เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ  (อ่าน 116729 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
จบลงด้วยดี  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ตามอ่านจนจบภายในสามสี่ชั่วโมง //ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆ แบบนี้นะครับ

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ Lemon_Tea

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
ลุ้นแทบแย่ว่าจะรอดออกมาในสภาพไหน
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกนะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ boworange

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 537
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
 :pig4:  ภาษาสละสลวยมาก. เราเพิ่งมาอ่านเจอ เนื้อเรื่องลุ้นน่าติดตามทุกตอน คนเขียนเก่งมากๆๆ ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆนะคะ.  :L1:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0


จบแบบซึ้งๆ

จบแบบสวบงาม

นั่งลุ้นอยู่ตั้งนาน

ดีใจที่ไม่มีใครเสียเลือดไปมากกว่านี้

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ


ออฟไลน์ minniekook

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมากคะ มีให้ลุ้นตลอด รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ pogpax

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
มันมากเลย ตอนจบ

ออฟไลน์ Sohso

  • You are my precious thing And I will always love you.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1372
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
จบแบบนี้เลยหรอ เหมือนยังไม่เคลียร์

ออฟไลน์ แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-14
อืม...... ...... .... ... .. . อ่านจบแล้วหละ

 :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ LadyPant

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เด็กเลี้ยง


- 9 -

น้ำเพียงหยดที่ก่อเกื้อเป็นตัวเรา






   “คุณดลฤดีเชิญผู้จัดการฝ่ายบัญชีมาพบผมหน่อยนะครับ”  ผมกดเครื่องต่อสายภายในบอกให้เลขาให้เชิญคุณสนีย์มาพบ ไม่ถึงห้านาทีผู้จัดการฝ่ายบัญชีก็มาถึง เธอกล่าวทักทายพร้อมส่งยิ้มหวานหยดมาให้ผม

   “สวัสดีค่ะเจ้านาย” 

   “นั่งสิ ที่ผมให้คุณทำไปถึงไหนแล้ว”  ผมเอ่ยถามเสียงราบ โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเพราะกำลังตรวจพิจารณาแฟ้มงบประมาณจัดซื้อ

   “ยังไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลยคะ ตะ แต่ว่าเออ..ดิฉันไม่รู้ว่าจะนำเรียนท่านดีไหม” เธอทำท่าอ้ำอึงเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ผมจำต้องเงยหน้ามองเธอด้วยความฉงนสงสัย

   “มีอะไรเหรอครับ คุณบอกมาเลย  แล้วผมจะตัดสินใจเองว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ”  ผมบอกก่อนจะเอนหลังในท่าสบายกับพนักเก้าอี้รอฟังสิ่งที่เธอจะบอก

   “คือเมื่อคืนดิฉันกับเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยไปงานเลี้ยงรุ่นกันที่ผับดาร์กแองเจิลแล้ว......”   เธอบอกเล่าถึงสิ่งที่เห็นเมื่อคืนอย่างละเอียดด้วยสีหน้าแดงระเรื่อระคนหวาดหวั่น


   “พวกเขาเห็นคุณรึเปล่า”

   “ไม่ค่ะโต๊ะดิฉันอยู่ตรงมุม แต่ก็สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งร้าน ดิฉันมีคลิปแล้วก็ภาพถ่ายของพวกเขามาด้วยคะ” 

   เธอตอบเสียงไม่มั่นคงนัก ก่อนจะวางแผ่นซีดีและภาพถ่ายสองสามใบลงบนโต๊ะ ผมหยิบภาพถ่ายขึ้นมาดูมันไม่ค่อยชัดนักแต่ก็พอจะ สันนิษฐานได้ว่าเป็นใคร 

   “ดิฉันกลัวว่าพวกเขาจะรู้ว่าถูกแอบถ่ายเลยไม่กล้าใช้แฟลต”  ผมไม่แปลกใจเท่าไรถึงสิ่งที่ได้ยิน  แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกล้าทำอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะ 

   “เรื่องที่คุณเล่าให้ฟังในวันนี้นับว่ามีประโยชน์มากทีเดียว ขอบคุณมาก ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปทำงานเถอะ  และหากมีความเคลื่อนไหวอะไรให้รีบรายงานผมโดยตรงได้ตลอดเวลานะครับ” 

   “ค่ะท่าน  ดิฉันขอตัวนะคะ”  เธอส่งยิ้มหวานก่อนจะลุกเดินออกไปทำงาน

   “เชิญครับ”  ผมเก็บภาพและแผ่นซีดีใส่ซองแล้วจึงสอดไว้กระเป๋าทำงาน  ก่อนที่สมาธิจะจดจ่ออยู่กับงานที่อยู่ตรงหน้า






   “สวัสดีครับ..”  ผมกดรับสายหลังจากชำเลืองดูว่าใครเรียกเข้ามา ฝ่ายนั้นไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไรนอกจากคำทักทาย

   [.....]

   “ครับแบบนั้นก็ได้ สวัสดีครับ” 

   ผมครุ่นคิดตามและรับคำอย่างง่ายดายตามที่ฝ่ายนั้นเสนอมา  มือยังกำโทรศัพท์ไว้แน่นหลังจากฝ่ายนั้นกล่าวลาและตัดสายไป  ผมเอนศีรษะพิงกับพนักเก้าอี้หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ยกมือขึ้นกดคลึงขมับที่กำลังปวดตุบๆ จากความเครียดของปัญหาที่สะสมมาหลายวัน เรื่องต่างๆ ชักจะบานปลายใหญ่โต  ถ้าผมไม่อยู่เด็กจะเป็นยังไง....


    ผมนั่งจมอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงประตูที่เปิดเข้ามา รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีเสียงทักจากคนที่เข้ามาใหม่  ผมลืมตาแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะยกหัวขึ้นมองคนที่เดินเข้ามาใหม่ เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงส่งยิ้มเต็มหน้าไปให้ ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปกอดทักทายด้วยความดีใจ

   “เฮ้!  ไอ้สิงห์ คิดถึงพี่มึงมั้ย”  เสียงพี่แสนนำเข้ามาก่อน

   “พี่ๆ สวัสดีครับ”  ผมยกมือไหว้พี่ทั้งสาม เชิญให้พวกพี่มันนั่งก่อนจะเดินไปบอกเลขาให้หาเครื่องดื่มของว่างมาให้พวกพี่มัน

   “คิดถึงวะพี่”  ผมพูดกับพวกพี่ๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยวข้างพี่ฉาน 

   “คิดถึงพวกมึงที่ไทยเหมือนกัน อยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนบ้านเรา”  พี่ฉานบอก

   “แล้วน้ำเป็นไงมั้งวะตอนนี้ ชักคิดถึงแก้มนิ่มๆ น้องวะ”  พี่หนึ่งเอ่ยถาม ส่งยิ้มกว้างขวางน่ารักเมื่อพูดถึงน้ำนิ่ง

   “เออใช่วะ เจอครั้งสุดท้ายรู้สึกน้องจะอยู่ ม.1 คงโตขึ้นมากแล้วสิ  อยากฟัดแก้มนิ่มๆ ของมันวะ”  พี่แสนไปอีกคนแล้วครับ

   “เปรี้ยวปากอยากกินเด็กกูบอกตรงๆ เลย”  พี่ฉานเอ่ย พร้อมทำตาเจ้าชู้ล้อเลียน 

   “พอเลยๆ  นั่นเด็กผมนะ  พูดแบบนี้ชักไม่อยากให้เจอแล้ววะพี่ หวง!! นี่จากใจเลยบอกตรงๆ”  ผมพูดดักทางเสียงเข้ม ถ้าไม่ปรามไว้ก่อนมีแกล้งหนักๆ ครับ

   “เออ ๆ ก็รู้เด็กมึง แต่พวกกูพี่มึงนะแล้วนั่นก็น้อง  หวงวะมึง กูก็รักมันนะไอ้นี่”  พี่แสนพูดเชิงตัดพ้อ อีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของพี่แสน

   “มึงก็รู้ว่าน้องมันหวงของมัน ยังจะแหย่มันอยู่ได้พวกมึงนี่”  พี่ณิตผลักหัวพี่คมเบาๆ

   “ก็ล้อเล่น...แต่คิดถึงน้องจริงๆ นะเว้ย”  พี่หนึ่งทำเสียงล้อเลียน

   “กูก็ล้อเล่น แต่รักน้องนะของจริงฮ่า ฮ่า  ตกลงเรื่องที่ณิตมันพูดนี่ จริงหรือเปล่าวะ”  พี่แสนพูดล้อ ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นเป็นจริงจังในตอนท้าย

   “จริงพี่”  ผมยืนยันสิ่งที่พี่เขารู้มา

   “พวกกูสงสารแม่ว่ะไว้ใจญาติตัวเองเกินไป  แต่อย่างว่าแหละสันดานคนมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวไม่เกี่ยวกับต้นตระกูล”  พี่หนึ่งแสดงความคิดเห็น

   “เรื่องน้องได้ยินแมร่งโคตรขึ้นเลย ถ้ากูรู้ว่าใครนะแมร่งจะตัดมันไม่ให้เหลือตอเลย แล้วตกลงมึงเอาไงวะสิงห์”  พี่แสนพูดเสียงเข้มเย็นด้วยความโมโห

   “เดี๋ยวค่อยคุยกันเย็นนี้ที่บ้านผมนะพี่  ไปพบแม่ก่อนดีกว่าโทรมากำชับตั้งหลายรอบกำชับแล้วว่าถ้าพวกพี่มาให้รีบเข้าไปหาทันที ผมว่าป่านนี้ชะเง้อหาแล้วมั้ง”

     ผมกล่าวตัดบทก่อนจะชวนกันเข้าไปหาแม่ที่เรือน  หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จผมขอตัวออกมาก่อนเพราะมีประชุมที่บริษัท 




    มีใครอยากรู้รึเปล่าว่าคนพวกนี้เป็นใคร แต่ถึงจะไม่อยากรู้ผมก็ยินดีจะเปิดโปงตีแผ่ความหลังอันระทมขมขืนของชายเหล่านี้ให้ได้รู้กันอยู่ดี  เราทั้งหมดเป็นเด็กกำพร้าจากเรือนชิดชล  แม้จะไม่ใช่พี่น้องร่วมอุทรแต่เมื่อชะตาต้องกันก็รักกันเป็นพี่น้องได้ครับ 

   พี่แสน หรือ นายแสนคม  บุลวัชร  ชายไทยไซด์ฝรั่งกับความสูง 193 เซนติเมตร  หล่อไม่มากแต่ท่ายากพี่แกแยะ นิสัยเฟลนลี่ คุยสนุก ค่อนข้างเจ้าชู้ขอแค่ถูกใจจะชายหรือหญิงแสนไม่เกี่ยง จึงเป็นเหตุ และผลให้พวกนั้นเที่ยวไล้เที่ยวขื่อตบตีแย่งชิงให้ได้มีอะไรสักครั้งกับแสน   พี่แกชอบทำชีวิตให้เหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ  แต่ในเรื่องเล่นพี่มันจริงจังครับ อย่าให้ของขึ้นนะ..บรรลัยคำเดียวเลย อาชีพนะเหรอทหารรับจ้างถ้าเบื่อก็เปลี่ยนบรรยากาศไปเป็นบอดี้การ์ดบ้างเป็นครั้งคราว

   พี่ฉาน หรือ นายฉะฉาน  บุลวัชร  หนุ่มรูปงาม  192 เซนติเมตร ไหล่กว้าง  เอวสอบ กล้ามแขนขา หน้าท้อง สมส่วน  (โครงร่างรูป Y สมบูรณ์แบบมาก) ผมว่าพี่ฉานน่าจะเป็นลูกครึ่งซักสัญชาติมากกว่าชายไทย เพราะ ผิวงี้ขาววิ๊งอมชมพู ผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศกนิดๆ  ปากด้านบนเป็นรูปกระจับด้านล่างมีรอยบุ๋มกลางสีออกชมพูระเรื่อทั้งที่สูบบุหรี่เยอะหยั่งกะเป็นเจ้าของโรงงานยาสูบซะเอง (ผมแอบได้ยินพวกผู้หญิงที่พี่แกเคยควงนินทาว่าปากพี่แกเป็นปากที่น่าจูบที่สุด) นิสัยนิ่งๆ แต่โหดไม่เข้ากับหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตรกรีกสักนิด  ความท้าทายและเสี่ยงตายทุกชนิดฉะฉานชอบ จึงเป็นที่มาของอาชีพทหารรับจ้าง  ถ้ารวมพี่หนึ่งเข้าไปด้วยอีกคนนี่น่าเรียกได้ว่าคี่ซี่มหาประลัยกันเลยทีเดียว

   เรื่องราวของสองคนนี้เริ่มจากตำรวจเข้าทลายกวาดล้างการค้ามนุษย์ (Human Trafficking) แก๊งค์ใหญ่ที่มักจะนำเด็กที่ล่อลวงมาไปนั่งขอทานตามหน้าร้านสะดวกซื้อ หน้าโรงเรียน ร้านอาหาร ส่วนพวกที่  โตหน่อยก็บังคับให้ขายของตามสี่แยกไฟแดง การกวาดล้างครั้งนั้นช่วยเหลือเด็กไว้ได้สิบคน  ตำรวจส่งตัวเด็กมาไว้ที่มูลนิธิสงเคราะห์ เด็กและสตรีก่อนที่จะแจ้งให้พ่อแม่ ผู้ปกครองมารับเด็กกลับบ้าน 

