"ที่หนึ่ง" : END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ที่หนึ่ง" : END  (อ่าน 192504 ครั้ง)

ออฟไลน์ echoficy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อร้ายยยย.  ทำเราหลงรักไปอีก1คู่. อยากกอ่านคู่สิปป์นิช อีกเยอะๆค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2015 07:59:49 โดย echoficy »

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook

นิชน่ารักมากเลย...
คนเคยเล่นดนตรีกับนักดนตรีมาเจอกัน
ก็สปาร์คเท่านั้นสิคะ กร๊ากกกกก (ไม่ค่อยจะอวยสิปป์เลย)

อยากรู้เหลือเกินว่าถ้ารุกหนักกว่านี้
พ่อสิปป์ไม่ต้องส่งรูปต้นฉบับที่เห็นเนื้อหนังมังสามากกว่านี้มาให้นิชวาดหรอกเหรอ?
อู๊ยยยยย! แค่คิดก็ฟินแล้ว วาด portrait สีน้ำของนายแบบนู๊ด กรั่กๆๆๆ (หืดหาด หืดหาด)
มั่นใจว่าถ้าเกิดเรื่องวิตถารอย่างนั้นขึ้นมาจริงๆ นิชจะจำภาพต้นแบบได้ขึ้นใจขนาดไหน...
เดี๋ยวนะ นี่นิยายรักใช่ไหม ได้ข่าว?!!

เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^ สู้ๆนะคะ รอที่หนึ่งกับน้องโรมอยู่ (พอๆกับ Dix & นิช เลยค่ะ)  :L2:




ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
คู่สิปป์นิชน่ารักจัง  :o8:

ที่หนึ่งรุกทำคะแนนหน่อยนะ เดี๋ยวคู่อื่นๆ จะแซงหน้าเอาได้

อยากเห็นคุณอนาคตของเน็ตด้วย :hao3:

ออฟไลน์ whitelavenders

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 197
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
คือ...ถ้าบอกว่าคู่สิปป์กับนิชขโมยซีนคู่ที่หนึ่งโรมเต็ม ๆ จะว่าไง
555555555
มันเซ็กซี่มากอ่ะ รู้สึกมีพลัง รู้สึกว่าพ่อนักร้องหนุ่มนั่นค่อนข้างสตรองเลยทีเดียว
นิชต้องปวดหัวแน่ ๆ แต่ดูท่าคงจะแพ้ทางเหมือนที่โรมแพ้ทางที่หนึ่งละมั้ง
ช่วยลัดคู่นี้มาก่อนคู่หลักด้วยนะคะ พลีสส 555

แต่เอาจริง ๆ แล้ว เรื่องนี้มีแต่คาแรคเตอร์น่าสนใจทั้งนั้นเลยนะ
และค่อนข้างมีเอกลักษณ์ สำหรับเราเราว่าจริง ๆ แล้วคนที่ยากที่สุดคือโรมนะ
ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง เหมือนน้องมีนิสัยของทุกคนมาผสมกัน
แล้วก็มีปมอยู่ด้วย(มั้ง) สงสารที่หนึ่งเลยอ่ะ โดนไล่ โดนเย็นชาใส่บ้าง
5555555 แต่สู้ ๆ นะ เราเป็นกำลังใจ

ถ้าตอนนี้ก็จะมีตัวละครสามตัวที่ชอบ น้องโรม น่ารักดี ดูมีความแปลก
ที่หนึ่ง ที่เวลาบรรยายด้วยตัวเองนี่ภาพแตกต่างจากที่หนึ่งในสายตาคนอื่นมาก
คือมันทำให้รู้ว่า เออ โลกนี้มันไม่ได้มีใครเพอร์เฟคไปทั้งหมดนะ
ที่หนึ่งของทุกอย่างแต่ดันมีความป๊อด 555555555
คนสุดท้ายก็ เน็ท เวลามีบทเน็ททีไรจะชอบนึกถึงภาพ 'แมว' คือเป็นเคะที่ดูเอาแต่ใจมากแต่น่ารักดีจัง
และอีกอย่างอยากรู้เรื่องน้องเค้าด้วยค่ะ

ออฟไลน์ kaokorn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 903
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
เรื่องของนิชน่าติดตามเช่นกัน ขอบคุณฮะ

ขอให้สอบผ่านฉลุยสมใจนะฮะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
«ตอบ #215 เมื่อ20-11-2015 20:09:45 »

บทที่ 10

   NRome : สามวันแล้ว

   NRome : เปลี่ยนรูปด้วย

   TeeNueng : ชอบ ไม่อยากเปลี่ยน

   NRome : ไหนสัญญาว่าจะลงแค่สามวันไง ครบแล้ว

   TeeNueng : ขอขยายสัญญาหน่อยครับ



   "ไอ้บ้า..."

   ผมยังไม่ตอบกลับ เลื่อนไปกดตรงรูปตัวแทนของอีกฝ่ายแทน หน้าโปรไฟล์อย่างย่อปรากฎขึ้นตามมา ทั้งรูปที่เขาใช้อยู่ในตอนนี้และสเตตัสเล่นเอาผมไม่ต่อไม่ถูก

   <<< ที่หนึ่ง

   ที่หนึ่งใช้รูปตัวแทนเป็นแผ่นหลังของผมกำลังหันหน้าไปมองอะไรสักอย่างในวันที่ไปปั่นจักรยานด้วยกัน ป้ายชื่อที่ไม่รู้ว่าเลื่อนไปอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่โชว์ชื่อหรา คิดว่าคงเป็นเขาเองที่ถ่ายรูปนี้เก็บไว้ตอนที่ผมกำลังเผลอ คือ...เขาเข้าใจว่าคนอื่นจะเชื่อหรือไงว่าแผ่นหลังเล็กๆ แคบๆ นี่เป็นของเขา?

   ที่แย่ที่สุดคือมีคนรูปนี้ไปลงเพจคิวท์บอยของมหาวิทยาลัย ไม่เข้าใจจริงเลยว่าภาพที่เห็นแค่ข้างหลังพร้อมป้ายชื่อที่เขียนว่าหนึ่งนี่มันดึงดูดตรงไหน ยอดไลค์ถึงขึ้นไปเป็นพัน เดือดร้อนให้ผมต้องไปขอให้แบล็คช่วยไปเจรจา (และบังคับ) ให้ลบภาพทิ้ง เนื่องจากว่ามีหลายคนเข้ามาให้ความเห็นว่าคนในรูปชื่อโรมไม่ใช่ที่หนึ่งสักหน่อย หลังจากนั้นก็มีการอภิปรายเรื่องที่เราสลับป้ายชื่อกันเกิดขึ้น

   ต้องขอบคุณเด็กนิติผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ผมไว้ใจให้เพื่อนสนิทอันดับหนึ่งเป็นคนไปคุยเพราะแบล็คเองก็เคยโดนเอารูปไปลงโดยไม่ได้ขออนุญาตเช่นกัน ถึงจะไม่ได้แสดงออกถึงอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่โดนละเมิดสิทธิส่วนบุคคลใช่ว่าเขาจะไม่พอใจ จัดการรวมรวมกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์และการละเมิดไปให้แอดมินอ่านยาวเป็นกิโล หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเห็นใครกล้าลงรูปราชาสีดำแห่งคณะนิติศาสตร์อีกเลย

   TeeNueng : คำขอถูกปฏิเสธเหรอครับ

   เขาส่งรูปหมีสีขาวแอบอยู่หลังเสามาให้ด้วย ที่หนึ่งนี่มีสติกเกอร์กี่ร้อยแบบกันนะ ไม่ว่าเขาจะคุยเรื่องอะไรอยู่ก็จะมีตัวแสดงความรู้สึกที่เข้ากับสถานการณ์ทุกทีไป

   จะเรียกว่าความสัมพันธ์ของผมกับเขาดีขึ้นก็ไม่เชิง หลังจากวันนั้นแล้วเราก็คุยกันตามปกติ ที่เปลี่ยนไปก็อย่างเรื่องรถที่ขับไปรับส่งผมจากอีโค่คาร์เป็นรถหรูฝั่งยุโรป ส่วนหนึ่งก็เพราะแบล็คต้องตามไปดูแลฝาแฝดของเขาด้วยล่ะนะ ผมเองยังไม่เจอไวท์อีกเลย ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว

   NRome : ใช่

   TeeNueng : เก็บไว้พิจารณานานกว่านี้หน่อยสิ

   NRome : ไม่ ยุ่งอยู่

   TeeNueng : ไม่มีการบ้านแล้วนี่?


   อีกการเปลี่ยนแปลงในชีวิตการเรียนของผมคือช่วงนี้ผมกลายเป็นเด็กเรียนขึ้นมาสามสิบเปอร์เซนต์ครับ ที่หนึ่งชอบพาผมไปหาที่นั่งอ่านหนังสือไม่ก็ไลน์มาเตือนให้ทบทวนบทเรียนเสมอ ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมตอนมอปลายเขาถึงได้ตำแหน่งที่หนึ่งของระดับชั้นบ่อยๆ


   NRome : ยุ่ง กลิ้งอยู่บนเตียงนี่ยุ่งมาก

   TeeNueng : ลุกขึ้นมาเลยนะ แล้วนี่บอกจะซักผ้าทำรึยัง?

   NRome : ยัง เดี๋ยวทำ

   เขาส่งสติกเกอร์กระต่ายหน้าโกรธมาให้

   TeeNueng : ไปทำตอนนี้เลยน้องโรม



   หัวเราะให้ตำแหน่งคุณพ่อบังเกิดเกล้าที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ วางมือถือไว้บนเตียงแล้วเดินออกไปยังห้องนั่งเล่น พูดไปเรื่อยอย่างนั้นเองแหละที่จริงผมเอาผ้าลงไปปั่นในเครื่องตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว ก็หนึ่งชอบสั่งผมนี่นา ให้ผมได้มีหนทางระบายความเครียดบ้างเถอะ

   เอ๋ ใครเอาอะไรมาติดไว้ที่หน้าประตูห้อง?

   'ไปกับเน็ท กลับดึก'

   ลายมือตวัดสวยงามบนกระดาษโพสอิทแผ่นเล็กอย่างนี้มีอยู่คนเดียว ทำไมเน็ทกับแบล็คถึงไม่ยอมมาชวนผมล่ะ ขี้โกงชะมัดเลย ลงไปเก็บผ้าที่ปั่นเสร็จแล้วให้เรียบร้อย ขึ้นมาเปิดบานเลื่อนที่ต่อไปยังลานซักล้างขนาดเล็ก หลังจากที่พายุเข้ามาสักพักวันนี้ถึงมีแดดให้ผมได้จัดการกองผ้าเน่าบ้าง

   "ไหนบอกว่ายังไม่ซัก?"

   เหลือผ้าในตะกร้าอีกเพียงแค่สามตัวเท่านั้น จะได้กลับไปนอนกลิ้งบนเตียงแล้ว

   "น้องโรม หลอกพี่เหรอ"

   ใครเรียกชื่อผมรึเปล่า?

   ผมเงยหน้าตามที่มีคนเรียกชื่อ มองบนล่างซ้ายขวาแล้วก็พบแต่ความว่างเปล่า นี่ผมว่างขนาดหูฝาดเลยรึไง

   "โรมครับ มองมาตรงๆ"  บ้าจี้ทำตามที่เสียงปริศนาบอก ข้างหน้าตรงกับระดับสายตาปรากฎว่ามีร่างของคนที่ผมไม่ได้ยอมไลน์ไปยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่

   "ว่าไง ใครบอกพี่ว่ายังไม่ซักผ้า"

   "...ทำไมอยู่ตรงนั้น"

   ที่หนึ่งเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยด้วยความประหลาดใจ "นี่อย่านะบอกว่าไม่รู้?"

   ถ้ารู้จะถามไหมล่ะ

   ผมรู้แค่เพียงว่าเจ้าของห้องฝั่งตรงข้ามเป็นเพื่อนกับแบล็คเท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนของที่หนึ่งด้วย คนที่วันนั้นผมเจอเขาอยู่ด้วยกัน ผู้ชายที่หันหลังให้ผม

   "..."

   ยืนนิ่งโดยในมือยังมีไม้แขวนเสื้ออยู่ ประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวเองได้ใจความอย่างเดียวว่า

   "ห้องนาย?"

   ยิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์ส่งมาให้ผม "เก่งมาก"

   "..."

   ชีวิตการเป็นเด็กหอไม่ได้สนุกสนานอะไรขนาดนั้นสำหรับผมอยู่แล้ว การที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่โดยลำพังปราศจากการดูแลของพ่อแม่มันไม่ได้ยากขนาดที่อยู่ไม่ไหวหรอก เรื่องเพื่อนข้างห้องอะไรอย่างนี้ก็ไม่สนใจที่จะรู้จักทักทายอะไรกัน อย่างห้องต่อจากผมเป็นแบล็ค ส่วนอีกฝั่งเป็นใครก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตัวเองที่จะไปตามหา ไม่ต้องพูดถึงห้องที่อยู่ตึกตรงข้ามเลย คงเป็นคนบ้ามากๆ ที่จะทำความรู้จักกันน่ะ

   "ไม่ตากผ้าต่อล่ะ" เขาชี้มาที่ไม้แขวนเสื้อในมือของผม "ไม่รีบตากเดี๋ยวผ้าก็เหม็นอับหมด"

   "มันไม่อับเร็วขนาดนั้นหรอกน่า"

   ทำหน้ายู่ใส่คนชอบสั่ง รีบสะบัดผ้าแล้วตากจนครบหมดทุกตัว

   "หมดแล้ว" คว่ำตะกร้าประชดให้ด้วย

   "แล้วจะทำอะไรต่อ?"

   "นอนเล่น" วันนี้มหาวิทยาลัยหยุดภายใน จัดงานประชุมเสวนาอะไรสักอย่างที่ดูอลังการล้านแปด ผมเลยใช้เวลาให้คุ้มค่าด้วยการพักผ่อนเก็บแรงให้เต็มที่ไว้สำหรับควิซสัปดาห์หน้า

   "ไม่ต้องเลย จะนอนอะไรทั้งวัน"

   "ก็ว่าง แบล็คไม่อยู่ด้วย"

   "งั้นเย็นนี้ก็ต้องกินข้าวคนเดียวสิ"

   "ก็คงอย่างนั้น" ผมเลิกให้ความสนใจกับความรู้ล้านแปดที่เขามีเกี่ยวกับผมแล้วล่ะ ที่หนึ่งรู้ตารางเรียนทั้งหมดยังไม่เท่ากับรู้ตารางชีวิตของผมละเอียดยิบ คันปากอยากเล่าให้คนอื่นฟังว่าเดือนคณะแสนดีมีงานอดิเรกเป็นสโตรกเกอร์ตามติดทุกฝีก้าว ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พูดไปใครจะเชื่อ

   "งั้นเดี๋ยวไปกินด้วย เจอกันกี่โมงดี"

   "เดี๋ยวค่อยบอกได้ป่ะ ยังคิดไม่ออก"

   "หรือจะเข้าเมือง"

   ยกมือขึ้นมาไขว้กันเป็นรูปกากบาท ในเมืองมันวุ่นวายเกินไปสำหรับผม ทั้งแย่งกันกินแย่งกันใช้การจราจรก็ติดขัดอีก มีครั้งนึงเคยตามเน็ทเข้าไปซื้อของที่พารากอน ติดอยู่บนถนนเกือบชั่วโมงแล้วยังต้องวนหาที่จอดรถอีกสามสิบกว่านาที เข็ดตลอดกาลไม่เอาอีกแล้ว

   "ก็ไปเลือกมาแล้วกัน เจอกันสักห้าโมงครึ่งเนอะ"

   "ทำไมมึงไม่เลือกบ้างอะ ให้กูเลือกทุกทีเลย"

   "ไม่พูดกูมึงสิน้องโรม" วูบหนึ่งผมเห็นภาพนิชซ้อนทับกับเขา ไม่รู้ไปติดโรคพูดเพราะนี้กันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ "หนึ่งกินได้หมดนั่นแหละ ไม่ได้ชอบกินอะไรเป็นพิเศษขนาดนั้น"

   "ไม่เอา กูสั่งให้มึงเลือก"

   เขาหลุบตาต่ำลงเพื่อใช้ความคิดก่อนที่จะเสนอ "สุกี้ไหม"

   ก็น่าสนนะ วันก่อนที่แบล็คชวนไปกินชาบูก็ยังไม่ได้ไปเลย 

   "ดีล"

   "โอเค อีกสิบห้านาทีเจอกันข้างล่าง" เขายกมือเป็นรูปตัวโอแล้วเตรียมหันหลังกลับเข้าห้อง เดี๋ยวนะครับ ที่หนึ่งกำลังเมาเรื่องเวลาอยู่รึเปล่า

   "ไหนบอกข้าวเย็น?"

   "ก็ข้าวเย็นไง"

   "นี่มันเพิ่งบ่ายสองนะหนึ่ง" ยกหน้าปัดนาฬิกาให้อีกฟากของตึกดู คือมันไม่มีทางเห็นหรอกหน้าปัดอันเล็กแค่นี้ ผมก็แค่ใช้มันในการประกอบประโยคเท่านั้นเอง

   "กว่าจะซื้อของครบก็เย็นพอดีนั่นแหละ"

   "หา...?"

   "ห้องหนึ่งมีหม้อสุกี้ เดี๋ยวซื้อมาทำกินกันเองแล้วกัน"

   คิดว่าระบบการประมวลผลของผมกับที่หนึ่งอยู่กันคนละส่วน ความหมายของสุกี้ที่ผมเข้าใจคือเอ็มเคไม่ก็ชาบูแถวมอ ไม่ได้ตีความอย่างกว้างไปถึงการทำเองเลยสักนิด ผมอยากจะค้านแต่อีกฝ่ายหายไปแล้ว พาร่างเอ๋อๆ ของตัวเองกลับเขามาเตรียมของที่จำเป็นในการออกไปข้างนอกอย่างโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์ ผมไม่ได้เรียงลำดับความสำคัญผิดหรอกนะโทรศัพท์มาก่อนเงินอีก มีพี่คอยจ่ายเงินให้ตลอดจนไม่ค่อยเห็นความสำคัญของมันเท่าไหร่

   คว้าหมวกตามที่เขาไลน์มาเตือนเมื่อสักครู่ แถวนี้ห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุดต้องขับรถไปประมาณสิบห้านาที ไม่รู้ว่าจะให้ใส่หมวกเข้าไปเดินเล่นในห้างเพื่ออะไรกัน

   "อะ ถึงแล้ว โรมถือนี่ลงไปด้วย"

   "..."

   ระบบประมวลความคิดของผมกับเขาอยู่กันคนละส่วนจริงๆ นั่นแหละ ผมควรจะเอะใจตั้งแต่ทางออกที่เขาใช้แล้วว่ามันคนละทางกับที่ปกติรถตู้ภายในมอใช้ประจำ แถวยังเลี้ยวเข้ามาในซอยที่คุ้นตา

   ครับ ...เขาพาผมมาตลาดสด

   "นี่คิดว่าจะไปห้าง"

   "ซื้อที่นี่ใกล้กว่าตั้งเยอะ"

   ตอนนี้ผมกับเขายืนอยู่หน้าลานขนาดใหญ่ที่มีหลังคาขนาดใหญ่ไว้กันแดด ป้ายขนาดมหึมาติดว่า 'ตลาดเนื้อสด' ช่วยบอกประเภทของสินค้าที่เรากำลังจะเข้าไปซื้อ สิ่งที่เขาให้ผมถือคือเครื่องสานมีหูหิ้วตามแบบฉบับของคุณปู่คุณย่าที่ใช้ในการเดินตลาด จะเตรียมตัวมาพร้อมมากไปแล้วนะที่หนึ่ง

   "พื้นจะลื่นหน่อยนะ เดินดีๆ"

   ถือว่าตลาดที่นี่สะอาดกว่าที่คิด ผมเคยไปตลาดแถวบ้านเมื่อนานมาแล้วมันค่อนข้างสกปรกแล้วก็อับชื้นจนไม่น่าจะผ่านเกณฑ์การตรวจสุขอนามันมาได้

   จุดแรกที่เรามาหยุดคือร้านขายเนื้อ ที่หนึ่งสั่งหมูแบบบดแล้วกับเนื้อหมูสันใน ผมยืนมองพ่อค้าตัวใหญ่แล่แบ่งเนื้ออย่างคล่องแคล่วตามที่ลูกค้าต้องการเงียบๆ ไม่กระโตกกระตากอะไร จะให้ผมสารภาพตรงนี้เลยมันคงไม่แย่มั้ง นี่มันเป็นการจ่ายตลาดอย่างจริงจังครั้งแรกของผมเลยล่ะ

   ปกติเคยทำอะไรเองที่ไหน มีพี่คอยดูแลประเคนให้ตลอด ขนาดแผนกของสดในห้างผมยังเข้าไปต่อเมื่อถูกสั่งให้ซื้อจำพวกไส้กรอกกับเบคอนกลับบ้านด้วยเท่านั้นเอง

   "อยากกินไก่ไหม?"

   "ไม่อะ"

   "งั้นไปเลือกปลากันเนอะ"

   มือของที่หนึ่งยกขึ้นมาไล่ลิสต์รายชื่อของที่จำเป็นในการใช้สำหรับอาหารมื้อดึก ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าการกินอาหารมื้อหนึ่งมันจำเป็นต้องใช้ของเยอะแยะขนาดนี้ เดินมองซ้ายมองขวาดูสิ่งที่ต่างออกไปจากชีวิตประจำวันเรื่อยเปื่อย เพียงไม่กี่ล็อคร้านค้าก็เปลี่ยนจากเนื้อสัตว์เป็นหมวดอาหารทะเล

   "ทำไมโรมถึงชอบกินปลาล่ะ?"

   ไหล่ผมไหวขึ้นลง "จำไม่ค่อยได้แล้วอะ เหมือนตอนนั้นที่บ้านจัดงานอะไรสักอย่างแล้วเนื้อมันไม่ดีล่ะมั้ง ความจริงแบล็คกับไวท์ก็โดนกันหมดนะ มีแต่กูนี่แหละที่เข็ดยันตาย"

   "น้องโรม"

   "มีอะไรอีก?"

   "ไม่ใช้คำหยาบสิ ไม่น่ารักเลยนะ"

   "ทีตัวเองพูดกับพวกนิชยังใช้มึงกูเลย สองมาตรฐานอะ"

   "ใช่ หนึ่งมีสองมาตรฐาน"

   "เอาแต่ใจว่ะ" ทำปากยื่นใส่ผู้ชายตัวใหญ่กว่า ผมเชื่อว่าคนที่เดินไปมาในตลาดแห่งนี้คงประหลาดใจกับภาพที่เห็นไม่ใช่น้อยเลยล่ะ ผู้ชายวัยรุ่นสองคนมาเดินซื้อของในตลาดสด นี่ตัวเองก็คอยสังเกตอยู่เหมือนกันว่านอกจากพวกผมแล้วจะมีคนวัยเดียวกันมาเดินซื้อของอย่างนี้ไหม ความสะดวกสบายมันทำให้คนรุ่นใหม่เสพติดอะไรที่ได้มาง่ายๆ

   "เวลาโรมแทนตัวเองว่าน้องมันน่ารักกว่าคำว่ากูตั้งเยอะ"

   ที่หนึ่งชอบทำตัวเป็นคนแก่หลงยุค ผมกล้าพูดเต็มปาก

   เราสองคนมาหยุดอยู่หน้าแผงปลาขนาดใหญ่ มีทั้งแบบยังเป็นตัวอยู่และแบบที่แล่ออกมาเป็นชิ้นแล้ว อืม เหมือนกันไปหมด

   "น้องโรมชอบแบบไหนครับ"

   "ชอบทุกแบบที่อร่อย"

   คนขายหัวเราะหัวเราะไม่หยุดตอนที่ผมตอบไปอย่างนั้น

   "แล้วแต่คนชอบนะ แต่เราเอาไปต้มงั้นเอาปลากะพงไหม?"

   "เอาแซลมอนด้วย"

   "โอเค เอาสองอย่างนี้ครับ" เขาชี้ไปตรงปลาที่น่าจะเรียกว่าปลากะพง 

   "รู้ได้ไงว่านี่ปลากะพงอะ?"

   หน้าเขาดูตกใจกับคำถามของผมอย่างมาก "นี่ไม่รู้?"

   "หน้ากูเหมือนเซียนปลาไหมล่ะ"

   อยากจะเปิดกูเกิ้ลมาเทียบว่านี่คือปลาอย่างที่ผมตามหาอยู่รึเปล่า อย่างน้อยผมก็ยังแยกได้ว่าปลาที่คอหักในเข่งเรียกว่าปลาทู พอมาอยู่ตรงนี้แล้วผมรู้เลยว่าตัวเองไม่มีความรู้หรือประสบการณ์อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลย แค่ปลาที่กินอยู่ทุกวันชื่ออะไรยังบอกไม่ได้

   "มาบ่อยเหรอ?"

   "ก็พอควรนะ ชอบมาเดินตลาดต้นไม้ข้างใน"

   "คนแก่"

   พื้นตรงนี้ลื่นกว่าที่อื่น คิดว่าเป็นเพราะโซนนี้ต้องใช้น้ำแข็งในการถนอมความสดของอาหารเอาไว้มาก วันนี้ผมก็ใส่น้องง่อย (รองเท้าจากตลาดนัดสองคู่ร้อย) ผู้ซึ่งไร้ดอกยางมาอีก

   "เราห่างกันแค่เก้าเดือนสิบห้าวันเองน้องโรม"

   "กล้าเรียกว่าแค่?"

   นี่คงเป็นที่มาของชื่อที่หนึ่งสินะ ผมเกิดวันที่สิบห้าเดือนเก้า เพราะงั้นเขาต้องเกิดวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ชีวิตเขาจะมีเลขอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องบ้างไหมเนี่ย

   "เก้าเดือนไม่ได้ทำให้หนึ่งเป็นตาแก่ขนาดนั้นสักหน่อย ...น่ะ ลื่นจนได้"

   น้องง่อยของผมเริ่มประท้วงแล้วล่ะ "แล้วทำไมไม่ชื่อปีใหม่"

   จากสถิติคนรอบข้างที่เกิดในช่วงเวลาวันที่หนึ่งถึงสามเดือนมกราคมแล้วผมสามารถสรุปชื่อยอดฮิตออกมาได้ดังนี้คือนิวเยียร์ ปีใหม่ ใหม่ และนิว พอเจออย่างนี้เข้าไปก็รู้สึกดีขึ้นมาทันตาที่พ่อแม่มีสตอรี่ในการตั้งชื่อให้

   "แม่อยากให้ชื่อที่หนึ่งมากกว่า"

   "ง่ายจัง ไม่มีที่มาที่ไปเหรอ"

   "จะเรียกว่ามีก็ได้ อะ น้องโรมเดินมองทางด้วยสิ" มือซ้ายของเขาจับต้นแขนผมไว้มั่นตอนที่ผมลื่นอีกครั้ง "ก็เป็นลูกคนแรกของครอบครัวใหญ่ เลยให้ชื่อที่หนึ่ง"

   "แล้วมีที่สองรึเปล่า"

   "ไม่มี เป็นลูกคนเดียว"

   ผลัดกันเล่าเรื่องไปมาระหว่างข้ามฝั่งไปซื้อผักสด ผมโดนพวกคุณพี่เคี่ยวเข็ญให้ไม่เลือกกินมาตั้งแต่เด็กเลยไม่มีปัญหาอะไรกับผักสีเขียวหลายอย่างที่เขาหยิบส่งให้แม่ค้า ที่เขาบอกว่ามาบ่อยพอควรคงไม่เกินกว่าที่พูดเท่าไหร่นัก ไม่เหมือนผมที่ยังคิดว่าขึ้นฉ่ายคือผักชียักษ์

   ขอร้องล่ะ ผมไม่ได้โง่ ผมแค่ไม่มีความรู้เรื่องนี้

   ว่าแล้วก็ส่งรูปไปอวดคนที่หนีเที่ยวดีกว่า ผมถ่ายรูปที่หนึ่งจากด้านหลังเพียงครึ่งตัวล่างเพื่อให้เห็นตะกร้าหวายที่เต็มไปด้วยอาหารสด จัดการส่งเข้าไปในกรุ๊ปของกลุ่มอย่างรวดเร็ว


   NRome : ไม่ง้อคนหนีเที่ยวหรอก แบร่


   "เหลือซื้อไข่ วุ้นเส้น แล้วก็คนอร์" เขาบอกผมหลังจากที่ตรวจสอบความถูกต้องภายในตะกร้า "อยากได้อะไรเพิ่มไหม?"
ส่ายหัวไปมา แค่เนื้อที่ซื้อมาแล้วผมยังคิดไม่ตกว่าจะกินกันหมดได้ยังไง

   "หนึ่ง ถ้าสมมติว่าให้เปลี่ยนชื่อได้ มึงอยากจะเปลี่ยนบ้างไหม?"

   ผมถามเขาระหว่างที่เราเลือกไข่ไก่ลงถุง ที่หนึ่งสอนวิธีการเลือกอยู่สองสามอย่าง วิธีที่ผมพยักหน้าคืนส่งๆ แล้วก็ใช้วิธีเลือกตามใจแบบเดิม อยากหยิบฟองไหนก็เลือกไป

   "ไม่นะ"

   "จริงอะ?"

   "ไม่เคยได้ยินเรื่องของฝรั่งที่ตั้งชื่อลูกว่าลูสเซอร์แต่ชนะหรือไง นั่นแหละ ชื่ออะไรก็ไม่เป็นผลหรอก"

   นี่คงเป็นเรื่องที่ผมกับเขาเห็นตรงกัน หวนคิดไปถึงคำที่วีเคยพูดไว้ว่าเราทุกคนมีความพิเศษในชื่อของตัวเอง เขายื่นแบงค์สีฟ้าให้แล้วรับถุงสินค้ามา ยื่นต่อให้ผมโดยกำชับให้ดูแลให้ดีไว้ ภารกิจของผมโคตรใหญ่หลวงบอกเลย

   "เหวอออ"

   ร้องเสียงหลงยามที่ร่างกายไถลไปตามทางอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ คราวนี้แย่กว่าทุกครั้งเพราะผมล้มก้นกระแทกลงไปกับพื้นอย่างจัง

   "อูยยย"

   โคตรเจ็บอะ ไม่มีคำอื่นใดอธิบายได้ดีเท่านี้อีกแล้ว

   "น้องโรม!"

   ส่วนที่หนึ่งชอบเล่นใหญ่เกินบท

   เขาแทบจะโยนตะกร้าลงตรงนั้นแล้วเข้ามาประคองผม มีหลายสายตามองมาที่เราเพราะเขาร้องเสียงหลงจนน่าตกใจ คือแค่ลื่นเนอะที่หนึ่ง ไม่ได้หัวฟาดพื้นอะไรสักหน่อย

   "หนึ่ง..." ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใส่เขา มันเจ็บอะ แล้วยังมีคนมองอีกเยอะแยะเลยฮือ...

   "โอ๋ๆ เจ็บมากเลยใช่ไหม"

   "เจ็บบบ"

   "ไม่เอาไม่ร้อง มาพี่หนึ่งโอมเพี้ยงให้นะคะ"

   "..."

   จะให้ผมเปรียบความรู้สึกตอนนี้ว่ายังไงดี

   มันอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจกับการที่เขาลูบหัวผมไม่หยุดพลางพึมพำอะไรไม่ได้ศัพท์ไปด้วย ผมชอบโดนแกล้งตั้งแต่เด็กเพราะตัวเล็กกว่าคนอื่นเขา ถ้ามีแผลเมื่อไหร่ก็จะร้องไห้งอแงมาให้พวกนั้นคอยปลอบอยู่ตลอด ยกเว้นเน็ทไว้คนนึงแล้วกันเพราะรายนั้นจะเข้ามาซ้ำแผลเดิมมากกว่าด้วยเหตุผลว่าผมควรจะดูแลตัวเองได้มากกว่านี้ จอมหวงน้องน่ะไม่ได้ตามใจขนาดนั้นหรอก

   "ไข่ยังอยู่ดีไหม?"

   อีกฝ่ายหัวเราะพรืดตอนที่ผมถามถึงภารกิจระดับชาติที่ตัวเองได้รับไว้

   "รอดปลอดภัย เดี๋ยวกลับไปซื้อรองเท้าใหม่เลยนะ" คราวนี้เขาไม่ปล่อยให้ผมเดินไปมาตามใจตัวเองอีกแล้ว มือที่ใหญ่กว่ายื่นมาจับมือผมไว้แล้วกลายเป็นว่าเรากำลังเดินไปพร้อมกัน

   ไม่มีอะไรหรอกมั้ง

   เขาก็แค่กลัวผมลื่นหัวฟาดพื้นไปเท่านั้นเอง

***
มีต่อนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
«ตอบ #216 เมื่อ20-11-2015 20:41:28 »


   "งั้นนั่งรอตรงนี้ เดี๋ยววนมารับ"

   "เดินไหว"

   "รอ ห้ามตามคนแปลกหน้าไปไหนเลยนะ"

   "คร้าบๆ"

   คนรอบข้างผมนี่ชอบสั่งกันจังเลยนะ ที่หนึ่งเดินลิ่วไปทางที่จอดรถไม่รอให้ผมเถียงอะไรกลับได้ จากตอนแรกที่ไม่รู้สึกเจ็บอะไรมากมันก็เริ่มออกอาการประท้วง น่าอายชะมัดมาลื่นอะไรอย่างนี้

   "จ๊ะเอ๋"

   ภาพสีทั้งหมดถูกกลบจนเป็นสีดำด้วยมือของใครบางคน ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เกือบจะฟาดด้วยถุงบรรจุไข่ไก่ในมือไปแล้วแต่ติดที่ไม่อยากเดินไปซื้อใหม่

   "ใครเอ่ยให้ทาย"

   พอคุ้นเสียงแล้วผมก็ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น "ไอ้วีรเวร!"

   "ทำไมพี่ต้องเติมชื่อผมด้วยวะ"

   "ทำไรของมึงเนี่ยยย" จัดการตีมือที่ยังปิดตาของผมไว้อยู่ไม่ยั้ง จนอีกฝ่ายยอมปล่อยให้สีสันกลับมาสู่โลกทัศน์ของผมอีกครั้ง วีเคลื่อนตัวมานั่งบริเวณม้านั่งด้านขวาที่ยังว่างอยู่

   "มาทักไง เห็นนั่งเอ๋อๆ อยู่คนเดียว"

   "เอ๋อพ่อง!"

   "ไม่ต้องเล่นถึงพ่อผมก็ได้มั้งพี่ นี่มาซื้อของเหรอ?"

   "มึงเห็นกูมาเปิดหมวกร้องเพลงป่ะล่ะ"

   "อ้าว เดี๋ยวสมทบทุนแป๊บ"

   หมดคำด่าแล้วครับกับเด็กปีหนึ่งคนนี้ ไม่ว่าจะแสดงออกถึงความเอือมเบื่อโลกปลงตกมากแค่ไหนก็ไม่เคยระแคะระคายความรู้สึกของเขาเลยสักนิด

   "ล่ะมาทำไร?" ก็เขาบอกไม่ให้ตามคนแปลกหน้าไป ไม่ได้บอกว่าห้ามคุย

   "มาซื้ออุปกรณ์เตรียมงานวันประกวดอะพี่ อย่าลืมมาเชียร์ผมนะวันพฤหัสหน้า"

   "ใครบอกว่ากูจะไป"

   "ผมถอดจิตไปคุยกับพี่ในฝันแล้วเมื่อคืน"

   "สัตว์..."

   หยาบคายกลับเล็กน้อยให้พอสบายใจ ผมไม่เข้าใจระบบการประกวดอะไรพรรณนี้เลย อย่างที่วีเคยเล่าเขาต้องมีการแสดงความสามารถอะไรก็ไม่รู้แล้วก็ต้องตอบคำถามสไตล์โลกสวยให้กรรมการฟังอีก ถามจริงเถอะว่าจุดประสงค์ของการมีกิจกรรมพวกนี้ขึ้นมาคืออะไร

   "แล้วพี่กลับไง กลับกับผมไหม?"

   "มากับหนึ่ง มันไปเอารถอยู่"

   "น่ะ แล้วบอกว่าไม่สนิท"

   "ก็ไม่สนิท"

   วีก้มลงไปเปิดไลน์ของตัวเอง ค้นหาอะไรที่ตัวเองต้องการเมื่อเจอแล้วก็ส่งมาให้ผมดู "ไม่สนิทแต่พี่เขาเอารูปพี่ขึ้นเป็นโปรไฟล์เนอะ"

   ผมถึงอยากให้ที่หนึ่งเปลี่ยนรูปไวๆ ไง เพราะมันจะมีคำถามพวกนี้ตามมาไม่มีหยุด

   "ในเพจผมก็เห็นนะ กดแชร์ไปแล้วด้วยพี่เห็นป่ะ"

   ไลฟ์สไตล์ของวีเรียกได้ว่าคนละโลกกับผม มันชอบอัพเดตชีวิตตัวเองลงโซเชียลเสมอ นั่นเลยเป็นเหตุที่จำนวนคนติดตามพุ่งไปเกือบหมื่น ผมจำไม่ได้ว่าเห็นภาพที่น้องแชร์รึเปล่าเพราะพอผมเห็นภาพนั้นแล้วสิ่งแรกที่ทำคือเอาไปฟ้องแบล็ค พอรูปโดนลบไปก็ไม่สนอะไรอีกแล้ว

   "กูเกรงใจ ไม่เป็นไรมึง"

   "แล้วทำไมไปเอาป้ายชื่อพี่เขามาใส่อะ ผมโคตรจี้ตอนที่อ่านคอมเมนท์แล้วมีคนบอกว่าพี่ที่หนึ่งทำไมตัวหดลง"

   "เข้าใจผิดนิดหน่อย" ไม่บอกว่าอีกฝ่ายตั้งใจต่างหาก ไม่อย่างนั้นไม่จบแน่ๆ

   "ผมสงสัยเรื่องนึง พี่ที่หนึ่งช่วงนี้ทำตัวติดกับพี่ตลอด เขาไม่ต้องไปตามจีบคนนั้นเหรอ"

   "มึงก็ไปถามเขาเองดิ"

   ปัดภาระให้อีกฝ่ายทั้งหมด ผมชะเง้อหารถหรูสีดำภาวนาให้เห็นโดยไวจะได้ไม่ต้องอยู่โดนซักฟอกไปมากกว่านี้

   "พี่ให้ผมถามได้ใช่ป่ะ"

   "..."

   กลับมามองหน้าเจ้าของคำขออนุญาต ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังแสดงพิรุธอะไรออกไปอยู่รึเปล่าในขณะที่ใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่งเรียบราวกับกำลังหยั่งเชิงอะไรอยู่ ซึ่งผิดปกติเป็นอย่างมาก วีมักจะมาพร้อมความสดใสร่าเริงอยู่เสมอ

   "กูห้ามได้?"

   "ผมจะถือว่าพี่อนุมัติแล้วนะ"

   "มึงไห..."

   "ว่าไงวี"

   ยังพูดไม่ทันจบที่หนึ่งก็เข้ามาแทรก เห็นรถของเขาจอดอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก บีบแตรเรียกก็ได้นะไม่ต้องลงมารับขนาดนี้

   "โย่ว พี่ที่หนึ่งสวัสดีคร้าบบบ"

   "สวัสดี มาซื้ออะไรเนี่ย"

   "ซื้อของเตรียมงานประกวดอะพี่ แต่เหมือนจะไม่ต้องซื้อล่ะ"

   "หืม?"

   "เปลี่ยนใจแล้ว แสดงอย่างอื่นดีกว่า" อาจเป็นเพราะอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน ผมเลยเห็นชัดว่าทั้งคู่กำลังแสดงออกแตกต่างกันแค่ไหน คนหนึ่งยิ้มท้าทาย ในขณะที่อีกคนพยายามรักษาสีหน้าเป็นมิตรไว้

   "ปีนี้เป็นกรรมการ จะรอดูแล้วกัน"

   "พี่สัญญาจะให้คะแนนผมเยอะๆ แล้วนะ"

   "บอกแล้วไงว่าถ้าแสดงดี"

   "หูย เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก" แต่ท่าทีที่แสดงออกมันโคตรน่าห่วงเลย ยิ้มที่กว้างจนเกินไปเหมือนกำลังปกปิดอะไรสักอย่างไว้ ผมสังหรณ์ใจชอบกล "รับรองว่าพี่ลืมไม่ลงแน่"
 


   กว่าจะถึงห้องก็ปาไปเกือบห้าโมงอย่างที่เขาบอกไว้ ตลกภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกลิฟต์ตอนที่ขึ้นไปยังห้องของเขา หน้าเคลือบเหงื่อแถมยังหิ้วของพะรุงพะรัง

   ตึกที่สร้างพร้อมกันก็มีแพทเทิร์นแบบเดียวกัน ที่หนึ่งยังไม่ยอมปล่อยมือผมจนถึงตอนที่ยืนอยู่หน้าห้องแล้ว พอกลับมาถึงห้องก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าการที่เขาอยู่ห้องตรงข้ามอย่างนี้เวลาที่ผมอยู่ห้องแล้วเปิดผ้าม่านไว้เขาก็เห็นหมดเลยสิว่าผมทำอะไรบ้างวันๆ
ไม่รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตสักนิด

   ถึงเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินจะเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน แต่ของตกแต่งอย่างอื่นมันก็เปลี่ยนความรู้สึกของห้องให้ต่างกันลิบลับ อย่างห้องของผมจะไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ เน้นหนักไปที่ของจำเป็นต่อการใช้ชีวิตเสียมากกว่า ถ้าเป็นห้องของแบล็คก็จะมีของหลากหลายอย่างผสมปนเปกันไปเพราะว่ามีของไวท์ด้วย ห้องของที่หนึ่งใช้เอิร์ธโทนเกือบหมด สีน้ำตาลไม้สีครีมอะไรอย่างนี้ อบอุ่นเหมือนเจ้าของห้อง

   "จะดูอะไรก็เปิดได้เลยนะ เดี๋ยวขอหมักหมูก่อน"

   "มีอะไรให้ช่วยไหม"

   ทำตัวไร้ประโยชน์มาตั้งแต่เช้าขอกู้ความน่าเชื่อถือของตัวเองหน่อยเถอะ

   "คิดว่าจะลื่นอีกไหมล่ะ?"

   "ที่หนึ่ง!"

   "ฮ่าๆ งั้นมาช่วยล้างผักมา"

   ผมก้าวไวๆ ไปหาเขาที่อยู่ในโซนครัวขนาดเล็ก ที่หนึ่งหยิบเขียงไม้ขนาดใหญ่ออกมาเพื่อไว้ใส่เนื้อสัตว์หลากหลายชนิด ผมเลยเบี่ยงตัวมาอยู่หน้าซิงค์น้ำที่อยู่ถัดไป

   "ล้างกับก๊อกนี่ใช่ป่ะ"

   "..." ถึงที่หนึ่งจะไม่ได้พูดอะไรออกมา ใบหน้าของเขาก็ช่วยบอกได้ว่าเขาดูประหลาดใจกับคำถามของผมมากอยู่

   "ไม่ได้เหรอ?"

   "ไม่ได้ ผักช้ำหมดสิ" เอื้อมมือไปเปิดตู้ที่อยู่ระดับสายตา ส่งกะละมังพลาสติกขนาดกลางมาให้ "เทเกลือ ขวดสีน้ำเงินนั่นน่ะลงไปผสมหน่อย แล้วค่อยล้างออกอีกสองที"

   ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่เลคเชอร์วิชางานครัวโดยอาจารย์ที่หนึ่ง

   ผมทำตามที่เขาสั่งทุกขั้นตอน ถึงจะเทเกลือมากไปหน่อยแล้วก็โดนดุเรื่องล้างผักได้รุนแรงมากก็ตามที จากนั้นก็ได้เวลาที่รอคอยนั่นคือโยนทุกอย่างลงในหม้อแล้วรอให้สุก ผมเปิดตรวจดูว่าภาพที่ส่งไปบอกว่าหนีเที่ยวมีใครตอบกลับมาอย่างไรบ้าง ในกลุ่มมีคนรี้ดเพียงคนเดียว บังอาจมากที่ไม่ตอบผม

   "ใครสอนทำอาหารเหรอ"

   "แม่กับย่า เป็นลูกคนเดียวก็อย่างนี้แหละ โดนลากให้ช่วยทำนู่นทำนี่"

   "ดีจังเลยนะ พวกนั้นไม่เคยให้กูทำอะไรเองเลยอะ"

   ตั้งแต่เด็กแล้วไม่เคยที่เหล่าพี่ทั้งหลายจะปล่อยให้ผมทำอะไรด้วยตัวเอง ขนาดจะต้มมาม่าแบล็คยังเคยมาคุมตั้งแต่ฉีกซองด้วยซ้ำ มันบอกว่ากลัวผมเอามือตัวเองจุ่มลงไปกับน้ำเดือด เอากับเขาสิ

   เสียงเคาะประตูดังขึ้น ที่หนึ่งวางชามของตัวเองไว้บนโต๊ะแล้วเดินไปเปิดประตูห้อง

   "อ้าว ไหนบอกจะมาดึกหน่อย"

   "พอดีเพื่อนนัดทำงานด่วนเลยรีบมาหาก่อน"

   "...!"

   เสียงของผู้มาใหม่ตรึงร่างของผมให้หยุดเคลื่อนไหว ลมหายใจสะดุดอย่างที่ต้องกำหนดลมหายใจเข้าออกไปมาเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดที่ไต่ระดับขึ้นไปสูงจนน่ากลัว ท่องบอกตัวเองให้ทำตัวเหมือนปกติที่สุด คำเล่าของผู้ชายสีดำกลับเข้ามาเตือนความจำ

   ผู้ชายคนนั้น...

   "งั้นเข้ามารอแป๊บนึง แฟ้มอยู่ในรถ"

   เจ้าของห้องเดินมาหาผมที่ยังคงนั่งหันหลังให้ประตู "อยู่กับเพื่อนหนึ่งไปก่อนนะ เดี๋ยวมา"

   อยากจะบอกว่าไม่ให้ไปก็ทำไม่ได้ ผมส่งยิ้มกลับไปให้ความมั่นใจว่าผมอยู่ได้ไม่มีปัญหาอะไร

   ประตูห้องปิดลง บอกว่าไม่อยากจะยุ่งแต่สุดท้ายแล้วความสงสัยก็ชนะทุกสิ่งอย่าง ผมเรียกกำลังใจให้ตัวเองแล้วกลั้นใจหันมามอง 'เพื่อนที่หนึ่ง' ภาวนาให้ผมหูฝาดจำเสียงของคนอื่นสลับกันไปทั่ว

   ...

   และพระเจ้าไม่ได้อยู่ข้างผม

   ผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟาหน้าทีวีก้มลงอ่านเอกสารอะไรบางอย่างในมือ เรือนผมสีเทาโดดเด่นตัดกับเสื้อผ้าสีหม่น จากมุมนี้แก้มขวาของเขายังมีรอยช้ำจางอยู่ไม่ต่างจากที่ผมได้ข้อมูลมา

   เขาไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนผมจ้องอยู่ นั่นสร้างความสับสนให้ผมอย่างมากว่าควรทำอะไรต่อไประหว่างหันหลังกลับแล้วต่างคนต่างอยู่ กับเตือนเขาไปว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น เขาควรจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนที่ไม่ใช่การใช้เพื่อนของผมเป็นเครื่องมืออีกต่อไป

   และสุดท้ายผมเลือกอย่างหลัง

   "ณ...ธาม"

   กลั้นใจเรียกชื่อที่เคยบอกตัวเองให้ลืมเสีย

   เจ้าของชื่อชะงักไปวูบหนึ่ง ผมเม้มปากแน่นรอดูว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป เขาใช้ชื่อนี้แทนตัวเองตอนที่ผมรับสายแทนใครอีกคนที่นอนหลับอยู่ในห้องพักฟื้น เขาหันมาทางผมช้าๆ ใบหน้านิ่งเรียบเฉกเช่นเดียวกับวันที่ปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือในการส่งตัวเพื่อนผมคืน

   "ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ" เสียงเย็นราวกับไร้ความรู้สึก ถึงบอกว่าผมจำเสียงเขาได้ไม่มีลืม

   "ไม่ควรเจอกันอีกต่างหาก"

   "งั้นคุณก็ไม่ควรจะเรียกชื่อผม"

   "คุณกลับมาทำไม?"

   เข้าประเด็นไม่อ้อมค้อมด้วยความกังวลว่าที่หนึ่งจะกลับมาก่อน ณธามเก็บเอกสารที่อยู่ในมือลงกับซองใสไม่ตอบคำถามของผม อาการเมินเฉยของเขาเพิ่มความไม่พอใจให้ผมอย่างมาก เขาไม่มีสิทธิ์มาทำอย่างนี้กับผม ผู้ชายที่เห็นแก่ได้อย่างนั้นไม่ควรมีการต่อรองใดๆ

   "ตอบ"

   "คุณไม่ควรใช้คำว่ากลับมานะ เพราะผมไม่เคยหนีไปไหน"

   "ไม่ว่าคำไหนไวท์ก็ไม่ควรจะเห็นหน้าคุณอีก" ผมไม่เคยใช้น้ำเสียงที่ดูแคลนอย่างนี้ใส่ใครมาก่อน "คนเห็นแก่ตัวที่ไม่รักษาคำพูดอย่างคุณ"

   "จนถึงตอนนี้พวกคุณก็ยังไม่เลิกตัดสินใจแทนซินสักที"

   ซิน...คนบาปที่น่าสงสาร

   "หยุดเรียกไวท์แบบนั้น"

   "คงต้องไปบอกเธอเอง ในเมื่อชื่อนี้ผมไม่ใช่คนเริ่ม"

   "บางทีคุณอาจจะอยากได้อีกรอยบนแก้ม" เตือนตัวเองให้ใจเย็นให้มากที่สุดในการเจรจา เขายังไม่เปลี่ยนไปจากวันนั้นที่ไม่ยอมก้มหัวลงให้ใครไม่ว่าตัวเองจะถูกหรือผิด ผมรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของผมแม้แต่นิดเดียว ทั้งหมดมาจากความต้องการส่วนตัวล้วนๆ ที่ไม่อยากให้เรื่องราวมันกลับไปซ้ำรอยแผลเก่า แผลที่ไม่ยอมสมานกันไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม

   "หึ..."

   "ถ้าแบล็คเล่าเรื่องทั้งหมดแล้วคุณควรหยุดอยู่ตรงนี้นะ จะทำมันต่อไปเพื่ออะไรกัน"

   "...ไม่แปลกใจเลยที่เธอไม่เล่าอะไรให้คุณฟัง"

   "!!!"

   ยิ้มที่ผมมองอย่างไรก็เต็มไปด้วยความสมเพชส่งมาให้ "เพราะนิสัยที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเองแล้วยังไม่ยอมรับความจริงอย่างนี้ไงล่ะ"

   "คุณ!"

   "จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่งนะ" เขาเสยผมที่ลงมาปรกหน้าให้กลับขึ้นไป "ผมไม่เชื่อเรื่องเล่าที่พวกคุณพยายามทำให้เป็นความจริง บอกเลยว่าต่อให้คุณเล่ามันซ้ำๆ มากแค่ไหนผมก็ไม่มีทางหยุด ไม่ต้องมาบอกให้ผมเลิก"

   ผมโคตรไม่พอใจคำตอบ ท่าทีของคนที่เหนือกว่ามันทำให้ผมอยากย้อนเวลากลับไปให้เขาเห็นว่าผลงานที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของเขามีอะไรบ้าง

   คนไม่รู้ไม่ผิด...แต่ก็ไม่ควรมีสิทธิ์กลับมารื้อฟื้น

   "รอดูต่อไปก็ได้นะ แล้วจะได้รู้ว่าใครเป็นฝ่ายถูก"

   คำบอกที่มาพร้อมกับนัยน์ตาท้าทายเกือบทำให้ผมลุกไปตะบันหน้าแล้ว โชคดีเป็นของเขาเมื่อที่หนึ่งเปิดประตูเข้ามาพอดี

   "โทษทีนานไปหน่อย อันนี้รวมผลงานของปีที่แล้ว"

   ณธามผงกหัวรับมันไปแล้วลุกขึ้นทันที เขาโบกมือลาเพียงแค่เจ้าของห้องโดยไม่แม้แต่จะชายตามามองผมสักนิด

   "เป็นอะไรรึเปล่า?" เดือนคณะกลับลงมานั่งที่เดิม เขาแนบหลังมือลงกับหน้าผากของผม "ตัวไม่ร้อนนะ ทำไมหน้าแย่จัง"

   "หนึ่ง"

   "ครับน้องโรม"

   "คนเมื่อกี้ใคร?"

   "นึกว่าคุยกันแล้วเสียอีก นั่นเวลไง เวลผู้ลึกลับ"

   เวลผู้ลึกลับ ถึงว่าทำไมแบล็คถึงไม่ระแคะระคายในมีชีวิตอยู่ของเขาในรั้วมหาลัยเลย ส่วนณธามคงเป็นชื่อจริงของเขาสินะ

   "เวลผู้รอการกลับมาของใครบางคน"

   คำขยายที่เล่นเอาหมดความอยากอาหาร ผมเขี่ยๆ เนื้อปลาที่เขาตักลงมาใส่ถ้วยไปมา ฟังเขาเล่าเรื่องของเวลไปพลาง ข้อมูลหลายอย่างที่เขาบอกมาสร้างความประหลาดใจให้ผมพอควร ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยสักนิด ไม่เหลือความหยิ่งผยองอย่างตอนนั้น

   "น้องโรมกินเยอะๆ หน่อย"

   "ไม่ค่อยหิวแล้ว"

   อยากจะกลับไปเล่าเรื่องให้แบล็คฟังใจจะขาด ติดตรงที่เขาบอกว่าจะกลับดึกนี่แหละ

   "กินถ้วยนี้หมดแล้วเดี๋ยวมีรางวัลให้ ตกลงนะ"

   "กินแค่เนื้อได้ไหม"

   "ไม่เอา กินให้หมด"

   เป็นเด็กน้อยของคุณพ่อที่หนึ่งไปแล้ว ผมจัดการสุกี้ในชามของตัวเองจนหมด หลังจากมื้อเย็นสุดกร่อยผ่านพ้นไปและผมได้จัดการทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จหมดแล้วก็ได้เวลากลับห้องเสียที ตอนที่มองออกไปตึกฝั่งตรงข้ามก็เห็นว่าไฟห้องแบล็คเปิดแล้วด้วย ผมมีเรื่องต้องเอาไปเล่าให้เขาฟัง

   "หนึ่ง รองเท้ากูไปไหน"

   ตรงชั้นวางไม่มีน้องง่อยของผมอยู่แล้ว มันมีแต่รองเท้าแตะแบรนด์ดังของที่หนึ่งวางอยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น

   "นี่รางวัลที่วันนี้เป็นเด็กดี" ในถุงพลาสติกที่เขายื่นให้มีรองเท้าแตะหูคืบสีขาวฟ้าสุดคลาสสิคอยู่ "เมื่อกี้ลงไปซื้อมาให้ใหม่ ไว้ใช้ชั่วคราวแล้วเดี๋ยวพาไปซื้อวันหลัง"

   ถึงว่าทำไมไปเอาเอกสารนานจนน่าสงสัย ผมทำท่าจะไม่รับมันไว้แต่ที่หนึ่งก็ยัดมันลงกับมือผมจนได้

   "เท่าไหร่”

   ควรสะพรึงไหมที่เขารู้แม้กระทั่งขนาดรองเท้าของผม

   "ซื้อให้"

   "ไม่เอา เดี๋ยวจ่าย"

   "ถ้าจ่ายหนึ่งจะมีบริการหลังการขายเป็นอุ้มไปส่งถึงห้อง ยังจะจ่ายไหม?”


***
   ทำไมตอนนี้เวลดูร้าย (หัวเราะ) หลายๆ คอมเมนท์บอกว่าที่หนึ่งดูปกติที่สุด... ไม่นะคะ เจ้าว่านางน่ากลัวมากเลยล่ะ (ฮา)
   เมื่อวานหนีความจริงขั้นสุดด้วยการเอาเรื่องสั้นไปลงมาค่ะ FREEZE | FLY เป็นเรื่องที่เคยเขียนไว้นานแล้วเลยเอามาปรับอะไรหน่อย เรียกว่านิยายขัดตาทัพระหว่างเจ้าขอหายไปสอบเดือนกว่าๆ แล้วกันนะคะ /ไม่หันไปมองกองหนังสือ เข้าใจคำว่าทีมอ่านไม่ทันยังใจเย็นแจ่มแจ้งเลยค่ะตอนนี้
   แล้วเจอกันใหม่หลังสอบเสร็จค่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
«ตอบ #217 เมื่อ20-11-2015 21:17:15 »

จากท้องฟ้าสดใสกลับกลายเป็นฟ้าหม่นในทันใด

ออฟไลน์ Fellina

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 413
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
«ตอบ #218 เมื่อ21-11-2015 03:58:04 »

ที่หนึ่งน่่ารักกกกกก แอบอยากให้เป็นรับ ผช.อะไรน่ารักเป็นบ้า!!

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
«ตอบ #219 เมื่อ21-11-2015 11:57:02 »


อรา... ที่หนึ่งดีงามมาก
ที่หนึ่งจ๊ะ รองเท้าแตะป้าเยินมากแล้วลูก พักนี้เดินล้ม เดินล้มเหมือนคนขาเสียเลยลูก...
สนใจจะดูแลป้าเหมือนน้องโรมมั่งไหม? (ได้ข่าวว่าแกไม่ใช่โรม // โดนโบก!!)

กลุ่มน้องโรมนี่ลึกลับเหลือเกิน...
อ่านไปอ่านมา ชักอยากรู้เรื่องพี่ๆของน้องโรมมากกว่าเรื่องน้องโรมเสียแล้วเนี่ย (เดี๋ยว! ได้ข่าวว่าน้องโรมนี่คู่หลัก!!)
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^  :L2:



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
« ตอบ #219 เมื่อ: 21-11-2015 11:57:02 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ΩPRESTOΩ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
«ตอบ #220 เมื่อ21-11-2015 15:32:51 »


มาชูป้ายไฟให้คุณพ่อที่หนึ่งของน้องโรม
 :ped149:

เป็นกำลังใจให้สำหรับการสอบนะจ๊ะ
 :กอด1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
«ตอบ #221 เมื่อ21-11-2015 15:52:13 »

 :pig4:  :pig4:

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
«ตอบ #222 เมื่อ22-11-2015 04:44:43 »

สู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ Ferin1A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
«ตอบ #223 เมื่อ28-11-2015 10:23:45 »

น้องโรมนี่เรียนก่อนเกณฑ์แน่ๆเลย ดูจากวันเกิดกับที่หนึ่ง แล้วมันต้องเรียนคนละรุ่นกัน ยัยน้องน้อย

ออฟไลน์ GintoniC

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
«ตอบ #224 เมื่อ02-12-2015 07:52:40 »

เพิ่งอ่านจบเมื่อกี้ค่ะ ชอบอ่ะ แปลกดี อ่านไปก็ลุ้นไปเพราะคาดเดาความคิดของตัวละครไม่ออกเลย และกลัวใจน้องโรมด้วย นายเอกเรื่องนี้เป็นบุคคลมิติที่ 10 รึเปล่า กว่าจะรักพี่หนึ่ง พระเอกเราคงไม่ช้ำในตายก่อนใช่ไหมคะ?

อ่านตอนล่าสุดรู้สึกชอบคู่นิชกะสิปป์อ่ะ อธิบายไม่ถูก แต่อ่านแล้วรู้สึกถูกใจ

รอตอนต่อไปน่ะค่ะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Limited Book [สิปป์-นิช]


(2)


   _Dix_ : ขอบคุณที่มาหานะครับ <3


   ผมประเมิน ‘ความร้ายกาจ’ ของเขาต่ำไป


   ตื่นเช้ามาเช็คความเป็นไปบนโลกออนไลน์ตามปกติ ที่ไม่ปกติคือการแจ้งเตือนว่ามีคนแท็กรูปมาในไอจี รูปที่ผมเห็นแล้วเล่นเอาตะลึงไปชั่วขณะ


   ในเมื่อรูปล่าสุดในอินสตราแกรมของผู้ชายที่ชื่อสิปป์คือภาพผมกำลังก้มหน้าเขียนอะไรสักอย่างลงในกระดาษแผ่นเล็กอยู่ คงเป็นตอนที่จดชื่อไอดีไปเรื่อยเฉไฉไม่ฟังในสิ่งที่เขาพูด ถือว่าโชคดีที่เลือกใส่หมวกไปเลยเห็นหน้าของผมเพียงแค่ส่วนเดียว หวังว่าคงไม่มีใครรู้ว่าเป็นผมหรอกนะ


   ถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มประดา ไม่ยักกะรู้มาก่อนว่าแค่หยิบมือถือขึ้นมาจะดูดพลังงานขนาดนี้ ไม่บอกก็รู้ว่านี่คือการเอาคืน และเป็นการเอาคืนที่เจ็บแสบพอควรเชียวล่ะ


   นั่งไล่อ่านคอมเมนท์ที่เต็มไปด้วยคำถามของเหล่าแฟนคลับ ส่วนมากจะถามว่าคนในรูปคือใครมีความเกี่ยวข้องยังไงกับเขา ส่วนน้อยก็เป็นการคาดคะเนที่ต่างๆ นานา มีคนคิดว่าผมเป็นสมาชิกใหม่ของวงด้วยล่ะ ถึงจะไม่มีใครเอะใจเรื่องของผม แต่ก็ไม่ชอบอยู่ดีที่มีรูปตัวเองอยู่บนนั้น



   infiNITy.gallery : ลบรูปซะ



   ทักเขาไปในทันควัน ใช้เวลาไม่นานเขาก็ตอบผมกลับมา นี่ว่างขนาดนั่งเฝ้าโทรศัพท์รึไง?



   Di[X] : ไม่

   infiNITy.gallery : คุณไม่มีสิทธิลงรูปผมตามใจชอบ

   Di[X] : งั้นเหรอ =]

   infiNITy.gallery : ใช่ ลบเดี๋ยวนี้

   Di[X] : งั้นลงรูปนี้แทนแล้วกัน

   Di[X] : ใส่แคปชั่นว่า ‘โดนบังคับให้เป็นแบบ ขอค่าจ้างด้วยครับที่รัก’ คงไม่เป็นไรเนอะ




   “...บ้าเอ๊ย”


   สบถออกมาทันทีที่ได้เห็นรูปวาดแผ่นล่าสุดที่เพิ่งเอาไปส่งให้ ข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นธรรมชาติจนเกินไปของรูปได้รับการเฉลยจนสิ้น ผมบอกแล้วว่ามันไม่เหมือนการถ่ายแบบทั่วไป


   และถ้าเขาลงรูปอย่างที่บอกจริงชีวิตที่สงบสุขของผมต้องหมดลงไปทันทีแหง



  Di[X] : ว่าไง จะลงรูปแล้วนะ

   infiNITy.gallery : เดี๋ยวแอดไปเอง

   Di[X] : สามนาที เริ่ม



   “...เริ่มอะไรล่ะ!”


   แค่เวลาให้ตัดสินใจยังไม่มี ผมรีบจัดการส่งข้อมูลใส่เครื่องของตัวเองแล้วกด add friend ก่อนจะครบสามนาทีตามที่เขาบอก และอีกฝ่ายคงไม่มีอะไรทำอยู่จริงถึงทักผมกลับมาทันทีที่ผมจัดการเพิ่มเพื่อนลงเครื่อง



   Di[X] : 2.13

   Di[X] : ทำเวลาได้ดี

   NITCH : พอใจ?

   Di[X] : มาก =]



   ผมกดเข้าไปอ่านแต่ไม่ตอบ ปล่อยให้อีกฝ่ายเจอคำว่า read ไปอย่างเดียวเถอะ


   เสียงเมสเสจเตือนว่ามีข้อความใหม่ ผมกดเปิดดูด้วยใจที่หวาดระแวงแปลกๆ ...นั่นไงล่ะ บอกแล้วไงว่าเขาร้ายกาจ



   Di[X] : โอนเงินไปแล้วนะครับ ช่วยวาดรูปนี้ให้หน่อย ส่งที่เดิมนะ



   ก็ไม่อยากจะยอมรับหรอก


   ยกที่สองผมแพ้อย่างหมดท่าเลยล่ะ



≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡


 
   “วันนี้ไม่มีแซนวิช เอาเป็นอย่างอื่นแทนได้รึเปล่า”


   ‘ผิง’ ทักทายผมทันทีที่ก้าวเข้าไปในร้าน จากคนแปลกหน้าก็กลายมาเป็นลูกค้าประจำที่ไม่เคยจ่ายเงินไปซะได้ ผู้ชายสุดร้ายคนนั้นใช้วิธีเดิมซ้ำๆ ในการล่อผมให้ติดบ่วง ชอบโอนเงินเกินมาเป็นจำนวนมากแล้วก็ให้ผมวาดรูปส่ง ตอนแรกก็ให้วาดแค่ตัวเองอยู่หรอก นี่ลามไปถึงคนในครอบครัวแล้ว


   เป็นวิธีการแนะนำคนในครอบครัวที่แนบเนียนที่สุด


   “เอาอะไรก็ได้ที่ทำให้ผมหลุดจากบ่วงกรรมนี้มีไหม”


   หย่อนตัวลงบนเก้าอี้สูงติดกับเคาท์เตอร์ ร้านนี้มีมุมชงกาแฟแบบเปิดโล่งให้ลูกค้ามานั่งพูดคุยกับบาริสต้าได้ ถ้าครั้งไหนมาแล้วไม่มีลูกค้ามากอย่างวันนี้ผมก็ชอบมานั่งหาเรื่องคุยกับเขาไม่ก็เอมพนักงานอีกคนหนึ่ง


   “ฮะฮะ คราวนี้รูปใครล่ะ”


   “ทวด ต้องเรียกว่าอะไรนะ อาเหล่าม่า?”


   “อืม เกือบครบทุกคนแล้วนี่”


   “สงสัยภาพต่อไปคงเป็นหมาที่บ้าน”


   นั่นเรียกเสียงหัวเราะลั่น ผิง (ที่ตอนแรกผมเข้าใจว่าเขาชื่อปิง มาเฉลยครั้งถัดจากนั้นว่าชื่อขนมผิงต่างหาก) เป็นเพื่อนกับสิปป์มานานพอที่จะด่าพ่อล้อแม่แล้วไม่โกรธกัน ช่วงแรกผมไม่กล้าที่จะเอาเขามานินทาหรอก จนอีกฝ่ายเริ่มเปิดประเด็นก่อนนั่นแหละ ผมเลยจัดเต็มทุกครั้งที่เจอ


   “ไอ้สิปป์มันก็อย่างนี้ อย่าไปหาเหตุผลให้การกระทำมันมาก”


   “วันก่อนโทรมาหาตอนตีสอง ไอ้เราก็นึกว่ามีอุบัติเหตุอะไร สรุปแค่โทรมาบ่นว่าเหนื่อย”


   “ทีหลังก็บล็อคเบอร์ไปเลยสิ”


   “หึ ทำอย่างกันไม่รู้ว่าถ้าขัดใจคุณชายแล้วจะเป็นยังไง”


   ผมแพ้ทางให้กับเขาอย่างสมบูรณ์ สิปป์มีเลขบัญชีผมไว้ในมือ แค่ผมดื้อกับเขานิดๆ หน่อยๆ เงินจำนวนไม่น้อยก็จะถูกโอนเข้ามาเกือบจะในทันที เดือดร้อนให้ผมต้องถอนมาคืนตลอด จะให้เปลี่ยนไอจีหนีก็เสียดายฐานลูกค้า ยิ่งเปลี่ยนบัญชีธนาคารไม่ต้องพูดถึงเลย ผมขอเปิดแค่รอบเดียวก็พอแล้ว


   “มันร้าย”


   “มาก”


   “แต่ผมว่าคุณก็ร้ายไม่ต่าง”


   “หืม?”


   “เคยได้ยินเรื่องศีลเสมอกันถึงอยู่กันรอดไหม นั่นแหละเหตุผล”


   ลาเต้ปั่นวางลงตรงหน้าผม ผิงคงขี้เกียจรอคำตอบจากผมเลยเอาเค้กช็อคโกแลตมูสขนาดกำลังดีมาด้วย กินเค้กกับลาเต้เป็นอาหารเช้า เยี่ยมมาก


   “หลอกด่าอยู่?”


   “ชื่นชมต่างหาก ไม่เคยมีใครอยู่ได้นานแบบคุณ”


   “อย่าเอาผมไปรวมกับคนจำพวกนั้น"


   “ไม่แปลกใจเลยที่สิปป์มันจับคุณไว้นานขนาดนี้”


   “กรุณาใช้คำให้สุภาพกว่านี้หน่อยนะ”


   ชักหน้าตึงให้รู้ว่าไม่พอใจในการเปรียบนั้นมากเท่าไหร่ ผิงบอกว่าที่เรียกสิปป์แทนที่จะเป็นดิซเพื่อไม่ให้เหล่าแฟนคลับรู้ถึงตัวจริง อันนี้ผมอ่านเจอในเว็บแล้วว่าดิซเป็นบุคคลที่ลึกลับมากพอควร ถึงเขาจะเป็นนักร้องแต่ก็ไม่ได้เปิดเผยชีวิตส่วนตัวเท่าไหร่นัก


   “ผมแค่ใช้คำที่ตรงที่สุด” ยักไหล่ขึ้นแบบไม่ยี่หระ


   “แล้วนี่คุณลูกค้าอยู่ไหน?”


   ผมเปลี่ยนข้อหัว ลาเต้ปั่นฝีมือของผิงอร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมา ไม่เลี่ยนนมแต่ก็ไม่หนักกาแฟเกินไป เป็นการต้อนรับวันใหม่ที่สดใสไม่ใช่น้อย


   บาริสต้าหลักของร้านชี้นิ้วขึ้นไปยังชั้นสอง “เมื่อคืนเล่นถึงตีสาม ยังไม่น่าจะตื่น”


   “แล้วนัดเก้าโมงครึ่งเนี่ยนะ”


   “ถ้ารีบก็ขึ้นไปปลุกสิ”


   “หืม?”


   “ชั้นสอง เลี้ยวซ้ายห้องในสุดที่มีป้ายตัวดีแขวนไว้”


   ทำหน้าสงสัยใส่คนที่บอกพิกัดห้องเสร็จสรรพ ผิงจ้องผมกลับนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไรต่อ เป็นจังหวะเดียวกับลูกค้าใหม่เพิ่งเข้าร้านมา เขาเลยต้องผละจากตรงนี้ไป ไม่อย่างนั้นก็จะมาทำตัวเป็นคนขาดความอบอุ่นหาเรื่องกวนบาทาผมได้ตลอดนั่นแหละ
วันนี้ผมไม่มีธุระไปที่ไหนต่อ ใจจริงคือตั้งใจว่าจะมาปล่อยเวลาให้ผ่านไปอยู่ในร้านถึงเย็นอยู่แล้วเลยกระเตงเอาโน้ตบุ๊คมาด้วย ไว้รอสักสิบโมงกว่าถ้ายังไม่ตื่นค่อยวานให้เอมขึ้นไปปลุกก็ได้มั้ง


   ...จนตอนนี้สิบเอ็ดโมงก็ไม่มีวี่แววของผู้ชายนัยน์ตาแปลกคนนั้นเลย


   “เอม ขึ้นไปตามเจ้านายลงมาหาพี่หน่อย”


   ‘เอม’ หรือ ’เฌอเอม’ เบ้ปากทันทีที่ผมทัก เขาเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่ใช้เวลาว่างในช่วงเสาร์อาทิตย์มาทำงานพาร์ทไทม์ในร้านกาแฟ ไม่รู้ว่าทำไมเด็กที่ดูคุณหนูอย่างนี้ถึงมาทำงานให้เสียเวลาวัยรุ่น ทั้งที่ผมก็เห็นว่าขับฮาร์เล่ย์คันใหญ่แสดงว่าบ้านก็มีฐานะไม่ใช่น้อย


   “ผมไม่โง่เอาชีวิตไปเสี่ยงหรอกพี่”


   “ขนาดนั้น?”


   “ถ้าไม่อยากให้ตัวร้ายโมโห รอดีกว่า” เอมส่งขวดโหลคุ้กกี้มาให้ผมช่วยเรียงไว้หน้าเคาท์เตอร์ ทั้งหมดเป็นฝีมือของผิง เห็นหน้าร็อคแต่ใจนี่รักการทำขนมขั้นสุด “ขนาดพี่ผิงถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ยังไม่เคยขึ้นไปปลุกเองเลย”


   “แล้วถ้ามีอะไรด่วนล่ะ?”


   “ก็ไม่สนไง พี่สิปป์เขาไม่ได้สนใจโลกขนาดนั้นอยู่แล้ว อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ปล่อย”


   “ทำตัวฮิปสเตอร์ไปได้”


   “ต้องเปลี่ยนเป็นสิปป์สเตอร์”


   เพียงแค่ยิ้มจางให้การเปรียบเทียบ ตอนนี้ผมยังว่างอยู่เลยช่วยน้องจัดร้านเรื่อยเปื่อย นอกจากเอมกับผิงแล้วร้านนี้ก็ไม่มีผู้ช่วยคนอื่นเลยสักคน เรียกได้ว่าปริมาณพนักงานดูไม่เพียงพอต่อปริมาณลูกค้าเลยสักนิด เคยถามไปว่าเพราะอะไรถึงไม่รับพนักงานเพิ่มก็ได้คำตอบกลับมาง่ายๆ ว่าไม่อยากรับ


   แปรสภาพตัวเองเป็นพนักงานไร้เงินเดือนจนเกือบบ่ายก็ยังไม่เจอคนที่ต้องการพบ จริงอยู่ว่าผมไม่มีแพลนจะไปที่ไหนต่อแต่ถ้านัดไว้แล้วก็ไม่ควรจะเลทได้ขนาดนี้สิ


   “ซ้ายห้องในสุด?”


   เจอผู้ชายผมสีแปลกเดินกลับมาพอดีเลยทวนเส้นทางที่เคยให้ไว้ ผิงพยักหน้าให้ผมแล้วชูสองนิ้วเป็นตัววี นี่จะปล่อยผมไปเจอสิ่งอันตรายตามลำพังโดยไม่มีการช่วยเหลือเลยสินะ ใจร้ายใจดำสุดๆ


   ผ่านป้ายที่เขียนว่า Staff Only เข้าไปยังด้านใน ผมเดินตามทางแคบไปจนสุดท้ายก็เจอประตูห้องที่มีป้ายเหล็กตัวดีแขวนไว้ ให้ความรู้สึกอย่างกับกำลังเดินผ่านเข้าไปในประตูแห่งขุมนรกอยู่เลยแฮะ เป็นคนสอนมารยาทคนอื่นก็ต้องมารยาทดีก่อน ผมเคาะประตูพอให้อีกฝั่งได้ยิน ยืนรอให้เจ้าของมาเปิดประตูให้ สายป่านนี้น่าจะตื่นแล้วล่ะ


   นับหนึ่งถึงสิบในใจแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า ผมถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป นี่มั่นใจว่าไม่มีใครเข้ามายุ่งถึงขนาดไม่ล็อคประตูไว้เลยเหรอเฮ้ย


   แอร์เย็นฉ่ำปะทะร่าง สายตามองตรงไปยังเรือนผมสีดำที่พ้นจากผ้าห่มสีหม่น ห้องของสิปป์ใช้โทนมืดเกือบทั้งหมด จะหาสีสว่างจากห้องนี้คงมีแต่แสงแดดที่ลอดผ่านม่านมาเท่านั้นเอง บนหัวเตียงมีภาพถ่ายขนาดใหญ่ของตัวเขาเองประดับไว้ คงมาจากการแสดงโชว์เพราะเขากำลังถือไมค์ไว้ เสื้อสีเทาลายหัวกะโหลกเปียกจนลีบไปลำตัวเผยกล้ามเนื้อไร้ไขมันช่วยเพิ่มความน่าหลงไหลได้อย่างดี


   เขาไม่รับรู้ถึงการบุกรุกของผมเลยสักนิด ขนาดเดินสำรวจจนทั่วห้องแล้วก็ยังคงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ แปลกกว่าที่คาดคิดไว้พอสมควรเหมือนกันที่ห้องนี้มีตู้หนังสือตั้งเรียงกันจนสุดผนังอีกฝั่งและทุกชั้นเต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายประเภท ตั้งแต่นิยายทั่วไปจนถึงหนังสือปรัชญาที่ดูเข้าใจยากตั้งแต่ชื่อเรื่อง ผมไม่เคยต้องปลุกใครมาก่อน ขนาดน้องโรมยังใช้แค่เสียงสั่งก็ยอมลุกแล้ว


   “นี่...” ผมเดินไปสะกิดไหล่คนที่อยู่ในนิทรา “ตื่นได้แล้ว นี่บ่ายแล้วนะคุณ”


   อีกฝ่ายไม่แสดงอาการตอบโต้ใดๆ ใบหน้าได้รูปยังคงซุกอยู่กับหมอนใบใหญ่


   “คุณสิปป์ ตื่นได้แล้ว”

   เปลี่ยนจากสะกิดเป็นถลกผ้าห่มลงให้ห่มเพียงครึ่งท่อนล่าง ไม่ใส่เสื้อนอนแต่เปิดแอร์หนาวระดับนี้ไม่ป่วยได้ยังไงกัน สิ่งหนึ่งที่น่าแปลกใจเกี่ยวกับนักร้องใต้ดินอย่างเขาคือไม่มีรอยสักใดๆ บนผิวสีขาวนั้น ก็ปกติมันเป็นของคู่กันไม่ใช่หรือไงนักร้องกับรอยสักน่ะ


   “ดิซ ถ้าคุณยังไม่ตื่นผมจะถ่ายรูปคุณไปลงในแฟนเพจนะ”


   รู้ว่าเป็นคำขู่ที่โง่เง่าที่สุด ก็ผมไม่รู้จะปลุกยังไงดีนี่นา กลัวว่าถ้าเอาน้ำมาราดแล้วจะต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับเตียงอีก
รอบข้างไม่มีหมอนข้างหรือตุ๊กตาสักตัว หรือจะเอาหมอนอีกใบมาฟาดให้ตื่นดี ไม่รู้ว่าแรงของผมจะระแคะระคายผิวหนังนั่นรึเปล่า


   เฮ้ นี่ไม่ใช่หนังแฟนฉัน ผมไม่มีทางไปยืนบนเก้าอี้แล้วกระโดดลงมากระแทกให้ตื่นหรอก


   ทั้งสะกิด ทั้งเขย่า ทั้งเอาหมอนฟาด เขาก็ไม่มีอาการตื่นตัวขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ถ้าลองไปถามผิงจะมีวิธีปลุกไหมนะ แต่เอมก็บอกแล้วว่าไม่มีใครกล้าขึ้นมาปลุกเลยสักคน


   "ลงไปทำงานต่อก็ได้วะ..."


   บอกกับตัวเองให้ยอมแพ้ อย่าเสียเวลากับอะไรที่ไร้ประโยชน์ ผมโน้มตัวเพื่อโยนหมอนกลับไปไว้ที่เดิม ช่วงเวลาที่เผลอเลยทำให้อีกคนฉวยโอกาสคว้าเอวแล้วดึงจนเสียหลัก


   “เฮ้ย!”


   “อรุณสวัสดิ์”


   ใช้เวลาตั้งสติอยู่ครู่ใหญ่ ผมกำลังทิ้งตัวทับเจ้าของห้อง ยังไม่ทันที่จะเรียบเรียงระบบความคิดอะไรได้มากเขาก็จัดการพลิกให้ตัวผมลงไปอยู่ด้านล่างแล้วตัวเองก็ขึ้นคร่อมไว้หลวมๆ แค่ท่าก็ให้คะแนนความส่อเต็มสิบแล้วยิ่งรวมกับบรรยากาศเงียบๆ เย็นๆ ในตอนนี้คงได้รางวัลชนะเลิศไปครอง


   “บ่ายแล้ว” ตีหน้านิ่งใส่ บอกให้ตัวเองกล้าที่จะสบสายตาคู่แปลก ยังไม่ชินกับใบหน้าไร้ที่ตินี่สักที เห็นเมื่อไหร่ก็เผลอจดจำส่วนต่างๆ ไว้ตลอด ไว้จะลองหลับตาแล้ววาดรูปดูว่ามันจะคล้ายตัวจริงมากแค่ไหน


   “งั้นก็สวัสดีตอนบ่าย”


   “ตื่นแล้วก็ช่วยลงไปรับงานหน่อย ผมรอคุณมาตั้งแต่เก้าโมงแล้ว”


   “...อืม”


   “เลิกยุ่งกับหน้าผมด้วย”


   มือข้างหนึ่งของเขายันตัวเองไว้ ส่วนอีกข้างก็ยกมันขึ้นมาไล้ไปตามโครงหน้าของผม จะว่าขนลุกก็ไม่เชิง มันจั๊กจี้เสียมากกว่า


   “สันกรามคุณสวย”


   “ขอบคุณที่ชม”


   “คิก...”


   รู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในหลุมของนายพรานจอมร้ายกาจ เขายิ้มบางโดยยังคงสบตากับผมอยู่ไม่ไปไหน มือเย็นเฉียบเคลื่อนตัวตามแนวกรามมาที่คาง ลำคอ อ้อยอิ่งอยู่ตรงกลางอกที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ ใจเย็นไว้นิช อย่าปล่อยให้ตัวเองเดินตามเกมส์ของเขา


   สองสายตายังประสานกันไม่ละลด ถึงไม่เห็นแต่ก็สัมผัสได้ว่าตอนนี้เขากำลังแตะอยู่ที่ส่วนไหน เขาเปลี่ยนเป็นใช้ทั้งมือลากผ่านช่วงลำตัวของผมไปหยุดอยู่ตรงพื้นที่หมิ่นเหม่ ส่วนที่แย่ที่สุดคือผมเป็นพวกไวต่อการสัมผัสมากด้วยสิ


   “หายใจไม่ออกเหรอ”


   ยังมีหน้ามาถามอีก ผมเริ่มหายใจเร็วขึ้นยามที่เขายังคงเล่นกับร่างกายของผมอยู่ เคลื่อนมือไปมาอย่างกับกำลังทดสอบความอดทน แย่แล้วล่ะ การปั่นหัวของเขามันกำลังจะได้ผลแล้ว


   “ผอมจัง กินข้าวบ้างรึเปล่า”


   "..."


   กัดปากตัวเองไว้ไม่ให้ส่งเสียงอะไรออกมา เสื้อตัวโคร่งที่ใส่มาในวันนี้ถูกเลิกขึ้นพอควร จากปลายนิ้วที่สัมผัสเส้นใยทอจากเสื้อเปลี่ยนเป็นผิวเนื้อของผมแทน เขาใช้นิ้วของตัวเองไล้วนรอบท้องน้อยจนสะดุ้งวาบ ผมเขยิบตัวหนีอัตโนมัติแต่ไม่ยอมหลบสายตาที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้นทุกที ถ้าไม่ควบคุมตัวเองดีๆ อาจกลายเป็นเถ้าธุลีอยู่บนเตียงนี้แล้วก็ได้ ไม่แปลกใจที่ผิงเล่าว่าแฟนคลับคลั่งไคล้เขาถึงขนาดยอมแอบเข้าไปในห้องพักนักดนตรีเมื่อวันก่อนเลย!


   "ว่าไง ...ต้องสอนเรื่องกินอาหารให้ครบห้าหมู่ไหม?"


   เสียงของคนเพิ่งตื่นนอนติดแหบพร่า ไม่ชอบเลย ผมไม่ชอบที่ต้องตกเป็นรองใครอื่นอย่างนี้


   "คนที่นอนตื่นบ่ายไม่ต้องคิดมาสอน" ย้อนกลับนิ่งๆ ให้เขารู้ว่าผมเองไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของนายพรานแน่ ถึงตอนนี้โอกาสรอดมีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซนต์เลยก็เถอะ


   "ก็รอเจ้าชายมาจุมพิต" ไม่ว่าเปล่ายังฉวยจูบแก้มของผมอีก เขานี่จะมือไวปากไวเกินไปแล้วนะ "ติดใจห้องนี้จนลืมภารกิจรึไง"


   "ห้องสวยดี"


   "มาอยู่ไหมล่ะ?"


   "เฮอะ" ทำเสียงหยันเพื่อปฏิเสธ "ทำอย่างนี้กับทุกคนเลยรึไง"


   ไม่ได้โง่ขนาดที่ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร แต่ผมเองก็ไม่มีสิทธิ์ออกไปจากบ่วงนี้ เพราะอย่างนั้นสิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้ก็คือยื้อชีวิตตัวเองให้นานที่สุดเผื่อว่าสุดท้ายแล้วเขาจะเบื่อแล้วยอมปล่อยไป ซึ่งไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนรวมถึงไม่รู้ว่าจะรอดออกไปในสภาพไหนด้วยซ้ำ สิปป์เป็นตัวร้ายอย่างที่เอมเรียก นายพรานตัวโกงที่จะไม่ปล่อยให้เหยื่อรอดไปง่ายๆ เด็ดขาด


   "คุณเป็นคนแรกที่เคยเข้ามาที่นี่"


   "งั้นแสดงว่าที่อื่นไปบ่อย"


   ไม่ได้รู้สึกดีกับคำโปรยหว่านนั่นเลยสักนิด ถ้านับรวมๆ แล้วนี่ผ่านมาเกือบสามเดือนที่เขาเข้ามามีบทบาทในชีวิตของผมอย่างต่อเนื่อง เขาไม่ได้บอกว่ากำลังจีบผมทั้งที่การกระทำทั้งหมดมันใช่ ...ผู้ชายคนนี้เขาหยิ่งผยองเกินไปที่จะบอกว่าตัวเองกำลังตามติดชีวิตผู้ชายตัวเล็กๆ อย่างผมอยู่


***
ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2


   "หึง?"


   "เอือมระอาต่างหาก"


   "แย่จังนะ"


   ยิ้มระรื่นไม่ได้ไปด้วยกันได้กับคำกล่าว สิปป์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างกับกดซูมกำลังขยายสูงสุด ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเอาตัวเองเข้ามาใกล้ผมขนาดนี้ แต่ไม่ว่าใบหน้าหล่อราวรูปสลักจะมาให้ผมเชยชมกี่ครั้งมันก็ยังทำให้ใจเต้นแรงขึ้นได้ทุกที


   "ลุกไปอาบน้ำสักทีเถอะ"


   "ไม่ล่ะ”"


   "?"


   "มีของน่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้าขนาดนี้"


   "เหรอ"


   ไม่สนใจคำอ้อน ผมต้องวางตัวเองให้อยู่ในฐานะที่ต่อรองได้ ไม่ให้เขาเหลิงในอำนาจจนลืมว่าคนที่เขากำลังท้าทายอยู่ตอนนี้คือปีศาจที่มีดีกรีความร้ายไม่หย่อนไปกว่ากัน


   'มึงมันชั่วไม่รู้ตัว' แบล็คเคยบอกไว้เมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นมีคนกร่างมาขู่ให้น้องโรมไม่เข้าสอบพละเพราะน้องอ่อนด้านกีฬามากๆ พอดีอีกฝ่ายมันโง่เกินกว่าที่จะรู้ว่าไม่มีคนในกลุ่มปล่อยให้โรมไปไหนมาไหนตามลำพัง พอเน็ทเข้าไปช่วยไว้ได้ทันพวกเราเลยวางแผนกันที่จะดัดหลังคนนิสัยเสียให้รู้ซะบ้างว่าไม่ควรใช้กำลังในทางที่ผิด อืมๆ ตอนนั้นพวกเราก็แค่จัดการให้เพื่อนคนนั้นมาสอบปลายภาคไม่ได้เลยสักวิชาเพราะกลัวฝันร้ายเท่านั้นเอง


   ฝันร้ายที่ชื่อว่านิช


   "คนสวยนี่หัวใจทำจากเหล็กกล้ารึเปล่า"


   "คนเราควรมีกำแพงเสียบ้าง"


   การเดินเกมส์ที่ดีต้องไม่วู่วาม การก้าวพลาดเพียงแค่ครั้งเดียวอาจนำมาซึ่งความตายได้ ตอนนี้ผมเลยยังไม่แสดงออกอะไรมากไปกว่าการทำตัวโอนอ่อนยอมทำตามความต้องการของเขาไปเรื่อย


   ปล่อยให้เขาย่ามใจไปก่อน ตลบหลังนี่งานถนัดผมเลยล่ะ
 

≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡



   ห้องซ้อมหมายเลข 10


   ไม่รู้ว่าคราวนี้เกิดอาการสิปป์สเตอร์อะไรอีกถึงให้ผมมาส่งงานที่ห้องซ้อมดนตรีแทนที่จะเป็นร้านของตัวเองอย่างทุกที ห้องซ้อมขนาดใหญ่ดูหรูหราสมกับค่าเช่าแพงระยับที่ติดไว้ตรงทางเข้า เขาคงบอกเจ้าหน้าที่ไว้แล้วว่าจะมีคนมาหาผมเลยเข้ามาภายในได้อย่างง่ายดาย ไม่อย่างนั้นเห็นผู้ชายหน้าเนิร์ดๆ อย่างนี้เดินเข้ามาคงถามว่ามาผิดตึกรึเปล่า ตึกกวดวิชาอยู่ฝั่งตรงข้ามกันนะคะ อะไรอย่างนั้น


   ประตูสีดำปิดสนิทไม่มีช่องกระจกให้ส่องภายใน ถ้าพวกนั้นซ้อมกันอยู่ถึงผมใช้มือเคาะแรงแค่ไหนก็ไม่ได้ยินอยู่แล้ว เลือกที่เปิดเข้าไปเลยดีกว่า


   “สวัสดี...เห?”


   คำว่าครับกลายเป็นเสียงประหลาดใจ ห้องกว้างไม่มีใครอยู่เลยสักคน ผมว่าตัวเองมาสายนะ


   เปิดโปรแกรมแชตออนไลน์เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เขาบอกผมว่านัดมาบ่ายโมงนี่ก็บ่ายสิบสามนาทีเข้าไปแล้วยังไม่เจอใครเลย ส่งกลับไปบอกสั้นๆ ว่าถึงแล้วให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังผิดนัดอีกแล้ว อืม...จะเรียกว่าผิดนัดได้รึเปล่า ก็ถ้าไปส่งให้ที่ร้าน สิ่งที่ผมต้องทำคือต้องปลุกเขาก่อนทุกที


   จนเอมแซวว่าหน้าที่หลักผมคือเป็นนาฬิกาปลุก ส่วนหน้าที่รองเป็นพนักงานไร้เงินเดือน


   นั่งรอจนกลายเป็นนอนรอ ปาไปบ่ายครึ่งประตูก็ยังคงปิดสนิท สิปป์ไม่อ่านไลน์ที่ผมส่งไปให้เลยด้วยซ้ำ หรือควรจะโทรไปตามดี เขาเอาโทรศัพท์ของผมไปเพิ่มเบอร์เองโดยพลการมาสักพัก  ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยที่จะกดโทรออกตรงรายชื่อที่เมมไว้ว่า ‘10’ เลยแม้แต่ครั้งเดียว


   ไม่เหมือนอีกฝ่ายถ้าไม่ได้โทรมาหาวันไหนคงลงแดงตาย


   “ถ้าไม่มาจะวางของไว้ที่นี่แล้วนะ”


   ขู่กับหน้าจอโทรศัพท์ผมก็ยังจะทำ ที่ผ่านมาไม่เคยต้องมาเดินตามเกมส์ของใครอื่นขนาดนี้มาก่อน คนในกลุ่มรู้ดีว่าถ้าทำให้ผมโกรธแล้วมันจะแย่แค่ไหน อย่างเน็ทจะเป็นสายทัพหน้าออกลุยก่อน มีแบล็คเป็นทัพหลังคอยซัพพอร์ต ส่วนผมก็จะคอยเป็นเสนาธิการคอยกำกับรวมถึงลงไปซ้ำถ้าศัตรูยังดื้อด้านไม่เลิก


   พอดีไม่ได้นับถือพุทธ ถ้าให้เทียบคงเรียกได้ว่ากรรมตามสนอง


   สิปป์ร้าย ร้ายอย่างที่ผิงบอกนั่นแหละ เขารู้ว่าตรงไหนคือจุดอ่อนของผมและเล่นงานมันจนยับทุกครั้งที่ต้องการ สร้างกำแพงไร้ทางออกขึ้นมารวมถึงเอาโซ่ล่ามเท้าผมไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้ ก็อยากจะถามเหมือนกันว่าทำไปทำไม ติดตรงที่กลัวเขาตอบกลับแล้วจะรับความเป็นสิปป์ไม่ได้


   พ่นลมหายใจยาวเหยียด เบนหน้าไปทางกลองชุดที่ตั้งไว้อยู่ระดับตรงข้ามสายตาพอดี ที่จริงเครื่องตีสีดำสนิทดึงดูดความสนใจของผมตั้งแต่ก้าวเข้าห้องมาแล้วล่ะ คงรู้กันแล้วว่าผมเล่นกลองชุดในวงดนตรีประจำโรงเรียนสมัยมัธยมปลาย ที่จริงผมไม่ได้หลงไหลหรือให้ความสนใจเครื่องดนตรีนี้หรอก น้องโรมดันเกิดคึกอะไรไม่รู้ขอเรียนกีตาร์ ลำบากให้พวกผมมานั่งจับสลากกันว่าใครที่ต้องตามไปดูแล และคนที่โชคดีคือผมไง


   ผมมันคนมีพรสวรรค์ด้านศิลปะ คนส่วนมากที่ผ่านเข้ามาในชีวิตว่าอย่างนั้น ถ้าถามตัวเองว่าเห็นด้วยกับคำบอกหรือเปล่าก็ไม่ สำหรับผมความจริงแล้วไปได้ทุกทางแหละ ที่สละสิทธิ์ไม่เรียนหมอก็แค่ไม่อยากเรียนต่อแบบไร้ทางเลือกอีกหกปีเป็นอย่างน้อยก็เท่านั้นเอง


   ขยับมือไปมาบนอากาศ ตั้งแต่คนอื่นเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้ววงดนตรีของเราก็ล้มเลิกไปโดยปริยาย การจับไม้กลองครั้งสุดท้ายของผมนี่เลืองรางเต็มทน


   ...แค่ซ้อมมือระหว่างรอคงไม่เป็นไรละมั้ง


   เดินไปหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว มีไม้กลองสำรองเสียบไว้อยู่แล้ว เอาเถอะ ถึงเป็นไม้กากๆ ก็ตีได้ล่ะน่า
ต่อหูฟังเข้ากับโทรศัพท์ ผมมีไฟล์เพลงสำหรับฝึกตีเก็บไว้อยู่ในเครื่องพอสมควร เลือกเพลงที่ต้องการแล้วหลับตาลง รอคอยให้โน้ตตัวแรกดังขึ้น ยินดีต้อนรับกลับมานะนิช


   ถ้าให้เลือกระหว่างวาดรูปกับเล่นดนตรีมันเป็นสองอย่างในชีวิตที่ผมเลือกไม่ได้เลยจริงๆ แล้วทำไมผมถึงเลือกที่จะเดินบนทางศิลปะทั้งที่บอกว่าเลือกไม่ได้งั้นเหรอ มันก็แค่ว่าไม่มีทางที่ผมจะเล่นกลองได้โดยไม่มีเครื่องดนตรีอื่นไง


   พาตัวเองเข้าสู่โลกที่สร้างขึ้นมาใหม่ ผมปล่อยให้ร่างกายขยับไปตามความคุ้นชิน มันก็เหมือนการเล่นกีฬาที่เมื่อฝึกซ้อมจนถึงจุดที่ร่างกายจำการเคลื่อนไหวได้แล้วก็ไม่ต้องไปบังคับอะไรมันอีก คนอื่นชอบทำหน้าประหลาดใจหรือไม่ก็ไม่เชื่อว่าผมจะเล่นกลองด้วยเหตุผลด้านรูปร่างที่ผอมบางจนเกินไป จนคนพวกนั้นได้เห็นผมแสดงเท่านั้นแหละ หน้าประหลาดใจมันก็หายไปทันตาเหลือเพียงความรู้สึกไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น


   เหมือนอย่างคนที่อยู่ตรงหน้าของผมตอนนี้ไง


   "มาสาย"


   ทักทายพลางถอดสายหูฟัง เก็บไม้กลองไว้ที่เดิม


   สิปป์ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ผมเลยเดินอ้อมไปหยิบซองใส่งานที่วางอยู่บนโซฟามาให้เขาพร้อมกับซองเงินส่วนเกิน ถ้าสักวันหนึ่งผมโดนธนาคารเรียกพบเรื่องจำนวนเม็ดเงินที่เข้าออกผิดปกตินี่ผมจะไม่แปลกใจเลยล่ะ พ่อนักร้องใต้ดินชื่อดังเขาไม่สนในเรื่องเงินๆ ทองๆ เลยรึไงกัน


   "ทีหลังจะมาสายก็บอกหน่อย จะได้ไม่รีบมา"


   "ลืมมือถือ"


   สำรวจใบหน้าของเขา เรือนผมสีดำเซ็ตแค่พอให้เป็นทรง ไอร้อนของร่างกายและเหงื่อที่ผุดอยู่ตรงบริเวณขมับบอกผมว่าเขาคงรีบเดินทางพอควร


   "ลืม?" ถามอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ นี่ผมบอกเลยนะถ้าไม่ใช่ตอนกลางคืนในวันที่เขาทำงานหรือเวลานอนแล้วล่ะก็สิปป์ตอบผมช้าที่สุดคือหนึ่งชั่วโมง ไม่เคยมีครั้งไหนที่นานกว่านั้น


   "เมื่อคืนไปนอนค้างห้องเพื่อน"


   "อ้อ...เข้าใจล่ะ" พยักหน้าให้รู้ว่าผมไม่ถือสาที่เขามาสาย "งั้นกลับก่อนนะ"


   โบกมือไปมาเป็นการบอกลา นัยน์ตาที่ไม่มีการแต่งเติมใดๆ ยังคงความสวยปนอันตรายไว้อย่างเดิม ที่ต่างออกไปคือรอยสะท้อนที่อ่านไม่ออก


   เมื่อเขาไม่ตอบกลับอย่างที่เคยทำมาตลอดผมเลยถามต่อ "มีอะไรอีกรึเปล่า?"


   "มือ" เขาชี้มาที่มือทั้งสองข้างของผม "แบออกมา"


   "อะไรของคุณ"


   "ส่งมือมานี่"


   ไม่รอให้ผมทำเอง เขาคว้ามือทั้งสองข้างที่ผมทิ้งไว้แนบลำตัวขึ้นมาระดับอก พอเห็นรอยแดงที่ปรากฎบนฝ่ามือทั้งสองข้างแล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน มันก็แดงพอควรอยู่ ไม่ได้ตีมานานมันก็ไม่คุ้นชินอย่างนี้


   "เรื่องปกติ" หมายถึงสมัยซ้อมก็ตีจนมือแดงอย่างนี้จนเป็นเรื่องปกติ ยิ่งช่วงไหนผมอารมณ์ไม่ดีแล้วต้องมาซ้อมเคยต้องทิ้งไม้เพราะเลือดซึมเข้าเนื้อไม้ด้วยซ้ำไป


   "ปกติ?"


   "ทำอย่างกับคุณไม่เคยเจ็บนิ้วเพราะเล่นกีตาร์ไปได้"


   "หึ..." ยิ้มมุมปากที่ส่งมาให้เล่นเอาใจผมเขวไปช่วงหนึ่ง "คุณชอบทำให้ผมประหลาดใจอยู่เรื่อยเลยนะ"


   "ผมไม่เคยทำเพื่อคุณ ดิซ"


   ชอบที่จะเอาจุดเปราะบางของเขามาใช้ จากการอนุมานของตัวเองแล้วชื่อในวงการของเขาคงมาจากชื่อจริงภาษาไทยนี่แหละ สิปป์ที่อ่านว่าสิบได้เช่นกัน มีข้อมูลสนับสนุนคือรูปวาดคุณย่าของเขาที่เป็นหญิงต่างชาติ


   ส่วนสิปป์ในภาษาไทยแปลว่าศิลปะ เหมาะกับเขาดีเหมือนกัน สวย ลึกลับ น่าค้นหา ...แล้วก็อ่านไม่ค่อยออก


   ความใจเย็นคืออาวุธที่ใช้มาตลอด ถ้าเมื่อไหร่ที่ปล่อยให้อารมณ์มีอิทธิพลมากกว่าสมองแล้วก็เตรียมตัวแพ้ได้เลย


   "แต่นี่ทำเพื่อคุณนะ"


   จากมือที่อยู่ระดับอกขึ้นไปสัมผัสข้างแก้ม ริมฝีปากสวยบรรจงจูบลงไปทีละนิ้ว เรียกเอาความร้อนวูบขึ้นมากองกันบนใบหน้า ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือสายตาที่ไม่ละออกไปจากผมเลย


   สิปป์ชอบเล่นเกมส์ นั่นคือสิ่งที่ผมบอกตัวเองอยู่ในตอนนี้


   อยากจะดึงมือกลับมาแต่นั่นหมายถึงผมเป็นฝ่ายยอมแพ้ในยกนี้ บอกตัวเองให้อดทนเข้าไว้ ผู้ขายตัวร้ายกำลังใช้เล่ห์แพรวพราวทั้งหมดในการหลอกให้ผมติดกับ เกลียดจริงเลย เกลียดตาเขา เกลียดหน้าเขา เกลียดเสียงเขา เกลียดทุกอย่างที่รวมตัวกันแล้วเป็นสิปป์ เพราะผมไม่สามารถรับมือกับมันได้นาน


   นับวันผมก็ยิ่งรู้ เสน่ห์ล้นเหลือที่ทำให้คนหลงจนฆ่ากันเองได้มันเป็นอย่างไร


   "รู้ไหมว่าตอนคุณกัดปากมันเซ็กซี่เป็นบ้า"


   "โรคจิต คิดว่ามื..."


   "ดิซ บอกเคาท์เตอร์แล้วใช่ไหมว่าขอเพิ่มเวลาซ้อมน่ะ"


   ช่วงชิงจังหวะที่มีเสียงที่สามแทรกเข้ามาดึงมือตัวเองออก โชคร้ายที่ทำได้แค่ข้างเดียว ดังนั้นภาพที่ผู้มาใหม่เห็นคือผมกับสิปป์กำลังยืนแนบชิดกันโดยที่มือผมข้างที่หนึ่งยังคงถูกเขากุมไว้แน่น


   พูดแบบไม่เข้าข้างตัวเองอะไรทั้งนั้นนะ ภาพนี้แม่งต่อให้อธิบายสวยหรูยังไงก็ฟังไม่ขึ้น


   คนมาใหม่คาดคะเนแล้วคงสูงกว่าผมไม่มาก ใบหน้ารูปไข่กับผมสีน้ำตาลอ่อนเพิ่มความสดใสให้กับโครงหน้าในองค์รวม ติดอยู่ที่สีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจนที่ทำให้ความสวยงามมันหมดไปทันตาเห็น


   "ยัง ไปบอกหน่อยสิ"


   "นี่! แค่ปล่อยให้น้ำวนหาที่จอดเองมันก็แย่เกินพอแล้วนะ ยังใช้ไปจองห้องต่ออีกงั้นเหรอ"


   "ถ้าตอบว่าใช่จะเดินไปไหมล่ะ"


   "ดิซ!"


   ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไรกันแน่ พูดเหมือนมาซ้อมด้วยกัน แต่ก็ไม่อยากซ้อมพร้อมกัน สิปป์โคลงหัวแล้วพาผมกลับไปนั่งบนโซฟา อย่าเรียกว่านั่งดีกว่า เขาน่ะนั่งบนโซฟา ส่วนผมนั่งบนตักเขาอีกที


   อยากจะดิ้นอยู่หรอก ติดอยู่ที่แขนที่โอบเอวผมไว้แน่นจนเกือบเป็นบ่วงรัดขนาดใหญ่ เมื่อไม่ใช่คนผิดหรือมีชนักติดหลังอะไรก็ไม่จำเป็นต้องหลบสายตา มองกลับไปยังผู้ชายเสื้อฟ้าที่ยืนหน้าไม่รับบุญยิ่งกว่าเดิมเพื่อรอดูว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป นี่ผมกำลังทำตัวเหมือนท้าทายอะไรเขารึเปล่า?


   "แล้วนี่ใคร" เสียงที่ออกมาเกือบเป็นการกัดฟันพูด


   "อยากรู้จริงเหรอ?"


   "ถ้าเป็นเด็กๆ ของนายต้นน้ำจะได้ไล่ให้ออกไปจากห้องซ้อม มันเกะกะสายตา”


   ดูท่าแล้วผู้ชายหน้าหวานคนนี้คงมีอิทธิพลในวงพอควรเลยทีเดียว ผมไม่ได้สนที่จะหาข้อมูลของสมาชิกคนอื่นๆ ในวงของดิซ มันไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตผมสักหน่อยนี่


   ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาก่อนที่เขาจะพูดต่อ "งั้นก็ออกไปเพิ่มเวลาซะ จะได้ไม่เกะกะสายตาอีก"


   เขาใช้คำที่แรงมากพอควรเลยล่ะ ไม่รู้ว่าคนข้างหลังกำลังทำสีหน้าแบบไหน น้ำเลยเดินปึงปังออกไปพร้อมกับปิดประตูกระแทกไล่หลังอีกต่างหาก


   "จะปล่อยได้รึยัง"


   "ไม่อะ"

   "บอกไว้ก่อนว่าอย่าเอาผมเข้าไปเกี่ยว”


   กันไว้ดีกว่าแก้ ดูจากท่าทางที่ออกไปทาง 'หึงหวง' มากจนชัดเจนของอีกฝ่ายแล้ว ผมคงต้องระวังเรื่องการวางตัวให้มากกว่านี้อีก ที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องมาระวังเลยไม่ใช่รึไง


   “เขาต่างหากที่พาตัวเองเข้ามาเกี่ยว” คางของเขากำลังเกยกับไหล่ของผม จักจี้ชะมัด “ไม่มีใครเชิญสักนิด”


   ทั้งแขนที่รัดเอวไว้และคางที่วางตรงไหล่ผมเลยหมดหวังที่จะขยับตัวหนีอย่างสมบูรณ์ ผมทิ้งร่างให้พิงกับคนที่อยู่ด้านหลังอย่างไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าท่านี้มันสบายที่สุดแล้วในการนั่ง


   “ฝ่ายร้ายนี่ชอบความเสี่ยงงั้นเหรอ”


   “เราทุกคนตั้งชีวิตบนความไม่แน่นอนที่รัก”


   “เฮ้อ ผมไม่แปลกใจเลยที่คุณคนนั้นจะหวงคุณขนาดนี้น่ะ” ก็คำเลี่ยนๆ ที่ออกจากปากของเขาตลอดเวลานั่นไง “บางทีคุณก็ควรควบคุมคำพูดของตัวเองหน่อย”


   “บางเรื่องปากมันไปไวกว่าที่คิด”


   “อยู่อย่างนี้ไม่หนักรึไง”


   “ไม่นะ คุณตัวเบา” เขาเอียงคอมาทางผมจนรู้สึกได้ว่ามีอะไรทิ่มข้างแก้ม “ดูบางไปทั้งตัวจนไม่อยากจะเชื่อว่ามีแรงขนาดนั้น”


   “อย่าตัดสินหนังสือจากปกไง”


   Do not judge a book from a cover


   คำพูดที่ผมชอบมากที่สุด


   “เล่นมานานแล้ว?”


   “พอสมควร เล่นตอนว่าง”


   เขาหัวเราะในลำคอ ใช้มือข้างซ้ายโอบเอวไว้หลวมๆ แล้วขยับมือข้างขวาไปจับข้อมือของผมไว้ “ฝีมือขนาดนี้เล่นตอนว่าง?”


   “ใช่”


   ดูโรคจิตไหมถ้าจะบอกว่าผมชอบความความรู้สึกแบบนี้ ชอบเวลาที่ได้เหยียดยิ้มผู้ชนะให้คนที่เคยสบประมาทผมไว้ มนุษย์น่ารังเกียจอย่างหนึ่งคือชอบตัดสินคนอื่นด้วยมุมมองของตนเอง ทั้งที่องค์ประกอบทุกอย่างมันไม่ได้เหมือนกันเลยสักนิด ผมไม่เคยตัดสินคนอื่นและไม่ต้องการให้ใครมาตัดสินชีวิตผมเช่นกัน


   “คุณเป็นหนังสือรุ่นลิมิตเต็ดสินะ” สิปป์โน้มหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกของเราชนกัน กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ไม่เหมือนกับทุกครั้งบอกผมว่าเขาคงไปค้างที่อื่นอย่างที่บอก “ถ้าอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ให้ครบต้องทำยังไงกัน”


   “...เอ่อ กูก็ไม่อยากจะขัดจังหวะอะไรหรอก แต่ว่ากูยืนอยู่ตรงนี้นานแล้วว่ะ”


   ผมได้ยินเสียงฮึมฮัมอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักจากลำคอ ท่าทางของเด็กที่ถูกขัดใจเรียกให้ผมยิ้มหวานกลับไป พาตัวเองออกจากอ้อมแขนแล้วลงมานั่งข้างๆ แทน


   “ไม่อยากขัดจังหวะก็เดินออกไป”


   “มึงก็พูดมาไม่อายเด็กมึงเลยเนอะ”


   ผมเกลียดคำว่า 'เด็ก' ที่พวกเขาใช้พิกล


   ชายที่มาใหม่มาพร้อมกับกระเป๋าใส่เครื่องดนตรีประเภทสาย คิดว่าคงเป็นเบสเพราะสิปป์เป็นมือกีตาร์แล้ว ความรู้สึกแรกที่เห็นก็คงเป็นลูกคุณหนูจอมกะล่อนทั่วไปในชุดแบรนด์ทั้งตัว หน้าตาดีพอควรเลยล่ะ


   "สวัสดี ชื่อ 'พีท' นะ"


   มองหน้าแล้วก้มลงกดโทรศัพท์คือสิ่งที่ผมตอบกลับไป หืม ผมจำเป็นต้องมารยาทดีอย่างที่สอนน้องโรมมาตลอดงั้นเหรอ คุณเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ คนที่มาเรียกคนอื่นว่าเด็กเลี้ยงได้หน้าตาเฉยไม่สมควรที่จะได้รับการปฎิบัติที่ดีกลับไปหรอกนะ


   "หยิ่งว่ะ..." เสียงอุบอิบเรียกรอยยิ้มแสยะบนใบหน้าของผม "ล่ะตอนน้ำเข้ามาพวกมึงอยู่ท่านี้กันเหรอมันเลยเดินหัวลุกเป็นไฟออกไปอย่างนั้น พี่หน้าเคาท์เตอร์ตกใจกันหมด"


   "ก็เปล่า ล่ะนี่คนที่นัดไว้อีกคนล่ะ"


   "ไม่รู้แม่ง โทรไปไม่รับสงสัยเบี้ยวนัดแล้วมั้ง"


   "อืม..."


   ตอนนี้ผมมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ติดตรงที่สิปป์ยังกุมมือผมไว้ไม่ยอมปล่อยนี่แหละที่เป็นตัวปัญหาอยู่


   "มีงานด่วนต้องรีบกลับไปทำรึเปล่า" เขาหันมาถามผม


   "ไม่นะ"


   "อยากเล่นกลองอีกไหม?"


   คำชวนที่ฟังยังไงก็ดูมีความนัยแฝง ผมลอบมองผู้ชายคนเดิมที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยเค้าของความไม่พอใจแล้วเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาในหัว


   ไม่เคยเป็นกันเหรอ ความรู้สึกที่ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทรมานแล้วยิ่งมีความสุขน่ะ


   "จะให้มาช่วย?"


   "จ้างต่างหาก พอดีคนเล่นประจำไปแสวงบุญรอบโลกไม่มีกำหนดกลับ"


   กรอกตาใส่คนที่ยิ้มกริ่ม "คุณควรเลิกเอาเรื่องเงินมาพูดได้แล้วนะ"


   "ไม่มีอะไรในโลกที่ได้มาฟรีๆ"


   "นานแค่ไหน"


   ช่วงนี้ผมไม่ได้มีงานเข้ามารวดเดียวอย่างที่เกิดขึ้นสมัยเจอเขาแรกๆ มันก็ยังคงมีงานเข้ามาสม่ำเสมอแต่ไม่ถึงขนาดต้องเร่งทำอีกแล้ว เด็กที่ไม่ต้องเรียนในระบบการศึกษาภาคบังคับอย่างผมจะใช้ชีวิตอย่างไรมันก็สะดวกไปหมด ไม่ต้องมากังวลเรื่องคาบเรียนไม่พอหรือเรื่องสอบ


   "ตลอดชีวิต"


   "อย่าเว่อร์"


   "ตกลงไหมล่ะ?"


   "จะเล่นให้จนกว่าจะหาคนใหม่ได้แล้วกัน ระยะทดลองงานสามเดือนเหมือนฝึกงาน" เห็นเน็ทมาบ่นเรื่องฝึกงานให้ฟัง ถึงจอมหวงจะดูไม่ค่อยสนใจการเรียนมากเท่าไหร่แต่ความจริงแล้วถ้าเขาตั้งใจจริงก็ทำได้หมดนั่นแหละ ติดตรงที่เขาเป็นคนสบายๆ เกินไปหน่อย นี่คงโดนพี่จ้ำจี้จ้ำไชให้คิดเรื่องฝึกงานเลยเริ่มแอคทีฟ ไม่อย่างนั้นคนอย่างนัทธิไม่มีทางเริ่มคิดเรื่องพรรณนี้เองแน่นอน


   "น่ารักมาก" เขาโน้มมากระซิบที่ข้างหู จงใจเฉียดแก้มผมไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


   "พลอดรักเสร็จรึยัง ถ้าเสร็จแล้วก็ออกไปสักที"


   ถ้าไม่ใช่ลูกคนเดียวก็ลูกคนเล็กถึงได้เอาแต่ใจอย่างนี้ อยากจะให้น้องมาเห็นจะได้เข้าใจว่าเพราะอะไรผมถึงเคี่ยวเข็ญไม่ให้ทำตัวไร้มารยาทอย่างนี้ใส่คนอื่นไปทั่ว


   “นี่นิช จะมาเล่นกลองให้”


   ผงกหัวลงเพื่อไม่ให้ดูหยิ่งอย่างที่มีบางคนแขวะไว้


   “อะไรนะ!?”


   เหมือนการเข้ามาร่วมวงของผมจะมีคนไม่พอใจอยู่แฮะ


   “ต้องให้พูดซ้ำงั้นสิ”


   “น้ำไม่ยอมให้เด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาเล่นขายของหรอกนะ”


   “นายควรให้ ‘คนร่วมวง’ ไปเช็คสายตา” ผมไม่ยอมใช้คำว่าเพื่อนในประโยค “มองยังไงให้คนตีกลองกลายเป็นเล่นขายของ”
บอกเลยว่าถ้าจะมาเปิดสงครามกับผม ผู้ชายคนนี้คิดผิดอย่างมหันต์เลยล่ะ


   “นี่!”


   “นิช ไม่ใช่นี่”


   “ดิซ นายควรสอนเด็กนายให้เก็บปากไว้ทำอย่างอื่น”


   ยามที่ผมหันกลับไปรอคำตอบจากเขา สิปป์เพียงยิ้มจนตาปิดมาให้ ...ผมว่าผมเห็นเขาซาตานงอกอยู่บนหัวผู้ชายคนนี้อยู่ล่ะ พนันไหมว่าเขากำลังคิดแผนชั่วอยู่ในหัว ที่กล้าบอกเพราะเขาเองไม่ต่างจากผมเลยสักนิดที่มีแผนร้ายจำนวนมหาศาลไหลเรียงเข้ามาต่อเนื่อง


   เป็นพระเอกมันจะไปสนุกอะไรล่ะ เป็นตัวร้ายแล้วชีวิตมีสีสันกว่าเยอะ


   "จะมาเล่นให้แต่มีข้อแม้" ผมยื่นข้อต่อรองให้ผู้ว่าจ้าง ไม่เก็บเอาเสียงค้านมาใส่ใจ "ฉันไม่ใช่ 'เด็ก' ของใคร ฝากนายไปปรามคนของนายเองหน่อย"


   ชายตาไปมองชายสองคนที่แสดงสีหน้าแตกต่างกัน หนึ่งคนเต็มไปด้วยโทสะ อีกคนเต็มไปด้วยความเกรง การที่ผมบอกให้เขาไปพูด มันหมายความว่าสิปป์มีอำนาจเหนือกว่าในการควบคุม


   ...ส่วนคนที่สั่งเขาอีกทีอย่างผม ก็เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดไง


   "ข้อสอง นายเป็นคนจ้างเพราะงั้นฉันจะไม่ฟังคำสั่งของใคร"


   "ผมไม่ยอมให้คุณไปฟังคำสั่งคนอื่นอยู่แล้ว"


   "ข้อสุดท้าย ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมทนไม่ไหวแล้วเกิดอันตรายอะไรขึ้นมา จะโทษผมไม่ได้นะ โอเคไหมครับสิปป์"


   "รับทราบครับนิรันดร์"


   ยิ้มหวานที่เคลือบพิษร้ายส่งไปให้เป้าหมาย ผมเรียกเขาว่าสิปป์แทนที่จะเป็นดิซอย่างที่ทุกคนทำ โชคดีที่ตั้งใจฟังเรื่องเล่าจากเอมเรื่องชื่อของเขา ผู้ชายแสนร้ายจะให้เฉพาะคนที่สนิทเท่านั้นเรียกชื่อจริง ถ้าไม่สนิทแล้วลองดีมาเรียกอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับเขาเลยก็เคยมีมาแล้ว


   "ตามนั้นนะ นิชจะมาเล่นให้สามเดือนเป็นอย่างน้อย"


   มันไม่ใช่การขอความเห็น เป็นการบอกเล่าให้ปฏิบัติตามเสียมากกว่า พีทดูมีปัญหาแต่ไม่กล้าท้วงกับการตัดสินใจของหัวหน้าวงในครั้งนี้ ผิดกับอีกคนที่เห็นคำว่าไม่ยอมรับลอยมาเต็มใบหน้า


   "ง่ายไปไหม จะให้ใครก็ไม่รู้มาเล่นเนี่ยนะ"


   "จะให้มาเล่นกูไม่คิดอะไรหรอก แต่ก็อย่างที่น้ำบอกวงเราไม่ใช่วงโนเนมนะเว้ย จะให้คนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกมาเล่นเลยมันก็ดูเสี่ยงไปป่ะวะ"


   สรุปแล้วคือกำลังบอกว่าผมไม่เหมาะก็บอกมาตรงๆ


   วันนี้อาจเป็นวันดีที่ผมได้เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของพวกมนุษย์หลายครั้งหน่อย ผมปล่อยให้คำปรามาสหายไปกับการเดินทางของเสียง หยิบมือถือขึ้นมากดไล่หาเพลงโปรดในการซ้อมดนตรี เพลงที่ผมโปรดปรานแต่ไม่มีใครชอบด้วยเพราะมันเล่นยากเกินไป แปลกนะ อะไรที่มันยากเราควรยิ่งเผชิญมันไม่ใช่รึไง


   "อย่าฆ่าใครตายล่ะ"


   เสียงแผ่วเบาเกือบเป็นการกระซิบ ผมหยิบหูฟังขึ้นมาใส่หูทั้งสองข้างแล้วเดินออกไปนั่งตรงหน้าเครื่องตีอีกครั้ง มือค้างไว้ที่ปุ่มเพลย์แต่สายตามองไปหาเจ้าของนัยน์ตาสวยแสนสะพรึง ส่งยิ้มมุมปากบางเบาให้แทนคำขอโทษ


   ขอโทษที่ต้องบอกว่าเตรียมกดเบอร์โทรเรียกรถฉุกเฉินได้เลย


***
   Merry Xmas ค่ะ (ยิ้ม)
   ไม่มีอะไรจะสารภาพนอกจากยังแต่งที่หนึ่งตอนต่อไปไม่ได้อย่างที่ต้องการสักทีค่ะ (ฮา) ในที่สุดการสอบของเจ้ามันก็จบลงแล้ว หนึ่งเดือนสุดแทนทรมานมันผ่านพ้นไปได้สักที /ปาดน้ำตา แต่คิดว่าปิดเทอมแล้วคงลงได้บ่อยขึ้นแล้วล่ะค่ะ คราวนี้น่าจะมีเวลาแต่งเก็บไว้ ไม่ต้องอัพตอนต่อตอนอย่างที่ทำมาตลอด (หัวเราะ)
   แล้วเจอกันศุกร์หน้าเช่นเดิมค่ะ

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
นิชนางเริศเสมออ่ะ เอาให้กระอักเลือดตายเลยนะ

หมั่นไส้ต้นน้ำ  :m31:

ออฟไลน์ Ferin1A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สิปป์นิชน่ารัก
น้องโรมดูมีอิทธิพลกับนิชพอสมควรเลยนะ นางนึกถึงน้องบ่อยมาก

อยากเห็นเวลาพี่ๆสปอยน้องอ่ะ อยากรู้ว่าเลี้ยงกันมายังไง น้องโรมถึงแอบดื้อเล็กๆ ละเหมือนเด็กถูกตามใจ ทั้งๆที่เห็นพี่ชอบดุกับสอนนางตลอด555 รอพาร์ทที่หนึ่งน้องโรมนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
แสยะยิ้ม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


สิปป์นิชนี่เป็นเรื่องที่เซ็กซี่และมีสไตล์มากค่ะ คือจริง ๆ จะแยกออกไปเป็นอีกเรื่องเลยก็ได้
เพราะทัั้งสิปป์และนิชมีเสน่ห์มากพอจะตรึงใจคนอ่านเอาไว้ได้... เรียกได้ว่า ไม่อาจคลาดสายตาไปจากทั้งสองคนได้เลยต่างหาก
ตอนนี้เราตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นว่าเป็นเรื่องของสิปป์นิชเลยนะคะ (สงสารที่หนึ่งน้องโรมมาก ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

อย่างไรก็ดี... เราจะติดตามรออ่านตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อเลยค่ะ
สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้านะคะ!!  :mew1:


ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
«ตอบ #231 เมื่อ01-01-2016 11:23:41 »

บทที่ 11


   ห้องประชุมขนาดหนึ่งพันที่นั่งในช่วงเย็นของวันพฤหัสบดีเต็มไปด้วยเด็กคณะบัญชีเดินไปมาขวักไขว่ ผมเลี่ยงตัวออกมาอยู่บริเวณด้านหลังของเวทีที่ถูกเนรมิตให้เป็นฉากประกอบธีมการประกวดขนาดย่อม อย่างที่วีเคยบอกวันนี้มีการประกวดคัดเลือกดาวเดือนของคณะ อยากจะชิ่งมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้เพราะโดนดักไว้ทั้งทางของน้องสายและคนห้องตรงข้าม พอดีว่าวันนี้ผมมีเรียนวิชาสุดท้ายตอนบ่ายสามกับที่หนึ่งเลยโดนลากมาด้วยอัตโนมัติ ผมก็งัดทุกข้ออ้างมาใช้จนหมดแล้วนะ ทำได้แค่ยอมรับความจริงว่าเถียงไปแค่ไหนก็ไม่ชนะหรอก เขาตีหน้ามึนใส่แล้วก็ลากมาด้วยก็จบเห่ชีวิต

   ข้ออ้างที่ใช้ไปก็อย่างเช่นคืองานนี้มันมีข้อจำกัดเรื่องการเข้าเชียร์มาก ผมไม่อยากไปนั่งรวมกับใครอื่นที่ไม่รู้จัก ที่หนึ่งก็จัดการเสกบัตรสตาฟแบบ all area ที่เขียนว่าพี่โรมมาให้ในเสี้ยววินาที ที่กลัวว่าต้องไปนั่งรวมกับใครอื่นที่ไม่รู้จักเขาก็จัดให้ผมได้นั่งตรงพื้นที่ส่วนวีไอพี

   นี่สินะการบริการระดับห้าดาว

   "พี่รหัสสส ขอกอดเรียกกำลังใจหน่อย"

   "เอาตีนไปก่อนแล้วกันนะมึง"

   วีมันเกาะแกะอย่างนี้มาตั้งแต่ผมโผล่หน้าไปให้เห็นพร้อมที่หนึ่งในห้องแต่งตัวแล้ว พอเห็นผมปุ๊บก็เข้ามาออเซาะยิ่งกว่าปกติอีกเป็นหลายเท่า ไม่รู้อะไรมากมายถึงมาลงที่ผม

   "ฮือ ผมโคตรเครียดบรรลัยมากมายมหาศาลล้านแปดพันเก้าเลยว่ะพี่ เมื่อกี้เชี่ยโยบอกจะโชว์ควงกระบองไฟด้วยอะ"

   คงจะกังวลมากจริงถึงใช้คำได้พิลึกพิลั่นขนาดนั้น

   "มึงโชว์พ่นน้ำแข็งแบบเอลซ่าสู้เลย"

   "พี่รู้ป่ะว่าแม่งไม่เหมือนการให้กำลังใจเลยสักนิด" เด็กน้อยเบะปากไม่พอใจ

   "รู้ ก็กูไม่เห็นว่ามึงอยากเป็นเดือนอะไรนี่สักหน่อย"

   "โธ่ ชีวิตคนเราก็ต้องทำอะไรสนุกๆ บ้างสิพี่ เมื่อกี้ผมแอบได้ยินพี่สตาฟคุยกันว่าผมมีสิทธิ์ลุ้นสูงนะ"

   ปารวีแม่งเป็นคนที่ผมสรรหาคำมานิยามไม่ถูก โอเคว่าเรื่องรูปร่างหน้าตาไม่มีปัญหา แต่เรื่องการแสดงความสามารถที่พ่วงการตอบคำถามวัดทัศนคติบ้าบออะไรนี่ผมว่ามันเป็นอะไรที่ไม่มีทางทำได้

   "คำพูดลอยๆ เชื่อได้ขนาดนั้นเลยรึไง?"

   "พี่น่าจะเป็นคนที่รู้คำตอบดีที่สุด"

   "มึงไปถามที่หนึ่งเถอะ"

   "ก็นั่นสิเนอะ"

   "เพี้ยนใหญ่แล้วแม่ง มาๆ กูขอให้มึงได้แสดงคนสุดท้าย จะได้ไม่ใครอยู่ดู"

   คุยมากกว่านี้ผมต้องได้หนีกลับก่อนแหง ตั้งใจไว้แล้วว่าตอนที่วีแสดงความสามารถผมจะหนีออกไปสูดอากาศข้างนอกจะได้ไม่ต้องมารับรู้ว่าน้องสายทำเรื่องงามหน้าแค่ไหนไว้ คือถ้าไม่เห็นแก่หน้าตัวเองก็ช่วยเห็นแก่หน้าผมหน่อยเถอะ ไม่อยากจะมารับรู้อะไรอีกแล้วล่ะ แค่ทุกวันนี้ความสงบสุขในชีวิตของผมก็หายไปมากเกินพอแล้ว

   ผมไม่เคยมาร่วมงานอะไรอย่างนี้สักปี ทั้งไม่เห็นความสำคัญแล้วก็รำคาญผู้คนจำนวนมากด้วย บางทีก็อดแปลกใจไม่ได้ที่กิจกรรมที่ไร้แก่นสารอย่างนี้จะมีคนให้ความสนใจล้นหลาม เห็นว่าตอนสมัยปีผมนี่ห้องประชุมเกือบแตกอยู่เหมือนกัน ว่าจะถามที่หนึ่งหลายรอบก็ลืมว่าเขาแสดงอะไร

   "ทำไมมาอยู่ตรงนี้?"

   คิดถึงพ่อพ่อก็มา ที่หนึ่งวันนี้ก็ยังคงออร่าอย่างเคย ที่แตกต่างออกไปคงเป็นเครื่องสำอางที่ถูกแต่งเติมบนใบหน้าอยู่เล็กน้อย อาจดูเหมือนไม่ใช่คนช่างสังเกตแต่ผมก็อยู่กับเขาบ่อยจนพอที่จะรู้ว่าวันนี้หน้าของเขาแตกต่างไปจากทุกวันก็แล้วกัน

   "มาคุยกับวีต่อ" เจ้าของตำแหน่งเดือนปีสามวิ่งวุ่นตั้งแต่เข้าห้องประชุมมา เรียกรันสคริปอธิบายเกณฑ์การให้คะแนนอะไรล้านแปดที่ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว ก่อนที่ผมจะแอบหนีออกมาก็มีสตาฟมาตามไปแต่งหน้าอยู่ เห็นว่าหมดงานนี้ก็อำลาตำแหน่งอย่างสมบูรณ์ "มึงไปล็อบบี้ให้ตกรอบไวๆ เลยนะ เกลียดแม่ง"

   "พูดจาไม่น่ารัก"

   "แล้วไง?"

   “ก็ไม่แล้วไง ไม่ชอบ”

   เขาจะบอกแค่ไม่ชอบแต่ไม่เคยชักหน้าสีหน้าไม่พอใจเลยสักครั้ง ไม่รู้ว่าระดับความอดทนอยู่ตรงไหนกัน บางครั้งผมก็อยากให้เขาดุผมกลับเหมือนอย่างที่พี่คนอื่นชอบทำนะ ยิ่งทำอย่างนี้มากเข้าผมเองนี่แหละที่จะเสียคน

   “ดี ไม่ต้องชอบเลยนะ”

   “ชอบไปแล้วนี่"

   "ว่างแล้วรึไงถึงมาป่วนได้?" ควรเปลี่ยนหัวข้อเรื่องอย่างด่วน

   "ก็ยังมีงานอยู่ แต่ไม่เจอเลยมาตามหา"

   "หนึ่ง..." ผมไม่ได้อยากเรียกเขาด้วยเสียงระอาแบบนี้หรอก แต่มันใช่เรื่องไหมล่ะ "นี่ปีสาม อายุยี่สิบแล้ว โอเคนะ?"

   "ไม่โอเคครับ"

   ผมว่าควรยกตำแหน่งพ่อทูนหัวให้เขา ขนาดคุณพินิจยังไม่เคยหวงผมเท่านี้เลย ยังไม่ทันที่จะตอบโต้อะไรกลับไปที่หนึ่งก็วางมือบนไหล่ของผมทั้งสองข้าง ออกแรงผลักเบาๆ ให้ออกเดินไปข้างหน้าคล้ายการเล่นต่อแถวเป็นรถไฟในสมัยเด็ก แต่นี่คงเป็นขบวนที่สั้นหน่อยเพราะมีแค่สองตู้เท่านั้น

   สถานีปลายทางคือบริเวณส่วนกลางของห้องประชุมที่ถูกกั้นกรอบไว้ให้เป็นโต๊ะกรรมการการประกวด ที่นั่งของผมอยู่สูงขึ้นไปจากส่วนกลางสองขั้น เลือกตำแหน่งริมขวาสุดแล้วยังเอากระเป๋ามาจองที่ทางซ้ายต่อจากผมเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกขนาบด้วยคนไม่รู้จัก คือผมก็ไม่ได้รังเกียจการนั่งรวมอะไรขนาดนั้นนะ ก็แค่มีพื้นที่ส่วนตัวมันก็ดีกว่าอยู่แล้ว

   "จะออกไปไหนก็บอกก่อน เดี๋ยวไปด้วย"

   "งั้นกลับแล้วนะ"

   หยิบมือถือขึ้นมาเตรียมโทรเรียกพี่ชายมารับ แต่เจอตาดุๆ จ้องมาเสียจนต้องเก็บลงกระเป๋าแทบไม่ทัน

   "รอดูวีก่อน" เขาเสกซองลูกอมมาให้เป็นของล่อตา "เบื่อก็เล่นเกมไป"

   "บ้านมึงเป็นนายหน้าขายลูกอมใช่ไหม ถึงได้เอามาแจกจ่ายไม่กลัวล้มละลายขนาดนี้”

   ปากบ่นแต่มือก็แกะซองขนมที่เขาให้ บอกตัวเองให้มองข้ามความเอาใจใส่ร้อยแปดพันเก้าแล้วชินกับคำพูดที่ว่ารู้หมดทุกอย่างเสีย

   "ก็ให้น้องโรมคนเดียว ไม่ล้มละลายหรอก"

   "คร้าบๆ กลับไปนั่งที่ได้แล้วไป สตาฟจะงาบหัวกูอยู่ล่ะ"

   "น้องโรม..."

   "ครับพี่ที่หนึ่ง"

   ฉีกยิ้มกวนตีนเต็มที่ ตั้งใจว่าต้องได้เห็นเขาหลุดมาดบ้างล่ะ

   แต่ไม่ได้เห็นอย่างที่หวังแฮะ

   หน้าของเขากลายเป็นนิ่งสนิทในขณะที่แก้มสองข้างแดงระเรื่อขึ้นกว่าเดิมจนเห็นชัด เดือนปีสามควบตำแหน่งรองเดือนมหาวิทยาลัยยกมือขึ้นป้องปากเหมือนห้ามไม่ให้ตัวเองพูดอะไรออกมา

   "...น่ารักไปแล้วนะ"

   ไม่ชัวร์ว่าได้ยินถูกต้องรึเปล่า ผมเลยถามทวนกลับไป

   "อะไรนะ?"

   ที่หนึ่งผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียดแล้วยื่นมือออกมาทางผมก่อนชะงักไป เขาดูลังเลมากจนผมอดขำไม่ได้

   "เป็นอะไรอีก?"

   "ขออนุญาตนะครับ"

   "โอ๊ยยย"

   เชื่อเขาเลย

   อยากจะเดาไหมว่าเขาขออนุญาตอะไร? เขาขอคำอนุมัติในการยีหัวผมจนยุ่งแหละ เกิดมาจากท้องแม่จนอายุบรรลุนิติภาวะก็มีวันนี้วันแรกแหละที่มีคนมารยาทดีในชีวิต อย่างเน็ทก็เห็นฤทธิ์เดชไปแล้วว่าเป็นยังไง บอกเลยว่าไม่คุ้นกับอะไรแบบนี้เลยครับ

   "หมั่นไส้ อย่าไปยิ้มให้ใครอย่างนี้บ่อยๆ นะ"

   "งั้นจะยิ้ม"

   "ไม่เอา" ทำปากยื่นอย่างนั้นยังไม่น่าเกลียด ลองให้ผมทำบ้างสิ คงอัปลักษณ์พิลึก "ยิ้มให้หนึ่งคนเดียวพอแล้ว"

   "มึงกลับไปเลยไป"

   ไล่กลับแทบไม่ทัน ที่หนึ่งหัวเราะออกมาแล้วยีผมสีน้ำตาลของผมที่ไม่เป็นทรงอยู่แล้วให้แย่เข้าไปอีก แก้มสีแดงธรรมชาติที่ไม่ได้มาจากการแต่งแต้มช่วยเพิ่มความน่ามองขึ้นอีกหลายระดับ

   "หวงนะ"

   อาจจะเบื่อคำนี้แล้ว แต่ผมขอบอกอีกรอบตรงนี้ว่าที่หนึ่งแม่งบ้า


 
   การประกวดรอบแสดงความสามารถไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด แต่ละคนต่างงัดทีเด็ดประจำตัวขึ้นมาประชันกันสุดฤทธิ์สุดเดชจนผมแทบไม่ได้หยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกมส์เลย จะเรียกว่าสมพรปากก็ได้ที่น้องสายของผมได้แสดงเป็นลำดับสุดท้ายจากการจับสลาก ถึงอย่างนั้นคำพูดของผมก็ศักดิ์สิทธิ์แค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งคือที่ผมบอกว่าไม่มีใครรอดูอยู่หรอก มันกลับเป็นว่าตอนนี้คนในห้องประชุมยังคงแน่นขนัดเหมือนรอคอยไฟนอลโชว์อยู่

   เสียงปรบมือให้กำลังใจดังมากกว่าทุกทียามที่พิธีกรประกาศชื่อปารวีออกไมค์ และคงเป็นที่หมั่นไส้ของชายหนุ่มในคณะไม่น้อยเลยมีเสียงโห่ฮาตามมาไม่หยุดหย่อน อยากจะให้มีหลุมดำดูดผมลงไปตอนนี้เลยแฮะ ไม่พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่กำลังจะเกิดเลยสักนิด

   "สวัสดีครับ ผมชื่อวี ถ้าเรียกแบบเต็มๆ ก็ปารวี แปลว่าผู้มีเป้าหมาย"

   ผิดจากที่คาดไว้อย่างที่หน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ว่าได้ วีอยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่มีอุปกรณ์ประกอบการแสดงแม้แต่ชิ้นเดียว สิ่งเดียวที่เขามีคือไมค์ลอยสีดำที่อยู่ในมือเท่านั้น นึกไม่ออกเลยว่าการแสดงที่เขาเคยพูดไว้คืออะไร นี่จะมาเดี่ยวไมค์โครโฟนรึยังไงกัน?

   "ให้สารภาพตามตรงตอนนี้เลยก็ได้ว่าผมเป็นคนไม่มีความสามารถพิเศษ เฮ้ อย่าโห่สิ นี่พูดจริงนะ ...นั่นแหละ เพราะผมไม่ใช่คนที่เก่งกาจอะไรขนาดนั้น ผมเลยอยากจะมาเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ทุกคนฟังมากกว่า ถ้าพร้อมแล้วก็เชิญรับฟังได้เลยครับ"

   ยกมือขึ้นมาปรบมือให้ตามประเพณี วียืนยิ้มโดยไม่พูดอะไรออกมาต่อ เขากวาดตาไวๆ ไปทั่วห้องแล้วมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะกรรมการ...หรือไม่ก็ตรงชั้นที่สูงกว่านั้น

   "นี่เป็นเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อวี วีเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาๆ ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากมัธยมเข้ามาสู่ระดับมหาลัย เขาไม่เคยทำกิจกรรมอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาตั้งแต่เด็ก ที่ทำกิจกรรมครั้งสุดท้ายก็เป็นช่วยยกฉากขึ้นแสตนเชียร์สมัยม.สาม ความจริงก็ไม่ได้อยากช่วยหรอก พอดีเดินผ่านพอดีแล้วโดนเพื่อนในห้องล่อลวงว่ากำลังเอาของไปเก็บไว้ที่ห้องซ้อมหลีด"

   เรื่องเล่าที่ดูธรรมดา ผมลองจินตนาการภาพน้องสายหัวเกรียนที่โดนลากไปช่วยงานแล้วก็หัวเราะเงียบๆ อยู่คนเดียว

   "จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยมา นายวีก็เจอเหตุการณ์ที่ไม่ได้อยากจะทำแต่ก็ต้องหลวมตัวมาทำอีกครั้งอย่างประกวดเดือนคณะ แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะถูกเอาเรื่องดาวมาล่อ" เขาไม่ได้ใช้น้ำเสียงที่ดูน่าสนใจเลยสักนิดด้วยซ้ำ มันเป็นโทนเสียงธรรมดาเหมือนการเล่าทั่วไป และเพราะมันดูเป็นการเล่าที่ทั่วไปนี่แหละมันเลยดูเข้าถึงได้ไม่ยากเลย "วีถามตัวเองหลายครั้ง ว่าอะไรที่ทำให้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ ความจริงตำแหน่งเดือนอะไรนี่มันไม่ได้เหมาะกับคนอย่างตัวเองมากอยู่แล้วอะนะ ปารวีคิดอยู่นาน จนในที่สุดก็ได้คำตอบ"

   มีเสียงจากผู้ชมตะโกนว่า 'เพราะมึงบ้าไง' เรียกเสียงฮาครืนได้มากพอควร แค่นี้ก็บอกได้ว่าวีเป็นที่รักของคนในคณะไม่น้อย

   "โหย อย่ามาตัดมุกอย่างนี้เด้ นี่บิวท์อารมณ์อยู่เห็นไหม ...เมื่อกี้พูดถึงไหนแล้ววะ อ้อ ให้คำตอบใช่ป่ะ นั่นแหละ เขาว่ามันเป็นเรื่องของความกล้า" อาจเป็นตำแหน่งที่นั่งวีไอพีอยู่ไม่ไกลจากเวทีมากนัก เลยเห็นชัดว่าความกล้าที่เขาบอกมันส่งมาผ่านสีหน้าและท่าทางมากแค่ไหน

   "ผมมีรุ่นพี่คนหนึ่งที่ผมเรียกเขาว่าเป็นไอดอลได้เต็มปาก ทั้งที่เพิ่งรู้จักกับพี่เขามาได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เถอะ"

   ...?

   ถึงจะยังไม่เข้าใจเมนไอเดียของทอล์คโชว์ครั้งนี้ดีแต่เดาได้ว่าใครคือคนที่เขากำลังพูดถึง และเพราะผมสามารถเดาได้นั่นแหละ มันเลยดูไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด

   "พี่เขาชื่อที่หนึ่ง" มือข้างที่ไม่ได้จับไมค์ผายมายังเจ้าของชื่อ "พี่ครับ ผมอยากขอบคุณที่พี่ทำให้ผมกล้ามายืนตรงนี้ ด้วยเหตุผลเดียวคือมันคือจุดที่พี่เคยยืน"

   ตอนแรกเหมือจะเข้าใจ และตอนนี้ผมบอกเลยว่าผมไม่เข้าใจในสิ่งที่วีกำลังทำเลยสักนิดเดียว

   "พี่เป็นตัวอย่างที่ทำให้ผมอยากเดินรอยตามทุกอย่าง จนกระทั่งมีเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น เรื่องที่พี่ทำให้ผมรู้สึกผิดหวังโคตร"

   มันไม่ใช่เรื่องแสดงความสามารถอะไรแล้วล่ะ นี่เอาเรื่องส่วนตัวมาพูดต่อหน้าสาธารณะชัดๆ ยิ่งตอนที่วีหันหน้ามาทางบริเวณที่ผมนั่งอยู่แล้วด้วยยิ่งเพิ่มความระแวงให้สูงขึ้นไปอย่างหยุดไม่อยู่ ผมไม่ใช่คนที่มีเซนต์ในเรื่องอันตรายสักเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไมความคิดที่ก้องในหัวของผมตอนนี้ถึงมีอย่างเดียวคือบอกให้เดินออกจากห้องนี้ซะ ให้รีบหนีไปก่อนที่จะได้ยินอะไรที่ไม่ควรรับรู้

   "เพราะงั้นพี่ที่หนึ่งครับ ผมขอใช้ความกล้าที่ผมมีถามอะไรพี่สักอย่าง" เสียงเดียวที่ดังอยู่รอบตัวคือเสียงเครื่องปรับอากาศ ทุกสายตากำลังจับจ้องไปทางบุคคลที่สามที่ถูกเรียกให้เข้ามามีบทบาทในการแสดง "ผมอยากจะรู้ว่าคนที่พี่กำลังจีบคือใคร"

   ไม่ลืมกันใช่ไหมว่าถึงตอนนี้คนปริศนาก็ไม่ได้รับการเฉลยแต่อย่างใด

   ถึงอย่างนั้นสิ่งที่กำลังทำก็บอกผมได้ว่าวีรู้คำตอบอยู่แล้วแม้จะไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยก็ตาม

   "ว่าไงครับ ช่วยบอกผมได้รึเปล่า?"

   เสียงพูดคุยดังอื้ออึงจนแยกไม่ออก ผมนั่งนิ่งไม่กล้าแม้แต่จะขยับซ้ายขวามองคนรอบข้าง สายตามองตรงไปที่แผ่นหลังของผู้ชายที่นั่งอยู่ห่างออกไปสองช่วงตัวว่าเขาจะทำอะไรต่อไป ที่หนึ่งนั่งหลังตรงอยู่อย่างนั้น มือข้างหนึ่งรับไมค์ลอยจากฝ่ายโสตมาถือไว้ และทันทีที่มีเสียงเปิดไมค์ทั้งห้องก็สามัคคีพร้อมใจกันเงียบ

   "ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณที่มองพี่เป็นไอดอลนะ แต่ความจริงพี่ก็ไม่ได้มีดีอะไรมากขนาดนั้น" ต่างจากตอนที่วีพูดลิบลับ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงอะไรออกมาแทรกการพูดของเขาเลย ผมโคตรของโคตรลุ้นในตอนนี้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไปอีก "ส่วนเรื่องหลังพี่ไม่ขอพูดครับ"

   ที่หนึ่ง

   "ก็อย่างที่บอกพี่ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น อย่างที่ชัดที่สุดก็คงเป็นเรื่องขี้หวง" น้ำเสียง 'หนัก' และ 'แน่น' ทุกคำในประโยค ผมสะดุ้งเล็กๆ ตอนที่เขาหันหลังกลับมามองทางด้านหลังของตัวเอง ในสายตาของคนภายนอกอาจแยกไม่ออกว่าเขากำลังมองไปที่ไหน "อะไรที่เป็นของพี่ พี่หวงมากครับ"

   ขอกดหยุดเวลาสักแป๊บ

   ใครเป็นของมึงครับ? ผมเกือบจะลุกขึ้นตะโกนถามไปแล้วถ้าไม่ติดว่าตอนนี้เสียงเซ็งแซ่มันเกิดขึ้นทุกทิศทาง และขืนถ้าผมทำอย่างนั้นออกไปจริง มันคือการฆ่าตัวตายออกอากาศชัดๆ

   "ถ้าไม่มีคำถามแล้วพี่ขอปิดไมค์แล้วนะ"

   บอกเลยว่าตำแหน่งรองเดือนมหาวิทยาลัยไม่ได้มาเพราะโชคช่วย จากวิธีการตอบกลางๆ ไม่ทำให้ใครเสียหายในขณะเดียวกันก็เป็นการตัดบทไม่ให้ถามอะไรต่อไปอีก

   วีเป็นคนตอบคำถามคนสุดท้ายและตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว สมาชิกทุกคนในห้องประชุมถูกบังคับให้เคลื่อนตัวออกไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก ที่หนึ่งหันมาจ้องผมประมาณว่าอย่าคิดลุกหนีไปไหน ผมเลยจำใจต้องนั่งรออยู่ที่เดิมจนกระทั่งเขาคุยกับกรรมการคนอื่นเสร็จแล้วเดินมาหาผม

   "กลับเลยนะ"

   ปลายเสียงตวัดห้วนอย่างที่เขาไม่เคยทำมาก่อน ผมพยักหน้าคืนให้แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเดินจูงมือออกจากห้องประชุม ดูแล้วเขาคงไม่อยู่ในมู้ดที่อยากคุยอะไรกับใครมากเท่าไหร่ผมเลยไม่กล้าพูดอะไรออกไป และคงไม่ใช่แค่ผมที่รู้สึก ระหว่างทางมีคนในคณะทำท่าว่าจะเข้ามาทักแต่ไม่ได้ทักอยู่หลายคน

   "..."

   มือที่จับผมไว้กระชับแน่นขึ้นยามปรากฎร่างของเด็กผมสีทองยืนรออยู่บริเวณทางออกของตึก วีพิงกับกำแพงสบายๆ ไม่มีความสำนึกเลยสักนิดว่าเมื่อกี้สร้างดราม่าไว้มากแค่ไหน

   ผมรักความเงียบสงบ ถึงอย่างนั้นตอนนี้ผมกลับอยากให้รอบข้างมีเสียงโวยวายมากกว่า ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบและผมเองก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรทั้งสิ้น

   รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนกลางที่ห่วยแตกมาก

   "พี่แม่งแย่ว่ะ" เป็นปารวีเริ่มเอ่ยก่อน "ถ้าพี่จะจีบพี่รหัสผมก็กล้าหน่อยดิ มาจีบหลบๆ อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน”

   "พี่ไม่เคยจีบหลบนะ"

   "แล้วที่ผมเห็นคืออะไร"

   "การที่วีเห็น มันก็มีความหมายในตัวอยู่แล้วไหม" วีเป็นเด็กน้อยไปเลยเมื่อถูกพี่ปีสามไล่ต้อนเสียหมดคำพูดอย่างนี้ "วีเป็นน้องสายโรม ก็น่าจะรู้นิสัยพี่สายของตัวเอง"

   หนึ่งรู้ทุกอย่างนั่นแหละ

   ไม่หรอกที่หนึ่ง นายยังรู้ไม่หมดทุกอย่าง

   น้องสายที่เพิ่งใช้ความกล้ากับเรื่องไร้สาระเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก "พอเลย บอกผมมาคำเดียว จีบพี่สายผมอยู่ใช่ป่ะ"

   "อืม"

   ไม่ว่าเขาจะพูดออกมากี่ครั้ง เขาก็ยังคงชัดเจนอย่างเดิม

   "ก็แค่นั้น"

   แค่นั้นบ้านพ่อมึงสิ! 

   ถ้าอยากจะรู้จริงก็ไม่จำเป็นต้องมาถามผ่านช่องทางสาธารณะอย่างนี้เลยไหม แค่เดินมาถามตรงๆ อย่างที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่รึไง ผมใช้สายตาพิฆาตส่งไปให้ เอาอย่างแรกเลยคือนี่ไม่ใช่เรื่องอะไรของวีเลยสักนิด ไม่ว่าที่หนึ่งกำลังจะจีบใครอื่นที่ไม่ใช่ผมอยู่ก็ไม่เห็นจำเป็นที่ต้องมานั่งตอบคำถามอะไรแบบนี้เลย

   "พี่รู้ไหมว่าตอนนี้ผมเกลียดชื่อของพี่ชะมัด" พ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด "เพราะสุดท้ายแล้วพี่ก็เป็น 'ที่หนึ่ง' อยู่เหมือนเดิม"

   มือที่กุมผมไว้คลายออกเล็กน้อย ถึงจะบอกว่าเล็กน้อยใจผมกลับหล่นวูบ ความกลัวที่พุ่งเข้ามาไม่หยุดหย่อนบอกให้ผมรีบกระชับมือให้มั่นก่อนที่มันจะหลุดออกไป

   "ไม่หรอก..." เสียงเขาอ่อนแรงไม่ต่างจากมือที่กำลังจับผมไว้

   "พี่ก็เป็นแค่ผู้ชายที่พยายามเป็น 'ที่หนึ่ง' อยู่เท่านั้นเอง"

   "อะไรที่ได้มาโดยไม่ต้องพยายามจะมีความหมายอะไรล่ะพี่ จริงไหม?" กลับกลายเป็นวีที่ดูทำท่าทางคนแก่ล้อเลียน "เพราะเราต้องทุ่มเทเพื่อได้มันมา มันเลยมีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด"

   วีหายลับไปกับมุมตึกแล้ว และเราสองคนก็ยังคงไม่ขยับตัวไปไหน ผมโคตรกลัวใจที่หนึ่งตอนนี้มากให้ตายเถอะ แม่งทั้งเงียบทั้งสงัด แล้วนี่มันก็เที่ยงคืนเข้าไปแล้วความมืดรอบข้างมันน่ากลัวเว้ย!

   "ขี้หวงอะไรขนาดนั้น"

   ผมไม่รู้ว่านี่ใช่เวลาที่จะมาแซวรึเปล่า ปกติแล้วที่หนึ่งจะอยู่ในไม่กี่โหมด และนี่เป็นโหมดใหม่ที่ผมเพิ่งค้นพบ

   "..."

   ดูทำเข้า ไม่ยอมตอบอะไรกลับแถมยังทำหน้านิ่งสนิทอีก ผมไม่ใช่พวกสายเอนเตอร์เทนเสียด้วย หรือควรจะเงียบตามไปดีจะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลอะไรอีก

   โอ๊ย แต่พอเงียบอย่างนี้ผมก็ใจไม่ดีนะ!

   "พี่หนึ่ง" ถ้าเป็นปกติผมไม่ยอมเรียกเขาว่าพี่ นี่เล่นแผ่รังสีมาคุเป็นระเบิดที่ตั้งเวลาไว้ขนาดนี้ผมคงไม่เสี่ยงทะเล่อทะล่าเข้าไปกลางวงโดยไม่มีเครื่องป้องกันหรอก

   "ขอโทษครับ"

   "?"

   "ขอโทษที่ทำให้วีรู้นะ โรมไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวแท้ๆ"

   นี่ผมนึกว่าเขาจะอารมณ์เสียเพราะวีเสียอีก ไหงกลายเป็นว่าเขาโกรธตัวเองไปเสียได้

   ...แต่ก็สมกับเป็นที่หนึ่งดี

   "เฮ้ย ไม่เป็นไรๆ" ผมยกไม้ยกมือขึ้นพัลวันเพื่อบอกเขาว่าผมไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรเขาเลย เรื่องวีพอมาคิดดูดีๆ แล้วก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่มันรู้ ในเมื่อเราทั้งคู่เองก็ทำให้ทุกอย่างมันดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ "ก็แค่วีคนเดียวเอง คิดไรมากมาย"

   "แต่ก็ไม่ชอบใช่ไหมล่ะ"

   โหมดจะงอแงก็เล่นเสียสุดเลย ถ้าเขาจะเล่นบทเป็นเด็กคราวนี้ผมก็ต้องเป็นผู้ใหญ่กว่า

   "ก็ไม่ชอบ แต่ทำไงได้ ก็มึงคือที่หนึ่งนี่"

   ลองเป็นที่สองที่ดูจืดๆ จางๆ คงไม่มีเรื่องอะไรอย่างนี้

   "ขอโทษครับ" แม่งกลายเป็นว่าหนึ่งยิ่งจ๋อยหนักเข้าไปอีกว่ะ ที่ผมตั้งใจจะบอกมันคือว่าในเมื่อเขาเป็นคนดัง กระแสสังคมมันก็ต้องอยากรู้เรื่องของเขาอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าผมประชดอะไรเขาเลยนะ

   มือขยับไปไวกว่าความคิด ผมเขย่งตัวขึ้นไปให้ความสูงของเราพอทัดเทียบกันได้แล้วจัดการขยี้ผมที่จัดทรงไว้อย่างดีจนยุ่งเหยิงไม่ต่างจากที่เขาทำกับผมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ที่หนึ่งดูอึ้งไปกับการปลอบในแบบของผม มันตลกมากเลยกับหน้าหล่อๆ ที่กำลังเบิกกว้างมาพร้อมกับผมสีน้ำตาลที่ไม่เป็นทรง

***
ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
«ตอบ #232 เมื่อ01-01-2016 11:45:48 »


   "มึงอะคิดมาก" นิชเคยบอกว่าไม่มีอะไรเป็นกำลังใจดีไปกว่าการยิ้ม "คนเราแม่งขืนสนใจความรู้สึกคนทั้งโลกก็เป็นบ้าตายพอดี"

   ปกติแล้วในกลุ่มเพื่อนมักจะมีคนที่โดดเด่นและคนที่โดนกลบใช่ไหมครับ แล้วดูคนร่วมกลุ่มผมแต่ละคนสิ แบล็ค เน็ท แต่ละรายเป็นพวกแนวหน้าทั้งนั้น และเพราะพวกมันนั่นแหละผมเลยมีภูมิต้านทานในการอยู่ในสังคมมนุษย์ที่เต็มไปด้วยตรรกะเพี้ยนๆ นี้อย่างสงบสุข มันทำให้ผมรู้ว่าการใช้ชีวิตของตัวเองให้คุ้มไม่มีอะไรมากไปกว่าการเป็นตัวของตัวเอง ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองโดนกลบรัศมีอะไร เมื่อตัวเองชอบที่จะอยู่ในโลกที่ไร้ความวุ่นวายผมเลยเลือกที่จะอยู่อย่างนี้

   ถ้าวันหนึ่งต้องเปลี่ยน

   จงเปลี่ยนตัวเอง อย่าให้ใครมาเปลี่ยนคุณ

   เพราะอย่างนั้นถ้าวันนี้ที่หนึ่งเขายอมเดินตามเกมส์ของวี ผมก็คงใช้ชีวิตของผมปกติต่อไป ปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น

   "มึงสนใจแค่กูก็พอ โอเคไหม?"

   "..."

   "ถ้ายังไม่ตอบอีกจะเรียกแบล็คมารับแล้วนะ"

   "ครับ"

   "งั้นก็กลับกันได้แล้ว"

   เสียงแจ้งเตือนว่ามีไลน์เข้าเรียกให้ผมก้มลงมองว่าใครส่งข้อความใหม่อะไรมา


   V : นี่เป็นความลับของเรานะพี่ เหยียบไว้ให้มิดเลยนะเว้ย
   V : ถ้าผิดสัญญาผมจะเอารูปพี่ตอนเผลอลงแม่งทุกวันเลย
   V : วันนี้ผมแสดงละครเป็นการโชว์ความสามารถพิเศษ
   V : แค่หมั่นไส้พี่ที่หนึ่ง ; P


   อดหัวเราะออกมาไม่ได้ สุดท้ายวีก็ยังคงเป็นน้องสายที่น่ารักอยู่ตลอดเวลา

   "ใครส่งอะไรมา?"

   หันไปเห็นหน้าของเขาบูดแล้วก็คิดอะไรสนุกๆ ออกมาได้ ผมส่งยิ้มกว้างให้เขาพลางตอบกลับอย่างอารมณ์ดี "วี"

   จากที่หน้าตาไม่รับแขกอยู่แล้วยิ่งบึ้งเข้าไปใหญ่ แปลกดีที่พอเห็นอย่างนั้นแล้วผมก็หัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ยื่นไปจับมือของเขาไว้แล้วออกเดินนำโดยไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะงอแงแค่ไหน

   เห็นเขาโดนแกล้งบ้างก็สนุกดี
 


[Side : เวลา]

   มนุษย์สามารถอดนอนได้สูงสุดกี่คืนกันนะ

   ไม่รู้ผ่านมากี่คืนแล้วที่ผมข่มตาให้หลับไม่ลง พอหลับตาเมื่อไหร่เสียงไร้โทนดั่งกราฟเส้นตรงก็ก้องในหัว 

   'ฉันชื่อไวท์ค่ะ ไม่ใช่ซิน’

   ไม่รู้จะเปรียบความรู้สึกตอนนั้นกับอะไรดี ประหลาดใจ ตกใจ หรือเสียใจ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ซินเป็นผู้หญิงที่อ่านยากมากคือใบหน้าเรียบเฉยราวกับมีหน้ากากเสมือนจริงประดับอยู่ตลอดเวลา น้อยครั้งจนสามารถนับด้วยนิ้วได้ว่าเธอกำลังหลุดออกจากบทบาทที่แสดงรึเปล่า

   เมื่อรวมเข้ากับนัยน์ตาว่างเปล่าสีดำสนิทแล้วยิ่งทำให้ผมไม่มั่นใจเข้าไปอีก

   แม้อยากจะวิ่งตามแผ่นหลังเล็กๆ นั่นไปแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เธอทำเหมือนกับผมเป็นคนแปลกหน้าที่เข้ามาทักทายทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทำไมซินถึงบอกว่าตัวเองชื่อไวท์... ใครคือไวท์? ผมมั่นใจว่าไม่มีทางทักผิด คนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงตลอดสามเดือน

   ภาพใจกลางบอร์ดไม้ที่หยิบติดมือมาด้วยถูกยกขึ้นในอยู่ตรงกับระดับสายตา พินิจจนถี่ถ้วนแค่ไหนก็ได้คำตอบให้ตัวเองแบบเดิมว่านั่นคือซินตัวจริง ไม่มีทางที่จะมีใครอื่นเหมือนได้อีกแล้ว

   ไม่มีทาง

   "ไวท์รึเปล่า?"

   ตวัดหน้าไปทางคนทัก ที่หนึ่งไม่รู้มายืนซ้อนด้านหลังของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ชี้นิ้วมาที่รูปในมือของผมแล้วเลิกคิ้วเป็นการขอคำตอบ

   ผมยังไม่ให้คำตอบกลับไปในทันที "รู้จัก?"

   "อืม ไอเทมลับสุดยอดของคิง นี่ไปดีลมายังไง" 

   เขาหมุนเก้าอี้ตัวถัดไปให้หันมาทางผม วันนี้เรามีนัดคุยงานบียัวร์กันนิดหน่อยตอนบ่ายสอง ประจวบกับที่ผมนอนไม่ค่อยหลับตลอดคืนเลยออกมาที่สตูดิโอเร็วกว่าเวลานัดไปเกือบชั่วโมง

   "เพื่อน?" ถามออกไปนิ่งๆ ต่างกับใจที่เต็มไปด้วยความหวัง บางทีเขาอาจบอกผมได้ว่าผู้หญิงที่เขาเรียกว่าไวท์เป็นใครกันแน่ แล้วซินหายไปไหน

   "มอปลายเรียนโรงเรียนเดียวกันมา แต่ไม่ได้สนิทอะไร"

   "ชื่ออะไรนะ?"

   "นี่นายเอาเขาเป็นแบบโดยไม่รู้ชื่อรึไง นั่นไวท์ รัตติกาล"

   'ฉันเกลียดรัตติกาล'

   เธอเคยพูดเอาไว้ ว่าเธอเกลียด...ตัวเอง 

   "แล้วไปติดสินบนเท่าไหร่พี่ชายถึงอนุมัติให้ไปถ่ายด้วย"

   สะดุดตรงคำว่าพี่ชาย หวนคิดไปถึงกลุ่มคนที่ผมเผชิญหน้า รอบข้างไม่มีใครอื่นนอกจากเราสองคนและรวมถึงไม่มีใครสูบบุุหรี่ แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงควันสีเทาน่าอึดอัดใจเช่นเดียวกับวันนั้น "เปล่านี่"

   "เห แปลกจัง คนอย่างแบล็คเนี่ยนะ"

   "แบล็คนิติ?"

   คนชื่อแบล็คไม่ได้มีมากมายอย่างแน่นอน และถ้าต้องให้เดาจริงๆ คงไม่พ้นสีดำคณะนิติที่ผมเห็นเขาอยู่กับที่หนึ่งบ่อยครั้ง

   "เวล นี่อย่าบอกนะว่าแฝดเขาไม่รู้เรื่องนี้น่ะ" อาการตกใจแสดงชัด ใบหน้าอีกฝ่ายซีดลงจนน่ากลัว "ตายแน่ บอกเลยงานนี้นายไม่รอด"

   ฝาแฝด...?

   แบล็คกับไวท์ 

   สีดำกับสีขาว

   ทำไมผมถึงไม่คิดเรื่องง่ายๆ อย่างนี้ไม่ออก

   "งั้นคงต้องรีบไปบอก"

   "แล้วที่นัดมาคุยงาน"

   "แคนเซิล เดี๋ยวนัดไปใหม่"

   "เดี๋ยวสิ นี่ฉันเพิ่งมาเองนะ ...เฮ้อ เอาเหอะ ก็พอเข้าใจอยู่ว่าเด็กนิติเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว"

   "ขอบคุณ" ผมส่งยิ้มขอบคุณให้เขา


   ที่หนึ่งโบกมือให้พลางพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจผม ผู้ชายคนนี้จะเป็นคนดีไปไหน เขาเป็นคนที่ผมทำงานด้วยแล้วสบายใจมากที่สุด ไม่เรื่องมาก สั่งอะไรก็ปฏิบัติตามไม่มีบิดพลิ้ว รวมถึงไม่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของผมเลยสักนิด

   เป็นเรื่องที่ผมแปลกใจแต่ก็ไม่กล้าถามออกไปว่าผู้ชายอย่างที่หนึ่งกำลังแพ้ให้กับอะไรอยู่ 

   บ้าบิ่นมากที่บุกมาถึงที่นี่ด้วยตัวคนเดียวในเวลาบ่าย ไม่รู้อีกต่างหากว่าเขาอยู่ที่นี่หรือเปล่า แบล็คหรือราชาสีดำตามที่ผมเคยได้ยินมา เขาเองดังในชั้นปีสามพอควร มีหลายครั้งที่สตาฟอยากได้มาช่วยทำงานมหาวิทยาลัยแต่ก็โดนปฏิเสธตลอด อ้างว่าตัวเองไม่ชอบกล้องกี่ครั้งก็ยังมีคนดึงดันที่จะเข้าไปลากออกมาทำงานให้ได้ ผมเองเคยได้ยินแต่ชื่อไม่เคยเจอตัวจริงของเขามาก่อน มีเดือนมหาลัยปีผมเคยพูดไว้ว่าถ้าแบล็คลงแข่งแล้วที่หนึ่งไม่ยอมถอยให้เขาเองคงเป็นได้แค่ที่สาม 

   ถ้ารู้อย่างนี้ผมจะหาข้อมูลเกี่ยวกับเขาตั้งแต่เข้ามาใหม่ๆ จะได้เจอกับเธอได้เร็วกว่าที่ควรเป็น 

   เจอน้องชุมนุมโฟโต้ที่อยู่คณะเดียวกับเขาพอดี เขาบอกผมว่าคนที่ผมตามหาอยู่บนห้องสมุดของคณะเป็นประจำในเวลานี้ เด็กคณะนี้กับห้องสมุดเป็นของคู่กันอยู่แล้วนี่นะ บนชั้นห้าในเวลาบ่ายเกือบเป็นห้องร้าง ผมไล่ตามห้องประชุมขนาดเล็กตั้งแต่ห้องแรกจนเจอเขานั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวในห้องรองสุดท้าย 

   ผู้ชายที่มาพร้อมความน่ายำเกรงอย่างเขาเด่นกว่าคนอื่นจะตายไป 

   เคาะประตูก่อนเปิด คนตรงหน้าเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่ผมเคยเจออย่างแน่นอน เป็นที่มั่นใจได้แล้วว่าซินกับไวท์คือผู้หญิงคนเดียวกัน เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมครู่หนึ่งถึงก้มหน้าลงไปขีดเขียนอะไรในหนังสือ ห้องอยู่ในความเงียบ เสียงพลิกหน้ากระดาษ

   ไปมาเป็นเหมือนการวัดระดับความอดทนของผม

   "ขอคุยอะไรด้วยหน่อย"

   "ผิดห้องรึเปล่าครับ พอดีผมจองห้องนี้ไว้ถึงห้าโมง"

   สุขุมขึ้นเยอะ แล้วก็ร้ายลึกกว่าเดิมจนรู้สึกได้จากคำพูด

   "ไม่"

   "งั้นคงต้องปฏิเสธ"

   "ผมมาหาคุณ ครึ่งชีวิตของสีขาว"

   เข้าใจแล้วว่าทำไมวันนั้นเขาถึงแนะนำตัวผมด้วยชื่อนี้ ชื่อที่ดูอย่างไรก็ไม่อาจเป็นชื่อเล่นได้อย่างแน่นอน 

   "ผมว่าผมไม่ได้นัดใครไว้นะ" 

   "เกิดอะไรขึ้นกับซิน" 

   "ใครคือซิน?"

   ข้างหนังสือเล่มหนาคือลูกเทนนิส เขาวางปากกาลูกลื่นสีดำสนิทลงกับสมุดจด หยิบลูกสักหลาดขึ้นมาแล้วตีลงกับพื้นจนเป็นจังหวะที่น่ารำคาญใจ

   "แล้วถ้าผมถามหาผู้หญิงที่ชื่อรัตติกาลล่ะ"

   "..." เสียงลูกบอลกะทบกับพื้นปูนเป็นจังหวะเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน ผมยืนนิ่งไม่ตอบโต้อะไรเพราะเคยเห็นฤทธิ์เดชของอีกฝ่ายมาแล้ว ถ้าจะเล่นกับไฟใจต้องสงบ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นตัวเองที่โดนไฟคลอกเอา

   "ผมหวงน้อง ขอโทษทีนะ" ดูท่าแล้วถ้าไม่เล่นไม้แข็งอีกฝ่ายคงไม่ยอมเป็นแน่

   ขอโทษนะซิน...

   ผมรู้ดีว่าไม่ควรเอาเรื่องนี้มาพูด

   "แม่สอง"

   การเดิมพันได้ผล ร่างของเขาชะงักไปชั่วครู่ ไม่มีเสียงลูกบอกอีกแล้ว ผมเลยเสี่ยงครั้งที่สองเพื่อบอกให้เขารู้ว่าผมเองมีอำนาจต่อรองที่มากไม่ต่างกัน "หรือจะเอาเรื่องของล..."

   ลูกบอลที่กระแทกกับผนังหลังจากเฉียดหน้าผมไปคือการเตือนให้ผมหยุด ตามองตามลูกเทนนิสสีเขียวที่กลิ้งกลับไปทางต้นแรงโดยไม่กลับไปสบตากับเจ้าของลูก แม้จะรู้สึกแสบตรงข้างแก้มมากแค่ไหนก็ไม่สามารถที่จะแสดงออกได้ ถ้าให้ผมเดาเขาไม่ได้ปาพลาด

   เขาจงใจปาให้ใกล้กับผมมากที่สุด

   "หุบปากไปซะ”

   กลิ่นบุหรี่คละเคล้ากับรอยน้ำตา การอวยพรที่ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะ

   "มันมากพอที่จะพิสูจน์ว่าผมและคุณต่างก็รู้จักผู้หญิงที่ชื่อว่าซินหรือยัง?"

   ไม่ต้องขยับร่างกายให้มากความ เป็นเขาเองที่ขยับตัวเข้ามาใกล้ผม ความสูงของเราห่างกันอย่างมากก็แค่สองเซนต์ มันเลยทำให้สายตาของเราประสานกันอย่างที่ไม่มีใครยอมใคร แย่ที่สุดคือผมคุ้นเคยกลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้เหลือเกิน... กลิ่นหวานแปลกที่ติดตัวซินเสมอ

   "ผู้หญิงที่ต้องมาแบกรับกรรมที่เธอไม่ได้ก่อ"

   "..."

   "คนบาปที่ไม่เคยปกป้องใครไว้ได้"

   "เล่าจบแล้วใช่ไหม?" เสียงลอดไรฟันของเขาบอกผมเป็นนัยว่าให้หยุดเสียที

   "คุณจำไม่ได้รึไงว่าใครคือคนที่หนีไปกับซินน่ะ"

   หน้าหันไปตามแรงกระทบ ความเจ็บแล่นร้าวตามมาจนหัวตื้อไปช่วงขณะ ผมค้างนิ่งไว้อย่างนั้น และเป็นอีกครั้งที่เขาขยับตัวเขามาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจเฉียดข้างแก้ม

   "หมัดเมื่อกี้ถือว่าแลกกับคำตอบ" ผมเหมือนเห็นภาพเธอซ้อนกับพี่ชาย ยามที่ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก "ศีรษะกระแทกอย่างแรง ซี่โครงหักไปสามซี่ รอยช้ำตามตัวอีกนับไม่ถ้วน" 

   "!!!" 

   "รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสามเดือนจนเกือบต้องดรอปเรียนไปหนึ่งเทอม" 

   เขาหัวเราะในลำคอ ความหวานของกลิ่นเครื่องหอมเพิ่มความคลื่นเหียนได้อย่างดี

   "ที่คุณถามผมว่าทำไมเธอถึงทำเหมือนไม่เคยรู้จักกับคุณมาก่อนนั่นน่ะ... ความจริงหมอบอกว่าไม่มีผลอะไรต่อสมองหรอก"

   "..."

   "...แต่ไวท์จำไม่ได้ว่าตัวเองหายไปไหนมา"

   เหมือนกับโลกหยุดหมุน และร่างของผมกำลังด่ำดิ่งสู่ศูนย์กลางจักรวาลที่ไร้แรงโน้มถ่วง

   เป็นไปได้ยังไง 

   "เพราะอย่างนั้นกรุณาออกไปสักที"

[End : เวลา]


***
   สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้เป็นอีกหนึ่งปีดีๆ ของทุกคนเลยนะคะ /โค้งงามๆ
   แล้ววันนี้ก็เป็นวันเกิดของที่หนึ่งด้วยค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะพ่อพระเอกที่น่าสงสารของเจ้า (หัวเราะ) ไว้หลังจากนี้จะให้น้องโรมน่ารักขึ้นบ้างเป็นของขวัญแล้วกันนะ (ฮา)
   พาร์ทเวลกับแบล็คทำเจ้าเขวไปเลยค่ะ อยู่ดีๆ ก็เกิดความคิดอยากสลับคู่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น รู้สึกว่าเวลาสองคนนี้มาเจอกันมันเข้ากันแปลกๆ... /หลบมุม หลังจากตอนนี้ไปคงได้เปิดเผยเรื่องราวของกลุ่มประหลาดกลุ่มนี้มากขึ้นแล้วล่ะค่ะ เราจะเข้าสูุ่ช่วงกลางของเรื่องกันได้แล้วล่ะ นี่บอกว่าปิดเทอมคงได้แต่งเก็บไว้สรุปก็ไม่ต่างอะไรจากเปิดเทอมเลยค่ะ โดนลากออกนอกบ้านเสียจนไม่ต้องแตะคอม ยิ่งพิมพ์ช้าๆ อยู่ด้วย โฮ...
   ไม่รู้ว่าเจ้าคิดไปเองรึเปล่าว่าอากาศกลับมาหนาวหน่อยๆ ยังไงก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
«ตอบ #233 เมื่อ01-01-2016 13:33:52 »

รุกหนัก

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
«ตอบ #234 เมื่อ01-01-2016 14:09:03 »

ชอบแบล็คที่สุด  :กอด1: ใครจะเป็นคู่ของราชาสีดำกันหนอ
สุขสันต์ปีใหม่คนเขียนนะคะ มีความสุขมาก ๆ จ้า  :L1:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
«ตอบ #235 เมื่อ01-01-2016 14:19:02 »

สวัสดีปีใหม่

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
«ตอบ #236 เมื่อ01-01-2016 15:58:29 »

เป็นเรื่องที่ปมเยอะมาก และนศ.ทำตัวเครียดมากเหมือนอายุ40กันแล้ว

xD

ออฟไลน์ Aimiya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
«ตอบ #237 เมื่อ01-01-2016 18:02:48 »

อ่านแล้วชอบคู่ที่หนึ่งกับน้องโรมมากๆ น่ารักอ่ะ ><

ออฟไลน์ Ferin1A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
«ตอบ #238 เมื่อ02-01-2016 23:37:15 »

แบล็กเวลก็ดีนะคะ  หรือเวลแบล็ก  ? ทำไมเหมือนแบล็กจะเป็นเคะ?  สรุปพี่ชายน้องโรมนี่เคะยกแก้งค์หรอคะ555555
ชอบนายวีด้วย หาใครกวนประสาทน้องโรมได้เท่านายวีไม่มีอีกแล้ว555555 ทุกคนพร้อมสปอย

ออฟไลน์ Youi_chin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 166
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
«ตอบ #239 เมื่อ03-01-2016 16:02:42 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด