พยายามศาสตร์
“ดากานดา...ฉันรักแกว่ะ”
“แกมาทำอะไรเอาตอนนี้”ฮึก...ซีนอารมณ์ เข้าถึงจิตวิญญาณ นี่สินะหัวใจของคนแอบรักแล้วไม่สมหวัง
ผัวะ!!
“มึงร้องไห้ทำเหี้ยอะไรเนี่ย” เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของเพื่อนในกลุ่มทำให้ผมหลุดจากภวังค์แห่งความซาบซึ้งของหนังเรื่องเพื่อนสนิท เงยหน้าขึ้นมาผสานสายตากับไอ้พวกวิปริตนี่แทน แม่งทำไมตอนกูจะอินชอบมาขัดฟีลตลอดเลยวะ
“พวกมึงไม่เข้าใจอารมณ์ของฮิปสเตอร์หรอก”
“ฮิปห่าอะไรของมึง กูเห็นมึงดูเรื่องนี้เป็นร้อยรอบละ ทำไม! มึงเป็นญาติกับผู้กำกับหนังเหรอ”
“มึงรู้ได้ไง”
“สัด!” อ้าว...ทีกูกวนตีนกลับเสือกไม่รับมุก
พอเห็นว่าพูดไปผมก็ไม่ฟัง เพื่อนในกลุ่มเลยหันไปเล่นเกมกันต่อ ทิ้งให้ผมล้วงมันฝรั่งทอดรสกะเพรามากินสร้างบรรยากาศต่อไป ลืมไปเถอะเรื่องที่พูดกันก่อนหน้านั้น ต่อให้โลกจะแตก แผ่นดินจะแยก โดนธรณีสูบตายห่ายังไงผมก็ต้องเอาแผ่นหนังเรื่องเพื่อนสนิทเหน็บจั๊กกะแร้หนีไปด้วยกันให้ได้ เพราะมันเป็นของรักของหวงที่สุดในชีวิต
ของรักที่เข้ากับอารมณ์ในตอนนี้สัดๆ ไม่สิ! เข้ากับอารมณ์ทุกช่วงของชีวิตมหา’ลัยกูเนี่ยแหละ
“เฮ้ยพวกมึง! เดี๋ยวเล่นเกมเสร็จแล้ว ออกไปอ่อยสาวข้างนอกมั้ย”
“จัดเลย!!”
“กูขอบายว่ะ” ผมแทรกขึ้น วันนี้หมดอารมณ์ ขอกูดื่มด่ำและซาบซึ้งกับหนังเพื่อนสนิทก่อนนะ
“เออ เรื่องของมึง” พวกแม่งสามตัวยังคงคุยกันสนุก ส่วนผมก็ดูหนังต่อไปไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่เสียงแหบๆ ของเพื่อนรักหักเหลี่ยมแค้นมันเสือกดังเข้าหูแค่นั้นเอง
“ไปที่ไหนดีวะ”
“บังอรโภชนามั้ย”
“สัด! ร้านแม่งเปิดดึก เอาที่เปิดตอนนี้ดิวะ”
“ร้านกาแฟ”
“กูว่ามันไม่ค่อย...”
“ไป!!”“กูไม่ได้ชวนมึงไอ้สัด”
เพื่อนในกลุ่มหันมาด่าพร้อมกัน ทำไม? ก็แค่อยากจิบกาแฟเบาๆ ตามสไตล์ฮิปสเตอร์ กูผิดด้วยเหรอ
แต่ความจริงมันมีอะไรมากกว่านั้นครับ และพวกมันก็รู้ดีว่าผมอยากไปร้านกาแฟเพราะอะไร แปลกดีเนาะ...ในหนังเพื่อนสนิทแม่งบอกรักแท้แพ้วิศวะ แต่กูนี่รักแท้เลย...แพ้ใจศิลปกรรมแต่เสือกโดนพยาบาลคาบไปแดก
แม่งฮิปสเตอร์ว่ะ
แฮปปี้แอนนิเวอร์แซรี่ ครบรอบสองปีที่แอบรักมัน
กรุ๊งกริ๊ง...เสียงกระดิ่งดังเป็นสัญญาณทันทีที่ผมผลักประตูเข้าไปภายในร้าน สุดท้ายแม่งก็มาเองอีกจนได้ เพราะเดอะแก๊งสุดที่รักเสือกโดนเมียตาม ตายห่ากันไปหมดแล้ว ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวอย่างผมเลยต้องแกรนด์โอเพนนิ่งเอง
“อินดี้คาเฟ่สวัสดีครับ”
เสียงใหญ่อย่างกับควายออกลูกนี่แหละครับคนที่ทำให้ผมดูหนังเพื่อนสนิทได้อินสัดๆ ดูทีไรน้ำตาคลอ ดูทีไรแล้วแทบบิดเจี๊ยวงอเป็นเลขแปดเพราะความฟิน
“หวัดดี” ผมทักทายกลับ ก่อนตรงดิ่งไปนั่งโซฟามุมสุดของร้านติดกับเคาน์เตอร์ ซึ่งแม่งเป็นที่นั่งของเจ้าของร้านและพนักงาน
ร้านกาแฟนี้ดีครับ พนักงานนั่งได้ อยู่ด้วยกันเสมือนเพื่อน เพราะบางทีผมก็ยกคอมมาเล่นดอทเอกับพวกมันที่นี่เนื่องจากเปิด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุดอีกต่างหาก ก็...สนุกไปอีกแบบ แต่ถ้าไม่มีพนักงานคนนี้กูไม่มาหรอก สนุกยังไงก็ไม่มา
ร่างสูงในชุดนิสิตผูกผ้ากันเปื้อนนี่ชื่อเปอร์ (อ่านออกเสียงเหมือนคำว่าเบอร์) เออ...หน้าตาโคตรกวนตีนพอๆ กับชื่อ แถมเล่นไถผมข้างตามสไตล์แบดบอยให้สาวกรี๊ดตามอีกต่างหาก ยอมรับเลยไอ้เนี่ยตัวดูดลูกค้าอย่างดี พี่เจ้าของร้านเลยปลดหนี้เพราะขายดีเป็นเททิ้งเทขว้าง แม้กาแฟจะรสชาติเสมือนใช้ส้นตีนคนแทนช้อนก็ตาม
ผมเป็นเพื่อนกับมันมาสองปีแล้ว เจอกันครั้งแรกที่บังอรโภชนาร้านเหล้าสุดฮิตใกล้มหา’ลัยตอนปีหนึ่ง ไอ้เปอร์ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนร้านเหล้าครับ ไม่ได้สนิทอะไรกันมากมาย รู้จักมันจากเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนอีกทีนึง แต่ถ้าถามว่าผมอยากสนิทกับมันมั้ย ตอบได้คำเดียวเลย โคตรอยาก!
ผมถึงชอบไปเดินผ่านคณะมันบ่อยๆ เพื่อหวังจะได้เจออีกฝ่ายบ้าง แต่ไปทีไรก็ไม่เห็นเจอ ทั้งที่เป็นเด็กศิลปกรรม แท้ๆ คนแม่งก็มีแค่นั้นป่ะวะ มันเรียนดุริยางคศิลป์เอกกีตาร์ไฟฟ้าซึ่งเป็นเอกที่ทำกิจกรรมค่อนข้างเยอะ แต่ที่ดีมากๆ และสาวกรี๊ดตรึมคงหนีไม่พ้นชมรมดนตรีสากลที่เด็กดุริยางค์ทุกรุ่นต้องแบกรับชื่อเสียงเอาไว้สุดความสามารถ
โดยเฉพาะงาน Music Contest ของมหา’ลัยปีก่อน ไอ้สัดเปอร์ดังเป็นพลุแตก เวลากล้องแพนไปที่มันแต่ละทีผู้หญิงในฮอลล์ก็พากันกรี๊ดสลบ หนักสุดคือพากันแย่งปิ๊กกีตาร์ที่มันเล่นคาเวทีจนเป็นข่าวดังกระหน่ำโซเชียลไปพักใหญ่ นี่ขนาดตอนมันเป็นเฟรชชี่ไม่ปลดระเบียบนะ แล้วดูตอนนี้ดิ ขึ้นมาเป็นปรินซ์ของดุริยางค์ปีสองไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยเว้ย
หล่อวัวตายควายล้ม
เออ มานั่งแนะนำคนอื่นตั้งนานลืมแนะนำตัวเองไปโดยปริยาย ผมชื่อตั้ม เรียนเศรษฐศาสตร์ ปีสอง ไม่มีเหตุผลอะไรในการตั้งทั้งนั้น แม่แค่คิดว่าอยากได้ชื่อตั้ม หลังจากนั้นกูก็ชื่อตั้มเลย จบนะ
“หือ...ไม่เห็นหน้าเห็นตามาหลายวัน เรียนหนักเหรอตี่” อีกฝ่ายถาม
“ตี่พ่องดิ กางเกงในไม่แห้งเลยไม่อยากออกมา”
“สัด! แล้วนี่จะแดกอะไร”
“เหมือนเดิม”
“โกโก้เย็นเหมือนเดิม?”
“ไม่สั่งเหมือนเดิม กูจะมานั่งเฉยๆ”
“เมื่อไหร่มึงจะเลิกกวนตีนวะ”
“ไว้มึงเลิกหายใจเมื่อไหร่ค่อยมาถามกูนะ”
“ไอ้ห่า แก้ยากว่ะนิสัย”
“โหย น่ารักจะตาย”
“มึงห่างไกลจากคำนี้เยอะ”
เห็นมั้ยครับ ผมก็เป็นแบบนี้จะเอาอะไรไปสู้เขา ไอ้เปอร์มันชอบเรียกผมว่าตี่เพราะตาแม่งจะปิดอยู่รอมร่อ แต่ขอร้องเถอะ กูมีดีนะครับ อย่างน้อยรุ่นพี่ก็ปลื้มกันหลายคนล่ะว้า ส่วนมันชอบคนตาโตๆ ที่เรียนอยู่คณะพยาบาลโน่น ชื่อห่าอะไรนะ ส.เสือ สองหรือเสือก
ตอนที่รู้ว่ามันเองก็แอบชอบคนอื่นอยู่ หัวใจไอ้ตั้มถึงกับร่วงลงไปกองที่ตาตุ่ม ความหวัง ความฝันที่อยากปลุกปล้ำมันหมดสิ้นแล้วในวินาทีนั้น แต่ตอนนี้ผ่านไปสามเดือนผมก็ไม่เห็นว่าไอ้เปอร์มันจะเดินหน้าจีบไอ้สองคณะพยาบาลเลยสักนิด
แม่งล่อเดือนพยาบาล ผู้ชายยิ่งน้อยๆ อยู่ยังเสือกจะไปฟาดฟันจากคณะเขา ต้องหันมามองเศรษฐศาสตร์นี่ดิบเถื่อนเกินบรรยาย กูหายไปคนนึงประชากรชายคณะกูไม่ร่อยหรอมากหรอก
คือพยายามพูดดีเข้าตัว พูดชั่วให้ตัวเหี้ยอยู่ครับ แต่ขอบอกก่อนเลยว่าผมกับไอ้เด็กพยาบาลน่ะต่างกันราวฟ้ากับก้นเหวลึก กูนี่แมนๆ เตะบอลกัน ไปไหนไปกันตลอด แต่เด็กที่ชื่อสองเฟรชชี่ปีหนึ่งมันกลับเป็นคนใสๆ เพราะหน้าตามันไสยศาสตร์ไง ผมถึงไม่อยากจะไฝ้ว์ กูขอเตะบอลต่อไป
แต่ความจริงก็คือ...คู่แข่งแม่งน่ารักว่ะ
จริงๆ ผมมีความคิดที่จะบอกชอบไอ้เปอร์มาตลอด ก่อนเด็กพยาบาลนั่นจะโผล่มาซะอีก แต่เพราะกลัวว่าความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนจะเปลี่ยนไป ถ้าเกิดเราใจไม่ตรงกันจริงๆ ผมก็คงไม่ได้อยู่ใกล้กับมันอีก ซึ่ง...กูทนไม่ได้แน่ๆ
“งานหนักมั้ยมึง” ผมหันไปถามไอ้หัวไถข้างซึ่งยืนชงโกโก้อยู่ ก็กูบอกว่าไม่สั่งไงสัด!
“ไม่ค่อยอ่ะ”
“คิดยังไงมาทำงานร้านกาแฟ ตังค์ไม่พอใช้เหรอ”
“โง่อีกละ น้องสองชอบมาอ่านหนังสือที่นี่ กูก็เลยสมัครมาทำงานแม่งเลย” อ๋อ...กูเพิ่งรู้ความจริงในวันนี้ ที่แท้ก็จะจีบเด็กพยาบาลนี่เอง ถึงว่าทำไมมันขยันแปลกๆ
แล้วทำไมกูต้องเสียใจด้วยวะ
“ลำบากไปป่ะ มากินเฉยๆ ก็ได้มั้ง”
“เขาอยู่นานจนเกือบเช้าอ่ะ บางทีมันก็ต้องลงทุนนิดหน่อย”
เจ็บจึ้กๆ กูก็เคยคิดเหมือนมึงเว้ยไอ้ห่าเปอร์ นั่งเฝ้าจนถึงเช้า แต่กูง่วงไงจะให้มานั่งเฝ้าพนักงานก็ดูยังไงอยู่
“แล้วได้คุยกันบ้างป่ะ”
“เยอะแยะ”
“คุยว่าอะไร”
“รับอะไรดีครับ”
“ถุย!” สันขวานเอ๊ย
“มึงมาช่วยกูหน่อยดิ” อะไร...ไม่ได้สนิทกับมึงขนาดนั้นครับไอ้เปอร์ ทำไมต้องมาขอให้กูช่วยด้วย
อย่าคิดว่าชีวิตกูจะเข้าสู่พล็อตน้ำเน่าปาดน้ำตามองเธอและเขาซั่มกันในโกดังร้าง ส่วนกูร้องไห้น้ำตาตกในปักตะไคร้จนฝนแล้งไปสามชาติเพราะมึงไม่สนใจ บ้าแล้วครัชไอ้โรเบิร์ต กูไม่ใช่คนดีพ่วงความน้ำเน่าขนาดนั้น
“ไม่ช่วย กูไม่ว่างมาทำงานกับมึงหรอก” แต่ว่างมาอ่อยมึง แล้วมึงก็เสือกไม่ยอมติดเบ็ดกูสักทีไอ้สัด
“ไม่ได้ให้มาทำงานสักหน่อย แค่คิดแผนตีสนิทอ่ะ”
“แปลกเนาะ แบดบอยอย่างมึงจีบคนมาก็เยอะ มีสาวมาเสนอตัวถึงที่ก็แยะ แต่ทำไมถึงป๊อดกับคนแค่คนเดียววะ”
“มึงไม่เข้าใจหรอก การที่มึงคิดจะรักใครจริงๆ สักคน มันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าหาคนคนนั้นนะเว้ย” ไม่เข้าใจเหรอ โหง่ยพูดมาได้ ทำไมกูจะไม่เข้าใจวะไอ้สันขวาน การที่กูชอบมึงมาสองปีกูไม่เข้าใจอะไรเล้ยยยยยย
“มึงก็ให้เพื่อนก๊วนศิลปกรรมมึงช่วยสิไอ้ควาย”
“มันบอกหมดแล้ว แต่กูคิดว่าไม่เวิร์กว่ะ อยากถามมึงเผื่อมีความคิดดีๆ บ้าง” โอ๊ยยยยย ถ้ากูมีความคิดดีๆ กูคงจีบมึงติดไปชาติกว่าแล้วครับ ไม่มาเนียนนั่งร้านกาแฟเหมือนตอนนี้หรอก มันไม่ใช่กิจกรรมของคนแมนๆ เว้ย
“โนไอเดีย” ผมรีบตัดบททันที
“ช่างเหอะ อ่ะนี่โกโก้ของมึง”
“กูไม่ได้สั่ง”
“กูให้”
“มึงเลี้ยงเหรอ”
“เปล่า ให้มึงไปจ่ายตรงเคาน์เตอร์ด้วย” ไอ้บัดซบ!! ไอ้เพื่อนเลว นี่กูชอบมึงไปได้ยังไงวะ ไม่รู้ว่าตอนนั้นกูใช้สมองหรือสะดือคิดกันแน่ เหยดเข้เอ๊ย
ระหว่างที่นั่งเล่นชิลๆ ในร้าน ผมก็หยิบมือถือขึ้นมาแชตหาเพื่อนในแก๊งอย่างไอ้เก่ง แม่งเก่งทุกอย่างแหละครับโดยเฉพาะปาก นอกนั้นโหลยโท่ยหมด แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นในตัวของมันเพราะเป็นคนคารมแพรวพราวที่สุดในแก๊ง แม่งเมียเป็นสิบ งานนี้ผมเลยต้องหวังพึ่งมันอยู่บ่อยๆ
ไอ้เก่งก็แนะนำดีครับ พอเห็นว่าคำแนะนำค่อนข้างใช้ได้เลยลองทำบ้าง
“ไอ้เปอร์” เอาแล้ว กูจะเอาจริงแล้วนะ เขินสัดเอ๊าะ!
“อะไร” ร่างสูงตอบกลับ
“ตรงๆ”
“อะไรของมึงเนี่ย”
“ก็...มีคนเคยบอกว่าถ้าชอบใครให้บอกตรงๆ” ง้อวววววววววว
“งั้นมึงมาตรงนี้เลย” มันกระดิกนิ้วเรียกผมยิกๆ
“ตรงไหนเหรอ”
“ตรงตีนกูเนี่ย!!”
“ว้ายยยยยยตายแล้ว หยาบคายที่สุด” ผมทำท่าสะดีดสะดิ้งกลบเกลื่อนความหน้าแตกของตัวเอง
จบ มุกนี้ล่มอีกตามเคยว่ะไอ้ฟวยเก่ง!
“ไม่ขำ”
“แม่ง ไม่คิดจะรับมุกกูเลยเหรอ”
“ใจเย็นตี่ กูรู้ว่ามึงอยากช่วยกู แต่แบบเด็กพยาบาลไม่ชอบมุกเสี่ยวว่ะ มันกาก” เออกูก็เพิ่งรู้ เด็กดุริยางค์อย่างมึงก็ไม่ชอบเหมือนกัน อายตัวเองว่ะ ทำไปได้
ไอ้เปอร์เดินอ้อมเคาน์เตอร์ตรงดิ่งมาหาผมพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟาเน่าประจำร้าน ดีหน่อยที่ตอนนี้ลูกค้ากำลังเข้าสู่โหมดซุ่มส่องมือกีตาร์ประจำมหา’ลัยอยู่ อีกฝ่ายก็เลยว่างได้อู้งานอีกนานโข
“เพื่อนมึงไม่มาเหรอ” ไอ้กร๊วก! กูนั่งอยู่ตรงนี้ถามหาเพื่อน เดี๋ยวกูต่อยฟันกรามแทงเหงือกเลยดีมั้ย
“เมียโทรตาม”
“สงสาร”
“กูว่าสมเพช โดยเฉพาะไอ้เก่งด่าเช้าด่าเย็นนังยักษ์บ้าง อีงูพิษบ้าง แต่ตอนอยู่ด้วยกันนี่ตะเองเตรงๆ ตลอด บ้านพ่องเป็นระนาดหรือไงไม่รู้”
“ฮ่าๆ แล้วมึงไม่คิดจะหาเมียหรือใครสักคนมาอยู่แก้เครียดบ้างเหรอวะ เพื่อนแม่งก็มีแฟนกันหมด”
“ไม่อ่ะ”
“เบื่อ?”
“มันไม่ฮิปสเตอร์”
“ซื้อทิ้งได้มั้ยคำนี้”
“ควาย คนเราก็ต้องมีคำพูดติดปากบ้าง ว่าแต่มึงเหอะเรียนเป็นไง”
“เรื่อยๆ ยากบ้าง ง่ายบ้าง”
“เออรู้ แม่งเก่งแต่ปฏิบัติ ทฤษฎีห่วยแตก” หมายถึงการเล่นกีตาร์ครับอย่าคิดลึก สัดเปอร์มันเป็นคนมีพรสวรรค์เรื่องดนตรี เชื่อแล้วว่าอนาคตมันไปได้ไกลกว่านี้ แต่เวลาถามอะไรที่เป็นวิชาการทีไร สมองของมันเนี่ยแหละคือจุดบอดของโลกเลย
“โห...กูอยากจะขอท้าให้มาเรียนเอง ใครว่าดุริยางค์เรียนง่ายแค่เล่นดนตรี แม่งกูอยากจะต่อยให้ฟันร่วงเหมือนเกรดมหา’ลัยเลยนิ” เอ่อ...ที่มึงด่าอ่ะ กู!!
“ใส่อารมณ์เกินไปละห่า”
“แล้วมึงอ่ะ”
“เรื่อยๆ ไปจนจบ”
“กูเกลียดคณิตศาสตร์ เกลียดคำนวณ” ไอ้เปอร์พูด
ความจริงเราก็มีส่วนที่ไม่สนิทกันบ้าง“เหรอวะ กูเพิ่งรู้ แต่กูก็ไม่ชอบเล่นกีตาร์นะ เจ็บมือว่ะ”
“จริงดิ กูนึกว่ามึงจะถึกกว่าที่คิด”
หรือมีมุมที่ไม่รู้จักกันเลย“เตะบอลก็งานถึก ว่างๆ ก็มาเล่นด้วยกันสิวะ”
“เล่นทีไรกูก็ไปเป็นโกวล์ มึงจะชวนกูทำห่าอะไรวะตี่”
“เรียกตั้มได้ป่ะไอ้ฟาย กูชื่อตั้มไม่ได้ชื่อตี่”
“ก็อยากเรียก ชื่อนี้กูเรียกได้คนเดียว”
บางมุมของมันทำให้ผมใจเต้นแรง“เอาที่มึงสบายใจแล้วกัน”
“กูสบายใจอยู่แล้ว โชคดีเกิดมาหล่อ”
“เออ หล่ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องกินข้าวด้วยนะครับ อย่ามัวแต่อ่อยสาว”
“ซื้อให้หน่อยดิ”
“กะเพราหมูกรอบใส่พริกสามเม็ดเหมือนเดิม?”
“อืม...ซื้อของชอบมึงมาด้วยก็ได้ ผัดคะน้าใส่ตับ”
“รู้ดี”
“หล่อ จบป่ะ”
“ซื้อคำนี้ทิ้งได้มั้ย”
“ไว้มึงทิ้งคำว่าฮิปสเตอร์เมื่อไหร่ค่อยมาซื้อคำว่าหล่อจากกูนะ ไอ้เวร”
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แม่งเราก็มีส่วนที่รู้ใจกันและกัน...สวัสดีวันจันทร์วันฉ่ำปอด ตอนนี้ผมกับเดอะแก๊งกำลังนั่งแดร๊กข้าวกันอยู่ใต้ตึกคณะบริหาร ชีวิตเด็กเศรษฐศาสตร์เหมือนเกิดมามีกรรม ต้องมาแดกข้าวคณะอื่นประจำเพราะโรงอาหารคณะกูไม่มี
ความจริงก็อยากโผล่ไปกินตึกศิลปกรรมอยู่หรอก แต่แม่งดันถูกเร่งรัดด้วยวิชาเรียนคาบบ่ายเราถึงต้องกินที่ตึกใกล้ๆ แทน แต่โลกของผมที่ไม่มีไอ้เปอร์ก็ใช่ว่าจะไร้สีสันไปซะทุกอย่าง เพราะกูกำลังนั่งอยู่กับแก๊งบันลือโลกอย่างพวกแม่งอยู่ เรามีกันอยู่สี่คนครับ มีผม ไอ้เก่ง ไอ้โก้ แล้วก็ไอ้จั๋ง สนิทกันตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วเพราะเรียนด้วยกัน
และผมก็ยังมีเพื่อนอีกหลายแก๊งที่สนิทกันตามโอกาสด้วย ไม่ว่าจะเป็นแก๊งร้านเหล้า แก๊งเตะบอล แก๊งดอทเอ สารพัดเพื่อนแหละครับ แต่ต้องยอมรับเลยว่าที่สนิทมากๆ ก็คือไอ้สี่ตัวนี้เนื่องจากเจอกันทุกวัน แถมมันยังคุยกันไร้สาระตามสไตล์อีกต่างหาก ชอบครับ ชอบอะไรที่ไม่มีสาระ
“เนี่ยมึง รุ่นพี่แก๊งคิตตี้เขากำลังรับสมัครทายาทอสูรอยู่เว้ย คิตตี้ซีซั่นสอง” ไอ้จั๋งโพล่งขึ้น ขณะมือข้างหนึ่งจับช้อน ส่วนมืออีกข้างก็เลื่อนมือถือระรัว คิตตี้ห่าอะไรเนี่ย...
อย่าบอกนะว่าคือก๊วนแก๊งวิศวะที่มีรุ่นพี่ปีห้าเป็นหัวหน้าน่ะ กูไม่เอาด้วยหรอก
“คิตตี้ไหน” ผมถามกลับ
“คิตตี้วิศวะ ที่มีพี่เดือนเป็นหัวโจกไง” กูว่าละ ถ้าซื้อหวยกูคงรวยยันชาติหน้า
“แล้วยังไง”
“ก็ไปสมัครไง คิตตี้แม่งดังจะตาย ปีนี้เขาเรียนจบแล้วเราก็จะได้สืบทอดความฮอตของพี่ๆ กันต่อ กูเนี่ยแหละคิตตี้เดอะเน็กซ์เจน”
“ปัญญาอ่อน” ไอ้เก่งพูดบ้าง
“มึงด่ากูทำไมเนี่ย”
“มึงดูข้อความครับ เขาหมายเหตุว่าขอรุ่นน้องวิศวะ มึงเป็นใครจะเข้าก๊วนเขา”
“อ้าววววว”
จบเห่ เก็บศพไอ้จั๋งเสร็จก็รีบแดกข้าวกันต่อ จะมีก็แต่ไอ้เก่งที่ยังเล่นมือถืออยู่ สักพักมันก็ทำตาโตสะกิดไหล่ผมยิกๆ แน่นอนเราไม่ได้คุยกันดังมาก และท่าทางของมันก็ไม่ได้กระโตกกระตากเหมือนทุกทีด้วย
“อ่ะ เอาไปดู” ไม่พูดเปล่า รีบยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้ผมทันที
“อะไรอ่ะ”
“ถ้าไม่รีบ ต่อไปมึงจะเสียใจกว่านี้”
ไม่รอให้ความสงสัยอยู่นาน ผมจึงรับมือถือของไอ้เก่งมาดูก่อนจะเห็นข้อความหนึ่งซึ่งปรากฏบนหน้าไทม์ไลน์ของใครคนหนึ่งที่ผมไม่คุ้นตา
...เด็กพยาบาลที่ชื่อสอง...
Hi Per >>
Tawipark Maneewongน้องครับ พี่ชื่อเปอร์ จำกันได้ป่ะ
แค่ประโยคสั้นๆ ทำไมถึงทำให้ใจมันวูบโหวงขนาดนี้วะ กูล่ะเกลียดโมเมนต์แบบนี้ที่สุดเลย มึงไปฮิปสเตอร์ไกลๆ ไอ้ตั้ม ยังอีก...ยังจะเลื่อนอ่านข้อความเขาอีก
ผมเห็นรุ่นน้องพยาบาลคนนั้นตอบกลับมาเมื่อ 35 นาทีก่อน ซึ่งข้อความบทสนทนาของทั้งคู่ก็ยาวเหยียดไปจนถึงสนามบินสุวรรณภูมิพอดี
Tawipark Maneewong สวัสดีครับผมชื่อสอง พี่เป็นพนักงานร้านอินดี้ใช่มั้ย
Hi Per ใช่ ดีใจที่น้องจำได้
Tawipark Maneewong ผมไปกินบ่อยไง เจอตลอดโดยเฉพาะกะดึก
Hi Per พี่ทำกะดึกครับ
โหยยยยยยยยยยย ไอ้กระแดะ มึงไม่ได้กะดึกหรอก มึงกะแดกเขาไอ้เปอร์ ไอ้หัวฟวย
Tawipark Maneewong อ้อถึงว่า...วันนี้ไม่ไปเรียนเหรอครับ
Hi Per เรียนครับ กำลังอยู่ตึกพยาบาล
Tawipark Maneewong จริงดิ มาทำอะไรครับ
Hi Per มาหาใครบางคน
Tawipark Maneewong ...
Hi Per วันนี้จะมาที่ร้านมั้ย
Tawipark Maneewong ไม่แน่ใจครับ
Hi Per มาเถอะ วันนี้ที่ร้านมีโปรโมชั่นด้วย ส่วนลด 10% สำหรับลูกค้าประจำ
Tawipark Maneewong งั้นไป 5555555
โอ๊ย!! หัวใจกูหน่วง ไอ้เปอร์เดินหน้าจีบแล้ว และเหมือนเหยื่อเองก็เล่นตามด้วย เป็นไงล่ะกู ซาบซ่านถึงใจมั้ย จะร้องก็เสือกร้องไม่ออกเพราะวิถีคนแมนไม่ได้สอนให้ร้องไห้ให้ใครเห็น แม้ตอนดูหนังเพื่อนสนิทกูจะร้องไม่หยุดเลยก็ตาม ดากานดา...กูโดนหมาคาบไปแดกว่ะ
หลังจากข้อความนั้น ไอ้เปอร์กับรุ่นน้องปีหนึ่งก็ไม่ได้พูดอะไรกันต่อ แต่เพื่อนของไอ้น้องสองสิครับที่พากันมาถล่มหน้าไทม์ไลน์ด้วยความตื่นเต้นเหมือนกำลังเปิดประเด็นให้เป็นทอล์กออฟยูนิเวอร์ซิตี้อยู่
‘สอง พี่เปอร์ทักแก’
‘กรี๊ดดดดดดดดดด ปรินซ์แห่งดุริยางคศิลป์’
‘อะไรเหรอ เกิดอะไรขึ้นเล่าด่วน’
ผมยื่นมือถือกลับไปให้ไอ้เก่งด้วยสีหน้าละห้อยเหมือนหมาโดนขโมยเพดดิกรี หมดกัน! นี่ตอนจบของกูจะต้องเป็นเหมือนในหนังเพื่อนสนิทเหรอวะ ทำใจไม่ได้ว่ะ อยากกระโดดท้องเรือตายแต่ก็กลัวตาย สรุปเลยได้แต่นั่งกลั้นตดอยู่ที่โรงอาหารแทน
“มึงโอเคป่ะวะ” หืม ยังมีหน้ามาถามอีกว่าโอเคมั้ย รักข้างเดียวสองปีของกูกำลังจะหลุดลอยไปนะเว้ย มึงยังคิดว่ากูจะมีความสุขอยู่เหรอวะไอ้เก่ง แต่สิ่งที่คนแมนนิสัยฮิปสเตอร์ตอบได้ก็มีแค่...
“สบาย!!”
“เอาจริงดิ”
“อืม”
“งั้นปล่อยแม่งไปเลยมะ เลิกชอบเหอะว่ะ” สลด! ทำใจหนักยิ่งกว่าโดนแม่ด่าว่ากำลังส่งควายเรียนเศรษฐศาสตร์อีก
“ทำได้ง่ายอย่างปากพูดก็ดีดิ”
“ก็มึงบอกโอเคดี เห็นมั้ยมึงยังยิ้มอยู่เลย” กูฝืนไอ้สัด! แม่งไม่เข้าใจความฮิปของกูเลยหรือไง คนฮิปเวลาเศร้ามันจะยิ้มเว้ย ขวางโลกไปหมดเลยตอนนี้ ขวางอารมณ์หน่วงๆ ในใจกูด้วย
“ที่แสดงออกว่าเข้มแข็ง ไม่ได้หมายความว่ากูไม่เสียใจนะ”“สรุปคือเสียใจ?”
“นิดหน่อย”
“เอาความจริง”
“แม่งอยากจะร้อง มันจีบคนอื่นแล้วว่ะ” ผมเบะปากเหมือนเตรียมระเบิดความอัดอั้นตันใจ จนพาลให้เพื่อนอีกสองคนหันมามองด้วยความสงสัย
“อย่าร้องดิ ฮิปสเตอร์แม่งไม่ร้องไห้กันนะเว้ย”
“กูคนครับ ถ้าไม่ร้อง มึงจะให้กูนั่งขี้ระบายความเสียใจเหรอวะ”
“ที่จริงมันก็มีวิธีนะถ้ามึงพยายาม”
“ยังไง”
“แผนของกูไง!”
แผนของไอ้เหี้ยเก่งแม่งบอกได้คำเดียวว่าเก่งสัดๆ เก่งแต่คิด แต่ตอนทำอ่ะกูออกโรงคนเดียวตลอด คืองี้ครับ เรามีก๊วนแก๊งสมาคมร้านเหล้ากันอยู่ ซึ่งใช้ชื่อกลุ่มว่า ‘บังอรโภชนา’ เพราะเป็นชื่อร้านประจำที่เราพบปะสังสรรค์กันอยู่บ่อยๆ และที่สำคัญเรามีไอ้เปอร์แห่งดุริยางค์เป็นหนึ่งในก๊วนด้วย
ดังนั้นไอ้เก่งมันเลยนัดแนะเพื่อนกลุ่มร้านเหล้าให้มาสังสรรค์ตามอารมณ์อินดี้ ซึ่งแน่นอนทุกคนต้องมา แต่ที่แตกต่างไปจากทุกครั้งก็คือเราไม่ได้กินกันที่ร้าน แต่ย้ายมาจัดที่ห้องของผมแทน เป็นไงล่ะแผนของไอ้เก่งสูงพอมั้ย
“เฮ้ยดี!” เสียงทุ้มต่ำของไอ้เปอร์ทักทายเพื่อน เพราะมันเดินเข้ามาในห้องเป็นคนสุดท้าย
เรานั่งขัดสมาธิล้อมกันเป็นวงกลม ด้านหน้ามีขวดเหล้า โซดา น้ำอัดลม และสารพัดมิกซ์เซอร์ตัวดี ที่เพียงพอสำหรับการดื่มยาวนานตลอดทั้งคืน
“มาช้าไอ้สัด” เพื่อนในกลุ่มบ่นอุบ
“พอดีไปส่งเด็กน่ะ”
“โว้วววววว ที่ไหนครับ เด็กที่หน้าใสๆ มีดีกรีเป็นเดือนพยาบาลป่ะ”
“รู้ดี”
ฮ่อลลลลลลลล สิ่งเดียวที่กูทำได้คือการหันไปมองหน้าไอ้เก่งและได้แต่ตั้งคำถามว่า ‘ล้มเลิกทุกอย่างเลยดีมั้ยวะ’ แต่ในเมื่อมันมาถึงขนาดนี้ผมก็คงต้องดันทุรังต่อไป ดราม่าซีน กูเกลียดดดดดดดดดด
“อ้าวไอ้ตั้ม ดีใจที่เจอ หายไปไหนมาเป็นอาทิตย์วะ” ไอ้เปอร์หันมาถามผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
มันถามกู!!
มันถามกูเว้ยยยยยยยยยยยย ร้อนหน้าร้อนตา เขินสัดอ่ะ
“เรียนหนักว่ะ”
“เออ แล้วมึงอ่ะไอ้เบส ไม่ได้เจอกันเลย ติดเมียเหรอมึง”
“พอๆ กับมึงแหละไอ้คนฮอต”
อ้าวไอ้ห่า แม่งมันก็ถามคนอื่นเหมือนกัน สรุปกูไม่มีอะไรพิเศษต่อความรู้สึกมันเลย ปฏิบัติกับกูเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ แบบนี้ยังจะหวังอะไรอีกวะ
“มึงไม่ต้องแดกมากนะสัดตั้ม แค่ชวนไอ้เปอร์มันชนแก้วตลอดก็พอ” ไอ้เก่งเอี้ยวตัวมากระซิบ นี่แหละครับแผนของมัน มอมเหล้าปรินซ์แห่งดุริยางค์ นี่มันคือยุคต้อยต่ำทางความรักของกูแล้วเหรอเนี่ย ดีหน่อยที่ไอ้เพื่อนเวรมันไม่พาขับรถออกไปยังสำนักหมอผีเพื่อทำน้ำมันพราย ไม่งั้นกูตายแน่ๆ
แล้วไอ้เปอร์มันก็ยิ่งเป็นพวกบ้าจี้ซะด้วย ใครชวนมันชนแม่งกระดกหมดแก้วตลอด งานนี้เราเลยพอเห็นทางสว่างอยู่รำไร
“มึงว่ามันจะโอเคมั้ยวะไอ้เก่ง”
“เชื่อกูเหอะน่า”
“กูไม่อยากจะเชื่อมึงเลยจริงๆ แต่กูไม่มีทางเลือก”
“เอาน่า มันเมาปุ๊บ กูเคลียร์เพื่อนมันเอง พอทางสะดวกก็รีบลากมันเข้าห้องนอนจัดการปล้ำเลย”
“ปล้ำพ่องดิ” ที่คิดไว้ก็มีแค่ตัดสินใจสารภาพรักเท่านั้น ถึงแม้ว่าตอนนั้นมันจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่สิ่งนี้แหละคือเป้าหมายในการแอบรักของผม ขอแค่ความกล้าที่จะบอกมันก็พอแล้ว
“ทำไม มึงไม่กล้าเหรอ อ้อ ลืมไป มึงเป็นรับ ทางวันเวย์สินะ”
“ไอ้ควาย”
“ไม่งั้นแค่จูบก็พอ เก็บกำไรมึงไปก่อนที่หมาปีหนึ่งจะคาบไปเคี้ยวกรุบกรับ”
“ไม่อ่ะ กูไม่ได้ด้านขนาดนั้น กูแค่จะบอกชอบมันเฉยๆ”
“อื้อหือ ทารกมากมึงอ่ะ บอกรักตอนเมา”
“ก็ดีกว่าไม่ได้บอกเลยป่ะวะ”
“เออเรื่องของมึง แต่ตอนนี้อย่าลืมดึงกางเกงบอลขึ้นสูงๆ หน่อย แบบโชว์ขาอ่อนอ่อยมันอ่ะ”
“โวะ! ปัญญาอ่อนละ พอๆ กระซิบนานกูแสบคอไปหมดแล้วเนี่ย”
“ตี่” สักพักไอ้เปอร์ก็แทรกขัดจังหวะ
“อะไร”
“มึงดูหนังแบบนี้ด้วยเหรอวะ” มือหนาหยิบกล่องดีวีดีของหนังเรื่องเพื่อนสนิทที่ตกอยู่แถวโซฟาขึ้นมา เพราะแผ่นมันยังค้างคาในเครื่องเล่นอยู่เลย
“นานๆ ทีว่ะ มึงถามทำไม” เอาความจริงเลยมั้ย
ดูทุกวัน! ร้องไห้ทุกวัน!
“เปล่าหรอก กูก็เคยดู”
“จริงดิ มึงชอบป่ะ”
“เคยดูครั้งเดียวในโรงหนัง ถามว่าชอบมั้ยเหรอ...จำความรู้สึกตอนนั้นไม่ได้แล้วว่ะ” แม่ง อย่างนี้เรียกไม่ชอบเว้ย มึงคงไม่มีโมเมนต์แอบรักเพื่อนเหมือนกูสินะ
“มึงสองคนจะทำตัวฮิปอีกนานมั้ยครับ แดกเหล้าเถอะ อย่าลีลา!!”
อ่านต่อด้านล่างค่ะ