-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
**********************************************
มหา’ลัย มาหารัก
หนังสือมหา'ลัย มาหารักมีขายแล้วนะคะ
สามารถหาซื้อได้สองทาง หนึ่งคือทางเว็บของแจ่มใส ลด15% สำหรับสมาชิกค่ะ https://www.jamsai.com/product/3663
และสองคือหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไปเลย
*
มหา'ลัย มาหารักเป็นการรวมเรื่องสั้นชาวมหา’ลัย
ประกอบไปด้วยอะไรบ้างตามไปลุ้นกัน
หากต้องการย้อนรอยกลับไปอ่านเรื่องสั้นบุกเบิกคลิกได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยค่ะ
Special Valentine's day วิศวะสัมพันธ์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=45524.0)
คณะที่ 1 วิศวกรรมประสาท (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47597.0)
คณะที่ 2 รักฐศาสตร์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47795.0)
คณะที่ 3 พยายามศาสตร์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48648.msg3206114#msg3206114)
คณะที่ 4 นิเทศศาสตร์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48648.msg3215712#msg3215712)
คณะที่ 5 สถาปัตยกามศาสตร์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48648.msg3229370#msg3229370)
คณะที่ 6 นิติสท์ศาสตร์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48648.msg3242008#msg3242008)
คณะที่ 7 ศึกษาดูใจศาสตร์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48648.msg3269810#msg3269810)
คณะที่ 8 กะเสร็จศาสตร์ (เจอในเล่ม)
คณะที่ 9 ทันตแพทยศาสตร์ (เจอในเล่ม)
เรื่องที่เหลือทุกเรื่องจะไม่มีลิงค์แยกแล้ว
จิตติจะลงในบทความหน้านี้ทั้งหมดค่ะ
แล้วมาพบกับความรักของหลากหลายคู่ในมหา'ลัยแห่งนี้กันนะคะ
-
เจิมเรื่องใหม่ค่ะ :mew1: :กอด1:
-
ดีใจ
-
รอพยายามศาสตร์อยู่นะค้า :impress2:
-
มาจิ่มรอ
-
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: รอ
-
ปักหมุด :call:
-
เย้!!!
-
รอรอรอค่ะ
รอตอนพิเศษวิศวกรรมประสาทด้วยนะค่ะ
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
-
:katai5: :katai5: :katai5:
-
รอนะค้า~ :heaven
-
เข้ามาตีลังการอ :hao6: :hao6:
-
เข้ามารออออ :a12:
-
มารอค่ะๆ //////////////
-
รอค้าาาาาาาาาาา
:katai2-1:
-
โดนนนนนน
รอจ้า
-
นั่งรอนั่งเฝ้าค่า //F5 รัวๆ :katai4:
-
เจิม
-
รอค่ะ :mc4: :katai2-1:
-
:mc4:
-
รอพยายามศาสตร์
-
:z2: :z2: :z2:มารอเรื่องใหม่ค่ะ
-
:mew1: :mew1: :mew1: มารอค๊าา :mew1: :mew1: :mew1:
-
รอออออ :mc4:
-
ปักรอค่า
-
ดีงามมากกกกกกก :m1: :m3: :m1: :m3: :m1:
-
ปูเสื่อรออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ
รวมเล่มเราก็จะรอออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ
-
เข้ามารอพยายามศาตร์ง
-
:impress2:
เข้ามารอค่ะ
:a5:
-
รอๆ แต่ขอไปย้อนรอยก่อน
-
:katai3:
-
เราชอบวิศวะกรรมประสาทมาก ฮ่าๆ
ติดตามและเป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆค่าาา :L2:
-
สร้างแลนด์มาร์คคค
-
ปูเสื่อรอ :katai3:
-
ปูเฉื่อๆๆๆๆๆๆ
-
ปูเสื่อรอ ต้องสนุกแน่ๆเลย ;p
-
ยังอยู่ช่วงเตรียมเอนท์ยังไม่เข้ามหาลัย????????
-
ขอเข้ามารอในคลังเรื่องสั้นน่าอ่านของคุณจิตติด้วยคนค่ะ :katai2-1:
-
:กอด1:
รอลุ้น
รอลุ้น
จ้า
-
รอค่าาาา :hao7:
-
มาลงชื่อรอด้วยคนค่ะ ^^
-
เข้ามารออ <3
-
รอ ร้อ รอ
-
รอค่ะรอ :mew3:
-
มารอฮะ :katai5:
-
รออ่านน้าา
-
รอพยายามศาสตร์จ้า
-
รอพยายาม รอ รอ ร้อ รอ
-
เห็นชื่อพี่จิตติปุ๊บจิ้มเข้ามาปั๊บเลย
มารอลงชื่อทวง เอ้ย! ลงชื่อให้กำลังใจค่าาา
-
ปูเสื่อรอจ้าาาาา~
-
:ruready เข้ามาปูเสื่อรอ
-
:impress2: น่าติดตามค่า
-
จิตติ มารออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ
-
เข้ามารอฮะ :katai5:
-
รออยู่ :กอด1:
-
:katai5: :katai5: :katai5:
-
ปักรอเลยค่ะ :katai4: :katai2-1:
-
อยากอ่านมากกกกก ก็คิดอยู่ว่าเมื่อไหร่คุณจิตติจะมาต่อเรื่องที่ 3 ตอนนี้ มีอัพเดทเพิ่มเป็น 10 เรื่อง โฮกกกกกกกกกกก ติดตามตามติดสุดๆเลยค่ะ :hao7: :katai2-1:
-
พยายามศาสตร์
“ดากานดา...ฉันรักแกว่ะ”
“แกมาทำอะไรเอาตอนนี้”
ฮึก...ซีนอารมณ์ เข้าถึงจิตวิญญาณ นี่สินะหัวใจของคนแอบรักแล้วไม่สมหวัง
ผัวะ!!
“มึงร้องไห้ทำเหี้ยอะไรเนี่ย” เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของเพื่อนในกลุ่มทำให้ผมหลุดจากภวังค์แห่งความซาบซึ้งของหนังเรื่องเพื่อนสนิท เงยหน้าขึ้นมาผสานสายตากับไอ้พวกนรกนี่แทน แม่งทำไมตอนกูจะอินชอบมาขัดฟีลตลอดเลยวะ
“พวกมึงไม่เข้าใจอารมณ์ของฮิปสเตอร์หรอก”
“ฮิปห่าอะไรของมึง กูเห็นมึงดูเรื่องนี้เป็นร้อยรอบละ ทำไม! มึงเป็นญาติกับผู้กำกับหนังเหรอ”
“มึงรู้ได้ไง”
“สัด!” อ้าว...ทีกูกวนตีนกลับเสือกไม่รับมุก
พอเห็นว่าพูดไปผมก็ไม่ฟัง เพื่อนในกลุ่มเลยหันไปเล่นเกมกันต่อ ทิ้งให้ผมล้วงมันฝรั่งทอดรสกะเพรามากินสร้างบรรยากาศต่อไป ลืมไปเถอะเรื่องที่พูดกันก่อนหน้านั้น ต่อให้โลกจะแตก แผ่นดินจะแยก โดนธรณีสูบตายห่ายังไงผมก็ต้องเอาแผ่นหนังเรื่องเพื่อนสนิทเหน็บจั๊กกะแร้หนีไปด้วยกันให้ได้ เพราะมันเป็นของรักของหวงที่สุดในชีวิต
ของรักที่เข้ากับอารมณ์ในตอนนี้สุดๆ ไม่สิ! เข้ากับอารมณ์ทุกช่วงของชีวิตมหา’ลัยผมเนี่ยแหละ
“เฮ้ยพวกมึง! เดี๋ยวเล่นเกมเสร็จแล้ว ออกไปเช็กเรตติ้งข้างนอกมั้ย”
“จัดเลย!!”
“กูขอบายว่ะ” ผมแทรกขึ้น วันนี้หมดอารมณ์ ขอกูดื่มด่ำและซาบซึ้งกับหนังเพื่อนสนิทก่อนนะ
“เออ เรื่องของมึง” พวกแม่งสามตัวยังคงคุยกันสนุก ส่วนผมก็ดูหนังต่อไปไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่เสียงแหบๆ ของเพื่อนรักหักเหลี่ยมแค้นมันเสือกดังเข้าหูแค่นั้นเอง
“ไปที่ไหนดีวะ”
“บังอรโภชนามั้ย”
“สัด! ร้านแม่งเปิดดึก เอาที่เปิดตอนนี้ดิวะ”
“ร้านกาแฟ”
“กูว่ามันไม่ค่อย...”
“ไป!!”
“กูไม่ได้ชวนมึงไอ้สัด”
เพื่อนในกลุ่มหันมาด่าผมพร้อมกัน ทำไม? ก็แค่อยากจิบกาแฟเบาๆ ตามสไตล์ฮิปสเตอร์ กูผิดด้วยเหรอ
แต่ความจริงมันมีอะไรมากกว่านั้นครับ และพวกมันก็รู้ดีว่าผมอยากไปร้านกาแฟเพราะอะไร แปลกดีเนอะ...ในหนังเพื่อนสนิทแม่งบอกรักแท้แพ้วิศวะ แต่กูนี่รักแท้เลย...แพ้ใจศิลปกรรมแต่เสือกโดนพยาบาลมาแย่งชิงไป
แม่งฮิปสเตอร์ว่ะ
แฮปปี้แอนนิเวอร์แซรี่ ครบรอบสองปีที่แอบรักมัน
กรุ๊งกริ๊ง...
เสียงกระดิ่งดังเป็นสัญญาณทันทีที่ผมผลักประตูเข้าไปภายในร้าน สุดท้ายแม่งก็มาเองอีกจนได้ เพราะเดอะแก๊งสุดที่รักเสือกโดนแฟนตามเลยหนีตายกันไปหมดแล้ว ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวอย่างผมจึงต้องแกรนด์โอเพนนิ่งเอง
“อินดี้คาเฟ่สวัสดีครับ”
เสียงทุ้มนี่แหละครับคนที่ทำให้ผมดูหนังเพื่อนสนิทได้อินสัดๆ ดูทีไรน้ำตาคลอ ดูทีไรแล้วแทบบิดเจี๊ยวงอเป็นเลขแปดเพราะความฟิน
“หวัดดี” ผมทักทายกลับ ก่อนตรงดิ่งไปนั่งโซฟามุมสุดของร้านติดกับเคาน์เตอร์ ซึ่งแม่งเป็นที่นั่งของเจ้าของร้านและพนักงาน
ร้านกาแฟนี้ดีครับ พนักงานนั่งได้ อยู่ด้วยกันเสมือนเพื่อน เพราะบางทีผมก็ยกคอมมาเล่นดอทเอกับพวกมันที่นี่เนื่องจากเปิด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุดอีกต่างหาก ก็...สนุกไปอีกแบบ แต่ถ้าไม่มีพนักงานคนนี้ผมไม่มาหรอก สนุกยังไงก็ไม่มา
ร่างสูงในชุดนิสิตผูกผ้ากันเปื้อนนี่ชื่อเปอร์ (อ่านออกเสียงเหมือนคำว่าเบอร์) เออ...หน้าตาโคตรกวนตีนพอๆ กับชื่อ แถมเล่นไถผมข้างตามสไตล์แบดบอยให้คนหวีดตามอีกต่างหาก ยอมรับเลยไอ้เนี่ยตัวดูดลูกค้าอย่างดี พี่เจ้าของร้านเลยปลดหนี้เพราะขายดีเป็นเททิ้งเทขว้าง แม้กาแฟจะรสชาติเสมือนน้ำล้างจานก็ตาม
ผมเป็นเพื่อนกับมันมาสองปีแล้ว เจอกันครั้งแรกที่บังอรโภชนาร้านเหล้าสุดฮิตใกล้มหา’ลัยตอนปีหนึ่ง ไอ้เปอร์ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนร้านเหล้าครับ ไม่ได้สนิทอะไรกันมากมาย รู้จักมันจากเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนอีกทีนึง แต่ถ้าถามว่าผมอยากสนิทกับมันมั้ย ตอบได้คำเดียวเลย โคตรอยาก!
ผมถึงชอบไปเดินผ่านคณะมันบ่อยๆ เพื่อหวังจะได้เจออีกฝ่ายบ้าง แต่ไปทีไรก็ไม่เห็นเจอ ทั้งที่เป็นเด็กศิลปกรรม แท้ๆ คนแม่งก็มีแค่นั้นป่ะวะ มันเรียนดุริยางคศิลป์เอกกีตาร์ไฟฟ้าซึ่งเป็นเอกที่ทำกิจกรรมค่อนข้างเยอะ แต่ที่ดีมากๆ และคนชอบล้นหลามคงหนีไม่พ้นชมรมดนตรีสากลที่เด็กดุริยางค์ทุกรุ่นต้องแบกรับชื่อเสียงเอาไว้สุดความสามารถ
โดยเฉพาะงาน Music Contest ของมหา’ลัยปีก่อนที่ทำให้ไอ้เปอร์ดังเป็นพลุแตก เวลากล้องแพนไปที่มันแต่ละทีคนในฮอลล์ก็พากันกรี๊ดสลบ หนักสุดคือพากันแย่งปิ๊กกีตาร์ที่มันเล่นคาเวทีจนเป็นข่าวดังกระหน่ำโซเชียลไปพักใหญ่ นี่ขนาดตอนมันเป็นเฟรชชี่ไม่ปลดระเบียบนะ แล้วดูตอนนี้ดิ ขึ้นมาเป็นปรินซ์ของดุริยางค์ปีสองไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยเว้ย
ดูดีจนยากจะล้ม
เออ มานั่งแนะนำคนอื่นตั้งนานลืมแนะนำตัวเองไปโดยปริยาย ผมชื่อตั้ม เรียนเศรษฐศาสตร์ ปีสอง ไม่มีเหตุผลอะไรในการตั้งทั้งนั้น แม่แค่คิดว่าอยากได้ชื่อตั้ม หลังจากนั้นผมก็ชื่อตั้มเลย
“หือ...ไม่เห็นหน้าเห็นตามาหลายวัน เรียนหนักเหรอ” ไอ้เปอร์ถาม
“กางเกงในไม่แห้งเลยไม่อยากออกมา”
“สัด! แล้วนี่จะแดกอะไร” อีกฝ่ายยิงคำถามรัวๆ
“เหมือนเดิม”
“โกโก้เย็นเหมือนเดิม?”
“ไม่สั่งเหมือนเดิม กูจะมานั่งเฉยๆ”
“เมื่อไหร่มึงจะเลิกกวนตีนวะ”
“ไว้มึงเลิกหายใจเมื่อไหร่ค่อยมาถามกูนะ”
“ห่า แก้ยากว่ะนิสัย”
“โหย น่ารักจะตาย”
“มึงห่างไกลจากคำนี้เยอะ”
เห็นมั้ยครับ ผมก็เป็นแบบนี้จะเอาอะไรไปสู้เขา แต่ขอร้องเถอะ กูมีดีนะครับ อย่างน้อยรุ่นพี่ก็ปลื้มกันหลายคนล่ะว้า ส่วนมันชอบคนตาโตๆ ที่เรียนอยู่คณะพยาบาลโน่น ชื่ออะไรนะ ส.เสือ สองหรือเสือก
ตอนที่รู้ว่ามันเองก็แอบชอบคนอื่นอยู่ หัวใจไอ้ตั้มถึงกับร่วงลงไปกองตรงตาตุ่ม ความหวัง ความฝันที่อยากคบกับมันได้หมดสิ้นแล้วในวินาทีนั้น แต่ตอนนี้ผ่านไปราวสามเดือนผมก็ไม่เห็นว่าไอ้เปอร์มันจะเดินหน้าจีบไอ้สองคณะพยาบาลเลยสักนิด
ขอบอกก่อนว่าผมกับเด็กพยาบาลน่ะต่างกันคนละขั้ว ผมชอบไปไหนไปกัน ชวนเตะบอลก็จะเตะเช้าจรดค่ำ แต่น้องสองเด็กปีหนึ่งกลับเป็นคนใสๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ผมถึงไม่อยากจะไฝ้ว์เลยขอเตะบอลต่อไปเป็นพอ
ทว่าความจริงก็คือ...คู่แข่งแม่งน่ารักว่ะ
จริงๆ ผมมีความคิดที่จะบอกชอบไอ้เปอร์มาตลอด ก่อนเด็กพยาบาลนั่นจะโผล่มาซะอีก แต่เพราะกลัวว่าความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนจะเปลี่ยนไป ถ้าเกิดเราใจไม่ตรงกันจริงๆ ผมก็คงไม่ได้อยู่ใกล้กับมันอีก ซึ่ง...กูทนไม่ได้แน่ๆ
“งานหนักมั้ยมึง” ผมหันไปถามไอ้หัวไถข้างซึ่งยืนชงโกโก้อยู่ ก็กูบอกว่าไม่สั่งไงสัด!
“ไม่ค่อยอ่ะ” มันตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“คิดยังไงมาทำงานร้านกาแฟ ตังค์ไม่พอใช้เหรอ”
“โง่อีกละ น้องสองชอบมาอ่านหนังสือที่นี่ กูก็เลยสมัครมาทำงานแม่งเลย” อ๋อ...กูเพิ่งรู้ความจริงในวันนี้ ที่แท้ก็ตั้งใจจะจีบเขานี่เอง ถึงว่าทำไมมันขยันแปลกๆ
แล้วทำไมกูต้องเสียใจด้วยวะ
“ลำบากไปป่ะ มากินเฉยๆ ก็ได้มั้ง”
“เขาอยู่นานจนเกือบเช้าอ่ะ บางทีมันก็ต้องลงทุนนิดหน่อย”
เจ็บจึ้กๆ กูก็เคยคิดเหมือนมึงเว้ยไอ้เปอร์ นั่งเฝ้าจนถึงเช้า แต่กูง่วงไงจะให้มานั่งเฝ้าพนักงานก็ดูยังไงอยู่
“แล้วได้คุยกันบ้างป่ะ”
“เยอะแยะ”
“คุยว่าอะไร”
“รับอะไรดีครับ”
“ถุย!” สันขวานเอ๊ย
“มึงมาช่วยกูหน่อยดิ” อะไร...ไม่ได้สนิทกับมึงขนาดนั้นครับเปอร์ ทำไมต้องมาขอให้กูช่วยด้วย
อย่าคิดว่าชีวิตผมจะเข้าสู่พล็อตน้ำเน่าปาดน้ำตามองเธอและเขารักกันจนถึงวันแต่งงาน ส่วนตัวเองนั้นทำได้แค่ยืนร้องไห้น้ำตาตกในเพราะคนที่ชอบไม่เคยหันมามอง
“ไม่ช่วย กูไม่ว่างมาทำงานกับมึงหรอก” แต่ว่างมาอ่อยมึง แล้วมึงก็เสือกไม่รับรู้สักที
“ไม่ได้ให้มาทำงานสักหน่อย แค่คิดแผนตีสนิทอ่ะ”
“แปลกเนาะ แบดบอยอย่างมึงจีบคนมาก็เยอะ มีคนมาเสนอตัวถึงที่ก็แยะ แต่ทำไมถึงป๊อดกับคนแค่คนเดียววะ”
“มึงไม่เข้าใจหรอก การที่มึงคิดจะรักใครจริงๆ สักคน มันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าหาคนคนนั้นนะเว้ย” ไม่เข้าใจเหรอ โหง่ยพูดมาได้ ทำไมกูจะไม่เข้าใจวะ ที่กูชอบมึงมาสองปีกูไม่เข้าใจอะไรเล้ยยยยยย
“มึงก็ให้เพื่อนก๊วนศิลปกรรมช่วยสิ”
“มันบอกหมดแล้ว แต่กูคิดว่าไม่เวิร์กว่ะ อยากถามมึงเผื่อมีความคิดดีๆ บ้าง” โอ๊ยยยยย ถ้ากูมีความคิดดีๆ ก็คงจีบมึงติดไปชาติกว่าแล้วครับ ไม่มาเนียนนั่งร้านกาแฟเหมือนตอนนี้หรอก
“โนไอเดีย” ผมรีบตัดบททันที
“ช่างเหอะ อ่ะนี่โกโก้ของมึง”
“กูไม่ได้สั่ง”
“กูให้”
“มึงเลี้ยงเหรอ”
“เปล่า ให้มึงไปจ่ายตรงเคาน์เตอร์ด้วย” บัดซบ!! ไอ้เพื่อนเลว นี่กูชอบมึงไปได้ยังไงวะ ไม่รู้ว่าตอนนั้นได้ใช้สมองหรือสะดือคิดกันแน่
ระหว่างที่นั่งเล่นชิลๆ ในร้าน ผมก็หยิบมือถือขึ้นมาแชตหาเพื่อนในแก๊งอย่างไอ้เก่ง แม่งเก่งทุกอย่างจริงๆ ครับโดยเฉพาะปาก แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นในตัวของมันเพราะเป็นคนคารมแพรวพราวที่สุดในแก๊ง งานนี้ผมเลยต้องหวังพึ่งมันหนักๆ
ไอ้เก่งก็แนะนำดีครับ พอเห็นว่าคำแนะนำค่อนข้างใช้ได้เลยลองทำบ้าง
“ไอ้เปอร์” เอาแล้ว กูจะเอาจริงแล้วนะ เขินสัด!
“อะไร” ร่างสูงตอบกลับ
“ตรงๆ”
“อะไรของมึงเนี่ย”
“ก็...มีคนเคยบอกว่าถ้าชอบใครให้บอกตรงๆ” ง้อวววววววววว
“งั้นมึงมาตรงนี้เลย” มันกระดิกนิ้วเรียกผมยิกๆ
“ตรงไหนเหรอ”
“ตรงตีนกูเนี่ย!!”
“ว้ายยยยยยตายแล้ว หยาบคายที่สุด” ผมทำท่าสะดีดสะดิ้งกลบเกลื่อนความหน้าแตกของตัวเอง
จบ มุกนี้ล่มอีกตามเคยว่ะไอ้เก่ง!
“ไม่ขำ”
“แม่ง ไม่คิดจะรับมุกกูเลยเหรอ”
“ใจเย็น กูรู้ว่ามึงอยากช่วยกู แต่แบบน้องเขาไม่ชอบมุกเสี่ยวหรอก มันกาก” เออกูก็เพิ่งรู้ เด็กดุริยางค์อย่างมึงก็ไม่ชอบเหมือนกัน อายตัวเองว่ะ ทำไปได้
ไอ้เปอร์เดินอ้อมเคาน์เตอร์ตรงดิ่งมาหาผมพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟาเน่าประจำร้าน ดีหน่อยที่ตอนนี้ลูกค้ากำลังเข้าสู่โหมดซุ่มส่องมือกีตาร์ประจำมหา’ลัยอยู่ อีกฝ่ายก็เลยว่างได้อู้งานอีกนานโข
“เพื่อนมึงไม่มาเหรอ” ผมนั่งอยู่ตรงนี้ทนโท่ดันถามหาเพื่อน ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“แฟนโทรตาม”
“สงสาร”
“กูว่าสมเพช โดยเฉพาะไอ้เก่งด่าเช้าด่าเย็นนังตัวดีบ้าง งูพิษบ้าง แต่ตอนอยู่ด้วยกันนี่ตะเองเตรงๆ ตลอด บ้านพ่องเป็นระนาดหรือไงไม่รู้”
“ฮ่าๆ แล้วมึงไม่คิดจะหาแฟนหรือใครสักคนบ้างเหรอวะ เพื่อนแม่งก็มีแฟนกันหมด”
“ไม่อ่ะ”
“เบื่อ?”
“มันไม่ฮิปสเตอร์”
“ซื้อทิ้งได้มั้ยคำนี้”
“ควาย คนเราก็ต้องมีคำพูดติดปากบ้าง ว่าแต่มึงเหอะเรียนเป็นไง”
“เรื่อยๆ ยากบ้าง ง่ายบ้าง”
“เออรู้ แม่งเก่งแต่ปฏิบัติ ทฤษฎีห่วยแตก” หมายถึงการเล่นกีตาร์ครับอย่าคิดลึก สัดเปอร์มันเป็นคนมีพรสวรรค์เรื่องดนตรี เชื่อแล้วว่าอนาคตมันไปได้ไกลกว่านี้ แต่เวลาถามอะไรที่เป็นวิชาการสมองของมันเนี่ยแหละคือจุดบอดของโลกเลย
“โห...กูอยากจะขอท้าให้มาเรียนเอง ใครว่าดุริยางค์เรียนง่ายแค่เล่นดนตรี แม่งกูอยากจะต่อยให้ฟันร่วงเหมือนเกรดมหา’ลัยเลยนิ” เอ่อ...ที่มึงด่าอ่ะ กู!!
“ใส่อารมณ์เกินไปละ”
“แล้วมึงอ่ะ”
“เรื่อยๆ ไปจนจบ”
“กูเกลียดคณิตศาสตร์ เกลียดคำนวณ” ไอ้เปอร์พูด
ความจริงเราก็มีส่วนที่ไม่สนิทกันบ้าง
“เหรอวะ กูเพิ่งรู้ แต่กูก็ไม่ชอบเล่นกีตาร์นะ เจ็บมือว่ะ”
“จริงดิ กูนึกว่ามึงจะถึกกว่าที่คิด”
หรือมีมุมที่ไม่รู้จักกันเลย
“เตะบอลก็งานถึก ว่างๆ ก็มาเล่นด้วยกันสิวะ” ผมชักชวน
“เล่นทีไรกูก็ไปเป็นโกวล์ มึงจะชวนกูทำห่าอะไรวะ” แต่มันสวนกลับ
“ก็แค่อยากให้มาสนุกด้วยกัน”
“ไม่ต้องเตะหรอกบอล คุยกับมึงเฉยๆ ก็สนุก”
บางมุมของมันทำให้ผมใจเต้นแรง
“เอาที่มึงสบายใจแล้วกัน”
“กูสบายใจอยู่แล้ว โชคดีเกิดมาหล่อ”
“เออ หล่ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องกินข้าวด้วยนะครับ อย่ามัวแต่อ่อยคนไปทั่ว” ผมพูดด้วยความเป็นห่วง
“ซื้อให้หน่อยดิ”
“กะเพราหมูกรอบใส่พริกสามเม็ดเหมือนเดิม?”
“อืม...ซื้อของชอบมึงมาด้วยก็ได้ ผัดคะน้าใส่ตับ”
“รู้ดี”
“หล่อ จบป่ะ”
“ซื้อคำนี้ทิ้งได้มั้ย”
“ไว้มึงทิ้งคำว่าฮิปสเตอร์เมื่อไหร่ค่อยมาซื้อคำว่าหล่อจากกูนะ”
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แม่งเราก็มีส่วนที่รู้ใจกันและกัน...
สวัสดีวันจันทร์วันฉ่ำปอด ตอนนี้ผมกับเดอะแก๊งกำลังนั่งแดร๊กข้าวกันอยู่ใต้ตึกคณะบริหาร ชีวิตเด็กเศรษฐศาสตร์เหมือนเกิดมามีกรรม ต้องมากินข้าวคณะอื่นประจำเพราะโรงอาหารคณะไม่มี
ความจริงก็อยากโผล่ไปกินตึกศิลปกรรมอยู่หรอก แต่แม่งดันถูกเร่งรัดด้วยวิชาเรียนคาบบ่ายเราถึงต้องกินที่ตึกใกล้ๆ แทน แต่โลกของผมที่ไม่มีไอ้เปอร์ก็ใช่ว่าจะไร้สีสันไปซะทุกอย่าง เพราะผมกำลังนั่งอยู่กับแก๊งบันลือโลกอย่างพวกแม่ง เรามีกันอยู่สี่คนครับ มีผม ไอ้เก่ง ไอ้โก้ แล้วก็ไอ้จั๋ง สนิทกันตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วเพราะเรียนด้วยกัน
และผมก็ยังมีเพื่อนอีกหลายแก๊งที่เจอกันตามโอกาส ไม่ว่าจะเป็นแก๊งร้านเหล้า แก๊งเตะบอล แก๊งดอทเอ สารพัดเพื่อนแหละครับ แต่ต้องยอมรับเลยว่าที่สนิทมากๆ ก็คือไอ้สี่ตัวนี้เนื่องจากเจอกันทุกวัน แถมมันยังคุยไร้สาระตามสไตล์อีกต่างหาก ชอบครับ ชอบอะไรที่ไม่มีสาระ
“เนี่ยมึง รุ่นพี่แก๊งคิตตี้เขากำลังรับสมัครทายาทอสูรอยู่เว้ย คิตตี้ซีซั่นสอง” ไอ้จั๋งโพล่งขึ้น ขณะมือข้างหนึ่งจับช้อน ส่วนมืออีกข้างก็เลื่อนมือถือระรัว คิตตี้เชี่ยอะไรเนี่ย...
อย่าบอกนะว่าคือก๊วนแก๊งวิศวะที่มีรุ่นพี่ปีห้าเป็นหัวหน้าน่ะ กูไม่เอาด้วยหรอก
“คิตตี้ไหน” ผมถามกลับ
“คิตตี้วิศวะ ที่มีพี่เดือนเป็นหัวโจกไง” กูว่าละ ถ้าซื้อหวยคงรวยยันชาติหน้า
“แล้วยังไง”
“ก็ไปสมัครไง คิตตี้แม่งดังจะตาย ปีนี้เขาเรียนจบแล้วเราก็จะได้สืบทอดความฮอตของพี่ๆ กันต่อ กูเนี่ยแหละคิตตี้เดอะเน็กซ์เจน”
“ไร้สาระ” ไอ้เก่งพูดบ้าง
“มึงด่ากูทำไมเนี่ย”
“มึงดูข้อความครับ เขาหมายเหตุว่าขอรุ่นน้องวิศวะ มึงเป็นใครจะเข้าก๊วนเขา”
“อ้าววววว”
จบเห่ เก็บศพไอ้จั๋งเสร็จก็รีบโซ้ยข้าวกันต่อ จะมีก็แต่ไอ้เก่งที่ยังเล่นมือถืออยู่ สักพักมันก็ทำตาโตสะกิดไหล่ผมยิกๆ แน่นอนเราไม่ได้คุยกันดังมาก และท่าทางของมันก็ไม่ได้กระโตกกระตากเหมือนทุกที
“อ่ะ เอาไปดู” ไม่พูดเปล่า มันรีบยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้ผมทันที
“อะไรอ่ะ”
“ถ้าไม่รีบ ต่อไปมึงจะเสียใจกว่านี้”
ไม่รอให้ความสงสัยอยู่นาน ผมจึงรับมือถือของไอ้เก่งมาดูก่อนจะเห็นข้อความหนึ่งซึ่งปรากฏบนหน้าไทม์ไลน์ของใครคนหนึ่งที่ผมไม่คุ้นตา
...เด็กพยาบาลที่ชื่อสอง...
Hi Per >> Tawipark Maneewong
น้องครับ พี่ชื่อเปอร์ จำกันได้ป่ะ
แค่ประโยคสั้นๆ ทำไมถึงทำให้ใจมันวูบโหวงขนาดนี้วะ กูล่ะเกลียดโมเมนต์แบบนี้ที่สุดเลย มึงไปฮิปสเตอร์ไกลๆ ไอ้ตั้ม ยังอีก...ยังจะเลื่อนอ่านข้อความเขาอีก
ผมเห็นรุ่นน้องพยาบาลคนนั้นตอบกลับมาเมื่อ 35 นาทีก่อน ซึ่งข้อความบทสนทนาของทั้งคู่ก็ยาวเหยียดไปจนถึงสนามบินสุวรรณภูมิพอดี
Tawipark Maneewong สวัสดีครับผมชื่อสอง พี่เป็นพนักงานร้านอินดี้ใช่มั้ย
Hi Per ใช่ ดีใจที่น้องจำได้
Tawipark Maneewong ผมไปกินบ่อยไง เจอตลอดโดยเฉพาะกะดึก
Hi Per พี่ทำกะดึกครับ
โหยยยยยยยยยยย ไอ้กระแดะ มึงไม่ได้กะดึกหรอก มึงกะแดกเขาไอ้เปอร์ ไอ้หัวฟวย
Tawipark Maneewong อ้อถึงว่า...วันนี้ไม่ไปเรียนเหรอครับ
Hi Per เรียนครับ กำลังอยู่ตึกพยาบาล
Tawipark Maneewong จริงดิ มาทำอะไรครับ
Hi Per มาหาใครบางคน
Tawipark Maneewong ...
Hi Per วันนี้จะมาที่ร้านมั้ย
Tawipark Maneewong ไม่แน่ใจครับ
Hi Pe r มาเถอะ วันนี้ที่ร้านมีโปรโมชั่นด้วย ส่วนลด 10% สำหรับลูกค้าประจำ
Tawipark Maneewong งั้นไป 5555555
โอ๊ย!! หัวใจใคตรหน่วง ไอ้เปอร์เดินหน้าจีบแล้ว และเหมือนเป้าหมายเองก็เล่นตามด้วย เป็นไงล่ะครับ ซาบซ่านถึงใจมั้ย จะร้องก็เสือกร้องไม่ออกเพราะวิถีคนแบบผมไม่ชอบร้องไห้ให้ใครเห็น แม้ตอนดูหนังเพื่อนสนิทผมจะร้องไม่หยุดเลยก็ตาม ดากานดา...กูโดนคนอื่นปาดหน้าไปแล้วว่ะ
หลังจากข้อความนั้น ไอ้เปอร์กับรุ่นน้องปีหนึ่งก็ไม่ได้พูดอะไรกันต่อ แต่เพื่อนของไอ้น้องสองสิครับที่พากันมาถล่มหน้าไทม์ไลน์ด้วยความตื่นเต้นเหมือนกำลังเปิดประเด็นให้เป็นทอล์กออฟยูนิเวอร์ซิตี้
‘สอง พี่เปอร์ทักแก’
‘อะไรเหรอ เกิดอะไรขึ้นเล่าด่วน’
ผมยื่นมือถือกลับไปให้ไอ้เก่งด้วยสีหน้าละห้อยเหมือนหมาโดนขโมยเพดดิกรี หมดกัน! นี่ตอนจบของกูจะต้องเป็นเหมือนในหนังเพื่อนสนิทเหรอวะ ทำใจไม่ได้ว่ะ อยากกระโดดท้องเรือแต่ก็กลัวตาย สรุปเลยได้แต่นั่งกลั้นตดอยู่ที่โรงอาหารแทน
“มึงโอเคป่ะวะ” หืม ยังมีหน้ามาถามอีกว่าโอเคมั้ย รักข้างเดียวสองปีของกูกำลังจะหลุดลอยไปนะเว้ย มึงยังคิดว่ากูจะมีความสุขอยู่เหรอวะไอ้เก่ง แต่สิ่งที่คนฮิปๆ เขาตอบได้คงมีแค่...
“สบาย!!”
“เอาจริงดิ”
“อืม”
“งั้นปล่อยแม่งไปเลยมะ เลิกชอบเหอะว่ะ” สลด! ทำใจหนักยิ่งกว่าโดนแม่ด่าว่ากำลังส่งควายเรียนเศรษฐศาสตร์อีก
“ทำได้ง่ายอย่างปากพูดก็ดีดิ”
“ก็มึงบอกโอเคดี เห็นมั้ยมึงยังยิ้มอยู่เลย” กูฝืนไอ้สัด! แม่งไม่เข้าใจความฮิปของกูเลยหรือไง เวลาเศร้ากูจะยิ้มเว้ย ขวางโลกไปหมดเลยตอนนี้ แถมขวางอารมณ์หน่วงๆ ในใจด้วย
“ที่แสดงออกว่าเข้มแข็ง ไม่ได้หมายความว่ากูไม่เสียใจนะ”
“สรุปคือเสียใจ?”
“นิดหน่อย”
“เอาความจริง”
“แม่งอยากจะร้อง มันจีบคนอื่นแล้วว่ะ” ผมเบะปากเหมือนเตรียมระเบิดความอัดอั้นตันใจ จนพาลให้เพื่อนอีกสองคนหันมามองด้วยความสงสัย
“อย่าร้องดิ ฮิปสเตอร์แม่งไม่ร้องไห้กันนะเว้ย”
“กูคนครับ ถ้าไม่ร้อง มึงจะให้กูนั่งขี้ระบายความเสียใจเหรอวะ”
“ที่จริงมันก็มีวิธีนะถ้ามึงพยายาม”
“ยังไง”
“แผนของกูไง!”
แผนของไอ้เหี้ยเก่งแม่งบอกได้คำเดียวว่าเก่งสัดๆ เก่งแต่คิด แต่ตอนทำอ่ะผมออกโรงคนเดียวตลอด คืองี้ครับ เรามีก๊วนแก๊งสมาคมร้านเหล้าซึ่งใช้ชื่อกลุ่มว่า ‘บังอรโภชนา’ เพราะเป็นชื่อร้านประจำที่เราพบปะสังสรรค์กันอยู่บ่อยๆ และที่สำคัญเรามีไอ้เปอร์แห่งดุริยางค์เป็นหนึ่งในก๊วนด้วย
ดังนั้นไอ้เก่งมันเลยนัดแนะเพื่อนกลุ่มร้านเหล้าให้มาสังสรรค์ตามอารมณ์อินดี้ ซึ่งแน่นอนทุกคนต้องมา แต่ที่แตกต่างไปจากทุกครั้งก็คือเราไม่ได้กินกันที่ร้าน แต่ย้ายมาจัดที่ห้องของผมแทน เป็นไงล่ะแผนของไอ้เก่งสูงพอมั้ย
“เฮ้ยดี!” เสียงทุ้มต่ำของไอ้เปอร์ทักทายเพื่อน เพราะมันเดินเข้ามาในห้องเป็นคนสุดท้าย
เรานั่งขัดสมาธิล้อมกันเป็นวงกลม ด้านหน้ามีขวดเหล้า โซดา น้ำอัดลม และสารพัดมิกซ์เซอร์ตัวดี ที่เพียงพอสำหรับการดื่มยาวนานตลอดทั้งคืน
“มาช้าไอ้สัด” เพื่อนในกลุ่มบ่นอุบ
“พอดีไปส่งเด็กน่ะ”
“โว้วววววว ที่ไหนครับ เด็กที่หน้าใสๆ มีดีกรีเป็นเดือนพยาบาลป่ะ”
“รู้ดี”
ฮ่อลลลลลลลล สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือการหันไปมองหน้าไอ้เก่งและได้แต่ตั้งคำถามว่า ‘ล้มเลิกทุกอย่างเลยดีมั้ยวะ’ แต่ในเมื่อมันมาถึงขนาดนี้ผมก็คงต้องดันทุรังต่อไป ดราม่าซีน กูเกลียดดดดดดดดดด
“อ้าวไอ้ตั้ม ดีใจที่เจอ หายไปไหนมาเป็นอาทิตย์วะ” ไอ้เปอร์หันมาถามผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
มันถามกู!!
มันถามกูเว้ยยยยยยยยยยยย
“เรียนหนักว่ะ”
“เออ แล้วมึงอ่ะไอ้เบส ไม่ได้เจอกันเลย ติดแฟนเหรอ”
“พอๆ กับมึงแหละไอ้คนฮอต”
อ้าว แม่งมันก็ถามคนอื่นเหมือนกัน สรุปผมไม่มีอะไรพิเศษต่อความรู้สึกมันเลยเพราะยังคงปฏิบัติกับกูเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ แบบนี้ยังจะหวังอะไรอีกวะ
“มึงไม่ต้องแดกมากนะสัดตั้ม แค่ชวนไอ้เปอร์มันชนแก้วตลอดก็พอ” ไอ้เก่งเอี้ยวตัวมากระซิบ นี่แหละครับแผนของมัน มอมเหล้าปรินซ์แห่งดุริยางค์ นี่มันคือยุคต้อยต่ำทางความรักแล้วเหรอเนี่ย ดีหน่อยที่ไอ้เพื่อนเวรมันไม่พาขับรถออกไปยังสำนักหมอผีเพื่อทำน้ำมันพราย ไม่งั้นกูตายแน่ๆ
แล้วไอ้เปอร์มันก็ยิ่งเป็นพวกบ้าจี้ซะด้วย ใครชวนมันชนแม่งกระดกหมดแก้วตลอด งานนี้เราเลยพอเห็นทางสว่างอยู่รำไร
“มึงว่ามันจะโอเคมั้ยวะไอ้เก่ง”
“เชื่อกูเหอะน่า”
“กูไม่อยากจะเชื่อมึงเลยจริงๆ แต่กูไม่มีทางเลือก”
“เอาน่า มันมึนปุ๊บ กูเคลียร์เพื่อนมันเอง พอทางสะดวกมึงก็รีบสารภาพรักมันเลย”
ที่คิดไว้ก็มีแค่ตัดสินใจสารภาพรักเท่านั้น ถึงแม้ว่าเปอร์มันจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งนี้แหละคือเป้าหมายในการแอบรักของผม ขอแค่เหลือความกล้ามากพอที่จะบอกมันก็พอแล้ว
“แต่มึงแน่ใจนะตั้ม มาบอกรักคนตอนเมา วันต่อมามันอาจจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
“ก็ดีกว่าไม่ได้บอกเลยป่ะวะ”
“เออเรื่องของมึง แต่ตอนนี้อย่าลืมดึงกางเกงบอลขึ้นสูงๆ หน่อย แบบโชว์ขาอ่อนอ่อยมันอ่ะ”
“โวะ! พอๆ กระซิบนานกูแสบคอไปหมดแล้วเนี่ย”
“ตั้ม” สักพักไอ้เปอร์ก็แทรกขัดจังหวะ
“อะไร”
“มึงดูหนังแบบนี้ด้วยเหรอวะ” มือหนาหยิบกล่องดีวีดีของหนังเรื่องเพื่อนสนิทที่ตกอยู่แถวโซฟาขึ้นมา เพราะแผ่นมันยังค้างคาในเครื่องเล่นอยู่เลย
“นานๆ ทีว่ะ มึงถามทำไม” เอาความจริงเลยมั้ย
ดูทุกวัน! ร้องไห้ทุกวัน!
“เปล่าหรอก กูก็เคยดู”
“จริงดิ มึงชอบป่ะ”
“เคยดูครั้งเดียวในโรงหนัง ถามว่าชอบมั้ยเหรอ...จำความรู้สึกตอนนั้นไม่ได้แล้วว่ะ” แม่ง อย่างนี้เรียกไม่ชอบเว้ย มึงคงไม่มีโมเมนต์แอบรักเพื่อนเหมือนกูสินะ
“มึงสองคนจะทำตัวฮิปอีกนานมั้ยครับ แดกเหล้าเถอะ อย่าลีลา!!”
-
เกร๊ง!!
หลังจากนั้นมหกรรมชนแก้ว มอมเหล้า ลากเพื่อนกลับบ้านก็เริ่มต้นขึ้น เวลาล่วงเลยจากสามทุ่มจนถึงเที่ยงคืนอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าใครจะน็อคตายก่อนจนผมล่ะเกลียดอารมณ์คอแข็งของแก๊งนี้จริงๆ ถึงใส่กันไม่บันยะบันสังขารพวกมันก็ยังรับไหว
กระทั่งตีสาม...
นอนตายไปแล้วสี่ศพ หนีกลับบ้านไปอีกสาม เหลือก๊งเหล้ากันอีกสามนั่นคือผม ไอ้เก่ง และไอ้จั๋ง ทางสะดวกเสร็จกู!! เพราะหนึ่งในสี่คนที่นอนตายอยู่นั้นมีไอ้เปอร์อยู่ด้วย ฮ่าๆๆๆ
“กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมบอกกับเพื่อน ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปยังห้องน้ำเพราะอั้นเยี่ยวเอาไว้นาน กลับมาอีกทีไอ้สองตัวก็ชิงนอนตายไปแล้วครับ สรุปเหลือแค่ผมเป็นผู้รอดชีวิตที่กระดกเหล้าไปแค่สองแก้วถ้วน ดังนั้นผมจึงพยายามสอดส่ายสายตามองหาเป้าหมาย จำได้ว่าเมื่อกี้ไอ้เปอร์มันยังนอนกองกับเพื่อนมันอยู่เลย แต่ตอนนี้ไปไหนแล้ววะ
“ตั้ม”
“เชี่ย! ตกใจหมด” มาสะกิดกูข้างหลัง นึกว่าผีโซฟา ที่แท้ก็ไอ้เปอร์
“ปวดเยี่ยวว่ะ”
“ก็ไปเยี่ยวดิ”
“แม่งมึนสัด”
“รีบไปเยี่ยวไกลๆ เลยป่ะ” ผมดันหลังของมันให้เดินไปยังห้องน้ำ ส่วนตัวเองก็มานั่งคิดอะไรเพลินๆ สรุปไอ้เปอร์มันก็ไม่ได้เมาถึงขนาดนอนตายเป็นหมาขี้เรื้อนขนาดนั้นหรอก
“ตั้ม”
“อะไรอีก”
“ง่วง”
“นอนสิไอ้สัด”
“โอเค ฝากชีวิตไว้ที่ห้องมึง อึก! คืนนึงนะ”
“เออๆ” ขนาดพูดมันยังสะอึกเลย ผมจึงแสร้งยกมือปัดๆ ให้มันไปนอนซะ แต่สายตากลับยังเหลือบมองอยู่ไม่ห่าง เพราะร่างสูงกำลังเดินโซซัดโซเซไปยังโซฟาและล้มตัวลงในวินาทีนั้น
ฟู่!!
สุดท้ายก็ไม่มีความกล้าพอจะบอกความในใจกับมัน ผมคิดว่าคืนนี้มันคงจบลงแค่รอพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้นแหละ เช้าวันต่อมาเราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม เพราะไม่ว่ายังไงความรักของผมก็คงไม่สมหวังอยู่ดี
ผมพยายามโกยขวดเหล้าที่วางเรี่ยราดไปทั่วห้องไว้เป็นจุดเดียวอีกครั้ง ก่อนทิ้งตัวลงนั่งคิดอะไรเพลินๆ จนเวลาล่วงเลยเกือบตี 4 แน่นอนว่าไม่มีหมาตัวไหนตื่นหรอก มีแต่กูเนี่ยแหละตาสว่างอยู่คนเดียว ดังนั้นมันควรเป็นเวลาที่ผมต้องปิดไฟและเข้านอนได้แล้ว
แต่ก่อนที่จะตรงดิ่งไปยังห้องนอน ผมกลับเผลอเดินไปยังโซฟาห้องนั่งเล่นแบบไม่รู้ตัว มองดูหน้าคนหลับสนิทโดยไม่คิดปลุก จริงๆ แล้วมันเป็นคนนิสัยดีมากเลยนะ ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา ทว่าหลายอย่างประกอบขึ้นมาให้มันเป็นมัน
คนที่ผมแอบชอบมาตลอดสองปี
ผมย่อเข่าลงจนหน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของตัวเองนักหรอก สงสัยเป็นอารมณ์ฮิปสเตอร์
ในเวลานั้นสิ่งเดียวที่พุ่งเข้ามาในหัวของผมคือหนังเรื่องเพื่อนสนิท และมันก็มาพร้อมกับฉากนั้น...ฉากที่ผมอยากลองทดสอบกับมันมาตลอด
‘มีคนเคยบอกว่า ถ้านับเลขหนึ่งถึงสิบในใจแล้วระหว่างนั้นเขาตื่นขึ้นมา แสดงว่าเขาชอบเรา’
‘สิบ’
โอ๊ยยยย ผมเกลียดความคิดตัวเอง
‘เก้า’
มันยังคงหลับตาพริ้ม
‘แปด’
ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้เรื่อยๆ จนได้กลิ่นของแอลกอฮอล์จางๆ ปะทะกับจมูก
‘เจ็ด’
หลับธรรมดาไม่เท่าไหร่ นี่เมาด้วยคงจะตื่นอยู่หรอก
‘หก’
เกือบครึ่งแล้ว
“ห้า”
คราวนี้ผมนับออกเสียงเบาๆ หัวใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ อาจเพราะกลัวว่ามันจะไม่ตื่นขึ้นมาล่ะมั้ง
“สี่”
ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังร้องไห้อยู่เลยวะ
“สาม...”
ถ้าเป็นน้องคนนั้น มึงอาจตื่นขึ้นมาตั้งแต่เริ่มต้นนับสิบ
“สอง...”
ไม่เป็นไร ยังไงกูก็ยังชอบมึงเหมือนเดิม
ความจริงอยากนับต่อเป็น 1.5 หรือ 1.3 ต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็เหมือนคนดันทุรังเกินไป
ไอ้เปอร์...
“หนึ่ง”
กูรักมึงนะเว้ย
“ทฤษฎีในหนังใช้ได้ด้วยเหรอวะ” ผมเบิกตาโพลงทันทีที่เสียงทุ้มต่ำพูดเบาๆ และจากนั้นเปลือกตาของคนตรงหน้าก็ลืมขึ้น
“มะ...มึงตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตอนมึงนับสาม”
“มึงรู้ได้ไงว่า...มันเป็นทฤษฎีในหนัง”
“กูจำความรู้สึกตอนดูหนังเพื่อนสนิทไม่ได้ แต่กูจำฉากนี้ได้นะเว้ย ถึงมันจะดูเลือนรางไปสักหน่อย เพราะงั้นกูก็เลยอยากถามมึงต่อ...”
“...”
“ทฤษฎีในหนังมันได้บอกหรือเปล่าวะ ว่าถ้าตื่นขึ้นมาจูบเพื่อนมันจะเกิดอะไรขึ้น”
มือหนารั้งต้นคอของผมให้โน้มหน้าเข้ามาประชิด ก่อนจะจรดริมฝีปากได้รูปลงบนปากของผมในทันที เวลานั้น...สมองของผมนับเลขหนึ่งถึงสิบเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น…
และผม
ไม่อยากให้มันจบเลย
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา...
ผมกับไอ้เปอร์ไม่ได้เจอกันเลย คือ...จะพูดยังไงดี เรามองหน้ากันไม่ติด เพราะเช้าอีกวันต่างคนต่างก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องจูบอีก ใจจริงอยากถามความรู้สึกในใจของมันแต่ผมไม่กล้าพอ จนมารู้ว่าหลังจากนั้นมันก็ยังตามจีบรุ่นน้องพยาบาลอยู่ เพราะงั้นผมเลยต้องหยุดความสงสัยไว้เพียงเท่านี้
คืนนั้นมันแค่เมา มันจูบผมเพราะเมา ไม่ใช่เพราะรัก
ตอนนี้ชีวิตของไอ้ตั้ม เศรษฐศาสตร์สุดหล่อได้เข้าสู่โหมดดราม่าอย่างเต็มขั้นแล้วล่ะ ความพยายามของผมสูญเปล่าเว้ยเพื่อน ฮ่าๆ ฮิปสเตอร์มั้ยล่ะ
ไอ้เก่งก็ได้แต่ตบบ่าปุๆ บอกไม่เป็นไร ไม่ตายหรอก เออ...ไม่ตายเว้ย ก็แค่เกือบ
ผมเลิกคลาสตอนห้าโมงเย็น กลับห้องไปเล่นเกมและก็นอนดูหนังเหมือนทุกวัน ตกดึกหน่อยก็นั่งทำรายงานที่จะส่งในอีกสามวันแบบไฟลนตูด แต่มันดันมาซวยเพราะไฟล์งานสำคัญที่อยากได้เสือกอยู่ที่ไอ้โก้ ที่สำคัญเพื่อนสุดเลิฟของกลุ่มดันกระแดะลืมกระเป๋าไว้ที่รุ่นพี่ก๊วนนักบอล ซึ่งทุกอย่างคงจะดีกว่านี้ถ้าไอ้พี่เหี้ยนั่นมันไม่ได้อยู่ที่อินดี้คาเฟ่
สัด! อยู่ใกล้หอก็จริง แต่ปัญหาใหญ่คือผมไม่อยากเจอไอ้เปอร์ไง
พอนั่งคิดไปคิดมา กูลืมอะไรไปอย่าง ไอ้เปอร์มันทำงานกะดึกนี่หว่า ถึงยังไงซะเราก็คงไม่เจอกัน คิดได้ดังนั้นก็พลันคว้าแค่กุญแจห้องเดินออกไปเลย ด้วยระยะทางจากหอถึงร้านกาแฟไม่ไกลกันมาก ดังนั้นผมจึงใช้วิธีเดินกินลมชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงร้าน
“หวัดดีครับ”
“เออ หวัดดีไอ้ตั้ม ช่วงนี้ไม่เห็นมาเตะบอลเลย”
“ขี้เกียจว่ะพี่ ไว้มีอารมณ์อยากเตะจะไปขอแจมนะ”
“อืม...นี่กระเป๋าเพื่อนมึง มันบอกไดรฟ์อยู่ในนี้”
“ขอบคุณครับ” ผมเอื้อมมือไปรับกระเป๋าเป้เน่าๆ ของไอ้โก้ขึ้นมา พลางมองหาใครบางคนไปทั่วร้าน แต่สิ่งที่เห็นกลับมีเพียงความว่างเปล่า ไอ้เปอร์ยังไม่มาจริงๆ
“นั่งคุยกันก่อนดิ เนี่ยไอ้อาร์ควิศวะมันอยากให้มึงไปคัดตัวนักเตะมหา’ลัย สนใจมั้ย”
“ดูก่อนพี่ ไม่ได้เก่งขนาดนั้น”
“ลองก่อนก็ได้”
“เมื่อไหร่ครับ”
“วันที่ 11 เดือนหน้า” ผมกลอกตาไปมา ก่อนจะตอบกลับไปทันที
“ไม่ได้แล้วว่ะ วันนั้นมันตรงกับวัน Music Contest ผมต้องไปเชียร์เพื่อน มันฟอร์มวงประกวด”
“ใครวะ พวกปรินซ์เหรอ” ปรินซ์หมายถึงไอ้เปอร์ซึ่งพี่ก็เข้าใจถูกเผง ความจริงผมไม่ได้อยากเตะบอลอะไรขนาดนั้นหรอก แค่เล่นคลายเครียดเท่านั้น พอมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ผมต้องเลือก ผมก็คงเลือกเพื่อนอยู่ดี
“ครับ”
ผมใช้เวลาคุยกับรุ่นพี่อยู่นานจนเกือบสามทุ่ม ทว่าฝนก็เสือกไม่เป็นใจเทกระหน่ำลงมาอีก ผมเลยต้องนั่งติดแหงกอยู่ที่นี่เพื่อรอให้ฝนหยุดตกก่อน แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเพราะนอกจากฝนไม่หยุดแล้วไอ้เปอร์ยังเสือกมาร้านก่อนเวลางานอีกต่างหาก
“ไปก่อนนะพี่” ผมรีบลุกขึ้นเต็มความสูง คว้ากระเป๋าของไอ้โก้มากอดเอาไว้
“เฮ้ย จะรีบไปไหนวะ ฝนยังตกหนักอยู่เลย”
“เหอะน่า หออยู่แค่นี้เอง ไว้เจอกันนะพี่ หวัดดีครับ” ยกมือไหว้เสร็จผมก็รีบวิ่งพรวดพราดออกไปทันที โชคดีที่ร้านกาแฟล้อมรอบด้วยกระจกใส ดังนั้นผมจึงเห็นร่างสูงกับใครอีกคนยืนกางร่มอยู่อีกฝั่งถนนตั้งแต่แรก หากมันทำให้เราไม่ต้องเจอกันได้ ผมก็คงเลือกที่จะฝ่าความเย็นออกไปอยู่ดี
เราจะได้สบายใจด้วยกันทั้งคู่ เพราะมันถึงเวลาแล้วที่ผมควรยอมรับความจริง
แม้แต่คำว่าเพื่อนเรายังให้กันไม่ได้...
วินาทีที่สองเท้าก้าวไปข้างหน้า รองเท้าย่ำเหยียบกับความเปียกชื้นของพื้นดิน ไอ้เปอร์กับรุ่นน้องปีหนึ่งอย่างสองก็ข้ามถนนมาพอดี เรามองกันนิดหน่อย แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นก่อนผมจะเร่งฝีเท้าและกลับถึงหอในเวลาต่อมา
ไม่มีคำทักทาย ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีอะไรเลยนอกจากหยดน้ำที่เปียกชื้นอยู่บนเสื้อผ้า
ผมคว้าโทรศัพท์มือถือบนหัวเตียงเพื่อต่อสายหาไอ้เก่ง...
แต่มันกลับพ่วงไอ้โก้กับไอ้จั๋งมาปลอบใจด้วย เรายืนกันอยู่หน้าระเบียงและสาบานได้ว่ากำลังทำตัวฮิปสเตอร์เต็มที่ ไอ้เก่งหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ส่วนไอ้เพื่อนสองตัวก็เป็นสิงห์รมควัน โดยมีผมแค่คนเดียวในกลุ่มที่ไม่สูบ แต่วันนี้เสียใจว่ะ...
อยากลอง
“ขอบุหรี่หน่อยดิ” ผมพูดขึ้น
“สูบเป็นเหรอ”
“ต้องลอง”
“โอเค” ไอ้เก่งยื่นบุหรี่มาให้ผมโดยไม่คิดห้ามปราม ก่อนผมจะหยิบไอ้มวนสีขาวขึ้นมาใส่ปาก รอให้เพื่อนจุดไฟแช็กที่ส่วนปลาย และหลังจากนั้น...
“อะแค็กๆ โอ๊ยยยยยยย อะแค็ก!” ควันอัดเข้าไปเต็มปอดกูเลอออออออ ผมจึงเลือกเอาไปยัดใส่ปากไอ้โก้ต่อเพราะกลัวมันจะเสียดายของ
เชี่ย เพิ่งรู้ในตอนนี้ว่าบุหรี่ไม่ใช่ทาง
“อะไรจะขนาดนั้น ทำอะไรไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืนหรอก ถามจริง มึงกับมันได้กันยัง” ไอ้จั๋งถามผม
“พ่องดิ”
“กูก็นึกว่าได้กันแล้วมึงถึงเสียใจขนาดนี้ ที่แท้ก็...ไม่ลุ้นเลย”
“แค่นี้ก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
“มึงยังฮิปอยู่มั้ยสัดตั้ม” ไอ้โก้ถามบ้าง
“กูพยายามฮิปอยู่ พวกฮิปจะเข้มแข็งและไม่ร้องไห้” นิยามห่าอะไรวะ ไร้สาระสิ้นดี
“มันเป็นไงบ้าง หมายถึงไอ้เปอร์อ่ะ”
“ก็ดูมีความสุขดี คงคืบหน้าไปเยอะแล้วมั้ง”
“...”
“มึง”
“หืม...”
“กูอกหักจริงๆ แล้วว่ะ”
พูดแค่นั้นไอ้สามตัวมันก็รุมเข้ามาตบบ่าตบหัวผมปุๆ เวรกรรม! นี่ตั้งใจจะปลอบใจหรือกำลังทำร้ายร่างกายกูกันแน่ จากที่ไม่อยากร้องคราวนี้น้ำตางี้ไหลพรากเลย กูเจ็บ!
แปลกเนาะคนเรา...อกหักทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าไปคบกับมันตอนไหน ได้แต่คิดไปไกล สุดท้ายก็ต้องอยู่กับความจริงว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่รักข้างเดียวของผม
รักข้างเดียวที่ยาวนานถึงสองปี
เวลาผ่านไปเกือบเดือน ฝนยังคงตกหนักเกือบทุกวันจนทำให้ทางเดินเปียกแฉะ แม้แต่รองเท้าผ้าใบคู่โปรดก็ยังแทบเน่าเพราะน้ำซึมเข้าไปภายใน ผมยืนอยู่หน้าหอสมุด มองดูสายฝนโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย
ผมเกลียดตัวเองที่ไม่ชอบพกร่ม ใช่! ผมเป็นผู้ชายที่ไม่พกร่มหรืออะไรที่เป็นภาระตอนไปไหนมาไหน ดังนั้นจึงทำได้แค่รอ และมองดูร่มหลากสีของนิสิตในมหา’ลัยเดินผ่านไปผ่านมาแทน
“ไม่ได้เอาร่มมาเหรอตั้ม” เสียงทุ้มต่ำแสนคุ้นหูพูดขึ้น ผมรีบหันหน้าไปเผชิญกับคนที่สูงกว่าไม่กี่เซน ก่อนอีกฝ่ายจะหยุดยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับร่มสีเทาในมือ
นานมาแล้วที่เราไม่ได้คุยกัน...
ไอ้เปอร์
“อืม กูไม่ชอบพกของอะไรพวกนี้อยู่แล้ว” ผมตอบกลับไป ถ้าฝนตกเบาๆ ก็เอากระเป๋าบังหัว แต่ถ้าวันไหนตกหนักก็แค่ยืนรอฝนหยุด ไม่เห็นจะยากอะไรเลย
“มึงเป็นยังไงบ้าง” อีกฝ่ายถามต่อ
“ก็ไม่ไง กูก็ยังโอเคดี มึงล่ะ”
“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย เออ...ตอนนี้กูไม่ได้ทำงานที่ร้านกาแฟแล้วนะ”
“ดีใจด้วย มึงจีบน้องเขาติดแล้วสิท่า”
มันไม่ตอบนอกจากยิ้มออกมา โอเค...พอรู้
“พี่เปอร์รอนานมั้ยครับ” สักพักใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามา ผมหันไปมองคนมาทีหลังชั่วครู่ ก่อนกลับไปจดจ่อกับเม็ดฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดช่วง แฟนมันนั่นแหละจะเป็นใครไปได้
“ไม่หรอก”
“เฮ้ยไอ้เปอร์ กูต้องไปก่อนนะเว้ย ขืนรอแบบนี้ต่อไปฝนคงไม่หยุดตกแน่เลย” ผมแสร้งเปลี่ยนเรื่องเพื่อพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัด
“ไปกับกูก็ได้ กูมีร่ม”
“ไม่ต้องหรอก ร่มของมึงก็คันเล็กนิดเดียว เดี๋ยวจะเปียกกันหมด” คงไม่มีใครอยากเข้าไปแทรกกลางระหว่างคนสองคนหรอกมั้ง ผมฉลาดพอที่จะไม่ทำอย่างนั้น
“มึงจะไปไหน” มันยังคงถามต่อ
“ลานจอดรถ”
“กูก็ไปที่ลานจอดรถ ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกันก็ถูกแล้ว”
“เดี๋ยวน้องเขาเปียก มึงจะให้กูมาแย่งพื้นที่ในร่มของน้องเหรอ”
“กูไม่ได้อยากให้สองเปียก กูแค่บอกว่าเราควรไปด้วยกัน”
ไม่พูดพร่ำทำเพลงไอ้เปอร์ก็รั้งข้อมือของผมเอาไว้และเดินออกมาจากชายคาของตึก ร่างกายในชุดนิสิตเปียกปอนทันทีที่ปะทะกับฝน ผมหลับตาแน่นเพราะถูกละอองน้ำสาดเข้ามาตรงเปลือกตาพอดิบพอดี ผมมองไม่เห็นอะไรเลย จึงทำได้แค่เดินตามแรงรั้งจากฝ่ามือของอีกฝ่าย
กระทั่งสายตาเริ่มปรับเข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ ผมจึงพยายามลืมตาขึ้นแม้เท้าสองข้างจะไม่หยุดเดินก็ตาม
“ไอ้เปอร์”
“เอาน่า ใกล้ถึงแล้ว”
มันไม่ได้อยู่ใต้ร่มอย่างที่คิด ร่างสูงเปียกม่อลอกม่อแลกไม่ต่างจากผม พลางส่งยิ้มให้ขณะที่มืออีกข้างก็ถือร่มให้รุ่นน้องตัวเล็กอย่างสองไปด้วย ใช่! น้องไม่เปียกเพราะไอ้เปอร์กางร่มให้ แต่สำหรับผมกับมัน...
“ขอบคุณนะ”
ผมยอม...
ยอมเดินตัวเปียกปอนไปกับอีกฝ่าย เพราะอย่างน้อยเราก็ได้จับมือกัน
อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เปียกฝนเพียงคนเดียว
“ไอ้ตั้ม”
“...”
“กูกับสองเป็นแค่พี่น้องกันนะ”
“...”
“กูเป็นแค่พี่น้องกันจริงๆ”
วันนี้มีงานใหญ่ประจำมหา’ลัยอยู่หนึ่งงานนั่นก็คืองาน Music Contest และก็ยังมีงานเล็กๆ ประจำชมรมบอลอีกงานคือการคัดตัวนักเตะเข้าทีมมหา’ลัย ดูเหมือนความสำคัญจะต่างกันมาก แต่ผมกลับเริ่มวิตกกังวลว่าจะเลือกทางไหนดี ทั้งที่เมื่อเดือนก่อนผมยังตัดสินใจได้โดยไม่ต้องคิดอยู่เลย
“ไปวอร์มร่างกายที่สนามก่อนป่ะ” รุ่นพี่ชมรมบอลบอก
สุดท้ายผมก็สวมเสื้อบอลและเลือกมาที่สนามแทนที่จะเป็นฮอลล์สำหรับงานประกวดดนตรี
“ครับ”
ผมใช้เวลาวอร์มร่างกาย 10 นาที เดินกลับมาดื่มน้ำแก้กระหายเล็กน้อยก่อนรุ่นพี่วิศวะอย่างพี่อาร์ค ซึ่งเป็นหนึ่งในคนคัดเลือกนักเตะจะเดินมานั่งอยู่ใกล้ๆ
“พร้อมมั้ยไอ้ตั้ม”
“ก็นิดหน่อยครับ ไม่ค่อยได้เตรียมตัวมา”
“ไม่ค่อยเหรอ กูว่ามึงไม่เตรียมตัวมาเลยมากกว่า กูดูฟอร์มในสนามเมื่อกี้แล้ว มึงดูวอกแวกนะ”
“มีบ้างครับ พี่อาร์ค ผมขอถามอะไรหน่อยสิ”
“ว่ามา”
“พี่เคยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสมาธิมั้ย เหมือนจิตใจเราไม่อยู่กับลูกบอลเพราะมีเรื่องให้คิดตลอดเวลา”
“เคยดิ”
“ตอนไหน” เจ้าของฉายาเหนือเดือนหันมายิ้มให้ผม
“ตอนกูมีความรัก”
“แล้วระหว่างบอลกับความรักพี่เลือกอะไร”
“ถ้าไม่ได้กะเป็นทีมชาติก็เลือกความรัก บอลมันหลุดมือแล้วกลับมาเล่นใหม่ได้ แต่คนรักหลุดมือน่ะกลับมาไม่ได้แล้วนะเว้ย”
“พี่...”
“ไม่ต้องถามกูแล้วไอ้ตั้ม จะไปตายห่าที่ไหนก็ไป ไปเลือกสิ่งที่ทำให้มึงวอกแวกเถอะ เชื่อกูสิ ตอนมึงไปที่นั่นมึงจะไม่คิดถึงบอลเลย เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามึงมันสำคัญกว่า”
โอ้โห ฟังคนหล่อพูดแล้วฮึกเหิม อารมณ์อย่างกับหนังกู้ชาติกำลังแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือด ผมถอดรองเท้าสตั๊ดก่อนจะเปลี่ยนไปใส่คอนเวิร์สคู่เดิม ขับรถจากสนามบอลไปยังฮอลล์ประกวดซึ่งห่างออกไปไม่ไกลนัก แต่ถ้าไม่รีบก็กลัวว่าจะไม่ทันเพราะวงของไอ้เปอร์เป็นวงแรกที่เปิดการแข่งขัน
ไม่สนแม่งแล้ว ไอ้เปอร์มันจะรักหรือไม่รักใครก็ปล่อยมันไป
ผมเป็นเพื่อน ผมมีหน้าที่แค่รักมันอย่างที่อยากทำมาตลอด จะอยู่ช่วยเหลือ นั่งกินเหล้า คอยชวนคุย ไปดูไลฟ์ จะทำทุกอย่างเหมือนเมื่อก่อน เหมือนเพื่อนคนเดิมที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ แค่นี้ก็พอแล้ว
แต่พอไปถึงแทนที่ผมจะได้เข้าก็ดันมาโดนกันตัวออกอีก
โว้ย! ขัดอารมณ์ฮิปสเตอร์
“เดี๋ยวน้อง ขอบัตรนิสิตก่อน” จะมาขออะไรตอนนี้ ไม่เคยดูละครเหรอ ตัวเอกต้องไปให้ทันงานนะเว้ย
“ลืมเอามาอ่ะ เอาบัตรประชาชนได้มั้ยพี่”
“ไม่ได้ดิน้อง เขากันให้เด็กมหา’ลัยนี้เข้างานเท่านั้น”
“ก็เนี่ย ผมเรียนอยู่ที่นี่ รู้จักอาร์คเหนือเดือนมั้ย ผมเป็นรุ่นน้องที่รู้จักกันนะ”
“ใครก็เนียนบอกได้ดิ”
“โหยยยยยยพี่ เพื่อนผมร้องเพลงไปแล้วมั้ง ให้ผมเข้าไปเถอะ” เข้ายากเข้าเย็นขนาดนี้ ลองใช้หน้าผากโขกหัวอีกฝ่ายให้สลบก่อนดีมั้ยจะได้ไม่เป็นภาระต่อความรักเพื่อนของกู
“งั้นบอกรหัสนิสิตมา จะเช็ค REG”
“56001xxx”
“โอเค ผ่าน!!”
เฮ้อ...กูเพลีย กว่าจะฝ่าด่านสต๊าฟได้ผมก็ต้องมาฝ่าด่านคนที่แออัดยัดเยียดจนเต็มฮอลล์อีก แน่นอนว่าผมไม่สามารถพาตัวเองไปยืนอยู่ข้างหน้าเวทีได้ ดังนั้นผมจึงทำได้แค่ยืนอยู่ในมุมมืดๆ ตรงปากทางเข้าเท่านั้น
“เพลงต่อไปเป็นเพลงที่ผมอยากร้องให้กับใครคนหนึ่ง เพลงที่ผมอยากเปลี่ยนหน้าที่จากเล่นกีตาร์มาเป็นนักร้องนำบ้าง” เสียงไอ้เปอร์...
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด”
ผมมองไปยังด้านหน้าเวที ถึงแม้จะมองเห็นไม่ชัด แต่ก็รู้ดีว่าคนคนนั้นคือมัน แม่งไม่ใช่เพราะจำลักษณะท่าทางของมันได้หรอก ผมแค่ดูในจอโปรเจคเตอร์ครับ
เสียดายที่มาไม่ทัน วงหนึ่งจะต้องร้องเพลงช้าและเพลงเร็ว คิดว่าตอนนี้มันคงร้องเพลงเร็วจบไปแล้วล่ะ พลาดมั้ยล่ะ มัวแต่ไปถามอะไรไม่รู้กับพี่อาร์คมัน
“เราเป็นเพื่อนกันครับ”
ทุกคนในฮอลล์ตั้งใจฟังไอ้เปอร์พูดอย่างจดจ่อ
“ตอนแรกเราไม่ได้สนิทกันมากมาย แต่พอได้คุย ได้เจอ ได้รู้จัก จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ผมกลับค้นพบว่าผมขาดมันไม่ได้”
หัวใจของผมเต้นกระหน่ำแทบทะลุอก หมายถึงใครเหรอไอ้เปอร์...มึงหมายถึงใคร
“ผมพยายามจะหายไปจากชีวิตของมัน และเริ่มต้นกับใครสักคนหนึ่ง แต่รู้อะไรมั้ย ผมยังไม่ทันได้เริ่มต้นกับคนใหม่เลย เพราะไอ้เพื่อนคนนี้แหละทำให้ผมไปไหนไม่ได้ ฉะนั้น...ผมเลยอยากมอบเพลงนี้ให้กับเพื่อนที่ผมรู้สึกพิเศษที่สุด ความรู้สึกที่ผม...รู้แน่ๆ แล้วว่ามันเรียกว่าความรัก”
ในแววตาทั้งคู่ไม่รับรู้อะไร…
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด”
ทันทีที่ไอ้เปอร์กรอกเสียงผ่านไมค์ ก็ทำเอาใครหลายๆ คนส่งเสียงกรี๊ดขึ้นมาไม่ขาดสาย เพราะความหมายของเพลงนี้มันมากกว่าเพื่อน...เพื่อนที่คิดไม่ซื่อ
เธอคงยังไม่เข้าใจ ว่าฉันไม่ใช่คนเก่า
เรายังคงเหมือนเพื่อน หยอกล้อเหมือนวันวาน
แต่ฉันคือคนใจสั่น แต่ฉันคือคนหวั่นไหว
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย…ในความคุ้นเคยกันอยู่
มันแฝงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ว่าเพื่อนคนหนึ่งมันแอบมันคิดอะไรไปไกล
กว่าเป็นเพื่อนกัน
ทุกคนร้องตามกึกก้องไปทั่วพื้นที่ ผมเป็นคนที่ชอบดูหนังเพื่อนสนิทและก็มักจะอินกับเพลงรวมถึงเนื้อเรื่องไปซะทุกฉาก แม้จะดูเป็นครั้งที่ร้อยก็ตาม แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้...เสียงของไอ้เปอร์ทำให้ผมอยากร้องไห้ออกมาจริงๆ
หลังจากเพลงจบลง เสียงปรบมือก็ดังเกรียวกราวขึ้นมาก่อนจะเงียบลงอีกครั้งเพื่อรอให้นักร้องนำได้พูดอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ผมหวัง...ให้มีผมอยู่ในนั้น
“ขอบคุณทุกคนมากครับที่ช่วยกันร้องจนจบเพลง สุดท้ายนี้ผมแค่อยากบอกอะไรกับเพื่อนคนนั้นอีกสักหน่อย ถ้าเกิดมึงบังเอิญผ่านมา ถ้าเกิดมึงบังเอิญอยู่ใกล้ๆ กันตรงนี้ กูอยากจะบอกว่า...”
“...”
“ไอ้ตั้ม...กูรักมึงว่ะ”
“แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยย >///<”
เสียงกรี๊ดถล่มทลายดังแทรกเข้าไปในโสตประสาท ผมแทบล้มทั้งยืนทันทีที่เห็นมันประกาศผ่านไมค์ และดูเหมือนทุกคนจะจดจ้องไปยังนักร้องนำไม่คลาดสายตา
“สิบ!”
ไอ้เปอร์เริ่มนับ เป็นเลขที่เราต่างรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร
“เก้า”
“แปด”
“เจ็ด”
“หก”
ผมยังคงนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน ยืนอยู่ที่เดิม แค่...ยืนอยู่ที่เดิมในความมืด
“ห้า”
รู้สึกเหมือนกันมั้ย ตอนนั้นที่ผมนับถึงครึ่งทาง ผมเหมือนกำลังร้องไห้ และแววตาของไอ้เปอร์ก็กำลังเอ่อรื้นเหมือนรอความหวังอะไรสักอย่าง
“สี่”
ผมเกลียดมัน
“สาม”
ผมเกลียดที่มันเรียกผม
“สอง”
ผมเกลียดมันมากๆ
“หนึ่ง!”
เกลียดที่มันทำให้ผมไม่สามารถหยุดรักมันได้เลย
“เอ่อ!! กูก็รักมึง”
วินาทีที่ผมตะโกนออกไปสุดเสียง สายตานับพันก็หันมาจ้องผมเป็นจุดเดียว แต่ไม่แคร์หรอก สำหรับผมแล้ว...คนที่อยู่ในสายตาก็คงมีแค่ไอ้เปอร์เพียงคนเดียว
มันยิ้ม ยิ้มให้ผมเหมือนรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าเราเนี่ยแหละ
เพื่อนสนิท คิดไม่ซื่อ
END
-
:z13:
-
:katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
-
:impress2:
-
อินมากกก ตอนนี้ชีวิตกำลังดราม่าแบบตั้มเลยค่ะ แอบรักเพื่อน :o12:
สรุปคือเปอร์เองก็แอบรักตั้มอยู่ก่อนเหมือนกันสินะ
-
คณะต่อไปใช่ "สถาปัตย์" หรือป่าวนะ
รออออออออออออออ :hao7: :hao7:
-
ต่างคนต่างแอบรักกันเนาะ :)
-
อ่านแรกๆแบบเศร้ามาก สงสารตี่ ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการที่คนที่เรารักไปรักกับคนอื่นแล้วเนาะ
แต่ตอนสมหวังนี่สิ โอ้ยยยยยยยอิชั้นฟินเหลือเกินค่ะคุณ ดีใจกับตี่ด้วยน้า เย่ๆๆ
-
เหยยยย ชอบ!!! แต่อยากอ่านพาร์ทนายเปอร์บ้างอ่าาา
น่าหมั่นไส้แทนตี่ตะหงิดๆ อยากรู้เรื่องระหว่างเปอร์กับสอง
น้าๆๆๆๆๆ จิตติคนสวยยยยย
-
คิดว่าตั้มจะอกหักซะแล้วววววววววว
:hao5:
มาควงน้องเขาให้เห็นอีก ฮึ่ย
แต่ก็ยังดีที่ไม่สายไปนะ T___T
-
ทำไมเราโฟกัสไปที่แก๊งคิตตี้และพี่อาร์ค ฮาาา
-
ชอบๆๆๆๆๆ ตั้มต้องให้ผู้มีประสบการณ์อย่างพี่อาร์คชี้แนะ
(ขนดารามาหลายเรื่องเลย)
รอคณะต่อไป
-
ง่าาาาา ชอบเรื่องสั้นของคุณจิตติมากๆโลยยยยยย เรื่องยาวส่งให้เพื่อนอ่านอย่างเดียวเลย มันหน่วงอ่าาาาาา จิร้องไห่ เรื่องสั้นแบบน่ารักทุกเรื่องเลย แต่ตอนนี้พี่อาร์คนี่เบอร์หนึ่งในใจเลย เปอร์ตี่ก็น่ารักค่ะ รอคณะต่อไปอยู่ที่นี่นะคะ จุ๊บๆ
-
เอาจริงๆคือพยายามกันทั้งคู่ ตั้มพยายามเข้าหา เปอร์พยายามถอยห่าง
สุดท้ายไปไหนไม่รอด เปอร์แกเข้ามาอยู่ในกำมือตี่ซะดีๆ ว่ะฮะฮ่า :laugh: :3123:
ตอนนี้มีพี่อาร์คเหนือเดือนด้วย แฟนเราเองแหละ :z6:
-
เรื่องต่อไปนี่นิเทศศาสตร์รึเปล่าค้า :-[
-
ความรู้สึกคือ เหมือนจะหน่วง
แต่ตั้มคิดบวกและกวน-ีน เกินกว่าจะหน่วงได้
แค่อ่านความคิดตั้มก็หยุดหัวเราะไม่ได้แล้ว
-
ความรู้สึกผูกพันสินะ ที่ทำให้เปอร์กับตั้มเข้าใจกัน
ซึ้งอะพยายามศาสตร์
-
เจ็บปวดมากถ้าชอบเหมือนกันแล้วทำไมไม่บอกไปหาคนอื่นทำไม ฮือออออ อิน :hao5:
-
ฮื่อออออออออ~ เพื่อนสนิท...คิดไม่ซื้อออ~ เปอร์ตั้ม :hao5: :hao5: :hao5:
-
:katai1: :katai1:
อยากจะจุดพลุฉลองให้ค่ะ พวกนางแอ๊วกันน่าร๊ากก น่ารัก
*กรีดร้องให้พี่อาร์คอย่างบ้าคลั่ง* ถึงบทบาทจะมีน้อย แต่ความหล่อพี่ไม่หายไปไหนเบยย #เอฟซีพี่อาร์ค
-
กรี๊ดดดดด ดากานดาสมหวังแล้ว
-
พยายามทั้งคู่สินะ :katai2-1:
//พี่อาร์คเหนือเดือน :hao7: :hao7: :hao7:
-
โอ้ยยย ลุ้นมากอ่ะ ที่แท้ก็แอบรักกันมาตั้งนานแล้วแต่ปากหนักกันทั้งคู่สินะ :monkeysad:
-
แอร๊ยยยยยยยยย>/////< อยากให้ยาวกว่านี้ง่าาาาาาาา อิจตั้ม55555
-
แพทย์ศาสตร์??? คือคณะต่อไป??
-
กริ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
เขินนนนนน :impress2:
-
ฮาแบบมีดราม่าบ่น สนุกดีค่ะ
-
:sad4: :sad4: อ่านแล้วนํ้าตาซึ้ม ทั้งเขิน ทั้งจะร้องไห้
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
พี่เดือนแอนด์เดอะแก็ง ผิด555555555
อิตั้มนี้จะว่าเศร้าก็ติดตรงที่ความฮิปของนางนี้แหละ
ทีแรกคิดว่านางจะหมดหวังแล้วนะเนี่ยยยยย
-
อ่านบรรทัดสุดท้ายแล้ว เขินตัวบิดเลยค่ะ
โอ๊ยยย หยุดยิ้มไม่ได้เลย
ตั้มลูกกกกก ป้าทั้งฮา ทั้งหน่วงกับหนูมากเลย
เพลง หน่วง ใช้ได้กับตอนนี้จริงๆ
คณะต่อ ขอเดาว่า นิเทศศาสตร์ ค่ะ #เข้าข้างคณะตัวเองสุดฤทธิ์
-
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วก็น้ำตาไหลได้เฉยๆ
ทำไมตอนจบเราถึงร้องไห้ได้ก็ไม่รู้แต่ยิ้มไปด้วยนะ
เล่าในมุมของตั้มคือเหมือนมองฝ่ายเดียว
แล้วพอได้ฟังความรู้สึกของเปอร์แบบปริ่มแทน
ชอบตอนนับเลขมากมันมีความโรแมนติกอยู่นะ
ชอบตอนที่เปอร์ตื่นมาแล้วจูบกันคือแบบฮืออ~
แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าหลังจากนั้นแกไม่หายไปน่ะเปอร์
ปล่อยให้ตี๋ดราม่าคนเดียวตั้งนาน น่าตีจริงๆ
จริงๆ รักกันมาตลอดทำไมไม่คุยกันดีๆ เนาะ
ประทับใจฉากจับมือตากฝนตอนนั้นแบบน้ำตาไหลเลย
อย่างน้อยถึงจะเปียกฝนแต่ก็ยังมีคนที่เปียกไปด้วยกัน
เป็นอะไรที่แบบดีอ่ะ และที่สำคัญยังคงชอบพี่อาร์คเหมือนเดิมเพิ่มเติมคืออยากได้มาเป็นของตัวเอง ฮา
รอเรื่องต่อไปนะคะ เอาฮานะซึ้งแบบนี้บ่อยๆ เค้าแสบตา ๕๕๕๕ ><
-
หวานไม่สุด แอบมีน้ำตาคลอ :pig4:
-
(อะไรคือ จิตติดาวมหาลัย??? ฮา)
กว่าจะอ่านจบ เล่นเอาน้ำตาเล็ด คุณจิตติทำเราร้องอีกแล้ว!
มันเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยเมื่อนานมาแล้ว เคยเป็นอย่างตั้มเหมือนกัน ขอบคุณที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นอีกครั้ง มัน bittersweet มากค่ะ อยากอ่านในมุมมองของเปอร์จังเลยค่ะ เราได้แต่ดราม่ากับตั้ม ลุ้นจนเกร็งไปหมด แม้สุดท้ายจะสมหวัง แต่มันก็ไม่สุดเท่าไหร่ คงเพราะมีพร็อพ (น้องสอง) มาเป็นตัวทำให้หัวใจคันๆ สินะคะ ตกลงที่ไปจีบๆ เขานี่คือลองใจตัวเองว่าตกลงคิดอย่างไรกับตั้มกันแน่ ใช่ไหมคะ เฮ้อ แม้ตอนท้ายเรื่องจะหวาน แต่ตอนต้นถึงค่อนเรื่องนี้มันหน่วงมหาหน่วงจริงๆ ค่ะ สงสารตั้ม แต่ก็สมหวังแล้วเนอะ :sad4:
ทำโทษเปอร์เลยค่ะ โทษฐานที่ทำให้ตั้มเศร้าอยู่ได้ตั้งนาน
ติดเรื่องของคุณจิตติตลอดเลย เขียนเก่งมากๆ o13
-
พี่จิตติมาแล้วววววววว
จองที่ไว้ก่อนๆๆๆ :katai4: :katai4:
โอ้ยคือแบบหน่วงมากกก เราก็เป็นคล้ายๆตั้ม เพียงแต่ตอนจบของเราไม่เหมือนตั้ม
ป.ล.คณะต่อไปเดาว่าบริหารฯ เพราะปีนี้เดือนมหาลัยเราก็บริหารฯ :o8: :o8:
-
เรื่องนี้เล่นเอาเราหน่วงๆในอกเลย งือออ นึกว่าจะไม่สมหวังซะแล้ว ดีใจๆกับคนแอบรักเพื่อนสนิทด้วยนะ และขอกรี๊ดให้แก๊งค์คิตตี้กับพี่เดือนคนกากด้วยถึงจะมาแต่ชื่อก็ยังคิดถึงนะ
ปอลิง อืมมม คณะที่มีคนหน้าตาดีเหรอ เดาว่าแพทย์ได้มั้ย ก็แพทย์มีแต่คนหล่อๆ
-
:-[ โอ้ยย น่ารัก ตอนแรกคิดว่าจะแห้วซะแล้ว
รอๆๆ คณะต่อไป
-
อ่านแล้วน้ำตาคลอเบ้าเลยค่ะคุณ ปมแอบชอบเพื่อนนี่อ่านแล้วใจบ่ดี มันขยี้ใจเหลือเกิน :o12: มีฉากที่สองกับพี่เปอร์อยู่ด้วยกันออกมาทีไร ดิฉันหน้าสั่นแรงเลยค่ะ เจ็บปวดแทน อินหนักมากเพราะเคยเป็น เข้าใจมากมาย :m15: ยังดีที่พี่เปอร์ยังคิดได้ว่าตัวเองก็ชอบตั้มเหมือนกัน นาทีนี้ต้องขอบคุณพี่อาร์คเหนือเดือนสุดหล่อที่พูดสะกิดใจตั้ม แก็งค์คิตตี้ก็มีบทบาทมากมาย 5555555 ฆ่าไม่ตายจริงๆ ขอบคุณสำหรับนิยายสั้นค่ะ :กอด1:
-
ทั้งหน่วงทั้งตลก
อ่านแล้วคิดถึงสมัยเรียนเลย
แอบชอบเพื่อนเนี่ยมันแบบ....เฮ้อออออ
-
กรีดร้อง ดีใจที่แฮปปี้
ได้รักกันเหมือนดังหวัง
ปล.แล้วก็ไปค้นแผ่นเพื่อนสนิทมาดู
-
เศร้าเลย นึกว่าตั้มจะไม่สมหวังซะแล้ว
-
รู้ตัวช้าก็ยังดีกว่าไม่รู้ตัวเลยนะคะเปอร์ :m3:
-
:mew1: โอ๊ยยยย ยิ้มแก้มแตกในตอนสุดท้าย เรื่องต่อไป แพทย์ นิเทศ อักษร คหกรรม อะไรก็ได้ค่ะ จะตามอ่านเสมอ
-
ตายละ :ling1:
-
ชอบอีกแล้ว หน่วงนิดๆๆแต่มีความสุข
รอคณะต่อไป อิอิ
-
เป็นเรื่องสั้นที่อ่านแล้วรู้สึกดีที่สุดเลย
-
อ่านแล้วอินตามเลยยยย
เพราะเราก็ชอบดูเรื่องเพื่อนสนิท หนังในดวงใจเลย
-
กรีดร้องงงงงงงงงง
คุณจิตติมาแก้บนต่อแล้วววววว
น่ารักเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือความฟิน
อ่านจบแล้วอยากดูเพื่อนสนิทอีกรอบเลยค่ะ ฮ่าาา
-
พยายามจนสำเร็จกันทั้งคู่
-
มันฮาบนความหน่วงของตั้ม แอบสงสารตั้มตอนที่รู้สึกอกหักทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน
แต่ความพยายามก็เป็นผลแล้วนะตั้ม สุดท้ายเปอร์ก็ใจตรงกันกับตั้มแล้ว ^^
พึ่งรู้ว่าทุกคนอยู่มอเดียวกับแก๊งคิตตี้ แก๊งนี้ช่างเลื่องลือระบือนามจริงๆ 5555
อยากเห็นพี่อาร์คคนเหนือเดือนเจอกับพี่เดือนจะเป็นไงบ้างนะ 5555
คณะต่อไปจะเป็นคณะไหน รอติดตามนะคะ
:pig4: :L2:
-
ชอบ~~~~~~~~~~~~~
:-[ :-[ :-[
-
ตอนนี้อ่านแล้วแทบจะร้องไห้ ดีจังที่จบแฮปปี้ :hao5:
-
หน่วงจังเลยค่ะ
กว่าจะอ่านจบเกือบเสียน้ำตาแล้ว
-
ตอนจบพีคมากกกกกก
ชอบๆๆๆ
-
แก๊งคิตตี้ก็มา พี่อาร์คก็มา เรื่องนี้รวมเดือนจริงๆ :m4: เรื่องนี้เกือบดราม่าเลยทีเดียว อ่านไปก็น้ำตาคลอ เราเข้าใจตั้มมากอ่ะ ใครไม่แอบรักไม่เข้าใจหรอกเนอะตั้ม :monkeysad:
จะรอติดตามคณะต่อไปนะคะ :m1:
เอฟซีพี่จิตติดาวมอค่ะ :mc2: :ped149:
-
วิทย์กีฬาไหมล่ะ ชอบล่ำๆ กร้ากกกก
งานนี้พี่อาร์คก็มา :hao6:
-
เรื่องต่อไปสถาปัตย์ป่าวน้ออออ ลุ้นๆ
รู้สึกเหมือนอาร์คแย่งซีน คำพูดแม่งหล่ออะ
-
เรื่องหน้าาถาปัตย์ใช่มั้ยคะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด
คือก็แอบลุ้นไปกับตั้มและใจเต้นแรงตอนที่เปอร์ร้องเพลงให้ตั้มเหมือนกัน
แง้งงงงง เราอยากมีคนมาทำแบบนี้บ้างง จะติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
ถ้ารวมเล่มซีรี่ย์นี้เราสนใจมากก
-
นึกว่าจะแห้วซะแล้ววววว......ตามเรื่องต่อไปค่ะ o13
-
ซึ้งครับ ยิ้มจนอยากร้องไห้ ขอบคุณนะครับคุณคนเขียน ติดตามนะครับ
-
ถึงจะจบแบบสมหวังแต่ลุ้นจนน้ำตาไหลพราก ดีใจด้วยนะตั้ม
-
เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ เคยนะ เคยเป็นแบบนี้อ่ะ!
ชอบอ่ะ แบบว่ากรี้ดดเลย มันโดนอ่ะ "รักตั๊ม" >///<
ปล. แอบมีพี่อาร์ค "เหนือเดือน"โผล่มาอีกล๊าวววว
ปล.2 แอบอยากให้มีพี่อาร์คเป็นเรื่องยาวอ่ะ ชอบมากจิงไรจิงคนเนี๊ยะ!!! :ling1:
-
ตอบตั้มนับถึงสองนี่คือพีคมากครับ มือสั่น น้ำตาซึม
-
คืออ่านไปน้ำตาไหลไป
อารมณ์คนแอบรักนี่โคตรเข้าใจจจจจจ
รักตั้มว่ะ
-
สนุกค่า เหมือนจะฮาแต่ไม่ฮา ตอนจบนี้ยิ้มได้อย่างเป็นสุขเลยค่ะ ถ้าอยู่ในนั้นด้วยได้ฟินตาย
-
เรื่องหน้าคณะแพทย์ใช่ไหมคะ *O* #ประกายตาปริบๆอย่างมีความหวัง 55555555555555
ไม่รู้พี่จิตติได้ส่องทวิตทีมม.เราตอนวันเฟรชชี่ไนท์รึเปล่า - ... - v คุณหมอเดือนคณะน่ารักมากเลยนะคะ - / - ~
จะรออ่านตอนต่อไปค่า ชอบเรื่องพยายามศาสตร์มากกกกกกกก ตอนแรกนึกว่าจะจบไม่แฮปปี้แล้วด้วยซ้ำ
แต่แบบนี้คือหลงเลย <3 สู้ๆนะคะะะ
-
ลุ้นมากกก
ตกลงคิดไม่ซื่อกันทั้งคู่
-
ลุ้นตั้งนาน สุดท้ายก็แฮปปี้จนได้ :mew1:
-
เขินอ่า แบบว่าเพื่อนกูรักมึงวะ
โมเมนท์แบบนี้...ตายคะ
-
ยังคงความสนุกไว้เหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือ แอบหน่วงเบาๆกับการแอบรักข้างเดียวของนายเอก :hao7:
-
:mew2:
-
คณะแพทย์มั้ยน่าาาาาา
พี่อาร์คโผล่มาหน่อยด้วยยยยย
(สนใจผมกับเปอร์นิดนึง>>ตี่ไม่ได้กล่าว)
-
กรี๊ดดดดดไปแปดล้านตลบก็ไม่พอสำหรับ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
สำหรับพี่อาร์คของนู๋วววววววว
เฮียแกแย่งซีนสุดๆ
หล่อลอยลำ
หล่อยันความคิด
หล่อยันเล็บตีน
พ่อของลูกกกกกกก
(ตั้งชื่อลูกรอค่ะ ฮิ๊ฮิ๊ฮิ๊)
-
งือ ยังน่ารักเหมือนเรื่องผ่านๆมา
อ่านไปนี้ลุ้นว่าจะ happy กันไหม
รอคณะต่อไปจ้า
-
เพื่อนสนิท หนังที่ตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้
ให้อารมณ์มากเรื่องนี้ :mew1:
เรื่องต่อไปคณะแพทย์แน่เลย คณะนี้หน้าตาดี
-
อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าเหมือนตัวเองพลาดที่ไม่เคยดูหนังเรื่องเพื่อนสนิทเลยอ่ะ คณะต่อไปนี่แพทย์หรือนิเทศน์อ่ะ?
-
โหยน่ารักมาก ตอนพระเอกบอกรักออกสื่อ กรี๊ดดดดด โหวยหวน ดีใจกับตั้มค่ะ
ขอบคุณค่ะ
-
หูยยยยงานดี
พี่อาร์คเหนือเดือนก็มาเป็นเกสท์ด้วย 5555
ตอนนี้น่ารักดีค่ะ ไม่ได้เศร้านะเราว่า มันแอบฮาอ่ะ
เพราะนิสัยเจ้าตั้มนี่แหละ เอะอะฮิปสเตอร์
ฮิปบ้าอะไรของแกวะห้ามร้องไห้ 5555
ชื่อแก็งคิตตี้ก็โผล่มาด้วยอ่ะ ดีใจ คิดถึงพี่เดือน
พูดถึงคิตตี้เจนใหม่นี่อยากรู้เลยว่าจะเป็นยังไง
จะประหลาดเท่ารุ่นออริจินัลมั้ยนะ 55555
สุดท้ายนี้ขอประท้อง ขอบทให้น้องสอง คณะพยาบาลของเราหน่อยค่ะ
สงสารน้อง เกือบได้เป็นนายเอกแล้วแท้ๆ ดันโดนเจ้าตั้มแย่งตำแหน่ง
:laugh:
-
โอยยยยยยยย ปาดน้ำตาป้อยๆเลยค่ะคุณจิตติ T v T ลุ้นแทนตั้มมาก
หน่วงด้วย อินด้วย เพื่อนสนิทนี่เรียกน้ำตาเราได้ตลอดความอินมากนี้
น้องสองมาเป็นพร๊อพจริงๆ 55555555555555
-
นิเทศศาสตร์
“ชีวิตแค่โดนทำร้าย แต่ที่สุดมันต้องไม่โดนทำลาย
แค่วันนี้หัวใจสลาย เตือนตัวเองว่าถึงยังไงฉันยังต้องอยู่
ความรักลวงหลอกมันก็แค่เจ็บปวด
ไม่มีค่า...ให้มันทำลายชีวิตไม่ได้”*
“ไปป์!”
“กรีดแขน...ไม่ช่วยอะไร”
“ไอ้ไปป์!”
“ยิ่งตอกย้ำ ยิ่งกรีดยิ่งทำร้ายใจ”
“ไอ้สัดไปป์!!”
“ยิ่งทำเท่าไรก็ยิ่งปวดร้าว...”
โครม!!
“โอ๊ยยยยยยยยยยยยย” ร้าวไปถึงทรวงในมั้ยล่ะเอเวอรี่บอดี้ แม่งไปทั้งคนทั้งเก้าอี้ กูอยากจะต่อยมึงให้หน้าสั่น แต่ก็ต้องรีบตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้นพร้อมกับรั้งเก้าอี้พลาสติกสีขาวขึ้นมาด้วย หลังจากถูกไอ้เพื่อนไม่รักดีขัดฟีลดราม่าไม่ปรึกษาสุขภาพกันสักนิด
“ถีบกูทำไมเนี่ย” พอได้สติผมก็รีบฉะเพื่อนสนิทตรงหน้าทันที
“กูเรียกมึงหลายรอบแล้วเสือกไม่ยอมหันเอง มัวแต่ร้องเพลงเสียงดัง รู้ป่ะ เพื่อนแม่งรำคาญ”
“เสียงกูดี มีปัญหาอะไรมั้ย” ว่าพลางกวาดตาไปทั่วห้องเพื่อตรวจเช็กสเตตัสบนใบหน้าของแต่ละคน โธ่ถัง ขึ้นแต่คำว่ารำคาญเต็มไปหมดเลยเว้ย ใจเย็นมึง เห็นใจคนอกหักยาวนานแต่ไม่รู้จักหลาบจำอย่างกูด้วย
หัวใจไม่รักดีมันก็อย่างนี้แหละครับ อยากจะลืมใจแทบขาด แต่สมองมันกลับจดจำได้ขึ้นใจ หน้าของเธอ เสียงของเธอ เส้นผมของเธอ หรือแม้แต่กลิ่นประจำตัวของเธอ ผมยังจำได้ดีอยู่เลย...
ยังไม่รู้สินะครับ ผมเคยมีมนุษย์แฟนเก่า ดีกรีเป็นถึงดาวทันตะปีสอง เราเจอกันที่กองประกวดเดือนเมื่อปีก่อน ไม่สิ ‘เกือบ’ เป็นแฟนเก่ามากกว่า เพราะยังไม่ทันได้คบก็มีอันเกิดเรื่อง
ผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนเดียวที่เข้าไปจีบเขา แต่ก็ยังมุ่งมั่นใช้ความกล้าเดินเข้าไปเป็นหนึ่งในตัวเลือก แรกๆ ก็เหมือนจะไปได้ดีครับ เลยเอาใจลงไปเล่นสุดๆ ผมตามใจเธอทุกอย่างและเธอเองก็พร้อมจะใส่ใจผมเช่นกัน เราตัวติดกันแจ
ขนาดแค่ช่วงดูใจกันนะเนี่ย...
แต่สุดท้ายรักก็ดันมาร้าวแตกเป็นปูนฉาบไม่ได้มาตรฐาน เมื่อสุดที่รักของผมดันเลือกไปต่อกับรุ่นพี่นิติปีสี่ซึ่งไม่รู้ว่านิสัยและหน้าตาเป็นยังไง หลังจากนั้นผมเลยเจอวิกฤตชีวิตกินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน
นี่อยากถามเหลือเกิน แล้วผมล่ะ ผมที่สูงตั้ง 175 ซม.หล่อ รวย แถมยังมีดีกรีเป็นถึงเดือนนิเทศปีสอง เธอไม่สนใจบ้างหรือไง
พอกำลังจะหาเรื่องปรับความเข้าใจเธอก็ดันไม่เลือก เออ! คนไม่ใช่ก็คือไม่ใช่!
สองเดือนที่แล้วผมยังอยู่ตัวคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจ ทุกวันนี้บอกตรงๆ ว่ายังอยากย้อนเวลากลับไปเพื่อไม่ต้องเริ่มสานสัมพันธ์อะไรเลย
“แล้วแม่งจะนั่งหน้าเศร้าทำไมเนี่ย” ไอ้เพื่อนไม่รักดีถามกลับมา หลังจากเราไม่ได้โต้ตอบกันเหมือนตอนแรก ก็กูบอกแล้วว่ากำลังเข้าสู่โหมดดราม่าอยู่ คิดถึงอดีตครับ
“มึงก็รู้ว่ากูลืมแป้งไม่ได้” อ๋อย หน้าจ๋อยเป็นผักไม่ได้รดน้ำเลย
“อกหักไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยังเล่นใหม่ได้อีกหลายเทคเว้ย”
“หลายเทคพ่องดิ ทุกวันนี้กูยังไม่ได้เจอเขาเลย มึงจะให้กูเทคใหม่ตอนไหน”
“ไอ้ควาย กูหมายถึงเทคกับคนใหม่เว้ย!”
“ไม่เอาอ่ะ รักเดียวใจเดียว” พูดออกไปทั้งที่ยังพอระลึกได้ว่ามีคนผ่านเข้ามาในชีวิตผมทั้งหมดหลายสิบคน แต่ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนครับ เพื่อนทั้งนั้นเลย...
“รักเดียวแม่งกินไม่ได้หรอก จะไม่รู้สึกสะใจกว่าเหรอถ้ามึงหาได้ดีกว่าเขา คบแล้วเย้ยให้อิจฉาเล่นต่อหน้าต่อตาไปเลยไง กูว่าแป้งก็แป้งเถอะ เจอแฟนใหม่ของมึงเข้าไปต้องรู้สึกอิจฉาตาร้อนบ้างแหละ”
“เออว่ะ...” เผลอพึมพำออกมาทันทีที่เพื่อนรักแนะนำทางออกสำหรับปัญหา
“ไม่ต้องเอออย่างเดียว ช่วยกลับมาคอมเมดี้ได้แล้ว บทดราม่าแม่งโหล”
“จีบใครดีล่ะที่ว่าปังๆ ส่วนใหญ่ก็มีแฟนกันหมดแล้ว”
“นี่เลยครับ ศูนย์รวมงานดีของปีนี้ เขาคัดมาเพื่อมึงโดยเฉพาะ” มือสากหยาบกร้านยัดอะไรบางอย่างใส่มือของผม มันเป็นโปสเตอร์พิมพ์สี่สีที่มีตัวหนังสือขนาดมหึมาเด่นหราอยู่ตรงกลาง พิมพ์ด้วยฟอนต์อะไรสักอย่างที่อ่านค่อนข้างยาก
แต่พอตั้งใจอ่านดีๆ แล้ว...
มหา’ลัย มาหารัก
“อะไรวะ” ผมเงยหน้าถามกลุ่มเพื่อนสนิท
“โปสเตอร์ละครเวทีนิเทศฯ ปีนี้ เพิ่งออกสดๆ ร้อนๆ เมื่อต้นคาบเลย”
“แล้วไง”
“พี่มะตูมปีสี่ฝากให้กูมาบอกมึง เขาอยากให้มึงไปลองแคสต์บท”
“ไม่เอา”
“ที่นั่นมึงจะได้เจอตัวท็อปของทุกคณะเลยนะเว้ย เพราะรุ่นพี่ทีมจัดงานเขาบอกว่าจะเปิดแคสต์บทนางเอก โดยทาบทามจากพวกเซเลบนี่แหละ แล้วมึงคิดว่าคนเก่งๆ ดีๆ จะไม่กองรวมกันให้มึงไปทำความรู้จักที่นั่นเลยเหรอวะ ที่สำคัญมึงยังสามารถสานสัมพันธ์กับคนที่ตรงใจได้ด้วย เพราะละครแม่งซ้อมกันเป็นเดือนๆ”
“เหยดดดดดดดดดดดดด”
“เหยดพ่องมึงสิ รีบติดต่อพี่มะตูมเลย”
“ขอบคุณมากนะเว้ย” ผมถลาเข้าไปเขย่ามือเพื่อนรักอย่างออกรสออกชาติ บอกเลยดีใจยิ่งกว่าปีนขึ้นไปทำท่าหกกบบนยอดเขาอีก
“ไม่ต้องขอบคุณ แค่มึงเลิกดราม่าก็เป็นพระคุณอย่างงามแล้ว รำคาญ!”
“ต่อไปกูจะไม่ร้องเพลงอกหักให้มึงปวดหูอีกแล้ว” แต่กูจะร้องเพลงรักให้พวกมึงฟังแทน อิ๊ๆๆ คิดได้ดังนั้นก็ลุกออกจากโต๊ะเลยสิครับ
“แล้วนี่มึงจะไปไหน”
“ไปหาพี่มะตูม”
“เห่อขนาดนั้นเลย?”
“ขนาดนั้นแหละ ว้ายยยยย อยากมีแฟนนนนนน”
ต่อไปนี้แหละครับที่หัวใจของผมจะลืมสิ้นคนคุยอย่างแป้งโดยไม่เหลือเยื่อใย แล้วเริ่มต้นกับคนใหม่ที่ไฉไลกว่า
ผมรักละครเวทีนิเทศฯ
รักทีมจัดงาน
เออ รักชื่อเรื่องด้วยก็ได้...มหา’ลัย มาหารัก
วันแคสต์บทละครเวทีนิเทศฯ
เมื่อสัปดาห์ก่อนผมได้แวะไปฝากเนื้อฝากตัวกับรุ่นพี่ปีสี่ที่เป็นแม่งานใหญ่ของละครเวทีในปีนี้ เผื่อว่าพี่แกจะเอ็นดูให้ผมได้เล่นเรื่องนี้กับคนอื่นเขาบ้าง แต่คำตอบที่ได้ก็คือผมต้องมาลองแคสต์บทที่เหมาะกับตัวเองดูซะก่อน แน่นอนคนหน้าตาดีอย่างไอ้ไปป์ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงเดือนนิเทศศาสตร์คงไม่พลาดบทพระเอกของเรื่องแน่นอน
ตอนนี้ผมกำลังนั่งรออยู่หน้าห้องแคสต์บท หลายคนเสนอตัวอยากเล่นเอง แต่บางคนก็ถูกสตาฟฟ์ทาบทามให้มาลองแคสต์ดู ซึ่งคนที่ถูกทาบทามส่วนใหญ่ก็มีดีกรีเป็นคนเด่นคนดังจากหลายคณะอย่างที่เพื่อนแก๊งเหาของผมมันบอกไว้จริงๆ
มีทุกชั้นปีครับตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสูง ส่วนบทอื่นๆ ที่ไม่ใช่บทพระนางก็มีทั้งเด็กเอกการแสดง ไปจนถึงนิสิตที่มีความสามารถด้านการแสดงออกจากคณะอื่นๆ เข้ามาแจมด้วย
ถ้าถามผมว่ามั่นใจแค่ไหนกับการไฝว้บทพระเอก บอกเลยเกือบล้านเปอร์เซ็นต์ ด้วยประสบการณ์ที่เรียนตรงสายการแสดงมาล้วนๆ แถมยังเคยได้ตำแหน่งเบสต์เพอร์ฟอร์แมนซ์ตอนประกวดเฟรชชี่ด้วย เป็นไง ขนลุกขนชันเลยล่ะสิท่า
“ไปป์” พี่มะตูมเรียกแล้ว
“ครับผม”
“มาซะเร็วเชียว”
“ก็ต้องมีบ้างครับ ว่าแต่ปีนี้มีคนไหนที่พี่หมายตาเป็นนางเอกบ้างมั้ย” ถามออกไปอย่างคาดหวัง ยังไงผมก็ได้บทพระเอก แล้วมันจะผิดอะไรที่จะถามถึงนางเอกของเรื่องบ้าง
“ปีนี้เหรอ ไม่รู้สิ แต่พี่กับทีมก็มองๆ ดาวทันตฯ ปีเราอยู่นะ”
“...”
สะอึก! โคตรเกลียดโลกว่ะ แม่งจะกลมไปไหน ผมเลยได้แต่ภาวนาว่าแป้งจะไม่มาแคสต์กับเขาด้วยเถอะ ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นผมชักดิ้นชักงอตายคาเวทีแน่ๆ
“เดี๋ยวพี่ไปหาเพื่อนก่อน ต่อไปจะมีแคสต์บทนางเอก เราเองก็สู้ๆ นะ”
“...” ผมได้แต่พยักหน้า มองรุ่นพี่เดินผละออกไป ขณะที่สมองยังเอาแต่รำลึกประโยคเดิมๆ ในหัวไม่รู้จบ
ไม่เอาดาวทันตฯ...ไม่เอาดาวทันตฯ...ไม่เอาโว้ยยยยยยยยยยย
สิบนาทีผ่านไป...
ได้เวลาแคสต์บทนางเอก หลายคนมานั่งรออยู่หน้าห้องเหมือนๆ กับผมเพื่อแคสต์บทอื่นเช่นกัน
“เป็นไงบ้าง” แต่แล้วใครคนหนึ่งก็เอ่ยแทรกขึ้น ผมเลยรีบกะพริบตาถี่หันไปทักทายอีกฝ่ายกลับ
“ดีครับ ซ้อมมาอย่างหนัก” เขาเป็นรุ่นพี่เอกการแสดงปีสูงที่ผมรู้จักมักคุ้นดี
“งั้นรอดูเลย”
“พี่...ตัวเต็งปีนี้นอกจากผมยังมีใครอีกมั้ย”
“มึงเป็นตัวเต็งด้วยเหรอ”
สัด ไม่กวนตีนกูสักวันได้มั้ยเนี่ย แต่พอผมทำหน้าหน่ายโลกใส่ พี่มันก็หันมาปลอบโยนอย่างดี
“คืองี้นะ คาแร็กเตอร์ของพระเอกอ่ะ เขาอยากได้ผิวออกแทนหน่อย ก็เลยมองไปที่เดือนวิศวฯ ปีสาม กับหลีดวิทยาฯ ปีสอง คือหุ่นได้ หน้าได้ แต่ต้องมาลองแคสต์อีกทีว่าการแสดงจะโอเคหรือเปล่า” พี่แกพูดจบปุ๊บ ก้มมองดูสารร่างตัวเองปั๊บ ส่วนไหนในร่างกายของผมที่แทนบ้างวะ
นั่นเท่ากับว่าเปอร์เซ็นต์การได้บทพระเอกตอนนี้มีค่า...ติดลบอินฟินิตี้
“เฮ้ย ไปป์ มึงไม่ต้องเสียใจ บางทีมึงอาจได้บทพระเอกถ้าเล่นดีจนคนปฏิเสธไม่ลง แต่ถึงไม่ได้ก็ยังมีบทอื่นอีกนะเว้ย”
“บทห่าไรวะพี่”
“ก็บท...”
“ไปป์ ถึงคิวมึงแล้ว”
รุ่นพี่ปีสูงกวักมือเรียกให้เข้าไปในห้องแคสต์บท ผมจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินโพสต์ท่านายแบบเพื่อข่มให้คู่แข่งได้รู้ว่ากูเนี่ยแหละผู้ชนะ แต่พอเดินเข้าไปยืนต่อหน้ากรรมการซึ่งนั่งเรียงกันห้าคน พ่วงอาจารย์นิเทศฯ มาด้วยอีกหนึ่งแล้ว ใจทั้งดวงก็พลันห่อเหี่ยวเป็นแคบหมูโดนลมขึ้นมาทันที
“น้องไปป์ เดือนนิเทศฯ ปีสอง” รุ่นพี่มะตูมพึมพำชื่อผม
“หน้าตาโอเคอยู่นะ แต่ผิดคาแร็กเตอร์ไปนิดนึง มันมีบทอื่นที่เหมาะกับน้องมากกว่า”
“ให้ลองก่อน ถ้าได้ก็ไม่เสียหาย” คราวนี้เป็นเสียงของอาจารย์ที่แทรกขึ้น รุ่นพี่เลยพยักหน้าลุกขึ้นมายื่นกระดาษเอสี่แผ่นหนึ่งให้ผม ซึ่งมีบทสนทนายาวเหยียดอยู่ในนั้น
“คืองี้นะไปป์ บทพระเอกเนี่ยจะเป็นแบดบอยที่คาริสม่าสุดๆ โดยจุดเด่นคือคารมดี พูดหยอด พูดหวานใส่ชาวบ้านตลอด ประมาณว่าชอบโปรยเสน่ห์ไปทั่วน่ะ เราพอจะเล่นบทนี้ให้พี่กับอาจารย์ดูได้มั้ย”
“ได้ครับ”
เฮอะ! บทโปรยเสน่ห์นี่ผมถนัดเลยล่ะครับ อย่างที่บอกว่าค่อนข้างเชี่ยว เพียงแต่นานๆ ทีจะมีคนติดเบ็ด
ผมมองหน้านางเอกจำเป็นอย่างพี่มะตูมชั่วครู่ ก่อนจะหันไปกระแอมไอเพียงเล็กน้อย
“อะแฮ่ม!” จัดการพลิกกระดาษเอสี่ในมือขึ้นมา ท่องจำตัวอักษรตรงหน้าเอาไว้ พร้อมเริ่มแอ็กติ้งแบบเต็มสตรีม งานนี้แหละ เจมส์จิก็เจมส์จิเถอะ เจอไปป์จิเข้าไปต้องแหวกซ้ายเข้าข้างทาง
“เธอ...เธอชื่ออะไรเหรอ” ผมเอื้อมมือสะกิดไหล่ร่างบางที่กำลังหันหลังให้ ก่อนพี่มะตูมจะหันหน้ามามองด้วยแววตางงงวยตามบทแบบสมจริงสุดๆ
“ระ...รุ่นพี่วายุ!”
โอ๊ยยยยยย เจ้จัดหนักจัดเต็มมาก ตาเตอ หน้าเน่อไปหมด จนผมเชื่อเลยว่านางเอกมันตกใจความคาริสม่าของพระเอกจริงๆ แหม...ก็บทมันส่งให้ผมดูเป็นคนรัศมีเรืองรองขนาดนั้น ครั้นจะเล่นธรรมดาก็คงไม่ใช่ ผมเลยจัดการสะบัดจะงอยผมหน้าเรียกเรตติ้งซะเลย
“รู้จักพี่ด้วยเหรอครับ”
“ทะ...ทำไมจะไม่...ระ...รู้จักล่ะคะ พี่วายุภาคเครื่องแกง”
“ถุย!! เครื่องกล”
ผมอยากจะถามคนเขียนบทจับใจว่านี่ตั้งใจพิมพ์แบบนี้จริงๆ หรือแค่พลาดแป้นพิมพ์สะดุดกันแน่ พี่มะตูมน่ะไม่เท่าไหร่ครับ แค่ชะงักตรงผมเผลอถุยน้ำลายจริงจัง แต่กับกรรมการนี่ดิ หัวเราะยิ่งกว่านั่งดูเดอะเฟสรันเนอร์
กูนี่ใคร! กูทีมพี่ลูกกรอกนะเว้ย กล้าหัวเราะหรา
“ทุกคนครับ ตรงนี้ทีมงานน่าจะพิมพ์ผิด” ฟ้องเลย ผมรีบฟ้องทันที
“ไม่ผิดค่ะน้องไปป์ มหา’ลัยมาหารักเป็นละครเวทีแนวคอมเมดี้ หลังจากมะตูมพูดคำว่าเครื่องแกงปุ๊บ เราจะต้องทำเป็นหัวเราะแบบมีอินเนอร์ของความเจ้าชู้ แต่เรากลับถุยน้ำลายใส่” ผมอยากจะถุยอีกรอบให้มันรู้แล้วรู้รอดแม่ง แบบไหนที่เรียกอินเนอร์ของความเจ้าชู้วะ ช่วยขากเสลดให้คนโง่อย่างผมเข้าใจง่ายๆ หน่อย
“ขอโทษครับ งั้นผมขอเริ่มใหม่นะครับ อะแฮ่ม!”
“ไปป์หยุดก่อนนะ ไหนลองซีนนี้ให้พี่ดูหน่อย” พี่มะตูมรีบเบรกความตั้งใจของผมกะทันหัน ก่อนจะยื่นกระดาษอีกแผ่นมาให้ ซึ่งบนหัวกระดาษเขียนข้อความเอาไว้ว่า ‘บทอ้อน’
อ๋อยยยยย พระเอกเรื่องนี้มันขี้อ้อนด้วยเหรอวะ
“ให้ผมเล่นบทนี้เหรอครับ” ผมเริ่มไม่มั่นใจความเป็นตัวตนของพระเอกเรื่องนี้ละ สรุปไอ้วายุในเรื่องมันเป็นคนยังไงกันแน่
“ไปป์เริ่มเลย”
ผมกอบโกยออกซิเจนเข้าปอดเฮือกใหญ่ ควบคุมพลังลมปราณเอาไว้สุดความสามารถ ก่อนจะถลาเข้าไปหานางเอกและตั้งหน้าตั้งตาเล่นอย่างเต็มที่
“คุณ...” ผมพูดออกไปนิ่งๆ รอจนพี่มะตูมหันมาสนใจแล้วจึงพูดประโยคใหม่ออกมา
“...”
“คุณคร้าบบบบบ” ไม่พูดเปล่า ยังเสือกกะโหลกเล่นนอกบทด้วยการโน้มหัวไปซบบนไหล่ของอีกฝ่ายด้วย ฮ่อล เกิดมาผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแรดเท่านี้มาก่อนเลย
“กินอยู่ อย่าเพิ่งอ้อน” เจ้าตัวว่าพลางทำท่างับคอไก่อย่างมีความสุข คิดดู แม้แต่โลกมโนพี่มะตูมแกยังสามารถอร่อยไปกับความว่างเปล่าได้
“อ้อนไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้”
“มองหน้าก่อน” ผมสะกิดไหล่ก็แล้ว เรียกร้องความสนใจก็แล้ว เธอก็ยังทำหยิ่งไม่สนใจ
“...”
“ผมอร่อยกว่าไก่บอนชอนอีกนะ มองผมเถอะ”
“โอเค!” เสียงของใครคนหนึ่งแทรกขัดจังหวะ ก่อนห้องที่เคยเงียบสงบจะเต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจของบรรดากรรมการ
“ชัดเลย”
“อืม พี่ก็ว่าชัดนะ อาจารย์ว่ายังไงครับ”
“อาจารย์โอเค ยิ่งแคสต์ก็รู้สึกว่าเขายิ่งเหมาะ”
ผมนี่ยิ้มกริ่มเลย
“โอเค น้องไปป์ได้บทคู่จิ้นกับตัวละครอีกตัวนึงนะคะ”
“ฮะ!! แล้วบทพระเอกล่ะครับ” อารมณ์ของผมหลังจากได้ยินคำตัดสินจากกรรมการ บอกเลย...ตดล้วนๆ ไม่มีอะไรผสม
“มันไม่โอเคน่ะ เรายังไม่สตรอง” อื้อหือ แบบไหนถึงเรียกว่าสตรองครับรุ่นพี่ น้ำตากูจิพราก เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตกูอีกครัช มรสุมใหญ่เหรอ
“แล้ว...แล้วคู่จิ้นนี่คืออะไรครับ”
“คู่วาย ชายรักชายในเรื่องน่ะ”
“ฮะ!!”
“เดี๋ยวพี่จะรอแคสต์อีกคนก่อน ถ้าได้คงจะได้มาลองเข้าคู่กัน”
“พี่มะ...มองใคร...ไว้ครับ” ผมเบะปากเตรียมร้องไห้อยู่รอมร่อ หน้าสั่น ปากสั่นไปหมด แถมตอนนี้ตะคริวก็กำลังกินขาแล้วด้วย
“ตอนนี้พวกพี่มองไทม์เอาไว้อยู่ ไม่รู้ว่าจะมาเล่นให้มั้ย เพราะเขาค่อนข้างเก็บตัว”
“พูดถึงไทม์นี่อยากให้มาเล่นมาก รู้สึกเคมีน่าจะเข้ากับไปป์นะ”
“ถ้าจีบให้มาเล่นได้จริงๆ บัตรคงขายหมดตั้งแต่สามสิบนาทีแรกแล้ว”
เดี๋ยวนะ!
ไทม์ไหนวะ?
ไม่อยากเล่นแล้วอ่ะ แต่ก็ไม่สามารถยื่นหน้าด้านๆ ตอบกรรมการไปว่าไม่เอาแล้ว เพราะนอกจากจะโดนแบนจากรุ่นพี่ ไม่แน่ว่าอาจารย์ก็อาจผิดหวังในตัวเราด้วย
“ขอบคุณมากนะไปป์ พรุ่งนี้พี่จะนัดอีกทีตอนได้นักแสดงครบแล้ว”
“ครับ สรุปบทพระเอก”
“ไม่ได้ค่ะ”
“แต่ได้บท...”
“คู่จิ้นชายรักชายค่ะ โชคดีนะ เราเล่นบทอ้อนได้น่ารักมากเลย”
“หมายความว่า...”
“หมายความว่ายังไงก็ได้เล่นบทนายเอกค่ะ เดี๋ยวพี่หาพระเอกน้องก่อนนะ รอแป๊บนึง”
เผยอปากแรง ไม่รู้จะถามอะไรกลับไป แถมพี่แม่งก็กำลังหาคู่จิ้นให้อีกด้วย อ๊ากกกกกกกกกกก
จากบทพระเอกเปลี่ยนเป็นคู่จิ้นสุดฟิน
ชีวิตผมพลิกผันเหลือเกิน
หลังเลิกเรียนผมได้รับไลน์จากพี่มะตูมให้มารวมพลที่ห้องซ้อมการแสดง ซึ่งก็เป็นไปตามคาดครับ วันนี้คงเป็นวันที่เราทุกคนต้องหันหน้าแนะนำตัวกันอย่างจริงๆ จังๆ บางคนก็รู้จักมักคุ้นกันดี แต่บางคนแทบไม่รู้เลยว่าอยู่มหา’ลัยเดียวกันด้วย
ถึงแม้ว่าผมจะได้เล่นบทเกย์อย่างไม่คาดหวัง ทว่าอย่างน้อยพระเจ้าก็เห็นใจคนอกหักรักคุดด้วยการดลบันดาลให้แป้ง อดีตว่าที่แฟนเก่าของผมตกรอบแคสติ้งไปตั้งแต่เมื่อวาน มันก็เลยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง
จากที่ลองถามไถ่ใครหลายๆ คนดู พระเอกของเรื่องเป็นหลีดคณะวิทยาศาสตร์ครับ คมเข้มอย่างที่กรรมการอยากได้ ส่วนนางเอกเป็นสาวน้อยหน้าใสคนธรรมดาที่ไม่มีตำแหน่งอะไรเลย แต่มีเสน่ห์และร้องเพลงเพราะมากๆ ไอ้ไปป์ยอมใจ
เอาล่ะ รู้บทเด่นไปหมดแล้ว ถ้าเป็นตัวประกอบต้องบอกเลยว่ารู้จักเกือบหมด ไอ้แม็กเล่นเป็นคนสวน น้องเอ็มเล่นเป็นอาจารย์สอนมวยไทย ไหนจะพี่เคประธานรุ่นปีสาม แกก็ไม่พลาดคว้าบท รปภ. เฝ้าตึกไปครอง
หูยยยย นั่นพี่จิตติดาวมหา’ลัยปีสามก็มาแคสต์บทด้วย แต่ดันได้เล่นเป็นคนรับใช้นางเอก -_-
ส่วนคู่จิ้นของผม...
ไม่รู้ครับ
ไม่เห็นมีใครพูดถึง ถามใครเขาก็บอกไม่รู้เรื่อง สรุปผมต้องเล่นกับคนหรือวิญญาณ ตอบ!!
“เอาล่ะ มาครบกันหมดแล้วนะคะ” เสียงของพี่มะตูม แม่งานใหญ่ของละครนิเทศฯ ปีนี้โพล่งขึ้น ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพูดชั่วขณะและหันไปให้ความสนใจกับคนตรงหน้าแทน
“ละครเวทีนิเทศฯ ปีนี้มีชื่อเรื่องว่า มหา’ลัย มาหารัก นักแสดงมีทั้งหมด 47 คน”
“หูยยยยยยยยยย” เยอะเว่อร์วังอลังการ ทำเอาหลายคนถึงกับส่งเสียงร้องออกมาทันที นี่แค่นักแสดงนะครับ ไม่รวมทีมงานฝ่ายอื่นๆ อีกเกือบร้อยชีวิต
“ก็เพราะคนเยอะเนี่ยแหละ เราเลยต้องมีกิจกรรมทำความรู้จักและละลายพฤติกรรม แต่ก่อนที่จะไปถึงตอนนั้น เดี๋ยวพี่จะให้เพื่อนช่วยกันแจกบทคร่าวๆ ของละครให้ก่อน และก็มีการแนะนำตัวนักแสดงหลักๆ ด้วย ซึ่งมีอยู่สองคู่นะคะ เริ่มที่พระเอกและนางเอกของเรื่องก่อนเลย”
“วี้ดวิ้วววววววววววววว แปะๆๆ” เด็กหนุ่มผิวเข้มกับน้องนางเอกหน้าหมวยลุกขึ้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พลางเดินไปยังด้านหน้าเพื่อให้พี่มะตูมช่วยแนะนำ
“นางเอกชื่อน้องพราว ปีหนึ่ง รับบทเป็นครีม ส่วนพระเอกชื่อน้องต้น ปีสอง รับบทเป็นวายุ”
“สวัสดีครับ/ค่ะ”
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวประมาณสิบวินาที ก่อนจะหยุดลง หลังจากนั้นพี่มะตูมสุดสวยก็กราดสายตาไปมาและหยุดอยู่ตรงหน้าของผมอย่างจัง แหงก! อย่าบอกนะ...
“คู่รองอีกคู่หนึ่งที่ปีนี้คงเป็นสีสันของงานมากๆ น้องไปป์เดือนนิเทศฯ ปีสอง รับบทเป็นอาร์ต และ...”
“...”
เงียบกริบ ไม่ใช่เพราะผมไม่น่ากรี๊ดครับ แต่เพราะโดนบิลด์ให้เดินออกมาคนเดียว ส่วนพี่มะตูมก็เล่นชะงักกึกอย่างกับนาฬิกาถ่านหมด
คู่จิ้นผมหายครับ นี่เริ่มมั่นใจจริงๆ แล้วว่าคงต้องได้เล่นกับสสารบางอย่างที่เข้าข่ายคำว่าวิญญาณชัวร์
“ไปป์ไม่เห็นไทม์เหรอ” เจ๊แกกระซิบถาม
“ไทม์ไหนผมยังไม่รู้จักเลย จะให้ผมเห็นได้ยังไงล่ะ”
“เพียว มึงโทรตามเพื่อนมึงด่วน ไหนบอกว่าตกลงแล้วไง อย่าเบี้ยวนะ กรี๊ดดดดดด” เป็นหนักมากครับ หายไปคนเดียวหาคนใหม่มาแทนยังได้เลยเหอะ
“เดี๋ยวมันมา อาจารย์นิติฯ ปล่อยช้า”
-
ก๊อกๆๆ
ยังไม่ทันที่ความงงเก่าจะจางหาย ความงงใหม่ก็เข้ามาแทนที่ด้วยเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะชะชะช่า ทุกสายตาจับจ้องไปยังต้นเสียง นึกภาพตามนะ เพลง Hello ของ Adele บรรเลงขึ้น พร้อมกับภาพของใครคนหนึ่งที่เดินเข้ามาภายในด้วยท่าทางสโลโมชั่น
“อร๊ายยยยยยยยยย >///<”
“พี่ไทม์จริงอ่ะ”
เดี๋ยวนะ เพราะเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด ผมเลยไม่แน่ใจว่าทำไมบรรดาชาวประชาทั้งหลายที่อยู่ในห้องถึงพากันกรี๊ดแตกขนาดนี้ แต่พอร่างสูงของคนมาใหม่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าเย็นชาโคตรๆ ผมก็รู้ในทันที...
ไอ้สัด! คาริสม่าของจริง
ส่วนสูงถ้ากะจากสายตาไม่น่าจะต่ำกว่า 185 เดี๋ยวก่อนนะ...หนึ่ง สอง สาม หักนิ้วจนแทบพลิกเพื่อนับว่าสุดท้ายผมพบว่าตัวเองนั้นเตี้ยกว่ามันสิบกว่าเซ็นต์ เชี่ย เคมีในตำนาน!
มันเดินมาแล้ว เดินมาอยู่ข้างกูด้วย อ๊ากกกกกกกกกกกกกก เกิดการเปรียบเทียบ
จากออร่าเดือนจู่ๆ ก็ดร็อปไปเป็นพลูโตเลยสัด -_-
ไอ้ไทม์อะไรนี่คงไม่ใช่เดือนคณะแน่ๆ เพราะผมมั่นใจว่ารู้จักรุ่นพี่เดือนนิติฯ แทบทุกชั้นปี แต่กับคนคนนี้แม่งเป็นใครวะถึงมาแย่งซีนทุกคนไปได้ง่ายๆ
“มาแล้วนะคะ นี่คือพี่ไทม์ นิติฯ ปีสี่ รับบทเป็นวิน”
“ฮ่อลลลลลลลลลลล”
ลืมกูไปเลย มัวแต่มองหน้าคนมาใหม่แต่ช่วยได้โปรดมองมาที่ผมคนนี้สักวินาทีเถอะครับ สามัญชนอย่างไอ้พี่ไทม์นิติฯ มีดีแค่หน้าตา แต่ลีลาสู้ผมไม่ได้หรอก บอกเลย
“อ่ะ เห็นหน้าค่าตานักแสดงหลักไปแล้ว ที่เหลือเรามาเข้าสู่กิจกรรมทำความรู้จักกันดีกว่า” ผมได้แต่มองคนตัวสูงกว่าข้างๆ ตาปริบ รอให้อีกฝ่ายพูดทักทายกลับมา เพราะตอนนี้ผมได้ยื่นไมตรีส่งยิ้มให้แล้ว ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจกัน สุดท้ายผมเลยตัดสินใจเป็นฝ่ายทักเอง
“ดี ชื่อไปป์นะ พี่ชื่อไทม์ใช่มั้ย”
“...” เงียบ
“แบบเราเล่นคู่กันว่ะ เป็นคู่จิ้น”
“...”
ไอ้ไทม์หันมามองผมชั่วครู่ จากนั้นมันก็เดินผละออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ เหยดเข้!! นี่หยิ่งหรือหูตึง ตอบ!
แต่ในเมื่อดีมาไม่ยอมดีกลับ เรื่องอะไรคนอย่างไอ้ไปป์จะสุงสิงด้วย ผมรีบเดินแยกกับคนหยิ่งอย่างมันกลับเข้าไปนั่งในแถว ระหว่างนั้นพี่มะตูมกับทีมงานก็พูดอะไรไม่รู้ต่อ ซึ่ง...อยากสนใจนะว่าเขาต้องการสื่ออะไร แต่มันดันถูกกลบด้วยเสียงจอแจของบรรดาคนในห้องมากกว่า
เชื่อป่ะ หลายคนที่ผมหมายตาก็ยังเข้าร่วมวงสนทนาพูดคุยกันอยู่เลย
“โคตรตื่นเต้น เพิ่งรู้ว่าพี่ไทม์เล่นด้วย”
“ที่สุดในสามโลก คนอะไรโคตรน่าค้นหาเลย ตอนปีหนึ่งสอบแอดมิชชั่นเข้ามาได้เป็นอันดับหนึ่งของคณะ แถมยังฟาดเกรด 4.00 มาทุกเทอมอีกต่างหาก เก่ง หล่อ รวย ครบ!”
“ใช่ๆ พ่อเป็นอัยการ ทีมไทม์ครบนะคะ ก็เห็นปกติพี่เขาไม่ค่อยสุงสิงกับใครไง พอโผล่มาในกองละครเวทีปุ๊บมีหวังขึ้นมาทันที”
“หวังอะไรจ๊ะ ระวังดาวทันตฯ ปีสองตามกระชากหนังหัวเธอแทนนะ”
“เดี๋ยว!” ฉับพลันผมตะโกนขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ เข้าใจว่าคงเป็นรีเฟล็กต์หลังจากได้ยินคำว่าดาวทันตฯ คือผมค่อนข้างเซนซิทีฟกับคำนี้มากครับ
“อะไรเหรอไปป์”
“ดาวทันตฯ ปีสอง เกี่ยวอะไรกับพี่คนนั้น”
“เขากำลังคุยๆ กันอยู่”
“...!!”
“ไปป์ตลกอ่ะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เออ ตากูแทบถลนแล้วเนี่ย
“ไม่ใช่คนชื่อแป้งใช่มั้ย”
“แป้งน่ะสิ ดาวทันตฯ ปีเราก็มีแป้งแค่คนเดียว แต่เอ๊ะ! เขาเคยคุยกับไปป์นี่นา แล้วมาเล่นกับพี่ไทม์จะไม่มีปัญหาเหรอ”
“ไม่! เรากับแป้งไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“...”
“ยังไงก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว!”
ใช่มั้ย ไอ้พี่ไทม์...
ผมแยกแยะได้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ไม่ได้เป็นพวกชอบเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับงาน ดังนั้นมันจะมีปัญหาได้ยังไง
ทีมผมต้องสตรอง
“ไทม์ไปป์ มานั่งตรงข้ามกันค่ะ เราจะทำกิจกรรมแล้ว” อย่าเรียกชื่อผมติดกับมันได้ป่ะครับ เสนียด!
ความขุ่นเคืองให้เก็บเอาไว้ในใจ กูจะไม่ระเบิดมันออกมาให้เสียภาพลักษณ์ตัวเองแน่ๆ คิดได้อย่างนั้นก็รีบเดินกระทืบส้นเท้ามายืนต่อหน้าไอ้คนหน่ายโลก ก่อนจะทิ้งตัวนั่งขัดสมาธิตรงข้ามกัน
ด้วยนักแสดงที่มีมาก ดังนั้นพี่มะตูมจึงแบ่งเราออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มนักแสดงหลักกับตัวประกอบ ซึ่งผมกับไอ้ไทม์เนี่ยจัดอยู่ในหมวดแรกครับ เรานั่งเรียงเป็นแถวตอนสองแถว แถวละสิบคน จากนั้นก็นั่งหันหน้าเข้าหากัน
เอาซี้!! ถ้ามึงอยากจะไฝว้
“เอาล่ะ พี่จะให้ในกลุ่มตั้งคำถาม อยากถามใครก็แค่เรียกชื่อแล้วคนที่ถูกเรียกก็ต้องตอบคำถาม ทำแบบนี้สลับกันไปมาเรื่อยๆ เพื่อทำความรู้จักกันนะ แล้วเดี๋ยวพี่จะบอกหยุดเอง เริ่มได้ค่ะ” สิ้นเสียงเจ๊สุดรัก กิจกรรมก็เริ่มต้นขึ้นโดยใครคนหนึ่ง
ตอนแรกผมกะขอเบอร์สานสัมพันธ์กับเธอด้วยแหละ แต่พอไอ้ไทม์โผล่เข้ามา ผมเลยยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อไฝว้กับมันคนเดียว
“ถามพี่ไทม์”
“อูยยยยยยยย” กองเชียร์ก็แซวกันใหญ่
“ครับ”
“ทำไมไม่เป็นเดือนคณะคะ” เกี่ยวเหรอ ผมได้แต่หรี่ตามองป้ายชื่อบนอกของผู้หญิงคนนั้น เธอชื่อปราง
“ไม่หล่อครับ”
“โว้วววววววววว” เสียงร้องอื้ออึงดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงตบเข่าฉาดใหญ่
“ไม่จริงอ่ะ ใครๆ ก็บอกว่าปีนั้นถ้าพี่ประกวดเดือนคณะคงได้เป็นเดือนมหา’ลัยเลยนะ”
“น้องคนเดิมถามพี่ขอไม่ตอบนะ จิตติอยู่ปีอะไร” จากนั้นคุณความมั่นหน้าก็หันไปถามคนอื่นต่อ ทิ้งให้ปรางน้อยที่แสนร่าเริงทำหน้าหงอยขึ้นมาทันที
“ปีสามค่ะ ต่อไปถาม...น้องวุฒิอยู่ปีหนึ่งใช่มั้ย ชอบกินกล้วยหรือเปล่า” กูล่ะเกลียดคำถามดาวมอจริงๆ
“ไม่ชอบครับ ชอบกินแต่ละมุด พี่ไปป์!” อ้าว ตากูแล้วเหรอ
“ว่ามา”
“เสียใจมั้ยได้บทคู่จิ้น ตอนแรกพี่มาแคสต์บทพระเอกไม่ใช่เหรอ” แรงงงงงงงงงงงง
“เสียใจ” ตอบตรงๆ ไปเลย อ้อมไม่ได้เดี๋ยวหลง ถุย
“ไปป์ถามต่อเลย”
“ถามพี่ไทม์...” แค่เรียกชื่อ สงครามเย็นก็บังเกิดแล้วมึงเอ๊ย สายตาของผมกับมันผสานกัน จดจ้องราวกับจะดูว่าใครจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หลบตาไปก่อน ซึ่งแน่นอน...ผมแพ้ว่ะ รู้สึกแสงในห้องมันจัดเลยเคืองตานิดหน่อย
“คิดว่าหล่อแล้วหยิ่งได้เหรอ” ทันทีที่ผมโพล่งคำถามออกมา ความเงียบในแถวก็บังเกิดขึ้นทันที
“ไม่ได้หยิ่ง แต่กูจะไม่คุยกับคนที่ไม่สนิท งั้นกูถามมึงต่อ...”
“...”
“คิดว่าสนิทกับกูพอหรือยัง”
“สนิทหรือเปล่าไม่รู้ แต่ก็พอจะรู้ว่าคนที่ชอบตัดหน้าแย่งคนคุยของคนอื่นเป็นไง ถามพี่ต่อเลย”
“...”
“รู้สึกดีมากมั้ยที่ทำลงไป”
“รู้ได้ยังไงว่าแย่ง กูยังไม่มีแฟนเลยนะเว้ย มึงเรียกว่าแย่งเหรอ”
“อูยยยยย พี่ไทม์ไม่มีแฟน พี่ไทม์ไม่มีแฟน” เสียงฮือฮาภายในห้องทำให้ผมปวดหัว ต้องนั่งสงบสติอารมณ์อยู่นานกว่าอาการดีใจจนออกนอกหน้าของคนโดยรอบจะเงียบลง
“ถามต้น กลัวหวั่นไหวกับน้องพราวมั้ย เห็นเล่นคู่กัน”
“ผมคิดว่าไม่ ถามไปป์” กูอีกละ...
“...”
“เล่นเป็นคู่จิ้นไม่กลัวหวั่นไหวกับพี่ไทม์บ้างเหรอ”
“ไม่! ถามพี่ไทม์ พี่ก็ไม่มีทางหวั่นไหวใช่มั้ย แม่งไร้สาระว่ะคำถามนี้” ใช่! กูถามออกมาได้ยังไงวะ
แต่เจ้าตัวกลับนิ่ง และทุกคนก็คาดหวังจะได้ยินคำปฏิเสธจากปากหมอนี่เหมือนกัน
“ความเห็นแต่ละคน ถึงแม้ว่าจะดูไร้สาระ แต่มันก็ไม่เสมอไปหรอก”
“...”
“บางที คนที่พูดว่าจะไม่ไหวหวั่น มันห้ามความรู้สึกไม่ให้หวั่นไหวอย่างที่ปากพูดไม่ได้นะเว้ย”
เชื่อป่ะ แค่หน้าเฉยๆ กับการพูดประโยคชวนอ้วกของมัน แทนที่จะทำให้ผมเบะปากแล้วด่าเป็นฟืนเป็นไฟในใจได้ แต่สุดท้ายผมกลับ...รู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
หรือนี่จะเป็น...
การแสดงบทคู่จิ้นโดยไม่มีการเตี๊ยมกันก่อน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง
ไอ้ไทม์ก็คงเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุด
“เหนื่อยโว้ยยยยยยยยย”
“เป็นเชี่ยไรมึง ไอ้ไปป์”
“เหนื่อยเรียน แล้วยังมาเหนื่อยซ้อมละครอีก”
“ได้ข่าวว่าวันนี้เพิ่งวันแรก มึงชิงเหนื่อยก่อนแล้วเหรอวะ” ไอ้พวกเพื่อนอย่างมึงที่กลับห้องไปก็เล่นแต่เกมแม่งไม่เข้าใจกูหรอก สามวันเต็มๆ ที่เราต่างทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมและซ้อมบทแยก รังสีความเหนื่อยก็แผ่ซ่านออกมาแล้ว
แต่สำหรับวันนี้มันหนักกว่านั้นครับ เพราะบทที่ได้รับมาบอกได้เป็นอย่างดีว่าผมจะต้องซ้อมบทกับคู่จิ้นรักหักเหลี่ยมโหดอย่างไอ้พี่ไทม์ ศัตรูคู่อาฆาตที่อยากฆ่าให้ตายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“พวกมึงแม่งไม่เข้าใจหรอก”
“มีปัญหาอะไรก็บอกดิวะ บ่นพึมพำแบบนี้กูจะตรัสรู้มึงมั้ย” ผมหรี่ตามองก๊วนเพื่อน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“มึงจำแป้งได้มั้ย”
“อ่ะฮะ”
“นั่นแหละ แป้งชอบไอ้คนนั้น คนที่รับบทเป็นคู่จิ้นกูอ่ะ”
“เหยดดดดดดดด”
“แล้วมึงจะให้กูทำยังไงวะ”
“เอาน่า ไม่ต้องไปสนใจหรอก สนใจภารกิจหาคนคุยใหม่เพื่อเย้ยแป้งจะดีกว่ามั้ย” แก๊งเหาตบบ่าผมปุๆ แล้วพากันแยกย้ายจากไปก่อนทิ้งผมไว้ให้ยืนเคว้งเพียงลำพัง พยายามรำลึกคำพูดของพวกมันตลอดเวลาเพื่อถามว่า...ความห่วงใยอยู่ตรงไหน ไอ้สัด!
“ไทม์ไปป์ ซีนนี้เป็นซีนที่ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกันครั้งแรก แล้วในเรื่องอ่ะ ไปป์ที่รับบทเป็นอาร์ตจะแอบชอบไทม์ที่รับบทเป็นวิน ดังนั้นพี่ขออินเนอร์ของคนแอบรักนะ” คราวนี้คนเขียนบทมาเองเลยครับ
ผมก็พยักหน้าไปส่งๆ เท่านั้น ก่อนเราจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว และทิ้งระยะห่างไว้เพียงเล็กน้อย
“สาม สอง แอ็กชั่น!”
หลังจากได้ยินคำสั่งจากรุ่นพี่ ผีการแสดงก็เข้าสิงร่างกูทันที ผมหันหน้าไปมองเสี้ยวหน้าของไอ้ไทม์ชั่วครู่ บอกตรงๆ...เห็นแล้วหัวใจจะวาย ร้อนหน้าร้อนตาฉิบหาย แต่พอนึกได้ว่ากำลังเล่นละครอยู่ ผมเลยก้มลงเขียนอะไรยุกยิกลงบนกระดาษ และส่งต่อให้คนตัวสูง
ส่งต่อ...โดยที่ทำได้แค่วางเศษกระดาษสีขาวไว้ตรงพื้นที่ว่างบนเก้าอี้เฉยๆ
ดูเป็นนายเอกที่น่ารันทดเนอะ
ตามบทไอ้ไทม์มันจะต้องทำเป็นไม่สนใจ และผมก็จะสะกิดไหล่มันเบาๆ
“นาย...”
“อะไร”
O_O
เกลียดที่มันหันมาแล้วทำตาเยิ้มแบบนั้น เป็นไงล่ะ ผมนี่อึ้งไปเลยครับ
“คือ...” ว่าพลางชี้ไปยังกระดาษสีขาวตรงนั้น
“ให้เราเหรอ”
“อื้ม”
ไอ้พี่ไทม์เอื้อมมือมาหยิบเศษกระดาษที่ผมเขียนข้อความเอาไว้ ความจริงมันควรจะว่างเปล่านั่นแหละ แต่คนเขียนบทบอกให้เล่นเสมือนจริง ดังนั้นผมจึงเขียนตามสคริปต์ล้วนๆ
เราชื่ออาร์ต
“เราชื่ออาร์ต”
เสียงคนพากย์ด้านหลังอ่านข้อความนี้ขึ้นมา ก่อนร่างสูงจะเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วจึงหันไปเขียนข้อความอะไรสักอย่างขยุกขยิก
ชื่อวิน
“ชื่อวิน” ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่น บอกเลยว่าซีนนี้เป็นซีนเปิดฉากของเราทั้งคู่ ดังนั้นมันจึงเป็นการทำความรู้จักกันตามแบบฉบับเลี่ยนๆ แล้วผมก็ต้องพร้อมตายไปกับการพลีชีพได้ทุกเมื่อ
ผมก้มลงฉีกกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง จากนั้นก็เหมือนเดิมครับ เขียนข้อความลงไป
เราเห็นนายมานานแล้ว นายน่ารักดี
“เราเห็นนายมานานแล้ว นายน่ารักดี”
ไอ้ไทม์หยิบไปอ่านพลางยิ้มกรุ้มกริ่มตามบท ซึ่งผมก็ไม่อะไรหรอก นอกจากรอว่าอีกฝ่ายจะเขียนข้อความกลับมาเมื่อไหร่ มันเป็นซีนที่ค่อนข้างนาน แล้วรุ่นพี่ก็ไม่ยอมสั่งคัตสักที
ขอบคุณ
“ขอบคุณ”
นายมีแฟนหรือยัง
“นายมีแฟนหรือยัง”
ยัง
“ยัง”
ถ้าอย่างนั้น เราจะชอบนายได้มั้ย
“ถ้าอย่างนั้น เราจะชอบนายได้มั้ย”
ฉากเปิดตัวของผมกับไอ้ไทม์เป็นฉากสารภาพรักครับ และคำตอบที่ได้ก็ต้องเป็นการปฏิเสธแบบตัดบัวไม่เหลือเยื่อ เนื่องจากเป็นฉากอกเดาะของนายเอกกับรักข้างเดียว และหลังจากนั้นเรื่องก็พลิกผัน สองปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ไอ้อาร์ตคนนั้นแปลงโฉมกลับมาหาวินอีกครั้ง ซึ่งผมก็รอให้ไอ้พี่ไทม์มันเขียนคำปฏิเสธกลับมาอยู่
อืม...
“ไว้ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะ”
คนพากย์ยังคงทำหน้าที่ต่อไป ซึ่งรู้มั้ยครับว่าสิ่งที่พูดกับสิ่งที่อีกฝ่ายเขียนมันคนละเรื่องกันเลยนะเว้ย เฮ้ย! มั่วซั่วไปหมดแล้ว
แม่งนอกบท
และไอ้ไทม์นิติฯ ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาเขียนกระดาษแผ่นต่อไป โดยไม่มีใครคิดขัดจังหวะ คนพากย์ก็งงสิครับ บทมันจบถึงแค่นี้แล้วก็ตัดมาที่ผมวิ่งร้องไห้เข้าหลังฉากไป แต่ตอนนี้ผมกลับไปไหนไม่ได้เพราะมันยังเขียนไม่เสร็จ
อนุญาตให้ชอบ
ผมก้มเขียนกระดาษแผ่นต่อมา แล้วส่งต่ออย่างรวดเร็ว
เล่นเหี้ยอะไรเนี่ย ไม่ตลกนะ
แล้วมันก็ส่งกลับมาอีก
โกรธ เกลียด รำคาญ มีความสุข อยากหัวเราะ รู้สึกแบบไหนกับกูบอกได้เสมอ
ผมเริ่มชักสีหน้าใส่ แต่เจ้าตัวก็ยังไม่หยุดเขียน โชคดีหน่อยที่กระดาษโน้ตของมันเป็นแผ่นสุดท้ายแล้ว ดังนั้นต่อให้อยากนอกบทยังไงมันก็ต้องจบลงเร็วๆ นี้ มือหนายื่นกระดาษแผ่นสุดท้ายมาให้ มีหลายอย่างที่กำลังตีวนอยู่ในหัว หลายอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกกับใคร โดยเฉพาะผู้ชายด้วยกันเอง
กลัว กลัวจนไม่กล้าอ่าน แต่เพราะเป็นการแสดงผมจึงต้องพลิกกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านอย่างจำใจ
แต่ถ้าหวั่นไหวเมื่อไหร่ มาเป็นแฟนกันนะ
อะไร อะไร อะไร!
ทำไมไม่สั่งคัตสักทีวะ!!
หัวใจ...ไม่สามารถควบคุมไม่ให้หวั่นไหวอย่างที่มันเคยบอกไว้ได้จริงๆ
-
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป...
นับวันความรู้สึกของผมกับรุ่นพี่ปีสี่อย่างไอ้ไทม์ก็ยิ่งกวัดแกว่ง อาจเป็นเพราะผมยังทำใจให้ชินกับการรับบทเป็นคู่จิ้นไม่ได้ล่ะมั้ง อะไรๆ มันถึงได้แปลกไปหมด ความรู้สึก การกระทำ การเข้าฉาก อายส์คอนแท็กต์ หรือแม้แต่การสกินชิพ มันไม่เหมือนความรู้สึกของผู้ชายสองคนที่ควรเป็นนักแสดงเลย
มันมากกว่านั้น แต่ผมบอกไม่ถูก
ลืมไปเลยเรื่องหาคนคุย เพราะทุกวันนี้ผมคิดว่าตัวเองขาดทุนมากกับการถูกไอ้พี่ไทม์จับแก้มที ขยี้หัวที บอกเลยใครไม่รู้สึกอะไรก็บ้าแล้ว
แต่ผมก็ไม่เคยถามอีกฝ่ายเลยสักครั้ง ประกอบกับพี่มันเป็นคนไม่ค่อยพูด พอซ้อมจบก็แยกย้ายกันกลับไม่มีใครพูดอะไรต่อ ดังนั้นทุกอย่างเลยค้างคาจนทุกวันนี้
“เลิกกองค่าาาาาาา”
“เย่!!” เสียงสวรรค์ประทาน ทำให้นักแสดงและทีมงานหลายสิบชีวิตกุลีกุจอเก็บกระเป๋าพัลวัน เพราะนางเอกกับพระเอกของเรื่องเขาเล่นซีนสำคัญจบแล้ว ส่วนผมที่เล่นเข้าคู่กับคนตัวสูงไปเมื่อตอนหัวค่ำก็ไม่มีฉากไหนให้เล่นต่อเหมือนกัน ดังนั้นเราต่างต้องแยกย้ายกันกลับเหมือนเดิม
“ไปป์เลิกแล้วไปไหนต่อ” พี่มะตูมเดินมาถาม
“ว่าจะไปกินข้าวครับ”
“อ้าว ไม่ได้กินข้าวกล่องที่ซื้อมาแจกเหรอ”
“อ๋อ พอดีมันมีต้นหอมอยู่ในนั้นเยอะไปหน่อย ผมเหม็นเขียวก็เลยไม่ได้กิน ขอโทษนะครับ” พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าผมกินไม่ลง กลืนแล้วจะตาย มันไม่อร่อยเลย
ไม่มีใครอยากเกิดมาเกลียดต้นหอมหรอกจริงมั้ย แต่แม่งดันเสือกมาอยู่ในอาหารเกือบทุกชนิด
“ไม่เป็นไร คราวหลังก็บอกนะ ขับรถดีๆ ล่ะ”
“เหมือนกันนะครับ”
ผมโบกมือให้พี่ตัวเล็กจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินจากไป ส่วนตัวเองก็เตรียมควานหากุญแจรถในกระเป๋าอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน เพราะตอนนี้กูหิวจนจะแดกช้างทั้งตัวได้อยู่แล้ว
“อ่ะ!” ใครบางคนยื่นกล่องข้าวมาให้ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่ามันคือไอ้พี่ไทม์
“อะไรอ่ะ”
“รองเท้ามั้ง หิวก็เอาไปกินสิ” กวนตีน! พี่มันกวนตีนเป็นด้วยว่ะ ปกติถามคำตอบคำ ไม่สนิทจริงก็ไม่พูดด้วยเหมือนที่เคยบอกเอาไว้จริงๆ แต่วันนี้...มาแปลก
“ข้าวกล่องที่แจกผมกินไม่ได้ พี่เก็บไว้กินเถอะ”
“เปล่า ข้าวผัด ไม่มีต้นหอม”
“...!!”
“เอาไปกินเถอะ”
“วันนี้กองเราไม่มีข้าวผัด พี่ออกไปซื้อเหรอ”
“พอดีกูอยากกินสองกล่อง แต่กินไปกินมามันอิ่ม ก็เลยเหลือกล่องนึง”
“นี่เหลือเหรอ”
“อืม ของเหลือ ไม่กินก็ได้นะ”
“ก็เอามาให้แล้วนี่หว่า” ผมเดินกลับไปนั่งตรงม้านั่งตัวยาวใต้ตึกนิเทศฯ วางข้าวกล่องไว้บนโต๊ะและจัดการเขมือบอย่างรวดเร็ว เชื่อป่ะ...ข้าวแม่งยังร้อนเหมือนเพิ่งซื้อใหม่มาอยู่เลย
“พี่ไทม์” ผมถามคนตรงหน้าที่เดินตามมานั่งด้วยกัน
“หืม”
“กล่องข้าวนี่มันเก็บความร้อนในตัวเหรอ”
“ทำไม”
“ข้าวมันยังร้อนอยู่เลย”
“คงงั้นมั้ง”
“พี่”
“อะไรอีก”
“ทำไมไม่คบกับแป้ง”
“มันไม่ใช่เรื่องของมึงป่ะวะ”
“ใช่ดิ นั่นแฟนเก่าผม ไม่ดิ เกือบเป็นมากกว่า ถ้าพี่ไม่เข้ามา”
“กูอยู่ของกูดีๆ อยู่ในโลกที่เป็นของกู มีเพื่อน มีสังคมเล็กๆ ที่ไม่วุ่นวาย กูไม่ได้เรียกร้องให้เขาเข้ามาในชีวิตของกูสักหน่อย” เออ เข้าใจ แต่ความคาริสม่าของมึงไงทำให้หลายคนยอมแลก
“แล้วตอนนี้...”
“เขาคงมีแฟนใหม่ไปแล้ว”
“พี่ไม่ชอบแป้งเหรอ สวยนะเว้ย ดาวคณะเลยนะเว้ย แถมเรียนทันตฯ อีกต่างหาก”
“งั้นถามหน่อย”
“...”
ผมจ้องหน้าคนตรงข้ามเขม็ง แววตาจริงจังคู่นั้นทำให้มือที่จับช้อนสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่
“กูเนี่ยหล่อนะเว้ย เก่งนะเว้ย แถมเป็นอันดับหนึ่งของนิติฯ อีกต่างหาก”
“...”
“มึงไม่ชอบบ้างเหรอวะ”
หนึ่งเดือนผ่านไป...
แฟนเพจออฟฟิเชียลของละครนิเทศฯ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อวันก่อน และตอนนี้ยอดไลค์คนติดตามก็ปาไปถึงห้าพันกว่าคนในเวลาไม่นาน ถือว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดเลยก็ว่าได้
จากกำหนดการแล้ว ประมาณสัปดาห์หน้าเราจะเริ่มเปิดขายบัตรกัน ซึ่งสถานที่แสดงก็คือโรงละครของมหา’ลัย ที่จุคนได้ประมาณ 1,500 คน เราเปิดการแสดง 3 รอบซึ่งก็คือวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ แน่นอนวันนั้นคนก็คงจะเยอะจนน่าปวดหัว
รุ่นพี่นิเทศฯ ที่เป็นแอดมินเองก็เริ่มโปรโมตเพจด้วยการลงรูปคู่พระเอกนางเอกเรียกน้ำย่อย แน่นอนว่าไลค์ก็เหยียบพัน เพราะความฮอตแบบเว่อร์วังอลังการ ส่วนวันนี้คงเป็นคู่ผมกับไอ้พี่ไทม์ ซึ่ง...เมื่อวันก่อนเราเพิ่งไปถ่ายโปสเตอร์กันมาอยู่เลย คิดว่ารูปโปรโมตคงเป็นโปสเตอร์นั้น
“ไปป์วางมือถือก่อน มาซ้อมซีนนี้หน่อย” ผู้กำกับอย่างพี่โยร้องเรียก แกเป็นผู้ชายห่ามๆ ที่เข้ามามีบทบาทกับทุกคนในกองมาก
“ครับๆ จะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”
“อ่านบทมายัง”
“อ่านแล้วครับ ซีนนี้ผมต้องไปคุยกับน้องต้น” คือในเรื่องไอ้อาร์ตเนี่ยเป็นเพื่อนสนิทกับพระเอกของเรื่องอย่างไอ้วายุครับ ส่วนไอ้วินที่รับบทโดยพี่ไทม์มันหลงรักนางเอกข้างเดียว สรุปก็ผิดฝาผิดตัวกันนั่นแหละ
“ยังไม่ถึงตอนนั้น”
“ว่าไงนะครับ”
“คนเขียนบทเขาขอเพิ่มฉากใหม่เข้ามา นี่เลย อ่านก่อน แล้วอีกห้านาทีกูมาบรีฟให้” จากนั้นแกก็ถือวอร์จากไปแบบงงๆ ทิ้งให้กูยืนอ่านตัวหนังสือ Cordia New 14 pt. และทำความเข้าใจตามประสาคนมึน
“พี่ไปป์ กินข้าวกัน” โหยยยยยยย น้องนางที่รัก คนกำลังจะอ่านบทอยู่ก็มาชวนกินข้าว หนึ่งเดือนแล้วเหมือนกันที่ผมตามเต๊าะน้องพราวนางเอกของเรื่องอยู่ แต่เหมือนว่าน้องจะคิดกับผมแค่พี่น้องน่ะสิ แม่งอย่างเซ็ง
“พราวกินก่อนเลย เดี๋ยวพี่ขอซ้อมบทก่อน”
“งั้นพราวเก็บข้าวกล่องไว้ให้แล้วกันนะคะ”
“น่ารักที่สุดเลย” หึๆ กูขอทิ้งรอยยิ้มเรี่ยราดไว้บ้างเถอะ
“อ่ะ หมดเวลาละ เข้าฉากเลย”
“เฮ้ยพี่ ผมยัง...” สัด! มัวแต่คุยกับผู้หญิง ตอนนี้หมดเวลาอ่านบท เลยโดนหิ้วปีกมานั่งตรงโต๊ะเลกเชอร์ ซึ่งคนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้อีกตัวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้ไทม์ เจ้าเก่าเจ้าเดิมครับ
ตั้งแต่วันนั้น ผมกับมันก็มีเรื่องเสียวด้วยกันตลอด หมายถึงเล่นบทถึงเนื้อถึงตัวเยอะๆ อ่ะ จับมือบ้าง กอดคอบ้าง แถมใจยังเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่หยุดอีกต่างหาก พอมาวันนี้...หวังว่าเราจะไม่ได้เล่นบทอะไรแบบนั้นอีกนะ
ยิ่งเห็นโต๊ะเลกเชอร์สองตัวที่ห่างกันแม้จะไม่มาก แต่ก็พอสบายใจได้ว่าคงไม่ใช่ซีนที่หนักหนาสาหัสอะไร
“ไทม์ มึงอ่านบทแล้วใช่มั้ย”
“อ่านแล้ว”
“เข้าใจใช่ป่ะ”
“อืม”
“แล้วมึงล่ะไอ้ไปป์”
“เอ่อ...”
