"หึง?"
"เอือมระอาต่างหาก"
"แย่จังนะ"
ยิ้มระรื่นไม่ได้ไปด้วยกันได้กับคำกล่าว สิปป์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างกับกดซูมกำลังขยายสูงสุด ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเอาตัวเองเข้ามาใกล้ผมขนาดนี้ แต่ไม่ว่าใบหน้าหล่อราวรูปสลักจะมาให้ผมเชยชมกี่ครั้งมันก็ยังทำให้ใจเต้นแรงขึ้นได้ทุกที
"ลุกไปอาบน้ำสักทีเถอะ"
"ไม่ล่ะ”"
"?"
"มีของน่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้าขนาดนี้"
"เหรอ"
ไม่สนใจคำอ้อน ผมต้องวางตัวเองให้อยู่ในฐานะที่ต่อรองได้ ไม่ให้เขาเหลิงในอำนาจจนลืมว่าคนที่เขากำลังท้าทายอยู่ตอนนี้คือปีศาจที่มีดีกรีความร้ายไม่หย่อนไปกว่ากัน
'มึงมันชั่วไม่รู้ตัว' แบล็คเคยบอกไว้เมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นมีคนกร่างมาขู่ให้น้องโรมไม่เข้าสอบพละเพราะน้องอ่อนด้านกีฬามากๆ พอดีอีกฝ่ายมันโง่เกินกว่าที่จะรู้ว่าไม่มีคนในกลุ่มปล่อยให้โรมไปไหนมาไหนตามลำพัง พอเน็ทเข้าไปช่วยไว้ได้ทันพวกเราเลยวางแผนกันที่จะดัดหลังคนนิสัยเสียให้รู้ซะบ้างว่าไม่ควรใช้กำลังในทางที่ผิด อืมๆ ตอนนั้นพวกเราก็แค่จัดการให้เพื่อนคนนั้นมาสอบปลายภาคไม่ได้เลยสักวิชาเพราะกลัวฝันร้ายเท่านั้นเอง
ฝันร้ายที่ชื่อว่านิช
"คนสวยนี่หัวใจทำจากเหล็กกล้ารึเปล่า"
"คนเราควรมีกำแพงเสียบ้าง"
การเดินเกมส์ที่ดีต้องไม่วู่วาม การก้าวพลาดเพียงแค่ครั้งเดียวอาจนำมาซึ่งความตายได้ ตอนนี้ผมเลยยังไม่แสดงออกอะไรมากไปกว่าการทำตัวโอนอ่อนยอมทำตามความต้องการของเขาไปเรื่อย
ปล่อยให้เขาย่ามใจไปก่อน ตลบหลังนี่งานถนัดผมเลยล่ะ
≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡
ห้องซ้อมหมายเลข 10 ไม่รู้ว่าคราวนี้เกิดอาการสิปป์สเตอร์อะไรอีกถึงให้ผมมาส่งงานที่ห้องซ้อมดนตรีแทนที่จะเป็นร้านของตัวเองอย่างทุกที ห้องซ้อมขนาดใหญ่ดูหรูหราสมกับค่าเช่าแพงระยับที่ติดไว้ตรงทางเข้า เขาคงบอกเจ้าหน้าที่ไว้แล้วว่าจะมีคนมาหาผมเลยเข้ามาภายในได้อย่างง่ายดาย ไม่อย่างนั้นเห็นผู้ชายหน้าเนิร์ดๆ อย่างนี้เดินเข้ามาคงถามว่ามาผิดตึกรึเปล่า ตึกกวดวิชาอยู่ฝั่งตรงข้ามกันนะคะ อะไรอย่างนั้น
ประตูสีดำปิดสนิทไม่มีช่องกระจกให้ส่องภายใน ถ้าพวกนั้นซ้อมกันอยู่ถึงผมใช้มือเคาะแรงแค่ไหนก็ไม่ได้ยินอยู่แล้ว เลือกที่เปิดเข้าไปเลยดีกว่า
“สวัสดี...เห?”
คำว่าครับกลายเป็นเสียงประหลาดใจ ห้องกว้างไม่มีใครอยู่เลยสักคน ผมว่าตัวเองมาสายนะ
เปิดโปรแกรมแชตออนไลน์เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เขาบอกผมว่านัดมาบ่ายโมงนี่ก็บ่ายสิบสามนาทีเข้าไปแล้วยังไม่เจอใครเลย ส่งกลับไปบอกสั้นๆ ว่าถึงแล้วให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังผิดนัดอีกแล้ว อืม...จะเรียกว่าผิดนัดได้รึเปล่า ก็ถ้าไปส่งให้ที่ร้าน สิ่งที่ผมต้องทำคือต้องปลุกเขาก่อนทุกที
จนเอมแซวว่าหน้าที่หลักผมคือเป็นนาฬิกาปลุก ส่วนหน้าที่รองเป็นพนักงานไร้เงินเดือน
นั่งรอจนกลายเป็นนอนรอ ปาไปบ่ายครึ่งประตูก็ยังคงปิดสนิท สิปป์ไม่อ่านไลน์ที่ผมส่งไปให้เลยด้วยซ้ำ หรือควรจะโทรไปตามดี เขาเอาโทรศัพท์ของผมไปเพิ่มเบอร์เองโดยพลการมาสักพัก ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยที่จะกดโทรออกตรงรายชื่อที่เมมไว้ว่า ‘10’ เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ไม่เหมือนอีกฝ่ายถ้าไม่ได้โทรมาหาวันไหนคงลงแดงตาย
“ถ้าไม่มาจะวางของไว้ที่นี่แล้วนะ”
ขู่กับหน้าจอโทรศัพท์ผมก็ยังจะทำ ที่ผ่านมาไม่เคยต้องมาเดินตามเกมส์ของใครอื่นขนาดนี้มาก่อน คนในกลุ่มรู้ดีว่าถ้าทำให้ผมโกรธแล้วมันจะแย่แค่ไหน อย่างเน็ทจะเป็นสายทัพหน้าออกลุยก่อน มีแบล็คเป็นทัพหลังคอยซัพพอร์ต ส่วนผมก็จะคอยเป็นเสนาธิการคอยกำกับรวมถึงลงไปซ้ำถ้าศัตรูยังดื้อด้านไม่เลิก
พอดีไม่ได้นับถือพุทธ ถ้าให้เทียบคงเรียกได้ว่ากรรมตามสนอง
สิปป์ร้าย ร้ายอย่างที่ผิงบอกนั่นแหละ เขารู้ว่าตรงไหนคือจุดอ่อนของผมและเล่นงานมันจนยับทุกครั้งที่ต้องการ สร้างกำแพงไร้ทางออกขึ้นมารวมถึงเอาโซ่ล่ามเท้าผมไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้ ก็อยากจะถามเหมือนกันว่าทำไปทำไม ติดตรงที่กลัวเขาตอบกลับแล้วจะรับความเป็นสิปป์ไม่ได้
พ่นลมหายใจยาวเหยียด เบนหน้าไปทางกลองชุดที่ตั้งไว้อยู่ระดับตรงข้ามสายตาพอดี ที่จริงเครื่องตีสีดำสนิทดึงดูดความสนใจของผมตั้งแต่ก้าวเข้าห้องมาแล้วล่ะ คงรู้กันแล้วว่าผมเล่นกลองชุดในวงดนตรีประจำโรงเรียนสมัยมัธยมปลาย ที่จริงผมไม่ได้หลงไหลหรือให้ความสนใจเครื่องดนตรีนี้หรอก น้องโรมดันเกิดคึกอะไรไม่รู้ขอเรียนกีตาร์ ลำบากให้พวกผมมานั่งจับสลากกันว่าใครที่ต้องตามไปดูแล และคนที่โชคดีคือผมไง
ผมมันคนมีพรสวรรค์ด้านศิลปะ คนส่วนมากที่ผ่านเข้ามาในชีวิตว่าอย่างนั้น ถ้าถามตัวเองว่าเห็นด้วยกับคำบอกหรือเปล่าก็ไม่ สำหรับผมความจริงแล้วไปได้ทุกทางแหละ ที่สละสิทธิ์ไม่เรียนหมอก็แค่ไม่อยากเรียนต่อแบบไร้ทางเลือกอีกหกปีเป็นอย่างน้อยก็เท่านั้นเอง
ขยับมือไปมาบนอากาศ ตั้งแต่คนอื่นเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้ววงดนตรีของเราก็ล้มเลิกไปโดยปริยาย การจับไม้กลองครั้งสุดท้ายของผมนี่เลืองรางเต็มทน
...แค่ซ้อมมือระหว่างรอคงไม่เป็นไรละมั้ง
เดินไปหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว มีไม้กลองสำรองเสียบไว้อยู่แล้ว เอาเถอะ ถึงเป็นไม้กากๆ ก็ตีได้ล่ะน่า
ต่อหูฟังเข้ากับโทรศัพท์ ผมมีไฟล์เพลงสำหรับฝึกตีเก็บไว้อยู่ในเครื่องพอสมควร เลือกเพลงที่ต้องการแล้วหลับตาลง รอคอยให้โน้ตตัวแรกดังขึ้น ยินดีต้อนรับกลับมานะนิช
ถ้าให้เลือกระหว่างวาดรูปกับเล่นดนตรีมันเป็นสองอย่างในชีวิตที่ผมเลือกไม่ได้เลยจริงๆ แล้วทำไมผมถึงเลือกที่จะเดินบนทางศิลปะทั้งที่บอกว่าเลือกไม่ได้งั้นเหรอ มันก็แค่ว่าไม่มีทางที่ผมจะเล่นกลองได้โดยไม่มีเครื่องดนตรีอื่นไง
พาตัวเองเข้าสู่โลกที่สร้างขึ้นมาใหม่ ผมปล่อยให้ร่างกายขยับไปตามความคุ้นชิน มันก็เหมือนการเล่นกีฬาที่เมื่อฝึกซ้อมจนถึงจุดที่ร่างกายจำการเคลื่อนไหวได้แล้วก็ไม่ต้องไปบังคับอะไรมันอีก คนอื่นชอบทำหน้าประหลาดใจหรือไม่ก็ไม่เชื่อว่าผมจะเล่นกลองด้วยเหตุผลด้านรูปร่างที่ผอมบางจนเกินไป จนคนพวกนั้นได้เห็นผมแสดงเท่านั้นแหละ หน้าประหลาดใจมันก็หายไปทันตาเหลือเพียงความรู้สึกไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
เหมือนอย่างคนที่อยู่ตรงหน้าของผมตอนนี้ไง
"มาสาย"
ทักทายพลางถอดสายหูฟัง เก็บไม้กลองไว้ที่เดิม
สิปป์ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ผมเลยเดินอ้อมไปหยิบซองใส่งานที่วางอยู่บนโซฟามาให้เขาพร้อมกับซองเงินส่วนเกิน ถ้าสักวันหนึ่งผมโดนธนาคารเรียกพบเรื่องจำนวนเม็ดเงินที่เข้าออกผิดปกตินี่ผมจะไม่แปลกใจเลยล่ะ พ่อนักร้องใต้ดินชื่อดังเขาไม่สนในเรื่องเงินๆ ทองๆ เลยรึไงกัน
"ทีหลังจะมาสายก็บอกหน่อย จะได้ไม่รีบมา"
"ลืมมือถือ"
สำรวจใบหน้าของเขา เรือนผมสีดำเซ็ตแค่พอให้เป็นทรง ไอร้อนของร่างกายและเหงื่อที่ผุดอยู่ตรงบริเวณขมับบอกผมว่าเขาคงรีบเดินทางพอควร
"ลืม?" ถามอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ นี่ผมบอกเลยนะถ้าไม่ใช่ตอนกลางคืนในวันที่เขาทำงานหรือเวลานอนแล้วล่ะก็สิปป์ตอบผมช้าที่สุดคือหนึ่งชั่วโมง ไม่เคยมีครั้งไหนที่นานกว่านั้น
"เมื่อคืนไปนอนค้างห้องเพื่อน"
"อ้อ...เข้าใจล่ะ" พยักหน้าให้รู้ว่าผมไม่ถือสาที่เขามาสาย "งั้นกลับก่อนนะ"
โบกมือไปมาเป็นการบอกลา นัยน์ตาที่ไม่มีการแต่งเติมใดๆ ยังคงความสวยปนอันตรายไว้อย่างเดิม ที่ต่างออกไปคือรอยสะท้อนที่อ่านไม่ออก
เมื่อเขาไม่ตอบกลับอย่างที่เคยทำมาตลอดผมเลยถามต่อ "มีอะไรอีกรึเปล่า?"
"มือ" เขาชี้มาที่มือทั้งสองข้างของผม "แบออกมา"
"อะไรของคุณ"
"ส่งมือมานี่"
ไม่รอให้ผมทำเอง เขาคว้ามือทั้งสองข้างที่ผมทิ้งไว้แนบลำตัวขึ้นมาระดับอก พอเห็นรอยแดงที่ปรากฎบนฝ่ามือทั้งสองข้างแล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน มันก็แดงพอควรอยู่ ไม่ได้ตีมานานมันก็ไม่คุ้นชินอย่างนี้
"เรื่องปกติ" หมายถึงสมัยซ้อมก็ตีจนมือแดงอย่างนี้จนเป็นเรื่องปกติ ยิ่งช่วงไหนผมอารมณ์ไม่ดีแล้วต้องมาซ้อมเคยต้องทิ้งไม้เพราะเลือดซึมเข้าเนื้อไม้ด้วยซ้ำไป
"ปกติ?"
"ทำอย่างกับคุณไม่เคยเจ็บนิ้วเพราะเล่นกีตาร์ไปได้"
"หึ..." ยิ้มมุมปากที่ส่งมาให้เล่นเอาใจผมเขวไปช่วงหนึ่ง "คุณชอบทำให้ผมประหลาดใจอยู่เรื่อยเลยนะ"
"ผมไม่เคยทำเพื่อคุณ ดิซ"
ชอบที่จะเอาจุดเปราะบางของเขามาใช้ จากการอนุมานของตัวเองแล้วชื่อในวงการของเขาคงมาจากชื่อจริงภาษาไทยนี่แหละ สิปป์ที่อ่านว่าสิบได้เช่นกัน มีข้อมูลสนับสนุนคือรูปวาดคุณย่าของเขาที่เป็นหญิงต่างชาติ
ส่วนสิปป์ในภาษาไทยแปลว่าศิลปะ เหมาะกับเขาดีเหมือนกัน สวย ลึกลับ น่าค้นหา ...แล้วก็อ่านไม่ค่อยออก
ความใจเย็นคืออาวุธที่ใช้มาตลอด ถ้าเมื่อไหร่ที่ปล่อยให้อารมณ์มีอิทธิพลมากกว่าสมองแล้วก็เตรียมตัวแพ้ได้เลย
"แต่นี่ทำเพื่อคุณนะ"
จากมือที่อยู่ระดับอกขึ้นไปสัมผัสข้างแก้ม ริมฝีปากสวยบรรจงจูบลงไปทีละนิ้ว เรียกเอาความร้อนวูบขึ้นมากองกันบนใบหน้า ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือสายตาที่ไม่ละออกไปจากผมเลย
สิปป์ชอบเล่นเกมส์ นั่นคือสิ่งที่ผมบอกตัวเองอยู่ในตอนนี้
อยากจะดึงมือกลับมาแต่นั่นหมายถึงผมเป็นฝ่ายยอมแพ้ในยกนี้ บอกตัวเองให้อดทนเข้าไว้ ผู้ขายตัวร้ายกำลังใช้เล่ห์แพรวพราวทั้งหมดในการหลอกให้ผมติดกับ เกลียดจริงเลย เกลียดตาเขา เกลียดหน้าเขา เกลียดเสียงเขา เกลียดทุกอย่างที่รวมตัวกันแล้วเป็นสิปป์ เพราะผมไม่สามารถรับมือกับมันได้นาน
นับวันผมก็ยิ่งรู้ เสน่ห์ล้นเหลือที่ทำให้คนหลงจนฆ่ากันเองได้มันเป็นอย่างไร
"รู้ไหมว่าตอนคุณกัดปากมันเซ็กซี่เป็นบ้า"
"โรคจิต คิดว่ามื..."
"ดิซ บอกเคาท์เตอร์แล้วใช่ไหมว่าขอเพิ่มเวลาซ้อมน่ะ"
ช่วงชิงจังหวะที่มีเสียงที่สามแทรกเข้ามาดึงมือตัวเองออก โชคร้ายที่ทำได้แค่ข้างเดียว ดังนั้นภาพที่ผู้มาใหม่เห็นคือผมกับสิปป์กำลังยืนแนบชิดกันโดยที่มือผมข้างที่หนึ่งยังคงถูกเขากุมไว้แน่น
พูดแบบไม่เข้าข้างตัวเองอะไรทั้งนั้นนะ ภาพนี้แม่งต่อให้อธิบายสวยหรูยังไงก็ฟังไม่ขึ้น
คนมาใหม่คาดคะเนแล้วคงสูงกว่าผมไม่มาก ใบหน้ารูปไข่กับผมสีน้ำตาลอ่อนเพิ่มความสดใสให้กับโครงหน้าในองค์รวม ติดอยู่ที่สีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจนที่ทำให้ความสวยงามมันหมดไปทันตาเห็น
"ยัง ไปบอกหน่อยสิ"
"นี่! แค่ปล่อยให้น้ำวนหาที่จอดเองมันก็แย่เกินพอแล้วนะ ยังใช้ไปจองห้องต่ออีกงั้นเหรอ"
"ถ้าตอบว่าใช่จะเดินไปไหมล่ะ"
"ดิซ!"
ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไรกันแน่ พูดเหมือนมาซ้อมด้วยกัน แต่ก็ไม่อยากซ้อมพร้อมกัน สิปป์โคลงหัวแล้วพาผมกลับไปนั่งบนโซฟา อย่าเรียกว่านั่งดีกว่า เขาน่ะนั่งบนโซฟา ส่วนผมนั่งบนตักเขาอีกที
อยากจะดิ้นอยู่หรอก ติดอยู่ที่แขนที่โอบเอวผมไว้แน่นจนเกือบเป็นบ่วงรัดขนาดใหญ่ เมื่อไม่ใช่คนผิดหรือมีชนักติดหลังอะไรก็ไม่จำเป็นต้องหลบสายตา มองกลับไปยังผู้ชายเสื้อฟ้าที่ยืนหน้าไม่รับบุญยิ่งกว่าเดิมเพื่อรอดูว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป นี่ผมกำลังทำตัวเหมือนท้าทายอะไรเขารึเปล่า?
"แล้วนี่ใคร" เสียงที่ออกมาเกือบเป็นการกัดฟันพูด
"อยากรู้จริงเหรอ?"
"ถ้าเป็นเด็กๆ ของนายต้นน้ำจะได้ไล่ให้ออกไปจากห้องซ้อม มันเกะกะสายตา”
ดูท่าแล้วผู้ชายหน้าหวานคนนี้คงมีอิทธิพลในวงพอควรเลยทีเดียว ผมไม่ได้สนที่จะหาข้อมูลของสมาชิกคนอื่นๆ ในวงของดิซ มันไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตผมสักหน่อยนี่
ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาก่อนที่เขาจะพูดต่อ "งั้นก็ออกไปเพิ่มเวลาซะ จะได้ไม่เกะกะสายตาอีก"
เขาใช้คำที่แรงมากพอควรเลยล่ะ ไม่รู้ว่าคนข้างหลังกำลังทำสีหน้าแบบไหน น้ำเลยเดินปึงปังออกไปพร้อมกับปิดประตูกระแทกไล่หลังอีกต่างหาก
"จะปล่อยได้รึยัง"
"ไม่อะ"
"บอกไว้ก่อนว่าอย่าเอาผมเข้าไปเกี่ยว”
กันไว้ดีกว่าแก้ ดูจากท่าทางที่ออกไปทาง 'หึงหวง' มากจนชัดเจนของอีกฝ่ายแล้ว ผมคงต้องระวังเรื่องการวางตัวให้มากกว่านี้อีก ที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องมาระวังเลยไม่ใช่รึไง
“เขาต่างหากที่พาตัวเองเข้ามาเกี่ยว” คางของเขากำลังเกยกับไหล่ของผม จักจี้ชะมัด “ไม่มีใครเชิญสักนิด”
ทั้งแขนที่รัดเอวไว้และคางที่วางตรงไหล่ผมเลยหมดหวังที่จะขยับตัวหนีอย่างสมบูรณ์ ผมทิ้งร่างให้พิงกับคนที่อยู่ด้านหลังอย่างไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าท่านี้มันสบายที่สุดแล้วในการนั่ง
“ฝ่ายร้ายนี่ชอบความเสี่ยงงั้นเหรอ”
“เราทุกคนตั้งชีวิตบนความไม่แน่นอนที่รัก”
“เฮ้อ ผมไม่แปลกใจเลยที่คุณคนนั้นจะหวงคุณขนาดนี้น่ะ” ก็คำเลี่ยนๆ ที่ออกจากปากของเขาตลอดเวลานั่นไง “บางทีคุณก็ควรควบคุมคำพูดของตัวเองหน่อย”
“บางเรื่องปากมันไปไวกว่าที่คิด”
“อยู่อย่างนี้ไม่หนักรึไง”
“ไม่นะ คุณตัวเบา” เขาเอียงคอมาทางผมจนรู้สึกได้ว่ามีอะไรทิ่มข้างแก้ม “ดูบางไปทั้งตัวจนไม่อยากจะเชื่อว่ามีแรงขนาดนั้น”
“อย่าตัดสินหนังสือจากปกไง”
Do not judge a book from a cover คำพูดที่ผมชอบมากที่สุด
“เล่นมานานแล้ว?”
“พอสมควร เล่นตอนว่าง”
เขาหัวเราะในลำคอ ใช้มือข้างซ้ายโอบเอวไว้หลวมๆ แล้วขยับมือข้างขวาไปจับข้อมือของผมไว้ “ฝีมือขนาดนี้เล่นตอนว่าง?”
“ใช่”
ดูโรคจิตไหมถ้าจะบอกว่าผมชอบความความรู้สึกแบบนี้ ชอบเวลาที่ได้เหยียดยิ้มผู้ชนะให้คนที่เคยสบประมาทผมไว้ มนุษย์น่ารังเกียจอย่างหนึ่งคือชอบตัดสินคนอื่นด้วยมุมมองของตนเอง ทั้งที่องค์ประกอบทุกอย่างมันไม่ได้เหมือนกันเลยสักนิด ผมไม่เคยตัดสินคนอื่นและไม่ต้องการให้ใครมาตัดสินชีวิตผมเช่นกัน
“คุณเป็นหนังสือรุ่นลิมิตเต็ดสินะ” สิปป์โน้มหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกของเราชนกัน กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ไม่เหมือนกับทุกครั้งบอกผมว่าเขาคงไปค้างที่อื่นอย่างที่บอก “ถ้าอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ให้ครบต้องทำยังไงกัน”
“...เอ่อ กูก็ไม่อยากจะขัดจังหวะอะไรหรอก แต่ว่ากูยืนอยู่ตรงนี้นานแล้วว่ะ”
ผมได้ยินเสียงฮึมฮัมอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักจากลำคอ ท่าทางของเด็กที่ถูกขัดใจเรียกให้ผมยิ้มหวานกลับไป พาตัวเองออกจากอ้อมแขนแล้วลงมานั่งข้างๆ แทน
“ไม่อยากขัดจังหวะก็เดินออกไป”
“มึงก็พูดมาไม่อายเด็กมึงเลยเนอะ”
ผมเกลียดคำว่า 'เด็ก' ที่พวกเขาใช้พิกล
ชายที่มาใหม่มาพร้อมกับกระเป๋าใส่เครื่องดนตรีประเภทสาย คิดว่าคงเป็นเบสเพราะสิปป์เป็นมือกีตาร์แล้ว ความรู้สึกแรกที่เห็นก็คงเป็นลูกคุณหนูจอมกะล่อนทั่วไปในชุดแบรนด์ทั้งตัว หน้าตาดีพอควรเลยล่ะ
"สวัสดี ชื่อ 'พีท' นะ"
มองหน้าแล้วก้มลงกดโทรศัพท์คือสิ่งที่ผมตอบกลับไป หืม ผมจำเป็นต้องมารยาทดีอย่างที่สอนน้องโรมมาตลอดงั้นเหรอ คุณเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ คนที่มาเรียกคนอื่นว่าเด็กเลี้ยงได้หน้าตาเฉยไม่สมควรที่จะได้รับการปฎิบัติที่ดีกลับไปหรอกนะ
"หยิ่งว่ะ..." เสียงอุบอิบเรียกรอยยิ้มแสยะบนใบหน้าของผม "ล่ะตอนน้ำเข้ามาพวกมึงอยู่ท่านี้กันเหรอมันเลยเดินหัวลุกเป็นไฟออกไปอย่างนั้น พี่หน้าเคาท์เตอร์ตกใจกันหมด"
"ก็เปล่า ล่ะนี่คนที่นัดไว้อีกคนล่ะ"
"ไม่รู้แม่ง โทรไปไม่รับสงสัยเบี้ยวนัดแล้วมั้ง"
"อืม..."
ตอนนี้ผมมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ติดตรงที่สิปป์ยังกุมมือผมไว้ไม่ยอมปล่อยนี่แหละที่เป็นตัวปัญหาอยู่
"มีงานด่วนต้องรีบกลับไปทำรึเปล่า" เขาหันมาถามผม
"ไม่นะ"
"อยากเล่นกลองอีกไหม?"
คำชวนที่ฟังยังไงก็ดูมีความนัยแฝง ผมลอบมองผู้ชายคนเดิมที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยเค้าของความไม่พอใจแล้วเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาในหัว
ไม่เคยเป็นกันเหรอ ความรู้สึกที่ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทรมานแล้วยิ่งมีความสุขน่ะ
"จะให้มาช่วย?"
"จ้างต่างหาก พอดีคนเล่นประจำไปแสวงบุญรอบโลกไม่มีกำหนดกลับ"
กรอกตาใส่คนที่ยิ้มกริ่ม "คุณควรเลิกเอาเรื่องเงินมาพูดได้แล้วนะ"
"ไม่มีอะไรในโลกที่ได้มาฟรีๆ"
"นานแค่ไหน"
ช่วงนี้ผมไม่ได้มีงานเข้ามารวดเดียวอย่างที่เกิดขึ้นสมัยเจอเขาแรกๆ มันก็ยังคงมีงานเข้ามาสม่ำเสมอแต่ไม่ถึงขนาดต้องเร่งทำอีกแล้ว เด็กที่ไม่ต้องเรียนในระบบการศึกษาภาคบังคับอย่างผมจะใช้ชีวิตอย่างไรมันก็สะดวกไปหมด ไม่ต้องมากังวลเรื่องคาบเรียนไม่พอหรือเรื่องสอบ
"ตลอดชีวิต"
"อย่าเว่อร์"
"ตกลงไหมล่ะ?"
"จะเล่นให้จนกว่าจะหาคนใหม่ได้แล้วกัน ระยะทดลองงานสามเดือนเหมือนฝึกงาน" เห็นเน็ทมาบ่นเรื่องฝึกงานให้ฟัง ถึงจอมหวงจะดูไม่ค่อยสนใจการเรียนมากเท่าไหร่แต่ความจริงแล้วถ้าเขาตั้งใจจริงก็ทำได้หมดนั่นแหละ ติดตรงที่เขาเป็นคนสบายๆ เกินไปหน่อย นี่คงโดนพี่จ้ำจี้จ้ำไชให้คิดเรื่องฝึกงานเลยเริ่มแอคทีฟ ไม่อย่างนั้นคนอย่างนัทธิไม่มีทางเริ่มคิดเรื่องพรรณนี้เองแน่นอน
"น่ารักมาก" เขาโน้มมากระซิบที่ข้างหู จงใจเฉียดแก้มผมไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
"พลอดรักเสร็จรึยัง ถ้าเสร็จแล้วก็ออกไปสักที"
ถ้าไม่ใช่ลูกคนเดียวก็ลูกคนเล็กถึงได้เอาแต่ใจอย่างนี้ อยากจะให้น้องมาเห็นจะได้เข้าใจว่าเพราะอะไรผมถึงเคี่ยวเข็ญไม่ให้ทำตัวไร้มารยาทอย่างนี้ใส่คนอื่นไปทั่ว
“นี่นิช จะมาเล่นกลองให้”
ผงกหัวลงเพื่อไม่ให้ดูหยิ่งอย่างที่มีบางคนแขวะไว้
“อะไรนะ!?”
เหมือนการเข้ามาร่วมวงของผมจะมีคนไม่พอใจอยู่แฮะ
“ต้องให้พูดซ้ำงั้นสิ”
“น้ำไม่ยอมให้เด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาเล่นขายของหรอกนะ”
“นายควรให้ ‘คนร่วมวง’ ไปเช็คสายตา” ผมไม่ยอมใช้คำว่าเพื่อนในประโยค “มองยังไงให้คนตีกลองกลายเป็นเล่นขายของ”
บอกเลยว่าถ้าจะมาเปิดสงครามกับผม ผู้ชายคนนี้คิดผิดอย่างมหันต์เลยล่ะ
“นี่!”
“นิช ไม่ใช่นี่”
“ดิซ นายควรสอนเด็กนายให้เก็บปากไว้ทำอย่างอื่น”
ยามที่ผมหันกลับไปรอคำตอบจากเขา สิปป์เพียงยิ้มจนตาปิดมาให้ ...ผมว่าผมเห็นเขาซาตานงอกอยู่บนหัวผู้ชายคนนี้อยู่ล่ะ พนันไหมว่าเขากำลังคิดแผนชั่วอยู่ในหัว ที่กล้าบอกเพราะเขาเองไม่ต่างจากผมเลยสักนิดที่มีแผนร้ายจำนวนมหาศาลไหลเรียงเข้ามาต่อเนื่อง
เป็นพระเอกมันจะไปสนุกอะไรล่ะ เป็นตัวร้ายแล้วชีวิตมีสีสันกว่าเยอะ
"จะมาเล่นให้แต่มีข้อแม้" ผมยื่นข้อต่อรองให้ผู้ว่าจ้าง ไม่เก็บเอาเสียงค้านมาใส่ใจ "ฉันไม่ใช่ 'เด็ก' ของใคร ฝากนายไปปรามคนของนายเองหน่อย"
ชายตาไปมองชายสองคนที่แสดงสีหน้าแตกต่างกัน หนึ่งคนเต็มไปด้วยโทสะ อีกคนเต็มไปด้วยความเกรง การที่ผมบอกให้เขาไปพูด มันหมายความว่าสิปป์มีอำนาจเหนือกว่าในการควบคุม
...ส่วนคนที่สั่งเขาอีกทีอย่างผม ก็เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดไง
"ข้อสอง นายเป็นคนจ้างเพราะงั้นฉันจะไม่ฟังคำสั่งของใคร"
"ผมไม่ยอมให้คุณไปฟังคำสั่งคนอื่นอยู่แล้ว"
"ข้อสุดท้าย ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมทนไม่ไหวแล้วเกิดอันตรายอะไรขึ้นมา จะโทษผมไม่ได้นะ โอเคไหมครับสิปป์"
"รับทราบครับนิรันดร์"
ยิ้มหวานที่เคลือบพิษร้ายส่งไปให้เป้าหมาย ผมเรียกเขาว่าสิปป์แทนที่จะเป็นดิซอย่างที่ทุกคนทำ โชคดีที่ตั้งใจฟังเรื่องเล่าจากเอมเรื่องชื่อของเขา ผู้ชายแสนร้ายจะให้เฉพาะคนที่สนิทเท่านั้นเรียกชื่อจริง ถ้าไม่สนิทแล้วลองดีมาเรียกอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับเขาเลยก็เคยมีมาแล้ว
"ตามนั้นนะ นิชจะมาเล่นให้สามเดือนเป็นอย่างน้อย"
มันไม่ใช่การขอความเห็น เป็นการบอกเล่าให้ปฏิบัติตามเสียมากกว่า พีทดูมีปัญหาแต่ไม่กล้าท้วงกับการตัดสินใจของหัวหน้าวงในครั้งนี้ ผิดกับอีกคนที่เห็นคำว่าไม่ยอมรับลอยมาเต็มใบหน้า
"ง่ายไปไหม จะให้ใครก็ไม่รู้มาเล่นเนี่ยนะ"
"จะให้มาเล่นกูไม่คิดอะไรหรอก แต่ก็อย่างที่น้ำบอกวงเราไม่ใช่วงโนเนมนะเว้ย จะให้คนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกมาเล่นเลยมันก็ดูเสี่ยงไปป่ะวะ"
สรุปแล้วคือกำลังบอกว่าผมไม่เหมาะก็บอกมาตรงๆ
วันนี้อาจเป็นวันดีที่ผมได้เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของพวกมนุษย์หลายครั้งหน่อย ผมปล่อยให้คำปรามาสหายไปกับการเดินทางของเสียง หยิบมือถือขึ้นมากดไล่หาเพลงโปรดในการซ้อมดนตรี เพลงที่ผมโปรดปรานแต่ไม่มีใครชอบด้วยเพราะมันเล่นยากเกินไป แปลกนะ อะไรที่มันยากเราควรยิ่งเผชิญมันไม่ใช่รึไง
"อย่าฆ่าใครตายล่ะ"
เสียงแผ่วเบาเกือบเป็นการกระซิบ ผมหยิบหูฟังขึ้นมาใส่หูทั้งสองข้างแล้วเดินออกไปนั่งตรงหน้าเครื่องตีอีกครั้ง มือค้างไว้ที่ปุ่มเพลย์แต่สายตามองไปหาเจ้าของนัยน์ตาสวยแสนสะพรึง ส่งยิ้มมุมปากบางเบาให้แทนคำขอโทษ
ขอโทษที่ต้องบอกว่าเตรียมกดเบอร์โทรเรียกรถฉุกเฉินได้เลย
***
Merry Xmas ค่ะ (ยิ้ม)
ไม่มีอะไรจะสารภาพนอกจากยังแต่งที่หนึ่งตอนต่อไปไม่ได้อย่างที่ต้องการสักทีค่ะ (ฮา) ในที่สุดการสอบของเจ้ามันก็จบลงแล้ว หนึ่งเดือนสุดแทนทรมานมันผ่านพ้นไปได้สักที /ปาดน้ำตา แต่คิดว่าปิดเทอมแล้วคงลงได้บ่อยขึ้นแล้วล่ะค่ะ คราวนี้น่าจะมีเวลาแต่งเก็บไว้ ไม่ต้องอัพตอนต่อตอนอย่างที่ทำมาตลอด (หัวเราะ)
แล้วเจอกันศุกร์หน้าเช่นเดิมค่ะ