“หลายครั้งที่ผมปรามคุณแล้วผมไม่เคยได้รับเลย ครั้งนี้ผมก็จะพูดอีก..” สมุทรพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ
“เอาเลย พูดเลย” ผมเบ้ปากอนุญาตให้เขาทำตามที่อยากทำ
“กรุณาลงไปจากตัวผมด้วยครับ” เจ้าตัวสั่ง คำสั่งที่ออกมาจากเสียงที่น่าฟังแต่มันกลับช่างเย็นชาจริง ๆ ผมเลือกที่จะมองสมุทรด้วยสายตานิ่งเฉยอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว รอยยิ้มที่ไม่ปรากฏอยู่บนใบหน้าผมที่ปกติคนภายนอกมองว่าผมหยิ่งยโสและดูไม่ใช่คนดีนัก หากทำแบบนี้ไม่แน่ว่าสมุทรเองก็คงลังเลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ผมขยับใบหน้าเข้าไปใกล้กับหน้าของเขาขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาที่เริ่มกะพริบถี่มากขึ้นกว่าเดิมทำให้ผมรู้ว่าสมุทรกำลังคิดวิธีที่จะจัดการผมอยู่ ลมหายใจปะทะซึ่งกันและกัน มุมปากผมยิ้มเผยให้อีกฝ่ายเห็น ปลายจมูกแตะลงที่ปลายคางของเขา กลิ่นกายแบบผู้ชายโชยเข้ามา ทันทีนั้นผมจึงช้อนตาขึ้นมอง สมุทรจ้องตอบกลับมา สายตาที่เราต่างประสานกันลึก ๆ แล้วเราเองก็เย็นในความรู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก และนั่นก็คงไม่แปลกเลยที่ดวงตาคู่นี้จะทำให้คนรักเก่าของเขาโวยวายเช่นนั้นที่โรงแรม ผมแทบไม่แปลกใจเลยสักนิดเดียว
..ปลายจมูกของผมจงใจไล่เกลี่ยไปตามปลายคางและโครงรูปหน้าของสันกรามของเขาอย่างเนิบช้า เสียงการเต้นของหัวใจชักไม่ปกติ มันเป็นการเคลื่อนตัวที่บางเบามากจนตัวเองก็รับรู้ได้ว่าในตัวเริ่มร้อนรุ่มขึ้นอีกครั้ง
“ไม่คิดจะทำอะไรสักอย่างเหรอ” ผมขยับตัวกระซิบเตือนสมุทรที่ข้างหู ใช่..
ที่จริงกูเตือนตัวกูเองด้วย ปากแตะลงเข้าที่ข้างแก้มของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาพร้อมช้อนตาขึ้นมอง หากเขาไม่หยุดผมในตอนนี้ ผมคงได้เป็นบ้าแน่ ๆ
“ครับ..ผมกำลังจะทำอยู่” อีกฝ่ายตอบนิ่ง ๆ ผมแสยะยิ้มค้างตัวรออยู่อย่างนั้น
“โอ๊ย!!!” ตัวผมสะดุ้งโยน ร้องอุทานพร้อมผละออกมาจากสมุทรในทันที อีกฝ่ายจงใจบีบมือมาที่แผลผมอย่างไม่ยั้งแรงมือเลยแม้แต่นิดเดียว
“ซี๊ด! สมุทร!” ผมกัดฟันแน่น นอนขดตัวด้วยเพราะระบมที่ซี่โครง สมุทรลุกขึ้นนั่งมองมาด้วยใบหน้านิ่งสงบ เมื่อผมตั้งสติได้จึงสบตาตอบพร้อมฉีกยิ้มกะล่อนให้อย่างไม่ลดละ
“นายนี่มัน.. ใจร้ายเป็นบ้า” ผมบ่น
“กับคนที่กำลังล่วงละเมิดทางเพศลูกน้องนี่นะครับ” สมุทรต่อว่า
“ก็ลูกน้องน่าล่วงละเมิดทางเพศนี่” ผมตอบพร้อมส่งสายตาไม่เลิกทั้งที่ยังนอนอยู่อย่างนั้น ใบหน้าของสมุทรก็เกือบจะหลุดยิ้มเช่นกัน ความนิ่งขรึมไม่ได้มีมากถึงกับจะทำให้สถานการณ์ระหว่างเราตึงเครียด
“นอนได้แล้วครับ” สมุทรพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเหมือนอยากให้จบการเล่นนี้สักที
“จริง ๆ แล้ว..นายเป็นประเภทเดียวกันกับฉันใช่ไหมล่ะ ?” ผมกวาดตา อีกฝ่ายไม่โต้ตอบ เอาแต่จ้องผมเขม็ง
“สายตาเย็นชาแบบนั้น มันพูดแทนหมดเลย” ผมต้อน นำนิ้วชี้กวาดขึ้นกลางอากาศใกล้กับใบหน้าของสมุทร
“แต่ในสายตาผม คุณน่ะ..ปิดกั้นตัวเอง และไร้ความรู้สึกยิ่งกว่าผมซะอีกครับ คนที่ปากยิ้มโดยที่ตาไม่ยิ้มด้วยแบบคุณ มาว่าผมได้ด้วยเหรอ” อีกฝ่ายย้อนเข้าให้ ดูท่าจะทำให้ไม่พอใจซะแล้ว
“ชอบจัง” ผมหัวเราะขึ้นจมูกแกมบ่น
“ขอให้เจอดีเข้าสักวันนะครับ” อีกฝ่ายว่าอย่างเหลืออดพร้อมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
“ฮา~ อยากเจอจนเนื้อเต้นไปหมดแล้ว” ผมทำเสียงกระเส่าและยังคงนอนด้วยท่าที่ตะแคงตัวตั้งแต่แรกอยู่นั้น พอผมเท้าข้อศอกข้างซ้ายตั้งตัวขึ้น อีกฝ่ายก็ตะแคงหันหลังหนีให้ผมในทันที
“แน่ใจนะว่าจะนอนหันหลังให้กันแบบนั้น” ผมพูดเชิงถาม สมุทรนิ่งไปครู่ก่อนเอี้ยวตัวหันมามองผมตาขวาง คิ้วผมยึกยักให้โดยอัตโนมัติ ขยับตัวขึ้นไปนอนบนหมอนดี ๆ ซึ่งมันก็ใกล้กับหมอนของสมุทรมาก อีกฝ่ายยอมพลิกตัวนอนหงายกลับมาเป็นปกติ ต่างคนต่างนอนหงายบนหมอนของใครของมัน สงบศึกได้เสียที ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงไม่ได้นอนกันดีเป็นแน่
“สมุทร” ผมเรียก ทั้งที่ยังคงนอนไม่ขยับ
“ครับ” อีกฝ่ายขานรับ
“สุดท้ายแล้ว..จิตใต้สำนึก มักจะเป็นคำตอบที่แท้จริงให้คนเรานะ” ผมพูดแกมบ่นถึงตัวเองและอะไรหลาย ๆ อย่าง สมุทรไม่ตอบ เขาเงียบลงพักหนึ่ง
“ผมเคยอยากทำความรู้จักกับคุณ..” อยู่ดี ๆ อีกฝ่ายก็เกริ่นไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมหันหน้าไปมอง เขาหลับตาลงแล้ว
“เพราะได้ยินชื่อของคุณออกมาจากปากของพ่อกับแม่บ่อย ๆ” ผมเงียบฟัง สมุทรลืมตาขึ้นอย่างเนิบช้า สายตาที่เหลงต่ำของเขาทำให้ผมรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในอก คล้ายระแวงในคำพูดต่อไปจากอีกฝ่าย
“เราปฏิเสธไม่ได้นะครับ ว่าความทรงจำสมัยเด็ก..มันฝังอยู่ในหัวเป็นเลิศกว่าอะไรจริง ๆ” สมุทรบ่นพลางยิ้มน้อย ๆ ผมเงียบปากเพราะไม่คิดจะปฏิเสธเช่นกัน
“พ่อบอกปัดที่จะให้ผมรู้จักกับคุณ แกพูดว่า..เอาไว้ก่อน แบบส่ง ๆ ไปที”
“ผมเคยได้ยินพ่อคุณบอกว่าอยากให้ผมเป็นเพื่อนกับคุณ แต่พ่อผมดันปฏิเสธว่า..มันไม่เหมาะ ผมไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนกับคนแบบคุณ อย่างที่คุณพูดนั่นล่ะครับ..ผมน่ะ อาจจะต้องเป็นเบ๊คุณตั้งแต่เกิดแล้วก็ได้ ผมน้อยใจพ่อมาก..ตอนนั้นเลยคิดอยู่หรอกว่าก็ดีแล้วล่ะ ไม่ได้อยากเป็นเบ๊ให้คนแบบคุณสักหน่อย ใครก็ไม่รู้ สุดท้าย..ไม่ยักคิดว่าจะมีวันที่ได้มาเป็นลูกน้องคุณจริง ๆ” สมุทรพูดปนหัวเราะ คำพูดที่แฝงไปด้วยความหมายนัยยะมากมายที่แม้เขาจะไม่อธิบายให้กระจ่างผมก็เข้าใจดี
“ถ้าคุณไม่ได้เป็นเจ้านายผมตอนนี้ ผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นเพื่อนกับคุณให้ก็ได้น่ะนะ” อีกฝ่ายพูดอย่างไร้เยื่อใย ในหัวของผมกำลังประมวลคำพูดของสมุทรวนไปมา คำพูดของเขาทำให้ปากผมหนักอึ้งซะอย่างนั้น ทั้งหมันไส้ ทั้งอยากเอาชนะ
“ทุกคนก็มีหน้าที่ของตัวเอง..” ผมพูดขึ้น ณ ตอนนี้สิ่งที่เราทั้งคู่มองอยู่คงเป็นเพดานห้องตรงหน้า
“หน้าที่ที่เอาไว้เลี้ยงปากท้อง ลูกน้องก็มีหน้าที่ในส่วนของงานตัวเอง..ที่ควรสำนึกว่าอะไรคืองานของตัวรึเปล่า ทำ..สิ่งที่ควรทำ” ผมบอก
“ที่บ้านฉัน หน้าที่กับความสัมพันธ์แยกกัน ลูกน้องคือเพื่อน เพื่อน..คือคนในครอบครัว” ผมตัดบท ก่อนพลิกตัวตะแคงหันหลังให้สมุทรเพื่อเป็นการบอกกับเขาว่า “ผมขอจบบทสนทนาไว้เพียงเท่านี้”
- - - - - - - - - - - - - - -
06:40 น. แต๊ก ~~
เสียงนาฬิกาเดินย่องเบาอย่างกับไม่ได้เดิน ผมนอนตะแคงมองคนร่วมเตียงมาร่วม ๆ สิบห้านาทีเห็นจะได้ เขาหลับสนิทเชียว หนึ่งสิ่งที่ผมได้รู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวของสมุทรคือ เขาไม่ใช่คนนอนกรน และไม่ค่อยเปลี่ยนท่าในการนอนนัก
..ความจริงแล้วผมควรนอนตื่นสายกว่านี้แต่เพราะรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อตัวเท่าไหร่นัก ร่างกายจึงปลุกตัวเองให้ตื่นไปโดยอัตโนมัติ สมุทรเริ่มขยับตัวเล็กน้อย ตาหรี่ลืมขึ้นช้า ๆ ก่อนที่จะหันหน้ามาทางผม
“ตื่นนานแล้วเหรอครับ” เขาถามด้วยสีหน้าตกใจ เหมือนเกรงในความผิดต่อหน้าที่การงาน
“ชั่วโมงนึงได้” ผมตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ได้ข่าวว่าปกติตื่นเช้านี่” ผมแซว ที่จริงไม่ใช่การ ‘ได้ข่าว’ แต่เป็นการสังเกตด้วยตัวเองล้วน ๆ
“ขอโทษครับ” สมุทรขยับตัวลุกขึ้น
“วันนี้เราต้องออกไปไหนรึเปล่าครับ”
“ไปเดทไงเล่า ถามได้..ลืมเหรอ ?” ผมบ่นพร้อมพลิกตัวนอนหงาย สมุทรที่นั่งอยู่มองผมเงียบ ๆ ผมพลิกตัวมาอีกด้านเพื่อที่จะลุกขึ้นอาบน้ำ น้ำหนักตัวหนักขึ้นกว่าเมื่อวานมากจึงทำให้การเคลื่อนตัวเริ่มแรกค่อนข้างเชื่องช้านิดหน่อย ขาห้อยลงจนปลายเท้าแตะบนพื้นพรมอยู่สักพักหนึ่งเพื่อให้ร่างกายปรับสภาพ
“คุณนอนพักอีกสักนิดดีกว่าไหมครับ” สมุทรลุกจากเตียงไปแล้ว เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าผม
“ไม่” ผมปัด ตาสว่างเต็มที ไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิดเดียวแล้วจะนอนต่อให้เมื่อยไปทำไม
“ตาคุณบวมมากเลยนะครับ” สมุทรมองด้วยสีหน้าไม่สู้ดี กูก็ว่า ทำไมรู้สึกหนัก ๆ ที่เบ้าตา คำทำนายที่คุณหมอรู้ดีคนเมื่อวานนี้เป็นจริงเข้าให้ซะแล้ว..
“ฉันอยากอาบน้ำ” ผมขมวดคิ้วพูดเบี่ยงประเด็น สมุทรนิ่งไปหนึ่งอึดใจ ผมนั่งมึนเมินไม่สนใจ
“ทำไมคุณถึงเป็นคนรั้นแบบนี้ครับ”
“หุบปากน่า เป็นแม่ฉันรึไง..” ผมว่ากลับ อีกฝ่ายถอนหายใจเล็กน้อย
“ทำตามหน้าที่ด้วยครับ หรือต้องให้ผมไปทำเอง” ผมเลิกตามองขวาง สมุทรหลบตา เดินหนีเข้าห้องน้ำไปเพื่อจัดการตามหน้าที่ของตน
“อย่างกับตัวเองรั้นน้อยเมื่อไหร่” ผมกัดฟันบ่นไล่หลัง
สมุทรจัดการเตรียมน้ำใส่อ่างให้ผมในอุณหภูมิเดียวกันกับที่พี่ธานรู้เปี๊ยบ พร้อมจัดเตียงเข้าที่เรียบร้อยอย่างกับแม่บ้านของทางโรงแรมมาเอง เสร็จหน้าที่แล้วก็ออกจากห้องไปโดยที่ผมไม่ต้องออกปากไล่ เพราะเมื่อไหร่ที่ผมต้องการเวลาส่วนตัว
ขอให้ผมอยู่คนเดียว.. มือกดเปิดไอพอตของทางโรงแรมพร้อมเลือกเพลงที่ชอบให้เหมาะควรแก่เช้าวันใหม่ในอารมณ์แบบนี้ คลอไปพร้อม ๆ กับการแต่งตัว ตากวาดมองงานในตู้เสื้อผ้า เสื้อผ้าของผมที่เตรียมมาถูกนำใส่ไม้แขวนจัดเรียงเข้าตู้ไว้ให้เรียบกริบเป็นที่น่าพอใจ เสียงพูดคุยเบา ๆ จากด้านนอกทำให้ผมทราบว่าพี่ธานเองก็ตื่นแล้วเช่นกัน
เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสไตล์ฮาวายลายดอก พื้นสีแดงฉูดฉาดที่เพื่อนรักชอบซื้อมาฝากจากต่างประเทศ ไอ้โปรดชอบให้ผมใส่เสื้อเชิ้ตฮาวาย มันบอกว่าผมใส่ขึ้นเหมือนจิ๋กโก๋ยุค 70s เสื้อสไตล์ฮาวายจึงเต็มตู้เสื้อผ้าผมไปหมด ตามจริงแล้วผมก็ชอบด้วยเหมือนกัน ซื้ออะไรมาให้ฟรีก็ชอบทั้งนั้น เนื้อผ้าพลิ้วใส่สบาย อีกทั้งผมเป็นคนชอบของสีสดเป็นทุนอยู่แล้วด้วย ทั้งไอ้โปรดและพายุรู้ในส่วนที่ผมชอบและพวกมันมักจะเลือกสิ่งที่คิดว่าเหมาะสมมาให้เสมอ อะไรที่ได้รับ เสื้อทรงไหนมาผมก็นำมาใช้ทั้งนั้น แล้วแต่สถานการณ์ แล้วแต่โอกาสไป ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ใส่แนวอย่างวันนี้เท่าไหร่นักถ้าไม่ได้อยู่กับเพื่อน ๆ หรือเที่ยวส่วนตัว
- I’m the man. Do wicked things. -“หึ..” หนวดที่ไม่ได้ถูกโกนออกในตอนเช้าวันนี้เห็นในกระจกยังอดชอบใจให้ตัวเองไม่ได้ ชายเสื้อเชิ้ตซุกเข้าในกางเกงผ้าวูลสีเทาทรงคร็อปแพนท์ กระดุมเสื้อปลดออกจนเกือบเห็นแผ่นอกอย่างชัดเจน นาฬิกาเรือนทองทั้งเรือน แหวนวงใหญ่สามวงติดที่มือข้างเดียวกับนาฬิกา รสนิยมการเลือกของของพายุดีคงที่เสมอต้นเสมอปลาย ดังนั้น ไม่ว่าผมจะหยิบอะไรมาผสมในตัวมันก็เลยเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถุงเท้าสีดำซ่อนข้อที่เตรียมเรียงเป็นคู่ ๆ ไว้ให้พร้อม ทุกคนรู้ดีว่าผมไม่ชอบใส่รองเท้าโดยไม่ใส่ถุงเท้า ไม่ว่าชุดไหน ๆ ก็ต้องสวมถุงเท้าเสมอ ปลายเท้าข้างขวาเขี่ยรองเท้าหนังกลับพื้นสีกรมท่าตัดกับขลิบสีน้ำตาลแยกออกมาเพื่อตัดสินใจว่าวันนี้จะใส่คู่นี้
- Nothing can stop me. Nothing can stop me -“This is my way. Nothing can stop me.” เสียงเคาะประตูพร้อมการขออนุญาตจากพี่ธานแทรกเข้ามาในขณะที่ปากของผมยังคงขยับคลอตามเพลงจังหวะฮิพฮอพที่มีเนื้อร้องซ้ำ ๆ อยู่ที่เดิม จนไม่รู้ว่าแม่งจะร้องเนื้อเดิม ๆ นี้ยันจบเพลงเลยรึไง ประตูห้องเปิดเข้ามาพอดีกับที่มือของผมกำลังปาดเจลใส่ผมเสร็จหมาด ๆ พี่ธานหยุดยืนที่หน้าประตู มือแตะปิดประตูเบา ๆ ผมยักคิ้วทักทายยามเช้า นำหวีปาดผมไปทางด้านหลังพลางมองหน้าพี่ใหญ่ อีกฝ่ายฉีกยิ้มอ่อน ๆ ตากวาดมองผมอย่างเจ้าเล่ห์ด้วยความหมายไม่ต่างกันนัก
“นี่คือชุดของวันนี้งั้นเหรอครับ”
“ไม่ดีเหรอ ? ชุดมาทะเลไงครับพี่ใหญ่ หัวจรดเท้านี่กลั่นกรองมาแล้วนะ พูดงี้น้องพายุเสียใจแย่” ผมตอบพลางอมยิ้มมุมปาก เท้าก้าวถอยห่างจากกระจกเล็กน้อยเพื่อสำรวจมองตัวเองในมุมกว้างอีกครั้ง
“ไม่ได้ว่าไม่ดีครับ..ดูเหมือน Gangster คุมถิ่นเอเชียแถว Miami ในยุค 1970s ดีครับ” พี่ธานขยายความหน้าประหลาด
“หึ! ฮ่า ๆ ๆ” ผมหลุดหัวเราะดังลั่นด้วยความพอใจ พี่ธานหลุดขำเช่นกัน ตามองไปที่กล่องเก็บแว่นตา พี่ธานรู้งานเข้ามาเปิดกล่องแว่นตาที่เตรียมไว้ออกทั้งหมดทันที เราต่างเงียบลง ผมหยิบแว่นกันแดดอันที่เหมาะกับชุดที่สุดมาเสียบเข้าที่ระหว่างกลางเสื้อ พอทำแบบนี้จึงยิ่งทำให้น้ำหนักของเสื้อถูกรั้งให้หย่อนลงไปมากกว่าเดิม
“ยิ่งคุณตั้งใจแต่งตัวแบบนี้ ในตัวคุณ..แทบไม่มีอะไรเหลือให้เขาไว้ใจได้เลยครับ” พี่ธานพูด ผมเงียบ ช้อนตาขึ้นมองพี่ใหญ่พร้อมดุนลิ้นไว้ที่กระพุ้งแก้มยิ้ม ๆ
“รู้ดีจังนะครับ” ผมพูดเรียบ ๆ
“พูดให้ฟังน่ะครับ” อีกฝ่ายตอบกลับเสียงเรียบเช่นกัน
“ใจต่างล่ะ ที่จะวัดว่าควรเชื่อได้รึเปล่า ไม่ใช่เหรอครับพี่ใหญ่ ?” ผมถาม พี่ธานนิ่งมองด้วยแววตาแฝงความหมายเช่นกัน
“ครับ ผมจะอธิฐานให้อีกฝ่ายมองเห็นเร็ว ๆ นะครับ” พี่เขายิ้มตอบ
“Awesome!” ผมเปลี่ยนน้ำเสียงที่ใช้พร้อมชี้หน้าพี่ธานหน้าทะเล้น
“ไม่กวนเขาไม่ได้เหรอครับ ?” อีกฝ่ายถามทีเล่นทีจริง
“This is the real me.” ผมมองตัวเองในกระจก อีกฝ่ายเงียบไปแล้ว ผมไม่เคยไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่แม้กระทั่งกับคู่นอน แต่การเป็นตัวของตัวเองในบางครั้งมันก็แค่เป็นบางมุม มุมในด้านที่ผมตั้งใจเปิดหรือปิดไว้เพื่อใช้กับคน ๆ นั้น บางทีคนเราก็ต้องการทดสอบตัวเองด้วยการเปิดเผยทุก ๆ ด้านที่ตัวเองเป็นกับคนที่เราต้องการให้เห็นเท่านั้น ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะอยู่ในสถานะใดสำหรับเราก็ตาม เพราะนั่นคือการทดสอบอีกฝ่ายเช่นกัน
“แล้วจะไม่ทำแผลที่ท้องหน่อยเหรอครับ” พี่ธานมองมาที่เอวของผมอย่างเป็นกังวล
“เฮ..ผมทายาเองไปแล้ว รำคาญ..เอาไว้เจ็บอีกทีตอนเย็นแล้วกัน” ผมขยิบตากระซิบปราม พี่ธานยิ้มอ่อน ๆ อีกครั้ง
“เขาอาบน้ำอยู่เหรอ” ผมถาม
“ครับ” พี่ธานเอื้อมเปิดประตูให้
“ล็อกห้องรึเปล่า” ผมแกล้งทำหน้าตาเลิ่กลั่ก พี่ธานหัวเราะ
“พี่แต่งตัวสบาย ๆ ก็ได้นะ วันนี้ไม่ต้องซีเรียสนักหรอก” ผมบอก พี่ธานยิ้มมีเลศนัยรู้ทันไม่ถามเอาความอีก
ผมออกมานั่งรอที่ห้องนั่งเล่น พี่ธานนำน้ำมาเสิร์ฟพร้อมแกะซองยาเพื่อให้ผมได้กินยาก่อนอาหาร อีกฝ่ายขอตัวกลับเข้าห้องตัวเองเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ผมนั่งรอทั้งคู่อยู่เกือบสิบห้านาที ปกติผมจะต้องเสร็จทีหลังลูกน้อง แต่วันนี้คงอารมณ์ดีมากไปหน่อย
ก็นะ..