TRACK 11
ยามบ่ายแสนเงียบสงบ ณ โรงพยาบาลชื่อดังริมแม่น้ำปรากฏเสียงฮัมดนตรีลอดออกมาจากห้องพักของคุณหมอหนุ่มรูปหล่ออันเป็นที่หมายปองของสาวๆ ดูท่าวันนี้นายแพทย์ทิวากานต์จะอารมณ์ดีเผื่อแผ่ไปถึงพยาบาลสาวน้อยสาวใหญ่ให้ใจสั่นเป็นแถบกับรอยยิ้มสวยเจิดจ้า แม้แต่ผู้ชายบางคนยังอดใจเต้นไม่ได้
“วา”
“ครับ” คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นจากแผ่นกระดาษเขียนรายงานการรักษา ตาเรียวดุจ้องคนไร้มารยาทวิสาสะเปิดประตูห้องเข้ามาไม่เคาะก่อน ถ้าเป็นวันปกติรองศาสตราจารย์นายแพทย์การันต์คงถูกเจ้าของห้องชักสีหน้ายู่ใส่ข้อหามาไม่ให้สุ่มไม่ให้เสียง หากวันนี้กลับยังมีรอยยิ้มหวานระบายเต็มใบหน้าหล่อพร้อมกับโค้งให้น้อยๆ แทนคำทักทายเล่นเอานายแพทย์รุ่นพี่ที่เห็นกันมาตั้งแต่ยังใส่ชุดนักศึกษาเลิกคิ้วฉงน
“ซื้อขนมมาฝาก” นายแพทย์การันต์ชูกล่องกระดาษบรรจุขนมปังอบกรอบของโปรดคนตรงหน้าขึ้น ส่งยิ้มโชว์ฟันขาวกลับคืนไปให้ “จำได้ว่าชอบ ความจริงไม่ได้ซื้อเองหรอกฝากพยาบาลที่ข้ามไปกินข้าวฝั่งนู้นซื้อมาน่ะ”
“ขอบคุณครับพี่รัน”
“เล็กน้อยน่า ว่าแต่วันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่าอารมณ์ดีนะเรา พยาบาลเม้าท์กันให้แซ่ดว่าหมอวาแจกยิ้มเรี่ยราด”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ โอ๊ะ แป๊บนึงนะพี่มีสายเข้า” ชายหนุ่มวางปากกาหยิบโทรศัพท์ที่ตั้งระบบสั่นไว้ขึ้นดูชื่อคนโทร พอเห็นว่าเป็นใครก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้าง “ครับคุณน้า”
หมอการันต์ตัดสินใจเดินเข้ามาในห้องวางกล่องขนมปังบนโต๊ะใกล้แฟ้มงาน ก่อนเดินไปพิงผนังอีกด้านทำเป็นมองสำรวจไปทั่วห้องแต่หูแอบเงี่ยฟังบทสนทนาของหมอศัลย์หน้าใสกับคนปลายสาย
“เอ๋? ไม่สบายเหรอครับ เป็นอะไรมากหรือเปล่า อืม...” ทิวากานต์ลากเสียงยาว หัวคิ้วย่นเข้าหากันพลันดวงตาเรียวคมก็วาวแสงน่ากลัว “ครับ ไม่เป็นไรครับ ให้หายดีแล้วค่อยมาดีกว่าเดี๋ยวจะแย่กว่าเดิม ได้ครับ แล้วเจอกันครับ”
เขาวางโทรศัพท์ไปแล้วหากใบหน้ากลับเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิมเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง นิ่งไปอยู่นานมือหนาถึงได้หยิบปากกาขึ้นมาถือไว้อีกครั้ง แต่เหมือนจะลืมอะไรไปพอเงยหน้าขึ้นมาเห็นนายแพทย์รุ่นพี่ยักคิ้วให้ หน้าดุๆ เลยรีบเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานจ๋อย
“ขอโทษครับ นึกว่าพี่รันออกไปแล้วซะอีก”
“ถูกสาวเบี้ยวนัดเหรอ ทำหน้าน่ากลัวเชียว”
“ไม่ใช่สาวหรอกครับ คนรู้จักน่ะ” ทิวากานต์ตอบเลี่ยงๆ เซ็งนิดหน่อยที่แผนการเย็นนี้ต้องพับเก็บ หากสาเหตุสำคัญที่ทำให้เครียดเพราะไอ้ตัวแสบที่จู่ๆ ป่วยเอาไอ้วันจะบินกลับมานี่แหละ แถมพอได้ยินจากปากมาดามโอเนลล์ว่าอลันด์ไม่ยอมให้หมอเข้าไปตรวจล็อคห้องขังตัวเองไว้ เขาพอจะเดาสาเหตุได้ทันทีว่าต้องไม่พ้นไปเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดจ้องฟันตูดอย่างไอ้หมาโธมัสแน่ๆ
“งั้นเย็นนี้วาก็ว่างน่ะสิ ไปกินข้าวกับพี่ไหม”
ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบคนชวน ทำหน้าลังเลเล็กน้อย “ถ้าพี่รันเลี้ยง...”
“หนอยไอ้ขี้งก” การันต์กอดอก มันเขี้ยวคนตรงหน้าอยากจะขย้ำผมสีดำหนาๆ ให้กระจุย “เออ ฉันเลี้ยงก็ได้”
“ป๋ารันใจป้ำอีกล่ะ ขอบคุณคร้าบ”
“งั้นสักห้าโมงเจอกัน ไปรถพี่นะ”
“ได้ครับ”
“ไปทำงานต่อล่ะ” ตกลงกันเรียบร้อย หมอการันต์จึงขอตัวกลับไปจัดการงานตัวเองต่อ
ห้าโมงเย็นเลยเวลาเลิกงานมาหน่อย ทิวากานต์พาตัวใหญ่ๆ ของตัวเองมายืนรอนายแพทย์รุ่นพี่ที่ประตูทางออกลานจอดรถ ไม่นานตาคมเห็นการันต์เดินตัวเปล่าออกมาพลางชูพวงกุญแจในมือโบกล่อตรงหน้าหมอหนุ่มจนคนชอบรถตาวาว
“โหย ก็ว่าอยู่ๆ จะพาไปกินข้าวที่แท้อยากอวดรถนี่เอง”
“ชอบไหม” การันต์กดปลดล็อคให้ทิวากานต์ได้เข้าไปสำรวจเจ้าแอสตัน มาร์ติน แวนควิชสีดำได้ใกล้ชิด
“สวยมากเห็นแล้วน้ำลายหก โหย... เท่สุดๆ ไปเลยพี่” ตาของหมอหนุ่มเป็นประกาย การันต์มองอาการดีใจนั้นแล้วเดินเข้าไปกอดคออีกคนไว้
“ไม่เท่าน้องกบเราหรอก เห็นขับมาอวดอยู่นี่”
“เจมส์ บอนด์ของพี่รันดีกว่า ยิ่งพี่ขับเองนะรถหล่อขึ้นจม” เขาประจบแต่ก็ออกมาจากใจจริงๆ ที่ว่าตัวคนขับเสริมให้รถดูหล่อขึ้นเป็นผู้ใหญ่ภูมิฐาน แต่รถสปอร์ตใจป๋าแบบแอสตัน มาร์ตินมันเหมาะกับการันต์สุดๆ
“ปากหวานนะเรา ลองไหม”
“ได้เหรอ” การันต์ยิ้มขำเหมือนเห็นหางยาวๆ ส่ายริกๆ อยู่ด้านหลังรุ่นน้อง
“ได้ แต่ถ้าชนช่วยจ่ายค่าทำสีให้พี่ด้วยนะ คันนี้คาร์บอน”
“โหย งั้นวันนี้น้องยอมเป็นอีหนูหน้ารถสวยๆ ดีกว่า ไม่กล้าเล่นของแพง”
“ล้อเล่น เอ้า เอาไปขับให้พี่นั่งหน่อย” ยัดเยียดกุญแจใส่มือทิวากานต์เสร็จการันต์พาตัวเองเข้านั่งที่ข้างคนขับ รอจนทิวากานต์เดินมาประจำที่ถึงบอกจุดหมายที่จะไปทานมื้อเย็นกันวันนี้
พวกเขาเลือกร้านกินดื่มแถวทองหล่อเป็นที่ฝากท้องในคืนนี้ แม้จะอยู่ในแหล่งชุกชุมไปด้วยซูเปอร์คาร์ แต่เจ้าเจมส์ บอนด์ของการันต์กลับโดดเด่นเรียกสายตาใครต่อใครให้เหลียวมอง แม้แต่ทิวากานต์ที่ได้ลองขับยังรู้สึกชอบใจจนอยากเอาน้องกบไปเปลี่ยนให้รู้แล้วรู้รอด แต่ไม่รู้ว่าถ้าไปเอามาขับจริงจังจะดูเท่ได้เท่ารุ่นพี่ข้างตัวหรือเปล่า อาจต้องรอให้เขามีอายุอีกสักหน่อยรถคันนี้คงเหมาะกับเขามากขึ้น
“สั่งตามสบายนะวา มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง”
“ขอบคุณครับป๋า” ทิวากานต์แซวขำๆ เขาเปิดเมนูสั่งอาหารมาสองสามอย่างพร้อมเครื่องดื่มเอาใจเจ้ามื้อ ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟทั้งคู่ก็หาเรื่องคุยไปเรื่อย ตั้งแต่เรื่องงาน เรื่องเพื่อน เรื่องรถ ไปจนถึงเรื่องแฟน
“ยังไม่มีหรอกพี่ หาถูกใจไม่เจอ” ตอบเหมือนที่เคยตอบเหล่าป้า
“ช้านะเรา ได้ข่าวว่าเจ้ากวินจะแต่งแล้วไม่ใช่หรือไง”
“ครับ ได้ฤกษ์แล้วด้วยมกรานี่แหละ ตอนเมษามันยังมาขอซื้อเวรเก็บเงินไปแต่งเมียอยู่เลย”
“อย่าเศร้าไปน่า ค่อยๆ หาเดี๋ยวก็เจอเองรีบร้อนไปใช่ว่าจะเจอคู่แท้เมื่อไหร่ ดูอย่างพี่สิขนาดมีครบทุกอย่างแต่ยังหารักแท้ไม่เจอเลย” นายแพทย์รุ่นพี่ปลอบอย่างผู้มีประสบการณ์แม้คำพูดคำจาดูน่าหมั่นไส้แต่ทิวากานต์รู้ดีว่าเจ้าตัวแฝงความเจ็บปวดเอาไว้ในนั้น เขาชูแก้วเบียร์ขึ้นหวังชนกับอีกคน พอแก้วกระทบกันก็ยกซดพร่องไปครึ่งแก้ว
“ผมไม่เศร้าหรอกน่า โสดก็สบายดีออก ทำอะไรไม่ต้องคิดมากอยากไปไหนก็ไปไม่ต้องห่วงไม่มีภาระ”
“เด็กน้อยเอ๊ย” การันต์หัวเราะ “การมีภาระมีคนให้ห่วงมันทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนะวา ชีวิตก็มีจุดหมายมากขึ้นด้วย ใช้ชีวิตไปวันๆ มันก็ดีอยู่หรอกแต่มันเหงามันเคว้งไม่คิดงั้นเหรอ ที่พูดไม่ได้ให้รีบหาแฟนนะแค่จะบอกว่ามีความรักมันดีกว่าไม่มี”
ทิวากานต์มองคนเคยมีความรักด้วยสายตาเห็นใจ ในฐานะที่รู้จักกันมานานและรู้เรื่องส่วนตัวอีกฝ่ายมาก่อน เขายกมือแตะไหล่ให้กำลังใจอีกคนเบาๆ แต่การันต์ยังคงเป็นราชสีห์เสมอ เขาดึงมือรุ่นน้องวางลงไว้บนโต๊ะคล้ายปฏิเสธการให้กำลังใจจากเด็กน้อยที่ยังเอาตัวไม่รอดแต่ริอาจสงสารเจ้าป่า
ทิวากานต์ได้เจอการันต์ครั้งแรกตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสองแต่ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก พอขึ้นชั้นคลีนิคที่ต้องเวียนเรียนตามวอร์ดต่างๆ ก็ได้การันต์นี่แหละเป็นชีฟ เรสซิเดนท์ศัลยกรรมในตอนนั้นช่วยเหลือสั่งสอน ได้ยินชื่อเสียงมานานว่าที่บ้านทำโรงพยาบาลเอกชนมีชื่อแต่มุ่งมั่นให้กับการทำงานโรงพยาบาลรัฐ หน้าตาดี สมาร์ท โปรไฟล์ระดับเอลิสต์ หากทำตัวธรรมดาไม่อวดไม่เบ่ง ยกเว้นเรื่องรถตามประสาผู้ชาย เก่งจริงเป็นที่นับถือและรักของคนใกล้ชิดไม่เว้นแม้แต่ทิวากานต์จนยึดเอาเป็นแบบอย่างเลือกเรียนต่อทางด้านนี้บ้าง
ดีขนาดนี้แน่นอนว่าสาวๆ ติดเกรียว เป็นหมอศัลย์ด้วยแล้วยิ่งเนื้อหอมไปกันใหญ่ แต่การันต์กลับรักมั่นคงเพียงกับแฟนสาวที่คบกันมาตั้งแต่วัยกระโปรงบานขาสั้น ไม่เคยนอกลู่นอกทางให้คนรักต้องเสียใจ มีข้อนี้แหละที่ทิวากานต์ทำไม่ได้เพราะเขามันขี้เบื่อ คบใครได้ไม่เท่าไหร่ก็เลิก
ตอนนั้นเขาติดการันต์แจ ไม่ว่ามีปัญหาเรื่องอะไรทั้งเกี่ยวไม่เกี่ยวกับเรื่องเรียนจะโทรหาอีกฝ่ายตลอด มาห่างๆ ไปตอนเขาขึ้นอินเทิร์นก่อนไปใช้ทุนสามปี ส่วนการันต์แต่งงานกับแฟนสาวหลังคบกันมาสิบกว่าปี ทิวากานต์เองก็ได้ไปร่วมแสดงความยินดีที่งานแต่งใหญ่โต ณ โรงแรมหรูริมแม่น้ำ
ชีวิตนายแพทย์รุ่นพี่เหมือนจะไปได้ดี รุ่งทั้งงานรุ่งทั้งรัก แต่แต่งได้แค่สามปี ชีวิตรักกลับล่มแบบไม่มีใครคาดฝัน การันต์เป็นโสดอีกครั้ง ในขณะที่อดีตภรรยาแต่งงานใหม่กับเศรษฐีเจ้าของธุรกิจอสังหาฯ หลังหย่าได้ไม่ถึงปีดี ชีวิตคนมันไม่แน่ไม่นอนจริงๆ กระนั้นถึงจะเจ็บมากแค่ไหนนายแพทย์รุ่นพี่คนนี้ยังคงทำหน้าที่รักษาคนไข้เต็มที่ ไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานสักครั้ง
“พี่รันหาสาวใหม่สิ ถ้าพี่รันมีแฟนเดี๋ยวน้องขี้อิจฉาคนนี้มันก็หามาเกทับคืนบ้างแหละ”
“หึ บอกตรงตอนนี้ไม่อยากมองสาวที่ไหนเลย มองวาดีกว่าน่ามองกว่าเยอะ”
“เฮ้ยพี่ เล่นงี้ผมไม่ขำนา”
“วาไม่สนใจเป็นเด็กป๋าเหรอ มาอยู่กับป๋าได้ขับมาร์ตินด้วยนะ”
“พี่รันเมาแล้วป่ะเนี่ย เดี๋ยวนี้คออ่อนเหรอเพิ่งซดเบียร์ไปแก้วเดียวเองนะ” ตาคมเสมองไปทางอื่นไม่กล้าสู้สายตาอีกคนที่มองมา ชักเข้าใจแล้วว่าทำไมอลันด์มันหนีโธมัสไม่พ้น เจอสายตาหวานเชื่อมมองแบบนี้ ไม่หวั่นไหวบ้างให้มันรู้ไป!
“เฮ้ย เขินจริงเหรอวะ แกล้งเล่นเว้ย ใครจะบ้าเอาเอ็งมาทำเมีย ตัวสูงเก้งก้างอย่างกับเสาไฟฟ้า เห็นแล้วหมดอารมณ์ว่ะ อย่างน้อยถ้าจะเอาผู้ชายขอตัวเล็กๆ น่ารักเหมือนผู้หญิงเหอะ” เห็นรุ่นน้องเขินจริงจังการันต์ถึงกับหัวเราะก๊าก เขาตบโต๊ะเบาๆ ด้วยอารมณ์ดีจัด ในวัยเกือบสี่สิบแต่มองตาผู้ชายแล้วทำให้อีกฝ่ายหวั่นไหวได้ ถ้าเอาไปใช้กับผู้หญิงคงไม่มีใครรอดมือเขา
“ก็พี่เล่นมองงี้ผมก็เสียวดิ นึกว่าจะเปลี่ยนแนว หูย ขนลุกเลย” ทิวากานต์ลูบแขนประกอบอาการ หน้าเหนอเบะหมด
“หึ แสดงว่าเสน่ห์ฉันยังใช้ได้ดีสินะ” แต่ขอเล่นไอ้เด็กนี่อีกหน่อยเถอะ ทำมาบอกไม่เจอใครถูกใจแต่ข่าวมันลอยเข้าหูตลอดว่าควงสาวไม่ซ้ำหน้า “แต่ฉันยังจำงานปาร์ตี้นั้นได้นะ ที่แกแต่งหญิงอ่ะ สวยจนนึกว่าผู้หญิงแท้ๆ”
“ลืมมันไปซะทีเหอะพี่” ทิวากานต์แทบกราบอีกฝ่าย เป็นความอัปยศสุดในชีวิตเขาเลยก็ว่าได้ ทุกวันนี้ยังอยากกระทืบเพื่อนตัวดีที่คิดธีมงานด้วยซ้ำ เพื่อนร่วมรุ่นไม่ค้านไม่เท่าไหร่ แม่กับป้าๆ ยังเห็นดีเห็นงามจับเขาแต่งตัวอีก วินาทีนั้นรู้ซึ้งเลยว่ากว่าจะสวยมันต้องทุ่มเทเสียน้ำตาไปเท่าไหร่ แค่ขนหน้าแข้งที่ถูกแว็กซ์ออกไปหมดน้ำตาเป็นปี๊บ
จากนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนไปเรื่อย อัพเดทข่าวสารระหว่างกัน บ้างก็ยกเคสคนไข้มาถกหาแนวทางรักษา จนอาหารและเบียร์บนโต๊ะหมดเกลี้ยงถึงได้ฤกษ์แยกย้าย
เกือบห้าทุ่มแอสตัน มาร์ตินคันสวยเลี้ยวเข้าจอดหน้าคอนโดย่านอโศกของทิวากานต์ ชายหนุ่มยกมือไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายที่นอกจากจะให้ลองขับรถใหม่แล้วยังเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวและมาส่งถึงที่ทั้งที่บ้านอยู่คนฝั่งกัน ไม่ว่าจะนานแค่ไหนหรือคุยกันน้อยลงแต่การันต์ยังคงเป็นพี่ที่ดีกับน้องๆ เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
“ขอบคุณมากพี่ ไว้วันหลังให้ผมเลี้ยงข้าวคืนบ้างนะ”
“เออ ไว้ว่างๆ นัดกัน ไม่ก็เลี้ยงข้าวเที่ยงแถวโรงบาลก็ได้”
“เดี๋ยวซื้อหมูทอดในตลาดให้กินซะเลยนิ”
“ให้มันจริงเหอะ พี่ได้หมดแหละ ไปๆ ไปนอนซะ พรุ่งนี้ไม่มีรถขับเองต้องออกแต่เช้านะเว้ย มาไม่ทันตรวจเด็กราวน์พ่อจะด่าให้”
“ครับป๋า ขับรถกลับดีๆ นะ” ถึงรู้ว่าอีกคนไม่ได้เมา(แค่เบียร์สองแก้วมันจะไปเอาที่ไหนเมา) แต่ทิวากานต์มักพูดกับคนรอบตัวที่ขับรถด้วยคำนี้เสมอ
การันต์โบกมือให้อีกคนบอกว่าไหวแน่นอน เขายืนรอส่งแอสตัน มาร์ตินสีดำหน้าคอนโดดูเจ้าเจมส์ บอนด์กลับตัวอย่างงดงามพร้อมไฟท้ายสีแดงตัดกับท้ายสีดำสนิทสวยบาดจิตอย่าบอกใคร หากก่อนพุ่งออกไปกระจกรถฝั่งคนขับก็ลดลงพร้อมใบหน้าหล่อไม่สร่างของคุณหมอรุ่นพี่
“วา ถ้าหาคนถูกใจไม่เจอทำไมไม่เลือกหาแล้วลองมองคนใกล้ๆ ตัวบ้างล่ะ”
“หา?”
“แบบพี่ไง”
เขารู้ว่าการันต์แค่แซวเล่นเลยหัวเราะเสียงดังก่อนมองส่งไฟท้ายสีแดงจนลับตา แต่คำพูดของนายแพทย์รุ่นพี่ก็ฝังติดอยู่ในหัว
คนใกล้ตัว...เขาก็ไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทผู้หญิงเสียด้วยสิจะให้มองใครที่ไหนกัน แต่แล้วแรงสั่นเบาๆ จากกระเป๋ากางเกงทำให้เขาต้องล้วงโทรศัพท์ขึ้นมา เห็นชื่อคนใกล้ตัวที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาแล้วรอยยิ้มมันเผลอฉีกออกอัตโนมัติ คำนวณเวลาแล้วที่นู่นน่าจะเกือบหกโมงเย็น ที่ไม่สบายน่ะหายแล้วเหรอถึงมีแรงลุกมาโทรศัพท์หาเขาได้
“ว่าไงไอ้ตัวแสบ”
‘ด็อก...’
“หืม” ชายหนุ่มครางในลำคอ เขาเดินไปที่สวนส่วนกลางของคอนโด แนบโทรศัพท์ไว้ที่ซอกคอแล้วใช้สองมือว่างล้วงหาบุหรี่ในกระเป๋ากางเกง
‘ไม่... ไม่มีอะไรหรอก’
“ไม่มีอะไรแล้วโทรมาทำไม ไม่สบายไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่นอนพัก กินข้าวกินยาหรือยัง”
‘กินแล้ว แต่...ไม่ค่อยหิว’
“อดข้าวเดี๋ยวหายไม่ทันกลับมามอบตัวหรอก” พอหาที่นั่งได้ทิวากานต์จึงค่อยจุดบุหรี่ พอจะเข้าใจว่าทำไมอลันด์ถึงโทรมา ไม่อยากคาดคั้นให้คนป่วยช้ำใจไปกว่านี้เลยพยายามทำตัวเหมือนปกติให้คนเด็กกว่าหลุดออกมาเองน่าจะดีที่สุด
‘อยากไปกรุงเทพแล้วเดี๋ยวนี้เลย แต่มัมกับแด๊ดไม่ให้ไป อยากไปมากจริงๆ นะ’
“แล้วทำไมไม่ให้หมอมาดูล่ะ เขาจะได้สั่งยาให้ถูก ถ้าเจ็บมากจะได้ฉีดยาจะได้หายไวๆ ไง”
‘ด็อก...’
“ว่า”
‘อยาก... แค่กๆ ช่างมันเถอะ แล้วเจอกันนะ’
“เฮ้!” ทิวากานต์ส่งเสียงประท้วงไปตามสายหากได้รับแต่ความเงียบตอบกลับมา อลันด์ชิ่งวางสายทิ้งไปแล้วหลังจากปล่อยให้เขาเงียบรออีกคนพูดตั้งนาน พอจะพูดดันไอแล้วก็บอกว่าไม่มีอะไรเฉย แต่จะให้โทรกลับไปเซ้าซี้มันก็ไม่ใช่เขาอีกนั่นแหละ
เหอะ! คนอุตส่าห์เป็นห่วงแต่ดูสิ่งที่เด็กนั่นทำสิ น่าปล่อยให้โธมัสขย้ำให้เละไปเลยจริงๆ
.
.
.
“มัมจะไปไหน” เด็กฝรั่งทำหน้ายุ่ง มือกระชับเสื้อแจ็คเก็ตเข้าหาตัวเพราะเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เมื่อกี้ตากแอร์เย็นเจี๊ยบในห้องประชุมแป๊บเดียวก็ออกมาเดินตากแดดตามคนเป็นแม่เข้าไปในตรอกแคบๆ เต็มไปด้วยร้านขายอาหารข้างทาง คนที่เพิ่งสร่างไข้แถมเท้าเพิ่งแตะเมืองไทยได้ไม่ถึงหกชั่วโมงดีมีมึนหน้าแดงแจ๋
“ไปทานข้าวจ้ะ” มาดามโอเนลล์เดินนำลูกชายไปท่าเรือ หยิบเหรียญบาทออกมาให้เขาสามเหรียญก่อนอธิบายเพิ่ม “เราจะนั่งเรือข้ามไปฝั่งนู้น”
“หา?” อลันด์ตาโตแค่จะกินข้าวต้องนั่งเรือข้ามแม่น้ำไปเลยเหรอ อยากจะเถียงมารดาแต่ทำได้แค่เดินตามแม่ผ่านตู้ขายตั๋วเข้าไปเงอะๆ งะๆ ตาสีฟ้าซีดมองโป๊ะเรือสภาพค่อนข้างใหม่พอใจชื้น แต่พอเรือแล่นเข้ามาเทียบเท่านั้นขาพาลสั่นงั่กๆ
“อัลยืนรออะไรละ ตามแม่มาสิ” มาดามโอเนลล์กวักมือเรียกลูกชายหลังจากที่หล่อนโชว์สเต็ปก้าวขึ้นเรือไปแล้วพร้อมรองเท้าส้นสูงสามนิ้ว
“มัม มันน่ากลัว”
“กลัวอะไรล่ะอัล ข้ามมานี่”
“มัม...” อลันด์ครางเรียกแม่เสียงอ่อน ผู้โดยสารคนอื่นเดินขึ้นเรือกันไปหมดแล้ว บางคนเพิ่งผ่านช่องขายตั๋วมายังวิ่งแซงหน้าเขากระโดดขึ้นเรือ เหลือแต่เด็กลูกครึ่งหน้าฝรั่งจ๋ายืนขาสั่นหน้าซีดอยู่กลางโป๊ะ
“ยู ควิกๆ” เด็กประจำท่าเรือตะโกนเสียงดัง ไอ้ตัวแสบที่แสบไม่ออกจึงสะดุ้งโหยง หลับหูหลับตาจับมือใครสักคนที่ยื่นมาให้กระโดดขึ้นเรือตามแม่ไป คนก็เยอะแยะต้องยืนเบียดกันแถมเรือนี่ไม่มีที่กั้นให้อีกต่างหากนอกจากเชือกเส้นเดียว เขาเกาะแขนแม่แน่นแทบจะซุกกอดไปแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าเขาว่ายน้ำไม่แข็งยังจะชวนขึ้นเรือมาอีก อยากรู้นักไอ้ร้านอาหารที่จะไปกินนี่มันอร่อยระดับสามดาวมิชลินหรือไงถึงต้องบังคับเขาขึ้นเรือมาเนี่ย!
พอถึงคราวลงเรืออลันด์เกาะแขนแม่แน่นให้พาเขากระโดดขึ้นโป๊ะไปด้วย ขาสั้นๆ ก้าวฉับรีบไปเหยียบพื้นปูน เขาตีหน้าบูดกอดอกใส่มาดามโอเนลล์บอกชัดว่าไม่พอใจมาก หากมาดามเพียงเดินมาบีบแก้มเขาแล้วลากแขนไปตรงทางออก หวังว่าขากลับคงไม่ให้เขาขึ้นเรือนั่นกลับไปอีกหรอกนะ ถ้าทำอีกเขาจะโกรธจริงๆ ด้วย
“สวัสดีครับคุณน้า เดินทางมาเหนื่อยไหมครับ”
ตาสีซีดกระพริบปริบตอนได้ยินเสียงคุ้นหูก่อนหน้าเล็กๆ จะหันไปมองด็อกเถื่อนในชุดเชิ้ตสีอ่อนผูกไทเหมือนพนักงานออฟฟิซมากกว่าคุณหมอยืนยกมือไหว้แม่เขาอยู่ตรงหน้า
เดี๋ยวสิ...ไม่ทำงานหรือไง แล้วทำไมถึงมาโผล่อยู่นี่ได้ นึกว่าจะเจอกันเย็นนี้เสียอีก“สวัสดีค่ะคุณหมอ ไม่เหนื่อยเท่าไหร่หรอกค่ะชินแล้วแต่คนนี้น่ะสิเพิ่งจะหายไข้เมื่อคืนเอง อัลจ๊ะสวัสดีคุณหมอสิ”
“ด็อก... ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ” เขาทำเป็นเฉไฉประโยคเมื่อกี้จากปากแม่ เงยหน้ามองคนตัวสูงกว่างงๆ
“ทำงานอยู่นี่จะให้ไปอยู่ไหนล่ะ” ทิวากานต์หัวเราะชี้นิ้วไปที่ตึกด้านหลัง สถานที่เดียวกับที่เขาเห็นจากมหาวิทยาลัย อลันด์ไม่ได้ความจำสั้นเสียจนจำไม่ได้ว่าเป็นที่เดียวกับที่เขาเคยไปหาอีกฝ่ายเมื่อตอนมาไทยแรกๆ แต่ออกจะงงๆ มากกว่า เด็กหนุ่มพยักหน้ารับหงึกหงักเดินตามคุณหมอไปร้านอาหารแถวนั้นแบบไม่มีปากไม่มีเสียง
แปลกจริง... แค่ได้เจอหน้าทิวากานต์อีกครั้งความอบอุ่นจากไหนไม่รู้อาบท่วมร่างกายอย่างกับว่าคุณหมอตัวโตนี่เป็นพระอาทิตย์อย่างนั้นแหละ แล้วทำไมเขาต้องร้อนๆ ที่หน้าด้วยนะหรือว่าไข้จะขึ้นอีกแล้ว! ร้านอาหารที่ทิวากานต์พามาเป็นร้านอาหารธรรมดาที่ดูดีสุดในย่านนั้น ประกอบกับเป็นเวลาพักเที่ยงจึงมีคนแน่นร้าน ส่วนใหญ่เป็นคนทำงานแถวนี้ทั้งนั้นดีว่าคุณหมอจองโต๊ะและสั่งอาหารล่วงหน้าไว้แล้ว ทันทีที่ไปถึงอาหารมากมายจึงวางเต็มพื้นที่ เท่าที่ดูในจานล้วนเป็นอาหารไทยรสอ่อนสำหรับคนลิ้นแมวแบบอลันด์โดยเฉพาะ มีอาหารหน้าตาแปลกๆ ที่มาดามโอเนลล์เห็นแล้วถึงกับออกปากว่าไม่ได้กินมานานมาแล้วอย่างแหนมเนืองด้วย
“หน้าแดงแจ๋ ไข้กลับอีกหรือเปล่าน่ะ” ทิวากานต์เลื่อนขวดน้ำเปล่าไปให้เด็กหนุ่ม เขามองหน้าใสขึ้นสีแดงจัดไปทั่ว ใบหน้าเล็กๆ มีเหงื่อผุดตามไรผม ดูเหมือนจะร้อนแต่เจ้าตัวแสบกลับไม่ยอมคลายเนคไทหรือถอดแจ็คเก็ตออก
“ไม่รู้ อือ...มัม ทำไมมือเย็นจัง”
“เราตัวร้อนน่ะสิ” มาดามโอเนลล์ทำหน้ายุ่งหลังแตะมือกับแก้มลูกชายแล้วเจ้าตัวสะดุ้ง “ดีเลย ไหนๆ มานี่แล้วทานข้าวเสร็จไปหาหมอเลย”
“ไม่เอา กินยาเดี๋ยวก็หาย มัมอย่าทำให้มันยุ่งน่า”
“แม่ตามใจเราตั้งแต่ที่นู่นแล้วนะ แด๊ดโทรตามหมอมาให้ตรวจก็ล็อคห้องหนีไม่ยอมให้หมอเข้าไป บอกอยู่นั่นแหละถ้าไม่ใช่หมอวาจะไม่ยอมให้ตรวจ”
“งั้นเหรอครับ” ทิวากานต์ขำกิ๊ก ทำท่ากวักมือเรียกเจ้าตัวยุ่งให้เข้ามาหา “มาๆ เดี๋ยวตรวจให้ฟรีเลย ลัดคิวให้ด้วย”
“มัม ผมไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย”
“งั้นเหรอจ๊ะ” เธอหยิกแก้มลูกชายอีกทีก่อนชวนให้ทุกคนลงมือกินมื้อเที่ยง ตลอดเวลาบนโต๊ะอาหารตาสีซีดเอาแต่ลอบมองทิวากานต์ตลอด ชายหนุ่มยังดูมนุษยสัมพันธ์ดียิ้มแย้มแจ่มใสร่าเริงเกินจนน่าหมั่นไส้ เชื่อเถอะนอกจากอลันด์แล้วยังมีสายตาจากสาวๆ อีกนับสิบที่ลอบมองคุณหมออยู่เป็นระยะ
หลังจบมื้อทิวากานต์อาสาเป็นคนจ่ายค่าอาหารทั้งหมดเอง ทำให้เด็กฝรั่งรู้ว่าแม่ตัวเองเป็นคนจัดการนัดกับทิวากานต์ไว้ก่อนแล้วเพราะเห็นว่าอยู่ใกล้กันแค่แม่น้ำกั้น
“งั้นเดี๋ยวมื้อเย็นน้าจะเตรียมอาหารรอนะจ๊ะ”
“ครับ ผมจะรีบกลับไปเลย” ชายหนุ่มยิ้มประจบพลางลุกเดินตามมาดามโอเนลล์ออกจากร้านรั้งท้ายอยู่กับเด็กแสบสองคน พอพ้นสายตาผู้ใหญ่ฝ่ามือใหญ่นุ่มนิ่มจัดการขยี้หัวสีช็อกโกแลตเล่นทันที
“ด็อก!” อลันด์ดุเสียงเบา “หัวยุ่งหมดแล้ว”
“ตัวร้อนนะเรา” นอกจากไม่นำพากับคำต่อว่าแล้วยังเลื่อนฝ่ามือไปฝังตรงหลังคอคนเด็กกว่า “กลับไปกินยานอนซะนะ แล้วตอนเย็นจะไปดูให้”
เด็กฝรั่งพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนเอื้อมมือดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้จนคนตัวสูงกว่าต้องก้มลงมอง ทิวากานต์หยุดเท้าเลิกคิ้วเชิงสงสัยดูเจ้าเด็กแสบทำหน้าแดงเดี๋ยวเม้มปากเดี๋ยวคลายเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างออกมา เขาไม่ชอบคนลังเลอมพะนำแต่เหมือนอลันด์จะเป็นข้อยกเว้นเพราะสายตาขอบคุณที่จ้องมาไม่มีหลบพูดแทนความในใจหมดแล้ว
“รู้แล้วน่า” มือข้างว่างยกขึ้นลูบหัวสีช็อกโกแลตที่ตัวเองทำยุ่งให้เข้าทรง ก่อนเริ่มเดินตามหลังมาดามโอเนลล์อีกครั้ง
คุณหมอส่งสองแม่ลูกขึ้นรถที่มารับ อลันด์ดูมีสีหน้าโล่งอกที่รู้ว่าไม่ต้องนั่งเรือข้ามฟากกลับไปอีกรอบ ได้ยินมาดามโอเนลล์พูดว่าจะพาลูกชายไปทำธุระบ้านคุณยายแถวสายสองก่อน สงสารแต่คนป่วยตะลอนทั้งวัน พรุ่งนี้มีหวังนอนซมแน่
“ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ”
“ไม่เป็นไรครับ เราก็อย่าลืมกินยาล่ะแล้วเจอกันเย็นนี้” เขาโบกมือลาสองแม่ลูก ปิดประตูรถให้และรอจนซีดานคันใหญ่เคลื่อนตัวออกไปถึงค่อยข้ามถนนกลับไปทำงาน แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้าเขตโรงพยาบาลหมอการันต์ก็โผล่หน้ามาพอดี
“ใครอ่ะ”
“ครับ?”
“ที่ส่งขึ้นรถไปตะกี้ ไม่ธรรมดานะเนี่ยนั่งเอสคลาสด้วย”
“อ๋อ” ทิวากานต์ลากเสียงยาวยิ้มเจ้าเล่ห์ “เอสคลาสนี่เด็กๆ ครับพี่ ปกติอยู่บ้านน้องเขานั่งโรลส์-รอยซ์”
“จริงป่ะเนี่ย แล้วพาแม่เขามานั่งกินข้าวงี้เนี่ยนะ”
“มันกะทันหันนี่นา ไปทำงานเหอะเดี๋ยวสายละโดนบ่น”
“เฮ้ยๆ อย่ามาเฉไฉนะเว้ย ตอบมาก่อนว่าหนุ่มน้อยน่ารักคนนั้นเป็นใคร ไหนบอกตอนนี้หาๆ อยู่ไง ทำไมเข้าหาแม่เขาแล้ว แล้วนี่ชอบผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่ หนอย ทีวันก่อนละเล่นตัว ใช่ซี่ แอสตัน มาร์ตินกระจอกๆ จะสู้โรลส์-รอยซ์ได้เหรอ”
“ไปกันใหญ่แล้วพี่รัน พูดเสียงดังงี้เดี๋ยวคนอื่นเขาเข้าใจผมผิดกันพอดี” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงใส เดินนำหนุ่มรุ่นพี่เข้าโรงพยาบาล
“อ้าว งั้นก็ตอบมาดิวะ”
“คำถามไหนก่อนดีครับ”
“ชอบผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมพี่ไม่รู้วะ”
“ผมยังชอบผู้หญิงอยู่พี่”
“อ้าว แล้วน้องคนนั้นเป็นใคร ทำไมมีจับขงจับแขนกระซิบเล่นหัว สนิทไปป่ะทีกับพี่ไม่เห็นมีงี้”
“พี่รันจำไอ้เด็กแสบที่ผมเคยเล่าให้ฟังตอนใกล้สอบได้ไหม ไอ้เด็กนั่นแหละ ทีนี้มีเรื่องกันอยู่ให้แม่เขารู้ไม่ได้เลยต้องกระซิบคุย แล้วพี่อย่ามาทำเป็นน้อยใจ ตอนผมเรียนกับพี่พี่ก็ชอบเล่นหัวผมออกบ่อย”
“เอ๊าะ ฉันลืมไปว่าแกเคยน่ารัก” การันต์หัวเราะ หากยังไม่หยุดจับผิดคนข้างตัว “แล้วทำไมมากินข้าวด้วยกันได้ล่ะ”
“วันนี้มีมอบตัวพอดี แม่เขาเลยพานั่งเรือข้ามฟากมากินข้าวด้วยแค่นั้นแหละพี่ หายข้องใจยัง มีคำถามอะไรอีกม่ะ”
“น้องเขามีแฟนยัง”
“เฮ้ย!” ถึงกับร้องเสียงหลง หันไปมองหน้าคนถามก็ดูกึ่งเล่นกึ่งจริงพาลเอาตอบกลับไม่ถูก “ถามทำไมเนี่ย”
“น่ารักดี”
“น่ารักตรงไหนกวนตีนจะตาย”
“อย่ามาทำหวงก้าง ฉันบอกแล้วถ้าจะสนผู้ชายขอแบบตัวเล็กน่ารัก น้องคนนั้นใช่เลยลูกครึ่งด้วยใช่ไหม”
“พี่รันครับผมไหว้ล่ะ ขอไอ้เด็กนี่ไว้คนแค่นี้มันกลุ้มใจจะแย่แล้วที่มีผู้ชายมาชอบมัน นะ...พี่รัน อีกอย่างพี่คงไม่อยากเสี่ยงเอาขาแหย่ตารางใช่ไหม”
“หึ หวงเหลือเกินนะคนนี้ ฉันจะเชื่อแล้วกันว่าแกไม่ได้คิดอะไรกับน้องเขา แค่ถามไปเล่นๆ ลองใจคนแถวนี้เท่านั้นแหละ ไม่เคยเห็นทำแบบนี้กับใครเลยนึกว่าแกใกล้จะสละโสด”
“พี่ไม่ต้องมาลองใจหรอก เดี๋ยวถ้ามีตัวจริงเมื่อไหร่จะพามาให้รู้จักเอง โอเคไหม”
“เออ ให้มันจริง”
ทิวากานต์ส่ายหัวพลางยิ้มขำ นายแพทย์รุ่นพี่ดูจะจริงจังกับการหาแฟนให้เขาเหลือเกิน ไม่รู้จะให้รีบไปไหนอายุเขาเพิ่งจะสามสิบมีเวลาหาอีกนาน
.
.
.