พิมพ์หน้านี้ - "ที่หนึ่ง" : END

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: 23August ที่ 03-09-2015 00:55:45

หัวข้อ: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 03-09-2015 00:55:45
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

23August's World

- เรื่องยาว -
"ที่หนึ่ง" (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48590.0) • ♚ PITCH BLACK ♛ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53263.0) • | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57367.0) •  × ไม่มีความจริงในความจริง × (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66291.0)
Now Loading
มิอาจก้าวล่วง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67260.0)

- เรื่องสั้น -
FREEZE | FLY (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50166.0) • With Love, ด้วยรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55144.0) • ﹉ RESTART ﹍ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61080.0) • สมุดกระจก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64163.0) • ROOM (ex) MATE (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66976.0) • E I L V (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69445.0)
 

หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทนำ [03.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 03-09-2015 01:00:24
“ที่หนึ่ง”

บทนำ

     คุณคิดว่า ‘ชื่อ’ มีความสำคัญกับชีวิตมากขนาดไหนครับ?
      
     เป็นสิ่งที่พ่อแม่ตั้งขึ้นมาเพราะมีข้อกฎหมายกำหนดว่าทุกคนต้องมีชื่อ

       หรือเอาไว้แนะนำตัวเองให้คนอื่นรู้จัก

     หรือเพื่อให้เพื่อนเอาไปเปลี่ยนจนดูพิลึกพิลั่น

       ...หรือมีไว้เพื่อรอใครสักคนมาเรียก คนที่ทำให้รู้สึกว่า ‘ชื่อ’ ของคุณพิเศษกว่าใคร



    ผู้ชายคนนั้นชื่อ ‘ที่หนึ่ง’

    แปลก ไม่คุ้นหู แต่จำง่าย ผมเคยได้ยินชื่อเขาครั้งแรกตอนสมัยมัธยมต้น ในการแข่งขันทางวิชาการอะไรสักอย่าง จำได้ว่าคำแรกที่โผล่ขึ้นมาในหัวคือ ‘พ่อแม่คิดอะไรอยู่ตอนตั้งชื่อ’ และแน่นอนว่าการแข่งครั้งนั้นเขาก็ได้เป็นที่หนึ่งสมชื่อ โดยผมได้เพียงรางวัลชมเชยปลอบใจ

    นั่นคือจุดเริ่มต้นของชื่อแปลกที่วนเวียนอยู่รอบตัวผม ไม่ใช่ว่าเราจะได้พบปะคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวหรอกนะ หรือจะพูดตามตรงคือเราไม่ได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ มีแต่ผมที่จะได้ยินชื่อเขาในการประกวดต่างๆ เสียมากกว่า จนเคยมีคนในโรงเรียนพูดกันว่า ถ้าที่หนึ่งลง ...ก็จงหวังแค่ที่สองพอ

    วิชาการเป็นเลิศ

    นักกีฬาดีเด่น

    นักดนตรีของโรงเรียน

    ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้ ฟังดูน่าอิจฉา แต่ผมไม่เคยอิจฉาเขาหรอก อย่างมากก็แค่เอามาพูดขำๆ ว่าจะเอารางวัลไปแปะเป็นวอลเปเปอร์ที่บ้านเหรอ เพราะเราสองคนอยู่กันคนละมิติสุดๆ ไปเลยล่ะ

    จบชั้นมัธยมปลาย ได้เวลาเข้ามหาวิทยาลัย ผมเลือกที่จะแอดมิชชั่นในมหาวิทยาลัยมีชื่อชานเมือง ชื่อที่หนึ่งก็ยังคงตามมาหลอกหลอนด้วยตำแหน่งเดือนคณะ กับรองเดือนมหาวิทยาลัย เรียกได้ว่าหลายๆ คนที่ผมรู้จักแปลกใจไม่ใช่เล่นที่เขาเลือกที่นี่ แทนที่จะเป็นทุนเต็มจำนวนในมหาวิทยาลัยกลางใจเมือง

    จนกระทั่งผ่านมาถึงปีที่สามของชีวิตนักศึกษา ‘ที่หนึ่ง’ ก็ไม่ได้เป็นเพียงชื่อคุ้นหูอีกต่อไป

    ในวันที่เขาเดินเข้ามาหาผมด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

    “ผมชื่อที่หนึ่ง” ประโยคแรกที่ออกมาจากปากของเขาคือการแนะนำชื่อที่ผมรู้อยู่แล้ว

    “ผมอยากเป็น ‘ที่หนึ่ง’ ของคุณ”

    และนั่นคือประโยคที่สองที่เปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาล...
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทนำ [03.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: lonesomeness ที่ 03-09-2015 01:43:28
เย้ย ชอบๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทนำ [03.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-09-2015 03:39:27
รออ่านอีก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทนำ [03.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 03-09-2015 07:41:25
ปูเสื่อค่ะะะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทนำ [03.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: we.jinkyu ที่ 03-09-2015 08:02:44
 :pighaun: น่า น่าติดตามมากคะ
มาต่ออีกเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทนำ [03.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 03-09-2015 08:06:59
เอาอีกๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทนำ [03.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 03-09-2015 09:39:44
ทำไมต้องทำหน้าเครียดอะ 5555
อห. กรี๊ดไปดิ เดินมา อยากเป็นที่หนึ่งของคุณ (-/////
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทนำ [03.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 03-09-2015 12:58:17
อัยย่ะ! อยากเป็นที่หนึ่งของคุณ  :impress2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทนำ [03.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 06-09-2015 22:22:34
มันโดนใจ
ติตามจร้า
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทนำ [03.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Pithchayoot ที่ 06-09-2015 22:31:05
รอจร้า   ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทนำ [03.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Meimei ที่ 06-09-2015 22:45:07
รอตอนต่อไปค่ะ
 o13
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทนำ [03.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: tararatart ที่ 06-09-2015 22:57:07
กรี๊ดสลบ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทนำ [03.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 06-09-2015 22:59:06
รออ่านต่ออออ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทนำ [03.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 06-09-2015 23:16:39
ทำไมชอบบบบ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 07-09-2015 00:33:50
บทที่ 1

   ความยุติธรรมคืออะไร?

   ผมก้มลงมองอักษรสีดำที่เรียงตัวเป็นระเบียบอยู่บนแผ่นกระดาษ แม้ภาคการศึกษาใหม่เพิ่งเปิดมาได้เพียงสองวันเท่านั้น การบ้านก็เริ่มกองทับถมจนผมเห็นอนาคตของตัวเองในอีกหนึ่งเทอมข้างหน้ารำไร

   “นี่ต้องเข้าฌานไปถามพระเจ้าฮัมมูราบีรึเปล่าวะ” พึมพำกับตัวเองแบบไม่ใส่มากนัก ผมกวาดสายตาดูรายละเอียดการส่งงานที่อยู่ส่วนท้ายของกระดาษแล้วเก็บมันลงในกระเป๋าเป้ ผมกดปุ่มโฮมของโทรศัพท์ หน้าจอที่สว่างขึ้นมาบอกเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ไอ้แบล็คเลทตามเคย

   เลื่อนสไลด์หน้าจอแล้วกดเลขสี่ตำแหน่งอย่างคุ้นเคย เปิดแอปพลิเคชั่นเกมส์แคนดี้ครัชขึ้นมาเล่นเพื่อฆ่าเวลา เพื่อนผมหลายคนไม่ชอบเล่นเกมส์นี้ด้วยเหตุผลว่ามันจำกัดเพียงแค่การเล่น 5 ครั้ง แล้วต้องรอเป็นชั่วโมงกว่าจะเล่นต่อได้ ต่างจากผมที่ออนไลน์ไว้ทำให้มีคนส่งหัวใจมาให้เสมอ เพราะงั้นมันเลยเป็นเกมส์ที่ผมเสพติดสุดๆ เลยล่ะ

   “ว่าไงเด็กติดเกม”

   เสียงที่คุ้นเคยมาพร้อมกับถุงพลาสติกขนาดเล็กหล่นตุบลงหน้า ผมกดหยุดแล้วเงยหน้ามามองคนมาใหม่ ผู้ชายผมดำตัดสั้น ใบหน้าติดบึ้ง และท่าทางของเขาบอกชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังอารมณ์ไม่ดี

   “ช้า”

   ทักทายกลับสั้นๆ แล้วหันมาให้ความสนใจกับถุงเล็กสีฟ้า ลูกอมรสนมเปรี้ยวแบบที่ผมชอบ

   “เออ รู้น่า”

   “มีอะไรรึเปล่า”

   ใบหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดบอกผมว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ

   “นิดหน่อย” เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พลางคว้าแก้วน้ำของผมไปดื่ม ระดับน้ำที่พร่องไปมากทำให้รู้ว่าเขาคงเจออะไรที่แย่มามากพอสมควร

   “อาจารย์ม่า?”

   “ไม่ใช่”
   
   “หนังสือหมด?” เปิดเทอมอย่างนี้คณะนิติศาสตร์ของแบล็คไม่เคยมีหนังสือเพียงพอต่อความต้องการของนักศึกษาเสมอ หมอนี่เป็นพวกไม่เคยแพ้ในสนามแข่งน่ะ

   “ไม่”

   เมื่อการคาดคะเนของผมผิดพลาดทั้งหมด ก็ไม่รู้จะเดาต่อไปทำไมให้เสียเวลา ผมยังคงแกะห่อลูกอมแล้วยัดเข้าปากเรื่อยๆ ตามความเคยชิน รอจนกว่าคนที่นั่งข้างๆ จะอารมณ์ดีขึ้นแล้วค่อยกลับบ้าน

   ผมกับเขากำลังนั่งอยู่ตรงม้าหินข้างตึกเรียนรวม โชคดีที่วันนี้เมฆมากเลยไม่ค่อยมีแดด ช่วงเวลากลางวันเต็มไปด้วยนักศึกษาเดินขวักไขว่ สายตาผมกวาดไปเรื่อยเปื่อยจนสะดุดกับภาพไวนิลขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกำแพงฝั่งตรงข้าม บนไวนิลปรากฏภาพครึ่งตัวบนของผู้ชายที่ผมคุ้นเคย

   โครงหน้ามนได้รูปไม่มีที่ติ ผมสีดำถูกเซ็ตให้ลู่ลงเล็กน้อย นัยน์ตาสวยคู่นั้นมองตรงมาจนเหมือนกับเขากำลังสบตากับทุกคนที่ให้ความสนใจรูปนี้ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากที่กำลังกัดน้อยๆ ภาพที่ถูกปรับให้เป็นขาวดำพร้อมตัวอักษรที่อ่านได้ว่า

   Be yours - [Teenueng]

   “Be yours...” ทวนคำที่เขียนกับตัวเอง แคมเปญใหม่ของมหาลัยเหรอ

   เสียงมือกระแทกกับโต๊ะดังจนผมสะดุ้ง หันมาหาคนที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม

   “มึงอย่าพูดคำนั้นให้ได้ยินได้ป่ะ”

   “บียัวร์”

   “กวนตีน”

   “มึงนั่นแหละมาถึงก็ทำตัวประหลาด อย่าคิดว่าเอาขนมมาล่อกูได้นะ”

   ถึงแม้ผมจะซัดลูกอมถุงนี้หมดเกลี้ยงไปแล้วก็ตามเถอะ

   “เหอะ” พอแบล็คเห็นว่าผมจัดการขนมหมดแล้ว เขาก็ก้มลงไปค้นในกระเป๋าสะพายของตัวเอง โยนถุงแบบเดิมมาให้ผมอีกครั้ง “แดกให้แลตโตบาซิลัสเข้าสมองแล้วหุบปากไปซะ”

   “มึงน่าจะให้กูหมดตั้งแต่ต้น”

   “กูไม่มีทางเสียเงินให้ขนมปัญญาอ่อนของมึงเกินห้าบาทหรอก”

   ผมยกซองขึ้นโบกไปมา “แต่มึงก็เสียไปแล้วนะจ๊ะ อิอิ”

   “ไอ้เอ๋อโรม ใครว่ากูซื้อเอ...” ระหว่างที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาแกะห่อ เพื่อนสนิทที่สุดของผมก็หยุดพูด แล้วเปลี่ยนจากคำพูดเป็นผลักหัวผม แม่งเมนส์มาแน่ๆ ทำตัวเหวี่ยงไปรอบทิศอย่างนี้

   “คนนึงแม่งก็เพี้ยน คนนึงก็ไร้อารมณ์ เออเจริญ” ผมหมายถึงไวท์ ฝาแฝดของหมอนี่น่ะครับ ยัยนั่นน่ะไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไรกับใครเขาเท่าไหร่ จนผมคิดว่าโครโมโซมเรื่องอารมณ์แบล็คมันต้องขโมยมาหมดตอนอยู่ในท้องแหงๆ

   “อย่ามาว่าแฝดกู”

   แสดงความหวงออกมาด้วยการปาลูกอมเข้าหน้าผมเต็มๆ เฮ้ย ผมชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ

   “มึงเป็นบ้าไรเนี่ยยย”

   “กูไม่สบอารมณ์ แม่งเอ๊ย” น้ำเสียงเจือไปด้วยความหงุดหงิด มันยกมือขึ้นยีผมสั้นๆ ของตัวเองไปมาจนยุ่ง “มันจะกลับมาอีกทำไมวะ”

   คำพูดที่หลุดปากออกมาทำให้ผมปิดปากเงียบ รู้ได้โดยทันทีว่าอะไรที่ทำให้ ‘ราชา’ อย่างสีดำเก็บอารมณ์ไม่อยู่ขนาดนี้

   เรื่องบางเรื่องมนุษย์เราเลือกที่จะกดมันลงไปให้ลึกที่สุด โดยลืมคิดไปว่าไม่ว่าจะลงไปลึกแค่ไหน ...มันก็ไม่มีทางหายไป

   “ทำอย่างกับจะห้ามได้..” ผมพึมพำกับตัวเอง ความทรงจำกำลังย้อนกลับไปเวลานั้นที่ผมอยากลืม

   “เพราะห้ามไม่ได้ไง”

   สมกับเป็นผู้ชายที่ปากดี เอ๊ย หูดี ขนาดผมพูดกับตัวเองเบาๆ ก็ยังตอบกลับมาได้ แบล็คเคาะนิ้วลงกับโต๊ะหินเป็นจังหวะ เป็นสัญญาณว่าเขาตกอยู่ในห้วงความคิดที่ไม่ควรเข้าไปรบกวน ผมเลยหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้งตั้งใจว่าจะเล่นเกมต่อ เหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษที่ผมเพิ่งเก็บลงไปไม่นาน เออว่ะ ในเมื่อเด็กนิติอยู่ตรงนี้ก็ถามเลยแล้วกัน

   ผมหยิบแผ่นกระดาษเอสี่ขึ้นมาอีกครั้ง วางมันลงตรงหน้าของคนที่ยังคงจับจังหวะได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน เดี๋ยวมันเลิกฟุ้งซ่านแล้วค่อยถาม

   “ไม่มีจริง”

   “?”

   หลังจากผ่านด่านไปได้สามด่านรวด เสียงที่คุ้นเคยก็กระทบโสต ผมหันมามองคนที่สะบัดแผ่นสีขาวไปมาแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นสูง นี่มันยังสติไม่กลับมารึเปล่า?

   “ความยุติธรรม คือสิ่งที่ไม่มีจริง”

   “นี่คือคำพูดที่ควรออกจากปากเด็กที่เรียกกฎหมายเหรอวะ”

   “งั้นมั้ง” แบล็คปล่อยกระดาษลงกับโต๊ะอย่างแยแส “กลับกันเหอะ”

   ใช้เวลาชั่วเสี้ยววินาทีคว้ากระเป๋าเป้ ยังไม่ทันที่ผมจะกดออกจากเกมคนที่เป็นสารภีก็เดินลิ่วๆ ไปไกลแล้ว ผมรีบเก็บข้าวของลงเป้ แต่ยามที่เงยหน้าขึ้นมาเตรียมหาเจ้าของอารมณ์แปรปรวนแล้วสายตาผมกลับหยุดอยู่ตรงแผ่นไวนิลแผ่นเดิม มันมีอะไรสักอย่างที่ผมรู้สึกขัดใจในภาพ รูปนี้เป็นรูปที่สวย แต่ผมกลับรู้สึกว่าภาพนี้ขาดอะไรไป

   อยากจะยืนมองอีกสักพัก ให้ความรู้สึกข้องในใจนี้หายไป น่าเสียดายที่ผมไม่มีเวลาขนาดนั้น ไม่รู้ป่านนี้คุณชายจะพิโรธไปถึงไหนแล้ว ผมเลยต้องรีบก้าวยาวๆ ไปตามทางที่นำไปยังลานจอดรถ อีโค่คาร์ห้าประตูถูกสตาร์ทไว้เรียบร้อยบ่งบอกว่าพร้อมจะเคลื่อนที่ทุกเมื่อ เพื่อไม่ให้โดนด่าจากการสร้างมลพิษทางอากศผมต้องรีบเปิดประตูแล้วนั่งลงตรงข้างคนขับ

   แบล็คเปลี่ยนเกียร์แล้วเริ่มออกรถ ไม่รู้ว่าเมฆจะเคลื่อนที่เร็วไปไหนตอนนี้เลยกลายเป็นแสงแดดแยงตาจนน่ารำคาญ ผมยกมือขึ้นไปเลื่อนที่บังแดดลงมา กระจกที่ติดไว้ภายในกำลังสะท้อนนัยน์ตาสีดำสนิทของผม อา... ผมว่าผมรู้แล้วล่ะ

   “เฮ้ย หันหน้ามาดิ๊”

   สะกิดคนข้างๆ มันหันมาหาอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่คิดว่าผมจะสนเหรอ

   พิจารณาสมมุติฐานที่ค้างอยู่ในใจ สิ่งที่ผมมองเห็นยิ่งเป็นข้อสนับสนุนว่าผมกำลังหาคำตอบให้ตัวเองได้แล้ว

   “อะไรของมึง”

   “มองถนนไป จะชนแล้วฟาย”

   เมื่อไร้ประโยชน์ก็ไล่มันให้กลับไปมองถนนต่อ ไม่สนใจว่าจะมีเสียงก่นด่าตามมามากแค่ไหน ผมเอนตัวลงกับเบาะปรับแต่ง เงยหน้าขึ้นไปมองภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกอันเล็กอีกครั้ง ที่ผมคิดว่าผมรู้คำตอบแล้ว คือคำตอบของคำถามที่เพิ่งเกิดขึ้นในใจเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อน อะไรที่ผมคิดว่ามันขัดในรูปแผ่นใหญ่

   ‘สายตา’ ของคนในรูป

   ทั้งๆ ที่โปรไฟล์ระดับมันผมว่าไม่มีใครหน้าไหนกล้าปฏิเสธลง แต่สายตาที่แสดงออกผ่านรูปเต็มไปด้วยความเว้าวอน เขาเหมือนกำลังร้องขออะไรสักอย่าง

   ซึ่งอาจเป็นคำที่อยู่บนนั้น

   - BE YOURS –

   เขากำลังร้องขอให้ตัวเองได้เป็น ‘ของคุณ’


***

   สวัสดีค่ะ โอ่ย เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากๆ เป็นสมาชิกใหม่ในเล้า ชื่อ 'เจ้า' ค่ะ /โค้งงามๆ
   ไม่รู้จะพิมพ์อะไรดี ก็ขอฝาก "ที่หนึ่ง" ไว้ด้วยนะคะ <3
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-09-2015 02:37:47

รอเพิ่มเติมอีก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 07-09-2015 03:31:30
ที่หนึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่สุดเหรอคะเนี่ยยยยย
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 07-09-2015 06:32:29
สั้นนนนน


ขอยาวๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 07-09-2015 06:42:06
ตอนหน้าต้องยาวนะะะัั -////-
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-09-2015 07:25:11
ยังไงกันน้อ... ทำไมแบล็คต้องหัวเสียขนาดนั้นด้วย
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 07-09-2015 07:59:39
อ่านแล้วน่าติดตาม แต่ งง  มาต่อไวๆ ยาวๆ นะคะ รออ่านค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: phana_qbz ที่ 07-09-2015 08:37:01
ชอบๆ น่าติดตามมาก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 07-09-2015 10:00:02
สะดุดุตรงที่ สายตา
เขากำลังร้องขอให้ตัวเองได้เป็น ‘ของคุณ’  :-[ เขิน
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: milky way ที่ 07-09-2015 10:55:36
+1 เป็นกำลังใจให้น่ะค่ะ
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetCha ที่ 07-09-2015 22:53:21
 :impress2: :impress2: ชอบมากเลย  จะติดตามไปจนจบนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 08-09-2015 00:00:12
นี่หลงป้ายหรออออ?? :hao7:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: kkmm ที่ 08-09-2015 00:16:48
รอครับ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 08-09-2015 00:23:57
ลุ้นต่อไป
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 08-09-2015 00:31:01
รออีกค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 08-09-2015 00:47:53
อยากจะเป็นของใครละจ้ะ อุ้ยย เขิน
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1 [07.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 08-09-2015 02:11:33
ถึงกับอ่านสองรอบเพราะ งง  อืมมมม ตอนนี้ก้อยัังงง แบล๊คนี่คือชื่อเล่นที่หนึ่งหรอ? หรืออะไรยังไง?
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 12-09-2015 23:24:55
บทที่ 1.2

   ผมกำลังคิดทฤษฎีว่าด้วยอากาศเปลี่ยนทำให้อารมณ์คนเปลี่ยน

   โดยเฉพาะกับคนรอบข้าง

   เช้าวันเสาร์ที่ควรจะสงบสุขเต็มไปด้วยเสียงของหนักกระแทกลงกับพื้นย้ำๆ จากห้องชุดถัดจากห้องของผมดังมามากกว่าสองชั่วโมงแล้ว ตามมาด้วยเสียงตอกตะปู ก่อนจะตบท้ายด้วยเสียงโครมครามปนเปจนคาดเดาไม่ได้ว่ามาจากการกระทำไหน

   น่าแปลกใจที่เจ้าหน้าที่คอนโดยังไม่ขึ้นมาด่า หรือบางทีพอเขารู้เลขห้องก็ไม่กล้าขึ้นมาเตือนก็ไม่รู้ เพื่อนผมมันยิ่งทำตัวน่ารัก(?) อยู่ด้วยสิ

   “หนวกหูว้อยยย!”

   พยายามหลอกตัวเองว่าอีกแป๊บเดียวเสียงก็คงไม่มีแล้ว แต่ไม่ว่าจะปลอบใจตัวเองนานเท่าไหร่เสียงโครมครามก็ไม่ยอมหยุดไปเสียที จนในที่สุดผมเองก็เลือกที่จะไม่ทน เดินออกจากห้องตัวเองไปยังห้องที่อยู่ข้างๆ เปิดประตูโดยไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาต ปรากฎภาพคอนโดขนาดเล็กที่มีการจัดเป็นสัดส่วนมีข้าวของกระจัดกระจาย ทั้งอุปกรณ์การช่าง เศษไม้ ถุงพลาสติก และขยะอีกหลายอย่าง

   เสียงตอกตะปูยังคงดังต่อเนื่อง ดูท่าว่าเจ้าของห้องยังไม่รู้ว่าผมเข้ามาหา ตรงกลางห้องนั่งเล่นเป็นพื้นที่ที่รกมากที่สุด เห็นเรือนผมสีดำที่คุ้นเคยอยู่ด้านหลังจากแผ่นไม้ขนาดใหญ่ นี่เจ้าคุณพระนางกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย!? แม้จะแปลกใจที่เห็นแฝดคนน้องแทนที่จะเป็นแฝดคนพี่ ผมก็ไม่มีมารยาทกับใครทั้งนั้นแหละครับ จัดการดึงสายหูฟังที่กั้นเธอจากโลกภายนอกออกอย่างรวดเร็ว

   ใบหน้าเรียบเฉยมองขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจนัก เค้าหน้าที่ไม่ค่อยเหมือนกันมากเท่าไหร่ของฝาแฝดคู่นี้ทำให้ไม่ค่อยมีคนรู้ถึงความสัมพันธ์ ใบหน้ารูปไข่แบบผู้หญิง นัยน์ตาสีดำที่ว่างเปล่าต่างจากของพี่ชายที่เต็มไปด้วยแววซุกซนสบตาของผม

   “มาทำอะไร”

   ผมนี่อยากจะทรุดตัวลงตรงนั้นเสียให้ได้เมื่อได้ยินคำทักทายแรก ไวท์ เพื่อนสนิทอันดับหนึ่งของผม (ซึ่งเป็นอันดับเดียวกับแบล็ค) ก็วางค้อนขนาดใหญ่ที่ไม่เข้ากับข้อแขนลง

   “ยัยตัวปัญหา” ผมไม่มีคำอื่นที่จะอธิบายจริงๆ ครับ

   “ไม่มีอะไรก็กลับห้องไป”

   “มี!”

   “ว่ามา” เธอยังคงไม่ยี่หระกับอาการโมโหของผม

   “ทำบ้าอะไรเสียงดังไปหมดฮะ!”

