บทที่ 21
ก็แค่กลับไปอยู่ต่างมิติกันเหมือนเดิม
สิ่งที่เขาไม่มีอะไรมากไปกว่าการหายไปจากชีวิตของผมในทุกทาง ตัดขาดทุกช่องทางการติดต่อ ตอนกลับมาถึงคอนโดก็พบว่าเจ้าหมีส้มของผมกำลังนอนยิ้มอยู่บนเตียงของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ข้าวของต่างๆ ถูกจัดเก็บลงกล่องไว้อย่างเป็นระเบียบ เป็นการตอกย้ำว่าคำตอบของเขาคืออะไร
เราอยู่บนทางคนละสายแล้ว
ประจวบเหมาะกับการแข่งของแบล็คจบลงแล้วไวท์เลยกลับไปอยู่กับแฝดของตัวเองตามเดิม ห้องกลับมาเป็นของผมร้อยเปอร์เซนต์ ไม่จำต้องไปเบียดเบียนอยู่กับใครอีก
เอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะตัวเล็ก ปลดตัวล็อคออกเพื่อให้กระดาษสองใบที่ซ้อนกันอยู่ในนั้นร่วงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วง จับใบที่ซ่อนอยู่ด้านหลังให้ขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา มองเด็กชายสนธยาที่ยืนอยู่ต่อจากผมกำลังยิ้มกว้าง ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมไม่ได้เห็นเขามีความสุขอย่างนี้นะ กี่ปีผ่านมาแล้วที่ผมเห็นเพียงแต่ความทุกข์ฉายอยู่ในนัยน์ตานั้น
พอนึกถึงคำพูดแขวะบนโต๊ะอาหารวันนั้นขึ้นมาได้เลยโยนมันทิ้งไปเสีย เปลี่ยนไปหยิบภาพที่หนึ่งบนโพลารอยด์ตรงข้างหมอนขึ้นมาดูเป็นรอบที่ร้อยได้ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่ห้อง
คิดถึง
ผมเข้าใจพฤติกรรมแปลกๆ ของวีที่ชอบถ่ายรูปเก็บไว้ตลอดเวลาแล้วล่ะ อย่างตอนนี้ผมเองก็เสียดายมากอยู่ที่อัลบั้มรูปในมือถือไม่ค่อยมีภาพของเขาเก็บไว้เลย จะมีก็ไม่กี่รูปที่เราเคยถ่ายด้วยกันเมื่อนานมาแล้ว...
เอาแผ่นฟิล์มแปะลงกับหน้าผาก หลับตาลงแล้วกล่อมให้ตัวเองเลิกฟุ้งซ่านกับเรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีก ยอมรับเลยว่าใจโหวงไปเลยตอนที่เปิดไฟห้องตัวเองแล้วเห็นของทุกอย่างวางไว้อย่างนั้น โดยเฉพาะเจ้าหมีที่นอนยิ้มไม่รับรู้ว่าเจ้าของกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่แย่มากแค่ไหน แค่เข้าไปกอดแล้วรู้สึกไม่คุ้นชินก็บ่อน้ำตาแตกไปอีกรอบ การกอดของใครอีกคนกลายเป็นมาตรฐานสำหรับผมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เช้ามาก็โดนห้องถัดไปลากไปเรียนตั้งแต่เช้า โชคไม่ดีเด้งสองตอนเจอที่หนึ่งกำลังซื้อน้ำอยู่ตรงร้านค้าข้างทางขึ้นบันไดเสียอีก จะหลบก็ไม่ได้เพราะห้องเรียนอยู่ถัดต่อไป ทำได้แต่แสร้งตัวว่าเป็นปกติโดยการเดินให้ห่างกันมากที่สุด เข้าห้องเรียนมานั่งที่ประจำโดยไร้เงาคนด้านข้าง เขาย้ายไปนั่งบริเวณกลางห้องกับเพื่อนกลุ่มบาส มีบางคนที่หันมาทางผมแต่ก็โดนโหมดเย็นชาของโรมเล่นงานจนไม่กล้าเข้ามาใกล้ ซึ่งก็ดีแล้ว อย่ามาทำให้ผมลืมว่าตอนนี้สถานะของเราสองคนไม่เหมือนเดิมแล้วเลย
เรียนไปได้แค่ชั่วโมงเดียวจากสามชั่วโมงก็ทนต่อไปไม่ไหว ถึงเขาจะนั่งคนละฝั่งกับผมเลยก็ตามทีสายตาเจ้ากรรมก็ยังคงมองไปหาอยู่เกือบตลอดเวลา ผมตัดสินใจโดดเรียนโดยส่งไปบอกพี่ชายว่ารู้สึกไม่ดีขอกลับห้องก่อน โบกมอเตอร์ไซด์รับจ้างกลับหอแล้วก็มานอนทิ้งตัวอยู่อย่างนี้จนกระทั่งเกือบเย็น เป็นการใช้เวลาได้คุ้มค่ามากจริงๆ ให้ตาย
"ไม่อยากไปเรียนเลยแฮะ..."
คิดเรื่อยเปื่อยไปถึงตารางเรียนพรุ่งนี้ แน่นอนว่าเด็กเอกบัญชีแบบเดียวกันก็ต้องเจอหน้ากับอีกเป็นธรรมดา นี่ผมต้องแข็งแกร่งเบอร์ไหนถึงจะพาตัวเองไปเผชิญหน้ากับเขาได้อีกครั้งในวันพรุ่งนี้น่ะ ขอเวลานอกให้ปรับตัวหน่อยได้ไหมล่ะ จะให้ผมกลับไปเป็นโรมคนเดิมผู้ไร้เพื่อนฝูงได้นี่คงอีกพักใหญ่เลย ดันไปชินกับชีวิตอีกแบบเสียแล้ว
ดึงฟิล์มใบเดิมออกมา จ้องมองรูปอยู่อย่างนั้นอย่างกับกำลังเล่นเกมส์จับผิดภาพ ตามเซนต์ของคนทั่วไปแล้วมันควรจะส่งคืนหรือไม่ก็ทิ้งไปเสีย เพียงแต่ใจอีกฝั่งของผมสั่งห้ามไม่ให้ทำอย่างนั้น อย่างน้อยมันก็เป็นไม่กี่สิ่งที่เหลืออยู่ให้ผมได้ครอบครองมัน
เพราะต่อจากนี้มันไม่มีอะไรอย่างนี้อีกแล้วล่ะ
เสียงกระดาษต้านลมดังอยู่สองสามครั้งตามมาด้วยรูปถ่ายรวมหกคนสมัยจบชั้นมัธยมปลิวผ่านหน้าไป ผมเด้งตัวขึ้นมาตามจับกระดาษมันที่ลอยไปตามลม เอื้อมมือคว้าเพียงไม่กี่ครั้งก็จับมันไว้ได้ ลมก็ไม่ค่อยแรงทำไมถึงปลิวได้ไกลขนาดนี้นะ
"..."
ร่างกายและคงรวมถึงหัวใจชาสนิท ยามที่ลดมือจากรูปภาพแล้วสามารถมองเห็นออกไปนอกหน้าต่างได้พอดีว่าเจ้าของห้องฝั่งตรงข้ามเพิ่งเปิดประตูบานเลื่อนเข้ามาอยู่ในส่วนของห้องนอน เขาก้มหน้าหาอะไรสักอย่างในกระเป๋าหนังอยู่เลยไม่เห็นว่าผมกำลังจ้องอย่างไม่ลดละอยู่
หลบสิ หลบเดี๋ยวนี้
ใจบอกอย่างนั้น แต่ร่างกายไม่ยอมขยับตาม ผมมองเขาควานหาสิ่งของให้กระเป๋า กัดปากแน่นจนรู้สึกเจ็บเมื่อเกิดความคิดขึ้นมาว่าไม่มีพื้นที่ของผมในห้องนั้นอีกแล้ว
ที่หนึ่งคงหาของของตัวเองเจอแล้วเลยเงยหน้าขึ้นมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างกายของผมยอมทำตามคำสั่งทิ้งตัวลงกับพื้นเพื่อให้กำแพงบังไว้ไม่ให้เขาจับได้ว่าผมกำลังแอบมองอยู่ หัวใจเต้นรัวอย่างกับวิ่งรอบสนามแบบสปีดสุดกำลัง ผมยกมือขึ้นจับตรงหัวใจที่น่ากลัวว่าจะทำงานหนักไปแล้ว ระแวงไปหมดว่าเขาจะเห็นผมหรือเปล่า ไม่หรอก เขาไม่น่าจะเห็นผมหรอกมั้ง
ถึงจะเห็น เขาก็คงไม่รู้สึกอะไรหรอก
"ทำอะไรอยู่น้องเอ๋อ?"
สะบัดหน้าไปมองเพื่อนข้างห้องผู้ยังคงอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อเช้าบ่งบอกว่าเพิ่งกลับมาถึงห้อง ข้างกายเขามีน้องสาวฝาแฝดยืนไร้ตัวตนอยู่
"ปิดม่านหน่อย"
"หา?"
"เดินมาปิดม่านให้หน่อย" สั่งย้ำไปด้วยเสียงจริงจัง แบล็คมองหน้าผมสลับกับมุมนอกหน้าต่าง นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นไม่ยอมทำตามคำขอของผม "แบล็ค ปิดม่าน!"
กระชากเสียงสั่งออกไป คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจมากนัก ทิวากาลยืนพิงกำแพงอยู่อย่างนั้นไม่ไหวติง คนอย่างเขาเข้าใจอยู่แล้วล่ะว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลผมเลยทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่อย่างนี้
"ทำไมกูต้องทำ"
"ยังจะมาถามอีก"
"กูจะขยับตอนที่มึงสัญญาว่าจะเล่าให้กูฟังว่าเกิดอะไรขึ้น"
"เดี๋ยวเล่าหมดเลย!"
ตกลงกลับไปอย่างไม่ต้องคิด สิ่งเดียวที่ผมต้องการในตอนนี้คือให้ห้องของผมเป็นห้องปิดตายทุกด้าน ไม่ให้ใครมองเห็นเข้ามาได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายในบ้าง รวมถึงไม่ให้ตัวเองเห็นว่ามีใครอยู่ภายนอกนั้นด้วยเช่นกัน
"มึงแม่งไม่คิดก่อนพูดเหมือนเดิม กูเคยสอนไม่ให้รับปากใครทันทีไม่ใช่หรือไง" เจอเขาเทศน์กัณฑ์เบาไปหนึ่งรอบพลางเดินไปปิดม่านให้สนิทตามที่ขอ ผมเผลอถอนหายใจออกมาที่ไม่ต้องเห็นสิ่งที่ไม่ต้องการอีกแล้ว
"เสร็จหน้าที่กูแล้ว ทำตามสัญญาด้วย"
"..."
"เราตกลงกันไว้ว่ายังไงน้องโรม?"
"...สัญญาต้องเป็นสัญญา"
ตอบอ้อมแอ้มไป ก้มหน้าจนคางเกือบชิดกับอกจะได้ไม่ต้องเห็นโหมดสั่งสอนของคุณพ่อ
"มองหน้ากูด้วยเวลาตอบ หนึ่ง...สอง...สาม"
ตัวเลขแรกฉีดยาชาเพิ่มเข้าไปอีก การนับเลขที่รวดเร็วจนเกือบตั้งตัวไม่ทันจนผมรีบเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกคนที่ขึ้นไปนั่งไขว้ห้างอยู่บนเตียงตรงข้ามกับผม ส่วนไวท์กำลังยืนพิงกับโต๊ะเครื่องแป้งอยู่
"เรียบเรียงให้ดีด้วย กูขี้เกียจมาสรุปใหม่เองอีก"
“...กูกับที่หนึ่งแยกกันเดินแล้วนะ” บอกให้เรียบเรียงให้งั้นก็เอาเมนไอเดียไปเลยแล้วกัน
"ไหนพูดอีกรอบ"
"เราแยกกันเดินแล้ว"
"ไม่ต้องออกไปแดกไหนล่ะสัตว์ พิซซ่าหนึ่งแถมหนึ่งพอ"
ดูท่าแล้วเราคงต้องคุยกันอีกยาว สีดำหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรเร็วๆ โดยมีผมนั่งมองการกระทำทุกอย่างตามไปด้วย
"ซีฟู้ดใช่ป่ะ เล่นของแพงตลอดมึงอะ"
เกลียดการโดนแขวะแบบนี้ที่สุด ผมเบะปากคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ทำไมต้องมาบ่นอะไรอย่างนี้ด้วยล่ะ ที่หนึ่งไม่เคยปริปากถามผมด้วยซ้ำ
"อย่าร้องไห้นะมึง ร้องเมื่อไหร่กูพากลับบ้านแน่"
"แล้วทำไมต้องพูดอะไรอย่างนั้นด้วยล่ะ"
"พูดอะไร กูก็ทำตัวปกติป่ะ"
"ไม่ต้องมายุ่งกับกูเลย!"
"ทำอย่างกับกูอยากยุ่งนักนี่ จะบอกมาดีๆ หรือจะไปนั่งพับเพียบกราบกรานรายงานพวกคุณพี่ทั้งหลายของมึงเองว่าทำอะไรลงไปอะ" ผมไม่ยอมกลับบ้านอีกเลย ที่ตั้งใจไว้ก็จนกว่าเกรย์จะกลับอังกฤษไปนั่นแหละ เบื่อที่ต้องกลับไปเจอเขาพูดจาสองแง่อย่างนั้นใส่ เขาสามารถเกลียดผมได้ ผมเต็มใจให้เขาเกลียดเลยล่ะ แต่เขาไม่ควรไปพูดอย่างนั้นใส่คนอื่น ไม่ควรเลยสักนิด "งั้นที่กลับมานอนห้องก็เพราะอย่างนี้?"
"...คงอย่างนั้น"
"แล้วยังไม่เอาของออกจากกล่องอีกเหรอ พอใช้หรือไง?"
"พออยู่แหละ"
ผมไม่อยากแกะมันออก อยากให้มันอยู่อย่างนั้นเผื่อว่าอีกไม่นานผมจะได้กลับไปอยู่กับเขาอีก
"กูย้ำหน่อยนะว่านี่แบล็ค ไม่ใช่ไวท์ ถึงมึงจะนั่งก้มหน้าอย่างนั้นกูก็ไม่ปล่อยให้มึงเงียบหรอก"
"แล้วจะให้กูพูดอะไรล่ะ"
"อะไรที่คิดว่าควรเล่าก็เล่ามาให้หมด"
"...ที่หนึ่งเห็นแผลแล้ว" เหมือนมีใครไปสับสวิทช์เปิดโหมดเงียบหลังจากคำสุดท้ายออกจากปาก เมื่อประโยคแรกหลุดออกมาแล้วมันคงไม่มีประโยชน์อะไรอีกที่จะเก็บส่วนที่เหลือไว้ "เขาถามกูว่าแผลมายังไง"
"แล้วมึงตอบไปว่า?"
"กูไม่ตอบ"
"ฉิบ..."
"หมดเรื่องแล้ว"
ในเมื่อเรื่องทั้งหมดมันมีแค่นี้ ผมก็ไม่รู้จะเล่าอะไรต่อไปอีก
"แต่กูยัง"
"อะไรอีกล่ะ"
"แล้วทำไมมึงไม่เล่า?"
"...กูเล่าได้หรือไง" ถ้าเริ่มเล่าแล้วมันต้องเล่าตั้งแต่ตรงไหน แล้วจะต้องจบที่ตรงไหน
"น้องโรม..." เสียงเขาทั้งอ่อนและระอาใจ "เอาเลือดกูไปนี่ไม่ได้ฉลาดขึ้นเลยนะ"
"ไม่ใช่เลือดมึงสักหน่อย"
"ก็ลองไม่มีกูอยู่สิ มึงไม่ได้มานั่งตาแดงเป็นกระต่ายโง่ใส่อยู่อย่างนี้หรอก"
การมีอยู่ของบางคนหมายถึงการต่อลมหายใจของตัวเองด้วยเช่นกัน ผมเข้าใจนะว่ากระต่ายบางตัวก็ตาแดงอยู่แล้ว ที่เติมคำว่าโง่เข้ามานี่แค่อยากหลอกด่าผมรึเปล่า
"ดีแค่ไหนแล้วที่มึงเจอกูอะ ลองเป็นนิชสิ แม่งได้เค้นมึงจนตาย"
"พี่นิชไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอกน่า"
“หึ ทำอย่ากับไม่รู้ฤทธิ์มันไปได้”
“ถึงขั้นนี้ใครจะทำอะไรอีก?”
อารมณ์ไม่ดีมาจากไหนก็ไม่รู้ถึงได้ประชดออกไปทุกครั้งที่มีโอกาส ความน่าเบื่ออย่างหนึ่งของคุณพ่อคงไม่พ้นเรื่องนี้แหละ ตอกย้ำลงไปให้เจ็บกว่าเดิม
"งั้นถามอีกข้อ สรุปแล้วมึงกับที่หนึ่งนี่ยังไง"
"..."
นั่นสิ เรื่องของผมกันเขานี่คือยังไงนะ
ไม่อยากหานิยาม แค่มีเขาอยู่กับผมอย่างนี้ก็มีความสุขมากพอแล้ว
"น่ารำคาญว่ะ" เขาขยี้หัวตัวเองด้วยความขุ่นเคืองใจ "กูถามไม่ตอบ ใครถามก็ไม่ตอบ แล้วจะทำตัวอย่างนี้ไปเพื่ออะไรวะ"
เขาคงหมดความอดทนแล้วจริงๆ ถึงโพล่งออกมาอย่างไม่ปิดปัง ไม่อย่างนั้นเขาก็จะเป็นผู้ชมตำแหน่งวีไอพีในโรงโอเปร่ายิ้มนั่งมองจากที่สูงไม่ลงมายุ่งเกี่ยวเด็ดขาด
"..."
"เงียบอีกล่ะ มึงลองเงียบอีกทีกูเดินไปเปิดม่านแน่"
"กูไม่รู้"
"ถ้ามึงยังไม่รู้ กูก็ไม่แปลกใจที่มันจะไป"
"แบล็ค!"
"เสียงดังทำไม" การที่เขาทำท่าปิดหูของตัวเองอย่างนั้นโคตรน่าหมั่นไส้ "เข้าใจรึยังว่าทำไมพวกมันถึงค้านหัวชนฝาอย่างนั้นน่ะ เพราะพวกมันรู้ว่าสุดท้ายมึงก็จะกลับมาอยู่ในสภาพนี้ไง"
ผมคิดมาตลอดว่าเน็ทกับนิชยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของผมมากจนเกินไป เจ้ากี้เจ้าการในทุกเรื่องโดนเฉพาะเรื่องที่หนึ่งที่จิกยิ่งกว่าอะไรดี จนมาถึงตอนนี้ผมรู้ซึ้งเลยว่าไม่มีอะไรเกินไปกว่าที่พวกเขาเคยพูดไว้สักอย่าง
'อย่าเอาความลังเลมาเล่นสนุก'
'หยุดได้แล้ว'
ท้ายที่สุดแล้วผมมันก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง
"เอาจริงคือกูก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่มันออกมาในสภาพนี้นะ" ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อมากเท่าไหร่เลยเงยหน้าขึ้นมามอง "นานกว่าที่กูคิดไว้เยอะ"
"ไอ้เหี้ย" สรรหาคำด่าต่อไปไม่ออกแล้ว พูดมาอย่างนี้ก็ตีความได้อย่างเดียวว่าที่เขาอยู่นอกวงก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจ ก็แค่คิดตอนจบไว้ล่วงหน้าแล้วค่อยดูว่าจะเหมือนตามที่ตัวเองวางแผนไว้หรือไม่เท่านั้นเอง ดีไม่ดีอาจเกิดการแทรกแซงเพื่อให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการอีกด้วยซ้ำ
"หึ"
"ทำอย่างนี้ไปทำไมวะ"
ในบางอารมณ์ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรกับหุ่นเชิดให้เขาโบกไปมาได้ตามใจจนหลุดปากไป คุณพ่อทางพฤตินัยของผมสบตากลับมา โครงหน้าที่ดูลงตัวไปทุกสัดส่วนเรียบตึงจนกลายเป็นรูปสลักไร้ชีวิต อยากอ่านความคิดของเขาให้ทะลุมากเพียงไหนก็ทำได้เพียงแค่ยอมรอจนกว่าเขาจะขยับปากอีกครั้ง
"กำลังทดสอบอะไรสักอย่างอยู่มั้ง"
ไม่อยากจะนับว่านั่นเป็นการตอบ เขาหยุดพูดไปเมื่อโทรศัพท์ของตัวเองส่งเสียงร้องลั่น เป็นพิซซ่าที่มาถึงแล้ว แบล็คหันมาสั่งให้ผมนั่งรออยู่เฉยๆ ไม่หนีไปไหนพลางคว้ากระเป๋าเงินของตัวเองออกไปรับสินค้าโปรโมชั่น
"ไหวไหม?" เธอนิ่งเงียบตลอดการคุยของเราจนเกือบลืมไปว่าห้องนี้มีสมาชิกอยู่สามคน ไวท์เดินเข้ามาจนชิดกับผม ปลอบขวัญที่เสียไปจากคำพูดทำร้ายจิตใจจำนวนมหาศาลจากคุณพ่อด้วยการดึงส่วนศีรษะของผมไปซบไว้กับหน้าท้องแบนราบ กลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวของพี่น้องขาวดำแสบจมูกอยู่เช่นเดิม
"เอาความจริงเหรอ..." เหนื่อยกับสิ่งที่ต้องเผชิญเหลือเกิน ผมหลับตาลงรับสัมผัสที่อาจไม่อบอุ่นเท่าแต่ก็ทำให้รู้สึกปลอดภัยได้ไม่ต่างกัน หลอกตัวเองว่าน้ำตาที่หยดลงบนเสื้อสีดำสนิทของเธอตอนนี้มันเกิดจากกลิ่นหวานแปลกที่แสบไปทุกประสาทสัมผัส
"ไม่เลย"
เคยอ่านเจอมาว่าคาเฟอีนไม่ใช่สิ่งดีต่อร่างกายหากได้รับเข้าไปในปริมาณมากๆ เพราะงั้นต้องสั่งแต่พอดี
"ชาเขียวปั่นแก้วใหญ่ครับ"
แต่จะมาถามหาความพอดีกับผมที่อยู่ในช่วงเป๋ก็คงไม่ได้ล่ะมั้ง
ปกติแล้วผมไม่ชอบกินชาหรือกาแฟสักเท่าไหร่ ขอเว้นวันนี้ไว้หน่อยแล้วกันที่ต้องพึ่งมันสำหรับคาบบ่ายที่ห้ามตายเด็ดขาด เมื่อเช้าผมมีเรียนตอนแปดโมงถึงสิบเอ็ดโมง ได้เรียนจริงจังก็ปาไปเกือบสิบโมงเพราะหลับไม่รู้เรื่องคาโต๊ะเลคเชอร์ที่งีบไม่สบายเลยสักนิด ที่ยังพอมีแรงฮึดเรียนตัวบ่ายก็เพราะว่าวันนี้ผมเรียนไม่ตรงกับที่หนึ่งเลยสักคาบ มั่นใจได้เลยว่าต้องเข้าไปควิซไหวแน่
ยื่นแบงค์สีแดงไปให้พร้อมรอรับเงินทอนอยู่อย่างนั้น เห็นหน้าตัวเองที่สะท้อนกลับมาจากกระจกหลังร้านแล้วยู่หน้าลงอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ทำไมถึงหน้าโทรมได้ขนาดนี้เลยนะ
ร้านดูแคบลงไปถนัดตาในเวลาที่นักศึกษาต่างต้องการหาตัวช่วยให้ตื่นตัวในการเรียน หมายเลขคิวที่สิบสามในขณะที่เมื่อกี้ผมเพิ่งได้ยินพนักงานตะโกนเรียกคิวที่เจ็ดให้ไปรับเครื่องดื่มเป็นการไล่ให้ไปหาที่นั่งทางอ้อม ผมพาตัวเองมานั่งรออยู่ตรงเก้าอี้สานริมกระจก กดเปิดโปรแกรมสนทนาออนไลน์สีเขียวขึ้นมา ถ้านี่ไม่ใช่หน้าจอกระจกผมว่ามันมีสิทธิสึกลงไปเป็นรอยมือแล้วล่ะ ในเมื่อผมนั่งกดมันทั้งวันอยู่อย่างนี้
กดเข้าออกซ้ำๆ อยู่ตรงชื่อไลน์ที่เขียนไว้ว่า 'TeeNueng'
บนเฟสบุ๊คส่วนตัวของเขาก็ไม่มีการเคลื่อนไหวเพิ่มเติมใดๆ ให้รู้ว่าตอนนี้เขาสบายดีอยู่หรือเปล่า ที่พอเปลี่ยนไปบ้างก็แค่รูปโคฟเวอร์ในไลน์เป็นภาพพื้นสีเพลนที่ไม่รู้จะเรียกว่าสีอะไรดี สเตตัสที่ต่อท้ายก็มีเพียงอิโมติค่อนหมายเลขหนึ่งไม่ใช่ตัวไออย่างที่เป็นมาตลอดในช่วงหลัง
ไม่มีอะไรทำก็กลับไปเล่นเกมส์แล้วกัน ตั้งใจจะปิดแล้วไปเปิดอีกแอพให้หายเบื่อก็ปรากฎการแจ้งเตือนขึ้นมาพอดี ผมมองชื่อเจ้าของไลน์ที่เด้งขึ้นมาใหม่แล้วเกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นในหัว
GRY : Guess what , Where am I
ชื่อไลน์ไม่คุ้น รวมถึงภาพตัวแทนก็เป็นเพียงรูปท้องฟ้าแปลกตาที่ปรับจนซีดจาง
...แต่ก็เดาได้ว่าใครเป็นคนส่งมา
GRY : Sent a photo
GRY : Who is he?
ไม่ต้องกดขยายภาพก็รู้ได้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร ในเมื่อรูปที่เขาส่งมาคือภาพที่หนึ่งบนไวนิลที่ซีดไปตามกาลเวลา ชื่อของผู้ชายคนนั้นกับคำเขียนสั้นๆ ว่า Beyours เล่นเอาผมไปต่อไม่ถูก
ผมอยากเป็น 'ที่หนึ่ง' ของคุณ
สายตาที่ผมเคยบอกว่ามันเว้าวอนขออะไรสักอย่างมันยังคงอยู่อย่างนั้นไม่แปรเปลี่ยนไป
GRY : Where r u
GRY : Wanna have twin talk?
คุณพินิจมีลูกแฝดสองคู่ แบล็คกับไวท์ แล้วก็เกรย์กับโรม...
สัมผัสได้แต่รอยประชดประชันและเสียดสีในตัวอักษรเหล่านั้น และไม่ต้องตอบกลับอะไรไปสิ่งที่ถูกส่งมาเป็นอย่างสุดท้ายคือโลเคชั่นที่อยู่ของเขาในเวลานี้
GRY : Always waiting
GRY : ; )
เครื่องหมายที่ผสมกันเป็นรูปรอยยิ้มกลายเป็นเพียงการเตือนให้ระวัง ผมกำโทรศัพท์ในมือแน่น มาถึงขนาดนี้แล้วผมไม่มีอะไรจะต้องเสียเพิ่มแล้วล่ะ ก้าวเดินออกนอกร้านโดยปล่อยให้ชาเขียวแก้วเกือบร้อยที่เพิ่งสั่งเป็นม่ายไปอย่างไม่แยแส คุยกันให้จบๆ ไปเลยก็ดี จะได้ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก
พอเดินตามที่อยู่ที่เขาส่งมาให้แล้วถึงรู้ว่าคือที่ไหน โรงยิมชั้นสองว่างเปล่าตอนที่ผมขึ้นไป เวลาบ่ายสองมันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่จะไม่มีใครอยู่ สถานที่ออกกำลังกายแบบปิดไร้ซึ่งหน้าต่างระบายอากาศเต็มไปด้วยความร้อนสะสม ผมกระแอมไอออกมาสองสามครั้งเพื่อไล่ฝุ่นในโพรงจมูก ตอนตามที่หนึ่งมามันเป็นเวลาเย็นที่เปิดไฟสนามไว้แล้ว แถมยังมีพัดลมอะไรไว้บริการเสร็จสรรพ ต่างจากตอนนี้ที่ทั้งมืดและวังเวงเสียเหลือเกิน
ท่ามกลางความเงียบมีเพียงเสียงรองเท้าผ้าใบคู่เก่งของผมเสียดสีไปตามพื้นไม้ ผมกวาดตาหาเจ้าของคำเชิญชวนจนทั่วแล้วก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากตัวเอง ใจมีแต่ความหวาดระแวงเต็มไปหมด หรือว่าเขาจะหลอกให้ผมมาที่นี่เพื่อที่ให้อยู่ห่างกับที่หนึ่ง
ไม่เคยคาดเดาความคิดของเขาออกเลยให้ตายเถอะ
ที่บอกว่าเหมือนพี่รวมถึงเรื่องนี้อีกเรื่อง ผมว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ที่ส่งต่อมาตั้งแต่รุ่นพ่ออย่างคุณพินิจแล้ว การที่ต้องมาเดาความคิดของคนบ้านนี้เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ ต่อให้พยายามวิ่งตามให้ทันมากแค่ไหนพอเริ่มตีตื้นได้ก็จะพบว่าผมไม่ได้เร็วขึ้นเลย พวกเขาแค่ผ่อนการวิ่งให้ผมตามทันแค่นั้นเอง และพอเป็นที่พอใจแล้วก็กลับไปวิ่งเต็มสปีดแบบเดิม
"โรงยิมนี่ควรจะปรับปรุงหน่อยนะ"
สะดุ้งไปนิดหน่อยตอนที่เกิดเสียงแทรกท่ามกลางความเงียบสงบ ผมท่องบอกตัวเองให้ใจเย็นเข้าไว้ วันนี้ไม่ว่าเกรย์จะมาไม้ไหนผมก็ต้องสู้กับมันให้ได้
"ทำไมต้องมาคุยถึงบนนี้?" ไม่ได้สงสัยอะไรจริงจังหรอก ก็แค่ว่าไม่รู้จะเริ่มอย่างไรก็เท่านั้นเอง
"มันเงียบดี ไม่มีคนอื่นเข้ามาสอด"
"แล้วมีอะไรจะคุยอีก"
"หลายอย่าง ให้เริ่มตรงไหนดี"
"อยากเริ่มตรงไหนก็เชิญ ช่วยเล่าตั้งแต่ต้นด้วยนะ บางเรื่องก็อาจลืมไปแล้ว"
ตลกดีที่วันนี้เราต้องมาเผชิญหน้ากันในรูปแบบนี้ ไม่มีเค้าความสนิทสนมเดิมที่เคยมีมาตั้งแต่จำความได้
"งั้นเอาเรื่องของผู้ชายคนนั้นก่อนไหม" เกลียดยิ้มหยันอย่างนั้นเหลือเกิน "ชื่ออะไรนะ ที่หนึ่งรึเปล่า?"
"อย่ายุ่งกับหนึ่ง"
บอกเสียงห้วน ผมมองเขาตาขวาง หวาดระแวงกับทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ ก็อย่างที่บอกไงว่าสีผสมอย่างเขาน่ะอันตรายไม่ต่างจากคนเป็นพี่ทั้งสองคนหรอก
"ทำไมถึงยุ่งไม่ได้ล่ะ"
"หนึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้...อย่าเอาเขาเข้ามาเกี่ยว"
"ไม่เกี่ยวเหรอ แน่ใจแล้วใช่ไหม?"
"ใช่"
"เฮ้อ...น่างสงสารจังนะ บางคนก็โง่ให้หลอกไปเรื่อย" ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเพราะอะไรเขาถึงสนใจเรื่องของผมกับที่หนึ่งอย่างนี้ "ชื่อไม่ได้บอกตำแหน่งสักหน่อย ว่าอย่างนั้นไหม"
ครั้งสุดท้ายที่เราได้พูดคุยกันจริงจังมันผ่านมากี่ปีแล้วนะ กี่ปีแล้วที่เราไม่ได้รับฟังเรื่องราวในชีวิตของอีกฝ่ายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมไม่เคยรู้ว่าชีวิตการอยู่ในโรงเรียนประจำของเขาเป็นอย่างไร ได้เห็นหน้ากันก็เพียงแค่ช่วงสุดสัปดาห์ตามข้อตกลงที่เขาให้ไว้ หากเจอหน้ากันต่างฝ่ายต่างก็ไม่พูดจาปราศรัยกันสักนิด จนผมสงสัยว่าในขณะที่ผมไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ทำไมเกรย์ถึงรู้ไปถึงเรื่องที่เป็นความลับที่สุด
เรื่องที่ควรจะมีแค่ผมคนเดียวที่รู้
"...ทั้งที่บนนั้นมีอีกคนยืนอยู่แล้ว" เขาทำเหมือนสิ่งที่ผมทำมันน่าสมเพชเสียเหลือเกิน "ที่หนึ่งน่ะมีได้แค่คนเดียวนะโรม"
"อยากมีตำแหน่งอีกคนหรือไง"
"ก็เปล่า แค่อยากรู้ว่าสรุปแล้วตอนนี้คนที่อยู่บนนั้นเป็นใครกันแน่ ...จะได้เอาไปบอกอีกคนได้ถูก"
"ขอบคุณในความหวังดี แต่ไม่ต้องการ"
"งั้นเดี๋ยวจะไปบอกนางฟ้าให้แล้วกันนะ"
เอาอีกคนมาล่อให้หลุดปากออกมา ถึงตอนนี้ผมก็มั่นใจได้แล้วว่าสิ่งที่เขาต้องการได้ยินคืออะไร
"เขาเป็นที่หนึ่งไม่ได้อยู่แล้ว พอใจรึยัง!!"
ได้ยินเสียงของตัวเองก้องเต็มโรงยิม ความที่ไม่ใช่คนชอบใช้เสียงดังเป็นทุนเดิมตอนนี้ลำคอเลยแสบไปหมด พอมาประกอบกับร่างกายที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงดีมากเท่าไหร่ในช่วงนี้ผมเลยรู้สึกหัวหมุนไปชั่วขณะ จนต้องโค้งตัวลงเพื่อปรับสมดุล
"อยากให้รู้เท่านี้ใช่ไหม"
"!!!"
ความเจ็บปวดทั้งหมดถูกลืมไปในทันที ผมหมุนตัวไปทางด้านหลังของตัวเองโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ ร่างที่ควรสั่งให้เป็นไปตามที่ต้องการได้กลายเป็นว่าผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ มันชาดิกไปหมด รวมกับว่าผมเพิ่งได้รับสารพิษเข้าร่างไป
ที่หนึ่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...
ในขณะที่ผมนิ่งไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง ริมฝีปากที่ผมเคยสัมผัสคลี่ยิ้มจางให้ เขาเหมือนดีใจที่เห็นผมอยู่ตรงนี้ ในขณะที่มองอีกทางได้เหมือนกันว่ามันคือการฝืนเพื่อเก็บซ่อนอะไรไว้ มันยกขึ้นสูงอยู่อย่างนั้นจนเผลอจ้องริมฝีปากสวยว่ากำลังจะเอ่ยเอื้อนคำใดออกมาอีก
ในบางเวลามิติของเราก็เข้ามาอยู่ใกล้กัน แต่ไม่อาจส่งความรู้สึกถึงกันได้
ส่วนลึกในใจบอกว่าสิ่งที่ผมเคยกลัวกำลังเกิดขึ้นจริง
"ถ้าเป็นเรื่องนี้ความจริงไม่ต้องเรียกผมมาก็ได้"
"..."
"ผมรู้อยู่แล้วว่า 'ลัจ' คือที่หนึ่งของโรม"
อ่อนล้า เหนื่อย ท้อ แต่ก็ยอมรับความจริง ทุกอย่างรวมอยู่ในหนึ่งคำพูด
รู้หมดทุกอย่างนั่นแหละ
...กลายเป็นผมเองที่ไม่รู้อะไรเลย
"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมไปก่อนนะ"
ไม่รอให้ใครยื้อหรือรั้ง เขาหันหลังกลับแล้วเดินออกไปอย่างไร้เยื่อใย ภาพอดีตครั้งที่เขาเลือกที่จะเดินออกไปทับซ้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า หนึ่งเฉลยแล้วว่าเพราะอะไรถึงตัดสินใจเลือกที่จะหยุดอยู่ตรงนั้น ต่อให้ผมอยากจะวิ่งตามแผ่นหลังนั้นไปอย่างที่เคยอยากทำเมื่อครั้งก่อนผมกลับถูกอะไรบางอย่างตรึงไว้อยู่ตรงนั้นไม่กล้าขยับไปไหนอีก หัวสมองตื้อไปหมด
"ได้ยินไหม ...ผมไม่ได้เป็นคนพูดเองนะ"
เกรย์พูดทั้งที่ไม่ได้กลับมามองผมสักนิด เสียงแห้งแล้งของเขาที่เคยทำร้ายจิตใจผมมาโดยตลอดเทียบไม่ได้กับหนึ่งประโยคก่อนหน้าของที่หนึ่ง
"ทำอย่างนี้ทำไม..." นึกอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ สายตาของผมมองแผ่นหลังนั้นลับหายไปเป็นครั้งที่สองอยู่อย่างนั้น มันคือคำถามที่ผมเคยคิดอยากจะบอกออกไปหลายต่อหลายครั้ง ว่าเพราะอะไรกระจกที่เคยเป็นตัวสะท้อนของกันและกันถึงอยากจะแยกออกจากกันไป เราเคยสนิทกันมากไม่ใช่เหรอ
เคยสัญญากันไว้
ว่าเราจะเป็นคนสุดท้ายที่บอกลากัน
"คนที่แย่งทุกอย่างไป ก็ไม่สมควรได้อะไรเหมือนกัน"
"คิดอย่างนั้นมาตลอดเลยสินะ" ในสถานการณ์อย่างนี้ผมกลับแค่นหัวเราะให้ตัวเอง อย่างน้อยสิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มันก็ถูกต้องมาตลอด เขามองผมเป็นแค่คนที่เข้ามาแย่งพื้นที่ของเขาไป "ถ้าได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วก็ไปสักทีเถอะ อย่ามายุ่งชีวิตของกูอีก"
เขาเดินผ่านหน้าของผมไปโดยไม่มีการบอกลา เสียงฝีเท้าที่ไกลออกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นไร้สรรพเสียงใด ห้องกว้างเหลือเพียงผมยืนอยู่เดียวดาย และพอมันยิ่งเงียบมากเท่าไหร่ เสียงของเขากลับก้องกังวาลอยู่ในหูมากเท่านั้น
"ผมรู้อยู่แล้วว่า 'ลัจ' คือที่หนึ่งของโรม"
***
#ที่หนึ่ง #ที่ไม่ใช่ที่หนึ่ง