3.2
ขอน้ำนิ่งเล่าบ้างนะ (2)05.30 น. เช้าวัดถัดมา
“ว้าย!! ตายแล้ว คุณน้ำทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ คุณน้ำคะ คุณน้ำ ตายจริงๆ ตัวร้อนจี๋เลย”
//เสียงใครกันอื้ออึงน่ารำคาญ อย่าเขย่าตัวได้ไหม ปวดตัวจะตายอยู่แล้ว เวียนหัวอยากจะอาเจียน จะเขย่าทำไม หิวน้ำ..ขอน้ำกินหน่อยได้ไหม// น้ำนิ่งขมวดคิ้วทั้งที่ยังไม่ลืมตา เปล่งเสียงที่แหบพร่าขอน้ำเพื่อดับความระคายคอ เสียงเหมือนจะดังแต่มันกลับแผ่วเบาแค่ในลำคอเหมือนคนละเมอ
“ป้า...ป้า ป้าชื่น.... คุณน้ำไม่สบาย”
// พี่นิ่มใช่ไหม ตะโกนทำไม น่ารำคาญจริงๆ ขอน้ำกินหน่อย ปวดหัวเหมือนจะระเบิด พื้นโคลงเคลงจะไปไหนเวียนหัวไม่เอาไม่ไปเดี๋ยวภูมิกลับมาไม่เห็น...// น้ำนิ่งคิดว่าตัวเองพูดแย้งผู้หญิงคนที่เขย่าตัวเองออกไป แต่มันกลับเป็นเพียงเสียงละเมอแผ่วเบาในลำคอ
"ภูมิ นะ น้ำ น้ำ ขะ ขอน้ำ” น้ำนิ่งพยายามเค้นเสียดังขึ้นมาอีกนิดในความรู้สึก เมื่อขอจากพี่นิ่มไม่ได้ น้ำนิ่งขอภูมิก็น่าได้
“นิ่มจะตะโกนเสียงดังทำไม มีอะไรแล้ว....อะ น้ำของยายทำไมมาอยู่ตรงนี้” ยายชื่นร้องด้วยความตกใจ รีบถลาเข้ามาโอบประคองน้ำนิ่งไว้
“น้ำ ขอน้ำ...” น้ำนิ่งพยายามเปล่งเสียงขอน้ำออกไป ระคายคอ เจ็บจนกลืนน้ำลายยังลำบาก
“ไปเอาน้ำมาให้คุณน้ำก่อน แดง! แดงไปเรียกเรืองเอารถออกเร็วพาคุณน้ำไปโรงหมอเดี๋ยวนี้”
ยายชื่นรับน้ำมาจากพี่นิ่มก่อนจะจ่อแก้วน้ำมาที่ริมฝีปากบาง น้ำนิ่งดื่มมันเข้าไปอึกใหญ่ แต่เมื่อกลืนไปมันกลับเกิดอาการปั่นป่วนมวนในช่องท้องแล้วตีกลับขึ้นมาจนต้องพยุงตัวที่เจ็บร้าวลุกขึ้นโก่งคออาเจียน น้ำใสและลมจนสิ้นไส้สิ้นพุง ยายชื่นยกมือขึ้นลูบหลังให้หายจากอาการอาเจียน เอาน้ำให้บ้วนปาก น้ำนิ่งหลับตานิ่งพยายามลืมเลือนอาการวิงเวียนและปวดหัวที่รุมเร้ามาเป็นระลอก
“ฮึก..ฮืออออ..ภูมิ ยะ..อยู่ไหน จะหาภูมิ ฮึก ฮืออออ...”
ความเจ็บป่วยทั้งร่างกายและจิตใจทำให้อารมณ์ของน้ำนิ่งอ่อนไหวน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้พังทลายอาบเต็มสองแก้มที่แดงระเรื่อจากความร้อนของพิษไข้ร้องเรียกหาภูมิรพีหวังเพียงอ้อมกอดของคนนั้นจะช่วยเยี่ยวยาความเจ็บป่วยได้
“จะหาภูมิ...ภูมิ...ปวดหัวฮือออออ...”
“โธ่..น้ำของยายชื่น อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะคะ ตัวร้อนจี๋เลย นิ่มไปเอากะละมังกับผ้ามา ฉันจะเช็ดตัวลดไข้ให้คุณหนู”
ยายชื่นสั่งระรัว พี่นิ่มหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมกับกะละมังใส่น้ำและผ้าขนหนูนุ่มมาให้ยายชื่นเช็ดตัวให้น้ำนิ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้น้ำนิ่งแทนตัวเดิมที่ชื้นละอองฝน
“ภูมิ อยู่ไหน หนูเวียนหัวฮือออออ”
“รถมารึยังนี่ ทำไมเรืองช้าจริงๆ นิ่มไปตามอีกสิ” ยายชื่นบ่นด้วยความร้อนใจกลัวว่าน้ำนิ่งจะเป็นอะไรมากกว่านี้
“ฉันจอรถรอตรงบันไดจ๊ะป้าชื่น” เรืองวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาบอก
“งั้นเอ็งมาอุ้มคุณน้ำไปใส่รถเร็วๆ ตัวร้อนไม่ลดลงเลย นิ่มโทรหาคุณสิงห์หรือยัง” ยายชื่นร้องสั่งเรืองและหันมาถามพี่นิ่ม
“ยังติดต่อไม่ได้เลยจ๊ะป้า แม้แต่คุณพี คุณณิตก็ติดต่อไม่ได้” พี่นิ่มตอบ
“จะไปไหน ไม่ไปเดี๋ยวภูมิมา จะหาภูมิ..ฮือ ฮือ.. หาภูมิ...เวียนหัวฮือ...”
“ไปหาหมอนะคะหนูของยาย คนดีของยายชื่น”
น้ำนิ่งขืนตัวไว้ไม่อยากไปไหน เพราะถ้าภูมิรพีมาจะไม่เจอกัน ยายชื่นอ้อนวอนด้วยสีหน้าเป็นกังวลเพราะตัวของน้ำนิ่งร้อนจี๋ ตาสวยแดงก่ำ แก้มแดงระเรื่อเพราะพิษไข เสียงหอบหายใจฟืดฟาดเหนื่อยอ่อนราวจะขาดห้วงทุกครั้ง
“ภูมิอยู่ไหน..ฮือออ...ไม่รักหนูแล้วเหรอฮือ..ปวดหัว ฮึกฮืออออ...”
“ไปหาหมอกับยายชื่นก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณพี่จะเป็นห่วงเอานะคะคนดีของยายนะคะ”
“...” น้ำนิ่งพยักหน้าและยอมให้เรืองอุ้มไปที่รถ เพียงเพราะกลัวว่าภูมิจะเป็นห่วงและไม่สบายใจที่น้ำนิ่งไม่ยอมดูแลตัวเองจนป่วย
สรุปว่าน้ำนิ่งเป็นไข้หวัดใหญ่ และปอดบวมต้องพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเกือบสัปดาห์ คุณบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้อาจช๊อกและเสียชีวิตได้ ตลอดระยะเวลาที่อยู่โรงพยาบาลน้ำนิ่งเฝ้ารอว่าเมื่อไรภูมิรพีจะมาหาสักที ชำเลืองมองประตูห้องที่เปิดเข้ามาที่ครั้งอย่างคาดหวังว่าคนที่เข้ามาต้องเป็นภูมิรพี...
แต่ภูมิรพีก็ ไม่เคยอยู่ตรงนี้..
- แกร๊ก -
น้ำนิ่งหันขวับมองไปทางประตูที่เปิดเข้ามา ความหวังถูกจุดขึ้นมาในหัวใจที่อ่อนล้าอีกครั้ง แต่แล้วต้องดับวูบลงเมื่อคนที่ปรากฏตัว..ไม่ใช่คนที่รอคอย รอยยิ้มน่ารักฝาดเฝื่อนและค่อยๆ จางหาย แววตาเหงาแลสบกับคนมาใหม่เพียงชั่วครู่ก่อนจะกลบเกลื่อนแทนที่ด้วยความสดใสที่ฝืดฝืน คณิตสืบเท้าเข้ามายืนข้างเตียง ยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มปัดเกลี่ยส่วนที่ตกลงปิดหน้าขึ้นทัดหูให้ ก่อนจะดึงตัวน้ำนิ่งเข้าไปกอดปลอบสักพักก็ปล่อยตัวออก
“เป็นไงคนเก่ง” พี่ณิตถามเสียงอ่อนโยน
“หายแล้วครับ พี่ณิตภูมิอยู่ไหน น้ำอยากหาภูมิ” น้ำนิ่งเอ่ยเสียงเว้าวอน
“สิงห์ไปติดต่อธุรกิจต่างประเทศครับก็ไปกับพี่นี่ล่ะ แต่พอดีว่ามีเรื่องด่วนที่โรงงานพี่เลยต้องกับมาก่อน ส่วนสิงห์มันต้องบินต่อมาที่สิงคโปร์ครับ ไปติดต่อบริษัทนี้หลายครั้งแล้วล่ะทางนั้นเพิ่งจะตกลงรับข้อเสนอของเราแล้ว จึงให้ไปเซ็นสัญญามันจะให้พีไปแทนแล้วนะ แต่ฝ่ายนั้นไม่ยอมต้องเป็นสิงห์คนเดียวมันเลยต้องไปเอง”
คณิตอธิบายเหตุผลให้ฟัง น้ำนิ่งพยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่จะก้มหน้าลงมองมือของตัวเองที่กุมแน่นอยู่บนตัก ความเหงาแผ่กระจายทั่วดวงตาคู่สวยให้คณิตเห็นเต็มอยู่ทุกพื้นที่ น้องเสหน้าไปทางอื่นไม่อยากจะให้เขาเห็นว่ากำลังกลั้นน้ำตา
‘หนูเข้าใจนะว่าภูมิต้องทำงาน แต่ความน้อยใจที่หนูไม่เคยจะห้ามมันได้สักครั้ง จะว่างี่เง่าก็ได้แต่ถ้าไม่ตั้งใจจะมาตั้งแต่แรกก็อย่ามานัด ให้คอยทำไม ให้หนูอยู่อันดับสุดท้ายก็ได้ถ้าพอจะเจียดเวลาน้อยนิดได้ค่อยมาหาก็ไม่ว่า แต่ถึงขั้นที่ไม่มีแม้อันดับหรือตัวตนเลยมันก็เกินไป...’ น้ำตาอุ่นๆ ล้นขอบตา น้ำนิ่งยกมือปาดน้ำตา พี่ณิตดึงน้องเข้ามากอดปลอบลูบหลังไปมาเบาๆ ยายชื่นเดินเอายาหลังอาหารมาให้กินไม่กี่นาทีต่อมาน้ำนิ่งก็ตาปรือปรอยและหลับไปเพราะฤทธิ์ยา
“ตกลงน้ำเป็นอะไรครับยายชื่น” คณิตถามยายชื่นซึ่งกำลังดึงผ้าขึ้นมาห่มให้น้ำนิ่ง
“เป็นไข้หวัดใหญ่ อย่างที่รู้ๆ น้ำมีภูมิคุ้มกันบกพร่องอยู่แล้ว มันก็เลยรุนแรงมีภาวะอาการปอดบวม แทรกซ้อนอีก ถ้ามาช้ากว่านี้อาจช็อกถึงเสียชีวิตได้” ยายชื่นบอกเสียงเบาไม่ให้รบกวนคนป่วย สายตามองดูน้ำนิ่งด้วยความรัก มือเหี่ยวของยายชื่นยื่นเข้าไปจับมือของน้ำนิ่งกุมไว้ในมือของตนเอง
“ตั้งแต่เมื่อไรกันครับยาย”
“ก็ตั้งแต่วันที่คุณสิงห์บอกว่าจะกลับมาทานข้าวที่บ้านนั่นแหละ ทางนี้ก็ดีใจใหญ่ว่าคุณพี่จะกลับมาทานข้าวด้วย ยิ้มตลอดตั้งกะบ่าย ลงมือทำอาหารเองรอคุณพี่ทำไปฮัมเพลงไปดูมาความสุขที่สุดในรอบสามเดือน เสร็จแล้วก็บอกให้พี่นิ่มจัดโต๊ะส่วนตัวเองก็รีบขึ้นไปอาบน้ำ เวลาคุณพี่กอดจะได้หอมๆ ลงมาก็ให้ พวกเราไปพักผ่อน เขาจะดูแลของเขาเอง ก็นั่งรอคุณพี่ที่โซฟาตรงใต้ถุนเรือนหน้านั่นแหละ ยายคิดว่าถึงเวลาเดี๋ยวคุณสิงห์ก็คงจะมายายเลยไปพักผ่อนกัน จนเช้านั่นแหละเจ้านิ่มเขาถึงมาเห็นน้ำนอนไม่ได้สติอยู่ที่เดิม” ยายชื่นยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตรงหางตาหลังจากจบคำอธิบายยาว
“วันนั้นพวกผมต้องบินด่วนทางเจ้าของบริษัทที่เราติดต่อด้วยเค้าไม่ยอมให้พีเซ็นสัญญาเค้าระบุมาต้องเป็นสิงห์เท่านั้น ก็เลยต้องบินด่วนภายในคืนนั้น ผมก็นึกว่ามันจะโทรบอกน้อง” คณิตอธิบายถึงสาเหตุที่ ภูมิไม่ได้กลับบ้านในวันนั้น
“ยายว่าสิงห์คงจะรีบเลยลืม ทางนี้ไม่รู้ก็นั่งรอไปสิ...คิดว่าจะรู้เองรึอย่างไร” ยายชื่นพูดตำหนิเชิงประชดประชันกลายๆ ก็อีกแหละน้ำนิ่งคนโปรดของยายชื่นสุดรักสุดหวงเหมือนกัน
“ที่ว่าทำกับข้าวเองนี่คือน้องทำเป็นเหรอยาย” คณิตยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะเฉไฉไปเรื่องอื่น
“ก็เขาเรียนด้านอาหารและโภขนาการอยู่ ยายก็สอนทำอาหารให้เขาไม่อยากจะให้ความรู้ที่มีมันตายไปกับตัว น้ำเค้ามีพรสวรรค์รู้จักดัดแปลงพลิกแพลงสูตรจากอาหารธรรมดาหน้าตาบ้านๆ ก็กลายเป็นอาหารภัตตาคารหรูไปซะได้ ช่างคิดจริงๆ
อีกอย่างตั้งแต่คุณสิงห์ต้องทำงานแล้วไม่ได้กลับบ้าน น้ำของยายดูเหงาๆ เวลาอยู่คนเดียวก็เหม่อๆ พวกเราพูดด้วยก็ยิ้มนะแต่เป็นรอยยิ้มแกนๆ ฝืนๆ คงรู้ว่าพวกเราห่วงก็พยายามทำร่าเริง ข้าวก็ทานเหมือน แมวดมก็อย่างที่ณิตเห็นน้ำเค้าตัวเล็กบางอยู่แล้วนี่ยิ่งบางลงกว่าเดิมเลยหาอะไรให้ทำ
ตอนแรกก็ทำเล่นๆ หลังๆ ชักสนุกทำมากขึ้นทีนี้กินไม่ทันก็เอาไปแจกคนแถวบ้าน แล้วเกิดมีคนติดใจน้ำมือก็เลยมาขอให้เค้าทำส่งที่ร้านทีนี้ยิ่งสนุกกว่าเดิมเพราะทำแล้วได้สตังค์ดีใจยกใหญ่เก็บใส่กระปุกบอกจะหาเงินเลี้ยงคุณพี่ โตแล้วอยากจะหาเงินเลี้ยงคุณพี่ไม่อยากให้เหนื่อยแล้ว ยายได้ฟังน้ำตาซึมเลย”
ยายชื่นเอ่ยถึงเด็กในความดูแลด้วยสีหน้าชื่นชมเอ็นดูทำให้คณิตยิ้มตามไปด้วย ถึงหน้าจะยิ้มแต่เขาโมโหเจ้าสิงห์มากกว่ามันทิ้งเด็กที่มันรักนักรักหนาไว้แบบนี้ได้ยังไง แมร่งเอ๊ย!! ถ้าไม่มีคนไปพบแล้วส่งโรงพยาบาล ไม่ทันน้องมิตายเหรอ
ผมผละจากเตียงเดินออกไปที่ระเบียงล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดโทรหาเจ้าสิงห์ แต่เสียงปลายสายที่ตอบกลับมากลับบอกว่าไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ จึงกดวางสายแล้วโทรออกไปหาอีกคนรอสายอยู่ไม่นานปลายสายก็กดรับ
“พี เจ้าสิงห์มันนัดเซ็นสัญญากับบริษัทที่สิงคโปร์เมื่อไร”
// เสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะพี่ณิต มีอะไรกับน้อง//
“เสร็จแล้วมันจะกลับเลยใช่มั้ย”
// สิฐเขาโทรมาบอกผมว่าจะกลับพรุ่งนี้เช้าวันนี้สิงห์ต้องไปดูงานให้ผู้ใหญ่ แล้วตกลงมีอะไร//
“น้องไม่สบาย ตอนนี้นอนอยู่ที่โรงพยาบาล...”
// ห๊ะ!! เป็นอะไร ทำไมไม่มีใครโทรมาบอก แล้วงานจะเข้าบริษัทไหม//
“เพิ่งรู้เหมือนกัน พี่นิ่มโทรบอก น้องเป็นไข้หวัดใหญ่หวิดช็อกตายจากอาการปอดบวม ตอนนี้อาการดีแล้ว งานเสร็จแล้วไม่ต้องห่วงแต่ไม่เข้าบริษัทนะพี่จะเฝ้าน้องเองให้ยายชื่นกลับไปพัก”
// โล่งใจไป เดี๋ยวผมจะเข้าไป //
“เออ เออ เลิกงานแล้วค่อยมา ซื้อข้าวเข้ามาด้วยนะ”
// โอเคครับ เย็นนี้นอนเฝ้าน้องด้วยกัน //
“ครับๆ จะรอครับ” หลังจากที่คุยกับคนปลายสายเสร็จผมเดินกลับเข้ามาให้ห้อง
“เจ้าสิงห์มันจะบินกลับถึงพรุ่งนี้เช้า แล้วหมอจะให้น้องออกได้ตอนไหนครับ”
“ถ้าไม่มีอะไรก็คงจะมะรืนนี้”
“คืนนี้ยายชื่นไปพักผ่อนนะครับ เดี๋ยวผมกับเจ้าพีจะดูน้องเอง พรุ่งนี้สายๆ สิงห์มันก็กลับมาดูเด็กของมันเองแล้ว”
“เอาแบบนั้นก็ได้ เดี๋ยวยายจะกลับเลยแล้วกัน ดูแลน้องดีๆ นะณิต”
“ครับ”
คณิตนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงเอื้อมจับมือเล็กผอมบางมากุมไว้ในมือของตัวเอง คณิตรักน้ำนิ่งเหมือนน้องแท้ๆ ของตัวเอง เป็นเหมือนน้องคนเล็กที่พวกเราต้องดูแลอย่างดี ยิ่งสิงห์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กนี่เป็นยิ่งกว่าชีวิตของผู้ชายคนนั้น รักยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดหวงยังกับจงอางหวงไข่ แต่ตอนนี้คณิตไม่เข้าใจความคิดของเจ้านั่น...รักแต่ทิ้งขวาง
พี่ณิตบอกว่าภูมิจะกลับมาถึงตอนสายๆ หนูฝืนไม่ยอมนอนแม้จะกินยาหลังอาหารแล้ว จนบ่ายสามก็ยังรอด้วยตาปรือปรอยแต่หลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกทีตอนห้าโมงเย็นแล้ว ถามพี่ณิตว่า ภูมิมารึยัง พี่ณิตไม่ตอบแต่ดึงตัวเข้าไปกอดปลอบว่าภูมิคงยังไม่เสร็จงาน เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็กลับแล้ว วันนี้อยู่กับพวกพี่ อีกวันแล้วกัน
วันนี้คุณลุงหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ หนูเปิดโทรทัศน์ดูระหว่างรอพี่ณิตไปจัดการชำระค่ารักษา พยาบาลกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยไม่ได้เจาะจงดูช่องใดช่องหนึ่ง
จนกระทั่งมาสะดุดช่องข่าวสังคมเศรษฐกิจที่ทำให้ใจหนูเจ็บแปลบเหมือนโดนค้อนทุบเข้าอย่างจัง ภาพข่าวที่ฉายตรงหน้ามันเป็นภาพเมื่อคืนวานของภูมิที่ดูหล่อสมาร์ทในสูทพอดีตัวราคาแพงแสนแพงควงคู่ กับไฮโซสาวสวยนักธุรกิจชาวสิงคโปร์ทั้งคู่ไปดินเนอร์กันที่ The Sky on 57 มารีน่า เบย์ แซนด์ส ภูมิยิ้มหวานทรงเสน่ห์ให้ผู้หญิงคนนั้น ตอนที่เดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้เธอ มือใหญ่เอื้อมไปรับมือเล็กเรียวตอนเธอคนนั้นลงจากรถ ก่อนที่เลื่อนมาแตะลงที่ข้อศอกเดินคู่กันขึ้นบันไดมารีน่าเบย์ แซนด์ส ด้วยกัน ทั้งคู่ยิ้มและส่งสายตาฉ่ำหวานให้กันราวกับว่าเป็นคู่รักที่รักกันมาก ภูมิดูเป็นสุภาพบุรุษที่อบอุ่นต่างจากที่เคยปฏิบัติกับหนูอย่างสิ้นเชิง
นี่สินะสาเหตุที่ภูมิไม่ได้กลับมาเมื่อวาน
เนื้อหาของข่าวเป็นการสัมภาษณ์กระเซ้าเย้าแหย่ไฮโซสาวถึงดินเนอร์ที่แสนโรแมนติกในค่ำคืนที่ผ่านมา ฝ่ายไฮโซสาวมีท่าทีเขินอายพองามกล่าวตอบนักข่าวอย่างมั่นใจว่า
“เคยเห็นและรู้จักคุณภูมิรพีผ่านสื่อต่างประเทศมานานตั้งแต่ตัวเองเข้าบริหารงานช่วยคุณพ่อใหม่ๆ ตอนนั้นคุณภูมิรพีเป็นที่รู้จักในฐานะพ่อค้าในตลาดที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดตั้งแต่ยังเด็กๆ พอได้มาเจอตัวจริงและมีโอกาสได้ร่วมธุรกิจกันยิ่งทำให้ปลื้มไปใหญ่ ก็เป็นการรับประทานอาหารร่วมกันธรรมดาไม่ได้โรแมนติกอะไร...”
นักข่าวอีกคนถามว่านอกจากจะร่วมธุรกิจกันแล้ว คาดว่าจะมีการสานสัมพันธ์กันด้านอื่นหรือไม่ นักธุรกิจสาวไฮโซตอบอย่างเขินอายว่า
“อันนี้โซว์ก็ตอบไม่ได้ มันเป็นเรื่องของอนาคต ก็คงจะแล้วแต่คุณภูมิรพีว่าอยากจะขยับฐานะเป็นอย่างอื่นรึเปล่านะคะ แต่คุณพ่อโชว์ชอบคุณภูมิรพีมากพูดถึงตลอด ยังไงขอตัวนะคะโซว์มีประชุมต่อนะค่ะ”
ภาพตัดมาที่ห้องข่าว ฝ่ายผู้ประกาศข่าวยังมีเนื้อหาของข่าวเพิ่มเติมอีกว่าในบ่ายวันเดียวกันก่อนมีดินเนอร์สุดหรู บังเอิญมีปาปารัซซี่มือดีเก็บภาพที่ทั้งคู่ควงกันเดินช๊อปปิ้งห้างดังของสิงคโปร์ ผู้ประกาศข่าว แซวว่า เห็นอย่างนี้ก็คงไม่แคล้วกันแล้ว เป็นคู่ที่มีความเหมาะสมกันมาก...
หลังจากนั้นเนื้อหาของข่าวอื่นๆ ก็ไม่ได้ผ่านเข้าหูของหนูแล้ว น้ำตาเอ่อล้นออกมาโดยอัตโนมัติ เหมือนหัวใจถูกบีบรัด สิ่งที่วิ่งวนอยู่ในหัวคือ
“ความว่างเปล่า” ก่อนที่มันจะก่อตัวเป็นคำถามที่ไม่รู้ว่าคำตอบอยู่ตรงไหน
‘เหตุผลนี่รึเปล่าที่ทำให้อีกคนลืมไปว่า...ตรงนี้ยังมีอีกคนรออยู่’
“น้ำ น้ำนิ่ง เป็นอะไรรึเปล่าฮึ” พี่ณิตเขย่าตัวเรียกเบาๆ หนูรีบยกมือขึ้นป้ายเช็ดน้ำตาที่เอ่อคลอ ก่อนจะฝืนยิ้มให้คนตรงหน้า
“ไม่เป็นไร ยังมีพวกพี่อยู่ข้างๆ เสมอนะ” พี่ณิตดึงตัวหนูเข้าไปกอดลูบปลอบเบาๆ สักพักหนูจึงผละออกจากอ้อมกอดของพี่ณิต
“เปล่าซะหน่อย ไม่ได้เป็นอะไร นั่งดูทีวีอยู่ดีๆ มันเหมือนมีผงฝุ่นปลิวเข้าตา แล้วมันระคายไง น้ำเลยขยี้จนเจ็บตาแล้วนี่ อ๊ะ! เสร็จแล้วเหรอฮะ เราจะกลับกันรึยังน้ำอยากนอนพักจังพี่ณิต...”
“ไอ้ผงนั้นมันน่าฆ่าให้ตายจริงๆ ทำให้น้องพี่ตาบวมแดงหมดแล้ว เดี๋ยวพี่จัดการให้ทุกอย่างเลย ไม่ร้องนะ” พี่ณิตพูดยังกับรู้เหตุผลว่าทำไมหนูถึงร้องไห้
“อะไรเล่าพี่ณิตก็...เราลงไปกันเลยไหมฮะ น้ำอยากกลับแล้ว” หนูทำหน้ากระเง้ากระงอดเบี่ยงเบนประเด็นฉุดรั้งให้คนพี่กลับบ้าน
“เอางั้นก็ได้ ถ้าไม่อยากจะบอกพี่ว่าร้องทำไม ก็กลับกันเลยลืมอะไรรึเปล่าหืม เก็บหมดรึยัง”
“ไม่มีอะไรซะหน่อย ก็ผงมันเข้าตาจริง”
“เออๆ ผงก็ผง แต่สัญญาว่าจะจัดการให้”
“...” พี่ณิตเดินไปหิ้วเอากระเป๋าที่วางอยู่บนเตียงให้ และดูอีกครั้งว่าลืมอะไรรึเปล่า มือสากแต่อบอุ่นของพี่ชายกุมกระชับมือหนูเดินออกจากห้องมาด้วยกันเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ถึงบ้านพี่ณิตจะอุ้มไปส่งห้อง แต่หนูบอกให้ปล่อยหนูลงที่หอนั่ง หนูบอกพี่นิ่มที่หิ้วกระเป๋าตามมาให้จัดห้องรับรองแขกที่เรือนทิศให้หนูจะไปนอนที่นั่นแทนห้องภูมิ
“อ้าว แล้วไม่นอนที่ห้องหละ” คณิตถามน้ำนิ่งด้วยความแปลกใจ
“นั่นห้องพี่สิงห์ไม่ใช่ห้องของน้ำซะหน่อย” น้องตอบผม
“ก็ทุกทีเห็นนอนด้วยกันตลอด ห่างกันได้ที่ไหน”
“ก็ตอนนั้น มันใช่ตอนนี้เหรอ พี่สิงห์ก็คงอยากจะมีความเป็นส่วนตัว”
“ไอ้สิงห์มันคงยอมหรอก เดี๋ยวกลับมาคงได้อาละวาดบ้านแตก” คณิตพยายามไกล่เกลี่ยเพราะไม่อยากให้น้องทะเลาะกัน
“พี่สิงห์ไม่สนใจหรอกว่าน้ำจะนอนตรงไหน ดีเสียอีกที่ไม่มีน้ำไปเกะกะ” น้ำนิ่งยังให้เหตุผลข้างๆ คู
‘ ถ้าสนใจ ถ้ายังรักอยู่ ก็คงไม่ทำอย่างนั้น ’
น้ำนิ่งก้มหน้าลงพึมพำเสียงแผ่วเบา เพราะคิดว่าคณิตจะไม่ได้ยิน แต่พี่ชายก็ได้ยินมันชัดเจน คนตัวโตมองน้องด้วยความฉงน สรรพนามที่เรียกสิงห์ก็เหินห่าง เคยที่ไหนที่น้ำนิ่งจะเรียกคนของตัวเองว่า “พี่สิงห์” มันชัดเจนแล้วว่าน้ำนิ่งเห็นข่าวห่าเหวนั่นแล้ว แม้อยากจะเชื่อใจคนของตัวเองสักเท่าใดแต่สิ่งที่เห็นมันก็ชวนให้คิดคล้อยตามข่าวจริงๆ คณิตอยากจะรู้นักภูมิ
รพีกำลังทำบ้าอะไรอยู่
“น้ำโตแล้ว ควรจะแยกห้องมานอนเองสักที จะอยู่ให้พี่ดูแล ตลอดไป ได้ยังไง สักวันหนึ่งพี่สิงห์ก็ต้องมีครอบครัวของตัวเอง ก็คงจะไม่มีเวลามาดูแลน้องอย่างน้ำเท่าไร ขอให้น้ำหัดยืนให้ได้ด้วยขาของตัวเองซะบ้างเวลาพวกพี่ที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันจะได้ทำอะไรเองได้ จะหวังพึ่งพาคนอื่นไปตลอดไปได้ยังไง น้ำพูดถูกมั้ย”
น้ำนิ่งอ้างเหตุผลโน้มน้าวให้พี่ชายคล้อยตาม ซึ่งคณิตคิดว่าถ้าสิงห์มันจะเลือกอย่างนั้นจริงๆ เหตุผลที่ น้องให้มามันก็ถูกต้อง แต่จะคิดเองเออเองจะใช่เหรอต้องให้ความยุติธรรมกับไอ้ตัวต้นเหตุด้วย คณิตว่าสิงห์มันคงจะมีเหตุผลที่ทำไปอย่างนั้น และเชื่อว่าสิงห์มันไม่มีวันทิ้งน้องได้หรอก ชีวิตทั้งชีวิตของมันเลยนะคนนี้ รักน้ำนิ่งจนจะคลั่งตายแล้วตอนนี้
“ตกลงคือจะแยกห้องให้ได้ใช่ไหม งั้นก็เอาที่น้องสบายใจเลย ถ้ามันโกธรก็อย่ามาง๊องแง๊งกับพวกพี่ก็แล้วกัน”
น้ำนิ่งพยักหน้า แต่ความมั่นใจหายไปเกินครึ่งตอนนี้คิ้วเรียวสวยของเด็กตรงหน้าเริ่มขมวดยุ่ง ก็เคยเห็นฤทธิ์กันอยู่ว่าเวลาสิงห์มันโกธรแล้วเป็นยังไง แต่ด้วยทิฐิบวกกับความน้อยเนื้อต่ำใจมันบังตาทำให้เด็กน้อยของเราใจฮึกเหิมบ้าบิ่นยืนยันที่จะแยกห้องให้ได้ ก็ตามใจสิงห์มันคงไม่ทำอะไรน้องแรงหรอกม้าง...นะ
“น้ำพี่จัดห้องให้เสร็จแล้วนะคะ” พี่นิ่มเดินมาบอก ผมพยักหน้ารับทราบพี่นิ่มขอตัวลงไปช่วยยายชื่นเตรียมอาหารเย็น
น้ำนิ่งเดินมาที่ห้องนอนใหญ่เก็บที่เป็นของตัวเองใช้เวลาไม่นานเพราะเลือกเอาแต่ของที่จำเป็นมาที่ห้องรับรองซึ่งต่อไปมันคงจะเป็นห้องที่เขาใช้นอนประจำ หัวเริ่มมึนๆ พี่ณิตคงจะดูออกเขาตวัดตัวหนูออกจาก ตู้เสื้อผ้าไปวางที่เตียง
“พอเถอะเดี๋ยวจะให้พี่นิ่มมาทำต่อให้ กินยาแล้วนอนพักตัวรุมๆ อยู่นะ”
หลังจากที่หนูกินยาเรียบร้อยแล้ว พี่ณิตขยับตัวให้นอนในท่าสบาย หยิบผ้าเน่าประจำตัวมาให้กอดก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้อีกทีจนถึงคอ นั่งเป็นเพื่อนสักพัก หนูแกล้งหลับสนิท พี่ณิตกันผ้าไม่ให้หลุดก่อนจะลุกขึ้นไปปรับเครื่องปรับอากาศให้อุณหภูมิพอเหมาะหรี่ไฟให้มีแสงสลัว รูดม่านหน้าต่างให้ปิดสนิท ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
พอคล้อยหลังพี่ณิต ยาที่กินเข้าไปไม่ได้ทำให้น้ำนิ่งง่วง กลับลืมตาโพล่ง ครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ จากที่เห็นยิ่งคิดถึงท่าทีที่ภูมิแสดงต่อผู้หญิงคนนั้นมันยิ่งชัดเจนว่า ที่ตรงข้างๆ ภูมิคงไม่ใช่ที่ของหนูอีกแล้ว ใจมันเจ็บแปลบทุกครั้งเหมือนเข็มสักพัน สักหมื่นเล่ม ที่ทิ่มแทงในใจ
บาทีตอนนี้คำว่า
“ตลอดไป” มันคงเดินทางมาถึงสุดสายปลายทางแล้ว...
สักวันภูมิคงจะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง...ทำในสิ่งที่อยากทำกับคนที่รักโดยที่ไม่มีหนูอยู่ตรงนั้น...
สิ่งที่หนูต้องพยายามทำให้ได้คือ
“เข้มแข็ง” คงต้องหัดอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ก้าวเดินช้าๆ อย่างมั่นใจด้วยขาของตัวเอง...อยู่ในที่ๆ เป็นของตัวเองเลือกอย่างมีความสุขเท่าที่จะทำได้ในวันที่ไม่มีภูมิ…
หนูไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ไปมากแค่ไหน...น้ำตาที่ไหลออกมามันเปียกหมอนจนชุ่มหรือไม่..ความอ่อนเพลียและฤทธิ์ยาทำให้หลับไปทั้งที่น้ำตายังอาบแก้มใส....
TBC.
ปล. ลักษณะการเขียนของอิฉันหลายคนอาจจะงง เพราะในแต่ละตอนจะมีทั้งคนเขียนอธิบายแทนตัวละคร และตัวละคร
บรรยาความรู้สึกเอง ภาษาบางทีก็เก่า ขอบคุณมากมายที่แวะเข้ามา