    เด็กคนอื่นๆ มีพ่อแม่ ผู้ปกครอง มายืนยันตัวบุคคลและขอรับเด็กกลับไปหมดตั้งแต่ข่าวการกวาดจัดทะลายแก๊งค์เผยแพร่ออกไป  แต่สองนี่หลายเดือนผ่านไปก็ยังไม่มีใครมาขอรับซักที ทางมูลนิธิเลยส่งต่อมาที่เรือนชิดชล  สองคนอยู่ที่เรือนจนจบระดับมัธยมปลายก่อนจะได้ทุนสนับสนุนการศึกษาจากมูลนิธิแห่งหนึ่งของต่างประเทศให้ต่อระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงของสหรัฐ  หลังจบปริญญาตรีทั้งคู่สมัครเข้ารับราชการทหารในกองทัพ ก่อนจะลาออกมาเป็นทหารรับจ้างแถบตะวันออกกลางอยู่หลายปี (สองคนนี้อายุเท่ากัน  แต่พี่ฉานอ่อนกว่า 3  เดือน  และพวกพี่มันอายุมากกว่าผม 3  ปี)

   พี่กรณ์ หรือ  ร.ต.ท.กรณ์  บุลวัชร  หนุ่มหล่อมาดนิ่งสไตล์เกาหลีกับความสูงราว 191  เซนติเมตร  ลักษณะทางกายภาพที่เถื่อนด้วยรอยสัก  ‘Birth of the angel’  เต็มหลัง รอยสักนี้พี่กรณ์บอกว่าหมายถึง “การเกิดใหม่ของความหวัง”  เราทำทุกอย่างได้เพียงแค่ไม่สิ้นความวาดหวัง พี่มันบอกเราทุกคนแบบนั้น  ถัดขึ้นมาอีกนิดเป็นสักยันต์พุทธคุณที่ขนาดพอเหมาะตรงต้นคอด้านหลัง  แขนข้างซ้ายเป็นลายมังกรเกี่ยวกระหวัดพันรอบแขนตั้งแต่หลังมือ (ส่วนหาง) ไปจนถึงต้นแขน (ส่วนหัว) ซึ่งหมายถึง “จิตวิญญาณของการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีขึ้น” 

         สุดท้าย นิ้วกลางข้างซ้ายเป็นรูปหน้าสิงโตตัวผู้ ข้างขวาเป็นหน้าสิงโตตัวเมีย  หมายถึง “การอยู่เย็นเป็นสุขหรือรู้อยู่”  พี่กรณ์เป็นคนที่เชื่อเรื่องเวรกรรมและการปฏิบัติดีตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด  แต่ก็อีกนั่นแหละอย่างให้พี่มันของขึ้นบึ้มได้เหมือนโก้โก้ครั่น

   จากประวัติของตำรวจระบุว่า แม่พี่กรณ์ชื่อ ช่อฟ้า เป็นสาวเหนือที่หนีความยากจนเข้ามาหางานทำในเมืองใหญ่  รู้จักกับแม่เลี้ยงนิรมนสาวใหญ่ใจดีเจ้าของร้านนวดแผนไทยที่ชื่อ Butterfly Spa & Massage บนรถไฟแม่เลี้ยงชักชวนให้ช่อฟ้าไปทำงานด้วยกัน  ความอ่อนต่อโลกทำให้ช่อฟ้าตอบตกลงทันทีอย่างไม่ลังเล กล่าวขอบคุณแม่เลี้ยงซ้ำๆ ในความเอื้ออารีนั่น  โลกสวยงามที่ช่อฟ้าได้สัมผัสในไม่กี่ชั่วโมงต่อมาที่แท้มันคือนรกสำหรับช่อฟ้าดีๆ นี่เอง

   เธอถูกแม่เลี้ยงมอมยาขายแขกชาวต่างชาติที่นิยมเสพพรหมจรรย์ในราคาสูงลิ่ว และแขกคนเดิมขอออฟต่ออีกสองเดือนระหว่างที่พักอยู่ไทย  เธอถูกบังคับให้มีเซ็กซ์วันละไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง  ถ้าขัดขืนก็ถูกทำให้เจ็บ ในแต่ละวันของเธอผ่านไปด้วยความชาชินไร้ความรู้สึกไม่รับรู้ถึงตัวตนของตัวเอง  ครบสองเดือนเธอ  ถูกส่งตัวคืนให้แม่เลี้ยงและถูกขายต่อทันทีให้ชายต่างชาติอีกคน ขณะที่กำลังจะออกจากร้านตำรวจนำกำลังเข้าทะลายและจับกุมแม่เล้านิรมลที่เปิดร้านนวดแผนไทยแฝงขายบริการทางเพศได้ทันควันในข้อหาล่อลวง กักขัง หน่วงเหนี่ยว บังคับข่มขู่ให้ขาดซึ่งอิสรภาพ กระทำต่อบุคคลอื่นโดยเจตนาเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบสำหรับตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะยอมหรือไม่ก็ตาม   

   ช่อฟ้าถูกนำตัวส่งให้เรือนชิดชลในสภาพที่เลื่อนลอย  จึงถูกส่งตัวเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูสภาพจิตใจกับจิตแพทย์นานนับเดือน  สภาพแวดล้อมที่ดี การเอาใจใส่ปฏิบัติต่อเธออย่างดีทำให้สุขภาพจิตของเธอดีขึ้นตามลำดับพร้อมกับเมล็ดพันธุ์ที่สวยงามกำลังเจริญเติบโตในครรภ์ของเธอ 

    “ลูก”  แรงผลักดันยิ่งใหญ่ให้เธออยู่ต่ออย่างมีความหวัง  เก้าเดือนต่อมาเธอให้กำเนิดบุตรชาย อ้วนท้วนสมบูรณ์ท่ามกลางความยินดีของแม่ๆ ในเรือนชิดชล ช่อฟ้าตั้งชื่อลูกชายว่า “กรณ์”  เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พ่อที่ตรอมใจตายเพราะความดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเองอย่างช่อฟ้า เธอเลี้ยงดูลูกชายด้วยตัวเองแค่สามเดือนก่อนจะขออนุญาตแม่ใหญ่ไปปฏิบัติธรรมที่บ้านเกิดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พ่อผู้ล่วงลับไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่  สำหรับกรณ์ถ้ามีบุญต่อกันก็คงจะได้เจอกันในสักวันหนึ่งข้างหน้าหากเธอไม่ตายเสียก่อน

    พี่กรณ์อยู่เรือนชิดชลจนจบ ม.6  ก่อนจะสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้จึงย้ายออกมาเช่าหอพักอยู่และหาพาร์ทไทม์ทำไปด้วย  ระหว่างเรียนพี่กรณ์ได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิแห่งหนึ่งจึงย้ายไปเรียนโรงเรียนตำรวจที่เวสต์พอยท์แทน  หลังจบการศึกษาเข้าทำงานหน่วยพิเศษให้รัฐบาลมาตลอด  (พี่กรณ์อายุมากกว่าผม 2 ปี)


   พี่หนึ่ง  หรือ นายหนึ่งฤทัย  โยชิฮาระ  บุลวัชร  ลูกครึ่งไทย – ญี่ปุ่น ร่างสูงโปร่ง 182 ซม.   ตาเรียวเชิดเหมือนตาหงส์  ปากบางอิ่มมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย จมูกเชิดงอน  ผิวขาวอมชมพูระเรื่อราวกับตุ๊กตาพอร์ซเลนเนื้อดี หน้าเล็กๆ สวยหวานปานผู้หญิง  (คงจะสวยเหมือนแม่ เพราะแม่ใหญ่บอกว่าแม่ของพี่หญิงสวยมาก)  หุ่นผอมเพรียวแขนขามีกล้ามน้อยๆ พองาม ผมยาวตรงดำขลับนุ่มราวกับไหมเนื้อดีถูกมัดรวบไว้กลางหลัง  ผมเตือนไว้ก่อนอย่าชมเด็ดขาดว่าสวย เจอเตะสะบักมาแล้วหลายราย

        ถึงจะหน้าตาแบบนั้นเคยอยู่หน่วยรบของทหารบกก่อนที่จะลาออกมาเป็นบอดี้การ์ด  ผมว่าความสูงของพี่หนึ่งก็ไม่ถือว่าเตี้ยนะมาตรฐานชายไทยปกติไปหลายช่วงตัว  แต่พอมันเข้ากลุ่มคี่มหาประลัย พี่มันตัวเล็กน่าทนุถนอมทันทีไง

   คนสวยเขาเป็นเด็กกำพร้าแบบไม่ถามความเห็นสักคำว่าอยากเป็นไหม  บ้านพี่หนึ่งเป็นบ้านเช่าหลังเล็กห่างจากเรือนชิดชลไปสามหลัง  แม่ใหญ่เล่าให้ฟังว่า แม่พี่หนึ่งตายเพราะเกิดอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน  เพื่อนบ้านแถวนั้นได้ยินเสียงเด็กร้องมาสองวันแต่ไม่มีใครมาเปิดประตู  เลยมาแจ้งให้แม่ไปดูเคาะประตูเรียกอยู่นานไม่มีคนมาเปิด

   แม่ใหญ่เลยตัดสินใจให้คนงัดประตูเข้าไปแทบผงะกับกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ภาพตรงหน้าทำให้แม้แต่คนที่ใจแข็งที่สุดยังร้องไห้ด้วยความเวทนาสงสาร  เด็กชายน่าจะอายุประมาณหนึ่งขวบนอนโอบกอดศพแม่ที่เริ่มขึ้นอืดมาตลอดสองวัน  ปากเล็กๆ ดูดนมจากอกแม่ด้วยความหิวโหย  กางเกงผ้าอ้อมเต็มล้นทะลักส่งกลิ่นคละคลุ้ง  แม่ใหญ่รีบเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมาในอ้อมกอด เด็กร้องไห้จ้าแขนเล็กไขว้คว้าหาคนเป็นแม่อย่างหดหู่และเวทนา  เอกสารที่ค้นเจอภายในบ้านบอกว่าพี่หนึ่งมีพ่อเป็นคนญี่ปุ่น แต่เสียชีวิตแล้วอยู่กับแม่สองคนในบ้านเช่าหลังนี้ 

   แม่ใหญ่ทำเรื่องรับพี่หนึ่งมาเลี้ยงที่เรือน  พี่หนึ่งอยู่เรือนชิดชลจนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย แล้วได้ทุนระดับปริญญาตรีจากรัฐบาลจากประเทศหนึ่งในแถบตะวันออกกลาง  หลังจบการศึกษาก็ทำงานใช้ทุนรัฐบาลในองค์กรด้านความมั่นคงเกือบสองปี ก็ต้องลาออกเพราะประสบอุบัติเหตุพักรักษาตัวอยู่นานกว่าร่างกายจะกลับมาใช้การได้เหมือนเดิม และถูกชักชวนให้ไปทำงานเป็นบอดี้การ์ดให้เศรษฐีน้ำมันชาวซาอุฯ  (พี่หนึ่งอายุมากกว่าผม 1 ปี)


   พี หรือ นายพีระณัฐ  บุลวัชร คนนี้มาพิมพ์เดียวกันกับพี่หนึ่งคือ ผมข้องใจพวกพี่จะสวยไปไหน ผู้ชายนะเว้ยเกรงใจผู้หญิงจริงๆ เขาบ้างไรบ้างเถอะครับขอร้อง  พีตัวเล็กบางกว่าพี่หนึ่งอีก สูงแค่ 179  เซนติเมตร ตากลมโตเหมือนตากวางมีแววหวาน  ขนตางอนยาว  ปากเรียวเหมือนคันธนูมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เวลาหุบปากนิ่งๆ ยังเหมือนยิ้มนิดๆ  ผิวขาวอมชมพูบางใสแทบจะเห็นเส้นเลือด แต่พยายามทำเป็นเข้มดุ  (อายุน้อยกว่าแต่ผมเรียกพี่ เพราะซ้อเป็นเมียพี่ณิตนี่ครับ)

   พี่ณิต (ตอนนั้นอายุ  13 ปี) เป็นคนไปเจอซ้อนอนอยู่ในห่อผ้าขนหนู ถูกทิ้งไว้ตรงที่ทิ้งขยะหลังโรงเรียนซึ่งเป็นป่าหญ้าสูงเกือบถึงเอว เส้นทางนี้ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมานักเพราะมันค่อนข้างเปลี่ยว แต่เผอิญวันนั้นเป็นเวรพี่ณิตรดน้ำแปลงผักของห้องซึ่งอยู่สวนเกษตรหลังโรงเรียนเลยกลับค่ำมาก ด้วยความขี้เกียจเดินย้อนกลับมาหน้าโรงเรียนพี่มันเดินกลับทางด้านหลังโรงเรียนแทนระยะทางไกลกว่าถึงเรือนก็เหมือนหมาหอบแดด

    ระหว่างที่ผ่านบริเวณที่ทิ้งขยะได้ยินเสียงร้อง แว๊ แว๊ ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงแมวทะเลาะกันก็ไม่ได้สนใจ  พอจะผ่านไปเสียงมันดังชัดขึ้นฟังดีๆ มันไม่ใช่เสียงแมว เลยเดินตามเสียงไปจนเจอเด็กถูกทิ้งไว้ในกองขยะเปียกกลิ่นนี่สุดจะทนแมลงวันบินแตกกระจายออกตอนที่พี่ณิตอุ้มเด็กทารกในห่อผ้าขึ้นแนบอกรีบวิ่งกลับเข้าไปในโรงเรียนอีกครั้งตรงดิ่งไปบ้านลุงหมานภารโรงประจำโรงเรียนอ้อนวอนเร่งเร้าให้แกเอารถมอเตอร์ไซด์อีแก่ของแกไปส่งที่เรือนด่วน 

    วันนั้นโกลาหลกันใหญ่ แม่รีบพาเด็กไปโรงพยาบาลด่วนเพราะตามตัวแขนขามีผื่นแดงลามเกือบทั่วตัว บางแห่งเป็นตุ่มใสแตกมีน้ำเหลืองเหนียวๆ ไหลออกมา ปรากฏว่า เด็กติดเชื้อสแตฟฟิโลคอกคัสออเรียส คุณอาหมอบอกว่าโชคดีเหลือเกินที่ไปเจอแล้วพามาโรงพยาบาลทันที  เชื้อแบคทีเรียไม่ลามเข้ากระแสเลือด  เด็กนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเกือบเดือน  ไม่มีเอกสารหลักฐานใดที่จะสามารถระบุตัวตนที่แท้จริงของเด็กได้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แม่ใหญ่จึงทำเรื่องขอรับเด็กมาอุปการะเลี้ยงดู ตั้งชื่อให้ว่า  ‘เด็กชายพีระณัฐ  บุลวัชร’  และมอบหมายให้เด็กชายคณิตดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดภายใต้การกำกับดูแลจากยายชื่น

   คุณคิดเหมือนผมไหมว่าการที่คนหนึ่งเจออีกคนแล้วตกหลุมรักทันที ยอมอ่อนข้อให้ด้วยความรัก ความห่วงใยทั้งหมดที่มีโดยไม่มีเงื่อนไข ว่ามันคือ  “พรหมลิขิต”  พี่ณิตก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน


   พี่ณิต หรือ  นายคณิต  บุลวัชร สูง  191 เซนติเมตร รูปร่างหนากว่าพี่กรณ์นิดหน่อย หล่อสไตล์ตี๋ๆ ตาเรียวเชิดขึ้นนิดๆ ผิวขาว รักจริงจังมั่นคงสนิทแนบแน่นอยู่คนเดียวซ้อคนสวยของเขาแหละครับ  พี่ณิตเป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาลัยของรัฐที่พี่เขาจบออกมานั่นแหละ นอกจากนี้ยังรับผิดชอบงานด้านโรงงานบริษัทแม่เล็ก อาจจะดูชิวๆ แต่โหดนะครับ ยิ่งถ้าเรื่องนั้นเกี่ยวกับซ้อพี่แกมีของขึ้น ขอเตือนอย่าแหย่เสือหลับ (พี่ณิตอายุไล่เลี่ยกับพวกพี่กรณ์)

   พี่ณิตกำพร้าเพราะจำเป็น  แม่นวลแม่ของพี่ณิตอุ้มลูกเข้ามาฝากกับแม่ทื่อๆ  ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายน้ำตานองหน้าละล่ำละลักบอกว่ากำลังจะตายเพราะมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย  ลูกชายไม่เหลือใครแล้ว เสี่ยกวง (ทายาทเจ้าสัวฟงชายชาวจีนอพยพที่ทำมาค้าขายในเมืองไทยจนร่ำรวย) ไม่ยอมรับว่าพี่ณิตเป็นลูก

   เสี่ยซึ่งเป็นคนกลัวเมียแต่งอย่างคุณนายใหญ่ (ลูกสาวเจ้าสัวไต้เพื่อนของเจ้าสัวฟง)  อยู่แล้วรีบบอกปัดกล่าวหาว่าแม่นวลให้ท่าร่านผู้ชายไปทั่วอ้าขาให้คนสวนคนขับรถเอาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนท้อง ลูกในท้องก็ไม่รู้ว่าเป็นลูกใคร  เพราะเครียดแค้นที่เสี่ยไม่ยอมเล่นด้วยจึงโยนความผิดมาให้  คุณนายใหญ่และคุณนายอีก 4  คน จึงไล่แม่นวลออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมาหาว่าเนรคุณกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา

   แม่ใหญ่ตกลงรับพี่ณิตมาเลี้ยงด้วยความยินดีและส่งตัวแม่นวลเข้ารับการรักษาที่ศูนย์มะเร็งโดยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด  แต่สองเดือนต่อมาแม่นวลก็สิ้นลมหายใจอย่างสงบที่ศูนย์ฯ นั่น 

   พอพี่ณิตอายุ 18 ปี แม่ใหญ่บอกให้พี่ณิตรู้ว่าเสี่ยกวงคือพ่อของเขา และพร่ำสอนว่าถึงแม้ครอบครัวนั้นจะไม่ยอมรับว่าเป็นลูกหลานก็ให้สำนึกบุญคุณ ถ้ามีโอกาสให้ไปหาพ่อไปไหว้สักครั้งเพื่อแสดงความกตัญญูรู้คุณที่พ่อให้เกิดมาและอโหสิกรรมต่อกัน

        พี่ณิตคิดอยู่นานจึงชวนผมไปบ้านนั้น พี่มันเข้าไปคนเดียวให้ผมรออยู่ข้างนอกไม่ถึงสิบนาทีผมได้ยินเสียงดังโหวกเหวกในบ้านจึงรีบลงจากรถวิ่งเข้าไปในบ้านเห็นชายฉกรรจ์ยกไม้ฟาดเข้าที่หัวที่ณิตจนแตกเลือดอาบ หญิงร่างท้วมอีกคนใช้ไม้กวาดฟาดตามเนื้อตัวไล่ตะเพิดพี่ณิตเหมือนหมูเหมือนหมาให้ออกจากบ้าน 

        ผมมองขึ้นไปเหนือบันได้ขั้นสุดท้ายชายวัยกลางคนชาวจีนท่าทางภูมิฐานยืนมองการกระทำนั้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนผู้หญิงที่ยืนข้างกันส่งสายตาวาวโรจน์ปากสีสดยกยิ้มสะใจ  จึงรีบเข้าไปดึงพี่มันขึ้นรถแล้วขับออกมา ตามเนื้อตัวเป็นรอยฟกซ้ำดำเขียวแผลตรงหัวเลือดไหลอาบเป็นทางเปรอะเสื้อผ้าแต่พี่มันไม่ยี่หระ  ตาเรียวแข็งกร้าวมือที่วางบนตักกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน  เสียงเย็นทุ่มต่ำที่เปล่งออกมาจากปากของพี่ณิตไม่เหลือเยื่อใย  ไม่มีอาวรณ์  ไม่เหลือแม้แต่ความชิงชัง 
พี่มันไม่เคยพูดถึงคนนั้นอีกเลยตั้งแต่วันนั้น

‘กูทำดีที่สุดแล้ว ไม่ได้อยากให้เขารับเป็นลูก ไม่ได้หวังสมบัติ แค่อยากให้เขารู้ว่าเคยมีแม่กับกูในชีวิต และขอบคุณที่ทำให้มีกูในวันนี้ 
น้ำหยดเดียวขอชดใช้ด้วยเลือดนี่  ไม่มีบุญคุณอะไรอีกแล้วที่กูต้องชดใช้เขาตลอดชีวิต







TBC.



ปล.

ผ่านไปอีกตอนกว่าจะเข็นออกมาได้ ก็ยังเรื่อยๆ ยังไม่มีอะไรมากนัก เป็นการตีแผ่ปูมหลังเล็กๆ ของคนในครอบครัวน้ำสิงห์
ก่อนที่เล่าเรื่องราวของพวกในโอกาสต่อๆ ไป (ถ้ามีเวลา และตราบเท่าที่ยังมีคนติดตาม)

ขอบคุณสำหรับการติดตาม อาจทำได้ไม่ดีนัก เห็นข้อผิดพลาดประการใดแนะนำกันได้นะครับ ยินดีรับฟังและแก้ไข

คณิตอายุรุ่นๆเดียวกับกรณ์
กรณ์แก่กว่าสิงห์2ปี (คณิตก็ต้องแก่กว่าสิงห์2ปี)
คณิตเจอพีตอนคณิตอายุ13
#แต่ไรท์บอกว่าสิงห์แก่กว่าพี1ปี

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13
   พี่กรณ์อยู่เรือนชิดชลจนจบ ม.6  ก่อนจะสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้จึงย้ายออกมาเช่าหอพักอยู่และหาพาร์ทไทม์ทำไปด้วย  ระหว่างเรียนพี่กรณ์ได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิแห่งหนึ่งจึงย้ายไปเรียนโรงเรียนตำรวจที่เวสต์พอยท์แทน  หลังจบการศึกษาเข้าทำงานหน่วยพิเศษให้รัฐบาลมาตลอด  (พี่กรณ์อายุมากกว่าผม 2 ปี)   
ไม่ใช่แล้ว ข้อมูลผิดหมดเลย
1.รร.นายร้อยตำรวจเป็นโรงเรียนประจำ ไม่มีสิทธิออกมาอยู่ข้างนอกเอง อาทิตย์นึงจะได้กลับบ้านวันเสาร์อาทิตย์ถ้าไม่ติดเวรหรือโดนลงโทษ
2.รร.นายร้อยเวสต์พอยท์เป็นรร.ทหารไม่ใช่ตำรวจนะจ๊ะ

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด