13
“ ตกลงมันยังไงกันแน่อิง เรื่องคืนนั้น ”
เขามีสิทธิ์จะรู้ไม่ใช่หรือ เขาเฝ้าตามคนตรงหน้ามา กว่าจะได้จูบก็เกือบหนึ่งปีเต็มอย่างนี้
แม้จะมีนอกลู่นอกทางบ้าง ก็เพื่อระบายความอัดอั้นตามประสาผู้ชายเท่านั้น
“ มันไม่เกี่ยวกับมึง แล้วต่อจากนี้ ไม่ต้องมาวอแวคนของกูอีก รู้ไว้แค่นั้นก็พอ”
หลังผู้มาใหม่จบประโยค ก้องไกลก็หันไปมองร่างโปร่งบาง ที่ยืนคุยอยู่กับเขาก่อนหน้าทันที
แม้จะยังโกรธที่โดนชกที่รอยช้ำยังไม่จางหายด้วยซ้ำ แต่ถ้าจะเอาคืนคนๆนี้คงยากอยู่
อีกฝ่ายคงไม่ยืนเฉยๆให้เขาเอาคืนหรอก แล้วพอได้ฟังอย่างนี้แล้ว ก็เข้าใจในทันทีว่าทำไม
ตัวเองถึงได้โดนบีบคอแทบหักอย่างนั้น....
“ อิงขอโทษครับพี่ก้อง ที่ ตอบรับความรู้สึกดีๆของพี่ไม่ได้ ขอโทษนะครับ...”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ลำบากใจ ที่ต้องปฏิเสธคนที่พร้อมจะรักเขาตลอดเวลาอย่างนี้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ก้องไกลไม่เคยล่วงเกินเขาเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นเขาที่ไม่ดีเอง
ที่ไปรักใครอีกคนแทน....
“ ฮะๆ เข้าใจแล้ว พี่เข้าใจแล้ว อย่าทำหน้าอย่างนั้น พี่ไม่เป็นไร”
มือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวอีกคนเบาๆ เขาดันทุรังมาจนถึงขนาดนี้เอง
ทั้งที่อีกคนก็บอกอยู่บ่อยๆว่า เขาเป็นได้แค่พี่ชายเท่านั้น
แต่เป็นเขาเอง ที่ฝืนความเป็นจริงโกหกตัวเองอยู่ทุกวันว่า อีกหน่อยอีกคนก็ต้องใจอ่อน
“ ขอโทษนะครับ ขอโทษจริงๆ”
ก้องไกลฝืนยิ้ม มองคนลำบากใจก้มหน้าลง บอกขอโทษเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก
บนหัวไหล่แคบกว่าของเขานั้น มีมือใหญ่ของอีกคนวางอยู่ บ่งบอกถึงสถานะได้เป็นอย่างดี
เพราะอิงเป็นคนอย่างนี้ เพราะคิดถึงจิตใจคนอื่นแต่ไม่ฝืนใจตัวเองอย่างนี้
มันจึงเป็นอีกเสน่ห์ในหลายอย่างของอิง ที่ทำให้เขาหลงรักหลงชอบจนไปไหนไม่ได้
“ ผมจะไม่ฝากอิงไว้กับคุณ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่อิงเสียใจ ผมจะมาทวงตำแหน่งนี้คืน”
เกียรติภูมิแสยะยิ้มทันที เมื่อได้ฟังอย่างนั้น
“ ไม่มีวัน ”
เขาบอกแค่นั้น ก่อนจะไล่อีกคนด้วยสายตา และดูเหมือนคนโดนไล่เอง ก็พอจะเข้าใจความหมายนั้น
“ ถ้ามีอะไรโทรหาพี่ได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
มันคงถึงเวลาไปของเขาจริงๆแล้วสินะ
“ ขอบคุณนะครับ พี่ก้อง..”
สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา พี่ชายคนนี้ดีกับเขามากจริงๆ
ก้องไกลแค่ยิ้มให้อีกคนสบายใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างเจ็บๆ
ไหนใครหน้าไหนมันบอกวะ ว่าตื้อเท่านั้นที่ครองโลก
เขาเฝ้าตื้อเฝ้าตามอีกคนมาตั้งเท่าไหร่ หมาคาบไปแดกเฉยเลย
แถมยังเป็นฮัสกี้ไซบีเลียนม้ามืดจอมดุอีกต่างหาก
แค่โกลเด้น ตัวใหญ่ใจดีอย่างเขาคงต้องหลีกทางให้
ขอให้มีความสุข ให้สมกับที่เขาหลีกทางให้ก็แล้วกัน.. อชิรวิชณ์
หลังจากก้องไกลขับรถออกไปแล้ว อิงหันกลับมามองคนที่เมื่อเย็นวานมาหาเขาที่หอ
แล้วตอนเช้าวันนี้ก็มารับเขาไปม.อีก ทั้งที่ตัวเองไม่มีเรียน และแน่นอนคนที่ส่งงานจนหมดแล้ว
ในคืนที่เกิดเรื่อง ถึงได้ไปฉลองแล้วปะกันกับพวกเขาจนเกิดเหตุนั้น
เมื่อเย็นวาน คนที่เดินจับมือเขาไปที่เจ้าสีนิล ที่จอดรออยู่ไม่ไกล
ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็น ของคนทั้งหอพักที่กำลังเดินเข้าเดินออก
ก็พูดกับเขาตอนมาส่งหลังจากพาไปกินข้าวแล้ว
“คบกับกูไหม?”
หือ...อะไร? ยังไง?
อิงถือหมวกกันน็อค ที่ยื่นส่งให้เจ้าของค้างอยู่อย่างนั้น เพราะอีกคนไม่ยอมรับมันไปสักที
หมวกใบใหม่ที่เพิ่งซื้อสดๆร้อนๆ แกะกล่องแกะพลาสติก
ก็ตอนมายืนต่อหน้าเขา แล้วบอกว่าจะพาไปกินข้าวนั่นละ
“ ชอบกูไม่ใช่เหรอ?”
กูก็ชอบมึงมาตั้งนาน แค่ตอบรับง่ายๆ ยังมีอะไรให้ต้องคิดอีก
แต่ร่างสูงคงลืมไปว่า ตัวเองบอกแค่ว่าจะจีบอีกคนเท่านั้น ยังไม่เคยได้บอกว่ารักว่าชอบเลยสักที
“ ไม่รู้สิครับ..”อิงใช้นิ้วเกาที่ขมับเบาๆ
อย่ามามองว่า เขาเล่นตัวปัญญาอ่อน ที่ตอบไปอย่างนั้นเหตุผลมันมีเป็นกระบุงเชียวล่ะ
แรกเลยคือ พี่เกียร์ชอบเขาอย่างนั้นเหรอ แล้วถามต่ออีกว่า เพราะอะไรถึงชอบเขากันล่ะ
เพราะเขาบอกรักอย่างนั้นหรือ จำได้ว่ามีคนบอกรักอีกคนเป็นสิบเป็นร้อย
สอง เพราะอยากลอง? หรือคิดว่าเพราะเห็นว่าเกย์อย่างพวกเขาพอรักอีกคนแล้ว
พอเขาขอลองเอาเป็นหนูทดลองเรื่องรักๆใครๆ ก็รีบตกปากรับคำ โอเค เซเยส
อย่างคนใจง่ายอย่างนั้นหรือเปล่า ทั้งๆที่คนๆนั้นคบแต่ผู้หญิงมาตลอดอย่างนั้นน่ะนะ
แล้วตอนนี้เหล่าสาวๆในสต็อก คนตรงหน้าเขาเคลีร์ยหมดแล้วอย่างนั้นเหรอ
ที่ไม่เห็นควงใครนานแล้วเพราะแค่ไม่ว่างเท่านั้นหรือเปล่า
สาม เพราะเพื่อนเขาชอบ ก็เลยเกิดหวงก้างขึ้นมาอย่างไม่คิดอะไร เพื่อนกูว่าดีกูก็ว่าดีตาม
ไหนๆมันก็รักก็ชอบกู จะปล่อยมันไปให้เสียดายทำไมอย่างนั้นใช่ไหม
เพราะคนตรงหน้า ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยสักอย่าง มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้จักอีกฝ่าย อยู่ข้างเดียวที่เท่าผ่านมา
“ คิดนานไปละ..ป๊อก!”
ร่างสูงที่ยังคร่อมยานยนต์ขนาดสองล้ออยู่ ดึงหมวกกันน็อคไปจากมืออิง แล้วเคาะหัวเขาเบาๆ
“ ไม่แน่ใจ..” และไม่เข้าใจด้วยเลยต้องคิดนานไง
“ มึงไม่แน่ใจอะไร? ไหนบอกมาซิ”
กอดอกหน้าเข้ม จ้องเอาคำตอบที่จะต้องได้ในเดี๋ยวนั้น
“ ไม่แน่ใจว่าจะคบกัน หรือจะแค่ดูๆกันไปก่อนดีน่ะครับ”
แม้มันจะไม่ตรงกับความสนเท่ห์ในใจก็ตาม
แต่หากมีโอกาสดีๆที่อีกคนหยิบยื่นให้ เขาก็อยากจะลองคว้ามันเอาไว้ดู
“ ทำไมต้องดูๆกัน มึงไม่แน่ใจในตัวกู?”
“ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ พี่ไม่คิดว่าการคบกันเป็นแฟน มันดูจริงจังมากไปหรือไง ผมกับพี่เพิ่งรู้จักกัน
ผมชอบพี่ ก็อยากจะคบหาดูใจกันเป็นธรรมดา แต่ถ้าพี่เกิดคิดว่า การลองคบกับเกย์อย่างผมเล่นๆดู
แล้วมันไม่ใช่ขึ้นมา ยังไงคนถูกทิ้งก็ต้องเจ็บต้องเสียใจอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
และเปอร์เซ็นต์การถูกทิ้ง มันเอนเอียงตราชั่งมาที่เขาเห็นๆ
เหมือนเกียร์ก็อึ้งๆไปเหมือนกัน เมื่ออีกคนว่ามาก็มีส่วนถูก
พวกเขาแอบรักกันมาแล้วก็จริง แต่ได้พูดคุยกันยังไม่ถึง24ชม.เลยด้วยซ้ำ
ตอนกินข้าวก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก เพราะไม่ค่อยชอบคุยทั้งคู่
“ แค่ลองดูๆกันอย่างมึงว่าก็ได้ แต่ถ้ามึงแรดเมื่อไหร่มึงเจอกูแน่”
อิงยืนมองตามเลขทะเบียนท้ายเครื่องยนต์ ที่เจ้าของมันบิดคันเร่งจากไปโดยไม่เอ่ยลาสักคำ
คำตกลงก็รวบรัดให้เขาในทีเดียว โดยไม่ต้องเอ่ยปากตอบให้เสียน้ำลาย
แต่อย่างน้อยอิงก็ไม่เสียโอกาสดีๆไป
จากนี้ก็ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ที่จะพิสูจน์พวกเขาทั้งสองคนแล้วว่า จะไปกันได้ไกลแค่ไหน
จะจบลงแค่ลองดูๆกัน หรือจบตอนคบกันเป็นแฟนแล้ว หรือถ้าโชคดีมีชะตาร่วมกันจริง
อาจจะได้อยู่เคียงคู่กัน ไปจนหมดลมหายใจเลยก็ได้
หากจะถามว่าทำไมถึงต้องดูๆกันก่อน ก็อย่างที่บอกอีกคนไป ถ้าตกลงคบกันเมื่อไหร่
นั่นหมายถึงว่าคนๆนั้นได้พิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วว่า เขาจะไม่ต้องมานั่งระแวงถามโน่นนี่บ้าบอ
งี่เง่าทั้งกับตัวเองและอีกคน
อชิรวิชณ์ก็หวังไว้ว่า ถ้าต้องจบความสัมพันธ์ในช่วงที่ดูๆกันมันอาจจะ เจ็บน้อยกว่าการตกลงคบกันแล้ว
แล้วในช่วงเวลาที่ว่านี่หากอีกคนเผลอไปมีใคร เพราะความมั่นคงในใจมีไม่พอ
มันจะได้ไม่เรียกว่าการนอกใจ คำว่านอกใจ สำหรับอิงมันเป็นอะไรที่สาหัสสากรรจ์มาก
ฉะนั้นเขาเลยต้องการดูให้แน่ใจก่อน แล้วมันยังเป็นการทดสอบความอดทน
ความซื่อสัตย์ของพวกเขาทั้งคู่อีกด้วย ต่างคนต่างต้องพิสูจน์ตัวเองให้อีกฝ่ายได้เห็น
ได้มั่นใจในกันและกัน เมื่อต้องเอ่ยปากขอคบกันอีกครั้ง
เชื่อเถอะมันไม่ง่ายนักหรอก ที่คนปากหนักอย่างนั้น จะเอ่ยปากกับเรื่องอย่างนี้กับใครบ่อยๆ
เขาถึงต้องคว้าโอกาสที่แสนจะหายากนี้ เอาไว้แบบครึ่งทางยังไงล่ะ