“เริ่มเลยนะ สาม สอง แอ็กชั่น!” โอ๊ยยยยยยยยย ไอ้ควายกูยังไม่ทันพูดเหี้ยอะไรเลย จะรีบติดสปีดไปไหนวะ แล้วแบบไอ้พี่ไทม์มันจ้องกูแร้นนน
“ไม่ต้องไปกังวล ปล่อยมันไปเถอะ” นี่ในบทหรือมึงปลอบกูจริงๆ วะ เดาไม่ออกว่ะ ผมเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าแล้วรอให้มันส่งอารมณ์กลับมา เผื่อจะเดาได้ว่าทีมเขียนบทแทรกฉากอะไรเข้าไป
“วันนี้เหนื่อยมั้ย” เสียงทุ้มถามอีก
“อะ...อื้ม”
“การบ้านเยอะป่ะ”
“โคตรๆ”
...เหมือนหายใจไม่ออก เราใกล้กันเกินไป ใกล้จนลมหายใจแทบจะเป่ารดหน้า
“อาร์ต จำได้ป่ะว่าเราเจอกันครั้งแรกตอนไหน”
เหยดเข้!! กูต้องตอบอะไรกลับไปวะ เริ่มลนและอยากสั่งเบรกมาก แต่เพราะทีมงานทุกคนกำลังจดจ้องและคาดหวังกับเรา ผมจึงทำได้แค่มองตาของไอ้พี่ไทม์ ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะช่วยให้ผมผ่อนคลายด้วยการแทรกประโยคใหม่เข้ามา
“ไม่เป็นไร จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าเหนื่อยก็นอนเถอะ” ใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายแนบลงกับโต๊ะ หันหน้ามาทางผม และผมก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
วินาทีที่กดซีกหน้าด้านหนึ่งแนบลงโต๊ะ แล้วหันมาเจอสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจดจ้องอยู่ หัวใจของไอ้ไปป์ที่เคยแข็งแกร่งดุจหินผาก็อ่อนเหลวลงไปทันที แบบนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าความหวั่นไหว
เราหันหน้าเข้าหากัน จ้องอยู่แบบนั้นโดยไม่มีใครพูดอะไร
ในใจของผมได้แต่ภาวนาให้ผู้กำกับสั่งคัตสักที แต่ก็นั่นแหละ...ไม่มีวี่แววของประโยคนั้น
“เล่นเกมชอบไม่ชอบกันมั้ย” ผมขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็ไม่ได้แย้งอะไรกลับไป เพราะอีกฝ่ายมีแต้มต่ออยู่แล้ว มันได้อ่านบท ส่วนผมว่างเปล่า...
“ยังไง”
“เราชอบฟิสิกส์ แต่ไม่ชอบอังกฤษ” ไอ้พี่ไทม์พูดขึ้นมา ในบทวินมันเรียนวิศวฯ ครับ
“เราชอบอังกฤษ แต่ไม่ชอบคำนวณ” ผมตอบกลับไปบ้าง พอเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย ผมก็รู้ในทันทีว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าตัวชอบอะไร ผมจะต้องตอบประโยคตรงกันข้ามกลับไปเสมอ
“เราชอบขับรถเร็ว และเที่ยวต่างจังหวัด”
“เราชอบขับรถช้าๆ และเที่ยวใกล้ๆ บ้าน”
“เราชอบดวงอาทิตย์”
“เราชอบดวงจันทร์”
“เราชอบภูเขา”
“เราชอบทะเล”
“แล้วถ้าเราบอกว่า...ชอบอาร์ต...ชอบอาร์ต...ชอบอาร์ต แบบนี้ซ้ำๆ ล่ะ”
“...!!” บทใช่มั้ย พระเอกบอกรักนายเอกตรงฉากนี้ใช่มั้ย ทำไมความรู้สึก คำพูด และแววตาของไอ้พี่ไทม์มันเหมือนจริงขนาดนั้นวะ เหมือนจริงเกินไปจนลิ้นของผมแข็งไปหมดและไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้เลย นอกจากมองอย่างอึ้งๆ
“กูชอบมึง...แล้วมึงล่ะชอบกูได้ป่ะวะ”
“...”
“แต่มีเงื่อนไขนะ ห้ามตอบตรงข้ามกับกู”
ผมอยากคิดว่ามันเป็นบท แม้จะรู้ตัวดีว่ามันไม่ใช่ วินกับอาร์ตในเรื่องไม่ใช้คำว่ากูกับมึง ไม่เคยใช้คำนั้นและเราถูกห้ามเสมอตั้งแต่เริ่มเล่นเรื่องนี้ด้วยกัน แต่ทำไม...
“ถ้ายังไม่หวั่นไหวก็ไม่ต้องตอบหรอก”
เสียงกระซิบเบาๆ แต่กลับดังกึกก้อง ประโยคสุดท้ายนั้นเหมือนค้อนหนักๆ น็อคผมให้ตายคาโต๊ะ
“คัต!!”
สรุปได้เลยว่าซีนนี้แหละ ยากสุดในชีวิต ฮืออออ
ผมกลับมาถึงห้อง เห็นแชตในเฟซบุ๊กและแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาไม่หยุดหย่อนก็นึกเอะใจ เพราะเพื่อนหลายคนโดยเฉพาะแก๊งเหาต่างพากันแซวยกใหญ่ ผมก็ไม่รู้อะไรมากหรอกจนกระทั่ง...
ใครคนหนึ่งกดแชร์รูปจากแฟนเพจละครนิเทศฯ มาที่หน้าไทม์ไลน์
ละคอนเวทีนิเทศฯ
คู่จิ้นสะเทือนวงการ ‘วินอาร์ต’
เชร้ดดดดดดดดดดดดดด แอดมินไม่ได้ใช้รูปปกโปสเตอร์ที่เราไปถ่ายด้วยกันมาครับ แต่กลับใช้รูปซ้อมการแสดงฉากบอกรักเมื่อตอนเย็นมาแทน งานนี้ผมถึงกับช็อก เพราะหน้าตัวเองแดงแปร๊ดไปจนถึงกกหู แดงแบบเห็นได้ชัดเลยว่าเกิดอาการเขินหนักมาก และที่ตกตะลึงยิ่งกว่าคือยอดไลค์และคอมเมนต์แบบถล่มทลาย
7,123 คนถูกใจสิ่งนี้
‘กรี๊ดดดดดดดดด พี่ไทม์นิติกับน้องไปป์นิเทศป่ะ เคมีเข้ากั๊นเข้ากัน’
‘เชียร์สุดใจขาดดิ้น >///<’
‘มีโอกาสที่คู่จิ้นจะเป็นคู่จริงบ้างมั้ย’
‘เอฟซีไทม์ไปป์ค่ะ ซื้อบัตรละครนิเทศเพื่อคู่นี้โดยเฉพาะ’
‘พระเอกนางเอกคืออะไรไม่สน สนใจแค่คู่จิ้นคู่เดียว สู้ๆ นะคะ #ไทม์ไปป์ #วินอาร์ต’
น้ำตากูปริ่ม
พุทโธ ธัมโม สังโฆ T^T
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr
“ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงลงไปเมื่อเห็นปลายสายที่เริ่มคุ้นตาในช่วงหลังมานี้
[หิว]
“แล้วไง”
[ร้านข้าวที่ตึกนิติฯ อร่อยมาก]
“ข้าวที่นิเทศฯ ก็อร่อยเหมือนกัน”
[งั้นไปกินที่นิเทศฯ แล้วเจอกัน]
จากนั้นแม่งก็วางสายไป คือไรวะ?
สองเดือนที่รู้จักกันมา ไอ้พี่ไทม์เปลี่ยนไปเยอะมาก ผมยังจำวันแรกที่เจอพี่มันได้ดีอยู่เลย ถามอะไรไม่ตอบ ถามคำตอบคำ เหมือนพวกเก็บตัวอย่างที่ใครต่อใครพูดถึง แต่ตอนนี้กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
แม้ทุกคนจะบอกว่าพี่ไทม์ก็พูดน้อยเหมือนทุกที สำหรับผมทำไมแม่งพูดเยอะจังวะ เยอะจนทุกคนคิดว่าผมคงเป็นคนเดียวที่อีกฝ่ายสบายใจอยากคุยด้วยล่ะมั้ง เอาเถอะ จะอะไรก็ช่าง เดี๋ยวนี้เราก็ไม่ได้บาดหมางกันเหมือนตอนแรกๆ แล้ว เพราะถ้าผมจะเกลียด ผมคงต้องไปเกลียดแฟนใหม่ของแป้งที่เรียนอยู่ทันตฯ มากกว่า
ปลง
ผมเดินลงมาจากตึกเรียนรวม กลับไปที่คณะนิเทศฯ เพื่อสั่งอาหารรอ แม่งก็เหมือนทุกทีแหละครับ สั่งอีกจานให้ใครบางคนด้วย เพราะตอนนี้เพื่อนแก๊งเหามันดันพร้อมใจกันหายหัวไปไหนไม่รู้แล้ว
“พี่ไทม์ เฮ้ย พี่ไทม์มาตึกนิเทศฯ อีกแล้ว”
“อะไรยังไง จีบใครป่ะเนี่ย”
“เด็กนิติฯ มาที่นี่บ่อย คงจะมาเฉยๆ อยู่หรอก”
“มาหาไปป์ชัวร์ ดูเขาสนิทกัน”
หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยทันทีที่ร่างสูงเดินเข้ามา ผมจึงได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาจ้วงข้าวจนแทบไม่สนใจใครเลย กระทั่งคนมาใหม่ได้แต่ยืนค้ำหัวมอง พร้อมกับสายตาอีกหลายคู่ที่จ้องตามด้วย
“ดูท่าจะอร่อยนะ” เกลียดมัน!
“สั่งข้าวมาให้แล้ว รีบกินเลย ผมรีบมาก”
“จะไปไหน”
“เหอะน่า” กูแค่เกลียดสายตาของใครหลายๆ คนที่มองมาต่างหาก และรู้ดีว่าเจ้าตัวก็อึดอัดไม่ต่างกัน
“โอเค” กายสูงทิ้งตัวนั่งฝั่งเดียวกับผม ก่อนจะดึงจานข้าวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเข้าหาตัว แม่ง! ทำอะไรอีกวะเนี่ย
“พี่มานั่งข้างผมทำไม ไปนั่งฝั่งโน้นไป คนมองเยอะ”
“ฝั่งนั้นร้อน”
“กวนตีนละ งั้นเดี๋ยวจะลุกไปนั่งเอง”
“งั้นตรงนี้ก็ร้อน”
ผมได้แต่อ้าปากค้าง มองดูอีกฝ่ายตักข้าวใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย มีบ้างที่จะใส่ใจตักหมูใส่จานให้ผมอีก คือแบบ...กูไม่แดกโว้ย
“ทำไมตั้งใจกินจังวะ” เขาถามอีก คืออยู่กับพี่แม่งโคตรลำบากเพราะร้อนกว่าอากาศเป็นร้อยเท่า กลิ่นกาย ลมหายใจ ทุกอย่างที่บอกว่าข้างๆ เนี่ยคือพี่ไทม์ ผมร้อนหมด
“กินก็ต้องตั้งใจดิ”
“มองหน้ากูหน่อย”
“...”
“กูอร่อยกว่าผัดกะเพราอีกนะ มองกูเถอะ”
ตู้มมมมมม กลายเป็นโกโก้ครั้นช์
จำได้ว่าเมื่อวานซ้อมฉากนี้ครับ และมันก็ทำให้หัวใจของผมแทบล้มเหลวเฉียบพลันชักดิ้นชักงออยู่ที่ห้องซ้อม แต่วันนี้ไอ้ไทม์มันเอาอีกแล้วววววววววววว
“อึ้งอ่ะดิ”
“อย่าขยี้ผม หัวยุ่งหมดแล้ว” ผมรีบโวยวายพลางยกมือปัดอีกฝ่ายออกไปไกลๆ
“ก็มันน่ามันเขี้ยว”
“หล่อห่างไกลจากคำนี้เยอะ ไม่ต้องพูดอีกนะ”
“มันเขี้ยว มันเขี้ยว มันเขี้ยว”
“หยุด”
“ฮ่าๆ” รอยยิ้มแม่งฆ่ากูอีกรอบ เอื้ออออออ ฝากลูกเมียข้าด้วย...
ตอนนี้อยากถาม อยากถามมาก...แต่ไม่กล้า
พี่คิดอะไรกับผมจริงๆ หรือเพราะมันเป็นแค่การแสดง
เพราะตอนนี้ผมไม่แน่ใจเลยว่า ความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นมันจะบังคับให้เป็นแค่การแสดงได้หรือเปล่า...
ละครเวทีนิเทศฯ
วันนี้ไทม์กับไปป์มีฉากสำคัญ
ผมนั่งส่องแฟนเพจอยู่ในห้อง ตอนแรกก็ไม่อะไรหรอกครับ แต่พอรุ่นพี่บอกกับผมว่าคนกดไลค์แฟนเพจร่วมหมื่นเพื่อเชียร์ผมกับไอ้พี่ไทม์ให้คบกันจริงๆ แอดมินก็เริ่มโปรโมตรูปเรามากกว่าปกติ เรียกได้ว่าเยอะพอๆ กับพระเอกนางเอกเลยก็ว่าได้ เหมือนครั้งนี้ที่แนบรูปซ้อมฉากจบของเรามาเรียกน้ำย่อยก่อนการแสดงจริง
‘ง่อวววววว ทำไมเห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วหัวใจเต้นแรง’
‘เขินที่สุด เขินไม่บันยะบันยัง เขินวัวตายควายล้ม’
‘เห็นพี่ไทม์กับไปป์ไปกินข้าวที่ตึกนิเทศด้วยกัน มันต้องมีซัมติงแน่ๆ ขอกรี๊ดหน่อยเถอะ’
มือดีบางคนแอบถ่ายรูปของเราที่โรงอาหาร
‘เขาขยี้ผมกันด้วยค่ะคู้นนนนนน พี่น้องไม่ทำแบบนี้นะคะ’
ยังอีก ยังไม่หยุดปล่อยรูปอี๊กกกกกกกก ต่อไปผมคงต้องห่างจากพี่มันบ้างละ เพราะเบื่อจะตามมาเก็บรูปพวกนี้แล้ว
ติ๊ง!!
เสียงแจ้งเตือนบนหน้าไทม์ไลน์เด้งขึ้น
หนึ่งในร้อยกว่าความเห็นที่ผมไม่ได้ตอบกลับไปนอกจากกดไลค์ตามมารยาท เพราะทุกคนล้วนเป็นบรรดาแฟนคลับที่พากันเชียร์ให้ผมลงเอยกับไอ้พี่ไทม์ทั้งนั้น
Tine Tarisa >> Pipe Paween
จริงๆ พี่ไทม์ชอบไปป์ตั้งแต่วันแนะนำตัวนักแสดงแล้ว ไปป์จะชอบพี่ไทม์กลับได้มั้ย
มั่ว! มั่ว! วันนั้นเราเป็นศัตรูกันเว้ย จะชอบกันได้ยังไง
ผมเลยรีบพิมพ์ข้อความกลับไป
Pipe Paween
ไม่ใช่แล้ว น่าจะเป็นข่าวมั่วนะ
Tine Tarisa
แต่เราเป็นน้องสาวพี่ไทม์ พี่ชายเราไม่น่าจะมั่วนะ ใช่มั้ยพี่... – กับ Time Tawipope
OMG !!! ช็อก!! ดูหน้ากูด้วย กูช็อก!!!
Time Tawipope
ตั้งแต่เรียนนิติมา ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องโกหกใครอีกเลย ตอนนี้ก็เหมือนกัน
เชร้ดดดดดดดดดดดดดด
ไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปนอกจาก...เก็บศพกูก๊อนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
งานละครเวทีนิเทศศาสตร์วันสุดท้าย
บอกก่อนเลยว่าหลังจากที่น้องสาวไอ้พี่ไทม์ปรากฏตัว เรื่องคู่จิ้นกลายเป็นคู่จริงก็เป็นข่าวทอล์กออฟเดอะทาวน์ไปเกือบสัปดาห์ และแม้แต่วันแสดงละครจริงๆ หลายคนก็ยังพูดเรื่องนี้ไม่หยุดอีกต่างหาก แต่เอาเถอะครับ ทิ้งมันไปก่อนความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนห่าเหวอะไรนั่น เพราะตอนนี้...ผมต้องจดจ่อกับการแสดงเท่านั้น
ทุกฉากผ่านไปด้วยดี ผมกับพี่ไทม์ก็เล่นได้ลื่นไหลเนื่องจากประสบการณ์ของสองวันบอกได้เป็นอย่างดีว่าจุดไหนที่ไม่ควรพลาด อารมณ์ ความรู้สึกที่เราส่งถึงกันเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
มีหลายครั้งที่ผมเหมือนจะนอกบท แต่ก็พาตัวเองกลับมาได้ ไม่รู้ทำไมแค่เห็นหน้ามัน สติก็พลันเตลิดไปไกลแล้ว กระทั่งฉากสุดท้ายมาถึง...
ฉากที่ต่อให้ซ้อมแทบตายยังไง หรือเล่นจริงเยอะแค่ไหน ผมก็ยังรู้สึกว่ามันขาดๆ เกินๆ อยู่ดี
“ไปป์ ฉากสุดท้ายแล้ว และก็เป็นวันสุดท้ายด้วย เล่นให้เต็มที่นะ” ผมพยักหน้าเข้าใจ สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะย่างเท้าขึ้นเวที ขณะที่อีกฟากหนึ่งก็มีร่างสูงของใครคนนั้นเดินเข้ามาด้วย
เราทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตัวยาว ซึ่งเป็นตัวเดียวกับฉากแรกที่เราเจอกัน
พี่ไทม์ถือชีทสีขาวไว้ในมือ ตั้งหน้าตั้งตาอ่านมัน แต่เรารู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างโหยหาและอยากพูดกันมากแค่ไหน ทุกคนในโรงละครเงียบกริบ มองมาที่เราเป็นจุดเดียว และผมก็ประหม่ามากๆ
“จำได้มั้ย ว่าเมื่อสองปีก่อนเราเจอกันที่นี่”
“จำได้สิ”
“นายบอกรักเรา และเราก็ปฏิเสธนาย” ไม่...พี่ไม่ได้ปฏิเสธ แต่พี่มึงอนุญาตให้กูชอบได้ จำไม่ได้เหรอออออ ผมค่อนข้างเกลียดตัวเองที่ชอบเอาความรู้สึกส่วนตัวมาปน และก็ต้องพยายามอย่างมากที่จะสลัดภาพเหล่านั้นออกไป
“มันผ่านไปแล้ว อย่าพูดถึงมันเลย”
จริงๆ ผมอยากพูดถึงมันอีก
“นายมีแฟนหรือยัง?” เสียงทุ้มถาม นัยน์ตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
“ยัง” บทมันเป็นแบบนั้น...เหมือนตอนแรกที่เริ่มเรื่อง แต่มันต่างตรงที่ประโยคของเราสลับกันต่างหาก เริ่มต้นผมง้อเขา ลงท้ายเขาง้อผม
“ถ้าอย่างนั้น เราจะชอบนายได้มั้ย”
“อืม...”
ประโยคในวันนั้นของพี่ไทม์ ผมเป็นคนตอบเอง
“เคยบอกแล้วว่าถ้าโกรธ เกลียด รำคาญ มีความสุข อยากหัวเราะ รู้สึกแบบไหนกับกูบอกได้เสมอ”
เฮ้ย นอกบท! มันนอกบทอีกแล้วววววว
“...”
“แต่ถ้าหวั่นไหวเมื่อไหร่ มาเป็นแฟนกันนะ”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด >///<” เสียงกรีดร้องจากคนดูข้างล่างทำให้สติที่เหลืออันน้อยนิดขาดผึงทันที เหมือนร่างกายของผมกำลังล่องลอยอยู่ในอวกาศ ยึดเหนี่ยวตรงไหนไม่ได้ แถมหูทั้งสองข้างยังอื้ออึงอีกต่างหาก
ภาพในม่านสายตาของผมพร่ามัว เลือนราง แต่ยังเห็นใครอีกคนอยู่ตรงนั้น พี่ไทม์...
“แล้วตอนนี้ที่อยากถามก็คือ...รู้สึกหวั่นไหวบ้างหรือยัง”
เอื้อ!! กูตายอีกรอบ
ไม่มีในบท มันจบที่ทั้งคู่บอกจะเดินจับมือไปด้วยกัน และก็แกล้งจุ๊บกันเฉยๆ แค่นั้นจริงๆ แต่วินาทีนี้สายตาจริงจังของอีกฝ่ายคาดหวังอะไรบางอย่าง ความรู้สึกแปลกประหลาด อาการสั่นไหวของหัวใจ กลิ่นตัวที่ไม่ต้องฉีดด้วยน้ำหอมยี่ห้อดังก็ทำให้ปั่นป่วนได้ หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อ...
“ไม่รู้ว่าจะเรียกหวั่นไหวดะ...ได้หรือเปล่า” ผมตอบกลับเสียงกวัดแกว่ง
“...”
“แต่ถ้ามันคล้ายกับความรู้สึกรัก ก็คงเหมือนกันล่ะมั้ง”
“อ๊ายยยยยยยยยยยยย คู่จริง!! คู่จริง!”
“เมื่อวานไม่ใช่แบบนี้ คบกันจริงๆ ใช่ม้ายยยยยยยยยยย”
เสียงเชียร์ดังกระหึ่มไปทั่วโรงละคร พี่ไทม์ขยี้หัวผม ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาประชิด กระซิบถ้อยคำสั้นๆ แต่ตรึงใจคนฟังที่สุด
“เป็นแฟนกันนะ”
“อืม เป็นก็เป็น”
“กรี๊ดดดดดดดดดดด” หลังจากนั้นระลอกคลื่นเสียงก็สะท้อนก้องไม่มีท่าทีว่าจะจบสิ้น แม้แต่เวลาที่ใบหน้าหล่อเหลาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะแสร้งทำเป็นจูบกันโดยมีกระดาษในมือปิดไว้เหมือนในสคริปต์ แต่เปล่าเลย...
เขาจูบผม
จูบจริงๆ โดยที่ริมฝีปากของเราสัมผัสกันเพียงชั่วขณะ ก่อนจะผละออก
โชคดีที่มีกระดาษบังไว้ คนข้างหน้าเลยไม่เห็น แต่กับหลังเวที...
ผมไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ
ละครนิเทศฯ ปีนี้จบลงโดยสมบูรณ์ และก็เป็นไปตามธรรมเนียมที่หลังจากละครจบ นักแสดงทุกคนจะต้องเดินออกมาถ่ายรูปกับคนดูด้านหน้าโรงละคร ซึ่งวันนี้ก็เช่นกัน
ไอ้พี่ไทม์จับมือของผมไม่ปล่อย เราถ่ายรูปคู่และรูปหมู่กับแฟนคลับมากหน้าหลายตา จนกระทั่งใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา
“บนเวทีเมื่อกี้พี่ไทม์ขอไปป์คบจริงๆ ใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
“อ๊ายยยยยยยยยย ชอบอะไรไปป์อ่ะ”
“ทุกอย่าง แค่เห็นก็ชอบเลย น่ารักดี”
“แล้วตอนนั้นไปป์พอจะรู้มั้ย”
“ตอนแรกไม่รู้ แต่บนเวทีรู้ว่าพี่มันนอกบท”
“ฮือออ น่ารัก คบกันนานๆ นะคะ”
“ขอบคุณครับ”
สรุปการมาเล่นละครนิเทศฯ ของผมก็จบลงด้วยการได้แฟนตามเป้าประสงค์ เพียงแต่ว่า...มันไม่ตรงสเป็กเหมือนอย่างที่ฝันน่ะสิ
ละครเวทีนิเทศฯ
ไทม์กับไปป์คบกันจริงๆ นะคะ แอดมินคอนเฟิร์ม
และแอดมินมือดีก็ยังแนบภาพที่ผมกับไอ้พี่ไทม์จูบกันจริงๆ จากหลังเวทีมาให้คนดูช็อกระลอกสองอีกต่างหาก เออ...พอแล้วโว้ย กูอาย!!
10,125 คนถูกใจสิ่งนี้
END
-
ว๊ากกก มาแล้ววววว
เฮ้ยยยยย น่ารักมากกกกกกก ฟินเว่อร์เลยค่า
ผู้ชายแบบไทม์หาที่ไหนได้อีกเนี้ยยยยยย อิจฉา
:m1: :m3: :m1: :m3: :m1: :m3:
-
ไปป์น่ารักมากกกกกก พลังเคะทำลายล้าง พี่ไทม์เก่งหยอดเก่งเต๊าะจัง อยากรู้ว่าชอบน้องเพราะอะไรรรร
-
อยากอ่านอีกอ่ะ ขออีกสักตอนสองตอนจิ
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ :impress2:
-
น่าร้ากกกกกกก
-
อยากรู้ฟีดแบคจากแป้งมาก :hao7:
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดด มันดีมากค่ะอนนี่
พี่ไทม์หยอดน้องตลอด แต่ปากหนักไปนี๊ดด น้องเลยไม่เก็ทเลอ 55555
จริงๆที่พี่เค้าไม่บ้าน้ำหอม อาจจะบ้ากลิ่นที่อยู่บนตัวไปป์นะเจ้ว่า คึคึคึ
-
กรี๊ดดดดดด เดาถูกด้วยอ่าาา
เด็กนิเทศๆๆๆๆๆ ฮิ้ววววววว
สตรองงงงงงงงงง 55555 สำลักน้ำลายเลยค่ะ
โอยยยยยย โอยยยยย
ช่วยด้วยค่าาาา ช่วยเค้าด้วยยยย
เก็บศพเค้าไปที เค้านิพพานแล้วววว แอร๊ยยยย :m3: :m3: :m3:
ไทม์คะ พูดน้อยต่อยหนักนะ
พูดทีพาระทวยเลยค่าาา กรีดร้องง / เขินตัวบิดเลย
น้องไปป์ก็น่าร้ากกกก กลัวน้องจะหัวใจวายก่อนได้เป็นแฟนกะไทม์จริงๆ
ขนาดเป็นคนมอง หัวใจอินี่แทบจะวายตายตอนไทม์จีบน้องเนี่ย งื้อออออ
อยากไปอยู่หลังเวที อยากเป็น stage อ่าาาาาาา :hao7: :hao7:
-
อยากเป็นแบ็กสเตจขึ้นมาเลยทีเดียววววววววว ฮอลลลลลลลลลลลล :ling1:
-
เกลียดดดดด จิตติดาวมหา’ลัย ยอมใจ
ขำแรงมาก 5555555555 :m20: :jul3: :laugh: :pigha2:
-
น่ารักกกกกกกกกกกกกกกกกก :hao7:
-
ชอบบบบบ :กอด1: :กอด1:
-
อยากอ่านพาร์ทของไทม์บ้างอะ :-[
-
กรี๊ดดดด :-[
-
อ่านเซต "มหา'ลัย มาหารัก" ของจิตติดาวมอแล้วมีความสุขตลอด อยากให้แต่งไปเรื่อยๆ :กอด1:
-
ไทม์ไปป์เป็นอะไรที่สุดๆจริงๆ เรื่องอื่นว่าฟินแล้วนะ เรื่องนี้นี่นั่งอ่านจิกตัวเองไป เอาหลายๆคู่เยอะๆเลยนะไรท์ ชอบๆ จบในตอน แต่หลายๆตอนก็เชื่อมโยงเข้าหากัน ไรท์เขียนได้น่ารักมากเลย ชอบผู้ชายแบบไทม์ด้วย ดูเงียบๆเย็นชา แต่น่ารักกับคนรักมากกกกก ><♡
-
ไทม์ไปป์น่ารักมากกกกก กรี๊ดดดดด อ่านแล้วเขิลลลลล
-
Time Tawipope
ตั้งแต่เรียนนิติมา ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องโกหกใครอีกเลย ตอนนี้ก็เหมือนกัน
ตายๆๆๆ ตายกับประโยคเน้ พี่ไทม์ก็อ่อยไปนะ
โอ๊ยยยยยยยย กรี๊ดๆๆๆๆๆๆ ชอบมากค่าาาาาาาาาาาา :hao7:
-
โอ้ยยยยยนน โอยยยยยย พี่ไทม์ น้องไปป์น่ารักมากกกกก คู่นี้มาเงียบตอนแรก หลังๆนี่เขินเลยยยยย //อยากได้จิตวิทยาบ้างค่ะะะ
-
น่ารัก น่ารักมากๆ ไปป์น่ารักตลก 5555 พี่ไทม์ก็หยอดได้เป็นหยอดนะ แต่หล่อเราชอบ กรี๊ดดดดดดด
:pig4: :L2:
-
โอ้ยยย ไม่หวั่นไหว แต่ใจละลายไปแล้วอ่า
ทำไมมันจิ้น แล้วฟินได้ขนาดเน้ :-[
-
จิ้นจนใจละลายยยยยยย :o12:
-
จิตติไปโผล่ทุกเรื่องเลยนิน่า 55555 ชอบพี่ไทน์จังเลย มาแบบมึนๆ ไปป์รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นแฟนพี่เค้าไปแล้ว น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
-
อ่านไปก็กริ๊ดไปก็หัวเราะไปก็เขินก็บิดไป
จนน้องชายถามมึงเป็นบ้าอะไร
กูไม่ได้เป็นบ้าค่ะกูเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข ฮิ๊ฮิ๊ฮิ๊ฮิ๊หุหุหุหุ555555เอิ๊กเอิ๊กเอิ๊กเอิ๊ก
ปล.กริ๊ดไม่ถูกจุดอ่ะคือกริ๊ดทั้งเรื่อง
-
พี่ไทม์หยอดตลอดทั้งเรื่องเลยย ไม่หวั่นไหวให้รู้ไป5555
-
มันดีมากกกก
หวั่นไหวเมื่อไรมาเป็นแฟนกันนะ
โอ๊ยยยยยยยยย
ตายระดับสิบบ
ถ้ามีคนมาจีบพูดงี้ คงระทวยไปเลยยยย
-
โอยอิจฉาไปป์ พี่ไทม์จะเท่ไปไหน ชัดเจนโคตร
-
ฟินจนตัวแตกกกก แอร้ยยยย เก็บๆซากฉันที
-
กรี๊ดดดดดดดดดด จากคู่จิ้นสู่คู่จริง
พี่ไทม์แกเริ่ดมากกกก นอกบทตลอด เต๊าะตลอด ชอบบบบ เขินหนักไปดิไปป์เอ๊ย
จะไปกดไลค์เพจละครเวที จะไปถล่มเพจจจจจ
-
อ่านไป ฟินไป กรี๊ดกร๊าดอยู่คนเดียว ไทม์ไปป์เอฟซี
น้องไปป์นางช่าง.........
:hao6: :hao6:
-
น่ารัก
-
เราอ่านกี่เรื่องของจิตติในซีรี่ย์นี้
เราจะตายตลอดเลย ตั้งแต่พี่อาคมาแล้วนะคะ ฮือออออออออออ
ทำไมพระเอกมันต้องมาเหนือเมฆทุกคนด้วย ฮือออออออออออออออออออออออออ :m25:
พระเอกในซีรี่ย์นี้คนจริงกันหมดเลย
พี่ไทม์ก็คนจริง แง้งงงงงงงงง :heaven
อยากให้ยาวกว่านี้อีกหน่อยนะคะ :katai2-1:
-
กรี๊ดดดดดดด กัดปากแทบฉีก 5555
น่ารักมากก
:o8:
-
ทำไมทำร้ายพี่จิตติดาวมหาลัยปีสามได้ลงคอ
พี่ไทม์กับน้องไปป์น่ารัก :o8:
อยากรู้ว่าหลังจากนั้นยัยแป้งจะเป็นไง
-
กรี้ดดดดดด เขินแรงมากกกกก :mew3: :mew3: :mew1: :katai2-1: พี่ไทม์นิติหล่อจริงไรจริง ทำไมเป็นคนเนียนนี้ย ฮือววว น้องไปป์ก็น่ารัก เจอคนเนียนก็เนียนไปกะเค้าด้วย น่ารักงี้เลยได้แฟนดีอะจ้า หล่อ ดี ที่1ของนิติ อิอิ
-
ไม่ใช่ไปป์ยังเขิน โฮกกกก อิพี่ไทม์ทำไมดาเมจรุนแรงแบบนี้ล่ะ
พี่ตกหลุมรักคนง่ายนะคะ เห็นไปป์นิดเดียวก็ชอบเลย แต่ก็นั่นแหละไม่วั้นก็ไม่ใช่เรื่องสั้นซินะ 55555 จิตติดาวมอ. ปีสามคะสัมภาษณ์ความรู้สึกจากดาวมอ. สู่บทคนใช้หน่อยค่ะ รู้สึกยังไงบ้างคะ
-
จุดนี้ไม่ไหวจะสตรองค่ะ เจอพี่ไทม์แบบนี้เข้าไปถึงอยู่ทีมใครก็สตรองไม่ไหวจริงๆ
-
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกก (ก ไก่ ล้านตัว)
ชอบมากแบบ เลื่อนอ่านที่ละนิดกลัวจบเร็ว
:pig4: :pig4: :pig4:
รอเรื่องต่อไปค่ะ
เป็นกำลังใจในคนเขียนเสมอ <3<3
:กอด1:
-
ฟินนนนน อ่านแล้วมีความสุขมาก ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว
-
ละลาย~~~
-
'ง่อวววววฟินไปดิ กับพวกที่อยู่ข้างหลังเวที 555
เห้นเค้าจูบก๊านนนนนเต็มๆ แอร๊ยยย >//<
-
:hao7: :hao7: อยากจะได้คนนี้เป็นแฟนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
-
งื้ออออออออ เขินแทนไปปปปป์
-
คือดีงามมาก น่ารักมาก ฟินไปโลกหน้าเลย
พี่ไทม์ปิ๊งไปป์ตั้งแแรกแล้วใช่มั้ย
เลยตกลงรับเล่นบทนี้
รอคณะต่อไปนะคะ
-
อ่านแล้วดิ้นแรงงงงง คู่จริงงงง
-
ปักรัวๆ
-
เขินแรง ///////////////
โอ้ยย พี่ไทม์เนียนอะ 5555555555555
-
โอ๊ยยย ฮอลลลลลลลลลลลลลลลล!!
อยากกลับไปใส่กระโปรงนิสิตแล้วตามหาเรื่องราวความร๊ากก ของผู้ชายสองคน
อ่านไปแล้วจิ๊กหนังหัว ร้องกรี๊ดด กับความฟิน
พี่ไทม์xน้องไปป์ :katai2-1:
สู้นะค่ะ คนแต่ง
อยากฟังเรื่องราวเพิ่มเติมจาก จิตติ ดาวมหา'ลัย ปีสามคร้าา เห็นแม่นางเชียร์หลายคู่
เป็นตัวประกอบที่กระชากใจมากกก 555
-
นี่ไม่ใช่คู่จิ้น นี่คู่จริงค่าาาาา แงงงงงงง เขินมาก :กอด1: นอนอ่านตั้งแต่เช้าละก่อนไปโรงเรียน รอเรื่องต่อไปค่ะ :กอด1: :กอด1:
-
กริ๊ดดดดดดดดดดดด ฟินค่าาาาา
-
อิจฉาไปป์
บอกได้คำเดียวเลยตอนนี้
พี่ไทป์น่ารักไปนะบางที่
ชอบแบบนี้
-
o13 o13 o13
อ่านจบยิ้มแก้มตุ่ยเลย น่ารัก และฟินมากกกกก
-
อ๊ากกกกก พี่นี้ชักดิ้นชักงอแล้วน้องเอ้ย
โง้ยยยยยยยยยยยย พี่ไทม์นี่เป็นพระเอกงานดี งานละเอียด น้องเชื่อแล้วค่ะว่าพี่อร่อยกว่าผัดกระเพรา
ชอบๆๆๆๆๆ น่าย๊ากกกกก อมยิ้มแก้มแตก
-
แอร๊ย อยากหวั่นไหวกับใครซักคนจริงๆเลย งื้อออ ไทม์ไปป์น่าร้ากกกก :o8:
ละครเวทีนี้มีรัก :mew1:
-
จะเป็นทีมไปป์ใจต้องสตรอง แต่ถ้าเจอทีพี่ไทม์ไป หัวใจมันอ่อนระทวยยยยย
ฮื่ออออออออออออออออออออออออ
เค้าเขินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
อยากได้อ่ะ อยากได้
เขินหนัก ฟินจัด กรี๊ดดดดดดดดดดดดตลอดงาน
อยากได้แบบนี้ งื้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
-
:impress2:
-
แฟนคลับมาดูหลายรอบจนจำได้เลยนะคะว่าบทของวันนี้มันต่างไปจากเมื่อวาน :m3: แอร๊ยยยยยยย พี่ไทม์ขอน้องไปป์เป็นแฟนท่ามกลางสักขีพยานนับร้อย~~ ให้ได้อย่างนี้สิคะ ^^ ไม่เสียแรงที่หยอดน้องไปป์มาเป็นเดือนๆ ในที่สุดก็สมหวังเสียที >\\\\\\\\<
-
:impress2: :impress2:
-
อื้อหืออออออ ชอบมาก กอไก่ ล้านตัว มันแบบน่าร้ากกกกก ชอบทุกเรื่องเลยง่ะ อ่านไปเขินไป หน้าเน้อนี่แดงไปหมด งืออออออ :-[ :-[ :o8: :o8:
-
ฮ่อลลลลลล พี่ไทม์อ่อยแรงหยอดตลอดๆนี่ไม่ใช่ไปป์ยังเขินอะ ถึงจะเป็นเรื่องสั้นแต่จริงๆถ้ารู้ความรู้สึกพี่แกด้วยนะว่าชอบไปป์ตั้งแต่แรกจริงเหรอแล้วไหงพอไปป์ยิ้มให้ละหนีล่ะหรือพี่เขิน? พอไปป์บรรยายล่ะทำไมรู้สึกคิดถึงปีจากปลาบนฟ้าเลยอะ อารมณ์เกรียนคล้ายๆกัน
-
พี่ไทม์ฮี สตรองจริงๆค่ะ
ช๊อบบบบบบบบมว๊ากกก อ่านแล้วหวั่นไหวแทนไปบ์เลย
แต่รู้สึกบทคนใช้ไม่มีซีนนะคะ555
-
อ่านทุกเรื่องแล้วอยากให้เป็นเรื่องยาวทุกเรื่องเลย ฮ่าๆๆๆ น่ารักทุกคู่ (เพิ่งได้อ่าน ขออนุญาตคอมเม้นครั้งเดียวนะคะ) อ่านแล้วจิกหมอนฟินสุดๆ น่ารักกกกกกมากกกกกมากกกกกกกกกกกก
-
อ่านไปยิ้มไป มีความสุขมากค่ะ น้องไปป์น่าร้ากกกกก เหมือนปีจริง ๆ เนอะ ชอบ ๆ
-
งื้ออออ~ อยากจะบอกว่าโคตรเขินพี่ไทม์เลยง่า ><
ไม่ต้องเป็นไปป์ก็หวั่นไหวค่ะ หยอดขนาดนี้
เราเป็นคนไกลยังใจสั่นแล้วไปป์ที่เจอกันทุกวัน
ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันง่า พี่ไทม์คนบร้าาาา
นี่เขินมากแทยทุกครั้งที่พี่ไทม์แกหยอดไปป์อ่ะ
แล้วชอบตรงที่พีแกชัดเจนมากตั้งแต่แรกเลยนะจริงๆ
ตอนซื้อข้าวมาให้น้องก็น่ารัก งุ้ยยยยย ><
มองกูบ้าง กูอร่อยกว่าผัดกระเพราโอ้ยย~ พระเอกฉัน
แต่แบบทุกอย่างมันเข้ากันจริงๆ เคมีลงตั๊วลงตัว
สมใจเนาะไปป์ได้แฟนสมใจเลยแถมหล่อมากด้วย
เขินสุดต้องตอนขอเป็นแฟนพีคตรงจูบนี่แหละ
แต่เค้าสองคนเข้าถึงบทบาทเนาะ งิงิ ^^
แต่พีคสุดคือจิตติดาวมอนี่แหละชื่อคุ้นเนาะมาเกือบทุกเรื่องเลย ๕๕๕๕๕๕๕
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดด ฟินค่ะฟิน น่ารักมากมายเลยค่ะ
เป็นไงล่ะไปป์ ขาว สวย หมวย เอ็กซ์ อกสะบึ้มสุดๆ 555555
-
น่าร้ากกกกทุกคู่เลย
-
ตี่อย่าฮิปเยอะนะคะ พี่ไม่รู้จักคำว่าฮิปเตอร์
ไปป์น้องซึนมาก น่ารักนะรู้ตัวไหม คราวนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าพี่ไทม์อร่อยกว่าผัดกะเพรา :katai2-1:
-
Wow Wow Wow :mew1:
-
น่ารักมาก ชอบเคะแบบไปป์อ่ะ ><
ส่วนพี่ไทม์ก็ชอบ ชัดเจนมาก 555
ขอบคุณจิตติดาวมหาลัยปีสามมากนะคะ :laugh:
อยากให้เป็นเรื่องยาวทุกเรื่องเลยอ่ะ แบบมันน่ารักมากกกกกกก
รอคณะต่อไป อิอิ :กอด1:
-
อร้ากกกกกกกกกก
น่ารักมาก ฟินเวอร์วีว่ามากค่ะ
ไปป์ต๊องๆนิดๆน่ารักดี ชอบตอนเวลาคิดคนเดียว ฮ่าๆ
ส่วนพี่ไทม์ โอยยยยย หล่อละลายพูดจริงหยอดจัง เอาใจไปปปปป
:mew1:
-
อยากจิกรีดร้องแรงๆ งื้ออออออ น่ารักไปแล้ววว
-
จากคู่จิ้นสู่คู่จริง :m3: :m3: :m3:
-
ตอนจบแบบ...ฮื่อออออออออออออออ :o8: :o8: :o8: :-[ :-[ :-[ :impress2: :impress2: :impress2:
ไทม์ไปป์!!! สงสารจิตติดาวมอเลอเป็นถึงดาวมอได้รับบทคนใช้ซะได้
-
นิเทศศาสตร์ทำเขินแรงมาก พี่ไทม์น้องไปป์จ้าจะน่ารักอะไรขนาดนี้ ขอเป็นแฟนกันบนเวทีเลยยย
อยากจะไปเป็นเบื้องหลังบ้างเลย อิอิ อยากอ่านคณะอื่นอีก มีไหมเอ่ย~
-
ก็น่ารักดีนะ แต่ว่าเราไม่ค่อยอินอ่ะ อาจจะเป็นเพราะจู่ๆไทม์ก็มีท่าทีว่าชอบไปป์ ถ้ามีเหตุการณ์หรือให้ไทม์บรรยายบ้างน่าจะดี
-
ชอบทุกเรื่องเลย น่าร๊ากกก
-
ละลายกับไปป์และไทม์ งื้อ หวานกันมาก อ่านแล้วทุบหมอนจริงๆ ค่ะ โดยเฉพาะคำพูดเชือดเฉือนอารมณ์ของพี่ไทม์
่ส่วนตัวคิดว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้คุณจิตติเขียนได้ดีที่สุด ทุกอย่างลงตัว จังหวะการดำเนินเรื่อง สำนวนการเขียนที่ใช้ และสิ่งที่ชอบที่สุดคือ คำสนทนาของตัวละคร มันช่างเป็นธรรมชาติและจับต้องได้ อ่านแล้วรับรู้ได้ถึงอุปนิสัยของตัวละคร ชอบมากโดยเฉพาะคำพูดของพี่ไทม์ เอาเป็นว่า ยกไปป์ไทม์เป็นที่หนึ่งของคู่รักในจักรวาลคุณจิตติเลยค่ะ
อ่านจบแล้วก็ต้องรอเรื่องต่อไปค่ะ
ปล. ว่าจะทักตั้งนาน จิตติเป็นดาวมหาวิทยาลัยปีสาม???!!!! o22 :laugh:
-
มหาลัยตั้งอยู่ตรงไหนเราอยากไปสมัครเข้าเรียน :m3:
แต่ละคู่โคตรจะน่ารักเลยยยยยย :m3: :m3: :m3: :m3:
จะไปคอยตามเก็บภาพมาให้ครบทุกคู่ :m24: :m24: :m24:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย พี่ไทม์จะน่ารักไปไหนคะ ฟินสุดๆๆ :z3: :z3: :z3: :z3:
-
น่ารักง่าาา จิกหมอนแรงๆ
-
:hao7: ให้ตายเถอะ เขินแรงมากกกกก
รอเรื่องต่อๆไปนะ สู้ๆ
-
ชอบคู่นี้ พี่เค้าหยอดเก่งจริงๆไม่หวั่นไหวได้ไง
จิตติรวมเล่มมหาลัยมาหารักด้วยนะ
เขียนเพิ่มแต่ละคู่อีกคู่ละตอนสองตอน
อยากอ่านอีกเยอะๆ เป็นเรื่องรวมคนหล่อคนฮอต555
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
ฟินคร้าาาาาาาาาา
พี่ไทม์น้องไปร์ สุดดดดดด
-
อรั๊ยยยยยยยยย น่ารัก !!!
-
ระทดระทวยมาเม้นต์....
คือดีงาม พี่ไทม์น่าร้ากกกกก
ไปป์ก็น่าหยิก โอยยยย.....ใจละลาย
ปล. อยากไปดูละครนิเทศที่ม. ของจิตติ ฮรืออออ :hao5:
-
โอ๊ย น่ารักอ่ะ คู่นี้ พี่จีบเนียนๆเลย
-
เขินแรงอ่ะ น่ารักมากกกกกกกกกกกก :hao5:
-
ถึงไปป์จะไม่ได้แฟนสวยหมวยเอ็กซ์ . แต่ได้แฟนหล่อรวยเก่งโคตรเท่ห์อย่างพี่ไทม์. ยายแป้งก็คงอิจฉาอกแตกตาย. อ่านไปยิ้มไป. น่ารักมากค่ะ
-
โอ้ยยยยยยยน่าร้ากกกกพี่ไทม์เนียนวะไปป์น่าร้ากกกก :ling1: :ling1: :ling1:
-
โอ้ยยยย.ฟินจ้า
-
งานดี งานฟิน น่ารักค่ะ
น้องไปป์สตรองว์มากค่ะ
ได้เล่นละครเวทีแล้วยังเต๊าะชายติดไม้ติดมือมาได้อีก
แล้วชายไม่ได้ธรรมดานะจ๊ะ หล่อวัวตายควายล้ม เรียนเก่ง บ้านรวย
โอ๊ย อีน้องมันทำบุญด้วยอะไรมาเนี่ย
55555555555
-
อ่านไปเขินมาก นั่งเขินคนเดียว ยิ้มคนเดียว
-
:-[ น่ารักมากคู่นี้เป็นแฟนกันจริง ๆจนได้
-
กรี๊ดกร๊าด น่ารักมากๆๆๆๆ
ปล.จิตติคนสวยรับบทคนใช้อีกละ ครั้งหน้าเล่นนางเอกเลย :katai3:
-
น่ารักมากอิจฉาไปป์ จะมีอีกไหมคนแบบไทม์เนี้ยยยยยยอยากได้ๆๆๆ
-
ฮื้อออออ ฟินตัวแตกมากเลย อยากเห็นโมเม้นต์นั้นมากกกก :hao6:
-
เขินมากกกกกกกกกกกก งือออออออออ
-
ฮืออออ ฟินสุดๆ ทุบโต๊ะพัง เขินแรงงง :ling1:
-
น่ารักมากๆแบบมากๆอีกแล้ววววววว งืออออออออ
ไทม์ไปป์แบบดีอ่าาา ก็ว่าตอนอ่านไปป์มันคล้ายๆนังปีเลย 55555
ขี้หยอดมาก หยอดเก่งมาก หวั่นไหวใจสั่นหนักมาก กรี๊ดดดดดดดด
-
อ่านแล้วแทบแดดิ้น งื้อน่ารักมากๆเลย
โอ๊ยอ่านไปจิกหมอนไป เสียดายเราซื้อบัตรไปดูละครไม่ทัน
-
รอตอนต่อไปนะครับ เเต่งได้น่ารักดี ไม่หวาน ไม่ขน แอบมีมุมน่ารักอยู่ ถ้าเอาไปทำเป็นซีรีย์คงสนุกมาก
-
:-[ :impress2: อร๊างงงงงง พี่ไทม์ น้องไปป์ น่าร๊ากอ่าาา
-
แต่ถ้าหวั่นไหวเมื่อไหร่ มาเป็นแฟนกันนะ
เขินสุด ชอบมากกกกเติมs ขอยืมไปจีบหนุ่มหน่อยได้ไหมคะพี่ไทม์ งื้ออออ :ling1: #ชักดิ้นชักงอ #น่ารักวัวตายน่ารักควายล้ม
ยิ้มจนแก้มแตกเป็นยังไงวันนี้เพิ่งรู้แหละค่ะ กรี๊ดแบบคนบ้า อ่านไปยิ้มไปตาเยิ้มไป
แหกปากไม่ได้ นี่กลั้นกรี๊ดจนหน้าดำหน้าแดง 5555555555555
-
คู่นี้น่ารักมากก ชอบไทม์ไปป์จัง หวานได้อีกอ่ะ
-
หลงรักไทม์ไปป์คับ :-[ :-[
-
:z13:
-
เพิ่งมีเวลามาอ่านพยายามศาสตร์กับนิเทศศาสตร์
เกลียดความฮิปเตอร์ของอิตั้มมากกกกกกกก 5555
ทั้งสนุกทั้งหน่วงแต่ดีที่สมหวัง
ชอบเปอรรรรรรรรรร์ เวลาตั้มกับเปอร์คุยกันน่ารักอ่ะ งื้ออออออ
ส่วนอิไปป์นี่กวนเหมือนอิปีเลย 555
อิพี่ไทม์นี่ก็เสี่ยววววว โง่ยยยยยยย
เรารอคณะต่อไปนะดาวมอ
-
สถาปัตยกามศาสตร์
วันสอบ PAT4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
ผมเป็นแค่เด็กนักเรียนจากโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีความตั้งใจอยากเป็นสถาปนิก เพราะเพื่อนในห้องไปเป็นหมอกับวิศวะกันหมดแล้ว ผมไม่เคยเรียนพิเศษมาก่อน ไม่เคยเข้าค่ายติวเข้ม ที่ไม่ได้ทำอย่างนั้นไม่ใช่เพราะเก่ง แต่เป็นเพราะพี่ผมช่วยติวให้ เขาเรียนสถาปัตย์ฯ อยู่ปีห้าแล้ว ปีหน้าก็ต้องจบออกไป
ผมชอบการออกแบบ ชอบวาดแปลน ชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรม เพราะนั่นคือรากเหง้าวัฒนธรรมดั้งเดิมของมนุษย์ ช่องระบายอากาศตรงโน้นเหมาะกับทิศทางลมจากฟากนี้ บอกได้เลยว่าถนัดมาก ผมรู้แม้กระทั่งมุมเสย มุมเงย ละติจูด ลองจิจูด บูรณาการสถาปัตย์ขั้นแอดวานซ์เข้ากับสังคมศาสตร์
เพื่อนชอบบอกว่าผมจริงจัง ความจริงผมไม่ได้จริงจัง แต่ผมแค่...จริงใจ
“จริงเหรอ”
“อะไร”
“ข้อนี้อ่ะ ตอบ ค.ควาย จริงเหรอ”
“อืม”
“โอเค ถ้าออกแนวนี้กูก็จะตอบประมาณนี้แล้วกันนะ ไหนๆ คุณปอผู้โหดสัดก็อุตส่าห์วิเคราะห์ข้อสอบมาให้แล้ว” เพื่อนของผมพูดยกยอทีเล่นทีจริง
ชื่อที่พวกเขาเรียกเนี่ยแหละคือชื่อเล่นของผม ประวัติส่วนตัวก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนักหรอก และก็ไม่ใช่คนมีความลับอะไรด้วย นอกจากตอน ม.ต้น เคยต่อยเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบล้อผมว่าเป็นไอ้แว่นหนาตาเข ไม่ยอมถอดแว่นเพราะตามีปัญหา หลังจากนั้นไอ้หมอนั่นก็ไม่กล้าทำร้ายผมอีกเลย
ผมเป็นคนตัวเล็ก ดัดฟัน สวมแว่นหนา ครบสูตรที่คนชอบเรียกว่าเด็กเรียน ทุกคนชอบคิดว่าผมจริงจัง ก็มีบ้างที่ถูกหมั่นไส้หาว่าหลงตัวเองบ้างล่ะ หรือบางทีก็ถูกพูดถึงในทางตรงข้ามอย่างเด็กเก็บกด แต่...ช่างเหอะ คนเรารู้ตัวเองดีอยู่แล้ว ถ้าผมไม่รู้จริงผมจะไม่พูดออกไป และถ้าไม่มั่นใจในคำตอบไหนผมก็จะเลือกเงียบไว้ก่อน
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมตอบ นั่นเพราะผมรู้ ไม่ใช่เพราะ...หลงตัวเองและมั่นใจในความฉลาดอย่างที่ใครหลายคนพูดถึง
ตอนนี้เราสามคนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นราชพฤกษ์ในสนามสอบโรงเรียนของตัวเองที่ถูกคัดให้เป็นสนามสอบ GAT/PAT ด้วย ซึ่งก็ใกล้ถึงช่วงสำคัญแล้ว ผมมีเพื่อนไม่มาก ที่สนิทก็มีอยู่แค่สองคนและก็แข่งกันสวมแว่นหนาไปเรียนเหมือนทุกวัน
คนแรกชื่อเคน เอกลักษณ์ประจำตัวคือมีสิวขึ้นข้างใบหู พอยุบแล้วก็มักจะขึ้นใหม่เรื่อยๆ เหมือนกรรมเก่ายังไม่หมด ส่วนคนที่สองชื่อเบส เนื่องจากเล่นเบสเก่งมากแต่ก็ไม่เคยโชว์ให้ใครดูยกเว้นคนในกลุ่ม ทั้งเบสและเคนสอบติดแพทย์ กสพท. ไปนานแล้ว แต่เสือกอยากทำอะไรท้าทายเพื่อทดสอบความสามารถของตัวเอง
ผิดกับผมที่ตัดสินใจมาสอบสถาปัตย์ฯ ตั้งแต่แรกด้วยความคิดที่ว่า ‘มึงจะไปกันที่เขาทำเหี้ยอะไร’
“ไปสอบกันเถอะ อีกยี่สิบนาทีก็ได้เวลาแล้ว”
“อืม นั่งรอหน้าห้องน่าจะสบายใจกว่านะ” เคนปิดหนังสือลง ยัดใส่กระเป๋าของตัวเองทั้งที่เป็นหนังสือของผม -_-
เราเคยชิน แม้จะรู้ดีเรื่องสถานที่และสนามสอบ แต่ก็ไม่มีใครคิดปล่อยปละละเลยในจุดนี้ อย่างน้อยแค่ขอให้ได้ไปนั่งเตรียมใจอยู่หน้าห้องสอบคงจะดีกว่าเป็นไหนๆ
“พี่เคน!” รุ่นน้อง ม.4 คนหนึ่งร้องเรียก
“เฮ้ย มึงไปก่อนเลย เดี๋ยวกูตามไปนะ”
“เจอกันห้องสอบ” ผมบอกเสียงเรียบ ก่อนร่างผอมจะวิ่งผละออกไป เดาว่ารุ่นน้องคงจะหาเครื่องรางสักรุ่นให้มันได้บูชาเป็นสิริมงคลก่อนสอบแน่นอน
“ปอ” หลังจากนั้นเบสก็โพล่งขึ้นอีกคน
“หืม...”
“ปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำว่ะ ขึ้นห้องไปก่อนเลยนะ”
“โอเค”
ตอนฉุกเฉินชอบเป็นแบบนี้เสมอ ผมส่ายหัวไปมา ก่อนย่างเท้าไปข้างหน้าโดยไม่พะว้าพะวัง เราเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เคยชินที่จะอยู่ด้วยตัวเอง เผื่อว่าใครคนใดคนหนึ่งไม่สามารถเดินไปด้วยกันได้ แม้ลึกๆ ในใจ ผมได้แต่ตั้งคำถามว่า ‘เพื่อน’ จริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่
คนที่มีบุคลิกเหมือนกัน
คนที่ชอบชวนไปอ่านหนังสือ
คนที่มักพาเข้าสตาร์บัคส์ในวันโคตรซวย เพราะถูกแม่ตัดเงินค่าขนม
คนที่มีความฝันเหมือนกัน
หรือแค่...คนหลายคนที่สังคมไม่ยอมรับ แล้วมารวมตัวเข้าด้วยกันโดยบังเอิญกันแน่
“นาย” ผมหลุดจากภวังค์ ร้องเรียกใครอีกคนที่เดินจ้ำอ้าวไปข้างหน้าแล้ว หากแต่ดินสอ 2B ของเขายังตกอยู่ตรงหน้า ต่อหน้าต่อตาของผม
“นาย!” ผมเรียกอีก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรีบมากๆ เลยไม่สนใจฟัง
ผมวิ่งตามร่างที่สูงกว่าตัวเองค่อนข้างมากพร้อมกับถือดินสอแท่งสีน้ำเงินเอาไว้ในมือ ให้เดาก็คงเป็นเด็กสอบ PAT4 เหมือนกันเพราะเขาวิ่งขึ้นไปยังอาคารเรียนเดียวกับสนามสอบของผม
เท้าทั้งสองยังไม่หยุดวิ่ง ผมรู้สึกเหนื่อยมากแต่โคตรไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไม...ถึงต้องแคร์ใครก็ไม่รู้ที่เราไม่เคยรู้จัก ใครก็ไม่รู้ที่ใส่กางเกงนักเรียนสีน้ำเงินซึ่งไม่ใช่สีเดียวกับผม ใครก็ไม่รู้ที่สะเพร่าทำของตกเอง แล้วสร้างภาระให้คนอื่นต้องตะโกนจนเสียงแหบแห้งวิ่งตามเอาไปให้
ผมได้แต่สงสัย ว่าตัวเองทำไปเพื่ออะไร
และสุดท้ายผมก็รู้คำตอบ ทันทีที่จ้องมองดินสอ 2B แท่งใหม่เอี่ยมบนฝ่ามือ...ถ้าเขาไม่มี
เขาอาจจะไม่ได้สอบ
แม้ความพยายามของผมมันจะเปล่าประโยชน์ก็ตามเพราะหมอนั่นหายไปแล้ว แม่ง วิ่งเร็วยิ่งกว่ารถไฟพลังแม่เหล็กของญี่ปุ่นซะอีก
ผมเก็บดินสอ 2B ของนักเรียนโรงเรียนนิรนามลงในกล่องดินสอ ก่อนจะนั่งรออยู่หน้าห้อง กระทั่งถึงเวลาสอบ...
“ได้เวลาสอบแล้วค่ะ” อาจารย์คุมสอบย้ำเตือนเป็นรอบที่สาม ถ้าผมไม่บังเอิญหูฝาดอ่ะนะ
“โชคดีนะเว้ย” เบสกับเคนให้กำลังใจ แหงล่ะ มันไม่เครียดอะไรหรอกก็แค่มาสอบเล่นๆ แต่ผมนี่สิสอบแบบจริงจัง ทันทีที่เดินเข้าไปภายในห้อง สิ่งแรกที่สังเกตเห็นก็คือข้อสอบหลายฉบับที่ถูกวางไว้บนโต๊ะ และอย่างที่สองซึ่งปรากฏในม่านสายตานั่นคือ ใครคนนั้น...
เจ้าของดินสอ 2B ที่นั่งอยู่หลังห้อง
ผมตั้งใจเดินตรงไปหาเขา และยื่นอุปกรณ์การทำข้อสอบชิ้นสำคัญให้ แต่...
“นั่งประจำที่ตัวเองด้วยค่ะ” ผมจึงทำไม่ได้ และต้องตัดใจเบี่ยงตัวกลับมานั่งที่ของตัวเอง
“อย่าเพิ่งแกะข้อสอบนะคะ มีเวลาให้นักเรียนทำ...” หูทั้งสองข้างอื้ออึง ผมไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าอาจารย์คุมสอบกำลังพูดเรื่องอะไร เพราะยังกังวลเรื่องดินสอเจ้าปัญหาอยู่ ได้แต่คิดว่าไอ้หมอนั่นจะยกมือบอกมั้ยว่าเขาไม่มีดินสอ
“เริ่มทำข้อสอบได้ค่ะ”
สิ้นเสียงอาจารย์ ผมหันไปด้านหลัง ตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน ต้องบอกอาจารย์เพื่อช่วยเหลือคนคนนั้นให้ได้ แต่สิ่งที่เห็นก็คือ...ไอ้ผู้ชายกางเกงน้ำเงินตัวปัญหาดันพกดินสอ 2B มาเต็มกล่องดินสอเลยว่ะ
แล้วที่ผมห่วงมันคืออะไรเหรอ
ผมห่วงไปทำไม
ห่วง...ทั้งที่รู้ดีว่าสุดท้ายตัวเองจะต้องพูดประโยคนี้ออกมา
ไอ้ควายยยยยยยยยยยยยยย
รับน้องมหา’ลัย ปีหนึ่ง...
“ครับสวัสดีครับ กระผมเป็นเด็กดีไม่มีปัญหา...ครับสวัสดีครับ กระผมเป็นเด็กดีไม่มีปัญหา ตาหูจมูกปาก ตาหูจมูกปาก...”
ผมได้แต่เต้นแร้งเต้นกาทำท่าตลกๆ ด้วยใบหน้าเบื่อโลกในห้องกิจกรรม เขาบอกว่าเราควรละลายพฤติกรรมกันก่อน ผมอยากถามออกไปมากว่ารุ่นพี่เข้าใจคำคำนี้ดีแค่ไหน ละลายพฤติกรรมหมายถึงการทำลายบรรยากาศอึดอัดขั้นต้น ซึ่ง...ผมคิดว่าความรู้สึกตอนนี้มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ผม เบส และเคนเราต่างแยกย้ายกัน ชีวิตเพื่อนและสังคมวัยมัธยมฯ จบลงโดยสมบูรณ์ด้วยการที่ผมสอบติดสถาปัตย์ฯ อย่างที่ตั้งใจ ส่วนสองคนนั้นก็ไปเรียนหมอแต่คนละมหา’ลัย
“ปรบมือให้ตัวเองหน่อย น้องๆ เก่งมากค่า”
“วี้ดวิ้วววววววว” ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ฟังตามคำสั่ง เขาให้เต้นก็เต้น บอกให้นอนก็ต้องนอน และตอนนี้เขากำลังสั่งให้ปีหนึ่งยืนขึ้นอีกครั้ง
“รวมเงินๆ วันนี้ รวมกันให้ดีอย่าให้เกินอย่าให้ขาด ผู้หญิงนั้นเป็นเหรียญบาท ผู้หญิงนั้นเป็นเหรียญบาท ผู้ชายเก่งกาจมีห้าสิบสตางค์ พี่ขอให้น้องรวมเงิน 10 บาทค่ะ!”
“กรี๊ดดดดดดดดดด” เยี่ยม...เป็นวิธีการจับกลุ่มที่เลวร้ายที่สุด เพราะทุกคนวิ่งกันไปมาทั่วห้อง ผมได้แต่มองซ้ายมองขวา ก่อนจะถูกใครคนหนึ่งฉุดเข้าไปในกลุ่มและนั่งลง
“ครบยังวะ นับก่อนๆ”
“ครบๆ” จะตื่นเต้นอะไรนักหนา ก็แค่กิจกรรมบ๊องๆ
“พี่อยากให้น้องทุกคนแนะนำตัวกับเพื่อนในกลุ่ม และทำความรู้จักกันไว้ เพราะต่อไปเราจะทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มนี้ตลอด โอเค รับทราบ?”
“ทราบ!”
พอถึงช่วงแนะนำตัว จากที่ผมไม่คิดจะเงยหน้ามองใครก็ต้องเริ่มหันมาจ้องมองเพื่อนๆ ในกลุ่มซึ่งกำลังนั่งล้อมกันเป็นวงกลม กลุ่มเรามีผู้ชายแปดคน กับผู้หญิงอีกหก และทันทีที่สายตากวาดไปจนเกือบครบ คนสุดท้ายที่ทำเอาผมเผลอเบิกตาโพลงก็คือ...
ไอ้กางเกงน้ำเงินที่ทำ 2B ตกในวันนั้น
เรา...สอบติดมหา’ลัยเดียวกัน
“แนะนำตัวเลยนะ เราชื่อบุ้งกี๋ เรียนสถาปัตย์ฯ เอกออกแบบอุตสาหกรรม ยินดีที่ได้รู้จักจ้า” คนแรกเริ่มแนะนำตัว แต่ผมยังคงจ้องหน้าคนผิวแทนข้างๆ อยู่เลย และเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจมองผมกลับด้วย เพราะมันแม่งโคตรตั้งใจฟังเพื่อน
“เราชื่อมะปรางค่ะ เอกออกแบบนิเทศศิลป์”
“ชื่อยิมนะเว้ย ออกแบบนิเทศศิลป์เหมือนกัน”
“หมวย ’ถาปัตย์ ’ถาปัตย์” ทุกคนเริ่มแนะนำตัวเวียนกันไปเรื่อยๆ เป็นวงกลมจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ผม...
“เอ่อ...ปอ สถาปัตย์ฯ เอกสถาปัตย์ฯ” ทุกคนส่งยิ้มมาให้ แต่ผมทำได้แค่ขยับแว่นไปมา เพราะพวกเขาสนใจผมแค่เพียงเสี้ยววินาที แต่กลับจดจ่อกับคนสุดท้ายที่นั่งข้างผมมากกว่า
ไอ้ผู้ชายตัวสูง ผิวแทน ปากรูปกระจับ มันไม่ได้หล่ออะไรมาก แต่เป็นคนที่มองแล้วดูมีเสน่ห์ เชื่อมั้ยว่าคนแบบนี้น่ากลัวกว่าคนหล่อเป็นร้อยเท่า ผมเริ่มมองเห็นความวุ่นวายในกลุ่มตัวเองรำไร เพราะหลายต่อหลายคนเล่นจ้องมันไม่วางตา
“เราชื่อ...”
“น้องปอ ปรัชญา เอกสถาปัตย์ฯ อยู่ไหนคะ คุณแม่มาหาค่ะ!” ชื่อของผมถูกประกาศออกไมค์ ดังนั้นผมจึงไม่ได้ตั้งใจฟังหมอนี่แนะนำตัว แต่เลือกเดินผละออกไปจากกลุ่มโดยที่ไม่ได้บอกใครไว้ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท ก็แค่ไม่อยากให้แม่รอนาน จนลืมบอกเพื่อนๆ ไป
เพื่อนที่โรงเรียนชอบมองว่าผมเป็นลูกแหง่ไม่หย่านมแม่ แต่ที่วันนี้แม่มาก็เพราะท่านอนุญาตให้ผมเข้ามาอยู่หอในกับเพื่อนๆ ได้ ซึ่งมันถือเป็นสัญญาณที่ดี
ผมคุยกับแม่ประมาณ 10 นาทีก่อนจะกลับมายังกลุ่ม ทุกคนมองผมด้วยสายตาไม่ค่อยเป็นมิตรเหมือนตอนแรก ยกเว้นมัน ไอ้ผู้ชาย 2B ที่ยังส่งยิ้มหน้าระรื่นมาให้ ไม่เมื่อยปากบ้างหรือไง
แค่นี้ก็พอรู้แล้วว่าแต่ละคนนิสัยเป็นยังไง ผมรับได้หากจะไม่มีเพื่อนไปจนจบ แต่ถ้ามีคนคุยด้วย...ก็คงจะดีกว่า
รุ่นพี่แจกขนมปี๊บกับปลาเส้นให้ปีหนึ่ง เรานั่งกินกัน พูดคุยและหัวเราะเสียงดัง มีแต่ผมเท่านั้นที่นั่งเงียบและพยายามจ้องมองปลาเส้นให้ทะลุอยู่
“นี่ปอ ไม่คิดจะคุยกับเพื่อนหน่อยเหรอ” คนนั่งข้างๆ หันมากระซิบข้างหูเบาๆ แน่นอนมันคือคนเดียวกับไอ้กางเกงน้ำเงินที่ทำดินสอ 2B ตกแล้วผมยังไม่รู้จักชื่อ
“ไม่รู้จะคุยอะไร ดูเขาไม่ชอบเรา”
“เปล่าหรอก ถ้ามึงยิ้มทุกคนก็คลายความกังวลแล้วล่ะ พวกเขาแค่กลัวว่ามึงจะเครียด”
“เหรอ เราก็เป็นของเราอย่างนี้”
“...” อีกฝ่ายเงียบไป ผมพยายามหาหัวข้อสนทนาที่อยู่ในสมอง บางทีมีหมอนี่เป็นเพื่อนก็น่าจะดีเหมือนกัน
“เออนี่ ได้ข่าวเรื่องเด็กเส้นป่ะ เส้นคณบดี” ใบหน้าคมเข้มขมวดคิ้วมุ่น คงจะสงสัยว่าไอ้แว่นอย่างผมมันมาไม้ไหนกันแน่ ก็ไม่มีแผนอะไรหรอก จริงๆ ในใจของผมแค่ไม่อยากเหงา...เท่านั้น
“ทำไม”
“เราไม่ชอบระบบเส้นสาย เมื่อไหร่จะหมดไปจากโลกก็ไม่รู้”
“บางทีเขาอาจจะไม่ได้ใช้เส้นก็ได้นะ คณะนี้ยังไงก็ต้องสอบเข้ามาอยู่ดี”
“เหรอ เราว่านายโลกสวยไป หมอนั่นแค่ชื่อก็ไม่ซื่อตรงแล้ว ชื่อเดียวกับคณะด้วยนะ ไม่คิดเหรอว่าอาจจะเส้นใหญ่มาตั้งแต่เกิด”
“สถาปัตย์?” เสียงทุ้มพูดขึ้นเบาๆ
“อื้ม”
“มันชื่อถา”
“รู้จักด้วยเหรอ”
“ก็ไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่หรอก” คนเคียงข้างเอ่ย
“...”
“แต่กูเนี่ยแหละสถาปัตย์”
ผมเพิ่งรู้ในตอนนั้น โลกมันโหดร้ายกว่าที่คิดเยอะเลย...
โลกไม่ยุติธรรม ผมเหมือนโดนโชคชะตากลั่นแกล้งจนวินาทีสุดท้าย นับตั้งแต่วันละลายพฤติกรรมผมก็ไม่กล้ามองหน้าเพื่อนที่ชื่อถาอีกเลย ถ้าจำไม่ผิดและหูยังใช้การได้อยู่ หมอนั่นชื่อถา ชื่อจริงคือสถาปัตย์ เพราะเพื่อนทั้งคณะชอบเรียกอย่างนั้น แต่ก็ดันมาซวยที่เราต้องอยู่กลุ่มเดียวกัน เรียนเอกเดียวกัน ที่สำคัญดันจับสลากมาเป็นรูมเมทกันด้วย
สำหรับสถาปัตย์ มันป๊อบมาก แต่ก็นะ...ปลอม เปลือก ทุกคนสนใจแค่หน้าตาและคารมเป็นต่อของมัน สำหรับผมไอ้นั่นมีอะไรให้หลงวะ ก็ไม่ได้หล่ออะไรมาก แค่ดูดี ผมขอใช้คำว่า ‘แค่’ นะ
“มองอะไร”
“เปล่า”
ทันทีที่เสียงทุ้มพูดทำลายความเงียบ ผมก็รีบปฏิเสธทันที เราเป็นรูมเมทกัน อยู่ด้วยกันสองคนในห้องสี่เหลี่ยมที่เกลื่อนกลาดไปด้วยกระดาษสำหรับวาดภาพ และขี้ดินสอจากดินสอที่ถูกเหลาเอาไว้เกือบ 10 แท่ง
ไอ้ถานั่งอยู่ตรงพื้นปลายเตียงซึ่งเป็นที่ว่างของห้อง ส่วนผมนั่งอยู่ตรงโต๊ะหนังสือและจ้องมองอีกฝ่ายกลับ
นี่เป็นคืนที่ห้าที่เราอยู่ด้วยกัน แต่ผมก็ยังไม่ชิน
“จืด” แม่งเรียกกูจืด
เจ็บกว่าโดนด่าไอ้ตาเขอีก
เพราะไอ้สถาปัตย์คนเดียวที่เริ่มเรียกผม เพื่อนทั้งคณะเลยหันมาเรียกตามมันกันให้ควั่ก ถามหน่อยกูไปจืดบนหัวบิดามึงเหรอ
“อะไร”
“สายตาสั้นเท่าไหร่เนี่ย”
“ซ้าย 600 ขวา 650”
“ทำไมสายตาสั้น”
“เสือก!”
“แล้วทำไมมึงไม่ชอบถอดแว่นวะ ปกติเวลาอาบน้ำกูก็เห็นมึงใส่ทั้งที่ฝ้าเต็มเลนส์อย่างนั้นอ่ะ ถามจริงมองเห็นเหรอ”
“เสือก”
“ตอนนอนก็ไม่ชอบถอดแว่นอีก เวลามึงฝัน มึงเห็นตัวเองใส่แว่นป่ะ”
“เสือก”
“โอ้โห กูได้สามเสือกเลย ขอบคุณนะรูมเมท”
“ฟัก...ทอง” อยากด่าฟวยก็ด่าไม่ได้ ผมเลยล่อผลไม้เข้าให้ จนได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาระลอกใหญ่ ก่อนคนตัวสูงจะหันไปจดจ่อกับงานออกแบบของมันต่อ งานแรกสำหรับนิสิตปีหนึ่ง ส่วนผมก็หันหน้าเข้าหาโต๊ะ ลงมือทำงานเช่นกัน
ไลฟ์สไตล์ของเราต่างกันโดยสิ้นเชิง ไอ้ถาอะไรก็ได้ ง่ายๆ สบายๆ แต่ผมแค่คิดว่า...ถ้าเขามีโต๊ะให้ทำงาน ทำไมต้องนั่งพื้นให้หลังขดหลังแข็งด้วย พื้นไม่ใช่พื้นที่ให้เดินผ่านหรอกเหรอ
ก๊อกๆๆ
ผมรีบขยับแว่นสองสามครั้ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ เพราะไม่อยากยุ่งกับพวกชอบเคาะประตูห้องกลางดึกสักเท่าไหร่ คืนแรกก็งงอยู่หรอก แต่พอคืนที่สองหรือสามผมก็เริ่มเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของร่างสูงเดินไปยังประตู ก่อนจะหมุนลูกบิดทักทายคนภายนอก
“มาทำไมดึกๆ วะ”
“ก็ไม่อยากจะมานักหรอก แต่ฝั่งหอหญิงฝากมาให้ แถมย้ำว่ามึงต้องได้วันนี้ด้วย อ่ะ!” ผมเหลือบตามองเล็กน้อย เห็นเพื่อนที่อยู่คนละเอกยัดถุงกระดาษ ถุงพลาสติก และกล่องอะไรไม่รู้สารพัดใส่มือของเขา
“เยอะว่ะ”
“เออ เยอะโคตร คราวหลังอย่าไปอ่อยสาวให้มาก แม่งลำบากเพื่อนลำบากฝูงว่ะ”
“เอาน่า ขอบใจมึงมากนะ ว่าแต่เอานี่ไปกินมั้ย” ไอ้สถาปัตย์ยื่นถุงขนมในมือให้
“ไม่เอา พวกกูแดกจนเหงือกจะสึกอยู่ละ มึงเก็บไว้แบ่งรูมเมทมึงเถอะ” ทันทีที่ผู้ชายไม่รู้จักชื่อคนนั้นจ้องมองมา เสี้ยววินาทีผมก็รีบหลบตาทันที
“นี่จืด! หิวก็มากินนะ ไม่ต้องฟอร์มหรอก”
“ไปไกลๆ เลยป่ะ มาเอะอะอะไรเสียงดัง รูมเมทกูไม่ชอบ”
“วู้ววว อยู่ด้วยกันแค่ห้าคืนรู้ใจกันแล้วเหรอ”
“เออ!”
ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป...
“เอาไปกินซะจะได้อารมณ์ดี” ช็อกโกแลตแท่งถูกวางไว้ใกล้ๆ มือ ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับคนที่ยืนค้ำหัวพร้อมกับตอบกลับทันที
“ไม่กิน”
“ไม่ชอบช็อกโกแลตเหรอวะ”
“มีคนเอามาให้ก็กินไปสิ เอามาแจกเราทำไม”
“มันเยอะ กินไม่หมด กินเป็นเพื่อนหน่อย”
“...”
“น่า...นะ” ทำไมต้องทำสายตาอ้อนๆ แบบนั้นด้วยวะ ผมเกลียดคนแบบนี้ที่สุด ทำดีกับทุกคนเพื่อหวังให้คนชอบและทำดีกลับ ผมรู้ และรู้ดีมานานแล้วว่าไม่มีใครอยากทำความรู้จักกับผมนักหรอก
“ไม่เอา”
“นะ ช่วยกินหน่อย” อีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนจมูกเราแทบชนกันอยู่รอมร่อ
ตึกตักๆ
หัวใจจะวาย
“ระ...เราระ...ร้อน ต้องไปอาบน้ำ” พูดจบก็รีบลุกขึ้น เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วจ้ำอ้าวเข้าห้องน้ำในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
ฟู่! ถึงใครจะชอบด่าว่าผมเป็นไอ้แว่นหนาดัดฟัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่มีความรู้สึก และสิ่งที่ผมอยากบอกกับทุกคนตอนนี้ก็คือ...รูมเมทผมโคตรอันตราย
เดินออกมาจากห้องน้ำอีกทีก็เห็นไอ้สถาปัตย์เก็บอุปกรณ์ของมันเข้าโต๊ะหมดแล้ว ขณะที่เจ้าตัวกำลังนอนตะแคงมองผมทั้งที่ปากยังคาบป๊อกกี้ชาเขียวไว้อยู่
“อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ”
“เออ อื้ม” ตอบเสร็จก็รีบเดินกลับไปยังเตียงทันที พูดเหมือนไกลมาก แต่ความจริงแล้วปลายเตียงเราห่างกันแค่เมตรครึ่งเอง
“นี่ก็ห้าคืนแล้ว ยังไม่ชินอีกเหรอวะ”
“จะให้เราชินเรื่องอะไร”
“กูเห็นมึงชอบเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำตลอด ถามหน่อย อายอะไรวะ”
“ไม่ได้อาย แค่ไม่ชอบ”
“ทำอย่างกับไม่มีเพื่อนคนไหนเคยเห็นมึงถอดเสื้อโชว์หุ่นผอมๆ อย่างนั้นแหละ” หยาบโลนที่สุดในโลก นี่เหรอวะคนที่จะมาเป็นรูมเมทของผมถึงหนึ่งปีเต็ม
“แล้วยุ่งอะไร”
“เอ้า! ไม่ปฏิเสธด้วย เฮ้ยถามจริง มึงไม่เคยแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นเลยเหรอ”
“แล้วทำไมเราต้องทำอย่างนั้นด้วยวะ” ผมตอกกลับเสียงขุ่น อาจเป็นเพราะถูกดูแลอย่างประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก แถมพี่ชายยังหวงเกินขั้น มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องเที่ยวไปเปิดเสื้อให้ใครดู
“ก็มันเป็นปกติของผู้ชาย”
“เป็นปกติของคนอย่างนายมากกว่า”
“งั้นถ้ามึงถอดเสื้อโชว์ กูก็เป็นคนแรกที่ได้เห็นหุ่นมึงน่ะสิ”
“ไอ้ถา!” อยากด่าออกไปว่าไอ้เหี้ยผสมสัตว์นานาชนิด แต่ผมกลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะกลัวว่าภาพพจน์ที่สั่งสมมาจะเลือนหายไปเพียงประโยคเดียว ทุกวันนี้ก็แทบไม่มีคนคบอยู่แล้ว ถ้าขืนยังหยาบคายอีกผมคงถูกคนทั้งโลกกระทืบให้จมดินแน่
“ใจเย็นจืด กูแค่ล้อเล่น”
“เราใช่เพื่อนเล่นนายเหรอ”
“หึ! แล้วที่นอนคุยด้วยอยู่เนี่ยคงเป็นเพื่อนอาจารย์มั้ง”
“นายชักจะกวนตีนเราเกินไปแล้ว”
“อย่าเพิ่งน็อตหลุดดิจืด”
Rrrrrrrrrrrrrrr
ยังไม่ทันด่ากลับไปว่าใครอนุญาตให้เรียกจืด เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของไอ้สถาปัตย์ก็ดังขึ้น ซึ่งก็นับเป็นเรื่องปกติอีกเรื่องเหมือนกัน อย่างที่บอก หมอนี่มันฮอต คารมดี และที่สำคัญแม่งโคตรขี้อ่อย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ตอนดึกๆ โทรศัพท์ของมันมักดังขึ้นมาติดกันไม่รู้กี่สาย
“คร้าบบบบผม ได้แล้วครับ ขนมอร่อยมาก...คราวหลังไม่ต้องเอามาให้หรอก...นอกจากเธอจะน่ารักแล้วยังใจดีอีกนะเนี่ย” เหอะ! ความจริงอยากไล่มันไปคุยไกลๆ รำคาญ แต่ขืนพูดออกไปมันจะหาว่าแอบฟังอีก ดังนั้นผมจึงต้องหันไปจดจ่อกับงานที่เหลือตรงหน้าโดยไม่ลืมหยิบหูฟังขึ้นมาเปิดเพลงฟังไปด้วย
วันนี้ถึงคิว Imagine Dragons วงโปรดวงที่ 163 ของผม...
ตีหนึ่งแล้ว...รู้สึกเหมือนหนังตาเริ่มจะหย่อน ประกอบกับไอ้ถาก็เลิกโม้กับสาวสายที่สี่ของคืนพอดิบพอดี ดังนั้นผมจึงรีบเก็บอุปกรณ์เครื่องเขียนใส่กล่อง ก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงทั้งที่ยังสวมแว่นตาอยู่ ความจริงก็รู้สึกอึดอัดอยู่หรอก แต่ผมไม่ชอบถอดแว่นต่อหน้าคนอื่น มันทำให้ขาดความมั่นใจ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ไฟในห้องถูกปิด ผมจะรีบถอดมันวางไว้ข้างหัวเตียง เพื่อที่เช้าวันต่อมาผมจะได้รีบตื่นและหยิบไอ้แว่นหนาๆ ขึ้นมาใส่ก่อนไอ้สถาปัตย์จะตื่น
“ปิดไฟแล้วนะจืด”
“มองเห็นเหรอ ยังไม่ได้อาบน้ำไม่ใช่หรือไง”
“ห่วงกูเหรอ” มันหรี่ตามองเจ้าเล่ห์ ผมล่ะเกลียดหน้าแบบนี้จริงๆ
“แค่กลัวนายจะเดินไปเตะโน่นนี่จนของเราเสียหายต่างหาก แต่ถ้าอวดดีนักจะทำอะไรก็ทำ”
“งั้นกูปิดไฟละกัน กลัวจืดนอนไม่หลับ” ทันทีที่ความมืดเข้ามาเยือน เสียงฝีเท้าของคนตัวสูงก็เงียบลงเช่นกัน ผมยังไม่หลับหรอกเพราะต้องสวดมนต์ก่อนนอนให้จบก่อนถึงจะหลับฝันหวานได้
“จืด...ยังไม่หลับใช่มั้ย” เสียงเข้มดังแทรกขึ้นท่ามกลางความมืดและเงียบสงบจนได้ยินเสียงพัดลมหึ่งๆ
“อะไรอีก”
“ทำไมชอบสวดมนต์ตอนกลางคืน”
“ความเคยชิน”
“แค่นั้นเหรอ”
“ตอนที่สวดมนต์แล้วได้นั่งทบทวนตัวเองก่อนนอน มันทำให้เรามีสมาธิ ได้เห็นว่าวันนี้เราทำทุกอย่างดีแล้วหรือยัง หรือวันนี้ทำอะไรไม่ดีกับใครไว้บ้าง”
“มึงดูเป็นคนดีจัง”
“เปล่าหรอก เราไม่ใช่คนดี เพราะถ้าเราดีจริงคงไม่มีใครเมินว่ามั้ย” ผมรู้ตัวเองดี เพราะนิสัยเงียบๆ ไม่เข้าสังคม มันทำให้คนอื่นมองผมเหมือนตัวประหลาด แต่ไม่เป็นไรหรอก ช่างมัน “ความจริงเราก็อยากเป็นเหมือนนาย ไปไหนมาไหนมีแต่คนคอยห่วงคอยแคร์ มีเพื่อนเยอะแยะและไม่เคยเหงา”
“อย่าเป็นแบบกูเลย เป็นแบบมึงนั่นแหละดีแล้ว ฝันดีนะจืด กูไปอาบน้ำก่อนล่ะ”
“อืม...”
ความเงียบปกคลุมพื้นที่อีกครั้ง แทนที่จะหลับแต่ตากลับสว่างโล่ จะว่ายังไงดี ไอ้สถาปัตย์คือคนแรกที่อยากให้ผมเป็นผม โดยไม่พยายามยัดเยียดสิ่งที่สังคมต้องการให้ เพราะเหตุผลนี้ล่ะมั้งทำให้ความคิดที่ผมมีต่อมันค่อยๆ เปลี่ยนไป...
แกร๊ก!
เสียงประตูห้องน้ำเปิดออก เงาของร่างสูงเดินเข้ามาในห้องเงียบเชียบ จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบทุลักทุเลท่ามกลางความมืด จนกระทั่งคลานขึ้นเตียงและ...
“อะระหังสัมมา สัมพุทโธภควา...”
ไอ้สถาปัตย์สวดมนต์เป็นครั้งแรก หลังจากที่ผมไม่เคยเห็นมันคิดจะทำเลย
ในใจผมได้แต่ตั้งคำถามมากมายว่าสิ่งที่มันกำลังทำอยู่นั้น เพื่ออะไร...และ...
เพื่อใคร
-
กรี้ดดดดดด มาแล้วๆๆๆ
-
2 เดือนต่อมา...
“คุณมีแรงแค่นี้เหรอ กลิ้งไปทางซ้าย!”
รับน้องสถาปัตย์ฯ ถือเป็นประเพณีสืบทอดที่โหดหินไม่แพ้คณะอื่น ใครบอกวิศวะฯ โหดหันมามองผมนี่ ตอนนี้...เรากำลังดำโคลนอยู่ครับ คราบเหนียวๆ สีน้ำตาลผสมขี้ควายและอาหารขย้อนจากปากของเพื่อนหลายคนที่พากันอ้วกแตก พาให้ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่น้อย
ผมไม่อยากมา ไม่อยากรับน้องด้วยวิธีแบบนี้ แต่ถ้าไม่ทำผมจะไม่ได้รุ่น ที่สำคัญเพื่อนสักคนก็จะไม่มี อย่างที่บอกว่าต่อให้ไม่มีเพื่อนไปจนจบผมก็อยู่ได้ แต่ถ้ามีมันก็ดีกว่าไม่ใช่หรือไง เข้าใจตัวเลือกหลังใช่มั้ย นั่นแหละผมถึงต้องมานอนกลิ้งโคลนกลางแดดอยู่ตรงนี้
เสื้อสีขาวกับกางเกงวอร์มของผมแม่งโคตรเละเทะ เด็กปีหนึ่งหลายคนเบะปากเตรียมจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แต่ก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไรนอกจากทำตามคำสั่ง เราอยู่กันเป็นกลุ่ม กลุ่มเดิมกับที่เคยรวมเงินสิบบาทในกิจกรรมละลายพฤติกรรมวันนั้นแหละ เราช่วยเหลือกัน เพื่อนช่วยเพื่อน พี่ช่วยน้อง ผู้ชายช่วยดูแลผู้หญิง ส่วนผม...ก็ต้องพึ่งตัวเอง
“พวกคุณทุกคนลุกขึ้นยืน เห็นธงคณะกลางสนามนั่นมั้ย” พี่ว้ากตัวร้ายกับนายขี้โคลนตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด ผมหวังว่าจะมีใครคนหนึ่งลุกขึ้นมาเถียงพี่ว้ากบ้าง แต่เปล่าเลย เราทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาตอบเสียงอ่อยๆ กลับไป
“เห็นครับ/ค่ะ”
“ผมอยากให้คุณวิ่งไปจัดแถวบริเวณธงภายในเวลา 30 วินาที”
“หา!!!!”
“ห้ามบ่น กลุ่มไหนเกินเวลา กลุ่มนั้นต้องถูกลงโทษ เข้าใจมั้ย”
“...”
“เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ/ค่ะ”
“สามสิบ...ยี่สิบเก้า...”
“กรี๊ดดดดดดด” เสียงของความอลหม่านเริ่มต้นขึ้น ทุกคนวิ่งหน้าตั้งยิ่งกว่าศึกซอมบี้ถล่มเมือง แต่ก็ไม่ลืมหันมาช่วยเหลือเพื่อนในกลุ่มด้วย เพราะถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งไปช้า เราก็ต้องถูกลงโทษพร้อมกันหมด
ผมเองก็เช่นกัน วิ่งไปข้างหน้าสุดแรงเกิดแต่ก็เกือบรั้งท้ายอยู่ดีเพราะขาสั้น ส่วนไอ้สถาปัตย์เหรอ มันกำลังทำตัวเป็นคนดีคอยช่วยเหลือเพื่อนผู้หญิงที่ทำท่าจะหมดแรงอยู่กลางสนาม ทุกคนชอบเรียกมันว่าฮีโร่ เพราะไม่ว่าจะอยู่กลุ่มไหนมันก็ช่วยเหลือหมดนั่นแหละ
“เหยาะแหยะจริงๆ สิบ...เก้า...”
“เฮ้ยยยย เร็วดิ!”
หลายๆ กลุ่มเริ่มตั้งแถว ผมเหมือนถูกคาดหวังจากเพื่อนทุกคนเพราะวิ่งมาเป็นคนเกือบท้ายๆ แข้งขาก็เหมือนจะอ่อนแรงเต็มที ความร้อนจากแดดตอนเที่ยงทำให้สายตาที่มองข้างหน้าค่อนข้างพร่าเบลอ ลมหายใจเริ่มติดขัด ผมเกลียดตัวเองที่เอาแต่เป็นภาระให้คนอื่น ดังนั้นจึงต้องกัดฟันวิ่งต่อไป เพราะถ้าล้มเพื่อนก็จะถูกทำโทษ
“จืดเร็ว! ไอ้จืด เร็วสิโว้ย”
แว่นจะร่วงแล้วสัด เรียกกูอยู่ได้
“เย่!!!” ทันทีที่แตะบ่าคนข้างหน้าสำเร็จ พี่ว้ากก็เป่านกหวีดหมดเวลาเช่นกัน
ฟู่! เกือบไปแล้ว...
กิจกรรมยังคงดำเนินต่อไป ร่างกายของผมก็ยังพอไหวถึงได้กัดฟันทนอาการหน้ามืดและสารพัดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวจนกิจกรรมหฤโหดผ่านพ้นไปด้วยดี รุ่นพี่ปล่อยให้เราได้ทานอาหารกลางวัน และพูดคุยถึงเรื่องสำคัญที่จะเกิดขึ้นในเทอมนี้ ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ นอกจากแยกตัวมากินข้าวเงียบๆ คนเดียว
“สถาปัตย์!”
“ไอ้ถานั่งตรงนี้”
“น้องถานั่งนี่ได้นะ” เสียงเรียกของใครหลายๆ คนตะโกนข้ามหัวผมไปมา ก็เป็นแบบนี้ทุกวันแหละครับตอนทำกิจกรรม บอกแล้วว่ามันฮอต ใครๆ ก็ชอบ แม้กระทั่งเดือนคณะที่คัดเลือกไปยังไม่ฮอตเท่ามันเลย
ผมเห็นไอ้สถาปัตย์นั่งลงตรงโต๊ะยาวตัวหนึ่งซึ่งห่างจากผมไปประมาณ 3 โต๊ะได้ เราหันหน้าเข้าหากันแต่ก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ เพราะมันไม่ได้สนใจผม หน้าที่อย่างเดียวของไอ้ปอผู้เสื้อเปื้อนโคลนก็เลยมีแค่กินข้าว...คนเดียว
คิดถึงเคนกับเบสว่ะ ถ้ามันยังอยู่ตรงนี้ ถ้ามัน...
“จืด” ผมเงยหน้ามองคนมาใหม่ หากจำไม่ผิดคนนี้น่าจะชื่อพี เราอยู่กลุ่มเดียวกันแต่ไม่เคยคุยกันสักครั้ง
“มีอะไรเหรอ”
“รูมเมทมึงฝากมาถามว่าอยากกินอะไรมั้ย” ผมกะพริบตาถี่ จ้องมองไปยังคนผิวแทนที่ยังหัวเราะอยู่กับเพื่อนร่วมโต๊ะด้วยความสงสัย
“สถาปัตย์น่ะเหรอ”
“อื้ม ไอ้ถานั่นแหละ มันฝากกูมาถามว่ามึงอยากกินอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ เรามีข้าวแล้ว”
“โอเค” แล้วหมอนั่นก็เดินผละออกไป
แต่สักพักก็เดินกลับมาใหม่
“มันให้เอานี่มาให้” ช็อกโกแลตแท่งถูกวางไว้บนโต๊ะ
“ฝากบอกด้วยว่าขอบใจ แต่ไม่ต้องซื้ออะไรมาให้แล้วนะ”
“มันฝากกูมาขอมึงด้วย”
“อะไรล่ะ”
“น้ำเก๊กฮวย”
“เดี๋ยวเราไปซื้อให้” แม่งทำดีหวังผลนี่หว่า
“เปล่า มันอยากกินแก้วของมึง”
“งั้นก็เอาไปเถอะ” ผมดันแก้วน้ำเก๊กฮวยไปด้านหน้า เจ้าตัวพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหยิบแก้วน้ำของผมไป และวางไว้ตรงหน้าสถาปัตย์
หมอนั่นรับไปดื่มโดยไม่หันมามองหน้าผมแม้แต่เสี้ยว ดังนั้นผมจึงเลิกสนใจมันเหมือนกัน จน...
“ไอ้ถาฝากมา” พีวางขวดน้ำเปล่าไว้ใกล้ๆ มือ
อีกแล้ว...ทำอะไรเนี่ย
“ฝากบอกอีกทีนะว่าไม่ต้องเอามาให้แล้ว เรามีเงินซื้อ”
“ไปบอกเองเลย กูไม่ใช่ตัวรับส่งสาส์นของมึงสองคนนะเว้ย เล่นอะไรกันอยู่วะ” พูดจบก็รีบตัดบทด้วยการเดินหนีทันที สรุปผมผิดเหรอ...
ถ้าจะโทษต้องโทษไอ้ถาต่างหากที่เล่นอะไรไม่เข้าท่า
สรุปหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไอ้สถาปัตย์กินข้าวเสร็จและเดินออกไปทักทายคนอื่นตามประสาคนของประชาชน ความจริงเราไม่ใช่รูมเมทที่แคร์กันขนาดนั้น ทุกอย่างมันก็แค่เกม...นี่ผมอินนะเนี่ย
การจะทำให้ทุกคนรักและพูดถึงมันทำไม่ยากหรอก ก็ทำเหมือนสุดฮอตอย่างไอ้ถาไง :P
แค่ซื้อของให้ก็เท่ากับซื้อใจแล้ว
“น้องๆ คะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วขึ้นไปเจอกันที่หอประชุมด้วยนะ ทีมสโมฯ มีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย”
“คร้าบบบบบ” นับเป็นช่วงเวลาที่ไอ้ปอต้องจ้วงข้าวในจังหวะเร็วกว่าปกติ ด้วยไม่มีใครมาคอยเรียกคอยเตือน ผมถึงต้องทำตัวเองให้กระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลาจนข้าวในจานพร่องเกือบหมด แต่พอตั้งท่าจะลุกขึ้นเอาจานไปเก็บ ผมกลับถูกคนสูงๆ เสื้อเปื้อนโคลนคนหนึ่งยืนขวางทางเอาไว้ซะอย่างนั้น
“ถอยไป เราจะเอาจานไปเก็บ” ผมเงยหน้าบอกกับอีกฝ่าย
คงไม่ต้องเดาแล้วมั้ง ข้างหน้าผมน่ะคนของประชาชนเลยนะเว้ย
“กินช็อกโกแลตหรือยัง”
“ไม่ มือเราเปื้อน”
“แล้วน้ำล่ะ”
“เราไม่ชอบกินน้ำไม่เย็น คราวหลังไม่ต้องซื้อมาให้นะ”
“ก็ไม่ได้อยากซื้อน้ำเย็นมาให้กินสักหน่อย”
“...”
“ซื้อมาให้กินกับไอ้นี่ต่างหาก” ถุงพลาสติกสีขาวทึบถูกยัดใส่มือของผม ก้มลงมองดีๆ เลยพอจะรู้ว่าเป็นถุงยาเม็ดสีขาว
ไอ้สถาปัตย์ซื้อน้ำกับยามาให้
ไม่รู้หรอกว่ามันกำลังมาไม้ไหน แต่ทันทีที่กายสูงขยับเข้ามาประชิดมากกว่าเดิมและเอื้อมมือมาแตะหน้าผากของผม ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากยืนอึ้ง และทุกคนก็กำลังมองมาที่เราเช่นกัน
“กินซะ ตัวร้อนๆ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
“O_O”
“ยังมาทำตาโตใส่อีก นี่ไม่สบายจริงๆ ใช่มั้ย”
“ปะ...เปล่า”
“แล้วทำไมหน้าแดง” ก็มึงยกมือมาแตะหน้าผากกูอยู่เนี่ย จะไม่ให้หน้าแดงได้ยังไง
สงสัยผมคงป่วยจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้สึกหรอกว่าร่างกายร้อนผ่าวขนาดนี้
“ไม่รู้”
“กินยาซะรูมเมท ถ้าขืนป่วยขึ้นมามึงเจอดีแน่”
“เฮ้ยไอ้ถา! ขึ้นตึกเร็ว แล้วนี่รูมเมทมึงเป็นอะไรเนี่ย ยืนตัวแข็งเชียว” โชคดีหน่อยที่มีหน่วยกู้ชีพเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน ผมเลยพอหายใจหายคอได้บ้าง
“เหมือนจะไม่สบายว่ะ”
“เราโอเค” ผมรีบแทรกทันควัน คนผิวแทนเลยตวัดสายตามองนิ่ง
“แต่หน้ามึงกำลังบอกว่าไม่โอเค”
“ปะ...ไปเถอะน่า เราไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“เป็นดิ”
“...”
“เป็นห่วงนะจืด”
“...”
“ดูแลตัวเองด้วย เข้าใจมั้ย”
ตู้ม!!
จากที่ไม่ป่วย ตอนนี้คิดว่ากำลังป่วยจริงๆ แล้วล่ะ ฮือ...
“จืด...”
“อือ”
“จืดตื่น! ไปเรียน”
“ชะ...เช้าแล้วเหรอ” ผมพยายามปรือตาขึ้นมาเผชิญหน้ากับใครบางคน แม้มันจะยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหนก็ตาม เช้านี้ผมรู้สึกเหมือนว่าร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แม้แต่ขยับตัวก็แทบไม่สามารถทำได้ นอกจากครางอืออาในลำคอเท่านั้น
และแล้วผมก็ป่วยอย่างที่มันสันนิษฐานเอาไว้ตรงเผง
“ตัวร้อนฉิบหาย เมื่อวานมึงไม่ได้กินยาที่กูให้ไปใช่มั้ย”
“ฮือ...กิน...ไม่ได้” ผมตอบกลับเสียงกระท่อนกระแท่น ผมไม่ชอบยา ไม่ชอบความขมของมัน และที่สำคัญการกลืนยาสำหรับผมเป็นเรื่องยากลำบากเหลือเกิน นี่แหละประเด็น
“ทำไมกินไม่ได้ เม็ดนิดเดียวเอง”
“กลืนยาเม็ดไม่ได้”
“แล้วทีมึงกินข้าวทำไมถึงกลืนได้วะ แม่ง! ดื้อแบบนี้ไงถึงป่วย” เพิ่งรู้ว่าคนของประชาชนนี่ขี้บ่นฉิบหาย ผมเลยทำได้แค่นอนฟังเสียงงึมงำของคนที่บอกว่าจะไปเรียน แต่ก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่ในห้องไปมา
“จืดถอดแว่นนะ” เสียงทุ้มบอกเบาๆ แต่ก็ไม่รอให้ผมตอบรับใดๆ นอกจากเอื้อมมือมาดึงแว่นตาของผมออกอย่างถือวิสาสะ พร้อมกับวางผ้าขนหนูชุบน้ำไว้ข้างแก้ม ความเย็นยะเยือกของผ้าทำให้ขนลุกชันและเกิดอาการหนาวขึ้นมาทันที
“หนาว...”
“แป๊บนึง” ผมปรือตามองอีกฝ่าย ซึ่งหมอนี่ก็จ้องผมกลับด้วย แถมยังทำหน้าอย่างกับพวกโรคจิตใส่อีก นี่ผมป่วยอยู่นะเว้ย
“จืด”
“อือ”
“ทำไมมึงน่ารักจังวะ”
อึ้ง!
“ต่อไปห้ามถอดแว่นให้ใครเห็นนะ กูมองได้คนเดียว”
“ยุ่ง” นี่หรือเปล่าที่เรียกว่าอาการเขิน
“ถอดเสื้อได้มั้ยจะเช็ดตัว”
“ไม่เอา นาย...ไปเรียนเถอะ” แต่ไม่ทันแล้วววววววววว เพราะไอ้สถาปัตย์เล่นจัดการถลกเสื้อยืดสีครีมของผมออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเลื่อนผ้าขนหนูลงมาเช็ดบริเวณร่างกายที่ขึ้นสีแดงเรื่อเนื่องจากพิษไข้ บอกเลยตอนนี้ต่อให้ง่วงนอนแค่ไหนก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้
ผมถูกพลิกตัวไปมาโดยไม่สามารถโต้แย้งใดๆ ร่างกายก็ถูกรูมเมทสัมผัสไปซะทุกส่วน ดีหน่อยที่ไม่เอามือล้วงเข้าไปในกางเกง ไม่อย่างนั้นผมคงไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน
“หนาวแล้ว พอเถอะ”
“อืม เปลี่ยนเสื้อใหม่เลยแล้วกัน กางเกงด้วยมั้ย”
“ไม่!”
“ฮ่าๆ อายอะไร กูเห็นหมดแล้วเนี่ย”
“เสือก” ร่างสูงหมุนตัวไปที่ตู้เสื้อผ้าของผม หยิบเสื้อยืดลายเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์สีขาวออกมาและทำท่าจะเปลี่ยนให้ด้วยอีกต่างหาก
“ไม่ต้อง แค่ป่วย ไม่ได้เป็นง่อย”
“พูดมากเสียงแหบหมดแล้ว เดี๋ยวกูลงไปซื้อโจ๊กให้ แต่ห้ามแหยะนะ ต้องกินยาด้วย”
“ไปเรียนเถอะน่า”
“โดดแล้ว”
“...”
“วันนี้โดดแล้ว พอดีป่วย”
“ทุเรศฉิบ!”
หลังจากไอ้สถาปัตย์เดินออกจากห้องไป ผมก็หลับเป็นตาย สมองเบลอจนแทบไม่รับรู้สารใดๆ ทั้งนั้น แม้แต่เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ผมยังไม่คิดจะสนใจรับเลย ตอนป่วยนอกจากร่างกายอ่อนแอแล้ว จิตใจยังอ่อนไหวง่ายอีกต่างหาก เพราะไม่ว่าจะมองไอ้ถาแบบไหน ผมก็เห็นแต่ความใส่ใจของมันอยู่ดี รู้ทั้งรู้ว่ามันก็ทำแบบนี้กับทุกๆ คน
ขอร้องเถอะ อย่ารู้สึกอะไรไปมากกว่านี้เลย เพราะสุดท้ายผมเองนั่นแหละที่จะเจ็บอยู่ฝ่ายเดียว
“จืดลุกขึ้นมากินโจ๊กก่อน” ผมถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับแรงประคองจากด้านหลังให้ลุกขึ้นนั่งทันทีที่ลืมตาขึ้น
“ฮือ...อยากนอน ปวดหัว”
“ดื้อ”
“ยุ่ง!”
“เถียงเก่งขนาดนี้คงไม่เป็นไรแล้วมั้ง มาเร็วเดี๋ยวป้อน” มือหนาจับช้อนตักโจ๊กขึ้นมา ก่อนจะเป่าไล่ความร้อนเบาๆ แล้วเลื่อนมาจ่อปากผม
“ต้องไม่อร่อยแน่ๆ”
“อย่าเนียน มึงยังไม่ได้กินเลย ทำไมตอนป่วยงอแงจังวะ”
“แล้วทำไมตอนกูป่วยมึงชอบบ่นจังวะ”
“กูเป็นผู้ปกครองมึง” จบประโยคก็รีบยัดช้อนเข้าไปในปากผมทันที ไม่ปล่อยให้เถียงอะไรได้อีก พอคำแรกยังไม่ทันกลืนลงท้อง คำที่สองก็ถูกจ่อปากอีกไปเรื่อยๆ จนแทบสำลัก
“พอแล้ว อะแค่กๆ” แม่งตั้งใจจะฆ่ากันให้ตายใช่มั้ยเนี่ย ตายด้วยสาเหตุทุเรศอย่างโดนทรมานด้วยการถูกอัดโจ๊กเข้าปาก
“งั้นกินยา” ไอ้ถามันเป็นแม่ผมจริงๆ ด้วยว่ะ
“กินข้าวเดี๋ยวก็หาย เราจะต่อสู้โรคด้วยตัวเอง”
“ทฤษฎีห่าอะไรของมึงวะ กิน!” ใบหน้าคมคายจ้องผมเขม็ง ในมือถือยาแก้ไข้เอาไว้พร้อมจะกรอกปากผมรอมร่อ
“ไม่กิน”
“จะกินดีๆ หรือจะกินด้วยน้ำตา”
“เรากินยาเม็ดไม่ได้จริงๆ มันจะอ้วก ไม่ได้แกล้งนะ แต่...” อาจเป็นเพราะอาการปวดหัวรุมเร้า ประกอบกับสติมีไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ทำให้ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แน่นอนรวมไปถึงน้ำตาที่กำลังเอ่อรื้นอยู่เต็มขอบตานี่ด้วย
“โอเค ไม่เป็นไร...” ได้ยินแค่นั้นผมก็แทบกระโดดโลดเต้น แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นประโยคใหม่ก็ดังก้องในหัว
“...”
“เดี๋ยวจะสอนกิน”
หลังจากชะล่าใจได้ไม่นานกระบวนการสอนมนุษย์อย่างผมกินยาก็เริ่มขึ้น ไอ้ถาใช้เวลาอย่างใจเย็น บอกละเอียดตั้งแต่กรอกน้ำเข้าปาก ไปจนถึงยัดยาเข้าไป
สุดท้ายเหมือนจะได้ผล ผมสามารถกลืนยาลงคอได้จริงๆ แต่นั่นเป็นเพียงครั้งเดียวเพราะหลังจากนั้นผมก็ขย้อนเม็ดยาออกมา...
ปั่กๆๆ ปั่กๆๆ
ก๊อกๆๆ
ปั่ก...ปั่ก...ปั่ก...
“เฮ้ยไอ้ถา เปิดประตูหน่อย ทำเหี้ยอะไรเสียงดังวะ ดังทะลุไปถึงข้างล่าง!” เสียงตะโกนโหวกเหวกของเพื่อนดังขึ้นมาหลายครั้งหลายครา หลังจากรู้แน่แล้วว่าต้นเสียงที่ดังทะลุไปจนถึงชั้นล่างเป็นฝีมือของห้องไหน ผมมองตามสถาปัตย์ซึ่งกำลังลุกขึ้นยืนอย่างหัวเสียด้วยความหวาดหวั่น
แกร่ก!
“อะไร” เมื่อเปิดประตูออกไปปะทะกับคนตรงหน้า ร่างสูงก็โพล่งขึ้นทันที
“แล้วมึงอ่ะทำเหี้ยอะไร”
“จืดไม่สบาย” หมอนั่นพยายามยื่นหน้าเข้ามามอง แต่สถาปัตย์กลับแง้มประตูออกให้น้อยที่สุด
“แล้วไง”
“บดยาให้จืดอยู่” ว่าพลางชูยาในถุงพลาสติกเล็กๆ ที่ใกล้ละเอียด พร้อมกับอุปกรณ์บดยาอย่างก้นแก้วน้ำ นาทีนี้อย่าห่วงว่าผมจะตายเพราะป่วยเลย ห่วงสุขอนามัยการจัดหายาของไอ้ถาก่อนดีกว่ามั้ย
“ใช่เรื่องมั้ยมึง แล้วทำไมต้องไปบดยาให้มันด้วย มันแดกยาเม็ดไม่ได้หรือไง”
“อืม”
“แล้วทำไมไม่ซื้อยาน้ำ”
“ฤทธิ์ไม่แรงพอ ขนาดเด็กแดกยังไม่หายเลย”
“เออ! ไม่เถียงแล้ว จะทำห่าอะไรก็ทำ แต่ช่วยลดเสียงลงด้วย”
“รู้แล้วๆ”
หลังจากปิดประตู
ปั่กๆๆ
“พอได้แล้ว เดี๋ยวก็โดนด่าหรอก” สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายปรามมันอยู่ดี
“ยังไม่ละเอียดนะเว้ย”
“ก็ไม่ต้องกินดิ ไม่ได้อยากกินยาอยู่แล้ว”
“ได้ไง” ตอนป่วย ผมรู้สึกว่าชีวิตตัวเองดูมีค่าในสายตาของเพื่อนขึ้นมาทันที เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยมั้งที่มีคนมานั่งบดยาให้ขนาดนี้ เพราะปกติผมจะทำเองทั้งหมด ป่วยก็ไม่มีสิทธิ์อิดออดหรอก ไม่อยากตายก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง
“อ่ะ ได้แล้ว” ยาบดละเอียดถูกเทผสมน้ำใส่แก้วเล็กน้อย ก่อนยื่นมาให้ผม
“ขมอ่ะ” เพราะรู้ไงว่ารสชาติมันเลวร้ายแค่ไหน ผมถึงไม่อยากเอาลิ้นไปแตะไอ้ยาแก้ไข้พวกนี้เลย
“เดี๋ยวไม่หายนะจืด” ผมยอมรับแก้วน้ำในมืออย่างง่ายดาย พร้อมกับกระดกดื่มรวดเดียวหมดด้วยสีหน้าเหยเก ไอ้สถาปัตย์ยื่นน้ำเปล่าให้อีกครั้ง แน่นอนผมไม่คิดปฏิเสธเพราะไม่อย่างนั้นอาจถูกยัดเยียดยาด้วยวิธีอื่น
บางทีการกินยามันก็เปลืองพลังงานและพลังใจไม่ใช่เล่นนะ
“นอนซะ”
“ขอบคุณนะที่ดูแลเรา” เล่นโดดทีเดียวสองวัน สงสัยนิสิตดีเด่นคงไม่ได้อยู่ในตัวเลือกของมันแล้วล่ะ
“ไม่ต้องพูดเพราะกับกูก็ได้ สนิทกันแล้ว”
“ตอนไหน”
“เมื่อกี้”
“ถามหรือยังว่าอยากสนิทด้วยมั้ย” ผมเอ่ยออกไป
“ถามแล้ว”
“ถามใครไม่ทราบ”
“ถามใจมึงอ่ะ ใจมึงอยากสนิท”
“...”
“ใจกูก็อยากสนิท เพราะงั้น...”
“...”
“ใจเราตรงกันแล้วนะเว้ย”
วันจันทร์ วันที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและเสียงจ้อกแจ้กจอแจของบรรดานิสิตสถาปัตย์ฯ โดยเฉพาะโรงอาหาร สถานที่เดียวที่ผมสามารถฝากท้องแล้วรีบขึ้นไปเรียนได้ทัน ดังนั้นจึงไม่ค่อยเห็นเด็กสถาปัตย์ฯ ไปกินข้าวไกลถึงคณะอื่นสักเท่าไหร่
“จืดกินไร” เสียงทุ้มแสนคุ้ยเคยถามขึ้น หมอนี่ชวนผมมาร่วมโต๊ะกับมันและเพื่อนๆ ดังนั้นผมเลยไม่ขัดศรัทธาขอนั่งด้วยความเต็มใจ
“เดี๋ยวกูไปสั่งเอง” ไม่ค่อยชินกับการเรียกแบบนี้เท่าไหร่
แต่...ก็ดูสนิทดี
“โอเค กูไปซื้อน้ำกับไอ้ป๊อบนะ” กลุ่มเพื่อนของสถาปัตย์มีด้วยกัน 5 คน ไม่รวมผมนะเพราะไม่ได้อยู่ในก๊วนแก๊งกับคนอื่นเขา แต่ละคนมีคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผมก็ไม่ได้สนิทถึงขนาดจะวิจารณ์นิสัยของคนพวกนี้ให้ฟังได้ นอกจากมัน...ไอ้ถา
ผมลุกขึ้น เดินไปสั่งอาหารร้านประจำ ก่อนจะกลับมานั่งที่โต๊ะซึ่งทุกคนก็ลงมือจ้วงข้าวใส่ปากกันหมด ยกเว้นไอ้สถาปัตย์ที่เอาแต่นั่งยิ้มหน้าแป้นแล้น ตรงหน้ามีแค่น้ำเขียวแก้วเดียววางเอาไว้เท่านั้น
“ไม่กินข้าวเหรอ” ผมถามอย่างแปลกใจ
“กิน”
“แล้วทำไมไม่สั่ง”
“อยากแย่งหมากิน ขอชิมหน่อยดิ”
“นี่อาหารหมา มึงกินไม่ได้หรอก” ผมรีบบอกปัดทันควัน
“งั้นนี่ก็หมา กินได้”
แปลก ไม่ชอบสั่งข้าว แต่ชอบมาแย่งคนอื่นกินเนี่ยนะ
“ทำใจเถอะ ไอ้ถาไม่ใช่หมา แต่สันดานแม่งหมา” เพื่อนของหมอนี่ตบบ่าผมปุๆ สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้มันแย่งกินไป เพื่อแลกกับการได้กินน้ำเขียวไม่ถึงครึ่งแก้ว ไม่เห็นจะคุ้มเลย
“ถา”
“เหวย แม่หมามาแล้ว”
ทุกคนหันไปให้ความสนใจกับคนมาใหม่ ผมเองก็ไม่รู้จักหรอก รู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้น่ารักเหลือเกิน ให้เดาก็คงจะเป็นหนึ่งในบรรดาสต็อกของไอ้สถาปัตย์ล่ะมั้ง
“อะไรยังไงคร้าบบบบ” เพื่อนๆ ในกลุ่มเริ่มส่งเสียงแซว กระทั่งคนมาใหม่เดินเข้ามาประชิด
“ชู่วววว เงียบหน่อยดิ เดี๋ยวกูมานะ” เจ้าตัวว่าพลางลุกเดินออกจากโต๊ะไป
“ถ้ายุ่งไม่ต้องเข้าเรียนได้นะ เดี๋ยวกูบอกอาจารย์ให้ ฮิ้ววววว”
“ตัวจริงแน่ๆ”
“แน่ใจเหรอ คนก่อนก็คนดังคณะมนุษย์ฯ นะ ของอย่างนี้ดูผิวเผินไม่ได้ดิ” ทุกคนต่างช่วยกันวิเคราะห์ชีวิตรักของไอ้สถาปัตย์จนออกรสออกชาติ ส่วนผมทำได้แค่ดึงจานข้าวที่อยู่อีกฝั่งมากินเงียบๆ ไม่รู้สิ แต่ความรู้สึกตอนนี้มันวูบโหวงอย่างน่าประหลาด พร้อมกับคำถามมากมายที่ลอยวนอยู่ในหัว
คนแบบไหนนะที่คนอย่างมันจะชอบ คนสวย คนดัง คนเก่ง หรือต้องพิเศษ
และที่สำคัญ...เป็นคนธรรมดาได้มั้ย
ผมตั้งคำถามสุดท้าย ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ผมยังอยากถามออกไปอยู่ดี แปลกเนาะ หรือเพราะผม...เป็นแค่คนธรรมดาด้วยหรือเปล่า
-
ผมได้แผ่นหนังสยองขวัญเรื่อง Unfriended มาจากร้านเช่าซีดีใกล้ๆ มหา’ลัย เพราะร้านเตรียมจะปิดตัว ดังนั้นเขาจึงขนมาขายแบบลดแล้วลดอีก อย่างเรื่องนี้แค่สิบบาทเอง ถ้าซื้อลูกชิ้นก็ได้แค่สองไม้ แต่ถ้าซื้อแผ่นหนังก็จะมีเก็บไว้จนกว่าจะพัง
ความจริงผมไม่ชอบดูหนังผีเท่าไหร่ ถ้านับที่ดูไปก็มีแค่ไม่กี่เรื่อง หนึ่ง ชัตเตอร์ฯ สอง พี่มาก เรื่องหลังอาจไม่จำเป็นต้องนับเพราะมันเป็นหนังคอมมิดี้ นั่นแหละ แค่อยากพูดให้ฟังว่าผมกับหนังผีเราไม่ค่อยถูกกันแค่นั้น
ตอนนี้ทุ่มกว่าแล้ว ไอ้ถายังไม่กลับ ถ้าให้เดาก็คงไปเที่ยวกับบรรดาคนคุยในสต็อก แต่มันก็เข้าเรียนนะ เลิกเรียนถึงหายหัวไปตามสเต็ป ผมเองก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของมันนักหรอก ดังนั้นจึงไม่ได้ถามว่าจะไปไหนหรือทำอะไร
ผมกระโดดขึ้นเตียง ยกโต๊ะญี่ปุ่นขึ้นมาตั้งไว้พร้อมกับแล็บท็อปตัวโปรด ก่อนจะสอดแผ่นซีดีลงไป
แกร๊ก!
ประตูห้องถูกเปิดออก ผมเห็นร่างสูงผิวแทนเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน เลยถามด้วยความสงสัย
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“เบื่อว่ะ” มือหนาเหวี่ยงกระเป๋าลงกับเตียงลวกๆ พลางหันมามองหน้าผม
“ไปกับคนคุยนะ เบื่อด้วยเหรอ”
“แล้วรู้ได้ไงว่าไปกับคนคุย”
“ก็เดาเอาอ่ะ”
“อืม เขาชวนไปดูหนัง ช็อปปิ้ง แถมยังชอบเดินจับมือกูอีกต่างหาก ”
“ก็น่าจะมีความสุขดีไม่ใช่เหรอ”
“ตรงกันข้ามเลย เบื่อว่ะ ไม่ชอบรอใครนานๆ ยิ่งตอนเขาซื้อของแล้วลากกูให้ไปด้วยนะ กูแม่งอยากจะหายไปจากตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอด”
“ต่อไปก็หนีสิ”
“คิดว่าคงทำอย่างนั้น ฮ่าๆ” ผมเปล่าแนะนำทางผิดให้เพื่อนนะ แต่ในเมื่อไม่อยากทำทำไมเราต้องฝืนด้วยล่ะ หรือจะให้ง่ายก็มีอีกอย่างคือบอกไปตรงๆ บอกเพื่อทำร้ายจิตใจกันตอนนี้ดีกว่ามาเสียใจในวันข้างหน้า
ดูเป็นพระเอกสุดๆ
“แล้วนี่ทำอะไร”
“ดูหนัง”
“เรื่อง?”
“Unfriended”
“เกี่ยวกับห่าไรวะจืด เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน”
“แล้วไม่เสือกสักเรื่องได้มั้ยอ่ะ”
“ก็อยากดูด้วย” ผมหรี่ตามองเล็กน้อย วันนี้มาแปลกแฮะ
“หนังผี”
“หึ!” ไอ้สถาปัตย์ยักไหล่พลางทำหน้าเหมือนไม่ไหวกับเรื่องแนวนี้เต็มทน หรือจะเรียกอีกอย่างว่ากลัวก็คงไม่แปลก
“ดูด้วยกันมั้ยล่ะ” พอเห็นท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ผมเลยแกล้งชวนไปอย่างนั้น ใครจะอยากให้มันมานอนเบียดบนเตียงสามฟุตครึ่งแถมผ้าปูหอมกรุ่นของผมกันเล่า
“ดู!”
“ไม่ได้กลัวผีหรอกเหรอ”
“กลัว แต่พอมีมึงปุ๊บ กูว่าผีก็ไม่น่ากลัวแล้วล่ะ”
“สัด” ด่าไปก็เท่านั้นไม่เข้ากะโหลกมันหรอก ผมเหลือบตามองร่างสูงที่ก้าวขึ้นมาบนเตียง ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวให้พอมีที่ว่างสำหรับเราสองคน ไอ้สถาปัตย์พิงหลังกับหัวเตียง ส่วนผมนอนหนุนหมอนสูงๆ เพื่อให้ดูหนังได้สบายขึ้น
“ถามจริง ทำไมมึงชอบดูหนังผี” ถามอะไรนักหนาเนี่ย คนจะดูหนัง แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี
“ไม่ได้ชอบดู แค่อยากดู”
“แล้วทำไมชอบฟัง Imagine Dragons”
“ก็เพลงมันสนุก มึงไม่ชอบฟังเหรอ”
“ไม่อ่ะ มึงลองฟัง Two Door กับ Arctic Monkeys ดูดิ รับรองติดใจ”
“เคยฟัง Two Door แล้ว ก็ชอบอยู่นะ แต่วงหลังฟังไม่รู้เรื่อง”
“แล้วทำไม...”
“เลิกถามได้แล้ว คนจะดูหนัง”
“โอเค มีของว่างระหว่างดูด้วยนะ” มือหนาเอื้อมมือไปหยิบซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในกระเป๋าขึ้นมา แล้วบดขยี้ด้วยมือก่อนแกะถุงออก
“อะไรเนี่ย”
“มาม่าดิบ กินมะ อร่อยนะเว้ย”
“ไม่กิน แล้วมึงก็ไม่ต้องกินจนติดนิสัยด้วย เดี๋ยวท้องอืด”
“กูหุ่นดี ไม่มีอืด”
“เดี๋ยวถีบ! วางซองมาม่าลงแล้วดูหนัง”
“โอเคคร้าบบบบ”
หนังดำเนินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความกล้าๆ กลัวๆ ของไอ้ถาที่เอาแต่บิดผ้าห่มจนยับยู่ ส่วนผมก็หวั่นใจเล็กน้อย บอกแล้วว่ากลัวผี แต่พอมีคนอยู่เป็นเพื่อนเลยทำให้สบายใจได้บ้าง
“ฮือ...ฮื้อ...ปัง!”
“อ๊าก!!!!!” ไอ้ผีโรคจิตชอบทำให้คนอื่นตกใจ ผมกับไอ้ถาร้องจนลั่นห้อง ทั้งซุกทั้งมุดเข้าไปในผ้าห่ม
“ไม่ดูแล้วได้มั้ยอ่ะ” ผมพูดเสียงติดสั่นเล็กน้อย คนผิวแทนเลยจ้องหน้ากลับพร้อมกับเอื้อมมือมาดึงแว่นสายตาออกจากหน้าของผม
“กลัวผีเหมือนกันก็ไม่บอก ไม่ดูก็ได้”
“แล้วถอดแว่นกูทำไมเนี่ย”
“ก็มึงบอกไม่ดูหนังไง”
“มันไม่ได้เกี่ยวกับแว่นนะ”
“เกี่ยวดิจืด ทำไมมึงน่ารักจังวะ”
“อะ...อะไรเนี่ย” ใบหน้าคมคายโน้มหน้าเข้ามาใกล้ หัวใจผมเต้นระส่ำแทบไม่เป็นจังหวะเพราะระลึกได้ว่าเรากำลังนอนบนเตียงเดียวกันอยู่
“น่ารัก น่ารัก มึงแม่งโคตรน่ารักเลย”
“นี่มึงกลัวจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วเหรอ ไอ้ถาอย่า! อื้ออออ” เสียงของผมขาดหายไป กลายเป็นการดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของร่างสูง ริมฝีปากของเราประกบกัน ก่อนลิ้นร้อนจะแทรกเข้ามาในโพรงปากของผมอย่างถือวิสาสะ ไล้เลียไปตามสบฟันและเกี่ยวกระหวัดจนแทบหายใจไม่ออก
มือหนาล้วงเข้าไปในชายเสื้อของผม ลูบไล้ไปบนผิวจนขนลุกซู่ ผมทำได้แค่ปัดป่ายและกระทืบเท้าลงกับฟูกนอน เพราะสู้แรงอีกฝ่ายไม่ไหว
กระทั่งเสื้อของผมถูกถอดออกอย่างง่ายดาย ลมหายใจกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเมื่อริมฝีปากร้อนผละออกและเลื่อนลงมาขบเม้มบนซอกคอของผม มันเจ็บจี๊ดระคนเสียวซ่านจนเหมือนไม่ใช่ร่างกายของตัวเอง
ทั้งแปลก หวั่นไหว และกลัวในเวลาเดียวกัน
“ไอ้ถาปล่อย!”
“...”
“กูโกรธ...มึงจริงๆ นะ” มือหนาเลื่อนลงไปตรงขอบกางเกง ผมรีบรั้งเอาไว้สุดความสามารถก่อนจะเลยเถิดไปไกล คนตรงหน้าตอนนี้เหมือนไม่ใช่สถาปัตย์ที่ผมรู้จักเลย
“ไอ้ถา! กูเป็นเพื่อนมึงนะ!”
ร่างสูงชะงักนิ่ง
“มึงเห็นกูเป็นใคร กูไม่ใช่ตัวแทนของคนอื่นนะเว้ย”
“กู...ขอโทษ”
“ฮึก...”
“กูขอโทษนะจืด ขอโทษ”
“...”
“กูไม่ได้เห็นมึงเป็นตัวแทนใคร กูเห็นมึงที่เป็นมึง”
ผมไม่เคยร้องไห้เพราะเรื่องแบบนี้
และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้เพราะ...เพื่อน
ผมไม่คุยกับไอ้สถาปัตย์เกือบเดือนนับตั้งแต่วันนั้น หลายครั้งที่มันพยายามชวนคุย แต่ผมไม่คุยด้วย ดังนั้นทุกครั้งเวลากลับห้องแล้วต้องใช้ชีวิตร่วมกัน ความอึดอัดจะประเดประดังเข้ามาเต็มที่ เราต่างคนต่างอยู่ ทำงานมุมใครมุมมัน ไอ้ถาเองก็ไม่ได้นั่งตัดงานอยู่ตรงพื้นแล้ว แต่เลือกทำงานบนเตียงแทน
เราไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน ผมยังคงกินข้าวคนเดียว ไปเรียนคนเดียว และกลับมาอยู่ที่ห้อง แม้จะมีใครอีกคนอยู่ด้วย แต่ความรู้สึกก็ไม่ต่างจากการอยู่คนเดียวนักหรอก วันนี้ก็เหมือนกัน
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนตัดสินใจหมุนลูกบิดประตูเข้าไปภายใน มันเป็นความเงียบเชียบที่ดูแปลกประหลาดสักหน่อย จำได้ว่าไอ้สถาปัตย์กลับมาก่อนแล้ว และพอถึงห้องมันก็จะเปิดเพลงของวง Two Door Cinema Club เพื่อทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดของเราทั้งสองคน เพียงแต่วันนี้...
ผมไม่สามารถอยู่เฉยได้ กระเป๋าเรียน หูฟัง และโทรศัพท์มือถือถูกวางไว้บนเตียง แต่แล้วความสงสัยก็จบลงเมื่อได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากด้านนอก ใช่! มันอาจจะแวะไปหาเพื่อนห้องอื่น
แม่ง! ผมคงหมกมุ่นเกินไปแล้วแน่ๆ ที่เอาแต่สนใจอีกฝ่าย แม้จะพยายามอย่างมากที่จะไม่สนใจก็ตาม ผมวางกระเป๋าไว้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือ ตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา ยังไม่ทันที่เท้าจะสัมผัสกับกระเบื้องอีกสี ผมก็ต้องเผชิญกับเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่า
“ไอ้ถา!!”
“...”
“ถาเป็นอะไร!” ทันทีที่เห็นร่างสูงนอนกองกับพื้นพร้อมกับเก้าอี้พลาสติก ผมก็รีบเข้าไปพยุงอีกฝ่ายออกมาอย่างยากลำบาก
“จะ...เจ็บ กูเจ็บแขนจืด”
“โอเค...โอเค มึงต้องไม่เป็นไร” คิดว่าคำปลอบใจนี้มีไว้ให้ผมมากกว่า เพราะนอกจากพามันออกมาจากห้องน้ำแล้วผมก็ทำอะไรไม่ถูกอีกเลย
“ยอมคุยกับกูแล้วเหรอ”
“มันใช่เรื่องมาหยิ่งมั้ยเล่า”
“รู้งี้ตกเก้าอี้แต่แรกก็ดี อึดอัดชะมัดเลยว่ะ”
“เลิกพูดได้แล้ว” ผมรีบปาดน้ำตาออกจากแก้ม ค่อยๆ พาคนตัวสูงมานั่งตรงปลายเตียง
“...”
“เดี๋ยวกูเรียกเพื่อนมาช่วยนะ เจ็บมากมั้ย” เจ้าตัวพยักหน้า พลางกอบกุมแขนขวาเอาไว้ด้วย
“...”
“ร้องเพลงก่อน ถ้าร้องเพลงมึงจะไม่คิดอะไร” นับเป็นการแก้ปัญหาที่แย่มาก แต่ผมคิดว่าแขนขวาของไอ้สถาปัตย์คงหักไปแล้ว ดูจากรูปกระดูกที่ผิดรูปร่างอย่างเห็นได้ชัด
“โอเค กูจะร้องเพลง...”
ผมวิ่งผละออกมา ไม่ทันพ้นประตูห้องก็ได้ยินเสียงร้องสั่นๆ ของอีกฝ่ายไปด้วย
“So this is what you meant. When you said that you were spent…”
นี่คือเพลง It’s time ของ Imagine Dragons
เพลงของวงที่มันบอกว่าไม่ชอบและหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไม่ฟัง
ไม่ฟังแล้วร้องได้ด้วยเหรอ...
สถาปัตย์ตกเก้าอี้เพราะดัดจริตขึ้นไปซ่อมหลอดไฟเอง สรุปแม่งแขนข้างขวาหักต้องเข้าเฝือก 2 เดือน ขอบคุณโชคชะตาเพราะจูรี่ใกล้เข้ามาถึงแล้ว ที่พูดหมายถึงโปรเจ็กต์ใหญ่ประจำเทอมที่นิสิตสถาปัตย์ฯ ทุกคนต้องทำส่งต่างหาก งานตัดโมเดลต้องมา งานออกแบบก็ต้องเป็นรูปเป็นร่าง แต่แขนขวาที่ถนัดดันมาหักเนี่ยนะ!
ปิดประเด็นความตรากตรำที่พยายามไม่พูดกันมาถึงหนึ่งเดือน เพราะมีเรื่องให้ตรากตรำกว่า ความจริงที่นี่มีธรรมเนียม ใกล้ถึงจูรี่เมื่อไหร่รุ่นน้องจะไปช่วยรุ่นพี่ตัดโมฯ แต่คราวนี้ไม่ครับ เพราะเพื่อนและรุ่นพี่ต่างแห่กันมาช่วยไอ้สถาปัตย์จนเต็มลานกิจกรรมคณะ แม่งนี่มวลมหาประชาชนอะไรวะเนี่ย
จากงานเครียดกลายเป็นงานรื่นเริง บางทีการเป็นคนดังมันก็ดีเหมือนกัน ผมเองก็เอางานมานั่งทำด้วย จะติดก็ตรงที่อุปกรณ์และวัสดุบางอย่างหมดซะก่อน งานเลยไม่คืบ
“เป็นไรจืด” เสียงทุ้มหันมาถามด้วยใบหน้านิ่งๆ มือขวาถือกระดาษและมือซ้ายถือกรรไกร โคตรของความพยายามเลยว่ะ
“กระดาษอาร์ตฯ หมด ไม้บัลซ่าก็ด้วย เออกาวอีก สรุปกูต้องออกไปข้างนอกนะ” ผมรีบพูดรวบรัด
“เดี๋ยวไปส่ง”
“มึงทำงานของมึงไปเถอะ ทิ้งให้คนอื่นตัดงานให้ เจ้าของไม่อยู่ได้ไง”
“เหอะน่า พี่ๆ เพื่อนๆ ครับ ผมขอออกไปซื้อของข้างนอกแป๊บนึง ใครหิวจดรายชื่ออาหารและน้ำมาได้เลย เดี๋ยวจัดหนักๆ มาให้” ฉลาดฉิบหาย เรื่องเจ้าเล่ห์ขอให้บอกมันเลย
“ข้าวไม่ต้อง ขอขนมเบาๆ ก็พอ”
“ครับผม”
“ถาให้เราไปเป็นเพื่อนมั้ย” หมวย เพื่อนร่วมเอกเสนอตัว
“ไม่เป็นไร เราว่าจะไปกับจืด ป่ะไอ้จืด รีบเลย เดี๋ยวเพื่อนหิว” ยังไม่ทันลุกขึ้นด้วยตัวเอง ผมก็ถูกมือหนาดึงรั้งให้ลุกขึ้นยืนและออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงร้านเครื่องเขียนที่ใหญ่ที่สุดใกล้มหา’ลัย
“มึงออกไปซื้อขนมอย่างอื่นก่อนก็ได้นะ กูเลือกนาน”
“ไม่เป็นไร จะรอ”
“แต่มึงไม่ชอบรอไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าเป็นมึง ให้รอทั้งวันยังได้เลย เลือกไปเหอะน่า”
“ตามใจ แล้วอย่าบ่นให้ฟังละกัน”
ผ่านไป 25 นาที...
อุปกรณ์สำหรับทำโมเดลเต็มไม้เต็มมือไปหมด แถมตะกร้ายังไม่สามารถใส่กระดาษแผ่นหนาที่ใหญ่เท่าฝาบ้านได้อีก
“ช่วยถือ” เหมือนเทพบุตรจุติมาเกิด โยนให้ถือหมดเลยดีมั้ย
“แขนหักอยู่อย่าทำเป็นเก่ง”
“มือซ้ายว่าง”
“เหรอ”
“หัวใจห้องล่างซ้ายก็ว่าง”
“แล้วห้องล่างขวาอ่ะของใคร”
“ไม่ใช่ของจืด แต่เป็นของปอ...”
หัวใจของผมเต้นตึกตัก ลืมไปเลยว่ากูชื่อปอ
“ละ...แล้วห้องบนซ้ายอ่ะ”
“บนซ้ายของจืด ส่วนบนขวาของปอ”
“...”
“แต่ไม่ว่าจะห้องไหนก็เป็นของมึง พอใจยัง”
“เออ พอใจแล้ว! จ่ายตังค์เลย”
“แหม เนียนให้ป๋าเลี้ยงเลยนะครับ”
“ยุ่ง”
ผมได้ยินเสียงหัวเราะไล่ตามหลังมาไม่ห่าง มันเป็นวิธีแก้เขินที่ใช้ได้ผลเลยทีเดียว ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้ถามันเคยเอามุกนี้ไปใช้กับใครที่ไหน ต่อให้มันเคยใช้กับคนเป็นร้อยคน ผมก็ยังรู้สึกเขินกับประโยคเมื่อกี้อยู่ดี
เราเคยคุยกันทุกวัน แล้วก็เคยมึนตึงใส่กันนับเดือน แต่พอได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง ผมกลับรู้สึกว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อมันยังเหมือนเดิม...
รู้สึกดีเหมือนเดิม
“จืดรอหน่อย อย่าเดินเร็วดิ” พอเดินออกมาจากร้านก็ทำตัวเหมือนเด็ก เฮ้ย มึงคนของประชาชนนะ ง้องแง้งเป็นแมงกระชอนไปได้
“ขายาวกว่าก็รีบก้าวหน่อยสิ”
“อย่าเพิ่งข้าม รอกูก่อน” ร่างสูงจ้ำอ้าวมาถึงตัวผมอย่างรวดเร็ว ในมือข้างหนึ่งถือกระดาษแข็งม้วนเท่าบ้านเอาไว้
“ไปยัง”
“โอเค” ปากบอกแบบนั้นแต่กลับเป็นฝ่ายคว้ามือของผมด้วยมือข้างที่เจ็บแล้วข้ามถนนไปพร้อมกัน
เรา...จับมือกัน
เผื่อใครยังจำไม่ได้ ไอ้สถาปัตย์ไม่ชอบให้คนจับมือ
พอเดินมาถึงรถ ผมก็ตั้งคำถามทันที
“จับมือกูทำไมวะ”
“รถมันเยอะ กลัวจืดโดนรถชน สงสารรถคนอื่นเขา”
“กวนตีน กูโตแล้วไม่ใช่เด็กสามขวบ ไม่ต้องห่วงหรอก”
“แล้วเด็ก 18 ขวบอย่างมึงห่วงไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้”
“งกให้ใครไม่ทราบ”
“ให้พ่อ ให้แม่ ให้แฟนในอนาคต”
“งั้นห่วงได้”
“อะไร”
“ห่วงได้ เพราะนี่แฟนในอนาคต”
“...!!!”
“พี่ถาแฟนน้องจืดยังไงครับ” พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังมีหน้ายกมือขึ้นมาลูบหัวอีก
นี่สินะคาสโนว่าตัวพ่อ ผมนี่อึ้งไปเลยครับ
ช่วงเวลาการตัดโมเดลกินเวลาตั้งแต่ 3 ทุ่มจนตอนนี้เข้าสู่เที่ยงคืน บางส่วนแยกย้ายกันกลับ บางส่วนยังก้มหน้าก้มตาทำต่ออย่างขะมักเขม้น ไม่ใช่ทุกคนจะตัดของไอ้สถาปัตย์หรอก มีที่ตัดของตัวเองด้วยเพราะงานเดี่ยวยังไงก็ต้องส่ง สุดท้ายโมเดลของไอ้ถาเสน่ห์ล้ำคนของประชาชนจึงกลายเป็นลูกเมียน้อยไป
ผมมองร่างสูงที่ยังตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ มือข้างหนึ่งถือไม้บรรทัด ส่วนมืออีกข้างที่ไม่ถนัดกำลังใช้คัตเตอร์กรีดกระดาษอย่างตั้งใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความทุลักทุเลไม่น้อย
ด้วยทนมองเฉยๆ ไม่ไหว ผมเลยขยับเข้าไปนั่งใกล้กับมัน พร้อมกับช่วยตัดงานชิ้นอื่นๆ ของมันไปด้วย
“ไม่ต้องช่วยกู ทำของมึงต่อเถอะ”
“...” ผมไม่ตอบ นอกจากตัดต่อไปเรื่อยๆ
“โอเค ถ้าตัดของกูเสร็จ เดี๋ยวกูช่วยของมึงต่อนะ”
“เอาตัวเองให้รอดเถอะ”
“โหยนี่ใคร นี่สถาปัตย์นะครับ”
“เออ สร้างบ้านบ้านพัง สร้างตึกตึกทรุด”
“ขอบคุณนะ”
“-_-” เวลาด่าเหี้ยอะไรมันจะขอบคุณตลอด แถวบ้านเรียกกวนตีน
ตีสาม...
หลายชีวิตที่นอนตายตอนแรกถูกปลุกขึ้นมาเหมือนมีชีวิตอีกครั้ง บางคนล้างหน้าล้างตา บางคนเปิดเพลงซะเสียงดังเพื่อเรียกพลังกลับมา แต่ผมกลับตรงกันข้าม ยิ่งดึกผมก็ยิ่งง่วงและเหมือนตาจะปิดอยู่รอมร่อ
“จืดวางคัตเตอร์เถอะ” สถาปัตย์พูดขึ้น โดยที่ผมรู้สึกว่ามันกำลังมองผมอยู่
“อีกนิดเดียว”
“ไม่เสร็จหรอก มันเหลืออีกเยอะ มานอนก่อน”
“อือออออ”
“ง่วงก็นอน ไม่ใช่ง่วงแล้วงอแง”
“ไม่มีหมอน จะเก็บของไปนอนที่ห้องก่อน”
“มานอนนี่มา” อีกฝ่ายตบตักตัวเองปุๆ
ไม่เอาหรอก...รุ่นพี่กับเพื่อนมองกันฉิบหายเลย แล้วตอนนี้ก็พากันตื่นหมดแล้วด้วย
“จะกลับไปนอนที่ห้อง”
“ค่อยกลับพร้อมกัน รอก่อน ตอนนี้อย่าดื้อ” ร่างของผมถูกรั้งเข้ามาใกล้คนตัวสูง ก่อนจะถูกกดหัวให้นอนลงบนตักของมันโดยไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง
“นอนซะ”
“แต่...”
“ชู่วววว ไม่ต้องไปสนใจ ง่วงก็นอน เสร็จแล้วจะได้กลับพร้อมกัน” เสื้อคลุมคณะตัวใหญ่ถูกหยิบขึ้นมาคลุมบนตัวผม จากนั้นผมจึงรีบหลับตาเพื่อหนีสายตาสงสัยของใครหลายๆ คน
ผมไม่รู้หรอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับสถาปัตย์อยู่ตรงไหน
แต่ผมสบายใจมากที่มีมันอยู่ใกล้ๆ
“จืดตื่น...”
“งือออ”
“จืดเก็บของเร็ว ตีห้าแล้ว กลับไปนอนที่ห้องกัน” ผมเกาหัวตัวเองไปมา ก่อนจะลุกขึ้นนั่งแบบงงๆ หลังคนตัวสูงเป็นอิสระจากการถูกผมครองตักแล้วก็หันไปเก็บอุปกรณ์ของตัวเอง ส่วนผมก็ตัดสินใจถอดแว่นออกเพราะนอนเยอะจนรู้สึกปวดตา
แกรบ!
“เฮ้ย โทษๆ กูเหยียบหอยทากอีกแล้วเหรอวะ”
“...!!” หอยทากพ่องดิ แว่นตากู!
ผมได้แต่นั่งอึ้ง จนกระทั่งเพื่อนที่ก่อเรื่องก้มลงมามองผมสลับกับแว่นตาที่แหลกละเอียด
“แว่นตาจืดเหรอ”
“อือ” ง่วงก็ง่วง แถมตายังมองไม่เห็นอีก บอกเลยว่าเซ็งมาก
“จืด...เฮ้ยจืด จริงดิ โอ้วววว จืดไม่ได้จืดนี่หว่า” และอีกสารพัดเสียงของใครหลายๆ คนก็ดังกระแทกกกหูไม่ขาดสาย
“มึงแม่งโคตรน่ารักเลยเว้ย ทำไมไม่ถอดแว่นวะ”
“กูไม่ให้ถอดเองแหละ มีปัญหาอะไรมั้ย” หัวของผมถูกเสื้อคลุมคณะคลุมเอาไว้อีกครั้ง ก่อนร่างสูงในม่านสายตาเลือนรางจะไล่เก็บอุปกรณ์อย่างรวดเร็ว
“ไอ้ถา มึงหวงเพื่อนเหรอวะ”
“นั่นดิ มีรูมเมทน่ารักอยู่ในห้อง ถึงว่า แม่งไม่ยอมคบใครที่ไหนเลย”
“ใช่ๆ เรียนเสร็จรีบกลับห้อง ที่แท้...ฮั่นแน่!!”
“พวกมึงแม่งพูดมากน่ารำคาญ ป่ะจืด กลับ” ของทุกอย่างถูกรวบเอาไว้ในมือข้างซ้าย และโมเดลที่ต่อไปได้ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ก็ถูกยัดใส่มือ พร้อมกับแรงผลักจากคนตัวสูงที่สั่งให้ผมเดินไปข้างหน้า ท่ามกลางเสียงโห่แซวของเพื่อนๆ
“ไอ้ถา กูมองไม่เห็น” ผมบอกพลางก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูดูทางให้”
“แว่นกูพังแล้ว”
“พรุ่งนี้ไปตัดใหม่”
“แย่ว่ะ”
“ไม่ได้แย่ พรุ่งนี้จะมีคนพูดถึงแต่มึง”
“ทำไม”
“เพราะมึงน่ารัก”
“...”
“แล้วกูก็รักมึง”
หลังจบจูรี่ ชีวิตของเด็กสถาปัตย์ฯ ก็เป็นไทอีกครั้ง รุ่นพี่นัดฉลองที่ร้านเหล้าแถวๆ มหา’ลัย ไอ้สถาปัตย์เลยชวนผมไปด้วย ตอนนี้เองที่ผมเห็นว่ามันฮอตขนาดไหน เพราะไม่ว่าจะรุ่นพี่ เพื่อน หรือใครหลายๆ คนต่างมองมาที่มันเป็นจุดเดียว
บอกตรงๆ ว่าผมไม่ชอบ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นแค่เพื่อน
ดังนั้นผมจึงทำได้แค่นั่งหน้างออยู่ตรงโต๊ะเหล้า ขณะที่คนอื่นหัวเราะกันอย่างบ้าคลั่ง ผมเห็นด้วยนะว่าเมื่อกี้ไอ้ถาโดนดึงเข้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่ อยากโกรธแต่เพราะมันไม่ทันตั้งตัวเนื่องจากถูกจู่โจมระยะเผาขน ผมเลยทำได้แค่มองอย่างอึ้งๆ ตานี่โปนจนแทบจะทะลุเบ้าอยู่แล้ว
“จืดห้ามกินเหล้านะ” เสียงทุ้มเอ่ยเตือน หลังจากได้นั่งสงบสุขเหมือนคนอื่นเขาสักที
“กินไม่เป็นอยู่แล้ว”
“ใครยัดเยียดให้กินก็ต้องปฏิเสธ”
“รู้แล้ว...”
“จืดคนน่ารัก ชนแก้วด้วยกันโหน่ยยยยยย” พูดไม่ทันขาดคำมารผจญก็เข้ามาแทรก ผมพยายามยกมือปัดป้อง แต่ไอ้เพื่อนเวรนี่ก็พยายามยกแก้วเหล้าในมือขึ้นจ่อปากผมอยู่ได้
“ไม่เอา”
“เฮ้ยไอ้ปอนด์ จืดมันไม่กิน”
“ก็หัดกินดิ”
“กูมีเรื่องจะคุยกับมัน ขอตัวจืดก่อน” ข้อมือของผมถูกรั้งด้วยมือของไอ้สถาปัตย์ ทันทีที่เราลุกขึ้น ใครหลายๆ คนก็ถามขึ้นทันที
“ถาจะไปไหน”
“ขอคุยกับจืดหน่อย เดี๋ยวมานะ” พูดแค่นั้นก่อนเราจะปลีกวิเวกจากความวุ่นวายออกมาภายนอก แม่ง...ลานจอดรถเนี่ยนะ โชคดีที่ยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง
“มีอะไรเหรอ”
“ตอนแรกว่าจะบอกตอนกลับหอ แต่คิดว่าบอกตอนนี้ดีกว่า” มือข้างที่ติดเฝือกยื่นของบางอย่างมาให้ ถ้าดูดีๆ แล้ว มันก็คือโมเดลบ้านขนาดจิ๋วมากนั่นเอง
“ให้เหรอ”
“อืม”
“ดูจะทำยากนะเนี่ย”
“โคตรๆ”
“อ่ะ ของแถมหลังซื้อบ้านจากโครงการ” ผมอยากหัวเราะลั่นแต่ก็ต้องทำนิ่งเข้าไว้ รับกระดาษใบหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนโบรชัวร์บ้านมา
ก้มลงอ่านตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษอย่างตั้งใจ ช้าๆ ทีละคำ...
กูชอบกินมาม่าดิบ แต่ก็ต้องเลิกกิน เพราะมึงบอกว่าท้องจะอืด
กูเป็นคนนอนตื่นโคตรสาย แต่ก็ต้องตื่นเช้าเพื่อแย่งห้องน้ำกับมึง
กูชอบทำงานบนพื้น แต่ต้องหัดนั่งบนโต๊ะเพราะอยากให้มึงสนใจ
กูไม่เคยสวดมนต์ก่อนนอน แต่พอมีมึง กูก็เริ่มสวดมนต์ทุกคืน
กูชอบสั่งกับข้าวมากินเอง แต่พอมีมึง กูกลับไม่คิดสั่งแล้วมาแย่งมึงกินเอา
กูแม่งโคตรจะกลัวผี แต่ก็ต้องดูหนังผีเพราะอยากนั่งข้างมึง
กูเป็นคนไม่ชอบรอใครนานๆ แต่กับมึงต่อให้รอทั้งวัน กูก็ไม่เคยบ่น
กูชอบคุยโทรศัพท์ตอนดึก แต่ก็ต้องเลิกคุย เพราะกลัวมึงนอนไม่หลับ
กูไม่ชอบเดินจับมือกับใคร แต่ชอบหาเรื่องข้ามถนนเพื่อจับมือกับมึง
ตอนคนอื่นป่วยกูก็แค่ซื้อยา แต่ตอนมึงป่วย กูเอาแต่เช็ดตัว
คนอื่นช่วยกูตัดโมเดลเพราะอยากให้กูสนใจ แต่มึงช่วยกูเพราะแค่อยากให้กูเลิกกังวล
เวลากูเครียดคนอื่นก็เอาแต่บอกว่าสู้ๆ ไม่หยุด แต่มึงไม่พูดอะไรเลย แค่นั่งอยู่กับกูจนถึงเช้า
คนอื่นชอบพูดแต่ข้อดีจนลืมข้อเสียของกู แต่มึงกลับพูดข้อเสียเพื่อให้กูปรับปรุงตัว
คนอื่นอยากให้กูเป็นคนที่ดีพอสำหรับเขา แต่มึงแค่อยากให้กูดีพอสำหรับทุกคน
คนอื่นพยายามเปลี่ยนกูให้เลิกเจ้าชู้ แต่แปลกที่มึงไม่เคยคิดเปลี่ยนอะไรเลย มันกลับทำให้กู...อยากเป็นคนที่ดีกว่านี้
กูไม่ได้ต้องการเปรียบเทียบมึงกับคนอื่น ก็แค่อยากให้รู้ว่ามึงไม่เหมือนใคร
และกูก็รู้สึกกับมึงแตกต่างจากคนอื่นด้วย
กูเคยตั้งคำถามอยู่ไม่กี่ข้อ อะไรที่ทำให้กูยอมเปลี่ยนทุกอย่างมากมายขนาดนี้
อะไรที่ทำให้กูเลือกทำสิ่งที่ไม่ชอบด้วยความเต็มใจ ถ้าไม่ใช่เพราะนั่นคือ...รัก
กูรักมึง
“มันอาจจะไม่ใช่คำสารภาพรักที่ดีเท่าไหร่ แต่กูรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ” ไอ้สถาปัตย์บอกกับผมที่ยังยืนอึ้งอยู่
“ถ้ามึงพูดขนาดนี้กูก็มีสิ่งหนึ่งที่กูตัดสินใจจะบอกมึงวันนี้เหมือนกัน” ผมพูดพลางล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นดินสอ 2B ให้กับอีกฝ่าย
“ความจริงเราเคยเจอกันก่อนหน้านี้นานแล้ว ถ้ามึงยังจำดินสอของตัวเองได้อยู่”
“จำได้ดิ ก็แท่งนี้กูตั้งใจทำตก”
“ฮะ”
“อืม ตั้งใจทำตกให้มึงเก็บ ตอนนั้นก็เห็นว่าน่ารักดี แถมยังสอบติดที่เดียวกันอีก โลกแม่งกลมเนาะ”
“แล้วทำไมไม่บอกกู”
“ไม่รู้ดิ อยากบอกวันนี้มั้ง แล้วมึงล่ะ มีอะไรจะบอกกูมั้ย”
“กูเหรอ...” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะจ้องหน้าคนตัวสูงเขม็ง
“...”
“ทั้งหมดที่กูทำกูมีเหตุผล...ที่กูไม่อยากให้มึงกินมาม่าดิบ เพราะกูห่วงมึง
ที่กูนอนตื่นเช้า เพราะจะได้เก็บห้องให้มึง
ที่กูชอบทำงานบนโต๊ะ เพราะไม่อยากให้มึงรำคาญ
ที่กูสวดมนต์และนั่งสมาธิ เพราะเวลานั้นกูจะได้นึกถึงมึง
ที่กูเอาแต่บ่นว่ามึงชอบแย่งข้าวกูกิน ความจริงกูโคตรเต็มใจ
ที่จริงกูก็กลัวผี แต่กูแค่อยากทำอะไรสักอย่างให้มึงสนใจ
ที่เห็นกูเลือกอะไรนานๆ ความจริงกูเลือกได้แล้ว แค่อยากยืดเวลาอยู่กับมึงออกไปอีกหน่อย
ที่กูต้องรีบเข้านอน ความจริงกูก็แค่ไม่อยากให้มึงคุยโทรศัพท์กับคนอื่น
ที่กูเอาแต่ทำหน้างอหงิก แต่ความจริงกูดีใจมากที่เราจับมือกัน
ที่จริงกูเกลียดยามากเลยไม่อยากป่วย แต่พอมีมึงกูกลับไม่อยากหาย
ที่กูไม่ยอมคุยกับมึงความจริงกูอยากโกรธ แต่กูก็โกรธไม่ลง
ที่กูช่วยมึงตัดโมเดลก็เหมือนกัน กูช่วยเพราะกูอยากช่วย กูทำเพราะนั่นเป็นมึง
ทุกอย่างที่เป็นมึงกูแคร์หมด และเพราะมึงอีกนั่นแหละกูถึงแน่ใจว่าความรู้สึกประหลาดนั้น มันเรียกว่ารัก
กูรักมึง...สถาปัตย์”
ผมเห็นรอยยิ้มแสนกว้างบนริมฝีปากได้รูป คนตัวสูงก้าวเข้ามาประชิด ก่อนจะพูดประโยคหนึ่งออกมา ประโยคที่เป็นจุดเชื่อมต่อในความสัมพันธ์ของเรา เพราะถ้าเป็นการสร้างตึกมันก็คงเป็นช่วงที่เราต้องก่ออิฐและฉาบปูน หลังจากเราลงเสาเข็มของคำว่าเพื่อนแข็งแรงมากพอแล้ว
“ปอ...เป็นแฟนกับถานะ”
“กูเคยปฏิเสธมึงได้ด้วยเหรอ”
END
-
วันนี้มีแต่นักเขียนที่รักมาลงเรื่อง อ่านกันตาแฉะ ขอตัวไปอิ่มกับรสเรื่องสั้นก่อนนะคะ จุ๊บๆ
edit
ถาาาาาาา พ่อยอดขมองอิ่มของเมีย เอ่อ...ไม่ใช่ คือ...แบบว่า :mew2: ดิฉันก็ชอบนะคะคนที่ไม่ได้หล่อมาก แต่มีเสน่ห์ เพราะหล่อมองนานๆ ไปก็เบื่อนะ แต่ถ้าคนมีเสน่ห์นี่ มองมุมไหนก็มีเสน่ห์ อิอิ แอบกรี๊ดที่ถาไม่ชอบไปไหนกับใคร แต่อยากกลับมาห้องเพื่อมาอยู่กับจืด (ปอ) อยู่ด้วยเพราะแอบรักแอบสนใจ แล้วยังดูแลตอนป่วยอีก คู่นี้ออกแนวน่ารักและกรี๊ดจิกหมอนได้เรื่อยๆ นี่ก็ฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งจืดตอนจืดป่วยด้วย แหมๆๆ มันน่าตีนักเชียว พ่อยอดขมองอิ่มของเมีย เอ่อ...เหอๆ
ขอบคุณคุณจิตติดาวมหาลัยปีสามมากๆ นะคะ :laugh:
-
สถาปัตย์คือตัวแทนของผู้ชายที่ไม่ได้หล่อมากแต่คนโคตรมีเสน่ห์
ประโยคนี้ของพี่จิตติมันโคตรใช่
-
โอ้ย เขินแทน ถาน่ารักอะ 5555555555555
หลังจากนี้ก็หึงได้ตามสบายแล้วนะปอ ///////
-
“ป่วยบ่อยๆ อีกหน่อยจะระทวย"
อยากป่วยบ้าง ไรบ้าง
-
โอ๊ย ว่าล่ะ ดินสอตกต้องแผนของถาแน่ๆ ฮา น่ารักอะ ชอบ รอคณะต่อไปปปป จุ๊บๆ
-
ตอนอ่านปอนี่หน้าบอสลอยมาเลย ละก็ใช่จริงๆด้วย
ส่วนคาแรคเตอร์ถานี่อ่านไปละนึกถึงหลานรหัสเรา55555 ไม่หล่อมากแต่มีเสน่ห์มาก
รอคณะแพทย์อยู่นะค้าาา
-
เจ็บปวดแทนปอเลยค่ะตอนที่เพื่อนเผลอเหยียบแว่นตาหักแต่ดันทึกทักว่ามันคือหอยทาก :m20: เหย.. เสียงมันไม่ได้คล้ายกันขนาดนั้นไหมล่ะ 555+ แต่อย่างน้อยเหตุการณ์นี้ก็ช่วยเปลี่ยนความเข้าใจของใครหลายๆ คนใหม่อยู่นะคะ ว่าปอน่ะนอกจากจะไม่จืดแล้วยังน่ารักมากๆ ด้วยล่ะ~~ :m3: นึกเสียดายตอนนี้ก็คงจะไม่ทันแล้วนะคะทุกคน เพราะว่าถาเขาจองของเขามาตั้งแต่แรกเจอแล้วล่ะค่า ><
น่ารักจริงๆ ค่ะคู่นี้ ขอบคุณนะคะ :pig4:
-
จืดน่ารักมาก ดีแล้วที่ไม่ถอดแว่นแต่แรก ไม่งั้นคงมาไม่ถึงน้องถา :ling1:
-
ชอบจืดน่ารักดี :mew1: :mew1:
-
หึ้ยยยยยย ทำไมแอบเบะปากตอนเขาสารภาพรักกัน :hao7:
-
ยังไม่กามพอเลยค่ะ มีกามกว่านี้ไหมมมม :hao7:
-
พระเอกมหาลัยมาหารักนี่มันดีทุกเรื่องจริงๆ
โง้ยยยยยย อยากได้ 55555555
-
คนที่เราแอบชอบก็ไม่ได้หล่อ แต่มีเสน่ห์เหมือนกันนี่แหละค่าาาา
กดเข้ามาอย่างไวแสงง
หนุ่มถาปัตย์ แง้งงงงงงงงงงงงงงงงงง :hao5:
-
น่ารัก ถานี่อ่อยจืดตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอจริงๆด้วย แถมพอเหฌนว่าจืดถอดแว่นแล้วน่ารักก็ปล้ำจูบเค้าเลยนะ ไม่ค่อยเลยจริงๆ :impress2:
-
น่ารัก น่ารัก น่ารัก ละมุนละไมกระชุ่มกระชวยในหัวใจ งื้ออออออออออออ :-[
-
:mew1: ต่างคนต่างแอบมีใจให้กันนี่เอง
-
ฟินอ่ะ :o8:
น้องจืดดูใสๆดี ถาก็ดูเป็นผู้ชายที่มีตัวตนจริงๆอ่ะ
ไม่ได้หล่อมาก แต่โคตรมีเสน่ห์
-
น้องจืดจะน่ารักไปไหนเนี่ย ตอนป่วยหนูอ้อนได้น่ารักมากเลย
ตอนที่ถาทำดินสอตกกะแล้วว่านางต้องอ่อยน้องจืดชัวร์อ่ะ :-[
-
สรุปว่าถามันเล็งปอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้วใช่ม่ะ :ruready
-
เอร้ยยยยยย ถาปอคือดีงามมากอ่ะ :m3: :m3: :m3: :m3: :m3:
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ชอบจืดคุงจัง น่ารักจุง
ป.ล.ต้องแต่งใหม่นะคะจิตติคุง เนื้อหาไม่ตรงกับชื่อเรื่องเลย :hao7:
-
ส่วนตัวแล้ว สำหรับผม ผมว่าผมชอบพาร์ทนี้มากที่สุดเลยครับ สถาปัตยกามศาสตร์เนี่ย (โอเค ชื่อมันอาจจะ...เรทไปนิด แต่เราอลุ่มอล่วยกันได้ 5555)
หนึ่ง เพราะมันเป็นพาร์ทนิยายรักที่เน้นให้อารมณ์แนวลูกกวาด(นิยายรักหวานๆที่ไม่มีดราม่าหนักหน่วง) ซึ่งโดดออกมาจากสไตล์ซีรีย์ที่จะเน้นอารมณ์คอเมดี้(และหลังๆมันชักจะฮาแหลกลานจนผมงงๆหน่อย)
ที่สำคัญคือตัวเรื่องเขียนได้ดีเยี่ยมครับ ทิ้งห่างลูกกวาดดาษดื่นทั่วๆไปได้ไม่ติดฝุ่น นี่แหละครับคือสิ่งที่ผมคาดหวังจากนิยายรักแบบลูกกวาด
ถ้าสังเกตดีๆ โดยทั่วๆไปแล้ว สำนักพิมพ์เด่นๆสำหรับนิยายลูกกวาดที่ตีตลาด จำพวกบงกช แจ่มใส 108พับลิชชิ่ง สถาพร(หลังๆน้อยลง) จะมีนิยายลูกกวาดผลิตออกมาเยอะมากต่อปีครับ เดิมสำนักพิมพ์คัมออนเคยทำ แต่แนวโน้มคนซื้อคงดรอปลง เพราะสินค้า(นิยายลูกกวาด)ทะลักเข้าตลาดมากเกิน ผลจึงทำให้นิยายรักลูกกวาดส่วนมากในปัจจุบันจะถูกจับทางได้อยู่ไม่กี่เส้นทางครับ
นิยายลูกกวาดส่วนมากจะเน้นโทนเรื่องไปเรียบๆเรื่อยๆ แบบเดียวกับเรื่องนี้ แต่จะใส่อิโมติคอนเยอะจนบางทีปวดตา พื้นฐานเรื่องปูมาไม่แน่น ทำให้เนื้อเรื่องไม่มีน้ำหนัก และรักกันได้เร็วเกินเหตุ เพราะการบรรยายความรู้สึกส่งไม่เค้นอารมณ์คนอ่านมากพอครับ (แน่นอน บางคนอาจแย้งว่าเนื่องด้วยกรณีคู่รักแบบชาย-ชาย มันจะค่อนข้างฝืนมายาคติของสังคม ทำให้เวลาเขียน จำเป็นต้องคำนึงถึงความรู้สึกที่บรรยาย และพื้นฐานน้ำหนักของเรื่องที่จะทำให้มันสมเหตุสมผล แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะสามารถละเลยได้ในกรณีที่คุณเขียนวรรณกรรมคู่รักชาย-หญิง อยู่ดีครับ)
เนื่องจากเหตุผลข้างต้น ทำให้เวลาสร้างนิยายลูกกวาด(ตามตลาด)จะใส่ดราม่าก็ใส่มากไม่ได้ พอจะใส่คอเมดี้ก็จะกลายเป็นคอเมดี้กะโหลกกะลาแบบเบาสมองเกินไป สุดท้ายจึงทำให้นิยายลูกกวาดส่วนมากกลายเป็นนิยายที่เขียน 'ไม่สุด' ครับ เป็นวรรณกรรม 'ไม่สมบูรณ์' ในเชิงคุณค่าวรรณศิลป์ (และถ้ามองด้านคุณค่าสังคม คุณก็คงไม่พบอะไรที่น่าสนใจนักครับในนิยายลูกกวาด)
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่... ผมว่าคุณจิตติมาถูกทางแล้วนะครับ นิยายรักแนวลูกกวาดคือนิยายที่รักแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ค่อยๆฟีดความรู้สึกใส่คนอ่านให้ซึมซับไปเรื่อยๆราวกับน้ำเซาะทราย มันจะต่างกับดราม่า ที่ใช้ความหนักหน่วง ความอัดอั้นของความรู้สึกและสถานการณ์ สร้างให้คนอ่านจมลงไปกับเรื่องได้เร็วและลึก และต่างกับคอเมดี้ ที่ใช้ความตลกโปกฮา สนุกสนานเพื่อดึงเรื่องให้คนอ่านรู้สึกลอย อ่านแล้วสบายใจ ไม่อินมาก
นิยายรักลูกกวาดที่ดีคือนิยายที่ฟีดความรู้สึกของตัวละครสองตัวให้คนอ่านซึมไปเรื่อยๆครับ คนอ่านจะกึ่งจมกึ่งลอย ไปเรื่อยๆจนถึงจุดหนึ่งที่เรื่องจะมีน้ำหนักมากพอจะผลักดันไปได้ด้วยตัวเอง ความรู้สึกของสองคนมันชัดเจนและแตะต้องได้ในความคิดของคนอ่าน ทำให้สามารถที่จะ 'จบ' ได้ในตัวมันเองโดยที่ไม่ต้องเคลียร์มากครับ (เช่น นิยายเรื่อง ไผ่-น้ำ ของคุณ wordslinger อันนั้นลูกกวาดเพอร์เฟ็กต์เลยครับ) ซึ่งร้อยละ 99.99 ของนิยายลูกกวาดตลาดทำไม่ได้ เพราะเขียนเรื่องมาสั้นไป และพื้นเรื่องไม่มีน้ำหนัก แต่เรื่องนี้ทำได้ครับ... นับว่ามีฝีมือ
สอง คาแรกเตอร์ชัดเจนดีมากครับ คือนิสัยค่อนข้างชัดมาก และพื้นเรื่องมีมิติ ตัวนางนี่ถ้าตัดความหดหู่ต่อโลกออกไปละก็...มันผมชัดๆเลยนะครับ 555 ส่วนตัวพระนี่ก็เขียนได้ดี คือแทบไม่มีบอกเลยว่าหล่อ แต่คุณจิตติสามารถสร้างความมีเสน่ห์ของตัวพระออกมาได้จนผมประทับใจครับ หน้าตาตัวพระนี่ตัดออกไปเลย ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ (ขณะที่นิยายส่วนมากมักต้องการให้พระเอกหน้าตาหล่อเหลาราวกับรูปปั้นเดวิด) มันทำให้เมนสตอรี่ของพาร์ทนี้ไม่ใช่ความรักของคนหล่อเจอคนน่ารัก แต่เป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่ค่อยๆพัฒนาจากความมีเสน่ห์ของคนนึงต่ออีกคน
ตินิดนึงตรงที่เรายังไม่เห็นแนวโน้มที่ดีของการพัฒนาความ pessimistic ของตัวนางครับ ตรงนี้ยังไม่ค่อยชัดเจนว่าจะแก้ยังไงนะครับ ซึ่งปกติแล้วเราจะพยายามไม่ทิ้งปมที่สร้างปัญหาให้ตัวละครเอาไว้ และในเรื่องก็ยังไม่มีนัยยะที่จะบอกว่าความมีเสน่ห์ของสถาปัตย์จะทำให้ปรัชญามีทัศนะคติที่ดีขึ้นต่อสังคม มีการพัฒนาตัวเองขึ้นได้ยังไง ถ้าเพิ่มตรงนี้ขึ้นไปก็จะเป็นการขมวดปมเรื่องที่เปิดไว้ได้รัดกุมขึ้นครับ
-
ถานี่ก็อ่อยน้องจืดตั้งแต่แรกเลยนะ 555
น้องจืด งอแงได้น่ารักน่าฟัดมากกกก
เพราะน้องจืดน่ารักสินะคุณพี่ชายถึงได้หวงมาก
รักน้องจืดดด >[]<
-
ขอเป็นแฟนกันน่ารักมากเลย. ชอบอ่ะ เสี่ยวดี แต่เขินมากๆๆๆๆ
รอเรื่องต่อไปของจิตติจ้า
-
รักใครให้ตัดโม อ้าวไม่ใช่เหรอ :hao7:
-
โอยยยยย ชอบมากค่าพี่จิตติ ชอบที่สุดในเซ็ตมหาลัยเลยก็ว่าได้ คือมันลงตัวมาก เนื้อเรื่องอาจจะเป็นแนวใสๆเรื่อยๆ แต่ตัวละครมีความชัดเจนในตัวเองมาก ซึ่งทำให้เราหลงรักมากเช่นกัน ส่วนตัวเราชอบจืด เอ้ย! ปอเป็นพิเศษ น้องน่ารักมากกก :mew1:
ป.ล.เหมือนตรงนี้จะขัดแย้งกันเองนะคะ พี่จิตติลองเช็คดูน้า
V
“เดี๋ยวกูเรียกเพื่อนมาช่วยนะ เจ็บมากมั้ย” เจ้าตัวพยักหน้า พลางกอบกุมแขนขวาเอาไว้ด้วย
“...”
“ร้องเพลงก่อน ถ้าร้องเพลงมึงจะไม่คิดอะไร” นับเป็นการแก้ปัญหาที่แย่มาก แต่ผมคิดว่าแขนซ้ายของไอ้สถาปัตย์คงหักไปแล้ว ดูจากรูปกระดูกที่ผิดรูปร่างอย่างเห็นได้ชัด
สถาปัตย์ตกเก้าอี้เพราะดัดจริตขึ้นไปซ่อมหลอดไฟเอง สรุปแม่งแขนข้างซ้ายหักเข้าเฝือก 2 เดือน ขอบคุณโชคชะตาเพราะจูรี่ใกล้เข้ามาถึงแล้ว ที่พูดหมายถึงโปรเจ็กต์ใหญ่ประจำเทอมที่นิสิตสถาปัตย์ทุกคนต้องทำส่งต่างหาก งานตัดโมเดลต้องมา งานออกแบบก็ต้องเป็นรูปเป็นร่าง แต่แขนขวาที่ถนัดดันมาหักเนี่ยนะ!
-
งื้อออออออออออออออ ถาาาาา ถาาาาา ถาขาาาาาา
นี่แกอ่อยน้องปอตั้งแต่สอบ Pat เลยนี่หว่า
อว๊ายๆๆๆ อิเจ้าแผนการรรรร
แอบหมั่นไส้ ถา นิดๆ 5555 เต๊าะน้องปอหนักมาก
น้องปอน่ารักกกก เหมือนกระต่ายตัวน้อยๆเลย ><
-
ดินสอตก นี่คือแผน :a5:
หยอดไปหยอดมา น่ารักจริงๆ :mew1: :-[
-
อย่ามองคนแต่ภายนอก น้องจืดน่ารัก
-
เสร็จจืด
-
จืดน่ารักกกกกกกก
-
ถาตั้งใจทำดินสอตกเพื่อจะอ่อยจืดนี่เอง :katai2-1:
-
พี่ถาของน้องจืด
อุ้ย!! มีการตั้งใจทำตกด้วย
ชอบมากค่ะ
-
จิตติ แขนถาหักตกลงข้างขวาใช่ไหม ทำไมบรรทัดแรกของตอนบอกว่าซ้ายล่ะ
ปล.สนุกจริงไรจริง ขออีกๆๆๆๆๆ
-
ไม่รู้จะเม้นอะไรนอกจากน่ารัก น่ารักมาก น่ารักโคตร น่ารักจนถล่มทะลาย น่ารักที่สุดเลย :mew1:
-
อรั๊งงงงงง ฟินจนตัวแตกเลยเนี่ย เขาอ่อยมาตั้งแต่แรกแล้วนะเนี่ย อ่อยแบบเกินเหตุ :hao6:
-
ชอบเรื่องนี้มาก. ตัวเอกทั้งสองคนหวานกันแบบเงียบ. ๆ. จนไม่มีใครรู้เรื่องเลย. มีการพัฒนาความสัมันธ์กันไปเรื่อยๆ. น่ารักดี
อยากให้เพิ่มความฮอตของจืดอีกนิด. พวกที่ดูถูกจืดจะได้จ๋อย. (ความสะใจส่วนตัว) อยากดูโมเมนท์ถาหึงจืดบาง.
รอเรื่องต่อไปนะคะ. ขอบคุณคุณจิตติคนน่ารักสำหรับเรื่องสนุกๆ ค่ะ
-
:o8:
-
จืดน่ารัก
แต่ต้องเก็บความน่ารักไว้ไม่ให้ใครเห็นนะ
ถาหวงงงงงงงงง
-
ง่อววววววว น้องจืดน่าร้ากกกกกกกกก
-
โอ้ยย ชอบค่ะ ชอบทุกคณะเลย
เมื่อสักครู่เพิ่งอ่านถาปอจบ คือนั่งฮาคนที่เหยียบแว่นแล้วคิดว่าเหยียบหอยทากนานมาก 555
คุณจิตติดาวมหาลัยคะ ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีนะ
แต่ผู้ชายหล่อๆ รอบกายดาวมหาลัยเนี่ยทำไมถึงได้กันเองไปแล้วซะงั้น
ขอโหวตโมเมนต์ประทับใจ ฉากเปอร์คว้าขอคอตั้มมาจูบในพยายามศาสตร์ค่ะ ตอนอ่านนี้เขินขนลุกเกรียวเลย :impress2:
-
มิน่าตอนอ่านนึกถึงบอส :hao6:
ชอบทั้งจืดทั้งบอสเลยอ่ะ
น่าร้ากกก :man1:
-
ชอบมุมที่พี่จิตติเลือกออกมาอธิบายมุมมองของคนฮอตๆน่ะค่ะ ที่บอกว่าคนอื่นต่างก็เข้ามาเพราะอยากให้ตัวเองชอบ ตัวเองสนใจ
แต่จะมีซักกี่คนที่เข้ามาด้วยใจจริง อยากช่วยเราจริงๆ แบบจืดอ่ะเนอะ .. ชอบตรงนี้มากเลยค่ะ
ปล. รอคณะแพทย์อยู่นะคะ - / -
ปล2. ไม่เอาแพศยาศาสตร์นะคะ = O =
-
ชอบตอนจืดหน้าหงิก ไม่รู้อ่ะ ชอบคนน่ารักเวลางอน มันฮื่ิิิิิออออออ น่ารักอ่ะ ทุกเรื่องในเซ็ตนี้น่ารักหมดเลอออออ รัก.
-
ถาาาา น่ารักอ่ะ รอคณะต่อไปค๊าา~~
-
จืดน่ารักอ่ะ
-
ถาเป็นผู้ชายที่มีเสนห์นั่นแระสุดยอดเลยอ่ะ จืด(ปอ นานๆๆถาจะเรียก อิอิ)เป็นผู้ชายที่เรียบๆๆ ที่ทุกคนไม่อยากเข้าใกล้ มีแต่คนที่ใช่อย่างถาเท่านั้นที่สะดุด ดีสุดๆๆๆ คู่นี้ดูละมุ่น หอม หวาน น่ากิน อิอิ
-
ชอบน้องจืดดดดดดดน่าร้ากกกกก :impress2:
-
ชื่อเรื่องส่อมากแต่ข้างในมุ้งมิ้งนะคะ
-
ชื่อเรื่องส่อมาก แต่เนื้อเรื่องน่ารักโพดดดด
-
ปออออ พกดินสอแท่งนั้นติดตัวตลอดเลยเหรอลูก 5555
อ่านมานะก็แอบหวั่นตลอดกะความเจ้าชู้ของถา แต่พอบอกว่าอยากเป็นคนที่ดีขึ้นเพราะจืด โฮ้ยย แม่ยกใจอ่อนยวบยาบ ยอมจ้ะยอม
-
มันดีมันน่ารัก ถาคือแกขี้อ่อยจริงยอมรับในตัวนาย
ที่สำคัญอ่อยตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเลยด้วย
ชอบมากตอนของแถมโครงการ มันน่ารักอ่านแล้วแบบยิ้มกว้างมาก ชอบเวลาใครสักคนนึงพูดว่าอยากจะเป็นคนที่ดีกว่านี่ ฟังแล้วมันอบอุ่นหัวใจมากจริงๆ
ชอบปอนางน่ารักอ่ะ แบบดูเนิร์ดแต่ก็กวนๆ น่าเอ็นดู
ชอบเวลาปออ้อน ยิ่งตอนป่วยตอนตื่นนอนมันดีกับใจ
อยากจะเก็บไว้ในห้องแล้วนอนมองคนเดียวเลย ><
ตอนขอเป็นแฟนกันมันดีกับใจมาก มันไม่โรแมนติก
แต่มันลงตัวกับทั้งสองคน ถาปอ งื้อออ~ คือดีง่ะ
-
เห้ยยยยย จบไวไปอะยังไม่อยากให้ถาปอจบเลย :sad4:
-
จืดน่ารักง่ะ ชอบๆ
-
ถานี่มองเห็นปอน่ารักทะลุแว่นใช่ไหม อ่อยปอตั้งแต่ปอใส่แว่น
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
เออ คือดี ...มากกกกก
-
Arctic Monkeys<<<มีตัว s นะตะเอง
น้องจืดมีเค้าบอสนี่เอง เราอ่านแล้วคิดถึงมาเหมือนกัน55555
ถาน่ารักอ่ะ ผช.มีสเน่ห์ โง่ยยยยยยย :ling1:
-
แอบอิจฉาน้องจืดเบาๆ พี่ถาจีบได้น่ารักมาก ให้บ้านก่อนแล้วแถมโบรชัว :hao3:
-
น้องจืดน่ารักกกกก ถานี่ไปอ่อยเขาตั้งแต่มอหกอ่ะแบบว่าตาถึงสุดๆ ผู้ชายยิ่งชอบยิ่งแกล้งเนอะ
น้องจืดดูมืดมนมาก แต่ถาก็ช่วยไม่ให้น้องมืดมน พ่อคนดัง บางทีก็หมั่น นี่ถ้าไม่บอกรักตรงๆ จืดจะเข้าใจไหมอ่ะ
อย่าลืมว่าเคยจูบกันแล้ว ถาเคยบอกรักแล้วตั้งแต่วันแว่นแตก จืดนี่ตัวซึนเลย ชอบเวลาน้องร้องงื้ออออๆๆ คือน่ารักน่าฟัด
ขอบคุณค่ะ
-
:-[ :-[ เง้อออ อิจฉาาา ทั้งถาทั้งน้องจืด อ่านแล้วรู้สึกอิ่มอก อิ่มใจมากเลยค่ะ หื้อออ เสียใจทำไมตอนเราเรียนไม่มีโมเม้นอย่างงี้บ้างอ่ะ!!! :ling1:
-
น่ารักจริงๆ
-
มาถึงคณะที่ผชแซ่บอึกคณะ
เสียดายตอนมันสั้นไปนิด
เพิ่งจะเริ่มฟินก้อจบแล้ว
-
น่ารักทุกคู่เลยครับ ชอบๆ
-
คู่นี้น่ารักมากจริงๆ >____<
ชอบค่ะ
-
หนุ่มสถาปัตดี ต้องการจะกิน 5555555555555555555555555555555555555
ตอนแรกเราหงุดหงิดปอมากเลย - - อะไรจะหม่นปานนั้น พออ่านๆไปเฮ้ยยยนางมีความน่ารักอ่อนน
ส่วนถาสุดที่รักก็บอกเลยว่า อ่อยมากกกกกกกก อ่อยแต่เด็กเลย 55555
นึกว่าจะไฝว้กันซะแล้วตอนแรก ป่าวจ้าได้กันเฉย
อยากมีคนมาป้อนยาแบบนี้บ้างจัง อะแค่กๆ
-
ถาคนขี้อ่อยกับน้องปอผู้น่ารัก คือมันดีอ่ะ ปริ่มมากกกก
-
เรื่องนี้น่ารักอ่า หนุ่มๆถาปัตเขาจีบกัน :m4: ชอบการเทคแคร์ของถา อยากได้ๆ #หลบทีนปอแป๊บ :z6: 5555
-
ดีงามตามท้องเรื่อง น่ารักกก ก
จืดไม่จืดนะคะ ถาหวง
-
น่ารักทุกคู่ครับ แต่ชอบ ถา - จืด มากที่สุด
ขอบคุณครับ
-
น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก อยากมีคนขอเป็นแฟนแบบนี้อะ
-
:-[ ชอบมากกกกกกกกกกกกกก ฟินทุกเรื่องเลยค่าาา :pig4:
-
ชอบตอนนับเลขมากค่ะ
-
อิพี่ไทม์ โฮรร แพ้หนุ่มนิติ
-
พีคตรงตั้งใจทำตก :ling1:
-
รู้สึกซึ้งกับจดหมายของถากับคำสารภาพของจืดนะ :hao5:
น่ารักอ่าาา ชอบน้องจืด น่าร้ากกก :o8:
-
ถาน่ารักจัง
จีบจืดตั้งแต่แรกเลยนี่น่าาาา
ชอบบบบบ
-
ถาอ่อยปอมาตั้งนานแล้วนี่หว่า
แถมอ่อยติดซะด้วยนะนั่น
ปอก็น่ารัก เป็นตัวของตัวเอง
ไม่ฝืนเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร
และไม่ให้คนอื่นใืนเพื่อตัวเอง
เป็นแฟนกับถา all in one เลย
ทั้งเพื่อน ทั้งแฟน ทั้งครอบครัว
-
ถ้่าจืดมันถอดแว่นบ่อยๆ ได้มีเสียตัวเลยใช่มั้ยเนี่ย
-
รอบนี้จิตติดาวมอไม่มีบทหรอ ฮ่าๆๆ :laugh:
-
ถานี่อ่อยแรงจริงๆ สนใจปอมาตั้งแต่แรกแล้วเนเจอร์ถึงกับแกล้งทำดินสอตก หึหึ
:pig4: :L2:
-
ชีวิตไปป์โคตรพลิกผัน มาหาเมียแต่ดันได้ผัว ๕๕๕๕๕ ยอมใจจริงๆค่ะ :impress2: :impress2:
-
><
-
น่ารักมากเยย
-
น่ารัก...ไม่ไหวแล้ววว :o8: :-[ :impress2:
-
ชอบทุกเรื่องเลยยยย
อ่านแล้วกร๊าวใจทุกเรื่อง :-[
อยากให้ทำตอนยาวๆหลายๆตอนกว่านี้อีกกก
น่ารักมากกก :กอด1:
-
คิดเองเหรอ เก่งจัง :katai2-1:
-
o13 o13 :katai2-1: :katai2-1:
-
ชอบเรื่องสั้นชุดนี้ครับ
:กอด1:
-
นิติสต์ศาสตร์
REG คือเว็บไซต์ที่เด็กมหา’ลัยทุกคนต้องรู้จัก
REG ทำให้เรามารวมตัวกันมากที่สุดในวันประกาศผลสอบ
REG เคยล่มแล้วล่มอีกจนทำให้ใครหลายๆ คนถึงกับปาแล็บท็อปทิ้งในวันลงทะเบียนเรียน
REG เป็นที่เดียวที่แสดงตารางเรียนและสอบอย่างเป็นทางการ
REG ทำให้เราได้ส่องรายชื่อว่าเทอมนี้จะได้เรียนกับใครที่เราสนใจบ้าง
REG ทำให้เกิดคู่รักรวมถึงคู่อริในเวลาเดียวกัน
และ REG อีกนั่นแหละที่ทำให้ผม...
ตัดสินใจพลาดไป
“ปิดเทอมไม่เห็นหน้าเห็นตา ลงทะเบียนเสร็จยังวะ”
เจ้าของร่างท้วมตบบ่าของผมเป็นการทักทาย หลังจากเราไม่ได้เจอกันตลอดปิดเทอม 3 เดือนเต็ม ก็...ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ปิดเทอมเป็นอะไรที่น่าเบื่อพอๆ กับการเรียนวิชาปราบเซียนนั่นแหละ และเหตุผลที่เราหลายคนต่างนั่งอยู่หน้าแล็บท็อปตรงนี้ก็มีแค่เหตุผลเดียว
ลงทะเบียนเรียน
“ลงเสร็จแล้ว” ผมตอบกลับไป
“วิชาเสรีลงทันมั้ย ส่วนใหญ่เขาบอกอาเซียนได้คะแนนดี ฟาดเอยกเซคก็เคยมีนะ”
“อืม รุ่นพี่ก็พูดแบบนี้ แต่กูลงไม่ทันว่ะ”
หมดกัน ชีวิตปี 4 เทอม 1 ของกู ฝันสลายฉิบหายเพราะเน็ตมหา’ลัย ผมเลยต้องกระเตงไปลงเรียนวิชาใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในสายตาอย่างวิชานันทนาการในโรงเรียน
ให้ตาย...เรียนบริหารฯ แต่ต้องมาลงวิชาเลือกเสรีเป็นวิชาคณะศึกษาศาสตร์ เออ ชีวิต!
เด็กมหา’ลัยทุกคนย่อมรู้ดี ช่วงเวลาของการชิงรักหักเหลี่ยมโหดที่สุดของเรานอกจากแย่งข้าวที่โรงอาหารกินแล้ว ก็คือการลงทะเบียนวิชาเลือกเสรีนี่แหละ แน่นอนว่าเรามีสิทธิ์เลือกเรียนวิชาไหนของคณะอะไรก็ได้ที่เปิดสอน และนิสิตแต่ละคนก็มีเหตุผลในการลงเรียนวิชานั้นไม่เหมือนกัน
บ้างลงเรียนเพื่อหาแฟน เพราะส่วนใหญ่ใช้ระบบคละเลยเจอผู้คนที่หลากหลายขึ้น
บ้างหนีจากความซ้ำซากจำเจในชีวิตประจำวัน อย่างพวกนิติฯ ที่พากันไปเรียนกราฟิกพื้นฐานของสถาปัตย์ฯ
บ้างเรียนเพราะอยากอัพเกรด เพราะวิชาเลือกส่วนใหญ่มักจะได้เกรดดี
หรือบางคน...ลงทะเบียนไม่ทัน เลยต้องเรียนในวิชาที่ไม่อยากเรียนแถมได้เกรดยากอีกต่างหาก
ซึ่งตอนแรกผมอยากเป็นแบบที่สาม แต่ดันมาเป็นแบบสุดท้ายเนื่องจากโชคไม่อำนวย
“อ้าว สรุปมึงลงอะไรเนี่ย” เพื่อนผมถาม
“นันทนาการในโรงเรียน”
“สาดดดดดด อาจารย์ศึกษาฯ โคตรโหด”
ผมจะถือว่าเป็นคำปลอบใจแล้วกัน
“แล้วมึงล่ะ”
“กูลงอาเซียน เป็นคนที่ 50 ของเซคพอดีเป๊ะ ปีนี้ดันเปิดแค่สองเซค บุญโคตรคุ้มกะลาหัวกูเลย” เออ สงสัยบุญคงจะผ่านกูไปแล้วล่ะ เหลือแต่กรรม
“แล้วเพื่อนคนอื่นๆ อ่ะ” ถามกลับไปอีก เชื่อสิ มันต้องมีสักคนที่โชคร้ายเหมือนผม
“เพื่อนครึ่งห้องลงอาเซียนทันหมด ส่วนกลุ่มไอ้เป้หนีไปเรียนกฎหมายเบื้องต้น ไอ้เอมกับก๊วนไอ้ทอมไปเรียนภาษาญี่ปุ่น ส่วนบางคนก็โน่น! ภาควิชาวิศวฯ”
“สรุปไม่มีใครพลาดมาลงกับกูเลยเหรอ”
“โบ๋เบ๋ว่ะ”
อยากร้อง แต่กูร้องไม่ออก มันคงเป็นความจุกที่ไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดหรือน้ำตาได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก คิดซะว่าเป็นหนึ่งเทอมที่เต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้นก็พอ สี่เดือนเอง เดี๋ยวก็หลุดพ้น
“เอาน่า ความจริงมันอาจไม่แย่อย่างที่คิด”
“เป็นไปได้ยาก เห็นรุ่นก่อนๆ ก็โอดครวญอยู่”
“สู้ๆ นะไอ้พากษ์”
ให้กูสู้กับอะไรเหรอ...?
“ดูรายชื่อใน REG หรือยัง ตอนนี้เซคมึงคงเต็มแล้วมั้ง” ใช่ไง วิชาอื่นเต็มตั้งแต่ 5 นาทีแรก แต่วิชานี้นั่งรอเกือบชั่วโมงยังไม่มั่นใจว่าจะเต็มหรือเปล่าเลย แต่นี่ก็ผ่านไปนานมากแล้ว คิดว่าน่าจะเพียงพอให้เด็กที่มีชะตากรรมเหมือนผมได้กดเลือกและลงนรกไปด้วยกัน
ผมเลื่อนเมาส์ ตัดสินใจคลิกลงไปบนรหัสวิชาที่เพิ่งทำผมใจสลายไปเมื่อชั่วโมงก่อน ในนั้นมีรายชื่อของผู้โชคร้ายทั้ง 40 คน ผมกวาดสายตาไล่อ่านตั้งแต่บนลงล่าง เผื่อมีคนรู้จักมาเรียนด้วยกัน แต่เด็กบริหารฯ กลับไม่มีใครลงเรียนแม้แต่คนเดียว ส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกวิศวฯ ที่ขนกันมาเรียนทั้งภาค จะมีก็แต่...
สายตาของผมหยุดอยู่ตรงรายชื่อหนึ่งซึ่งต่อท้ายด้วยคณะนิติศาสตร์
หัวใจผมเต้นระรัว เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดซึมเต็มกรอบหน้า ก่อนจะตัดสินใจเลื่อนสายตาไปทางซ้ายเพื่ออ่านรายชื่อของใครคนนั้น ใครคนหนึ่งที่ผมไม่อยากได้ยินแม้แต่ชื่อ
นายทันภัทร ธนเศวต
แฟนเก่า
“ทันภัทร”
“...”
“ทันภัทร ธนเศวต มาหรือเปล่า”
ถึงแม้จะไม่อยากได้ยินชื่อนี้แค่ไหน ผมก็ต้องฟังมันซ้ำซากไม่รู้กี่ครั้งตลอดเทอม
อาจารย์อาวุโสหน้าห้องขานชื่อของหมอนั่นอยู่หลายครั้ง แต่แทบไม่มีวี่แววว่าเจ้าของชื่อจะโผล่หัวมาสักนิด กระทั่งคนอายุมากกว่าตัดสินใจจรดปลายปากกาเป็นสัญลักษณ์กากบาทหลังชื่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดแง้มออกอย่างเงียบเชียบ
ร่างสูงโปร่งก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ทุกสายตาจดจ้องไม่คลาดเคลื่อนเพราะมันเป็นคนเดียวที่สวมเสื้อคลุมนิติศาสตร์สีดำปักลายตาชั่งทับเสื้อยืดสีเทาซึ่งอยู่ด้านใน กับกางเกงยีนเข่าขาดที่ผมคุ้นตา แตกต่างจากคนอื่นที่สวมชุดนิสิตถูกระเบียบทุกอย่าง
“เดี๋ยวค่ะ ชื่ออะไรคะ” อาจารย์หรี่ตามองผ่านกรอบแว่นหนา คนมาทีหลังเลยหันหน้าไปคุยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่กลับรู้สึกว่ามันโคตรวอนส้นตีนเลยว่ะ
“ทันภัทรครับ”
“มาสายนะคะ”
“ไม่สายครับ” เถียง! มันเถียงอาจารย์ที่ขึ้นชื่อว่าโหดสุดในคณะศึกษาฯ ไอ้โง่
“คุณมาสาย ดูนาฬิกาด้วย!” ไม่พูดเปล่า อาจารย์ชี้นิ้วไปที่นาฬิกาติดฝาผนังที่อยู่ตรงมุมห้องด้วย
ห้องทั้งห้องเงียบกริบยิ่งกว่าป่าช้า ขนาดพวกวิศวฯ ที่นั่งกันอยู่เกือบครึ่งห้องยังไม่กล้าปริปากแม้แต่คำเดียว เชื่อมันเลยว่าหลายคนคงสงสัยว่าไอ้นี่มันกร่างมาจากไหน
“ไม่สายครับ นาฬิกาผมบอกว่าผมมาตรงเวลา”
“ฉันยึดนาฬิกาของฉัน สายก็คือสาย”
“ผมยึดเวลามาตรฐานโลกครับ ที่นี่ประเทศไทยตอนนี้ 10.01 น. ผมเข้าห้องตรงเวลาตอน 10.00 น. และใช้เวลาชี้แจงอาจารย์ประมาณหนึ่งนาที” เจ้าตัวชูโทรศัพท์มือถือซึ่งกำลังเปิดเว็บไซต์เวลามาตรฐานขึ้นมา
ผมได้ยินเสียงหายใจของอาจารย์เจ้าของวิชาเฮือกใหญ่ ก่อนมือของเธอจะเลื่อนไปเขียนอะไรสักอย่างบนใบรายชื่อ
“ไปนั่งที่ได้ คราวนี้ฉันจะถือว่าคุณมาตรงเวลา”
“ขอบคุณครับ”
“คราวหน้าแต่งชุดนิสิตถูกระเบียบมาเรียนด้วย”
“ครับ”
กายสูงย่างเท้าขึ้นบันไดสโลปหลายก้าว กระทั่งนั่งลงบนโต๊ะเลกเชอร์แถวที่สามซึ่งมีผู้หญิงคณะอื่นนั่งอยู่ ส่วนอาจารย์ก็เช็กชื่อนิสิตต่อ จนมาถึง...
“พีรภพ”
“...”
“พีรภพ ประวีร์กร”
“คะ...ครับ มาครับ”
“ขานชื่อไม่ตอบ เช็กขาดดีมั้ยเนี่ย มีสมาธิหน่อย”
เพราะมัวแต่มองดูแผ่นหลังของใครบางคน เลยทำให้ผมไม่ได้จดจ่อกับการฟังเสียงรอบข้างสักเท่าไหร่ แม้เสียงนั้นจะเป็นของอาจารย์ที่โหดที่สุดก็ตาม
และแปลกเหมือนกัน ทันทีที่อาจารย์ขานเรียกชื่อผม มันคนนั้นก็เสือกหันมามองอย่างรวดเร็ว วินาทีที่เราได้สบตากันอีกครั้ง ความรู้สึกเดิมๆ ไม่เคยหายไปไหน มันยังอยู่ตรงนี้ ทั้งดีใจที่ได้พบกันในวันนี้และเจ็บใจที่ต้องจากกันในวันนั้น
สองปี
สำหรับปัจจุบันทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ขณะที่ความรู้สึกของผมกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ผมได้แต่ตั้งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต เหตุผลอะไรที่ทำให้เราแยกทางกันจนไม่สามารถมองหน้ากันติด ทั้งที่มันก็ผ่านมานานแล้ว ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว แต่พอได้เจอ คำถามต่างๆ และความสงสัยมากมายก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวไม่หยุด
จริงอยู่ที่เราต่างเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องในชีวิตของกันและกัน แต่ผมก็อยากถามเพื่อให้แน่ใจว่าวันนี้...
เรายังรักกันอยู่มั้ย
“นี่คือวิชานันทนาการในโรงเรียน ชื่อก็บอกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นงานส่วนใหญ่จะทำเป็นกลุ่ม วันนี้เรายังไม่มีการเรียนการสอนใดๆ แต่จะแจกคอร์สเรียนให้ แล้วรีบจับกลุ่มกัน”
เช็กชื่อจบไม่ทันไร อาจารย์ก็ยิงยาวแทบไม่หายใจหายคอ ด้วยบุคลิกของอาจารย์ที่เป็นคนเคร่งเครียด ดังนั้นจึงไม่มีใครส่งเสียงดังหรือโต้แย้งใดๆ นอกจากมองหน้ากันเลิกลั่ก ไอ้พวกที่รู้จักกันก่อนหน้าก็จับกลุ่มได้อยู่หรอก แต่ผม...มาคนเดียว ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีแม้แต่เพื่อนร่วมคณะ
“เซคนี้มี 40 คน จับเป็นสี่กลุ่มแล้วกัน ฉันกลับมาจะต้องได้ใบรายชื่อของทุกคนในกลุ่ม แต่ถ้าไม่ได้ กลุ่มนั้นจะถูกตัดคะแนนคนละ 5 คะแนน เข้าใจมั้ย”
“คร้าบบบ/ค่ะ” เสียงเหนื่อยอ่อนของนิสิตพูดขึ้น ก่อนอาจารย์ประจำวิชาจะเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ คราวนี้ห้องที่แสนอึดอัดก็ระเบิดอีกครั้งด้วยเสียงจอแจเต็มพื้นที่
“วิศวฯ มาตรงนี้เว้ย!” เสียงแหบห้าวตะโกนลั่นห้อง ก่อนที่ชายฉกรรจ์หลายสิบคนจะเฮโลไปด้านหลัง ส่วนพวกผู้หญิงวิศวฯ หรือแม้แต่คณะอื่นๆ ก็เริ่มรวมตัวกัน
ด้วยไม่รู้ว่าจะไปอยู่กลุ่มไหน เลยได้แต่ยืนเกาหัวนิ่งๆ เดี๋ยวถ้าเหลือเศษแล้วกลุ่มไหนไม่ครบเขาก็พาเข้ากลุ่มเองนั่นแหละ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด
“เฮ้ย มึงอ่ะ! มึงนั่นแหละยังจะมองหน้าอีก มาเลยกลุ่มกูยังไม่ครบ” ผมถูกเรียกเข้าไปรวมกลุ่มกับวิศวฯ ห่ามโหดถึงแปดคนซึ่งแตกกลุ่มมาจากกลุ่มใหญ่ที่ครบไปแล้ว
“ขอบคุณมาก” ผมบอก ก่อนจะนั่งลงตรงพื้นห้อง เนื่องจากไม่มีใครกล้าแตะต้องโต๊ะและเก้าอี้ในห้องเท่าไหร่ เพราะถ้าเกิดมันบิดเบี้ยวหรือถูกเคลื่อนย้าย เราอาจถูกตัดมากกว่า 5 คะแนนจากอาจารย์ระเบียบจัด
“ขาดอีกหนึ่ง เฮ้ยไอ้ติสท์ มาอยู่กลุ่มกับพวกกูนี่” คนผิวเข้มโบกมือเรียกเจ้าของเสื้อคลุมนิติฯ ไหวๆ ก่อนอีกฝ่ายจะเดินเอื่อยๆ มานั่งใกล้ๆ กัน
ผมรีบก้มหน้าทันที ไม่อยากสบตากับมันอีก ไม่จำเป็น...ไม่จำเป็นต้องมองหรือคุยกันหรอก
“แนะนำตัวเลยแล้วกัน พวกกูเนี่ยเรียนวิศวฯ หมด ไอ้นี่ชื่อ...”
หลังจากนั้นการแนะนำตัวก็เริ่มขึ้น กลุ่มเรามี 10 คน มีผู้หญิงแค่สอง ติดลุยๆ นิดหน่อยเพราะมาจากคณะที่มีผู้ชายมากที่สุดอย่างวิศวฯ
“แล้วมึงอ่ะชื่ออะไร”
“กูเหรอ” ผมถามย้ำ
“เออไง กูคงถามสัมภเวสีมั้ง” กวนตีนอีก นี่ผมต้องเจอคนพวกนี้ถึงหนึ่งเทอมเลยเหรอ
“กูชื่อพากษ์นะ ษ.ฤาษีการันต์ เรียนบริหารฯ”
“แล้วมึงอ่ะ” โบ้ยไปยังร่างสูงโปร่งที่ยืนหน้านิ่งพิงผนัง ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ได้รู้จักหรือสนิทกับมันดี เห็นภายนอกใครๆ ก็คงจะหมั่นไส้ แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น
ถ้าหากว่าสองปีที่เราไม่ได้เจอกันมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอ่ะนะ
“ชื่อทัน เรียนนิติฯ”
“โอเค ต่อไปคงอยู่กลุ่มนี้ตลอด เพราะงั้นแอดเฟซไปด้วยเลย มันต้องสร้างเฟซกลุ่มตอนทำงานอีก ของมึงชื่ออะไร...” ทุกคนล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดแอดเฟรนด์กันอลหม่าน ผมก็มีหน้าที่แค่กดเพิ่มเพื่อนเข้าไปแค่นั้น จะมีก็แต่...
ทัน
นานแค่ไหนแล้วที่ผมบล็อกมัน อาจจะเป็นตอนนั้น ตอนที่เราเลิกกัน
“แล้วมึงสองคนอ่ะ แอดกันยัง”
“ยัง” ผมตอบเสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
“งั้นก็รีบเลย ชักช้าเดี๋ยวนางมารร้ายเดินเข้าห้องมา มึงตายแน่ๆ” คนตัวสูงโย่งพูดจบ ก็รีบวิ่งไปหน้าห้องเพื่อหยิบกระดาษเขียนรายชื่อสมาชิก ส่วนผมก็ตัดสินใจเป็นวินาทีสุดท้ายในการปลดบล็อก แล้วเริ่มเพิ่มเพื่อนคนที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกครั้ง
แอดแฟนเก่า
เจ็บเนอะ
ที่ตัดสินใจบล็อกเพราะไม่อยากเห็น ไม่อยากรับรู้ว่ามันเลิกกับผมแล้วไปคบกับใคร ไม่อยากร้องไห้เสียใจเหมือนที่ผ่านมาอีก แต่วันนี้ทุกอย่างพังลงเพราะเรากลับมาเจอกันอีกครั้ง
Thun Napat accepts your request.
ทันกดรับผมเป็นเพื่อนในเสี้ยววินาที ทุกอย่างรวดเร็วราวกับอีกฝ่ายรอคอยคำขอจากผม แต่...มันก็แค่ข้อสันนิษฐานเชิงเข้าข้างตัวเองเท่านั้นแหละ
คนที่ตัดสินใจทิ้งเราไป มันจะหลงเหลือเยื่อใยอะไรอยู่อีกนอกจากความรู้สึกผิด หรือไม่ก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อกันเลย
“ใครก็ได้เอาปากกามาให้กูเขียนชื่อดิ๊” เสียงเอะอะโวยวายของคนในกลุ่มทำให้ผมหลุดจากภวังค์ หันไปมองหน้าเพื่อนใหม่ที่จดจ้องตาไม่กะพริบ
“ยืมกูเหรอ” ผมถามอีกครั้ง พร้อมกับชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
“เออ ยืมมึงก็ได้ เร็วดิ! เดี๋ยวนางมารร้ายมา”
ชื่ออาจารย์กลายเป็นอะไรไปแล้ว สุดท้ายผมก็ไม่สามารถโต้แย้งใครได้นอกจากเดินกลับไปหยิบกระเป๋าเป้สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
“ช้ามาก กูรื้อแม่งเลย” เพราะกลัวจะถูกตัดคะแนน กระเป๋าของผมจึงถูกแย่งไปต่อหน้าต่อตา ใจเหี้ยมมากไอ้พวกนี้ เล่นล้วงหาปากกาในกระเป๋าของผมราวกับเป็นกระเป๋าของตัวเอง
กระทั่ง...
“โทษๆ” อีกฝ่ายพูดจบก็รีบเก็บซองบุหรี่ของผมที่ตกลงพื้นใส่คืนในกระเป๋า ก่อนจะโยนปากกาด้ามสีน้ำเงินไปให้เพื่อนอีกคนเพื่อจดรายชื่อ กว่าทุกอย่างจะผ่านไปก็กินเวลาไปเกือบสิบนาที เป็นสิบนาทีที่เต็มไปด้วยความอึดอัดซึ่งไม่สามารถอธิบายได้
ทันมองผมตลอด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนผมก็พยายามหลบหน้ามันเต็มที่แม้จะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
อาจารย์กลับเข้ามาในห้องในอีก 5 นาทีต่อมา ทุกคนเลยไม่ถูกตัดคะแนนอย่างที่กลัว ในคลาสพูดถึงเรื่องกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นภายในหนึ่งเทอม แน่นอนว่าทุกงานล้วนเป็นงานกลุ่ม ซึ่งผมก็ต้องทำใจตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าอาจจะต้องเจอมนุษย์แฟนเก่าไปอีกหลายต่อหลายครั้ง
หลังเลิกคลาส ผมเดินเข้าห้องน้ำ หยิบบุหรี่ในกระเป๋าขึ้นมาจุดสูบด้วยความเคยชิน ทุกครั้งที่รู้สึกเครียดผมจะสูบมัน อย่างน้อยก็ครึ่งมวนให้สมองโล่งแค่นั้น
“ห้องน้ำเป็นที่ห้ามสูบ” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยในความทรงจำแทรกขึ้น เพียงแต่ตอนนี้มันไม่ใช่เสียงจากความทรงจำ แต่เป็นเสียงของคนคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องน้ำเมื่อครู่ต่างหาก
ผมสบตากับอีกฝ่ายผ่านทางกระจก แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะในวินาทีต่อมาผมก็เลือกก้มหน้าก้มตามองปลายบุหรี่แทน
“เริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” กายสูงเดินเข้ามาประชิด พลางกระโดดขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ
“นานแล้ว”
ผมตอบ ก่อนเขี่ยก้นบุหรี่ลงกับอ่างล้างมือจนไฟมอด จากนั้นก็โยนมันทิ้งในถังขยะเพื่อตัดรำคาญ
“เคยบอกว่าบุหรี่มันไม่ดี”
“แต่มึงก็สูบ แล้วผิดตรงไหนที่กูจะสูบบ้าง”
“ตอนนี้กูไม่ได้สูบแล้ว”
“เหรอ เสียดาย กูคงได้ตายเป็นมะเร็งปอดคนเดียว แล้วเลิกทำไมล่ะ เมื่อก่อนมึงออกจะติด”
“...” อีกฝ่ายไม่ตอบ
“อ๋อ แฟนมึงคงขอล่ะสิ แต่ขอโทษที่ไม่มีใครขอกู”
“ก็กูนี่ไงขอให้มึงเลิกสูบ”
“แล้วทำไมกูต้องฟังมึงด้วย เป็นแค่แฟนเก่ามีสิทธิ์มาบอกกูด้วยเหรอ เป็นแค่แฟนเก่ามีสิทธิ์มาออกคำสั่งได้ด้วยเหรอ กูไม่ได้อยากเป็นแบบนี้เลยเว้ยทัน กูไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ แต่มึงต่างหากที่ยัดเยียดทุกอย่างให้กู”
“...”
“แม้แต่ตอนเลิกกัน มึงยังยัดเยียดความเสียใจให้กูเลย แล้วตอนนี้มึงยังจะขออะไรกูอีก”
ยอมรับว่าหัวเสีย ดังนั้นผมจึงพยายามควบคุมอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นลงด้วยการเดินหนีออกมา โคตรมหาซวยเลยเทอมนี้ โดนเตะโด่งให้มาเรียนคนเดียวไม่พอ ยังต้องมาเผชิญหน้ากับแฟนเก่าที่ไม่อยากเจออีก
ผมเริ่มเห็นเค้าความวุ่นวายรางๆ แล้วล่ะ และคิดว่าอีกหน่อยจะเสียใจกว่านี้หากได้เห็นว่าชีวิตของไอ้ทันตอนนี้มันดีกว่าตอนที่อยู่กับผมมากแค่ไหน มันไม่ได้เสียใจ หรือบางทีก็อาจจะมีใครอีกคนเคียงข้างไปแล้วด้วยซ้ำ
ขณะที่ผมไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เลย เพราะยังรักมันอยู่...
หลังเลิกเรียน ไอ้เพื่อนตัวดีก็ชวนผมไปดูหนังพาให้คลายความเครียดไปได้บ้าง ดูหนังจบก็ไปโยนโบว์ลิ่ง กินอาหารญี่ปุ่น และก็แวะซื้อรองเท้าแตะเอาไว้ใส่เล่นในห้องเรียน ซึ่งก็เป็นกิจกรรมที่เราทำเป็นประจำอยู่แล้ว
ผมอยู่หอคนเดียว พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัด เพราะงั้นเวลากลับห้องตอนดึกๆ อย่างวันนี้มันเลยเงียบเหงาไปสักหน่อย ยอมรับว่าแรกๆ ผมเป็นโรคกลัวกลางคืน อยู่คนเดียวไม่ได้ นอนไม่ได้ และต้องเปิดไฟตลอดคืนทิ้งไว้พร้อมกับฟังเพลงกรอกหูจนกว่าจะหลับไป
คืนนี้ก็เหมือนกัน แปลกเนอะ...เวลาสองปีแทนที่อะไรๆ มันจะดีขึ้น แต่เปล่าเลย ผมยังเป็นเหมือนเดิม มีห้องรกๆ ที่ไม่เคยเก็บเพราะอย่างน้อยมันก็ไม่หลงเหลือความว่างเปล่าให้รู้สึกวูบโหวง ซื้ออะไรก็ยังติดนิสัยซื้อเป็นคู่เหมือนเดิม แปรงสีฟันสองอัน แก้วน้ำสองใบ ถุงเท้าสองคู่
แต่ก็ดีเหมือนกัน พอของอย่างหนึ่งหมดไปจะได้ไม่ต้องรีบซื้อใหม่
ผมเปิดกระเป๋าเรียน หยิบดินสอกับสมุดจดงานออกมาอ่านเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำตอนเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ กลับมาก็เปิดแล็บท็อปเพื่อเช็กความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียลเหมือนทุกวัน ผมไม่ได้ติดเกมแล้ว มันดีต่อใจมากๆ หลังจากที่รู้ว่าตัวเองเลิกเล่นได้ เหมือนชีวิตมีอะไรให้ทำอีกเยอะแยะเต็มไปหมด
มีเวลาเล่นเฟซบุ๊ก เช็กทวิตเตอร์ ฟอลโลว์อินสตาแกรม ก็สนุกดีนะเพราะได้ทำอะไรหลายอย่าง ฮ่าๆ
ทันทีที่ผมออนไลน์และพาตัวเองเข้าไปอยู่ในเฟซบุ๊ก โลกทั้งใบของผมก็เปลี่ยนไป...
ตึ่ง!!
ชื่อของใครคนหนึ่งเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ นานแล้วที่ผมไม่ได้เห็นชื่อนี้ นานแล้วที่ผมอยากรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายแต่ก็ทำได้แค่ห้ามตัวเองอยู่เสมอ เราเลิกกันแล้ว พอมาวันนี้ความรู้สึกที่พยายามลืมมาตลอดสองปีพังลงไม่เป็นท่า
ผมไม่อยากตอบ ผมไม่อยากเกี่ยวข้องกับมันอีก แต่แปลกที่หลังจากกดอ่านข้อความ หัวใจของผมก็เต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ เหมือนวันนั้น...วันที่เราเริ่มคุยกันผ่านเฟซบุ๊กวันแรก วันที่มันพูด ‘หวัดดี’ เป็นประโยคเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเรา
Thun Napat
พากษ์
และใจของผมก็ไม่แข็งพอที่จะไม่ตอบกลับไป...
Peerapope Praweekorn
??
Thun Napat
เมื่อตอนกลางวัน ขอโทษนะ
Peerapope Praweekorn
เรื่องอะไร กูลืมไปแล้ว
Thun Napat
จะนอนรึยัง
Peerapope Praweekorn
ยัง มึงก็น่าจะรู้ว่ากูเป็นคนนอนดึก
Thun Napat
สบายดีมั้ย
Peerapope Praweekorn
ก็โอเคดี แล้วมึงอ่ะ
Thun Napat
อึดอัด
Peerapope Praweekorn
มีอะไรบอกได้นะ รับฟัง
ผมพูดออกไปทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้อยากรับฟังขนาดนั้น
Thun Napat
ได้เหรอ
Peerapope Praweekorn
อืม เอาที่สมเหตุสมผลนะ
Thun Napat
ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองผิด
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ลืมเค้าไม่ได้ว่ะ
Peerapope Praweekorn
ทำแฟนร้องไห้อ่ะดิ
Thun Napat
ไม่ใช่ ไม่มีแฟน
Peerapope Praweekorn
งั้นก็คงเป็นแฟนเก่า ร้ายไม่เบานะเนี่ย
แล้วทำไมไม่บอกเขาล่ะ มึงเองก็ยังไม่มีแฟน
Thun Napat
รู้เหรอว่ากูหมายถึงใคร
Peerapope Praweekorn
ไม่รู้หรอก ไม่ได้คุยกับมึงมาตั้งสองปี
เอาเป็นว่าสู้ๆ ละกัน กูไปก่อนนะ
Thun Napat
อื้ม
ผมนั่งจ้องหน้าจออยู่นาน แต่ก็ไม่มีประโยคใดๆ ตอบกลับมานอกเหนือจากนั้น สองปีที่ผ่านมาทันคงมีแฟนไปแล้วไม่รู้กี่คน คงมีเพียงแต่ผมที่ยังจมปลักอยู่กับมันเหมือนเดิม เริ่มต้นใหม่ไม่ได้ แม้แต่จะทิ้งอดีตก็ยังทำไม่ได้เลย
พอมาวันนี้ที่เรามีโอกาสได้คุยกันอีกครั้ง แต่กลับต้องมาพูดถึงคนอื่น คนที่ผมไม่แม้แต่จะรู้จัก ทันไม่เคยแคร์อะไรเลยตลอดเวลาที่เราคบกัน แต่วันนี้มันกลับแสดงออกว่ามันแคร์คนคนหนึ่งให้ผมรับรู้ เจ็บว่ะ
ไม่รู้สิ แต่ผมคิดว่าทันเคยใจร้ายยังไง ก็ยังใจร้ายอยู่อย่างนั้น
สุดท้ายผมก็ต้องร้องไห้คนเดียวอยู่ดี ไม่ว่ามันจะกลับมาหรือไม่กลับมาก็ตาม
-
หนึ่งสัปดาห์ผมต้องเรียนวิชานันทนาการในโรงเรียนสองครั้ง ครั้งละสามชั่วโมง คิดว่าโลกมันโหดร้ายกับผมมั้ยล่ะ นั่นหมายความว่าผมต้องเจอมนุษย์แฟนเก่าถึงสัปดาห์ละ 6 ชั่วโมง คิดเป็นนาทีก็ 360 นาที คิดเป็นวินาทีก็ฟาดไปตั้ง 21,600 วินาที เจ็บนะโว้ย เจ็บแต่พูดกับใครไม่ได้
เหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนเดจาวู ทุกคนนั่งประจำที่ของตัวเองพร้อมกับจ้องหน้าอาจารย์สุดโหดไปด้วย ก่อนเธอจะเริ่มเช็กชื่อในเวลาสิบโมงพอดีเป๊ะ
“ภาศกร”
“มาครับ”
พลั่ก!
“ขออนุญาตครับ” ผมเห็นอาจารย์ก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองทันทีที่ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้อง ถ้านาฬิกาผมถูกตั้งให้ตรงกับอาจารย์และคนตัวสูง การมาตอนนี้ก็นับว่าตรงเวลาเหมือนกัน
“ไปนั่งที่” เสียงของอาจารย์อาวุโสพูดราบเรียบ
แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เบรกขายาวๆ ของคนมาใหม่เอาไว้อีกครั้ง
“ทันภัทร เนกไทไปไหน”
“ไม่ได้ใส่มาครับ”
“แล้วทำไมไม่ใส่มา”
“มันอึดอัดครับ” ทันเป็นคนกวนตีน นี่คือสิ่งที่ผมรู้และรู้ดีมาตลอด วันนี้อีกฝ่ายสวมชุดนิสิตเข้าเรียนตามคำสั่งของอาจารย์แม้จะไม่ค่อยเรียบร้อยก็ตามที เขายังเหมือนเดิม ตอนที่เราคบกันทันมักจะสวมเสื้อยืดทับด้วยเสื้อคลุมเข้าเรียนเสมอ น้อยครั้งมากที่จะเห็นว่าเจ้าตัวแต่งตัวถูกระเบียบ นอกเสียจากวันนั้นจะสำคัญมากๆ อย่างวันสอบมิดเทอมและไฟนอล
“คาบหน้าใส่เนกไทมาด้วย ให้เกียรติสถานที่หน่อย”
“ครับ”
วันนี้อาจารย์สั่งงานกลุ่มชิ้นแรก ให้คิดกิจกรรมอะไรก็ได้สำหรับนักเรียนประถมศึกษาพร้อมกับส่งรายงานในคาบหน้า แต่เพราะงานแรกไม่ได้ยากมากเราจึงใช้วิธีแยกกันหาข้อมูลและส่งเข้าไปทางเฟซกลุ่มที่สร้างขึ้นมาแทน
เมื่อหมดคาบผมรีบเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังหอสมุดเพื่อหามุมทำงานและหลับเหมือนทุกครั้ง ซึ่งเพื่อนในกลุ่มบริหารฯ มักจะรู้ดีว่าผมชอบมานอนที่นี่เพื่อปลีกวิเวก ตรงนี้เป็นแค่ซอกตู้หมวดหนังสือญี่ปุ่น จึงไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมา ดังนั้นมันเลยดีมากๆ ที่ผมจะนั่งทำงานและหลับอย่างสบายใจ
แรกๆ ก็ตั้งใจทำงานอยู่หรอก แต่พอนานเข้าความง่วงเริ่มเข้ามาแทนที่แถมหนังตาก็พร้อมจะปิดอยู่รอมร่อ ผมจึงไม่อยากฝืนสังขาร และตัดสินใจโน้มหน้าลงกับโต๊ะจนกระทั่งหลับไป...
รู้ตัวอีกทีก็ตอนถูกอะไรสักอย่างที่เย็นมากๆ แนบตรงข้างแก้ม ผมค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาก่อนจะกระเด้งตัวนั่งด้วยความตกใจเนื่องจากคนตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือไอ้หน้านิ่งติสต์แตกอย่างทันนั่นเอง
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมถาม
“นานพอจะเห็นใครบางคนนอนน้ำลายยืดใส่โต๊ะแล้วกัน” เจ้าตัวพูดพลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พร้อมกับยื่นขวดนมเปรี้ยวที่มันเอามาแนบหน้าเมื่อครู่ให้กับผม
“ให้เหรอ”
“อืม...”
“จำได้ด้วยเหรอ” ผมชอบนมเปรี้ยว ชอบมาก ชอบจนขี้แตกขี้แตนเพราะแทบจะกินแทนน้ำ
“จำได้”
“กูก็จำได้ว่ามึงชอบกินกระทิงแดง”
“คราวหลังก็ซื้อมาให้บ้างดิ” พูดจบ ริมฝีปากได้รูปก็คลี่ยิ้ม
“ให้คนของมึงซื้อให้เถอะ เขาคงดูแลมึงได้ดีกว่ากู” แค่กลัวว่าจะเป็นเหมือนตอนนั้น ตอนที่ผมเฝ้าแต่ดูแลมัน แต่มันกลับไม่คิดใส่ใจผมเลยสักนิด
อดีตเจ็บปวดแค่ไหนผมไม่เคยลืม แต่ผมก็เลิกรักไม่ได้อยู่ดี
ยังจำได้...ตอนที่ผมนอนซบไหล่ของมัน แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจนอกจากอ่านหนังสือเงียบๆ
ยังจำได้...ตอนที่ผมทำกับข้าวเพื่อรอกินพร้อมกัน แต่เจ้าตัวกลับออกไปกินกับเพื่อนข้างนอก
ยังจำได้...ตอนที่ผมนอนกอดมันจากด้านหลัง แต่สิ่งที่ผมได้รับคือมันไม่เคยหันหน้ามาเพื่อกอดกลับบ้างเลย
ยังจำได้...ตอนวันสุดท้ายที่เราเลิกกัน ผมรออยู่ใต้ต้นสนท้ายตึกนิติศาสตร์เพื่อให้ของขวัญวันเกิดเหมือนปีก่อน แต่อีกฝ่ายกลับไม่มา ไม่ใส่ใจ และสุดท้ายทุกอย่างก็จบลงเพียงแค่นั้น
ทันเลือกฉลองวันเกิดกับเพื่อนจนลืมสัญญาของเรา
“มึงยังใช้เบอร์เดิมอยู่ป่ะ” ไอ้ทันเปลี่ยนเรื่อง
“อืม แต่กูบล็อกมึงว่ะ โทษที”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้เรียนหนักมั้ย”
“ก็หนักนะ ปีสี่แล้ว มึงล่ะยังถ่ายรูปเหมือนเดิมมั้ย”
“ก็...เหมือนเดิม”
“ตอนนั้นกูโคตรสงสัยว่าสรุปแล้วมึงเรียนนิติฯ หรือเรียนนิเทศฯ กันแน่ แต่ตอนนี้กูเข้าใจแล้วว่ามึงเป็นเด็กนิติที่โคตรติสต์เท่านั้น”
“มึงก็ติสต์พอกัน ยังไม่ชอบเก็บห้องเหมือนเดิมหรือเปล่า”
“ก็คนมันขี้เกียจอ่ะ ส่วนมึงก็คงชอบตากกางเกงในไว้ตรงพัดลมแอร์เหมือนเดิม”
“ทีมึงยังทำตามเลย”
“เหอะ”
“มึงชอบกัดเล็บ” มันยังไม่หมดความพยายามสาธยายพฤติกรรมของผมต่อ
“มึงก็คงชอบเดินแก้ผ้าโทงๆ อยู่ในห้องเหมือนกัน”
“มึงนี่ไม่เปลี่ยนเลยเนาะ สองปีแล้วยังทำทุกอย่างเหมือนเดิม”
“มึงก็เหมือนกัน”
“ใช่”
ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก แม้แต่ความรู้สึก กูก็ยังรักมึงเหมือนเดิม
Thun Napat
กูจำได้ว่ามึงชอบ (แนบรูป)
Peerapope Praweekorn
อะไร
Thun Napat
ไลฟ์ของ Scrubb เขามาจัดที่มอเรา
Peerapope Praweekorn
จริงดิ อยากไปว่ะ
Thun Napat
บัตรขายหมดแล้ว
Peerapope Praweekorn
อ้าวเหรอ
Thun Napat
ไปด้วยกันมั้ย กูซื้อมาสองใบ
Peerapope Praweekorn
มึงไม่ชวนคนของมึงไปล่ะ
Thun Napat
กูชวนมึง อยากฟังมึงร้องเพลง See Scape
Peerapope Praweekorn
กูก็อยากฟังมึงร้องเพลงใกล้เหมือนกัน
Thun Napat
มึงร้องเพลงคู่กันเพราะด้วย
Peerapope Praweekorn
มึงก็ร้องเพลงคำตอบเพราะสุดๆ
เราชอบฟัง Scrubb ผมกับทันฟังเพลงของวงนี้ทุกอัลบั้ม และก็เป็นแฟนคลับตัวจริงของพี่เมื่อยและพี่บอล ไลฟ์ของเขาเมื่อสองปีก่อนคือความทรงจำที่ดีระหว่างเรา ผมกับทันเราร้องเพลงไปด้วยกัน เสียงในตอนนั้นแหบแห้ง หัวใจของเราเต้นแรง เต้นกระหน่ำไปตามจังหวะเพลงจนเหงื่อโซมตัว
และพูดได้เต็มปากเลยว่า...วันนั้นโคตรมีความสุข
Thun Napat
สองคนบนดาวที่กว้างใหญ่
ฉันลืมไปแล้วว่าเมื่อไหร่ที่เราได้เจอกัน
Peerapope Praweekorn
ไม่ได้ยินเสียงอ่ะ ไม่รู้ว่าเพราะรึเปล่า
5555555
หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งนาที สัญญาณเฟซไทม์ก็ดังขึ้น ผมค่อนข้างตกใจที่ทันคอลมา ใจจริงไม่อยากจะรับแต่แปลกที่มือกลับสางผมซึ่งพันกันยุ่งเหยิงไปมาไม่หยุด
“รับก็รับวะ” ผมบอกตัวเองอย่างนั้น ก่อนจะคลิกเมาส์เพื่อตอบรับ
ภาพแรกที่เห็นคือผู้ชายเสื้อยืดสีขาวคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ในมือถือกีตาร์เอาไว้พร้อมกับมองผมด้วยรอยยิ้ม ทันไม่ได้พูดอะไร ผมเองก็ไม่ ปล่อยให้นิ้วเรียวยาวของอีกฝ่ายจับคอร์ดกีตาร์แล้วเริ่มเล่นเพลง
สองคนบนดาวที่กว้างใหญ่ ฉันลืมไปแล้วว่าเมื่อไหร่ที่เราได้เจอกัน
เมื่อฉันมองดูเธอและรู้สึก ไม่ใช่คนที่คุ้นเคย แค่มากกว่านั้น
เวลาหมุนไป แต่บางทีเวลาก็ช้าเกินไป...ช้าเกิน
กว่าคืนและวันจะพา...เรามาให้พบกัน
สร้างความผูกพัน แต่ละวันนั้นมีความหมายต่างๆ
หากคืนและวันจะพา...เรามาให้คุ้นเคย
ไม่ต้องคิดเลย คำตอบนั้นเรารู้คำตอบ*
“ยังเพราะอยู่มั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยถามหลังจากวางกีตาร์ไว้ข้างเตียงแล้วเรียบร้อย คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ยังไงก็ไม่รู้ ตอนที่ผมกับทันเริ่มคบกันใหม่ๆ คนตัวสูงมักจะร้องเพลงให้ฟังเสมอ และเสียงนั้นก็ทำให้ผมฝันดีไปทั้งคืน
“อืม เล่นเก่งกว่าเดิมอีก”
“พากษ์”
“อะไร”
“ตอนนั้น...ทันขอโทษนะ”
“ตอนไหนอ่ะ มีให้ขอโทษเยอะเลยไม่รู้”
“วันที่กูติดเพื่อน แล้วปล่อยให้มึงบอกเลิกทางโทรศัพท์”
“ไม่เป็นไร ไม่รักคือไม่ผิดเว้ย”
“ไม่ใช่ไม่รัก แต่ช่างเหอะ ฝันดีนะ”
“อืม...ฝันดี” น้ำเสียงที่ตอบกลับไปแผ่วเบาเหลือเกินในความรู้สึก ภาพของผู้ชายคนหนึ่งหายไปจากม่านสายตา เหลือเพียงพื้นหลังสีดำที่สะท้อนเงาของผมเท่านั้น
ทันมันตอบว่าไม่ใช่ไม่รัก แต่ตัวมันยังให้เหตุผลของคำว่ายังรักอยู่ไม่ได้เลย ฮ่าๆ มันคงเป็นคำแก้ตัวโง่ๆ ของคนคนหนึ่งที่บังเอิญมาเจอและได้พูดคุยกับแฟนเก่าอย่างผมล่ะมั้ง อย่างว่าแหละ เราต้องเจอกันตลอดหนึ่งเทอม ถ้าเกิดมองหน้าไม่ติดก็คงจะแย่เหมือนกัน
“วู้ววว มามันกันอีกเพลง”
“วี้ดวิ้วววว”
ผมกระโดดโลดเต้นจนแทบลืมหายใจ ขณะอยู่ที่งานโชว์ไลฟ์ภายในอินดอร์สเตเดียมของมหา’ลัย ผู้คนหลายพันเบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่ที่นี่ ผมยืนข้างทัน เรามาด้วยกัน เต้นไปด้วยกัน ร้องไปด้วยกัน และอินกับเพลงจนเหมือนโลกนี้มีแค่เรากับ Scrubb วงดนตรีอินดี้ที่ผมชอบที่สุด
เหมือนตอนนั้นเลย เมื่อสองปีก่อน
วันนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้น คนตัวสูงสวมเสื้อสีดำสนิทสกรีนชื่อวง ส่วนผมก็เหมือนกันแต่เป็นสีขาว เราไม่ได้ซื้อที่หน้างาน แต่มันเป็นเสื้อเมื่อนานมาแล้วและปล่อยให้ฝุ่นเกาะอยู่ในตู้ แปลกดี...ปีนี้เขาเปลี่ยนโลโก้แล้วแต่เรายังใส่ลายเดิม
หลายเพลงผ่านพ้น คนดูและนักร้องเหงื่อโชก ดังนั้นโหมดเพลงช้าจึงเริ่มเข้ามาแทนที่เพลงมันๆ ในตอนแรก แน่นอนว่าผมร้องได้ทุกเพลง
เจ๋งป่ะ?
ปรับตัว เปลี่ยนใจ ไม่ไปใกล้เธอ
เพื่อไม่เจอ ไม่รู้เรื่องราว และยอมรับพรุ่งนี้ที่มีแต่ฉัน...
เพลง ‘พอ’ บรรเลงขึ้น พาเอาอารมณ์ของผมหลุดเข้าไปในบรรยากาศเดิมๆ ผมร้องเพลงพลางมองหน้าคนตัวสูง เขายิ้มและร้องตามโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่ผมก็อยากบอก...
“ฉันจะมีเธออยู่ตรงนี้”
ทัน ดีใจที่กลับมาพบกันอีก
“ที่ที่ทุกนาทีอยู่เคียงข้างกัน”
อดีตที่ผ่านมาเป็นยังไงไม่รู้หรอก
“รู้ว่าความเป็นจริงก็เป็นแค่ฝัน”
กูก็แค่ไม่อยากฝันถึงมึงแล้ว เหนื่อยแล้ว อยากหยุด เพราะงั้น...
“แต่หากว่าแค่นั้น ไม่ทำร้ายกันก็พอ”
เรากลับมาคบกันอีกครั้งเถอะนะ
มือของเราผสานกัน ผมจับมือของเขาเอาไว้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปแล้วไม่ได้กลับมาพบกันอีก แค่สองปีก็แย่พอแล้วกับการพยายามลืมใครสักคน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพยายามไปคงเปล่าประโยชน์แต่สุดท้ายก็ลืมไม่ได้
...สุดท้ายก็ยังรักอยู่
“ขี้แย” เจ้าของเสียงทุ้มใช้มือที่ว่างอีกข้างขยี้หัวผม
“กูเปล่า”
“ร้องไห้” มือหนาเอื้อมมาปาดน้ำตาออกจากแก้มของผมเบาๆ
“ไม่ได้ร้อง”
“ก็เห็นว่าน้ำตาไหลอยู่ คิดถึง Scrubb เหรอ”
“เปล่า คิดถึงมึง” ผมตัดสินใจบอกความรู้สึกของตัวเอง เพื่อหวังว่า...
“อืม...คิดถึงเหมือนกัน”
จะมีสักอย่างที่ยังเหมือนเดิมอยู่บ้าง
Peerapope Praweekorn
ว่างป่ะ
Thun Napat
ทำไม
Peerapope Praweekorn
จะชวนไปดูหนัง
Thun Napat
โทษทีมีนัดแล้ว
Peerapope Praweekorn
โอเค ไม่เป็นไร
Thun Napat
ไปกับใคร
Peerapope Praweekorn
ไปกับเพื่อน แต่ก็แค่ลองชวนมึงดู
Thun Napat
โทษนะ
Peerapope Praweekorn
ช่างเหอะ
จองตั๋วไว้แล้วสองใบแต่ก็ต้องมาคนเดียว สบายเหมือนกันจะได้ไม่มีคนคอยพูดคอยกวนอยู่ข้างๆ ผมเคยชินกับชีวิตที่ต้องทำอะไรคนเดียวมานานแล้ว เผื่อว่าเพื่อนในกลุ่มคนไหนไม่ว่างจะได้ไม่เคว้ง ซึ่งสุดท้ายมันก็มีบ้างแหละที่รู้สึกโหวงๆ อยู่บ้าง
หลังดูหนังจบ ผมเตรียมตัวจะกลับหอ แต่บังเอิญดันไปเจอกับคนตัวสูงซะก่อน ทันมากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ กำลังนั่งกินอาหารญี่ปุ่นอยู่ในร้านกระจกใส ส่วนผมก็แค่เดินผ่านและอีกฝ่ายดันตามมาทักทายเท่านั้น
“ไหนบอกมากับเพื่อนไง” เจ้าตัวถามด้วยความสงสัย
“เพื่อนกลับแล้ว มึงก็มากับเพื่อนสินะ” ในกลุ่มของมันมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง และผมก็พอจะคุ้นหน้าคุ้นตาใครหลายๆ คนตอนที่เรายังคบกันอยู่
ทันเลือกเพื่อน ไม่เคยสักครั้งที่จะเลือกผมไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
“อื้ม มาเลี้ยงส่งท้ายไอ้โอ๊ต มันจะดร็อปเรียนไปอยู่กับพี่สาวที่อเมริกาเทอมนึง”
“อ๋อ”
“กินข้าวยัง”
“ว่าจะกลับไปกินที่หอ”
“กินด้วยกันที่นี่มั้ย”
“ไม่อ่ะ เดี๋ยวจะอึดอัดกันเปล่าๆ”
“รีบกลับป่ะ” คนตัวสูงถามย้ำ ผมเลยส่ายหน้ากลับไป เขาบอกให้ผมยืนรออยู่ตรงนี้ ส่วนตัวเองก็รีบวิ่งเข้าไปในร้าน พูดอะไรสักอย่างกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ก่อนจะเดินออกมา
“หิว” ทันบอกพร้อมกับคว้าข้อมือของผมเอาไว้แล้วจูงให้เดินไปข้างหน้า
“อะไรเนี่ย ไม่อยู่ส่งท้ายเพื่อนเหรอ”
“ส่งแล้ว แต่กูไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นเท่าไหร่”
“เท่าที่กูจำได้มันไม่ใช่แบบนั้น” ผมเถียงกลับไป ทันชอบอาหารญี่ปุ่น ตอนเราคบกันผมเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นบ่อยกว่าร้านอาหารไทยซะอีก
“ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่ไม่มีมึง”
เราเลยเลือกนั่งร้านอาหารเกาหลีแทน -_-
บอกตามตรงว่าทั้งผมและทันไม่มีใครชอบอาหารเกาหลี แต่กลับเดินเข้ามาในร้านโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เราแค่อยากเข้ามาลองอะไรใหม่ๆ สั่งเมนูอะไรก็ไม่เป็นเพราะไม่รู้จัก จิ้มโน่นสั่งนี่มั่วๆ และระหว่างที่รอเราก็ได้คุยกันอีกครั้ง
“มาดูหนังเรื่องอะไร”
“The Martian”
“สนุกป่ะ”
“ที่สุด ดูจบแล้วโคตรอิ่มเลย”
“เอาเบอร์เกอร์เข้าไปกินเหรอถึงอิ่ม”
“กวนตีน”
“เล่าให้ฟังหน่อย”
“คืองี้ พระเอกอ่ะติดอยู่บนดาวอังคารใช่ป่ะ แล้วกว่านาซ่าจะส่งคนไปช่วยก็ใช้เวลาหลายร้อยวันเลย ระหว่างนั้นเขาก็ต้องทำทุกวิถีทางเว้ยเพื่อเอาชีวิตรอด อย่างปลูกมันฝรั่ง เก็บซากดาวเทียมเก่าๆ มาซ่อมแล้วสื่อสารกลับไปยังโลก โคตรเทพเลย...” จากนั้นผมก็เล่ารายละเอียดของหนังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจบ
“จบอิ่มอย่างที่บอกเอาไว้จริงๆ”
“กินเบอร์เกอร์เหรอ”
“ก๊อบมุก”
“ฮ่าๆ หนังดังนะ ไม่เคยดูจริงดิ” ผมถาม
“ไม่เคย”
“พลาดมาก แล้วช่วงนี้ได้ดูเรื่องอะไรบ้างอ่ะ”
“เคยดู Sicario ป่ะ”
“ไม่ เล่าให้ฟังหน่อย”
“พลาดกว่า ในเรื่องนางเอกเป็นเอฟบีไอเข้าไปร่วมภารกิจตามล่าพ่อค้ายาเสพติด โดยที่ก่อนหน้าคนในทีมไม่ได้บอกว่าต้องการให้เค้าทำอะไร...” ผมนั่งฟังอย่างจดจ่อ คล้ายกับพาตัวเองเข้าไปอยู่ในโรงหนัง
เราเป็นแบบนี้เสมอ เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้ น้อยครั้งมากที่ผมกับทันจะนั่งดูหนังเรื่องเดียวกัน เอนหัวซบไหล่ หรือแม้แต่จับมือ ด้วยรสนิยมที่แตกต่างบวกกับนิสัยติสต์จัดของคนตัวสูง เวลาที่ผมบอกอยากดูหนังเรื่องนี้ แต่เขาไม่อยากดู เราก็จะแยกกันดู
พอหนังจบเมื่อไหร่ เรามักจะเล่าให้กันฟังเสมอ เสียเงินตีตั๋วไปดูเรื่องเดียวแต่เหมือนได้ดูสองเรื่อง มันก็ดี...แต่ทันคงลืมไป เราไม่ได้มาโรงหนังกับคนรักเพื่อต้องการดูหนังจริงๆ หรอก แต่เรามาเพื่อใช้เวลาร่วมกันต่างหาก ซึ่งตลอดระยะเวลาสองปีมันไม่เคยมีวันนั้น
“บู๊มากมั้ย” ผมถามกลับไป เมื่อเจ้าตัวเล่าจบ
“ไม่มาก แต่หักมุมอย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละ อยากดูมั้ยล่ะ”
“ไม่อ่ะ”
“...”
“มึงเล่าให้ฟังแล้ว”
“The Martian ก็ไม่ได้กินเงินกูเหมือนกัน เพราะมึงก็เล่าให้กูฟัง ไว้เราไปดูเรื่องอื่นด้วยกันนะ”
“...”
“เรื่องที่เราไม่ต้องเล่าให้กันฟัง แต่รู้สึกไปด้วยกัน”
“ถ้ากูไปดูหนังเรื่องนั้นกับมึง กูกลัวว่ะ”
“...”
“กลัวว่าถ้ากูรู้สึกไปคนเดียว แล้วมึงไม่รู้สึกอะไรเลย กูคงต้องเสียใจคนเดียวอีกใช่มั้ย”
“ไม่รู้ดิ แต่ที่ผ่านมาเรื่องระหว่างเรา กูก็รู้สึกกับมันทั้งหมดนะ”
“แบบไหน รู้สึกผิดที่ดูแลกูไม่ดี หรือรู้สึกผิดที่มึงไม่เคยรักกูเลย”
“รู้สึกผิดที่รู้ตัวช้าไปต่างหาก”
Thun Napat
พรุ่งนี้มีเรียน
Peerapope Praweekorn
ขี้เกียจไป
Thun Napat
เดี๋ยวโดนตัดคะแนน มาเรียนเถอะ
Peerapope Praweekorn
ดูก่อน
Thun Napat
แล้วทำอะไร
Peerapope Praweekorn
ฟังเพลง
Thun Napat
อยากฟังด้วย
Peerapope Praweekorn
(วางลิงก์เพลง)
Thun Napat
ทำไมชอบฟังเพลงเศร้า
Peerapope Praweekorn
ติดว่ะ ฟังเพลงเศร้ามานานแล้ว
เสพติดความเจ็บปวด 555
Thun Napat
เลิกเหอะ (วางลิงก์เพลงแดนซ์)
อย่าร้องไห้นะ ไม่ชอบ
Peerapope Praweekorn
สัด น้ำตากำลังจะไหลเลย
เดี๋ยวมานะ
Thun Napat
ไม่ให้ไป กูรู้ว่ามึงจะไปสูบบุหรี่
Peerapope Praweekorn
เวร รู้กูอีก
Thun Napat
เลิกเถอะ
Peerapope Praweekorn
กูไม่ตายง่ายๆ หรอก
Thun Napat
เชื่อได้เหรอ ตายห่าวันไหนใครจะไปรู้
กูยังเลิกได้เลย
Peerapope Praweekorn
ถามหน่อยทำไมถึงเลิก
Thun Napat
เพราะมึง
เลิกเพื่อมึง แต่มึงก็ไม่อยู่แล้ว 555555
-
“อ่ะ”
“อะไร”
“มีหน้าที่เคี้ยวก็เคี้ยว” ผมมองอะไรบางอย่างที่บรรจุอยู่ในแผงสีเงิน มันถูกโยนลงบนโต๊ะเมื่อครู่โดยฝีมือคนตัวสูง วันนี้ทันเข้าเรียนเร็วกว่าปกติซึ่งผิดวิสัยมากๆ พอมาถึงก็โยนห่าอะไรไม่รู้ลงบนโต๊ะผมแล้วบอกให้เคี้ยวหน้าตาเฉย
“ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยวะ เกิดมึงใส่ยากูก็ตายห่าดิ”
“ลองก่อน แค่หมากฝรั่งมึงไม่ตายหรอก”
ผมมองอีกฝ่ายอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนจะหยิบแผงสีเงินซึ่งมีหมากฝรั่งยี่ห้อแปลกประหลาดขึ้นมาหนึ่งเม็ด ยัดเข้าปากและเคี้ยวด้วยสีหน้าเหยเก
“รสชาติเหี้ย” ผมบอกตามตรง
“เดี๋ยวจะดี ต่อไปถ้าอยากบุหรี่ให้มึงหยิบหมากฝรั่งขึ้นมาเคี้ยวนะ”
“...!!”
“มึงทำได้อยู่แล้ว” มือหนาตบที่ไหล่ผมปุๆ แต่ก็ไม่วายถือวิสาสะล้วงมืออีกข้างลงไปในกระเป๋าเป้ของผม พร้อมกับยึดบุหรี่ยี่ห้อโปรดไปหน้าตาเฉย
“เพื่ออะไรวะ รู้สึกผิดเหรอที่ทำให้กูเป็นแบบนี้” สุดท้ายก็ทนความสงสัยไม่ไหว ผมเงยหน้ามองอีกฝ่าย จ้องมองดวงตาคู่เดิมเพื่อคาดคั้นคำตอบ
“กูไม่ได้เป็นแบบนี้เพราะมึงเว้ยทัน มึงไม่ต้องเดือดร้อนหรอก”
“กูแค่เป็นห่วง จริงอยู่ที่กูรู้สึกผิด เพราะกูทำให้คนที่เกลียดบุหรี่เริ่มสูบมัน กูทำให้คนที่หัวเราะทั้งวันเอาแต่ร้องไห้ กูทำให้คนที่ชอบไปแดนซ์ในผับกลายเป็นคนที่ฟังแต่เพลงเศร้า กูทำให้...”
“แล้ววันนั้น มึงทำให้กูเสียใจทำไมล่ะ”
“...”
“ขนาดตอนบอกเลิกมึงยังไม่สนใจเลย แล้ววันนี้มันจะสำคัญอะไรที่ต้องใส่ใจกู”
โปรเจ็กต์ใหญ่ที่สุดสำหรับวิชานันทนาการในโรงเรียนก็คือการออกภาคสนามที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งปีนี้อาจารย์ผู้น่ารักก็จัดมาให้เราซะดิบดี โน่น...ชนบทอันไกลโพ้น นี่ผมยังสงสัยอยู่เลยว่ามาบูรณะโรงเรียนหรือมาลงนรกกันแน่
ถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อทำให้รถอีแต๋นสองคันที่ขอยืมจากคณะเกษตรฯ โคลงเคลงไปมา อาการคลื่นไส้วิงเวียนเลื่อนขึ้นมาจุกอกจนแทบทนไม่ไหว ผมนั่งข้างทัน เราไม่ได้คุยกันมาหลายอาทิตย์ เจอหน้ากันตลอดแต่ไม่อยากคุยด้วย จบ
มันก็แค่ความงี่เง่าส่วนบุคคลน่ะครับ
“เวียนหัวมั้ย” เสียงทุ้มของคนข้างๆ เอ่ยถาม นี่เป็นประโยคแรกนับจากวันนั้นที่เราคุยกัน
สรุปไม่ได้เคลียร์อะไรหรอก พอเวลาผ่านไปความโกรธมันก็หายไปหมด จากที่บอกว่าจะไม่คุย ไม่พูดด้วย สุดท้ายก็กลืนน้ำลายตัวเองอยู่ดี
“ไม่” ผมตอบพร้อมกับเบือนหน้าไปอีกทาง
“เอาน้ำป่ะ” ยื่นน้ำให้อีก
“ไม่”
“ถ้าเวียนหัวก็นอน”
“...”
“อยากอ้วกก็บอก”
“ไม่ได้เป็น... อุ๊บ!” ผมรีบปิดปากตัวเองทันที เมื่อรู้สึกว่าอาการคลื่นไส้หนักขึ้นกว่าเดิม
ปังๆๆ
มือหนาตบกระจกรถเพราะเรานั่งอยู่ด้านในสุด
“จอดหน่อยครับ”
หลังจากนั้นไม่นานรถก็จอดกลางทาง พร้อมกับร่างของผมที่ถูกหิ้วลงมาอ้วกข้างล่างอย่างทุลักทุเล เพื่อนๆ ก็ช่วยกันหาน้ำท่าให้ ส่วนไอ้ทันก็ไม่ได้ไปไหน ยังนั่งยองๆ ลูบหลังให้ไม่ขาด
เหมือนตอนนั้นเลยเนาะ ตอนที่ผมเมาปลิ้นเป็นหมามันก็คอยดูแลแบบนี้เหมือนกัน
“โอเคมั้ย”
“ไม่แล้ว ไม่โอเค” บอกไปตามตรง คนตัวสูงจึงช่วยพยุงกลับขึ้นรถ กดหัวของผมให้ซบอยู่บนไหล่ของเขาและหลับไปตลอดทาง เพราะถ้าไม่หลับผมคงอ้วกเรี่ยราดไปตลอดทางแน่
กิจกรรมนันทนาการกินเวลาแค่สองวันกับอีกหนึ่งคืน ดังนั้นเมื่อไปถึงเราจึงเริ่มกางเต็นท์ภายในโรงเรียน ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ที่ผิดคาดที่สุดกลับเป็นอากาศของที่นี่ แม่งหนาวฉิบหาย แต่ผมดันเอาแค่เสื้อแขนยาวบางๆ มาแค่ตัวเดียว เพราะไม่คิดว่ามันจะหนาวขนาดนี้
เราเริ่มต้นซ่อมและทาสีโรงเรียนกันเงียบๆ คนจำนวน 40 คนแบ่งฝ่ายกันอย่างดีเยี่ยมแทบไม่มีปัญหา อาจเป็นเพราะวันนี้คือวันเสาร์ด้วย ดังนั้นบริเวณที่เราอยู่จึงไม่วุ่นวายเท่าไหร่ นักเรียนก็ไม่ได้มาโรงเรียน มีแค่ภารโรงกับครูบางคนที่แวะมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเท่านั้น
ช่วงอาหารเย็นมาถึงหลังจากทุกคนอาบน้ำเสร็จได้ไม่นาน เราล้อมวงกินข้าวและจัดกิจกรรมเล็กน้อยจนถึงสองทุ่ม ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน ทีนี้แหละที่เหมือนนรก รีบวิ่งเข้าเต็นท์ด้วยกางเกงผ้าร่มกับเสื้อแขนยาวตัวบาง แถมผ้าห่มก็ยังบางอีกต่างหาก ตอนแรกกะแค่เอามาห่มไล่ยุง แต่สุดท้ายกลับต้องเอามาห่มกันหนาว
“ไอ้พากษ์หลับยังวะ” เสียงของเพื่อนวิศวฯ เต็นท์ข้างๆ ตะโกนถาม
“อืม...จะนอนแล้ว”
“สนใจไปร้องเพลงกันมั้ย พวกกูเอากีตาร์มาตั้งสองตัว”
“ไม่เอาอ่ะ จะนอน”
“เรื่องของมึง” ท้ายเสียงตอบไม่จริงจังนัก ก่อนบริเวณโดยรอบจะเงียบลง กระทั่งเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินเข้ามา
“พากษ์...”
“...”
“พากษ์” เป็นเสียงของไอ้ทัน ผมเลยลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิชั่วครู่ พลางรูดซิปเต็นท์ออกไปเผชิญหน้ากับคนภายนอก
“มีอะไร”
“เอาไปใส่” อีกฝ่ายโยนเสื้อกันหนาวตัวหนามาให้
“เฮ้ย ไม่ได้หนาวขนาดนั้น”
“คนขี้หนาวชอบบอกว่าตัวเองไม่หนาวหรือไง ปากซีดแล้ว”
“ขอบคุณ”
“รีบใส่ซะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“รู้แล้วน่า” ผมสอดแขนเข้าไปในเสื้อแขนยาว กลิ่นนี้เป็นกลิ่นประจำตัวของมัน ผมจำได้ดีเพราะคุ้นเคยมานาน แต่ตอนนี้แค่รู้สึกไม่ชินเท่าไหร่ที่ได้ใส่เสื้อของมันอีกครั้ง
“สระผมก็เช็ดผมให้แห้งด้วย”
“อืม”
“ถ้ากลัวผีก็เปิดเพลงฟัง”
“ยุ่ง”
“มีอะไรก็เรียก กูอยู่เต็นท์ข้างๆ เนี่ย”
“สั่งๆๆๆ”
“ตอนกลางคืนจะไปเข้าห้องน้ำให้โทรมาบอก ไม่ต้องออกมาเดี๋ยวจะมาหาที่เต็นท์”
“บล็อกเบอร์มึงอยู่โทรไม่ได้”
“ก็ปลดบล็อกดิ”
“แผนป่ะเนี่ย”
“อืม แผน...จะรอฟังเสียงโทรศัพท์นะ”
“...”
“เลือกเอา จะกลัวกูหรือกลัวผี”
ผมได้แต่เบะปาก มองดูร่างสูงเดินผละออกไป ส่วนตัวเองก็รีบรูดซิปและล้มตัวลงนอน และในคืนนี้เอง เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของทันผ่านโทรศัพท์มือถือ
[เดี๋ยวไปหา แล้วห้ามบล็อกเบอร์อีก]
ทันไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น แต่ทำไมถึงรักวะ ไม่เข้าใจ...
หลังกลับจากกิจกรรมนันทนาการหฤโหด สองวันให้หลังพวกเพื่อนวิศวฯ ก็นัดทำรายงานส่งท้ายเทอม ก่อนจะบอกลาวิชานันทนาการในโรงเรียนของอาจารย์ผู้โหดสัด ตอนแรกก็เถียงกันไปมา พวกเถื่อนแม่งอยากจะมาทำงานห้องผม แต่เสียใจที่ห้องคับแคบเกินกว่าจะยัดคนสิบคนเข้าไปแล้วไม่อึดอัดได้
สุดท้ายก็ต้องมาทำที่ห้องของทัน ห้องที่ผมไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเข้าไป
“มองอีก เข้าไปสิไอ้พากษ์” ผมทำได้แค่กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะถูกเพื่อนด้านหลังดันให้เดินเข้าไปภายในอย่างขัดไม่ได้
ผมมองไปทั่วห้องสีขาวที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ใช่! ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากวันนั้น ของทุกอย่างถูกตั้งไว้ตรงตำแหน่งเดิม กางเกงในที่ถูกตากไว้ตรงคอมเพรสเซอร์แอร์ ตู้กระจกที่วางครีมทาผิวยี่ห้อที่ผมชอบ ตู้รองเท้าซึ่งเปิดอ้าซ่าแต่ไม่มีรองเท้าอยู่ในนั้นสักคู่ เพราะมันถูกถอดเรี่ยราดอยู่บนพื้น ซึ่งเป็นอุปนิสัยเดิมๆ ของคนอาศัย
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง...
“โต๊ะญี่ปุ่นมีสองตัว พวกมึงเอาคอมฯ มาตั้งได้” เสียงทุ้มบอกกลายๆ
“ทำไมมีตั้งสองตัว ไหนจะโต๊ะหนังสืออีก มึงซุกใครไว้ในห้องหรือเปล่าเนี่ย”
“โต๊ะหนังสือมีไว้เขียนหนังสือ ไม่ได้เอาไว้วางคอมฯ ส่วนโต๊ะญี่ปุ่นสีฟ้านั่นของแฟน”
“โห่!! มีแฟนก็ไม่บอก ทุกทีไม่เห็นพูดถึง”
“ของแฟนเก่า”
“อ้าว กรรม” ผมทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น ทำทีเป็นเปิดหนังสือไปพลางๆ ทั้งที่หูสองข้างได้ยินทุกประโยคที่คนตัวสูงพูดกับเพื่อน
“ไอ้ทัน สงสัยมึงจะติดแฟนเก่าจริงๆ ว่ะ ห้องน้ำก็มีแปรงสีฟันสองอัน ห้องครัวมีช้อนกับส้อมสองคู่ แก้วน้ำสองใบ ขนาดรองเท้าสลิปเปอร์แม่งก็ยังมีสองคู่” เพื่อนที่เป็นนักสำรวจที่สุดในกลุ่มโพล่งขึ้น แถวบ้านเรียกเสือก
แต่ก็จริง แก้วน้ำสองใบนั้นผมยังจำได้ดี มันเป็นของผม เราซื้อลายเหมือนกันตอนลดราคากระหน่ำช่วงปลายปี ส่วนรองเท้าสลิปเปอร์สีขาวที่ใส่ในห้องก็ไม่ต่าง เพราะถ้าหากสังเกตให้ดีๆ เราเขียนชื่อกันและกันไว้บนนั้นด้วย
ไม่ได้ทิ้งเหรอ แทนที่จะทิ้งไปตั้งนานแล้ว
“ถามจริง”
“อะไร”
“แฟนเก่ามึงเนี่ยเพิ่งเลิกเหรอ ถึงไม่ยอมเอาข้าวของของเขาออกไปซะที”
“เลิกนานแล้ว”
“สองเดือน หรือสามเดือน เอาน่า ความรักมันทำใจยาก”
“สองปี ยากพอมั้ย”
ห้องทั้งห้องเงียบลงถนัดตา ทันมองมาที่ผมก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและโยนงานให้เพื่อนๆ ในกลุ่มทำเพื่อคลายความอึดอัด ผมเองก็ไม่ได้โต้แย้งใดๆ นอกจากนั่งพิมพ์งานอยู่ตรงพื้นเงียบๆ เพราะคนอื่นยึดโต๊ะญี่ปุ่นไป
แถมแบตเตอรี่แล็บท็อปยังใกล้จะหมดอีกต่างหาก
“ทัน” ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนพื้น
“หืม?”
“แบตฯ จะหมด มีปลั๊กพ่วงอีกมั้ย เพื่อนมันใช้เต็มแล้วอ่ะ”
“มุมห้องเลยคร้าบบบบบ” เพื่อนอีกคนแทรกขึ้น เพราะเห็นเต้าเสียบอยู่ข้างตู้วางทีวี แต่ผมรู้ว่ามัน…
“เข้าไปชาร์จในห้องนอนป่ะ ตรงนั้นมีปลั๊กสามตา”
ผมพยักหน้าเข้าใจ พร้อมกับหอบหิ้วแล็บท็อปเข้าไปภายในห้องนอนที่ยังคงหลงเหลือบรรยากาศเดิมๆ รูปของผมที่ถูกถ่ายโดยคนตัวสูงแปะอยู่เต็มผนัง ผ้าปูสีเดิมตอนที่เรายังอยู่ด้วยกัน หมอนสองใบ และแม้แต่ตู้เสื้อผ้าที่เปิดอ้าเพราะนิสัยเดิมๆ ที่แก้ไม่หายก็ยังมีเสื้อผ้าของผมปะปนอยู่ในนั้น
ผมวางแล็บท็อปไว้ตรงปลายเตียง เดินสำรวจไปทั่วห้อง เห็นของขวัญวันเกิดที่ทำไว้ให้คนตัวสูงเมื่อสองปีก่อนซึ่งถูกวางทิ้งไว้เพราะเขาไม่มา
นอกจากนั้นยังมีตั๋วหนัง กล่องของขวัญ การ์ดอวยพร ดอกไม้ช่อเล็กที่ผมเลือกเองกับมือ วันนี้ถึงมันจะเหี่ยวไปแล้วแต่ความรู้สึกที่เคยมีไม่เคยจางหายไปเลย
กลายเป็นว่าเขาเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้อย่างดี
ผมมักพูดเสมอว่าทันไม่เคยสังเกตเห็นความรักที่ผมมีให้กับเขา แต่สุดท้าย...กลับเป็นผมเองที่ไม่ได้สังเกตว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็แคร์ผมเหมือนกัน
“มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ผมถามขึ้น รู้ดีว่าคนที่เปิดประตูตามเข้ามาเป็นใคร
“มันก็อยู่ของมันมาตั้งแต่แรกแล้ว”
“ทำไมไม่ทิ้งไปซะล่ะ เราก็เลิกกันมาตั้งนาน”
“ไม่ได้อยากทิ้ง”
“ถามจริง ตั้งแต่เลิกกันไปมึงเคยคบใครมั้ย” ผมเงยหน้ามองคนตัวสูง และคำตอบที่ได้คือการยิ้มเจื่อนและส่ายหน้าไปมา มันเลือกได้เว้ย มันเลือกได้แต่ทำไมไม่เลือก...
“กูไม่รู้ว่าตั้งแต่เลิกกันไปมึงเป็นยังไง เพราะกูบล็อกมึงทุกทาง”
“กูรู้ แล้วกูก็รู้ด้วยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามึงเป็นยังไง กูเห็นมึงตลอดแต่ไม่กล้าเข้าไปทัก กูรู้ว่ามึงเศร้าแต่ก็ไม่กล้าเดินเข้าไปปลอบ ตอนนั้นเราจบกันไม่ดีเท่าไหร่”
ใช่! จากกันได้แย่มาก ทันติดเพื่อน ติดถ่ายรูป ทำตามใจตัวเองจนเหมือนเป็นคนแข็งกระด้าง ผมพูดอะไรออกไปเขาจะเฉย มากสุดก็แค่พยักหน้าทั้งที่ผมห่วงแทบตาย ทันไม่เคยแคร์ ไม่เคยสนใจ
และวันที่ความอดทนสิ้นสุดลง ผมบอกเลิกอีกฝ่ายทางโทรศัพท์เพื่อหวังว่าเจ้าตัวจะกลับมาง้อ แต่เปล่าเลย ผมกลับได้ยินเพียงคำว่า ‘อืม...’ และหลังจากนั้นเราก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก
บางทีผมก็เกลียดอารมณ์ติสต์บ้าติสต์บอของมัน เพราะตอนเลิกกันเรายังเลิกกันแบบงงๆ ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีคำพูดเหนี่ยวรั้ง ปล่อยให้ความทรงจำทุกอย่างที่สร้างด้วยกันมาพังไม่เป็นท่า กระทั่งเราได้กลับมาเจอกันเมื่อหลายเดือนก่อน
ผมโกรธ ผมโกรธมันมาก แต่กลับพูดได้ไม่เต็มปากว่าผมเกลียดมัน
เพราะยังรัก...รักแค่คนเดียว
“พากษ์”
“...”
“กูรักมึงนะ ตอนนี้กูก็ยังรักมึง แต่กูไม่รู้จะแสดงออกยังไง” ทันในตอนนี้กับเมื่อก่อนต่างกันอยู่อย่าง ตรงที่วันนี้มันกล้าพูดว่ารู้สึกอะไรและพยายามแสดงทุกอย่างออกมา แต่ทันในวันนั้นไม่ใช่เลย...
“กูอยากรั้งมึงไว้ แต่กลัวว่ามันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“แล้วมึงจะกลับมาตอนนี้เหรอ เวลาตั้งสองปีมัวไปทำอะไรอยู่วะ”
“กูอยากกลับมา”
“...”
“แต่กลัวกลับมาแล้วจะทำให้มึงเสียใจอีก”
“แล้วตอนนี้เปลี่ยนอะไรเพื่อกูได้บ้างล่ะ” ผมถามกลับไป สองปีมีหลายอย่างยังเหมือนเดิม ห้องเหมือนเดิม ข้าวของเหมือนเดิม และมีอะไรบ้างล่ะที่เปลี่ยนไป
“กูเลิกสูบบุหรี่เพื่อมึง”
“กูก็เลิกให้มึงได้เหมือนกัน แม้หมากฝรั่งจะรสชาติแย่แค่ไหนก็ตาม”
“กูเลิกเล่นเกมออนไลน์”
“กูก็เลิกแล้ว”
“แต่กูจะเลิกถ่ายรูป”
“ไม่ต้องเลิก กูไม่เคยห้ามสิ่งที่มึงรักนะ กูแค่ห่วงตอนที่มึงต้องออกไปถ่ายรูปที่ไหนไกลๆ ตอนดึกๆ ต่างหาก”
“กูจะอยู่กับเพื่อนให้น้อยลง”
“กูยอมรับที่มึงอยู่กับเพื่อนได้ กูแทบไม่ถามด้วยซ้ำว่ามึงออกไปไหน จะกลับกี่โมง กูไม่เคยจี้ถาม ขอแค่ให้มึงรู้ว่ากูเป็นห่วง แต่ตอนนั้นมึงไม่เคยรับรู้อะไรเลยไง”
“ขอโทษ”
“อืม”
ผมพูดแค่นั้นก่อนจะหยิบแล็บท็อปแล้วเดินออกห้องไป บอกกับเพื่อนในกลุ่มว่าขอแยกกลับไปทำงานที่ห้องเพื่อทบทวนตัวเอง
ผมไม่รู้ว่าที่ผมยังคิดถึงมันอยู่เป็นเพราะอะไร ความรัก หรือความผูกพันกันแน่
เราไม่ได้มีใครใหม่ เราไม่เคยนอกใจ เราอยู่ด้วยกันแต่เหมือนไม่ใส่ใจกัน บางครั้งอึดอัด บางครั้งถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว บางครั้งเราต่างทำทุกอย่างลงไปโดยไม่มีเหตุผล และบางครั้งเราก็ลืมนึกไปว่า...เราเด็กเกินไป
สองปีที่ผมเติบโต ช่วงเวลาที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวมันทำให้รู้ว่า ผมเองก็เห็นแก่ตัวที่อยากให้อีกฝ่ายใส่ใจ ทั้งที่ความจริงแล้วแค่ได้อยู่ดูแลเขาใกล้ๆ มันก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ ผมมีความสุขที่ได้ห่วง ได้แคร์ ผมอยากกลับไปทำแบบนั้นตลอดสองปีแต่ก็ทำไม่ได้
แล้ววันนี้...
ตึ่ง!!
อินบ็อกซ์จากเฟซบุ๊กของผมเด้งขึ้นมา ด้านบนเป็นชื่อของคนคนเดิมที่ติดอยู่ในหัวตั้งแต่กลับถึงห้อง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าความสัมพันธ์ของเราจะเป็นไปในทิศทางไหน แต่ก็ไม่อยากขี้ขลาดอีกแล้ว
Thun Napat
อยู่ป่ะ
Peerapope Praweekorn
นอนแล้ว นี่หมาพิมพ์
Thun Napat
เหงา
Peerapope Praweekorn
เรียกร้องความสนใจ?
Thun Napat
พรุ่งนี้จะไปเรียนมั้ย
Peerapope Praweekorn
ดูก่อน ขี้เกียจก็ไม่ไป
Thun Napat
ถ้าไม่ไปจะมีคนถามหา
Peerapope Praweekorn
ใคร
Thun Napat
กู
Peerapope Praweekorn
ไม่ตลก
Thun Napat
อยากนั่งข้างๆ มึงในห้อง
Peerapope Praweekorn
มีคนอยากนั่งข้างมึงเยอะจะตาย
Thun Napat
อยากดูหนังกับมึง
อยากกินข้าวกับมึง
อยากนอนกอดมึง
อยากจูบมึง
อยากจับมือกับมึง
อยากกินเหล้ากับมึง
อยากเช็ดอ้วกมึง
Peerapope Praweekorn
กูเบื่อขี้หน้ามึง
เบื่อคนติสต์จัด
เบื่อคนกวนตีน
เบื่อกับข้าวฝีมือมึง
เบื่อมือสากๆ ของมึง
เบื่อแม่งทุกอย่างเลย
Thun Napat
จะพยายามเปลี่ยน : (
Peerapope Praweekorn
กูเปลี่ยนมึงไม่ได้หรอก
แล้วกูก็รู้ดีว่ามึงเป็นอย่างนี้มันดีที่สุดแล้ว
Thun Napat
: )
Peerapope Praweekorn
ไม่ต้องเลิกติสต์ จะเป็นห่าอะไรก็ช่างแม่ง
กูก็รักมึงอยู่ดี
Thun Napat
กูเปลี่ยนไม่ได้
แต่จะพยายามเป็นคนที่ดีขึ้น
Peerapope Praweekorn
เออ
Thun Napat
พากษ์
Peerapope Praweekorn
ไร
Thun Napat
เราเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะ
Peerapope Praweekorn
https://www.youtube.com/watch?v=i3bIkmUyfsI
หากคืนและวันจะพาเรามาให้คุ้นเคย ไม่ต้องคิดเลย คำตอบนั้นเรารู้คำตอบ...
END
-
อ่านไปน้ำตาซึมไป มันหน่วงๆอยู่ในอกอะ
แต่ว่า การที่มีใครซักคน จำเรื่องเราได้ทุกอย่าง มันดีจริงๆนะ
-
ชอบเรื่องสั้นเซ็ตนี้จัง อธิบายไม่ถูกอ่ะ แต่อ่านแล้วปริ่มดี รอคณะต่อไปค่ะ :pig4:
-
จะเอาพาร์ททันนนนนนนนน :z3:
-
ห่างไกลจากคำว่าหวานมาก เมื่อเทียบกับเรื่องอื่น
ตอนนี้ทำน้ำตาคลอเหมือนเป็นเรื่องตัวเอง 555
ชอบมาก รออ่านคณะต่อไปนะจ้ะ จุ๊บุ
-
ขอบคุณมากๆ ค่ะ กับเรื่องสั้นตอนใหม่ คุณจิตติมาต่อแบบไม่ทันตั้งตัวเลย แต่ก็รีบเข้ามาอ่านโดยไว
เรื่องนี้อารมณ์หม่นเศร้า และอึดอัดมาก แปลกไปกว่าเรื่องอื่นในซีรีย์ ทั้งทันทั้งพากษ์อาจเห็นแต่ตัวเองมากเกินไปเมื่อยังเด็ก (สองปีก่อน) ทันก็สนใจแต่เรื่องถ่ายรูป เรื่องเพื่อน ส่วนพากษ์ก็อยากให้ทันหันมาใส่ใจตัวเองมากเกินไป แต่เมื่อกลับมาหากันอีกรอบ ก็ได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว มันก็มีโมเม้นท์ที่แสดงออกว่าแคร์กันอยู่นะในตอนนั้น ความจริงถ้าพากษ์ไม่บล็อกทันทุกทาง อาจได้กลับมาหากันเร็วกว่านี้ แต่นับถือทันเลยค่ะ ที่ไม่คบใครไปก่อน
เรื่องนี้แม้ไม่ซึ้งเท่าเรื่องอื่น แต่เห็นดีกับคุณจิตที่บอกว่า เป็นตัวแทนของคนธรรมดา เห็นด้วยเลยค่ะ อ่านแล้วได้อารมณ์ของมนุษย์ปุถุชนคนเดินดินธรรมดามากๆ :mew1:
-
อ่านจบแล้วแบบ.....อึนเลยค่ะ o22
เรารู้สึกว่าเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลย
หน่วงๆแต่ก็ดีใจที่ทันกับพากษ์ไม่ปฏิเสธหัวใจตัวเอง
-
ชอบบบอ่ะ
มันก็ดีจริงๆนะ ที่แบบยังจำเรื่องเราได้อ่ะ :mew1:
อยากได้บ้างง55555 :laugh:
-
ตอนนี้ดราม่าแบบหน่วงๆอะ ชอบนะแต่ชอบแบบตลกๆมากกว่า ฮ่าๆๆ
-
อ่านแล้วมันก็มานึกถึงตัวเอง
แต่มันไม่ได้สวยงามแบบทันกับพากษ์ ที่ยังรักแล้วลืมกันไม่ได้ทั้งคู่ ที่ปรับตัวเข้าหากันใหม่ :mew6:
-
อ่านตอนนี้แรกๆหดหู่มากเจ็บใจแปลบๆ
เราเป็นคนนิสัยเหมือนพากษ์ ชอบคิดไปเอง ไม่ค่อยรู้ตัวว่ามีใครแคร์เราอยู่
พลอตเป้ะชีวิตเลย อยู่ๆก็เลิกกันเพราะประชดนี่ล่ะ อีกฝ่ายก็มาแนวเดียวกับทันอีกปวดตับ
ก็ยังรักอยู่แต่คงไม่กล้ากลับไปและไม่กล้าพอเหมือนพากษ์ที่จะเปิดเผยความในใจก่อน
เจ็บแล้วไม่กล้ากลับไปเจ็บอีก :(
#อิน
-
หม่นมาก อินมากด้วย เพราะตรงกะชีวิตจริงที่เคยเป็น
ซึ่งสุดท้ายพอกลับมาคืนดีกัน ก็ได้เลิกกันอยู่ดี
ช่วงแรกเหมือนจะดี เพราะคนนึงรู้สึกผิด อยากทำให้ดี อีกคนก้โหยหาความรู้สึกเก่าๆ
แต่พอเวลาผ่านไป มันก้ฝืนกันได้ไม่นาน
ความห่วงใย ถูกตีความหมายว่าก้าวก่าย
สุดท้ายก้เจ็บเหมือนเดิม
แต่เรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่เหมือนเป็นคำถามปลายเปิด
ให้คิดเอาเอง ว่าจะกลับไปแล้ว รอด หรือ ไม่รอด
-
ตอนี้พังมาก เราอ่ะพังมาก หยุดร้องไห้ไม่ได้แล้ว
ตอนนี้ไม่บวกเป็ดให้หรอกนะ โทษที่ทันทำให้พากษ์เสียใจ
คือ ตอนนี้เป็นตอนที่เศร้าที่สุดของเรา เพราะทุกๆคำที่ทันพูด
ทุกคำที่พากษ์คิด ครั้งหนึ่งเราก็เคยเปนแบบนั้น และยังเป็นอยู่
ตั้งแต่ต้น จนเลิกกัน ทันเหมือนแฟนเรามาก มกจนเรานี่เข้าใจพากษ์มากๆอ่ะ
ว่า การรอคอย แล้วผิดหวังมันเป็นยังไงเลย
“ขนาดตอนบอกเลิกมึงยังไม่สนใจเลย แล้ววันนี้มันจะสำคัญอะไรที่ต้องใส่ใจกู” คือ ประโยคนี้พีคสุด
เราไม่ได้มีใครใหม่ เราไม่เคยนอกใจ เราอยู่ด้วยกันแต่เหมือนไม่ใส่ใจกัน บางครั้งอึดอัด บางครั้งถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว บางครั้งเราต่างทำทุกอย่างลงไปโดยไม่มีเหตุผล และบางครั้งเราลืมนึกไปว่า...เราเด็กเกินไป
เพราะเด็กเกินไปทำให้เราต้องเลิกกันใช่ไหม สุดท้ายพอเวลาผ่านไป เราก็เหมือนพากษ์ คือในเมื่อเราเป็นทุกๆอย่างๆของกัน
จริงๆแค่มีกันดูแลกันมันก็ดีแล้ว แต่ว่าเราก็แค่ต้องการให้เธอเห็นค่าเราบ้าง มองเห็นแสดงออกว่าแคร์เรา เช่นเดียวกับที่เราทำ
ไม่ใช่มาทำ ในวันที่เราหายไปอ่ะนะ
สุดท้ายตอนนี้ก็ยังกลับมาคุยกันอีกครั้ง พร้อมกับความรู้สึกเก่าๆ เข้ามา แน่นอนเราก็เป็นแฟนสครับ แต่นะ
ความทรงจำดีๆที่ฉันมีอยู่ ล้วนมีเธอโอบกอดไว้
แต่ความเป็นจริงที่ฉันไม่พร้อมจะไป เริ่มสิ่งใหม่กับเธอ
เราอินมาก ร้องไห้แป้ปปปป
-
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกแบบจะยิ้มก็ไม่สุด จะว่ามันหน่วงมันก็ไม่ใช่ทั้งหมด มันเป็นอารมณ์แบบยิ้มๆ หม่นๆ ปนกันไปตลอดทั้งเรื่องเลย แต่มันดีกับใจมากจริงๆ
ทันนี่คือมนุษย์ผู้ชายที่เป็นผู้ชายจริงๆ มาก คนอื่นอาจจะมองว่าไม่รัก ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจแต่ความจริงคือจดจำทุกอย่าง เป็นอารมณ์ของคนที่รักมากแสดงออกไม่เก่ง
แต่พอวันนึงที่พากษ์หายไปมันทำให้คิดได้ว่าตลอดเวลาทำไมตัวเองถึงไม่แสดงออกมากกว่านี้ หลังจากนี้เริ่มต้นกันใหม่เนาะทันพากษ์ รักยังเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือเราจะทำให้มันดีขึ้นกว่าเดิมด้วยหัวใจของเรา ><
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้อยากร้องไห้ตลอดเวลา กำลังจะยิ้มแต่อีกนิดนึงน้ำตาคลออีกแล้ว แต่ชอบตอนที่ไปดูคอนเสิร์ตด้วยกัน มันเป็นช่วงเวลาที่น่ารักมากจริงๆ สรุปก็ชอบมากอีกเหมือนเหมือนกับทุกเรื่องเลย :)
-
ตอนรู้ว่าทันคือแฟนเก่า นี่นั่งช็อคเลยอะ ปมขยี้ใจอีกแล้วววว น้ำตามาตั้งแต่แรกๆเลยค่ะ :o12: โหยยยยย ผ่านมาสองปีอะไรๆก็ยังเหมือนเดิมนี่มันดีเนอะ การเลิกกันมันทำให้ทันรู้ใจตัวเองมากขึ้น ก็ดีอะ จะมีสักกี่คนที่จะจำไม่ลืมแบบนี้ พากย์ก็น่าสงสารรรรมากกกกก ไม่ไหวแล้ว คือบีบใจนุ้งเหลือเกิน ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
-
คนเรียนนิติออกจะซื่อสัตย์นะคุณ :m19:
รอคณะต่อไปครับ
-
ตอนนี้อินมาก ชอบวงสครับอยู่แล้ว
ฟังไป อ่านไป อินมากกกกกกกก :katai4: :katai4:
-
ทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อเราหันหน้าคุยกัน
เริ่มเข้าใจกัน
บางที่การเลิกกัน
ก็เพื่อทบทวนตัวเอง
แต่เศร้าจัง
แต่ก็ดีใจที่กลับมารัก
ซึ่งรักครั้งนี้เป็นรักที่เข้าใจกันมากขึ้น
-
อ่านแล้วมันรู้สึกปริ่มๆ ในใจไงไม่รู้
อ่านๆ ไปก็รู้สึกอบอุ่น ละมุนในใจ
:mew3:
-
:hao5: :hao5: :hao5:
ทำไมรู้สึกเศร้าจังเวลาอ่าน ทั้งที่มันจบแฮปปี้นะ
:sad4: :sad4: :sad4:
-
ต้นเหตุของความเสียใจ ก็คือความจริงที่สองเราไม่พูดกานนนนนน เหมือนตอนนั้นทั้งสองคนจะกลัวอะไรสักอย่างนะ มันเลยเป็นแบบนี้ เวลาสองปีคงทำให้แต่คนโตขึ้น เรื่องราวในอดีตไม่ได้มีไว้ตอกย้ำให้เรารู้สึกเจ็บ เสียใจ หรือไม่พอใจ แต่เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วจะสอนให้เรารู้จักปรับตัว ไม่ทำให้เรื่องที่เคยผิดพลาดมันเกิดขึ้นอีก #รักพี่อาร์คเสมอนะ #เกี่ยวมั้ย #ไม่เกี่ยว 555
-
ชอบเรื่องนี้มากที่สุดรองจากพยายามศาสตร์. ดี ฟินแบบอุ่นๆ ปลื้ม. :)
-
แอบลุ้น นึกว่าจะไม่รีเทิร์นกลับมาซะแล้ว
สูตรมอมเหล้าแล้วจับปล้ำของมึง << โครตอยากเห็นฉากนี้เลยค่าาาาาาาาา :laugh:
-
จิตติทำเราร้องไห้ :m15:
-
ทันนี่น่าจะไปเรียนถาปัดหรือสินกำเนาะโคตรติสต์ชิบ เข้าใจอารมณ์เลยอะตอนเลิกกับแฟนเรายังปิดเฟซไปพักนึงเลยแบบไม่อยากรับรู้เห็นว่าเค้ายังระรื่นมีความสุขดีทั้งๆที่เราก็นอนร้องไห้อะ ทุกวันนี้ถึงจะยังคุยกันบ้างแต่เราก็อันฟอลเค้าอยู่นะ แบบยังไงก็ไม่อยากเห็นอยู่ดี แต่คู่นี้ยังดีที่ยังกลับมาคบกันถึงแม้ทันจะรู้ตัวช้าแต่ตอนนี้ก็รู้แล้วและก็พร้อมจะปรับตัว
-
การผ่านความรักที่ผิดหวังมามันทำให้เราโตขึ้นจริงๆหน่ะแหละ
กลับมาคบกันใหม่แล้วก็รักษากันไว้ให้ดีนะทั้งสองคนน :')
-
เห็นเซ็ตเรื่องสั้นเรื่องใหม่ รีบปรี่เข้ามาอ่าน กะว่าน่าจะแนวป๊อบใสๆวัยสะรุ่น แต่อ่านแล้วมันเรียลมากอ่ะ ในชีวิตจริงก็มีคนยังงี้นะ คนที่มันเปลี่ยนตัวเองยาก ทื่อๆ ไม่ยอมอ่อน แต่ก็ไม่เคยลืมแฟนเก่า อร๊าย อ่านแล้วอยากให้มีตอนต่ออ่ะ รู้สึกเหมือนยังไม่สุด อยากอ่านมุมทันบ้าง ว่าระหว่างที่พากษ์บล็อคการสื่อสาร ทันได้ติดตามและรู้สึกยังไงบ้าง
-
หน่วงหนักมาก หน่วงจนแทบจะลุกมาคว่ำคอมทิ้ง
ทันเกือบแล้วนะ
เกือบจะเป็น รักแท้ดูแลไม่ได้ แล้วนะ
เริ่มกันใหม่ก็ดูแลความรู้สึกของพากษ์ดีๆนะ
โอกาสมันมีครั้งที่สองนะ รักษาไว้ให้ดีๆ
ไม่มีใครรู้ความรู้สึกนึกคิดของเราหรอก ถ้าเราไม่พูดไม่บอกให้ใครเขารู้ #อินจัดอินจริง
-
อ่านเมนต์หลายๆๆคน ก็บอกว่าอิน บอกว่าน้ำตาซึม
เรานี่
เอิ่ม
ทำไมกุไม่รู้สึกอะไรเลยฟร้าาาาาาาาาาา
(มันผิดที่เราเอง ที่ยังไม่เคยมีแฟน :hao5: )
รอคณะต่อไปนะคะ
-
อ่านแล้วอยากตบหัวทั้งคู่เลย แ_่งะอะไรนักหนากับความรักว่ะ
-
โคตรชอบแนวแฟนเก่าเลย นี่อินมาก ร้องไห้เลยทีเดียว
อยากอ่านนิยายที่มี bgm เป็นเพลงขอมาก ในที่สุดก็มีวันนี้
:m15:
-
:hao5: :hao5:
-
เคยเลิกกับแฟนเก่าไปแล้วกลับมาคบกัน 2-3 ได้
เพราะตอนนั้นยังเด็กเกินไป
ความเป็นห่วงของเขาเลยทำให้รู้สึกรำคาญ
คบๆ เลิกๆ อยู่แบบนั้นแต่สุดท้ายก็ไปกันไม่รอด
แต่หวังว่าทันกับพากษ์จะคบกันต่อไปนะ
ถือซะว่าที่ผ่านมาคือบทเรียน o13
-
อ่านไปก็หน่วงไป นี่น้ำตาซึมเลยนะ เเต่อย่างน้อยเค้าสองคนก็กลับมาเริ่มต้นใหม่ อะไรที่ทำพลาดไปในอดีตจะเป็นบทเรียนเอง ขอให้ทั้งสองมีความสุขหลังจากนี้
ปล. อยากอ่านตอนหวานๆของเค้าสองคนจังค่ะ
-
:hao5: :hao5:
-
อินมากๆเลยค่ะ ยิ่งเพลงสครับนี่ยิ่งอินมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เพลงแต่ละเพลงสมัยเรามหาลัยฯเลย ฮืออออออออออออออออออออออออออออออออ :sad4:
นึกถึงตัวเองงงง :mew6:
-
มันปริ่มๆ นะ น้ำตามาซึมๆ
สุดท้ายก้อยังรักกัน
-
น้ำตาจะไหลตลอดเลยเวลาพูดถึงเรื่องเก่าๆ กัน
จบเหมือนยังไม่เคลียร์ มีต่อมั้ยคะ พาร์ททันก็ได้
พวกเธอรู้คำตอบกันแต่เราไม่รู้อะงื้อ อยากเผือก :call:
-
ถึงจะแปลกไปจากเรื่องอื่น แต่ชอบนะ เสพติดความเจ็บปวดเหมือนพากษ์มั้ง อ่านแล้วอินเลย
-
ว่าแล้วววเพลงขอลอยมาเลย :mew1:
-
#พยายามศาสตร์
สนุกดีค่ะ แต่แอบเศร้า อ่านจบละตอนนี้ก็ยังเศร้าไม่หาย อินสุดๆ
-
เรื่องนี้แหวกเรื่องอื่นไปเลยอ่า...แต่ก็ชอบอยู่ดี มันเหมือนๆหน่วงๆนะแต่ก็ยังแอบยิ้มตาม
-
หน่วงจัง มันปวดหัวใจหนึบๆ :hao5: การทำดีให้คนคนนึงมากๆ แล้วเขาไม่เห็นค่า มันก็ทำให้ท้อได้นะ จริงๆก็ดรแล้วนะที่สองปีก่อนสองคนนี้ห่างกัน มันทำให้ต่างคนต่างกลับไปทบทวนตัวเอง ทบทวนความสำคัญของอีกฝ่าย และทำให้รู้อีกว่ายังรักกันมากแค่ไหน :n1:
ตอนนี้ก็จบแฮปปี้ละ แต่เราอยากฟังทันบ้างอ่ะ คิดอะไรอยู่ในตอนนั้น :mew2:
รอติดตามเรื่องต่อไปอยู่นะคะ คิดถึงพี่จิตติดาวมอ :m1:
-
ตอนแรกอ่านแล้วหดหู่(??) มันหน่วงๆไม่ถึงกับเศร้ามากแต่มันหน่วงๆ ปวดหัวใจ แต่บางทีก็แอบอบยิ้ม
เป็นเรื่องที่ต่างกับเรื่องอื่นจริงๆค่ะ แฟนเก่ากลับมารักกันใหม่ ดูๆแล้วทั้งคู่ก็ยังรักกัน แต่มีหลายๆเหตุผล
เลยต้องเลิกเกิน พอตอนนี้ย้อนมองกลับไป จริงๆแล้วทันก็มีโมเม้นต์ที่ใส่ใจพากษ์เหมือนกัน
รอเรื่องต่อไปนะคะ
-
อ่านแล้วอิน 55555 แต่เรื่องจริงมันเป็นไปได้ยากมากเลย งือ 555555
-
มันจี๊ดใจค่ะสำหรับเรื่องนี้. เหมือนโดนขุดความทรงจำรักครั้งเก่าขึ้นมา :ling3:
สำหรับเรากลับไปเริ่มใหม่ แต่พังไม่เหลือชิ้นดีกับครั้งที่ 2
ยังรัก แต่อึดอัด หวาดระแวง และกลัวเจ็บ สุดท้ายเจ็บจุกกว่าเดิม
-
มันจุกค่ะ แต่อ่านจบแล้วก็ดี อธิบายไม่ถูกจีๆ ดีใจที่กลับมาคบกันนะ รอเรื่องต่อไปนะคะ
-
อ่านไปซับน้ำตาไป หน่วงมากเลย จบแบบแฮปปี้แต่เรารู้สึกเหมือนนิยายรักไม่สมหวัง สงสารพากษ์ยังไงไม่รู้ ถึงแม้ทันจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ความรู้สึกเดิมของพากษ์ที่ถูกทอดทิ้งมันก็เศร้ามากเลย
-
ไม่ได้ตรงกะชีวิตอะไรหรอกนะ แต่บางประโยคโคตรจี๊ดเลย :m15:
-
ผู้ชายนิติเซทนี้น่ารักทุกคนเลยยย
-
เรื่องนี้เรียกน้ำตาจากผู้ชมอย่างเค้าได้ล้นหลาม
มันเป็นความรู้สึกที่ดีนะ ที่กลับมาพบว่าเค้ายังเหมือนเดิม
ดีใจกับพากษ์นะที่ทันกลับมา
เลือกวิชาเลือกผิด แต่ท่าทางจะเลือกแฟนไม่ผิดนะ
ชอบอ่ะ หม่นแต่ดี เข้าถึงอารมณ์มากกก
น้ำตาซึมตลอดเรื่อง จนมายิ้มตอนสุดท้าย
คือดีงามมมม
-
อยากอ่านอีกกกกกกก :serius2:
-
อ่านแล้วก็นึกถึงตัวเอง
แต่ต่างกันที่เรากับเค้าคงไม่มีวันกลับมาคุย มาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว 5555555
:mew6:
-
บรรยากาศเรื่องนี้มันมึึนๆทึมๆมากอ่ะ
จะดีใจก็ดีใจไม่สุด จะเศร้าก็เศร้าไม่สุด
แต่ก็ดีใจที่จบอย่างนี้นะคะ :hao3:
-
o13
-
ดีแล้วที่ทันยอมเผยความรู้สึกออกมา
เรื่องราวถึงได้เริ่มต้นใหม่
-
ไม่รู้ทำไมเรากลับชอบตอนนี้ที่สุดเลย มันดูเรียลมากๆ ทำเราอินสุดๆ
อย่างน้อย 2 ปีที่ผ่านมาก็ทำให้ทั้งคู่ได้มองตัวเองและโตขึ้นเนอะ
-
นี่เรียกหม่นๆ เหรอ :mew4: :mew4: ทำคนอ่านเสียน้ำตาเลย
-
โอยยยยย 2ปีที่เลิกกันคงอยู่แบบเศร้ามากอ่ะ
คงเสียดายที่ตอนนั้นไม่หันหน้าคุยกัน แต่มันก็ทำให้รู้แหละนะวีาอะไรสำคัญกับเรา
-
ทั้งที่รู้คำตอบ แต่ก็ยังหม่นๆอยู่
อาจเพราะคิดไปถึงสองปีที่ไม่มีกันและกัน
ทั้งๆที่ต่างก็ไม่ได้มีใคร คนนึงก็ปิดการรับรู้ทุกอย่าง
อีกคนก็รับรู้ทุกอย่าง แต่ไม่กล้าเข้าหา
เพราะกลัวว่าจะทำให้อีกคนเสียใจอีก
คำว่าตอนนั้นยังเด็ก สื่อได้ดีกับคู่นี้
ไม่ใช่ไม่รักกัน แค่แสดงออกไม่พอดีกันเท่านั้นเอง
ขอบคุณกับอีกเรื่องสั้นน่าอ่าน
รอคณะต่อไปนะคะ
-
:sad4: :sad4: อ่านแล้วคิดถึงแฟนเก่า
-
อินมากกก
น้ำตาไหลพรากกแก :hao5:
-
ตอนนั้นทันติสท์มากจริง รู้ตัวช้าสินะ กว่าจะรู้เขาก็หายไปแล้ว
ชอบที่ทันยังเก็บทุกอย่างเอาไว้เหมือนเดิม ชอบแชทอันสุดท้าย
ที่ทันบอกว่าอยากๆๆ อะไรบ้าง น่ารักดี พากษ์นี่แสนดีมากอ่ะ ชอบ
ขอบคุณค่ะ
-
เข้าใจทั้งทันทั้งพากษ์เลย
คือทันนี่เป็นบุคคลที่มีอยู่บนโลกเยอะมากกก
บางคนก็เป็นหนักกว่าทันอีก
ถือว่าตอนนี้ทำออกมาได้หวานปนขมกำลังดีเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้สำหรับตอนต่อไปน้า
(แอบอยากเห็นติสท์เจอติสท์อะ คงจะป่วงน่าดูชม 555)
-
ตอนนี้อ่านแล้วน้ำตาไหลพรากเลย ทำไม่มันคล้ายกับเรื่องของฉานนนนนนนน
แต่ชอบที่จบแบบแฮปปี้มากเลยค่ะ ทั้งคู่รักกัน แต่แค่แสดงออกต่างกันเท่านั้นเนอะ
รออ่านเรื่องต่อไปนะคะ
-
อ่านแล้วทั้งหน่วงทั้งหวานเลยอ่ะ :hao5:
-
หน่วงมากกกกกก
น้ำตาไหลเลยอ่ะ
ชอบเรื่องสั้นเซตนี้มากๆ
รอตอนต่อไปนะคะ:)
-
หน่วงเกิ๊นนนนนนน หลายช็อตหลายฉากมาก กว่าจะมาคืนดีกัน
เอ้ย ต้องเรียกว่ากลับมาคบกันอีกรอบสินะ
จริงๆ ผช ก็มีมุมที่เข้าใจยากกกกกกก
เรื่องนี้ทำให้เห็นอีกมุมของความรักและการใช้ชีวิตคู่
การอยู่ด้วยกัน แค่รักแล้วเก็บไว้ มันไม่พอ
ต้องมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ดูแลกัน
มีปัญหาก็คุยกัน
อันนี้ไม่คุย เลิกกันแล้วก็มีแต่ความกลัว
เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์
สองปีก็นานไปนะ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องหน่วงๆให้อ่านค้าบ
เปลี่ยนอารมณ์ไม่ทันเลย
5555555
-
จุกอะ สองปีเหมือนกันที่เลิกกัน แฟนเก่าเราเหมือนทันตรงที่ไม่สนใจ ไม่แคร์แต่มันแอบเจ้าชู้เงียบ และเราก็เลิกกันไม่ดี จุกและน้ำตาไหลมาก ตอนนี้ก็ยังรักอยู่ แต่ก็ไม่คิดกลับไปเจ็บแบบเดิมอีกแล้ว.......
-
เป็นเรื่องสั้นที่รู้สึกฟินก็ฟินไม่สุด จะเศร้าก็ไม่เศร้า มันหน่วง ๆ นะ
แต่เราก็ค่อนข้างเข้าใจทั้งคู่แหละ ตอนนั้นมันยังเด็กอยู่เลยอาจจะมองอะไรในมุมแคบ ๆ
พอตอนนี้มันโตขึ้นก็คงคิดได้เยอะขึ้นและคงคบกันแบบเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น
แต่แอบอยากอ่านพาร์ทหลังจากนี้แฮะ อยากเห็นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ หรือไม่ก็พาร์ทของทัน
ขอบคุณค่ะ
-
:hao5: :hao5:
-
2 ปีเหมือนอาจจะนานนะคะ แต่ในชีวิตจริงเราว่ามันแปปเดียวมากเลยอ่ะ 5555555555
คือเราเอง .. นับไปนับมาก็เลิกกันมาได้ 5 ปีแล้ว แต่ก็ยังมีใครใหม่ไม่ได้ซะที ทั้งๆที่ก็มีคนเข้ามาตลอดนะ
แต่คือมันไม่ใช่อ่ะ .. เหมือนว่าเราเคยมีสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว ดีที่สุด ลงตัวที่สุด สำหรับเรา แบบที่ใครก็มาแทนไม่ได้
เพียงแต่ชีวิตจริงมันไม่ได้จบแฮปปี้แบบในนิยายเสมอไปเนอะ
อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงเพลงที่ชอบฟังเลยค่ะ คุณจิตติลองไปฟังดูนะคะ เนื้อหากระแทกสุดๆ ตรงกับเรื่องนี้ด้วย
https://www.youtube.com/watch?v=wdGZBRAwW74
Thinking of you - Katy Perry ค่ะ ^^
-
เป็นตอนที่ ชอบที่สุด ของซีรีส์ชุดนี้ ....ไม่ใช่เพราะมีประสบการณ์ตรง แต่มันดูเป็นชีวิตจริงของคนธรรดาทั่วไป เรียบ ง่าย เข้าถึงและจับต้องได้
-
แก้ไข
-
แก้ไข
-
เรื่องนี้มาแรงตั้งแต่เริ่มเลย ทั้งปาก ทั้งโดนสอย 55 5
เฮียกุมภ์นี่รอให้ย้ายมานี่เอง
ติดตามตอนต่อไปค่ะ
-
:katai2-1:
ชอบจริง ผู้ชายปากจัดที่หาวิธีให้คณิตมาอยู่ด้วยแบบไม่เหมือนใคร
-
:hao7:
รอพาร์ท 2 มาต่อเลยค่ะ
รอตอนต่อไป
:L2:
-
ฮา ชอบๆ รอ part 2 :hao6:
-
ชอบอ่ะ พระเอกปากจัดดี
นายเอกก็ร้ายพอกัน
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
-
ปากจัดแค่ไหนก็รับด้ายยยยย. 5555
-
ย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้ววว
พี่กุมภ์ปากจัดปากร้ายจริงๆ
รอพาร์ท2ค่าาาา :mew1: :mew1:
-
ชอบอ่ะ น่ารักกกกก
-
สมกับที่เรียนหมอปากนี่ทั้งจัดทั้งคมยิ่งกว่ากรรไกรโรงบาลอีก
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
นึกว่าจะไม่สนใจที่ไหนได้
ย้ายมาอยู่ด้วยซะเลย
นายเจ่งมาก
-
พระเอกปากจัดมากกก อ่านว่ามีตอนใหม่อัพก็เข้ามาเลย ลืมดูว่าเป็นพาทหนึ่ง แนะนำแถมท้ายว่าจบเรียบร้อย ไม่เป็นไรจะได้มีคนเมาท์เรื้องนี้เป็นเพื่อนเรา5555
-
รอตอนต่อไปค่ะ
พี่กุมภ์ปากจัดมากจริงๆ จัดจนขยาด 555
พี่กุมภ์นี่วางแผนนานมั้ยคะ ที่จะทำให้น้องมันมาอยู่ด้วยเนี่ย
ใช้ซะน้องทนไม่ไหว จนต้องหอบผ้าหนี เอ้ยขนของมาห้องพี่กุมภ์แทบไม่ทัน 555
-
ชอบคู่นี้อ่ะตลกดี คนนึงก็เกรียนคนนึงก็ปากจัด ไม่รู้สรรหาคำด่าแปลกๆมาจากไหน 555
-
ชอบบบบบบบบ รอพาร์ท2 อยากให้เป็นพาร์ทกุมภ์จัง
แต่ถ้าจะให้ดีก็มี3,4,5 ไปเรื่อยๆก็ได้ :mc4:
-
ชอบอ่ะะะะ
หมอหมาโหดว่ะ
สงสารคณิต
รอตอนต่อไปค่า
-
คณิตย้ายไปก็เข้าแผนพี่กุมภ์เลยอ่ะดิ แหมมมๆๆๆ :hao6: :hao6:
-
รอตอนต่อไปนะคะ :pig4:
-
งงกับคณิต
ยอมหมอหมาง่ายจัง
-
ข่มขืน!!!??
-
ชอบบบบบบบ รอพาร์ท2นะคะ :really2:
-
ชอบค่ะ ฮาดี นึกว่าจะจบแค่นี้ซะแล้วแต่มีpart2ต่อก็ดีใจค่ะ :katai1:
-
อยากให้เค้ามาอยู่ด้วยก็ไม่บอกดีดี อรั๊ยๆๆๆ เอาอีกๆ มาไวไวนะคะ :katai2-1:
-
รอพาร์ท 2 นะคะ o13
-
แหมะ ปากไม่ทั้งคู่ อีกคนกวนตีน อีกคนก็ปากหมาจริงๆ
หมอหมาชอบหมอคนก็บอกไป ใช้เขานู้นนี่ พอเขาย้ายมาก็ดีใจ
ส่วนหมอคนก็แสนซื่อ คงคิดไม่ถึงนี่คือการจีบแบบใหม่ 555
รอพาร์ททูจ้า
-
เอิ่ม เรื่องนี้ออกแนวแปลกๆ
แต่ก็ฮาดีแฮะ
รอพาร์ท 2 ค่ะ
-
รอตอนต่อไปนะคะ
และก็สงสัยมานานละนายเอกนิสัยคล้ายกันเกือบทุกเรื่องเลย555
ขอรีเควสนายเอก ซึน ขี้อายไรงี้ได้มั้ยคะ :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
-
กุมภ์ปากจัดมากกกกกชอบๆ หนูคณิตสู้นะ หนูต้องเข้มแข็งนะ 55555555
-
ตอนสุดท้ายนี่ยังไง...หมอหมาอ่อยอ่าาา~
รอตอนต่อไป :katai4: :katai4: :katai4:
-
โอ๊ยย ชอบบบ 5555555
คือตอนจั๊มบ๊ะกันเรานั่งขำอย่างเดียวเลยย
ปกตินี่จะแบบจิกหมอนจิกเก้าอี้
55555555 คือดีย์
ติดตามจ้า
:กอด1:
-
เรื่องนี้น่ารักกกกกกกกกกกก งือออออ
คุณหมอหมาปากร้ายที่สุด แต่ชอบนะคิคิ
-
ชอบพระเอกแบบนี้ค่ะ สมน้ำสมเนื้อกันดี
-
จะต่อเป็นภาค 2 3 4 5 .....ก็ได้ค่าาาาาาาาาาาาาาาาาา :impress2: :impress2:
-
พี่กุมภ์นางมีแผนอ่ะ นางวางแผนทุกอย่างมาหมดแล้ว ร้ายกาจมากค่ะคุณผู้ชม น้องคณิตตามไม่ทันหรอก ><
ใจจริงคืออยากให้เค้ามาอยู่ด้วยล่ะสิพี่กุมภ์ หลอกล่อเขาขนาดนี้ ชอบน้องคณิตศาสตร์เค้าล่ะซี๊
แต่น้องโดนพี่กุมภ์ปรามเกรียน เริ่มน่ารักแล้วนะเนี่ย
ชอบแบบนี้อ่ะรักกันด้วยลำแข้งชัดๆ เจอกันครั้งแรกว่าหนักหน่วงเจอกันครั้งที่สองเจอซุยเลยจ้า 5555
สมคำร่ำลือเลยจริงๆ ซุยทุกอย่างที่ขวางหน้า
รอพาร์ท 2 อย่างใจจดใจจ่อนะคะ อยากรู้ว่าพี่กุมภ์จะทำให้น้องคณิตเปลี่ยนไปขนาดไหน แค่คิดก็ต้องยิ้มแล้วอ่า
-
ทำไมคณิตไม่โดนหมอกุมภ์ฟันแล้วทิ้ง :hao4:
-
ขำมากกก
ชอบมาด้วย
หมอหมาปากจัด และจัดหนัก 555
*ย้ายมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ ท่าทางจะเดินถ่างทุกวันน่าาา
-
ปากจัดเกินนนนน 555
-
พระเอกปากจัดไม่เท่าไหร่แต่อะไรคือการแกล้งนายเอกของเราเยี่ยงนี้ เดาว่าหมอหมาคงชอบหมอคนมานานแล้วสินะพอสบโอกาสก็ลากไปซั่มเลยทีเดียว รุกเร็วจริงๆแต่ยังรู้สึกขัดใจความเอาแต่ใจของพระเอกนิดหน่อยอยากให้โดนเอาคืนบ้างคงดี รอตอนต่อไปค่ะ
-
คุณลุงอ.หมอก็เป็นใจด้วยใช่มั้ย งง ปรับทัศนคติกันข้ามคณะเลยเหรอ แต่หมอหมาก็อาร์ดคอร์เกิ๊นน
-
เป็นหมอหมาที่ปากคอเราะร้ายมากค่ะ 55+
รอพาร์ท2นะคะ :mc4:
-
คณิตเหมือนมาเพื่อประกวดดาวตลกอะ 5555555
-
ปากจัดแต่ใจอ่อนชิมิ
กวนจนคณิตต้องมาอยู่ด้วย
-
เกร้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ปากหมา เจอปากจัด
มวยคู่นี้มันส์เกินไปแล้วววว 55555555
โอยยยยย หัวเราะท้องแข็ง
ชอบๆๆๆ พี่หมอหมาคะ ฟาดปากด้วยปากเยอะๆนะ
น้องอยากเห็นคนเขินตัวแตกกกกกก (คณิตมันจะมีโมเน้นนั่นมั๊ยนะ) คึคึ
-
รอพาร์ทสอง เมื่อไหร่จะม๊าาาาา :ling1: :ling1: :ling1:
-
:call: :call: :call: :call: :call:
-
คุณจิตติบอกว่าพระเอกปากจัด เราขอเติมท้ายนะ จัดว่าปากหมามากกกก
ตอนต่อไปมาไวๆนะรออยู่
-
ง้อลลลลลลลล น่ารัก รอตอนต่อไปค่ะ คือดีงามมาก :heaven
-
:กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
พี่หมอ ดูแลน้องคณิตดีๆ น้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา o18 o18 o18
ถ้าน้องดื้อ ไม่ฟัง อนุญาตให้พี่หมอ :z1: ฉีดยา :z1: ได้เต็มที่ :haun4: :haun4: :haun4:
-
ไอพี่กุมภ์ใช้น้องคณิตน้อยๆหน่อยดิสงสารนางอะ5555555555554
-
พระเอกเราอยู่กับหมามาก ปากเธอช่าง 55555555
ขี้แกล้งจริงๆ
รอพาร์ทสอง
-
ปากจัดอ่ะรับได้ แต่ปล้ำ(ถ้าให้แรงก็ข่มขืน)นายเอกแถมยังแกล้งสารพัดนี่ละที่จะรับไม่ได้
เอาแต่ใจเกินไปแล้ว อยากให้โดนกลับบ้างจัง
-
:pig4:
-
มารออออ :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
-
หมอแสบเจอหมอหมาแสบกว่า
-
รอร้อรออออ :mew3:
-
แอบมาดู :call:
-
สนุกมากๆเละค่าาา ติดตามมมม
:-[ :mew1: :call: :katai2-1:
-
หมอหมาปากจัดชอบๆ 55+
จัดการคณิตซะ
:hao7:
-
นิติสศาสตร์ ติสและหน่วงมากจริงๆ หน่วงกว่าเรื่องอื่นๆในเซ็ตนี้เลย
มันดีที่ทั้งคู่ยังไม่ลืมกัน มันดีที่ทั้งคู่จำเรื่องราวของกันและกันได้
มันดีที่ทั้งคู่ยังมีเยื่อใยให้กัน และมันดีที่ทั้งคู่ยังรักกัน ^^
เรื่องแพทยสัตว์นั้น กุมภ์นี่สมกับเรียนสัตวะเลย เหอๆ เลี้ยงหมาไว้เยอะจัง 5555
คณิตเองก็ปากพอกัน แต่ดูแพ้ทางพี่กุมภ์นะ ถึงขนาดต้องหอบผ้ามาอยู่ด้วยเลย
แล้วจะเป็นไงต่อมา รอตอนที่เหลือนะคะ
:pig4: :L2:
-
รอพาร์ท2ค่ะ :L2: :L2: :L2: :L2: :mew1: :mew1: :mew1:
-
หมอน่ารักอ่ะ นึกถึงปีกันเลยทีเดียว งือออออออออ ชอบอ่ะถัดจากพี่อาร์คก็ให้เฮียกุมภ์เลย
-
รรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร รออยู่นะ
:mew2: :mew2: :mew2:
-
นั่งเฝ้ากระทู้หงอยๆ ส่องทุกวันเลย คิดถึงแล้วววว รอต่อไปปป
-
หลังจากอ่านนิติสท์ศาสตร์จบอีกรอบ(ฮา) ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เราชอบที่สุด คงชอบแนวหม่นๆของจิตติอยู่แล้วด้วยมั้ง
.__. อยากอ่านตอนช่วงที่เค้าเลิกกันจัง คงปวดใจดี~~
-
น่ารักมากก คณิต
-
ขำตรงหื่นทั้งคนทั้งหมา55555555555
รอตอนต่อไปน๊าาาา
-
ปากจัดแค่ไหนก็ไม่เป็นไรค่ะ หนูชอบบบบบบบบบบบบบบ 55555555555
พี่กุมภ์ปี 5 งานเลอค่ามาก คนจริงต้องแบบเน้ แต่ซึนแรงเลยนะพี่แหมๆ นึกว่าจำเลยรัก 555555
คณิตนี่เป็นคนยังไง ตลกเว่อ 55555555555
-
แอบเข้ามาดู :haun4:
-
แหม เสนอตัวมาให้เฮียเขาเองเลยนะคณิต :impress2:
-
ชอบบบบ :o8: :o8:
-
โอ้ ไม่น่าอ่านเร็วเลย รอต่อน๊าาาาา :katai2-1:
-
ชั้นยังรอคอยอยู่เสมอออออออออ~
มาสักทีเถอะ ถถถถถ
:hao7: :hao7: :hao7: :ling1: :hao7: :hao7:
-
ง่ออออ อยากให้เขามาอยู่ด้วย บอกตั้งแต่แรกก็จบป่ะพี่หมอ :hao6:
-
แก้ไข
-
แก้ไข
-
แก้ไข
-
o13 มาแล้ววววววววววววววว
-
“เป็นแฟนหมาไม่รู้เมื่อไหร่ แต่เป็นแฟนมึงขอเวลาหน่อยได้มั้ย”
เพราะกูกับมึงไปไกลจากคำว่าแฟนไปนานแล้วว่ะ เหยดเข้!!
เคลียร์ 555555 รออ่านอีก 3 คณะที่เหลือ ชอบหมด จะรอน้า อิอิ
-
:hao3: ขอเป็นแฟนกันได้เกรียนมาก
-
ว้ายยยยยย แปะๆ
-------------------------
ฮือออ ในที่สุดการส่องของเราก็เป็นผล
แหมมมม อิพี่กุม ยังไงล่ะๆ
อยากอ่านอีกกกก เมื่อไหร่จิจัแต่งเรื่องยาวอ่า
ที่แต่งๆมาเรื่องสั้นเนี่ย มันผูกพันธ์กัทุกจัวละครเลยน้าาาา
อยากอยากเหนกันยาวๆเนี่ยย
รอเรื่องต่อไปนะคร้าา
-
ด้วยรักและลำแข้ง คู่นี้เหมาะกันจริงๆ นั่นแหละก็คิอไม่ออกนะว่าถ้าไม่ใช่พี่กุมภ์ใครจะปราบความเกรียนของคณิตได้ แต่ตอนที่คณิตร้องไห้คือสงสารมาก ดีใจอ่ะที่พี่กุมภ์กลับมา กุมภ์มาได้ทันเวลาพอดีอย่างกับรู้ใจ ><
น้องอาจจะกากจะเกรียนเพี้ยนไปบ้างแต่ตินอ่อนไหวคือสงสารคณิตมาก แต่แบบขนาดมันเศร้ามันยังตลกเลย 5555
ตอนจบนี่แบบแทบมึนแทนคณิตจะมึงหรือจะหมาจ๊ะหมอหมา แต่แบบเป็นการสารภาพรักที่ฮาร์ดคอร์พอสมควรมาถึงบอกๆ แล้วขอเป็นแฟนพี่กุมภ์คนจริง พี่ไม่ได้มาเล่นๆ พี่มาหวังเป็นแฟนประมาณนี้
ขำตอนชื่อหมีแต่เป็นหมา อิหมอหมาตลกหรอ ? 5555 ยังคงรอทุกเรื่องนะคะพี่จิตติ สู้ๆ นะคะเป็นกำลังใจให้น้า อยากให้มหา'ลัยมหารักรวมเล่มจังเลย สัญญาว่าจะซื้อออออ ><
-
กอดจิตติแรงๆ บางทีก็หมั่นไส้หมอหมามันจริงๆนะ แต่ตอนที่ชุลมถนที่โรงบาลนี่สงสารคณิตมากอะน่ำตาซึมเลย
ปอลิง อยากเห็นแก๊งค์คิตตี้แบบจริงจัง
-
คนกวนทีนกะคนปากหมา ขอเป็นแฟนได้สมตัวจริงๆ
-
หมอหมาที่ร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
กรี๊ดดดดด คิดถึงงงงงง(หมาในปาก) แค่ก โทษที แมวมันพิมพ์
หึหึหึ หมอหมาคะ ก็บอกไปเลยสิ
ว่าตัวเองอ่ะขาดน้องคณิตไม่ได้
เอาหมามาอ้างทำไม ซึนนะซึน คึคึคึ
ตอนที่น้องคณิตร้องไห้ถ้าหมอหมามาไม่ทันนะ เค้าจะยึดน้องคณิตไปปลอบเอง
-
จบแบบกวนๆ แต่น่าร๊ากกกกก :mew1:
-
ขอบคุณค่ะ รอตอนต่อไป
-
เป็นคู่ที่เกรียนๆหมาๆจริงๆ :laugh:
-
หมาน่ารักอ่ะ
-
เรื่องของคนหมาๆ 555 เอ๊ย!! หมอคนกับหมอหมา น่ารักจริงเชียว
-
ยังดีมีหมาให้อ้าง ไม่งั้นจะง้อยังไง
แฮปปี้ไปอีกหนึ่งคู่ ขอบคุณน้องจิตติดาวมอนะคะ
-
กอดจิตติ :กอด1: คิดถึงนะคะคิดถึงดาวมหาลัยดว
่ว่าด้วยเรื่องของสองหนุ่ม ดีใจที่สุดท้ายกุมภ์คิดได้ว่าไม่ควรปล่อยคณิตไป
รอคณะต่อไป
-
ช่างกวนเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ ขนาดขอเป็นแฟนก็ยังกวนได้อีก o18 o18
-
แงงงง คุณจิตติ เราประทับใจเรื่องนี้อีกแล้วเหมือนเรื่องที่ผ่านๆมาเลย T v T
เราว่ามหาลัยมันก็มีเสน่ของมัน เพราะเราก็กำลังเรียนมหาลัยมั้ง พออ่านแล้วมันจะอินๆนิดนึง 5555
เราอ่านตอนนี้แล้วกรี๊ดแรง ประโยคของหมอหมาแบบ ดีย์ว์ส์ย์บ์
“แปลกเนาะ มึงรู้ว่ากูชอบหมา แต่มึงไม่เคยรู้เลยว่ากูเองก็ชอบมึง”
ประโยคนี้คือตายอ้ะ ตายเลย บายจะร้องไห้ เขินบิดมาก จะบ้า T v T
แต่เซนส์การตั้งชื่อหมาแบบ... อะแล้วแต่พี่เลยค่ะ /ไหว้ย่อ
รอคณะต่อไปน๊า
-
ในที่สุดก็มาแล้ววววววววววววววววววว สนุกมากกก อยากมีแฟนเป็นหมอออออ(เดี๋ยวๆอันนี้คือความปรารถนาส่วนตัว 555555555555) รอคณะต่อไปนะคะ :katai2-1:
-
งื้ออออ น่ารักอ่ะ จบซะละ ชอบพระเอกแบบกุมภ์ เป็นคนตรงๆดี :katai2-1:
-
จบก็กวนไปอี๊ก...กวนพอกันทั้งคู่จริงๆ ตอนท้ายๆที่คุยกันทำให้นึกถึงหอแต๋วแตกเลย 555+
รอคณะต่อไปค่า
-
โลกแห่งความเป็นจริงกับในนิยายต่างกันมาก ระยะห่างระหว่างสองคณะ ไม่มีต่ำกว่า 2 กิโล
บางทีก็อยากให้เป็นแบบในเรื่องบ้าง
-
ได้หมีมา ก็แสดงว่า หมาก็น่าจะได้เมีย(ดูจากความหื่นของหมา มันคงจะไม่สนด้วยว่าไอ้หมีเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย) และหมอหมาก็ได้เมีย แฮปปี้เอนดิ้งทั้งสองคู่
:mc3: :mc3:
-
สนุกมากค่ะ
ชอบคาแร็คเตอร์ของคณิตมากๆ ชอบตั้งแต่ชื่อละ อารมณ์กวนตีนแต่มีมุมน่ารักๆ ดี
-
สุดท้ายก็จูนเข้าหากันได้ซะที เยยยยยย้
ปล.รอสามคณะที่เหลือนะคะะะะ > <
-
ชอบบบบบบบบบบ
เหลืออีกสามคณะแล้วอ่ะ ใจหายจัง รู้สึกรักทุกๆตอนเลยค่ะ
ป.ล.คุณจิตติเรียนที่ไหนอ่ะ ทำไมมีงานรับปริญญาช่วงเดียวกับมอเราเลย 5555555
-
ยอมใจกับคำด่าที่ไปขุดมาด่ากัน 55555 น่ารักดี ด่าไปด่ามารักกันเฉย :o8: ชอบค่ะชอบ รอติดตามเรื่องต่อไปอยู่นะคะ ฝากกำลังใจให้คุณจิตติดาวมอ และก็ฝากแสดงความยินดีกับแก๊งคิตตี้ด้วยนะคะ คิดถึงทุกคนเลย :mew1:
-
หมากับหมี.. เออก็เข้าใจตั้งเนอะ 5555
หมา เอ้ยกุมภ์นี่น่ารักดีนะบางที พอถึงเวลาก็พูดออกมาตรงๆเลยไม่ต้องอ้อมค้อม ชอบๆ
ปล. พึ่งรู้ว่าแก๊งคิตตี้มีจริงๆอยากเห็นจังค่ะว่าจะเป็นขนาดในนิยายมั้ย :ling2:
-
ชอบมากๆชอบทุกเรื่องเลยยย เป็นกำลังใจให้น้าาา :katai5:
-
ทำยังไงถึงจะได้เห็นแก๊งค์คิตตี้ตัวจริงบ้างงงงงง :ling1:
-
เป็นเมียไปตั้งนานแล้วนะหมอหมา
เพิ่งจะมารู้สึกเป็นแฟนกันเหรอ 555
-
รอคณะต่อไป :z2:
-
รักซึมลึกอ่ะดิหมา เอ้ย..หมอ
พอเค้าไป ถึงได้รู้ตัวช้า
-
ได้แค่นี้ก็พอใจละ ถึงมันจะไม่หวานมาก แต่ก็ละมุน
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
ึึแม้จะจบด้วยดี แต่ทำไมดิฉันถึงรู้สึกเศร้ายังไงก็ไม่รู้ อ่านจบแล้วนิ่งคิดอยู่นาน นิยายหรือเรื่องสั้นของคุณจิตติไม่เคยมีเรื่องไหนไม่ทำให้ดิฉันติดหนึบ อ่านเรื่องไหนก็อินกับเรื่องนั้นตลอด จนต้องตามอ่านทุกเรื่องที่เขียน (ตอนนี้ก็กำลังตามเก็บแต้ม) ดังนั้นเรื่องสั้นล่าสุดนี้ก็ไม่ต่างกัน
สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ ขอบอกก่อนว่าเอาความรู้สึกตัวเองเป็นบรรทัดฐานล้วนๆ อาจไขว้เขวและผิดเป้าไปบ้าง คุณจิตติก็อย่าว่ากันนะคะ
เริ่มแรกของเรื่องดิฉันตำหนิคณิตอยู่มาก ดิฉันมองว่าทำไมเขาจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมทำตัวอย่างนั้น แต่ก็เข้าใจว่าอาจเป็นวิถีชีวิตวัยรุ่นวัยเรียน แต่ถ้าจินตนาการว่าหากไม่มีกุมภ์เข้ามา จะมีใครมาเปลี่ยนเขาให้ไปในทางที่ดีได้ไหม? ถ้าไม่มีกุมภ์เข้ามา คณิตจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองไม่ค่อยใส่ใจกับการเรียนนัก? แต่ทั้งที่ตำหนิติเตียนเขาไว้มาก ท้ายที่สุดดิฉันกลับเข้าข้างเขา เห็นใจเขา และเศร้าไปกับเขาด้วยเมื่อกุมภ์ไม่กลับห้องในคืนวันเกิดนั้น เรียกว่าถูกคุณจิตติดาวมอจับตีลังกากลับหัวเสียอ่วมอรทัยเลยทีเดียว
กุมภ์เป็นตัวละครที่ดิฉันมองอย่าพินิจพิเคราะห์ ดิฉันคิดว่า ความรักที่เขาให้กับคณิตนั้นเป็นรักอย่างไรกันแน่ อนึ่งที่พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าดูถูกความรักของใคร แต่ระยะเวลาไม่นานนี้ได้เป็นความเชื่อมั่นเพียงพอแล้วหรือ สำหรับการยืนยันต่อคณิตว่า เขาจะเลิกเจ้าชู้และฟันแล้วทิ้ง อ้ายนิสัยคาสโนว่าอยากได้ใครก็ต้องเอาให้ได้นั้น กุมภ์จะยังคงมันไว้อยู่หรือไม่? หรือว่าพอเป็นแฟนกับคณิตแล้ว ก็จะเลิกทีไปเลยทีเดียว ดิฉันแอบคิดต่างว่า ดูอย่างคนติดเหล้าติดบุหรี่สิ เขายังเลิกกันไม่ได้ง่ายๆ แล้วเรื่อง "นิสัย" ซึ่งคงแปลได้ว่าความเคยชิน สิ่งที่ทำจนติดเป็น routine นั้นจะ "ตัด" ทีเดียวขาดได้เลยหรือ จริงอยู่ว่ากุมภ์ลองพยายามมีคนใหม่แล้ว และพบว่าเขาลืมคณิตไม่ได้ แต่โบราณว่าวัวเคยขาม้าเคยขี่ ย่อมไม่อาจตัดใจได้ในทันที ดิฉันอาจจะกำลังดูถูกความรักของกุมภ์ หรืออาจจะอินกับเรื่องนี้มากไปสักนิด (หรืออาจเป็นข้ออ้างให้คุณจิตติแปลงเรื่องสั้นนี้เป็นเรื่องยาว ฮา) หรืออาจบางทีเพราะได้อ่านแต่มุมมองของคณิตฝ่ายเดียว จึงทำให้เอียงข้าง แต่ดิฉันก็ว่า การเป็นเสือผู้หญิงนี้ ในชีวิตจริงย่อมเลิกไม่ได้ง่ายๆ ดิฉันไม่ได้หมายความว่าเลิกไม่ได้ แต่มันเลิกยาก ก็คล้ายกับเหล้านั่นแหละ แต่บางที...คงเพราะเป็นคณิตใช่ไหม จึงหยุดเสือผู้หญิงคนนี้ได้ และก็คงเพราะเป็นคณิต (ซึ่งก็เป็นเสือผู้หญิงเช่นกัน) จึงทนกุมภ์ได้ เรียกว่าสองคนนี้เหมาะกันเสียยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยก เป็นปลาไหลกับน้ำแกงที่ขลุกขลิกมีรสกลมกล่อมน่าทานเสียนี่กระไร
พูดพล่ามมาซะเยอะ เอาเป็นว่าดิฉันเคยมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับผู้ชายอย่างกุมภ์ (ไม่ได้เจอเอง แต่เป็นคนใกล้ตัวชนิดที่ส่งผลต่อตัวดิฉันด้วย จึงกลายเป็น trauma มาจนถึงทุกวันนี้) จึงรู้สึกฝังใจและเข้าข้างคณิตที่ต้องทนเห็นกุมภ์ไปเที่ยวข้างนอก และบางทีก็ควงผู้หญิงเพื่อเสพสัมพันธ์ทางกาย คิดว่าคณิตก็เจ็บช้ำระกำใจ แต่เพราะไม่ค่อยได้กินแบรนด์บ่อยนัก จึงไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกตัวเอง แต่ความเจ็บในใจก็มีไม่น้อยไปกว่ากันเลย ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมแม้เรื่องจะจบดี แต่ดิฉันก็ยังรู้สึกเศร้าดังที่ได้เอ่ยไปแล้วข้างต้น
ดิฉันคงไม่อาจยกตนข่มท่าน ถือเอาตัวเองเป็นใหญ่ไปตัดสินใคร จึงขอแอบกระซิบบอกคุณจิตติว่า เรื่องนี้สมควรเป็นเรื่องยาวอย่างที่สุด (ฮา ขออนุญาตตะล่อมนะคะ) เพราะเมื่อยิ่งยาวก็จะยิ่งฟินจนไปแตะขอบฟ้า
ขอบคุณดาวมอด้วยจอกคารวะ
:mew1:
-
โอ้ แม่สาว (พ่อหนุ่ม)น้อย นี่คือการขอเป็นแฟนหรือนี่ เกรียนกันจริงๆ :mew5:
-
หมารักหมอแล้วเนอะ
-
วันนี้เราสอบมาค่ะ ทำไม่ได้เลย ออกจากห้องสอบมาเหมือนหัวใจหยุดเต้น ชีวิตแม่งเศร้ามาก
จนมาอ่านนิยายของคุณ
ขอบคุณมากนะคะที่ทำให้หัวใจเรากลับมาเต้นอีกครั้ง ☺️☺️☺️☺️
-
โอ้ยอ่านไปขำไป คำคมกาละแมตอนนี้ขอเสนอคำว่า "ใจกระเทยไปเลยกู" 5555555555คณิตมาสายฮาของจริงอะขำ
ปล. อ่านคำพูดคำจาความคิดของคณิตแล้วคิดถึงแต่เสียงป๋อมแป๋มเลยค่ะ มันได้อะ
-
เป็นเซตที่สนุกมากๆๆๆๆๆ้
เราชอบเรื่องนี้ที่สุดในเรื่องที่ผ่านๆมาเลย ว่าดันว่าชอบความรักที่ไม่ค่อยหวานแต่เข้าใจกัน เลี้ยงด้วยลำแข้ง555555555เป็นกำลังใตให้คุณจิตตินะคะ รอเรื่องต่อๆไปอยู่ๆอย่าลืมเรื่องยาวนะคะ55555555สู้ๆค่ะ
-
เล่นคำเอาซะงงในบางทีเดี๋ยวหมอ เดี๋ยวหมา เดี๋ยวมึง จะพูดกันดีๆบ้างไหมคู่นี้ฮาร์ดคอตลอด
-
ฮ่าๆๆๆ บางทีก็รู้สึกมึนๆแบบคณิตนะ :m20:
-
ขอบคุณมากที่เขียนให้อ่าน สนุกทุกตอน สำนวนนิยายแบบจิตติจิตติ ชอบมาก ไม่เบื่อเลย นานแค่ไหนก็รอคะ
-
เราไม่ชอบนิสัยกุมภ์เท่าไหร่อะ แข๊งงงงแข็ง
ชอบแบบนุ่มๆมากกว่า แต่ก็อย่างว่าจะให้มานิสัยละมุนนุ่มๆทั้งมหาลัยก็ใช่ที่
จะรอคณะต่อไปนะ คุณจิตติดาวมอไม่ใบ้บ้างเหรอคับ ว่าคณะไรคือคณะต่อไป
-
รอคณะต่อไปนะคะ
-
ศึกษาดูใจศาสตร์
คุณเคยชอบใครมั้ย
ชอบแบบจริงจัง ชอบแบบที่ไม่เคยชอบใครมาก่อน หัวใจเต้นแรง เพ้ออยู่ตลอดเวลา แค่คิด ภาพของใครคนนั้นก็พุ่งเข้ามาในหัวแล้ว ถ้าคุณเคยรู้สึกแบบนี้ ผมอยากจะบอกว่า...ผมเองก็ไม่ต่างกัน
ผมอาจจะเป็นนิสิตศึกษาศาสตร์ที่สอนชีววิทยาแต่ไม่เข้าใจว่ารักกับชอบต่างกันยังไง แค่พออนุมานได้ว่าความรักอาจมีความผูกพันเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งต่างจากผมกับคนคนนั้นโดยสิ้นเชิงเพราะเราไม่เคยผูกพันกัน แม้เกี่ยวข้องกันบ้าง แต่ในความสัมพันธ์นั้นก็ยังไม่มีชื่อเรียก ดังนั้นผมจึงพูดได้แค่เพียง...ชอบ
ชอบรุ่นน้องตัวสูงมานานหลายปีแล้ว
“ไอ้โฟร์! โฟร์ บูมบัณฑิต” เสียงปอนด์กับเอ็ม เพื่อนสนิทของผมร้องเรียก
ผมหันไปทางต้นเสียง ส่งยิ้มให้พวกมันก่อนจะวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา แย่หน่อยที่ชุดครุยค่อนข้างยาว เลยทำให้การเดินหรือขยับตัวลำบากขึ้น
“น้องขอบูม ไหนๆ ก็จบแล้วมากอดคอกันเถอะ” เอ็มพูด ดวงตาคู่นั้นฉ่ำปรือเหมือนเตรียมจะร้องไห้เต็มแก่ มิตรภาพตลอดห้าปีมันยาวนานจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนผมก็ยังจดจำเพื่อนทุกคนได้อยู่ดี
ผมยืนอยู่ตรงกลาง เอื้อมมือไปกอดคอเพื่อนทั้งสองคนเอาไว้ รอบตัวเราถูกล้อมรอบด้วยรุ่นน้องปีหนึ่งในชุดนิสิตถูกระเบียบ แถมกำลังก้มหน้าก้มตาเตรียมพร้อมสำหรับการบูมบัณฑิตสุดกำลัง
“e e d u c…c c a t i…i i i o n education ha!”
หลังจากยืนปลื้มปริ่มให้รุ่นน้องบูมและร้องเพลงคณะเสร็จ ผม ปอนด์ และเอ็มก็เดินออกมานั่งพักอยู่ตรงลานกิจกรรมของคณะ บนโต๊ะเต็มไปด้วยดอกไม้และของขวัญแสดงความยินดีมากมาย ทั้งจากครอบครัวและสายรหัส เพื่อนในเอกคนอื่นๆ เริ่มเก็บภาพความประทับใจ จะมีก็แต่เราสามคนที่เหนื่อยเกินกว่าจะลุกไปถ่ายภาพเหมือนช่วงเช้าแล้ว
เข็มนาฬิกาบนหน้าปัดตรงข้อมือบอกเวลาย่างเข้าบ่ายโมงซึ่งยังคงมีแดดร้อนแรง โชคดีที่คณะศึกษาศาสตร์รับปริญญาในช่วงเช้า ตอนบ่ายพวกเราเลยมีเวลามานั่งรำลึกความทรงจำเรื่อยเปื่อยกันไป
“ปีนี้ก็จบแล้วเนาะ” ปอนด์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่กลับเจือไปด้วยความเศร้าอย่างน่าประหลาด
“นั่นดิ จะได้เจอกันอีกมั้ยวะ”
“ต้องได้เจอดิ” ผมแทรกบ้าง
จริงอยู่ที่อาจไม่ได้เจอกันทุกวันเหมือนตอนเรียน แต่เกือบหนึ่งปีที่เราต่างแยกย้ายไปทำงานแล้วกลับมาเจอกันในวันนี้ มันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ผมเริ่มต้นชีวิตกับคนใหม่ๆ แต่ก็ไม่หลงลืมคนเก่าที่เคยอยู่ด้วยกัน
“เห็นมึงพูดแบบนี้ตลอด”
“แต่ก็ได้เจอกันตลอดไม่ใช่หรือไง”
“โฟร์”
“หืม...”
“มึงกับพวกกูเจอกันตลอดก็จริง แต่หลังจากนี้มึงอาจจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วนะ” ประโยคที่เอ็มพูดทำให้ผมหุบยิ้มในทันที ใจหาย...คงเป็นความรู้สึกเดียวที่สัมผัสได้
“ไม่รู้ดิ ถ้าไม่เจอก็คงเสียใจนิดหน่อย”
“ไปหาน้องมันมั้ย”
“ไม่เอาอ่ะ”
“อาจไม่ได้เจอกันแล้วนะเว้ย มึงยังจะป๊อดอีกเหรอ”
“ไม่มีประโยชน์หรอก ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น”
“อย่างน้อยก็ส่งท้าย ก่อนที่ทุกอย่างมันจะเดินไปข้างหน้าจนมึงตามไม่ทัน เดี๋ยวกูไปส่งที่คณะ พวกสหเวชฯ รับช่วงบ่าย ถ้าออกมามึงก็วิ่งเข้าชาร์จเลย”
ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ความจริง...ผมกับใครคนนั้นอายุห่างกันหนึ่งปี แต่เพราะศึกษาศาสตร์เรียนห้าปี และสหเวชศาสตร์เรียนสี่ปี เราเลยได้รับปริญญาพร้อมกัน
“ไปเถอะ”
“เอาไดอารี่ที่มึงเขียนไปให้ด้วยดิ กูรู้ว่ามึงเอามา”
“น้องมันไม่อ่านหรอก”
“ไม่อ่าน แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเขาได้รับไปแล้ว”
“อืม...ขอทำใจแป๊บ”
เขาเป็นเหมือนน้องชายที่แสนดี เป็นความทรงจำเกือบครึ่งหนึ่งในมหา’ลัย และที่สำคัญ...เขาเป็นรักแรกของผม รักที่เหมือนเป็นไปไม่ได้ และสุดท้ายทุกอย่างก็จะเคลื่อนผ่านไปโดยที่เรายังคงรักษาความสัมพันธ์แบบพี่น้องเอาไว้ จนกว่าเราจะลืมกัน
สี่ปีก่อน…
“เทอมนี้กูฟาดเอเคมีชัวร์”
“ตื่นครับไอ้ฟาย แค่ดุลสมการกากๆ มึงยังผิด คิดเหรอว่าจะได้”
“แน่นอน”
“อย่าลืมดิ ตัดเกรดกับเภสัชฯ แล้วก็พวกสหเวชฯ นะครับ”
“แล้วไง เภสัชฯ ก็ใช่ว่าจะเก่งเคมี อีกอย่างกูเข้าไปเช็กรายชื่อใน REG เรียบร้อย พวกที่เรียนกับเราก็แค่ปีหนึ่ง คิดเหรอว่ามันจะสู้ปีสองแข็งแกร่งอย่างเราได้”
เสียงที่เถียงกันไปมานั้นเป็นของปอนด์และเอ็มเพื่อนสนิท ส่วนผมชื่อโฟร์ เรียนอยู่คณะศึกษาศาสตร์เอกชีววิทยาปีสอง แรกเริ่มเดิมทีผมไม่ได้อยากเป็นครูหรอก แต่พอได้มาอยู่ก็คิดว่าทุกอย่างไม่ได้แย่อย่างที่เข้าใจ เพื่อนในเอกผมมีสี่สิบคน ทุกคนรักและสนิทกันในระดับหนึ่ง แต่พอนานวันเข้าโลกก็มักจะเหวี่ยงคนเหมือนๆ กันให้มาอยู่ด้วยกันเสมอ ศึกษาศาสตร์ เอกชีวะฯ ปีสองเลยแตกกลุ่มแตกกออยู่กันเป็นก๊วนแก๊งแทน
บางกลุ่มใหญ่มากมีสมาชิกนับสิบคน ทรงอิทธิพลที่สุดในเอก แต่บางกลุ่มก็น้อยจนเป็นเหมือนพลเมืองชั้นสองอย่าง...ผม ปอนด์ และเอ็ม
ถึงจะแค่สามคนก็มีความสุขดี เพราะเราไม่ได้มีศัตรูที่ไหน รู้ความลับของกันและกันแทบทุกเรื่อง อย่างไอ้ปอนด์เนี่ยเคยอกหักครั้งแรกตอน ม.3 จากนั้นก็แอบชอบรุ่นพี่ที่แก่กว่าถึงสิบปีจนอีกฝ่ายหนีไปแต่งงาน ส่วนไอ้เอ็มเรียนไม่ค่อยเก่ง ชอบหนีเที่ยว ชอบเดินทาง ถึงขนาดขโมยเงินในกระปุกน้องสาวตัวเองเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบินไปต่างประเทศ บางทีผมก็ตลกเพราะไอ้พวกนี้ชอบคิดหรือทำอะไรแผลงๆ ตลอดเวลา จนผมคิดว่าอีกหน่อยคงจะบ๊องตามพวกมันไป
“มึง กูอยากกินนักเก็ต” จู่ๆ เอ็มก็พูดขึ้น ขณะกำลังเดินผ่านโรงอาหารทางผ่านขึ้นตึกเรียน แต่กลับถูกจูงจมูกให้ไขว้เขวด้วยกลิ่นตลบอบอวลของอาหารแทน
“เออ รีบเลย”
“เร่งทำไม นี่เพิ่งคาบแรก อาจารย์ไม่เช็กชื่อหรอก”
“เหรอออออออ” ไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน แน่นอนคาบแรกส่วนใหญ่อาจารย์มักไม่สอน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เช็กชื่อนะโว้ย
“ปล่อยให้พวกเก่งๆ มันออกหน้าไปก่อน เราท้ายแถวไม่มีใครมาสนใจหรอก” ปอนด์สนับสนุน
สุดท้ายก็ลงเอยที่เราซื้อขนมมานั่งกินเล่นนับสิบนาที บวกเวลาเล่นมือถืออีกห้านาที สรุปตอนนี้เราก็สายเกินกว่าจะให้อภัยแล้ว
“มึง...” ผมแทรกขึ้นบ้าง
“อะไร”
“กูว่าเราโดดไปเลยดีกว่ามั้ย ไม่ต้องเข้าหรอก เลตขนาดนี้” ตามจริงคือไม่อยากอาย สู้ไม่โผล่ไปก็อาจขายหน้าไม่มากเท่าโผล่ไปกลางคลาสแบบนี้
แกร๊ก!
“ช้าไปแล้วล่ะ” เสียงลูกบิดประตูถูกหมุนจนสุด สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่ทำใจและยอมรับทุกอย่าง
“เลตยี่สิบนาทีนะคะ” ฮือออออ คาบแรกของเด็กท้ายแถวอย่างเราช่างได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเหลือเกิน เพราะที่นั่งสโลปภายในห้องเนืองแน่นไปด้วยนิสิตจนแทบหาเก้าอี้ว่างไม่เจอ แถมอาจารย์ยังพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนโมโหเต็มแก่อีกด้วย
ผม ปอนด์ และเอ็มเลยรีบวิ่งหาที่นั่งพัลวัน เพื่อจะได้ไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆ แต่เหมือนเวลาทำชั่วแล้วก็มักจะได้อะไรชั่วๆ ตอบแทนกลับมา
ไม่มีที่ว่างที่ติดกันสำหรับเราเลย นอกเสียจากจะแยกกันนั่งคนละมุม ประกอบกับอาจารย์ก็ยังพูดเร่งไม่หยุด ทำให้เราตัดสินใจแยกย้ายกันนั่งมุมใครมุมมันเพื่อหลีกหนีความอายไปก่อน
“ตรงนี้ว่างอยู่” เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น มันเหมือนแสงสว่างที่มีคนจุดให้เพื่อหาทางออกยังไงยังงั้น
“ขอบคุณนะ” ผมบอกก่อนจะนั่งลงข้างๆ ใครคนนั้น
คนที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเพราะไม่ใช่เด็กศึกษาศาสตร์ ใบหน้าคมกับริมฝีปากหยักเป็นสระอิทำให้ผมเผลอจ้องมองไม่คลาดสายตา แถมจมูกก็ยังโด่งมากๆ อีกต่างหาก
ใครวะ?
โคตรน่ารักเลย โคตรหล่อ โคตรดึงดูด หัวใจของผมเต้นแรง นี่มึงใจเต้นแรงกับคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนเหรอไอ้โฟร์ ผมได้แต่ปรามตัวเองในใจแม้จะรู้ดีว่าไม่ได้ผล ขนาดหยิบปากกากับสมุดจดเลกเชอร์ก็ยังทำผิดๆ ถูกๆ จนอีกฝ่ายมองตามด้วยความสงสัย
“อยู่ศึกษาฯ เหรอ” ผมหันไปสบตากับคนข้างๆ กะพริบตาปริบสองสามครั้ง
“รู้ได้ไง”
“เห็นเสื้อคลุมเพื่อนพี่”
“แล้วรู้ได้ไงว่าเป็นพี่”
“ศึกษาศาสตร์ที่อยู่คลาสนี้มีแต่ปีสองทั้งนั้น”
“อ้อ แล้วนี่อยู่คณะอะไรอ่ะ วิทยา สหเวชฯ หรือเภสัชฯ” จำได้ว่าเซ็กเรียนเคมีค่อนข้างใหญ่ และรายชื่อใน REG ก็บอกไว้หมดแล้วว่าเด็กศึกษาฯ แก่ที่สุดในบรรดาทุกคณะ เพราะที่เหลือมีแต่ปีหนึ่งทั้งนั้น
“สหเวชฯ ครับ เทคนิคการแพทย์น่ะ”
“อ้อออออ”
เราเงียบกันไปพักใหญ่ จริงอย่างที่เอ็มกับปอนด์ว่า อาจารย์ไม่ได้เช็กชื่อและไม่ได้เริ่มต้นการสอน นอกเสียจากชี้แจงเนื้อหาที่ต้องเรียนในเทอมนี้เท่านั้น กระทั่งเสียงทุ้มนุ่มหูเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่ชื่ออะไร”
“หา? ถามเราเหรอ”
“ครับ”
“ชื่อโฟร์”
“ผมชื่อเทคนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” มือหนายื่นมาข้างๆ ผมได้แต่มองตาม ไม่กล้าเอื้อมมือเข้าไปจับ ไม่รู้สิ มันหวั่นๆ เหมือนอาการของคนกำลังเขินยังไงชอบกล
พอเห็นว่าผมไม่ยอมจับมือ รุ่นน้องยิ้มเก่งเลยถือวิสาสะจับนิ้วก้อยของผมแล้วเขย่าไปมา ทำเอาหัวใจคนถูกกระทำกระเด้งกระดอนไม่มีทิศทางอยู่พักใหญ่
นี่แหละความทรงจำแรกระหว่างเรา ความทรงจำระหว่างผมและรุ่นน้องปีหนึ่ง
ความทรงจำ...ที่ต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่มีวันลืม
“โง้ยยยยยยย น่ารัก น่ารัก น่าร้ากกกกกกก”
ผมกลับมาถึงหอพัก กระโจนลงไปกลิ้งบนเตียงอย่างเสียสติ โชคดีหน่อยที่อยู่คนเดียวเลยไม่มีใครมาหาว่าผีเข้า หน้าของผมร้อนผ่าวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากหมดคลาสเคมี ผมกับเทคก็โบกมือให้กันก่อนจะแยกย้าย เขินว่ะ เขินสัดๆ
ดิ้นกะแด่วๆ ไปหลายรอบจนหมดแรง ก่อนจะลุกขึ้นมาจากเตียง เปิดแล็ปท็อปซึ่งอยู่บนโต๊ะหนังสือขึ้น ภารกิจสำคัญในการตามหาคนที่ปลื้มมันจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเฟซบุ๊ก!!
รายชื่อใน REG ของมหา’ลัยมีประโยชน์อย่างมาก เพราะมันจะช่วยให้ผมตามหาเด็กเทคปีหนึ่งได้ง่ายขึ้น ผมพยายามไล่อ่านรายชื่อที่ต่อท้ายด้วยคณะสหเวชศาสตร์ โดยลองพิมพ์ชื่อคนเหล่านั้นในช่องค้นหาเฟซบุ๊ก แม่งหาทั้งไทยทั้งอังกฤษ เพื่อหวังว่าจะเจอ
“ไม่ใช่” บ่นเป็นรอบที่สิบ แต่ก็เท่านั้น
ระหว่างหาก็กดแอดเฟรนด์ค้นหารายชื่อที่เจอไปด้วย ผมพยายามอย่างมาก แต่กลับไม่เจอเฟซบุ๊กของเทคอย่างที่ตั้งใจ สงสัยจะไม่ได้ใช้ชื่อกับนามสกุลจริงอย่างที่คาดไว้แต่แรก
ติ๊ง!
แจ้งเตือนในระบบเด้งขึ้นมา บ่งบอกว่ามีใครคนหนึ่งรับผมเป็นเพื่อนในโซเชียลแล้วเรียบร้อย จากที่กำลังใจหดหายกลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ผมคลิกเข้าไปในเฟซบุ๊กของรุ่นน้องคนหนึ่ง พลางเลื่อนเมาส์ไปยังรายชื่อของเพื่อนที่มีอยู่ทั้งหมด
4,560 คน เหยดดดดดดดดดดดด
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนออกจากรายชื่อเพื่อนเพื่อเข้าไปส่องในอัลบั้มภาพที่ถูกแท็ก เผื่อโชคดีจะได้เจอ แต่ผลก็คือไม่
เหนื่อยว่ะ
กลับเข้าไปในรายชื่อเพื่อนใหม่ ไล่ดูรูปโพรไฟล์ทีละคนด้วยสายตาเมื่อยล้าเต็มที แม้มีโอกาสที่เจ้าของเฟซกับรุ่นน้องปีหนึ่งอย่างเทคจะไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกันก็ตาม เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็ตายดิว้าาาาา
จากห้าโมงเย็น ตอนนี้เวลาปาไปเกือบสองทุ่มแล้ว นี่ผมเอาเวลามาตามหารุ่นน้องตั้งสามชั่วโมงเลยเหรอวะ!
Rrrrrrrrrrrrrr
เสียงเรียกเข้าที่มีปลายสายเป็นเพื่อนสนิทอย่างปอนด์ดังขึ้น
“ว่า...”
[แดกข้าวกัน]
“ไม่หิว”
[ทำห่าอะไร]
“เออน่ะ มึงไปกินกับไอ้เอ็มเถอะ”
[ตามใจ กูแค่จะบอกว่าเจอรุ่นน้องที่นั่งข้างมึงตอนคาบเคมีด้วย เห็นมึงคุยกันสนุกเลยจะเรียกมาเจอ แต่ก็ช่างเถอะว่ะ]
“เดี๋ยว!!!” ผมรีบเบรกทันควัน
อะไรนะ เทคอยู่แถวนั้นเหรอ
[อะไรของมึงไอ้โฟร์]
“กูจะไปกินข้าวกับพวกมึง อยู่ร้านไหนเดี๋ยวตามไป”
[ผีเข้าเหรอ เออๆ พวกกูอยู่ที่ร้าน...] หลังจากวางสายของปอนด์ ผมก็รีบพาตัวเองไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบชุดธรรมดาที่ดูไม่ธรรมดาขึ้นมาใส่ จัดทรงผม ดูความเรียบร้อยของตัวเองก่อนจะออกไปตามนัดของเพื่อนทั้งสองคน ทั้งที่จุดหมายจริงๆ แล้วมันอยู่ที่รุ่นน้องคนนั้นมากกว่า
แต่พอไปถึง...
“อ้าวพี่โฟร์ มากินข้าวเหรอ” ผมพยักหน้าทันที เมื่อเห็นว่าเทคกำลังเดินออกจากร้าน แต่เผอิญมาเจอผมเข้าซะก่อน
“อื้ม เทคอ่ะ”
“มากินข้าวเหมือนกัน แต่จะกลับแล้ว”
มาเสียเที่ยว แต่ก็ไม่เชิงพลาดทุกอย่างซะทีเดียว อย่างน้อยก็ได้เห็นหน้าแล้วกัน พอยืนด้วยกันแบบนี้ทำไมรู้สึกว่าอีกฝ่ายสูงจังวะ
“มากับใคร” ผมถาม
“เพื่อนน่ะครับ แต่มันกลับไปก่อนแล้ว พี่ล่ะ”
“มา...กับเพื่อน” ว่าพลางชี้ไปยังไอ้สองตัวที่นั่งยิ้มแฉ่งโบกมือมาให้เหมือนล่วงรู้ความลับอะไรบางอย่าง เอาจริงๆ ถ้าปอนด์กับเอ็มจะรู้ก็คงไม่แปลก เราสนิทถึงขนาดมองตาก็รู้ใจกันนานแล้ว
“งั้นกินข้าวให้อร่อยนะพี่ เจอกันในคาบเคมี”
“เฮ้ยเทค”
“อะไรครับ”
“มีเฟซป่ะ คือเผื่อมีอะไร...”
“อ๋อ ขอมือถือพี่หน่อยดิ” มือหนาแบมือมาตรงหน้า ผมเลยไม่ขัดศรัทธายื่นมือถือให้กับอีกฝ่าย เจ้าตัวกดอะไรไม่รู้ขยุกขยิกสักพักก่อนจะยื่นมือถือคืนมาให้
“เดี๋ยวผมกลับห้องแล้วจะรับแอดนะ บาย”
พูดจบก็โบกมือเดินผละออกไปทันที ร่างสูงในชุดนิสิตยังอยู่ในสายตาของผมจนกระทั่งขับรถออกไป บนหน้าจอมือถือเป็นหน้าโพรไฟล์ของเทคจริงๆ มิน่าล่ะถึงหาไม่เจอ
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะ
สรุปปอนด์กับเอ็มก็รู้จนได้ว่าผมตกหลุมพรางที่เด็กสหเวชฯ นั่นขุดไว้จนหาทางขึ้นไม่ได้ เพราะงั้นตลอดมื้อผมเลยถูกแซวไม่หยุด ทั้งอาย ทั้งโกรธเลยว่ะ แม่งจะล้ออะไรนักหนา
“แดกข้าวดีๆ ดิไอ้โฟร์”
“ก็กินอยู่นี่ไง”
“กูว่ามึงวางมือถือก่อนเหอะ”
“เดี๋ยวน้องมันรับแอด กลัวพลาด”
“เชี่ยไรมึงเนี่ย”
มือขวาตักข้าวใส่ปาก ส่วนมือซ้ายเลื่อนมือถือไปเรื่อยๆ รอเวลาจนไม่เป็นอันทำอะไร ปล่อยเพื่อนมันบ่นไปจนกว่าจะเหนื่อยนั่นแหละ เพราะถึงยังไงแล้วผมก็ไม่มีทางหยุดรอ
“เฮ้ยยยยย”
“เป็นห่าไร ผีเข้าเหรอ”
“น้องมันรับกูเป็นเพื่อนแล้ว อ๊ากกกกกก น้องมันไลค์รูปกู น้องมันไลค์รูปกูด้วยเว้ยยยยยยยยยย” ผมดีใจถึงขนาดลุกขึ้นเต้นแร้งเต้นกาจนคนมองไปทั่วร้าน จะขัดใจหน่อยก็ตรงที่ถูกปอนด์กับเอ็มดึงแขนให้นั่งลงด้วยความอับอายเนี่ยแหละ
“ใจเย็นนะ คนมองแล้วไอ้สัด กูอาย”
“เพิ่งรู้เว้ย ว่าดีใจจนเนื้อเต้นมันเป็นยังไง” ผมตอบเสียงติดสั่นเล็กน้อย ตั้งแต่เข้ามาเรียนในมหา’ลัย ผมไม่เคยรู้สึกใจเต้นแรงกับใครเลย แต่ตอนนี้ถึงแม้จะแค่นั่งอยู่ตรงหน้าจอมือถือ ความรู้สึกของผมมันก็ไม่ได้ต่างจากการมีรุ่นน้องคนนั้นนั่งอยู่ใกล้ๆ เลย
และในเมื่อโอกาสมาถึงผมก็ไม่รอช้า
Punthanuch Srisawang
ขอบคุณนะ รับซะเร็วเลย
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะ
ไม่เป็นไรพี่ กินข้าวเสร็จยัง
Punthanuch Srisawang
ยัง
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะ
พี่ชื่อพันธนัชเหรอ
Punthanuch Srisawang
อื้อ มีไรป่ะ
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะ
เปล่า ชื่อคล้ายกัน บังเอิญเนาะ
โหยยยยยย โมเมนต์นั้นไม่รอช้ารีบเข้าไปดูรายชื่อนิสิตใน REG และก็พบความจริงว่า ชื่อของเราคล้ายกันมาก แต่นามสกุลต่างกันนิดหน่อย
ธนัช ธำรงวิสิทธิ์
เนี่ยชื่อน้อง ส่วน...
พันธนัช ศรีสว่าง
ชื่อผม อยากเปลี่ยนนามสกุลไปใช้ของน้อง แต่ก็กลัวว่ามันจะเร็วเกินไป คงต้องใช้เวลาศึกษาดูใจกันอีกสักพักใหญ่ก่อน นี่ผมฝันหรือจินตนาการกันแน่วะเนี่ย ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นขนาดนี้เลยจริงๆ
“ไอ้โฟร์ มึงช่วยกินข้าวดีๆ หน่อย เดี๋ยวกูก็จับมือถือยัดปากแม่งหรอก”
“แป๊บนึง”
ผมไม่ได้สนใจเสียงของเพื่อน แต่ยังคงก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างกระตือรือร้น มันไม่ง่ายเลยที่เราจะรู้สึกชอบใครสักคนเอามากๆ และมันก็ไม่ง่ายเลยที่เวลารู้สึกชอบใครแล้วเราจะสามารถละสายตาไปจากเขาได้
Punthanuch Srisawang
อื้อ แล้วนี่ทำอะไรอยู่
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะ
ดูหนัง โหลดใส่ external ไว้นานแล้ว
ยังไม่ได้ดูสักที
Punthanuch Srisawang
งั้นไม่กวนละ
ดูหนังให้สนุกนะ
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะ
ครับ
แล้วทุกอย่างก็เงียบไป ที่บอกว่าไม่กวนละ ความจริงคืออยากกวนต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าทำอย่างนั้นกลัวว่าอีกฝ่ายจะรำคาญ
หลังจากใช้เวลาหมกมุ่นกับโทรศัพท์มือถือในร้านอาหารอยู่นาน พอกลับไปถึงห้องผมก็ไม่ละความพยายามโดยการรื้อค้นตู้หนังสือเก่าๆ ที่ไม่เคยเปิดกรุตั้งแต่จบปีหนึ่ง ในนั้นมีอุปกรณ์เครื่องเขียนหลายอย่างที่พี่รหัสเคยซื้อเอาไว้ให้ และสิ่งที่ผมกำลังตามหาก็คือ...
สมุดบันทึกสีตุ่นๆ เล่มหนึ่ง ที่พี่รหัสเคยบอกว่าต้องดั้นด้นไปซื้อไกลถึงเชียงใหม่เพราะเขาเย็บด้วยมือตัวเอง ดูจากภายนอกถึงแม้จะเก่าไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังใช้การได้อยู่
ผมไม่เคยเขียนไดอารี่ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงคึกอยากเขียนขึ้นมา อาจเพราะอยากเก็บความทรงจำในวันแรกกับคนที่รู้สึกชอบผ่านตัวหนังสือด้วยล่ะมั้ง ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะอดทนเขียนแบบนี้ไปได้สักกี่วัน ถ้าเบื่อก็เลิก ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที แต่สำหรับตอนนี้ขอแค่ผมยังมีกำลังใจที่จะเขียนมันก็พอ
20 ส.ค. 2553
วันแรกที่เจอเด็กผู้ชายตัวสูงคนหนึ่ง เป็นผู้ชายไม่ต้องตกใจ ก็แปลกนะเพราะไม่เคยสนใจใครมาก่อนแต่กลับไม่สามารถละสายตาไปจากคนคนนี้ได้เลย น้องมันเรียนปีหนึ่ง แต่ท่าทางไม่ได้ดูเด็กเลย บางครั้งดูนิ่งๆ แต่บางครั้งก็เป็นกันเอง น่าค้นหาดี
นั่นแหละ ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรในหน้าแรกของไดอารี่ ก็ไม่เคยว่ะ เคยแต่จดหนี้ค่าหวยให้แม่ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมรู้สึกชอบใครสักคนหนึ่งขึ้นมาแล้ว คนคนนั้นเป็นเด็กสหเวชฯ ปีหนึ่ง ชื่อเทค
ฝันดี
เชื่อมั้ย คืนนั้นผมนอนหลับฝันดียิ่งกว่าคืนไหนๆ ในรอบปีเลยล่ะ...
คลาสเคมีในสัปดาห์ต่อมาเป็นที่น่าเสียดายที่สุดท้ายผมกับเทคก็ไม่ได้นั่งข้างกันอีก เพราะที่นั่งมันเปลี่ยนได้เรื่อยๆ แล้วเขาก็ต้องนั่งกับเพื่อน ใครมันจะไปหน้าด้านนั่งแทรกกลุ่มเพื่อนคนอื่นได้กัน ดังนั้นบทสนทนาที่เตรียมไว้เพื่อจะคุยกับอีกฝ่ายเลยต้องพับเก็บไปตามระเบียบ
วิวเดียวที่เห็นในม่านสายตาก็มีแค่ท้ายทอยขาวๆ กับท่าทางกวนโอ๊ยของเด็กที่ค่อนข้างป็อปอย่างเทคเท่านั้น ผมได้แต่หาเหตุผลสารพัดเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในชีวิตเขา แต่สุดท้ายมันก็ยังว่างเปล่าเหมือนเคย
“จ้องอยู่นั่นแหละ มึงไม่แดกท้ายทอยมันไปเลยล่ะ” เสียงของเอ็มแทรกขึ้น ทำให้ผมละสายตาจากคนตรงหน้ามามองที่เพื่อนสนิทอีกครั้ง
“เสียดายว่ะ อยากคุยกับน้อง”
“ก็เข้าไปคุยดิ”
“เพื่อนมันอยู่เต็มไปหมด จะให้กูหน้าด้านเข้าไปเหรอ”
“อ่ะนี่ ทางออกของมึง”
มือหนายื่นใบปลิวแผ่นหนึ่งมาให้ ผมอ่านข้อความตรงหน้าอยู่สักพักก่อนจะหันมาถามความเห็นทั้งปอนด์กับเอ็ม อย่างน้อยค่ายอาสาพัฒนาที่คณะสหเวชฯ เป็นคนจัดก็อาจทำให้ผมกับเทคได้คุยกันมากขึ้น
“กูสนใจ” ผมตอบแทบไม่คิด
“คืองี้นะ ปัญหามันอยู่ที่ว่าคณะเราก็มีชมรมพัฒนาชนบท แล้วเขาก็จัดค่ายช่วงเดียวกันด้วย มึงจะไม่ไปของคณะเราเลยเหรอ”
“ไปให้หมดนั่นแหละ”
“ไม่เหนื่อยเหรอวะ”
“กูยอมตาย ยอมตายยยยยยยยยยย”
“รักแท้แพ้เทคนิคการแพทย์จริงๆ”
มาจนได้ค่ายอาสาพัฒนา หลังจากพาตัวเองระหกระเหินไปค่ายพัฒนาชนบทมาแล้ว สภาพคงไม่ต้องถามหาว่าจะเลวร้ายแค่ไหน ซึ่งผมก็ต้องสู้ แต่เหมือนบุญมีแต่กรรมบัง เพราะผมโง่เองที่ไม่ถามเทคว่าจะไปด้วยหรือเปล่า คิดแค่ว่าปีหนึ่งต้องไป สุดท้ายเราเลยไม่ได้เจอกัน
เทคไม่อยู่ กูไหลตาย
สองค่ายผ่านพ้นไปแบบละเหี่ย ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยไม่รู้จุดหมาย ไม่รู้ว่าน้องปีหนึ่งคนนั้นยืนอยู่ตรงไหนของเส้นทาง สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงทักแชตไปเพื่อหวังว่าน้องจะตอบบ้าง ซึ่งก็นานๆ ครั้ง และตอบทีก็สั้นมากจนเหมือนแทบไม่ได้คุย
ผมไม่รู้ว่าเทคมีแฟนแล้วหรือยัง ไม่รู้อะไรเลย จะถามก็ไม่กล้า ได้แต่ส่องหน้าไทม์ไลน์ไปวันๆ แถมเฟซบุ๊กเจ้าตัวยังแทบไม่มีการเคลื่อนไหว รูปถ่ายก็ไม่เคยอัพ จะมีก็แต่รูปที่เพื่อนๆ ติดแท็กมาเท่านั้น ผมเลยไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไง และควรจัดตัวเองอยู่ในหมวดไหนของความสัมพันธ์
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะ
พี่โฟร์
ง้ากกกกกกก น้องทักแชตมาเว้ย น้ำตาจะไหล หายนอยด์ไปเลย
Punthanuch Srisawang
ว่าไง
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะ
ไปค่ายอาสาพัฒนามาเหรอ เห็นอัพรูป
Punthanuch Srisawang
อืม น้องไม่ไปอ่ะ
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะ
ติดทำรายงานกับเพื่อนครับ เลยไม่ได้ไป
แล้วสนุกมั้ย
Punthanuch Srisawang
สนุกนะ
เข้าสู่สภาวะเดดแอร์โดยสมบูรณ์ เทคเงียบไป ไม่ได้ตอบหรือกำลังพิมพ์อะไรกลับมาอีก พอหันมองนาฬิกาตั้งโต๊ะก็เห็นว่ามันดึกมากแล้ว น้องคงอยากนอนทั้งที่ออนไลน์อยู่ ไม่เป็นไร
Punthanuch Srisawang
เทค
ฝันดีนะไอ้น้อง
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะ
ฝันดีครับ
13 ก.ย. 2553
เคยเป็นมั้ยที่เข้าไปดูหน้าเฟซของใครบางคนทุกวัน เปิดทุกครั้งที่คิดถึง หรือผ่านไปแค่นาทีเดียวก็ยังห่วงว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ทั้งที่จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แต่เราเองกลับรู้จักเขาไปซะทุกอย่าง
-
Rrrrrrrrrrrrrrrrrr
“โหล” ผมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์มือถือ ปลายสายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หนึ่งในเพื่อนซี้ตัวติดกันของผมเอง
[อยู่ไหนวะ]
“เซเว่นหน้าหอ มีอะไร”
[กูเจอเด็กมึงที่หอในเว้ย มันอยู่ร้านหนังสือ]
“จริงดิ!” ปกติแอบไปตามส่องออกจะบ่อยไม่ยักเจอสักที พอมาวันนี้ไอ้ปอนด์ดันเจอของดีเข้าซะงั้น
[รีบเลยมึง เดี๋ยวมันไม่อยู่]
“โอเคๆ”
ผมรีบวางขนมและเครื่องดื่มไว้ที่เดิม มุ่งหน้าเข้าไปภายในมหา’ลัยในสภาพเสื้อลิเวอร์พูลกางเกงแมนยูฯ แถมยังใส่รองเท้าช้างดาวของแท้อีกต่างหาก แต่นาทีนี้ใครสนล่ะ ผมแทบจะไม่ได้คุยกับน้องเลยนอกจากในแชต จากความหวังที่มันค่อยๆ ริบหรี่อยู่แล้วก็ยิ่งไม่หลงเหลือเลย
พอมาวันนี้ อะไรที่พอจะไขว่คว้าได้ผมก็ต้องทำไปก่อน
ผมมาถึงร้านหนังสือหน้าหอในภายในห้านาที เห็นปอนด์กับเอ็มโบกมือไหวๆ อยู่ใกล้ต้นไม้ พร้อมกับชี้ให้เดินเข้าไปในร้านหนังสือเล็กๆ นั่น ใจของผมเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ ยามก้าวเข้าไปภายในร้าน เห็นร่างสูงกำลังยืนอ่านหนังสือการ์ตูนวันพีซอยู่ ผมก็ตั้งท่าจะเข้าไปทักทาย แต่...
“ไปกันยัง” เสียงของผู้หญิงน่ารักคนหนึ่งทักขึ้นมาเสียก่อน
ผมได้แต่หลบอยู่ตรงมุมหนึ่งของชั้นหนังสือ ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ชัดเต็มสองรูหูแต่ก็พยายามคิดในใจ เขาไม่ได้เป็นอะไรกัน เขาไม่ได้เป็นอะไรกัน...
“อื้อ”
“หิวแล้ว”
“อยากกินอะไรล่ะ” เสียงนุ่มที่ตอบกลับไปแบบนั้นทำเอาผมเขวไปพักใหญ่
“ซูชิ”
“โอเค เดี๋ยวพาไปกิน”
“ใจดีจังเลยนะป๋า”
“กระเป๋าหนักอยู่แล้ว” ว่าพลางตบกระเป๋ากางเกงนิสิตไปด้วย ผมได้แต่มองตามร่างสูงกับผู้หญิงตัวเล็กคนนั้นเดินไปที่เคาน์เตอร์ จ่ายเงินค่าหนังสือการ์ตูนเสร็จก็เดินออกไป ทิ้งผมให้ยืนงงไปชั่วขณะ
สิ่งที่ทำได้คือเดินกลับไปหาปอนด์กับเอ็มที่ยืนซุ่มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล บอกกับมันว่าผมเจอของดีเข้าแล้วจนกระทั่งทั้งคู่อาสาพาผมขับรถตามรุ่นน้องปีหนึ่งไปติดๆ และก็ได้รู้ความจริงในตอนนั้น เรื่องเพ้อฝันสุดท้ายก็เป็นแค่ความฝัน เทคมีแฟนแล้ว
และสถานะของผมก็ควรจัดเข้าไปอยู่ในหมวด ‘คนอื่น’ สักที
“เฮ้ย ใจเย็นมึง มันมีแฟนแล้วมึงก็ชอบคนใหม่ดิ” นี่คือคำปลอบใจตามประสาเพื่อนที่ผมได้รับจากเอ็ม หลังจากพากันมานั่งหน้าละห้อยในหอของผม พร้อมกับเบียร์อีกโหลใหญ่
“เปลี่ยนใจง่ายขนาดนั้นได้ก็ดีดิ”
“เอาน่า มันก็แค่ช่วงเลือดร้อนของมึง คิดดู มีหล่อกว่านี้ เท่กว่านี้อีก เดี๋ยวกูหาให้”
“ห่า กูไม่ได้ชอบใครง่ายขนาดนั้นเว้ย ไม่ได้ชอบที่หน้าตาด้วย กูแค่ชอบรอยยิ้มของมัน กูอยากมีคนยิ้มแบบนั้นอยู่ใกล้ๆ กูก็เลยชอบ” วินาทีแรกที่ผมเห็นเทคและมีโอกาสได้ทักทายกัน ริมฝีปากรูปสระอิเป็นความทรงจำเดียวที่ผมจำได้ขึ้นใจ
“มึง...โอเคใช่มั้ย”
“กูโอ...เค จริงๆ” แม้ปากจะบอกแบบนั้น แต่มือที่หยิบแก้วเบียร์ขึ้นมาจ่อปากกลับสั่นเทา แม้แต่น้ำตาก็ยังทรยศผมเพราะมันไหลลงมาไม่ขาดสาย
“มันไม่รู้หรอกว่ากูมองมันมานานแค่ไหน พยายามแค่ไหนเพื่อให้ตัวเองได้มีโอกาสเข้าไปคุย อาทิตย์หนึ่งจะเจอกันมากกว่าครั้งก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อแล้ว”
“...”
“บางทีมันก็มีนะ อารมณ์หน่วงๆ ที่คลางแคลงใจ ทำไมมันไม่มีความเคลื่อนไหวบนเฟซเลย ทำไมยังออนไลน์ตลอดเวลาแต่เรากลับไม่รู้ว่ามันคุยกับใคร คนที่ชอบหรือเปล่า ในใจกูได้แต่ภาวนานะเว้ยว่าขออย่าให้มันชอบใครเลย บางทีกูก็เห็นแก่ตัวอยากเก็บมันไว้เป็นของตัวเอง แต่พอวันนี้...”
เหมือนก้อนอะไรสักอย่างจุกอยู่ที่คอจนพูดออกมาไม่ได้ ผมหายใจไม่ออก เจ็บยอกที่อกเกินกว่าจะอธิบาย การแอบชอบใครคนหนึ่งส่งผลเสียขนาดนี้เลยเหรอ เพราะถ้ารู้ตั้งแต่แรกผมคงไม่พาตัวเองเข้าไปอยู่วังวนแบบนี้ เข้าไปเพื่อให้รู้สึกเจ็บกับความไม่สมหวัง
“เฮ้ย โฟร์”
“ก็เป็นได้แค่นั้นแหละ”
ผมถูกกอดเอาไว้ด้วยอ้อมแขนของเพื่อน ถูกลูบหลังปลอบประโลมจนกว่าจะคลายสะอื้น ผมว่าผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เกิดมาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร แล้วพอวันหนึ่งที่เสียใจดันเป็นรักข้างเดียวอีก ใครจะน่าสมเพชเท่ากับคนอย่างผมบ้าง ร้องไห้เสียใจให้กับคนคนหนึ่ง ทั้งที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าระหว่างเรามันคืออะไร
Punthanuch Srisawang
Instinct – ความจริงที่เจ็บปวด https://www.youtube.com/watch?v=qTimCE-EU_A
ตื่นขึ้นมาได้แล้วนะเรา จะมัวแต่คอยเฝ้าฝันไปถึงไหน
ตื่นขึ้นมาได้แล้วหัวใจ และเดินออกไปเผชิญความจริงที่เจ็บปวดและแสนเศร้า
ว่าเราไม่ได้คู่กันเลย…
6 พ.ย. 2553
ถึงตอนนี้คง...หมดหวังแล้วว่ะ อกหักคนเดียวซะด้วยสิ
จะชอบมึงต่อไปดีรึเปล่า ชอบแต่ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้มันเป็นความฝันแสนหวานต่อไป ดีกว่าต้องมาเจอความจริงที่ถูกมึงปฏิเสธมันด้วยตัวเอง มาวันนี้คงคิดว่าจะหยุดจริงๆ แล้วนั่นแหละ แต่อย่างน้อยก็ขอให้ทุกอย่างเป็นความทรงจำที่ดี ว่าครั้งหนึ่งเคยพยายามและแอบชอบคนคนหนึ่งโดยไม่เผื่อใจให้ใครเลย
เพิ่งรู้ว่ามันเจ็บมาก พอแล้วกับการฝันกลางวันตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ขอบคุณที่ทำให้กูได้ทำอะไรบ้าบอแบบนี้นะเทค
ขอให้โชคดี
ปิดเทอมมมมมมม เทอมหนึ่งผ่านพ้นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย และปีใหม่ก็มาถึงในคืนนี้ ผมพร้อมแล้วที่จะทิ้งทุกอย่างในปีที่แล้วและก้าวผ่านทุกอย่างเพื่อเริ่มต้นใหม่ ปอนด์กับเอ็มพากันหนีไปเคาต์ดาวน์ไกลถึงดอยอินทนนท์ มีเพียงผมที่ยืนอยู่หน้าระเบียงบ้านของตัวเองเพื่อรอพลุลูกที่สี่
อธิษฐานและก้าวผ่านทุกอย่างไป...
ตั้งแต่รู้ความจริงวันนั้น ผมก็ไม่ได้คุยกับรุ่นน้องตัวสูงอีกเลย และที่หนักหนากว่าคือคลาสเคมีได้จบลงแล้วเมื่อหมดเทอม นั่นหมายความว่าในปีหน้าเราจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก มหา’ลัยมันกว้าง ความเป็นไปได้ในการจะเจอกับใครสักคนหนึ่งอีกโดยบังเอิญมีแค่ไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ และผมคงไม่โชคดีขนาดนั้น
โทรทัศน์ที่แม่กับพ่อเปิดเอาไว้เพื่อเคาต์ดาวน์พร้อมกับคนทั้งประเทศนั้นดังในโสตประสาท ผมมองไปบนท้องฟ้ามืดสนิท รอฟังเสียงนับถอยหลังจากสิบเป็นเก้า...แปด กระชั้นไปเรื่อยๆ
สาม...สอง...หนึ่ง
ปุ้ง!!
พลุลูกแรกถูกจุดขึ้น พร้อมกับคอลไลน์ที่ดังขึ้นมาในเวลาใกล้เคียงกัน
[แฮปปี้นิวเยียร์ ขอให้มึงมีความสุขมากๆ นะเว้ย] ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือเพื่อนทั้งสองคนที่กำลังใส่หมวกไหมพรมและเสื้อกันหนาวตัวหนา ด้านหลังเต็มไปด้วยผู้คนมากมายจนผมรู้สึกอยากพาตัวเองไปฉลองกับพวกมันที่โน่น
“แฮปปี้นิวเยียร์ ไอ้ปอนด์ ไอ้เอ็ม ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ”
[อื้ม พลุสวยมาก มึงเห็นมั้ย]
“เห็น มึงดูพลุบ้านกูดิ ก็สวยนะ”
[ไอ้ย่ะ มีอวดนะมึง อธิษฐานแล้วหรือยัง]
“ไม่ทันละ มึงคอลมาขัดจังหวะ”
[งั้นกูอวยพรให้แล้วกัน ขอให้มึงสมหวังในความรักนะโว้ยยยยยย รักมึง กูรักมึงไอ้โฟร์!!] ผมได้แต่หัวเราะตามเสียงแหบแห้งที่ตะโกนลอดผ่านเข้ามา นับดูดีๆ ก็เกือบสองปีครึ่งแล้วที่เป็นเพื่อนกันมา ถึงผมจะไม่มีเทค แต่ก็ยังมีเพื่อน
เพื่อนที่ไม่เคยจากไปไหน
31 ธ.ค. 2553
มันเป็นความรู้สึกที่บอกใครไม่ได้ แต่ความชอบที่บอกว่าชอบไปแล้วก็เอาคืนกลับมาไม่ได้เหมือนกัน ถ้าปีนี้เราได้เคาต์ดาวน์ด้วยกันก็คงดี อย่างน้อยคงมีคนเคียงข้าง จับมือไปด้วยกัน เพียงแต่ปีนี้...มันเป็นอย่างฝันไม่ได้จริงๆ
แฮปปี้นิวเยียร์นะเทค
ฮัลโหลปีสาม
เปิดเทอมวันแรกใครๆ ก็ตื่นเต้น เทอมที่แล้วได้เกรดมาแทบคาบเส้น 3.01 แม่แทบจะตีตายแต่ก็รอดเพราะผ่านเกณฑ์มาอย่างหวุดหวิด ผมห่างไกลจากคำว่าเฟรชชี่หน้าใสมาอีกปี นานหลายเดือนที่ผมไม่เจอเทคเลย และที่สำคัญก็พยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้ส่องเฟซบุ๊กน้องมันเหมือนทุกที
“หูยยยย ปิดเทอมไม่ได้เจอ หล่อขึ้นนะมึง” ไอ้เอ็มชมใหญ่ ผมเลยทำหน้ายิ้มกริ่มบอกกลับไปแบบทีเล่นทีจริง
“งี้แหละ คนมันแฮปปี้”
“ตั้งแต่รู้ว่าน้องมันเลิกกับแฟน มึงนี่ทำตัวมีความสุขขึ้นมาทันทีเลยนะ”
“อะไร”
ได้แต่ขมวดคิ้วกลับ ใครเลิกกับแฟน แล้วอะไรคือการที่ผมต้องมีความสุขเพราะเรื่องแบบนี้ด้วย ปิดเทอมบอกเลยว่าต่างฝ่ายต่างออกไปใช้ชีวิต ผมหนีไป Work & Travel อยู่สามเดือน ไม่ค่อยมีเวลาคุยกับไอ้สองตัวนี้จริงจังเท่าไหร่ จนกระทั่งวันนี้ วันแรกของการเปิดเรียน
“อ้าวก็ไอ้เทคไง มันเลิกกับแฟนไปเมื่อเดือนก่อน กูนึกว่ามึงจะรู้ซะอีก”
“ไม่รู้” ตอนที่ตอบกลับไป ผมแทบไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่ากำลังยิ้มอยู่ เหมือนความหวังกำลังถูกจุดขึ้นมาตรงหน้าอีกครั้ง รอให้ผมกระโจนไปข้างหน้าอย่างไม่กลัว
“เลิกชอบมันไปหรือยังล่ะ”
“ยัง ยังชอบอยู่”
“ลุยเลย ปีสามละ อีกไม่กี่ปีก็เรียนจบแล้ว ทำให้เต็มที่” อีกฝ่ายตบบ่าปุๆ ให้กำลังใจ ความจริงตลอดหลายเดือนที่เราไม่ได้เจอกัน ไม่ได้พูดคุย ผมพยายามแล้วแต่กลับพบว่าตัวเองยังคงเขียนไดอารี่ถึงรุ่นน้องคนนั้นทุกวันจนกลายเป็นความเคยชิน แม้รู้ว่าสุดท้ายเราจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของกันและกันก็ตาม
ผมรีบเช็กตารางเรียนของรุ่นน้องตัวสูงเร็วพลัน คิดดูแค่ชื่อกับนามสกุลผมก็จำได้ขึ้นใจแล้ว เพียงขอแค่ให้รู้ว่าเวลานี้เทคอยู่ที่ไหนหรือกำลังเรียนอะไรมันก็ง่ายที่จะเจอกัน
“มึง...” ผมโพล่งขึ้น
“อะไร”
“พักกลางวัน...พักกลางวันไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะสหเวชฯ กัน”
“ร้ายไม่เบานะ เออ ไปก็ไป”
ที่ผมทำไปเพื่อหวังว่า ใจที่เคยให้เขาไปแล้วไม่มีคนเก็บเอาไว้จะได้รับการดูแลอีกครั้ง...
โรงอาหารตอนเที่ยงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผู้คนพลุกพล่านจนแทบจะชนกันล้มหัวคะมำอยู่รอมร่อ ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้สีขาว พร้อมกับสั่งน้ำอัดลมมาดื่มดับกระหายเพียงแก้วเดียว ส่วนสายตาก็สอดส่องหาใครบางคนที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายเดือน
ปอนด์กับเอ็มก็ทำงานแข็งขัน เป็นหน่วยกล้าตายตระเวนไปทั่วโรงอาหารเพื่อมองหารุ่นน้องปีสอง ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของมันแท้ๆ แต่มันก็ทำเพื่อผมตลอดไม่มีบ่น
“ไอ้โฟร์ น้องมันนั่งอยู่ตรงนั้น” ปอนด์รีบวิ่งเข้ามาที่โต๊ะ ชี้ให้ผมดูรุ่นน้องตัวสูงที่กำลังถือจานข้าวนั่งลงกับเพื่อนอีกสองคน
“เออว่ะ ทำไงดีวะ”
“ไปซื้อข้าวเลย แล้วเดินเนียนบอกหาที่นั่งไม่ได้”
“สิ้นคิดฉิบ”
“เร็วดิ จะไปหรือไม่ไป ถ้าลีลามาก มึงก็แห้วนะ”
สุดท้ายก็เออออรีบควักกระเป๋าสตางค์เดินไปซื้อหาอาหารอย่างไวว่อง ผมทำทีมองซ้ายมองขวาใกล้ๆ กับรุ่นน้องตัวสูง ขณะที่ในใจก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้อีกฝ่ายเอ่ยทักทายด้วยเถอะ
“พี่ พี่โฟร์”
เยส! ผ่านด่านแรกไปอีกขั้น
“อ้าวเทค นั่งตรงนี้เหรอ” โกหกหน้าตายมาก แต่ไม่แคร์หรอก ชอบมาได้ปีหนึ่งแล้วอ่ะจะให้ผ่านไปง่ายๆ เหรอ
“ครับ พี่มากับใคร”
“มา...เอ่อ มาคนเดียว แต่เหมือนไม่มีที่นั่ง”
“นั่งด้วยกันสิครับ” ร่างสูงโปร่งรีบกระถดตัวไปด้านข้าง พร้อมกับเพื่อนของเขา ในเมื่อชวนกันขนาดนี้ผมก็ไม่อยากขัดศรัทธา รีบทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ อีกฝ่ายทันที
“ไม่เจอกันตั้งนาน หล่อขึ้นป่ะเนี่ย” อูยยยย น้องมันทักว่าหล่อขึ้นด้วยว่ะ
“น้องก็เหมือนกัน จำแทบไม่ได้เลย” ไม่ได้โกหกครับ เหมือนยิ่งเรียนสูงขึ้นออร่ามันก็ยิ่งออก
“ปิดเทอมพี่หายไปไหน ไม่ได้เจอกันเลย”
“ก็ยุ่งๆ อ่ะ ปิดเทอมปีสองก็หนีไปเวิร์กที่เมกาสามเดือน”
“สนุกมั้ย”
“ก็ดีนะ ว่าแต่น้องเถอะปิดเทอมทำอะไรบ้าง”
“อกหักว่ะพี่...” เจ้าตัวพูดเสียงเศร้าสลด
“อย่าคิดมาก อย่างน้องมีคนชอบเยอะจะตายไป จะมีใหม่เมื่อไหร่ก็ได้”
“มีคนชอบเยอะ แล้วมีพี่อยู่ในนั้นป่ะ”
“...”
“ล้อเล่นครับ”
ไม่ได้อยากให้พูดเล่นเลยจริงๆ คนที่อยู่ตรงนี้มันจริงจังนะโว้ย
“ไอ้เทค มีคนฝากมาว่ะ” พูดกันได้ไม่เท่าไหร่ เพื่อนของรุ่นน้องตัวสูงที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนก็ยื่นขนมถุงใหญ่มาให้ เราต่างมองของตรงหน้าสลับกับคนถือไปมา
“ใครให้อ่ะ”
“เจ้าเก่าเจ้าเดิม”
“บอกเขาว่าไม่ต้องซื้อมาให้กูแล้ว”
“ไปเคลียร์กันเองดิ”
“ไม่เอาว่ะ”
“เขินอ่ะดิ เห็นเป็นรุ่นพี่มาชอบหน่อยมีปฏิกิริยาทุกราย เอาน่า ไหนๆ เขาก็เอาของมาเซ่นขนาดนี้แล้วไปขอบคุณสักหน่อยก็ไม่เสียหายหรอก ไปล่ะ” เพื่อนของน้องพูดจบก็เดินผละออกไปทันที ทิ้งให้ผมที่นั่งขมวดคิ้วแทบเป็นปมเพราะความสงสัยเลยมองหน้าหล่อเหลาแบบไม่กะพริบ
อยากถาม แต่ก็ไม่กล้าเพราะไม่ใช่เรื่องของเรา แต่...
“มีอะไรติดหน้าผมเหรอครับ” เทคกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเสียก่อน
“อ๋อเปล่า แค่สงสัย”
“เรื่อง?”
“เดี๋ยวนี้น้องมีคนส่งขนมถึงที่เลยเหรอเนี่ย คณะไหนกัน”
“รุ่นพี่ปีสาม เรียนคณะแพทย์น่ะครับ ผมก็ไม่อะไรนะ เขาก็น่ารักดี”
“อ้อ ดีจังเลย” แค่ได้ยินชื่อคณะก็แทบยกธงขาวยอมแพ้แล้วล่ะ จะเอาอะไรไปสู้เขาวะ ถ้าเรียนเก่งเหมือนเพื่อนในคณะก็ดีสิ แต่นี่เป็นแค่หางแถว จะหาข้อดีไปสู้ก็ยังหาแทบไม่เจอ
หลังจากนั้นผมกินข้าวแทบไม่ลง เราแยกกันหลังจากนั้นสิบห้านาที เห็นเทคเดินไปหาใครคนหนึ่งที่นั่งห่างออกไปไม่ไกลนัก รุ่นพี่คนนั้นเป็นผู้ชายที่หน้าตาน่ารักมาก น่ารักจนผมต้องก้มมองตัวเองว่า ไม่มีอะไรสู้เขาได้เลย สุดท้ายก็ต้องเดินคอตกกลับมาหาไอ้สองตัว แล้วบอกกับมันว่าทุกอย่างได้จบลงแล้ว
พังไม่เป็นท่า และไม่มีแรงจะสู้ต่อไปแล้วจริงๆ
14 ส.ค. 2554
เพลงนาฬิกา ของปลานิลเต็มบ้าน ฟังเพลงนี้มานานแล้วตั้งแต่ Youtube มียอดวิวแค่ไม่กี่หมื่นวิวเอง วันนี้กลับมาฟังอีกรอบ เฮ้ย! ห้าล้าน เวลามันผ่านไปเร็วเหมือนกัน แล้วชีวิตผมเกี่ยวอะไรกับเพลง?
บางทีก็แอบมีความคิดแปลกประหลาดว่า คู่ของเข็มวินาทีอยู่ตรงไหน ในเมื่อบนนาฬิกามีแค่เข็มสามเข็ม ก็ต้องมีคนเสียสละใช่หรือเปล่า แล้วถ้าเข็มวินาทีหายไปจะเป็นยังไง เข็มชั่วโมงกับเข็มนาทีจะรู้สึกเจ็บปวดบ้างมั้ย บางทีเราก็ไม่อยากเป็นคนที่ถูกมองข้าม เพราะถูกทำแบบนี้ประจำแทนที่จะชินกลับต้องมานั่งร้องไห้ ไม่อยากเลยว่ะ มีคนคิดต่างบ้างมั้ย มองเห็นความสำคัญของมันบ้างมั้ย
คงจะดีถ้าคนคนนั้นเป็นคนที่เราชอบ เป็นเข็มชั่วโมงที่อยากให้ถ่านนาฬิกาหมดแล้วเรามาหยุดตรงกัน แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องยาก เข็มชั่วโมงกับเข็มนาทียังดูมีโอกาสมากกว่า แต่เพราะความหวังเล็กๆ ไม่ใช่เหรอที่ทำให้คนเรามีความสุข ดังนั้นกูขอหวังต่อไปได้มั้ย...
ฝันดีว่ะเทค
“โฟร์ มึงโอเคป่ะ” คุ้นๆ ประโยคนี้มั้ย ผมต้องมาได้ยินคำนี้อีกครั้งหลังจากได้รู้ความจริงว่าคนที่แอบชอบมาตลอดสองปีมีแฟน และก็คงไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นเด็กปีสามคณะแพทย์คนนั้นไง คนที่ผมไม่กล้าแม้จะออกไปสู้หรือพยายามอะไรทั้งนั้น รู้อยู่แล้วว่าต้องแพ้ รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
“กูควรจะชินแล้วไม่ใช่เหรอวะ” ผมตอบกลับไป หากแต่น้ำตากลับคลออยู่ในตาทั้งสองข้าง
“ลืมไอ้เทคมันเถอะ เอาจริงๆ”
“...”
“มึงอยู่กับความฝันจนลืมความจริงนานเกินไปแล้ว”
“กูอยากลืมเว้ย แต่มึงเข้าใจมั้ยว่าคนมันชอบไปแล้วจะให้ทำไงวะ ต่อให้มึงหาคนที่หน้าเหมือนไอ้เทคมาให้กูยังไง กูก็ยังชอบเด็กนั่นอยู่ดี”
“...”
“มึงเคยมั้ยเห็นใครบางคนที่มีรอยยิ้มที่เราชอบ ความจริงเราไม่ได้ชอบคนคนนั้นหรอก เราแทบไม่รู้จักใครคนนั้นด้วยซ้ำ แต่ที่เราชอบเพราะรอยยิ้มแบบนั้นทำให้เรานึกถึงใครบางคนขึ้นมาต่างหาก และเมื่อไหร่ก็ตามที่กูเจอใครที่ยิ้มเหมือนมัน กูก็จะคิดถึง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้กูลืมไม่ได้”
ผมพูด ขณะที่มือยังสาละวนอยู่บนหน้าไทม์ไลน์ในเฟซบุ๊กของคนตัวสูงอยู่ ผมเหมือนกำลังคลั่ง ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่างนอกจากอิจฉาเขาไปวันๆ ทำไม...ทำไมถึงเป็นผมไม่ได้
และทำไม ถึงไม่มีอะไรดีๆ ไปสู้คนอื่นเขาเลย
“มึง เขามีรหัสเฟซของกันและกันด้วยว่ะ กูอยากลงหลุม”
“ใจเย็นไอ้โฟร์ มึงเลิกเพ้อได้แล้ว!”
“...”
“พอเถอะ กูขอร้อง มึงก็แค่ฝันไป มึงก็แค่ชอบมันอยู่ฝ่ายเดียว เลิกหลอกตัวเองแล้วใช้ชีวิตของมึงซะ”
“ฮึก...ทำไมฝันหวานมันตื่นเร็วจังวะ”
“ตื่นเร็วตื่นช้า สักวันก็ต้องตื่น มึงมีความสุขได้เว้ย มีความสุขได้โดยไม่ต้องฝัน”
และหลังจากนั้นผมก็ไม่รับรู้ข่าวคราวของรุ่นน้องอย่างเทคอีกเลย ลบเฟซออกจากระบบ พยายามหายไปจากชีวิตและเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ เพื่อหวังว่าสักวันจะได้เจอใครสักคนที่ใจตรงกันบ้าง
แม้การเริ่มก้าวไปข้างหน้าในแต่ละวันนั้น มันจะพาเอาความทรงจำและไดอารี่สีตุ่นๆ ตามไปด้วยเสมอ
2 มี.ค. 2555
นานแล้วที่รู้ว่าแอบชอบรุ่นน้องคนหนึ่งมาเกือบสองปี แต่ยิ่งรู้เราก็ยิ่งไกลกันไปเรื่อยๆ ผมเริ่มล้า เหนื่อย และอยากถอยอยู่หลายครั้ง พอมาอีกวันผมกลับมีกำลังใจจะทำทุกอย่างต่อไปอย่างน่าประหลาด แต่...วันนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่รู้สิ ผมแค่คิดว่าควรหยุดดีกว่า หยุดมาดำเนินชีวิตของตัวเอง ทำตามความฝันและปล่อยให้เรื่องทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตา บางทีผมอาจเลือกการไม่มีคนรักเลยแล้วหันไปทำอะไรบางอย่างที่เหมาะกับตัวเองมากกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจ็บที่รู้สึกไปคนเดียว
ในเมื่อความชอบมันสวนทางกับความเป็นจริง ผมเลือกที่จะอยู่กับความจริงมากกว่า
หวังว่าสักวันผมจะเข้มแข็งพอที่จะกล่าวอำลาอย่างจริงใจสักที
ขอบคุณนะเทค
23 ต.ค. 2555
วันเวลาเก่าๆ ฉายภาพเดิมซ้ำๆ เหมือนทุกอย่างยังวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน ถึงแม้ใครหลายคนในชีวิตจะจากไป มึงจากไป แต่เชื่อว่าสักวันก็ต้องกลับมา กลับมาเพื่อให้รู้ว่ายังมีใครบางคนตั้งหน้าตั้งตารออยู่ คนเป็นพันเป็นหมื่นกว่าจะเวียนมาบรรจบกันอีกครั้งคงเป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ง่ายเลย
คิดถึงมึงว่ะเทค นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน
16 พ.ค. 2556
ต้องไปฝึกสอนแล้วว่ะ คราวนี้ออกต่างจังหวัดเลย คงไม่ได้กลับมหา’ลัยอีกนาน คิดถึงเพื่อน คิดถึงบรรยากาศที่นี่ แต่ความทรงจำใหม่อย่างโรงเรียนและการยืนเข้าแถวเคารพธงชาติตอนแปดโมงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ออกจะสนุกด้วยซ้ำ ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ทำเอาตื่นเต้นไปหลายวัน
แล้วมึงล่ะเทคเป็นไงบ้าง ปีนี้ก็คงฝึกงานแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ว่าอยู่ที่โรงพยาบาลไหน อาจจะยุ่งๆ ไปบ้างแต่ต้องสู้นะเว้ย ความรักล่ะเป็นยังไง แฟนมึงเขาดูแลดีมั้ย ขอโทษนะที่ไม่ได้ตามข่าวมึงเลย แต่กูเจ็บแล้วว่ะ ผ่านไปกี่ปีกูก็รู้แค่ว่ากูยังคิดถึงแต่มึง มีแค่มึง ต่อให้มึงหนีไปแต่งงานสร้างครอบครัวและมีความสุขไปนานแล้ว แต่...รุ่นพี่คนนี้ก็ยังชอบมึงอยู่นะ ชอบทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นความทรงจำที่สวยงามที่สุดในชีวิตกู
พรุ่งนี้กูจะคิดถึงมึง พรุ่งนี้กูจะอวยพรให้มึงมีความสุข และถ้ามีโอกาสเราคงได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
5 ก.ค. 2557
ใจหาย...
เรียนจบแล้วและก้าวเข้าสู่สายการทำงานอย่างจริงจัง ปอนด์ไปเป็นครูในโรงเรียนเอกชน ส่วนเอ็มหนีไปเรียนต่อเมืองนอก ส่วนผมก็กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเอาทางไหนเพราะไม่ได้ชอบการสอนอะไรขนาดนั้น ช่วงเดือนแรกผมยังเดินทางไปโน่นไปนี่ให้หายเบื่อ มองหาจุดหมายในชีวิต กระทั่งสองเดือนให้หลังผมก็ได้รู้ว่าผมอยากเรียนต่อ
คณะอะไรก็ได้ที่ตัวเองชอบ ดังนั้นนี่จึงเป็นหนึ่งปีที่เว้นว่างจากการเรียนและการทำงาน เป็นหนึ่งปีที่มีหลากหลายความรู้สึก วันก่อนผมไปญี่ปุ่น เจอคนหน้าตาเหมือนรุ่นน้องที่เคยชอบด้วยแหละ แค่เหมือนแต่ไม่ใช่คนคนเดียวกันหรอก คิดดูดิ ชอบคนคนหนึ่งมาเกือบห้าปี ชอบทั้งที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาเป็นยังไง สบายดีมั้ย รู้แค่ว่าวันนี้เขายังคงอยู่ในความทรงจำไม่ไปไหน
ถึงเทค...
จำได้ว่าเมื่อวันนั้นที่เราเจอกัน มึงน่ารักมากเว้ย ตัวก็สูง ขาโคตรยาว ที่สำคัญคือยิ้มของมึงทำให้กูยิ้มตามได้อย่างน่าประหลาด กลายเป็นกูที่ตกหลุมรักปากรูปสระอิไปโดยปริยาย กูอยากบอกรักมึงแต่ก็ไม่กล้าพอ พอมีโอกาสกูก็ปล่อยให้หลุดลอยไป เพราะกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ เพราะกลัวว่าอาจไม่คู่ควรกับมึง
กูไม่เคยมั่นใจอะไรทั้งนั้น แต่การแอบมองอยู่ห่างๆ มันก็มีทั้งความสุขและความเศร้า มีความสุขตอนที่เห็นมึงยิ้มและหัวเราะ แต่ก็รู้สึกใจหายตอนที่ข้างกายของมึงมีใครอีกคนอยู่ด้วย กูอาจไม่ใช่คนที่ดีพอที่มึงจะรัก แต่ถ้ากูมีโอกาสกูก็อยากจะบอกว่ากูรักมึง รักมึงนะ รักมากเลย
แต่ช่างเถอะ มึงไม่มีทางรู้ และกูจะเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้เอง
ขอบคุณรอยยิ้มในวันแรกที่มอบให้ เพราะมันจะกลายเป็นรอยยิ้มที่กูจำไปจนวันสุดท้าย
รัก
บันทึกความทรงจำวันสุดท้าย
19 ธ.ค. 2558
“e e d u c…c c a t i…i i i o n education ha!”
รับปริญญาแล้ว ตอนนี้ผม ปอนด์ และเอ็มกลายเป็นบัณฑิตที่ต้องยิ้มแฉ่งอยู่หน้ากล้องเพื่อเก็บภาพความทรงจำสุดท้ายไปด้วยกัน
หน้าสุดท้ายของไดอารี่เล่มนี้ผมก็ยังคงเขียนถึงน้องชายปีหนึ่งที่เรียนสหเวชฯ คนเดิม ความรู้สึกทั้งหมดกูขอไม่เขียนแล้วกัน สิ่งเดียวที่อยากบอกก็คงเป็น...ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ความฝันในตอนนั้นมันยังติดอยู่ในหัวอยู่เลย
โฟร์
-
เพื่อนรักพาผมมาที่คณะสหเวชฯ เสียงบูมของน้องๆ ปีหนึ่งดังไกลมาจนถึงหน้าคณะ ผมเดินตรงเข้าไปภายในลานกิจกรรมเพื่อมองหาใครบางคน คนที่อยากเจอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเราจะแยกย้ายไปใช้ชีวิตของใครของมัน ก่อนเราจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก
ผมกวาดตามองไปโดยรอบจนหยุดอยู่ที่ใครคนหนึ่งที่ใส่ชุดครุยและกำลังถ่ายรูปอยู่กับสายรหัส รีบกระชับมือที่ถือสมุดไดอารี่ให้แน่นขึ้น หันไปขอความคิดเห็นกับเพื่อนอีกสองคน ซึ่งทั้งปอนด์และเอ็มก็พยักพเยิดให้ทำใจกล้าเดินเข้าไปทักทาย
รอจนคนตัวสูงถ่ายรูปเสร็จและปลีกวิเวกมานั่งพักอยู่ที่โต๊ะ ผมก็ก้าวเท้าเข้าไปหา ทั้งที่ในหัวช่างว่างเปล่าซะเต็มประดา
ยิ่งเดินเข้าใกล้ หัวใจก็ยิ่งเต้นแรง...แรงจนเหมือนวันแรกที่เราเจอกัน
ภาพความทรงจำของผม เทคยังหน้าตาเหมือนเดิม เป็นเด็กปีหนึ่งที่มีปากรูปสระอิและส่งยิ้มตาหยีมาให้ เขายังคงเป็นแบบนั้นแม้เวลาจะผ่านไปอีกกี่สิบปีก็ตาม
อยากร้องไห้ว่ะ
“เทค ยินดีด้วยนะ” นี่คือคำทักทายแรกของผมในรอบสามปี
“อ้าว พี่โฟร์ คิดว่าจะไม่ได้เจอกันซะแล้ว”
เจ้าตัวรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ส่งยิ้มมาให้จนโลกสดใสไปหมด
“ถึงมาหานี่ไง กลัวไม่ได้เจอ”
“ถ่ายรูปด้วยกันมั้ยครับ ผมอยากมีภาพเก็บไว้”
“ก็ดี”
ผมพยักหน้ารับ รีบจัดครุยของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะยืนเคียงข้างคนตัวสูง ครั้งแรกในรอบสามปีเราทักทายกันไม่กี่ประโยค แต่คงได้รูปถ่ายกลับมาอีกเป็นอัลบั้ม
“เดี๋ยวผมเรียกพี่ตากล้องก่อนนะ”
จากนั้นไม่ถึงสองนาที เราก็พร้อมเก็บความทรงจำไปด้วยกันแล้ว
“สาม...สอง...”
แชะ!
“ขอผมกอดคอพี่ได้มั้ย ทำไมพี่ตัวเล็กจัง”
“พูดมากน่า” บอกออกไปแบบนั้นแต่ก็ยอมให้รุ่นน้องตัวสูงเอื้อมมือมาพาดบ่าอยู่ดี ผมไม่ได้มองไปที่กล้อง แต่กลับมองไปยังเสี้ยวหน้าของเทค จดจำทุกอย่างที่เป็นเขาทั้งหมด ก่อนช่างภาพจะกดชัตเตอร์
แชะ!
เราไม่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ขอให้รู้ว่าเรายังมีกันและกันอยู่เสมอไม่ว่า...จะอยู่ที่ไหนก็ตาม เราอยู่ที่นี่เหมือนเพื่อน เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกันในวันสุดท้าย เป็นพี่น้องบัณฑิตที่เรียนจบพร้อมกัน แค่นี้แหละที่ความทรงจำของผมต้องการ
จากวันแรกถึงวันนี้ห้าปีแล้วที่มีโอกาสได้ชอบ และคิดว่าก็คงจะชอบต่อไป
“คิดถึงเนาะ เหมือนตอนนั้นผมยังอยู่ปีหนึ่ง แล้วพี่ก็เป็นแค่เด็กศึกษาฯ ปีสองอยู่เลย” หลังจากถ่ายรูปเสร็จ เราใช้เวลาอันน้อยนิดพูดคุยกันด้วยเรื่องราวในอดีต ความทรงจำระหว่างเรามันน้อยมาก แต่ผมกลับพูดได้เต็มปากเลยว่ามีทั้งความสุขและความเศร้าอยู่ในนั้นเต็มไปหมด
“อื้ม ถ้าไม่เข้าห้องเลตเราก็คงไม่ได้รู้จักกัน”
“ผมเป็นไงบ้างในตอนนั้น”
“เหมือนตอนนี้เลย ยิ้มหล่อๆ เหมือนเดิม ตัวสูงเหมือนเดิม และก็คงฮอตเหมือนเดิม”
“พี่เองก็เหมือนกัน พี่ยังตัวเล็กเหมือนเดิม ยิ้มน่ารักเหมือนเดิม”
“...”
“แต่ไม่รู้ทำไม ก่อนหน้าที่เราเจอกัน พี่ถึงไม่ยิ้มแบบนี้ พี่ชอบยิ้มเศร้าๆ”
“ฮ่าๆ เหรอ”
“จริงๆ ยิ้มแบบนี้ดูดีกว่าเยอะ”
“เทค มีอะไรจะให้ว่ะ”
“ครับ”
ผมยื่นสมุดไดอารี่สีตุ่นๆ ให้กับอีกฝ่าย เจ้าตัวมองมันพลางขมวดคิ้วมุ่น ก่อนผมจะลุกขึ้นยืน คงไม่มีประโยชน์ที่จะถามไถ่อะไรอีก ชีวิตของเขาก็แค่ปล่อยให้คนสำคัญของเขารับรู้ แต่กับคนที่แค่ผ่านเข้ามาก็ทำได้แค่เดินผ่านไป
“อยากให้เก็บไว้ ไม่จำเป็นต้องอ่านก็ได้ ขอบคุณความทรงจำระหว่างเรานะน้องชาย”
“...”
“พี่ขอให้เทคโชคดี”
ผมพอแล้ว อย่างน้อยก็มีโอกาสได้บอกลากัน สร้างความทรงจำที่สวยงามและหยุดมันไว้แค่นั้น เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งที่ผมคิดถึง ผมจะได้ย้อนกลับมาในช่วงเวลานี้ เวลาที่หัวใจเต้นช้าจนเหมือนจะหยุด
“พี่โฟร์”
“...”
“พี่! อย่าเพิ่งไป” กายสูงวิ่งเข้ามาประชิด และรั้งข้อมือของผมไว้
“เทค มีอะไร”
“พี่เขียนถึงผมเหรอ” ว่าพลางชูสมุดไดอารี่ขึ้นมาด้วย ดีใจที่อย่างน้อยก็ได้อ่านบันทึกหน้าแรก แค่หน้าเดียวก็บอกได้ทั้งหมดแล้วว่าผมชอบน้องมันมากแค่ไหน
“อืม พี่เขียนให้ ตลอดหลายปีพี่มีโอกาสได้ศึกษาดูใจเทคฝ่ายเดียว แล้วพี่ก็รู้ว่าสุดท้ายพี่ก็ยังชอบน้องเหมือนเดิม ตลกว่ะ”
“ทำไมไม่บอกกันตั้งแต่ตอนนั้น”
“แล้วบอกตอนนี้มันผิดมากเลยเหรอ”
“ไม่ผิดหรอก”
ความเงียบเกาะกุมไปทั่วพื้นที่ ผมพูดอะไรไม่ออก ทำอะไรก็ไม่ถูก นอกจากจ้องหน้าคนตัวสูงนิ่งค้าง ริมฝีปากรูปสระอิเป็นสิ่งเดียวที่ผมสนใจ ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มนุ่มๆ เล็ดลอดออกมา
“พี่…”
“...”
“ผมโสดอยู่นะ”
“...”
“โสดรอพี่มาสองปีแล้ว ดีใจที่เจอกันครับ”
END
-
งื้อ ตอนแรกนึกว่าจะไม่สมหวังสะแล้ว
กะเสร็จท่าทางน่าจะน่ารัก รอคอยหนังสือค่ะ ^^
-
จบดี แต่ทำไมเราเศร้า
-
กอดดาวมอ รักมากคนนี้ :mew1: ขอไปอ่านก่อนนะคะ
-
อ่านแนวเรื่องแล้วอยากอ่านกะเสร็จศาสตร์เลยอ่ะ
-
นึกว่าจะไม่แฮปปี้สะแล้ว :hao3:
รอตามในหนังสือนะคะ ^^
-
สมหวังแล้วนะโฟร์ :mew1: :mew1:
-
กะเสร็จศาสตร์น่าอ่าน :hao6:
-
เรื่องสุดท้ายแล้ว ดีใจมากเลยค่ะที่ได้มีโอกาสได้อ่านเรื่องราวน่ารักๆเหล่านี้
หลากหลายคู่ หลากหลายอารมณ์ พูดได้เต็มปากว่ารักเรื่องนี้มาก
คิดมาตลอดว่าถ้าพี่ทำเล่ม จะต้องเป็นหนึ่งในคนที่ได้ครอบครอง (เก็บตังค์รอตั้งแต่เรื่องพี่อาร์ค ฮ่าาาา)
ขอบคุณที่สร้างตัวละครที่น่ารักมากกกกก มาให้เรารักนะคะ
เป็นของขวัญปีใหม่ที่น่ารักมากเลยค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ :mew1:
-
เห็นหัวกระทู้ว่า THE END
จบนี่คือจบเรื่องหรือจบตอน?
รีบไปอ่านอย่างฉับพลัน
-
แรกๆนี่หน่วงมากกกกกกกกกก :sad4: กลัวว่าตอนจบโฟร์จะต้องร้องไห้อีก คือโอ้ยยย ตอนที่เทคไปคบกับเด็กแพทย์นี่น้ำตาไหลละ สงสารโฟร์มาก พอตอนจบนี่ร้องไห้เลยจ้า ดีใจกับพี่โฟร์ น่าจะบอกกันเร็วกว่านี้อ่ะ
-
มีเวลาเก็บเงินอีก 1 เดือนนนน
:mew1: :mew1:
-
รักข้างเดียว มันสุขใจที่ได้ฝัน แต่ทุกข์ใจเมื่อตื่น
รอติดตามรวมเล่มและผลงานเรื่องต่อไป
ขอบคุณจิตติสำหรับนิยายทุกๆเรื่องค่ะ
-
ผมนี่รอรวมเล่มเลยครับบบบบ > <
-
อ่านไปรู้สึกเหงาๆ ยังไงไม่รู้
แต่สุดท้ายก็สมหวังละนะ
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
เรื่องนี้เป็นการจบที่เหมือนไม่จบมากแบบอยสกจะเชียร์ให้มีตอนพิเศษจริงๆ อารมณ์แอบรักข้างเดียวเคยมีค่ะและเหมือนกับโฟร์เลยที่เค้ามีแฟนแล้ว เคยร้องไห้ให้กับเรื่องนี้ด้วย แต่พอคิดย้อนไปกฌรู้สึกตลกตัวเองเหมือนกัน สำหรับเรื่องรวมเล่มเราเก็บตังค์รอเลยค่ะ #เป็นติ่งนิยายจิตติต้องสตรอง จริงๆค่ะ เรื่องทวิตอันนั้นเราเลยเห็นนะกดไลค์ไปด้วยเราว่ามันน่ารักดี
-
รู้สึกว่ามันยังไม่สุด อยากอ่านต่ออีกสักนิดนึง รู้สึกว่ามันยังต้องไปต่อได้อีก เป็นเรื่องที่หน่วงมากอ่านไปก็ร้องไห้ตามโฟร์ไป สงสารนางมากอยากกอดปลอบใจจังเลย เทคถ้าแกรอพี่เค้าทำไมไม่รีบมาบอกปล่อยให้พี่เค้ารอแล้วเศร้าขนาดนี้ทำไม
แต่มันน่ารักตรงที่บอกว่า "ผมโสดนะ" "โสดรอพี่มาสองปีแล้ว" เทคแม่งถ้าป็นโฟร์จะกรี๊ดอัดหน้าแม้มมม ปล่อยให้เศร้าทำไมตั้งหลายปีเนี่ย แต่ความรักของโฟร์มาน่าเก็บรักษามากจริงๆ ยั่งยืนและมั่นคงมาก ดีใจที่สุดท้ายก็ได้ความรักตอบกลับมา ปริ่มแทน
อยากให้เล่มมีตอนพิเศษแต่เป็นฝั่งความรู้กสึกของพระเอกบ้างบางทีก็อยากรู้ว่าพวกนั้นคิดอะไรอยู่ ยิ่งอ่านเรื่องนี้ยิ่งอยากรู้มากมากถึงมากที่สุดเลย รอเล่มนะคะพี่จิตติ บอกเลยว่าชแบและประทับใจทุกเรื่อง มันดีกับใจ :)
-
ดีจัง :mew6:
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด เราๆๆๆๆๆ เราเรียน สหเวช เทคนิคการแพทย์ ฮือออออออออ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีคณะตัวเองในฟิค เป็นคณะที่ไม่มีใครรู้จักมากๆๆ บอกใครว่าเรียนเทคนิคการแพทย์ ไม่มีใครรู้ว่าเรียนแล้วไปทำอะไร ยิ่งบอกว่าเรียนคณะสหเวช ยิ่งไม่มีใครรู้จักเลย 555 ชีวิตมันเศร้า
ชอบเทคโฟร์มากเลย แต่รู้สึกค้างคาไปหน่อย เหมือนโฟร์อกหักมาตลอดสามสี่ปี แค่เทคพูดมาประโยคเดียวก็จบหรอ ม่ายยยยยยยยย
-
ลุ้นจน นึกว่าจะจบแบบเศร้า
-
ใจจริงอยากให้มีเรื่องของเทคกับโฟร์ต่ออีกนิด เหมือนมันกำลังจะสุด แต่ไม่สุดอ่ะ รักข้างเดียวมานาน ก็อยากให้โฟร์ได้หวานๆ บ้างเน้อ
-
เมื่อเช้าพึ่งได้อ่าน อ่านตั้งแต่ตอนแรกยันจบ กลับมา เพิ่มเติมมาอีกตอน และจะซื้อหนังสือด้วย ชอบมากกก
-
คล้ายๆเราเลยเรื่องนี้...เหมือนเรามองย้อนไปเลย แต่ของเราเป็นตอนมัธยมแล้วก็หญิงหญิง 555+
พี่โฟร์...มันทั้งมีความสุขแล้วก็ทรมานจริงๆนั้นแหละ พี่เทค...ทำไมคล้ายใครคนนั้นของเราขนาดนี้ :mew2: :mew2: :mew2:
-
พอรู้เป็นแนวรักข้างเดียวเราเลยอ่านแบบผ่านๆเพราะกลัวเศร้ามากๆ แต่ก็อึนๆ เศร้าๆอยู่ดี พอตอนจบนี่น้ำตาที่ตันๆตลอดเวลาที่อ่านนี่ค่อยๆไหลเลย ดีใจด้วยนะโฟร์
ขอเป็นอีกเสียงที่สนับสนุนให้มีตอนพิเศษตอนนี้อีกสักตอนค่ะ
เรื่องหนังสือ เก็บแน่นอน
ยินดีที่ได้อ่านค่ะ ขอบคุณที่เขียนออกมานะคะ
-
อารมณ์เหมือนไม่รู้ว่าใครรักมากกว่าแต่คนที่กล้าบอกรักก่อนคือได้ :ling2:
หนูรักแต่หนูไม่บอกเขาจะรู้มั้ยลูก.. ปวดใจแทน ..
ปล.วิศวะเกษตรนี่เจอเยอะมากค่ะ ลุ้นมานานเมื่อไหร่จิตติจะเขียนสองคณะนี้ 555
-
โอ๊ย น่ารัก ตอนแแรกนึกว่าโฟร์จะไม่สมหวังแล้ว โสดรอสองปี ทำไมไม่เข้าหาโฟร์บ้างล่ะเทค
แต่แบบนี้ก็ดูแฮปปี้ดี รอซื้อหนังสือนะจ้ะ
-
ทำไมชีวิตเราเศร้าตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
-
:hao3: โสดรอตั้งสองปี โฟร์ไม่รู้ตัวเลย
-
ชอบอ่ะ รอซื้อเลยคร้าบบบบ :hao6:
-
สนุกมากครับ ชอบทุกตอนโดยเฉพาะ แพทยสัตว์
ขอบคุณครับ
-
ฮืออออ จบแอบเศร้า เข้าใจหัวอกคนแอบชอบเลยอ่ะ เราก็แอบชอบ แต่ไม่เคยทำอะไร ชอบอยู่ห่างๆ จดบันทึกถึงเค้าบ้าง คุยกันบ้าง โคตรอินเลยตอนนี้
-
เสียเวลาไปตั้งนานถ้าบอกเทคไปอาจสมหวังตั้งแต่เทคเลิกกับแฟนคนแรกแล้วก็ได้
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
:กอด1: :กอด1: รอหนังสือนะคะ
-
อ่านไปลุ้นไป สุดท้ายก็สมหวัง :hao4:
-
อ่านเทคโฟร์ข้ามปีไง
ร้องไห้ข้ามปีเลยอ่ะ
ทำไมมันเศร้าจังงงง
จิตติแต่งดีมากกก ฮืออออ
-
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อ่านแล้วอินมาก ฟินจิกหมอนชอบทุกเรื่องเลยค่าาา ขอบคุณนะค้าาาา
-
จบแฮปปี้.. แต่ทำไมหน่วงแปลกๆ ขอบคุณคุณจิตติ
-
:o12: :o12: เศร้าอ่ะ ไม่รู้จะพูดยังไงดี
เศร้าเพราะเรื่อง หรือเศร้าเพราะคุณจิตติบอกว่าใกล้จะจบแล้ว
โหวงในท้องมากเลย เรื่องก็เศร้าและค้างด้วย แล้วก็คิดถึงอีกหลายๆคู่ที่ผ่านมาด้วย
รักและคิดถึงทุกคนเลยนะ และรักจิตติมากๆด้วย :o12: :o12: :กอด1: :กอด1:
สวัสดีปีใหม่ครับ
-
ทำไมเราเศร้าจังว่ะ ทั้งๆที่จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งชัดๆ
เทคเป็นพระเอกที่ค่าตัวน้อยมากเลยนะ ออกแค่ชื่อกับอีกแค่ไม่กี่ฉาก พี่อยากสมทบทุนให้น้องได้ออกเยอะๆมาก เอาเวลาสองปีของน้องเทคมาแชร์บ้างสิ อยากรู้จัง
ขอบคุณจิตติดาวมอคนสวยสำรับนิยายดีๆ เราต้องรีบปั๊มตังรอซื้อเล่มมาเก็บไว้เลยแหละ :กอด1:
-
ทำไมเศร้า.....
-
เสียดายอีก2เรื่องที่พี่จิตติไม่ลง ฮือออ
-
*กอดดดดดดดดดดดดด
รักจิตตินะ แล้วก็รักเซ็ตมหา'ลัยด้วย
ความรักเป็นสิ่งสวยงามมมมมมมมม
ศึกษาดูใจศาสตร์ เป็นความรักที่ยาวนานถึงห้าปีของโฟร์
นานมากเลยนะ และยากที่จะลืม
เรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่าไม่ควรเสียโอกาสกับเรื่องของความรัก
ได้รัก ดีกว่ารักไม่เป็น
ได้เจ็บ ดีกว่าไม่เคยรู้สึกรัก
ได้ทุ่มสุดตัว สุดท้ายจะได้ไม่เสียใจที่ไม่ได้ทำ
ถ้าโฟร์ไม่เดินหน้า ความรักครั้งนี้คงไม่สำเร็จ
ขอบคุณจิตติอีกครั้ง สำหรับนิยายดีๆๆๆๆๆๆ
และก็ขอให้ความรักอยู่กับทุกคน:)
-
เทคโสดรอมาสองปี
รอใครที่ใช่หรือรอโฟร์
-
ขอบพระคุณค่าา อิๆ โครตน่ารักเบยยย เปอร์ตั้ม
-
:mew4: เขินแทนนน
-
มีหลายเรื่องสั้นรวมๆกันเลยขอกรี๊ดแยกเรื่องเลยได้มั้ยคะ 5555555555
พยายามศาสตร์น่ารักมากกกกก
ตั้มรอมานานอ๊ะะะ ฉากนับ10นี่เขินแรงงงงง
อยากอยู่ในฮอลร่วมด้วยเลยยยยย อร๊ายยยย >< 555
พี่ไทม์นี่ก็หยอดตลอดดดด นอกบทไปอีกกกกก
ฮรืออออ อยากเป็นแบคสเตจจจจ 55555
ปล.แป้งจะรู้สึกยังไงบ้างนะ... 555
จืดน่ารักถาเลยรัก อร๊ายยยยย เขินนนนนนนนนนน
ถามขี้หวงงงง เก็บจืดไว้คนเดียววว 555
เป็นคู่ที่บอกรักได้ง่ายๆแต่กินใจมากกกกก ก็แค่ใช้ความรู้สึกเนาะ ไม่ต้องหวือหวา ดีงามมมม
อ่านทันกับพากษ์แล้วหน่วงๆ คืออดทนรอกันทำไมตั้ง2ปี...
ก็ยังดีที่ได้กลับมาเจอกันนะะะะ TT TT
หมอๆหมาๆอ่านแล้วก็งงสรุปหมอหรือหมา เอ๊ะ... 5555
ชอบนะคะะ ถึงจะดูรวบรัดไปหน่อย แต่เป็นเรื่องสั้นก็เข้าใจค่ะ ><
เทครอ2ปี โฟร์รอ5ปี อื้อหืออออออ อยากมีคนที่รักเราขนาดนี้บ้างงงงงงง
อยากรู้ว่า2ปีที่หายไปเรื่องราวเป็นยังไงจังงง เทครอใครก็ได้หรือรอโฟร์นะ??
เสียดายอยากอ่านอีก2เรื่องมากค่ะะะะ
อยากอ่านคุณหมอฟันนนนนนน งื้อออออ
ชอบ "มหา'ลัย มาหารัก" มากๆค่ะะ มีหลายแนวหลายอารมณ์มากๆ
อ่านเสร็จแล้วอยากไปอยู่มอนี้เลยค่ะ คนหล่อเยอะจังงง เสียดายกินกันเอง คริคริ. 55555
ปล.รอหนังสือนะคะ ><
-
เห็นคำว่า THE END ต่อท้ายแล้วใจหายแปลกๆ ทำใจอยู่นานว่าจะเข้ามาอ่านดีไหมอาจจะเป็นจบตอนก็ได้ แต่กลับเป็นตอนสุดท้ายอย่างที่กลัวจริงๆ
ขอบคุณคนเขียนมากนะคะผูกพันธ์จริงๆ จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ
-
ศึกษาดูใจศาสตร์นี่หน่วงจริงๆ ขนาดจบแบบแฮปปี้แต่ยังรู้สึกหน่วงอยู่เลย
เหมือนกับรับรู้แล้วซึมซับความเศร้าของโฟร์มาตลอดทั้งเรื่อง
งือออออออออ สมหวังแล้วนะโฟร์ ดีใจด้วย ต่อไปขอให้โฟร์มีแต่ความสุขนะ ไม่ต้องเศร้าแล้วนะ :mew4:
-
อ๋อยยยยยย จบแล้วอ่ะๆ :hao5:
แต่ทุกคู่อยู่ในความทรงจำหมดเลย รักก :กอด1:
:L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2:
-
น่ารักง่าาาา
-
Bitter sweet อีกเรื่อง
แอบรักมาหลายปี
จบแบบเหมือนเรื่องดีกำลังจะเริ่ม
-
ฮือออออออออออออออออ เราจะรอรวมเล่มเซ็ตนี้ เราชอบมาก รักเลยยย
-
อยากอ่านต่อ หนังสือขายยังไงเรอะคะ
-
อ่านจบแล้วอยากถามคุณจิตติเลยค่ะว่าเอาชีวิตจริงเรามาเขียนรึเปล่าเนี่ย? 5555 มันใช่มากค่ะ เสียแต่ว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนร่วมเมเจอร์ ไม่ใช่น้องต่างคณะ แต่ความรู้สึกของทุกอย่างของโฟร์เราเข้าใจหมดเลย
โฟร์ชอบเทคตอนปี 2 เราเองก็ชอบเขาตอนปี 2 เทอม 1 เหมือนกัน มันอาจจะไม่ใช่แรกพบสบตาแบบโฟร์กับเทค แต่มันเป็นความรู้สึกที่ค่อยๆ เอ่อออกมา จากเพื่อนร่วมคณะที่เจอหน้าบ้าง จำได้บ้างจำไม่ได้บ้าง จนทำเหมือนโฟร์ นั่งหาเฟสเขาเป็นบ้าเป็นหลัง นั่งส่องเฟสว่าเขามีแฟนรึยัง รู้จักเขาฝ่ายเดียวมาตลอดเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา
อีกเทอมเดียวก็เรียนจบแล้ว ความรู้สึกของโฟร์วันรับปริญญานี่ทำเอาน้ำตาแตกเป็นเขื่อนเลยค่ะ เราคิดว่าวันนั้นราคงรู้สึกเหมือนโฟร์ เพียงแต่เราอาจจะไม่กล้าพออย่างโฟร์ ความรู้สึกของโฟร์ที่บอกพอแล้วๆ สำหรับคนแอบรักนี่มันทำยากจริงๆ ค่ะ อิหรอบเดียวกันคือพูดมา 3 ปีสรุปก็ทำไม่ได้สักที
สุดท้ายขอบคุณคุณจิตตินะคะที่เข็นเรื่องนี้ออกมาให้อ่าน อ่านไปก็ได้แต่นึกในใจว่าชีวิตเรานี่หว่า 55555 เทคโฟร์สมหวัง ก็แอบหวังลึกๆ ว่าวันนึงความรู้สึกนี้จะเป็นของเราบ้างนะคะ สำหรับรูปเล่มเตรียมซื้อแน่นอนค่ะ จะเก็บไว้อ่านตอนแก่ว่าสมัยวัยรุ่นเราเป็นแบบนี้นะ 555
:กอด1:
-
เป็นตอนจบที่ไม่ว่าจะลงเอยยังไง ก็ทำให้รู้สึกว่าความรักยังคงสวยงามอยู่ดี ชอบมากเลยค่ะ ชอบความรู้สึกที่แอบชอบไปเรื่อยๆ คนๆนั้นดูจะสูงเกินเอื้อม เข้าใกล้ทีก็ย๊ากยาก แต่ก็ยังคงชอบ โฟร์ถ่ายทอดมันออกมาได้ดีมากเลย ดีใจที่ได้ตีพิมพ์นะคะ จะรอซื้ออย่างตั้งใจเลย
ปล. ทวิตเตอร์อันนั้นน่าจิ้นมากอะ :katai1:
-
นิยายดีๆน่ารักแบบนี้ ได้ใจเด็กมหาลัยไปเต็มๆเลยค่ะ
#ทีมนิติ ชีวิตจริงหาแบบพี่ไทม์ไม่ได้เลยค่าาา
ร้องไห้แรงง TT
-
:o8: แฮบปี้เอ็นดิ่งคร่า อิอิอิ
-
:-[ น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
-
:ling1: น่ารักจริง ๆ คู่นี้
-
กว่าจะกลับมาคืนดีกันได้
ลุ้นจริง ๆ
-
ลิ้นกับฟันจริง ๆ
จะสงสารหรือตลกดีล่ะเนี่ย
555++++
-
ชอบเรื่องนี้อ่ะ ตลกดี
หมา ๆ มึง ๆ งงเลย 55++++
-
หืม จบแล้วเหรอ
-
ซึ้งอ่ะแก!!!! รู้สึกดีกับทุกสาขาทุกตอนเลย
-
อ่านแล้วประทับใจมาก
คู่สุดท้ายนี้อ่านแล้วร้องไห้เลยอะ ความรู้สึกของการแอบรักใครสักคนที่ไม่มีวันเป็นไปได้เข้าใจดี
ชอบทุกคู่เลย แต่ถ้าชอบมากๆคือคู่เปอร์ตั้ม ทันพากษ์ และคู่สุดท้าย
อาจเพราะเราชอบแนวดราม่าหน่อยๆ โรแมนติกลึกๆดูมีอะไรดี
อยากอ่านตอนพิเศษทุกคู่เลย
-
ในที่สุดดดดดด ดีใจด้วยค่าพี่โฟร์
-
คู่กุมภ์คณิตมันเป็นอะไรที่งงๆ ได้กันแบบงงๆ แล้วมารักกันแบบงงๆ 5555
ดีที่กุมภ์ยังมีหมามาเป็นตัวช่วยง้อนะ ไม่งั้นอาจอดก็ได้นะกุมภ์นะ หึหึ
เทคโฟร์หน่วงใจมาก เศร้าอะ แต่สุดท้ายโฟร์ก็สมหวังแล้วนะ จากที่เฝ้ามองมานาน
เทคเองก็โสดรอพี่โฟร์มาตั้งสองปี ดีใจด้วยนะโฟร์
ขอบคุณคุณจิตติสำหรับนิยายสนุกๆแบบนี้มากนะคะ ชอบตัวละครทุกตัวเลย
จะรอติดตามหนังสือนะคะ อยากอ่านกะเสร็จศาสตร์จัง ฮ่าาาาา
:pig4: :L2:
-
:pig4:
-
เราไม่ค่อยได้ตั้งใจอ่านเรื่องตลกๆของจิตติเท่าไหร่ แบบปลาบนฟ้า
เคยรู้สึกว่าไม่ใช่แนวตัวเอง แต่ซีรีย์นี้ชอบมากกว่าปลาบนฟ้า
ก็ยังไม่ค่อยใช่แนวเท่าไหร่ เลยไม่อยากคอมเมนท์เพราะไม่รู้ว่าจะเมนท์ว่าอะไรดี
จนกระทั่งอ่านศึกษาดูใจสาด เอ้ย ศาสตร์ อ่านแล้วรู้สึกแปลกๆเลยอยากจะถามให้แน่ใจ
เราไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของจิตติ แล้วนิยายของจิตติเราก็ชอบแค่เธอที่ร้าย (ขออภัยที่ตอนจบยังไม่ได้คอมเมนท์นะคะ)
เราพอได้อ่านปลาบนฟ้ามาผ่านๆตาบ้าง ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะคะ มันดีนะคะ แต่ว่าแค่ไม่ได้ตรงกับแนวเราเฉยๆ ยังมีคนอีกมากที่ชอบนะคะ
ไม่รู้ว่าเรารู้สึกไปเองรึเปล่า นิยายตลกของจิตติหลังๆไม่ค่อยเป็นจิตติเลย รวมถึงซีรีย์นี้ตอนที่ตลกๆก็ตาม
เราไม่รู้ว่าเพราะจิตติตั้งใจให้ไม่ตลกหรือว่าเพราะนิยายตลกในบอร์ดหลังๆมานี้ใช้จิตติสไตล์เป็นต้นแบบกันเยอะรึเปล่า จิตติเลยเลือกที่จะแต่งให้แตกต่างจากที่เคยเป็นมา
ไม่รู้ว่าว่าที่เราพิมพ์มามันดูละลาบละล้วงหรือทำให้ลำบากใจยังไงรึเปล่า ยังไงก็ขอโทษมาล่วงหน้าด้วยนะคะ
-
ขอบคุณจิตติดาวมอที่ได้ลงเรื่องศึกษาดูใจศาสตร์ให้ได้อ่านนะคะ แม้พี่จะใช้เวลาอ่านช้าแต่ก็อ่านจนจบแล้ว และก็รู้สึกเหมือนกับถูกฆ้อนฟาดหัว จนนิ่งงันไปชั่วขณะ พี่อินกับเรื่องนี้มาก แล้วก็มีข้อสงสัยกับเรื่องนี้มากที่สุดเช่นกัน มากกว่าเรื่องอื่นๆ ในซีรีย์นี้เลยละ ข้อสงสัยที่อยากถามมากที่สุดคือ ในเล่มจะมีส่วนขยายต่อจากตอนจบในศึกษาดูใจศาสตร์ไหมคะ? อยากจะบอกว่า การจบแบบนี้ ทำร้ายจิตใจคนอ่านมากจริงๆ ค่ะ อ่านประโยคของเทคนั่นแล้ว ก็อยากจะหยิบคอมพิวเตอร์ทุ่มใส่ผนังห้องจริงๆ แต่ก็ต้องอดทนไว้ เพราะไตมีไม่พอขายไปซื้อคอมฯ ใหม่
ความหมายของพี่ก็คือ ถ้าเทคบอกว่าโสดรอโฟร์มาสองปี แล้วสองปีที่ผ่านมานี่คือ แกอยู่เฉยๆ หรือ ทำไมไม่รู้จักขวนขวายหาทางติดต่อ โอเค ไม่ต้องพูดถึงว่าสองปีที่ผ่านมานี่แก 'โสด' รอโฟร์เลย แต่ประโยคนั้นของแกมันบอกได้ว่า แกเองก็ชอบโฟร์มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ แล้วอะไรคือความหมายของประโยคเพื่อนแกที่บอกว่า "เห็นเป็นรุ่นพี่มาชอบหน่อยมีปฏิกิริยาทุกราย" นี่ไม่ใช่หมายความว่า เพราะแกชอบโฟร์ แล้วโฟร์ก็เป็นรุ่นพี่ พอเพื่อนว่ามีรุ่นพี่มาชอบ ใจแกก็อยากให้เป็นโฟร์ เลยมีปฏิกิริยา แล้วอะไรคือการที่แกไม่ลองเข้าไปจีบโฟร์บ้าง หา! หรือเพราะโฟร์ไม่เข้าไปสารภาพกับแกเหมือนคนอื่นๆ แกก็เลยไปคบกับคนอื่นแทน
ตอนนี้อารมณ์ฟาดงวงฟาดงามากๆ ค่ะ อยากจะทุ่มทุกอย่างใกล้มือ พี่อินมากจริงๆ นะน้อง หรืออารมณ์ของเทคคือ แม้จะชอบโฟร์ แต่ก็เป็นแค่ความชอบ เพราะถ้ามีคนเข้ามาจีบ ก็จะลองคบกันคนนั้นดู? เฮ้อ อยากบอกว่าพี่เศร้าเหลือเกิน เจ็บปวดจุกในอกกับความเสียใจของโฟร์ แม้สุดท้ายแล้ว แกจะทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคเปิดเผยความรู้สึกนั้น แต่มันก็ยังไม่ถึงใจอยู่ดี ฮือ ร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้!
แม้ว่าสุดท้ายแล้ว เทคจะเลิกรากับแฟนคนก่อนๆ ไป (เพราะเทคมีใจกับโฟร์ ถึงจะคบกับใครก็ยังคิดถึงโฟร์ เลยทำใจให้คบกันต่อไปไม่ได้) แต่ก็นับว่ารักครั้งนี้แลกมาด้วยความเจ็บปวดเหลือเกิน เราไม่รู้ว่าฝั่งเทคจะเป็นอย่างไร เพราะจิตติไม่ได้เขียนให้อ่าน แต่เมื่อได้อ่านฝั่งของโฟร์แล้ว ก็รู้ว่าโฟร์เจ็บมาก เสียใจมาก การได้มองคนที่แอบรักอยู่กับคนอื่นนั้น มันเจ็บจริงๆ นะ แค่ได้ฟุ้งซ่านคิดถึงว่า วันหนึ่งๆ เขาจะใช้ชีวิตอยู่คนที่เขาคบด้วยอย่างไรบ้าง ก็อกไหม้ไส้ขมแล้วค่ะ (ออกแนวมโนอย่างแรง ฮา) ความจริง ถ้าจิตติมีความในใจฝั่งเทคมาเล่าให้ฟังบ้าง ก็จะดีไม่น้อยทีเดียว พี่หวังจริงๆ นะจ๊ะ
สุดท้ายแม้จะพูดไปเยอะแยะ แต่ก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่า ถ้าแกเองก็ใจตรงกัน แล้วหลายปีที่ผ่านมา แกไปคบกับคนอื่นทำไม? ตอบมาเดี๋ยวนี้เลยนะเทค ทำไมแกถึงเป็นพระเอกที่ไม่เริ่มก่อนเลยล่ะ
จิตติขา ไม่รู้คนอื่นว่าไง แต่พี่คงอารมณ์ค้างอย่างนี้ไปอีกนาน ต้องขอบคุณจิตติที่เขียนเรื่องราวดีๆ อย่างนี้มาให้อ่าน แต่จะดียิ่งกว่า ถ้ามีส่วนขยายมาเพิ่ม
กอดดาวมอด้วยใจรักค่ะ
-
เราไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของจิตติ แล้วนิยายของจิตติเราก็ชอบแค่เธอที่ร้าย (ขออภัยที่ตอนจบยังไม่ได้คอมเมนท์นะคะ)
เราพอได้อ่านปลาบนฟ้ามาผ่านๆตาบ้าง ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะคะ มันดีนะคะ แต่ว่าแค่ไม่ได้ตรงกับแนวเราเฉยๆ ยังมีคนอีกมากที่ชอบนะคะ
ไม่รู้ว่าเรารู้สึกไปเองรึเปล่า นิยายตลกของจิตติหลังๆไม่ค่อยเป็นจิตติเลย รวมถึงซีรีย์นี้ตอนที่ตลกๆก็ตาม
เราไม่รู้ว่าเพราะจิตติตั้งใจให้ไม่ตลกหรือว่าเพราะนิยายตลกในบอร์ดหลังๆมานี้ใช้จิตติสไตล์เป็นต้นแบบกันเยอะรึเปล่า จิตติเลยเลือกที่จะแต่งให้แตกต่างจากที่เคยเป็นมา
ไม่รู้ว่าว่าที่เราพิมพ์มามันดูละลาบละล้วงหรือทำให้ลำบากใจยังไงรึเปล่า ยังไงก็ขอโทษมาล่วงหน้าด้วยนะคะ
ไม่เป็นไรค่ะ จิตติจะขอชี้แจงแบบที่รู้สึกด้วยตัวเองนะคะ
ความจริงแล้วปลาบนฟ้าไม่ใช่นิยายตลกที่จิตติเขียนเป็นเรื่องแรก แต่เริ่มเขียนตั้งแต่คู่รองของ one night stand แล้วก็คู่รองของรักแท้แพ้แรงในร่มผ้า แค่ปลาบนฟ้ามีฉากฮาๆ เข้ามาอยู่ในคู่หลักและคู่รองก็เลยทำให้รู้สึกว่ามันฮากว่าทุกเรื่อง
ทีนี้พอเขียนฮามากๆ ไปก็จะติดพ่วงด้วยคำหยาบเยอะๆ ตอนนี้ก็เยอะมาก 5555
ถ้าถามว่ามหา'ลัย มาหารักเรื่องไหนที่ให้ความรู้สึกว่ามันมีส่วนคล้ายคลึงในการเขียนฉากฮามาที่สุดก็คงเป็น "แพทยสัตว์" ที่รู้สึกว่านายเอกเหมือนกันปีใน "ปลาบนฟ้า"
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องอื่นๆ จิตติไม่ได้ตั้งใจเขียนฮาไปซะทีเดียว เพราะเป็นเรื่องสั้นเลยพยายามหนีไดอาล็อกหรือคำพูดที่เหมือนกัน เพราะเซตนี้เล่าจากตัวนายเอกเพียงคนเดียว แต่คนอ่านหลายคนก็ยังรู้สึกว่ามีความรู้สึกคล้ายกันอยู่ คงจะดีกว่านี้ถ้าเขียนทุกเรื่องแบบแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเลย ฮืออ
- อย่างเรื่องที่ตั้งใจให้ฮาเหมือนปลาบนฟ้าเลยก็มี แพทยสัตว์
- เรื่องหวานๆ ก็มี วิศวะสัมพันธ์, นิเทศศาสตร์, สถาปัตยกามศาสตร์
- เรื่องที่เน้นฉากเขินๆ จะมีวิศวกรรมประสาท, รักฐศาสตร์
- หรือที่เน้นหวานอมขมกลืน หม่นๆ หน่อยก็จะเป็น พยายามศาสตร์, นิติสท์ศาสตร์, ศึกษาดูใจศาสตร์
ทั้งนี้ทั้งนั้นจิตติไม่ได้ตั้งใจเขียนตลกให้มากในเซตมหา'ลัยเพื่อไม่ให้แต่ละเรื่องมีความเหมือนกัน แม้จะคล้ายคลึงกันบ้างเพราะจิตติไม่สามารถสลัดภาพของการบรรยายแบบที่เคยชินมาได้ค่ะ
ดังนั้นปลาบนฟ้าก็เลยเหมือนเป็นเรื่องที่จิตติเขียนเพราะเป็นความฮาแบบปลาบนฟ้าจริงๆ ส่วนเรื่องสั้นเรื่องอื่นก็พยายามเปลี่ยนให้ไม่เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งเรื่องยาวที่กำลังเขียนอยู่อย่างเพราะเรา...คู่กัน ก็ไม่ได้ตั้งใจเขียนให้เหมือนปลาบนฟ้า แต่จะอาศัยบรรยายไปเรื่อยๆ และลดคำหยาบออกไปเพราะไม่อยากได้ฟิลที่เหมือนกันค่ะ
ไม่รู้จิตติอธิบายเข้าใจมั้ย แต่ถ้าสงสัยหรืออยากให้ปรับปรุงตรงจุดไหนก็บอกได้นะคะ ขอบคุณค่ะ ^^
ขอบคุณจิตติดาวมอที่ได้ลงเรื่องศึกษาดูใจศาสตร์ให้ได้อ่านนะคะ แม้พี่จะใช้เวลาอ่านช้าแต่ก็อ่านจนจบแล้ว และก็รู้สึกเหมือนกับถูกฆ้อนฟาดหัว จนนิ่งงันไปชั่วขณะ พี่อินกับเรื่องนี้มาก แล้วก็มีข้อสงสัยกับเรื่องนี้มากที่สุดเช่นกัน มากกว่าเรื่องอื่นๆ ในซีรีย์นี้เลยละ ข้อสงสัยที่อยากถามมากที่สุดคือ ในเล่มจะมีส่วนขยายต่อจากตอนจบในศึกษาดูใจศาสตร์ไหมคะ? อยากจะบอกว่า การจบแบบนี้ ทำร้ายจิตใจคนอ่านมากจริงๆ ค่ะ อ่านประโยคของเทคนั่นแล้ว ก็อยากจะหยิบคอมพิวเตอร์ทุ่มใส่ผนังห้องจริงๆ แต่ก็ต้องอดทนไว้ เพราะไตมีไม่พอขายไปซื้อคอมฯ ใหม่
ความหมายของพี่ก็คือ ถ้าเทคบอกว่าโสดรอโฟร์มาสองปี แล้วสองปีที่ผ่านมานี่คือ แกอยู่เฉยๆ หรือ ทำไมไม่รู้จักขวนขวายหาทางติดต่อ โอเค ไม่ต้องพูดถึงว่าสองปีที่ผ่านมานี่แก 'โสด' รอโฟร์เลย แต่ประโยคนั้นของแกมันบอกได้ว่า แกเองก็ชอบโฟร์มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ แล้วอะไรคือความหมายของประโยคเพื่อนแกที่บอกว่า "เห็นเป็นรุ่นพี่มาชอบหน่อยมีปฏิกิริยาทุกราย" นี่ไม่ใช่หมายความว่า เพราะแกชอบโฟร์ แล้วโฟร์ก็เป็นรุ่นพี่ พอเพื่อนว่ามีรุ่นพี่มาชอบ ใจแกก็อยากให้เป็นโฟร์ เลยมีปฏิกิริยา แล้วอะไรคือการที่แกไม่ลองเข้าไปจีบโฟร์บ้าง หา! หรือเพราะโฟร์ไม่เข้าไปสารภาพกับแกเหมือนคนอื่นๆ แกก็เลยไปคบกับคนอื่นแทน
ตอนนี้อารมณ์ฟาดงวงฟาดงามากๆ ค่ะ อยากจะทุ่มทุกอย่างใกล้มือ พี่อินมากจริงๆ นะน้อง หรืออารมณ์ของเทคคือ แม้จะชอบโฟร์ แต่ก็เป็นแค่ความชอบ เพราะถ้ามีคนเข้ามาจีบ ก็จะลองคบกันคนนั้นดู? เฮ้อ อยากบอกว่าพี่เศร้าเหลือเกิน เจ็บปวดจุกในอกกับความเสียใจของโฟร์ แม้สุดท้ายแล้ว แกจะทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคเปิดเผยความรู้สึกนั้น แต่มันก็ยังไม่ถึงใจอยู่ดี ฮือ ร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้!
แม้ว่าสุดท้ายแล้ว เทคจะเลิกรากับแฟนคนก่อนๆ ไป (เพราะเทคมีใจกับโฟร์ ถึงจะคบกับใครก็ยังคิดถึงโฟร์ เลยทำใจให้คบกันต่อไปไม่ได้) แต่ก็นับว่ารักครั้งนี้แลกมาด้วยความเจ็บปวดเหลือเกิน เราไม่รู้ว่าฝั่งเทคจะเป็นอย่างไร เพราะจิตติไม่ได้เขียนให้อ่าน แต่เมื่อได้อ่านฝั่งของโฟร์แล้ว ก็รู้ว่าโฟร์เจ็บมาก เสียใจมาก การได้มองคนที่แอบรักอยู่กับคนอื่นนั้น มันเจ็บจริงๆ นะ แค่ได้ฟุ้งซ่านคิดถึงว่า วันหนึ่งๆ เขาจะใช้ชีวิตอยู่คนที่เขาคบด้วยอย่างไรบ้าง ก็อกไหม้ไส้ขมแล้วค่ะ (ออกแนวมโนอย่างแรง ฮา) ความจริง ถ้าจิตติมีความในใจฝั่งเทคมาเล่าให้ฟังบ้าง ก็จะดีไม่น้อยทีเดียว พี่หวังจริงๆ นะจ๊ะ
สุดท้ายแม้จะพูดไปเยอะแยะ แต่ก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่า ถ้าแกเองก็ใจตรงกัน แล้วหลายปีที่ผ่านมา แกไปคบกับคนอื่นทำไม? ตอบมาเดี๋ยวนี้เลยนะเทค ทำไมแกถึงเป็นพระเอกที่ไม่เริ่มก่อนเลยล่ะ
จิตติขา ไม่รู้คนอื่นว่าไง แต่พี่คงอารมณ์ค้างอย่างนี้ไปอีกนาน ต้องขอบคุณจิตติที่เขียนเรื่องราวดีๆ อย่างนี้มาให้อ่าน แต่จะดียิ่งกว่า ถ้ามีส่วนขยายมาเพิ่ม
กอดดาวมอด้วยใจรักค่ะ
ส่วนขยายต่อถ้าจิตติมีโอกาสจะกลับมาต่อให้นะคะ แต่ขออธิบายคร่าวๆ ก่อนดังนี้ค่ะ
- ความหมายของพี่ก็คือ ถ้าเทคบอกว่าโสดรอโฟร์มาสองปี แล้วสองปีที่ผ่านมานี่คือ แกอยู่เฉยๆ หรือ ทำไมไม่รู้จักขวนขวายหาทางติดต่อ
สองปีที่เทคโสดเป็นช่วงที่เรียนอยู่ปี 4 แล้วก็เป็นช่วงที่จบออกไป ส่วนโฟร์จะเรียนปี 5 (ฝึกสอนไม่ได้อยู่มหา’ลัย) กับช่วงที่ออกไปใช้ชีวิตก่อนรับปริญญา ทั้งคู่เลยไม่ได้เจอกัน คล้ายสองปีที่เทครอก็เหมือนรออย่างไม่คาดหวังว่าจะได้เจอหรือเริ่มต้นอะไรหรือเปล่า คือถ้าได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็พร้อมเริ่มต้นกับรักใหม่ได้เสมอ (ต่างกับโฟร์ที่รอแค่คนๆ เดียวมาหลายปี)
- แกเองก็ชอบโฟร์มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ แล้วอะไรคือความหมายของประโยคเพื่อนแกที่บอกว่า "เห็นเป็นรุ่นพี่มาชอบหน่อยมีปฏิกิริยาทุกราย"
จิตติตั้งใจเขียนให้เทครู้สึกชอบโฟร์อยู่นิดหน่อย ตรงที่เป็นพี่ที่น่ารัก ถ้าเริ่มสัมพันธ์ได้ก็ดี แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนั่นแหละค่ะ อีกอย่างคนที่เป็นแฟนเทคส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนเสมอ ในเมื่อโฟร์ไม่พูด เทคไม่ถาม ก็เหมือนต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าตกลงแล้วความรู้สึกมันเป็นยังไงกันแน่ พอมีคนเข้ามาสนใจเทคแถมเป็นรุ่นพี่เค้าก็ไปเลย 5555
- สองปีที่ห่างหายไปแล้วกลับมาเจอกัน เหมือนความทรงจำของเทคยังมีโฟร์อยู่ในนั้น แม้ไม่มากแต่ก็รู้สึกว่าพี่ชายคนนี้เป็นยังไง เคยคุยอะไรกันบ้าง เข้ามาในช่วงเวลาไหน สองปีที่บอกว่าโสดรอก็สรุปได้ว่าถ้าไม่ได้เริ่มกับใครใหม่ก็ยังเหลือโฟร์นี่แหละที่เขารอ ประมาณนี้ค่ะ
สุดท้ายนี้กอดพี่ Wordslinger แน่นๆ ไว้หนูจะกลับมาต่อให้พี่ไม่ค้างคาใจนะคะ 55555
รักมาก
-
ส่วนขยายต่อถ้าจิตติมีโอกาสจะกลับมาต่อให้นะคะ แต่ขออธิบายคร่าวๆ ก่อนดังนี้ค่ะ
- ความหมายของพี่ก็คือ ถ้าเทคบอกว่าโสดรอโฟร์มาสองปี แล้วสองปีที่ผ่านมานี่คือ แกอยู่เฉยๆ หรือ ทำไมไม่รู้จักขวนขวายหาทางติดต่อ
สองปีที่เทคโสดเป็นช่วงที่เรียนอยู่ปี 4 แล้วก็เป็นช่วงที่จบออกไป ส่วนโฟร์จะเรียนปี 5 (ฝึกสอนไม่ได้อยู่มหา’ลัย) กับช่วงที่ออกไปใช้ชีวิตก่อนรับปริญญา ทั้งคู่เลยไม่ได้เจอกัน คล้ายสองปีที่เทครอก็เหมือนรออย่างไม่คาดหวังว่าจะได้เจอหรือเริ่มต้นอะไรหรือเปล่า คือถ้าได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็พร้อมเริ่มต้นกับรักใหม่ได้เสมอ (ต่างกับโฟร์ที่รอแค่คนๆ เดียวมาหลายปี)
- แกเองก็ชอบโฟร์มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ แล้วอะไรคือความหมายของประโยคเพื่อนแกที่บอกว่า "เห็นเป็นรุ่นพี่มาชอบหน่อยมีปฏิกิริยาทุกราย"
จิตติตั้งใจเขียนให้เทครู้สึกชอบโฟร์อยู่นิดหน่อย ตรงที่เป็นพี่ที่น่ารัก ถ้าเริ่มสัมพันธ์ได้ก็ดี แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนั่นแหละค่ะ อีกอย่างคนที่เป็นแฟนเทคส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนเสมอ ในเมื่อโฟร์ไม่พูด เทคไม่ถาม ก็เหมือนต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าตกลงแล้วความรู้สึกมันเป็นยังไงกันแน่ พอมีคนเข้ามาสนใจเทคแถมเป็นรุ่นพี่เค้าก็ไปเลย 5555
- สองปีที่ห่างหายไปแล้วกลับมาเจอกัน เหมือนความทรงจำของเทคยังมีโฟร์อยู่ในนั้น แม้ไม่มากแต่ก็รู้สึกว่าพี่ชายคนนี้เป็นยังไง เคยคุยอะไรกันบ้าง เข้ามาในช่วงเวลาไหน สองปีที่บอกว่าโสดรอก็สรุปได้ว่าถ้าไม่ได้เริ่มกับใครใหม่ก็ยังเหลือโฟร์นี่แหละที่เขารอ ประมาณนี้ค่ะ
สุดท้ายนี้กอดพี่ Wordslinger แน่นๆ ไว้หนูจะกลับมาต่อให้พี่ไม่ค้างคาใจนะคะ 55555
รักมาก
กอดจิตติเหมือนกันค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะที่เข้ามาตอบได้รวดเร็วจนแทบตกใจ (ปลื้ม) ตอนนี้อารมณ์สงบลงบ้างแล้วค่ะ (ฮ่าๆ)
พอได้อ่านคำอธิบายของจิตติข้างต้นแล้ว พี่ก็เข้าใจในตัวเทคมากขึ้น ไม่โกรธไม่เคืองเขาแล้วค่ะ ตอนนี้เหมือนดวงตาเห็นธรรม (ว่าไปนั่น) เทคนี่เหมือนกับลักษณะนิสัยคนจริงๆ ทั่วไปที่สามารถหาได้ในสังคมไทยเลยนะคะ ฮือ ยิ่งชอบเรื่องนี้เข้าไปใหญ่ค่ะ ผู้ชายชื่อเทค คือ มีมุมมองความรักในแบบที่หลายคนก็มีเช่นกัน เป็นมุมมองที่ไม่ได้เห็นความรักเป็นโรแมนติกอย่างสุดโต่ง แต่เห็นความรักเป็นเรื่องของปุถุชน เอาละ ถ้าได้ลงเอยกันอย่างนี้ก็ดีแล้วเนาะ สิ่งที่ต้องทำจากนี้คือรักกันให้มากๆ และแม้วันหนึ่งจะต้องเลิกรากันไป ก็ขอให้เก็บยามรักยามสุขไว้ในความทรงจำไม่ลืม ขอบคุณค่ะที่เขียนเรื่องสั้นออกมาได้ดีขนาดนี้ ภาษาฝรั่งเขาบอกเรื่องทำนองนี้ว่าเป็น engaging ค่ะ ทำให้ได้อารมณ์ร่วม ทำให้ได้คิดตาม จุ๊บ จิตติเนาะ กอดๆ
-
น้ำตาคลอกับเทคโฟร์
จบแล้วเหรอคะ อยากให้มีต่อจนครบทุกคณะในประเทศไทยเลย 555
ส่วนตัวเราชอบอ่านเรื่องสั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
พอมาเจอซีรีย์นี้คือตรงใจเลยค่ะ ครบทุกรสชาด
จะติดตามอ่านเรื่องต่อๆ ไปนะคะ :L2:
-
ร้องไห้หนักมาก กับเรื่องของโฟร์ :o12:
-
ชอบทุกเรื่องที่เน้นเรื่องฮาๆ ของจิตติค่ะ ส่วนมหาลัยนี่ชอบทุกเรื่องเลย แต่ดราม่าจะชอบน้อยกว่าแบบฮาๆหน่อย อ่านแบบฮาๆอย่าปลาบนฟ้าของจิตติแล้วมีความสุขจริง ๆ อะไรจะแต่งได้ลื่นไหลมุกเยอะขนาดนี้ คำด่าก็นะช่างคิดได้ ฮามากจริงๆ สรุปว่าจะตามอ่านทุกเรื่องนะจ๊ะจิตติดาวมอคนสวย
ปล.คิดถึงแก๊งค์คิตตี้มากๆเลอ555
-
รอเป็นรูปเล่มนะ
รักพี่อาร์ค อิอิ
-
เรื่องมันเศร้าจังค่ะ
ดีนะที่สมหวัง แอบชอบเพื่อนทั้งคู่
แต่ไม่มีใครยอมสารภาพก่อนเลย
เกือบไม่สมหวังแล้วไหมละ
ดีนะที่คืนนั้นจูบกัน
เลยทำให้เปอร์ไปไหนไม่รอแหละ
:กอด1:
-
ชอบบบบบบบบบบ
แนวน่ารักๆอ่านสบายๆชอบมากกกกกก
มีหวานๆเขินๆหยอดตลอดๆ
ว่าแต่จิตติดาวมอเป็นคนใช้<<<มันโดนใจมากค่ะ 555555
-
พี่ถานางเก็บเงียบเลยนะ
ชอบจืดก่อนก็ไม่บอก มีเนียนทำดินสอตกด้วย
น่ารักนะเรา เราหมายถึงจืดนะที่น่ารักไม่ใช่พี่ถา
55555555555555
-
เรืองนี้มันหม่นๆจิงๆ ดูเป็นความรู้สึกสีเทาๆ
ทั้งคู่ดูเป็นผู้ชายธรรมดาที่เจอได้ทั่วไปอย่างที่จิตติบอกจิงๆค่ะ
จนทำให้คิดว่าถ้าในชีวิตจริงคนสองคนที่ยังรักกันมากแบบนี้ต้องมาเลิกกัน
ทั้งคู่มันจะยังมีโอกาสได้กลับมาคบกันแบบสองคนนี้อีกไหม
-
ชอบแนวการเขียนมว้ากกกกก. จะไปไล่ตามอ่านฝีมือคุณจิตติดาวทุกเรื่อง
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
:o8: :-[ :impress2: o18
-
:กอด1:
:L2:
-
สนุกมากกกกก ขอบคุณนะคะ
-
กดLoveให้ทุกตอนเลยอ่ะ
:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
เราชอบทุกเรื่องเลย ขอบคุณนะคะ
-
ชอบทุกเรื่องเลยค่ะ แต่ละเรื่องแนวไม่ซ้ำกันเลย รออีกสองเรื่องนะค่ะ^^
-
ยอดเยี่ยม ทุกเรื่องเลย
ภาษาละเมียดละไม เหมือนย้อนเวลากลับไปเจอพวกเขาแต่ละคู่เลย
-
ตั้มเปอร์หน่วงแต่แฮปปี้ดีจัง อนลก็มาติดทุกเรื่องเลยสุดหล่อของอนณ
-
:katai2-1:
พี่ไทม์คาริสม่ามากฮืออออ
น้องไปป์น่ารักแอร๊ยยย
-
จืดถาน่ารักมากง่าาาาาาาา โอ๊ยเหมาะสมๆ
-
ทันพากษ์นี่หน่วงใจทั้งเรื่องจนมาสุดท้ายจบได้ดีกับใจมากเลยค้าบบบบ
-
กุมภ์คณิต โอ๊ยชอบนี้วะ ตรงแรงแซงโค้ง ให้อารมณ์แมนๆครับ
-
ท้องฟ้าจูน อาร์คอาร์ม วอร์มธีม เปอร์ตั้ม ไทม์ไปป์ ถาปอ ทันพากษ์ กุมคณิต และก็เทคโฟร์ ต้องคิดถึงมากแน่ๆ ชอบจิตติเป็นแฟนคลับจิตติเลย
ตอนแรกึกว่าจะไม่มีทางสมหวังเรื่องของเทคโฟร์
เพราะในชีวิตคนเราไม่มีใครสมหวังไปหมดทุกเรื่อง
และจะติดตามจิตติต่อไป
ไม่อยากจบเลย อยากให้มีแนวนี้ออกมาเรื่อยๆ
-
:o12: :o12: แง้ๆๆๆๆๆๆๆ พึ่งรู้ว่าจบ ไม๊จริ๊งงงงงงงง :ling3: :ling3:
-
อ่านแล้วประทับใจมากค่าาาาาา :mew1:
-
เป็นชุดเรื่องสั้นที่อ่านแล้วสนุกและประทับใจมาก ๆ
ขอบคุณนะคะ~^^
-
สนุกมากๆเลย :pig4:
-
สตรองเตรียมสตางค์อยากได้เป็นเล่มมมมมมม
-
ชอบมาก เราสั่งจองแล้วนะ o13 :-[
-
:-[ :-[ :-[ เขิลๆ ฟินอ่า
-
o13 ชอบๆ ฟินยกเซ็ตเลย :-[
-
:pig4:
-
ดีงามทุกเรื่อง ซื้อหนังสือแน่นนอนค่ะ
-
ชอบมากเรื่องนี้ นิติสท์ศาสตร์ น่ารักจัง
-
ชอบเรื่องสั่นซีรีย์นี้จัง
ชอบทุกคณะเลย
สนุก กินใจทุกเรื่อง
เพราะเป็นเรื่องสั้น เรื่องเลยเดินได้ไว ไม่เยิ้นเย้อ
ขอบคุณผู้แต่งมากครับสำหรับเรื่องดีๆ
-
อ่านมาสามคณะนี่เริ่มหลอนค่ะ หล่อนอิคุณพี่เหนือเดือน โผล่มาหล่อทุกคณะเลยนะยะ :hao6:
คณะนี้เศร้าๆเกรียนๆมาเรื่อยๆ แต่สุดท้ายแฮปปี้ เย้ๆๆๆ :impress2:
-
เป็นเรื่องสั้นที่หลากหลายอารมณ์มาก สนุกมากๆค่า~
-
ขอขำจิตติดาวมหาลัยปีสามเล่นเป็นคนใช้ โธ่วววว 5555
พี่ไทม์ตอนมาห้องซ้อมครั้งแรกกับช่วงรุกจีบน้องนี่ต่างกันเหลือเกิลลลล หม่นไสสสส้ :hao7:
-
พี่ถาคือดีงามมมม ขนาดอ่มนผ่านตัวอักษรยังคิดว่านางมีเสน่ห์มากจริงๆ
แล้วน้องแว่น คนแบบนี้น่ารัก น่ารักมาก คนจะเห็นว่าคนแบบนี้น่ารักคือคนที่สนใจสังเกตเขาจริงๆ
พี่ถาเลยได้ของดีไปครอง
น้องแว่นขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งของห้าคณะที่เราอ่านมาเลยตอนนี้ :katai2-1:
-
หน่วงตลอดการอ่าน แต่มันเป็นตัวแทนของคนทั่วไปบางส่วนได้ดีแท้ ฮืออออ :hao5:
-
ซื้อมาแล้วค่ะ สนุกมากๆๆๆๆๆ
-
โอ๊ยยยยอิพี่หมอหมาาา :ling1:
เข้าใจอ่ะ ช่วงแรกๆแค่อยากเอาชนะ คนมันไม่ได้รักนี่เนอะ
แต่พอพี่แกรู้ว่ารักรู้ว่ายังไงก็หนูหมอคนแกก็ยอมรับโดยดีไม่มีฟิลงี่เง่าแต่มีฟิลความกวนตรีนเหมือยเดิม :hao3:
-
ดีงามมมมมมม ฮืออออ
แล้วอิน้องจะมารอทำไมสองปี
ไม่เข้าไปหาพี่เขาคร้าาาาา
น้องมันสวน ไม่กล้าาาาาา :hao5:
-
อ่านจบแว้ว เรื่องบางเรื่องเศร้าจนเราซึมเลย โดยเฉพาะตอนแฟนเก่ากับตอนนี้
ยิ่งตอนนี้แบบโหย จะจบแบบไม่ได้กันรึเปล่า แต่ก็ได้ แฮ่ ดีใจกับโฟร์จริงๆ
หมั่นคนหล่อค่ะจุดนี้ ทีมใครคงเห็นชัดเจนนะคะ 5555
ขอบคุณค่ะ
-
ชอบทุกเรื่องเลยค่ะ ไม่อยากให้จบเลย
อยากอ่านต่อไปอีกยาวๆๆๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆแบบนี้นะคะ
:กอด1: :L2: :pig4:
-
ว้ากกก ไม่ใช่เศร้าค่ะ ซึมตั้งแต่ต้นเรื่องเลยด้วย
สมหวังสักที รู้ใจตัวเองแล้วว ตี่ไม่ร้องนะ
-
พระเอกธีมนี้เค้ามั่นกันทุกคนจ้า เปิดตัวโจ่งแจ้ง
ประกาศให้โลกรู้ด้วย กดไลค์ล้านไลค์อะ
รุกไวรุกเนียนมาก 5555 เป็นไงล่ะคนหล่อ เจอเดือนมหาลัยไปถึงกับเคลิ้ม
-
สนุกทุกคู่เลยค่ะ อยากอ่านอีกจัง
ชอบที่ให้พระเอกรักก่อน แต่กลับจีบแบบกวนๆ นายเอกโดนจีบแบบงงๆ แต่ก็หลงรักทุกการหยอด
และที่น่าหมั่นไส้สุดๆ คือตะละนายหล่อลากกระชากใจ 555+
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆมาแบ่งให้อ่านค่ะ :pig4:
-
กรี๊ดอ่ะ อ่านจบแล้วกรี๊ดเลย :serius2:
คือมันดีมาก ถึงเรื่องมันจะหม่นๆ แต่พออ่านไปแล้วกลับรู้สึกดี (เออแปลก)
ชอบที่ทุกอย่างมันดูธรรมดา ไม่ต้องมีอะไรมาก ใช้ความรู้สึก ใช้ใจล้วนๆ
ไม่ต้องมาอธิบายความผิดหรือสาธยายข้อแก้ตัว แค่ก็นี้พอแล้วแค่ความรู้สึก
ก็คนมันไม่ลืมอ่ะ :hao7: :hao7:
ชอบบบบ ติดตามทุกตอนของซีรี่ย์มหาลัยเลย ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆ ให้อ่านจ้า
-
เป็นซีรีย์ที่น่าติดตามจริงๆ ชอบทุกตอนเลย
อินกับทุกตอนเลย บรรยายได้ดี พี่จิตติเก่ง
รออ่านนิยายเรื่องต่อๆไปนะ
-
อยากให้แต่งเป็นเป็นเรื่องยาวจัง คงฟินน่าดูเลยอ่ะ อยากรู้ด้วยจิตติเรียนคณะอะไร5555
-
:L2: :pig4:
-
บอกเลยว่า ชอบมาก ประทับใจ
เรื่องศึกษาดูใจศาสตร์นี่แบบ อ่านไปจะร้องไห้ไป นี่มันเรื่องตัวเองชัดๆ เสียตรงที่ตอนจบไม่เหมือนกัน นกจ้าาา :o12:
รู้สึกเคะคุณจิตติเป็นพวกแบบ ขวางโลกอะ คิดอะไรแตกต่างจากคนอื่น ทำให้ขัดใจเรานิดหน่อย5555 แต่นิสัยเวลาอยู่กะเมะแล้วน่ารัก ก็ให้อภัย
แต่ชอบเมะมากกกกก ชอบสไตล์เมะแบบนี้มากกก ทุกเรื่องเลยยย อร๊างงง :mew2:
บางเรื่องก็อยากให้เป็นเรื่องยาวจัง55555
-
แล้วสรุปพี่ไทม์อร่อยกว่าผัดกระเพราจริงมั้ยคะ 5555555
-
หมากับหมีเป็นหมา สรุปได้ทั้งหมา หมี และหมอหมา 5555
-
ไปจัดที่เป็นเล่มมาแล้ว ฮรือออออ จริงๆแอบมีความค้างคู่ณะกับพี้ปั้นนน มันหน่วงมากๆเลย แงงงง
จริงๆแอบอยากให้มีพิเศษหลายๆคู่เลย สนุกมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ แต่งผลงานดีๆออกมาเยอะๆน้า
-
คือ ดีงามทุกเรื่องหลากหลายสไตล์ มีแต่ฟรินๆ ครบรส ตอบโจทย์ ชอบมากมายทุกเรื่องสั้น
ขอบคุณ
-
คือ ดีงามทุกเรื่องหลากหลายสไตล์ มีแต่ฟรินๆ ครบรส ตอบโจทย์ ชอบมากมายทุกเรื่องสั้น
ขอบคุณ
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
น่าร้ากกกกก ทุกคู่เลยค่ะ :o8:
-
มันละมุน หัวใจมันพองฟู งื้อๆๆๆๆๆๆ มีความเขินแรง :impress2:
-
:L2: :L2: :L2: :L2:
-
เรื่องสุดท้ายดีมากๆเลยหล่ะจิตติ5555 ร้องไห้เลย สงสัยจะตรงกับชีวิตจริงแต่ผิดไปหน่อยคือสุดท้ายไม่ได้สมหวังเหมือนในเรื่อง
ชอบให้จิตติแต่งแนวนี้น้า สรุปทุกเรื่องชอบทั้งโปรเจคเลย
รอติดตามทุกเรื่องเลยนะคะ ขอบคุณมากๆเลยเน่อ :-)
-
เพลงนี้จะวนเวียนในหัวทั้งวันแน่ๆ โอ้ยยยชอบๆๆๆๆๆ
-
กรี๊สส
-
เพิ่งได้มาอ่าน เห็นมานานละ แต่ดองไว้ในเวลาที่เหมาะสม 5555555 ชอบมาก ชอบบบบบบบ คือครบรส เรื่องหลังๆนี่น้ำตาซึมบ้างร้องไห้บ้าง อินจัด ชอบที่คุณจิตติเขียนอ่ะ อยากให้เป็นเรื่องยาว ชอบทุกคู่ มันโดนใจมาก โอ้ยยยยย ชอบอ่ะ อีกสองเรื่องในหนังสือจะไปซื้อเลย มั่นใจว่าไม่ผิดหวังแน่ๆ 555555 ขอบคุณค่ะ เลิ้บบบ :sad4:
-
แวะมาบอกคนแต่งว่าเพิ่งได้มาอ่านรวดเดียวครบทุกตอน ชอบทุกตอนเลยค่ะ
อ่านลื่นไหล เพลินมากค่ะ :)
-
ขอบคุณค่ะ
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
:mew1:
ขอบคุณค่ะ
-
ชอบทุกคู่เลยยยย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :pig4:
-
| พยายามศาสตร์ | เปอร์ทำไมชอบทำให้ตั้มปวดใจ ตั้มก็อินกับไข่ย้อยเนอะ55555555555 เราก็ชอบหนังเรื่องนั้นมากเหมือนกัน เปอร์ตั้มเศร้าอ่าบีบคั้นหัวใจดี แต่สุดท้ายก็แฮปปี้ พี่เปอร์ตั้ม พี่เปอร์ตี่ รักเลย :กอด1:
-
|นิเทศศาตร์ | กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!! เขินฉากตอนจบมาก เลือดสูบฉีด อ๊ากกกกกกกก เขินนน พี่ไทม์พี่ไปป์ ดีต่อใจมาก พี่ไทม์ไปป์ รักเลย :กอด1:
-
| สถาปัตยกามศาสตร์ | ปอน่ารัก ลืมไปเลยว่าเคยชื่อปอ 5555555555 ชินกับจืดแต่ก้น่ารักที่สุด มีหน่วงๆบ้างพอกรุบกริบ แต่มันก็ดีต่อหัวใจ สถาปัตย์ปอ รักเลย :กอด1:
-
| นิติสศาตร์ | เศร้าาา ทำไมทันทำแบบนี้กับพากษ์ละ ฮือๆ แต่ก็กลับมาคบกัน ดีแล้วละ ทั้งคู่จะได้มีความสุข ทันพากษ์ รักเลย :กอด1:
-
|ศึกษาดูใจศาสตร์ | เศร้าหน่วงจริงๆ แต่ก็มีความสุขที่เทคกับพี่โฟร์จะได้คบหากัน ดีใจและซึ้งใจ ทันพี่โฟร์ รักเลย :กอด1:
-
| แพทยสัตว์ | ฮามาก แต่ก็เขินมากเหมือนกัน ชอบกุมภ์นะ ชอบคณิตด้วย ดูน่ารักกวนตีนดี555555555555555 รักพี่กุมภ์คณิต รักเลย :กอด1:
-
ชอบทุกเรื่องเลยยยย ร้ากกก
-
:mew1: ดีงาม... ขอบคุณค่ะ
-
:pig4:
-
ซับน้ำตาแพพ กับการแอบรักเพื่อนเนี่ย :o12:
-
ชอบจังเรื่อง สื่อความสับสนของทั้งสองคนชัดมาก
-
:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
พยายามศาสตร์ : ตอนแรกคิดว่าเกี่ยวกับเด็กพยาบาล แต่ป่าวเลยจ้าาา นอกจากไม่เกี่ยวยังเป็นตัวประกอบไปอีกก // บอกเลยว่าตอนนี้ พยายาม ศาสตร์ ๆ และก็คิดถึงแก๊งคิตตี้
นิเทศศาสตร์ : สั้นไปนิสส พี่ไทม์พูดน้อยกับคนอื่นไม่ว่านะคะ แต่กับคนอ่านพูกเยอะกว่านี้หน่อยก็ได้
สถาปัตยกามศาสตร์ : สั้นไปนิสสสส ไหนกาม? where? กามมมม 555
นิติสท์ศาสตร ์: จ้าาา น้ำพริกถ้วยเก่า
แพทย์สัตว์: .....
ศึกษาดูใจศาสตร์: เทค ...เธอบทน้อยกว่าพี่ไทม์อีกนะ 55555
-
อินมากกก ตอนนี้ชีวิตกำลังดราม่าแบบตั้มเลยค่ะ แอบรักเพื่อน
สรุปคือเปอร์เองก็แอบรักตั้มอยู่ก่อนเหมือนกันสินะ. สมัครuserไหนโชว์ข้อความนี้แจ้ง admin แบนเลยเวปไวรัส (http://www.ufa007.com)
-
อ่านแล้วอยากได้หนังสือเลยอ่ะ งื้ออออ :sad4:
-
ขอบคุณนะคะ ชอบมาก
-
มีความหน่วงเบาๆ แต่จบแฮปปี้
-
เขินแทนไปป์
-
อ่านรวบบบบเดียวจบบบ เกลียดการนอกบทที่ทำให้เรานั่งบิดแล้วบิดอีกกก
เกลียดดดเขินมาาากกก ชอบนิยายเซ็ตนี้มากๆๆๆโดยเฉพาะเรื่องนี้ค่าาาาา :katai5:
-
ชอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ หลากหลายแนวแบบนี้นะคะ
แอบอยากให้เป็นเรื่องยาวหมดเลย
ฮ่าๆๆๆๆ
แต่เสน่ห์ของบางเรื่องก็จบในตัวมันก็ประทับใจแล้ว
-
ในส่วนของพยายามศาสตร์
ฮื่อโกรธตอนเปอร์จูปน้องแล้วเทมาก
สงสารตั้ม แต่ตอนเพลงขึ้นคือแบบ น้ำตาไหลไปเลยจ้าาา ฮื่อสมหวังแล้วนะ
นิเทศศาสตร์แงง ชอบไปป์ น้องตลกอ่ะ55555
Mission complete เนอะได้แฟนใหม่แล้ว
ขำไม่ชอบน้ำหอม55555 ชอบเรื่องนี้ อ่านแล้วยิ้มตลอดเลยย
สถาปัตยกามศาสตร์
ฮื่อชอบอีกแล้ว ดีจัง ตอนขอเป็นคือแบบโอ้ย น้ำตาไหล อินมาก55555 ประทับใจความอ่อยเขาตั้งแต่ตอนสอบ เดาถูกด้วยว่าตั้งใจทำตกแน่ๆ สองคนคือน่ารักมากแงง
เอ็นดูความรีบนอนเพราะไม่อยากเห็นถาคุยโทรศัพท์ ฮื่ออยากหอมหัวปอ น่ารักไปหมด
นิติสท์ศาสตร์
ร้องไห้ตั้งแต่เริ่มจนจบ55555555
ต่างคนต่างรักกันเหมือนเดิม ดีใจที่ปรับตัวกลับมาคบกันได้ คิดว่าดีแล้วที่สองคนเลิกกันไปตั้งแต่แรก ไม่งั้นคงจบไม่สวยแบบนี้
เวลา2ปี ทำให้อะไรๆเปลี่ยนไป แต่ความรู้สึกก็คือเหมือนเดิท ประทับใจสุดจริงๆ ตอนที่แบบทันเก็บของทุกอย่างเหมือนเดิมคือแบบโอ้ยยยยย
ซึ้งมาก ดีมากกกกกก
แพทยสัตว์
เริ่มแบบขำๆ หลังๆเริ่มอิน น้ำตาไหลอีกละ5555
เอ็นดูคณิตชอบพัฒนาการของความสัมพันธ์มาก
เริ่มไม่ค่อยดี แต่ก็พัฒนามาเรื่อยๆ แต่อีพี่ปากหมาจริง ร้ายสุด5555555
ศึกษาดูใจศาสตร์
เราเข้าใจโฟร์มาก ชอบอ่ะ แต่ไม่กล้าบอก แต่ดีใจมากที่โฟร์ตัดสินใจเอาไดอารี่ไปให้น้อง แงง นึกว่าจะไม่สมหวังแล้ว ดีใจกับทั้งคู่มากๆ
อยากได้เล่มเลย ทำไมเราเพิ่งมาอ่านเรื่องนี้แงงง
ยังจะสามารถตามตาเล็มได้อยู่ไหมม
ขอบคุณคุณจิตติดาวมอนะคะ5555 ที่แต่งนิยายสนุกๆมาให้อ่าน ดีทุกเรื่องเลย ครบรสมาก จะติดตามไปเรื่อยๆนะคะ เดี๋ยวไปอ่านวิศวกรรมประสาทต่อ555
:mew1: :mew1:
-
:pig4: :pig4: :pig4:
ตามมาจากวิศวกรรมประสาท (เรื่องยาว) อย่าอ่านเรื่องพี่ท้องฟ้ากับมิถุนา
อยากรู้เรื่องธีมกับพี่เดือนมหา'ลัย
:mew1: :mew1: :mew1:
-
:pig4: :pig4: :pig4:
ชอบทุกเรื่องแลยขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆให้อ่าน :
:mew1:
-
ง่้อ น่ารักกกก กว่าจะรู้ใจ ลุ้นนนนมาก
-
น่ารักกกก เขิลลลลลล :ling1:
-
กลับมาอ่านกี่ครั้งก็สนุกเหมือนเดิม
-
อยากอ่านเรื่องยาว เหมือน วิศวะกรรมประสาทบ้างจัง จะมีโอกาสป่าวค่ะอยากกอ่านมากกกก
-
อยากอ่านเรื่องยาว เหมือน วิศวะกรรมประสาทบ้างจัง จะมีโอกาสป่าวค่ะอยากกอ่านมากกกก
-
ชอบนะครับ อ่านแล้วมีแอบน้ำตาไหล เป็นกำลังใจให้นะครับ :mew1: :mew1:
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
น่ารักทุกเรื่องเลย แม้บางเรื่องจะหน่วงๆไปบ้าง แต่สุดท้ายจบแฮปปี้ก็โอเคแล้ว :mew1:
-
ชอบพากษ์ค่ะ
-
รออ่านเลยครับ
เเทงบอลเงินสด (http://www.userไหนโชว์ข้อความนี้แจ้ง admin แบนเลยเวปไวรัส99.com)
-
เราร้องไห้เลย
-
ชอบจังดีทุกเรื่องเลย
-
:pig4:
-
ชอบทุกๆเรื่องในนิยายชุดมหาลัยนี้เลยค่ะ
ตัวละครในทุกๆเรื่อง ทำให้คิดถึงอะไรหลายๆอย่าง
ในชีวิตตอนเรียนทั้งเพื่อน ทั้งความสนุก ทั้งเรื่องตลกๆ และเรื่องที่ตลกไม่ออก
ขอบคุณสำหรับนิยายนะค่ะ❤️
-
ชอบทุกเรื่องเลยยยยยย :กอด1:
แต่ก็ทีหน่วงๆบางเรื่อง เช่น พยายามศาสตร์ นิติสท์ศาสตร์และศึกษาดูใจศาสตร์นี้ละ ลุ้นจนตัวโก่งเลย 555555
-
กลับมาอ่านกี่รอบก็ยังชอบมากเหมือนเดิมเลยค่ะ ชอบทุกคู่เลยยย :-[
-
สนุกค่ะ เปนเรื่องสั้นๆ แต่สนุก
-
:o8:
-
กลับมาอ่านละเศร้ามันโดนใจเรามากอ่ะ555แอบชอบน้องเขามา3ปี มากสุดได้แค่บอกHNYน้องเขา น้องจบม.3ก็ไม่ได้บอกความรู้สึก มีแค่ดอกกุหลาบดอกเดียวที่ได้ให้น้อง แต่น้องจะรู้ไหมว่าพี่ตั้งใจเลือกดอกกุหลาบดอกนี้มากแค่ไหน :sad11: