุด อาวุธประจำกายพร้อมกระสุนเต็มอัตรา ปืนสั้นออโตเมติก  เอ็ม 16 และเอซเค 33 ปืนสองชนิดหลังนี้สามารถใช้กระสุนร่วมกันได้โดยไม่ต้องดัดแปลงอะไรอีก
 
      ภูมิรพีปล่อยให้ทุกคนจัดการกับอาหารเย็นง่ายๆ ตลอดจนธุระส่วนตัว  ทุกอย่างเสร็จสรรพและพร้อมปฏิบัติการปิดประตูตีแมวในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที 

      .........................................



       ท้องฟ้าข้างนอกมืดมิดหมู่ดาวกระพริบพราวแสงแต่ไร้แสงนวลจันทร์ เสียงแมลงกลางคืนหวีดร้องเซ็งแซ่ ลมกลางคืนพัดส่งกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันจนเกิดเสียงดังก้องทั่วบริเวณไร่ราวกับคำอวยพร “ขอให้โชคดี” ทุกคนกระชับเสื้อและเป้หลังให้รัดกุมก่อนจะแยกย้ายกันขึ้นฮอลิคอปเตอร์สี่ลำที่จอดรออยู่บนลานหญ้าหน้าบ้านพัก

       ชั่วระยะเวลาไม่ถึงนาที ภาพเบื้องล่างเล็กลงๆ จนกระทั่งกลืนหายไปกับความมืดของรัตติกาล ทิวไม้และทิวเขาสลับพื้นที่ทุ่งนาเป็นตาสี่เหลี่ยมเห็นเป็นเงาตะคุ่มอยู่เบื้องล่าง เสียงใบฟัดดังแหวกอากาศก้อง บางครั้งตัวเครื่องเอียงวูบเหมือนจะดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่างเพราะลมบนกรรโชกแรง

       ภายในฮอฯ ไม่มีแม้เสียงพูดคุย ใช่ว่าจะกลัวตายแต่อารมณ์ที่ปล่อยล่องลอยไปในอากาศจนสุดขอบฟ้ามองเห็นภาพของคนที่ถูกจับป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง ใครบ้างในโลกนี้ไม่กลัวตาย บอดี้การ์ดที่ตามมาไม่ใช่คนหรือจึงไม่มีสิทธิ์กลัวตาย ภูมิรพีเข้าใจดีและจะนำทุกชีวิตที่ไปกับเขากลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้

       สองชั่วโมงต่อมา นักบินแจ้งเตือนว่าเตรียมลงสู่พื้น มันอันตรายเกินไปหากเข้าใกล้กว่านี้ ฮอฯ จะส่งก่อนเข้าเขตแดนกะญายอ 15 กิโลเมตร ชุดปฏิบัติการต้องเดินเท้าต่ออีก 16 กิโลเมตร รวมระยะที่ต้องเดิน 31 กิโลเมตร โดยกำหนดการกระชับพื้นที่ในเวลาเที่ยงคืนตรง ทุกคนจ้องไปยังเบื้องล่าง สิ่งที่เห็นมีเพียงอย่างเดียวคือ ยอดหญ้าที่เป็นเงาตะคุ่มบนลานโล่งเท่านั้นเอง

      ฮอฯ เอียงตัวลดระดับอย่างรวดเร็วจนแทบจะปักหัวลงพื้นดินราวจะหล่นลงพื้น อีก 3 ลำ แยกตัวออกไปตามพิกัดที่กำหนด ความสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 3 เมตร โดยไม่ต้องรอให้ฐานสกีสัมผัสพื้นทันทีที่เครื่องลอยตัวนิ่ง ทุกคนกระโดดลงทันที ต้นหญ้าแห้งที่สูงเลยระดับอกถูกแรงลมจากใบพัด พัดจนลู่แบนราบกับพื้น

      เวลาไม่กี่วินาทีทั้งหมดลงสู่พื้นอย่างเรียบร้อย ต่างแยกตัวออกจากจุดส่งเข้าสู่ที่กำบังย่อตัวสงบนิ่งสอดส่ายสายตาและสดับตับฟังเสียงรอบข้างที่อาจจะจู่โจมเข้ามา  เสียงฮอฯ บินวนกลับดังไกลออกไปตามทิศทางที่เข้ามา จนกระทั่งเสียงนั้นลับหายไปจากการได้ยิน หากจุดส่งไม่คลาดเคลื่อนคิดว่าขณะนี้แต่ละจุดห่างกันห้ากิโลเมตร 

      “ขอให้ทุกคนรายงานสถานการณ์”  ภูมิรพีพูดวิทยุด้วยตัวเองสองครั้ง

      “จุดสองเรียบร้อย”

      “จุดสามเรียบร้อย”

      “จุดสี่ไม่มีปัญหา”

      “ขอให้ทุกจุดถือเข็มทิศแนว  103 จนกว่าจะจับแนวหมู่บ้านนอข่อได้ ให้ตรวจสอบพิกัดที่อยู่ด้วย”  ทุกฝ่ายตรวจสอบพิกัดกลับมาเมื่อเป็นที่เรียบร้อยตรงกันทุกจุดก็เคลื่อนขบวนไปยังจุดหมาย

      การเคลื่อนขบวนเป็นไปค่อนข้างลำบากเพราะเป็นคืนเดือนมืด ต่างล้วงแว่นตาอินฟาเรดมาสวม เส้นทางรกทึบไปด้วยป่าหญ้าที่สูงเกือบท่วมหัวสลับกับป่าเบญจพรรณ ลมเย็นบนยอดเขาโชยมาเป็นระยะค่อยบ้างแรงบ้าง ต้นไม้ ขนาด 2 - 3 คนโอบมีให้เห็นอยู่ทั่วบริเวณ เป็นเครื่องแสดงว่าพวกมันยังไม่ทำลายป่าบริเวณนี้ หรืออีกทีก็เพื่อใช้เป็นเกราะกำบังทางธรรมชาติจากศัตรู

       การเดินทางบนสันเขาที่ต้องแหวกป่าหญ้าเดินมีระยะทางยาวไปจนกระทั่งเวลาเกือบยี่สิบสองนาฬิกาก็ยังไปไม่ถึงทางเข้าหมู่บ้านนอข่อ กับระเบิดหรือจุดซุ่มยิงในบริเวณนี้ไม่น่าจะมีเพราะเดินกันมานานก็ยังไม่มีวี่แววให้เห็น  แต่ถ้าหากไต่ชินหยางมันรู้ว่าเขาเล่นนอกเกมส์และให้คนจุดไฟเผาหญ้าไล่ก็มีหวังสุกตายแน่นอน  ภูมิรพีจึงสั่งให้เร่งเดินให้พ้นจากป่าหญ้าบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด

      “จุดหนึ่งเรียกจุดสอง ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”  ภูมิรพีวิทยุสอบถามสถานการณ์จากเสี่ยเซน

      “สถานการณ์ปกติ เหมือนมันไม่ระแวดระวังอะไรเลย สภาพเส้นทางมีแต่ดงกล้วยป่ารกทึบไปหมดนี่กินกล้วยกันจนอืดแล้วว่ะ เหลือระยะทางอีก 3 กิโลเมตรจะถึงทางเข้าหมู่บ้าน แล้วทางนั้นเป็นไง”

      “พอทนมีป่าหญ้าแห้งๆ สลับป่าเบญจพรรณ แต่ป่าหญ้ามีมากกว่าถ้ามันจุดไฟไล่มีหวังสุกตายแน่วะเฮีย คาดว่าอีกสัก 3.5 กิโลเมตรจะถึงทางเข้าหมู่บ้าน  จุดสามรายงานสถานการณ์ด้วย”

      “เรียบร้อยปกติดีทางโล่งอีก 2 กิโลเมตร จะถึงทางเข้าหมู่บ้าน แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยปลอดภัยเลยวะ แมร่งมันเป็นป่าโปร่งไง แล้วรู้สึกพวกมันจะมีจุดตรวจคอยลาดตระเวนเหมือนมีค่ายอะไรสักอย่างอยู่ใกล้ๆ นี้”

      “พี่ระวังด้วยแล้วกัน”

      “โอเค”

      “จุดสี่รายงานสถานการณ์เรียบร้อยไหมครับ”

      “ค่อนข้างลำบากและอันตรายพอสมควรมันเป็นทางเลียบสันเขา มีรถบรรทุกวิ่งเข้าวิ่งออกออกทุกครึ่งชั่วโมง พี่ต้องเลี่ยงเดินตามแนวสันเขาซึ่งหินขรุขระต้องขึ้นลงตลอดทาง อีก 4 กิโลเมตรจะถึงทางเข้าหมู่บ้าน จะเร่งให้ทันกำหนดนัดหมาย”

      “โอเคระวังตัวด้วยพี่เอ๊กซ์”

      การเดินทางของชุดปฏิบัติการปิดประตูตีแมว ค่อยรุกคืบหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งและไม่ย่อท้อ โดยมีจุดหมายอยู่ที่สิ่งอันเป็นที่รักของพวกเขา

       ทุกก้าวย่างของพวกเขาจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ อันตรายถึงชีวิตไหม  ไม่มีใครตอบได้ล่วงหน้า หวังแค่ว่าทุกอย่างมันจะผ่านพ้นไปด้วยดีแต่ที่มากสุดคือความห่วงใยที่ดังก้องกังวานอยู่ในสำนึกตลอดเวลา….

      ................................













TBC.

ปล.

1. ตอนนี้เป็นมหกรรมฆาตกรรมตัวละครไป 7 ตัว สุดเศร้าแต่จะให้ทำยังไงเกมส์มันต้องมีได้มีเสีย ไม่แพ้ก็ชนะ กว่าจะรบชนะไม่รู้ว่าจะแลกด้วยอะไรกันมาบ้าง   
2. สถานที่ต่างๆ ที่กล่าวมาเป็นสมมุติฐานเพื่อเพิ่มการมโนเท่านั้น
3. หากเจอข้อผิดพลาดและอยากแนะนำอะไรให้แปะไว้นะครับ จะรับไปแก้ไขต่อไป
4. ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมา และขอให้สนุกกับการอ่าน :)

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.33_เดินทางไกล [2] กับดักหนู & ปิดประตูตีแมว P.8_722016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-02-2016 12:20:57
สงสารเมืองอ่ะ :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
รอบนี้อาจเป็นแดนก็ได้ที่ตายเพราะเมืองตายแล้วแดนอาจตายตาม

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.33_เดินทางไกล [2] กับดักหนู & ปิดประตูตีแมว P.8_722016
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 07-02-2016 13:15:51
ลุ้นจนเหี้ยวจะแตก :ling3:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.33_เดินทางไกล [2] กับดักหนู & ปิดประตูตีแมว P.8_722016
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 07-02-2016 22:26:47
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire: :m31: :m31: :m31: :m31: :m31: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.33_เดินทางไกล [2] กับดักหนู & ปิดประตูตีแมว P.8_722016
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-02-2016 17:04:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.33_เดินทางไกล [2] กับดักหนู & ปิดประตูตีแมว P.8_722016
เริ่มหัวข้อโดย: minmin96 ที่ 09-02-2016 09:04:18

จบงานนี้..น้ำคงเลิกทำตัวปัญญาอ่อนสมองนิ่มสักที

คือสิงห์อาจเลี้ยงดูน้ำอย่างถนอม แต่ไงน้ำถึงปัญญาอ่อนเหมือนเด็กสามขวบนะ???

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.34_เดินทางไกล [3] ของกลาง P.8_1422016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 14-02-2016 12:57:54
เด็กเลี้ยง


34

เดินทางไกล [3] : ของกลาง





      ในภวังค์ครึ่งหลับครึ่งตื่น น้ำนิ่งพยามยามขยับร่างให้คลายความเมื่อยขบจากท่านอนที่ไม่สบายตัวนัก แต่แค่เพียงขยับตัวความรู้สึกปวดแปลบแล่นริ้วทั่วทั้งหัวไหล่จากข้อมือที่ถูกมัดไพล่หลังจนผวาตื่นเต็มตา ปากอิ่มอุทานด้วยความเจ็บ ดวงตาที่ยังปรับแสงสว่างไม่ทันทำให้ต้องหลับตาลงแล้วค่อยๆ ลืมขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างยากเย็น

      “รู้สึกตัวแล้วเหรอ”

      “พี่คานิน...”

      ร่างบางพยายามทรงตัวลุกขึ้นจากฟูกนอนเก่าๆ ที่ปูลาดบนเตียงไม้ไผ่อีกที กลิ่นยาบางอย่างยังอวลอยู่ในโพรงจมูกจนรู้สึกคลื่นเหียนซวนซบลงนอนอีกครั้ง ที่หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายพยายามสูดลมหายใจยาวๆ เพื่อบรรเทาอาการคลื่นเหียนอึดอัดหายใจไม่สะดวก น้ำนิ่งกัดฟันขยับตัวจนสามารถทรงตัวลุกขึ้นนั่งพิงผนังห้องได้สำเร็จชันเข่าขึ้นให้แนบไปกับอกของตัวเองราวกับจะเรียกหาความอุ่นใจ ก่อนจะเอ่ยถามคานินที่ถูกมัดแขนขาติดกับเก้าอี้ไม้ไผ่ห่างจากเตียงไปเล็กน้อย

      “นี่เราอยู่ที่ไหน?”

       “คงจะเป็นหมู่บ้านชายแดนที่ไหนสักแห่ง พี่เพิ่งรู้สึกตัวตอนมันยัดเข้ามาในห้องนี้เหมือนกัน”

      “แล้วมัน...”

      “แก้แค้นน่ะสิ”

      “แก้แค้นใคร!?”

      “พี่ได้ยินมันคุยกับเสี่ยว่าจะเอาคืนเมื่อสองปีที่แล้วสองคนนั้นฆ่าคนรักของมัน”

      “คนรัก? ไม่เคยได้ยิน มีแต่น้องชายสองคนไม่ใช่เหรอ แล้วสองฝ่ายขัดแย้งเรื่องธุรกิจมานานแล้วไม่ใช่เหรอ”

      “มาร์โคน้องชายบุญธรรมนั่นไง เรื่องขัดแย้งธุรกิจก็ใช่ อำนาจ เงินตรา เปรียบเสมือนน้ำทะเล ยิ่งดื่มมากเท่าไรยิ่งกระหายมากขึ้นเท่านั้น  มันใช้เราแลกกับผลประโยชน์มหาศาลจากสัมปทานก๊าซธรรมชาติทั้งหมดในภูมิภาคนี้  ถ้าพรุ่งนี้เฮียมาช่วยพวกเราไม่ทันพี่คิดว่ามันคงเอาเราขายซ่องตามชายแดน หรืออีกทีก็บังคับให้ค้าประเวณีเป็นมดงานขนยาเสพติด หรือร้ายกว่านั่นคือฆ่า...”

      “…..”

      แววตาตระหนกกวาดมองไปรอบๆ จากสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นตา ทำให้รู้สึกหวาดกลัวเหลือประมาณ  ห้องที่พวกมันใช้กักขังสลัวอึมครึมด้วยไฟหลอดกลมแรงเทียนน้อยให้บรรยากาศเหมือนกับอยู่ในคุกมืดก็ไม่ปาน 

       มุมห้องด้านในตรงข้ามเตียงถูกแบ่งเป็นคอกง่ายๆ ด้วยการก่ออิฐบล็อกสูงแค่เอวเป็นส้วมนั่งยองซึ่งน่าจะผ่านการใช้งานมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเพราะตามขอบฐานเหยียบและขอบด้านล่างเต็มไปด้วยคราบสีเข้มราวกับไม่ผ่านการซะล้างทำความสะอาดมานับแรมปี

       พื้นซีเมนต์ในคอกแฉะนองไปด้วยน้ำที่เอ่อจากรอยแตกรอบฐานส้วมส่งกลิ่นฉุนกึกไปทั่วทั้งห้อง ช่องลมที่ติดลูกกรงอยู่เหนือหัวเตียงขึ้นไปหนึ่งช่วงแขนก็ไม่อาจระบายกลิ่นได้หมด ร่างบางซบหน้าลงกับเข่าสูดกลิ่นตัวเองเพื่อลดอาการพะอืดพะอมที่ตีกระหน่ำจนคอขมปร่า

      “ไม่เป็นไรนะ”

      “มะ ไม่ฮะ...”

      น้ำนิ่งเสตามองข้ามไหล่คานินมีโต๊ะไม้ไผ่ผุๆ ที่ถูกมอดเจาะแทะจนเศษผงไม้ร่วงหล่นเต็มพื้นรอบโต๊ะวางชิดผนังอยู่ บนโต๊ะมีน้ำสองขวดพร้อมอาหารสองจานที่กำลังถูกแมลงสาบรุมกินอาหารในจานจนแทบไม่เห็นอาหารที่อยู่ในจาน

       สมองไพล่คิดไปถึงขาของมันที่ไต่ไปตามตัวและกลิ่นฉุนกึกของมันให้รู้สึกขยะแขยงจนขนลุกชัน อาการผะอืดผะอมตีรวนรุนแรงขึ้นมาจนไม่สามารถกลั้นต่อไปได้น้ำนิ่งล้มถลาตัวไปที่ปลายเตียงโก่งคออาเจียนน้ำเหนียวใสออกมาจนหมดไส้หมดพุง...

       หูอื้ออึงได้ยินเสียงเก้าอี้ครูดกับพื้นซีเมนต์ เบือนหน้าไปสบตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายของคานิน เจ้าตัวพยายามโผตัวอย่างยากลำบากเข้าหาทั้งที่ถูกมัดติดแน่นอยู่กับเก้าอี้ น้ำนิ่งส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร ทั่วทั้งลำไส้และกระเพาะหดเกร็งจนเจ็บร้าวไปหมด ชันตัวลุกขึ้นนั่งพิงผนังห้องอย่างทุลักทุเลหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน

      “ไหวหรือเปล่า”

      “วะ ไหวขอน้ำอยู่อย่างนี้สักพัก...”

      “.......”

      น้ำนิ่งหวนระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายกำลังนั่งดูคานินกับบ๋อมที่ขึ้นจากน้ำนานแล้วแต่แต่งตัวไม่เสร็จสักทีเพราะมัวถกเถียงหยอกล้อกันด้วยเรื่องอะไรสักอย่าง  เสียงฝีเท้าคนเดินดังใกล้เข้ามาจนกระทั่งหยุดอยู่ข้างหลัง เขาคิดว่าเป็นเมืองแมนจึงชวนคุยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะโดยไม่ได้หันไปมอง

      ‘ ดูสองคนนั่นสิทะเลาะกันยังกับเด็กๆ เลย ’

      ‘…..’

      เงียบ! ไม่ได้ยินเสียงตอบ น้ำนิ่งรู้สึกฉงนจึงหันไปมอง...ม่านตาเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังไม่ใช่เมืองแมนแต่เป็น ‘พี่โอ๋’ ที่มาพร้อมกับชายฉกรรจ์หกคน

      น้ำนิ่งกำลังจะอ้าปากตะโกนเรียกเมืองแมน แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปล่งเสียงก็ถูกผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งโปะลงที่ปากกึ่งจมูก เขาเม้มปากแน่นพยายามกลั้นหายใจ ดิ้นสุดแรงให้หลุดพ้นจากลำแขนกำยำที่ล๊อกตัวเขาแน่นจากข้างหลัง มือป่ายปัดดึงกระชากผมมันอย่างแรงจนหลุดติดมือมากระจุกหนึ่ง

      ‘โอ๊ย! อีตุ๊ด สัตว์เอ๊ย!’

       มันสบถหยาบคายด้วยความเจ็บ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมปล่อย แขนที่แข็งราวกับคีมเหล็กของมันล๊อกตัวมืออีกข้างกดผ้าแน่นกว่าเดิม ในกรอบม่านตาที่เบิกโพลงเขาเห็นคานินถูกไป๋ซานเสยด้วยฝ่ามือเข้าที่ปลายคางอย่างแรงจนทรุดลงกับพื้นหินอย่างหมดรูป ก่อนจะถูกจับมัดมือไพล่หลังเอาเทปกาวปิดปาก ห่างออกไปเกือบเมตรบ๋อมยืนมองทุกการกระทำด้วยแววตาที่อ่านไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร

      ......ทำไมกัน....!?

       คำถามหนึ่งที่ดังชัดในจิตใจและเขาต้องการรู้มากที่สุดคือ บ๋อมทำเช่นนี้ทำไม เราเป็นเพื่อนรักกันไม่ใช่เหรอ!?... น้ำนิ่งภาวนาลึกๆ ว่า สิ่งที่เขาเห็นนั่นเกิดจากภาพลวงตาเพราะกำลังจะขาดออกซิเจนทีเถอะ

       ก่อนที่สติจะดับวูบน้ำนิ่งรับรู้ได้ถึงความเจ็บแสบและคาวเลือดปะแล่มจากการกดอย่างแรงจนฟันบดครูดกับกระพุ้งแก้มเกิดแผลภายในช่องปาก การกลั้นหายใจเกือบสี่นาทีสำหรับคนที่ร่างกายไม่ได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะถือว่าค่อนข้างนาน ร่างกายเริ่มชา หน้ามืดเวียนหัว ตาขาวปรากฏเส้นเลือดฝอยเบิกโพลงจากการขาดออกซิเจน การดิ้นรนขัดขืนเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ร่างกายที่ทรมานด้วยความหวาดกลัว สุดท้ายก็ยอมแพ้อ้าปากกระเสือกระสนเอาชีวิตให้รอดสูดหายใจเอากลิ่นยาฉุนจนเอียนเข้าปากจมูกเต็มรัก สติรับรู้เริ่มห่างหายออกไปทีละน้อย...

      ‘เรียบร้อยแล้วครับนาย’

      ‘ดี เอาตัวกลับฐาน จัดคนเฝ้าให้แน่นหนาอย่าให้หนีได้’  นั่นคือคำสั่งสุดท้ายก่อนที่สติของน้ำนิ่งจะดับวูบไป




       “พี่เมือง ลุงหมาน แล้วพี่สองคนนั่นตอนนี้อยู่ไหนจะเป็นตายร้ายดียังไง...”  น้ำนิ่งลืมตาขึ้นช้าๆ เอ่ยถามเสียงสั่นพร่า หัวใจดวงน้อยเต้นแรงระรัวหวาดกลัวไปหมด ห่วงว่าพวกมันจะทำอะไรคนของเขา

      “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

       “ภาวนาอย่าให้มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นเลย...”

       “คงจะไม่เป็นอะไรหรอกใจเย็นๆ นะ...”  เสียงที่ตอบกลับมาของคานินก็ไม่ต่างกัน ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่นั่นก็พูดออกไปเพื่อปลุกปลอบใจทั้งคู่ให้คลายความกลัวเท่านั้นเอง

      ความหวาดกลัวทำให้น้ำนิ่งกล้าที่จะเสี่ยงแม้ทางที่เลือกมันไม่มีโอกาสที่จะรอดเลยก็ตาม สมองประมวลผลอย่างหนักหาทางเอาตัวรอด แล้วก็ไปสะดุดที่แสงสว่างสุดปลายอุโมงค์ ไอ้ลูกกรงตรงช่องลมนั่นขอให้มันเป็นอลูมิเนียมกรวงข้างในทีเถอะ

      “เราต้องหนี น้ำยอมไปตายเอาดาบหน้าดีกว่ารอความตายอยู่ที่นี่”  น้ำนิ่งเอ่ยเสียงจริงจังแต่เจือด้วยความหวาดหวั่นจนคานินรู้สึกได้

      “แต่เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ อยู่ที่นี่พี่ว่าเราอาจจะรอดแต่ถ้าออกไปแล้วเกิดเราหนีไม่พ้น...” 

      “ก็ใช่ถ้าเราอยู่ที่นี่เราอาจจะรอดจนถึงเช้าพรุ่งนี้ร้อยละ 99.99 แต่อีกร้อยละ 0.01 น้ำขอเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองดีกว่า คำว่า ‘อาจจะ’ พี่คานินเชื่อได้เหรอ...ว่าระหว่างนั้นพวกนั่นจะไม่ทำอะไรเรา เชื่อได้แค่ไหนกัน...กับคนที่เรารู้จักมานานยังทำกับเราได้....”  แววตาที่สบกันมันทั้งเจ็บปวดผสมปนเปไปกับคำถามว่าทำไมอยู่เต็มไปหมด

      “.....” คานินเงียบไปสีหน้าบ่งบอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร แต่เสียงถอนหายใจหนักหน่วงนั่นบอกได้แน่ชัดล่ะว่ากังวลสับสนแค่ไหน
 
       “สามสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตของน้ำคือ ความรัก ความมั่นใจในตัวเอง และเพื่อน แต่ว่า ‘เพื่อน’.ตอนนี้...เฮ้อ! ไม่รู้สิกับบางคนเรายอมทำทุกอย่างเพื่อเขาได้ แต่ใช่ว่าเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อเรา...”  น้ำเสียงที่ขาดความมั่นใจเจ็บปวดของน้ำนิ่ง ทำให้คานินมองอย่างครุ่นคิดตาม

       “นั่นสินะ ทุกคนใช้คนอื่นเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอ...คนที่เรารู้จักมานานกลับไม่ใช่ที่เรารู้จักในวันนี้...ที่ผ่านมาพี่เชื่อว่าเฮียไป๋เขารักพี่เหมือนน้องชายคนหนึ่ง เขาดีกับพี่มาตลอด พี่เองก็นับถือเขาเหมือนพี่ชายแท้ๆ แต่วันนี้...เจ็บเหมือนกันนะกับการถูกหักหลัง” 

       “น้ำเข้าใจความรู้สึกของพี่คานินดี น้ำก็เสียใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จนตอนนี้ยังอยากจะให้ภาพที่เห็นนั่นเป็นแค่ภาพลวงตา ยังอยากจะรู้เขามีเหตุผลอะไรถึงทำอย่างนั้น ในหัวน้ำมันมีแต่คำว่าทำไม? ทำไม? เต็มไปหมดแต่ก็ไม่มีคำตอบของคำถามอยู่ดี”  ทั้งน้ำเสียงและสายตาบอกคานินว่าน้ำนิ่งรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ คนโตกว่าทอดถอนใจอีกครั้งอย่างระล้าระลังในการตัดสินใจ

       “เอาวะ! จะช้าหรือเร็วเราก็ต้องสู้กับความกลัวของเรา ลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ต้องช่วยกันคัดช่วยกันพายมันไปให้ถึงฝั่งให้ได้ แต่มันมีทางออกแค่ทางเดียวพี่คิดว่ามันต้องมีคนเฝ้าอย่างแน่หนาเราไม่มีทางหลุดออกไปได้แน่”

      “ใครว่าล่ะ พี่คานินเห็นนั่นไหม”  น้ำนิ่งทำปากบุ้ยใบ้ไปที่ช่องลมตรงหัวเตียง คานินมองตามแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าจะออกไปได้ยังไง

      น้ำนิ่งยกยิ้มร้ายขยับตัวลงจากเตียง นับเป็นความโชคดีหรือความเผลอเลอของพวกมันก็ไม่อาจทราบได้ ยังไงก็ขอบคุณพวกมันที่ไม่มัดขาของเขาด้วย  ร่างบางหย่อนขาลงยืนบนพื้นข้างเตียง สายตาสอดส่ายหาอะไรสักอย่างที่พอจะตัดเทปพันข้อมือให้ขาด คานินมองด้วยความสงสัย

      “หาอะไร?”

      “อะไรสักอย่างที่มันพอจะตัดไอ้เทปนี่ให้ขาด”  น้ำนิ่งหันหลังให้ดูเทปที่ใช้พันข้อมือเขาอยู่

      “มานี่สิ ช่วยอะไรพี่หน่อย”  น้ำนิ่งเดินเข้าไปหาแบบงงๆ  “อ้อมมาฝั่งซ้ายสิแล้วนั่งลงยื่นมือไปตรงส้นรองเท้าน่ะ ใช่ๆ ตรงยี่ห้อ อืมทีนี้กดลงไปเลย”  มีเสียงปลดล๊อกสลักเบาๆ 

       “เอาล่ะทีนี่น้ำช่วยแงะพื้นรองเท้าออกที”  ด้วยสภาพของแต่ละคนที่ไม่เอื้ออำนวยทำให้ค่อนข้างลำบากและเสียเวลาไปสองสามนาทีกว่าน้ำนิ่งจะแซะพื้นรองเท้าออกได้

      “ออกรึยัง”

      “โอเคได้ล่ะ”

      “ทีนี้หยิบมีดพับนั่นขึ้นมาจัดการเทปซะ”  น้ำนิ่งไม่รอช้าหยิบมีดมาไว้ในมือสอดเข้าด้านในกดสปริงให้ใบมีดเด้งออกมา มือกำมีดให้แน่นกว่าเดิมค่อยๆ กรีดเทปกาวให้ขาด ปากก็คุยกับคานินเบาๆ ไปด้วย

      “ก็สงสัยอยู่ว่าทำไมพื้นรองเท้าพี่มันสูงแปลก นึกว่าเป็นเทรนแฟชั่นใหม่ซะอีก”

      “เฮียสั่งตัดพิเศษติดสัญญาณจีพีเอส ตอนแรกที่เห็นพี่ก็คิดแบบตื้นเขินว่าเขาไม่เชื่อใจจนต้องคอยจับผิดไง เลยไม่ยอมใส่เถียงกันบ้านแทบแตก สุดท้ายเฮียพูดแค่ว่า ‘ถ้ากูไม่รักไม่ห่วง กูไม่ใส่ใจขนาดนี้’ แค่นั้นจริงๆ ที่ทำให้พี่ยอม อ๊ะ!! แมร่งเอ๊ย...”  น้ำนิ่งสะดุ้งโหยงตกใจกับเสียงร้องจนเผลอให้คมมีดเฉี่ยวถูกหนังอุ้งมือคิดว่าไม่ลึกนักแต่ก็แสบๆ

      “มีดบาดเหรอ”  คานินถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง น้ำนิ่งสั่นหน้า สมาธิจดจ่อกับคมมีดที่ค่อยๆ เฉือนฉีกเทปกาวขาดออกทีละชั้น

      “เมื่อกี้พี่คานินจะพูดอะไรนะ” 

       “แมร่ง!! ซวยฉิบหายกูนะกู โง่เอ๊ย! รู้ทั้งรู้ว่าตัวส่งสัญญาณจีพีเอสมันขัดข้อง แทนที่จะบอกทิมตั้งแต่ก่อนมา บ้าบอฉิบหาย แมร่งซวยซับซวยซ้อน”  คานินสบถเสียงเบาก่นด่าตัวเอง หายใจฮึดฮัดขัดใจกับความประมาทเลิ่นเลอของตัวเอง ถ้าเฮียรู้มีหวังเขาเจ็บตัวแน่ที่ไม่รู้จักรักตัวเองแบบนี้

      “เอาน่าตอนนี้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนก่อน  อ๊ะ! ขะ...อุ๊บ”

      น้ำนิ่งดีใจจนหลุดเสียงร้องออกมาค่อนข้างดัง แต่ก็หุบปากได้ทันตามองที่ประตูเขม็งด้วยกลัวว่าพวกมันจะได้ยินเสียง ดึงเทปกาวออกจากข้อมือบิดแขนคลายความปวด ก่อนจะหันไปตัดเทปกาวที่พันรอบข้อเท้าของคานินออก เสร็จแล้วตามด้วยข้อมือ เมื่อเป็นอิสระคานินบิดตัวคลายความเมื่อยขบ เสร็จแล้วจึงก้มลงจัดการใส่พื้นรองเท้าให้เหมือนเดิม

      “เอาไงที่นี่”

      คานินเอ่ยอย่างร้อนรนกลัวพวกยามข้างนอกจะรู้ว่าสองคนหลุดจากพันธนาการแล้ว  น้ำนิ่งถลาไปยังโต๊ะไม้ไผ่ดึงลากให้ห่างจากผนังอย่างเบามือ เขาหมายตาไม้ตีฉาบโต๊ะขนาดเหมาะมือซึ่งห้อยหลุดอยู่มุมด้านในแต่แรกแล้ว

       มือเรียวดึงกระชากอย่างแรง มันหลุดออกมาอย่างง่ายดายเพราะตะปูที่ตอกยึดเป็นสนิม แต่แรงดึงทำให้โต๊ะขยับและสั่นไหว ฝูงแมลงสาบในจานข้าวแตกฮือ น้ำนิ่งสะดุ้งโหย่งฉากหลบจนก้นกระแทกพื้นอย่างแรงกระถดหนีด้วยความขยะแขยง เท้ากระทืบมือป่ายปัดแมลงสาบขี้ตกใจสี่ห้าตัวที่บินมาไต่ขึ้นตามตัว หน้าตาบิดเบี้ยวอธิบายไม่ถูก แมลงสาบก็เหมือนแกล้งยิ่งหนีแมร่งยิ่งตาม คานินแทบจะปล่อยก๊ากกับท่าทางของน้อง แต่ก็ระงับไว้ได้ทันเพราะสายตาที่ตวัดฉับมาอย่างเอาเรื่องของน้อง

      “ตลกนักรึไง ไม่ได้กลัวแค่ขยะแขยงเหอะ”  น้ำเสียงสะบัดงอน ตอกย้ำหนักแน่นให้คานินรู้สึกตามในตอนท้ายคนพี่แทบจะหลุด กลั้นจนหน้าดำหน้าแดง

      “ขอโทษ ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจแต่ท่าทางน้ำอ๊ะ...ซู๊ดด”  น้ำนิ่งซัดปึกค่อนข้างแรงตรงต้นแขน คนโตกว่าเปลี่ยนจากท่าทางขบขันเป็นซู๊ดปากล้อเลียน

      “ยังจะพูดอีก”

      น้ำนิ่งออกอาการงอนๆ ทำตาประหลับประเหลือก มือถอดเสื้อเชิ้ตขาวบางออกจากตัว เหลือไว้เพียงเสื้อกล้ามสีดำตัวเดียว มือเอื้อมไปหยิบขวดน้ำบนโต๊ะมาเปิดแล้วเทราดลงบนเสื้อเชิ้ตจนโชกชุ่ม วางใส่มือคานินให้ถือไว้อย่างงๆ

      คนตัวบางยกเก้าอี้ไปวางบนเตียง แล้วเจ้าตัวก็เดินมาหยิบไม้ไผ่กับเสื้อเปียกๆ จากมือคานิน ก่อนจะปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้อีกที มือดีดลงบนซี่ลูกกรงเบาๆ เกิดเสียงดังก๊องมันกรวงอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ  ร่างบางเขย่งปลายเท้าให้สูงขึ้นอีกนิดเพื่อจะได้เอาเสื้อเชิ้ตผูกคล้องลูกกรงสองซี่ได้สะดวก เมื่อมัดปมจนแน่จึงเอาท่อนไม้ไผ่สอดเข้าตรงกลางก่อนจะเริ่มหมุนเหมือนการขันชะเนาะจนเสื้อเชิ้ตพันเป็นเกลียวน้ำไหลย้อยลงมาตามแขนและผนัง คานินเริ่มเข้าใจสิ่งที่น้ำนิ่งจะทำที่ละนิด

      “ลงมานี่มาเดี๋ยวพี่ทำเอง” 

       คานินมองดูน้องที่พยายามเขย่งให้ถึงช่องลมแล้วให้รู้สึกสงสารจึงอาสาที่จะทำเอง คนตัวเล็กปล่อยมือให้พี่ชายขึ้นมาทำแทนตัวเองก็ขยับลงไปยืนมองข้างล่าง หางตาของคานินเหลือบเห็นน้องย่องเงียบเอาหูแนบประตูฟังเสียงความเคลื่อนไหวข้างนอกก็ยกยิ้มด้วยความเอ็นดู

       คานินปืนขึ้นไปแทนที่ด้วยความสูงและแรงที่มากกว่าซี่ลูกกรงอลูมิเนียมเริ่มบิดงอเข้าหากันในเวลาไม่นาน แผงลูกกรงและตะปูเกลียวที่ค่อนข้างเก่าเมื่อถูกบิดอย่างแรงก็เริ่มคลอน แต่ยังแน่นอยู่ดี

       มือแรงหมุนบิดแรงขึ้นและดึงไปด้วยอย่างต่อเนื่อง ซี่ลูกกรงบิดงอเข้าหากันเรื่อยจนเกิดรอยฉีกขาดตรงจุดที่ตีให้แบนเล็กๆ  แผงลูกกรงเริ่มคลอนหลวมนิดๆ ตะปูเกลียวด้านบนตัวหนึ่งดูหลวมๆ คานินลองหมุนบิดคลายเกลียวจนในที่สุดมันก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย เรียวปากได้รูปหลุดยิ้มกว้างอย่างดีใจกับความพยายามที่เริ่มเห็นผลอิสรภาพ? ใกล้เข้ามาอีกนิดแล้ว  เหลืออีกสามด้านที่ยังสนิทแน่นกับแผลง

       คานินเพิ่มแรงในการหมุนขันชะเนาะ พร้อมกับออกแรงดึงแผงลูกกรงไปด้วย รูตะปูเกลียวทั้งสามด้านเมื่อถูกดึงคลอนเริ่มหลอม คานินลองดึงทำให้ตะปูสนิทแนบกับแผงอีกครั้ง แมร่ง! สันกรามบดแน่นด้วยความโมโห สายตามุ่งมั่นออกแรงขันชะเนาะให้แน่นขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว





-มีต่อ -
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.34_เดินทางไกล [3] ของกลาง P.8_1422016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 14-02-2016 12:59:05
       เกือบยี่สิบนาทีต่อมา คานินเกร็งกล้ามแขนทั้งดึงทั้งหมุนจนเส้นเลือดปูดโปนซี่ลูกกรงบิดเข้าหากันซะจนรอยต่อที่ตีจนแบนยึดด้วยตะปูเกลียวขาดแบบไม่ทันตั้งตัว ปฏิกิริยาต่อเนื่องคือคานินเสียการทรงตัว เก้าอี้ซึ่งวางอยู่บนฟูกโอนเอนตามแรงขยับตัว สารอะดรีนาลีนที่ฉีดหลั่งฉับพลันเร่งสัญชาตญาณการเอาตัวรอดให้ร่างโปร่งที่กำลังจะหงายหลังตามแรงโน้มถ่วงรีบไขว่คว้าลูกกรงแผงลูกกรงแน่น แต่...

       - อ๊ะ -

      - ตึ้ง -

      - ตุ๊บ! อึก! โอ๊ย!! -

      เหตุการณ์เกิดขึ้นแค่ชั่วเสี้ยววินาที รู้ตัวอีกทีร่างโปร่งก็นอนแอ่งแม่งอยู่บนพื้นเตียงแล้วเสียงที่ดังเหมือนของตกจากที่สูงทำให้น้ำนิ่งที่กำลังสดับฟังเสียงภายนอกห้องหันกลับมามอง  ตาเบิกกว้างชะงักค้างกับภาพตรงหน้า 

       คานินตกจากเก้าอี้หงายหลังอยู่บนเตียง หน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความจุกเจ็บ แผงลูกกรงทั้งแผงยังถืออยู่ในมือ เก้าอี้หล่นเค้เก้อยู่บนพื้นหน้าเตียง


      “เฮ้ย!! เสียงอะไรวะ”

      เสียงตะคอกจากภายนอกดังเข้ามาพร้อมกับเสียงไขกุญแจและปลดโซ่ สองพี่น้องหันขวับไปที่ประตูนิ่งตาเบิกกว้างกว่าเดิม น้ำนิ่งได้สติก่อนวิ่งจากประตูมาจับเก้าอี้ไม้ไผ่ที่ล้มเค้เก้บนพื้นไว้แน่นวิ่งกลับไปแอบที่ข้างประตูในท่าเตรียมฟาด  คานินลืมความจุกเจ็บ โดดผลุงลงจากเตียงวิ่งอย่างรวดเร็วไปซุ่มที่ประตูอีกฝั่ง มือยกแผงลูกกรงขึ้นเหนือหัวเตรียมพร้อมเช่นกัน


      - แกร๊ก -


      - ปัง!!! -



      เสียงดึงลากโซ่ออกจากห่วงประตู ไม่ถึงวินาทีประตูห้องถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง ไม่รอช้าน้ำนิ่งเหวี่ยงเก้าอี้ฟาดเข้ากลางลำตัวมันสุดแรงเกิด คนร้ายที่ไม่ทันระวังตัวเสียหลักล้มหงายหลังกระแทกพื้นอย่างจัง มันสะบัดหัวทำหน้ามึนงง

      “โอ๊ย!! เหี้ยแล้ว อ๊ากกกกกกก....”

       น้ำนิ่งไม่รอช้าทิ้งเก้าอี้ในมือยกเท้ากระทืบเข้าจุดยุทธศาสตร์มันอย่างแรงทั้งถูกจังๆ และผ่านๆ แบบไม่ยั้งตีน ตัวมันงอก่องอขิงมือกุมจุดยุทธศาสตร์หน้าตาเขียวคล้ำบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวดแทบขาดใจ  คานินเองไม่ยอมให้พลาดโอกาสตีงูต้องตีให้ตายฟาดแผงลูกกรงที่อยู่ในมือกระแทกหน้ามันสุดแรงเกิด หน้าหันตามแรงเหวี่ยงเลือดกระเด็นจากปากหยดลงพื้นเป็นด่างดวง สลบเหมือดเพราะทนความเจ็บไม่ไหว


      - แคร็ง -


      น้ำนิ่งกระทืบซ้ำอีกครั้งแต่มันก็ไม่ไหวติง คานินทิ้งแผงลูกกรงที่อยู่ในมือลงพื้นเมื่อเห็นว่ามันแน่นิ่งไปแล้ว ฉุดมือน้องวิ่งไปยังบันไดมือกำลังจะเอื้อมเปิดประตู แต่ก็ต้องชะงักค้างเมื่อได้ยินเสียงคนพูดคุยอยู่แค่ชั่วประตูกั้น


      “ไอ้ฉเหว่กูมาเปลี่ยนเวร”

      “เหี้ย! มาเลยมึงกูเปรี้ยวปากฉิบหาย กลิ่นเหล้าหึ่งเลยมึงคงทั้งแดกทั้งอาบมาเต็มคราบล่ะสินานๆ นายใหญ่จะเลี้ยงแบบนี้ซักที”

      “สัดด่ากู ดีเท่าไรแล้วที่กูมาเปลี่ยน ถ้ามึงไม่ใช่เพื่อนป่านนี้กูรอเรียงคิวรอบสองกับเด็กใหม่ที่นายพามาสนุกคืนนี้แล้ว”

      “กูซึ้งบุญคุณฉิบหายสัตว์ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แมร่งจัดมันไปหลายรอบแล้วเหอะ เด็ดเหรอวะ”

      “เดี๋ยวมึงก็รู้ รีบไปสิวะ”

      “แล้วไอ้เตงหนั่ย”

      “เดี๋ยวไอ้ขิ่งมันมาเปลี่ยนมันกำลังจัด...”


      ได้ยินเท่านั้นแหละสองพี่น้องย่องเงียบลงจากบันได ถึงขึ้นสุดท้ายทั้งคู่วิ่งตื้อกลับเข้าห้องอย่างรวดเร็ว คานินปีนขึ้นไปเหยียบพนักหัวเตียง มือเกาะยึดขอบช่องลมแน่นยกตัวเองจนสามารถใช้ข้อศอกเท้าไว้กับขอบช่องลม ตาสอดส่ายเพ็งผ่าความมืดสลัวหาสิ่งผิดปกติอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดขยับเคลื่อนไหวในความมืดสลัว นอกเสียจากเสียงร้องรำทำเพลงจากที่ไหนสักแห่งดังแว่วตามสายลมแผ่วเบา ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มพอใจกับทางสะดวก

       คานินดึงสายตากลับมาที่ใต้ช่องลมเพื่อคำนวณว่าจะปีนลงไปอย่างไรไม่ให้เจ็บตัว แล้วก็ตั้งแปลกใจเพราะใต้ขอบช่องลมลงไปไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัดนั่นเป็นพื้นดิน งั้นนี่ก็ห้องใต้ดินมิน่าถึงไม่มีหน้าต่างสักบาน  คนพี่กลับลงมายืนบนพื้นเตียงอีกครั้ง

       “ข้างนอกเป็นไงมั้ง”  น้ำนิ่งถามอย่างร้อนรนกลัวว่าพวกมันจะเข้ามาซะก่อน

      “ทางสะดวก พี่ได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงแว่วมาตามลม มันคงจะฉลองชัยชนะล่วงหน้า”

      “งั้นก็เป็นโอกาสของเรา รีบๆ ไปกันเถอะก่อนที่มันจะแห่กันมา”  คานินพยักหน้าหงึกๆ ดึงน้ำนิ่งขึ้นมาบนเตียง

      “มานี่มาพี่จะช่วยส่งเราออกไปก่อน เร็วเข้าเดี๋ยวมันมา”   

       น้ำนิ่งเหยียบขึ้นไปบนพนักหัวเตียงมือพยายามยืดให้ถึงขอบช่องลม เขย่งจนสุดแขนก็ยังไม่ถึงเกือบจะล้มคานินตามขึ้นมายืนซ้อนหลังแขนแกร่งอุ้มตัวน้ำนิ่งขึ้นจนมือน้องยึดกรอบช่องลมได้ มือดันจนน้องสามารถลอดออกไปจากช่องลมได้ครึ่งตัว น้ำนิ่งสายตาสอดส่ายเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงขยับปีนออกไปทั้งตัว หันมาบอกคานินเสียงเบา

      “ทางสะดวกขึ้นมาเลยฮะ...”  คานินไม่รอช้ารีบปืนขึ้นไปยืนบนพนักหัวเตียงมือเกาะยึดขอบช่องลมแน่นยกตัวขึ้น ข้อศอกเท้ายันขอบช่องลมเท้าเหยียบยึดผนังห้องดันยกตัวเองขึ้นจนตัวลอดออกไปจากช่องลมได้ครึ่งตัว...


      - ปัง!!! -

      “เฮ้ย!!”

      คานินชะงักค้าง เมื่อได้ยินเสียงประตูกระแทกเปิดอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจของมัน มันกระโจนจากประตูขึ้นมาบนเตียง กระโดดเกาะขอบช่องลม คานินกระถดตัวออกไปจากช่องลมพลิกตัวกลับอย่างรวดเร็ว

       มือมันตะปบคว้าขาข้างหนึ่งคานินไว้ได้พยายามดึงร่างโปร่งกลับลงไป น้ำนิ่งใช้มีดพับแทงมือที่ยึดขอบช่องลมของมันอย่างแรงเลือดไหลทะลักตอนที่ดึงมีดออก มันร้องด้วยความเจ็บปวดยังกะควายถูกเชือด คานินยกเท้าข้างที่เป็นอิสระถีบเข้ายอดหน้ามันอย่างจัง มือมันหลุดจากขอบช่องลมหงายหลังตกลงไปบนเตียงดังตึงหน้าบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บ พวกมันกู่กันเข้ามาช่วยพยุงลูกพี่มันลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล


      - อ๊ากกกกก -


      - ตุ๊บ -



      “อีสัตว์เอ๊ย!! ยืนเซ่ออยู่ทำไม ตามมันไปสิวะ” 

       เสียงพวกมันโหวกเหวกตะโกนบอกกันเป็นทอดๆ ว่าตัวประกันหนี สองพี่น้องไม่รอดดูผลงานใจเต้นระทึกแข่งกับเสียงฝีเท้าวิ่งหลบหลีกผลุบเข้าออกตามซอกมืดของตัวอาคารออกไปทางขวามือซึ่งคนตัวเล็กคิดว่ามันเป็นทิศตะวันออกและมั่นใจว่าถ้าตรงไปเรื่อยๆ มันต้องเป็นทางออกถึงชายแดนฝั่งไทยแน่ๆ

      น้ำนิ่งหยุดกึกแทบไม่ทันเมื่อเลี้ยวข้างหน้าพวกมันกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ คานินซึ่งมัวแต่ระแวดระวังมองรอบๆ หันมาอีกทีเกือบชนกับน้ำนิ่งดีที่เบรกตัวทัน น้ำนิ่งยกมือขึ้นปิดปากคานินที่กำลังจะอุทาน ทั้งคู่มองตากันนิ่งตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทาง ตัวสั่นระริกใจเต้นตึกตักแทบระเบิดออกมานอกอก เสียงตะโกนโหวกเหวกของพวกมันดังใกล้เข้ามา

      “ทางนั้น แยกกันไปสิวะ”

      “สัตว์เอ๊ย!! อย่าให้กูเจอนะมึง”

      น้ำนิ่งตัดสินใจวิ่งกลับไปทางเดิม จนสุดตัวอาคารก่อนจะเลี้ยวเข้าตรอกแคบๆ มองจนแน่ใจจึงฉากตัวหลบอย่างรวดเร็วมุดเข้าใต้ท้องรถบรรทุกที่จอดอยู่บริเวณนั้น ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำเสียงฝีเท้าของพวกมันวิ่งมาหยุดอยู่หน้ารถบรรทุก 

       สองพี่น้องแทบจะลืมหายใจยกมือข้างหนึ่งปิดปากตัวเองแน่นโดยอัตโนมัติไม่ยอมให้แม้แต่เสียงหายใจแผ่วอย่างเหนื่อยหอบจากการวิ่งหนีเล็ดลอดออกไปให้พวกมันได้ยิน มือข้างที่อยู่ใกล้กันกุมกระชับแน่นจนไม่รู้ว่าใครบีบใคร ใจเต้นตึกตักราวกับกองเพล ตาเบิกโพลงแทบจะหยุดหายใจเมื่อพวกมันเดินเข้ามาใกล้รถบรรทุก ไฟฉายในมือของพวกมันส่ายกราดไปทั่วบริเวณที่เป็นเงามืด ยกผ้าใบที่คลุมรถขึ้นกราดไฟฉายไปทั่วท้ายกระบะหาสิ่งแปลกปลอม

      “สัตว์เอ๊ย!! หายไปไหนวะเร็วฉิบฉาย”

      “เร็วสิวะ! แยกย้ายกันหาให้ทั่ว คงยังไปไหนไม่ได้ไกล” พวกมันยังไม่มีใครขยับไปไหนคานินเห็นคนหนึ่งทำท่ากำลังจะก้มส่องไฟดูใต้ท้องรถ พอดีกับที่หัวหน้ามันหันมาเจอเสียก่อนจึงตะคอกให้รีบออกไปตามหา

       “ย้ายก้นไปซะทีสิวะสัตว์เอ๊ย!! หรือจะรอให้นายรู้ก่อนว่าตัวประกันหายทีนี้มึงได้แดกลูกปืนแทนแน่ ซวยฉิบหายแทนที่จะได้แดกเหล้าเล่นสนุกกับเด็กที่ได้มาใหม่ เชี๊ย!!” เสียงสบถของมันเงียบลงพร้อมกับฝีเท้าที่ค่อยๆ ห่างออกไป

      สองพี่น้องพรูลมจากปากแผ่วเบาอย่างโล่งอก ไม่อยากจะคิดถ้าพวกมันก้มลงมาดูใต้ท้องรถจริง... ทั้งคู่รอดูสถานการณ์นานราวกับชั่วกัลป์ เหงื่อกาฬผุดพรายเต็มขมับเปียกไปทั้งโคนผม รอบข้างเงียบสงัดยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองที่ดังก้องด้วยความหวาดกลัว ทั้งคู่ค่อยๆ เลื่อนตัวออกมาจากใต้ท้องรถสายตาสอดส่ายอย่างระแวดระวังภัยราวกับกวางน้อยที่กำลังจะถูกราชสีห์ขย้ำ

      สองคนวิ่งตื้อไปอีกทางตรงข้ามกับที่พวกมันไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะผ่านซอกหลีบมืดนั่นเอง สองพี่น้องถูกดึงกระชากอย่างแรงเข้าไปในซอกนั่นตกใจแทบหัวใจวาย ร่างสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว กำลังจะเปล่งเสียงร้องมือแกร่งของคนที่ล๊อกอยู่ข้างหลังตะปบปิดปากแน่นก่อนที่เสียงจะลอดออกมาเสียอีก สองพี่น้องดิ้นขลุกขลักทั้งหยิกทั้งข่วนให้หลุดพ้นจากการจับกุม

      “บิงโก”  เสียงทุ้มนุ่มที่กระซิบริมหูกับกลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้คานินหยุดดิ้นฉับพลันตาเบิกโพลง ใจเต้นระรัวด้วยความดีใจสุดขีด

      “เฮีย…!?”  คานินเอ่ยเสียงแผ่ว

      “ฮือ..”

      “นึกว่าจะหาไม่เจอซะแล้ว..กะ..กลัวแทบตายฮือ...”  พูดได้แค่นั้นเองคานินก็ปล่อยโฮน้ำตาไหลเป็นทางด้วยความโล่งใจทั้งดีใจสับสนปนเปไปหมด

      “ชู่ว์ ชู่ว์ คนดี คนดี เฮียอยู่นี่แล้ว”  เสี่ยเซนพลิกตัวคนในอ้อมแขนกลับมาเผชิญหน้ากัน ปากร้อนกดจูบลงกลางกระหม่อมขมับปลอบประโลม ผละตัวออกนาบปากร้อนจูบซับน้ำตาให้ 

       “ไม่เป็นไร เงียบก่อนนะเรายังไม่ปลอดภัย”  คานินพยักหน้าหงึกๆ  เสี่ยเซนเลยดึงแม่กระต่ายขวัญอ่อนเข้ามากอดปลอบอีกครั้ง  ครู่เดียวก็ผละตัวออก เดินไปหาน้องซึ่งยืนมองเขาสองคนตาแป๋วอยู่ข้างอาแจ็กซ์ หน้าหวานยกยิ้มเจ้าเล่ห์จนน่าเขกมะเหงก แต่มือเสี่ยก็ไวเท่าความคิดเหมือนกัน


      - ป๊อก -


      “โอ๊ย!! เจ็บนะเขกไมเนี่ย”

      “หมั่นไส้! หาเรื่องใส่ตัวตลอด”  ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่แววตาสำรวจตรวจตราทั่วร่างบางของน้อง แววตาที่สบกันเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย น้ำนิ่งยิ้มน่ารักให้เฮียคนพี่อดไม่ได้ที่จะดึงน้องเข้ามากอดแน่นปากจมูกกดจูบสูดดมหัวหอมอย่างโล่งใจ

      “ดีแล้วที่ไม่ได้เป็นอะไร”

      “เสี่ยเราหลบจากตรงนี้ก่อนดีกว่า”  อาแจ็กซ์เอ่ยเตือนเสียเบา เสี่ยพยักหน้าให้อาแจ๊กซ์เดินนำออกไปก่อน ทั้งหมดเดินลัดเลาะไปตามเงามืดของตัวอาคารจนถึงจุดซุ่ม

      “ที่นี่ไม่ปลอดภัยเดี๋ยวเฮียจะให้อาแจ็กซ์กับบอดี้การ์ดพาเราสองคนออกไปรอที่จุดนัดพบก่อน ถ้าเห็นท่าไม่ดีให้ไปก่อนได้เลยไม่ต้องรอเข้าใจนะ”  เสี่ยเซนหันไปบอกสองพี่น้องและหันไปสั่งอาแจ็กซ์เสียงเข้มจริงจังในตอนท้าย

      “เฮียไม่ไปกับเราเหรอ”  คานินถามอย่างฉงนคิ้วขมวดแน่น สีหน้าทั้งทั้งเป็นห่วงและกลัวว่าเฮียจะได้รับอันตราย ซึ่งเสี่ยเซนก็รับรู้ได้โน้มตัวไปกดจูบแผ่วเบาก่อนจะผละออก

      “ออกไปก่อน เฮียมีเรื่องจะต้องสะสางให้จบเข้าใจนะ สัญญาจะกลับไปแบบไม่บุบสลายโอเค้”

      “รับปากแล้วนะ”

      “ครับ”

      “เฮียระวังตัวด้วยนะ ดูแลภูมิให้น้ำด้วย”

      “สัญญาครับ รีบไปได้แล้ว”  เสี่ยเซนดึงตัวทั้งสองเข้ามากอดแน่นครู่เดียวก็ผละตัวออก หันไปสั่งอาแจ็กซ์เสียงจริงจัง

      “ดูแลให้ดีด้วย”

      “ครับเสี่ย” 

       ทั้งหกไม่พิรี้พิไรรีบเร้นตัวออกไปจากบริเวณนั้นหายไปกับเงามืดสลัวอย่างรวดเร็ว  เสี่ยเซนมองตามด้วยความกังวลแต่ก็ยังโล่งใจได้ระดับหนึ่งที่คนสำคัญทั้งคู่ไม่ใช่เครื่องต่อรองของฝ่ายนั้นอีกแล้ว เขามั่นใจว่าอาแจ็กซ์จะพาสองคนนั้นออกไปจนถึงจุดนัดหมายได้แน่



      “จุดสองขอรายงานสถานการณ์”

      “ตรงนั้นว่างเหรอ มีอะไรว่ามาเลย”  ภูมิรพีกรอกเสียงที่เล่นทีเจริงตอบเสี่ยเซน

      “จะเอาข่าวดี หรือข่าวร้ายก่อนวะ”

      “ยังจะเล่นนะคนเรา รู้สถานการณ์เปล่าวะเนี่ย”  คราวนี้เป็นพี่กรณ์ตอบวิทยุกลับมาแทนภูมิรพี”

      “ไม่ได้เล่น แต่จะเอาร้ายหรือดีก่อนล่ะ”

      “ดีก่อนแล้วกัน เป็นขวัญกำลังใจ”  คณิตตอบแทนภูมิรพีอีกครั้ง

       “เฮียยึดของกลางมันได้ว่ะ ตอนนี้ถูกขนไปจุดนัดรอส่งออกนอกประเทศแล้วว่ะ”

      “โอ้! ขอบคุณพระเจ้า”  ทั้งสามจุดอุทานอกมาพร้อมกัน

      “ถึงงั้นก็เถอะกลับไปนี่ต้องชำระความกันบ้างล่ะ ชอบนักหาเรื่องใส่ตัวนี่”  ภูมิรพีเอ่ยเสียงหงุดหงิดค่อนไปทางโมโหกับการเสี่ยงของสองพี่น้อง

      “นั่นเฮียก็ว่าจะจัดเหมือนกัน แมร่งไม่รักตัวเองเลย”

      “แล้วข่าวร้าย?”  พี่เอ๊กซ์ถามมาในวิทยุ

      “คือมันไม่มีตัวประกันไง”

      “รู้”  ทั้งสามจุดกระแทกเสียงหมั่นไส้มาพร้อมกันอีกครั้ง

      “แจ้งทุกจุดกระชับพื้นที่ปิดประตูตีแมวถล่มแมร่งอย่าให้เหลือ ไม่ต้องเกรงใจ”

      “รับทราบ”











TBC.


Talk : 1. อยากจะบอกว่า น้ำนิ่งก็แค่มีความมั่นใจในตัวเองสุดโต่งดื้อดึงงี่เง่าจนเกินพอดี มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราเจอคนนิสัยแบบนี้ในชีวิตจริงอยู่คนหนึ่ง มึงพูดไปเถอะ กูเชื่อของกูอย่างนี้ก็จะทำอย่างนี้ แล้วก็ทำดื้อดึงอึงอลไม่ทำตามที่เราบอกเราสอน โมโหจนสั่นแต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้  แต่บางครั้งบทมันจะเข้าใจอะไรง่ายๆ มันก็ได้นะ แต่แมร่งกูอยากกวนตีนมึงประมาณนี้ แล้วมันก็ทำหน้ากวนตีนจริงๆ นะ...

2. ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมา  และขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ  :mew1:

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.34_เดินทางไกล [3] ของกลาง P.8_1422016
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 14-02-2016 13:45:09
ดีใจที่ช่วยทั้งน้ำนิ่งและคานิน ออกมาได้อย่างปลอดภัยนะคะ
แล้วก็เด็กใหม่ที่ว่า คงเป็นเพื่อนของน้ำสินะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.34_เดินทางไกล [3] ของกลาง P.8_1422016
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 14-02-2016 20:51:46
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.34_เดินทางไกล [3] ของกลาง P.8_1422016
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 14-02-2016 22:13:14
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.34_เดินทางไกล [3] ของกลาง P.8_1422016
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 15-02-2016 09:58:21
เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
โหยยยย ลุ้นมากกกกก :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.34_เดินทางไกล [3] ของกลาง P.8_1422016
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 15-02-2016 17:07:27
ลุ้นแทบแย่ อย่างน้อยตัวประกัน2คนก็ปลอดภัย
แต่เมืองแมน กับที่เหลือน่ะส T^T
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.34_เดินทางไกล [3] ของกลาง P.8_1422016
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 15-02-2016 20:29:08
ไม่รู้จะเห็นใจบ๋อมหรือว่าอะไรดี เพราะจากการกระทำแล้วมันทำให้รู้สึกแย่  o7 o7
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.35_เดินทางไกล[4]หวังผลที่ดีที่สุดจากสิ่งที่มีอยู่ในมือ P.9_2122016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 21-02-2016 19:23:40
เด็กเลี้ยง

- 35 -

เดินทางไกล [4] : หวังผลดีที่สุดจากสิ่งที่มีอยู่ในมือ





      “จุดสองจากจุดหนึ่ง ว 1 ที่ใดเปลี่ยน”  หลังจากพาทีมมาถึงทางเข้าหมู่บ้านได้อย่างปลอดภัย ภูมิรพีเรียกตรวจสถานการณ์ความพร้อมของทุกจุดผ่านวิทยุสื่อสาร

      “จุดสองซุ่มดูสถานการณ์ห่างจากทวารยี่สิบเมตร แมวสามตัว ขอ ว 0 เปลี่ยน”

      “ว 00 คอยก่อน เตรียมความพร้อมที่จะปฏิบัติการได้ทันทีเปลี่ยน”

      “ทราบ”

      “จุดสี่จากจุดหนึ่ง ว 1 ที่ใด”

      “จุดสี่เพิ่งถึงทวาร เป้าหมาย 3 แต่ท่าทางน่าจะเป็นทหารรับจ้างมากกว่าชาวบ้านธรรมดา ขอ ว 0 ด้วยเปลี่ยน”

      “ว 00 ว 36 เตรียมพร้อมเต็มอัตราเปลี่ยน”

      “ทราบ” 

      “จุดสาม ว 1 ที่ใดแจ้งพิกัดเปลี่ยน”

      “.......”

      “จุดสาม ว 2 ว 1 เปลี่ยน”  ภูมิรพีกรอกเสียงเข้มในวิทยุอีกครั้ง แต่อีกฝั่งยังเงียบชายหนุ่มคิ้วขมวดมุ่นด้วยความกังวลที่ไร้การตอบรับจากกรณ์

      “จุดสาม ว 2 ว 1 เปลี่ยน”

      “จุดหนึ่งจากจุดสาม” พี่กรณ์ตอบกลับมาด้วยเสียงเหนื่อยหอบ “เกิดเหตุปะทะห่างจากทวารห้าเมตรเปลี่ยน”

      “ขอทราบ ว 49 เปลี่ยน”

      “เชือดกระต่ายไปสองตัวฝ่ายเราไร้รอยขีดข่วน เบิกทวารเรียบร้อย กำลัง ว 25 ที่ฐานถัดไปเปลี่ยน”

      “ทราบ ดูให้แน่ใจถ้าไม่มีแมวหลงย้ายฐานล่วงหน้าไปก่อนเลยถึงจุดนัดหมายแล้ว ว 00 เปลี่ยน”

      “จุดสอง จุดสี่ เคลียร์พื้นที่อีกสิบห้านาทีเจอกันที่ฐานสอง Go Go…”   

      ภูมิรพีสั่งปฏิบัติการทันทีเมื่อทุกจุดพร้อม  ทีมของภูมิรพีลุกคืบอย่างระแวดระวังเหลือ ระยะทางห่างจากปากทางเข้าไม่ถึงสิบเมตร ชายหนุ่มทำสัญญาณมือให้หยุดซุ่มรอดูสถานการณ์

       หน้าปากทางเข้าเป็นป้อมยามที่ปลูกสร้างด้วยไม้ไผ่หลังคามุงหญ้าแฝก บริเวณแคร่หน้าป้อมมีคนเฝ้าอยู่สามคน จากสภาพของแต่ละคนคิดว่าพวกมันคงตั้งวงก๊งเหล้ากันมานานพอสมควร เพราะหมอบกระแตไปแล้วหนึ่งคน ห่างไปเล็กน้อยยังมีอีกหนึ่งนั่งซดเหล้า ส่วนอีกคนยืนสูบบุหรี่พร้อมกับยิงกระต่ายห่างออกไปสิบก้าว 

      ภูมิรพี เด็ดขาด และบอดี้การ์ดอีกคน ทำหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่ ในขณะที่ห่างออกไป 5 เมตร คณิตและบอดี้การ์ดอีก 6 คน กระจายกำลังทำหน้าที่คอยระวังหลัง ทั้งสามรุกคืบเข้าสู่เป้าหมายจากด้านหลังป้อมอย่างรวดเร็วและเงียบกริบ เงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวภายในกระท่อม สายตาระแวดระวังกวาดมองรอบๆ บริเวณเพราะเกรงว่าจะมีการเพาะกับระเบิด จนมั่นใจว่ามีแค่สามคนที่เฝ้ายาม บอดี้การ์ดรุกเข้าไปจนชิดกระท่อมเงี่ยหูฟัง มือแหวกผนังหญ้าแห้งดูเพื่อความมั่นใจ เมื่อไม่เห็นว่ามีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ในกระท่อมจึงทำสัญญาณมือว่าปลอดภัย

      ภูมิรพีรุกเข้าชาร์จไอ้คนที่นั่งซดเหล้าอยู่บนแคร่จากด้านหลังอย่างรวดเร็ว มันดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากการจับกุม มีดสนามที่ถืออยู่ในมือถูกใช้เป็นเครื่องมือสังหารปาดฉับเข้าเส้นเลือดใหญ่ที่คอขาดเลือดไหลทะลักส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง ร่างของมันถูกปล่อยให้ทรุดลงกับพื้นอย่างไม่สนใจ มันชักกระตุกสองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป

      จังหวะนั้นไอ้คนที่นอนหลับรู้สึกตัวตื่นงัวเงีย ตามันเบิกโพลงด้วยความตกใจที่เห็นเพื่อนถูกสังหาร มือชักปืนจากเอวมาขึ้นนกกำลังจะยิงภูมิรพีจากด้านหลัง แต่ก็ช้ากว่าคณิตที่เป่าหน้าผากมันด้วยปืนออโตเมติกเก็บเสียงหงายหลังตึงตกจากแคร่วิญญาณหลุดลอยตามเพื่อนมันไปอีกคน

       ภูมิรพียกมือทำท่าวันทยหัตถ์ขอบคุณ ป้ายมีดที่เปื้อนเลือดกับเสื้อของมันก่อนจะเก็บเข้าซองที่เหน็บอยู่เข็มขัดเหมือนเดิม

       เสียงตึงตังทำให้ไอ้คนที่ยืนยิงกระต่ายหันกับมาอย่างรวดเร็ววิ่งถลาจะเข้าโรมรันภูมิรพี แต่ก็ยังช้าไปกว่าเด็ดขาดที่รอจังหวะเข้าชาร์จตัวมันจากข้างหลังแน่น มีดสนามตัดเส้นใหญ่ตรงคอหอยขาดเลือดพุ่งทะลัก ส่งวิญญาณหลุดจากร่างตามเพื่อนสองคนของมันไป ร่างไร้ชีวิตของมันถูกลากเข้าซุกหลังต้นไม้ใหญ่ ทีมซัพพอร์ทเข้าเคลียร์พื้นที่ให้สะอาดเอี่ยมอ่องราวกับเมื่อสองสามนาทีที่แล้วไม่มีการสังหารโหดที่นี่

      - เคลียร์ -

      การกระชับพื้นที่เริ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากที่การเปิดทวารเรียบร้อยทุกจุด ระยะทางจากทางเข้าถึงอาคารรอบนอกประมาณ 400 เมตรเต็มไปด้วยดงกล้วยป่าและต้นไม้อื่นๆ แซมประปราย การรุกคืบเข้าสู่พื้นที่ส่วนนี้ทุกคนต้องเพิ่มความระมัดระวังมากกว่าเดิมจะเดินสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เพราะพวกมันเพาะกับระเบิดไว้รอบค่าย

       ทั้งหมดรุกคืบต่อไปจนถึงกลุ่มอาคารชั้นนอกทุกหลังเงียบเชียบราวกับไม่มีคนอยู่ ภูมิรพีทำสัญญาณมือให้หยุดซุ่มรอดูสถานการณ์ ทีมซัพพอร์ทเข้าตรวจค้นอาคารแต่ละหลัง สามนาทีต่อมาทีมซัพพอร์ททำสัญญาณมือว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในละแวกนี้ การแทรกซึมรุกคืบดำเนินต่อไปอย่างระแวดระวัง

       สิบนาทีต่อมาทีมสามารถรุกคืบมาจนถึงหมู่อาคารชั้นสองของหมู่บ้านซึ่งตัวอาคารปลูกสร้างด้วยอิฐบล็อกถือปูน มีการวางเวรยามแน่นหนา ภูมิรพีทำสัญญามือให้หยุดซุ่มห่างจากหมู่อาคารห้าสิบเมตร ทุกคนกระจายเข้าหาที่กำบัง

      ชายหนุ่มยกกล้องทางไกลแบบตาเดียวที่สั่งทำพิเศษสามารถมองเห็นแม้ในที่มืดจับตามองไปที่หมู่อาคารชั้นสอง เขาสามารถเห็นทัศนียภาพโดยรอบได้อย่างชัดเจน ทั้งจุดสังเกตการณ์ จุดซุ่มโจมตี

      “เอ๊ะ! พวกมัน...” 

       ภูมิรพีสังเกตเห็นว่าอาคารหลังหนึ่งมียามรักษาการณ์อย่างแน่นหนา คนซุ่มยิงมีลักษณะท่าทางแตกต่างจากพวกที่เฝ้าประตูทางเข้า ผนวกกับปืนไรเฟิล G36C ที่พวกมันใช้ทำให้ดูเหมือนทหารรับจ้างมากกว่ายามทั่วๆ ไป

      “พี่ณิตดูอยู่รึเปล่า”  ภูมิรพีถามโดยไม่ได้ละสายตาออกจากกล้อง

      “ชัดเจนเลยล่ะ  ขนาดมีทหารรับจ้างได้นี่กูว่ามันไม่ธรรมดาแล้ว”  คณิตตอบทั้งที่ตากำลังเล็งผ่านกล้องเล็งกำลังขยายสูงที่ติดตั้งบนปืนไรเฟิลซุ่มยิงแบบโบลท์แอคชั่นเก็บเสียงช่วยให้เขาเห็นรอบๆ บริเวณได้อย่างชัดเจนเช่นกัน

      “ยาม 2 คนที่ประตูทางเข้าอาคาร  และสิบห้านาฬิกาอีก 2 คน ดูเหมือนจะมีอีก 4 คน รอซุ่มยิงบนหลังคา 4 แห่งฝั่งตรงข้าม เป็นไปได้ว่ามันคงเก็บของสำคัญไว้ในอาคารนี่แน่ถึงคุ้มกันซะหนาแน่นแบบนี้ เอาไงว่ะบุกเลยไหม”  คณิตกล่าวเสริม

      “เราไม่รู้จำนวนพวกมัน ข้างในนั่นจะมีอีกกี่คนก็ไม่รู้ มันเสี่ยงเกินไปที่เราจะบุกเข้าไป”  ภูมิรพีให้เหตุผลด้วยหน้าเครียดๆ

      “บึ้มแมร่งเลยไหมทีเดียวราบเป็นหน้ากอง”

      “บึ้มแน่แต่รอเคลียร์ของออกไปก่อน” 

       ภูมิรพีหันไปสบตาเด็ดขาดซึ่งฝ่ายนั้นก็พยักหน้าโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากอะไร เด็ดขาดหยิบปืนไรเฟิลที่ติดตั้งกล้องช่วยเล็งระยะกลางที่มีศูนย์เล็งเล็กๆ ติดอยู่บนกล้องสำหรับการยิงระยะใกล้ และแท่งกริปใต้ลำกล้องเพื่อลดแรงถีบ มือใหญ่ค่อยๆ ขยับเลนส์กล้องให้เหมาะกับสายตา พร้อมกับเล็งไปที่หน่วยซุ่มยิงบนหลังคา

       คณิตมองท่าทางของเด็ดขาดที่ต่างไปจากทุกครั้งราวกับภาพวาดของมัจจุราชคร่าชีวิตก็ไม่ปาน  เสียงปืนดังขึ้นเบาๆ สี่ครั้งในเวลาไม่ถึงนาที คณิตหันไปมองที่หลังคาทันได้เห็นเป้านิ่งของเด็ดขาดร่วงไม่เป็นท่า เจ้าตัวยกยิ้มเย็นพอใจกับผลงานของตัวเอง แมร่งเลือดเย็นทั้งลูกพี่ลูกน้องจริงๆ

      “สิงห์ที่เหลือกูขอนะเว้ย ไม่ได้เปรี้ยวแบบนี้มานานขอสักทีเหอะวะ”

      “ผมยกให้พี่เลยสิบห้านาฬิกา”

      “สามนาทีห้ามใช้ปืนนะโว้ยพี่”

      “นกกระจอกไม่ทันกินน้ำกูขอบอก  เดิมพันเหมือนเดิม?”

      “ขอคิดดูก่อน”

      “มั่นใจเหลือเกินนะมึง” 

       ภูมิรพีไม่ได้โต้ตอบยกยิ้มร้ายมุมปากพร้อมยักคิ้วให้  คณิตจิ๊ปากด้วยความหมั่นไส้แกมนับถือไอ้น้องนอกไส้นี่เป็นที่สุดแต่ทำอะไรมันไม่ได้ เด็ดขาดและบอดี้การ์ดอีกคนทำหน้าที่ซุ่มยิงคุ้มกัน ไม่ถึงหนึ่งนาทีทั้งคู่วิ่งหลบหลีกตามเงามืดเข้าไปจนถึงจุดซุ่มสังหารที่ใกล้เหยื่อที่สุด

      “เฮ้ย!! มึงเป็นใครวะ เข้ามะ...”

      - ปึก -

      - อั๊กกก...อึก -

      ภูมิรพีหันขวับไปมองหลังพร้อมกับมีดสั้นที่ดึงขึ้นมาจากรองเท้าบูธถูกขว้างออกไปชั่วพริบตาปักกลางหน้าผากยามที่มาใหม่แม่นราวกับจับวาง มันหงายหลังล้มตึงตาเหลือกลานชักกระตุกสองสามครั้งแล้วก็แน่นิ่งไป 

       ยามอีกคนมันคงจะได้ยินเสียงร้องของเพื่อนวิ่งตึกตักมาทางเขา ชายหนุ่มดึงมีดสนามออกจากฝักแล้วพุ่งเข้าชาร์จมัน มีดในมือจ้วงแทงที่คอหอยจนมันแน่นิ่ง เลือดค่อยๆ หยดลงที่ละน้อย เขาวางศพลง เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็ดขาดลั่นไกสังหารอีกคนที่มันเงื้อมีดสนามสุดปลายมือเตรียมสังหารเขาจากข้างหลัง กระสุนพุ่งทะลุกะโหลกพร้อมกับเศษสมองสีแดงสดบางส่วนกระเด็นถูกหน้าเขาอย่างจัง ภูมิรพีสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่ค่อยๆ แผ่วลงของมันจนดับไป 

      “แทงข้างหลังเหรอวะ ไม่แมนเลยเพื่อน”

       ชายหนุ่มกล่าวเสียงติดตลก ก่อนจะลากร่างไร้วิญญาณของมันเข้าไปหลบมุมมืดข้างอาคารสมทบกับศพแรก แล้วกลับไปลากอีกศพให้พ้นจากระยะสายตา ก่อนที่จะเลาะไปตามกำแพงไปจนถึงประตูทางเข้าซึ่งถูกคล้องด้วยกุญแจแน่นหนา กำลังจะหาทางไขประตูก็พอดีกับที่คณิตตามเข้ามาสมทบพร้อมชูพวงกุญแจในมือหรายกยิ้มอย่างผู้ชนะ

      “ก็ได้ ก็ได้ ยกนี้ให้พี่ก็แล้วกัน”

       ภูมิรพีผ่ายมือเชื้อเชิญอย่างล้อเลียน  คณิตไหวไหล่จัดการไขกุญแจอย่างรวดเร็ว มือหนาค่อยดึงแง้มประตูเปิดออกอย่างระแวดระวัง คนพี่ค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปดูตาคมกล้าสอดส่ายมองจนทั่วจนแน่ใจว่าไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ทั้งคู่แทรกตัวเข้าไปในอาคารอย่างรวดเร็ว เบื้องหน้าเต็มไปด้วยลังไม้ที่วางซ้อนกันเรียงเป็นตับเกือบตลอดแนวผนังห้อง เหลือพื้นที่ตรงกลางเป็นทางเดิน 

       ความฉงนสงสัยระบายอยู่บนใบหน้าของทั้งคู่ ภูมิรพีถลาไปยังลังใบหนึ่งที่เปิดฝาแง้มไว้ สิ่งที่อัดแน่นอยู่ในลังคืออาวุธปืน M16 และ  M4A1 ควบ M203 เขาลองใช้ชะแลงที่วางอยู่บนฝาลังไปงัดลังที่อยู่ข้างๆ กัน เป็นไปตามคาดข้างในเป็นไม่ต่างจากลังไปแรก ชายหนุ่มกระแทกเท้าใส่ลังไม้อย่างแรงด้วยความโมโห

      “เชี๊ย!!”

      “สัตว์เอ๊ย!! นี่แมร่งทั้งกัญชาอัดแท่ง ทั้ง Thai Stick (กัญชาด้ายแดง) เตรียมส่งทั้งนั้นนี่หว่า กี่ตันกันล่ะวะนี่”  หลังจากที่ใช้ชะแลงงัดฝาลังเปิดออก คณิตต้องสบถดังลั่นตะลึงกับของที่อยู่ในลัง ถ้ามันหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศนับว่าเป็นภัยอย่างใหญ่หลวง จะมีอีกกี่คนที่เป็นทาสของมัน

      “นี่ก็ไม่ต่างอาวุธสงคราม แมร่งชั่วเต็มรูปแบบจริงๆ”

      “แล้วเอาไง”

      “กลับจุดซุ่มก่อน คงจะปล่อยไม่ได้แล้วแบบนี้แมร่งบ่อนทำลายชาติ บึ้มแมร่งทีเดียวหลังจากเราจัดการแมวตัวนั้นเรียบร้อย”

      “แบบนั้นก็ดี ออกไปก่อนมันจะแห่กันมาดีกว่า”  แล้วทั้งคู่จัดการเก็บกวาดพื้นที่ให้เหมือนก่อนที่พวกเขาจะเข้ามา เสร็จแล้วจึงย่องเงียบกลับไปยังจุดซุ่มเหมือนเดิม

      “จุดหนึ่ง เจองานช้างอาวุธสงครามกับกัญชารอลำเลียงเพียบเปลี่ยน”  ภูมิรพีกรอกเสียงผ่านวิทยุสื่อสารรายงานสถานการณ์ให้จุดอื่นๆ รู้

      “จุดสามเป็นโรงนอนคนงาน แต่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่แมวสักตัวอยู่ในโรงนอนว่ะเปลี่ยน”  พี่กรณ์รายงานสถานการณ์ฝั่งตัวเองบ้าง

      “จุดสองก็เป็นโรงนอนเหมือนกันว่ะ แมวสักตัวก็.. อ๊ะ อ๊ะ! เดี๋ยวว่ะ หลังที่สามมีแมวโผล่มาแล้วตัวนึง คงมีของสำคัญสิน้าถึงมีคนเฝ้า อืมมีความน่าจะเป็นสูงมากถ้าฝั่งนั้นจะเป็นคลังอาวุธ งั้นนี้ก็จะต้องเป็นที่ซุกของกลาง ดูจากระยะทางจากตรงนี้แค่สองบล็อกก็เข้าถึงอาคารใหญ่ได้ง่ายเปลี่ยน”

      “จุดสองจากจุดหนึ่ง ตรวจให้แน่ใจนะเฮียผมไม่อยากพลาดเปลี่ยน”  ภูมิรพีกรอกเสียงตอบจริงจัง

      “ตามสั่งวะไอ้น้อง ถ้าเจออะไรจะประกาศให้ทราบโดยทั่วกันอีกครั้งของดใช้วิทยุชั่วคราวเปลี่ยน”

      “จุดหนึ่งจากจุดสี่พี่เจอตอว่ะสิงห์ แมร่งผู้หญิงเด็กรอส่งต่อสักสิบคน ขอ ว 0 เปลี่ยน” เสียงเข้มกังวลของพี่เอ็กซ์ดังมาในวิทยุขอคำสั่งสำหรับปฏิบัติการที่แน่ชัด

      “จุดสี่จากจุดหนึ่ง ขโมยชีสมันให้เงียบที่สุดเปลี่ยน”

      “จัดให้ตามนั้นเปลี่ยน”

      “จุดสี่จากจุดสาม ระวังด้วยนะเว้ย อย่าทำอะไรเกินตัวกูเป็นห่วงเปลี่ยน”  พี่กรณ์บอกคู่หูด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงจริงใจ

      “รู้แล้วน่าห่า มึงไปรอกูที่ฐานหน้าเลยไป๊เปลี่ยน”

      “จุดสามจากจุดหนึ่งเชิญย้ายไปรอที่ฐานหน้าเถอะว่ะพี่ พวกผมต้องใช้สมาธิในการขโมยของแถวนี้ก่อนเดี๋ยวจะตามไปเปลี่ยน”  ภูมิรพีสั่งเสียงทีเล่นทีจริง

      “เออ อย่าเพิ่งเล่นกันเสียงดังนะเว้ยมันจะรบกวนคนอื่นเขาเปลี่ยน”  พี่กรณ์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงเช่นกัน ซึ่งภูมิรพีก็ได้แต่หัวเราะในลำคอ

      “พูดมากน่ารีบๆ ไปไป๊รบกวนสมาธิว่ะพี่เปลี่ยน”

      “จุดสี่จากจุดสามระวังตัวด้วย เจอกันที่ฐานหน้าอย่าช้านะเว้ยเปลี่ยน”

      “เออแมร่ง สั่งจัง”  พี่เอ๊กซ์กระแทกเสียงที่ระบุแน่ชัดไม่ได้ว่าหงุดหงิด ดีใจ อุ่นใจมาในวิทยุ ภูมิรพีได้ยินก็ได้แต่ส่ายหัวกับคนทั้งคู่

      เสียงร้องรำทำเพลง เสียงพูดคุยโห่ร้องด้วยความสนุกสนามดังแว่วตามลมมาจากกลางหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง คาดเดาว่าพวกมันคงจะฉลองชัยรอรับการมาของพวกเขาเป็นแน่แท้ ภูมิรพีทำหน้าที่ซุ่มยิง ระหว่างรอให้บอดี้การ์ดจัดการวางระเบิดคลังเก็บสินค้า

      เมื่อรอดูจนแน่ใจว่ากับดักที่วางไว้เรียบร้อยไม่มีจุดบกพร่อง ชายหนุ่มนำทีมรุกคืบต่อไปจนเกือบถึงจุดรวมพลของพวกมัน เสียงดนตรี เสียงร้องรำทำเพลง รวมทั้งเสียงพูดคุยดังขึ้นกว่าเดิม มึงสนุกกันให้เต็มที่ไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวมึงเจอกูไต่ชินหยาง..ภูมิรพีฝากบอกไปกับลมเสียงแผ่วเบาระหว่างทำสัญญาณมือให้ทีมหาที่กำบังซุ่มรอดูเหตุการณ์

      “ไหนๆ ก็มาบ้านเขาแล้วจะไม่มีอะไรติดมือมาฝากเจ้าของบ้านเลยก็กระไร ให้ทุกจุดวางระเบิดรอบอาคารชั้นในโดยเฉพาะทางเข้าออกสำคัญ เสร็จแล้วรายงานผลจะได้ดำเนินการตามแผนต่อไป ยี่สิบนาทีปฏิบัติ!!”

      “รับปฏิบัติ” 

      หลังจากยี่สิบนาทีผ่านไปทุกจุดรายงานเข้ามาว่าได้วางระเบิดรอบอาคารตลอดจนทางเข้าออกที่สำคัญเรียบร้อยแล้ว ภูมิรพีจึงแจ้งแผนต่อไป

      “ทุกจุดจากจุดหนึ่ง ว 00 รหัส ‘Eye of the tiger’ เปลี่ยน”

      “รับปฏิบัติ”

       เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่เหมาะพวกมันมีจำนวนมากกว่าและกำลังหึกเฮิม ภูมิรพีจึงแจ้งรหัสหมอบเฝ้ารอเวลาให้มันเล่นจนเหนื่อยเต็มที่แล้วค่อยงับเหยื่อตอนนั้นก็ยังไม่สาย สามารถจำกัดการรบให้อยู่ในแต่พวกเราได้

       ภูมิประเทศนี้พวกมันได้เปรียบหากพวกเขาบุ่มบ่ามเข้าไปอาจทำให้เกิดการตอบโต้รุนแรงจนเกินต้านทานได้  ประเด็นสำคัญคือรอเวลาแมวพวกนั้นหลงระเริงสนุกให้เต็มที่จนอยู่ในสภาพที่ประมาทและเหนื่อยอ่อน ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี พวกมันไม่รู้ว่าโง่แค่ไหนที่เลี้ยงฉลองทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นเส้นชัย

.

.

.

.

.

.

.








- มีต่อ -

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.35_เดินทางไกล[4]หวังผลที่ดีที่สุดจากสิ่งที่มีอยู่ในมือ P.9_2122016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 21-02-2016 19:25:31

เก้าชั่วโมงก่อนหน้า

      “อืม..หอมจริง” 

       ไต่ชินหยางโน้มหน้าลงไปซุกไซร้จมูกตามซอกคอของน้ำนิ่ง มือลูบไล้จนเสื้อกล้ามร่นขึ้นมากองบนหน้าอกบาง ปากเรียวผละจากซอกคอก้มลงไล้เลียยอดอกบางอย่างหลงใหลแผ่วเบาก่อนจะผละตัวออก 

      “ดูผิวนี่สิเรียบนุ่มให้ความรู้สึกดีจริงๆ เวลาสัมผัส ฉันแทบจะอดใจไม่ได้เลยอ๊า...”  แววตาที่บ่งบอกถึงความต้องการ ท่าทางหลงใหลได้ปลื้มแบบนั้น ทำให้บ๋อมตาลุกวาบด้วยความริษยาและชิงชัง ทั้งๆ ที่เขารักคนตรงหน้าแทบบ้า แต่ไม่มีสักครั้งที่จะได้รับแววตาท่าทางแบบนั้นจากพี่โอ๋ ทำไมต้องน้ำนิ่งตลอด...

       ‘น่าเสียดายถ้าท่านนายพลชอบแบบเด็กนี้ก็ดีสิ คงจะเรียกร้องอะไรได้มากกว่านี้ แต่ว่าเด็กนี่สวยจริงๆ ถ้าจัดประมูลกับพวกเศรษฐีคงได้มากโข..’   ไต่ซินหยางพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา มือลูบไล้ไปตามโครงหน้าริมฝีปากนุ่มของน้ำนิ่งที่สลบไสลไม่รู้สึกตัวอย่างนุ่มนวล  “แต่ไม่เป็นไรฉันมีแผนสำรองสำหรับเธอนะหนุ่มน้อย”

      “ค คุณจะทำอะไร...ยะ อย่าทำ...” 

      “ทำไมฉันจะทำไม่ได้ พวกมันยังทำกับคนรักฉันก่อน” 

       คำว่าคนรักที่หลุดออกจากปากของพี่โอ๋ทำให้บ๋อมเจ็บร้าวทั้งใจ เขาพยายามแค่ไหนก็ไม่เคยมีตัวตนในสายตาของคนตรงหน้าเลย  แววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเสมองไปอีกทางข่มกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอให้มันไหลกลับลงไปสู่ก้นบึ้งของหัวใจ เป็นนานกว่าจะมีเสียงหลุดออกจากปากบ๋อม

      “ไหนคุณรับปากว่าจะไม่ทำอะไรน้ำนิ่ง”

      “ฉันพูดอย่างนั้นเหรอ เพื่อนเธอนี่มัน...แค่มองยัง...”  ไต่ชินหยางหันกลับไปมองน้ำนิ่งด้วยความรู้สึกที่หลากหลายแต่แวบหนึ่งที่บ๋อมสัมผัสได้คือความทะยานอยาก  “แต่รู้อะไรไหมตอนนี้ฉันหวังผลดีที่สุดจากสิ่งที่มีอยู่ในมือ”

       “แค่ผมไม่ได้เหรอ ผมรักคุณมากนะ คุณก็รู้ผมยอมทำทุกอย่างที่คุณต้องการได้ทั้งนั้น ให้ผมเป็นอะไรก็ได้แต่อย่ายุ่งกับน้ำนิ่ง ผมขอร้อง...ไม่รักผมก็ได้แค่ให้ผมได้อยู่ข้างๆ คุณนะ” 

       บ๋อมร้องขออย่างสิ้นศักดิ์ศรี ไม่ได้เพื่อน้ำนิ่งแต่เพื่อให้ตัวเองจะได้มีที่ยืนข้างๆ คนๆ นี้ เขารู้ดีถ้าวันใดที่ถูกเขี่ยทิ้งเขาคงไม่พ้นมีชีวิตดำมืดในซ่องที่ไหนสักแห่ง คนเรามีความเห็นแก่ตัวกันทุกคน และมักจะใช้ประโยชน์จากคนอื่นเพื่อให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ปรารถนาเสมอ

      “เธอมีสิทธิ์ร้องขอ..!??” 

       แววตาที่เต็มไปด้วยความสมเพชกับน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก ทำให้บ๋อมอับอายจนหน้าชา ริมฝีปากสั่นระริกอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก  กี่ครั้งที่ถูกพูดใส่หน้าแต่ก็ไม่เคยจำ ทำไมต้องบีบให้เขาจนตรอกต้องพูดเพื่อให้ตัวเองได้มีที่ยืน

       “คุณมันพวกวิปริต เห็นแก่ตัว ถ้าคุณจะเอาน้ำนิ่งให้ได้ คุณก็บีบให้ผมต้องทำแบบนี้เอง ผมรู้ว่าคุณทำอะไรไว้บ้างก่อนที่จะได้ขึ้นมาจนถึงจุดนี้ คุณฆ่าเจ้าสัวไต่หย่งผู่ วิ่งล๊อบบี้ให้ตัวเองได้เป็นนายใหญ่ แล้วเรื่องธุรกิจผิดกฎหมายทุกอย่างของคุณ ผมจะบอกไต่ก๋ง ถ้าผมเป็นอะไรไปก็ไม่ต้องห่วงนะแผ่นดิสก์รวมถึงหลักฐานอื่นๆ ผมส่งให้คนที่ผมไว้ใจแล้ว ผมตะ...”

      - เพี๊ย -

      “หยุด!!!” 

       ฝ่ามือแกร่งฟาดเปรี้ยงจนหน้าบ๋อมหันตามแรงเหวี่ยง เสียงตวาดก้อง คนโตกว่าปรี่เข้ามาจับแขนบีบแน่นจนกระดูกแทบแหลกคามือ แววตาเย็นชาจดจ้องราวกับจะฆ่าให้ตาย หน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยว หัวใจบ๋อมเต้นเร็วมากเหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายตามไรผมตัวสั่นด้วยความกลัว แต่ก็ยังเชิดหน้าราวกับนี่เป็นเรื่องธรรมดาที่เจอะเจออยู่ทุกวัน เกือบสิบนาทีไต่ชินหยางผลักบ๋อมออกห่างอย่างแรง คนตัวเล็กไม่ทันระวังตัวเสียหลักเกือบล้มดีว่าคว้าพนักเก้าอี้แถวนั้นได้ทัน นายใหญ่เดินอย่างหัวเสียไปสงบสติอารมณ์ริมหน้าต่าง

       “มานี่สิมา” 

       ไต่ชินหยางพยามปรับอารมณ์ความโกรธและน้ำเสียงให้นุ่มกวักมือเรียกให้บ๋อมเข้าไปหา บ๋อมขยับเดินเข้าไปหาทั้งที่ใจยังสั่นด้วยความกลัว มือแกร่งยกขึ้นเช็ดเลือดที่ซึมตรงมุมปากให้แผ่วเบา ไม่มีคำขอโทษ

       “เธอเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว...ฉันก็แค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งอาจจะหลงใหลกับความแปลกใหม่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่น้ำนิ่งก็แค่นั้นสู้เธอไม่ได้หรอกเธอก็รู้นี่หืม...”  ไต่ชินหยางยิ้มละมุนแตะริมฝีปากแผ่วเบากับปากของบ๋อมแล้วผละออกรวดเร็ว ส่งยิ้มสำทับอีกครั้ง

       “เพื่อนเธอก็เหมือนสินค้าชิ้นหนึ่งของฉัน ฉันในฐานะเจ้าของสินค้าก็ต้องลองใช้สินค้าก่อนจะอธิบายกับลูกค้าได้ว่าสินค้าของฉันดียังไง เธอเข้าใจที่ฉันพูดหรือเปล่า” 

      “ระ เหรอคุณจะไม่ชอบแบบนั้นใช่ไหม...”  ไต่ชินหยางไม่ได้เอ่ยตอบ แต่ดึงบ๋อมเข้าไปกอดแทน

      “มันก็แค่การลองใช้สินค้าเท่านั้น เธอจะคิดมากทำไม”

      บ๋อมนิ่งเงียบสีหน้าครุ่นคิดกับอกกว้าง จิตใจที่บดบัดด้วยความริษยาชิงชังทำให้รู้สึกสะใจหากน้ำนิ่งจะถูกทำให้เสียหาย อีกใจที่ใฝ่ดีน้อยนิดกลับไม่อยากให้เพื่อนโดนแบบนั้น น้ำนิ่งเป็นเพื่อนที่ดีกับเขาตลอด

      “แต่ยะ อย่าทำน้ำ...”

      “มันเป็นธุรกิจ ไม่เอาน่าฉันรู้ว่าเธอดีใจซะจนระงับไม่อยู่ถ้าเพื่อนจะโดน สายตาเธอมันฟ้องซะขนาดนั้น เอ๊ะ! แล้วจะพูดถึงคนอื่นทำไมมาสิฉันจะทำให้เธอมีความสุข”

      “ยะอย่า...ฮือ...”

       เสียงพูดแย้งของบ๋อมเงียบหายไปเมื่อไต่ชินหยางก้มลงบดริมฝีปาก ลิ้นร้อนชอนไชเข้ามาในปากจนสำเร็จ บ๋อมแลกลิ้นกับไต่ชินหยางในปากของตัวเองจนรู้สึกเสียวซ่าน ไม่มีแรงจะดิ้นขัดขืนหรือปฏิเสธอีกแล้ว ชายหนุ่มเริ่มซุกไซร้ตั้งแต่ซอกคอลงมาจนถึงยอดอก มืออีกข้างบีบหน้าอกเบา ๆ แล้วแรงขึ้นเรื่อย ๆ ปากเรียวบางขบกัดยอดอกที่แข็งชูขึ้นมารับกับลิ้นร้อนค่อนข้างแรง เสื้อผ้าถูกถอดออกจากตัวโดยที่บ๋อมไม่รู้สึกตัว

       บ๋อมครางด้วยความสุขอย่างลืมตัว เด้งหน้าอกรับลิ้นร้อนของไต่ชินหยางที่ทั้งดูดเลียขบกัดไปทั่วหน้าอกทั้งสองข้างจนพอใจ แล้วลิ้นร้อนก็เริ่มเล้าโลมลงไปที่หน้าท้องแบนเรียบ มือเรียวแกร่งของไต่ชินหยางจับตัวบ๋อมพลิกคว่ำลง ร่างแกร่งทาบทับแผ่นหลังบางซุกซบไล้เลียขบเม้มติ่งหู ลำคอ ลาดไหล่ไล่ลงไปตามสีข้าง สะโพก มาถึงช่องทางรักที่ขมิบรัวด้วยความต้องการเติมเต็ม

       อารมณ์วัวเคยค้าม้าเคยขี่ทำให้ความปรารถนาของบ๋อมถูกปลุกเร้าจนแทบระเบิด มือแกร่งยกสะโพกขึ้น แล้วใช้ปลายลิ้นร้อนสากสอดเข้าไปในช่องทางรักอย่างไม่รังเกียจ บ๋อมครางลั่นสะโพกกระตุกรับแรงปลุกเร้าด้วยความซ่าน ความต้องการปลดปล่อยกระจุกตัวที่กลางกาย

       ไต่ชินหยางผละจากช่องทางรักไม่ยอมให้บ๋อมไปถึงจุดหมาย ลิ้นร้อนเล้าโลมลงไปที่ต้นขา หน้าขา จนถึงปลายนิ้วเท้า เรียกได้ว่าไม่มีส่วนไหนของร่างกายบ๋อมที่จะรอดพ้น ร่างบางสั่นระริกด้วยความต้องการปลดปล่อยแต่ไม่ได้ปลดปล่อย ปากบางร้องขออย่างสิ้นความละอาย

      “ได้โปรด...ไม่ไหวแล้วปล่อยผมเถอะ...อึก อ๊ะอ...าว....”

      “ยังไม่ใช่ตอนนี้เด็กน้อย...”

      ไต่ชินหยางวนลิ้นเล้าโลมจากปลายเท้ากลับขึ้นมาอีกครั้ง มือแกร่งแหวกแก้มก้นจนเห็นช่องทางรักที่ไหวระริกด้วยความต้องการ  ชายหนุ่มลงลิ้นจนช่องทางเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลาย มือแกร่งล้วงหยิบยาสีขาวเม็ดเล็กสี่เม็ดจากกระเป๋าเสื้อ 

       ชายหนุ่มใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางกดดันเม็ดยาเข้าไปในช่องทางรักจนสุดโค่น ก่อนจะดึงชักนิ้วเข้าออกจนเม็ดยาถูกกระแทกชนจุดไวสัมผัสบ๋อมหลุดเสียงครางลั่น ร่อนส่ายสะโพกตามแรงกระแทกนิ้วด้วยความต้องการ  ชายหนุ่มก้มสอดลิ้นใส่เข้าไปช่องทางรักสะกิดความต้องการของบ๋อมแทบบ้า ทุกอย่างที่ผู้ชายคนนี้ปรนเปรอเขามันช่างรัญจวนใจจนคลั่ง  แล้วจะไม่ให้เขาละเมอเพ้อพกหาได้ยังไงกัน

      “โอ้ย…ซีดส์ ….ไม่ไหวแล้วช่วยผมด้วย ปล่อยผมเถอะโอว ...อา...”  ไต่ชินหยางยกยิ้มเย้ยหยันกับเสียงร้องขออย่างไร้ยางอายโดยที่บ๋อมไม่สังเกตเห็น

      “ถ้าเธอรักฉัน เธอต้องแสดงให้ฉันเห็นก่อนว่าเธอรักฉันจริง....”

      “รัก ผะ ผมรักคุณ จะให้ผมทำยังไง อ๊า...ผมสะ...เสียว”

      “หึ หึ เธอได้แสดงแน่ อดทนนิดนะค่ำนี้ฉันมีแขกพิเศษมาคุยธุรกิจ ฉันอยากจะให้เธอไปร่วมด้วย” 

      “ตะ แต่ว่า ผะ ผมไม่ไหวแล้ว...โอยอูย..” 

       ชายหนุ่มยกยิ้มเอาใจ ชะโงกตัวไปที่ลิ้นชักข้างเตียงหยิบอุปกรณ์ไข่สั่นออกมา ก่อนจะดันมันเข้าไปช่องทางร้อนของบ๋อมจนจ่มมิดเสร็จแล้วก็กดปุ่มเปิดระดับกลาง บ๋อมครางในลำคอร่างบางร้อนวูบวาบสะท้านไหวโดยเฉพาะส่วนนั้นของร่างกายที่แข็งขืนแทบแตก อยากจะได้มากกว่านี้ ตาฉ่ำเยิ้มมองอย่างอ้อนวอน มือไขว้คว้าสิ่งที่อยากจะได้ ไต่ชินหยางปัดมือเล็กพัลวันส่งเสียงดุด้วยความรำคาญ

      “อย่าซนสิ อีกเดี๋ยวเธอก็จะได้สนุกกับมันแล้ว ฉันรับรองว่าเธอจะต้องชอบจนลืมฉันไปเลยล่ะ มาเถอะท่านมาแล้ว”

        ชายหนุ่มจัดแจงสวมปอกคอพร้อมสายจูงให้บ๋อม แต่ร่างกายเปล่าเปลือยเหมือนเดิม ไต่ชินหยางเรียกยามที่เฝ้าอยู่หน้าห้องให้จัดการเอาร่างสลบไสลของน้ำนิ่งไปขังไว้ที่ห้องใต้ดินโรงนอน เสร็จแล้วจึงโอบประคองร่างระทวยจากฤทธิ์ยาของบ๋อมตรงไปลานกว้างหน้าอาคารที่พักซึ่งจัดเป็นแค้มป์ไฟต้อนรับแขกสำคัญในวันนี้

      “สวัสดีครับท่าน”  ไต่ชินหยางโค้งคำนับให้ท่านนายพลเฒ่าคู่ค้าคนสำคัญของตนด้วยความนบนอบ

      “สวัสดีคุณไต่ แล้วนี่...” 

       ท่านนายพลสูงวัยแต่ร่างกายยังบึกบึนสมชายชาติทหารส่งสายตาโลมเลียตลอดร่างที่ซบโงนเงนอยู่กับอกของเขาอย่างหื่นกระหาย ชายหนุ่มยกยิ้มพึงพอใจกับท่าทางของท่านนายพลเฒ่า อำนาจ เงินตรา ถ้ามันจะได้มาง่ายๆ แค่แลกกับอะไรที่เขามีอยู่เขาก็ยินดี เด็กนี้ก็ไม่ต่าง..มันช่วยไม่ได้เธอบีบให้ฉันทำแบบนี้เอง ฉันจะเก็บหอกไว้ข้างแคร่ให้มันทิ่มแทงฉันทำไม

      “ครับ ก็คนที่ท่านเห็นที่โรงแรมแล้วบอกอยากได้ไงครับ”

      “อ้าวเรอะ ดูท่าจะพร้อมแล้วนี่ เริ่มกันเลยไหม”

      “เชิญทางนี้เลยครับท่าน” 

       ชายหนุ่มผายมือเชิญท่านนายพลเฒ่าไปยังลานแค้มป์ไฟ ซึ่งคนของเขาได้จัดเตรียมเหล้า ยา อาหาร ทุกอย่างที่คณะของท่านนายพลเฒ่าต้องการไว้ให้อย่างพรักพร้อมไม่เว้นแม้แต่ ผู้หญิง เด็กบริการ

      “ถึงตาเธอจะต้องแสดงให้ฉันเห็นสักทีแล้วว่าเธอรักฉันจริงหรือเปล่า” 

       ชายหนุ่มกระซิบแผ่วเบาริมหูของบ๋อมให้ได้ยินกันสองคนระหว่างเดินตามหลังท่านนายพลเฒ่า ปากร้อนเม้มกัดติ่งหูเบาๆ ทำเอาบ๋อมขนลุกซู่ด้วยความต้องการที่ตีวนมากระจุกตัวที่กลางกาย

      “อ๊ะ อา...หะให้ผมทำยังไงคุณถึงจะเชื่อ”  บ๋อมเอ่ยถามแทบจะไม่เป็นคำ การขยับตัวก้าวเดินทำให้เกิดแรงเสียดทานผสานกับการสั่นของไข่ทำให้เขาซ่านเสียวจนแทบจะระเบิด

      “ทำให้ท่านนายพลพอใจ”

      “ได้สิโอ๊วว..อาวววว...”  บ๋อมครางกระเส่าแทบจะแตกสลายเมื่อชายหนุ่มกดปุ่มเพิ่มระดับความสั่นของไข่เป็นระดับสูงสุด ก็พอดีกับคณะเดินมาถึงบริเวณจัดงาน เมื่อฝ่ายแขกเข้านั่งประจำที่เรียบร้อย ชายหนุ่มโอบร่างระทวยของบ๋อมไปวางแทบจะเกยบนตักท่านนายพลเฒ่าซึ่งฝ่ายนั้นก็รับเอาทันทีไม่อิดออด

      “เชิญเลยครับท่าน

      “โอ้ พร้อมซะขนาดนี้ ฉันคงต้องขอเทสต์สินค้าก่อนก็แล้วกันนะ เรื่องอื่นเอาไว้คุยกัน”

      “เชิญตามสบายเลยครับท่าน”

      นายพลเฒ่าไม่ได้ฟังไต่ชินหยางพูดจนจบด้วยซ้ำ  หน้าตามือไม้ให้ความสนใจกับการทดลองใช้สินค้าอย่างเมามันจนเสร็จสมไปสามสี่ครั้ง ก่อนจะเรียกลูกน้องคนสนิทมาทดลองใช้บ้าง

       นายพลเฒ่าขยับตัวข้ามเบาะไปนั่งข้างพี่โอ๋ พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาด ขณะที่มือพี่เขาก็ลูบไล้ตามเนื้อตัวของไป๋ซานโดยที่ฝ่ายนั้นไม่ได้ขัดขืน สักพักนายพลเฒ่าก็แยกตัวไปร่วมกลุ่มกับบอดี้การ์ดของพี่โอ๋ๆ หันมายิ้มพร้อมยกนิ้วโป้งปากพูดโดยไม่มีเสียงว่ายอดเยี่ยม สำเร็จแล้ว บ๋อมได้แต่ทำหน้าเหยเกบอกอารมณ์ไม่ถูกเพราะกำลังถูกทำแซนวิชจากลูกน้องของนายพลเฒ่า

       การเทสต์สินค้าดำเนินต่อเนื่องมาหลายชั่วโมงไม่รู้ว่าใครเป็นใครที่เวียนมาเทสต์สินค้ามั่ง ความแปลกใหม่ที่บ๋อมไม่เคยพบเจอไม่ว่าโซ่ แส่ กุญแจมือ บางครั้งดึงรั้งสายจูงจนหน้าแหงนหงายคอแทบหัก น้ำตาเทียนนั่นก็อีกโดนแต่ละครั้งเขาร้องจนไม่มีเสียงจะร้อง น้ำตาไหลจนไม่มีจะไหลแต่นั่นก็ทำให้เขาพึงพอใจสุขสมตามแรงกระตุ้นของยาครั้งแล้วครั้งเล่า 

       การกระทำอันหนักหน่วงของแต่ละคน ทำให้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยซ้ำจากการกัดจนห้อเลือด แก้มก้นแดงเถือกจากฝ่ามือที่ฟาดลงมาไม่ยั้ง ร่างกายของเขารวดร้าวทั่วสรรพางค์กาย แต่ยังไม่เท่ากับใจที่แหลกสลายมันเจ็บจนชา...

       ภาพของพี่โอ๋ที่นัวเนียเล่นกับร่างกายของไป๋ซ่านไม่ห่างด้วยความสนิทเสน่ห์หาตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงตอนนี้ และยิ่งตอกย้ำความด้อยค่าของบ๋อมจนแทบไม่เหลือให้ภูมิใจเมื่อพี่โอ๋ออกอาการหวงไม่พอใจทุกครั้งที่มีคนเฉียดใกล้ขอร่วมวงด้วย

      ค่อนคืนแล้วเขายังไม่ได้พัก ร่างกายเหนื่อยล้าแทบจะทรงตัวไม่อยู่ แต่ความต้องการยังเอ่อล้นเหมือนไม่อิ่มในรสกามารมณ์ ฤทธิ์ยาที่ถูกยัดใส่ช่องทางเมื่อตอนเที่ยงคืนไม่ได้ทำให้เจ็บอีกแล้ว

       ร่างกายร้อนรุ่มไปด้วยความต้องการ บางคนวนเวียนเข้าหาสามสี่ครั้งเขาก็ยินดีบริการ ถ้ามันจะทำให้เขามองไม่เห็นภาพสุขสมของพี่โอ๋กับไป๋ซาน  ตอนนี้จะใครก็ได้เข้ามาเถอะจะชั้นต่ำชั่วช้าเข้ามาเถอะช่วยดับไฟปรารถนา... ดับไฟริษยาให้มอด...แล้วฝังกลบความเจ็บปวดนี้ให้มิดที...


       ‘ยังไม่ต้องการได้ยินเสียงคำปลอบใจ ในวันที่เธอได้มาทิ้งตัวฉันไป ยังจดจำเอาไว้…

       และตอนนี้ ก็ยังพยายามจะซึมซับมันเอาไว้ ยังพยายามจะหล่อเลี้ยงความเสียใจ..

       ให้เป็นอยู่อย่างนี้ เรื่อยไป...

       ‘เมื่อรักฉันต้องมืดมน เจ็บช้ำก็เพราะบางคน ชีวิตถ้าต้องทนอยู่กับความเสียใจ…

       จะซ้ำให้ยิ่งร้องไห้ อยากรู้ว่าบาดแผลมันจะเจ็บแค่ไหน…

       ยินดีให้ความรัก มันตาย ยินดีให้ชีวิตต้องพังทลาย…

       จะปล่อยให้มันเจ็บช้ำ จะปล่อยให้มันตอกย้ำ ให้น้ำตามันไหลอยู่ตลอดเวลา....

      ชีวิตที่ไม่มีหวัง จะขอลองดูสักครั้ง ที่สุดมันจะทุกข์ทนมากซักเท่าไร…

       จะอยู่กับความเสียใจ ให้ลึกลงไปถึงตาย...

       ก็ยังพยายามจะซึมซับมันต่อไป ยังพยายามจะหล่อเลี้ยงความเสียใจ ให้เจ็บขึ้นกว่านี้ เรื่อยไป…’

เสพติดความเจ็บปวด : The yers




ณ เวลาปัจจุบัน

      เวลาผ่านไปตามกาลของมัน เกือบตีสามของคืนนั้น แสงดาวส่องแสงระยิบระยับเต็มผืนกำมะหยี่สีดำสนิท ลมกลางคืนโชยพัดกระทบผิวทำให้เย็นยะเยือกเป็นครั้งคราว เสียงดนตรี แม้กระทั่งเสียงร้องรำทำเพลงเริ่มเบาบางลงบ้างแล้ว พวกมันหลายคนนอนสลบไสลเกลื่อนลานดิน กองไฟกองใหญ่ที่จุดให้ความอุ่นแก่ร่างกายเริ่มมอดแสงลงทีละนิด แต่เปลวไฟแห่งอารมณ์ดำกฤษณาของพวกมันบางกลุ่มกลับโชติช่วงไม่มอดดับง่ายๆ ขอให้มึงสนุกให้เต็มที่ก่อนตายแล้วกัน

      ภูมิรพีคลายความง่วงเหงาหลังจากถ่างตามาทั้งคืน แววปิติยินดีฉายออกมาอย่างแรงกล้าจากดวงตาคมทั้งสองข้าง หลังจากการรอมายาวนานกำลังจะสิ้นสุด

      “จุดสองขออนุญาตรายงานสถานการณ์เปลี่ยน”  น้ำเสียงเจือปนความโล่งใจของเสี่ยเซนดังมาในวิทยุขณะที่ทุกจุดปฏิบัติการจ้องจับเหยื่อเงียบๆ

      “ตรงนั้นว่างเหรอ มีอะไรว่ามาเลยเปลี่ยน”  ภูมิรพีกรอกเสียงที่เล่นทีเจริงตอบเสี่ยเซน

      “จะเอาข่าวดี หรือข่าวร้ายก่อนวะเปลี่ยน”

      “จุดสองจากจุดสามขอเสือกใช่เวลาเล่นเหรอวะเฮีย รู้สถานการณ์เปล่าวะเนี่ยเปลี่ยน”  คราวนี้เป็นพี่กรณ์ตอบวิทยุกลับมาแทนภูมิรพี”

      “ไม่รู้ล่ะ แต่จะเอาร้ายหรือดีก่อนล่ะบอกมาก่อนเร็ว!”  เสี่ยเซนยังเล่นกลับมาไม่ได้ยี่หระกับเสียงจิกกัดของกรณ์แต่อย่างใด
 
      “เฮียแมร่งเล่นเป็นเด็กไม่ดูอายุ...เผื่อร้ายมันจะทำให้ขวัญกระเจิงเอาดีก่อนแล้วกันเปลี่ยน”  คณิตเล่นกับเสี่ยเซนบ่นทีเล่นทีจริง ก่อนจะตัดสินใจแทนภูมิรพี

       “เฮียยึดของกลางมันได้ว่ะ ตอนนี้ถูกขนออกนอกประเทศแล้วเปลี่ยน”

      “แล้วแน่ใจได้ไงว่าถึงจุดนัดส่งของอย่างปลอดภัย”  ภูมิรพีถามอย่างกังวล

      “ไม่ต้องห่วงแพคอย่างดี อีกสิบนาทีฮอฯ ถึงจุดหมายปลายทางเปลี่ยน”

      “โอ้!! ขอบคุณพระเจ้า”  ทั้งสามจุดอุทานอกมาพร้อมกัน

      “แต่กลับไปนี่ต้องชำระความกันบ้างล่ะ ชอบนักหาเรื่องใส่ตัวนี่”  ภูมิรพีเอ่ยเสียงหงุดหงิดค่อนไปทางโมโหกับการเสี่ยงของสองพี่น้อง

      “เฮียก็ว่าจะจัดเหมือนกัน แมร่งไม่รักตัวเองเลย”

      “แล้วข่าวร้าย?”  พี่เอ๊กซ์ถามมาในวิทยุ

      “คือมันไม่มีตัวประกันแล้วไงเปลี่ยน”

      “รู้”  ทั้งสามจุดกระแทกเสียงหมั่นไส้มาพร้อมกันอีกครั้ง

      “แจ้งทุกจุดกระชับพื้นที่ปิดประตูตีแมวถล่มแมร่งอย่าให้เหลือ ไม่ต้องเกรงใจเปลี่ยน”  ภูมิรพีสั่งเสียงแข็งกร้าว

      “จุดหนึ่งจากจุดสอง ขอแผนที่ชัดเจนเปลี่ยน”  เสี่ยเซนถามถึงแผนเพื่อจะได้ปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน

       “เราจะใช้ยุทธวิธีการรบแบบแบ่งเป็น 2 ชุดหลัก และ 1 ชุดย่อย  ชุกแรกเป็นชุดสนับสนุน ให้จุดที่ 2 กับ 4 รับหน้าที่ ส่วนชุดโจมตีเป็นจุดที่ 1 กับ 3  ชุดสนับสนุนให้วางตัวตามแนวรอบอาคารชั้นในโอบรอบจุดที่พวกมันรวมตัวกัน คอยระดมยิงกดหัวพวกมันไว้  ส่วนชุดโจมตีให้เบี่ยงแนวยิงไปทางซ้าย เคลื่อนที่ตามแนวอาคารชั้นในแล้ววางตัวตรงปีกขวาของศัตรู จากนั้นให้ชุดสนับสนุนเข้าโจมตีปีกซ้าย โดยให้ชุดแรกที่วางตัวอยู่แล้วทำหน้าที่สนับสนุน  ให้ทุกจุดจัดบอดี้การ์ด 2 คน เป็นหน่วยระวังหลัง หนึ่งชั่วโมงจากนี้ใช้ให้คุ้มค่า เอาล่ะถ้าเข้าใจแล้ว ไปได้! Go Go!!...”










TBC.

ปล.

1. มนุษย์นั้นเข้าใจยากยิ่งนัก มุ่งหวังที่จะควบคุมสิ่งที่ยุ่งยาก หากไม่สมหวังก็มักเจ็บปวด...

2. ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมา และขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.35_เดินทางไกล[4]หวังผลที่ดีที่สุดจากสิ่งที่มีอยู่ในมือ P.9_2122016
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-02-2016 22:14:22
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.35_เดินทางไกล[4]หวังผลที่ดีที่สุดจากสิ่งที่มีอยู่ในมือ P.9_2122016
เริ่มหัวข้อโดย: LovEYouOnLy ที่ 22-02-2016 02:20:39
 :call: o13ทางที่ดี อย่าให้ใครเป็นอะไรอีกเลย
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.35_เดินทางไกล[4]หวังผลที่ดีที่สุดจากสิ่งที่มีอยู่ในมือ P.9_2122016
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 10-03-2016 13:04:39
หายไปไหนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
ฮืออออออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.35_เดินทางไกล[4]หวังผลที่ดีที่สุดจากสิ่งที่มีอยู่ในมือ P.9_2122016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 10-03-2016 17:30:07
หายไปไหนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
ฮืออออออออออออออออออ



ขอโทษจริงๆ ค่ะ ไม่ได้หายไปไหนช่วงนี้งานราชการรุ่มเร้าเยอะจริงๆ กระดิกตัวไปทำงานอย่างอื่นไม่ได้เลย
เขียนได้นิดหน่อยมากๆ ถ้าจะเอามาลงก็กลัวจะเสียอารมณ์ (ด้วยนิสัยเราไม่ชอบแบบที่ลงทีละเล็กทีละน้อยน่ะนะ)
คาดการณ์ได้ว่าอาทิตย์หน้างานคงจะเบาบางลง จะสามารถเคลียร์นิยายายได้ค่ะ ขอโทษอีกครั้งที่ล่าช้า :mew2:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.36_ผมเป็นต้นหญ้าที่ทนทาน ตัดยังไงก็ขึน P.9_2432016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 24-03-2016 23:03:37
เด็กเลี้ยง


36

ผมเป็นต้นหญ้าที่ทนทาน ตัดยังไงก็ขึ้น




      อีกประมาณร้อยเมตรจะเป็นทางลาดชันลงไปสู่ลานกลางหมู่บ้านที่พวกมันจัดงาน ภูมิรพีทำสัญญาณมือให้ทุกคนหาที่กำบังซุ่มสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ต่างคนต่างนิ่งและเงียบอยู่อย่างนั้นเกือบสิบนาที

       เมื่อไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดผิดปกติภูมิรพีเรียกทีมซักซ้อมความเข้าใจกันอีกครั้ง ชายหนุ่มเปิดเครื่องจีพีเอสดูพิกัดของหมู่บ้านและอธิบายผังหมู่บ้านบริเวณที่จะเข้าโจมตีให้ทุกคนเข้าใจครั้ง

      “พวกเราจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนของพี่ณิตกับบอดี้การ์ดอีกสี่คนออกทางซ้าย ผมกับเด็ดขาดและบอดี้การ์ดอีกคนจะออกขวา ค่อยตีโอบล้อมเข้าไป หากการปะทะนั้นสู้ไม่ได้ให้เล็ดลอดกลับมาที่นี่ เพื่อรวมกำลังกันแก้ไขสถานการณ์โอเคไหม”

       ทั้งหมดพยักเข้าใจ ภูมิรพีสั่งให้ซุกซ่อนอุปกรณ์ทุกชนิดที่ไม่จำเป็นในการปะทะไว้อย่างมิดชิดเพื่อความคล่องตัวในการเคลื่อนที่ แล้วก็แยกย้ายกันไปตามจุดรับผิดชอบ ชายหนุ่มก้าวขาทีละก้าวๆ อย่างใจเย็นและเงียบเบาที่สุด บ่อยครั้งที่กลุ่มต้องหยุดชะงัก มองซ้ายมองขวาเมื่อสงสัยต่อสิ่งผิดปกติ

       ภายในหมู่บ้านดูสงบเพราะพวกมันมัวหลงระเริงอยู่กับงานเลี้ยง แต่ใช่ว่าจะไว้ใจได้ เพราะผืนน้ำที่ดูสงบเบื้องบนมักซ่อนคลื่นลมไว้ข้างใต้เสมอ ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบริเวณที่พวกมันชุมนุมกันอยู่

      เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงเมื่อตอนหัวค่ำเริ่มมอดดับไปทีละน้อย แสงริบหรี่ส่องกระทบร่างพวกมันหลายสิบคนที่สลบไสลจากฤทธิ์ยาและสุราจนกลายเป็นเงาตะคุ่มรอบกองไฟ

       สถานะที่เปลี่ยนไปจากถูกไล่ต้อนกลับกลายเป็นนักล่ารอขย้ำเหยื่อ ภูมิรพีเหยียดยิ้มกับสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า แววตาคมดุฉายประกายจ้าในมุมมืด สภาพพื้นที่เหมือนแอ่งกระทะแม้จะทำให้พวกเขาได้เปรียบ แต่ก็ต้องปักหลักนิ่งรอโอกาสและช่องทาง การต่อสู้ใดหากเข้าถึงตัวได้แบบนี้แม้อาวุธจะด้อยประสิทธิภาพก็มีโอกาสชนะได้ หากใช้เป็นและใจเย็นพอ

      “จากจุดหนึ่งขอแจงภารกิจที่ต้องทำ ทีม 1 จุดตั้งแค้มป์ไฟ  ทีม 2 ห้องยาม  ทีม 3 ห้องวิทยุ  และทีม 4 จัดการยามทั้งหมด ยึดพาหนะพร้อมทำลายทิ้ง ขอทุกจุดขานภารกิจอีกครั้งเปลี่ยน”

      “จุดหนึ่งจากจุดสอง จัดการห้องยาม เปลี่ยน”

      “จุดหนึ่งจากจุดสาม จัดการห้องวิทยุเปลี่ยน”

      “จุดหนึ่งจากจุดสี่ จัดการยามทั้งหมด ยึดพาหนะพร้อมทำลายทิ้งเปลี่ยน”

      “เริ่มปฏิบัติการปิดประตูตีแมว เปลี่ยน”  สิ้นเสียงวิทยุทุกจุดลุกคืบไปปฏิบัติทำตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย



      “มันแปลกเกินไป...ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยแฮะ” ภูมิรพีพูดขึ้นไม่ได้มีท่าทีร้อนรน พวกเขาหยุดซุ่มที่บ้านหลังหนึ่ง ตาคมหรี่มองไปยังลานกลางหมู่บ้านเขม็ง ก่อนจะเลยมาที่บ้านฝั่งตรงข้ามซึ่งมีทหารรับจ้างสังเกตการณ์อยู่บนหลังคา

      “ใช่ผมก็ว่ามันแปลก”  เด็ดขาดเอ่ยตอบทั้งที่สายตายังมองเขม็งที่รอบกองไฟ

      “นายคุ้มกันให้ด้วย” 

       ภูมิรพีสั่ง ก่อนจะเร้นตัวตามเงามืดไปตามผนังกำแพงค่อยๆ ก้าวจนถึงบ้านฝั่งตรงข้ามลอบเข้าไปทางหน้าต่าง ย่องเงียบกริบตามขั้นบันไดไปจนถึงชั้นบน ไอ้ทหารรับจ้างนั้นมันไม่ได้สนใจระแวดระวังด้วยซ้ำ สายตาของมันมองเขม็งลงไปยังกลางลานข้างล่าง ส่วนมือชักรูดท่อนลำที่ตั้งชันของตัวเองรัวเร็ว เสียงครางต่ำในลำคออย่างคนที่กำลังจะพานพบความสุข

      เขาอาศัยจังหวะที่มันแหงนเงยครางลั่นด้วยความสุขสม พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว แทงเข้าที่ขาซ้ายให้มันล้มลงแล้วงัดมีดออกจ้วงแทงเข้าไปที่ใต้คางจนมันแน่นิ่ง เลือดค่อยๆ หยดลงทีละน้อย ภูมิรพีวางศพลง เดินก้มไปยังกำแพงที่ทำจากสังกะสีสูงประมาณเอวสำหรับเป็นที่กำบัง เพ่งมองสังเกตการณ์หมู่บ้านโดยรอบ

      แม้จะเลยค่อนคืนมาเป็นนานแต่พวกมันกลุ่มใหญ่ตรงกลางลานข้างล่างก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยยังหลงระเริงอยู่ในวังวนของยาและเซ็กส์จากเรือนร่างเล็กเพื่อนของน้ำนิ่ง และชายหญิงวัยรุ่นอีกสองคนอย่างมัวเมาไม่ลืมหูลืมตาไม่มีทีท่ารับรู้ถึงการมาเยือนของมัจจุราช

      ภูมิรพีหันหลังกลับวิ่งลงบันไดอย่างรวดเร็ว กระโดดผลุงออกทางหน้าต่างอย่างเงียบๆ กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามเงามืดลัดเลาะไปตามกำแพงจนถึงบ้านหลังหนึ่งซึ่งห่างจากหลังแรกเกือบหกเมตร แต่ห่างจากลานกลางสามเมตร หน้าต่างไม้ถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ ชายหนุ่มโดดผลุงเข้าไปพร้อมกับปืนสั้นติดตั้งกระบอกเก็บเสียงเรียบร้อย มันเป็นห้องแคบๆ เหมือนห้องเก็บของหรืออะไรสักอย่าง

      เขาก้าวออกมาจากห้องนั้นอย่างเงียบกริบที่สุด หันมองซ้ายขวาบริเวณโถงทางเดิน ตกแต่งสวยงามต่างจากสภาพภายนอกลิบลับ ตามผนังติดไฟประดับสวยงาม สองข้างแบ่งเป็นห้องฝั่งละสามห้อง เร็วเท่าความคิดเขารีบสาวเท้าไปยังประตูแต่ละห้องสายตาสอดส่องเข้าไปภายในอย่างละเอียด ภายในห้องเหมือนห้องพักตามโรงแรมระดับสามดาวที่เห็นทั่วไปนี่คงจะเป็นอาคารรับรองแขก

      ถ้านี่คือศูนย์บัญชาการของไต่ซินหยางการคุ้มกันมันก็ดูจะหละหลวมเกินไป?? สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่มันรบกวนจิตใจเขา ทุกอย่างมันดูจะง่ายเกินไป ภูมิรพีเดินอย่างระแวดระวังมาจนถึงโถงกลางแล้วต้องเบี่ยงตัวหลบเข้าบังซอกตู้โชว์อย่างอย่างรวดเร็ว ชายแต่งชุดทหารคนหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าท่าทางเมามายคนหนึ่งเดินผ่านไปยังประตูออกไปข้างนอก

       เขานิ่งรอจนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติจึงก้าวออกจากที่ซ่อน เดินอย่างเงียบกริบไปชะโงกดูบนโซฟาราคาแพงกลางห้องโถงมันคนหนึ่งอยู่ในสภาพเมามายและเหนื่อยอ่อนกึ่งหลับกึ่งตื่น โต๊ะหน้าโซฟามีขวดเหล้าที่มีน้ำสีอำพันเหลือติดก้นขวดเล็กน้อย ควันและกลิ่นฉุนแรงของบุหรี่สอดไส้ลอยเอื่อยปนเปไปกับอากาศภายในห้อง พวกมันมันคงหนีเวรมาทำเรื่องแบบนี้กันภูมิรพีแสยะยิ้มอย่างสมเพช


      “ควายมึงกลับมาไมอีก เดี๋ยวพ่อมึง...เอ้ย!!?” 

       มันโงหัวขึ้นจากพนักโซฟา ตาปรือปรอยอย่างคนเมาร้องถามด้วยน้ำเสียงพร่าเลือน เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ มันลืมตาขึ้นก่อนตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ภูมิรพีไม่เปิดโอกาสให้มันหลุดเสียงร้องจากปาก รุกประชิดแทงมีดเข้าไปที่ท้ายทอยของมัน ทะลุเข้าไปสู่ไขสันหลังและก้านสมอง หยุดการทำงานของชีวิตโดยสมบูรณ์แบบ ก่อนจะดึงมันออกอย่างรุนแรง เลือดสาดกระเซ็นเป็นเส้นตรงตามแนวมีดไหลหยดเปื้อนพรมราคาแพง แล้วใช้อีกมือผลักร่างไร้วิญญาณลงพื้นอย่างไม่แยแส กราดตาจับทุกรายละเอียดทั่วบริเวณห้องโถงที่ตกแต่งสวยงามนั่นอย่างไม่วางใจ

      “พี่ณิตฟังอยู่รึเปล่า....ที่นี่มันเป็นเรือนรับรองไม่มีอะไรเลยวะพี่ หรือว่าที่เกลื่อนลานนั่นคือทั้งหมดของมัน??”

      “ก็ดีแล้วนี่ จะได้ถล่มแม่งทีเดียวตายยกรัง”

      “ผมไม่คิดว่ามันจะง่ายอย่างนั้น มันดูง่ายเกินไปวะพี่!!?.....เหี้ย !!!!!! มันเป็นกับดัก!!!!

      “สิงห์ห์ห์ห์ห์ห์ห์!!!!!”  เสียงพี่ณิตตะโกนจนแก้วหูแทบแตกออกมาจากวิทยุ เขาวิ่งออกจากโถงกลางก่อนจะกระโจนเข้าหลบอย่างรวดเร็ว  “บัดซบเอ๊ย!!! ออกมาจากที่นั่นเดี๋ยวนี้!!!”


      “วี๊ดดดด.....บึ้มมมมมมมมม!!!....”

      เสียงระเบิดดังสนั่นแข่งกับเสียงตะโกนของคณิต หลังจากทุกสรรพเสียงเงียบลง ภูมิรพีผงกหัวขึ้นสะบัดอย่างมึนงง ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษเล็กเศษน้อยจากปูน หิน ไม้ แก้ว ที่ปลิวว่อนในชั้นบรรยากาศ เอี้ยวตัวกลับมามองโถงกลางซึ่งมีสภาพเละเป็นโจ๊ก

       เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆ รู้สึกเจ็บแปลบที่ต้นขาด้านใน ซึ่งถูกเศษเหล็กลูกกรงยาวประมาณเกือบฟุตหนาประมาณครึ่งนิ้วกระแทกเข้าเต็มเหนี่ยว ปลายสองด้านทะลุออกมาให้เห็น ตามรอยขาดวิ่นของเสื้อผ้าปรากฏรอยไหม้สองสามแห่งไม่ใหญ่นัก และเพิ่งจะตระหนักว่าตัวเองหัวแตกเพราะเลือดที่ไหลหยดเป็นทางจนกลบตา

       มือแกร่งยกปาดเช็ดเลือดออกจากตา พยุงตัวลุกขึ้นยืนความเจ็บแผ่ซ่านไปทั่วทั้งขาจนชา เขากัดฟันแน่นยืนนิ่งอย่างนั้นจนสติเริ่มค่อยๆ กลับมา คว้าปืนสั้นที่ตกอยู่ใกล้กันมาเหน็บเองกางเกงด้านหลัง อีกมือกระชับปืนไรเฟิลแน่น เดินเขยกกึ่งวิ่งออกมาทางเดิมอย่างรวดเร็ว เสียงปืนดึงหนึ่งนัดและดังขึ้นเรื่อยๆ ตามหลังมาอย่างกระชั้นชิด

      “ปัง..ปัง...ปัง...ปัง...ปัง”

      “เวรเอ๊ย!!!” 

       มัจจุราชลูกเล็กๆ ลูกหนึ่งเจาะทะลุไหล่ซ้ายเขาอย่างจัง ถ้าพวกมันหวังให้เขาหยุดการเคลื่อนไหว มันทำสำเร็จแต่ก็เพียงชั่วครู่ มือแกร่งกุมบาดแผลบนไหล่แน่นจนเลือดไหลซึมตามง่ามนิ้วมือเป็นทาง กัดฟันแน่นพยุงตัวกระโดดผลุงออกทางหน้าต่างวิ่งหลบหลีกไปตามเงามืดอย่างรวดเร็ว ทหารรับจ้างเกือบครึ่งร้อยคนวิ่งไล่กวดตามมาพร้อมสาดกระสุน M4A1 ตามหลังเขาราวกับห่าฝน

…………………………



      “สิงห์!!!....นั่นมันเหี้ยอะไรวะ”

       “เฮีย!!!..เวรแล้ว” 

       คณิตและเด็ดขาดร้องขึ้นพร้อมกันอย่างตกใจเมื่อเห็นสภาพของภูมิรพี เลือดไหลทะลักเป็นทางจากบาดแผล คณิตรีบวิ่งมาประคองเข้าหลบในที่กำบัง มือแหวกผมตรงหน้าผากจนเผยให้เห็นแผลที่ใหญ่และลึกพอสมควร  มือหยิบเศษไม้และแก้วเล็กๆ ที่ปักคาบาดแผลออกให้อย่างเบามือ เด็ดขาดถลาเข้ามาตรวจดูบาดแผลอีกคนด้วยความห่วงใย

      “ฮะ เฮีย...เอาออกก่อนไหม”  เด็ดขาดจ้องเหล็กที่ขา เขามองตาม แล้วโบกมือห้าม

      “เอาไว้ก่อน ตอนนี้มันชาไม่เจ็บเท่าไร  จัดการพวกมันก่อนเถอะ...” 

       สภาพสาหัสสากรรจ์ของภูมิรพีทำให้เด็ดขาดละล้าละลังแทบทำอะไรไม่ถูกห่วงเจ้านายที่มีเหล็กเสียบคาอยู่ ไหนจะแผลกระสุนตรงไหล่อีก นี่ยังไม่รวมแผลเล็กแผลน้อยจากสะเก็ดระเบิดทั่วตัว เจ้าตัวบอกไม่เจ็บก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า

       “มึงไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น กูสตรอง...ไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า”  ภูมิรพีพูดราวกับไม่ยี่หระกับมัน

      “ครั้งหน้าเฮียคิดว่าจะโชคดีหยิบขี้โดยไม่เลอะมือได้อีกเหรอวะ ไม่ต้องกระโจนลงมาแสดงเองก็ได้เปล่าวะ” 

      สีหน้าภูมิรพีนิ่งสนิทจนอ่านไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มทำเพียงยกมือขึ้นตบไหล่แกร่งของเด็ดขาดเบาๆ เขาเข้าใจดีว่าเด็ดขาดเป็นห่วงเขา แต่เขาไม่ต้องการจะให้คนของเขาโดนฆ่าเหมือนเมืองแมน

      “ผมหมายความตามนั่นจริงๆ นะ ถ้าเกิดเฮียเป็นอะไรไปน้องจะอยู่ยังไงเคยคิดถึงจุดนี้บ้างรึเปล่า” 

       แรงบีบที่ไหล่เป็นดั่งคำสัญญาที่เด็ดขาดรู้สึกถึงมัน จึงได้แต่ถอนหายใจยาวยอมแพ้ต่อการตัดสินใจของภูมิรพี ยอมผละจากภูมิรพีหันกลับไปยิงตอบโต้พวกมันระบายอารมณ์ แค่คิดว่าถ้าคนที่ถูกแรงระเบิดฉีกร่างเป็นภูมิรพีใจเขายังวูบโหวงขนาดนี้ แล้วน้องล่ะ....!? 

      “ขอร้องวะ! นั่งนิ่งก็ไม่มีใครว่าเอาเปรียบ ไม่เห็นแก่พวกกูก็เห็นแก่น้องมันบ้าง” ภูมิรพีขยับตัวจะเข้าไปช่วยแต่ถูกคณิตกดตัวไว้จึงยอมให้นั่งลงตามเดิม

      “ปัง..ปัง...ปัง...ปัง...ปัง”

       เสียงกระสุนที่ยิงโต้ตอบกันถากผนังปูนที่พวกเขาหลบอยู่เศษปูน ฝุ่นดินปลิวว่อนกระเด็นมากระทบให้รู้สึก เหงื่อกาฬเม็ดเล็กผุดพรายเต็มหน้าผากและไรผมของภูมิรพีจนเปียกชื้น สันกรามบดแน่นเพื่อบรรเทาอาการปวดแผล แต่ภูมิรพีไม่สนใจกลับเปลี่ยนกระสุนอันใหม่อย่างใจเย็น

       “ปัง..ปัง...ปัง...ปัง...ปัง”

      HK33 จากมือเด็ดขาดและบอดี้การ์ดอีกคนปล่อยกระสุนออกไปอย่างแม่นยำ กลุ่มควันพวยพุ่งจากปากกระบอกปืนพร้อมกับมัจจุราชลูกเล็กๆ สอยพวกมันร่วงราวกับใบไม้ที่ถูกลมพัดกรรโชกแรงปลิวหลุดจากขั้วลงสู่พื้นอย่างไร้ความหมาย คาดคะเนจากสายตาน่าจะเกือบสามสิบคน แต่ความไวตามแบบอย่างทหารที่ฝึกมาอย่างดีทำให้พวกมันหลายคนรอดไปได้อย่างหวุดหวิด

      “แมร่ง!! ไอ้ห่าไม่น่าเลย...รอดไปได้เกือบสิบ”  เด็ดขาดสบถอย่างไม่สบอารมณ์นัก

      “พวกที่ออกลาดตระเวนรายงานเข้ามาว่า มันทิ้งชีสไว้ในบ้านเกือบทุกหลังรอบบริเวณนี้ ล่อให้เราไปกินเสร็จแล้วก็บึ้ม  กูว่ามันไม่ได้ต้องการแค่เศษไม้ใบหญ้าแต่ที่มันต้องการคือรากของต้นไม้..”  คณิตบอกด้วยน้ำเสียงกังวล

      “ผมเห็นด้วยกับเฮียณิตนะ ดูจากเมื่อกี้พอเกิดบึ้มแค่นั้นแหละพวกแมร่งแห่มาจากไหนก็ไม่รู้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เงียบยังกับเป่าสาก” เด็ดขาดสำทับมาอีกคน มือกำลังสาละวนกับการใส่กระสุนปืน

      “มันแปลกๆ ตั้งแต่เข้าไปในบ้านนั่นเหมือนกัน ที่สำคัญมันรู้ตัวแบบนี้ก็เล่นยากแล้วว่ะพี่ แต่ดีที่มันไม่มีของกลางแล้ว”

      ไม่มีเสียงตอบโต้จากทั้งคู่ พวกเขาซุ่มเงียบเพราะมั่นใจในที่กำบัง เปลวไฟจากลำกล้องที่พวกมันยิงออกมา ทำให้พอจะจับจุดได้ว่าพวกมันก็ต้องมีที่กำบังที่ดีเช่นกัน ความใจเย็นเท่านั้นที่พวกเขามีตอนนี้



      “ปัง..ปัง...ปัง...ปัง...ปัง”

      ความอดทนของพวกมันสิ้นสุดลงหลังจากเวลาผ่านไปได้แค่สิบนาที ห่ากระสุดตกลงจุดที่พวกเขากำบังอีกครั้ง

      “อย่ายิง....!!”  คณิตสั่งห้ามเมื่อเห็นว่าเด็ดขาดและบอดี้การ์ดกำลังจะยกปืนขึ้นยิงตอบโต้  “เราต้องกลับไปจุดนัดเดี๋ยวนี้เฮียมึงกำลังไม่ไหวแล้วต้องได้มอร์ฟีนระงับปวดก่อนค่อยกลับมาถล่มมันก็ยังทัน” 

       คณิตคงสังเกตอาการของเขาได้จึงสั่งห้ามเสียงเข้ม ใช่บาดแผลกำลังเริ่มปวดตุบๆ จนเขาต้องกัดฟันแน่นข่มความเจ็บ แผลถูกยิงเลือดยังไหลไม่หยุด สมองมึนงงขาวโพลนจากการเสียเลือดมาก

      “เฮียอดทนไว้ขอ 1 นาที”

      “เออ!! มีห่าเหวอะไรก็จัดไปกูทน...”  ภูมิรพีเค้นเสียงตอบด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการเสียเลือดไปมาก หน้าเผือดขาวใจหวิวสติแทบจะดับวูบ



      “หวี๊ดด...บึ้มมมมม....”

       เสียงหวีดร้องของจรวดลูกหนึ่งที่พุ่งแหวกอากาศใส่บ้านที่พวกเขาใช้กำบังอย่างจัง เศษเล็กเศษน้อยของตัวบ้านปลิวว่อนจากแรงระเบิด  ดีที่คณิตและเด็ดขาดไหวตัวทันเข้าประคองตัวภูมิรพีวิ่งออกจากบ้านหลังเข้าหลบที่หลุมบังเกอร์ห่างออกมาเกือบสองสามเมตรชั่วเสี้ยวนาทีก่อนที่ระเบิดลูกนั้นจะปะทะตัวบ้าน การขยับตัวอย่างรวดเร็วทำให้เขาปวดแผลจนสติแทบวูบ

      “โอ้....เวรแล้ว!!”  คณิตสบท  “พวกมันมาเสริมกำลังเยอะเกินไป เราต้องออกไปจากที่นี่กันแล้วไป ไป..”

       เด็ดขาดไม่รอให้สั่งซ้ำ ถอดสลักระเบิดควัน 2 ลูก โยนลงไปตรงกลางทาง ควันสีเทาปะทุออกมาเยอะพอที่จะบดบังทัศนียภาพ เขาพยักหน้าให้คณิตประคองภูมิรพีวิ่งออกไปก่อน ส่วนตัวเองก็ดึงระเบิดสังหารออกจากอกเสื้อ ถอนสลักแล้วขว้างออกไปสุดแรงเกิดตรงจุดที่พวกมันซ่อนอยู่

      “บึ้มมมมมมม...”

      เสียงระเบิดช่วยกลบเสียงการเคลื่อนตัวของพวกเขาได้เป็นอย่างดี กว่าทุกอย่างจะสงบลงก็ช่วยให้พวกเขาห่างออกมาไกลโข ไม่มีการหยุดยั้งเพื่อการใดๆ อีก


       ทั้งหมดออกวิ่งอย่างรวดเร็วจนถึงที่ตั้ง คณิตพยุงให้ภูมิรพีนั่งพิงผนังกำแพง ผละไปยังจุดที่ซ่อนเป้ของตัวเองไว้ ล้วงเอาล่วมยาขนาดพกพาออกมา จัดการฉีดมอร์ฟีนระงับปวด ทำแผลเล็กแผลน้อยแผลถูกยิงให้ภูมิรพีอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายเหลือแผลถูกเหล็กเสียบ คณิตเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าให้ดึงออกเลยหรือไม่ เพราะตอนนี้มอร์ฟีนยังไม่ออกฤทธิ์ ในความคิดของคณิตถ้าดึงออกเลยมันคงเจ็บพิลึก

       ภูมิรพีพยักหน้ารับ คณิตส่ายหน้ายอมใจคนตรงหน้าจริงๆ เมื่อห้ามไม่ได้จึงยื่นด้ามมีดให้ภูมิรพีกัดไว้ บอดี้การ์ดสองคนขยับตัวเข้ามายึดแขนทั้งสองข้างไว้แน่นกันดิ้น ภูมิรพีเกร็งตัวรับความเจ็บปวด

      “เอา” 

       คณิตเงยหน้าถาม เขาขบฟันลงบนด้ามมีดแน่นและพยักหน้ารับ คณิตจับเหล็กชิ้นยาวนั้นอย่างเบามือ ขยับสองสามครั้งให้หลวมลื่นจากเนื้อ ภูมิรพีรู้สึกเหมือนมีเหล็กแหลมสักพันเล่มทิ่มแทงขาเขา

      “เอาล่ะ...” 

       คณิตจ้องตาสีแปลกเขม็ง ปากพูด แต่มือเอื้อมไปจับเหล็กไว้มั่นออกแรงดึงอย่างแรงทีเดียวเหล็กนั้นก็หลุดออกมา ความเจ็บปวดอย่างมหันต์ระเบิดตูมจนหูตาพร่างพราย เห็นทุกอย่างขาวเว่อไปหมดจนแทบสิ้นสติ

      “อั๊กกกก...” 

       เลือดสีแดงฉานพุ่งทะลักจากบาดแผลไหลนองไปตามพื้น คณิตเทน้ำจากกระติกน้ำชะล้างสิ่งสกปรกที่อาจตกค้างในบาดแผลจนสะอาด ใช้ผ้าก็อชกดปากแผลไว้แน่นจนเลือดหยุดไหล จึงใช้ยาระงับปวดและยาปฏิชีวนะป้องกันแผลติดเชื้อและบาดทะยัก เสร็จแล้วจึงใช้ผ้าพันแผลให้อย่างแน่นหนา ภูมิรพีนั่งนิ่งๆ รอให้ยาออกฤทธิ์จะได้ไปจบเกมส์กันซะที

      “จุดหนึ่งจากจุดสอง”

      “........”

      “จากจุดสองเปลี่ยน...ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหม......”

      “………..”

      “พระเจ้า!! มึงอย่าเงียบสิวะ!!....  สิงห์!!?..ไอ้น้องเชี๊ย เฮียห่วงมึงนะโว้ย!!...”

      “ใจเย็น ๆ โอเคอยู่แล้วน่า” 

       เพราะฤทธิ์ยาที่ฉีดทำให้ตอนนี้ภูมิรพีไม่เจ็บแผลแล้ว เขาพยายามปรับลมหายใจให้ปกติ ก่อนจะตอบคำถามเซนด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับเมื่อสิบนาทีที่แล้วไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย ทั้งคณิตและเด็ดขาดเบ้ปากหันมองไอ้คนปากแข็งที่บอกว่าตัวเองโอเคอย่างหมั่นไส้ ภูมิรพีมองตอบทั้งคู่เขม็งให้เก็บปากเก็บคำซะ เด็ดขาดฮึดฮัดก่อนจะหันกลับไปดูต้นทางต่อ

      “โอเคก็ดี”

      “มันตลบหลังเรา” 

      “กูว่าแล้ว!! มันแปลกศูนย์บัญชาการนะโว๊ยแต่แมร่งไม่มีหมาสักตัวเฝ้า มันดูง่ายเกินไปที่ให้พวกเราผ่านเข้ามาแบบสะดวกโยธิน แถมห้องยามยังปล่อยโล่งไม่มีเหี้ยไรเลย เราต้องลุยมันแล้วว่ะ” 

       ความเครียดบนใบหน้าของภูมิรพีทำเอาแต่ละคนเข้าหน้าไม่สนิท  ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยอะไรออกไปด้วยซ้ำ  ไฟฟ้าก็สว่างพรึบขึ้นทั่วบริเวณ ทั้งหมดหันสบตากันโดยไม่ได้นัดหมายด้วยความฉงนสนเท่ห์


      / Game Over / 

       เสียงของไต่ซินหยางจากเครื่องกระจายเสียงตามจุดต่างๆ ดังก้องทั่วหมู่บ้าน เป็นเครื่องยืนยันว่ามันรู้แล้วว่าเขาไม่เล่นตามเกมส์

      / พวกนายตุกติกไม่เล่นตามเกมส์ที่ฉันกำหนด ช่างรนหาที่แท้ๆ จะให้ทำยังไงดีน้ากับของกลาง.../ น้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นต่อของไต่ซินหยางดังสำทับมาอีกครั้ง น้องยังไม่ถึงบ้าน...!?

      “เฮียใครไปส่งน้อง รายงานกลับมารึยัง ถึงไหนกันแล้ว”  ภูมิรพีวิทยุหาเซนทันทีด้วยอารมณ์ที่หลายหลาก วอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้นั่นเป็นแค่คำขู่...


      “อาแจ๊กซ์!!...เวรเอ๊ย!! เฮียติดต่อใครไม่ได้เลย ที่บ้านก็ยังไม่มีใครกลับไป” 

       ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำเซนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนยิ่งกว่า ทุกทางมืดบอดและไร้ความหวังเมื่อไม่สามารถติดต่อใครได้แม้แต่คานิน ภูมิรพีนิ่งงันอยู่อย่างนั้นเป็นนาน ใจวูบไหวอ้อนวอนต่ออะไรก็ตามอย่าให้ที่เขาคิดเป็นความจริงเลย


      / คงคิดว่าฉันขู่สินะ…!!? จะให้ฟังเสียงสักนิดก็แล้วกัน /

      / ภ ภูมิหนูไม่เป็นอะไร… /

      / เฮียไม่ต้องห่วงผม /


      “บัดซบ!! พวกมันได้ตัวน้อง” 

       ภูมิรพีสบถเสียงเข้ม ดวงตาสีแปลกสีเข้มเกือบแดงราวกับท้องฟ้ายามมีพายุใหญ่กำลังพัดปั่นป่วน เด็ดขาดและบอดี้การ์ดซึ่งอยู่ใกล้ถึงกับหยุดหายใจเป็นพักๆ

      / อย่างที่พวกแกคิดนั่นแหละ ของกลางอยู่กันฉัน ออกมาสิ ออกมาคุยกันแล้วเล่นเกมส์นี้ให้จบในแบบของเรา ห้านาทีที่ลานกลาง ถ้าช้าฉันระเบิดหัวไอ้เด็กสองคนนี้แน่ อ๊ะ! อ๊ะ!..ไม่ดีกว่า แบบนั้นมันเสียของแย่สิวะ ฉันว่าเอาประมูลน่าจะเหมาะดีว่ะ..วิน-วิน ห้านาทีอย่าช้า..../

      “เวรเอ๊ย!!....จุดสี่จากจุดหนึ่งโอเครึเปล่า”  สันกรามแกร่งบดแน่น สายตามคมกร้าว มือกำวิทยุในมือแน่น ก่อนจะวิทยุถึงพี่เอ็กซ์

      “จุดหนึ่งจากจุดสี่ ข้ามชายแดนมาแล้ว ยังโอเคพร้อมชีสสิบก้อนในกระเป๋า อีกครึ่งชั่วโมงถึงบ้าน ทางนั้นเป็นไง”

      “ดีแล้ว มันฉกของกลางคืนไปได้”

      “ได้ไง…!!?”

      “ยังไม่รู้อะไรเลย มันนัดเจอที่ลานกลางหมู่บ้าน แค่นี้นะพี่ ปลอดภัยจนกว่าจะถึงบ้าน”

      “ทางนั้นก็เหมือนกัน”

       “เฮีย พี่กรณ์ แผนยังเหมือนเดิม แต่ละทีมแบ่งเป็นสองชุด ชุดหลักไปเจอกันที่นัดพบ ชุดสนับสนุนให้ซุ่มรอดูเหตุการณ์และระวังหลังกระจายตามโซนที่ตัวเองรับผิดชอบ ถ้าพวกมันยึกยักจัดการได้เลยไม่ต้องสนใจเข้าใจตรงกันนะ เอาล่ะเจอกันที่ลานกลางหนึ่งนาที....”  ภูมิรพีวิทยุบอกแผนกับอีกสองคน

      “พี่ณิตกับบอดี้การ์ดทั้งหมดกระจายกำลังคอยระวังหลัง ผมจะไปกับเด็ดขาดเอง เอาล่ะไปจบเรื่องนี้กัน”  ภูมิรพีหันไปแจกแจงหน้าที่ก่อนจะพยักหน้ากับเด็ดขาดให้ไปกับตนเอง

      “สิงห์!!”  ภูมิรพีเอี้ยวตัวกลับมาตามเสียงเรียกที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจของคณิต เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม 

       “มึงไม่จำเป็น...”

      “ไม่ผมต้องจบมัน ”  สายตาคมกล้าที่สบกันทำให้คณิตถอนหายใจยาวยอมแพ้ สีหน้ายังไม่คลายกังวล

      “ก็ได้ว่ะ จำคำกูไว้ว่าคนแมร่งหลอกกันเองได้ จะมึงหรือกูก็ไม่มีทางรู้ว่าคนอย่างมันทำอะไรได้บ้าง เพราะยังงั้นจะทำอะไรมึงคิดให้ดีเพราะไม่รู้ว่าใครมีอะไรในใจ”  คณิตถอนใจยาว สีหน้ายังไม่คลายกังวล

       ภูมิรพีขยับปากเหมือนจะพูดอะไรแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้หลุดคำใดออกมา มีเพียงแววตาสีแปลกที่ทอประกายกร้าวและมุ่งมั่นสบกันเพียงครู่  ก่อนจะหันหลังเร่งฝีเท้าไปยังลานกลางตามนัด ความห่วงใยของพวกพี่มันทำไมภูมิรพีจะไม่รับรู้แต่ถ้าหากจะมีอะไรเกิดขึ้น เป็นเขายังจะดีกว่าให้คนอื่นๆ มารับแทน

...................................


      อีกห้าเมตรก่อนถึงจุดนัดสองเฮีย เข้มแข็ง และบอดี้การ์ดอีกห้าคนซุ่มรออยู่แล้ว ภูมิรพีเข้าไปสมทบอย่างเงียบเชียบ  เฮียทั้งสองหันกลับมามอง ก่อนจะนิ่งงันเมื่อเห็นสภาพของภูมิรพีชัดเจน

      “นี่มึง....”  ทั้งคู่หลุดคำได้เท่านั้นจริง แล้วต้องหุบปากลง

      “เออ!! แค่นี้ยังใกล้หัวใจ เฮียไม่รู้เหรอผมมันต้นหญ้าที่ทนทาน ตัดยังไงก็ขึ้นอยู่ดี...” 

      ภูมิรพีพูดตัดบทที่เล่นทีจริงขัดกับแววตาสีแปลกทอประกายกร้าวบอกให้รู้ว่าอย่าตอแยให้มากความชีวิตน้องสำคัญกว่า  เขาก้าวเดินนำหน้าไปหลายก้าวก่อนจะหันมาถามทั้งคู่ที่ยังยืนเฉย 

       “จะไม่ไป?” 





TBC.

ปล. มาต่อแล้วนะค่ะ ขอโทษที่หายไปอันเนื่องจากงานรัดตัวเลยหายไปซะนาน  ขอบคุณที่ยังติดตามกันเสมอมา...
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.36_ผมเป็นต้นหญ้าที่ทนทาน ตัดยังไงก็ขึน P.9_2432016
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-03-2016 22:29:38
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.36_ผมเป็นต้นหญ้าที่ทนทาน ตัดยังไงก็ขึน P.9_2432016
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 26-03-2016 14:36:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.36_ผมเป็นต้นหญ้าที่ทนทาน ตัดยังไงก็ขึน P.9_2432016
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 26-03-2016 22:30:04
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.36_ผมเป็นต้นหญ้าที่ทนทาน ตัดยังไงก็ขึน P.9_2432016
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 01-04-2016 04:11:59
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.36_ผมเป็นต้นหญ้าที่ทนทาน ตัดยังไงก็ขึน P.9_2432016
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 01-04-2016 12:18:50
โหยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

คลาดเดาอะไรไม่ได้จิงๆ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.36_ผมเป็นต้นหญ้าที่ทนทาน ตัดยังไงก็ขึน P.9_2432016
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 01-04-2016 13:50:16
อ้าว...น้องโดนจับกลับไปได้ยังไง แล้วคนคุ้มกันไปไหน
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.37_ความประมาท P.9_1042016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 10-04-2016 18:47:37
- 37 -



แค่คิดชีวิตเปลี่ยน





      พระเจ้า!! ทำไมเพิ่งจะรู้สึกตัว ทำไมเพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงปล่อยให้เข้ามาได้ง่ายๆ เพราะนี่มันคือ 'กับดัก' ไต่ชินหยางมันไม่ได้แค่จะล่ากระต่าย แต่มันจะล่าสัตว์ตัวอื่นที่เป็นเพื่อนของเจ้ากระต่ายนั้นด้วย ระยำเอ๊ย!!

       สี่ชั่วโมงที่ผ่านมาเราทั้งวิ่งทั้งเดินโดยไม่ได้หยุดพัก สองหนุ่มมีสีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดเหมือนอาการของคนที่สูดอากาศเข้าไปไม่ถึงปอด การก้าวย่างเชื่องช้าลงเรื่อยๆ จะล้มมิล้มแหล่แต่ก็กัดฟันทนไม่ปริปากบ่น อาแจ็กซ์อยากจะหาที่หลบซ่อนให้ทั้งคู่ได้หยุดพักหลายครั้ง แต่ก็ต้องละทิ้งความคิดนั้นทุกครั้งมันอันตรายเกินกว่าที่จะทำอย่างนั้น

       เราหลบหลีกและเลี่ยงการปะทะซึ่งหน้ากับหน่วยลาดตระเวนของพวกมันได้หลายครั้งตลอดระยะทางเกือบหกสิบกิโลเมตรตั้งแต่ออกมาจากหมู่บ้านมา ไต่ชินหยางรู้แล้วว่าของกลางถูกฉก และหน่วยติดอาวุธที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงยังกับมดปลวกถูกส่งให้มาตามเอาของคืน

      อาแจ๊กซ์ชะงักนิ่งไปชั่วขณะกับเสียงนกกระแตแต้แว้ดที่ร้องก้องป่าสอดผสานเสียงกระพือปีกพรึบพรับราวกับตกใจของนกป่าชนิดอื่นดังมาเป็นทอดๆ ให้ตายเถอะ!! ไอ้นกบ้านั่นไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในป่ารกทึบแถบนี้…!??

       ชายหนุ่มมองผ่านเลนส์แว่นอินฟาเรดตรวจจับคลื่นความร้อนทั่วบริเวณอย่างระแวดระวังแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไรที่บ่งบอกว่าเป็นสัญญาณอันตราย จึงทำมือให้ทุกคนเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีก เหลือระยะทางอีกสามสิบกิโลเมตรโดยประมาณจะถึงจุดนัดหมาย แต่ใครจะคิดว่าคล้อยหลังแค่ไม่กี่นาที....

      “วิ่ง  วิ่งงงงงง.....!!?

      ‘ปัง!!   ปัง!!   ปัง!!   ปัง!!!  ปัง!!!’   

      ‘บึ้ม!!   บึ้ม!!   บึ้ม!!!!!’
   

      เสียงปืนรัวกระหน่ำถากผิวเปลือกไม้กระจายปลิวว่อนในอากาศ แรงระเบิดจากอาร์พีจีเจาะทะลวงกลางลำตันไม้ขนาดไม่ใหญ่หักโค่นระเนระนาด อาแจ็กซ์พุ่งถลารวบตัวสองหนุ่มล้มกระแทกพื้นหินขรุขระค่อนข้างแรง มัจจุราชที่พวกมันสาดกระหน่ำพุ่งทะยานเหนือร่างทั้งสามอย่างเฉียดฉิว ทั้งหมดกลิ้งไถลตกจากไหล่ทางลงไปตามความลาดชันจนถึงพื้นดินริมตลิ่ง มือแกร่งกดร่างสองหนุ่มนอนราบไปกับพื้นจนแน่ใจว่าพ้นจากวิถีกระสุน ก่อนที่ตัวเองจะคลานกลับขึ้นไปเกือบชิดขอบไหล่ทางอีกครั้ง แล้วแทบระงับโทสะไม่อยู่เมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของสามบอดี้การ์ดล้มคว่ำหน้าห่างไปเล็กน้อย

      “พี่จะไม่ให้พวกนายต้องตายฟรีแน่!!”

       ชายหนุ่มเอ่ยคำสัญญาหนักแน่น ตาคมหรี่มองฝ่าความมืดผ่านแว่นอินฟาเรดพวกมันเกือบครึ่งร้อยดักซุ่มยิงห่างออกไปราวสิบเมตร มือแกร่งยก HK33 ขึ้นประทับเล็งก่อนจะลั่นไกยิงฝ่าความมืดเอาคืนที่มันส่องคนของเขาไปสามคน


      ‘ซี๊ด!!’

      น้ำนิ่งครางแผ่วเบาในลำคอเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บร้าวที่กำลังเต้นตุบๆ ทั่วทั้งหน้าผาก คิดว่าคงกระแทกกับแง่หินแหลมหรืออะไรสักอย่างตอนล้ม มือบางยกขึ้นเช็ดความอุ่นชื้นที่ซึมจากแผลอย่างไม่ยี่หระนี่ไม่ใช่เวลามาห่วงแผลเล็กแผลน้อยนั่น สถานการณ์ตรงหน้าต่างหากน่าห่วง จะฝ่าวงล้อมของพวกมันยังไงไม่ให้ถูกจับได้ ถ้าประมาทแม้เพียงนิดความตายมีสิทธิ์วิ่งมาถามไถ่พวกเขาถึงที่แน่

      “เวรเอ๊ย!?”  อาแจ๊กซ์สบถเสียงต่ำด้วยโทสะยังกรุ่นในอารมณ์ ไถลตัวลงมานั่งข้างสองหนุ่มมือปลดสลักใส่กระสุนชุดใหม่เข้าไปแทน แล้วคลานกลับขึ้นไปชิดขอบไหล่ทาง ยก HK33 ยิงตอบโต้พวกมันอีกครั้ง
 
      “ให้ตายเถอะ!! พวกมันมีทั้งอาวุธหนักและคนที่มากกว่าเราคงต้านไม่ไหว”  ไม่ถึงห้านาทีก็ไถลตัวกลับลงมาอีกครั้งในมือยังกำกระบอกปืนไว้แน่น ทั้งสามมองสบตากันเงียบงัน

       “คงสงสัยสินะว่ามีทางหนีรึเปล่า...” 

       พี่ชายใหญ่เอ่ยถามเรียบนิ่ง ตาคมหรี่ลงก่อนจะเสมองกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวเบื้องหน้านิ่ง สุดท้ายแล้วก็จนด้วยคำตอบ เวลาที่ผ่านไปแต่ละวินาทีราวกับชั่วกัลป์พี่คนโตสุดยกมือขึ้นตบลงเบาๆ ที่ไหล่ของน้ำนิ่ง

      “ไม่เป็นไร พวกเราจะไม่เป็นไร เราต้องผ่านมันไปได้”  คำมั่นสัญญาจากปากคนอายุมากสุดไม่ได้แค่ให้กำลังใจน้องเท่านั้นตัวเขาเองก็ด้วย 

      “แล้วแผนคือ??”  คานินเอ่ยถามหน้าสีหน้าร้อนรนคาดหวัง

      “ไม่มีแผน แค่ต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ข้อเสนอของพี่ตอนนี้คือ พี่จะยิงคุ้มกัน นับสามเราสองคนรีบฉากหลบออกไปจากที่นี่ทันที เลียบแม่น้ำนี่ไปอีกสักประมาณสามสิบกิโลเมตรจะถึงจุดนัด อย่าวิ่งบนถนนหรือทางโล่งเด็ดขาดถ้าไม่อยากเป็นเป้าให้พวกมันสอย ทำได้รึเปล่า?”

      “เป็นข้อเสนอแย่ๆ ที่ไม่รับได้...”  คานินเอ่ยแย้ง แต่อาแจ็กซ์กลับส่ายหน้าไม่ยอมให้ปฏิเสธ

      “นี่อาจจะไม่ใช้ทางออกที่ดีที่สุด เปอร์เซ็นต์ที่เราจะออกไปจากที่นี่แม้จะแค่ 0.01 แต่พี่กลับคิดว่ามันดีกว่าไม่ทำอะไรเลยเข้าใจใช่ไหม”

      สิ่งที่อาแจ็กซ์เสนอมันยากเกินกว่าที่จะปฏิบัติตามได้ วันสองวันที่ผ่านมาพวกเราเผชิญอะไรด้วยกันมาหลายอย่าง การหลอกลวง ทรยศหักหลัง สูญเสียทั้งความเชื่อใจ เพื่อน และคนสำคัญที่ไม่มีวันกลับ จึงอดคิดไม่ได้ว่ายังมีอะไรที่เลวร้ายกว่านี้อีกไหม โอกาสในการเริ่มต้นใหม่ โอกาสในการแก้ไขความผิดพลาดยังหลงเหลืออยู่รึเปล่า..!!?  แค่คิดจิตใจกลับรู้สึกวูบโหวงเศร้าสลดจน...มันแย่..แย่มากจริงๆ…ไม่ไหวแล้ว....

      “ไม่!!  ไม่เอา...ข้อเสนออะไรเห็นแก่ตัวที่สุด น้ำไม่ไหวแล้ว... ไม่เอาแล้ว..เราจะไม่ทิ้งใครไว้ที่นี่ จะไม่ใครอยู่ที่นี่ทั้งนั้น พี่เป็นครอบครัวของเรา และเราทั้งหมดต้องไปด้วยกันแบบนั้นใช่ไหมครับพี่คานิน ทำได้รึเปล่า รับปากสิครับ...นะครับไปด้วยกัน” 

       น้ำนิ่งทัดทานกลับด้วยเสียงเด็ดเดี่ยวเอาแต่ใจ แต่ถึงกระนั้นพี่ชายทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงอาการสั่นไหวและความกลัวในน้ำเสียงนั้น มือบางสั่นระริกเอื้อมมาบีบกระชับแขนอาแจ็กซ์แน่น ขบกัดริมฝีปากจนห้อเลือดนิ่งรอคำตอบอย่างกดดันและคาดหวัง

      สถานการณ์และโอกาสไม่เอื้ออำนวยให้อาแจ็กซ์ทำอะไรได้มากนัก กระสุนที่เหลืออยู่ไม่พอจัดการพวกมันได้ทั้งหมดจึงควรสงวนไว้ใช้เฉพาะสถานการณ์วิกฤติ ถ้าใช้ระเบิดน่าจะจัดการพวกมันได้หมดแถมต่อเวลาให้น้องหลุดพ้นจากการไล่ล่าของพวกมันได้ไกลไข คานินและน้ำนิ่งใช้ปืนเป็น รู้จักวิธีการต่อสู้พอตัว แถมเล่ห์เหลี่ยมค่อนข้างแพรวพราวพอกัน ถ้าสติไม่กระเจิดกระเจิงอย่างตอนนี้เขามั่นใจว่าสองคนนี่สามารถเอาตัวรอดได้แน่

       ชายหนุ่มเสหน้ากลับมาปะทะเข้ากับสายตาวิงวอนและสีหน้าเจ็บปวดของน้องอย่างจัง ใจของเขาอ่อนยวบลงอย่างไร้เหตุผล บีบบังคับให้เขาต้องตัดสินใจ สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจยาวและพยักหน้ารับอย่างจำยอม

       น้ำนิ่งยิ้มกว้างหากหัวใจดวงน้อยกลับเต้นระทึก หวังให้ผ่านสถานการณ์เดิมพันชีวิตครั้งนี้ไปได้ด้วยดี ชายหนุ่มล้วงระเบิดลูกเล็กสีเงินขนาดเท่ากับลูกปิงปองถูกออกจากเป้วางลงพื้นข้างตัว เหวี่ยงเป้สะพายใส่หลัง คว้า HK33 ขึ้นสะพายไหล่จัดทุกอย่างให้เรียบร้อยกระชับตัว

       มือแกร่งเอื้อมคว้าระเบิดขึ้นมากำมั่นคลานกลับขึ้นไปชิดไหล่ทางอีกครั้ง หันมาพยักหน้าเป็นสัญญาณก่อนจะดึงถอดสลักออกแล้วขว้างฝ่าความมืดไปตกยังทิศทางที่พวกมันซุ่มอยู่ ร่างสูงใหญ่รีบไถลตัวลงมาอย่างรวดเร็วกางแขนโอบสองพี่น้องเข้าอ้อมกอดเบี่ยงตัวบังสะเก็ดระเบิดที่อาจกระเด็นมาถึงตรงนี้

      ‘บึ้มมมมม..’

       หลังจากทุกอย่างเงียบสงบลง อาแจ๊กซ์ขยับตัวลุกขึ้น ยกมือให้สองหนุ่มรอข้างล่าง ส่วนตัวเองคลานกลับขึ้นไปจนชิดขอบไหล่ทางอีกครั้ง สภาพที่เห็นผ่านเลนซ์แว่นตาอินฟาเรดคือความหายนะวงกว้างราวกับปรมาณูขนาดมินิ ยอดเยี่ยมสมคำโฆษณาชวนเชื่อจริงๆ ไม่มีคลื่นความร้อนจากร่างกายพวกมันหลงเหลืออยู่...


      “เฮ้ย!! พี่ชะ...น้ำ!!” 

       อาแจ๊กซ์หันขวับตามเสียงอุทานของคานิน และฉงนยิ่งขึ้นกับสีหน้าตกใจของคนพี่ มองเลยมายังอีกคนที่ยังนอนหงายอยู่แล้วต้องเบิกตากว้าง แสงสลัวทำให้พอมองเห็นเลือดที่เริ่มไหลเป็นทางลงมาจากหน้าผากซ้าย สีหน้าซีดเผือดมึนงง น้องถูกสะเก็ดระเบิด...!???

       ชายหนุ่มไถลกลับลงมาอย่างรวดเร็ว หยิบไฟฉายกระบอกเล็กออกมาจากเป้ ขยับตัวเข้าไปใกล้น้ำนิ่ง ยื่นกระบอกไฟฉายให้คานินส่องไปที่บริเวณแผล เขาเอื้อมมือจับพลิกหน้าเล็กกลับมาเปิดผมตรงหน้าผากขึ้น แผลลักษณะถูกเฉือนปาดจากหินคมใหญ่พอสมควร ลึกจนหนังเปิดอ้าบางส่วนย่นเห็นกะโหลกขาวๆ เลือดยังไหลไม่หยุด  มีเศษหินดินเล็กๆ ติดอยู่ คงจะถูกบาดตอนล้มกระแทกให้หลบกระสุน  แต่แผลกว้างขนาดนี้คงต้องเย็บ...

      เขาพาน้องเลี่ยงออกนอกเส้นทางมาไกลโข สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นทำให้ต้องยกเลิกฮอฯ ที่จะมารับฉับพลัน เปลี่ยนจุดนัดและเวลาใหม่ นั่นหมายความเราต้องเดินเท้ากันอีกหลายกิโลเมตรให้ถึงจุดนัดภายในเวลาที่กำหนดใหม่  แต่จากสภาพตอนนี้น้องไปต่อไม่ไหวแน่...

       “บัดซบเอ๊ย!! ไอ้งั่งอาแจ็กซ์!!

       ชายหนุ่มสบถในลำคอขรมอยากจะชกหน้าตัวเองด้วยความโมโห  มันเป็นความสะเพร่าที่น่าอดสูทำไมเขาต้องทิ้งกล่องปฐมพยาบาลไว้กับเฮอร์เซล...เวรกรรมจริง!!!  ร่างสูงใหญ่มองหน้าซีดเผือดของน้องนิ่งก่อนตัดสินใจทำบางอย่างที่พอจะทำได้

      อาแจ็กซ์จับหน้าน้องตะแคงรินน้ำจากกระติกซะล้างเศษหินและดินออกจากบาดแผลดูจนแน่ใจว่าสะอาดไม่มีเศษสิ่งสกปรกหลงเหลืออยู่ ระหว่างนั้นก็ใช้มือเกลี่ยหนังที่ย่นให้เรียบอย่างแผ่วเบา บาดแผลปิดไม่สนิทเพราะชิ้นหนังบางส่วนฉีกขาดหลุดหายไป

       อาการกัดฟันแน่น เกร็งตัวทุกครั้งที่มือเขาปาดเกลี่ยหนังย่นๆ นั้นให้เรียบ สีหน้าอ่อนล้าเบลอๆ กับเหงื่อเม็ดเล็กที่ชื้นตามไรผม เขารู้ว่าเจ้าตัวเจ็บจนชาแต่ก็ไม่ได้ปริปากร้องออกมา คานินใช้มือข้างที่ว่างดึงมือเล็กที่เกร็งจิกหน้าขาผ่านเนื้อผ้ามากุมไว้แน่น  อาแจ็กซ์เทน้ำสะอาดซะล้างแผลซ้ำอีกครั้ง ฉีกชายเสื้อยืดตัวเองกดปิดปากแผลไว้

      “เด็กน้อยของพี่กดนี่ไว้นะ”

      “คานินมาช่วยพี่พยุงน้องเข้าไปซ่อนตรงโพรงไม้นั่นก่อนไป”  คานินมองตามปากบุ้ยใบ้ของอาแจ็กซ์ห่างไปสี่ห้าก้าว ต้นไม้ขนาดใหญ่สองต้นยืนต้นตระหง่านริมไหล่ทาง รากส่วนที่ยื่นลงไปในแม่น้ำถูกน้ำเซาะจนเป็นโพรงพอให้สองคนเข้าไปหลบซ่อนตัวได้สบาย

      “อย่าออกมาจนกว่าพี่จะกลับมา ทำได้ใช่ไหม”

      “แล้วพี่จะไปไหน!?” 

      “ดูแลน้องให้ดีเดี๋ยวพี่กลับมา” 

       อาแจ็กซ์ปลดปืนออโตเมติกจากซองที่เหน็บเอวส่งให้คานินถือไว้ สั่งกำชับเสียงเข้มก่อนจะผละออกไปอย่างรวดเร็ว


........................................





      เสียงเครื่องยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อบดตามถนนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สองสามนาทีต่อมารถคันนั้นก็จอดนิ่งแต่ไม่ดับเครื่องยนต์ พวกมันกระโดดลงจากรถกระจายตัวเข้าตรวจสอบความเสียหายและร่องรอยของกลาง ฟังจากเสียงเท้าที่กระทบพื้นคาดว่าน่าจะมีสักเจ็ดหรือแปดคนเป็นอย่างต่ำ

      “สัตว์เอ๊ย!! เล่นซะเละเป็นโจ๊ก”  มันคนหนึ่งคาดว่าจะเป็นตัวท๊อปสบถกร้าว เสียงนั่นฟังคุ้นหูแต่เสียงวิ่งเสียงตะโกนโหวกเหวกของพวกมันหลายคนทำให้ไม่แน่ใจ


      “คนของพวกมันตายสาม แต่ไม่มีของที่นายอยากได้”

      “กระจายกำลังค้นหาให้ทั่ว คงยังหนีไปได้ไม่ไกล” 

       “มันคงอยู่รอให้จับหรอก”

      “หุบปากเน่าๆ ของมึงซะ แล้วค้นให้ทั่วซะ”


      เสียงฝีเท้ามันคนหนึ่งตรงมายังต้นไม้ที่ทั้งคู่ซ่อนตัวอยู่ คานินขยับตัวอย่างแผ่วเบาเบียดชิดน้องมากขึ้น มือข้างหนึ่งยกปืนขึ้นเตรียมพร้อมยิง ดันตัวน้องให้ขยับเข้าไปชิดข้างในมากขึ้น ยกมือขึ้นแตะปากทำสัญญาณให้เงียบ มันก้าวลงมายืนบนรากไม้ขนาดใหญ่พอสมควรยื่นยาวเข้าไปในแม่น้ำเหมือนเป็นสะพาน แต่ที่ระทึกใจมากกว่าอะไรทั้งหมดคือมันยืนห่างแค่หนึ่งช่วงแขน น้ำนิ่งอธิฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่าให้พวกมันเห็นเรา

      ไฟฉายที่อยู่ในมือของมันถูกส่องกราดไปทั่วบริเวณ แล้วสุดท้ายก็สาดวูบมาบริเวณที่ทั้งคู่ซ่อนตัวอยู่  มันพยายามจ้องเขม็งผ่านช่องว่างระหว่างรากไม้ น้ำนิ่งยกมือขึ้นปิดปากแน่นกลั้นลมหายใจโดยอัตโนมัติ ราวกับว่าเสียงหายใจแผ่วเบานั้นจะทำให้พวกมันรับรู้ว่ามีเราอยู่ที่นี่ 

       คานินก็ไม่แพ้กันเขาแทบจะหยุดหายใจมือกุมกระชับมือน้องแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว  เหงื่อกาฬผุดพรายทั่วขมับจนเปียกชุ่มตามไร้ผมและแผ่นหลัง  ความกลัวแผ่กระจายอยู่รอบตัว และเพิ่งตระหนักว่าการยกพวกตีกันสมัยอยู่มหาวิทยาลัยมันดูงี่เง่ามากเมื่อเทียบกับสถานการณ์ตอนนี้


      - แกร๊ก -

      ปัง!!  ปัง!!

……………………………………….




      เสียงปืนสองนัดดังแว่วจากบริเวณที่น้องอยู่ ทำให้อาแจ๊กซ์นิ่งชะงักงันเกือบห้านาที ใจเต้นระทึกฉุดรั้งให้คิดว่าเสียงนั้นอาจปิดชีวิตของสองหนุ่มชั่วกาล  ยิ่งทำให้ร้อนรนเร่งฝีเท้าทั้งวิ่งทั้งเดินให้เร็วขึ้น เขาพลาดอีกแล้วใช่ไหม...? ทำไมต้องทิ้งน้องไว้ที่นั่น...?

      ‘ระยำเอ๊ย!!’ 

       เสียงสบถลั่นในหัว ทั้งโมโห ทั้งก่นด่าและตำหนิตัวเอง อยากจะไปให้เร็วกว่านี้แต่ติดที่หน่วยลาดตะเวนติดอาวุธของพวกมันกระจายกำลังถี่ยิบดักแทบทุกทาง

      ‘พระเจ้า ถ้าท่านทรงได้ยิน อย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับน้องเลย’

…………………………..



      เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมาอาแจ็กซ์จึงสามารถหลบหลีกหน่วยลาดตะเวนของพวกมันมาได้ ชายหนุ่มชาร์จตัวเข้าหลบหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซุ่มดูเหตุการณ์อย่างระแวดระวัง แล้วก็สะดุดเข้ากับภาพบอดี้การ์ดสามคนของเขาถูกพวกมันมัดเท้าห้อยหัวลงจากกิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่อีกฟากถนน ใจที่ว่าแกร่งดำดิ่งกระตุกวูบด้วยความสงสารปวดหน่วงเศร้าสลดใจจนไม่รู้ว่าความรู้สึกไหนมากกว่ากัน... 

       บอดี้การ์ดสามคนนี้เคยเป็นเด็กส่งยาจากดงสลัมที่เสี่ยเซนและเขาช่วยเหลือออกมาจากการถูกยำตีนของแก๊งค์ค้ายาคู่อริแถบนั้น เสี่ยรับอุปการะและให้ทุกอย่างเท่าที่เด็กพวกนี้สมควรจะได้รับ หลังเรียนจบเด็กเหล่านี้ไม่ยอมไปไหนขออยู่รับใช้เสี่ยและครอบครัวจนกว่าจะตาย... มือแกร่งยกขึ้นปาดเช็ดน้ำตาที่ซึมหัวตา ชายหนุ่มกำมือแน่นระงับโทสะที่คุกกรุ่นในใจ
 
      “ระยำหมา!!  กูจะเอาคืนพวกมึงอย่างสาสม” 

       อาแจ๊กซ์ซุ่มเงียบจนมั่นใจว่าไม่มีพวกมันอยู่ที่นี่ จึงออกจากที่ซ่อนตรงไปยังฝั่งตรงข้ามจัดการปลดร่างไร้วิญญาณของทั้งสามหลบไว้หลังแนวต้นไม้

      ‘เอาไว้จัดการพวกมันให้เสร็จ พี่สัญญาจะพาพวกนายกลับบ้าน...’

       ตาคมหรี่มองหน้าทั้งสามสลับไปมา พร้อมคำสัญญาหนักแน่น อาแจ็กซ์ผละจากร่างไร้วิญญาณเดินตรงไปยังบริเวณที่น้องซ่อนตัวอยู่ บนพื้นถนนปรากฏรอยล้อรถที่ถูกขับเคลื่อนออกไปด้วยความเร็ว  แล้วต้องใจกระตุกวูบอีกครั้งเมื่อตลอดทางลงมีรอยเลือดหยดเป็นทาง

      “คานิน!! น้ำนิ่ง!!  อยู่นี่รึเปล่า พี่มาแล้ว”

       ชายหนุ่มไถลตัวตามทางลาดชันอย่างรวดเร็ว  อาแจ๊กซ์ลุยน้ำที่สูงเพียงครึ่งหน้าแข้งอ้อมไปอีกทางจนถึงปากทางเข้าซึ่งน้ำยังท่วมไม่ถึง มือแกร่งแหวกม่านรากไม้ออก แล้วแทบทรุดเพราะข้างในโพรงนั้นว่างเปล่า...ไม่มีร่างคนที่ควรจะอยู่ที่นี่  บนพื้นพบเพียงเศษผ้าที่เปื้อนเลือดตกอยู่ เขาหยิบมันขึ้นมาคลี่ดูก่อนจะกำแน่นไว้ในมือ

      “คานิน!  น้ำนิ่ง!

      อาแจ็กซ์เตลิดออกจากโพรงไม้นั่นป่ายปีนขึ้นไปยืนเคว้งคว้างหันซ้ายหันขวาอยู่กลางถนนไม่รู้จะก้าวขาไปตามหาทางไหน เขาวิ่งไปค้นตามสุมทุมพุ่มไม้ตรงนั้นตรงนี้จนเหงื่อซกทั้งที่อากาศเย็น แต่ทุกที่กลับว่างเปล่า....ไปไหนกัน!!?

      ‘ถูกฆ่า!?  ถูกจับ!?   หรือว่าหนี!?’ เสียงที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงเสียดสีและหวีดหวิวของกิ่งไม้ใบไม้ที่ถูกแรงลมปะทะ




-มีต่อ-
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.37_ความประมาท P.9_1042016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 10-04-2016 19:03:58
-ต่อจากข้างบน-


      - แกร็ก -

      อาแจ็กซ์หันขวับตามเสียงเหยียบกิ่งไม้แห้งปืน HK33 ถูกยกประทับปลดสลักขึ้นนกกำลังจะกดปล่อยกระสุนแต่เสียงแผ่วเบานั้นทำให้ยั้งมือได้ทัน


      “พี่ชาย...”

      คนถูกเรียกชะงักค้างกับภาพตรงหน้าทั้งโล่งอกและดีใจจนสั่นไปหมด ขอบคุณพระเจ้าที่น้องยังอยู่ตรงนี่ แม้สภาพจะสะบักสะบอม โดยเฉพาะน้ำนิ่งแทบจะยืนไม่อยู่ หน้าแดงก่ำจากพิษบาดแผลเล่นงาน เลือดยังไหลหยดเป็นทาง แต่ถึงยังไงน้องก็ยังอยู่ตรงนี้ อาแจ็กซ์สาวเท้าอย่างรวดเร็วเข้าไปหากางแขนโอบกอดทั้งคู่แน่นกระชับ ปากพึมพำขอบคุณพระเจ้าไม่หยุดอย่างกับคนบ้า

      “โอ้!! ขอบคุณพระเจ้าที่พวกนายยังอยู่ ขอบคุณเหลือเกิน”

      น้ำนิ่งก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน คิดถึงเหตุการณ์เมื่อสักครึ่งชั่วโมงที่แล้วมาก็ยังสั่นไม่หาย นับว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังเมตตาสงสาร บริเวณที่เราหลบอยู่มีรากไม้เบียดตัวเกี่ยวกระหวัดกันค่อนข้างแน่น บางส่วนเป็นรากฝอยเส้นยาวยังกับม่านทิ้งตัวห้อยระย้ายาวเฟื้อยลอยกระเพื่อมแผ่กระจายบนผิวน้ำบดบังทางเข้าจนแทบมิด และน้ำที่เอ่อสูงครึ่งเรื่อยๆ ทำให้มันละทิ้งความสนใจผละจากไป ทิ้งไว้แต่เสียงถอนหายใจแผ่วเบาของสองพี่น้องด้วยความโล่งอก

      “เสียงปืนนั่นไม่ได้!?  แล้วเลือด!?”  อาแจ็กซ์คลายอ้อมกอด ผละตัวออกห่างมองสำรวจสภาพความเสียหายทั่วร่างทั้งคู่อย่างห่วงใย

      “ต้องขอบคุณกวางเคราะห์ร้ายตัวนั้นที่อยู่ผิดที่ผิดเวลา”  คานินอธิบายด้วยสีหน้าเศร้าและสำนึกบุญคุณอย่างจริงใจ

      “แล้วไปอยู่ที่ไหนมา”

      “ในโพรงนั่นมันเป็นถ้ำ เรากลัวมันเปลี่ยนใจกลับลงมาดูอีกครั้งเลยตัดสินใจเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีเราก็ไปโผล่ตรงจุดที่พี่ทิ้งบอมส์ซะแล้ว แรงระเบิดทำให้ผนังถ้ำถล่มลงมาเป็นหลุมกว้างเกือบเมตร โชคดีที่กิ่งไม้ใบไม้บังปากหลุมทำให้พวกมันไม่เห็นเรา แล้วจะทำยังไงดีจะไปทั้งยังงี้น้องไหวแน่ ตัวร้อนแทบไหม้”  คานินอธิบายยืดยาว ทั้งสีหน้าแววตาสื่อความห่วงใยเต็มเปี่ยม มือเกลี่ยปอยผมขึ้นเหน็บใบหูเล็ก แขนโอบประคองร่างระทวยเพราะพิษไข้ไว้มั่น

      “เราไม่มีทั้งยาและอุปกรณ์เย็บแผล ทางเดียวที่พี่คิดออกตอนนี้มีแค่นี้เอง”  อาแจ็กซ์ล้วงสิ่งที่เขาดั้นด้นเสี่ยงชีวิตไปเอาออกมาจากเป้ยื่นไปตรงหน้าน้องทั้งคู่

      “มันคืออะไร?? แล้วจะช่วยน้องได้จริงเหรอ”  คานินมีสีหน้าฉงน ไม่เข้าใจสิ่งที่อาแจ๊กซ์จะทำ

      “Bitter bush ต้นสาบเสือ หรือเซโพกวย ตามภาษาถิ่นของที่นี่ มันเป็นวัชพืชและก็เป็นสมุนไพรสำหรับชาวบ้าน ที่นี่เขาเรียกอะไรนะ ‘ภูมิปัญญาชาวบ้าน’  เราแค่ต้องศรัทธา ใช่แบบนั้นแหละ พยุงน้องไปนั่งตรงต้นไม้นั่นเร็วสิ”  แม้จะยังฉงนว่าไอ้เจ้านี่มันรักษาได้จริงเหรอ แต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ใช่เขาแค่ต้องศรัทธา

      “มีผ้าเช็ดหน้าไหม” 

       อาแจ็กซ์รับผ้าเช็ดหน้ามาสะบัดคลี่ออก เด็ดดอกสาบเสือวางตรงกลางผ้า รวบมุมผ้าทั้งสี่ด้านทำเหมือนลูกประคบ ใช้ด้ามมีดสนามทุบไม้พอยังบีบบี้จนเละมีน้ำซึมออกมา ชายหนุ่มจัดการบีบน้ำจากดอกสาบเสือใส่ลงไปในกระติกน้ำ ส่งทั้งกระติกให้คานิน

      “เอาให้น้องดื่มเร็วสิ”

      “จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”  สีหน้าคานินยังกังวล น้ำเสียงไม่มั่นใจสักเท่าไรว่านี่จะช่วยได้

      “ไม่เป็นไร เชื่อสิพี่เคยกินมาแล้ว มันช่วยแก้ไข้ กระหายน้ำ ชูกำลัง แล้วก็อาการอ่อนเพลีย เราก็กินด้วยสภาพแย่ไม่ต่างกันนี่”  คานินยังลังเล คนพี่ดึงกระติกน้ำมาคืนยกขึ้นดื่มให้ดู ก่อนจะส่งคืน คราวนี้คนน้องไม่อิดออด ยกจ่อปากคนน้อง

      “เด็กดีดื่มนี่ก่อนนะ” 

       น้ำนิ่งยกมือร้อนขึ้นโอบประกอบกระติกน้ำยกดื่มอย่างกระหายก่อนจะผลักคืน คานินยกขึ้นดื่มต่อรสชาดแม้ไม่โสภาแต่กลับกระชุ่มกระชวยอย่างประหลาด ตามองอาแจ็กซ์ที่กำลังเด็ดใบสาบเสือและก้านอ่อนลงบนผ้าเช็ดหน้ารวบชายผ้าทุบด้วยด้ามมีดสนาม

      “แล้วนี่ใช้ทำอะไรอีกเหรอครับ”  คานินถามอย่างฉงน

      “ใบของมันถือเป็นพระเอกของงานนี้เลย มันมีสารสำคัญที่เรียกว่า กรดอะนิสิกและฟลาโวนอยด์หลายชนิด รวมทั้งน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบไปด้วยสารยูพาทอล คูมาริน สารสำคัญเหล่านี้จะไปออกฤทธิ์ที่ผนังเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดหดตัว และยังมีฤทธิ์ไปกระตุ้นสารที่ทำให้เลือดแข็งตัวได้เร็วขึ้น ทำให้สามารถห้ามเลือดได้  แล้วทั้งต้นกันบาดทะยัก” 

       ระหว่างอธิบายยืดยาวมือแกร่งทั้งขยี้ทั้งทุบห่อผ้าเช็ดหน้าก่อนจะคลี่ออก ใบสาบเลือค่อนข้างละเอียด ร่างสูงใหญ่ขยับเข้าใกล้น้ำนิ่ง มือเสยเปิดผมตรงหน้าผากขึ้นจัดการโปะใบสาบเสือลงไปที่แผลของน้องปิดทับด้วยผ้าเช็ดหน้าแทนผ้าก็อชอีกครั้ง

      “แผลจะไม่ติดเชื้อแน่นอนใช่ไหม”

      “......." อาแจ็กซ์ถอนหายใจหนักหน่วง  "แค่เราต้อง ‘เชื่อมั่นและศรัทธา’ ถึงบ้านเราให้หมอดูอีกทีแล้วกัน เอาล่ะคงต้องไปแล้ว อย่าโอ้เอ้พี่กลัวว่าพวกมันจะกลับมารีเช็คอีกครั้งทีนี้จบเห่จริงๆ แน่” 

      “น้ำลุกไหวมั้ยมาเถอะเราต้องไปกันแล้ว”

      คานินรู้หน้าที่รีบเข้ามาฉุดน้องลุกขึ้นยืนโอบประคองวิ่งไปพร้อมกัน อาแจ็กซ์คอยคุ้มกันและระวังหลังให้ ทั้งสามลัดเลาะตามเงาของต้นไม้มุ่งทิศตะวันออกอย่างระแวดระวัง


.....................................





      พวกเราทั้งเดินทั้งวิ่งลัดเลาะตามแนวป่ารกทึบสลับดงกล้วยเป็นระยะๆ แม้จะเหนื่อยจนก้าวขาแทบไม่ออก หอบหายใจถี่เหมือนจะเป็นลมสิ้นสติหลายครั้ง กระหายน้ำจนปากแห้งแตก ตามเนื้อตัวเปียกชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬซึ่งปะทะลมเย็นแล้วน่าจะพอบรรเทาความร้อนกายได้ ทว่ากลับสะบัดร้อนสะบัดหนาวแทน เพราะไม่อยากเป็นภาระของพวกพี่ น้ำนิ่งเก็บงำอาการครั่นเนื้อครั่นตัวไว้อย่างเงียบเชียบ

       อาแจ็กซ์สังเกตมาสักพักแล้วว่าสีหน้าน้ำนิ่งไม่ดีเท่าไร ออกอาการโงนเงนเหมือนจะสิ้นสติเสียหลายครั้ง แต่น้องก็ยังฝืนเดินต่อโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ ความอดทนเป็นเลิศอย่างน่านับถือ คานินเองก็เช่นกัน จะว่าไปเราเดินกันมาหลายชั่วโมงโดยไม่ได้พักเลย อีกสักประมาณ 14 – 15 กิโลเมตรจะถึงชายแดนไทย พักสักสองสามนาทีก็คงได้ จึงทำสัญญาณให้หยุดพัก มือแกร่งปลดกระติกน้ำผสมดอกสาบเสือยื่นให้คานิน แต่คนพี่กลับยื่นไปจ่อที่ปากน้องก่อน น้ำนิ่งยื่นมือที่สั่นนิดๆ ของตัวเองมารับกระติกน้ำไปยกขึ้นดื่มอึกๆ ด้วยความกระหาย

      อาแจ็กซ์เดินแยกห่างออกมาเล็กน้อย มองฝ่าความมืดไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ใจกระหวัดไปถึงวันแรกที่ได้รู้จักน้ำนิ่งช่างต่างกันลิบลับกับตอนนี้  เวลานั้นเขาปรามาสและไม่ชอบเอามากๆ รู้สึกว่าเป็นเด็กที่ใช้ไม่ได้ดูอ่อนแอปวกเปียก เพราะถูกเลี้ยงมาราวกับไข่ในหินประคบประหงมตามใจมากเกินพอดีจนเหมือนเด็กไม่รู้จักโต พึ่งพาไม่ได้ และทำอะไรเองไม่เป็นสักอย่าง รอคอยความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่ตลอด 

       ส่วนเจ้าเด็กคานินท่าทางกวนโอ๊ย เย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใคร และยิ่งเกลียดเข้ากระดูกดำ เพราะมันไม่ให้เกียรติผู้หญิงที่เป็นเพศแม่เจ้าชู้เพลย์บอยตัวพ่อ สาวแก่แม่หม้ายสาวน้อยสาวใหญ่นั่นธรรมดามาก ผู้ชายนี่สิมันยังไม่เว้นอย่าเสนอเพราะเจ้านี่พร้อมสนอง เสร็จสมทางใครทางมันอย่าเรียกหาความรับผิดชอบเพราะไม่มีให้ แม้จะมีเซล่าแต่มันก็ยังนอนกับคู่ขาคนอื่นอยู่เป็นประจำ ทำเอาเสี่ยเสียใจหลายครั้ง เขาไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะเจ้าเด็กนี่เป็นทั้งหมดของเสี่ย

       เรายากจะตัดสินใครว่าดีหรือเลวจากสิ่งที่เห็นหรือคำพูดที่เขาพูดต่อๆ กันมา ผมเชื่อแล้วว่ามันไม่จริงจนกว่าเราจะได้สัมผัสหรือรู้จักกับคนนั้น หลังจากที่ได้คลุกคลีดูแลนานวันเข้าสิ่งที่เห็นครั้งแรกนั่นก็แค่ภาพลวงตา อย่างน้ำนิ่งมันมีมูลเหตุหลายประการที่ทำให้น้องถูกประคบประหงม สองคนนี่ถึงจะเป็นเด็กดื้อรั้นเป็นบางครั้งแต่ก็เป็นคนจิตใจดีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเอาใจใส่ต่อผู้อื่นเสมอ นั่นทำให้อาแจ๊กซ์และบอดี้การ์ดคนอื่นๆ รักสองคนนี่โดยไม่มีข้อกังขา พร้อมที่จะปกป้องชีวิตและความสุขของสองคนนี่ด้วยชีวิตของพวกเขา

       “ความนับถือและภักดี” เป็นอีกความรู้สึกที่ไม่ต้องปรุงแต่งและเขาอยากจะมอบให้สองคนนี่อย่างจริงใจในวันนี้ น้องไม่ได้มองว่าพวกเขาเป็นแค่ลูกจ้างหรือบอดี้การ์ด แต่น้องมองเขาเป็นคนในครอบครัว เป็นพี่ชาย เขาไม่เคยได้รับความรู้สึกแบบนี้จากเจ้านายคนก่อนๆ .”ครอบครัว” มันเป็นอย่างนี้สินะ


      “ค่อยๆ จิบ ช้าๆ เดี๋ยวสำลัก”  เสียงสำทับด้วยห่วงใยของของคานินดึงสติของเขาให้หันกลับมามองสองพี่น้องอย่างกังวลและห่วงใยเช่นกัน

       มือเรียวของคนพี่เสยผมระแก้มแดงระเรื่อทัดหูให้น้อง ก่อนจะรับกระติกน้ำที่น้องยื่นคืนมาวางไว้ข้างตัว แววตาทอดมองสีหน้าที่ซีดเผือดขาวราวกระดาษและอาการเจ็บป่วยตามร่างกายของน้องด้วยสีหน้าวิตกกังวลห่วงใย โอบประคองร่างโงนเงนเหมือนจะเป็นลมหมดสติของน้องเอนพิงกับต้นไม้ ปากเผยอ้าน้อยๆ เพื่อโกยอากาศเข้าปอด

       คานินฉีกชายเสื้อตัวเองรินน้ำจากระติกใส่พอชุ่ม นำไปเช็ดตามใบหน้า ซอกคอ และแขนของน้อง ก่อนจะพับเป็นแผ่นยาววางแปะหลังคอให้น้ำนิ่ง ความชุ่มฉ่ำจากน้ำเย็นช่วยบรรเทาอาการกระหายและร้อนรุ่มตามร่างกาย และความเจ็บปวดเมื่อยล้าได้ระดับหนึ่ง

      “ทนอีกนิดนะคนเก่ง เดี๋ยวเราก็ถึงบ้านแล้ว” 

       น้ำนิ่งรู้สึกปวดหนึบที่แผลลามไปถึงขมับและท้ายทอย อาการวิงเวียนตีตื้นมาเป็นระลอกราวคลื่นกระทบฝั่ง ลมหายใจร้อนผ่าวจนรู้สึกได้ชัดเจน ร่างบางพยักหน้ารับเบาๆ ทั้งที่ยังหลับตานิ่ง เมื่อเห็นว่าน้องไม่พูดอะไรอีกเจ้าคนพี่จึงยอมยกน้ำขึ้นจิบแต่ไม่ยอมละสายตาหน้าน้องสักเสี้ยวนาที  อาแจ็กซ์เดินเข้าไปนั่งลงใกล้ๆ กัน คานินยื่นน้ำมาให้เขาดื่ม
 
      “พวกมันยังไม่ได้ของกลางคืน มันต้องตามกลิ่นต่อแน่ เราต้องเลี่ยงไปทางตะวันออกเฉียงใต้แทน อ้อมเขานิดหน่อยเดินไหวรึเปล่าครับ?”  อาแจ็กซ์มองทั้งคู่อย่างห่วงๆ

      “ไหวครับ” 

       น้องตอบพร้อมกัน แม้ปากจะบอกว่าไหวแต่เสียงหอบหายใจถี่ สะท้อนสิ่งที่เห็นได้เป็นอย่างดี อาแจ๊กซ์รู้ดีว่าคนที่ฝึกฝนร่างกายมาอย่างดีถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้แม้จะกลืนน้ำลายยังยากลำบาก แล้วนับประสาอะไรกับคนที่ไม่ได้ฝึกฝนมาเลยอย่างสองคนนี่

      “ไปกันเถอะนะพี่ชาย น้ำไม่เป็นไรแล้ว”  น้ำนิ่งขยับตัวลุกขึ้น ร่างเล็กเซเล็กน้อยเนื่องจากอาการวิงเวียนยังไม่คลายตัว คานินถลาเข้าไปโอบประคองไว้ไม่ให้น้องล้ม

      “หน้ายังซีดอยู่เลย พักอีกสักนิดดีกว่าไหม” 

      “น้ำไหวเชื่อสิ นะครับ”  น้ำนิ่งอ้อนถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนเรียกกำลังวังชาให้ตัวเองยังไงยังงั้น  คนพี่หลุดยิ้มระอา

      “อีกไม่ไกลใช่ไหมครับจะถึงจุดนัดที่ว่า” คานินถามเพื่อความแน่ใจ

      “อย่างที่บอกเส้นทางมันอ้อม ถ้าเราไม่ถูกประกบ คาดว่าอีกสองชั่วโมงเราจะไปถึงจุดนัด ว่าแต่ว่าไหวแน่นะ ฟังเสียงยังดูเหนื่อยๆ ตอนนี้รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายตรงไหนอีกรึเปล่า” อาแจ็กซ์ถามสีหน้ากังวล

      “รู้สึกชาๆ แล้วก็ร้อนตรงแผลแต่น้ำใบสาบเสือของพี่ชายก็ช่วยได้เยอะเลย พี่ชายไม่ต้องห่วง” 

      น้ำนิ่งยิ้มกว้างเป็นเครื่องการันตีว่าตัวเองยังไหว ร่างบางฝังกลบความเหนื่อยล้าปวดเมื่อยตามร่างกายจนแทบจะทิ้งร่างลงนอนตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด อาการนิ้วเท้าพุพองแสบร้อนปวดตุบๆ จนไม่อยากจะเดินไว้อย่างเงียบงัน

      ‘อดทนนิดนะไอ้น้ำ ยังมีเวลาให้นอนอีกนานเมื่อถึงบ้าน...’

       “ไม่ต้องห่วงน่า น้ำไหวจริงๆ ไม่เชื่อ...”  น้ำนิ่งเลิกคิ้วถามก่อนจะหลุดยิ้มอ้อนใส่ตาพี่ๆ ทำท่าขึงขัน “เห็นไหมว่าไหวจริงๆ เอ้า! ถ้าขืนชักช้าเดี๋ยวพวกมันแห่กันมาเราจะแย่นะครับ เถอะน่านะครับน้า..พี่ชาย” 

      “เฮ้อ!! จริงเล้ย”  พี่ใหญ่สุดถอนหายใจหนักหนวงอีกครั้ง นี่ก็ไม่รู้จะแก่ลงอีกกี่ปี สองวันมานี้เขาถอนหายใจเป็นร้อยแล้วมั้ง  สุดท้ายก็หลุดยิ้มอ่อนโยนมือตบปุๆ ลงบนบ่าบอบบางของไอ้ตัวเล็กตรงหน้า

      “เชื่อเขาเลย ถ้าไม่ไหวยังไงบอกพวกพี่ทันทีเลยนะ ห้ามเก็บเงียบเป็นหมาตดเข้าใจรึเปล่า” 

      คานินกำชับหนักแน่นตอนท้ายยังกล้าปล่อยมุกแป๊กลดความตึงเครียดได้อย่างหน้าไม่อายอีก น้ำนิ่งส่ายหน้าระอาก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ รับคำเป็นมั่นเหมาะ ทั้งคู่ประคองกันลุกขึ้นเดินตามหลังอาแจ็กซ์มุ่งหน้าไปตะวันออกเฉียงใต้


.....................................





      สายลมเย็นพัดหวีดหวิวบาดผิวจนเจ็บแสบ สองพี่น้องโอบประคองกันเดินไปตามทางสลัวของคืนเดือนมืดบ้างลาดชันลื่นไถลขึ้นลงเขาลูกเล็กสลับป่ารกทึบ ทั้งคู่มีสภาพสะบักสะบอมจากการถูกหนามแหลมกิ่งไม้ทิ่มตำให้สะดุ้งเป็นระยะ เสียงครางหึ่งๆ ของแมลงกลางคืนรอบตัวนั่นอีก ทำให้สองพี่น้องคอยยกมือปัดหน้าตาไปมาราวกับที่ปัดน้ำฝนทุกสองสามวินาทีก็ไม่ปาน

      ณ เวลานี้ทั่วทั้งสรรพางค์กายเจ็บปวดเหนื่อยล้าไปหมด ความร้อนลดลงเล็กน้อย เลือดหยุดไหลไปนานแล้ว แต่นัยน์ตากลับเจ็บเคืองเหมือนคนตาบอดชั่วคราวอดไม่ได้ที่จะเคืองโกรธแมลงตาบอดเสารับสัญญาณชำรุดแล้วดันบินไม่ดูตาม้าตาเรือชนสะเปะสะปะหลุดเข้านัยน์ตาจังๆ หลายครั้ง เปลือกตาที่เคยปิดกั้นสิ่งแปลกปลอมทุกชนิดไม่ให้เล็ดลอดเข้าไปในตาได้อย่างทรงประสิทธิภาพยอดเยี่ยมไม่มีที่ติดันพลาดจนไม่อาจอภัย

       อนิจจาใดๆ ในโลกย่อมเป็นไปตามกรรม สิ่งนั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป จึงไม่อาจจะโกรธเคืองกล่าวโทษว่าเป็นความผิดพลาดของเปลือกตาหรือแมลงเคราะห์ร้ายนั่นเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แมลงเคราะห์ร้ายนั่นบินชนแล้วหลุดเข้าไปนอนตายเกาะติดเคลื่อนตัวไปมาตามวิถีการกระพริบตาและมือที่บดขยี้เพื่อสลัดสิ่งแปลกปลอมให้หลุดพ้นจากนัยน์ตา จึงเป็นเหตุให้ผู้เป็นเจ้าของนัยน์ตาเกิดความทุกข์เจ็บปวดระคายเคือง ไม่ว่าเจ้าของนัยน์ตาหรือแมลงเคราะห์ร้ายต่างตกอยู่ในบ่วงกรรมเฉกเช่นเดียวกัน

      ในแง่เดียวกันสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ มูลเหตุของปัญหามันเกิดจากความทะยานอยากในอำนาจ เงินตรา และการแก้แค้นของคนๆ หนึ่ง การทำให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการจึงไม่เกี่ยงวิธี ก็อย่างที่บอกถ้าไม่มีมูลเหตุแห่งกรรมร่วมกันก็จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ทุกคนย่อมมีเวรกรรมเป็นของตัวเอง มีสิ่งที่ต้องชดใช้ต่อกัน จึงไม่อาจโทษว่าเป็นความผิดของใครได้ ผลกรรมที่แต่ละคนจะได้รับจะเป็นอย่างไรย่อมเป็นไปตามการกระทำของคนๆ นั้นไม่เปลี่ยนแปลง...


       อ้อ ขอโทษและอย่าถือสาเลยนะที่น้ำบ่นหรือคิดอะไรยาวเหยียดขนาดนี้ น้ำแค่อยากจะทำให้ตัวเองลืมความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดที่มันหนึบอยู่ทั่วตัวเท่านั้นเองเข้าใจนะ



      หนึ่งชั่วโมงถัดมาที่พวกเราเดินบ้างวิ่งบ้างไม่หยุด บางครั้งเดินกันอย่างเพลิดเพลินราวกับมาล่องไพร่แล้วดื่มด่ำในธรรมชาติและบรรยากาศแห่งมนต์ขลังของป่า จู่ๆ อาแจ็กซ์ส่งสัญญาณมือให้เร่งรุดเข้าหาที่ซ่อนตัวอย่างเงียบเฉียบ

      ปัง  ปัง  ปัง  ปัง  ปัง

      บึ้ม  บึ้ม  บึ้ม


       เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น พวกมันไม่รู้มาจากทางไหน ไม่มีถามความต้องการจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมลูกกระสุน M4A1 และ อาร์พีจี ราวกับเทศกาลลดกระหน่ำซัมเมอร์เซล

       กระสุนแหวกอากาศหวิดทะลวงร่างเล็กของน้ำนิ่งดีว่าคานินมีสติค่อนข้างครบถ้วนดึงกระชากกายหยาบที่ไม่สมบูรณ์เต็มร้อยของน้องหลบเข้าหลังต้นไม้ใหญ่ขนาดสี่คนโอบซึ่งบังวิถีกระสุนได้ค่อนข้างดีเยี่ยม มัจจุราชเหล่านั้นจึงเจาะทะลวง เปลือกต้นไม้จนแตกกระจุยกระจายแทน ผงฝุ่นเศษเล็กเศษน้อยของเปลือกไม้ปลิวว่อนในอากาศ แรงระเบิดอาร์พีจีฉีกทะลวงลำต้นไม้ที่ไม่ใหญ่หักกลางล้มระเนระนาดไม่อยากจะคิดถ้าเป็นร่างของพวกเราจะเป็นยังไง...

      ปัง  ปัง  ปัง  ปัง  ปัง

      เสียงปืนรัวสนั่นดังก้องจนหูดับ น้ำนิ่งยกมือกดหูตัวเองรู้สึกอื้ออึงคล้ายฟังอะไรไม่ชัด เขารอดตายอย่างหวุดหวิดเพราะคานินช่วย ลำพังถ้าอยู่คนเดียวกระสุนเหล่านั้นคงทะลุทะลวงร่างจนนับรูไม่ทันแน่ พิษไข้ทำให้สมองเบลอประมวลผลล่าช้าเสียยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์ที่มีแรมต่ำ

       การปะทะกันครั้งนี้พวกมันหวังผล จึงรุนแรงและตีโอบเข้าประชิดตัวจนพวกเราไม่สามารถตอบโต้อะไรได้มากนัก อาแจ๊กซ์เจ็บปวดร้อนวูบที่ใบหูข้างขวาไม่นานก็รับรู้ถึงกลิ่นคาวกับความอุ่นชื้นไหลเป็นทางลงมาตามลำคอแกร่ง มัจจุราชเม็ดเล็กๆ นั่นถากใบหูขวาด้านบนเขาไปนิดเดียว ไม่รู้จะขอบคุณโชคชะตา ความมืดสลัว หรือพวกมันดี ถ้าแค่มันปรับวิถีกระสุนสักสองนิ้วมีหวังเขาได้ลงไปนอนคุยกับหนอนเป็นแน่แท้

      “คานิน! พาน้องหนีไปก่อน พี่จะยิงคุ้มกันให้” อาแจ็กซ์ตะโกนเสียงเข้ม คานินห่วงหน้าพะวงหลังจนทำอะไรไม่ถูก

       “เอานี่ไปด้วย”  มือแกร่งปลดเป้ กระติกน้ำ และปืนสั้นออโตเมติกยัดใส่มือคานิน  “ใช้เป็นใช่ไหม”  คนน้องพยักหน้ารับงงไม่ได้ยื่นมือออกรับ อาแจ็กซ์ตัดปัญหาโดยการจับมันเหน็บเอวด้านหลังให้เรียบร้อย คานินจึงยกเป้สะพายบ่า

       “แต่ว่า...”

      “ดูแลน้องด้วย ไปได้แล้ว!!...”

      คานินขยับตัวเข้าประคองน้ำนิ่งโอบกระชับหันหลังวิ่งไปตามทางที่อาแจ็กซ์ชี้บอก เสียงปืนค่อยๆ เบาลงทีละนิดตามระยะทางก้าวย่างที่ห่างออกไปเรื่อยๆ..พระเจ้าฟังคำอ้อนวอนของลูกด้วยเถอะ...ขอท่านปราณีต่อชีวิตอาแจ๊กซ์ที..อย่าให้คนๆ นั้นเป็นอะไร...

.............................................




      “รีบๆ เดินเร็วสิวะ อ้อยอิ่งหาพระแสงมึงเหรอ อย่าหวังว่าพวกมันจะมาช่วยมึงได้” ไต่ชินหยางตวาดกร้าวใส่หน้าสองพี่น้อง

      “ทำไมพี่โอ๋ต้องทำแบบนี้”  น้ำนิ่งถามเสียงเบาปนหอบ

      “มึงไม่ไปถามคนของมึงล่ะว่าทำไมกูถึงทำแบบนี้ หุบปาก!  รีบๆ เดิน” 

       ไต่ชินหยางทั้งผลักทั้งดันสองพี่น้องไปขึ้นรถจี๊ปที่จอดห่างไปสองสามเมตร  ไอ้สิงห์มึงคงคิดว่ามึงเล่นนอกเกมส์เป็นคนเดียวรึไง รู้จักกูน้อยไปแล้ว มึงกับกูมันประเภทไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่นั่นแหละ คนอย่างมึงต้องได้ผลตอบแทนที่สาสมกับสิ่งที่มึงทำ

      “โอ๊ย!” 

       ร่างบางหลุดเสียงครางด้วยความเจ็บปวดขาที่อ่อนล้าจนยกไม่ขึ้นลากไปตามพื้นสะดุดเข้ากับรากไม้จนเซถลาไปข้างหน้ามือคว้าไต่ชินหยางซึ่งอยู่ใกล้ล้มคะมำกระแทกพื้นอย่างจัง นายใหญ่ผลักน้ำนิ่งที่ล้มทับออกย่างแรง ก่อนลุกขึ้นมาอย่างว่องไว 

      “สัตว์เอ๊ย! มึงเดินยังไงวะให้ล้ม ลุกขึ้นมาไม่ต้องสำออย”

       ไต่ชินหยางตะคอกด้วยความโมโห มือใหญ่เงื้อขึ้นแล้วฟาดลงบนแก้มของน้ำนิ่งอย่างแรงจนหน้าหันไปตามแรงตบ เลือดไหลกบปากปรากฏรอยมือแดงเถือกบนซีกแก้มใส ตาแดงก่ำจากพิษบาดแผลวาววามเหมือนจะร้องไห้ น้ำนิ่งกัดปากแน่นไม่ยอมร้องออกมา ยันตัวลุกจากพื้นอย่างทุลักทุเลเดินตามแรงฉุดกระชากของพวกมันไปขึ้นรถอย่างไม่อาจขัดขืนได้


      ถ้า เราไม่ประมาท แค่เราไม่ประมาท..เลเวลนี้โชคเข้าข้างพวกมัน ดังรอยยิ้มที่เย้ยหยัน ราวโสเภณีของพวกมัน เราสิ้นหวังจนมิอาจต่อกรกับมันได้…

       เมื่อสักชั่วโมงที่แล้วผมกับพี่คานิน เราคิดว่าน่าจะพ้นจากการไล่ล่าแล้ว จึงกะว่าจะหยุดพักสักสองสามนาที แอบซุ่มอยู่นานโขแต่ก็ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไร เราจึงมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าว่าพวกมันคงตามมาไม่ทัน จึงหลบเข้าไปซ่อนตรงชะง่อนหินที่มีลักษณะเหมือนถ้ำตื้นๆ สภาพสะบักสะบอมเหนื่อยแทบขาดใจ ขาก้าวแทบไม่ออกรอย  นิ้วเท้าและฝ่าเท้าไม่ต้องไปพูดถึงมันพุพองปวดแสบปวดร้อนไปหมด ลมหายใจหอบถี่ปนร้อนผ่าวจนรู้สึกได้ชัดเจนกว่าเดิม แต่ทุกอย่างคือเราคิดผิด...

       ตอนที่ได้ยินเสียงอาแจ็กซ์เรียกแว่วมาตามลม เรามองหน้ากันคิดว่าหูฝาด แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองซ้ำอีกสองสามครั้งจึงมั่นใจว่าใช่เขาจริงๆ พวกเราดีใจจนแทบกลั้นไม่อยู่รีบถลาออกจากที่ซ่อน แต่ไม่รู้พวกมันมาจากไหน เอามือตะปบปากเราไว้แน่นแล้วลากถูกลู่ถูกังออกจากตรงนั้นเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงปืนดัง  ‘ปัง’  แล้วทุกอย่างก็เงียบไป

      "ไม่….!!!!”


....................................................








ปล.


1. ขอโทษที่มาต่อช้านะค่ะ ตอนนี้เป็นการเล่าถึงเหตุการณ์แย่งของกลางคืน จากมุมมองของน้ำนิ่ง คานิน และอาแจ็กซ์ บทนี้ใช้เวลาในการเขียน แก้ไข อ่านทวน 17 วัน แต่เวลาจริงในเรื่องกลับแค่สี่ห้าชั่วโมง ไม่ว่าจะสามหนุ่มหรือว่าตัวเราเองก็เหนื่อยล้าไม่ต่างกัน
2. ขอบคุณสำหรับการติดต่อตาม  และขอให้สนุกในการอ่าน  เจอข้อผิดพลาดหรือจะแนะนำอะไรเขียนแปะไว้นะค่ะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.37_ความประมาท P.9_1042016
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 10-04-2016 19:37:55
เมื่อไหร่จะตามมาช่วยน้ำนิ่งทันซะที :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.37_ความประมาท P.9_1042016
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 10-04-2016 20:06:19
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.37_ความประมาท P.9_1042016
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-04-2016 15:13:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_ร่างกายที่ขาดลมหายใจไม่อาจอยู่ได้ P.9_1542016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 15-04-2016 23:23:23
38



ร่างกายที่ขาดลมหายใจไม่อาจจะอยู่ได้





       “ขอชื่นชมให้กับความกล้าหาญ หรือ ความโง่เขล่าดีล่ะคุณสิงห์ เสี่ยเซน พวกคุณเยี่ยมมาก มีคนแค่นี้ยังกล้ามาต่อกรกับกองทัพอิสระของเราช่างกล้าจริงๆ แต่ถึงกระนั้นขอต้อนรับสู่นอข่อครับ”  ชายชาวจีนท่าทางผยองที่ยืนตบมืออยู่ข้างหน้าคงจะเป็นไป๋ซานเจ้านายของคานินสินะ

       “ขออภัยที่ค่ายเรายังด้อยมารยาทการต้อนรับแขก” 

       ไป๋ซานโค้งหัวเล็กน้อย ยกยิ้มมุมปากคำพูดเสแสร้งขอโทษขอโพยราวสุภาพชนที่พึงปฏิบัติต่อกัน ก่อนจะหันไปตวาดกร้าวกับลูกน้องที่ยืนรายล้อมพวกเราอยู่ 

       “ค้นตัวแล้วยึดอาวุธพวกมันซะ อย่าลืมนั่งคุกเข่าด้วยล่ะ คุกเข่าซิโว้ย!!” 

      ไป๋ซานไม่พูดเปล่าดึงกระชากปืน M4A1 จากมือทหารรับจ้างที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กระแทกหน้าเฮอร์เซลสุดแรง ร่างสูงใหญ่ของบอดี้การ์ดผู้ซื่อสัตย์ทรุดฮวบ เสี่ยเซนถลาตัวเข้าไปช่วยคนตัวของตัวเอง แต่ต้องชะงักกึกกับความเย็นของมัจจุราชสีดำที่จ่อขมับ

       - กิ๊ก -

      “ยังไม่ถึงเวลา มึงอย่าแสดงดีกว่า” 

       “หึ หึ กูอาจไปพบพระเจ้าวันนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่กูไม่อยากจะให้มีอยู่บนหลุมศพคือตายโดยไม่ได้สู้ว่ะ” 


      ผลั๊วะ!! 


      เสี่ยเซนพลิกตัวกลับมือแกร่งปัดปืนที่จ่อขมับหลุดกระเด็นตกไปไกล ก่อนจะปล่อยหมัดไม่มีตาซัดเปรี้ยงเข้ากกหูมันเต็มแรงเหวี่ยง มันเซหลุนๆ เสียหลักราวนกปีกหัก มันอีกคนสวนกลับด้วยด้ามปืน M4A1 เต็มแรง พี่ชายภูมิรพีถึงกลับเซถลาทรุดฮวบ สะบัดไล่ความมึนงง แววตาดุดันตวัดฉับมองสบตามันไม่ลดละด้วยความแค้น มันย่างสามขุมเข้ามาหวังซ้ำ แต่เซนพลิกตัวกลับอย่างรวดเร็วเตะตัดขามันล้มคว่ำ ปิดโอกาสรอดของมันด้วยไซด์เฮดล็อกอย่างรวดเร็วฉับพลัน...

      - กร๊อบ -


      - อั๊ก..อึก...-


      “เฮีย!! ระวัง...”



       เสียงตะโกนของเฮอร์เซลทำให้เสี่ยเซนเสียจังหวะ ปลายหางตาเหลือบเห็นเงาวูบวาบของไอ้คนแรกที่ยกปืนเตรียมประเคนหัวเขา เซนเบี่ยงตัวหลบทันอย่างหวุดหวิด ถึงกระนั่นก็ยังไม่อาจพ้นจากมันอีกคนที่จู่โจมเข้ามาไม่ทันตั้งตัว

      - ผลั๊วะ –

       "ถุย!! สัญชาตญาณหมาหมู่ หึ" เสี่ยเซนล้มคว่ำไม่เป็นท่าอีกครั้ง เขารีบพยุงตัวลุกขึ้นสะบัดหัวใส่ความมีนงง ถ่มเลือดที่กลบปากลงพื้นดินอย่างไม่ยี่หระ มองพวกมันด้วยสายตาเรียบนิ่งยกยิ้มมุมปากอย่างสมเพท

       “มึงยืนเซ่ออยู่ทำไมไปสิวะ!! พาตัวสองคนนั้นมาเดี๋ยวนี้!! ให้ไว”  ทหารรับจ้างหกเจ็ดคนกรูเข้ามาค้นตัว ยึดอาวุธทุกชนิดที่พวกเรามีไปจนหมด จับเรายืนเรียงแถวหน้ากระดาน ยกเท้าถีบข้อพับอย่างแรงเราทรุดลงนั่งคุกเข่าราวกับนักโทษรอลงอาญา

       ไป๋ซานตวาดห้วนกับพวกทหารรับจ้างต่อเนื่อง มันวิ่งเข้าไปยังอาคารหลังหนึ่งที่อยู่ห่างไปแค่สองสามเมตร  สองสามนาทีต่อมาพวกมันทั้งผลักทั้งดันคานินและน้ำนิ่งออกมายืนเผชิญหน้ากับพวกเราห่างออกไม่ถึงถึงสิบก้าว

       คานินสะบัดตัวจากการจับกุมของมันผวาคว้าร่างบางของน้องที่ถูกผลักจนเซถลาดั่งนกปีกหักขึ้นมาโอบประคองแนบอก ทั้งคู่มีสภาพร่างกายสะบักสะบอมเหนื่อยอ่อนเต็มไปด้วยรอยแผลขีดข่วน แต่ประเมินด้วยสายตาแล้วเด็กน้อยของผมกลับมีสภาพย่ำแย่กว่ากระต่ายของเฮียเซนเกือบเท่าตัว 

       ‘สัตว์เอ๊ย!!’  ภูมิรพีสบถในลำคอ ในอกร้อนรุ่มบอกไม่ถูกว่าตอนนี้มีความรู้สึกแบบไหนมากกว่ากัน...เจ็บจนแทบขาดใจ โกรธจนแทบจะฆ่าคนได้...!!!


      “ภูมิ!” / “เสี่ย!” 


       สองหนุ่มอุทานเสียงแผ่วเบา ตาเบิกกว้างเมื่อเห็นบุคคลที่นั่งคุกเข่าเรียงกันอยู่เบื้องหน้า ทั้งคู่พยายามโผมาหาแต่ต้องชะงักกึกกับเสียงขึ้นนกของวัตถุดำเมี่ยมที่จ่อขมับเตรียมลั่นไกถ้ายังขัดขืน

      “จุ๊ จุ๊ อย่าทำหน้าอย่างนั้น ดูสิทำหน้ายังกับเห็นผี”  ไป๋ซานเดินไปมาสายตามองเชลยแต่ละคนด้วยสายตาเย้ยหยันแกมสมเพช

       “นายท่านให้โอกาสพวกแกไปต่อแล้ว  แต่ดันแหกกฎกันซะงั้นก็เลยต้องเป็นแบบนี้ พวกแกไม่ฟังกันบ้างเลย ทำไมวะคิดว่าตัวเองเก่งไง? อยากเป็นฮีโร่?  คิดแต่จะสู้มันต้องมีการเชือดไก่ให้ลิงดูหวังว่าจะไม่โกรธนะ อ้อ!! แล้วอย่าถามว่าจะมีโอกาสอีกไหม ไม่มี จะไม่มีจนกว่านายท่านจะบอกว่ามีเข้าใจตรงกันนะ”  ไป๋ซานยังพล่ามยืดยาว ด้วยความลำพองตนว่าถือไพ่เหนือกว่า

      “เอาล่ะ ครบองค์ประชุมแล้ว เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เชิญพบนายท่านของเรา”

      ไต่ชินหยางก้าวออกมาจากอาคารหลังเดียวกันกับที่สองหนุ่มออกมาเมื่อครู่ ตามมาด้วยชายวัยกลางคนซึ่งคับคล้ายคับคลาว่าเป็นนายพลยศสูงของที่นี่ ทั้งคู่มีผลประโยชน์ต่างตอบแทนร่วมกัน

      ไต่ชินหยางวันนี้กับสองปีก่อนไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ร่างสูงโปร่งยังดูบอบบางหน้าตาสวยสง่าทรงอำนาจ แววตาว่างเปล่าดำมืดเหมือนหุบเหวลึก ผมดำยาวตรงถูกมัดรวบถักเป็นเปียเดี่ยวกลางหลัง

      “หวังว่าจะยังไม่ฉี่ราดกันนะ ปัดโธ่เอ๊ย!! นี่เราชักจะสนิทสนมกันขึ้นแล้วนะ” ไต่ชินหยางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเรา มองกราดพวกเราทีละคนด้วยสีหน้ายิ้มๆ

       “เฮ้!! ไงสิงห์ เสี่ยเซน ฉันไต่ชินหยางเจอกันซะทีนะ เอาจริงๆ ฉันไม่ค่อยปลื้มนะที่แกเล่นนอกเกมส์ ไล่ฆ่าคนของฉัน แถมยังคิดจะระเบิดโกดังของฉัน บัดซบว่ะสิงห์ แกทำให้ฉันไม่สบอารมณ์มากว่ะ บอกตรงๆ ฉันเบื่อที่จะเล่นเกมส์แล้ว ง่ายๆ ถ้าแกเล่นตามเกมส์ตั้งแต่แรกมันก็ปิดการขายได้แล้วไง แต่นี่อะไรวะสิงห์!!  เสี่ย!!...”  ไต่ชินหยางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามแต่ไม่ต้องการคำตอบ เพราะทุกคำถามมันตอบตัวของมันเองอยู่แล้ว 

       “ฟังให้ดี แล้วบอกฉันทีว่าเด็กนี่สำคัญที่สุดสำหรับแก” 

       ไต่ชินหยางเดินเข้าไปดึงกระชากน้ำนิ่งออกจากการโอบประคองของคานินปะทะอกของตัวเองร่างบางพยายามเบี่ยงตัวออกจากการโอบกอด นายใหญ่ยิ่งเพิ่มแรงกอด มือเรียวกุมบีบบังคับให้หน้าหวานแหงนเงยขึ้น ปากจมูกของมันคลอเคลียขบเม้นใบหู แก้ม ริมฝีกปากอิ่ม มันพยายามสอดลิ้นเข้าไปน้ำนิ่งเบือนหน้าหนีพัลวัน มันยกหน้าขึ้นยิ้มขัน ก่อนจะหน้าลงซุกไซ้ซอกคออีกครั้ง ปากเรียวละเรื่อยลงมาถึงอกบาง มืออีกข้างเล้าโลมตั้งแต่หน้าอกไปตามชายโครงจนถึงกลางกาย วนเวียนสลับไปมาทั้งปากทั้งมือ แม้จะอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นแต่ร่างบางกลับสะท้านไหวตามกลไกของธรรมชาติที่ไม่อาจปฏิเสธได้ 

       ความอดสูจู่โจมหัวใจดวงน้อยจนแทบขาดรอน รู้สึกวูบโหวงว่างเปล่าเหมือนสูญสิ้นของสำคัญไปไม่มีวันกลับ ในหัวมีแต่คำว่า ‘น่าขยะแขยง’  ‘ต่ำทราม’  เต็มไปหมด หน้าบิดเบี้ยวเหยเก ลำไล้บิดเขม็งเกลียวปั่นป่วนทั้งช่องท้องจนแทบอาเจียนกับความคิดวนเวียนในหัว น้ำตาซึมไหลโดยไม่รู้ตัว..เจ็บใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวให้หลุดพ้นได้

      “ไม่!! ยะ...อย่า” 

       น้ำนิ่งงอตัวดิ้นรนสะบัดตัวเท่าที่แรงจะมีให้หลุดพ้นจากการกระทำน่าขยะแขยงจ้วงจวบ แต่ไม่อาจทำให้หลุดพ้นจากการกระทำนั้น แรงแห่งโทสะของภูมิรพีระเบิดตูมไหลทะลักดั่งลาวากับภาพตรงหน้า แววตาดุดันเรืองรองเข้มขึ้น ไฟอารมณ์แห่งความโกรธแผดเผาไปทั่วร่าง...มึงไม่ตายดีแน่

       ชายหนุ่มกระโจนสุดแรงจะเข้าไปดึงตัวน้ำนิ่งจากไต่ชินหยาง แต่แรงกระแทกจากด้ามปืนของทหารรับจ้างคนหนึ่งทำให้เขาล้มคว่ำอย่างไม่เป็นท่า มันเตะเข้ากลางลำตัวจุกจนงอตัว มันดึงกระชากตัวเขาขึ้นมา

      “เอามือสกปรกออกจากตัวกู”

       ภูมิรพีสะบัดตัวหลุดจากการจับกุมของมัน ปลายหางตาเห็นน้ำนิ่งดิ้นหลุดจากมันถลาตัวพยายามจะเข้ามาหา ไต่ชินหยางดึงกระชากตัวกลับและผลักไปให้ไป๋ซานจับตัวไว้ พวกมันผลักตัวเขาลงไปคุกเข่าเหมือนเดิม

      “หึ หึ แค่ชิมเองนะยังไม่ได้ลงรายละเอียดแกยังจะเป็นจะตายขนาดนี้...จุ๊ จุ๊”  ภูมิรพีฮึดฮัดโทสะพุ่งสูงแทบทะลุกับสายตาอสรพิษที่จ้องขย้ำเหยื่ออันโอชะของมัน

      “ฉันเข้าใจ เข้าใจดีที่สุด แต่นั่นมันมากพอจะแลกได้รึเปล่าล่ะ”  ไต่ชินหยางเอ่ยราบเรียบเสมองโลมเลียไปทางน้ำนิ่งอีกครั้งยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ

      “หยุดทำแบบนี้ซะทีเถอะน่า จะเอาไงก็ว่ามา”  ภูมิรพีข่มอารมณ์ถามกลับด้วยระดับเสียงราบเรียบพอกัน

      “เข้าใจอะไรง่ายๆ ตั้งแต่แรกก็ดี แค่โอนทุกอย่างที่เป็นของพวกแกให้ฉันทั้งหมด ฉันรู้นะว่ามันหนักหนาเอาการที่แกจะเสียมันไป มันคงเหมือนกลืนยาขม แต่ถึงจะขัดขืนยังไงสุดท้ายก็ต้องกลืนมันเข้าไปอยู่ดี”  ไต่ชินหยางยักไหล่ยกมือทั้งสองขึ้น เบ้ปากทำท่าทางไม่ยี่หระราวกับโลกทั้งใบอยู่ในกำมือ

       “แกไม่มีทางเลือกอื่น ยอมรับข้อเสนอแล้วเอาสิ่งที่แกอยากได้ไปง่ายๆ เป็นเด็กดี ตอนนี้พวกแกน่วมพอดูจะน่วมกว่านี้ถ้าไม่ทำตามที่ฉันต้องการ ตอนแรกฉันจะเอาแค่สัมปทานทั้งหมดที่แกมี แต่แกมันรนหาที่แค่นั้นมันชดเชยความเสียหายของฉันไม่ได้ ฉันจะเอาทั้งหมดเหมือนที่แกทำกับไอ้แก่วัลโด้ ต้องเข้าใจนี่มันเป็นวิถีการดำรงชีวิตแบบเรา ยิ่งแกตอบโต้ดิ้นรนเท่าไรก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น เอานี่เซ็นซะ..”   

       ไต่ชินหลางยื่นไอแพดโปรมาตรงหน้า ภาพหน้าจอเป็นเอกสารอิเลคทรอนิกส์ที่ระบุข้อความการโอนกรรมสิทธิ์ทุกอย่างที่อยู่ในครอบครองของเขาและเฮียเซนให้ไต่ชินหยาง

      “เอกสารนี่ฉันทำถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง ไม่ต้องห่วงมันจะมีผลบังคับตามกฎหมายทุกอย่างหลังจากที่แกทั้งคู่เซ็นตรงนี้ พร้อมสแกนลายนิ้วมือกำกับที่นี่” 

       ไต่ชินหยางยื่นปากกา stylus มาให้ตรงหน้า ภูมิรพีเสหน้าไปมองน้ำนิ่งเด็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นส่ายหน้าไม่ให้เขาทำตามที่มันสั่ง ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดแหงนเงยหน้าหลับตานิ่งเกือบนาที ก่อนจะลืมตาขึ้นประจันหน้านายใหญ่ด้วยสีหน้าเฉยเมย  ยื่นมือไปรับปากกามากำไว้ในมือ ตามองหน้าจอไอแพคนิ่งเฉย

      “เอาสิไม่ต้องลังเล...”  ไต่ชินหยางสำทับเร่งเร้า เสือกไอแพดโปรมาใกล้กว่าเดิม

       “ตรงนี้เลยนะ”  ภูมิรพีชี้นิ้วย้ำๆ เลิกคิ้วเป็นคำถามเพื่อความแน่ใจ ตาคมหรี่หลุบลง ก่อนจะจรดปากกาลงเซ็นชื่ออย่างไม่อิดออด

       ไต่ชินหยางหรี่ตาลงอดแปลกใจกับอากัปกริยาของภูมิรพีเสียไม่ได้ แต่เพียงครู่อาการกังวลก็สลายไป ตาเรียววาวโรจน์เฝ้ามองตามเส้นสายการตวัดปากกาของภูมิรพีจนเสร็จสิ้น ภูมิรพีกดนิ้วมือลงไปตรงช่องสแกนใช้เวลาไม่ถึงวินาทีลายนิ้วมือของเขาปรากฏอยู่ในเอกสารนั้นไม่ผิดเพี้ยน 

       นายใหญ่กระหยิ่มยิ้มย่องกับความสำเร็จแค่เอื้อมของตัวเอง อีกก้าวเดียวเขาจะจัดการพวกมันทุกคนให้สิ้นซาก ทุกอย่างที่เป็นของพวกไอ้สิงห์มันจะอยู่ในกำมือเขาอย่างสมบูรณ์ ขยับตัวไปยืนตรงหน้าเสี่ยเซนพร้อมไอแพดโปรที่ยื่นไปตรงหน้ารอเซ็นเป็นรายต่อไป

      ภูมิรพีส่ายหน้าช้าๆ พลางถอนหายใจหนักหน่วง สีหน้าไม่ได้บ่งบอกว่ายินดียินร้าย เสี่ยเซนยื่นมือมารับปากกาที่ภูมิรพียื่นมาให้  นัยน์ตาสีแปลกที่สบกันชั่วครู่ว่างเปล่าราวกับจะดึงดูดให้ลอยคว้างลงสู่ห้วงอเวจีดำมืด


      ‘อย่าแม้แต่จะคิด’ 


       เสี่ยเซนปรามคนน้องด้วยสายตาเข้มคมดุ ขนคอลุกชัน ความเย็นเยียบแล่นริ้วทั่วร่างฉับพลัน มือยกขึ้นรอรับปากกาแข็งค้าง ภูมิรพีเสหน้ากลับมามองไต่ชินหยางที่ยังยิ้มย่องด้วยความพึงพอใจ รอยยิ้มหยันปรากฎบางเบาก่อนจะจางหายไปราวอากาศธาตุโดยที่นายใหญ่ไม่มีโอกาสได้เห็นมัน...

      ‘หึ’




      ภูมิรพีชักมือกลับพุ่งกระโจนเหวี่ยงตัวเข้าชาร์จไต่ชินหยางอย่างรวดเร็วจนกระพริบตาไม่ทัน  นายใหญ่ชะงักค้างงุนงงอยู่ชั่วเสี้ยววินาทีกว่าจะรู้ตัวก็ไม่อาจดิ้นหลุดจากพันธนาการนั่นได้

       ภูมิรพีเกร็งกำลังแขนซ้ายทั้งหมดจับไซด์เฮดล็อกแน่นหนา มือข้างขวากำปากกามั่นยกขึ้นสูงก่อนจะปักมันลงที่ลำคอเรียวระหงของคนที่อยู่ในวงแขนจมเกือบมิดด้าม นายใหญ่ตาเหลือกลานคาดไม่ถึง ร่างระทวยหมดสิ้นอาการขัดขืนก่อนจะถูกผลักให้ล้มกระแทกพื้นอย่างแรง 

      ภูมิรพีเซถอยหลังไปสองสามก้าวแต่ไม่ล้ม มือกุมไหล่ซ้ายแน่น  การเกร็งกำลังแขนเมื่อครู่ทำให้รับรู้ว่ามอร์ฟีนกำลังหมดฤทธิ์ ความเจ็บปวดร้อนรุ่มเต้นเร่ากระจายทั่วไหล่ซ้ายลามไปที่แขน เลือดไหลทะลักเป็นทางหยดลงพื้นดวงๆ ก่อนจะเหือดหายไปในพื้นดิน...

      - ปึก -

      - อ๊ากกก -


       สองเฮีย เฮอร์เซล เข้มแข็ง และบอดี้การ์ดอีกห้าคนอาศัยจังหวะที่พวกมันตะลึงงันกับเหตุการณ์เบื้องหน้า พลิกวิกฤติของพวกมันให้กลายเป็นโอกาสของตัวเองอย่างรวดเร็ว ประเคนทั้งหมัดทั้งเท้าแบบไม่ตั้งตัว แย่งปืนกลับมาครอบครองอย่างถือสิทธิ์

       หลังจากนั้นทั้งเสียงปืน เสียงหมัด เสียงของแข็งกระทบกะโหลก ฝุ่นควันคละคลุ้งวุ่นวายไปหมด แต่ทั้งหมดทั้งมวลใช้เวลาเก็บเคลียร์ไม่ถึงสิบนาที ตัวใหญ่ของมันนอนจมกองเลือดระเนระนาดตามพื้นจนหมด พวกมันก็เหมือนโดมิโน่เมื่อตัวแรกล้ม ตัวถัดๆ ไปจะตั้งอยู่ได้ยังไง...


      “...‘การล่อลวงให้เชื่อใจเป็นการโกหกที่ดีที่สุด...”  พี่ณิตพูดทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น ก่อนจะเดินไปเคลียร์พื้นที่กับคนอื่นๆ





 
       ภูมิรพีละทิ้งความเจ็บปวดอย่างไม่แยแส กวาดสายตาฝ่าฝุ่นควันที่ยังลอยเอื่อยอยู่ในชั้นบรรยากาศบางเบาหาน้ำนิ่งและคานินอย่างห่วงใย จนเห็นว่าอยู่ในความคุ้มครองของเข้มแข็งและเด็ดขาดจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก 

       ปรายตาไปอีกทางเห็นคานินถูกเฮียเซนโอบประคองพาเดินห่างออกไปอีกทาง ชายหนุ่มส่งสายตาคมดุสั่งให้สองคนนั้นพาน้ำนิ่งตามเฮียเซนออกไป  เด็ดขาดเป็นคนช้อนตัวน้ำนิ่งอุ้มในวงแขนเดินตามเฮียเซนออกไปไม่รอให้สั่งซ้ำ

       ร่างสูงใหญ่หันหลังกลับเดินย่างสามขุมเข้าไปหาไต่ชินหยางที่นอนหายใจฟืดฟาดสะดุดขาดห้วงหลายครั้ง แต่ยังยื้อสุดแรงเกิดให้หลุดพ้นจากความตายที่น่าสมเพช 

      “อั๊ก อึก ไอ้นรกเอ๊ย!! ไปตายซะ”  ภูมิรพีจ้องมองนิ่งเฉย ก่อนจะแค้นยิ้มให้นายใหญ่

       “พอปากกาปักคอแล้วดูไม่จืดเลยว่ะ”

      “อึก อึ นั่นมันเรื่องของฉัน อึก อ๊ะ...“  ไต่ชินหยางพยายามกระถดร่างหนี มือกุมด้ามปากกาที่โผล่น้อยนิด เลือดไหลทะลักจากปากเวลามันพ่นคำพูด

      “อย่าบังอาจเอาคนของฉัน ครอบครัวของฉันมาต่อรองอีก!!”

      - ถุย..อะ อั๊ก..อึก...- 


      ปัง!!


......................................






      “ภูมิ....”

      เสียงแผ่วเบาอ่อนละโหยดึงสติให้ภูมิรพีละสายตาจากความดำมืดที่เหลือกลานหันหลังกลับเดินอย่างเร่งรีบไปหาร่างบางที่พยายามเดินมาหาอย่างทุลักทุเล ภูมิรพีถลารวบร่างบางได้ทันก่อนจะทรุดฮวบลงกระแทกพื้นดินแข็ง 

       ภูมิรพีส่งสายตาดุดันไปให้เข้มแข็งที่วิ่งตามมาข้างหลัง บอกให้ดูดีๆ แล้วปล่อยมาทำไมวะ ฝ่ายมาทีหลังทำสัญญาณว่าห้ามไม่ฟัง ภูมิรพีโบกมือไล่ ก่อนจะปรับสีหน้าเหลือไว้เพียงความห่วงหาอาทร  ดวงตาสีแปลกเจือแสงอ่อนสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก่อนจะจับจ้องใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยขีดข่วน และผ้าขะมุกขะมอมจะหลุดมิหลุดแหล่ปิดแผลตรงหน้าผาก

      “อาแจ๊ก...ชะ..ช่วยพี่เขาที” 

      “ซู่ ซู่...ครับๆ ไม่ต้องห่วงนะ”

      “ไปรึยัง ไปเร็วสิพี่เขาถูกยิงคงเจ็บมากๆ ภูมิให้คนไปรึยัง...”

       “ฟังนะ ไม่ต้องห่วง..เฮียให้เฮอร์เซลไปแล้ว หนูมานี่เถอะจะล้มมิล้มแหล่อยู่แล้วนี่” 

      “ภูมิ.. ละ..แล้ว..”

      “ไม่เอาไม่พูด จะทิ้งได้ไงก็รักซะขนาดนี้หืม ไม่ต้องคิดแล้ว” 

       ภูมิรพีตัดบททำไมจะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าที่ร่างกายร้อนผ่าวสั่นระริกจนยืนแทบไม่ไหวแต่ยังดันทุรังรีบมาหาเขาด้วยเรื่องอะไร รอยยิ้มละมุนและสัมผัสอ่อนโยนทำให้ใบหน้าซูบซีดไร้สีเลือดยิ้มรับกว้างขวาง ความห่วงหารักใคร่ ทุกอย่างถูกส่งผ่านแววตาวิบวับไหวระริก แค่วงแขนแกร่งกางออกโอบกอดอย่างไม่เกี่ยงงอนทุกครั้งที่เผชิญปัญหา นั่นก็ทำให้ร่างบางแทบอยากจะร้องไห้ออกมา ความกังวลความกลัวทั้งหมดสลายหายไปสิ้น

      “รักภูมิเหลือเกิน รักมากจนรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร....”

      “ซู่ ซู่ ไม่ต้องคิดถึงมัน จำแค่ว่า ภูมิรักหนู เข้าใจใช่ไหม”

       น้ำนิ่งพยักหน้ารับ ภูมิรพีโอบร่างบางแน่นขึ้นมือลูบหลังไหล่อย่างปลอบประโลมรับรู้ได้ถึงความร้อนผะผ่าวที่ระเหยออกมาชัดเจนผสานอาการสั่นระริกด้วยความกลัวที่ยังเจืออยู่ทุกอณูร่างบาง มือเล็กกำชายเสื้อด้านหลังของเขาแน่น เพื่อตอกย้ำกับตัวเองว่านี่ไม่ใช่ความฝัน

      “ภูมิก็เจ็บเหมือนกัน อยู่เฉยๆ นะ อยู่กับหนู...”  มือสั่นระริกยกขึ้นลูบไปตามโครงหน้าปากจมูกกดนาบกับอกแกร่งของภูมิรพีอย่างห่วงใยรักใคร่

      “ครับๆ ไม่เอาไม่พูดแล้วนะ เหนื่อยรึเปล่า”

      “ไม่ฮะ แต่ดีใจมากกว่า...คิดว่าจะไม่ได้เจออีกแล้ว”

      “ภูมิก็ดีใจเหมือนกัน...”

      “เฮีย..” ภูมิรพีหันไปตามเสียเรียกของเด็ดขาด ยื่นมือรับกระติกน้ำพร้อมยาแก้ปวดลดไข้

      “กินนี่ก่อนมาตัวร้อนมากรู้ตัวมั่งไหมนี่”  เด็กน้อยปรือตาขึ้นมองก่อนจะหลับลงเหมือนเดิม อ้าปากรับยาและน้ำไม่อิดออด มือแกร่งรับผ้าที่ชุบน้ำจนชุ่มจากเด็ดขาดจัดการเช็ดตามหน้าตา ซอกคอ และเนื้อตัวให้เด็กน้อยแผ่วเบา

      “ตอนหนูเจ็บเราไม่มียาอะไรสักอย่าง แต่ภูมิรู้มั้ยพี่อาแจ็กซ์เขาเอาใบสาบเสือมาบดผสมน้ำให้ดื่ม แล้วยังใส่แผลตรงนี้ให้ด้วย” เด็กน้อยยกมือลูบลงบนผ้าขะมุกขะมอมที่ปิดแผลนั่นแผ่วเบา ชายหนุ่มมองตามก่อนจะเอาผ้าเช็ดเลือดแห้งเกรอะกรังออก มือแกร่งคลายปมผ้าขะมุกขะมอมออก เผยแผลใหญ่ที่เลือดหยุดไหลแล้ว กลิ่นใบสาบเสือฉุนขึ้นจมูกแต่ศรัทธาของอาแจ็กซ์นั่นมีอยู่จริง

       “คิดว่าจะไม่รอดซะแล้ว พวกที่ตามล่าเรายังกับมดปลวก ไอ้เจ้านี่กลิ่นกับรสชาดไม่โสภาเอาซะเลยแต่ก็ยอมกินยอมทำเพราะต้องกลับมาเจอภูมิให้ได้ก็เรามีเรื่องที่ยังไม่ได้เคลียร์กันนี่น่า แต่ว่ามันเหม็นจัง...”  เสียงบ่นงุงงิง หน้างอๆ ทั้งที่ยังหลับตาบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเหม็นจริงๆ จนสองหนุ่มหลุดขำกับคนป่วยขี้บ่น เด็กน้อยยิ่งหน้างอกว่าเดิม น่ารักเกินไปแล้ว

      “รู้แล้วเนี่ยน้ำลายขมคอไปหมด..”

      “ภูมิ!! อ๊ะ....”  ภูมิรพีไม่เปิดโอกาสให้ร่างบางประท้วงมอบจูบแสนหวานจนคนในอ้อมแขนแทบสำลักความสุขตายแทนที่จะตายเพราะพิษบาดแผลต้องบอกให้หยุดเพราะจะตายจากการขาดอากาศหายใจซะให้ได้

      “ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมไม่ใช่อย่างที่คิด” 

      “บ้า”  หน้างอๆ ที่บอกอาการไม่ถูก ทำให้เด็ดขาดหลุดเสียงหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง ยิ่งทำให้เด็กน้อยหน้าขึ้นสีระเรื่อซุกแนบอกเขายิ่งกว่าเดิม

      “กลับบ้านกันนะ...” 

      “ฮะ..เหนื่อยจัง...”

      “หนู!...หนู!!...”  ภูมิรพีเขย่าร่างที่แน่นิ่งไปซะเฉยๆ ของคนในอ้อมกอดอย่างร้อนรน  “เข้ม!! วิทยุเรียกฮอฯ รึยังว่ะ น้องต้องการหมอด่วน!!”

      “คนดีของภูมิทนอีกนิดนะ เดี๋ยวเราจะถึงบ้านแล้ว...” 

       อ้อมแขนแกร่งกอดกระชับร่างไร้สติของน้ำนิ่งแน่นขึ้น ริมฝีปากได้รูปวนเวียนจูบทั่วหน้ากลางกระหม่อมครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างรักใครห่วงแหน


.........................................






-ต่อข้างล่างอีกนิดหน่อยนะจ๊ะ-

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_ร่างกายที่ขาดลมหายใจไม่อาจอยู่ได้ P.9_1542016
เริ่มหัวข้อโดย: WiChy ที่ 15-04-2016 23:27:13
      ผมกับน้ำนิ่งได้รับการดูแลรักษาอย่างดีแทบจะไม่ได้กระดิกตัวทำอะไร กระต่ายของเฮียเซนกับชาวคณะจัดการให้หมด ส่วนเฮียผมน่ะเหรอมีแค่สายตาโกรธเคืองส่งมาให้ตลอดสองวันแรก ไม่เข้ามาดู ไม่พูด มันดูแลน้ำนิ่งอย่างดีพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกอย่างมีความสุขสองคนพี่น้อง แต่ไม่เคยเฉียดใกล้เตียงผมทั้งที่อยู่ข้างๆ กัน

       เย็นวันที่สองนั่นแหละเราถกเถียงหน้าดำหน้าแดงเพราะแผลใหญ่ของพวกเรา มันให้ทำศัลยกรรมแต่เราสองคนไม่อยากทำ คือผมกับเด็กน้อยไม่ได้อะไรอยู่แล้ว สำหรับผมถึงน้ำนิ่งจะเป็นยังไงผมก็รักของผมอยู่แล้วไงไม่มีทางเปลี่ยนใจเพราะแผลเป็นนั่นอยู่แล้ว น้ำนิ่งเองก็เหมือนกัน แต่ประเด็นมันมากกว่านั้น


      ‘งานนี้มึงผิดเต็มๆ นะ ที่เฮียไม่พูดไม่ใช่จะปล่อยผ่าน สำนึกด้วยว่ามึงทำอะไรไป ของนอกกายนั่นนะเฮียไม่เคยห่วงไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่ที่ห่วงและเสียใจคือ น้องกูแมร่งไม่รักตัวเอง ไม่เคยคิดถึงจิตใจคนอื่นเลยต่างหาก ถ้าผลมันไม่เป็นอย่างที่มึงคิด ใครจะเสียใจที่สุด..มึงรู้แก่ใจดีครับ ครอบครัวนะโว้ยไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง เราทุกคนต้องดูแลกัน มันต้องดูแลกัน ถ้าคนนึงหายไปจากกรอบสายตาหายไปจากความรู้สึกมันจะเรียกว่าครอบครัวได้ยังไง ชีวิตมึงไม่ใช่ของมึงคนเดียวตระหนักไว้ด้วย’


      สิ่งที่มันพูดผมไม่สามารถหาคำใดๆ มาโต้แย้งได้ มีแต่ความเงียบงันระหว่างเรา ผมรู้และเข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไง บาดแผลนั่นเป็นแค่อุทาหรณ์อันสมเหตุสมผลที่มันยกขึ้นมาให้ผมคิดบนพื้นฐานของความไม่ประมาท

      บาดแผลหนักหนาสาหัสแค่ไหนสามารถรักษาได้ ตกแต่งให้สวยงามแค่ไหนก็ย่อมทำได้ แต่ชีวิตที่แตกดับสูญเสียไปต่อให้หมอเทวดาเก่งกาจแค่ไหนก็ไม่อาจเรียกเอาชีวิตกลับคืนมาได้...ผมเข้าใจดี
 
       เสี่ยเซนก็คือเสี่ยเซน เวลาที่มันโมโหผมก็ไม่อยากจะยุ่งกับมันนักหรอก ก็คนมันบ้ามันเยอะ สุดท้ายผมได้แต่ทอดถอนใจหนักหน่วง จนด้วยเหตุผล มันถอนหน้าใจหนักหน่วง แววตาที่สบกันบอกให้รู้ว่ามันห่วงพวกเราแค่ไหนทำไมผมจะไม่รู้


      “เฮียโกรธมากรู้ใช่ไหม จำไว้อย่าทำอย่างนี้อีก”


      “ขอโทษครับ”


      “ไม่ใช่แค่เฮียที่รักและเป็นห่วง ป๋า แม่ น้อง คนอื่นๆ อีก อย่าลืมขอโทษเขาด้วย”


      “ครับ”

      ผมก้มหน้าลงยอมรับกับสิ่งที่ตัวเองทำ มันดึงผมเข้าไปกอดแน่น ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันอ้อมกอดนั่นเคยอบอุ่นยังไงวันนี้ก็ยังเหมือนเดิมแถมมากกว่าเดิม “พี่ชายของผม”  ครอบครัวของผม



       หลังจากวันนั้นอย่าต้องให้พูด ผมกับเด็กน้อยจะทำอะไรได้ เฮียแกจัดการหมดทุกอย่าง สองวันถัดมาคุณหมอเจเรมี่ศัลยแพทย์มือดีซึ่งเป็นเพื่อนมันถูกเรียกตัวด่วนให้มารักษาเราทั้งคู่จนได้ คุณหมอบ่นกระปอดกระแปดเพราะเพิ่งได้วันหยุดยาวครั้งแรกหลังจากเข้าทำงานมาสองสามปีกะจะใช้วันหยุดให้เต็มที่กับคนสำคัญประกอบกับไม่พอใจกับคำขู่ของเฮียมัน คุณหมอเลยขู่มันกลับบ้างแต่คิดว่าเฮียเซนจะสน ข่มขู่กลับนั่นยังน้อยไป...

       กักตัวคนของตัวเองแต่เป็นคนสำคัญของคุณหมอไม่ให้เจอกันนี่สิเจ็บแสบกว่า...ไอ้บ้านั้นก็ดั้นทะลึ่งปฏิบัติตามคำสั่งเจ้านายอย่างเคร่งครัดซะอีก เอากะเขาสิถ้าคนของมึงอยู่กับกูๆ ไม่ให้มึงเจอ อยากรู้มึงจะใช้ช่วงพักร้อนยังไง...ทั้งเจ้านายลูกน้องบทมันจะกวนตีน ผมได้แต่ส่ายหน้าชั่วโมงนี้นึกเห็นใจคุณหมอเจเรมี่ที่สุด


      งานนี้ถ้าไม่กล่าวถึงพี่เอ็กซ์ พี่ณิต เด็ดขาด ก็คงจะเป็นการเพิกเฉยต่อความดีของเขาเหล่านั้นเกินไป สามคนนี่สนธิกำลังฝ่ายรัฐบาลของกะญาญอและหน่วยรบพิเศษโจมตีโอบล้อมเข้าจับกุมพวกมันทั้งหมดได้ทันเวลา ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ win – win  รัฐบาลกะญาญอได้ปราบกบฏกลุ่มนี้แบบถอนรากถอนโคน รัฐบาลฝ่ายเราได้ทำลายขบวนการบ่อนทำลายชาติไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว

      แต่ที่น่ายินดีคงไม่มีอะไรเกินผลชันสูตรพลิกศพยืนยันแล้วว่าคนที่ตายเป็นไต่ชินหยางจริงไม่ใช่ร่างโคลนนิ่งแน่นอน  ผลดีเอ็นเอจากศพตรงกับดีเอ็นเอที่นิติเวชมีอยู่.ปิดฉากตำนานมหากาพย์ ACE ภาคไต่ชินหยางแบบจบบริบูรณ์ พี่ณิตพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนบินกลับด่วนเห็นว่าเด็กที่บ้านง่องแง่งว่างั้น .ก็หวังว่ามันจะจบแล้วจริงๆ



      ยังมีเรื่องที่น่ายินดีอีกเรื่อง บ๋อมเพื่อนรักของน้ำนิ่งพวกเราช่วยออกมาได้ แต่สภาพร่างกายจิตใจบอบช้ำแทบไม่เหลือชิ้นดี สิ่งสำคัญสำหรับบ๋อมตอนนี้คือ กำลังใจและใครสักคนที่เข้าใจไม่ตำหนิเขาในสิ่งที่เกิดขึ้น 

      แต่อนิจจาพ่อ แม่ ครอบครัวของบ๋อมไม่ใช่อะไรที่เราจะคาดหวังได้ คนพวกนั้นไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ยอมมาเจอบ๋อมเพียงเพื่อมอบคำผรุสวาทหยาบคายถึงขนาดตัดเป็นตัดตายขาดความเป็นพ่อแม่ ญาติสนิททางพ่อที่บ๋อมให้ความเคารพนับถือเคยมาเยี่ยมครั้งหนึ่งแต่คนนั่นก็มาพร้อมกับสายตารังเกียจเดียดฉันท์และคำติเตียนเช่นกัน ต่อให้ผมได้ยินอะไรแบบนี้มาเป็นร้อยครั้ง ก็ไม่ชัดเท่ากับเจอกับตัวในวันนั้น 

       เราตัดสินหนังสือจากปกไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น พ่อแม่ครอบครัวของบ๋อมก็เช่นเดียวกัน

      ปมที่ตกตะกอนขุ่นในใจผสมกับสิ่งที่ครอบครัวทิ้งไว้ ทำให้เด็กนั่นขาดสติยั้งคิดใช้อารมณ์ชั่ววูบติดสินถูกผิดให้ชีวิตตัวเองโดยไม่ลังเล..

       บ๋อมปลิดชีวิตของตัวเองด้วยการกรอกแอลกอฮอร์บริสุทธิ์ผสมยานอนหลับเกือบห้าสิบเม็ดที่ขโมยจากนางพยาบาลเพื่อฆ่าตัวตาย แต่บุญรักษาน้ำนิ่งไปเจอซะก่อน นำตัวเข้าล้างท้องได้ทัน เด็กผมร้องไห้หนักเฝ้าโทษตัวเองใหญ่ว่าละเลยเพื่อน หลังจากเพื่อนออกจากห้องไอซียูก็ไม่ยอมทิ้งให้อยู่คนเดียวอีก ถ้าเขาไม่อยู่ก็จะมีพวกพี่ๆ อยู่เฝ้าตลอด หลายครั้งผมเห็นบ๋อมร้องไห้ปากพร่ำแต่คำว่าขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า น้ำนิ่งต้องปลอบกันอยู่นานกว่าจะสงบ
 

      ‘เพื่อน มิตรภาพที่ตัดไม่ขาด’


       บางครั้งชีวิตเป็นเหมือนเส้นตรงที่ไม่สลับซับซ้อนคดโค้ง แต่นั่นไม่ได้หมายความ ข้างหน้านั้น จะไม่มีทางแยก กรณีบ๋อมก็เช่นเดียวกันชีวิตเด็กนั่นสับสนเกินกว่าจะตัดสินใจเดินเองด้วยซ้ำ ต้องมีใครสักคนที่จริงใจพร้อมสละเวลาเดินเคียงข้างเขาแล้วก้าวข้ามทุกปัญหาไปพร้อมกัน

       ผมคิดถึงคนๆ หนึ่งที่จะช่วยฉุดรั้งจิตวิญญาณของบ๋อมให้ก้าวผ่านมันไปได้ ‘คุณนายเกลล์’ ใช่แม่ผมเอง ผมไม่ต้องอธิบายอะไรยืดยาว คุณนายบอกแค่ว่า

       ‘หนทางที่ดีที่สุดที่จะลืมปัญหาของตนเอง ก็คือการช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อื่น เมื่อเผชิญปัญหาใหญ่แบบโกลิอัท จะตอบว่า มันใหญ่เกินไป สู้ไม่ไหว หรือจะตอบแบบดาวิทว่า ถ้าใหญ่แบบนี้ ข้าไม่พลาดแน่’  แต่ก่อนวางโทรศัพท์มีการข่มขู่อีกว่าผมสามคนพี่น้องตกกระป๋องแน่ หมาหัวเน่าสามตัว ผมสวนกลับทันควันว่าใครจะสนกัน แล้วเราก็หัวเราะกัน

      สามสัปดาห์ที่อยู่โรงพยาบาลคุณนายสไกป์คุยกับบ๋อมเป็นชั่วโมงทุกวัน พอคุณนายวางสายต่อด้วยเด็กผม กระต่ายของเฮียเซน พวกพี่บอดี้การ์ดสับเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่กับบ๋อมไม่เคยขาด สภาพจิตใจเด็กน้อยดีขึ้นพร้อมกับร่างกายแข็งแรงสีหน้ามีเลือดฝาดมากขึ้น

       เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคุณนายให้อันเดรียมารับบ๋อมกลับบ้านที่ออสเตรเลีย น้ำนิ่งงอนเพื่อนหาว่าทิ้งเขาไว้ที่นี่กับหมาป่าซะงั้น ตลกมากเด็กผม บ๋อมต้องปลอบอยู่นานกว่าจะยอมปล่อยให้ขึ้นเครื่องได้ เด็กหนอเด็กปิดเทอมก็ได้เจอกันแล้วจะอะไรนักหนาเฮ้อ...


       เรื่องของบ๋อมภาคนี้จบลงอย่างสวยงามเหมือนข้าวสวยที่หุงขึ้นหม้อ แต่ชีวิตภาคใหม่โลกใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มจะข้าวสวยหรือข้าวสุกหุงขึ้นหม้อหรือไม่ก็ต้องรอเปิดหม้อก่อนถึงจะรู้...


      ส่วนเรื่องของเฮียเซนกับคานินน่ะเหรอผมมันก็จบบริบูรณ์ในตัวของมัน แต่วันข้างหน้าจะยังไงต่อ มันไม่ใช่เรื่องของผมไม่อยากจะยุ่งกับหมาบ้าตัวนั้นเท่าไรเอาจริงๆ


.......................................







ณ ห้องพักคนป่วย สามวันหลังจากถล่มค่าย


      ภูมิรพีขยับตัวลงจากเตียงของตัวเองอย่างยากลำบากเพราะแผลตรงขามันตึงๆ เดินไปที่เตียงของน้ำนิ่ง โน้มตัวไปโอบกอดร่างบางที่กำลังหลับไว้แนบแน่นจนคนป่วยอีกคนลืมตาตื่น

      “รู้ไหมว่าเป็นห่วงใจแทบขาด” 

      “ภูมิ”  ดวงตาสีหวานเบิกกว้างส่งเสียงแหบเครือเบาๆ เนื่องจากยังมีอาการไข้อยู่ “ทำไมไม่นอนพักล่ะฮือ....”

       ภูมิรพีไม่ได้ตอบคำถาม หากโน้มกายสูงใหญ่ลงจูบหน้าผากชื้นเหงื่อและย้ำอยู่หลายครั้งหลายคราว ก่อนจะลากไล้ลงมาสัมผัสริมฝีปากอวบอิ่ม ในความรู้สึกของคนตัวโตแม้จะแห้งแตกจากพิษไข้แต่ก็ยังน่าจูบอยู่ดี เคล้าเคลียจนคนป่วยต้องยอมเปิดรับความห่วงหาอาทรผ่านสัมผัสอ่อนโยน

      เวลาในห้องพักคนป่วยอันสงบเงียบหยุดลง มีแต่เสียงจูบแผ่วเบาเจือความหวานละมุนแขวนลอยในอากาศ ลำแขนเรียวเล็กยกขึ้นโอบรอบลำคอหนาตอบรับทุกความรู้สึกที่ท่วมท้นส่งผ่านปลายลิ้นอุ่น เนิ่นนานกว่าทั้งสองจะผละใบหน้าออกจากกัน

      ปลายนิ้วแกร่งเกลี่ยโหนกแก้มอุ่นร้อนแผ่วเบา จากนั้นประทับรอยจูบร้อนลงบนหว่างคิ้วร่างบางนิ่ง แววตาสีแปลกจ้องลึกในดวงตาแววหวานของอีกฝ่าย

      “ขอโทษที่วันนั้นหนูเอาแต่ใจ จนเกิดเรื่องหลายอย่างขึ้น”

      “บางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องจำถ้ามันทำให้เราเจ็บ แต่ถ้าเรื่องนี้ควรจะเก็บเพราะมันเป็นความเจ็บปวดราคาแพงที่น่าจดจำไว้เป็นบทเรียน” ร่างบางรีบพยักหน้าตอบพร้อมรอยยิ้มละมุน

      “ชื่นใจ ขอบคุณเหลือเกินที่วันนี้ยังอยู่ด้วยกัน”  ริมฝีปากร้อนนาบจูบร้อนลงบนแก้มเนียนก่อนดึงมือติดสายน้ำเกลือขึ้นจูบหนักแน่น

      “แล้วบาดแผลของภูมิ?”  น้ำนิ่งพยายามยันตัวขึ้นมอง ปากเล็กแตะจูบลงแผลตรงไหล่บางเบาแล้วขยับออก มือเล็กอีกข้างยกขึ้นลูบไล้ไปทั่วหน้าก่อนจะหยุดที่หน้าผาก ชะโงกตัวขึ้นไปแตะจูบบางเบาก่อนจะผละออก แววตาหวานเต็มไปความความห่วงใยเจ็บปวด

      “ข้างเดียวกันเลย เจ็บมากไหม” 

      “ไม่เป็นไรแล้ว ห่วงก็แต่หนู...”  คนตัวโตเลื่อนสายตาสีแปลกตามรอยถลอกตามหน้าเนื้อตัวของคนใต้ร่างให้รู้สึกสะท้อนใจ อีกฝ่ายผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมาอยู่ตรงหน้าให้เขาเห็นตัวเป็นๆ

      น้ำนิ่งเอียงหน้าซุกกับมือใหญ่ของคนตัวโต พลางหลับตาซึมซับความเข้มแข็งทว่าอบอุ่นลงสู่ใจดวงน้อย มือนี้ที่โอบอุ้มทะนุถนอมปกป้องเขามาตั้งแต่เล็กจนโต อยู่เคียงข้างทุกครั้งที่เขาเรียกหา ปัญหาใหญ่น้อยแค่ไหนคนนี้แก้ปัญหาให้ตลอด แล้วเขาจะเกี่ยงงอนอะไรอีก ที่เขาต้องแคร์คือความรู้สึกของคนนี้ต่างหากไม่ใช่อะไรอื่น ชีวิตข้างหน้าไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว

      “ช่วยพี่อาแจ๊กซ์ได้ไหม เขาอยู่ไหน”  สีหน้าคนตัวโตนิ่งเรียบ ไม่มีคำใดรับรองว่า อาแจ็กซ์ปลอดภัยหลุดออกจากปากคนตัวโต แขนแกร่งโอบรัดร่างบางไว้แนบอก มือลูบหลังไปมาเหมือนจะปลอบประโลม

      “ทะ..ทำไม...”  เสียงถามเครือสะอื้น นัยน์ตาหวานวาววับด้วยหยาดน้ำใส

      “ซู่ ซู่ อย่าเพิ่งร้องได้ไหมล่ะ ภูมิยังไม่ได้บอกซะหน่อยว่าช่วยไม่ได้” 

       นิ้วแกร่งแตะลงบนริมฝีปากอิ่ม จมูกโด่งกดลงบนแก้ม นิ้วแกร่งสัมผัสรอยแผลบนหน้าผากพลางขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะจูบลงบนรอยแผลนั่นแผ่วเบาอ่อนหวาน ปากร้อนนาบจูบเลื่อนไปทุกจุดที่เป็นรอยแผลไม่ว่าจะหน้าตา ลำคอ เนื้อตัว

      “ดะ...เดี๋ยวฮือ...” 

       ปลายนิ้วสากลูบไล้ไปตามชายโครงก่อนจะนาบจูบร้อนตามรอยสัมผัสจนมาหยุดที่ยอดอกสีหวาน สัมผัสผะแผ่วทำให้ร่างบางครางหวาน มือขาวกำแขนแกร่งไว้แน่น ริมฝีปากอิ่มพรมจูบไปที่คอหนาลากไล้ถึงคางแกร่ง

       หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำ ปลายนิ้วเรียวเล็กสอดเข้าไปในผมดกหนาเมื่อตุ่มไตสีหวานถูกครอบครองหยอกเย้าจากลิ้นร้ายจนสะท้านไหว แผ่นหลังข่าวแอ่นโค้งยามถูกกอบกุมส่วนไวสัมผัสจากมือสากร้อน ร่างกายบิดไปมาเพื่อข่มอารมณ์หวามไหว

      “ลุง...”

       เสียงครางเครือคล้ายสะอื้นยามเห็นแสงสว่างจ้าอยู่ใกล้แค่เอื้อมถึง ผมบอกแล้วว่าจะไม่ทนกับคำนี้

       ภูมิรพีปิดริมฝีกปากอิ่มด้วยจูบอ่อนหวาน สัมผัสส่วนกลางลำตัวแข็งขืน กล้ามเนื้อเหยียดเกร็งบดเบียดคนใต้ร่างจนหลอมรวม เสียงลมหายใจสอดประสานลอยล่องในอากาศ ความโหยหาหวงห่วงถูกแทนที่ด้วยความสุขล้ำยามโอบกอด สัมผัสผิวกายของกันและกัน


      หลังพายุอารมณ์แห่งความโหยหาที่เติมจนเต็มล้นผ่านพ้นไป ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ดวงตาหวานกระจ่างใสสบดวงตาสีแปลก ริมฝีปากอิ่มแดงซ้ำคลี่ยิ้มอ่อนหวานมือเล็กโน้มคอคนตรงหน้าลงมารับจูบเบาๆ ศีรษะเล็กทุยซุกซบอกแกร่งระบายลมหายใจยาวกับความรู้สึกท่วมท้นที่ได้รับ

      “ทุกทีเลย แล้วตกลงพี่อาแจ็กซ์..”  คนตัวโตหลุดยิ้มกว้างกับหน้างอๆ แก้มพองๆ ของคนในอ้อมกอด

      “ก็ถือว่าปลอดภัยแหละ ถึงจะเดี้ยงไปสักหน่อย ถูกยิงจริงแต่กระสุนมันตุงอยู่ที่เสื้อกันกระสุน แรงปะทะทำให้เสียหลักลื่นตกเขาไปติดอยู่กิ่งต้นไม้ใหญ่ พวกมันคิดว่าตายแน่เลยไม่ได้ตามไปซ้ำ”

      “โอ๊ว!! ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย แล้วหนูไปเยี่ยมพี่เขาได้ไหม” 

      “คงจะไม่สะดวก”

      “อ้าว! ทำไมล่ะ หรือกลับไปแล้ว”

      “ยังไม่ได้กลับหรอก แค่ถูกคำสั่งห้ามเยี่ยมแล้วภูมิก็ไม่รู้ว่าเฮียเอาตัวไปรักษาอยู่ที่ไหน”

      “เอ๊ะ!  ยังไงกันล่ะ”

      “ช่างเฮียมันเถอะ ถ้าเขาโกรธจะสมน้ำหน้าให้”

       ร่างบางในอ้อมกอดพยักหน้ารับทั้งที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เรื่องนั้นรอได้มันไม่ได้สำคัญไปกว่าคนตัวโตที่นอนกอดกันตอนนี้สักหน่อย  สองร่างนอนกอดก่ายผลัดกันแลกเปลี่ยนจูบหวานละมุนอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย


       “มีคนบางคนบอกว่าร่างกายที่ขาดลมหายใจจะอยู่ไม่ได้...ภูมิเองก็คงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคนในอ้อมแขนคนนี้...ขอบคุณนะครับที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน”  เสียงกระซิบนุ่มริมหูอุ่นซ่านไปถึงหัวใจของกันและกันตราบเท่าลมหายใจจะขาดห้วงจากร่างกาย.














The End.







ปล.


จบแล้วค่ะ ไม่มี TBC. .ใดๆ ทั้งสิ้น อยากจุดพลุให้สมกับเป็นวันสุดท้ายของการเล่นสงกรานต์ปีนี้ ดีใจปริ่มเปรมที่เข็นจนจบได้ในที่สุด ที่มีวันนี้ได้เป็นเพราะทุกคนทำให้เรามีแรงบันดาลที่จะเขียนจนจบ...

ไม่มีอะไรมากมาย ขอบคุณและรักคนอ่าน รักมากมายที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนสุดท้าย (7-10-2015 - 15-4-2016) (นิยายก็เป็นอะไรที่สะท้อนตัวตนพอสมควร คราแรกจะทำให้เป็นแนวหวานๆ โรแมนติก แต่ทำไปทำมาเหมือน
จะแอ๊บใสไม่ไหว555 แอบจิตอ่อนๆ รู้สึกมีความสุขที่ได้ข่มเหงตัวละครที่อ่อนแอกว่า
มีโปรเจคอยากจะเขียนอีกเยอะแยะ เฮียณิตxพี หรือสามหนุ่มฉะฉาน แสนคม หนึ่งฤทัย หรือกรณ์อะเอ็กซ์
หรือเรื่องของเหล่าบอดี้การ์ด
ก็ได้แค่คิด...

แต่ยังไงก็ตาม...ขอบคุณมากกกกกกกกก

:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: กอดแน่นๆ แทนคำขอบคุณทั้งหมดจากใจเรา.
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_ร่างกายที่ขาดลมหายใจไม่อาจอยู่ได้ P.9_1542016
เริ่มหัวข้อโดย: LovEYouOnLy ที่ 16-04-2016 00:30:20
ขอบคุณน๊า ที่แต่งเรื่องราวดีๆมาให้อ่านจนจบ :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_ร่างกายที่ขาดลมหายใจไม่อาจอยู่ได้ P.9_1542016
เริ่มหัวข้อโดย: Soda.wine ที่ 16-04-2016 01:44:59
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: สนุกมาก
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_ร่างกายที่ขาดลมหายใจไม่อาจอยู่ได้ P.9_1542016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-04-2016 07:55:47
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 23-04-2016 10:30:41
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 23-04-2016 11:53:19
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 23-04-2016 11:56:33
จบลงด้วยดี  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 23-04-2016 14:37:58
ตามอ่านจนจบภายในสามสี่ชั่วโมง //ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆ แบบนี้นะครับ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 23-04-2016 20:19:18
 o13
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 23-04-2016 21:26:38
ลุ้นแทบแย่ว่าจะรอดออกมาในสภาพไหน
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกนะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-04-2016 22:09:14
 :pig4 :pig4: :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: boworange ที่ 24-04-2016 00:29:26
 :pig4:  ภาษาสละสลวยมาก. เราเพิ่งมาอ่านเจอ เนื้อเรื่องลุ้นน่าติดตามทุกตอน คนเขียนเก่งมากๆๆ ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆนะคะ.  :L1:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 24-04-2016 19:08:42
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 25-04-2016 16:16:59


จบแบบซึ้งๆ

จบแบบสวบงาม

นั่งลุ้นอยู่ตั้งนาน

ดีใจที่ไม่มีใครเสียเลือดไปมากกว่านี้

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: minniekook ที่ 26-04-2016 18:46:28
สนุกมากคะ มีให้ลุ้นตลอด รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 28-04-2016 13:46:49
 :z13:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 29-04-2016 11:28:53
มันมากเลย ตอนจบ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 18-05-2016 14:57:53
จบแบบนี้เลยหรอ เหมือนยังไม่เคลียร์
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 18-09-2016 08:56:56
อืม...... ...... .... ... .. . อ่านจบแล้วหละ

 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.9_น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา P.2 [22_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: LadyPant ที่ 29-05-2019 21:35:34
เด็กเลี้ยง


- 9 -

น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา






   “คุณดลฤดีเชิญผู้จัดการฝ่ายบัญชีมาพบผมหน่อยนะครับ”  ผมกดเครื่องต่อสายภายในบอกให้เลขาให้เชิญคุณสนีย์มาพบ ไม่ถึงห้านาทีผู้จัดการฝ่ายบัญชีก็มาถึง เธอกล่าวทักทายพร้อมส่งยิ้มหวานหยดมาให้ผม

   “สวัสดีค่ะเจ้านาย” 

   “นั่งสิ ที่ผมให้คุณทำไปถึงไหนแล้ว”  ผมเอ่ยถามเสียงราบ โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเพราะกำลังตรวจพิจารณาแฟ้มงบประมาณจัดซื้อ

   “ยังไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลยคะ ตะ แต่ว่าเออ..ดิฉันไม่รู้ว่าจะนำเรียนท่านดีไหม” เธอทำท่าอ้ำอึงเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ผมจำต้องเงยหน้ามองเธอด้วยความฉงนสงสัย

   “มีอะไรเหรอครับ คุณบอกมาเลย  แล้วผมจะตัดสินใจเองว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ”  ผมบอกก่อนจะเอนหลังในท่าสบายกับพนักเก้าอี้รอฟังสิ่งที่เธอจะบอก

   “คือเมื่อคืนดิฉันกับเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยไปงานเลี้ยงรุ่นกันที่ผับดาร์กแองเจิลแล้ว......”   เธอบอกเล่าถึงสิ่งที่เห็นเมื่อคืนอย่างละเอียดด้วยสีหน้าแดงระเรื่อระคนหวาดหวั่น


   “พวกเขาเห็นคุณรึเปล่า”

   “ไม่ค่ะโต๊ะดิฉันอยู่ตรงมุม แต่ก็สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งร้าน ดิฉันมีคลิปแล้วก็ภาพถ่ายของพวกเขามาด้วยคะ” 

   เธอตอบเสียงไม่มั่นคงนัก ก่อนจะวางแผ่นซีดีและภาพถ่ายสองสามใบลงบนโต๊ะ ผมหยิบภาพถ่ายขึ้นมาดูมันไม่ค่อยชัดนักแต่ก็พอจะ สันนิษฐานได้ว่าเป็นใคร 

   “ดิฉันกลัวว่าพวกเขาจะรู้ว่าถูกแอบถ่ายเลยไม่กล้าใช้แฟลต”  ผมไม่แปลกใจเท่าไรถึงสิ่งที่ได้ยิน  แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกล้าทำอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะ 

   “เรื่องที่คุณเล่าให้ฟังในวันนี้นับว่ามีประโยชน์มากทีเดียว ขอบคุณมาก ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปทำงานเถอะ  และหากมีความเคลื่อนไหวอะไรให้รีบรายงานผมโดยตรงได้ตลอดเวลานะครับ” 

   “ค่ะท่าน  ดิฉันขอตัวนะคะ”  เธอส่งยิ้มหวานก่อนจะลุกเดินออกไปทำงาน

   “เชิญครับ”  ผมเก็บภาพและแผ่นซีดีใส่ซองแล้วจึงสอดไว้กระเป๋าทำงาน  ก่อนที่สมาธิจะจดจ่ออยู่กับงานที่อยู่ตรงหน้า






   “สวัสดีครับ..”  ผมกดรับสายหลังจากชำเลืองดูว่าใครเรียกเข้ามา ฝ่ายนั้นไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไรนอกจากคำทักทาย

   [.....]

   “ครับแบบนั้นก็ได้ สวัสดีครับ” 

   ผมครุ่นคิดตามและรับคำอย่างง่ายดายตามที่ฝ่ายนั้นเสนอมา  มือยังกำโทรศัพท์ไว้แน่นหลังจากฝ่ายนั้นกล่าวลาและตัดสายไป  ผมเอนศีรษะพิงกับพนักเก้าอี้หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ยกมือขึ้นกดคลึงขมับที่กำลังปวดตุบๆ จากความเครียดของปัญหาที่สะสมมาหลายวัน เรื่องต่างๆ ชักจะบานปลายใหญ่โต  ถ้าผมไม่อยู่เด็กจะเป็นยังไง....


    ผมนั่งจมอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงประตูที่เปิดเข้ามา รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีเสียงทักจากคนที่เข้ามาใหม่  ผมลืมตาแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะยกหัวขึ้นมองคนที่เดินเข้ามาใหม่ เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงส่งยิ้มเต็มหน้าไปให้ ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปกอดทักทายด้วยความดีใจ

   “เฮ้!  ไอ้สิงห์ คิดถึงพี่มึงมั้ย”  เสียงพี่แสนนำเข้ามาก่อน

   “พี่ๆ สวัสดีครับ”  ผมยกมือไหว้พี่ทั้งสาม เชิญให้พวกพี่มันนั่งก่อนจะเดินไปบอกเลขาให้หาเครื่องดื่มของว่างมาให้พวกพี่มัน

   “คิดถึงวะพี่”  ผมพูดกับพวกพี่ๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยวข้างพี่ฉาน 

   “คิดถึงพวกมึงที่ไทยเหมือนกัน อยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนบ้านเรา”  พี่ฉานบอก

   “แล้วน้ำเป็นไงมั้งวะตอนนี้ ชักคิดถึงแก้มนิ่มๆ น้องวะ”  พี่หนึ่งเอ่ยถาม ส่งยิ้มกว้างขวางน่ารักเมื่อพูดถึงน้ำนิ่ง

   “เออใช่วะ เจอครั้งสุดท้ายรู้สึกน้องจะอยู่ ม.1 คงโตขึ้นมากแล้วสิ  อยากฟัดแก้มนิ่มๆ ของมันวะ”  พี่แสนไปอีกคนแล้วครับ

   “เปรี้ยวปากอยากกินเด็กกูบอกตรงๆ เลย”  พี่ฉานเอ่ย พร้อมทำตาเจ้าชู้ล้อเลียน 

   “พอเลยๆ  นั่นเด็กผมนะ  พูดแบบนี้ชักไม่อยากให้เจอแล้ววะพี่ หวง!! นี่จากใจเลยบอกตรงๆ”  ผมพูดดักทางเสียงเข้ม ถ้าไม่ปรามไว้ก่อนมีแกล้งหนักๆ ครับ

   “เออ ๆ ก็รู้เด็กมึง แต่พวกกูพี่มึงนะแล้วนั่นก็น้อง  หวงวะมึง กูก็รักมันนะไอ้นี่”  พี่แสนพูดเชิงตัดพ้อ อีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของพี่แสน

   “มึงก็รู้ว่าน้องมันหวงของมัน ยังจะแหย่มันอยู่ได้พวกมึงนี่”  พี่ณิตผลักหัวพี่คมเบาๆ

   “ก็ล้อเล่น...แต่คิดถึงน้องจริงๆ นะเว้ย”  พี่หนึ่งทำเสียงล้อเลียน

   “กูก็ล้อเล่น แต่รักน้องนะของจริงฮ่า ฮ่า  ตกลงเรื่องที่ณิตมันพูดนี่ จริงหรือเปล่าวะ”  พี่แสนพูดล้อ ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นเป็นจริงจังในตอนท้าย

   “จริงพี่”  ผมยืนยันสิ่งที่พี่เขารู้มา

   “พวกกูสงสารแม่ว่ะไว้ใจญาติตัวเองเกินไป  แต่อย่างว่าแหละสันดานคนมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวไม่เกี่ยวกับต้นตระกูล”  พี่หนึ่งแสดงความคิดเห็น

   “เรื่องน้องได้ยินแมร่งโคตรขึ้นเลย ถ้ากูรู้ว่าใครนะแมร่งจะตัดมันไม่ให้เหลือตอเลย แล้วตกลงมึงเอาไงวะสิงห์”  พี่แสนพูดเสียงเข้มเย็นด้วยความโมโห

   “เดี๋ยวค่อยคุยกันเย็นนี้ที่บ้านผมนะพี่  ไปพบแม่ก่อนดีกว่าโทรมากำชับตั้งหลายรอบกำชับแล้วว่าถ้าพวกพี่มาให้รีบเข้าไปหาทันที ผมว่าป่านนี้ชะเง้อหาแล้วมั้ง”

     ผมกล่าวตัดบทก่อนจะชวนกันเข้าไปหาแม่ที่เรือน  หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จผมขอตัวออกมาก่อนเพราะมีประชุมที่บริษัท 




    มีใครอยากรู้รึเปล่าว่าคนพวกนี้เป็นใคร แต่ถึงจะไม่อยากรู้ผมก็ยินดีจะเปิดโปงตีแผ่ความหลังอันระทมขมขืนของชายเหล่านี้ให้ได้รู้กันอยู่ดี  เราทั้งหมดเป็นเด็กกำพร้าจากเรือนชิดชล  แม้จะไม่ใช่พี่น้องร่วมอุทรแต่เมื่อชะตาต้องกันก็รักกันเป็นพี่น้องได้ครับ 

   พี่แสน หรือ นายแสนคม  บุลวัชร  ชายไทยไซด์ฝรั่งกับความสูง 193 เซนติเมตร  หล่อไม่มากแต่ท่ายากพี่แกแยะ นิสัยเฟลนลี่ คุยสนุก ค่อนข้างเจ้าชู้ขอแค่ถูกใจจะชายหรือหญิงแสนไม่เกี่ยง จึงเป็นเหตุ และผลให้พวกนั้นเที่ยวไล้เที่ยวขื่อตบตีแย่งชิงให้ได้มีอะไรสักครั้งกับแสน   พี่แกชอบทำชีวิตให้เหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ  แต่ในเรื่องเล่นพี่มันจริงจังครับ อย่าให้ของขึ้นนะ..บรรลัยคำเดียวเลย อาชีพนะเหรอทหารรับจ้างถ้าเบื่อก็เปลี่ยนบรรยากาศไปเป็นบอดี้การ์ดบ้างเป็นครั้งคราว

   พี่ฉาน หรือ นายฉะฉาน  บุลวัชร  หนุ่มรูปงาม  192 เซนติเมตร ไหล่กว้าง  เอวสอบ กล้ามแขนขา หน้าท้อง สมส่วน  (โครงร่างรูป Y สมบูรณ์แบบมาก) ผมว่าพี่ฉานน่าจะเป็นลูกครึ่งซักสัญชาติมากกว่าชายไทย เพราะ ผิวงี้ขาววิ๊งอมชมพู ผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศกนิดๆ  ปากด้านบนเป็นรูปกระจับด้านล่างมีรอยบุ๋มกลางสีออกชมพูระเรื่อทั้งที่สูบบุหรี่เยอะหยั่งกะเป็นเจ้าของโรงงานยาสูบซะเอง (ผมแอบได้ยินพวกผู้หญิงที่พี่แกเคยควงนินทาว่าปากพี่แกเป็นปากที่น่าจูบที่สุด) นิสัยนิ่งๆ แต่โหดไม่เข้ากับหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตรกรีกสักนิด  ความท้าทายและเสี่ยงตายทุกชนิดฉะฉานชอบ จึงเป็นที่มาของอาชีพทหารรับจ้าง  ถ้ารวมพี่หนึ่งเข้าไปด้วยอีกคนนี่น่าเรียกได้ว่าคี่ซี่มหาประลัยกันเลยทีเดียว

   เรื่องราวของสองคนนี้เริ่มจากตำรวจเข้าทลายกวาดล้างการค้ามนุษย์ (Human Trafficking) แก๊งค์ใหญ่ที่มักจะนำเด็กที่ล่อลวงมาไปนั่งขอทานตามหน้าร้านสะดวกซื้อ หน้าโรงเรียน ร้านอาหาร ส่วนพวกที่  โตหน่อยก็บังคับให้ขายของตามสี่แยกไฟแดง การกวาดล้างครั้งนั้นช่วยเหลือเด็กไว้ได้สิบคน  ตำรวจส่งตัวเด็กมาไว้ที่มูลนิธิสงเคราะห์ เด็กและสตรีก่อนที่จะแจ้งให้พ่อแม่ ผู้ปกครองมารับเด็กกลับบ้าน 

    เด็กคนอื่นๆ มีพ่อแม่ ผู้ปกครอง มายืนยันตัวบุคคลและขอรับเด็กกลับไปหมดตั้งแต่ข่าวการกวาดจัดทะลายแก๊งค์เผยแพร่ออกไป  แต่สองนี่หลายเดือนผ่านไปก็ยังไม่มีใครมาขอรับซักที ทางมูลนิธิเลยส่งต่อมาที่เรือนชิดชล  สองคนอยู่ที่เรือนจนจบระดับมัธยมปลายก่อนจะได้ทุนสนับสนุนการศึกษาจากมูลนิธิแห่งหนึ่งของต่างประเทศให้ต่อระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงของสหรัฐ  หลังจบปริญญาตรีทั้งคู่สมัครเข้ารับราชการทหารในกองทัพ ก่อนจะลาออกมาเป็นทหารรับจ้างแถบตะวันออกกลางอยู่หลายปี (สองคนนี้อายุเท่ากัน  แต่พี่ฉานอ่อนกว่า 3  เดือน  และพวกพี่มันอายุมากกว่าผม 3  ปี)

   พี่กรณ์ หรือ  ร.ต.ท.กรณ์  บุลวัชร  หนุ่มหล่อมาดนิ่งสไตล์เกาหลีกับความสูงราว 191  เซนติเมตร  ลักษณะทางกายภาพที่เถื่อนด้วยรอยสัก  ‘Birth of the angel’  เต็มหลัง รอยสักนี้พี่กรณ์บอกว่าหมายถึง “การเกิดใหม่ของความหวัง”  เราทำทุกอย่างได้เพียงแค่ไม่สิ้นความวาดหวัง พี่มันบอกเราทุกคนแบบนั้น  ถัดขึ้นมาอีกนิดเป็นสักยันต์พุทธคุณที่ขนาดพอเหมาะตรงต้นคอด้านหลัง  แขนข้างซ้ายเป็นลายมังกรเกี่ยวกระหวัดพันรอบแขนตั้งแต่หลังมือ (ส่วนหาง) ไปจนถึงต้นแขน (ส่วนหัว) ซึ่งหมายถึง “จิตวิญญาณของการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีขึ้น” 

         สุดท้าย นิ้วกลางข้างซ้ายเป็นรูปหน้าสิงโตตัวผู้ ข้างขวาเป็นหน้าสิงโตตัวเมีย  หมายถึง “การอยู่เย็นเป็นสุขหรือรู้อยู่”  พี่กรณ์เป็นคนที่เชื่อเรื่องเวรกรรมและการปฏิบัติดีตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด  แต่ก็อีกนั่นแหละอย่างให้พี่มันของขึ้นบึ้มได้เหมือนโก้โก้ครั่น

   จากประวัติของตำรวจระบุว่า แม่พี่กรณ์ชื่อ ช่อฟ้า เป็นสาวเหนือที่หนีความยากจนเข้ามาหางานทำในเมืองใหญ่  รู้จักกับแม่เลี้ยงนิรมนสาวใหญ่ใจดีเจ้าของร้านนวดแผนไทยที่ชื่อ Butterfly Spa & Massage บนรถไฟแม่เลี้ยงชักชวนให้ช่อฟ้าไปทำงานด้วยกัน  ความอ่อนต่อโลกทำให้ช่อฟ้าตอบตกลงทันทีอย่างไม่ลังเล กล่าวขอบคุณแม่เลี้ยงซ้ำๆ ในความเอื้ออารีนั่น  โลกสวยงามที่ช่อฟ้าได้สัมผัสในไม่กี่ชั่วโมงต่อมาที่แท้มันคือนรกสำหรับช่อฟ้าดีๆ นี่เอง

   เธอถูกแม่เลี้ยงมอมยาขายแขกชาวต่างชาติที่นิยมเสพพรหมจรรย์ในราคาสูงลิ่ว และแขกคนเดิมขอออฟต่ออีกสองเดือนระหว่างที่พักอยู่ไทย  เธอถูกบังคับให้มีเซ็กซ์วันละไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง  ถ้าขัดขืนก็ถูกทำให้เจ็บ ในแต่ละวันของเธอผ่านไปด้วยความชาชินไร้ความรู้สึกไม่รับรู้ถึงตัวตนของตัวเอง  ครบสองเดือนเธอ  ถูกส่งตัวคืนให้แม่เลี้ยงและถูกขายต่อทันทีให้ชายต่างชาติอีกคน ขณะที่กำลังจะออกจากร้านตำรวจนำกำลังเข้าทะลายและจับกุมแม่เล้านิรมลที่เปิดร้านนวดแผนไทยแฝงขายบริการทางเพศได้ทันควันในข้อหาล่อลวง กักขัง หน่วงเหนี่ยว บังคับข่มขู่ให้ขาดซึ่งอิสรภาพ กระทำต่อบุคคลอื่นโดยเจตนาเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบสำหรับตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะยอมหรือไม่ก็ตาม   

   ช่อฟ้าถูกนำตัวส่งให้เรือนชิดชลในสภาพที่เลื่อนลอย  จึงถูกส่งตัวเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูสภาพจิตใจกับจิตแพทย์นานนับเดือน  สภาพแวดล้อมที่ดี การเอาใจใส่ปฏิบัติต่อเธออย่างดีทำให้สุขภาพจิตของเธอดีขึ้นตามลำดับพร้อมกับเมล็ดพันธุ์ที่สวยงามกำลังเจริญเติบโตในครรภ์ของเธอ 

    “ลูก”  แรงผลักดันยิ่งใหญ่ให้เธออยู่ต่ออย่างมีความหวัง  เก้าเดือนต่อมาเธอให้กำเนิดบุตรชาย อ้วนท้วนสมบูรณ์ท่ามกลางความยินดีของแม่ๆ ในเรือนชิดชล ช่อฟ้าตั้งชื่อลูกชายว่า “กรณ์”  เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พ่อที่ตรอมใจตายเพราะความดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเองอย่างช่อฟ้า เธอเลี้ยงดูลูกชายด้วยตัวเองแค่สามเดือนก่อนจะขออนุญาตแม่ใหญ่ไปปฏิบัติธรรมที่บ้านเกิดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พ่อผู้ล่วงลับไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่  สำหรับกรณ์ถ้ามีบุญต่อกันก็คงจะได้เจอกันในสักวันหนึ่งข้างหน้าหากเธอไม่ตายเสียก่อน

    พี่กรณ์อยู่เรือนชิดชลจนจบ ม.6  ก่อนจะสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้จึงย้ายออกมาเช่าหอพักอยู่และหาพาร์ทไทม์ทำไปด้วย  ระหว่างเรียนพี่กรณ์ได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิแห่งหนึ่งจึงย้ายไปเรียนโรงเรียนตำรวจที่เวสต์พอยท์แทน  หลังจบการศึกษาเข้าทำงานหน่วยพิเศษให้รัฐบาลมาตลอด  (พี่กรณ์อายุมากกว่าผม 2 ปี)


   พี่หนึ่ง  หรือ นายหนึ่งฤทัย  โยชิฮาระ  บุลวัชร  ลูกครึ่งไทย – ญี่ปุ่น ร่างสูงโปร่ง 182 ซม.   ตาเรียวเชิดเหมือนตาหงส์  ปากบางอิ่มมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย จมูกเชิดงอน  ผิวขาวอมชมพูระเรื่อราวกับตุ๊กตาพอร์ซเลนเนื้อดี หน้าเล็กๆ สวยหวานปานผู้หญิง  (คงจะสวยเหมือนแม่ เพราะแม่ใหญ่บอกว่าแม่ของพี่หญิงสวยมาก)  หุ่นผอมเพรียวแขนขามีกล้ามน้อยๆ พองาม ผมยาวตรงดำขลับนุ่มราวกับไหมเนื้อดีถูกมัดรวบไว้กลางหลัง  ผมเตือนไว้ก่อนอย่าชมเด็ดขาดว่าสวย เจอเตะสะบักมาแล้วหลายราย

        ถึงจะหน้าตาแบบนั้นเคยอยู่หน่วยรบของทหารบกก่อนที่จะลาออกมาเป็นบอดี้การ์ด  ผมว่าความสูงของพี่หนึ่งก็ไม่ถือว่าเตี้ยนะมาตรฐานชายไทยปกติไปหลายช่วงตัว  แต่พอมันเข้ากลุ่มคี่มหาประลัย พี่มันตัวเล็กน่าทนุถนอมทันทีไง

   คนสวยเขาเป็นเด็กกำพร้าแบบไม่ถามความเห็นสักคำว่าอยากเป็นไหม  บ้านพี่หนึ่งเป็นบ้านเช่าหลังเล็กห่างจากเรือนชิดชลไปสามหลัง  แม่ใหญ่เล่าให้ฟังว่า แม่พี่หนึ่งตายเพราะเกิดอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน  เพื่อนบ้านแถวนั้นได้ยินเสียงเด็กร้องมาสองวันแต่ไม่มีใครมาเปิดประตู  เลยมาแจ้งให้แม่ไปดูเคาะประตูเรียกอยู่นานไม่มีคนมาเปิด

   แม่ใหญ่เลยตัดสินใจให้คนงัดประตูเข้าไปแทบผงะกับกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ภาพตรงหน้าทำให้แม้แต่คนที่ใจแข็งที่สุดยังร้องไห้ด้วยความเวทนาสงสาร  เด็กชายน่าจะอายุประมาณหนึ่งขวบนอนโอบกอดศพแม่ที่เริ่มขึ้นอืดมาตลอดสองวัน  ปากเล็กๆ ดูดนมจากอกแม่ด้วยความหิวโหย  กางเกงผ้าอ้อมเต็มล้นทะลักส่งกลิ่นคละคลุ้ง  แม่ใหญ่รีบเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมาในอ้อมกอด เด็กร้องไห้จ้าแขนเล็กไขว้คว้าหาคนเป็นแม่อย่างหดหู่และเวทนา  เอกสารที่ค้นเจอภายในบ้านบอกว่าพี่หนึ่งมีพ่อเป็นคนญี่ปุ่น แต่เสียชีวิตแล้วอยู่กับแม่สองคนในบ้านเช่าหลังนี้ 

   แม่ใหญ่ทำเรื่องรับพี่หนึ่งมาเลี้ยงที่เรือน  พี่หนึ่งอยู่เรือนชิดชลจนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย แล้วได้ทุนระดับปริญญาตรีจากรัฐบาลจากประเทศหนึ่งในแถบตะวันออกกลาง  หลังจบการศึกษาก็ทำงานใช้ทุนรัฐบาลในองค์กรด้านความมั่นคงเกือบสองปี ก็ต้องลาออกเพราะประสบอุบัติเหตุพักรักษาตัวอยู่นานกว่าร่างกายจะกลับมาใช้การได้เหมือนเดิม และถูกชักชวนให้ไปทำงานเป็นบอดี้การ์ดให้เศรษฐีน้ำมันชาวซาอุฯ  (พี่หนึ่งอายุมากกว่าผม 1 ปี)


   พี หรือ นายพีระณัฐ  บุลวัชร คนนี้มาพิมพ์เดียวกันกับพี่หนึ่งคือ ผมข้องใจพวกพี่จะสวยไปไหน ผู้ชายนะเว้ยเกรงใจผู้หญิงจริงๆ เขาบ้างไรบ้างเถอะครับขอร้อง  พีตัวเล็กบางกว่าพี่หนึ่งอีก สูงแค่ 179  เซนติเมตร ตากลมโตเหมือนตากวางมีแววหวาน  ขนตางอนยาว  ปากเรียวเหมือนคันธนูมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เวลาหุบปากนิ่งๆ ยังเหมือนยิ้มนิดๆ  ผิวขาวอมชมพูบางใสแทบจะเห็นเส้นเลือด แต่พยายามทำเป็นเข้มดุ  (อายุน้อยกว่าแต่ผมเรียกพี่ เพราะซ้อเป็นเมียพี่ณิตนี่ครับ)

   พี่ณิต (ตอนนั้นอายุ  13 ปี) เป็นคนไปเจอซ้อนอนอยู่ในห่อผ้าขนหนู ถูกทิ้งไว้ตรงที่ทิ้งขยะหลังโรงเรียนซึ่งเป็นป่าหญ้าสูงเกือบถึงเอว เส้นทางนี้ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมานักเพราะมันค่อนข้างเปลี่ยว แต่เผอิญวันนั้นเป็นเวรพี่ณิตรดน้ำแปลงผักของห้องซึ่งอยู่สวนเกษตรหลังโรงเรียนเลยกลับค่ำมาก ด้วยความขี้เกียจเดินย้อนกลับมาหน้าโรงเรียนพี่มันเดินกลับทางด้านหลังโรงเรียนแทนระยะทางไกลกว่าถึงเรือนก็เหมือนหมาหอบแดด

    ระหว่างที่ผ่านบริเวณที่ทิ้งขยะได้ยินเสียงร้อง แว๊ แว๊ ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงแมวทะเลาะกันก็ไม่ได้สนใจ  พอจะผ่านไปเสียงมันดังชัดขึ้นฟังดีๆ มันไม่ใช่เสียงแมว เลยเดินตามเสียงไปจนเจอเด็กถูกทิ้งไว้ในกองขยะเปียกกลิ่นนี่สุดจะทนแมลงวันบินแตกกระจายออกตอนที่พี่ณิตอุ้มเด็กทารกในห่อผ้าขึ้นแนบอกรีบวิ่งกลับเข้าไปในโรงเรียนอีกครั้งตรงดิ่งไปบ้านลุงหมานภารโรงประจำโรงเรียนอ้อนวอนเร่งเร้าให้แกเอารถมอเตอร์ไซด์อีแก่ของแกไปส่งที่เรือนด่วน 

    วันนั้นโกลาหลกันใหญ่ แม่รีบพาเด็กไปโรงพยาบาลด่วนเพราะตามตัวแขนขามีผื่นแดงลามเกือบทั่วตัว บางแห่งเป็นตุ่มใสแตกมีน้ำเหลืองเหนียวๆ ไหลออกมา ปรากฏว่า เด็กติดเชื้อสแตฟฟิโลคอกคัสออเรียส คุณอาหมอบอกว่าโชคดีเหลือเกินที่ไปเจอแล้วพามาโรงพยาบาลทันที  เชื้อแบคทีเรียไม่ลามเข้ากระแสเลือด  เด็กนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเกือบเดือน  ไม่มีเอกสารหลักฐานใดที่จะสามารถระบุตัวตนที่แท้จริงของเด็กได้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แม่ใหญ่จึงทำเรื่องขอรับเด็กมาอุปการะเลี้ยงดู ตั้งชื่อให้ว่า  ‘เด็กชายพีระณัฐ  บุลวัชร’  และมอบหมายให้เด็กชายคณิตดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดภายใต้การกำกับดูแลจากยายชื่น

   คุณคิดเหมือนผมไหมว่าการที่คนหนึ่งเจออีกคนแล้วตกหลุมรักทันที ยอมอ่อนข้อให้ด้วยความรัก ความห่วงใยทั้งหมดที่มีโดยไม่มีเงื่อนไข ว่ามันคือ  “พรหมลิขิต”  พี่ณิตก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน


   พี่ณิต หรือ  นายคณิต  บุลวัชร สูง  191 เซนติเมตร รูปร่างหนากว่าพี่กรณ์นิดหน่อย หล่อสไตล์ตี๋ๆ ตาเรียวเชิดขึ้นนิดๆ ผิวขาว รักจริงจังมั่นคงสนิทแนบแน่นอยู่คนเดียวซ้อคนสวยของเขาแหละครับ  พี่ณิตเป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาลัยของรัฐที่พี่เขาจบออกมานั่นแหละ นอกจากนี้ยังรับผิดชอบงานด้านโรงงานบริษัทแม่เล็ก อาจจะดูชิวๆ แต่โหดนะครับ ยิ่งถ้าเรื่องนั้นเกี่ยวกับซ้อพี่แกมีของขึ้น ขอเตือนอย่าแหย่เสือหลับ (พี่ณิตอายุไล่เลี่ยกับพวกพี่กรณ์)

   พี่ณิตกำพร้าเพราะจำเป็น  แม่นวลแม่ของพี่ณิตอุ้มลูกเข้ามาฝากกับแม่ทื่อๆ  ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายน้ำตานองหน้าละล่ำละลักบอกว่ากำลังจะตายเพราะมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย  ลูกชายไม่เหลือใครแล้ว เสี่ยกวง (ทายาทเจ้าสัวฟงชายชาวจีนอพยพที่ทำมาค้าขายในเมืองไทยจนร่ำรวย) ไม่ยอมรับว่าพี่ณิตเป็นลูก

   เสี่ยซึ่งเป็นคนกลัวเมียแต่งอย่างคุณนายใหญ่ (ลูกสาวเจ้าสัวไต้เพื่อนของเจ้าสัวฟง)  อยู่แล้วรีบบอกปัดกล่าวหาว่าแม่นวลให้ท่าร่านผู้ชายไปทั่วอ้าขาให้คนสวนคนขับรถเอาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนท้อง ลูกในท้องก็ไม่รู้ว่าเป็นลูกใคร  เพราะเครียดแค้นที่เสี่ยไม่ยอมเล่นด้วยจึงโยนความผิดมาให้  คุณนายใหญ่และคุณนายอีก 4  คน จึงไล่แม่นวลออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมาหาว่าเนรคุณกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา

   แม่ใหญ่ตกลงรับพี่ณิตมาเลี้ยงด้วยความยินดีและส่งตัวแม่นวลเข้ารับการรักษาที่ศูนย์มะเร็งโดยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด  แต่สองเดือนต่อมาแม่นวลก็สิ้นลมหายใจอย่างสงบที่ศูนย์ฯ นั่น 

   พอพี่ณิตอายุ 18 ปี แม่ใหญ่บอกให้พี่ณิตรู้ว่าเสี่ยกวงคือพ่อของเขา และพร่ำสอนว่าถึงแม้ครอบครัวนั้นจะไม่ยอมรับว่าเป็นลูกหลานก็ให้สำนึกบุญคุณ ถ้ามีโอกาสให้ไปหาพ่อไปไหว้สักครั้งเพื่อแสดงความกตัญญูรู้คุณที่พ่อให้เกิดมาและอโหสิกรรมต่อกัน

        พี่ณิตคิดอยู่นานจึงชวนผมไปบ้านนั้น พี่มันเข้าไปคนเดียวให้ผมรออยู่ข้างนอกไม่ถึงสิบนาทีผมได้ยินเสียงดังโหวกเหวกในบ้านจึงรีบลงจากรถวิ่งเข้าไปในบ้านเห็นชายฉกรรจ์ยกไม้ฟาดเข้าที่หัวที่ณิตจนแตกเลือดอาบ หญิงร่างท้วมอีกคนใช้ไม้กวาดฟาดตามเนื้อตัวไล่ตะเพิดพี่ณิตเหมือนหมูเหมือนหมาให้ออกจากบ้าน 

        ผมมองขึ้นไปเหนือบันได้ขั้นสุดท้ายชายวัยกลางคนชาวจีนท่าทางภูมิฐานยืนมองการกระทำนั้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนผู้หญิงที่ยืนข้างกันส่งสายตาวาวโรจน์ปากสีสดยกยิ้มสะใจ  จึงรีบเข้าไปดึงพี่มันขึ้นรถแล้วขับออกมา ตามเนื้อตัวเป็นรอยฟกซ้ำดำเขียวแผลตรงหัวเลือดไหลอาบเป็นทางเปรอะเสื้อผ้าแต่พี่มันไม่ยี่หระ  ตาเรียวแข็งกร้าวมือที่วางบนตักกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน  เสียงเย็นทุ่มต่ำที่เปล่งออกมาจากปากของพี่ณิตไม่เหลือเยื่อใย  ไม่มีอาวรณ์  ไม่เหลือแม้แต่ความชิงชัง 
พี่มันไม่เคยพูดถึงคนนั้นอีกเลยตั้งแต่วันนั้น

‘กูทำดีที่สุดแล้ว ไม่ได้อยากให้เขารับเป็นลูก ไม่ได้หวังสมบัติ แค่อยากให้เขารู้ว่าเคยมีแม่กับกูในชีวิต และขอบคุณที่ทำให้มีกูในวันนี้ 
น้ำหยดเดียวขอชดใช้ด้วยเลือดนี่  ไม่มีบุญคุณอะไรอีกแล้วที่กูต้องชดใช้เขาตลอดชีวิต







TBC.



ปล.

ผ่านไปอีกตอนกว่าจะเข็นออกมาได้ ก็ยังเรื่อยๆ ยังไม่มีอะไรมากนัก เป็นการตีแผ่ปูมหลังเล็กๆ ของคนในครอบครัวน้ำสิงห์
ก่อนที่เล่าเรื่องราวของพวกในโอกาสต่อๆ ไป (ถ้ามีเวลา และตราบเท่าที่ยังมีคนติดตาม)

ขอบคุณสำหรับการติดตาม อาจทำได้ไม่ดีนัก เห็นข้อผิดพลาดประการใดแนะนำกันได้นะครับ ยินดีรับฟังและแก้ไข

คณิตอายุรุ่นๆเดียวกับกรณ์
กรณ์แก่กว่าสิงห์2ปี (คณิตก็ต้องแก่กว่าสิงห์2ปี)
คณิตเจอพีตอนคณิตอายุ13
#แต่ไรท์บอกว่าสิงห์แก่กว่าพี1ปี
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 04-06-2019 05:53:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง__EP.9_น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา P.2 [22_10_2558]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 20-01-2021 03:59:27
   พี่กรณ์อยู่เรือนชิดชลจนจบ ม.6  ก่อนจะสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้จึงย้ายออกมาเช่าหอพักอยู่และหาพาร์ทไทม์ทำไปด้วย  ระหว่างเรียนพี่กรณ์ได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิแห่งหนึ่งจึงย้ายไปเรียนโรงเรียนตำรวจที่เวสต์พอยท์แทน  หลังจบการศึกษาเข้าทำงานหน่วยพิเศษให้รัฐบาลมาตลอด  (พี่กรณ์อายุมากกว่าผม 2 ปี)   
ไม่ใช่แล้ว ข้อมูลผิดหมดเลย
1.รร.นายร้อยตำรวจเป็นโรงเรียนประจำ ไม่มีสิทธิออกมาอยู่ข้างนอกเอง อาทิตย์นึงจะได้กลับบ้านวันเสาร์อาทิตย์ถ้าไม่ติดเวรหรือโดนลงโทษ
2.รร.นายร้อยเวสต์พอยท์เป็นรร.ทหารไม่ใช่ตำรวจนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 23-01-2021 22:36:59
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: