TRACK 09
มิสเตอร์เอเดลมาร์ โอเนลล์ พ่อของอลันด์เป็นชาวอังกฤษแท้วัยห้าสิบสอง สูงหกฟุต ไหล่กว้าง ตาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าคมสันมีรอยเหี่ยวย่นเล็กน้อยเพิ่มความภูมิฐาน ผมสีเดียวกับลูกชายเริ่มมีสีขาวแซม โดยรวมแล้วจัดได้ว่าดูดีมากและมีบรรยากาศรอบตัวบางอย่างให้ต้องรู้สึกเกรงใจบวกกับสิ่งที่เคยได้ยินจากปากอลันด์ทำให้คนที่เพิ่งเคยเจออย่างทิวากานต์เกร็ง
คุณหมอวัยสามสิบปั้นหน้ายิ้มประจบขณะเอื้อมมือจับทักทายกับเจ้าของบ้านที่ใจดีให้เขาพักฟรีๆ ตลอดทริปพักร้อน แนะนำตัวคร่าวๆ แล้วค่อยถูกเชิญให้นั่งลง
“ได้ยินจากปากอลิสามาหลายหนว่าเป็นคนที่พึ่งพาได้ก็อยากเจอตัวมาตลอด วันนี้ได้เจอแล้วไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ผมต้องขอบคุณคุณหมอมากที่ช่วยดูแลเจ้าเด็กนี่ให้ช่วงอยู่ที่กรุงเทพ”
“ไม่เป็นไรครับ ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้ดูแลเขาสักเท่าไหร่ อลันด์โตแล้วเขาดูแลตัวเองได้แทบไม่ต้องพึ่งผมเลย”
ร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้ที่บริกรดึงให้ หางตาเหลือบมองคนในบทสนทนานั่งนิ่งให้บริกรอีกคนคลี่ผ้าเช็ดปากวางบนตัก ใบหน้าเรียบเฉยหันไปหาคนเป็นพ่อเบะปากให้เหมือนเด็กงอแง
“ผมสิบแปดแล้ว” อลันด์แย้ง “หาเงินเองได้แล้วด้วย”
“ถ้าลูกยังต้องให้แด๊ดจ่ายค่าเทอมให้ลูกก็ยังเด็กอยู่ดีจ้ะ” มาดามโอเนลล์พูดมาจากอีกฟากโต๊ะอาหาร วันนี้เธออยู่ในชุดเดรสสีส้มดำเพนท์ลายรถม้าของแอร์เมส ผมสีดำถูกรวบเป็นมวยอยู่ด้านหลัง
“ก็แค่ค่าเทอม”
“ค่าห้องพัก ค่าน้ำ ค่าไฟ ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่คุณตาช่วยจ่ายให้” คนเด็กสุดบนโต๊ะต้องหุบปากฉับเมื่อถูกแด๊ดดี้สาธยายค่าใช้จ่ายทั้งหลายออกมา ตาสีฟ้าซีดตวัดมองคนเป็นพ่อเคืองๆ
ตอนแรกทิวากานต์นึกว่าสองพ่อลูกจะเริ่มตีกันเสียแล้วเพราะจากคำบอกเล่าดูเหมือนอลันด์จะไม่ค่อยชอบพ่อตัวเองเท่าไหร่ที่ห้ามไม่ให้เป็นนักร้อง แต่พอเห็นเอเดลมาร์หยิกแก้มอิ่มของลูกชายแล้วยิ้มเอาใจให้เป็นต้องรีบเปลี่ยนความคิด
มื้ออาหารค่ำไม่น่ากลัวอย่างที่คิดและสนุกเกินคาด มิสเตอร์เอเดลมาร์เป็นนักธุรกิจที่มีอารมณ์อย่างที่เรียกได้ว่าตลกร้าย เป็นสุภาพบุรุษอังกฤษที่ทำงานหนักแต่ไม่ลืมทุ่มเทเวลาให้ครอบครัวเท่าๆ กัน หลายครั้งคุณหมอจะเห็นภาพการหยอกล้อของคู่พ่อลูกอันเป็นภาพประกอบของครอบครัวสุขสันต์ที่สมบูรณ์ แต่พอมาคิดว่าถ้าต้องมาทำอะไรแบบนี้กับวิคเตอร์ละก็...ทิวากานต์ขออยู่คนเดียวแบบนี้ดีกว่า
หลังจบมื้ออาหาร มิสเตอร์และมาดามโอเนลล์จะแยกขึ้นรถไปอีกคัน เจ้าตัวแสบทำหน้าที่ลูกที่ดีอยู่ส่งพ่อแม่ เขาช่วยคลี่ผ้าคลุมไหล่ห่มให้มาดามโอเนลล์และเอียงแก้มให้แม่จูบแบบลูกที่น่ารักในหนังสือ
“เจอกันที่บ้านนะฮันนี่” เอเดลมาร์คล้องผ้าคลุมไหล่ให้ลูกชาย ไม่ลืมหอมแก้มราวอีกฝ่ายเป็นเด็กเล็กๆ ฝากฝังอลันด์กับทิวากานต์อีกเล็กน้อยถึงยอมขึ้นรถตามมาดามโอเนลล์ไป ทำเหมือนจะไม่ได้เจอกันอีกหลายปีทั้งที่มีจุดหมายปลายทางเป็นบ้านหลังเดียวกันแท้ๆ
พวกเขายืนรอส่งจนท้ายรถโรลส์-รอยซ์ลับสายตา เท่านั้นเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นจากปากคุณหมอทันที “ฉันนึกว่าพ่อเธอจะน่ากลัวกว่านี้เสียอีก”
“หืม?”
“ก็เธอบอกว่าเขาขัดขวางไม่อยากให้เป็นนักร้อง เลยคิดว่าจะเป็นพวกหัวโบราณน่ะสิ”
“ถ้าแด๊ดผมน่ากลัว แด๊ดทอมก็ปีศาจดีๆ นี่แหละ” มือเรียวจัดการกระชับผ้าคลุมไหล่แน่นขึ้นเมื่อมีลมวูบมา ปลายจมูกโด่งขยับฟุดฟิด “เหมือนฝนจะตก รีบกลับบ้านเถอะ พรุ่งนี้ด็อกจะออกไปดูมหาวิทยาลัยแต่เช้าไม่ใช่เหรอ”
“อ่าฮะ” ตาคมมองโรลส์-รอยซ์อีกคันที่เพิ่งมาจอดเทียบตรงหน้าไม่ใช่เบนท์ลีย์คันเดิมกับที่นั่งขามาพร้อมพ่อบ้านคนที่เขาไม่คุ้นหน้าลงมาเปิดประตูรถให้ ทิวากานต์รอให้อลันด์ขึ้นไปก่อนเขาถึงก้าวตามขึ้นไป เมื่อทุกคนพร้อมรถก็เริ่มขับเคลื่อนอีกครั้ง ยังไม่ทันพ้นไฟแดงตรงหน้าเม็ดฝนก็ตกกระทบหน้าต่างรถแล้ว
พวกเขาจมเข้าโลกส่วนตัวของตนเองมาตลอดทางจากเชลซีถึงเมย์แฟร์ เพราะฝนตกจึงจำเป็นต้องเข้าไปที่โรงจอดรถ ทิวากานต์เลยได้โอกาสสำรวจบ้านหลังนี้อีกครั้งด้วยการเดินตามอลันด์จากโรงจอดรถเข้ามาห้องครัวด้านหลังแล้วไปโผล่ที่ห้องทานอาหาร ก่อนทะลุมาห้องนั่งเล่นขึ้นบันไดเวียนและแยกย้ายกันไปเมื่อถึงห้องของทิวากานต์
อลันด์ถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังแยกจากคุณหมอเข้าห้องตัวเองได้สักพัก เขาถอดผ้าคลุมไหล่โยนลงตะกร้า ถอดสูทใส่ไม้แขวนเก็บไว้ในตู้ตามเดิมก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน ตาสีซีดมองรอยแผลกับรอยช้ำบนร่างกายตัวเอง รอยยาที่แต้มไว้เด่นชัด แผลบางอันเริ่มตกสะเก็ด เขานึกไปถึงตัวการจนคำพูดคุณหมอที่บอกกับเขาตอนทำแผลเหล่านี้ให้
‘ไม่มีใครทำร้ายคนที่เรารักได้ลงหรอก’ ปลายนิ้วเรียวเลื่อนแตะรอยแผลตามต้นคอ มันไม่เจ็บแล้วแต่ในใจกลับปวดจี๊ดไม่รู้สาเหตุ ถ้าที่ด็อกพูดเป็นเรื่องจริงทอมคงไม่รักเขาหรอก ไม่งั้นจะทำร้ายเขาถึงขนาดนี้เหรอ
เดินออกมาจากห้องแต่งตัว ยังไม่ทันได้นั่งบนเตียงเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาก่อน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันว่าใครมาเคาะประตูหาเอาตอนนี้แต่ยอมเดินไปเปิดประตูให้อยู่ดี ยังเดินไม่ถึงกลางห้องเจ้ามิวมิวก็ลอดประตูเล็กข้างล่างเข้ามาคงขอนอนด้วยเหมือนเคย สองมือจับคอฮู้ดเสื้อแขนยาวปิดแถวต้นคอไว้ก่อนเปิดประตูออกไป
ทิวากานต์ยืนตัวสูงให้ต้องแหงนคอมองอยู่ข้างหน้าในมือถือแก้วใส่น้ำแข็งไว้ เด็กหนุ่มเบี่ยงตัวให้อีกคนเข้ามาในห้องเมื่อน้ำเสียงทุ้มต่ำบอกให้หลบ เขามองคุณหมอวางแก้วบนโต๊ะเขียนหนังสือข้างหัวนอน ใช้เท้าเขี่ยพุงแมวที่เข้ามาก่อน บ่นงึมงำเป็นคนแก่ พอปิดประตูก็ถูกเรียกไปนั่งบนเตียงทำเหมือนเป็นเจ้าของห้องเสียเอง
“จะทำอะไร”
“ถอดเสื้อแล้วนั่งเฉยๆ ซะ จะประคบเย็นให้ แล้วก็กินยานี่ด้วยคืนนี้จะได้ไม่ปวดมาก”
เขากระพริบตามองอีกคนปริบๆ แล้วยอมถอดเสื้อลงไปนั่งให้อีกคนประคบรอยช้ำไม่ปริปากบ่น พอทิวากานต์ส่งยาให้ก็รับมากลืนลงคอโดยดี ไม่รู้จะตั้งแง่อิดออดไปทำไมในเมื่ออีกคนดีกับเขาเสียขนาดนี้
แปลกดีเหมือนกันพวกเขาไม่ได้สนิทกันขนาดรู้เรื่องของอีกฝ่ายไปทุกเรื่องรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่เริ่มต้นก็ไม่ประทับใจแล้ว แต่ผู้ชายคนนี้ทำอะไรให้เขาตั้งหลายอย่างทั้งหาห้องซ้อมให้ คอยถามไถ่ความเป็นอยู่ ไปรับไปส่ง ช่วยติวหนังสือ แล้วตอนนี้ก็ยังมาทำแผลน่ากลัวๆ พวกนี้ให้อีก
พาลนึกไปถึงตอนบ่ายหลังจากทิวากานต์บอกให้ไปเอายามาทำแผล เขาได้แต่นั่งนิ่งๆ เปลือยท่อนบนให้ผู้ชายวัยสามสิบแตะยาให้ตามรอยกัดที่โธมัสทำทิ้งไว้ คิ้วเข้มเป็นปื้นของคุณหมอขมวดเข้าหากันทุกครั้งที่ย้ายแผลจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งกว่าจะหมดแผลด้านหน้าคิ้วคู่นั้นก็ผูกกันไปเสียแล้ว ไม่ต่างจากตอนนี้ที่กำลังเอาก้อนน้ำแข็งเย็นๆ ห่อผ้าขนหนูผืนเล็กประคบตามตัวเขาเลย
“ให้กินยาดักไว้แล้ว คืนนี้คงไม่ปวด พรุ่งนี้ถ้าเป็นไปได้ก็ทำแบบนี้อีก แล้วตอนเย็นถ้ามันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวค่อยเอาอะไรอุ่นๆ ประคบแทน” ปลายนิ้วนุ่มนิ่มไล้รอยขบกัดบนหลังคอเขาแผ่วเบาจึงค่อยเลื่อนมาแตะหลังใบหู“นี่คงกัดเล่นๆ สินะ ถ้ากัดจริงหูคงหลุดไปแล้ว”
คำพูดคุณหมอเรียกขนอ่อนตามตัวพลันลุกซู่ด้วยความสยองต้องรีบตะบปหูตัวเองไว้ให้รู้ว่ามันยังอยู่กับเขา เท่านั้นทิวากานต์ก็หัวเราะออกมาผ่อนคลายความตึงเครียดไปได้ไม่น้อย
“ทอมคงมันเขี้ยวมากตรงกกหูแผลใหญ่กว่าเพื่อนเลย ระวังอย่าให้โดนน้ำจนกว่าแผลจะแห้งแล้วกัน ไม่จำเป็นอย่าเพิ่งสระผมเดี๋ยวแผลเน่าเป็นหนอง คราวนี้ได้ตัดหูทิ้งจริงแน่”
เด็กฝรั่งเบะปากรับเสื้อแขนยาวจากทิวากานต์มาสวม พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นคุณหมอกำลังจ้องรูปบนหัวเตียง
“ฉันไม่อยากพูดมากเพราะถือว่าเป็นคนนอก แต่ในฐานะไม่ว่าจะหมอ เพื่อนบ้าน คนที่แม่เธอฝากฝังไว้ หรือคนที่รู้จักกัน อยากให้รู้ว่าเป็นห่วง” ใบหน้าหล่อเหลาหันกลับมามองคนเด็กกว่าพร้อมสายตาสื่อชัดว่าห่วงใยชัดเจน เขาจับมืออีกคนขึ้นมากุมไว้หลวมๆ ลูบหลังมือเบาๆ แทนการปลอบให้สงบใจ “ไม่ได้ต้องการพูดขู่ให้รู้สึกกลัว แต่รู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่ทอมทำมันไม่ปกติ”
อลันด์ส่ายหัว “ปกติก็แบบนี้ คือ...ทอมชอบกัด บางทีก็มันเขี้ยวเกินไป แต่ไม่เคยกัดจนเป็นแผลเยอะขนาดนี้ อีกอย่างทอมก็ตัวใหญ่ เขาคงออมแรงไม่ไหว”
ตาคมก้มลงมองมือที่จับไว้ ฟังคนพูดแก้ตัวให้เพื่อนรักทั้งที่เจ็บขนาดนั้น เจ้าตัวคงไม่รู้แต่เขาที่เป็นคนทำแผลให้เห็นทุกอย่าง ทั้งรอยนิ้วมือตามลำตัวและท่อนแขนไหนจะรอยที่หายต่ำไปตรงขอบกางเกงอีกล่ะ ถึงอลันด์จะบอกว่าไม่ถึงขั้นสอดใส่แต่ก็ไม่ปฏิเสธตอนที่เขาถามว่าโธมัสได้ทำอะไรส่วนล่างบ้างหรือเปล่าและไม่ยอมเปิดให้เขาดูเพื่อทำแผลเด็ดขาด
ทิวากานต์ยอมปล่อยมือจากเด็กหนุ่มดึงสายตากลับมามองรูปบนหัวเตียง เด็กฝรั่งอายุน่าจะสักสี่ห้าขวบสองคนใส่ชุดนักเรียนสวมหมวกแก็ปเดินจูงมือกันหันมายิ้มให้กล้อง อีกรูปเป็นตอนโตขึ้นมาอีกหน่อยเล่นน้ำที่ไหนสักที่ มองปราดเดียวก็เดาได้ว่าเด็กผมทองที่ขี่คอโธมัสอยู่คืออลันด์เพราะตาสีฟ้าซีดกับใบหน้าติดจะมึนๆ รูปตอนขึ้นมัธยมสวมชุดนักเรียนสีกรมท่า บนหัวมีหมวกฟางวางอยู่ รูปที่เหลือก็โตขึ้นมาหน่อย ผมอลันด์กลายเป็นสีน้ำตาลแล้วแต่ยังถ่ายรูปคู่กับโธมัสเหมือนเดิม
เพราะผูกพันธ์มาก รักมาก แคร์มาก ถึงได้ยอมใช่ไหม“เธออาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ทอมไม่ได้ตั้งใจ เขายั้งแรงไม่ได้ แค่มาสเตอร์เบชั่นที่รุนแรงนิดหน่อย แต่ในเคสของผู้ป่วยที่ประสบกับ DV (Demestic Violence) ก็มักจะเริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆ แบบนี้ เธอรักเขาแคร์เขาเลยบอกว่าไม่เป็นไร มากกว่านี้ก็ให้ได้ถูกไหม”
“ถึงผมรักทอมก็แค่เพื่อน ผมไม่ใช่เกย์”
“แต่เธอยอมให้เขาสัมผัส” อลันด์ปฏิเสธคำพูดของทิวากานต์ไม่ออก “นานเท่าไหร่แล้ว”
“ตั้งแต่สิบห้า”
“เป็นแผลอย่างนี้ทุกครั้งเลยหรือเปล่า”
อลันด์สะบัดผมตัวเองแทนคำตอบ “ไม่เลย... ถึงบางครั้งจะรุนแรงไปบ้างแต่ก็ไม่เคยทิ้งแผลไว้อย่างนี้ มากสุดคงเป็นแค่รอยช้ำตามตัว” เสียงแหบห้าวหยุดไปครู่ “แต่เมื่อคืนทอม...เขาน่ากลัว น่ากลัวมาก ทำเหมือนอยากจะกินผมไปทั้งตัว แต่ผมไม่อยากให้เขาโกรธ ไม่อยากให้เราทะเลาะกันอีก ในเมื่อเขาขอโทษแล้วผมเองไม่ควรจะขัดใจเขา ถ้าผมปฏิเสธเขาอาจลงโทษผมมากกว่านี้ หรือไม่เราคงแตกหักกัน ผมกลัวเราเลิกเป็นเพื่อนกัน”
คงเป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มลูกครึ่งได้เห็นคนที่ยิ้มได้เศร้าที่สุด ทิวากานต์หันหน้ากลับมาส่งยิ้มแบบนั้นให้เขา “เธอพูดเหมือนคนไข้ที่ฉันเคยเจอ”
ตาคมมองเด็กหนุ่มตรงหน้าเม้มริมฝีปาก ตาสีซีดหลุบตาลงจนเขามองไม่เห็นความคิดในนั้น ทิวากานต์ส่ายหัวค่อยๆ รั้งไหล่อีกคนเข้ามากอด
“ไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่ารักทอม รักมากกว่าตัวเองอีก”
“ผม...”
เด็กหนอเด็ก... “ตอนนี้ยังรักตัวเองไม่เป็นก็ไม่เป็นไร แต่อยากให้รู้ไว้ว่ายังมีพ่อแม่ที่รักเธอมาก และฉันเป็นห่วงเธอมากก็พอ”
แม้จะรู้จักกันได้ไม่นานแต่อลันด์มั่นใจว่าผู้ชายคนนี้ปรารถนาดีต่อเขา เหมือนเจอที่ที่สามารถพักพิงได้อย่างสบายใจ ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดมาไม่ใช่ของปลอมแน่นอน เขาถึงกล้ากอดตอบกลับแน่นๆ และยอมร้องไห้กับไหล่กว้างของอีกคนอย่างที่ไม่เคยทำกับใครนอกจากพ่อ
“ผมกลัว ด็อก...ผมกลัวทอม”
.
.
.
ทิวากานต์เข้าใจแล้วว่าทำไมทั้งทอมและเจมส์ชอบแกล้งอลันด์ เวลาเด็กนี้ร้องไห้มันน่ารักน่าแกล้งให้ยิ่งร้องแง้ๆ จริงๆ นั่นแหละ หน้าขาวปากหยักแดงจัดทำตาปรอยช้อนมองอ้อนวอนขอร้องให้หยุดรังแก มองยังไง๊ยังไงก็ยิ่งน่าแกล้ง เป็นเด็กที่มีความสามารถพิเศษปลุกพลัง S ในตัวคุณขึ้นมาจริงๆ
เขานั่งพิงหัวเตียงบริจาคหน้าขาให้หนึ่งคนกับหนึ่งแมวนอนหนุน ไล้ปลายนิ้วลูบเส้นผมสีช็อกโกแลตนมไปมากล่อมให้คนเด็กกว่าหลับฝันดี กะว่ารอให้อลันด์หลับลึกอีกนิดค่อยกลับห้องตัวเอง ถ้าเตียงห้องนอนไม่ใช่เตียงเดี่ยวเขาคงขอค้างที่นี่อยู่ปลอบใจเด็กขวัญเสียทั้งคืนแล้ว ความจริงเตียงนี้ออกจะใหญ่สำหรับอลันด์ด้วยซ้ำ แต่พอมีผู้ชายตัวใหญ่แบบเขาเบียดอยู่ด้วยเลยคับแคบไปถนัดตา
ตาคมสำรวจห้องฆ่าเวลาไปเรื่อยจนเห็นว่าเที่ยงคืนแล้ว มือใหญ่จึงตบก้นแมวลายวัวตัวอ้วนให้ลุกจากตัก เขามองมันเดินซึมๆ ไปล้มตัวนอนบนหมอนเรียบร้อยถึงค่อยประคองศีรษะกลมขึ้นจากหน้าขาไปวางบนหมอน จัดท่าทางนอนอีกคนให้สบายตัวที่สุด ห่มผ้าให้ถึงค่อยปิดไฟหัวเตียงแล้วออกจากห้องมา
พอตอนเช้าอลันด์ก็มีสีหน้าสดใสขึ้นมากแม้ตาจะช้ำเป็นหมีแพนด้าก็ตาม เจ้าเด็กตัวอวบเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมมิวมิวทักทายแม่บ้านแต่ละคนเสียงใสและเอ่ยขอมื้อเช้าแบบจัดหนักจากแม่ครัว ไม่ลืมบอกให้พวกหล่อนเทอาหารให้แมวรักด้วย
“แล้วเรื่องสอบเป็นยังไงบ้างคะ เห็นอัลบอกว่าคุณหมออ่านหนังสือหนักน่าดูแต่ก็ยังเจียดเวลามาช่วยทบทวนบทเรียนให้” มาดามโอเนลล์ที่วันนี้อยู่ในชุดทำงานเรียบแต่หรูของคริสเตียน ดิออร์เอ่ยขึ้นกลางโต๊ะอาหารเช้า เรียกสายตาจากผู้ชายอีกสองคนให้หันมามองคนถูกถามได้ทันควัน
“เรียบร้อยแล้วครับรอแค่ประกาศผล ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไรผมเลยบินมาพักผ่อนที่นี่”
“หมอวาเรียนต่อด้านไหนหรือ”
“ศัลยกรรมทรวงอกเน้นด้านหัวใจครับ ที่มานี่ก็ว่าจะมาหาที่เรียนต่อด้วย วันนี้คงได้ไปดู”
“วันนี้คุณหมอเรียกใช้อัลเบิร์ตได้ตามสะดวกเลยนะ อยากไปที่ไหนก็ให้เขาขับรถพาไป”
“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมไปทิวบ์ (tube) เองสะดวกกว่า” ทิวากานต์ปฏิเสธความช่วยเหลือจากเอเดลมาร์ ถ้าต้องไปไหนมาไหนในลอนดอนกับรถที่มีแต่มหาเศรษฐีใช้เป็นได้ถูกจ้องแน่ๆ
“งั้นหรือ แล้วอัลจะไปกับคุณหมอด้วยหรือเปล่า ไหนๆ ช่วงนี้ก็ว่างนี่” เขาหันไปหาลูกชาย มองเด็กตัวอวบจิ้มไส้กรอกเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ พลันดวงตาสีซีดก็หันมองทิวากานต์เหมือนขอความเห็น คุณหมอก็ไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากยักไหล่ให้
“ถ้าด็อกอยากให้ไป จะไปเป็นเพื่อนด้วยก็ได้”
สุดท้ายคำถามก็มาตกที่ทิวากานต์อยู่ดี ตอนนี้พวกเขา(หมายถึงทิวากานต์กับอลันด์)จึงกำลังเดินจากบ้านไปสถานีรถไฟใต้ดินกรีนพาร์คเพื่อไปเปลี่ยนขบวนจากสายพิคาดิลลี่เป็นสายเหนือที่สถานีเลสเชสเตอร์ สแควร์ไปลงสถานีวอร์เรนสตรีทที่อยู่ใกล้ยูนิเวอร์ซิตี้ออฟลอนดอนมากที่สุด ฟังดูงงแต่ความจริงคือนั่งแค่สี่สถานีเท่านั้น
พวกเขาใช้เวลาช่วงเช้าในการสอบถามข้อมูลเรื่องเรียนต่อ เดินดูบรรยากาศอันเงียบสงบในช่วงปิดเทอมรอบมหาวิทยาลัย เสร็จแล้วก็หามื้อเที่ยงง่ายๆ กินแถวนั้น อลันด์ดูร่าเริงตอนที่แนะนำร้านนู้นร้านนี้ให้คุณหมอรู้จัก แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยตามสไตล์แต่แววตาฉายชัดว่ามีความสุข พอออกจากร้านอาหารทิวากานต์ที่ยังไม่มีแผนจะไปไหนต่อนอกจากเดินเล่นไปเรื่อยก็ถูกเจ้าเด็กตัวเท่าไหล่ชวนนั่งรถเมล์สองชั้นเที่ยวลอนดอน ก่อนจบวันด้วยการเดินทอดน่องที่สวนสาธารณะไฮด์ปาร์คหน้าบ้านเจ้าตัวแสบนั่นเอง
อลันด์บอกว่าตอนนี้กำลังเตรียมตัวสอบใบขับขี่อยู่ แล้วพอกลับไปกรุงเทพฯ รอบนี้เจ้าตัวจะซื้อรถไว้ขับไปไหนมาไหนสักคัน ทิวากานต์ลองแย็บๆ ถามว่าอยากได้แบบไหนเขาจะได้ช่วยหาโชว์รูมรถที่ไว้ใจได้ให้ไอ้ตัวแสบก็บอกว่าอยากได้นิสสัน คิวบ์ เท่านั้นคุณหมอแทบพ่นน้ำที่ดื่มอยู่ออกมา “รถกระเทย!”
“น่าเกลียด เขาเรียกรถส่งนมต่างหาก” ปากหยักยู่เข้าหากันทันทีที่ถูกปรามาสว่ารถในฝันเป็นรถกระเทย
“ก็รถมันกึ่งๆ นี่หว่า ไม่แมนไม่สาว กระเทยชัดๆ” แต่พอเห็นอลันด์ส่งสายตาเคืองๆ กึ่งเสียใจมาให้คุณหมอเลยรีบเปลี่ยนประเด็น “ว่าแต่ทำไมถึงอยากได้รุ่นนี้ล่ะ นึกว่าจะเอาโรลส์-รอยซ์ไม่ก็เบนท์ลีย์ซะอีก”
“รถพวกนั้นมีไว้นั่งไม่ได้มีไว้ขับเองสักหน่อย”
โอเค เขาผิดที่ลืมไปว่าไอ้เด็กนี่มันลูกคุณหนูมีคนขับรถและพ่อบ้านส่วนตัว“ความจริงก็ชอบมินิ แต่เคยเห็นคนขับคิวบ์ที่นู่นเขาเอากีตาร์ใส่ไว้ข้างหลัง พอเข้าไปดูพวกรีวิวยิ่งชอบอ่ะมีที่ให้ใส่กีตาร์ได้ตั้งเยอะ”
ทิวากานต์พยักหน้าหงึกหงัก ที่แท้ชอบเพราะมีที่ไว้พาลูกรักตะเลงๆ ไปไหนมาไหนด้วย “อืม…ถ้าชอบแบบนั้นจะช่วยหาเกรย์ที่เขานำเข้ามาให้แล้วกัน บวกภาษีไปหน่อยก็เกือบสองล้าน”
“หา? ทำไมในเว็บบอกคันละไม่กี่แสนเองล่ะ”
“พวกนั้นมันจดประกอบไม่ถูกกฎหมาย อันตรายด้วย นำเข้าดีกว่าภาษีสามร้อยเปอร์เซ็นต์ เวลามีปัญหาจะได้ไม่ยุ่งยาก”
“บ้าไปแล้ว ภาษีตั้งสามร้อย ขูดสุดๆ”
“ไปบอกสรรพากรบ้านฉันสิ” เจ้าเด็กแสบทำเสียงฮึดฮัด บ่นงึมงำว่ามัมต้องบ่นแล้วให้เปลี่ยนเป็นคันอื่นที่ราคาเท่ากันแหงๆ
สี่โมงเย็นแล้วแต่ท้องฟ้ายังสว่างจ้าและคงมีแสงสว่างเช่นนี้ไปจนเกือบเที่ยงคืนตามลักษณะที่ตั้งของประเทศนี้ ผู้ชายต่างวัยสองคนเดินเลียบสระน้ำหาเรื่องพูดคุยกันได้ไม่หยุด ยิ่งได้สนทนากันก็ยิ่งรู้จักกันมากขึ้น อลันด์ไม่ใช่ลูกคุณหนูจอมเหวี่ยงที่ทำอะไรไม่เป็น แต่เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาที่ออกจะน่าเตะ ชอบเล่นฟุตบอลกับปิงปอง เคยมีแฟนสาวอยู่โรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังแต่เลิกกันไปเพราะหล่อนหาว่าอลันด์สนใจกีตาร์มากกว่าเธอหลังจากคบกันได้แค่สามเดือน ผลการเรียนดีพอจะเข้าอ็อกบริจด์
1ได้แต่อยากออกจากโรงเรียนตั้งแต่สิบหกไปเป็นนักดนตรีเลยถูกพ่อเตะโด่งให้ไปลองใช้ชีวิตคนเดียวที่กรุงเทพฯ
“ด็อกรู้ไหม วินาทีที่แด๊ดบอกว่าจะให้ไปอยู่คนเดียวที่กรุงเทพผมช็อกพูดไม่ออกไปหลายนาทีเลย เหมือนถูกตัดหางปล่อยวัด แด๊ดไม่รักผมแล้ว โกรธกันเกือบเดือนผมก็ยอมเพราะแด๊ดบอกว่าถ้าอยู่คนเดียวที่ต่างประเทศได้จนเรียนจบแสดงว่าผมเก่งพอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลังจากนั้นจะไปเป็นนักร้องเป็นอะไรแด๊ดก็จะไม่ขวางอีก”
“เขาทำไปเพราะเป็นห่วง แต่ถ้าเป็นแม่ฉันนะอยากทำอะไรก็ทำเถอะ แต่ถ้าทำไม่ได้แล้วซมซานกลับมาจะเยาะเย้ยซ้ำเติมให้อีก”
“เป็นผู้หญิงที่แปลกดีนะ น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เจอ”
“ความจริงถ้าอยากเจอเดี๋ยวพาไปหาที่สุสานก็ได้นะ ฮ่าๆๆๆๆ” ทิวากานต์หัวเราะลั่นหลังแกล้งคนเด็กกว่าจนหน้าเหวอ เขายกมือลูบหัวอีกคนเล่นก่อนตบไหล่ให้เดินนำ “พ่อแม่ทุกคนรักแล้วก็เป็นห่วงทั้งนั้นแหละแต่อาจจะแสดงออกไม่เหมือนกัน แต่ยังไงก็รักใช่ไหมล่ะ”
“อืม”
“เพราะฉะนั้นอย่ารักคนอื่นจนทำร้ายตัวเอง เขาจะเสียใจแค่ไหนถ้ารู้ว่าชีวิตที่เขาสร้างมาเพราะความรักต้องเจ็บปวดเพราะคนอื่น จำที่ฉันบอกเมื่อคืนได้ไหมอลันด์ หัดรักตัวเองให้เป็น ฉันไม่ได้บอกให้รักตัวเองจนเห็นแก่ตัว แค่รักตัวเองทำตัวเองให้มีความสุข แคร์ความรู้สึกตัวเองให้มากๆ ถ้ามันเจ็บก็ถอยออกมาอย่ารักคนอื่นเกินจนกลัว”
“ถึงผมจะกลัวทอมแต่ผมไม่อยากเลิกเป็นเพื่อนกับทอม มันบอกไม่ถูก... รักก็คงใช่แต่ไม่ได้รักมากกว่าเพื่อน แต่ถ้าปฏิเสธทอมแล้วทำให้เสียเขาไป ผม...”
“งั้นจะเล่าอะไรให้ฟังแล้วกัน สมัยมัธยมฉันเรียนโรงเรียนชายล้วนแล้วก็มีเพื่อนสองคนที่คล้ายนายกับทอม”
“แล้ว?”
“โรงเรียนชายล้วนแสดงว่าไม่มีเด็กผู้หญิงใช่ไหมล่ะ ไอ้สองคนนี้ก็สนิทกันมากอ่ะแหละแต่บางทีก็มากเกินไป ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตัวติดกันตลอด มิตรภาพโคตรแน่นแฟ้นนึกภาพตอนที่มันสองคนทะเลาะกันไม่ได้เลย แล้วมันก็...วัยรุ่นแหละนะ ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่านอยากรู้อยากลองเริ่มทำอะไรเลยเถิด ตอนแรกๆ ก็งี้แหละแค่ใช้มือช่วย ช่วยกันไปช่วยกันมาเผลออีกทีก็นอนด้วยกันแล้ว ปากก็บอกว่าแค่ช่วยเพื่อน ไม่มีอะไรไม่ใช่เกย์ แค่รสนิยมเป็นเซ็กส์เฟรนด์แบบหนึ่ง”
อลันด์เดินไปฟังไปเงียบๆ ตาสีอ่อนหลุบต่ำมองพื้น
เหมือน... ทุกอย่างที่ด็อกเตอร์ว่าเหมือนเขากับทอมมาก
“ถ้ามันแค่นั้นจริงๆ ก็ดี แต่ถ้าวันหนึ่งความรู้สึกของอีกคนมากเกินกว่านั้นล่ะ อยากเป็นมากกว่านั้น ไม่อยากเป็นแค่เพื่อนในขณะที่อีกคนชอบแค่รสสัมผัส”
“ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เป็นเพื่อนกันต่อไปไม่ได้แล้วเหรอ”
“ความสัมพันธ์ที่เกินเพื่อนไปแล้วมันเรียกกลับคืนมาเหมือนเดิมไม่ได้ มันก็เหมือนกระดาษที่ถูกขยำ รีดให้เรียบยังไงก็ยังมีรอยยับ สุดท้ายถ้าทนกับความสัมพันธ์ครึ่งๆ กลางๆ อธิบายไม่ได้ก็ต้องขาดกันไป สองคนนั้นสุดท้ายก็เป็นแบบนั้น คนหนึ่งรักอีกคนมากแต่อีกคนไม่ได้คิดอะไร ปัจจุบันเป็นไง...เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งสิบปีสุดท้ายหน้าแทบไม่มองกันเลย”
“ฟังดูเจ็บปวดนะ ถ้าเขาสองคนคิดตรงกันคงดี”
คุณหมอหนุ่มมองใบหน้าเจ็บปวดของอลันด์แล้วแอบอมยิ้ม นึกในใจว่าไอ้เด็กฝรั่งนี่ซื่อดีเหมือนกัน เขาเล่าอะไรให้ฟังเสือกเชื่อหมดไม่มีสงสัยเลยไม่รู้ว่าถูกเขาตอแหลใส่เต็มๆ ไอ้เรื่องที่เล่าน่ะ base on true story อยู่หรอก แต่ถ้าถามว่าอันไหนเกิดขึ้นจริงบ้างคงสารภาพได้แค่เรื่องเรียนชายล้วนจนถึงตอนนอนด้วยกัน เพราะทุกวันนี้ไอ้เพื่อนสองตัวนั้นมันรักกันดีเป็นคู่ผัวตัวเมียที่น่าหมั่นไส้อีกคู่ของเพื่อนร่วมรุ่นเรียนแพทย์
แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงตีไข่ใส่สีเปลี่ยนเรื่องรักโรแมนติกมุ้งมิ้งเป็นดราม่า Club Friday ก็เพราะทิวากานต์เริ่มเกลียดขี้หน้าไอ้หมาขนทองโธมัสไงล่ะ ตัวโตซะเปล่าแทนที่จะปกป้องดูแลเพื่อนตัวกระเปี๊ยกดันทำร้ายได้ลง แถมยังร้ายหน้าซื่อตาใสแอบขายเพื่อนแบบนี้มันต้องถูกดัดสันดานซะที!
“ฉันไม่กังขาในความรักของเธอกับทอมหรอกนะ ฉันเพิ่งรู้จักพวกเธอได้ไม่นานแต่บอกได้เลยว่าทอมรักและแคร์เธอมากจริงๆ ไม่งั้นเขาคงไม่ทิ้งผู้หญิงคนนั้นหรอก” คุณหมอรูปหล่อยังตีหน้าจริงจังแกล้งพูดชมโธมัสให้อีกคนฟังแล้วค่อยตลบหลังแฉ “แต่มันแย่ตรงที่เขาไม่ซื่อสัตย์กับทั้งเธอและตัวเขาเอง เขาไม่รู้ว่ารักเธอแบบไหนต้องการเธอยังไง แล้วกำลังโยนเธอไปให้คนอื่นในขณะที่ทำอะไรๆ กับเธอแบบนั้น”
“คนอื่น? ใคร?” คิ้วสีน้ำตาลเข้มขมวดหากันฉับ ยังมีใครอีกหรือไงที่ชอบเขา หรือจะเป็น... “ฮิวโก้?”
ทิวากานต์ส่ายหน้า ฮิวโก้ก็อาจจะเป็นไปได้แต่เด็กหัวซีดนั่นออกแนวทาสแมวมากกว่า “นี่ไม่ได้เอะใจเลยสินะว่าใครชอบมาป้วนเปี้ยนมองตัวเองบ้างน่ะ”
“ไม่คิดว่ามันแปลกหรือไงเล่าที่เป็นผู้ชายแล้วยังมีผู้ชายมาชอบอีกน่ะ ใครจะไปรู้ไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้นสักหน่อย ถ้าเป็นพวกผู้หญิงนะมองตาก็รู้แล้ว ยัยพวกนั้นดูง่ายจะตายไป” พูดไปก็งงตัวเอง มั่นใจว่าแมนเต็มร้อย หน้าตาออกจะหล่อ ผู้หญิงก็เคยผ่านมาแล้ว มีตรงไหนที่ทำให้ผู้ชายชอบกัน
ตาคมเหล่มองเจ้าเด็กตัวสูงเท่าไหล่ ในสายตาเขาอลันด์หน้าตาจัดว่าดีถ้าเทียบกับผู้ชายต่างชาติทั่วไป แต่ไม่ได้หล่อถึงขั้นน่าตามกรี๊ดแบบโธมัสหรือเจมส์ บางทีมิสเตอร์เอเดลมาร์ยังดูหล่อกว่าด้วยซ้ำ จะว่าหน้าสวยแบบเอาไปแต่งหญิงก็พอผ่าน หากเมื่อเทียบกับลียอนแล้วนั่นน่ะหนุ่มหน้าสวยของจริง ส่วนน่ารัก...ให้เขามองใหม่อีกทีตั้งแต่หัวจรดเท้ามองยังไงหาส่วนไหนยังไม่รู้สึกว่าน่ารักเลย ชอบทำหน้ามึนตาหยิ่ง ผู้หญิงมองคงคิดว่าไม่รับแขกแต่ผู้ชายมองแล้วสายตาหาเรื่องกันชัดๆ แถมยังกวนตีนเก่งเป็นที่หนึ่ง
เออ... ยกเว้นตอนยิ้มไว้หน่อย พอยิ้มแล้วน่ารักมากยอมรับจากใจเลย ที่เหลือก็อย่างที่บอกไม่น่ามีส่วนไหนดึงดูดให้ผู้ชายมาชอบได้เลย
“ลองเดาสิว่าคนแบบเธอเนี่ยจะมีผู้ชายคนไหนมาชอบอีก” ยิ่งคุยทิวากานต์ชักยิ่งสนุก หลอกปั่นหัวเด็กเนี่ยหรรษาสุดๆ แล้ว
นายแพทย์หนุ่มกลั้นขำสุดตัวยามเห็นไอ้ตัวแสบกรอกตาขึ้นฟ้าท่าทางหมดอาลัยตายอยาก เมื่อกี้ยังซีเรียสกันอยู่เลย แป๊บเดียวกลายมาเป็นเล่นเกมทายปัญหากันซะงั้น
“ถ้าเป็นคนที่ด็อกรู้จักด้วยแล้วไม่ใช่ฮิวโก้ก็นึกไม่ออกแล้ว จะบอกว่ามาร์โก้กับมาริโอ้อันนั้นตัดไปได้เลย เจ้าฝาแฝดกำลังจีบเด็กโรงเรียนอีฟอยู่ ลียอนเป็นเกย์ก็จริงแต่ไม่ใช่แน่ เจ้านั้นชอบ... เอ้อ ช่างมันเถอะ” พอพูดถึงศัตรูแสนรักก็หยุดไปเฉยๆ แล้วบอกว่าช่างมัน หากสายตาวิบวับมองมายังคุณหมอก็บอกได้ว่ามันเกี่ยวกับเขาแหง “หรือจะเป็น...เจมส์? ไม่ใช่ใช่ม่ะ ผมทะเลาะกับเจมส์บ่อยยิ่งกว่าลียอนอีก”
“บิงโก! คนที่เธอทะเลาะด้วยกันบ่อยๆ นั่นแหละ”
-------------------------------
1 - อ็อกฟอร์ดกับเคมบริจด์