14
“บรื๊นน...”
“เอี๊ยดดด..”
2ล้อคันใหญ่2คัน จอดลงตรงหน้าเป้าหมาย ที่ไม่ได้นัดหมาย พร้อมๆกัน
อิงกับสายฟ้ามองหน้ากัน ก็พวกเขาจะไปติวอิ๊งกันที่บ้านปัน ก็บอกไปแล้วนี่นา
ต่างคนต่างเดินไปหาคนของตัวเอง ที่เปิดหน้ากากหมวกกันน็อคขึ้นรออยู่แล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
อิงไม่สนใจสายตาอยากรู้อยากเห็นของใครๆ ที่ต่างพากันชี้ชวนให้กันดู ถามคนที่ควรจะใส่ใจ
“จะพาไปกินข้าวก่อน เดี๋ยวไปส่งก็ได้” ไม่ใช่อะไรก็แค่อยากเห็นหน้า อยากกินข้าวด้วยเท่านั้น
“ก็ได้ครับ เดี๋ยวไปบอกเพื่อนก่อน”
ดูท่าเหมือนจะปฏิเสธไม่ได้ เลยเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนที่รออยู่ไม่ไกล
ก่อนกลับมาซ้อนท้าย แล้วก็ทะยานตีคู่กันออกไปกับรถอีกคัน
เมื่อไปถึงร้านอาหารที่อีกคนพาไป ก็พบว่าสายหมอกมารออยู่ก่อนแล้ว
เกียร์เดินนำเข้าไปก่อน ในมือหนาใหญ่ที่ทั้งกร้านทั้งสากมีมือของอีกคนอยู่
“ มันอยากคุยด้วย จะคุยหรือเปล่า ?”
หันมาถามความพอใจของอีกคน เพราะถ้ายังลำบาใจหรือยังไม่อยากคุย เขาก็ไม่บังคับ
“คุยได้ครับ ถ้ายังไงตรงนั้นดีไหมครับพี่หมอก”
อิงชี้ชวนไปที่ระเบียงริมน้ำ ที่ตรงนั้นเป็นแค่ระเบียงโล่ง ลมโกรกสบาย
“ ตรงนั้นก็ได้” จะตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่ให้ได้คุยก็พอ
ทั้งสองเลยเดินตามกันออกไป ปล่อยให้อีกสามคนสั่งอาหารรอไปก่อน
“ มีอะไรจะคุยกับอิงเหรอครับ?”
บอกอีกคนด้วยการเรียกชื่อแทนตัวอย่างเมื่อก่อน เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีนักของคนตรงหน้า
ก็พอจะรู้อยู่ว่าอีกฝ่ายจะคุยอะไร.....
“ เรื่องคืนนั้นพี่ขอโทษนะ แล้วก็เรื่องของขวัญด้วย พี่...คงไม่แก้ตัว พี่แค่อยากให้อิงยกโทษเรื่องของขวัญเท่านั้น
พี่ไม่เคยโกหกอะไรเลยสักครั้ง นอกจากเรื่องนี้ ขอโทษที่ทำลายความไว้ใจความเชื่อใจที่อิงมีให้
ขอโทษนะครับ”
นัยน์ตาของคนสำนึกผิด เสหลบสายตาอีกฝ่ายมองลงบนผืนน้ำเบื้องหน้า
สายลมแรงพัดผ่านจนเสื้อผ้าสะบัดตามแรงลม เสียงลมกระทบสายน้ำจนเกินเสียงคลื่น
แต่น่าแปลกสายลมนั้น กลับยังไม่พัดพา ความหนักอึ้งในใจของร่างสูงไปสักที
อชิรวิชณ์ทอดถอนหายใจ วันนี้แค่วันเดียวเขาต้องลำบากใจ กับการปฏิเสธความรู้สึกดีๆที่มีมาให้ถึงสองคน
ไม่ได้ดีใจเลยสักนิดที่มีคนมารักมาชอบ แล้วตอบรับไม่ได้อย่างนี้
“ พี่หมอกคงไม่รู้ว่า วันที่พวกพี่แข่งรอบชิง อิงถูกคนที่ตัวเองแอบรักมองราวกับเกลียดชังขนาดไหน
เพราะเขาคิดว่าอิงเป็นคนแย่งพี่มาจากอกใคร พี่คงไม่รู้ว่าอิงต้องกล้ำกลืนน้ำตาขนาดไหน
ตอนแบกรับความรู้สึกแย่ๆอย่างนั้น ปั้นหน้ายิ้มตอนเดินในขบวนพิธีปิด
อิงต้องตอบคำถามของใครต่อใคร ว่าได้ไปแย่งของๆใครหรือเปล่า
ตอนที่โดนตราหน้าว่าร่าน เพราะแค่จูบกับคนที่คิดว่าจะตกลงปลงใจ
มันทั้งเจ็บทั้งชาไปทั้งหน้าเลยล่ะครับ พี่รู้หรือเปล่า?”
ได้ยินอย่างนั้น ความหนักหน่วงในหัวใจของร่างสูงมันยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
มือใหญ่กำหมัดแน่นจนขึ้นข้อ สิ่งที่อิงเพิ่งบอก เขาไม่เคยได้รู้และไม่เคยนึกถึงเลยจริงๆ
อิงเว้นช่วงแค่อึดใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ แต่ก็ต้องขอบคุณพี่หมอกเหมือนกันนะครับ ที่ทำให้เรื่องมันง่ายขึ้น ถ้าตอนนั้นพี่เอาของให้พี่เกียร์ไปแล้ว
แล้วไม่บอกว่าใครให้อย่างที่อิงบอก ตอนนี้อิงก็ยังคงปอดแหกอยู่อย่างเดิม กับพี่เกียร์ก็คงไม่ได้มีโอกาส
แม้แต่จะคุยด้วยซ้ำละมังครับ แม้จะตอบรับความรู้สึกดีๆของพี่กลับไม่ได้ แต่ตอนนี้อิงก็ไม่ได้โกรธ
ไม่ได้อะไรแล้วจริงๆ อย่าคิดมากเลยนะ หากไม่มีพี่หมอกเรื่องราวดีๆบางเรื่องก็คงไม่เกิดขึ้นกับอิง
ขอบคุณนะครับกับเรื่องราวและความรู้สึกดีๆที่มีให้”
อิงจับมืออีกฝ่ายมาบีบแล้วยิ้มให้ด้วยไมตรีจิต พอเห็นรุ่นพี่ส่งยิ้มมาให้อย่างไม่ได้ฝืน ก็เบาใจขึ้น
สายหมอกมองมือที่กอบกุมมือเขาไว้ แล้วกุมทับมือเล็กกว่านั้นอีกที กับรอยยิ้มที่ส่งให้อีกคน
กลับทำได้ง่ายกว่าที่คิด ทำไมกัน?
ทำไมเขาไม่รู้สึกเสียใจเท่าที่คนอกหักควรจะเป็น อย่างตอนที่เขาเลิกกับแฟนคนแรก
พอได้รับการให้อภัยจากคนที่ เขาคิดว่าเขารักเขารู้สึกดีๆกับคนๆนี้
แต่ทำไมเขามีแค่ความรู้สึกเบากับสบายใจเท่านั้น
แม้จะใจหายหน่อยๆ แต่ความรู้สึกกลับไม่หนักหน่วงเท่าที่คิดไว้ก่อนหน้า
มือนี้ที่จับอยู่ก็มีแต่ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจเพียงเท่านั้น .... ทำไมกัน
หากแต่คนที่นั่งเฝ้าสถานการณ์กับคิ้วกระตุกหงึก
นึกถึงวันที่คนที่ตัวเองแอบมอง เดินเข้าไปหาพวกเขาตอนนั้น
ยังจำความรู้สึกอัดอั้นตันใจจนเก็บเอาไว้ไม่อยู่ ในตอนนั้นได้อย่างดี
แต่วันนี้มันต่างกัน....
อีกคนมีใจให้กัน ไม่ต้องมองด้วยความรู้สึกอย่างเดิมอีกต่อไปแล้ว
เมื่อเห็นเพื่อนยิ้มอย่างดีใจก็โล่งใจไปด้วย คงเคลียกันแล้ว
.... แต่มือน่ะ จะจับกันอีกนานไหม...หา?
“ คุยเสร็จยัง? อาหารมาแล้ว”
เดินเข้าไปขัดบรรยากาศแห่งมิตรภาพนั้นอย่างใจคิดทันที หมอกได้แต่ส่ายหัว อย่างรู้ทันเพื่อน
จากนั้นจึงพากันเดินกลับโต๊ะที่มีเขื่อนกับสายฟ้านั่งรออยู่ แต่อาหารยังไม่มีมาเสิร์ฟสักจาน.....