น้องมันบ้า หาเรื่องฟันพี่
บทที่ 4
บางทีพี่เมฆก็ทำตัวให้น่าเป็นห่วง
แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องที่เราต่างรับคำท้าซึ่งกัน ผมว่าเราควรจะผ่านคืนนี้ที่ต้องอยู่ด้วยกันเป็นคืนแรกไปให้ได้ก่อนดีกว่า วันนี้
ผมและพี่เมฆจำเป็นต้องโดดเรียนทั้งวันเพราะเรื่องยุ่งๆที่เกิดขึ้น ช่วงเช้าไปโรงพยาบาลกว่าจะกลับมาหอก็บ่ายจัด หลังจากนั้นพี่เมฆก็ยัง
ต้องลงไปด้านล่างเพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันรถ
ผมยืนมองเขาอยู่ห่างออกไป พี่เมฆที่คุยเรื่องความเสียหายของรถมีสีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด เขาขยับยกแขนขวาข้างที่
หักบ่อยๆคงเป็นเพราะปวดมาก คิ้วเข้มๆของพี่เมฆแทบจะชนกันจนกระทั่งเสร็จเรื่อง เจ้าหน้าที่ประกันขับรถของพี่เมฆไปไว้ที่อู่รถให้
ท่าทางที่คุยกับพี่เมฆดูนอบน้อมเหลือเกิน
ผมเดินตามร่างสูงของพี่เมฆเข้าไปในลิฟท์เพื่อกลับห้อง พี่เมฆหลับตาลงและพิงหลังไปกับลิฟท์จนผมนึกเป็นห่วงอย่างบอก
ไม่ถูก
“ปวดมากหรือเปล่าพี่เมฆ ปวดแผลที่ขมับหรือแขนที่หักล่ะ”
เขาลืมตาขึ้นมามองพลางขยับปากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เมื่อสบตากับผมเขากลับเงียบไปเฉยๆ
“อือ ปวดว่ะทั้งหัวทั้งแขนนี่แหละ”
เป็นครั้งแรกที่พี่เมฆพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุด ไม่ยียวนหยิ่งยะโสหรือดูถูกเหยียดหยาม มันทำให้ผมสบายใจและมอง
พี่เมฆในแง่ดีขึ้นมาอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ขณะเดินตามหลังเขาออกจากลิฟท์กลับเข้าไปที่ห้อง
“มีเรื่องยุ่งๆจนถึงตอนเย็น หิวหรือยังพี่เมฆ”
โครกกก ครากกก
ไม่ต้องถามซ้ำ เสียงท้องร้องดังลั่นออกมาเป็นคำตอบจนหน้าหล่อๆชักเปลี่ยนสี ผมต้องแอบยิ้มเพราะเริ่มเรียนรู้ว่าคนอย่างพี่
เมฆไม่ชอบให้ใครมองเป็นตัวตลก จากนั้นก็จัดแจงคว้าข้าวกล่องที่พี่พลซื้อมาไว้ให้วางลงบนโต๊ะตัวเล็กฟากหนึ่งของห้อง
“พี่เมฆมากินข้าวจะได้กินยาแก้ปวดแล้วนอนพัก หน้าพี่ตอนนี้เหลือแค่สองขีดเองนะ”
ไม่ดื้อแฮะ สงสัยหิวจัด
เจ้าของห้องเดินมานั่งอยู่ตรงกันข้ามพลางจ้องมองอาหารในกล่องแล้วถอนหายใจเบาๆหนึ่งเฮือก สงสัยแม่งอยากกินซูชิ
มากกว่ากะเพราะไข่ดาวที่วางอยู่ตรงหน้า แต่พี่เมฆก็ใช้มือซ้ายคว้าช้อนมาตักข้าวเข้าปากในที่สุด
เพราะไม่ถนัดมือซ้ายข้าวจึงเข้าปากช้าๆหกบ้างเลอะบ้างอย่างกับเด็กสามขวบตักข้าวกิน ไอ้มะตูมนั่งมองแล้วเกิดอาการทน
ไม่ไหวสิฮะ กว่ามึงจะกินหมดข้าวแม่งเกลื่อนโต๊ะแน่
“ผมช่วยดีกว่า”
คว้าช้อนจากมือซ้ายของพี่เมฆมาแล้วตักข้าวป้อนเข้าปาก พ่อเจ้าประคุณเหลือบตามองหนึ่งแวบก่อนจะอ้าปากรับข้าวไป
เคี้ยวตุ้ยๆแป๊บเดียวหมดกล่อง เมื่อเขาเคี้ยวคำสุดท้ายกลืนลงท้องจึงเอ่ยปากถามผม
“แล้วมึงไม่กินหรือไงไอ้มะตูม มึงเองก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกูนี่”
แหม เพิ่งจะสนใจกูนะครับพี่เมฆ ไม่เป็นไร กูยกให้พี่วันนึง อยากให้พี่เมฆกินอิ่มนอนหลับหายปวดก่อนแล้วผมค่อยจัดการตัว
เอง
“เดี๋ยวค่อยกินก็ได้ ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่หรอกน่า”
“ไม่หิวก็ต้องแดก แดกเยอะๆด้วย เวย์โปรตีนที่กองอยู่ตรงโน้นน่ะแดกซะ อย่าลืมว่ามึงต้องทำน้ำหนักสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาอีก
สองกิโลนะ”
อ้อ ที่แท้ห่วงเพราะเรื่องนี้
น่า ช่างแม่ง ยังไงก็นับว่าห่วงนั่นแหละ
ผมหยิบเม็ดยาแก้ปวดที่พิมพ์ฉลากหน้าซองว่ากินหลังอาหารทันทีมายื่นให้พี่เมฆกิน เขาก็ไม่อิดออดนะคงปวดจริงๆ
“อาบน้ำแล้วนอนเลยไหม หน้าตาพี่เพลียระดับสิบเลเวล”
พยักหน้าเห็นด้วย พี่เมฆเดินไปที่โต๊ะกระจกแล้วจึงคว้ากล่องเล็กๆที่วางอยู่ขึ้นมา
“กูต้องถอดคอนแทคเลนส์”
อ้าว พี่เมฆใส่คอนแทคเหรอเนี่ย ความรู้ใหม่
เขาขยับยกแขนทั้งสองข้างถอดคอนแทคเลนส์อย่างเก้ๆกังๆโดยที่ผมไม่สามารถช่วยได้เลย กว่าจะถอดออกได้ทั้งสองข้างพี่
เมฆก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ใส่คอนแทคไม่ถนัดเลย สงสัยช่วงนี้คงต้องใส่แว่นไปก่อน”
ว่าแล้วก็ใช้มือคลำกล่องแว่นที่วางอยู่ไม่ไกลเพื่อคว้ามาใส่ พอพี่เมฆหันหน้ากับมาผมก็ขำพรืดจนกลั้นไม่อยู่
“หัวเราะเหี้ยอะไรไอ้มะตูม”
ไอ้ที่พี่พลเคยเล่าให้ฟังว่าพี่เมฆเคยเป็นเนิร์ดมาก่อนคงจะเป็นเรื่องจริง เมื่อตอนนี้ใบหน้าหล่อสาวกรี๊ดวัวตายควายล้มกลับมา
แว่นสายตาทรงกลมอันใหญ่ประดับอยู่ มันทำให้ประธานชมรมเทควันโดแสนเท่กลายเป็นไอ้หนุ่มหน้าจืดขึ้นมาทันที
“ไม่มีอะไรพี่เมฆ ว่าแต่พี่มีแว่นอันอื่นอีกไหมเนี่ย”
“ไม่มี ก็หลังจากเปลี่ยนไปใส่คอนแทคก็ไม่ได้ตัดแว่นใหม่อีกเลย อันนี้คืออันสุดท้ายตั้งแต่มัธยม”
“สั้นเท่าไหร่อะพี่” ผมถามตอนที่กำลังเมียงมองความหนาของแว่น
“สี่ร้อย”
มิน่าล่ะ แว่นถึงได้หนาขนาดนั้น
แต่บางทีผมว่าพี่เมฆใส่แว่นแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบนะ
ชิบหายละ นี่กูคิดว่าพี่เมฆน่ารักได้ไงวะ!
“มึงจะมองหน้ากูอีกนานไหมไอ้เหี้ยมะตูม”
ไอ้เหี้ยเพื่อนสนิทนำหน้าเรียกสติจนผมต้องยิ้มแหยและพุ่งตัวไปคว้าผ้าเช็ดตัวของพี่เมฆที่แขวนอยู่ที่ราวตากผ้าตรงระเบียง
มาส่งให้พี่เมฆ
“เดี๋ยวสิ พี่พยาบาลคนสวยที่ห้องฉุกเฉินบอกว่าห้ามแผลที่หัวเปียกน้ำ เฝือกที่แขนก็ห้ามเปียกนะพี่เมฆ”
“อาบน้ำมันก็ต้องเปียกไหมวะ บ้านมึงอาบน้ำไม่เปียกหรือไง”
ผมชักย่นคิ้วใส่เมื่อพี่เมฆเริ่มกวนตีนผมอีกครั้ง
“ไม่ได้ ไม่ได้ ถ้าแผลพี่เปียกมันก็หมักหมม พอแผลหมักหมมก็จะติดเชื้อ ติดเชื้อเสร็จพี่ก็อาจตายก่อนที่จะเห็นผมได้เหรียญ
ชิงแชมป์เปี้ยนโลกนะพี่”
“กูว่าเอาให้ไม่โดนเขาเตะสลบที่งานชิงแชมป์ประเทศไทยก่อนไหม แล้วชิงแชมป์โลกค่อยว่ากัน”
ดับฝันบรรเจิดของกูซะย่อยยับเลยครับไอ้พี่เมฆ ฮึ่ยย
“ผมจะช่วยพี่อาบน้ำ”
“มึงจะบ้ารึไง!”
ถามสวนกลับมาเสียงดังลั่นห้อง พี่เมฆมองผมอย่างกับเห็นผีปอบ
“กูแค่หัวแตกและแขนหัก กูไม่ได้เป็นง่อยนะ”
“แต่มันก็ลำบากที่จะทำเองไง ในเมื่อตอนนี้มีผมช่วยแล้วพี่อย่าอิดออดให้มากเรื่องเลย ถอดเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้”
สีหน้าไม่ไว้วางใจยังไม่คลายลงไปจนผมชักจะโมโห
“แค่ผมกดพี่ทีเดียวตอนเมาอย่าเอามาเป็นปมด้อยในชีวิตดิพี่ ตอนนี้สติพี่ก็ครบไม่เมาไม่แฮงค์แล้วผมจะไปทำอะไรพี่ได้ไง
ผมยังไม่อยากเป็นเป้าให้พี่ถีบเล่นตอนนี้หรอก ว่าไง จะถอดหรือไม่ถอด”
“มึงมันเหี้ย”
พี่จะต้องตอกย้ำทำไมนักหนาครับ กูรู้แล้วครับ
พี่เมฆถอดเสื้อนักศึกษาที่ใส่ตั้งแต่เช้าออก ผมช่วยตอนที่แขนเสื้อติดเฝือก ไม่นานร่างสูงที่หน้าอกมีกล้ามแน่นๆก็เหลือแค่
ผ้าเช็ดตัวห่อไข่ เอ๊ย ห่อท่อนล่างไว้พลางสะบัดสะบิ้งเดินเข้าไปในห้องน้ำ
“มานี่ผมช่วย”
จัดแจงบีบยาสีฟันใส่ให้ก่อนยืนมองไอ้หน้าเนิร์ดยืนสีฟัน หลังจากนั้นควรจะเป็นหน้าที่ของผมที่ลงทุนมานอนที่นี่เสียที
ขยับเข้าใกล้พี่เมฆแล้วดึงแว่นเนิร์ดออกวางไว้ ผมวักน้ำล้างหน้าให้พี่เมฆโดยไม่ให้แผลที่ไรผมเปียกน้ำก่อนจะบีบ โฟม
ล้างหน้ากลิ่นผู้ชายใส่มือแล้วค่อยๆนวดไปที่ใบหน้าของพี่เมฆที่ยอมยืนนิ่งให้ผมได้ทำ ดวงตาที่จ้องมองมาทางผมคงจะมองอะไรไม่ชัด
แต่ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นมันเริ่มทำให้หัวใจของผมเต้นผิดจังหวะ
ไม่ได้ ไอ้มะตูม นี่มึงกำลังหวั่นไหว
ผมเรียกสติกลับมาพลางล้างโฟมออกด้วยน้ำเปล่า จากนั้นก็ถึงขั้นตอนสำคัญ
“เอาผ้าเช็ดตัวออกสิพี่ ไปอาบน้ำกันได้แล้ว”
“กูทำเองได้”
หยิ่งอีกนะไอ้พี่เมฆ
“เออๆ ผมรู้พี่เก่งแต่มือพี่จะยาวจนถึงถูหลังตัวเองได้ไหม อ้อ แล้วไอ้ที่ใส่เฝือกช่วยยกสูงๆด้วยครับพี่”
พี่เมฆละล้าละลังแต่ก็ดึงผ้าเช็ดตัวโยนออกไปอีกทางเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน เมื่อผมเห็นเต็มตาด้วยสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยมก็
ถึงกับกลืนน้ำลาย
อื้อ ก็นะ
“เอางี้ เดี๋ยวผมใช้ฝักบัดรดน้ำให้พี่ ข้างหน้าพี่ก็จัดการตัวเองไป ล้วงแคะแกะเกาก็เอามือซ้ายจัดการ ข้างหลังเดี๋ยวผมช่วย”
ตกลงกันได้แล้วผมก็คว้าฝักบัวมาเปิดน้ำให้สายน้ำละเอียดรดลงไปบนตัวของพี่เมฆ คว้าขวดสบู่เหลวมากดใส่ฝ่ามือพ่อตัวดี
ให้ถูด้านหน้า ส่วนผมก็กดสบู่แล้วถูไปกับแผ่นหลังแน่นปั๋งของพี่เมฆ
“ถ้าจับตูดกูมึงตายแน่”
แหม กำลังจะทำเลยครับ
อุตส่าห์มองไอ้สองลูกแน่นๆ กะว่าจะละเลงสบู่เสียหน่อยเสือกห้ามเสียก่อน ไม่งั้นไอ้มะตูมจะลองบีบเล่นว่าจะมันมือแค่ไหน
“จะรีดไอ้จู๋อ๊ะป่าว ให้ผมช่วยก็ได้นะ”
“เสือก!”
นั่นล่ะฮะ ท่านผู้ชม
ชอบข่าวมะตูมโดนด่า(ที่สุด)
ผมทำปากขมุบขมิบแล้วใช้น้ำล้างสบู่ออกจนหมดก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดอย่างประชดประชัน แต่เมื่อเงยหน้ามองพี่เมฆ
อีกครั้งหัวใจก็เต้นตึกตักเมื่อเห็นเขาอมยิ้มน้อยๆ
“เอ้า เสร็จแล้ว”
“เดี๋ยว มะตูม”
เสียงนุ่มไปไหมฮะ ผิดธรรมชาตินะครับคุณเมฆ
“หยิบแว่นให้กูด้วย”
พี่เมฆที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างกับแว่นตาอันโตและเฝือกที่แขนขวาเป็นเครื่องประดับเดินออกไปจากห้องน้ำ เขาเปิดตู้
เสื้อผ้าคว้าชุดนอนยับๆมาใส่ก่อนจะทิ้งตัวลงไปบนเตียงแล้วหลับตาพริ้ม อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของยาแก้ปวดที่กินไปก่อนหน้าทำให้พี่เมฆ
หลับลงไปอย่างง่ายดาย เมื่อเห็นว่าพี่เมฆหลับแล้วผมจึงเริ่มจัดการตัวเอง กินข้าว อาบน้ำ และล้มตัวลงนอนเคียงข้างเขา
ผมตะแคงตัวนอนใช้มือหนุนหัวตัวเองเพื่อจะมองพี่เมฆ ใบหน้าถือดียามหลับสนิทลมหายใจสม่ำเสมอกลายเป็นใบหน้าของ
ผู้ชายที่ไร้พิษสง คิ้วเข้มย่นเข้าหากันนิดหน่อยคงจะเป็นเพราะปวดแขน ผมจึงขยับแขนขวาของเขาแล้วให้หมอนรองข้างใต้ให้มันสูงขึ้น
เปลือกตาของพี่เมฆขยับไปมาก่อนจะปรือตาอย่างง่วงงุน
“ขอบใจนะมะตูม”
เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับเสียงละเมอจนผมต้องจ้องมองคนที่หลับอยู่ด้วยจิตใจลิงโลด อย่างน้อยในจิตใต้สำนึกของพี่เมฆอาจ
จะไม่ได้เกลียดผมมากเท่าที่ผมคิดก็ได้
ผมจ้องมองใบหน้านั้นแล้วหลับตาลงด้วยความอิ่มเอม
ภาพแปลกตาในเช้าวันรุ่งขึ้นคืออดีตเดือนคณะรัฐศาสตร์ที่ตอนนี้เป็นประธานชมรมเทควันโดนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์คันเก่งของ
ผมเข้ามาในมหาวิทยาลัย เพราะพี่เมฆไม่มีรถยนต์ขับก็เลยต้องให้ผมแว้นมาส่งที่คณะของเขาก่อนที่ผมจะไปเรียนที่คณะของผม แถม
สภาพที่หนุ่มสุดหล่อใส่แว่นสายตาปิดบังใบเสียครึ่งหน้าก็กลายเป็นที่โจษจันกันในหมู่สาวๆโลกโซเชียลทันที
“เลิกเรียนกี่โมงก็โทรหาผมนะ จะได้มารับไปชมรม”
“เหี้ย ข้าวใหม่ปลามันกันนะพวกมึง”
พี่พลที่เดินมาหาเพราะห่วงเพื่อนเอ่ยปากแซว พี่เมฆหันไปแยกเขี้ยวใส่แล้ววิ่งไล่เตะตูดพี่พลทำให้ผมนึกขำ ความจริงถ้าพี่
เมฆไม่เก๊กเขาก็เหมือนคนธรรมดาที่จับต้องได้อย่างเราๆนี่เอง
หมดกังวลเรื่องพี่เมฆแล้วผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปคณะวิดวะ ผมเห็นไอ้ว่านนั่งอยู่กับพี่ริวและพี่ฝนเจ้าแม่สาววายอยู่ที่โต๊ะหิน
อ่อนใต้ต้นไม้ผมจึงเดินเข้าไปรวมกลุ่ม
“แหมๆๆๆ เดี๋ยวนี้เป็นสารถีให้หนุ่มหล่อนะมะตูม”
พี่ฝนเอ่ยปากแซวทันทีที่ผมหย่อนตูดนั่ง เมื่อผมทำหน้าเหรอหราผู้หญิงคนเดียวของโต๊ะก็ชูรูปในมือถือให้ดูทันที
“ก็พี่เมฆคณะรัฐศาสตร์นั่งซ้อนท้ายไอ้แก่ของแกมาไม่ใช่เหรอ”
“รถพี่เมฆเข้าอู่ ผมเลยอาสารับส่งช่วงนี้น่ะ”
ไม่อยากบอกว่าขนเสื้อผ้าข้าวของไปอยู่ด้วยกันที่หอแล้ว เดี๋ยวคนงามปากลำโพงจะเอาไปขยายความอีก นี่แค่เรื่องไอ้ว่านกับ
พี่ริวเป็นแฟนกันพี่ฝนก็ตั้งตัวเป็นผู้สื่อข่าวประจำกลุ่มชายได้ชายคือนิพพานแล้ว ไม่อยากจะคิดเรื่องตัวเองกับพี่เมฆเลยว่าถ้าหลุดไปถึงหู
พี่ฝนจะเนื้อเต้นแค่ไหน
“มึงก็เก่งนะไอ้มะตูม” พี่ริวมองผมอย่างนับถือ
“ทำให้ไอ้คุณชายอย่างไอ้เมฆมันลดตัวมาติดดินได้”
คุณชายเหรอ เท่าที่เห็นแล้วก็จริงอย่างที่พี่ริวพูด เพราะไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้หรือเสื้อผ้าของพี่เมฆเห็นธรรมดาเสื้อกล้าม
กางเกงขาสั้นแบบนั้นของแบรนด์เนมทุกชิ้นนะครับ ผมงี้โคตรอายไอ้กางเกงสามตัวร้อยของผมจริงๆ
“ทำไมไปเรียกเขาคุณชายล่ะพี่ริว นี่แอบด่าพี่เมฆอีกแล้วอะสิ”
ไอ้ว่านถามได้ดี ผมเองก็สงสัยที่พี่ริวพูด
“นี่ไม่ได้ด่ามัน พูดเรื่องจริงนะเนี่ย อ้าว ไม่รู้กันเหรอว่าไอ้เมฆน่ะมันคุณหนูของแท้ ตระกูลของมันเป็นตะกูลของเจ้าผู้ครอง
นครสมัยก่อนโน้น แล้วตอนนี้พ่อของมันก็มาเล่นการเมืองท้องถิ่นไงล่ะ บ้านไอ้เมฆรวยอย่างกับพระราชวัง ว่างๆก็ลองให้มันพาไปสิ ถ้า
มันยังอยากจะกลับบ้านอยู่น่ะนะ”
มีต่ออีกนิด....