   “ชั้นวางหนังสือ” ชี้นิ้วไปทางกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่พิงไว้กับเสา ดีจ้ะแม่คุณ

   ผมไม่ชอบคุยกับไวท์ ไม่ใช่ว่าเกลียดอะไร เธอเป็นเพื่อนที่ยิ่งกว่าคำว่าสนิทในความเป็นจริง แค่มีโลกที่ ‘ส่วนตัว’ เกินไปหน่อย คำว่าไร้อารมณ์อาจไม่ถูกต้องนักถ้าใช้นิยามตัวเธอ เรียกว่าเฉยชาอาจเข้าท่ามากกว่า เพราะเธอไม่เคยสนใจว่าการกระทำของตัวเองจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนมากแค่ไหน มันเลยเป็นเรื่องปกติที่ผมกับแบล็คจะต้องตามเก็บกวาดผลงานที่เธอสร้างไว้

   “ทำไมไม่เรียกช่าง แล้วนี่เราไม่ได้อยู่บ้านนะไวท์ ห้องข้างๆ ได้ด่าเปิงพอดี”

   “อยากต่อเอง”

   ยกสองผมก็ยังแพ้ให้กับจอมเอาแต่ใจอย่างหมดท่า

   “ช่างเหอะ รีบๆ ต่อแล้วกัน”

   ไม่อยากจะเสวนาให้เส้นเลือดในสมองต้องทำงานหนักมากกว่านี้ ผมเลี่ยงตัวออกมาอยู่ในครัวที่เป็นสไตล์ดิบๆ ไม่ตกแต่งอะไรมากตามรสนิยมของเจ้าของห้อง เปิดตู้เย็นที่มักเต็มไปด้วยของกินละลานตา ผมเลือกน้ำส้มกล่องเล็กที่เรียงอยู่อย่างเป็นระเบียบในชั้นออกมาสองกล่อง เผื่อให้กับคนที่ยังคงใช้สมาธิกับการต่อชั้นวางด้วย

   ฝาแฝดชายหญิงคู่นี้เป็นข้อยกเว้นของทฤษฎีความสัมพันธ์ทั้งปวงในความรู้สึกผม แม้เราสามคนจะเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกันแต่ก็ใช่ว่าเราจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดหรอกครับ แบล็คเรียนนิติศาสตร์ ไวท์เรียนวิทยาศาสตร์เอกดาราศาสตร์ ส่วนผมเองกระโดดมาเรียนบัญชี และคนที่เลือกอยู่คอนโดใกล้มหาวิทยาลัยก็มีแค่ผมกับแบล็ค ส่วนสาวหนึ่งเดียวขออยู่บ้านเหมือนเดิม

   ผมก็เคยถามคุณพินิจพ่อของทั้งคู่นะว่าทำไมถึงตั้งชื่อลูกให้ดูแตกต่างกันสุดขั้วอย่างนี้ คุณพินิจ (เขาบังคับให้ผมเรียกอย่างนี้ครับ บอกว่าดูเท่ดี) ก็บอกแค่ว่าตอนเห็นทั้งคู่ครั้งแรกแล้วคิดถึงสัญลักษณ์หยินหยาง ที่ๆ สีขาวกับสีดำถูกแบ่งกันอย่างพอดีเหมือนการเป็นฝาแฝด ส่วนชื่อจริงก็เลือกอะไรที่ดูต่างกันอย่างแบล็คก็ชื่อ ทิวากาล ส่วนไวท์เป็น รัตติกาล คุณพินิจนี่ช่างสรรหาจริงๆ

   ส่วนผมน่ะเหรอ? ผมชื่อเล่นว่าโรม คิดว่าเพราะอะไรผมถึงได้ชื่อนี้มา ถ้าคุณตอบว่าเพราะว่าพ่อกับแม่ผมพบรักกันที่โรม อิตาลี เสียใจด้วยนะครับ คุณก็เป็นหนึ่งในคนส่วนมากในชีวิตผมที่ทายผิดนั่นแหละ คำตอบที่ผมรู้จากปากของบุพการีนั่นก็คือพ่อผมตั้งใจจะลงเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทย แต่ดันกรอกรหัสวิชาผิดกลายเป็นลงวิชาประวัติศาสตร์กรีก-โรมันซะงั้น ส่วนแม่ของผมก็เป็นสาวเอกประวัติศาสตร์ที่ลงเรียนในวิชานี้พอดี ดูโรแมนติกไหมล่ะ

   ผมยังขอบคุณพ่อแม่มาถึงทุกวันนี้ที่เลือกชื่อโรมมากกว่าชื่อกรีก

   “วันนี้ค้างที่นี่รึไง”

   “ไม่ เดี๋ยวกลับแล้ว”

   “ใครไปส่ง” ถึงยังไงยัยนี่ก็เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งอยู่ดี

   “กลับเอง”

   พูดสั้นๆ เอาแค่ให้ได้ใจความคือรูปแบบการพูดที่ผมไม่ชอบ และนั่นคือไวท์ ผมจิ๊จ๊ะให้เธอรู้ว่าผมไม่พอใจในคำตอบนั้นมากเท่าไหร่ เธอเป็นคนเก่ง ดูแลตัวเองได้ แต่เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นไม่เคยทำให้ผมเลิกห่วงเธอได้ลง

   “งั้นวันนี้ค้าง เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปส่ง”

   “ไม่ต้อง”

   “ตามใจ”

   ไม่ต้องแปลกใจที่ผมยอมรามือง่ายๆ ถ้าลองให้แม่คุณพูดคำว่าไม่ ยังไงก็คือไม่ อย่าไปดื้อแพ่งให้เสียเวลาเปล่าเลย ผมพูดจริง ยืนมองคนที่กลับไปใส่หูฟัง ไม่ใช่แค่เธอที่กำลังกลับเข้าไปอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ผมเองก็เช่นกัน ทั้งๆ ที่บอกตัวเองไว้ว่าจะไม่กลับไปคิดถึงเรื่องนั้นอีก แต่ยามเห็นหน้าเรียบเฉยพร้อมนัยน์ตาว่างเปล่าเป็นเอกลักษณ์ผมก็อดคิดไม่ได้

   ไวท์เป็นคนที่เข้มแข็งมากจริงๆ

   เพราะอย่างนั้นผมก็ต้องเข้มแข็งเหมือนกันที่จะเก็บเรื่องที่แบล็คเพิ่งหลุดปากออกมาเมื่อวันก่อน ในเมื่อผมไม่ใช่ตัวละครในเรื่องนั้นผมก็ควรเป็นผู้ชมที่ดี

   เสียงรบกวนทั้งหลายจบลงแล้ว กลิ่นไม้ที่เคลือบไปด้วยสารเคมีทำให้ผมเวียนหัวจนต้องเดินไปเปิดหน้าต่างตรงระเบียงที่ยื่นต่อไปจากห้องนั่งเล่น สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ชอบเกี่ยวกับคอนโดนี้คือการจัดตัวตึกเป็นเส้นตรง เพราะงั้นวิวเดียวที่คุณจะเห็นจากระเบียงคือห้องสี่เหลี่ยมที่เหมือนกันทุกประการ

   “น้องเอ๋อ”

   ไม่มีทางที่ผมจะลืมเสียงนั้นไปได้ ผมรีบตามหาที่มาของเสียง มันดังมาจากตึกฝั่งตรงข้าม ห้องที่ตรงกันกับห้องของผม ระเบียงสีขาวมีผู้ชายสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งคือพ่อยอดชายนายแบล็คที่กำลังโบกมือข้างหนึ่งไปมา ส่วนอีกข้างที่ไม่ว่างเพราะกำลังใช้จับแท่งนิโคตินอยู่ แอบสูบบุหรี่อีกแล้วไอ้เพื่อนเวร!

   “ใครให้มึงสูบบบ! ทิ้งเลยนะ!!”

   ผมตะโกนกลับไปพร้อมกับชี้หน้าอาฆาต แบล็คเพียงไหวไหล่แล้วยกบุหรี่ขึ้น ควันที่ลอยออกมาเป็นสัญลักษณ์ว่ามันไม่แคร์ในสิ่งที่ผมสั่งเลยแม้แต่น้อย ผมไม่รู้ว่าเพื่อนผมไปอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามได้ยังไง เพราะผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กำลังหันหลังให้ผม สีผมออกน้ำตาลเข้มถูกเซ็ตเป็นทรงสวย รู้สึกคุ้นแปลกๆ

   แบล็คคงเห็นว่าผมกำลังจ้องคนข้างๆ มันอยู่ จัดการสะกิดแล้วพูดอะไรสองสามคำที่ผมอ่านปากไม่ออก อีกฝ่ายก็ส่ายหัวไปมาแล้วก้าวกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว เกิดอะไรขึ้นเนี่ย

   “เพื่อนมึงเหรอ”

   รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าของแบล็ค

   “งั้นมั้ง”

   “ใครอะ?” ปกติผมจะรู้จักเพื่อนในรั้วมหาลัยของแบล็คเกือบหมดนะ แต่คนนี้เดาไม่ถูกจริงๆ

   “มึงไม่รู้จักหรอก” อัดยาเส้นเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วขยี้ลงกับขอบระเบียง “ก็แค่คนป๊อด งี่เง่า น่ารำคาญ”

   นั่นคือคำที่ควรใช้ในการนิยามเพื่อนของตัวเองเหรอนั่น

   "แล้วนี่ไวท์กลับไปยัง"

   อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น ผมทำหน้าเบื่อแล้วชี้นิ้วกลับเข้าไปภายในห้อง คนเป็นพี่เพียงแค่พยักหน้ารับรู้
ก่อน จะบ่นออกมาใหญ่

   "เจ็ดโมงเช้า ไม่บอกล่วงหน้า ระเบิดห้องกูเละเทะ สุดท้ายเลยต้องระเห็จมาอยู่นี่"

   "ก็ปกติของยัยนั่น"

   "แต่ไม่ปกติสำหรับกูครับเพื่อน!"

   "กูบอกแล้วว่าให้หาคนมาดูแลแทน มึงจะได้เลิกห่วงสักที"

   สายตาไม่พอใจที่ตวัดมาทำให้ผมเหยียดยิ้ม เพื่อนผมเองก็ไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่นที่มีน้องสาว หวงน้องเป็นที่
หนึ่ง  และนี่เป็นจุดอ่อนของเขา ไม่เคยมีใครที่เข้าหาไวท์ได้โดยไม่โดนแบล็คขัดขวาง ผมเคยพยายามเข้าใจว่าสภาพครอบครัวของแฝดคู่นี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีใครให้รักอีกแล้ว จนสุดท้ายผมก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่ามันก็แค่เป็นเด็กขี้อิจฉา หวงของ อะไรที่เป็นของเขาก็ต้องเป็นของเขาไปตลอดกาล

   และเพราะเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ไวท์เลยไม่เคยมีแฟนอย่างจริงจัง แบล็คเองก็ไม่ใช่คนที่ใช้อำนาจพร่ำเพรื่อ เพราะผู้ชายคนนี้ไม่เคยมีข่าวกับใครทั้งนั้น ทั้งๆ ที่หมอนี่เคยได้รับการทาบทามให้เป็นเดือนคณะ ส่วนผมก็เป็นผู้ชายธรรมดาๆ ที่เหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่เคยคุยกับคนที่เข้ามาในชีวิต แต่มักจบลงด้วยการหายไปของอีกฝ่ายเสียเฉยๆ

   ผมยืนคุยกับเพื่อนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไปมาอีกสักพัก ก่อนจะรู้สึกตัวว่ากำลังทำตัวปัญญาอ่อนมากที่ตะโกนข้ามฝั่งไปมา แบล็คชอบเรียกผมว่าน้องเอ๋อ ไม่ว่าจะถามสักเท่าไหร่ก็ไม่เคยยอมบอกเหตุผล ผมว่าผมปกติดีนะ ไม่ได้ทำตาลอยหรือน้ำลายไหลย้อยสักหน่อย

   กลับมายังห้องที่แสนสงบสุขของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะมองกลับไปยังห้องฝั่งตรงข้าม ไม่มีใครยืนอยู่ตรงระเบียงแล้ว ผ้าม่านสีครีมคล้ายกับของผมปิดสนิททำให้ไม่รู้ว่าเพื่อนผมยังอยู่ข้างในรึเปล่า  ผมไม่ชอบเข้าสังคม เลยไม่มีเพื่อนมากเท่าไหร่ ต่างจากแบล็คที่มีเพื่อนอยู่เต็มไปหมด แต่คิดไม่ถึงว่าจะรวมไปถึง 'ห้องฝั่งตรงข้าม' ด้วย

   วันเสาร์ที่ไม่มีแพลนจะทำอะไร เปิดโน้ตบุ๊คขึ้นมาตรวจดูความเป็นไปบนโลกออนไลน์ เฟสบุ๊คของผมไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวหรอก การแจ้งเตือนที่แทบจะเป็นศูนย์ จะมีการแจ้งต่อเมื่อเพื่อนสักคนแท็กรูปประหลาดๆ มานั่นแหละ

   "หืม?"

   น่าแปลกใจไม่ใช่น้อยที่มีการแจ้งเตือนตรงปุ่มเพิ่มเพื่อน ผมไม่คุ้นชื่อเฟสบุ๊คแต่รูปตัวแทนบอกว่าเป็นเพื่อนสาวในคณะที่ผมเคยทำงานด้วยเมื่อเทอมที่แล้ว กดรับไปโดยไม่คิดอะไรมาก และไม่กี่นาทีต่อมาหน้าต่างสนทนาก็เด้งขึ้น พร้อมประโยคสั้นๆ

   'โรมจำเราได้ไหม : )'


***

     :: Spoil ::
     ”กูไม่ใช่คนลำเอียง ถ้าโรมมันเจอคนที่ดีพอ กูก็จะสนับสนุนให้เพื่อนกูมีความสุข”
     ผมเกลียดรอยยิ้มของเขา
     “...แม้ว่าคนๆ นั้นจะไม่ใช่มึงก็ตาม”

     ขอขอบคุณทุกคำติชมนะคะ เนื่องจากตอนที่เริ่มคิดเรื่องนี้มีแต่การสนองนี้ดส่วนตัวล้วนๆ แค่อยากแต่งให้มีพระเอกชื่อ ‘ที่หนึ่ง’ ค่ะ (ฮา) เพราะงั้นเนื้อหาอาจจะดูงงๆ วนๆ ไปบ้าง ยอมรับตามตรงว่าเนื้อเรื่องยังไม่ลงตัวดีพอรวมถึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เจ้าจะพยายามปรับปรุงให้เข้าใจง่ายขึ้นกว่านี้นะคะ /โค้งขออภัย
     ผ่านมาตอนกว่าๆ ที่หนึ่งก็ยังไม่ได้ออกโรงสักที ตอนหน้าเขาจะได้เปิดตัวแล้วค่ะ /จุดพลุ
     เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ

   ปล. ตั้งแต่ตอนหน้าเป็นต้นไปสัญญาว่าจะเขียนให้ยาวกว่านี้ค่ะ ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายมากๆ จนไม่มีเวลานั่งพิมพ์ก๊อกแก๊กนานๆ ได้เลยจริงๆ TT
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 12-09-2015 23:42:07
รอลุ้นต่อไป  :impress2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: SiHong ที่ 12-09-2015 23:45:36
เรื่องนี้น่ารักมาก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 13-09-2015 00:36:41
ชอบๆ  ปูเสื่อรอต่อ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 13-09-2015 03:01:54
แฝดคู่นี้นี่ต้องทำให้โรมวุ่นวายมากอน่ๆ555555

รอที่หนึ่งค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 13-09-2015 06:36:20
รออ่านตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 13-09-2015 06:55:38
ที่หนึ่งเดินหน้าจีบโรมเข้าค่ะ ก่อนที่คนอื่นเขาจะได้โอกาสนั้นไปเสียก่อน..
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-09-2015 11:38:30
แอบรักแอบชอบ เลยตามโรมมาใช่ไหม
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 13-09-2015 16:54:06
พระเอกคงจะปล่อยเวลาเอาไว้นานมากแน่ๆ กว่าจะกล้าจีบ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: lune ที่ 13-09-2015 18:30:47
รับฝากที่หนึ่ง แต่ต้องฝากประจำ(สม่ำเสมอ) นะคะคุณเจ้า  เป็นกำลังใจให้ค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Maytbb ที่ 13-09-2015 18:42:50
 :L2:   :L2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 13-09-2015 19:41:10
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 13-09-2015 20:58:24
สนุกค่า น่าติดตามมากๆ มาต่อเรื่อยๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 14-09-2015 06:37:07
ชีวิตโรมแลดูวุ่นวายเพราะแฝดคู่นี้นะ 555
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 1.2 [12.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 14-09-2015 06:56:46
เย้ย  ชอบๆ  ชอบตั้งแต่บทนำ  และ  อิๆ

กลับมาสนองนี๊ดคนอ่านด่วนเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 18-09-2015 23:26:12
บทที่ 2

[Side : ที่หนึ่ง]

     ผมชื่อที่หนึ่ง

     ม๊าบอกว่าตอนแรกตั้งใจจะมีผมคนเดียว เลยตั้งชื่อว่าที่หนึ่ง แปลว่าคนแรกและคนเดียว ไม่ได้ตั้งใจจะให้แปลว่าผู้ชนะหรือผู้ยิ่งใหญ่หรอก ความเศร้ามันอยู่ที่ทุกคนต่างคิดว่ามันเป็นชื่อที่เต็มไปด้วยความทะเยอะทะยาน ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยต้องการชัยชนะหรือความสำเร็จ

     ...แต่ผมก็มักจะได้มันมาเสมอ

     ผมสะกดคำว่าแพ้เป็น น่าเสียดายที่ผมไม่เคยได้ใช้คำนั้น ตั้งแต่จำความได้ที่หนึ่งคือชื่อที่จะนำลำดับที่หนึ่งมาหาผม และผมก็เบื่อตำแหน่งนี้เต็มทน ผมไม่ได้เกลียดชื่อนี้ เพราะถ้ามองว่ามันเป็นแค่ 'ชื่อ' มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับการดำเนินชีวิตมากนักหรอก

     ไม่มีใครไม่รู้จักที่หนึ่ง เพื่อนผมชอบบอกว่าผมมันตัวขี้โกง ไม่ต้องพยายามมากเท่าไหร่ความสำเร็จก็มักจะลอยมาเอง ซึ่งก็ไม่ใช่คำพูดที่ถูกต้องมากเท่าไหร่ ผมเองก็ต้องอ่านหนังสือ ต้องฝึกฝนไม่ต่างจากคนอื่น แต่ก็นั่นแหละ พูดไปก็กลายเป็นแก้ตัว เงียบแล้วยิ้มไว้ดีกว่าเยอะ

     ชีวิตช่างน่าเบื่อ ไร้ซึ่งความท้าทาย ผมลองเปลี่ยนกิจกรรมไปเรื่อยๆ เผื่อว่าจะได้เจออะไรที่ตัวเองไม่ถนัด แล้วคำว่าที่หนึ่งจะได้ไม่ตามหลอกหลอนผมสักที บางทีเทวดาอาจเกลียดผมมาก เพราะไม่ว่าจะเปลี่ยนเท่าไหร่ผมก็ยังไม่เคยหลุดพ้นบ่วงโซ่นี้สักที
จนกระทั่งผมเจอผู้ชายคนนั้น

     สุดแสนธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่นทั้งหน้าตาและการเรียน การเจอกันครั้งที่ทำให้ผมจำเขาได้คืองานเทศกาลดนตรีภายในโรงเรียนสมัยมัธยมห้า ในขณะที่คนอื่นกำลังสนุกสนานยิ้มแย้มไปกับงานเขากลับทำหน้านิ่ง เอาแต่หลบอยู่ข้างหลังฝาแฝดชื่อดัง ผมเองอดแปลกใจไม่ได้ที่ให้ความสนใจกับ 'เขา' อย่างที่ไม่เคยให้ใครมาก่อน

     "โรม โรมัน ห้องสาม"

     แค่ตามหาชื่อยังยาก เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมเริ่มมองหาเขา วิธีการหาที่ง่ายที่สุดคือเห็นแฝดขาวดำที่ไหนก็มักจะเห็นเขาอยู่ด้วย กลุ่มของโรมเป็นกลุ่มที่ผมคิดว่าใหญ่อยู่พอควร เป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาในโรงเรียนทั้งนั้น แต่ไม่ว่าคนในกลุ่มจะโดดเด่นกว่าเขาแค่ไหน ผมก็ไม่เคยละลายตาไปจากเขาได้สักที

     ผมสันนิษฐานเองว่าที่เขาทำหน้านิ่งๆ วันนั้นน่าจะเกิดขึ้นจากการที่เขาไม่ชอบเข้าสังคมสักเท่าไหร่ เพราะเวลาที่เขาอยู่ในกลุ่มเพื่อนมักจะเห็นรอยยิ้มสดใสประดับอยู่เสมอ ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มมีคนเข้าหา เขาก็เปิดโหมดหน้านิ่งทันที

     อยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้ อยากเข้าไปทักทาย อยากให้เขายิ้มให้ผมบ้าง

     จากที่ไม่เคยต้องการเป็นคนมีชื่อเสียง ผมกลับอยากให้คนชื่อที่หนึ่งเป็นที่รู้จัก เพราะผมอยากให้เขามองกลับมาที่ผม นั่นแหละครับ ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่กลับไม่เป็นผล ไม่ว่าผมจะแทรกซึมชีวิตเขาในทางไหน มันก็ไม่เคยได้ผลสักที

     มันเป็นครั้งแรกที่ผมยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เป็น 'ที่หนึ่ง' อย่างที่เป็นเสมอมา
 

     ผมโดนเพื่อนด่าว่าบ้า ตอนที่ผลแอดมิดชั่นปรากฎว่ามีชื่อผมอยู่ในคณะพาณิชยศาสตร์มหาวิทยาลัยชื่อดังชานเมือง แทนที่จะเป็นทุนเรียนดีในมหาวิทยาลัยอีกแห่ง จำได้ว่าเฟสบุ๊คของผมเด้งรัวจนต้องปิดสัญญาณอินเทอร์เน็ตไว้ตลอดคืน แล้วมาไล่ตามดูในตอนเช้าแทน

     เบื่อบ้าน อยากอยู่หอ คือคำตอบที่ผมใช้ ทั้งๆ ที่ก็รู้ตัวดีกว่ามันไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ผมเหมือนคนที่โดนยุง่าย แค่รู้มาว่าใครคนนั้นเลือกเรียนในคณะนี้ ...ก็ตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตของตัวเองในทันควัน 

     เพราะการตัดสินใจแบบกระทันหันทำให้เพื่อนส่วนใหญ่ของผมเรียนต่อในอีกมหาวิทยาลัย มีเพียงผมกับเพื่อนอีกสองสามคนเท่านั้นที่มาเรียนต่อด้วยกันที่นี่ การเป็นเด็กมหาลัยไม่ได้ยากอย่างที่คิด ผมปรับตัวได้ดี เพื่อนที่นี่ก็น่ารัก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยดีขึ้นเลยคือผมก็ยังคงทำได้แค่มองเขาอยู่ห่างๆ ไม่กล้าที่จะเข้าไปทักทาย

     โรมยังเหมือนเดิม ผมไม่ค่อยเห็นเขาอยู่กับเพื่อนในคณะมากนัก พอเลิกเรียนก็มักจะกลับไปหาเพื่อนสนิทที่ยกโขยงมาอยู่ที่นี่เสียเกือบหมด ที่เห็นบ่อยที่สุดคงไม่พ้นฝาแฝดคู่นั้น ผู้ชายที่ร่าเริงแต่ให้ความรู้สึกไม่น่าเข้าใกล้ กับผู้หญิงแสนเงียบที่ดูมีอะไรติดค้างในใจตลอดเวลา

     "สวัสดี แบล็คครับผม"

     ในที่สุดสวรรค์ก็เข้าข้าง ในวิชาที่มีการแรนดอมนักศึกษาในกลุ่ม ผมก็ได้อยู่กับคนที่ตัวเองบอกว่าไม่น่าเข้าใกล้ เราเข้ากันได้ดีในการทำงาน อาจเป็นเพราะเราเคยอยู่โรงเรียนเดียวกันมาก่อนรวมถึงเคยทำกิจกรรมร่วมกันหลายครั้ง ผมไม่พลาดที่จะใช้เรื่องงานเป็นประตูไปสู่การแทรกซึมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่กำแพงของเขาก็ช่างแน่นหนาเสียเหลือเกิน

     "อ้าว มีเพื่อนมาเหรอ"

     เป็นเรื่องปกติของเด็กหอที่มักจะมาป่วนหอของเพื่อนคนอื่น ผมอ้างว่าอยากรีบทำรายงานส่วนรูปเล่มให้เสร็จไวๆ เพราะว่ายังมีการประกวดดาวเดือนคอยตามติดอยู่ เป็นสาเหตุให้ผมกำลังนั่งจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊คอยู่บนโซฟาในห้องของแบล็ค ยอมรับเลยว่าตื่นเต้นมากที่อยู่ดีๆ ก็ได้เจอเขาในระยะที่ใกล้ขนาดนี้

     ปกติผมได้แต่มองจากที่ไกลๆ นี่นา

     "อืม ทำรายงาน"

     "แล้วมึงก็นั่งดูทีวีสบายใจเนี่ยนะ"

     เดินมาตบหัวแบล็คแล้วนั่งลงข้างๆ ตอนนี้บนโซฟาตัวใหญ่เลยมีผมนั่งอยู่ริมซ้ายสุด แบล็คอยู่ตรงกลาง ส่วนขวาสุดเป็นผู้มาใหม่

     "กูทำเสร็จแล้วเหอะ"

     "กินแรงเพื่อน"

     เสียงผู้ชายสองคนโต้เถียงกันไปมา ผมเปลี่ยนจากโปรแกรมเวิร์ดเป็นบราวเซอร์อินเทอร์เน็ต ทำทีเป็นหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ตามฟังเสียงแจ้วๆ นั่นถนัดหน่อย ผมควรจะทักยังไงดีนะ

     ไม่เคยประหม่าขนาดนี้มาก่อนเลยให้ตาย!

     "แล้วมาทำไม ห้องตัวเองมีไม่อยู่"

     "ไอ้เน็ทมันเบี้ยวนัด"

     "เด็กขี้เหงานี่หว่า"

     ผมอยากจะสะกิดคนตรงกลางให้รับรู้ว่ามีผมอีกคนอยู่ตรงนี้นะ รีบๆ แนะนำตัวผมให้โรมรู้จักหน่อยสิ แกล้งทำเป็นไอก็แล้ว ถามเรื่องรายงานเพิ่มเติมก็แล้ว แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำตามอย่างที่ผมหวังเลย ปกติมันต้องแนะนำเพื่อนให้รู้จักไม่ใช่เหรอไง มารยาทขั้นพื้นฐานน่ะ

     ยังนั่งพิมพ์งานไปเรื่อยๆ โดยมีเสียงของเขาแทรกมาในความเงียบเป็นระยะ โรมโดนแบล็คแกล้งอย่างนี้ตลอดเลยรึไง น่ารักจังน้า อยากแกล้งบ้างจัง โรมดูเป็นคนที่แกล้งสนุกชะมัด

     "มึงงง กูอยากกินหนม"

     ผมนึกว่าเขาจะเป็นคนที่พูดน้อยนะ อารมณ์ดูเงียบๆ เก็บตัวอะไรอย่างนี้ พอมาเจออย่างนี้มันเปลี่ยนความคิดผมไป
หมดเลยล่ะ ตั้งแต่ได้ยินเสียงเขามาจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่ขาดตอนเลย

     "ไม่มี แม่บ้านส่วนตัวกูกวาดเรียบไปหมดแล้วเมื่อวาน มึงก็ลงไปซื้อเซเว่นดิ"

     "กูขี้เกียจเดินนน"

     "งั้นก็อดแดก"

     ความคิดผมแบล็คเป็นคนที่ดูขัดแย้งในตัวเองนะ เพราะชื่อ 'แบล็ค' ให้ความรู้สึกเป็นผู้ร้ายในละคร ในขณะที่ตัวจริงของเขาเต็มไปด้วยเพื่อนรายล้อม เขาเป็นคนอัธยาศัยดี ช่วยเหลือคนอื่นเสมอ ยิ้มง่ายหัวเราะง่าย เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายในอุดมคติเลย ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ สมัยผมอยู่มัธยมปลายก็มีคนบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เขาชอบบอกว่ามันก็แค่เป็นหน้ากากเท่านั้นแหละ ยังไงสีดำก็เปลี่ยนเป็นสีขาวไม่ได้อยู่ดี

     สมัยนั้นเคยมีคนเรียกเขาว่า 'ราชา' ด้วยซ้ำไป

     "กูหิวอะมึง"

   "..."

     "งือออ"

     โอ๊ย ผมใกล้จะบ้าแล้วครับ แค่ได้มาอยู่ใกล้ๆ ก็ดีจะแย่แล้ว นี่ยังได้มาเห็นโรมในมุมที่น่าฟัดขนาดนี้ ทำเสียงงอแงแล้วยังเขย่าแขนเพื่อนไปมาอย่างนี้อีก งานเงินไม่ต้องทำกันแล้ว!

     ในกระเป๋าไม่มีอะไรมากนอกจากลูกอมรสนมเปรี้ยวที่โชคร้ายซื้อผิดมาตอนเมื่อเช้า แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรนะ ผมส่งของในมือไปให้คนกลางที่ทำหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน แบล็ครับไปแล้วโยนส่งๆ ไปให้คนที่นั่งถัดไปอย่างรู้งาน

     "เพื่อนกูกำลังบอกว่ามึงน่ารำคาญอะน้องโรม กินแล้วเงียบๆ ไป"

     "หยาบคายสุด!"

     เฮ้ย ทำไมกลายเป็นงั้นไปได้ล่ะ ผมหันหน้าไปเพื่อจะบอกว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย เป็นจังหวะเดียวกับที่เขากดหัวเจ้าของห้องลง ทำให้ผมได้เห็นหน้าเขาชัดๆ แบบที่ไม่มีคนตัวใหญ่บังให้รำคาญใจ

     เราสบตากันแล้ว

     ผมนี่ไปต่อไม่ถูกเลยครับ ไม่รู้ตอนนี้หน้าผมแดงไปเรียบร้อยแล้วรึเปล่า ฮื้อ... นี่มันอันตรายกับหัวใจผมเกินไปแล้วนะ หน้าเนียนๆ กับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังมองตรงมาทำให้หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะเลย

     "อย่าไปฟังมันมากรู้เปล่า แม่งชอบใส่ความเพื่อน"

     ไม่ต้องทำแก้มป่องหรือแอ๊บใส อาการที่แสดงออกว่าไม่พอใจก็เป็นแบบธรรมดาเหมือนผู้ชายทั่วไป

     "อะ...อืม"

     ผมผ่านการประกวดมาหลายครั้ง ซึ่งผมมักจะทำได้ดีเสมอในการควบคุมสติ แตกต่างจากครั้งนี้ ที่ผมคิดอะไรไม่ออกจนพูดได้แค่อืม

     "ขอบคุณสำหรับของกันตายนะ อร่อยดี"

     "ไม่เป็นไร"

     รอยยิ้มกว้างแสนจริงใจที่ส่งมาให้พร้อมกับยกมือขึ้นทำเป็นสัญลักษณ์เยี่ยม ขอถอนคำพูดเมื่อกี้ที่บอกว่ามันเป็นโชคร้ายได้ไหมครับ ตอนนี้มันเป็นโชคดีสุดๆ เลยล่ะที่ผมเลือกหยิบลูกอมนี้มา ผมควรใช้ช่วงเวลานี้แนะนำตัวสินะ แอบเฟลที่เขาไม่รู้จักผมอะ

     "มันบอกว่าไม่เป็นไร เพราะในที่สุดมึงก็หยุดพูดไง"

     "เพื่อนเวร!"

     "ก่อนมึงมางานใกล้จะเสร็จล่ะ จนตอนนี้มันก็ยังใกล้จะเสร็จแบบเดิม"

     "เออ ไปก็ได้วะแม่งงง"

     เฮ้ย ไม่เอาอย่างนี้สิ ผมเพิ่งใช้อากาศร่วมกับเขาได้ไม่ถึงชั่วโมงเลยนะ ยังอยากได้ยินเสียงเขาอีกนี่นา

     "ไม่ต้อง!" ผมคงใช้เสียงดังมากไปหน่อย ทั้งสองคนเลยหันมามองผมเป็นตาเดียวเลย เอาไงดีล่ะ "อะ...เอ่อ มันไม่รบกวนเราหรอก นี่ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว เหลือแค่อ่านทวนนิดหน่อยเอง"

     "เพื่อนมึงโคตรประเสริฐ ต่างจากมึงลิบลับ"

     โรมดี๊ด๊าแบบผู้ชนะเต็มที่ เขาป้องปากแล้วทำเสียงหุหุใส่หน้าคนที่กำลังทำหน้าแปลกๆ เขาไม่ได้ทำหน้าบอกบุญไม่รับหรือว่ากำลังหงุดหงิด ใบหน้าเข้ารูปที่ผมเห็นกำลังหรี่ตามองผมเหมือนใช้ความคิดอะไรสักอย่าง

     "หึ แน่สิ" ยิ่งยามที่เอ่ยปากออกมาพร้อมกับยิ้มมุมปาก มันทำให้ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ

     "ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว"
 


     "ชอบโรมใช่รึเปล่า"

     เกือบจะสำลักแอลกอฮอล์ที่เพิ่งเข้าปาก ผมรีบกลืนมันเข้าไปแล้วไอติดต่อกันออกมา มองหน้าคนที่ทำหน้านิ่งยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ แล้วทำได้แค่เงียบไว้

     "...จริงด้วยสินะ"

     ภาษากายที่แสดงออกมามันคงทำให้อีกฝ่ายรู้ได้โดยง่าย แบล็คดับแท่งสีขาวลงกับที่เขี่ยบุหรี่ที่ทางร้านจัดไว้ให้ ผมกับเขากำลังอยู่บริเวณโซนสูบบุหรี่ในร้านอาหารกึ่งผับ เนื่องในโอกาสที่ทำรายงานเสร็จรวมถึงฉลองให้ตำแหน่งเดือนคณะของผมด้วย ที่จริงพวกนี้ก็แค่อยากหาเรื่องฟาดเหล้าเข้าปากนั่นแหละ

     "รู้ได้ยังไง" ผมถามออกไป ผมมั่นใจมากเลยนะว่าเรื่องนี้เป็นความลับขั้นสุดยอด ไม่ว่าจะเพื่อนสนิทขนาดไหนก็ไม่มีทางรู้อย่างแน่นอน ไม่ได้อายหรือว่ากลัวคนอื่นไม่ยอมรับ แค่อยากให้ 'ความรัก' ของผมมันเกิดขึ้นเพราะความรู้สึกของผมคนเดียว ไม่ต้องได้รับการสนับสนุนจากใคร

     แบล็คมองหน้าผมเงียบๆ สายตาที่เคยเต็มไปด้วยแววสดใสกลับเต็มไปด้วยความขุ่นมัว

     "ไม่รู้ก็ควาย มึงแสดงออกชัดฉิบ" ด่าไม่พอยังดีดมะกอกใส่หน้าผากผมอีก "ตั้งแต่เมื่อไหร่"

     โซนที่จัดไว้เพื่อสูบบุหรี่อยู่ในมุมมืดพอสมควร รวมถึงไม่มีคนอื่นนอกจากผมกับเขา มันทำให้ผมกล้าที่จะชูนิ้วชี้ขึ้นมาเป็นเลขหนึ่งเพื่อตอบคำถาม

     "ถ้านับแบบจริงจังก็ปีครึ่ง"

     "เชี่ย..."

     แบล็คไม่หยุดอุทานคำหยาบออกมาเลย เขาคว้าไลท์เตอร์สีเงินที่มีลวดลายประหลาดขึ้นมาจุดมวนใหม่ ผมคิดถูกแล้วใช่ไหมนะที่บอกเขาง่ายๆ อย่างนี้

     "คือ..."

     "กูรู้ว่ามึงคิดอะไร หยุดซะ กูแค่ต้องการเวลาตั้งสติ"

     ชี้นิ้วมาทางผมพร้อมใบหน้าตึง ผมเลยต้องปิดปากสนิท ฆ่าเวลาโดยการกระดกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ติดมือออกมาด้วย ผมรู้สึกเหมือนกำลังเข้าไปแนะนำตัวให้พ่อตารู้จักเลยอะ

     "กูจะไม่ถามว่ามึงจริงจังรึเปล่า เพราะถ้าบอกว่าปีครึ่งแม่งนานอยู่" ควันสีเทาลอยเต็มไปหมด ส่วนตัวแล้วผมโอเคกับแบล็คนะ เขาเป็นเพื่อนที่ดีเลยล่ะ มีเหตุผล ไม่เข้าข้าง สมกับเป็นเด็กนิติ รวมถึงไม่รู้สึกอึดอัดหรือว่าระแวงเวลาอยู่ด้วย "กูจะถามคำถามแรก แต่มึงต้องเก็บไว้ตอบกูตอนท้าย ...มึงมั่นใจแล้วใช่ไหมที่เลือกอย่างนี้?"

     คำถามที่ผมเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องตอบสักวัน ผมไม่แปลกใจในคำถาม สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจที่ความรู้สึกที่แสดงออกบนใบหน้าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ มันเต็มไปด้วยความกังวลปนเปไปกับความลังเลใจ ไม่ใช่อาการไม่ยอมรับอย่างที่กลัวมาตลอด มันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ อะไรบางอย่างที่ผมคาดเดาไม่ถูก

     "ตอบมาแค่เยสหรือโน มึงเลือกเรียนที่นี่เพราะมัน"

     "เยส"

     "ที่ย้ายมาอยู่หอเดียวกับกูก็เพราะมัน"

     "เยส"

     "เหี้ยเอ๊ย กูว่าแล้ว อะต่อไป ขนมที่เอามาฝากกูก็ให้มัน"

     "เยส"

     ผมว่าผมไม่ได้ตอบอะไรผิดนะ ก็ให้ตอบแค่เยสกับโน ผมก็ตอบตามนั้น แล้วทำไมเขาต้องทำหน้าแบบช็อคโลกขนาดนั้นด้วย

     "มึงแม่งบ้า ที่หนึ่ง"

     "เยส" ถ้าเป็นเรื่องของโรมล่ะผมเป็นคนบ้าตลอดล่ะ ความจริงในตอนแรกผมไม่ได้อยู่หอนี้หรอก เพิ่งย้ายมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเอง หลังจากตามอ้อนวอนเจ้าของหอให้ส่งข่าวบอกทันทีที่ห้องตรงข้ามว่าง อ้อ! ไม่ใช่ห้องตรงข้ามในตึกเดียวกันหรอกนะ เป็นห้องที่ตรงกันจากตึกตรงข้ามน่ะ

     ห้องตรงข้ามมันใกล้ไป อันตรายกับอัตราการเต้นของหัวใจมากๆ

     ส่วนเรื่องขนมผมก็มักจะอ้างว่ามีคนเอามาฝาก แล้วก็กินไม่หมดเลยให้แบล็คเอาไปช่วยกิน ไม่รู้ว่าเขาสังเกตรึเปล่ามันจะมีลูกอมนมเปรี้ยวติดไปด้วยทุกครั้ง ผมก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไปถึง

     "กูยอมแล้ว นี่คือตัวจริงของที่หนึ่งคนนั้นเหรอวะ"

     "เยสเซอร์"

     ตะเบ๊ะท่าให้ด้วยเป็นของแถม เลยได้หมัดลุ้นๆ กระแทกท้องกลับมา อูย

     "สโตรกเกอร์ชัดๆ กูกลัวมึง!"

     "กูก็แค่ซื่อสัตย์กับตัวเอง" โดนหลอกด่ามานาน ขอแก้ข่าวหน่อยเถอะ

     "บ้านกูเรียกป๊อด"

     "โอ้โห แทงผมเลยไหมครับทิวา" ผมชอบเรียกว่าทิวามากกว่าแบล็ค มันดูเข้ากับเขามากกว่าในความคิดผม พอผมเปิดประโยคฆ่าตัวตายผู้ชายคนนั้นก็ยิ้มเหี้ยมแล้วทำท่าเข้ามาประชิด เล่นเอาผมต้องกระโดดหนีไปหลายก้าว ทำไมพ่อตาผมน่ากลัวอย่างนี้

     "พอๆ เลิกเล่น เข้าโหมดจริงจัง"

     เขากดไหล่ผมให้นั่งลงกับเก้าอี้เหล็ก ส่วนตัวเองก็ถอยไปยืนพิงกับกำแพงอิฐฝั่งตรงข้าม กลิ่นบุหรี่แบบมิ้นท์ลอยมากับสายลม ไม่ใช่แบบเดียวกับที่ผมเห็นเขาใช้มาตลอด ควันยังคงลอยเอื่อย กลิ่นจากแท่งนิโคตินที่ผมไม่คุ้นเคยนำมาซึ่งความอึดอัด

     "คุณรู้อะไรเกี่ยวกับคนชื่อ 'โรม' บ้าง"

     เปลี่ยนไปทั้งสรรพนามแล้วก็สายตาที่มองมา นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องเข้าไปลึกราวกับกำลังอ่านใจผมอยู่

     "ก็ทั่วไป พวกชื่อ วันเกิด ชอบที่ชอบ..."

     "อย่างอื่นล่ะ"

     น้ำเสียงแสนเย็นเยียบ ไม่มีโทนสูงต่ำ บรรยากาศรอบตัวผมดูเงียบลงทันตา ความอึดอัดยิ่งทวีคูณยามที่เขาถามจี้ลงมา ผมชักไม่อยากให้หมอนี่เรียนกฎหมายเลย ลูกความจะต้องกลัวหัวหดแหง

     "ช่วยตอบด้วยครับ"

     "อย่างอื่นที่ว่าคืออะไรล่ะ ผมคงไม่รู้ชื่อโรงเรียนอนุบาลหรอกนะ"

     แบล็คกำลังเล่นสงครามประสาทกับผม

     "หึ...คุณไม่รู้อะไรเลยต่างหาก"

     "ต้องการอะไรกันแน่?"

     "ต้องการคำตอบที่ดีพอ"

     "ผมไม่ใช่ผู้หยั่งรู้" ครู่หนึ่งที่สายตาของคนที่มองมาวูบไหว ก่อนจะกลับไปเป็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรเหมือนเดิม

     "ที่หนึ่ง ที่หนึ่ง" คำนั้นรำพันกับตัวเอง "คุณมักจะเป็นที่หนึ่งเสมอนะ แต่คงไม่ใช่กับครั้งนี้"

     "ชื่อไม่ได้เป็นตัวกำหนดอนาคต อย่างคุณก็ไม่ใช่ 'กลางวัน' สักหน่อย ทิวากาล"

     ผมเข้าใจแจ่มแจ้งเลยว่าทำไมถึงมีคนบอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ควรเข้าใกล้ เขาอันตรายเกินไป ความอันตรายที่ไม่ได้เห็นจากภายนอก แต่สัมผัสได้จากความรู้สึก เหมือนคนตรงหน้าไม่ใช่เพื่อนคนเดิมของผม เป็นใครอีกคนที่ผมไม่อาจจับต้องได้ เราอยู่กับคนละระดับเกินไป อา... เพราะอย่างนี้เองสินะ เลยมีคนเรียกเขาว่า 'ราชา'

     และไม่มีสีไหนที่เหมาะกับราชาคนนี้ได้เท่าสีดำ

     "ผมก็แค่อยากรู้"

     "รู้ว่า"

     "คุณเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ดี เลยอยากเตือนในฐานะที่อยู่ตรงกลาง" แท่งบุหรี่กลายเป็นเถ้าไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่กลิ่นมิ้นท์ที่ลอยอบอวล "โรมอยู่กับผมตั้งแต่จำความได้ เราเหมือนแฝดสามด้วยซ้ำในบางที แน่นอนว่าเราผ่านอะไรกันมาเยอะ ...แบบที่คุณคิดไม่ถึงเลยล่ะ"

   "..."

     "เพราะงั้นผมเลยอยากรู้ ว่าคุณพร้อมแค่ไหนที่จะเผชิญกับ 'อนาคต' ในวันที่คุณไม่รู้ 'อดีต' อะไรทั้งนั้น"
คำถามที่ซ่อนคำเฉลยไว้ ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม รอให้อีกฝ่ายพูดให้จบทั้งหมด การตอบที่ดีเราควรรู้คำถามให้ครบก่อน

     "หมดเวลาคิดแล้วที่หนึ่ง มั่นใจแล้วใช่ไหมที่จะเลือกอย่างนี้?"

     ผมไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย ปากขยับไปโดยทันที

     "มั่นใจ"

     "ก็แค่นั้น" แบล็คยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เขาเดินมานั่งข้างๆ ผม "บอกก่อนกูไม่ได้เชียร์ ก็แค่ไม่ได้ห้าม"

     "คนกลางว่างั้น"

     กลับมาเล่นหัวกันได้เหมือนเดิม เหมือนสงครามประสาทเมื่อกี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย บอกตามตรงผมไม่อยากมาเล่นเกมทดสอบความแข็งแกร่งของจิตใจกับเขาอีก ปวดหัวชะมัด

     "ผู้ชมที่ดีต่างหาก"

     "...ขอบคุณนะ"

     "มึงยังต้องขอบคุณกูอีกนาน ห่า นี่กูยังไม่หายช็อค ที่หนึ่งสุดฮอตดันมาชอบน้องเอ๋อโรมของพวกกู แม่งชอบมาเป็นปีแล้วอีก"

     "โรมน่ารัก"

     "แต่ความรักน่ากลัว" เขาทำหน้ายุ่งแล้วลุกขึ้น "กูจะเข้าไปล่ะ ป่านนี้พวกมันเมาเรียบหมดแล้ว แม่งหารเท่ากันอีก"
ผมยกมือให้เพื่อบอกว่าเข้าไปเลย ส่วนผมยังนั่งอยู่ตรงนี้ต่อ แบล็คตบบ่าของผมสองสามครั้งก่อนเดินผ่านผมไป นี่คือผมผ่านด่านพ่อตาได้แล้วใช่ไหมอะ

     "เออ กูขอถามอีกคำถามได้ป่ะ" เงยหน้าขึ้นมามองคนที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก จะถามอะไรอีกครับบบ "ที่มึงเป็นเดือนคณะ...ก็เพราะมัน"

     คราวนี้เป็นผมบ้างที่ยิ้มเย็นใส่ เพราะแบล็คเป็นเพื่อนใหม่ในมหาวิทยาลัยคนแรกๆ แล้วเราก็ต้องเผชิญกับการทาบทามให้เป็นเดือนคณะเหมือนกัน ตอนนั้นเรายังมาบ่นให้อีกฝ่ายฟังอยู่เลยว่าไม่อยากได้ตำแหน่ง สุดท้ายแบล็คก็ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ ในขณะที่ผมได้ตำแหน่งมาครอง

     "คิดว่าไงล่ะ"

     ก็พี่เดือนปีก่อนดันมาบอกว่าถ้าเป็นเดือนแล้วคนในคณะจะรู้จัก

     ผมก็แค่อยากให้เขารู้จักผมบ้าง ก็แค่นั้นเอง


***

     มีใครคิดว่าที่หนึ่งจะออกมาในรูปแบบนี้บ้างคะ (หัวเราะ)

     ช่วงนี้ฝนตกตลอดเลย รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคน <3
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 18-09-2015 23:41:00
ที่หนึ่งรั่วกว่าที่คิดไว้เยอะเลย แต่แบล็คนี่สมกับเป็นราชา

 o13

หาคู่ให้แบล็คบ้างสิค้าาาาา
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 18-09-2015 23:54:22
ไม่คิดเลยที่หนึ่งจะเป็นเด็กน้อยน่ารักขนาดนี้  :laugh:
ขอให้สมหวังนะจ๊ะ พ่อตาแบล็กก็โหดเกิ๊น :jul3:
น้องเอ๋อโรมน่าจับฟัดแก้มจริงๆ  :man1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 18-09-2015 23:57:32
OMG ไม่คิดเลยว่าที่หนึ่งจะเป็นขนาดนี้ :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-09-2015 00:06:39
 o13 o13
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-09-2015 00:07:58
 o13  o13
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 19-09-2015 06:41:02
อยากอ่านต่อแบ้วววว

หนึ่งรุกๆๆๆ  555
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 19-09-2015 08:16:34
เรื่องน่ารักดีจัง ชอบ ๆ อิจฉาน้องโรมจริง ๆ มีหนุ่มหลงรักฝังใจขนาดนี้ :-[
โรมน่ารัก ยิ่งเวลาอยู่กับแบล็คยิ่งน่ารัก ให้อารมณ์พ่อลูกเลยอ่ะ 555
ชอบแบล็คด้วย ราชา เท่ห์ดีจัง ว่าแต่มีความหลังอะไร หงุดหงิดทีี่ใครกลับมา
แล้วเกี่ยวกับเรื่องในอดีตของไวท์ยังไง ดราม่าแน่ ๆ เลย
ชอบมากค่ะ เอาใจช่วยที่หนึ่ง สู้ ๆ


หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 19-09-2015 12:25:13
ทุ่มเทมากอะที่หนึ่ง กรี๊ดรัวๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Kokyo ที่ 19-09-2015 13:54:17
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ขอเรียกเฮียหนึ่งนะคะ
เฮียยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
แม่งสุดยอดเลยยยย น่ารักสัดๆ ถือคติทำเพื่อเมียชิมิ
โอ๊ยยย น่ารักกก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: SiHong ที่ 19-09-2015 22:09:29
เร่องนี้มันดูวับซ้อนปลกๆยังไงไม่รู้ :katai1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 19-09-2015 22:53:33
โอยชอบที่หนึ่งจังเลยยย
น่ารักโพดดดด
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 20-09-2015 01:08:06
น้องโรมจะบ้างมั้ยหนออออ~~~ :mew3:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: painture ที่ 20-09-2015 01:25:36
 โอ้ยยยยย ที่หนึ่งน่ารักมากกกกกก

กดเฟฟ***  :impress2:
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 20-09-2015 17:30:25
โลเคชั่นชัดเจนทีเดียว 555555555
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Meimei ที่ 20-09-2015 20:54:54
อยากรู้อดีตโรมอะ
สนุกดีค่ะ รอตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 20-09-2015 21:23:36
ที่หนึ่งน่ารักสุดๆ ไปเลยค่า~~ :m3:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 20-09-2015 23:00:34
ที่หนึ่งเป็นฝ่ายเฝ้าตามเฝ้ามองโรมนี่เอง ตอนแรกนึกว่าจะเป็นพวก perfect นิ่งๆ ที่ไหนได้แอบฮา เบื้องลึกเบื้องหลังของสามเพื่อนซี้ก็น่าสนใจนะ ใครกันที่กลับมา  :m28:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 21-09-2015 00:25:57
ที่หนึ่งสตอล์คเกอร์ที่สุดค่ะ...
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: pannuna ที่ 21-09-2015 00:47:04
โอ้ยน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 21-09-2015 02:14:42
ที่หนึ่ง สุ้ๆ กล้าๆ หน่อย
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: minjeez ที่ 21-09-2015 10:12:18
โอ๊ยยยย ที่หนึ่งขา ทำไมน่ารักแบบนี้นะ
แอบชอบน้องโรมมานาน แต่ดันขี้อายซะงั้น
เอาใจช่วยให้กล้าเข้าหาน้องโรมเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 22-09-2015 02:09:15
ผ่านด่านพ่อตา? โอ๊ยยย น่ารักอ้ะ ปักธงรอจ้า
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 22-09-2015 14:48:55
อั้ยยย ที่หนึ่งน่ารักอ่า รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: zaalim ที่ 23-09-2015 00:47:53
เชียร์ที่หนึ่งสุดใจ...โอ้ยยยย...น่ารักอะค่ะ กดติดตามอย่างไว

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: นิรนาม ที่ 24-09-2015 01:25:51
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 24-09-2015 20:14:29
เมื่อไรจะรุกคะ? คุณที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 25-09-2015 11:46:28
โอ๊ยยยยย~
ที่หนึ่งมุ้งมิ้งหว่ะ~
#ชอบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 25-09-2015 16:01:00
อ๊ากกกกกก ชอบเรื่องนี้
รอติดตามชิวิตรักน้องโรมกับที่หนึ่ง
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 25-09-2015 23:27:35
บทที่ 3

[Side : ที่หนึ่ง]
   "ว่าไงนะ เดท!?"

   ผมลืมตัวตะโกนใส่คนที่กำลังยกมือขึ้นปิดหู แบล็คทำหน้ามุ่ยพร้อมส่งสายตาดุๆ มาให้เป็นการบอกว่าเขากำลังเริ่มอารมณ์ไม่ดี

   "ได้ยังไง? ใคร?"

   "..."

   "ทิวา! มึงห้ามเงียบนะว้อย!!"

   ยิ่งมันทำตัวเงียบใส่ ผมยิ่งสติแตกเข้าไปใหญ่ ดูเหมือนว่าอาการที่ผมแสดงออกจะไม่ได้ทำให้ต่อมความรู้สึกของเขาทำงานมากเท่าไหร่ แบล็คยังคงเอนตัวสบายๆ อยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นของผม หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเล่นไม่สนใจผมเลยสักนิด

   "ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมกูไม่รู้ แต่ว่าสัปดาห์ก่อนยังเจอโรมอยู่คนเดียวอยู่เลยนะ" ผมเดินวนไปมารอบห้องเหมือนหนูติดจั่น ฮือออ โรมของผมกำลังเดทกับคนอื่น ไม่ยุติธรรมเลย ผมมองเขามาตั้งนานยังไม่เคยได้คุยเป็นเรื่องเป็นราวเลย

   "กูรู้แล้ว มึงแกล้งกูแหงเลยทิวา เหอะ อย่าคิดว่ากูจะหลงกล!"

   คำพูดของผมเหมือนเป็นการพูดในสุญญากาศ เพราะอีกคนไม่รับรู้ใดๆ เขาให้ความสนใจกับหน้าจอสี่เหลี่ยม มือยังคงเลื่อนหน้านิวฟีดของเฟสบุ๊คอย่างต่อเนื่อง อะไรคือการที่แบล็คเดินเข้ามาในห้อง พูดคำแรกว่า 'น้องโรมกำลังออกเดท' แล้วปล่อยให้ผมมาเดินวุ่นอย่างนี้เนี่ย

   "ทิวาาา"

   แบล็คไม่ชอบให้ใครมาตื้อครับ มันเคยเล่าว่าตลอดชีวิตมันไม่เคยมีโมเมนท์น้องสาวมาอ้อนเลยทำให้การตื้อหรือการอ้อนเป็นสิ่งที่ดูไร้สาระ กลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญสำหรับผู้ชายคนนี้ไป

   นั่งข้างๆ พร้อมเขย่าแขนอย่างรุนแรง เอาสิ ถ้าไม่บอกผมก็จะทำตัวน่ารำคาญอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วกัน!

   ผมทำเสียงงอแงพร้อมกับรบกวนมันทุกรูปแบบ จนในที่สุดที่หนึ่งอย่างผมก็ได้ชัยชนะมาครอบครอง

   "กูบอกแล้วให้ใจกล้าแอดเฟสมันไป จะได้ไม่ต้องลำบากมาให้กูอัพเดตอย่างนี้" แบล็คโยนเครื่องมือสื่อสารของตัวเองมาให้ หน้าที่เปิดค้างไว้คืออัพเดตล่าสุดบนไทม์ไลน์ของโรม เป็นภาพที่เขาถูกแท็กมาเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว ภาพเห็นเพียงด้านหลังแต่ผมก็รู้ได้โดยทันทีว่าเป็นแผ่นหลังของใคร พร้อมแคปชั่น 'วันพิเศษ <3'

   ไม่รอช้าผมรีบตามเข้าไปในเฟสบุ๊คมือที่สามทันที ภาพตัวแทนบอกว่าเป็นเพื่อนในคณะที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตา ไม่เห็นเอะใจมาก่อนว่าเธอชอบโรม

   "เริ่มคุยมาหลายสัปดาห์แล้วมั้ง กูก็เพิ่งรู้ตอนที่มันแท็กรูปก่อนหน้าอะ" เขาขยายความตอนที่ผมส่งมือถือคืนให้

   "กู ...พูดไม่ออก"

   ผมไม่เคยอกหัก เลยไม่กล้าพูดว่านี่เป็นอาการของคนโดนหักอก ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมเหมือนโดนจ้วงแทงด้วยมีดสปาต้าแล้วถีบตกเหว มันเจ็บสุดๆ ไปเลย

   พื้นที่ที่ผมพยายามครอบครองมาตลอด มันกำลังจะโดนใครอีกคนเอาไป

   "ก็ไม่ต้องพูด ให้กูเปิดเพลงบิลท์อารมณ์ให้ด้วยไหม?" ไม่พูดเปล่าเข้าแอปพลิเคชั่นยูทูปอีก

   "ผีดีเจไม่ต้องมาเข้าสิงเลยนะมึง"

   "หึ ก็ช้าเอง" นิ้วโป้งสองข้างกดรัวตรงแป้นพิมพ์ไม่หยุด "เอาเพลงอะไรดี คำยินดีป่ะ กูว่าก็อินอยู่"

   "แม่งงง..." ผมปล่อยตัวให้ไหลไปตามแรงโน้มถ่วง จนเหลือเพียงครึ่งตัวบนอยู่บนเบาะ ไม่อยากขยับเลยแฮะ สมองของผมกำลังทำงานอย่างหนัก รูปพร้อมแคปชั่นแสนหวานบ่งบอกว่าทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในสถานะเพื่อนในคณะอย่างเดียวแน่นอน หลับตาลงเพื่อไล่ภาพนั้นออกไป แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนภาพนั้นก็ยังคงติดตา

   "ห้าปีของกูจบลงง่ายๆ อย่างนี้เหรอวะ"

   "ก็มึงแม่งตาขาว เอาแต่บอกว่าไม่พร้อมๆ เป็นไงล่ะ" ท่อนแรกของเพลงคำยินดีแล่นเข้าโสตประสาท มันเปิดจริงเว้ยเฮ้ย

   "กูไม่พร้อมจริงๆ นี่หว่า แค่คิดถึงหน้าโรมตอนกูเดินเข้าไปหาก็เฟลล่ะ แล้วถ้ากูโดนปฎิเสธอะ"

   "ก็โดนคนอื่นฉกไปไง ไม่เห็นยาก"

   "สรุปมึงอยู่ฝั่งกูแน่ป่ะ" ผมหันไปถามคนที่ฮัมเพลงตามไปเบาๆ อารมณ์ดีจริงเลย ใช่สิ มันไม่ใช่คนที่กำลังหัวใจสลายแบบผมนี่

   "กูบอกแล้วกูเป็นแค่ผู้ชมที่ดี" ซองบุหรี่พร้อมด้วยไลท์เตอร์ตัวเดิมถูกโยนลงโต๊ะขนาดเล็กข้างโซฟา แบล็คคาบแท่งนิโคตินไว้ตรงริมฝีปาก เป็นสัญญาณว่าเวลาของสิงห์อมควันกำลังจะมา

   "ผู้ชมที่ดีเขาไม่เข้าไปสปอยล์เนื้อเรื่องหรอกนะ"

   ยิ้มร้ายเผยบนใบหน้าที่ดูสุขุมขึ้นกว่าครั้งแรกที่เจอ ทำอย่างกับผมไม่รู้ ใครที่เข้าหาโรม ถ้าไม่โดนแบล็คกีดกันก็โดนคนในกลุ่มจอมหวงขวางไว้แบบสุดความสามารถ ผมยังแปลกใจจนถึงทุกวันนี้ที่ตัวเองยังคงปลอดภัยดี แต่ละคนน่ากลัวทั้งนั้น

   "มึงหลงตัวเองไปแล้วที่หนึ่ง ที่พวกกูทำไม่เคยทำให้มึง กูทำให้น้องโรม"

   "ใครจะไปรู้ กูไม่เห็นใครรอดชีวิตนอกจากกู"

   เพลงจบลงแล้ว ห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ก่อนเพลงที่น่าปวดใจพอกันอย่าง Please จะดังขึ้นมาแทน

   "นั่นเพราะมึงยังไม่เปิดตัวต่างหาก ลองเปิดดูสิ พวกหวงเพื่อนจะมาแหวกอกมึงถึงห้อง" เน็ทกับนิชเป็นสมาชิกในกลุ่มสมัยมัธยมของโรม ผมจำได้ว่ากลุ่มนี้มีกันหกคน หญิงสองชายสี่ แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้หญิงอีกคนหายไป ไม่เคยเห็นเธอมาเยี่ยมหรือมีการอัพเดตบนอินเทอร์เน็ต ผู้หญิงในกลุ่มเลยเหลือเพียงไวท์คนเดียวเท่านั้น เหมือนใครเคยบอกว่าไปเรียนต่อต่างประเทศล่ะมั้ง

   "...กูไม่โอเคอะ โคตรรู้สึกแย่"

   "ถ้ากูบอกว่าแค่คุยๆ กัน ยังไม่คบ มึงจะโอเคขึ้นไหม"

   "ไม่เลย" ผมตอบไปตามตรง

   ผมไม่ได้หันไปมองหน้าเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เสียงจุดไฟแช็คทำให้รู้ว่าเขากำลังต้องการใช้ความคิด ถ้าเป็นปกติผมคงไม่ยอมให้สูบในห้องอย่างนี้หรอก ตอนนี้ผมไม่มีแรงจะไล่ให้ออกไปสูบตรงระเบียงแล้วเลยได้แต่ปล่อยให้เลยตามเลย ดีเหมือนกัน ได้กลิ่นยาสูบอาจทำให้ผมผ่อนคลายมากขึ้น

   "อย่าพยายามหลอกตัวเองที่หนึ่ง"

   "กูรู้น่า"

   "มึงมันคนไม่เคยแพ้" เขากดหัวผมลงจนเบาะยวบ "แต่ตลอดสองปีกว่ามึงก็ทำได้แค่มองผ่านระเบียงกับฝากขนมโง่ๆ ไปกับกู น้องโรมมันจะเอ๋อก็เพราะของไร้ประโยชน์จากมึงนั่นแหละ ถามจริงเหอะ มึงรู้ตัวไหมว่ากำลังทำเรื่องไร้ประโยชน์"

   โคตรเจ็บปวด แบล็คยังคงบ่นเรื่องเดิมซ้ำๆ อย่างที่เคยทำมาตลอดให้ผมฟัง ทำไมผมจะไม่รู้ว่าตัวเองไม่กล้าแค่ไหน ใครไม่เป็นผมไม่มีทางรู้หรอก โรมไม่ใช่คนเฟรนลี่ขนาดนั้น ถ้ารีแอคชั่นที่กลับมาคือปฎิเสธการมีตัวตนของผมล่ะ มันทำให้ผมบอกตัวเองว่าคงดีกว่าถ้าไม่ก้าวล้ำข้ามเส้นไป

   ตลอดเวลามีหลายคนที่เข้ามาในชีวิต และผมแบ่งเส้นเขตไว้ชัดเจนว่าตรงไหนคือเพื่อน ถ้าเธอต้องการฐานะที่มากกว่านั้น ผมให้ไม่ได้จริงๆ

   เพราะตำแหน่ง 'ที่หนึ่ง' ผมเก็บไว้ให้เขาคนเดียว

   "ทิวา ช่วยอะไรกูหน่อยดิ"

   "มึงควรสำนึกว่าทุกวันนี้บุญคุณกูก็แทบล้นหัวมึงอยู่แล้วนะ"

   "ช่วยบอกกูทีว่าควรทำไงต่อ" ผมจัดท่านั่งให้ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น ส่วนคนข้างๆ ก็ยังคงพ่นควันออกมาต่อเนื่อง

   "ลุยเดินต่อ ไม่ก็นอนรอความตายอยู่ตรงนี้" แบล็คตอบกลับมาง่ายๆ เขายักไหล่ขึ้นแบบไม่ใส่นัก "ในชีวิตคนเราไม่มีทางให้เลือกมากขนาดนั้นหรอก"

   "มึงมัน..." ผมอยากจะด่ากลับไปว่าไม่ให้กำลังใจเพื่อนหน่อยเหรอ น้อยใจแบบจริงจัง ขนาดเพื่อนที่ไว้ใจที่สุดยังเชียร์ให้โรมคบกับผู้หญิงนั้นกลายๆ ทำไงได้ล่ะครับ ผมแก้ต่างไม่ได้สักข้อกล่าวหา

   "กูไม่ใช่คนลำเอียง ถ้าน้องโรมมันเจอคนที่ดีพอ กูก็จะสนับสนุนให้เพื่อนมีความสุข" รอยยิ้มหลังม่านควันสีเทาช่างดูน่าชัง รอยยิ้มของคนที่เหนือกว่า

   ผมเกลียดรอยยิ้มของเขา

   "...แม้ว่าคนๆ นั้นจะไม่ใช่มึงก็ตาม"
 


   'บางทีการที่เราหยุดตรงนี้ มันอาจจะเป็นทางที่ดีที่สุด' น้ำเสียงคุ้นเคย ใครบางคนกำลังนั่งคร่อมอยู่บนตัก มือแสนอบอุ่นกำลังประคองใบหน้าผมอยู่ ทุกสัมผัสเด่นชัด เว้นแต่บริเวณใบหน้าที่ไม่ว่าจะกระพริบตาเท่าไหร่ก็ยังเห็นเป็นเพียงภาพที่เลือนราง

   'อยู่ที่นายเลือกแล้วหนึ่ง'

   ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน คนตรงหน้าเป็นใคร แล้วสถานการณ์ในตอนนี้คืออะไร

   ร่างกายเหมือนไม่ใช่ของตัวเอง ไม่สามารถสั่งให้ขยับได้ตามที่สั่ง ตัวผมเอื้อมมือไปจับข้อมือของอีกคนที่ยังคงอยู่ที่เดิม ข้อมือขนาดเล็กไม่มีเครื่องประดับใดๆ จะมีก็แต่เพียงรอยหมึกสีดำที่เลือนไม่ต่างจากใบหน้า ลูบมันอย่างทะนุถนอมก่อนประทับจูบบางเบา

   ไม่ว่ามันจะเป็นสัญลักษณ์หรือคำว่าอะไรก็ตาม มันมีความหมายกับผมเป็นอย่างมาก ผมรู้สึกอย่างนั้น

   เคลื่อนตัวให้หลุดจากพันธนาการมนุษย์ เดินออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นโดยไม่ลังเล เดี๋ยวสิ นี่ผมกำลังทำอะไรกันแน่ แล้วคนตรงนั้นคือใคร...

   สิ่งรอบข้างกลายเป็นสีดำสนิท สิ่งแรกที่ทำหลังจากบังคับร่างกายได้คือหันหลังกลับมามองใครคนนั้น คนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ต่างไปตรงที่มีใครอีกคนนึงกำลังเดินเข้ามาเคียงข้าง ไม่มีภาพเลือนอีกแล้ว ผมเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน
เขาที่ผมยกให้เป็นที่หนึ่งเสมอมา

   "โรม?"

   แสงแดดที่ลอดผ่านม่านแยงตาจนไม่สามารถลืมตาตื่นได้เต็มที่ ผมยังคงนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง เรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความทรงจำ

   มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ออกกำลังกายอย่างหักโหมหรือใช้ร่างกายเกินความจำเป็นอย่างแน่นอน น่าแปลกที่ถึงแม้สติจะกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์แล้วแต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตามคำสั่ง มันทั้งหนักอึ้งแล้วก็ด้านชา ผมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในฟูกเหมือนเดิม แล้วเปลี่ยนมาให้ความสนใจกับสิ่งอื่นดีกว่า

   อย่างฝันเมื่อกี้ ช่วงนี้ผมอาจคิดเรื่องโรมมากไปจนเก็บเอาไปฝันเป็นวรรคเป็นเวร เหมือนในความฝันเรากำลังคบกัน ไม่สิ เรากำลังจะบอกเลิกกันต่างหาก แถมผมยังปล่อยให้มันเกิดขึ้นง่ายๆ อีก บ้ารึเปล่าวะที่หนึ่ง ถ้าได้เป็นแฟนโรมจริงทำไมยอมเดินออกมาอย่างนั้น

   ผมไม่ได้นับเป็นจำนวนวันที่แน่นอน รู้เพียงแต่มันผ่านมาหลายวันแล้วนับจากวันที่คุยกับแบล็คล่าสุด เป็นช่วงเวลาที่แย่มากในชีวิตผม อย่างวันก่อนก็ดันบังเอิญไปเจอโรมกับอีกคนไปกินข้าวกันสองคนในโรงอาหาร ไม่เหมือนปกติที่จะติดสอยห้อยตามเพื่อนในกลุ่ม เฮ้อ นี่ผมต้องยอมรับความจริงแล้วใช่ไหม

   อยากจะนอนอืดต่อไปอีกหลายๆ ชั่วโมง นาฬิกาที่บอกว่าสิบโมงกว่าแล้วทำให้ต้องเด้งตัวขึ้นจากเตียงโดยไว วันนี้ผมมีนัดคุยกับสตาฟเรื่องโปรเจค beyours ตอนเที่ยง สภาพตัวเองในกระจกยิ่งกว่าดูไม่ได้ หนวดขึ้นครึ้มแถมยังมีตาแพนด้าอีก ผมจัดการความโทรมบนใบหน้า อาบน้ำอะไรให้เรียบร้อยแล้วรีบออกไปยังสถานที่นัดหมาย

   "โทษนะครับ ใช่คนเข้าร่วมโครงการบียัวร์รึเปล่า ถ้าไม่ใช่รบกวนออกไปรอข้างนอกนะครับ"

   ในห้องรับรองมีเพียงสตาฟฝ่ายทะเบียนสองสามคน ส่วนคนที่เข้าร่วมโปรเจคมีเพียงผู้ชายผมสีดำที่เวลาออกแดดจะมีประกายน้ำเงินอยู่เพียงคนเดียว มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่การนัดหมายจะต้องทำก่อนเวลาที่คาดไว้เกือบชั่วโมง เพราะงั้นถ้าจะเริ่มงานบ่ายโมง ก็ต้องบอกว่านัดเที่ยง ยังไงสุดท้ายกว่าจะครบองค์ประชุมก็บ่ายโมงนั่นแหละ

   "อ๋อ สงสัยเข้าห้องผิดครับ เดี๋ยวไปล่ะ" ผมยังอารมณ์ดีพอที่จะเล่นมุกกลับไป 'เวล' หัวเราะในลำคอแล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ถูกเตรียมไว้ให้

   "ช่วงนี้งานหนักเหรอ สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะ"

   เวลถาม เขาเป็นหนึ่งในคนดังของปีสาม เรียนอยู่คณะศิลปศาสตร์ ไม่ได้เป็นเดือนแต่ว่าดังยิ่งกว่าเดือนปีนั้นเสียอีก แน่ล่ะ ส่วนสูงมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าบวกกันหน้าตาที่พูดได้คำเดียวว่าหล่อตามสมัยนิยม แม้หน้าตาจะเป็นใบเบิกทางให้ไปได้ไกลกว่านี้แค่ไหนเขากลับไม่ชอบทำงานเป็นเบื้องหน้ารวมถึงเข้าถึงยากในบางที ตำแหน่งประธานชุมนุมโฟโต้ทำให้เราได้เจอกันบ่อย

   ยังอยู่ในสไตล์การแต่งกายที่เข้าไม่ถึงแบบเดิม เสื้อแขนยาวสีดำกับกางเกงขาเดฟสีดำที่ดูมืดมนซะไม่มี เวลชอบแต่งอยู่แค่สามสี ขาว เทา ดำ จนมีคนเอาไปแต่งเป็นเรื่องเป็นราวว่าเขาแต่งไว้อาลัยให้คนที่เขารักมากที่สุด ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องจริงหรอก เพราะตอนที่ผมเอามาเล่าให้เวลฟังเขาก็แค่ยิ้มออกมาแล้วบอกว่าไร้สาระเท่านั้นเอง

   "ช่วงนี้ฝันร้ายบ่อย" การที่ผมต้องดำเนินชีวิตอยู่โดยรู้ว่าโรมกำลังไกลออกไปเรื่อยๆ มันเป็นฝันร้ายขั้นสุด

   "หืม? ฝันร้ายกลายเป็นดีไง"

   "เป็นอย่างนั้นก็ดีสิ..."

   ผมเคยเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยเชื่อเรื่องฝันร้ายกลายเป็นดี หรือฝันบอกเหตุเลยตั้งแต่เด็ก จนประมาณมัธยมต้นก็ทำได้แค่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนที่เซนต์แรง ผมไม่ค่อยฝันมากเท่าไหร่ แต่ถ้าฝันแล้วมันมักจะเกิดขึ้นจริงเสมอ เรียกง่ายๆ ก็ฝันบอกเหตุนั่นแหละ ผมเลยไม่ชอบความฝันเมื่อเช้าเลยสักนิด เพราะมันกำลังบอกว่าแม้ผมจะได้โรมมาแต่วันหนึ่งผมเองนี่แหละที่เป็นคนปล่อยเขาไป

   สิ่งที่แย่ที่สุดคือเรื่องราวในความฝันของผมมันจะเกิดขึ้นจริงเสมอ

   "ฝันร้ายมากเลย?" เวลถามพลางเลิกคิ้วขึ้น "หน้าแย่มากรู้ตัวไหม"

   "ก็ประมาณนั้น"

   "เล่าได้นะ ยังมีเวลาเหลืออยู่" เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เราสนิทกันในระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับมาก เวลเป็นคนหน้านิ่งดูเย็นชา ชอบปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียว งานอดิเรกคือถ่ายรูป ไม่ได้ถ่ายคนหรือสถานที่ ถ่ายดวงดาวบนท้องฟ้าต่างหาก นั่นเลยเป็นที่มาที่ผมบอกว่าเขาดูเข้าถึงยากไง

   แม้จะเข้าถึงยากเวลก็เป็นเพื่อนที่ดีเสมอ โดยเฉพาะเรื่องปรึกษาปัญหาชีวิต

   "เคยรู้สึกว่าแพ้ทั้งๆ ที่ยังไม่เริ่มไหม"

   "หือ...?" ท้ายเสียงที่ขึ้นจมูกบอกว่าเขาแปลกใจในคำถามไม่ใช่น้อย "คำถามนี้ควรออกมาจากปากของที่หนึ่งเหรอ"

   ชื่อของผมยังคงเป็นหัวข้อในการล้อได้ตลอด ถ้าถามว่าผมไม่ชอบไหมก็คงตอบว่าใช่ ก็นะ ถึงผมไม่ชอบคนอื่นก็ไม่หยุดพูด เสียงส่วนน้อยอย่างผมเลยทำได้แค่เงียบไว้

   "ถ้าหูนายยังปกติก็ใช่"

   "อืม..."

   เวลเป็นคนไม่พูดคำหยาบ การพูดกับเขาเลยต้องพูดสุภาพในระดับหนึ่งที่ไม่ถึงกับต้องพูดครับใส่กัน เรียกได้ว่าเป็นบุคคลแรร์ไอเทมในยุคสมัยนี้เลยก็ว่าได้

   "ไม่เคยแพ้ทั้งที่ไม่เริ่มนะ แต่เคยแพ้เพราะมั่นใจเกินไป" เขาหยุดพูดไปชั่วครู่ สายตาเหม่อออกไปที่ไหนสักแห่งในความทรงจำ "มั่นใจว่าเขาไม่มีทางหนีไป รู้ตัวอีกทีก็เหลือตัวคนเดียวซะแล้ว"

   เป็นความรู้ใหม่สำหรับผม เวลเป็นอีกคนที่ไม่เคยมีข่าวซุบซิบเรื่องความรัก อาจเป็นเพราะเรื่องเล่าพิลึกๆ เกี่ยวกับสีเสื้อที่ใส่ประกอบกับนิสัยรักสันโดษส่วนตัว ไม่ยักกะรู้ว่าจะมีมุมรักวัยรุ่นกับเขาด้วย

   "คนขี้เหงาเลยยอมมาอยู่ในโปรเจคนี้งั้นเหรอ?" ผมถามกึ่งเล่นกึ่งจริง อย่างที่บอกเวลมีชื่อเสียงด้านความลึกลับ เขาไม่เคยยอมตกลงเข้าร่วมกิจกรรมไหนภายในมหาวิทยาลัย แต่วันก่อนตอนที่กำลังสรุปเรื่องจำนวนคนเข้าโครงการ มีน้องสตาฟคนหนึ่งพูดขึ้นมาลอยๆ ว่าพี่เวลไม่สนใจเหรอคะ ตอนแรกผมกับทุกคนคิดว่าเด็กคนนี้จะโดนเวลแผ่รังสีใส่ กลับกลายเป็นเขายอมตกลงที่จะเข้าร่วมด้วยเสียอย่างนั้น

   เป็นการตัดสินใจที่ทุกคนตกใจอย่างหาคำเปรียบไม่ได้

   "เขาเรียกว่าให้ความร่วมมือต่างหาก"

   "ก็นายเคยให้ความร่วมมือกับใครเขาที่ไหน" ผมพูดออกไปตรงๆ มองคนที่ยังคงทำตัวเฉยชาว่าจะมีปฎิกิริยาตอบโต้ยังไง "เห็นใช้ชีวิตเพื่อไว้อาลัยให้ใครคนนั้นมาตลอด"

   ผมเย้ากลับไป เวลเพียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย "ไม่ได้ไว้อาลัย รอต่างหาก"

   "รอ?"

   "รอว่าบางทีเขาอาจกลับมา"

   "ทำไมถึงรอล่ะ มั่นใจขนาดนั้น?"

   คำถามที่ไม่รู้ว่าถามเขาหรือถามใจตัวเอง

   "เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่ต้องการเหตุผลขนาดนั้นหรอกนะ" รอยยิ้มน้อยๆ ประดับขึ้นบนใบหน้า เขาเอื้อมมือไปหยิบกล้องดิจิตอลตัวใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ กดปุ่มอะไรสองสามทีแล้วยกมันขึ้นระดับสายตา ทำไมต้องมาถ่ายรูปในวันที่ผมไม่มีความพร้อมเลยสักนิดด้วย

   "ไม่ถ่าย" ผมยกมือขึ้นปิดหน้าเลนส์ เวลไม่สนใจคำห้ามของผม เขาขยับตัวออกด้านข้างเพื่อให้พ้นจากรัศมีการบัง ตามมาด้วยเสียงลั่นชัตเตอร์สองสามครั้ง หน้าผมต้องแย่มากแหง

   คงเป็นอย่างที่คิด เวลกดไล่ดูรูปบนหน้าจอกลับไปมาโดยกลั้นยิ้มไปด้วย เมื่อพอใจแล้วจึงหันมาให้ผมดูรูปที่โชว์อยู่ ภาพที่เห็นคือตัวเองทำหน้าบูด ขอบตาดำยังเห็นอยู่ชัด ถ้าให้เรียกรวมง่ายๆ ก็ดูไม่จืด

   "คนในรูปนั่นใคร ...ใช่ที่หนึ่งที่ฉันรู้จักรึเปล่า" เขาไล่ต่อไปภาพที่สอง ต่างกับภาพแรกตรงที่ผมกำลังอ้าปากพูดอะไรอยู่ เวลถามคำถามที่ผมต้องกลับมาถามตัวเอง คนในรูุปนั่นใคร ใช่ผมแน่เหรอ

   ที่หนึ่งไม่เคยเป็นอย่างนี้

   "ถ้าให้ฉันตอบ ฉันจะตอบว่าไม่ใช่ ที่หนึ่งที่ฉันรู้จักไม่ใช่คนในรูป" รูปสุดท้ายแย่กว่าทุกรูปที่ผ่านมา นัยน์ตาที่สุดแสนอ่อนล้าเด่นชัด "ที่หนึ่งคนนั้นไม่มีทางยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม"

   หน้าจอดิจิตอลดับลงไปแล้ว เวลปล่อยให้ผมจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อไป จะเดินหน้า ถอยหลังหรือหยุดอยู่ตรงนี้  อย่างที่แบล็คบอกผมอาจอยู่บนความสำเร็จมานานจนกลัวว่าวันหนึ่งจะรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ ผมยังคงอยู่เงียบๆ อย่างนั้นจนกระทั่งเสียงสตาฟเรียกให้ทุกคนรวม

   "เคยมีใครสักคนบอกว่า ชัยชนะมันไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งตอนสุดท้าย แต่มันอยู่ว่าคุณกล้าที่จะก้าวออกจากจุดเริ่มต้นรึเปล่า" เวลลุกขึ้นพร้อมกับกล้องในมือ ตำแหน่งช่างกล้องที่พ่วงเข้ากับผู้ร่วมโครงการทำให้เขาต้องเริ่มงานแล้ว "เพราะงั้นสำหรับฉัน ตำแหน่งคนแพ้มันก็เหมาะสำหรับคนที่กลัวการเริ่มต้นอยู่เหมือนกัน"

   ผมพาตัวเองมานั่งประจำตำแหน่งที่เขาจัดไว้ให้ โปรเจค beyours หรือเรียกง่ายๆ ว่า 'ของคุณ' เป็นการร่วมมือกันระหว่างองค์กรนักศึกษากับกลุ่มกิจกรรมจิตอาสา โดยมีตัวแทนเป็นนักศึกษาตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่งถึงสี่ที่มีผลงานโดดเด่น เราจะต้องทำภารกิจตามที่ทางผู้จัดเตรียมมาไว้ เห็นบอกว่าเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนตระหนักว่ามหาวิทยาลัยเป็นของคุณทุกคน เพราะงั้นเราก็ควรจะช่วยกันดูแลรักษาไว้ อะไรประมาณนี้

   รู้ว่าเป็นการเสียมารยาทมากที่ไม่ใส่ใจการประชุม ผมเอาแต่นั่งขีดเขียนเอกสารจนเต็มไปด้วยรอยหมึก เมื่อมันไม่เหลือที่ให้เขียนอะไรลงไปได้อีกก็เปลี่ยนเป็นหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ขึ้นมาไล่อัพเดตความเป็นไปบนโลกโซเชียลแทน ผมไม่ค่อยเล่นเฟสบุ๊ค เพราะสมัยที่ยังเล่นไม่ค่อยเป็นเพื่อนตัวแสบดันปรับการตั้งค่าให้คนสามารถฟอลโล่ได้ เพราะงั้นในเฟสผมจะมีเฟรนด์แค่ไม่กี่ร้อยคน นอกนั้นเต็มไปด้วยผู้ฟอลโล่ที่ไม่รู้จัก จนสุดท้ายปลงตกปล่อยให้มันดำเนินไปตามทางของตัวเอง ส่วนมากผมจะมีไว้อัพเดตข่าวทั่วไปกับติดตามว่าคณะจะงดเซครึเปล่า

   ไม่มีอะไรที่น่าติดตาม ผมเปลี่ยนมาเปิดแอพสนทนาออนไลน์ที่มีไอคอนสีเขียว ไลน์ของผมมีแต่เพื่อนสนิท ผมปิดวิธีการเพิ่มเพื่อนทุกช่องทางเพื่อไม่ให้ใครเข้ามาวุ่นวาย ผมเลยรู้สึกสบายใจมากกว่าเวลาเล่นไลน์ การแจ้งเตือนมีไม่กี่รายการ ที่สะดุดตาที่สุดคือการแจ้งเตือนว่ามีการส่งรูปมาจากแบล็ค

   รีบกดเข้าไปดูเนื้อหาอย่างรวดเร็ว กดขยายรูปโรมที่กำลังนั่งแกะลูกอมอยู่บนม้าหิน ผมเซฟรูปแล้วกลับมาอ่านข้อความที่ถูกส่งมาก่อนหน้า

   'Time up'

   ไม่จริงน่า...

   แล้วผมก็เสียมารยาทครั้งที่สองโดยการขอออกจากการประชุมกลางคัน ตรงประตูห้องมีเวลยืนอยู่ เหมือนยืนรอการออกมาของผม ไม่ต้องมีคำพูด ไม่ต้องมีท่าทางให้กำลังใจ แค่ผมสบตากลับไปเขาก็ยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้

   กดโทรออกซ้ำๆ ไปหาเบอร์ที่ผมตั้งชื่อไว้ว่า 'คุณพ่อตา' แต่ก็ไม่มีการตอบรับ นี่มันไม่ปกติแล้ว แบล็คไม่เคยไม่รับสายผม เคยให้เหตุผลว่าเผื่อผมโทรมาร้องไห้ฆ่าตัวตายจะได้ห้ามทัน

   เลขสิบที่ขึ้นต่อท้ายชื่อบอกว่าผมโทรออกมาเป็นจำนวนเท่าไหร่ รถบนถนนที่หนาตาทำให้ผมต้องวางมือถือลงชั่วคราว จากตรงนี้กลับไปคอนโดใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ ผมต้องไปถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ โรมคบกับผู้หญิงคนนั้นแล้วเหรอ

   หัวใจชาวาบไม่รู้ตัวเมื่อคิดถึงภาพในฝันเมื่อเช้า ทันทีที่สัญญาณจราจรโชว์ไฟสีแดงผมก็หยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องสี่เหลี่ยมขึ้นมาอีกครั้ง หน้าโฮมเด้งขึ้นมาว่าเจ้าของชื่อแบล็คส่งข้อความมาหาผม

   'ศาลา สวน xxx'

   นั่นเป็นชื่อสวนสาธารณะที่ห่างออกไปจากรั้วมหาวิทยาลัยไม่ไกลเท่าไหร่ ผมจัดการเปลี่ยนเส้นทางทันควัน ที่ไม่รับสายแต่ส่งไลน์มาให้นี่จงใจให้ผมคลั่งสินะ ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีก็ถึงที่หมาย สายตามองหาศาลาที่เขียนบอกไว้ก่อนหน้า นั่นไง ศาลาไม้สีขาวโดดเด่นท่ามกลางสีเขียวของต้นไม้

   จากมุมนี้เห็นว่ามีคนอยู่ในศาลา ก้าวยาวๆ ให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด พลาดแค่ตรงที่คนในศาลาที่กำลังนั่งก้มหน้ากดมือถืออยู่ไม่ใช่คนเดียวกับคนที่ผมโทรหาเป็นสิบสาย เป็นผู้ชายที่อยู่ในความฝันของผมต่างหาก

   แบล็คต้องการอะไรกันแน่

   ผมใช้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลนักเป็นที่กำบัง ความร้อนยามบ่ายบวกกับความรีบเร่งทำให้เหงื่อผุดขึ้นพราว นี่มันกำลังวัดใจผมอยู่ใช่ไหม ราชานี่ชอบแกล้งประชาชนอย่างนี้เสมอเลยรึเปล่า

   '...ตำแหน่งคนแพ้มันก็เหมาะสำหรับคนที่กลัวการเริ่มต้นอยู่เหมือนกัน'

   คำที่เพื่อนอีกคนเพิ่งพูดย้อนกลับเข้ามาในหัว

   ผมกำลังเป็นคนที่กลัวการเริ่มต้นอยู่อย่างที่เวลพูดรึเปล่า ที่ผมไม่กล้าเข้าไปหาเขาเป็นเพราะอะไรกันแน่ แน่นอนว่าความรักระหว่างเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้ง่ายในสังคม ผมไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ แต่โรมล่ะ...จะรับได้อย่างผมไหม ความรักเป็นเรื่องยากเสมอเพราะความรู้สึกของคนสองคนไม่ใช่เรื่องที่คาดเดาได้ง่าย

   แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจคือผมจะยังคงเก็บตำแหน่งนี้ให้เขาเหมือนเดิม ไม่ว่าผลของคำตอบจะเป็นยังไง

   เอาวะ เป็นไงเป็นกัน!

   สายตามองตรงไปยังเขาเพียงคนเดียว รู้ตัวดีว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเครียดมาก นี่จะเป็นการเริ่มต้นที่ผมไม่มั่นใจมากที่สุดว่าสุดท้ายมันจะไปจบที่ตรงไหน

   เว้นระยะห่างจากคนที่อยู่ตรงหน้าพอควร เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาประหลาดใจ

   "ผมชื่อที่หนึ่ง" ชื่อที่ผมอยากให้เขาแค่เคยได้ยินก็ยังดี

   "...ผมอยากเป็น 'ที่หนึ่ง' ของคุณ"

   นั่นคือทั้งหมดที่ออกมาจากหัวใจ

[End : ที่หนึ่ง]


***
   คอมเมนท์ทุกคนไปในทิศทางเดียวกันในเรื่องอิมเมจของที่หนึ่งที่ผิดคาดค่ะ (หัวเราะ)
   ขอบคุณทุกๆ คอมเมนท์และกดบวกนะคะ ถ้าเจอคำผิดหรือการใช้คำแปลกๆ ติได้เต็มที่เลยค่ะ /โค้ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 25-09-2015 23:55:11
โนววววว
เด็ดดวงมากก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: SiHong ที่ 26-09-2015 00:17:19
พูดออกมาแล้วววววววว
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: painture ที่ 26-09-2015 01:58:27
น่ารักมากกกกก โอ้ยยยย

 :hao5:
ส่งแรงไปปให้ ที่หนึ่ง !!
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 26-09-2015 02:11:48
 :a5: o13 o13  o13 ที่หนึ่งสู้ๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 26-09-2015 02:15:14
น่ารัก เราละลายอะะะ

ที่หนึ่งนี่โชคดีนะที่มีคนให้คำปรึกษาดี ๆ อะ ไม่งั้นก็คงได้แต่มองจนสายเกินไป
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-09-2015 03:38:56
บรรยากาศเร่ืองนี้บางครั้งก็ดูน่ากลัวน่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 26-09-2015 06:25:11
ที่หนึ่งสู้สู้ววววว
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 26-09-2015 06:43:55
 o13
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 26-09-2015 07:22:16
แอร๊ยย ที่หนึ่งจู้ๆน้าาาา :impress2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 26-09-2015 07:32:41
ที่หนึ่งน่ารักมาก ตัวเองพูดกับโรมพูดคนละแนวกันเลย
ในสายตาโรม ที่หนึ่งดูดีมากอ่ะ
พอบรรยายเอง จบกันนนนนน สุดหล่ออ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 26-09-2015 08:42:49
 :katai1: :katai1: :katai1:
ที่หนึ่งรุกแล้ว
โรมอย่าปฏิเสธเลยนะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 26-09-2015 10:39:14
ที่หนึ่งขี้ป๊อดอะ. หวังว่าเรื่องที่ฝันคงไม่มาเกี่ยวกับเรื่องจริง.  บางครั้งบรรยากาศเหมือนอึมครึ้ม. สีหม่นๆ. อยากให้สว่างไสวกว่านี้
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 26-09-2015 13:11:55
'ที่หนึ่ง' ในใจ ของที่หนึ่ง โอยย ฟิน  :m1:
เปิดตัวออกมาอย่างนี้แล้ว ตอนหน้า เน็ตกับนิช ต้องโผล่มาแน่เลย
จะเป็นคนยังไงนะ แล้วที่หนึ่งจะโดนแหวกอกไหม 555
แบล็ค ยังคงเท่ห์เหมือนเดิม สมเป็นราชา ชอบมาก  :o8:
เวล ก็น่าสนใจ ให้คำแนะนำดีจริง ๆ แล้วกำลังรอคอยใครกันน้า
คนที่กลับมา ที่แบล็ค พูดถึงตอนต้น คือ เพื่อนผู้หญิงในกลุ่ม
ที่หายไปแน่เลย มีความสัมพันธ์ยังไงกับไวท์ กันนะ ชักน่าสงสัย
รอติดตาม น้องโรม จะตอบว่ายังไงกันน้อ แต่ทำใจไว้ก่อนสักนิดนะจ้ะที่หนึ่ง
ยังไงก็เอาใจช่วยที่หนึ่ง สู้ ๆ พิชิตใจน้องโรมให้ได้น้า
เรื่องน่าติดตามมาก ๆ พระเอกเรื่องนี้น่ารักจริง ๆ ขอบคุณค่ะ
 
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 26-09-2015 13:55:47
หู๊ยยยยย เด็ดจ้า ที่หนึ่ง ทำดีๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: zleep ที่ 26-09-2015 14:11:50
ลุยเลยที่หนึ่ง ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้วนะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 26-09-2015 17:14:15
กี๊ซ
ที่มาของบทนำนี่เองงงงงงงง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: DZiik ที่ 26-09-2015 18:11:30
ที่หนึ่งสู้ๆ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 26-09-2015 20:03:51
อ่านบทนำจบคืออุทานว่า อุ้ย น่ารักมากอ่าาาาา

น่ารักจริงๆ ค่ะ ติดตาม เป็นกำลังใจให้นะคะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-09-2015 14:23:45
เอาใจช่วยที่หนึ่งนะ บรรยากาศเรื่องดูหม่นๆอ่านแล้วเครียดเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 28-09-2015 05:14:23
ในที่สุดนะที่หนึ่ง  :katai2-1:  มันก็ถูกของเวลอยู่นะ
อ้างถึง
"...ตำแหน่งคนแพ้มันก็เหมาะสำหรับคนที่กลัวการเริ่มต้นอยู่เหมือนกัน"
เพราะงั้นสู้ๆ เดินหน้าแล้วเครียด ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แล้วกังวลไปเองนะ

บุคลิกเวลน่าสนใจ...กำลังรอใครอยู่  :m28:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 28-09-2015 07:03:03
 o13
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 29-09-2015 01:18:30
ชอบเรื่องนี้ตั้งแต่บทนำแล้วค่ะ แม้ที่หนึ่งจะคุยเยอะกว่าที่เรามโนไว้
แต่เราก็จะติดตามที่หนึ่งกับโรมไปเรื่อยๆนะคะ

ปล. ชอบแบล็คกับเวลมากค่ะ อ่านแล้วรู้สึกอยากรู้เลยว่าทั้งสองคนเป็นคนแบบไหน
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 29-09-2015 10:04:50
ที่หนึ่งสู้ๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 30-09-2015 11:11:24
พ่อคนไม่เคยแพ้เอาใจช่วยนะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 30-09-2015 15:42:55
คุณพ่อตาก็เอาใจช่วยว่าที่ลูกเขยเหมือนกันนะเนี่ย 555+

และในที่สุด ที่หนึ่งของเราก็เริ่มก้าวแล้วววววว
รอ ร้อ รอ ตอนต่อไปฮะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 3 [25.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 30-09-2015 22:51:49
เอาล่ะ ถึงเวลาของที่หนึ่งแล้วววว
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 02-10-2015 23:26:31
บทที่ 4

   ผมกำลังเป็นเด็กเอ๋อตามที่แบล็คชอบพูด

   ไม่รู้ว่านั่งเฉยๆ กอดเจ้าหมีแขนขายาวสีส้มอยู่บนเตียงมากี่ชั่วโมงแล้ว ถ้าจะให้เล่าย้อนกลับไปมากกว่านั้นคือผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสุดแสนดีที่ชื่อมีคำแปลว่าสีดำ บอกสั้นๆ แค่ว่าเดี๋ยวตอนบ่ายสองไปเจอกันที่สวนสาธารณะใกล้หอหน่อยแล้วก็วางสายไป ไม่ทันจะถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือปฎิเสธ โทรกลับไปเท่าไหร่ก็ไม่ยอมรับสาย ไลน์ไปก็ไม่แม้แต่จะรี้ด ผมเลยทำได้เพียงยอมออกมาจากคอนโดตามคำสั่ง
 
   แดดยามบ่ายบนโลกกำลังร้อนขึ้นทุกวันช่างทรมาน ผมมาถึงที่หมายในเวลาที่กำหนด เดินจนทั่วสวนก็ไม่เจอคนที่โทรมานัดแม้แต่เงา จนสุดท้ายความเหนื่อยบวกกันความร้อนทำให้ผมเลือกที่จะมานั่งเล่นในศาลาเพื่อรอ แบล็คไม่เคยผิดนัด อย่างมากก็แค่เลทไปสองชั่วโมง

   นั่งเล่นแคนดี้ครัชรอไปเรื่อย ติดอยู่ที่ด่านนี้มาสองวันแล้ว ไม่ผ่านสักที เล่นหัวใจหมดไปเป็นสิบก็ยังไม่มีวี่แววของใครอีกคน ผมเปลี่ยนไปเปิดหน้าบันทึกการโทรเข้าออก ก่อนที่นิ้วจะกดตรงเบอร์ที่ต้องการก็รู้สึกได้ว่ามีเสียงฝีเท้าหนักๆ ใกล้เข้ามา ตั้งใจจะด่าทันทีที่เงยหน้าขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีเสียงหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากของผม

   ในเมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่เพื่อนของตัวเองอย่างที่คาดเดาไว้ กลับเป็นผู้ชายที่ผมเคยบอกตัวเองเสมอว่าผมกับเขาอยู่กันคนละมิติในโลกใบเดียวกัน ใบหน้าเคร่งเครียดทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะทักทาย

   "...ที่หนึ่งของคุณ"

   ผมจำคำพูดนั้นได้ดี มันไม่ใช่ประโยคสุดท้ายแต่สติผมก็หลุดไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นถึงเขาจะพูดอะไรออกมาอีกสองสามอย่างผมก็จำไม่ได้แม้แต่น้อย รู้ตัวอีกทีตอนที่เขามาส่งหน้าลิฟต์ที่คอนโดนั่นแหละครับ พอเข้าห้องปุ๊บก็มานั่งเป็นรูปปั้นแบบตอนนี้เลย ยังสงสัยอยู่ถึงตอนนี้ว่าเขารู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่

   ผมไม่ใช่คนโง่ขนาดที่จะไม่รู้ความหมายที่เขาต้องการสื่อ เพียงแค่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ผมกับที่หนึ่งแทบไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำ ถ้าคุยก็ไม่เคยเกินห้าประโยค แล้วเขากำลังบอกว่าเขาชอบผมอย่างนั้นเหรอ
 
   มันดูเป็นเรื่องราวที่ประหลาดเกินไป

   อยากจะย้อนเวลากลับไปตอนบ่ายอีกครั้ง จะได้ถามเขาไปว่าไม่ได้ล้อเล่นหรือว่ากำลังทำภารกิจซ่อนกล้องอะไรอยู่ใช่ไหม ทำได้แค่คิดเท่านั้นล่ะ สิ่งที่ทำได้จริงก็แค่นั่งเอ๋อๆ อยู่บนเตียงไป

   "ทำไมไม่เปิดไฟ?" เสียงสวิตช์ไฟมาพร้อมกับเสียงของคนที่อยู่ห้องถัดไป ผมหันไปมองคนที่กำลังยืนพิงประตูด้วยใบหน้ายุ่งผิดปกติแล้วทำได้แต่เพียงนั่งเฉย

   "กูเคาะประตูตั้งนานทำไมไม่ไปเปิด"

   "..."

   "น้องโรม ถามก็ตอบ"

   "..."

   "โรมัน"

   เวลาที่เขาเรียกผมด้วยชื่อจริง นั่นหมายถึงเส้นความอดทนใกล้หมดลง แบล็คเดินเข้ามานั่งบริเวณปลายเตียง ผมก็อยากจะเล่าให้ฟังแบบไม่มีขาดตกบกพร่องเหมือนกันนะ แล้วจะให้เริ่มเล่ายังไงดีล่ะ เริ่มจากที่มันโทรมาแล้วกัน

   "วันนี้มึงโทรมาหากูป่ะ?"

   "หืม? กูโทรเหรอ กี่โมง" น้ำเสียงสุดแสนจะประหลาดใจ แบล็คทำตาโตผิดปกติแล้วเอียงคอประกอบ ผมเลยหยิบมือถือที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมาไล่เปิดดูสายโทรเข้าให้ดู

   "มึงบอกให้กูไปหามึงที่สวน กูก็ไป แต่ไม่เจอมึง กูเจอ..." ผมหยุดพูดเอาดื้อๆ พอชื่อที่หนึ่งผุดขึ้นมาในหัว มันก็ตามมาด้วยคำพูดของเขา

   "เจอ?" ทวนคำสุดท้ายของผม ทำตัวลุ้นระทึกเต็มที่ด้วยการคว้าเอาน้องหมีที่ผมกอดอยู่ไปไว้กับตัวเอง มือสองข้างจับแขนยาวๆ ของเจ้าหมีตีขึ้นลงไปมาเป็นจังหวะกลอง

   "เจอคนๆ หนึ่ง..."

   "แล้วไงต่อ"

   "ก็เจอ ที่นี้ก็..."

   "มึงช่วยเล่าทีเดียวยาวๆ ได้ป่ะน้องโรม กูไม่มีความอดทนพอที่จะมานั่งชงทุกประโยคอย่างนี้นะเฮ้ย" เขากำลังอารมณ์เสียแล้วล่ะครับ ทำไมเปลี่ยนโหมดไวจัง ผมตามไม่ทันอะ

   "กูเจอคนที่มึงก็รู้จักแหละ แล้วทีนี้เขาก็เข้ามาคุยกับกู แล้ว..."

   ...เขาก็บอกว่าเขาอยากเป็นที่หนึ่งของกู

   สีหน้าของอีกคนเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ยิ่งเขาทำหน้าสนใจมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งกระดากปากที่จะพูดออกไป เราไม่เคยมีความลับต่อกัน หมายถึงผมไม่เคยมีความลับกับแบล็คมากกว่าน่ะ อาจเพราะในชีวิตผมไม่ได้เจอเรื่องราวที่ต้องเก็บเป็นความลับไม่ให้ใครรู้ขนาดนั้นด้วย ผมมีความเชื่อเรื่องยิ่งเก็บเป็นความลับแล้วก็จะยิ่งมีคนคุ้ย สู้ทำเป็นสิ่งนั้นไม่มีตัวตนอยู่เลยจนวันหนึ่งมันก็หายไปจากความทรงจำดีกว่า

   "น้องเอ๋อครับ พี่บอกให้เล่ายาวๆ ไงครับ" แขนของเจ้าหมีแปะลงกับหน้าผากของผม "ไงต่อ เล่ามาให้จบทีเดียวเลย"

   ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงสายตาของแบล็คที่มองมาอย่างรอคอย ผมกำมือแน่นจนรู้สึกเจ็บ คิดว่าเล็บนิ้วก้อยที่จงใจไว้จนยาวต้องจิกลงไปในเนื้อไม่มากก็น้อย ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไป จะบอกไปตามตรงหรือจะเก็บไว้ก่อน เผื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันจะเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันเฉยๆ

   ที่หนึ่งที่ผมรู้จักเป็นผู้ชายที่น่าชื่นชม ไม่เคยมีข่าวเสียหาย ผมไม่รู้ว่าเขาเคยมีข่าวเรื่องความรักกับใครบ้างรึเปล่าเพราะผมไม่ใช่แฟนคลับ รู้ก็เพียงแต่ว่าเขามักจะโผล่ในงานระดับมหาวิทยาลัยอยู่บ่อยครั้ง และเรื่องราวชีวิตของเขามันไม่มีผลอะไรกับชีวิตของผม

   "ก็คุยกัน แค่นั้น"

   สุดท้ายผมก็เลือกที่เก็บมันไว้ก่อน

   "หืม?" เขาทำใส่ขึ้นจมูกใส่ผม แถมยังทำหน้าแบบไม่เชื่อถือสักเท่าไหร่อีกด้วย "แน่นะว่ามีแค่นั้น"

   "ใช่ คุยกันธรรมดา"

   "ก็แค่นั้น ...พ่อมึงดิ!" ต้นประโยคเป็นการรับทราบ ก่อนจะตบท้ายด้วยการปาน้องหมีใส่หน้าผม โอ๊ย เดี๋ยวน้องเจ็บนะแบล็ค "คิดว่ากูเชื่อ?"

   เขยิบเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ตอนนี้บนเตียงคู่ที่มีผู้ชายสองคนนั่งอยู่ทำให้ความกว้างดูน้อยลงไปถนัดตา ฟูกยวบลงไปเหมือนใจของผมที่กำลังหล่นวูบ มันก็เข้าอีหรอบนี้ทุกที ไม่ว่าเมื่อไหร่ผมก็ไม่เคยเก็บเรื่องราวให้พ้นจากสายตาของเพื่อนคนอื่นได้ ก็เคยพยายามเก็บสีหน้าให้เป็นปกตินะ แล้วก็โดนจับได้ทุกที

   "น้องโรม"

   "ไม่มีอะไร"

   "...เฮ้อ เอาเหอะ ไว้อยากเล่าเมื่อไหร่ค่อยเล่า"

   ผมสีน้ำตาลเข้มของผมถูกแบล็คยีจนไม่เป็นทรง หมอนี่เข้าใจไหมว่ามันยากแค่ไหนกับการเซตให้เป็นทรงน่ะ ผมพยักหน้ารับรู้ให้เขา ไม่อยากจะสบกับสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองระคนไปกับความน้อยใจ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าแบล็คกำลังคิดอะไรอยู่ ผมกำลังหัดมีความลับกับเพื่อนสนิท

   "เออ แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นไงบ้าง"

   อยากจะเปลี่ยนเรื่องเมื่อไหร่ก็เปลี่ยน ตอนนี้เพื่อนสนิทที่ไม่ยอมอยู่ห้องตัวเองได้เอนตัวลงนอนบนเตียงของผมอย่างสมบูรณ์ หน้าผมคงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามแบล็คเลยยกมือขวาขึ้นมาแล้วหุบลงให้เหลือเพียงนิ้วก้อย

   "อ๋อ เฟรนด์อะนะ"

   เฟรนด์คือชื่อของผู้หญิงที่แอดเฟสบุ๊คผมมาวันนั้นนั่นแหละครับ ตั้งแต่เธอทักมาครั้งแรกเราก็คุยกันมาตลอด อาจเพราะเราสองคนอยู่คณะเดียวกันแล้วก็ลงเรียนในรายวิชาที่เหมือนกันเกือบหมดทำให้คุยกันได้หลายเรื่อง หลังๆ มานี่เธอชอบชวนผมไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้ง บอกว่าเบื่อชีวิตการมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่ต้องรอกันไปมา อยากไปกันแค่สองสามคนก็พอแล้ว เลยกลายเป็นช่วงนี้ผมสนิทกับเธอมากอยู่พอควร

   "ชื่ออะไรก็ช่างแม่ง คนที่ชอบแท็กมึงในเฟสบ่อยๆ นั่นแหละ"

   สำหรับผมเฟรนด์ก็เหมือนเพื่อนผู้หญิงทั่วไปที่ชอบอัพเดตชีวิตตัวเองลงในโซเชียล เวลาเธอแท็กมาผมก็ไม่ใส่ใจอะไร คอมเมนท์ก็มีแต่จากฝั่งเพื่อนเขาทั้งหมด หน้าที่ของผมคือมีเฟสให้เธอแท็กรูป แท็กชื่อในสเตตัส จบ

   "ก็เพื่อนในคณะ ไม่มีอะไร"

   "เหรอออ" แบล็คลากท้ายเสียงยาวเหยียด "เพื่อนในคณะเขาคงตั้งแคปชั่นเวลาไปเที่ยวด้วยกันว่าวันพิเศษหรอกเนอะ"

   "กูก็เห็นเขาตั้งสเตตัสแนวๆ นี้ตลอด"

   "น้องเอ๋อเอ๊ย"

   "เมื่อไหร่จะเลิกเรียกว่าเอ๋อ กูปกติดีครับ" เรื่องนี้ผมขัดใจอย่างมาก คนในกลุ่มชอบเรียกผมว่าน้องโรมมาตั้งแต่เด็ก เพราะอายุผมน้อยที่สุดในกลุ่ม จนมาถึงช่วงเข้ามหาวิทยาลัยสักพักนั่นแหละ แบล็คก็เริ่มเพิ่มเติมคำว่าเอ๋อลงไปในชื่อของผม ถามเท่าไหร่ก็ไม่เคยมีคำตอบให้

   เขายิ้มกว้างให้ผม "สภาพมึงตอนที่กูเข้ามาในห้องนั่นแหละ โคตรเอ๋อ นั่งนิ่ง ตาลอยๆ กอดตุ๊กตาหมีไม่ยอมปล่อย ถ้าน้ำลายยืดนี่ใช่เลย"

   "สัตว์!"

   "ไม่เอาไม่หยาบคายสิน้องรัก ออกทะเลกันไปแล้ว กลับมาประเด็นเดิมก่อน" แบล็คปรบมือเรียกความสนใจให้กลับมาอยู่ที่หัวข้อเดิม "มึงคิดกับเขาแค่เพื่อน?"

   "ใช่"

   ผมตอบกลับไปโดยไม่ลังเล

   "แต่มึงก็ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นสร้างกระแสอย่างนี้เนี่ยนะ" มือข้างขวาของเขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเลื่อนหน้าจอไวๆ เมื่อเจอสิ่งที่ต้องการแล้วก็ยื่นมันมาใกล้จนแทบจะกระแทกหน้า เป็นรูปล่าสุดที่ปรากฎอยู่บนหน้าวอลล์ของผมเอง รูปผมกำลังก้มหน้าอ่านหนังสือในห้องสมุดเมื่อสองสามวันก่อน ส่วนแคปชั่นก็มีเพียงรูปอีโมติค่อนชูสองนิ้ว

   "ก็แค่อัพรูปทั่วไป"

   "คนอื่นเขาไม่คิดแบบนั้นไง ขนาดกูเองยังสงสัยเลยว่าสรุปพวกมึงอยู่ในฐานะอะไรกันแน่"

   "คิดมากไปแล้วมึง"

   ผมตอบไปส่งๆ พลางไล่ดูความเคลื่อนไหวบนไทม์ไลน์ตัวเอง เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าตั้งแต่เริ่มคุยกันเฟรนด์เธอมักจะขึ้นแคปชั่นหรืออัพเดตรูปโดยแท็กผมหลายครั้ง อย่างรูปล่าสุดผมก็เพิ่งได้อ่านคอมเมนท์ ส่วนมากก็แซวผ่านโพสไม่ก็เป็นสติกเกอร์หลายหลายแบบ

   น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับตัวอักษรพวกนั้นเลย

   "ไม่ได้คิดมาก กูแค่ไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจมึงผิด"

   "เข้าใจผิดว่า"

   "น้องโรม มึงโง่กว่าที่กูคิดไว้นะ" เขาเปลี่ยนเป็นนอนหงาย หยิบมือถือของตัวเองไปจากมือของผมอย่างรวดเร็ว เปิดไล่ดูอะไรบางอย่างที่ผมไม่เคยสนใจ "อะ เอาไปดูเอง"

   หน้าไทม์ไลน์ของเฟรนด์นั่นเอง เธอเพิ่งอัพเดตสเตตัสว่า 'ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกก็มีความสุขเหมือนกันนะ' แม้ว่าจะเพิ่งโพสได้ไม่ถึงสองชั่วโมงดียอดไลค์กับคอมเมนท์กลับยาวเหยียด ผมไม่กดเข้าไปอ่านว่าบทสนทนาในนั้นเป็นอย่างไรบ้าง สิ่งที่ผมทำก็แค่มองหน้าอีกคนที่อยู่ด้วยกันในห้อง รอจนกว่าเขาจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ผมกำลังรอ...ว่าเขาจะพูดในสิ่งที่ผมคิดไว้อยู่รึเปล่า

   "ไม่ต้องมาคอสเพลย์หน้าไวท์ กูเห็นมายี่สิบปีจนเอียนไปหมดแล้ว" แบล็คทำหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน คิ้วเขาขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากนั่นก็เบ้ลงน้อยๆ "กูไม่ใช่คนนอก แล้วกูก็ไม่ใช่คนใน เพราะงั้นกูทำได้แค่เตือนมึง รู้ใช่ไหม?"

   "อืม รู้"

   "เรื่องผู้หญิงคนนี้ กูขอให้มึงทำทุกอย่างให้ชัดเจนก่อนที่มันจะสายเกินไป มึงไม่คิดอะไร แต่เขาคิดไปไกลกว่านั้นแล้ว หน้าที่มึงคือจัดการให้ทุกอย่างมันเรียบร้อยซะ ก่อนที่มันจะแก้ไขไม่ได้"

   "ครับ" เสียงอ่อนลง ผมก้มหน้าลงเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยหงุดหงิด นิ้วลากไปมาบนฟูกแบบไร้เส้นทาง ทีหลังผมควรจะเช็คดวงรายวันก่อน แค่เรื่องของที่หนึ่งก็ทำให้ปวดหัวแล้ว มาเจอแบล็คโหมดจริงจังอีก มันมากเกินกว่าที่เส้นความอดทนของผมจะรับได้

   ความรักมักนำมาซึ่งความยุ่งยากเสมอ

   "จบเรื่องที่หนึ่ง ต่อเรื่องที่สอง" สะดุ้งวาบตอนได้ยินชื่อคนนั้น ผมบังคับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเลิกก้มหน้า เงยขึ้นมามองหน้าคนที่ยังไม่จบประเด็นพูด

   "ฟังกูดีๆ นะน้องโรม สิ่งที่กูจะพูดต่อไปนี้ไม่ใช่การกดดันหรือว่าจะมาตอกย้ำ แค่พอมีเรื่องนี้เข้ามากูเลยคิดว่ากูควรจะพูดอีกสักที และกูจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย" เขาขยับเข้ามาใกล้ผมจนเข่าเราชิดกัน มือยื่นออกมาจับท้ายทอยผมแล้วกดให้ใบหน้าซบลงตรงไหล่ของเขา กลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวที่ไม่มีใครเหมือนแตะจมูก กลิ่นที่หอมหวานแต่ก็เย็นเฉียบในเวลาเดียวกัน

   แบล็คกับไวท์ใช้กลิ่นน้ำหอมแบบเดียวกัน กลิ่นที่ไม่ว่าใครจะอยากรู้ว่ามันคือน้ำหอมของยี่ห้ออะไรกันแน่ น่าเสียดายที่ทั้งคู่ก็ไม่มีข้อมูลของน้ำปรุงกลิ่นนี้ คุณพินิจเป็นคนจัดหามาให้เสมอ ผมทั้งชอบแล้วก็ชัง มันหอมหวานมากไปจนอันตราย
   
   "เดินออกมาสักที มึงยืนอยู่ตรงนั้นนานเกินไปแล้วนะ" ผมสูดกลิ่นประหลาดเข้าไปลึกๆ อยากจะให้ประสาทสัมผัสทั้งหมดจดจ่ออยู่กับความเย็นยะเยือกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องฟังคำต่อไป อย่างที่ผมคิดไว้เลย สุดท้ายแบล็คก็กลับมาเรื่องนี้

   หลับตาลง อยากจะยกมือขึ้นมาปิดหูให้ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก ในความมืดมีบางอย่างกำลังปรากฎขึ้นจนเป็นภาพที่ชัดเจน ภาพในอดีตกำลังย้อนกลับเข้ามาไม่มีหยุด ผมเกลียดระบบการเก็บความทรงจำของมนุษย์ ที่จดจำเรื่องราวทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นในอดีตอย่างไม่ขาดหาย หลายครั้งอยากให้มีคำสั่งรีเซ็ตเพื่อให้ข้อมูลมันหายไปบ้าง

   เกลียดที่สุดคือระบบความทรงจำนี้ไม่มีวันเต็ม

   มือใหญ่ลูบเส้นผมไปมา อยากที่จะยกมือขึ้นปัดแต่ก็ทำได้แค่คิด ในเวลาที่พลังงานถูกดึงไปใช้กับการย้อนความทรงจำ ร่างกายก็หยุดการทำงานชั่วคราวเสียอย่างนั้น

   "เข้าใจที่บอกรึเปล่า"

   ขยับหัวขึ้นลงเป็นการตอบกลับ กลิ่นหอมเย็นช่วยให้ผ่อนคลายมากกว่าที่คิด ภาพเคลื่อนไหวในความทรงจำยังคงเล่นไม่หยุด จนถึงภาพสุดท้ายที่มาพร้อมกับเสียงแสนคุ้นเคย

   ทุุกอย่างดูเหมือนกำลังเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เป็นเพียงภาพในความคิด

   "น้องโรม?"

   "กูไม่ได้ยืนอยู่ตรงที่เดิม" ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่น้ำเสียงกลับแห้งผาก "แค่กูพาเขาเดินไปกับกูด้วยเท่านั้นเอง"

   เสียงถอนหายใจยาวเหยียด ลดมือที่กล่อมผมลง ดันให้ผมกลับมาเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิม

   "นั่นไม่เรียกว่าเดิน"

   "มันคือการเดินสำหรับกู"

   "บอกว่าให้เลิกคอสเป็นไวท์ นิสัยดื้อด้านแบบนี้ไม่ต้องไปทำตามหรอก เป็นน้องเอ๋อโรมของพวกกูไปแหละดีแล้ว" แก้มของผมถูกดึงให้ยืดแล้วก็หด ตอนแรกผมไม่ใช่คนมีแก้ม หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยแล้วคงกินดีอยู่ดีไปหน่อย มันเลยขยายออกข้างไม่หยุดหย่อน "...แม่งเลี้ยงน้องกูดีจริงๆ ว่ะ"

   "เลี้ยง?" ถึงแบล็คจะพูดกับตัวเองเบาๆ ห้องนอนที่ไม่มีเสียงอะไรรบกวนก็ทำให้ผมได้ยินคำพูดของเขาครบถ้วน

   "กูไปล่ะ บาย"

   พูดพลางลุกออกจากเตียง ไม่ได้สนใจคำถามของผมเลยแม้แต่น้อย ตอนที่จบประโยคแบล็คก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนผมเรียบร้อยแล้ว

   "มึงจะไปไหนอะ?"

   "ธุระ" ใบหน้าเบื่อหน่ายโผล่ขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มสุดเจ้าเล่ห์

   "ต้องไปอัพเดตผลงานสักหน่อย ลงทุนไปตั้งเยอะกว่าจะได้ผล"

 
***
   ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 02-10-2015 23:29:03

   นาฬิกาบอกเวลาแปดโมง ในวันที่ผมมีเรียนตอนเก้าโมงครึ่ง

   ต้องโทษคนขับรถที่มีเรียนตอนแปดโมง ยื่นคำขาดว่าถ้าอยากไปด้วยก็ต้องปรับตัวตามเขาให้ทัน ผมมันคนรักความสบายเหนือสิ่งอื่นใดอยู่แล้วเลยยอมที่จะตื่นเช้ามากกว่าเดิมเพื่อที่จะได้สะดวกในการเดินทาง คิดในแง่ดีว่าเป็นบุคคลจำพวกรักษาเวลาไง

   ห้องเรียนว่างเปล่าที่คุ้นตา ผมนั่งลงตรงเก้าอี้ประจำ ด้านบนสุดทางขวาของห้องเรียนที่ไล่ระดับพื้น ไม่ต้องรำคาญเวลาคนเดินเข้าออกเพราะประตูอยู่ซ้ายมือ ไม่ต้องกังวลว่าคนข้างหลังจะนั่งคุยกันเสียงดังรึเปล่า ส่วนที่สำคัญที่สุดคือมีปลั๊กไฟอยู่ตรงกำแพงพอดี ช่างเป็นพื้นที่ทองคำเสียเหลือเกิน

   ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะเลคเชอร์ที่มีขนาดเล็กอย่างกับให้เด็กอนุบาลนั่งเรียน จัดท่านอนให้สบายที่สุดเตรียมตัวที่จะงีบอีกสักหน่อยให้ ก็กว่าจะเริ่มคาบอีกตั้งชั่วโมง ให้ผมได้กักเก็บพลังงานหน่อยเถอะ

   ล่องลอยอยู่ในความมืดสนิท จนกระทั่งได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของเพื่อนร่วมเซคแว่วมาเป็นสัญญาณบอกว่าหมดเวลาพักผ่อน ผมค่อยๆ ยกหัวขึ้น กระพริบตาสองสามทีเรียกสติให้กลับเข้ามาสู่ร่าง หางตาเหลือบไปเห็นว่าใครอีกคนนั่งอยู่บนโต๊ะถัดไปทางซ้าย คนที่ผมไม่คิดมาก่อนว่าจะเจอเขาอีกครั้งเร็วอย่างนี้

   ที่หนึ่ง

   "นะ...นั่งตรงนี้ได้รึเปล่า" ที่หนึ่งถามขึ้นมาแบบตะกุกตะกัก ใบหน้าหล่อแสนน่าอิจฉากำลังเต็มไปด้วยความกังวล

   "ได้ๆ"

   ผมเองก็ตอบกลับกระท่อนกระแท่นไม่ต่างกัน บรรยากาศตอนนี้มันน่าอึดอัดชะมัด ในหัวของผมมีแต่คำพูดของเขาวนลูปไปมาในหัว สลับกับคำถามที่ผมถามตัวเองไม่หยุดว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงใช่ไหม

   ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ที่หนึ่งยกมือขึ้นมาเหมือนจะใช้ประกอบท่าทาง ผมไม่รู้ภาษามือหรอกนะ รอสักพักเขาก็ยังไม่ยอมพูดอะไรต่อ ผมเลยกลับมาให้ความสนใจกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตัวเอง เฟรนด์ส่งมาบอกในเมสเซจว่าเธอโดดคาบนี้ ฝากอัดเสียงด้วย จะว่าไปผมยังไม่ได้ทำตามที่แบล็คบอกเลยแฮะ

   ถึงอย่างนั้นก็เถอะ กับเรื่องนี้มันคนละเรื่องนะ เราควรจะให้ความช่วยเหลือเพื่อนในการเรียนสิ

   เพื่อนร่วมเซคทยอยมาหนาตา ผมไม่ได้หันกลับไปมองคนที่นั่งด้านข้างอีก ปกติแล้วที่นั่งต่อจากผมจะเว้นว่างไว้เสมอ อาจเป็นเพราะความเล็กของมันนี่แหละ ผมคิดมาตลอดว่านักศึกษาหนึ่งคนควรได้โต๊ะสองตัวในการเรียนหนึ่งคาบ เพราะแค่ตัวเดียวชีตเรียนก็กินที่หมดแล้ว อีกตัวไว้วางหนังสือไม่ก็พวกปากกา ถึงจะสะดวกในการจดหน่อย

   การเรียนเริ่มต้น ผมรีบกดปุ่มเริ่มในโปรแกรมอัดเสียง จะลุกขึ้นไปวางไว้หน้าห้องก็ไม่ทันแล้ว เห็นโต๊ะตัวถัดไปจากที่หนึ่งยังว่างอยู่ ตรงนั้นแล้วกัน

   "ขอโทษนะ" ผมพูดแล้วเอื้อมมือเร็วๆ ไปวางมือถือไว้ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรมากหรอก เพิ่งมารู้ตัวก็ตอนที่ดึงตัวกลับนี่แหละว่าที่หนึ่งนั่งนิ่งเลยอะ เขาหยุดการจดโดยที่มือยังคงจับปากกาไว้แน่น หน้าขึ้นสีเรื่อน้อยๆ

   ไม่รู้อาการแก้มแดงนี่เป็นโรคติดต่อรึเปล่า พอผมเห็นเขาทำท่าทางอย่างนั้นผมก็เริ่มรู้สึกว่ามีเลือดสูบฉีดขึ้นบนหน้ามากผิดปกติในเวลานี้

   โดนตัวนิดเดียวเองแท้ๆ

   เสียงอาจารย์ร่ายมนต์ยาวเหยียด ผมตั้งสติให้กลับมาอยู่บนสไลด์ที่เต็มไปด้วยตัวอักษร ตอนที่กำลังจดเสริมลงไปในชีต คนข้างๆ ก็วางถุงอะไรสักอย่างบนโต๊ะของผม ...ลูกอมรสนมเปรี้ยว

   หันไปหาพลางชี้ไปที่ถุงสีฟ้า เขาอ้าปากจะพูดอะไรออกมาแต่ไม่มีเสียง เปลี่ยนเป็นทำหน้าประหลาดๆ แล้วยกมือขึ้นเสยผมสีน้ำตาลที่คล้ายกับของผม พอผมเลิกคิ้วให้เป็นเชิงคำถามหมอนั่นก็ลดหัวลงไปหาโต๊ะ อ้าว จะหลับก็ไม่บอก จะได้ไม่กวน

   ผมปล่อยถุงขนมไว้ที่เดิม ถึงแม้มันจะเป็นของโปรดของผมก็ตามที ในเมื่อยังไม่ได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของก็ไม่ควรที่จะไปหยิบมั่วซั่ว

   'กินได้นะ ผมให้'

   นั่นคือประโยคสั้นๆ บนโพสอิทแปลกตา มันไม่ใช่แผ่นกระดาษสีสันแสบตาอย่างที่เห็นทั่วไปในท้องตลาด เป็นโพสอิทรูปหน้าเด็กผู้ชายคนหนึ่งกับผมทรงเห็ด น่ารักดี

   ที่หนึ่งนี่ก็ดีนะ นอกจากจะมีน้ำใจแล้วยังไม่พูดคุยในห้องให้คนอื่นเสียสมาธิ

   เขียนข้อความสั้นๆ กลับไปว่า 'ขอบคุณ' แล้วเริ่มจัดการแกะถุงทันที คาบเช้าอย่างนี้ถ้าได้น้ำตาลเข้าเส้นเลือดมันก็ช่วยให้ตื่นตัวได้ดีขึ้นมากอยู่เหมือนกัน

   'ผมชื่อที่หนึ่งนะ'

   ยังคงมีกระดาษแผ่นต่อมา อยากจะตอบกลับไปว่ารู้มานานแล้วว่าชื่อนี้ ไม่ต้องย้ำบ่อยๆ ก็ได้ ลายมือบนกระดาษเรียงตัวสวยงามจนผมอยากจะถามกลับไปว่านี่เป็นเด็กคัดลายมือเก่าใช่ไหม ที่หนึ่งไม่ได้หันมากดดันให้ผมรีบตอบหรือทำท่าทางแปลกๆ เหมือนเมื่อกี้แล้ว มันทำให้ผมมีเวลาคิดกับตัวเองมากขึ้น ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นหน้า พอเกิดเรื่องเท่านั้นแหละโผล่มานั่งข้างๆ เฉย

   จริงอยู่ที่ผมอาจดูไม่เป็นมิตรเมื่อเทียบกับแบล็ค (แต่ผมมั่นใจมากเลยนะว่าผมอัธยาศัยดีกว่าไวท์เป็นล้านเท่า) ก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะต้องปั้นหน้ายิ้มใส่คนที่ตัวเองไม่ได้อยากรู้จักนี่นา ผมพอใจในโลกใบเล็กนี้อยู่แล้ว แล้วกับที่หนึ่งนี่เขาอยู่ในประเภทไหนนะ อยากจะรู้จักรึเปล่า

   บอกแล้วว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนไม่รู้จะเริ่มต้นเรียบเรียงสติที่ตรงไหน

   'โรม'

   นั่นคือสิ่งที่ผมตอบไป ที่หนึ่งเป็นผู้ชายที่่อัธยาศัยดี มักมีเพื่อนฝูงอยู่รอบตัวเสมอ งั้นผมจะคิดด้วยใจที่เป็นกลางว่าเขากำลังผูกมิตรกับคนที่นั่งข้างๆ เพื่อฆ่าเวลาไปแล้วกัน

   'ผมชอบชื่อนี้ ; )'

   แค่ประโยคสั้นๆ กลับทำให้ผมยิ้มออกมาได้ ไม่เคยมีใครบอกว่าชอบชื่อเล่นของผม ความจริงแล้วในชีวิตคนเรามันก็ไม่มีใครที่จะมาบอกว่าชอบชื่อเล่นคนอื่นเรื่อยเปื่อยหรอก แต่ในเมื่อมันเป็น 'ชื่อ' เฉพาะตัวของเรา มันก็เป็นความสุขเล็กๆ ได้เหมือนกัน อารมณ์แบบ พ่อแม่ข้าแนวสุดๆ ที่ตั้งชื่อนี้ให้ อะไรประมาณนั้น

   'ชื่อนายก็เพราะดี'

   'แน่นอนอยู่แล้ว'

   ประโยคต่อมาที่ไม่มีช่องให้ตอบกลับ ผมเลยเลิกให้ความสนใจกับโพสอิทลายเด็กน้อยแล้วกลับมาโฟกัสกับการเรียนอีกครั้ง พอได้เจอตัวจริงแบบใกล้ๆ อย่างนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมถึงมีแต่คนรักเขา ก็เขาน่ารักจริงๆ ขนาดผมเป็นคนแปลกหน้ายังรับรู้ได้ถึงออร่าของผู้ชายแสนดีได้เลย

   'คุยต่อได้ไหม' แผ่นต่อมานอกจากจะมีตัวอักษรแล้วก็ยังมีรูปหมีสีขาวทำหน้าหงอยกำลังเอานิ้วจิ้มเข้าหากันมาเป็นสติกเกอร์เสริม นอกจากลายมือสวยแล้วยังวาดรูปน่ารักอีกแฮะ

   'ได้สิ'

   คาบนี้คงไม่ต้องเรียนกันแล้วล่ะครับ ถ้าคนข้างๆ ยังขยันหาเรื่องให้ผมเสียสมาธิอย่างนี้ต่อไป ถือว่าแลกกับขนมไปแล้วกัน คาบนี้เดี๋ยวพี่โรมจะอยู่คุยเป็นเพื่อนให้เอง

   ‘ชอบลูกอมเหรอ’

   ‘เฉพาะรสนี้ อย่างอื่นกินไม่เป็น’

   ผมดูเป็นเด็กอนุบาลไหมอะ แต่ผมกินอย่างอื่นไม่เป็นจริงๆ นะ อย่างซูกัสพอไปรอด ถ้าเป็นอย่างอื่นขอบายหมด โดยเฉพาะพวกที่เป็นลูกอมมิ้นท์ กินแล้วคายทิ้งทันที มันเป็นรสชาติที่พิลึกเกินปุ่มสัมผัสรับรสของผมจะรับไหว

   ‘ไว้จะเอามาให้อีกนะ’

   ‘เฮ้ย เกรงใจ’

   ‘ไม่เป็นไร เต็มใจ’

   ไม่บอกเปล่ายังส่งมาให้อีกหลายเม็ด นี่เป็นลูกเจ้าของบริษัทป่ะเนี่ย ทำไมถึงให้อย่างกับได้มาฟรีเป็นลังอย่างนี้ครับ คาบเรียนเหลืออีกแค่ไม่กี่นาที อย่างที่เขาบอกว่าเวลาที่ทำเรื่องไร้สาระนี่การไหลของเวลาจะผ่านไปไวสุดๆ เปรียบเทียบได้อย่างชัดเจนกับเมื่อต้นคาบที่กว่าจะผ่านไปได้แต่ละวินาทีช่างยาวนาน

   'บ่ายมีเรียนไหม'

   ‘ไม่มีนะ’

   ‘แล้วมีนัดรึเปล่า’

   ‘ก็ไม่มีอยู่ดีอะ’

   เสียงปากกาเคาะลงกับโต๊ะเป็นจังหวะ เหลืออีกเพียงสองสไลด์ในชีต เมื่อผมได้ยินคำว่าไม่ออกข้อสอบแล้วก็ไม่สนใจที่จะอ่านมันอีกต่อไป ผมดูไม่ตั้งใจเรียนเหรอ? คุณคิดว่าสมองคนเรามีพื้นที่ให้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับวิชาการมากแค่ไหนกันเชียว

   คาบเรียนจบลงแล้ว ผมสะกิดคนข้างๆ ที่ทั้งคาบเขาเปลี่ยนอารมณ์ไปมาอย่างกับมีเครื่องเปลี่ยนอารมณ์อยู่ในตัว ชี้ไปทางโทรศัพท์มือถือที่ยังคงขึ้นว่าอยู่ระหว่างการอัดเสียง ไม่กล้าที่จะยื่นไปหยิบเองแบบที่ทำเมื่อตอนเข้าคาบ

   ไม่อยากโดนโรคติดต่ออีกน่ะ

   โทรศัพท์ไม่ได้ถูกส่งกลับมาอย่างเดียว มันกลับมาพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็กแบบเดิม ต่างกันที่คราวนี้ด้านหน้าที่มีลายเด็กผู้ชายพิมพ์ไว้จางๆ ถูกลงสีใหม่จนเป็นรูปหน้าของเด็กชายที่คุ้นตา ด้านล่างมุมขวามีตัวอักษรสี่ตัวเขียนไว้ด้วยปากกาสีดำว่า ‘ROME’

   เขาวาดผมลงไปอย่างนั้นน่ะสิ

   “ขอบคุณนะ”

   ที่บ้านสอนมาดีครับ เวลาใครให้ของอะไรต้องบอกขอบคุณเสมอ ผมยังคงใช้เวลาอยู่กับเจ้าโรมน้อยอีกสักครู่ก่อนที่จะเห็นว่ามีรอยหมึกจางๆ อยู่ด้านหลัง พลิกแล้วก็พบว่ามีอะไรเขียนไว้อยู่อย่างที่คิด

   ‘ไปกินข้าวด้วยกันไหม?’

   “...”

   พูดอะไรไม่ออกเลย อย่างกับมีใครมาปิดปากไว้ไม่ให้ขยับ โอเค ที่หนึ่งคนนั้น คนที่ผมเคยบอกเสมอว่าเราอยู่คนละมิติ และผมเองก็ไม่ได้อยากที่จะเข้าไปอยู่ในโลกเดียวกับเขาเท่าไหร่ คนที่ผมเห็นหน้าเห็นตาเขามาตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นแต่ก็ไม่เคยคุยกันแบบเป็นทางการ คนที่เพิ่งพูดอะไรที่เข้าใจง่ายและเข้าใจยากในเวลาเดียวกันให้ผมฟังเมื่อไม่กี่วันก่อน

   คนๆ นั้นกำลังชวนผมไปกินข้าวเว้ย...

   นี่มันข้ามขั้นยิ่งกว่ากดปุ่มวาร์ป

   “แค่ชวนน่ะ ไม่ไปก็ไม่เป็นไร”

   อาจเป็นเพราะตลอดทั้งคาบเราคุยกันผ่านตัวอักษร พอมาใช้เสียงคุยแล้วเลยรู้สึกว่ามันเต็มไปด้วยความกระดากอาย คิดดูดิ แค่เสียงเขาผมยังไม่คุ้นหูเลย

   “...” ผมก็ยังไม่รู้จะทำยังไงต่ออยู่ดี

   “งั้นไว้วันหลังเราจะมาชวนใหม่นะ”

   เก็บทุกอย่างลงแฟ้มหนังแล้วลุกขึ้นอย่างกระทันหัน มันเกิดขึ้นเร็วมากจนผมไม่อยากจะเชื่อว่าเสียงของตัวเองก็สามารถเปล่งออกไปได้เร็วพอกันขนาดนั้น

   “เดี๋ยว!”

   ที่หนึ่งหยุดกึก เสี้ยวหน้าที่ผมเห็นจากมุมนี้เต็มไปด้วยความกังวลใจ ไม่ใช่มุมที่ผมเคยเห็นมาตลอด เขาดูเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองตลอดเวลาไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม

   “เรา...มีเรื่องต้องคุยกัน” เป็นผมเองที่เริ่มเข้าประเด็น “เรื่องเมื่อวันก่อน”

   เขาเงียบ ผมก็เงียบ ห้องเรียนที่ว่างเปล่ายิ่งเพิ่มบรรยากาศให้น่าอึดอัดมากขึ้น

   จนเขาถือวิสาสะหยิบกระเป๋าเป้ของผมไปสะพายไว้เอง พยักเพยิดหน้าเป็นเชิงให้ตามเขาไป เฮ้อ ไม่มีทางเลือกแล้วนี่นา ที่หนึ่งไม่ได้เดินนำ เขาเว้นจังหวะการเดินให้เข้ากับช่วงการก้าวของผม ตลอดทางจากห้องเรียนไปยังร้านอาหารที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ถ้าไม่ใช่เสียงทักทายก็มีแต่คนเหลียวมองเขา

   สูงสมส่วน หุ่นที่ดูก็รู้ว่าดูแลตัวเองดีในระดับหนึ่ง ใบหน้าอาจไม่ได้ขาวโอโม่อะไรมากแต่ความเนียนแบบไม่ได้แต่งเติมมันก็ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นมากลางผู้คน

   ที่หนึ่งก็ยังคงเป็นจุดศูนย์กลางเสมอไม่เคยเปลี่ยน

   "เคยมากินรึเปล่า?"

   เขาถามผมขณะที่กำลังอ่านเมนูอาหาร ร้านนี้เป็นทั้งคาเฟ่แล้วก็ร้านอาหารในตัว เลยมีเมนูให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย มากเกินไปจนเลือกไปไม่ถูก มีข้าวไข่เจียวหมูสับให้ผมไหมครับ

   "ไม่อะ" ความจริงแบล็คกับเน็ทชวนมาหลายครั้งแล้วล่ะ ไม่เคยมีโอกาสได้มาสักที

   เขาชะโงกหน้ามาชี้รายการอาหารในเมนูที่ผมถืออยู่ "งั้นกินนี่ไหม สเต็กปลาราดซอสเกรวี่ อร่อยดี"

   "ก็ได้นะ"

   จะเลือกอะไรก็เลือกไปเถอะ เอาจากใจเลยนะ ถึงผมจะชอบกินปลามากกว่าหมูหรือว่าไก่ แต่ใครมันจะมามีอารมณ์เลือกว่าจะกินอะไรในขณะที่ฝั่งตรงข้ามเป็นผู้ชายที่เพิ่งบอกว่าชอบตัวเองไปเมื่อไม่กี่วันที่แล้วล่ะ

   ที่หนึ่งบอกรายการอาหารนอกเหนือจากที่ถามผมอีกสองสามอย่าง การที่เรานั่งตรงข้ามกันบนโต๊ะสี่เหลี่ยมทำให้เห็นทุกการกระทำมากกว่าตอนที่นั่งในห้องเรียน เขาดูประหม่าที่จะคุยกับผม เห็นได้ชัดจากการที่กุมมือแล้วเขย่าไปมาอย่างนั้น ผมว่าผมเป็นคนที่โชคดีนะ ไม่มีทางที่คนอื่นจะได้เห็นโหมดนี้ของ 'ที่หนึ่ง' หรอก

   "เรื่องเมื่อวาน ที่นายพูดกับฉันตอนนั้น..."

   "อ่าฮะ"

   "นายไม่ได้ล้อเล่น?"

   นัยน์ตาที่ผมเคยบอกว่ามันเว้าวอนขออะไรสักอย่างมองตรงมาที่ผม มันทั้งแน่วแน่นแล้วก็มั่นคง ไม่ต่างอะไรกับคำตอบที่แสนชัดเจน

   "ไม่"

   ชัดเจนมาก มากจนเป็นผมเองที่ลมหายใจสะดุด

   "มัน..."

   มันเป็นไปได้ยังไง นั่นคือคำถามที่ผมอยากถามออกไป จนถึงตอนนี้ใจผมเองยังไม่ยอมรับว่ามันเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับตัวเอง เสียงที่ดังก้องในหัวคือคำว่า 'ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้'

   "มัน?" เขาทวนคำที่ผมพูดค้างไว้

   "กู เอ๊ย เรา คือยังไงดีล่ะ..."

   ที่หนึ่งเป็นคนหน้าตาดี ผมไม่เถียง น่าแปลกที่ผมสะดุดตามากที่สุดไม่ใช่โครงหน้าไร้ที่ติ ไม่ใช่จมูกโด่ง ไม่ใช่ริมฝีปากสีอ่อน แต่กลับเป็นนัยน์ตาสีดำที่มองตรงมาอย่างไม่ลดละ ความชัดเจนที่เขาส่งมามันทำให้ผมไม่กล้าที่จะหลบสายตา

   และมันก็ทำให้ผมยอมรับโดยดุษฎีว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง

   "นาย ชอบ ฉัน?"

   "มากกว่าชอบได้ไหม" เขายกมือขึ้นเกาคอแก้เขิน ยิ้มเล็กๆ ที่ส่งมาให้ช่างเต็มไปด้วยร่องรอยของความสุข

   "แต่นี่" ผมชี้เข้าหาตัวเอง "ผู้ชาย"

   มีเพียงเสียงเพลงคลาสสิคที่ร้านเปิดคลอไปในเวลาที่ต่างฝ่ายต่างเงียบ ทั้งที่ตอนนี้บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายรูปแบบ เราสองคนก็ไม่มีใครให้ความสนใจมันสักนิด

   จนที่หนึ่งที่ส่งยิ้มกว้างมาให้

   "แล้วไงล่ะ การที่ผมชอบผู้ชายชื่อโรม ไม่ได้เท่ากับผมชอบโรมเพราะเขาเป็นผู้ชายสักหน่อย"

   ต้องโทษหลักสูตรการสอนในสมัยชั้นปีหนึ่งที่มีวิชาเกี่ยวกับปรัชญาหลายตัว ที่หนึ่งเลยพูดอะไรที่ดูเข้าใจยากอย่างนี้ออกมา

   "แต่..."

   "ผมชอบชื่อโรม" คำพูดนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาก่อนหน้าเลยสักนิด "ถึงอย่างนั้นถ้าผมไปเจอคนอื่นที่ชื่อโรม ผมจะไม่บอกว่าผมชอบชื่อเขา เหตุผลเดียวที่ผมชอบชื่อนี้เพราะมันเป็นชื่อของคุณ"

   ตัวอักษรทุกตัวในกระดาษแผ่นเล็กยังคงเด่นชัด คำสั้นๆ ที่เขาเขียนถูกขยายความจนผมได้แต่เงียบ

   "โรมครับ" เขาเว้นจังหวะเรียกให้สติผมกลับมา "...จากนี้ไปที่หนึ่งจะจีบโรมนะครับ"


***
   ฝนกลับมาตกต่อเนื่องอีกแล้ว น้ำท่วมอีกต่างหาก ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ ช่วงนี้เป็นช่วงสอบกลางภาคของมหาลัยด้วย ไม่สบายล่ะแย่เลย
   ตอนนี้เป็นตอนที่แต่งเรื่อยๆ สบายๆ ค่ะ เป็นตอนที่เจ้าอยากเอาแทรกให้ต่อเนื้อหาได้สมบูรณ์มากขึ้น แต่ความจริงเจ้าก็ไม่ได้วางเนื้อเรื่องให้หนักอะไรขนาดนั้นหรอกนะ (หัวเราะ)
   ไว้เจอกันอีกครั้งตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Pakbung Mazo ที่ 02-10-2015 23:51:04
ขนาดแบล็คขอเป็นแค่ผู้ชมนะเนี่ย 55555 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 02-10-2015 23:55:11
ที่หนึ่งพอตัดสินใจรุกนี่ รุกแรงเลยน้าาา :hao7:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-10-2015 00:10:53
กัดปากไม่หยุดอะ มันคอยแต่จะยิ้มลูกเดียว ที่หนึ่งจะรุกแล้ว~~~
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: PREMIUM_ALMOND ที่ 03-10-2015 00:45:32
"คุณคิดว่าสมองคนเรามีพื้นที่ให้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับวิชาการมากแค่ไหนกันเชียว"

ชอบประโยคนี้มันใช่มากในตอนนี้ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai1: :katai1: :katai1: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 03-10-2015 04:12:28
"...จากนี้ไปที่หนึ่งจะจีบโรมนะครับ"


ตัวแตกค่ะ ฟินนนนนน
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: oss_tw ที่ 03-10-2015 06:49:16
 :-[

ที่หนึ่ง รุกน้องโรมแล้ว

  o13
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 03-10-2015 07:29:52
หวานซะ  หนึ่งน่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 03-10-2015 07:44:35
ฟินครับ ละลายไปกับพื้นเลอ เขิน
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 03-10-2015 07:47:20
อ้ายยยยย  น่ารักที่สุดเลยอ่ะ ชอบบบบ   :m3:
ว่าแต่ ต่อไปนี้อะไรจ้ะที่หนึ่ง เนียนจีบน้องโรมมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ แค่เจ้าตัวเขาไม่รู้อ่ะนะ 555
แต่ประกาศชัดเจนอย่างนี้ ดีมาก ๆ เพราะแค่เริ่มต้นน้องโรม ก็หวั่นไหวมากแล้ว
ก็นะ ดูวิธีจีบสิ น่ารักขนาดนั้น แบบกุ๊กกิ๊ก อ่อนโยนมากเลย ชอบมากเลยอ่ะ
เดินหน้าจีบเต็มที่ได้ขนาดนี้ เพราะคุณว่าที่พ่อตา เปิดโอกาสให้เต็มที่แล้วสินะ
แต่ยังเหลือเน็ตกับนิช อีกนะ อยากรู้จังว่าสองคนนี้จะทำอะไรบ้าง น่าสนุก
แต่ก่อนอื่นเลยนะน้องโรม ไปเคลียร์กับผู้หญิงคนนั้น ตามที่คุณพ่อบอกก่อนดีกว่านะ เดี๋ยวเป็นเรื่อง
ราชา ของเรา มาทีไรก็ทำให้ปลื้มตลอดเลย ชอบแบล็คมาก ๆ
ว่าแต่ ความทรงจำในอดีตของน้องโรมคืออะไรกันนะ ใครที่อยู่ในนั้น
น้องโรม ดูเจ็บปวดขนาดนี้ แสดงว่าต้องเป็นคนสำคัญมากแน่ ๆ
แล้วที่หนึ่ง ของเรา จะสามารถเข้าไปเป็น ที่หนึ่ง ในใจน้องโรมได้ยังไงกันนะ
เอาใจช่วยที่หนึ่ง เป็นพระเอกที่น่ารัก น่าเอ็นดูมากเลย ชอบจัง  :o8:


หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 03-10-2015 07:56:35
 :-[

จีบแล้วๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: bigcat1889 ที่ 03-10-2015 08:00:13
ชอบที่หนึ่งจัง เป็นผู้ชายที่น่าหยิกมากมาย////กัดหมอน
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: GMJeam ที่ 03-10-2015 08:17:26
ที่หนึ่งสู้ๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Lilyrum ที่ 03-10-2015 08:20:06
งื้ออออออออออ น่ารักที่สุดเลยที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 03-10-2015 08:23:32
 :ling1:

หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: painture ที่ 03-10-2015 11:32:52
ฮือออ น่ารักมากเลยอะ ที่หนึ่งสู้ๆดิ ผู้ชายขี้อายเอ้ยยย
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: ToeyTato ที่ 03-10-2015 15:07:11
ที่หนึ่งสู้ๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 03-10-2015 18:18:05
เด็กชายที่หนึ่งน่ารักจังเลยคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 03-10-2015 21:34:45
บอกตรงๆพระเอกเรื่องนี้แม่งโคตรน่ารักอะ ฮือออ
อิจฉาน้องโรมมากค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: SiHong ที่ 03-10-2015 23:37:06
ตายๆๆๆๆๆๆ พลังทำลายล้างสูงมากค่ะน้องที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Guill ที่ 04-10-2015 00:12:23
ที่หนึ่ง....ในใจ ฮิ้ววว
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 04-10-2015 03:43:25
ที่หนึ่งน่ารักมากกกกก เราจะหาผู้ชายแบบนี้ได้จากไหนนนนน
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: decem ที่ 04-10-2015 04:49:17
น่ารักมากเลยค่ะ
ขอติงเรื่องคำผิดกับเว้นวรรคประโยคหน่อยนะคะ
ที่หนึ่งน่ารักมากเลย เหมือนลูกหมา ฮา
มาต่อไวๆนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 04-10-2015 06:59:23
 :hao7: โอ้ย....ที่หนึ่งน่ารักเกินไปแล้ว จะค่อยเอาใจช่วยนายนะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 04-10-2015 10:30:31
จะจีบแล้วนะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 04-10-2015 11:43:37
ขอให้ได้เป็น"ที่หนึ่ง"ของโรมจริงๆครับ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: xaomammx ที่ 04-10-2015 11:47:37
งื้อออออออ ชอบที่หนึ่งเป็นผู้ชายที่น่ารัก อบอุ่นและซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเอง
โรมก็น่ารัก ขอจัดสักคนส่งมาจัดการหนูดำหน่อยค่ะ เอาที่แมนกว่านางค่ะ5555
รอคนเขียนมาต่อน่อวววว มาเร็วๆๆ :katai4: :jul1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Maiiz Ellfiez ที่ 04-10-2015 12:51:41
ที่หนึ่งน่ารักวุ้ย
เห็นแววดราม่ามาราง ๆ แต่ยังคงความมุ้งมิ้งไว้ได้อยู่
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Kimdodo ที่ 04-10-2015 18:57:43
เรื่องในอดีตมันต้องมีอะไรแน่ๆๆ ราชาสีดำเราดูลึกลับมากอ่ะ สู้ๆน้าาา :mew3:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 05-10-2015 17:05:01
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 06-10-2015 00:37:22
ชอบแบล็คจริงๆนะเนี่ยะ
ส่วนที่หนึ่ง... ไม่ต้องน้อยใจไปนะ
ป้าให้ที่หนึ่งเป็นที่หนึ่งในใจป้าไปเรียบร้อยแล้ว

น้องโรม... หนูจะรับมือกับการจีบของที่หนึ่งยังไงดีลูก
เลือกเสื้อผ้าเตรียมไปเดทล่วงหน้ากับที่หนึ่งแต่เนิ่นๆเลยดีไหม?

ติดตามและเป็นกำลังใจให้ค่ะ ^ ^
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 4 [02.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 06-10-2015 07:58:23
ที่หนึ้งรุกแล้วๆ
น้องโรมโหมดแฮงค์เครื่องรวนน่ารักอ่าาา
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 5 [09.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: meeyeon ที่ 09-10-2015 23:36:05
เขิน ฟิน มากกกก

รุกหนักๆ จีบหนักๆ อร๊ายย ชอบอะ

ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 5 [09.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 09-10-2015 23:36:22
บทที่ 5

   "พี่โรมโคตรช้า"

   เคยเกลียดเสียงอะไรสักอย่างจนอยากเสกให้หูตัวเองมีปุ่มปิดเสียงไหมครับ อาจเป็นเสียงแตรจากรถยนต์เวลากำลังข้ามถนน เสียงนกร้องข้างระเบียงตอนจะอ่านหนังสือ หรือเสียงนาฬิกาปลุกในวันที่ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า

   สำหรับผมแล้ว ผมเกลียดเสียงของเด็กเวรนี่มากที่สุด

   "ไหนบอกมาสี่โมง นี่จะห้าโมงแล้วเพิ่งถึง"

   ส่วนสูงที่มากกว่าผมประมาณห้าเซนติเมตรกำลังมองลงมา ผมสีบลอนด์ทองยิ่งทำให้ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วดูสว่างเข้าไปใหญ่ ผมตัดเป็นทรงตามสมัยนิยมถูกจัดแต่งอย่างดี ชุดเด็กมัธยมปลายไม่เข้ากับสีผมมันเลยพับผ่าสิ

   'วี' คือชื่อของเด็กปีหนึ่งคนนี้ ถ้าจะให้นิยามความสัมพันธ์ของเราแบบยาวๆ คือกลุ่มรุ่นพี่รุ่นน้องที่ต้องช่วยเหลือดูแลกันผ่านวิธีการเลือกอย่างการจับฉลาก เรียกแบบสั้นๆ ก็สายรหัส อาจดูน่าเศร้าถ้าผมกำลังจะบอกว่าทั้งสายของผมสี่ปีมีผู้เหลือรอดชีวิตแค่ผมกับเด็กนี่ พี่ปีสี่ของผมไม่สนใจเรื่องสายรหัส ส่วนปีสองก็ซิ่วไปเรียนหมอเรียบร้อย

   เพราะงั้นไอ้เด็กนี่เลยติดผมแจยิ่งกว่าอะไร

   "ก็อยากมาเวลานี้ มีปัญหา?"

   ผมตอบกลับแบบปัดรำคาญ วันนี้ที่คณะมีจัดอีเวนท์ Back to school หรือผมเรียกมันว่าวันคนแก่รำลึกความหลัง เด็กในคณะจะใส่ชุดนักเรียนไม่ว่าจะสมัยประถมหรือมัธยมมาพบปะเฮฮาสังสรรค์ถ่ายรูปกัน ที่จริงงานพวกนี้ไม่ได้ถูกโฉลกกับผมหรอก แต่วีมันรบเร้าจนผมต้องยอมมา บอกว่าสมัยมัธยมไม่มีสายรหัสอะไรแบบนี้ พอมามหาวิทยาลัยเลยคาดหวังไว้เยอะ เสียใจด้วยนะที่ต้องมาพบความจริงว่ามีแค่ผมนี่แหละที่เป็นพี่สาย

   โดยส่วนตัวผมเป็นคนรักษาเวลา แต่กว่าจะรื้อหาเสื้อสมัยมัธยมเจอก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แบล็คเคยเอามาเผื่อตั้งแต่สมัยเป็นเฟรชชี่ปีหนึ่ง แต่ได้มาใช้จริงตอนปีสามเนี่ยแหละ

   "เปล่า แล้วทำไมมากับพี่ที่หนึ่งอะ"

   นั่นไง ว่าแล้วมันต้องถามคำถามนี้ วีเป็นผู้ชายที่จัดว่าหน้าตาดี เฟรนด์เคยบอกว่าสาวๆ ในคณะกรี๊ดกร๊าดไม่ใช่น้อย น่าเสียดายตรงที่มันพูดมาก น่ารำคาญ แล้วก็ชอบถามซอกแซกไปเรื่อย

   ใครจะไปคิดล่ะว่าที่หนึ่งจะพักอยู่คอนโดเดียวกับผม ตอนกำลังเดินออกจากห้องเพื่อมาที่คณะเขาก็กดแตรเรียกให้ขึ้นรถมาด้วยกัน ถึงผมจะปฏิเสธแล้วเดินหนีมาเขาก็ไม่ลดละ ค่อยๆ ขยับรถตามมาตลอดจนต้องยอมแพ้ในลูกตื้อ ที่น่าประทับใจคือถึงตลอดทางเขาถามอะไรมาผมก็จะตอบไปแค่สามคำ อืม อ๋อ โอเค หมอนั่นก็ไม่เห็นจะแสดงออกว่าไม่พอใจในอาการเฉยชาของผม

   "เจอระหว่างทาง เขาเมตตากูเลยพามาด้วย"

   "โหย พี่ที่หนึ่งนี่แสนดีอย่างที่เขาว่ากันจริงด้วยอะ มายไอดอล" ดูจากการแสดงออกว่าชื่นชมอย่างชัดเจนแล้ววีคงปลื้มที่หนึ่งมากอยู่พอควร

   "ก็คงงั้นมั้ง"

   "พี่โรมรู้จักกับพี่ที่หนึ่งมานานยัง ผมเห็นใส่ชุดนักเรียนเหมือนกันเลย เป็นเพื่อนมาตั้งแต่มัธยมเหรอ"

   อยากจะตอบไปว่า เพิ่งเคยคุยกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่ะ แต่อย่าเลย เดี๋ยวไอ้เด็กช่างถามมันไม่หยุดซัก นี่แค่ใส่ชุดโรงเรียนเดียวกันมันยังเห็น "ไม่ใช่เพื่อนสนิท แต่รู้จักมันมานานแล้ว อยู่โรงเรียนเก่าเป็นคนดัง"

   "โห สาวติดตรึมอะดิ"

   "กูจะรู้ไหมล่ะ"

   ...รู้แค่มันจีบกูอยู่เนี่ย

   "ไรว้า ไม่มีประโยชน์เลยพี่รหัส"

   "งั้นตัดสายเลยแล้วกัน บาย"

   ไม่ได้พูดเล่นหรืออยู่ในบทงอน ผมไม่ชอบคนพูดมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คงเป็นเพราะคนในกลุ่มส่วนใหญ่เป็นแนวพูดเฉพาะที่จำเป็นเลยชินกับสภาพแวดล้อมอย่างนั้น พอมาเจอเด็กเปรตนี่เลยอยากจะตัดสายวันละล้านรอบ

   มันเคยรัวสติกเกอร์มาในไลน์ตั้งแต่หกโมงยันสองทุ่ม สิริรวมแล้วก็แค่ห้าร้อยกว่าข้อความ ผมโคตรตกใจตอนที่เห็น ตอนแรกนึกว่ากรุ๊ปไหนสักกรุ๊ปที่ผมอยู่มีเรื่องดราม่าเกิดขึ้น พอเปิดเข้าไปดูเท่านั้นแหละอยากจะขอบคุณที่ตัวเองปิดการเตือนจากไลน์เอาไว้ ด่ามันกลับไปชุดใหญ่ น้องรหัสปีหนึ่งแสนดีก็ส่งกลับมาแค่ว่า 'เย้ ตอบแล้ว' พร้อมกับสติกเกอร์หมีสีน้ำตาลทำท่าดีใจเป็นข้อความต่อมา

   ชีวิตดีๆ มีน้องรหัสทั้งทีก็สติไม่เต็ม

   "เฮ้ยยย ผมขอโทษ ไม่เล่นแล้วคร้าบ" เข้ามาเกาะแขนแถมยังคลอเคลีย ขนลุกเกรียวเลยครับผม

   "นี่กูพี่มึงสองปีเลยนะ เล่นอะไรให้รู้จักกาลเทศะหน่อย"

   "ก็ใช่ไงพี่ ผมปีหนึ่งพี่ปีสาม ก็ห่างกัน... แฮะๆ ไม่เล่นๆๆ" ผมส่งสายตาพิฆาตไปให้คนที่ยังพูดไม่เลิก ลองพูดออกมาอีกคำสิ มันได้โดนตัดสายจริงๆ ไม่ใช่แค่ขู่

   "กูโคตรรำคาญมึงเลย"

   "พี่เคยบอกแล้ว"

   "กูถามจริงนะ คนไม่เต็มอย่างมึงนี่ตอนสอบตรงเข้ามาได้เพราะเปลี่ยนตัวเอาคนอื่นเข้ามาสอบแทนใช่ป่ะ"

   เรื่องนี้มันอวดตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเลย ผมไม่เคยต้องปริปากถามเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เดี๋ยววีมันก็เล่าออกมาเอง ล่าสุดที่เล่าก็กลับไปถึงชีวิตสมัยมัธยมต้นแล้ว คาดว่าคงลงไปถึงอนุบาลในอีกไม่ช้า

   "โหยพี่โรม ผมนี่ท็อปเท็นตอนประกาศคะแนนนะเว้ย"

   "แสดงว่ามึงเอาคนอื่นมาสอบแทนจริงๆ"

   "พี่แม่งงง"

   "อยากโดนตัดสายป่ะ?"

   เงียบกริบ เอาเรื่องนี้มาขู่แล้วได้ผลตลอด สมัยผมเข้าปีหนึ่งมาถึงพี่ปีสองจะไม่ใส่ใจแต่ปีสามกับปีสี่ก็ดูแลดี แม้ผมจะไม่ได้ทำดีกับพวกพี่เขาคืนไปเท่าไหร่ก็เถอะ อยู่ดีๆ มีพี่นอกสายเลือดมาปรากฎตัว ใครมันจะไปชินไวขนาดนั้น ตอนอยู่ปีสองยิ่งแล้วใหญ่ ไอ้เด็กนั่นซิ่วไปตั้งแต่เดือนแรกที่เข้าเรียน ยังไม่ทันจะจำชื่อได้ก็หายไปแล้ว

   ผมเลยไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับระบบนี้เท่าไหร่ ไม่ได้บอกว่าไม่ดีนะ อย่างแบล็คสายรหัสมันก็น่ารัก ผมเคยเจออยู่หลายครั้ง ก็แล้วแต่โชคชะตาที่จะพาคนแบบไหนให้มาเจอด้วย สงสัยนางฟ้าเขาคงกลัวผมเหงา พอมาปีนี้เลยส่งเด็กปากมากมาให้ชดเชยของปีที่แล้ว

   เรื่องที่บอกจะตัดสายก็พูดไปงั้นแหละ ยังไงวีมันก็น้องสายผม

   "พี่ชอบเอาจุดอ่อนผมมาขู่อะ โคตรแย่"

   "มึงก็ทำตัวดีๆ แบบคนปกติดิ"

   อย่างแรกเลยคือเลิกพล่ามเรื่องไร้สาระ แล้วก็เลิกทำตัวหลั่นล้าตลอดเวลาอย่างกับเมายา

   "มีพี่คนเดียวนั่นแหละบอกว่าผมไม่ปกติ" มีคนเคยบอกไหมว่าผู้ชายตัวใหญ่ทำท่างอนปากจู๋มันดูไม่ได้น่ะ "กว่าพี่จะมาเขากลับกันไปหมดแล้ว นี่ผมรอถ่ายกับพี่คนเดียวเลยนะ"

   มีการมาลำเลิกบุญคุณกับผมอีก เพิ่งเห็นว่ารอบตัวมีผู้คนบางตากว่าที่ควรจะเป็น จะมีเป็นกระจุกใหญ่ก็ตรงม้านั่งที่ห่างออกไปไม่ไกล ขนาดเห็นแค่ด้านหลังยังรู้เลยว่าใครอยู่ตรงนั้น

   "พี่โรม หันมาทางนี้"

   แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงแจ้วๆ ที่เอาแต่เรียกชื่อผม อีกอย่างที่ผมไม่ชอบคือมันชอบเซลฟี่ทุกที่ ทุกเวลา เจอผมเมื่อไหร่สิ่งแรกๆ ที่ทำคือหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้ อย่างกับพ่อแม่ขี้เห่อที่ตามถ่ายลูกตั้งแต่เพิ่งคลอดจนถึงปัจจุบัน

   "ชิ มุมนี้ก็ได้ แต่มุมนี้ผมไม่หล่ออะ"

   "...เด็กนรก"

   ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าแล้วครับ พอวีเห็นว่าผมไม่ยอมหันเข้าหากล้อง เขาก็จัดการพาตัวเองมานั่งยองๆ ด้านหน้าของผมแล้วถ่ายจากมุมเงย คนที่เห็นหน้าตัวเองในกล้องอย่างมันก็หุบเหนียงได้ แต่คนที่กำลังเมินหน้าหนีกล้องอย่างผมนี่สิ อุบาทว์ยิ่งกว่าอะไรดี

   "ฮ่าๆๆ หน้าพี่โคตรจี้" ยังไม่พอ ซูมให้ดูอีกว่าสภาพมันแย่ขนาดไหน

   "ลบเลยนะมึง"

   "ไม่ ถ้าพี่โรมไม่ยอมถ่ายรูปกับผมดีๆ"

   นัยน์ตาแพรวระยับแบบคนขี้เล่นที่ส่งมาทำเอาผมอยากจะทรุดตัวลงตรงนั้น เฮ้ย นี่ผมอยากรู้มากเลยนะ ไอ้เด็กนี่มันจะอยากถ่ายรูปเก็บไว้ทำไมมากมายวะ รูปรวมสายของผมเองยังมีไม่กี่รูป แล้วผมก็ไม่เห็นอยากจะได้เพิ่มขนาดนั้น

   "เนี่ยเห็นป่ะ แม่งแท็กกันเต็มไอจีเลย ผมไม่ยอมแพ้หรอก"

   มึงเปิดรูปสายรหัสที่เขามากับครบสาย แถมยังมีสายโคอีก สิริรวมในภาพมีประมาณสิบชีวิต ...แล้วจะอัพรูปผู้ชายสองคนไปสู้เนี่ยนะ ประสาทป่ะวะ

   "แค่จำนวนคนมึงก็แพ้แล้ว"

   "เราก็เอาหน้าตาเข้าสู้ดิพี่!"

   อยากจะบอกเทวดาทั้งหลายที่ส่งไอ้เด็กเวรตะไลนี่มาเกิดว่าทีหลังรบกวนเช็คคิวซี (Quality check) ก่อนที่จะส่งมันออกมาด้วยได้ไหม ยังไงผมก็ยังไม่เห็นความเต็มในสติของมัน

   ตอนนี้อยากได้พาราสักแผง อาการประสาทเริ่มมาทักทายผมแล้ว

   "กูยอมแพ้"

   "นะนะนะ ถ่ายรูปกับผมหน่อย วันนี้อุตส่าห์ใส่มาแบบจัดเต็มเลยนะพี่"

   อวดชุดเต็มยศด้วยการก้าวถอยหลังไปสามก้าว แล้วหมุนตัวอย่างกับต้องการให้ผมดูดีเทลรายละเอียดด้านหลัง วีแต่งมาเต็มตามที่บอก เสื้อ กางเกง เข็มขัด รวมถึงถุงเท้าและรองเท้า อะหือ แล้วดูผมใส่มา เสื้อนักเรียนปล่อยชายกับกางเกงสีดำ ไม่ต้องพูดถึงเข็มขัดไม่มีอยู่แล้ว รองเท้าก็เป็นรองเท้าแตะง่อยๆ ที่ซื้อในตลาดนัด

   มึงเต็มที่กับชีวิตเกินไปไหมวี

   "จะถ่ายแล้วนะ"

   วียังคงยืนอยู่ที่เดิม รูปที่ผมเห็นในจอคือเด็กเปรตหัวทองกำลังยืนยิ้มแล้วชี้มาข้างหลังหรือก็คือผมเอง ถ้าจะถ่ายไกลขนาดนั้นไม่ต้องให้ยิ้มก็ได้ ยังไงก็ไม่เห็นหรอก

   "ไกลไปอะ ผมอยากได้ที่เห็นหน้าพี่ชัดๆ"

   "มึงถ่ายไกลขนาดนั้นมันคงชัดหรอก"

   "งั้นต้องถ่ายใกล้ๆ เนอะ"

   บอกว่าใกล้ก็ใกล้จริงๆ ขยับตัวเข้ามาจนชิดกับผมยังไม่พอยังยื่นหน้าเข้ามาอย่างกับมีขั้วแม่เหล็กติดอยู่ที่แก้ม ผมล่ะเหนื่อยใจกับมัน

   "พี่โรม ยิ้มนะ สา..."

   "พี่ถ่ายให้ไหมครับ?"

   มือที่เตรียมกดปุ่มรูปกล้องค้างอยู่อย่างนั้น วีลดมือลงทำให้เห็นว่าใครคือเจ้าของเสียง ที่หนึ่งกำลังยืนยิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์ให้กับเราสองคน เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่เขาหลุดมาจากกลุ่มกล้องพวกนั้นได้เร็วอย่างนี้

   "พี่ที่หนึ่ง ถ่ายรูปกันไหมครับ"

   บอกแล้วว่าวีมองที่หนึ่งเป็นไอดอล พอเห็นว่าคนที่เพิ่งเข้ามาร่วมวงถ่ายรูปเป็นเจ้าของตำแหน่งเดือนคณะเมื่อสองปีที่แล้วพี่รหัสแสนจืดชืดซึ่งไร้ความน่าสนใจอย่างผมก็โดนลืมในทันที สองคนนั้นไม่ใช่แค่เซลฟี่ตามที่วีชวนแต่เริ่มมองหาโลเคชั่นอื่นถ่ายทำมิวสิคเอ็มวีกันแล้ว

   "พี่โรมช่วยถ่ายให้หน่อย"

   เหมือนเป็นคำขอ แต่มันคือคำสั่งต่างหาก ไม่พูดเปล่าวียัดโทรศัพท์เครื่องใหญ่ใส่มือของผมเรียบร้อย เป็นพี่รหัสนี่มันต้องควบตำแหน่งช่างถ่ายรูปด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเดินตามผู้ชายหน้าตาดีสองคนไปทุกที่ ไม่แน่ใจว่าทั้งคู่เป็นนักศึกษาหรือว่านายแบบมืออาชีพกันแน่ ไม่ใช่แค่รู้องศาการยืน แต่เคมียังเข้ากันดีจนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้ จะว่าไปผมถ่ายไปกี่สิบรูปแล้วนะ เพลินมือจนลืมไปเลย

   "รูปไม่สวยห้ามบ่นนะ"

   ป้องกันตัวเองไว้ก่อนยามที่ส่งมือถือคืน ผมไม่กล้าเสี่ยงกับเด็กเปรตอย่างวีหรอก ขี้บ่นจะตาย โฟกัสเคลื่อนบ้างล่ะ มุมไม่สวยบ้างล่ะ ย้อนแสงบ้างล่ะ ทีหลังก็จ้างช่างภาพมืออาชีพมาถ่ายให้แล้วกัน

   "โหยพี่ ไม่มีใครสนใจวิวหรอก เขาสนใจแต่หน้าตา"

   "หลงตัวเองฉิบหายมึงอะ"

   "ผมเป็นพวกที่ยอมรับความจริงต่างหาก"

   เอาที่มึงสบายใจเลยครับ

   "วีช่วยถ่ายรูปให้พี่หน่อยสิ" ตอนแรกก็นินทาในใจว่าคนอย่างที่หนึ่งก็แอบบ้ากล้องอยู่เหมือนกัน แต่พอเขาขยับตัวมาชิดกับผมเท่านั้นแหละก็รู้ได้เลยว่ารูปที่เขาขอให้ช่วยถ่ายจะต้องมีผมอยู่ด้วย

   "ได้พี่ แป๊..."

   "เอาเครื่องพี่ถ่ายนะ" ที่หนึ่งชิงยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้ก่อนที่วีจะหยิบมือถือขึ้นมา "อยากมีรูปคู่กับพี่โรมเก็บไว้ในเครื่องตัวเองบ้าง"

   วีพยักหน้ารับรู้แล้วรับสมาร์ทโฟนของเขาไว้ในมือ ในขณะที่ผมยืนนิ่งเพราะคำพูดเมื่อกี้ มันดูเหมือนเป็นประโยคขอให้ช่วยถ่ายรูปธรรมดาๆ ที่ในใจผมกลับบอกตัวเองว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น

   "เข้าใจเลยพี่ กว่าจะได้รูปคู่พี่โรมแต่ละทีโคตรยาก" หันมากรอกตาใส่ผมอีก เดี๋ยวนะมึง เวลาเจอทีไรมึงรัวเป็นสิบช็อตอย่างนั้นเรียกว่าโคตรยาก? "แต่พี่รหัสผมน่ารัก ให้อภัย"

   "ใช่ น่ารักมาก"

   อาจเป็นเพราะเขาอยู่ใกล้ผมมาก เสียงกลั้วหัวเราะนั้นมันเลยดังชัด

   และสิ่งที่ชัดมากกว่า คือจังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้น

   "พี่โรมยิ้มหน่อย"

   "ไม่ยิ้ม"

   "หืม เป็นอะไรครับ" ทำไมเขาต้องพูดเพราะกับผมด้วยอะ มันดูอบอุ่นเกินไป "ไม่ชอบถ่ายรูปเหรอ"

   "ไม่ชอบ"

   ผมไม่ใช่คนที่จะมารักษาน้ำใจด้วยการพูดอ้อมๆ หรือพูดโกหก เพราะงั้นตอนที่เขาถามมาผมเลยตอบไปตามความรู้สึก

   แล้วผมก็ไม่กลัวที่หนึ่งจะเสียความรู้สึกด้วย

   "แต่ผมชอบนะ" ที่หนึ่งแม่งบ้า ผมทำหน้าบูดบึ้งขนาดนี้แล้วยังยิ้มให้ได้อีก

   "พี่ๆ ครับ ช่วยเลิกมองตาแล้วหันมามองกล้องได้แล้ว ไม่งั้นผมจะหายไปพร้อมมือถือของพี่นะ"

   เสียงขี้เล่นเรียกให้เราสองคนกลับมาให้ความสนใจกับเครื่องสี่เหลี่ยมที่อยู่ตรงหน้า ผมทำหน้านิ่งๆ ตลอดเวลาที่วีบอกให้ยิ้ม ไม่สนใจว่าคนทางขวาจะเปลี่ยนไปแล้วกี่ท่า

   "พี่โรมไม่ยิ้มเลยอะ"

   "กูไม่อยากยิ้ม ใครจะทำไม"

   "ก็เปล่า" เขาส่งเครื่องอเนกประสงค์คืนให้เจ้าของ "พี่ที่หนึ่งผมขอไอดีไลน์หน่อย เดี๋ยวส่งรูปให้"

   ที่หนึ่งพยักหน้าแล้วขยับนิ้วบนหน้าจอสี่เหลี่ยมไปมา หน้าที่ยิ้มจนเป็นเอกลักษณ์ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้ว หืม มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นเหรอ

   "ไลน์พี่เข้าไม่ได้ว่ะ แอพเด้ง" เขาเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็ว "ส่งให้พี่โรมไว้แล้วกัน เดี๋ยวพี่ค่อยไปขออีกรอบเอง"

   อ้าวเฮ้ย ไหงภาระตกมาที่ผม?

   จะประท้วงคนที่ตัดสินใจแบบไม่ปรึกษาก็พบว่าสองคนนั้นเปลี่ยนไปคุยเรื่องการประกวดดาวเดือนที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพิ่งรู้ว่าน้องสายที่ดูไม่เต็มของผมก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวดเหมือนกัน นี่ตำแหน่งเดือนมันตกต่ำขนาดที่ไอ้วีมันเข้าแข่งได้แล้วเหรอ ผมไม่อยากจะคิดภาพตอนมันขึ้นไปยืนตอบคำถามเกรียนๆ ให้กรรมการปวดหัวเล่นเลยแฮะ

   "งั้นผมไปก่อนนะพี่ เจอกันวันหลังนะพี่รหัส"

   วีบอกว่ามีนัดกินข้าวกับเพื่อนต่อเลยขอตัว ผมโบกมือไปมาให้เด็กหัวทองที่ขนาดเดินออกไปไกลแล้วยังหันหลังกลับมากระโดดหยองแหยงลาผมอีกครั้ง ยังไงก็ยืนยันว่าน้องสายผมมันไม่ปกติ

   "จะกลับเลยไหม?"

   คนที่ยังคงยิ้มหวานจนตาหยีถามผม ผมคงจะตอบไปอย่างไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่ที่หนึ่ง เกิดมากี่สิบปีไม่เคยโดนจีบ แยกไม่ออกว่าอันไหนมีน้ำใจในฐานะเพื่อนหรือว่าทำเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง

   "กลับ แต่เดี๋ยวกลับเอง"

   "งั้นไปกินข้าวก่อนเนอะ"

   คำว่ากลับกับคำว่ากินนี่มันออกเสียงกันคนละอย่างเลยนะ ผมอ้าปากเตรียมจะเถียงแต่พอเห็นเขาทำหน้าอ้อนวอนแล้วก็ได้แต่เก็บเสียงเอาไว้ มีวิธีที่ผมจะคุยกับที่หนึ่งโดยไม่ต้องมองหน้าไหมครับ

   ผมเพิ่งค้นพบว่าตัวเองมีอาการแพ้ ‘ที่หนึ่ง’ เพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง

   "วีส่งรูปมาให้แล้วนะ" ผมบอกเขาตอนที่เราสองคนนั่งรอข้าวในร้านอาหารตามสั่งหน้ามอ "โห ถ่ายไปกี่รูปเนี่ย"

   ตอนแรกที่มีการแจ้งเตือนมันขึ้นว่ามีแค่สามข้อความใหม่ พอผมกดเข้าไปอ่านเท่านั้นแหละถึงรู้ว่ามันเป็นแค่ภาพทดลองส่ง เพราะหลังจากนั้นไม่นานการแจ้งเตือนก็เปลี่ยนเป็นมีการสร้างอัลบั้มขึ้นใหม่ จำนวนก็ไม่เยอะเท่าไหร่ ห้าสิบกว่ารูปเอง

   "โรมเลือกเฉพาะรูปที่ชอบส่งมาเลย" เขาบอกทั้งๆ ที่ยังไม่เงยหน้าจากหน้าจอ จากมุมนี้เห็นได้ชัดว่าเขากำลังกดไล่ดูตรงหน้าแรกของแอพพลิเคชั่นไลน์

   "ใช้ได้แล้วเหรอ" ผมถามออกไปด้วยความสงสัย

   "หืม?"

   "ไหนบอกแอพเด้ง"

   เขายิ้มให้ผมจางๆ "สงสัยเครื่องมันใกล้พัง"

   ...น่าเชื่อถือมาก มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งออกมาได้ไม่กี่เดือนใกล้พัง

   ที่หนึ่งยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ผม จากหน้าแรกเปลี่ยนเป็นหน้าเพิ่มเพื่อนโดยใช้ไอดี ผมเงยหน้าขึ้นมาขอคำอธิบายจากเจ้าของเครื่อง

   "จะได้ส่งรูปให้ไง"

   "หลอกขอไลน์?"

   ผมไม่ได้ถามเล่นๆ มันคือความสงสัยที่เกิดขึ้นจริง มันดูบังเอิญเกินไปหน่อยไหมที่เขาเลือกบอกวีให้ส่งมาให้ผมโดยใช้ข้ออ้างว่าโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดมีปัญหา แล้วมือถือของเขาก็แสดงความอัจฉริยะด้วยการสามารถรักษาตัวเองได้ด้วยเวลาไม่ถึงชั่วโมง

   "ไม่หลอก ขอจริง" ตอนนี้อยากได้ที่หนึ่งคนที่ผมเจอวันนั้นกลับมาชะมัดเลย คนที่ประหม่ากับทุกการกระทำ ไม่ใช่คนที่กำลังยิ้มแพรวพราวเป็นตัวร้ายในละครอยู่ตอนนี้

   "ถ้าไม่ให้ล่ะ"

   เขาเล่นเกมส์จ้องตากับผมอยู่พักใหญ่ เปลี่ยนเป็นก้มลงไปให้ความสนใจกับหน้าแรกของไลน์เหมือนเดิม ปากเขาพึมพำอะไรออกมา น่าเสียดายที่ในร้านอาหารเต็มไปด้วยเสียงโวยวายผมเลยไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรอยู่

   โทรศัพท์ในมือของผมสว่างวาบ การแจ้งเตือนล่าสุดทำให้ผมได้แต่มองหน้าเขาสลับกับของในมือไปมา

   มันเป็นไปได้ยังไง...

   ผมมันคนที่แสดงออกทางสีหน้าหมด ที่หนึ่งคงจับสังเกตได้ว่าตอนนี้ในหัวของผมเต็มไปด้วยคำถาม เขาเลยเฉลยออกมาสั้นๆ

   "ความจริงก็มีนานแล้ว แค่อยากจะเนียนขออีกรอบเท่านั้นเอง"

   TeeNueng : Sent you a photo

***
   มีต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 5 [09.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 09-10-2015 23:47:23
   ภาพปรากฎชายหนุ่มสองคนยืนหันหน้าเข้าหากันโดยไม่ได้สังเกตว่าการกระทำของตนเองถูกกล้องจับภาพไว้แล้ว ทั้งสองอยู่ในชุดนักเรียนแบบเดียวกัน ชายผมสีน้ำตาลที่เข้มกว่าอีกคนกำลังส่งยิ้มหวาน โดยที่เสี้ยวใบหน้าของอีกคนเผยชัดว่ากำลังอารมณ์ไม่ดี

   ผมปล่อยให้หน้าจอแสดงภาพที่ถ่ายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนโดยเปิดเพลงคลอไปด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงเปิดภาพนี้ทิ้งไว้ ที่หนึ่งส่งมาให้ผมอีกสามสี่ภาพซึ่งสภาพของผมดูไม่จืดทั้งหมด น่าจะยิ้มตามที่วีบอก มันเป็นอะไรที่แย่มากที่ต้องโดนเปรียบเทียบกับเจ้าของตำแหน่งรองเดือนมหาลัย พยายามย้อนกลับไปนึกว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรกับผมอยู่ ใบหน้าของเขาเลยเต็มไปด้วยความสุขได้ขนาดนี้

   ที่หนึ่งไม่มีทีท่าสะทกสะท้านกับคำก่นด่าของผมยามที่รู้ว่าเขาเป็นเพื่อนในไลน์มานานมากแล้ว คาดคั้นเท่าไหร่ก็ได้คำตอบเพียงอย่างเดียวคือความลับ ผมไม่ใช่คนที่จะมานั่งตรวจเช็คเพื่อนรายวันอยู่แล้วเลยไม่รู้ว่าไอดีไลน์ของเขาถูกเพิ่มเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมันก็ทำให้ผมหวาดระแวงถึงขนาดที่นั่งเช็คเพื่อนในเฟสว่ามีคนชื่อที่หนึ่งอยู่ในรายชื่อรึเปล่า

   "เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแนวเพลงแล้วเหรอน้องโรม"

   เสียงใสดังขึ้น หลังจากที่นั่งกินข้าวเย็นกับที่หนึ่งเสร็จผมก็กลับมานอนแผ่อยู่บนโซฟาในห้อง แน่นอนว่ายังไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูใดๆ ก็มีอยู่คนเดียวที่ไร้มารยาทกับผมได้อย่างนี้

   "อืม เพลงไทยก็เพราะดี"

   ตอบกลับไปอย่างไม่ใส่นัก ได้ยินเสียงหัวเราะเคล้ามากับเสียงรองเท้าสลิปเปอร์ดังกระทบพื้น ชั่วครู่ก็เห็นคนที่คิดไว้ก้มหน้าลงมาหา ใบหน้าเรียว ผิวขาวกับตารีบอกถึงเชื้อชาติได้อย่างง่ายดาย ผมสีดำที่ยาวระต้นคอหล่นมาตามแรงโน้มถ่วง สร้อยคอสีเงินห้อยแท็กทหารคู่กับเกียร์วิศวะแกว่งไปมาจนเกือบจะกระแทกหน้า 'เน็ท' ยิ้มให้แล้วพูดต่อ

   "ไหนใครเคยบอกว่าเพลงไทยน่ารำคาญ ฟังยังไงก็ไม่เพราะ"

   "คนเรามันต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น" ผมตอบแล้วลุกขึ้นนั่งดีๆ คว้าน้องหมีสีส้มมาไว้กับตัวก่อนที่เพื่อนสนิทอันดับหนึ่ง (ซึ่งเป็นอันดับเดียวกับแบล็ค ไวท์ แล้วก็นิช) จะคว้าไป

   เน็ทชอบน้องหมีส้มมากๆ วางแผนจะขโมยของผมตั้งหลายรอบ

   "แถไปเรื่อยนะมึง"

   ผลักหัวจนเอนไปอีกทาง ผมปิดเพลงที่เปิดค้างไว้ เน็ทนั่งลงตรงที่ว่างที่ยังเหลืออยู่พร้อมกับโยนกุญแจพวงใหญ่ที่มั่นใจได้ว่าหนึ่งในนั้นต้องเป็นกุญแจสำรองห้องผมอย่างแน่นอนลงบนโต๊ะ

   โคตรบุกรุกสิทธิส่วนบุคคล

   "มาไม?" ในช่วงเวลาที่ผมต้องการพื้นที่ส่วนตัว ทำไมชอบมีคนมาวุ่นวายตลอดเลย

   "โห เดี๋ยวนี้มาห้องเพื่อนไม่ได้เหรอออ"

   ไม่พูดเปล่ายังดึงผมสีน้ำตาลของผมลงอย่างแรง

   "เชี่ย! กูเจ็บ!"

   "อะไร เดี๋ยวนี้ด่ากลับ เดี๊ยะๆ" เน็ทเป็นคนชอบใช้ความรุนแรงครับ มันชอบเล่นแรงๆ อย่างตีหัว หยิก ข่วน หรือไม่ก็กระชากผมอย่างนี้เนี่ยแหละ ผมเป็นกระสอบทรายให้จนชินแล้ว

   "กูบอกแล้วว่าอย่าเข้าไปเรียนวิศวะ เพราะสังคมเถื่อนๆ นั่นแหละทำให้มึงเป็นคนหยาบกร้ ...เหี้ย!"

   ยังไม่ทันบ่นจบ เขาก็จัดการปาหมอนอิงขนาดเล็กเข้าหน้าของผมเต็มๆ แล้วระยะห่างระหว่างเราสองคนก็มีอยู่นิดเดียว แรงปะทะมันเลยทำเอาแสบหน้าพิลึก ผมบอกแล้วว่าเน็ทเป็นคนหยาบคายและกร้านโลก

   "ถ้ามึงยังไม่เลิกด่ากูนะน้องโรม หมีส้มของมึงได้ลงไปนอนเล่นอยู่ในบ่อตัวมาสคอตในมอแน่"

   ดูจากรอยยิ้มแสยะและคำขู่แล้วมันไม่ใช่แค่คำบอกเล่า แต่พร้อมจะเป็นการกระทำได้ทันทีที่ผมปริปากเรื่องนิสัยของเขาอีกครั้ง

   มีคนบอกว่ากลุ่มผมเป็นกลุ่มที่เลือกเรียนได้ไม่เข้ากับบุคลิกเลยสักคน ผู้ชายที่ดูหล่อร้ายอย่างแบล็คแทนที่จะไปอยู่วิศวะหรือไม่ก็สถาปัตย์ตามแบบผู้ชายแมนๆ กลับไปเรียนกฎหมาย ส่วนเน็ทก็เป็นหนุ่มน้อยที่ไม่ควรจะเข้าไปเรียนในคณะที่เต็มไปด้วยคนห่ามๆ อย่างวิศวะ

   แต่ถ้าให้ตัดเรื่องหน้าตาแล้วดูแต่นิสัยว่าใครสันดานแย่ที่สุดในกลุ่มผมยกให้เน็ท หน้าตานี่บ่งบอกอะไรไม่ได้เลยจริงๆ เขาทั้งปากร้าย มือหนัก ไม่สนใจความรู้สึกคนอื่น นิสัยเสียเยอะแยะ โดยเฉพาะนิสัยหวงเพื่อนที่ขึ้นชื่อว่าหวงยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ ถ้าลองคิดจะแทรกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพวกผมสิ พ่อคุณไม่ใช่แค่ขู่ฟ่อเท่านั้นหรอก พุ่งฉกเลยต่างหาก

   "แล้วสรุปมาทำไม"

   ถึงเราสี่คนจะอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันก็ไม่ค่อยเจอเน็ทบ่อย มันชอบบ่นเรียนหนัก กิจกรรมอีก หอที่มันอยู่ก็ห่างไปจากคอนโดของผมกับแบล็คพอควร

   "อยากมาหา มีปัญหาไรป่ะ"

   "เหยดดด คนอย่างนัทธิเนี่ยนะบอกอยากมาหา ตั้งแต่รู้จักกันมามีแต่เรียกกูให้ไปหาตลอด"

   "เออ คนอย่างกูเนี่ยแหละครับโรมัน"

   คงหมั่นไส้ความโอเวอร์แอคติ้งของผม เน็ทเปลี่ยนจากนั่งเป็นนอนยาวไปกับโซฟา โดยหันเท้ามาเขี่ยๆ ให้ผมเขยิบไปจนสุดอีกฝั่ง เออดี นี่ใครเป็นเจ้าของห้องกันแน่

   หลังจากยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ได้แล้ว คนที่ทำตัวเป็นเจ้าของห้องก็จัดการกดปุ่มเปิดทีวีจากรีโมต ไล่จากช่องเบอร์หนึ่งไปเรื่อย จนตอนนี้ผ่านไปสิบห้าเลขแล้วเน็ทก็ยังไม่หยุดกดปุ่มบวกสักที

   "ทำไมมึงไม่กดเลขช่องเลย" ผมถามด้วยความสงสัย

   "กูเปิดไปงั้น เผื่อเจออะไรน่าสน" คำตอบที่สมกับเป็นคนนิสัยไม่แคร์โลกอย่างเขาดี เน็ทมองตรงไปยังหน้าทีวีจอแบนที่แสดงภาพละลานตา จนมาหยุดตรงช่องการ์ตูนเคเบิ้ลที่เปิดฉายจอนนี่บราโว่อยู่ ผมไม่เคยดูเรื่องนี้มากี่ปีแล้ว

   "นี่หอมึงไม่มีทีวีรึไง ต้องมาขอส่วนบุญที่ห้องกูเนี่ย" คือมันตั้งใจดูมากอะ ตั้งใจแบบรู้สึกว่าคนข้างๆ ไม่ใช่ผู้ชายที่อายุเข้าเลขสองแล้วแต่เป็นผู้ชายที่อายุสี่ห้าขวบ

   "มี แต่จะดูที่นี่" เขาขยับขาเป็นพาดผ่านตัวผมไปยังพนักพิงอีกฝั่ง สบายมากไหมครับคุณมึง? "มึงเลิกพูดสักทีเหอะน้องโรม กูจะดูการ์ตูน อย่ามายุ่ง"

   ปากบอกจะดูการ์ตูน แต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปแล้วมองแต่หน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดห้านิ้วคืออะไร ผมมองเพื่อนตัวเองใช้มือซ้ายที่ไม่ใช่มือข้างถนัดค่อยๆ กดไปบนหน้าจอทีละจุดแล้วได้แต่ถอนหายใจ ถ้าเป็นไปได้ผมจะไม่คุยผ่านไลน์หรือเฟสบุ๊คกับเน็ท เพราะพ่อคนมีความเป็นตัวของตัวเองสูงจะมีวิธีการพิมพ์ที่เป็นเอกลักษณ์อย่างนี้ ประมาณว่าถ้าอยากให้ตอบก็รอไป

   เรื่องของผู้ชายหัวทองที่เซตหัวได้สูงยิ่งกว่ากระบังลมของคนในยุคกลางจบลงไปแล้ว โฆษณาตอนพักเบรคกำลังบอกช่วงเวลาฉายต่อจากนี้ ต่อไปเป็นเรื่องของเจ้าหมาโง่สีชมพูที่พูดให้เฉพาะคนดูเข้าใจ พูดถึงเรื่องนี้ผมสงสัยจนถึงทุกวันนี้ว่าเขาแต่งงานกันไปได้ยังไง น่ากลัวบ้านจะแตกอยู่ร่อมร่อ

   ผมนั่งดูเจ้าหมาโง่เคอร์เรจวิ่งวุ่นไปมาในบ้านโดยที่เมอเรียลก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น แน่นอนว่าอุสทิสหัวล้านก็เอาแต่ด่าลั่นห้อง แพทเทิร์นเดียวกันในทุกตอน

   "อ้าว?"

   กำลังอินไปกับภาษาใบ้ของเจ้าหมาที่ยืนสองขาบ่อยกว่ายืนสี่ขา หน้าจอที่เคยมีสีสันก็กลายเป็นดำสนิท ผมหันกลับมาหาคนที่กำลังยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู มืออีกข้างยังถือรีโมตสีดำไว้ นี่มันเป็นบ้าอะไรอยู่

   "อะไรของมึงงง"

   "หุบปากไป ...ฮัลโหล ให้กูมารอตั้งนานกว่าจะโทรมา ...เออ อยู่กับกูแล้ว แป๊บๆ" เขากดปุ่มอะไรสักอย่างบนหน้าจอ จัดการหาหนังสือเรียนที่ผมวางกองไว้บนโต๊ะมาทำเป็นที่ค้ำยันก่อนจะวางมือถือลงไป

   หน้าจอขนาดใหญ่โชว์ชื่อที่ผมคุ้นเคย ด้านล่างเขียนว่า connecting ทำให้รู้ว่าเขากำลังให้ผมคุยกับใคร

   (ว่าไง)

   ทันทีที่สัญญาณต่อติด ภาพหนุ่มแว่นที่ปรากฎขึ้นบนหน้าจอก็ทักทายด้วยการโบกพู่กันขนาดเล็กในมือไปมา 'นิช' ดันแว่นกรอบใหญ่ที่ไหลลงมาให้กลับขึ้นไปอยู่ด้านบนเหมือนเดิม รอยยิ้มสดใสของเขาก็เป็นสิ่งที่ทำให้โลกดูสว่างขึ้นเหมือนเคย

   "ฮายยย" ผมโบกมือไปมาอย่างรวดเร็ว ภาพเคลื่อนไหวขนาดเล็กตรงมุมจอกำลังแสดงภาพผู้ชายสองคนนั่งเบียดกันบนโซฟาสีดำเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดเฟรม

   (น่ารักขึ้นรึเปล่าน้องโรม)

   มุมกล้องของอีกฝั่งหมุนไปมาอย่างรวดเร็ว จากที่เห็นแค่ใบหน้าสีขาวซีดของอีกฝั่งก็ขยายออกเป็นเห็นว่าเขาเปลี่ยนไปนั่งขัดสมาธิ ด้านข้างมีโต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์วาดรูป

   นิชเลือกเรียนต่อทางด้านศิลปะ เขาเข้าเรียนในโรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับทางด้านนี้โดยตรง โชคดีที่พ่อแม่สนับสนุนในการตัดสินใจ นิชเลยได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักตลอดเวลา

   "ไม่อะ โทรมมากกก งานเยอะมากกก"

   "เออ โคตรโทรมจริงมึง"

   เป็นผมที่อ้อนกลับไป โดยมีเน็ทเป็นคนเสริม ในบรรดาทุกคนนิชใจดีกับผมที่สุด ไม่เคยขัดใจผมเหมือนแบล็ค ไม่เอาแต่ใจแบบเน็ท แต่ก็ไม่ได้เหงาอะไรหรอกนะที่ไม่ได้เรียนที่เดียวกัน ต่างคนก็มีทางเดินเป็นของตัวเองนี่นา

   (หึหึ ทางนู้นเลี้ยงไม่ดีล่ะสิ)

   "ใช่ๆๆ มาหารอบนี้ขอเสบียงแบบจัดเต็มนะ"

   (ไปอยู่แล้วล่ะ แต่ขอหลังงานเดือนนี้หมด) ชี้นิ้วไปตรงโต๊ะข้างตัว (พอดีเขาเร่งมา)

   แบล็คบอกเสมอว่านิชเป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะ ไม่เฉพาะวาดรูปสีน้ำที่เขาถนัดที่สุด แต่รวมไปถึงดนตรีอีกด้วย นิชเล่นดนตรีได้หลายชนิด ทั้งไทยแล้วก็สากล ผมเคยลงเรียนกีตาร์แล้วนิชลงเรียนกลอง เรียนได้แค่สองเดือนผมก็ยอมรับว่าไม่ใช่ทาง ในขณะที่อาจารย์ของนิชชมว่าเขาเป็นนักเรียนที่เรียนรู้ได้ไวที่สุดที่เคยสอนมา เรียกได้ว่าเขาเกิดมาเพื่อเดินทางนี้อย่างแท้จริง
แล้วเขาก็ใช้ความสามารถของตัวเองให้เป็นประโยชน์โดยการรับงานวาดรูปผ่านช่องทางออนไลน์ มีคนติดตามผลงานบนอินสตาแกรมไม่น้อยเลยล่ะ

   "พวกมึงจะมุ้งมิ้งกันอีกนานไหม มันเปลืองเน็ตกู"

   เน็ทพูดขึ้นมาทะลุกลางปล้อง อ้าว นี่ก็นึกว่าให้ผมคุยกับนิชซะอีก

   "อ้าว ล่ะมึงจะคอลทำไร"

   "ถามมันเองดิ" ชี้ไปหาคนที่ยังคงยิ้มอยู่ในโทรศัพท์ "ชอบด่ากูเป็นจอมหวง มึงก็ไม่ต่างจากกูล่ะว้า"

   (อะไรๆ มึงนั่นแหละที่เปิดประเด็น จากกูไม่ตามเลยกลายเป็นเกาะติดเลย)

   "ก็ชัดเจนขนาดนั้น มึงไม่ต้องตามก็รู้ครับ" เน็ททำหน้าบึ้งใส่กล้อง เขาเปลี่ยนท่าเป็นไขว่ห้างแล้วก็พิงหัวมาทางผม

   (มึงก็เหวี่ยงก่อนตลอด เดี๋ยวกูจัดการเองไม่ต้องมาแทรกเวลากูพูดนะ อะ น้องโรมครับ) หนุ่มแว่นหันมาคุยกับผม (พี่นิชมีเรื่องจะถาม)

   ผมขอเสริมข้อมูลเกี่ยวกับคนชื่อนิชอีกนิดนะครับ เมื่อไหร่ที่เขาเรียกตัวเองว่า 'พี่' กับผมเมื่อไหร่ ไม่ว่าตอนนั้นเขาจะยิ้มหวานหรือใช้น้ำเสียงสดใสแค่ไหน จงระวังตัวให้ดี พายุกำลังมา

   แล้วผมก็สัมผัสได้ว่าพายุลูกนี้เป็นพายุที่ใหญ่มาก

   กลืนน้ำลายลงคอ ตอบกลับไปหาคนที่ยังยิ้มแย้มอย่างไม่เต็มใจนัก "ถามมาได้เลยฮับ"

   (ผู้หญิงที่ชื่อเฟรนด์ เป็นใครกันเหรอครับน้องโรม)

   นั่นไงล่ะ... มีอยู่กี่เรื่องกันเชียวที่ทำให้คนอย่างเน็ทเสด็จมาหาผมที่ห้อง แล้วคนอย่างนิชยอมเสียเวลาอันมีค่าในการทำงานมาวีดีโอคอลหา เมื่อกี้ผมบอกว่าเน็ทจะฉกคนที่เข้ามาแทรกเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราใช่ไหม ถ้าใครคนนั้นโชคดีพอเลยรอดจากพิษงู สุดท้ายแล้วคุณก็อาจโดนฆาตกรรมซ้ำในห้องพักฟื้นด้วยวิธีการแสนพิสดารจากนิชก็เป็นได้

   "ง่า...เพื่อนฮับ"

   "เพื่อนไรแม่งมโนในเฟสรัวๆ อย่างนั้นวะ" จะห้ามให้คนปากเสียอย่างนัทธิให้เงียบได้เกินสามนาทีฝันไปเถอะ "กูนี่อยากจะเข้าไปเขียนว่า 'ออกมาจากโลกสมมุติได้แล้วครับ' ใส่หน้าวอลล์แม่ง"

   (เน็ท กูบอกว่าอย่าพูดแทรก) นิชถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน มีใบหน้าเอือมระอาเป็นสิ่งประกอบ

   "กูแค่เสริม"

   (สี่จีมึงจะหมดก็เพราะเอาแต่นอกเรื่องนั่นแหละ) เขายกมือขึ้นปาดสีน้ำสีชมพูที่ติดบริเวณข้างแก้ม คืออยากจะบอกว่าเห็นตั้งแต่เริ่มคอลแล้วนิช การที่ใส่แว่นนี่ไม่ช่วยให้สายตาดีขึ้นเลยใช่ไหม (แต่พี่ไม่คิดว่าเป็นแค่เพื่อนนะ พวกเราลงมติกันแล้ว)

   มติที่ว่าคือแบล็ค นิช แล้วก็เน็ท ไม่มีไวท์เป็นส่วนประกอบ ยัยนั่นโลกส่วนตัวสูงยิ่งกว่าอะไรดี ไม่มีเวลามายุ่งเรื่องคนอื่นอย่างที่สามคนนี้กำลังทำหรอก ไวท์น่ะมีโทรศัพท์ไว้ให้คนอื่นโทรหาเท่านั้นแหละ ไลน์เพิ่งมีเมื่อปีก่อนเพราะคุณพินิจอยากจะส่งรูปมาให้ดูบ่อยๆ ไม่ต้องพูดถึงโซเชียลชนิดอื่นแม่คุณไม่เคยคิดจะแตะต้อง

   "แค่เพื่อนจริงๆ เรื่องนี้คุยกับแบล็คแล้ว"

   "เหรอออ" ทั้งหรี่ตาทั้งลากเสียงยาว ถ้าจะไม่เชื่อขนาดนั้นนะ

   (คุยว่า?)

   "ก็เดี๋ยวจะไปคุยกับเขาให้เคลียร์ ว่าให้เลิกทำให้คนอื่นเข้าใจผิด"

   "จะไปคุย? ไหนเหี้ยแบล็คบอกคุยเรียบร้อยแล้ว เลิกยุ่งกันแล้ว" อีกข้อเสียของคนปากมาก ความลับอะไรไม่เคยเก็บได้สักอย่าง ผมจ้องเน็ทตาเขียวให้มันรู้ตัวว่าหลุดปากพูดออกมาแล้วว่าความจริงพวกนี้ทำงานเป็นขบวนการ ไม่มีทางหรอกที่แบล็คจะเก็บเรื่องไว้คนเดียวน่ะ ถือคติเรื่องของโรมคือเรื่องของเรากันหมด

   (เฮ้อ กูบอกแล้วไงว่าให้เงียบ...)

   "กูต้องแคร์?" ยักไหล่ขึ้นเพื่อบอกว่าเรื่องที่เพิ่งหลุดปากไม่ได้กระเทือนถึงส่วนจิตสำนึกเลยแม้แต่น้อย "ถ้ายังไม่เคลียร์เดี๋ยวกูจัดการให้ แค่นั้นเอง"

   "เน็ท..."

   ผมเรียกชื่อเขาเสียงอ่อน บอกแล้วไม่ให้เข้าไปเรียนวิศวะ นอกจากการกระทำจะเถื่อนแล้วใจยังถ่อยตามไปอีก

   (อันนี้พี่เห็นด้วยนะน้องโรม ถ้าน้องไม่กล้าให้พวกพี่ทำให้ก็ได้)

   เคยเล่ารึยังว่าสิ่งหนึ่งที่คนในกลุ่มนี้เหมือนกันหมดคือหวงผมมาก จริงอยู่ว่าผมอายุน้อยที่สุดเลยอาจคิดว่าลุคของผมเป็นน้องเล็กที่น่าปกป้อง นั่นเป็นความคิดที่ผิดมาก ถึงผมจะดูจืดจางมากที่สุดเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ผมก็ยังเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายธรรมดาที่ดูแลตัวเองได้ไม่ต้องให้ใครมาคอยห่วง จะตัดสินใจอะไรก็ทำได้เองไม่ต้องรอปรึกษาใครก่อน

   แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขามอง

   ผมยังคงเป็นน้องเล็กที่พวกเขามองว่าเป็น 'หน้าที่' ที่จะต้องดูแลผมไปตลอด

   "พี่นิช ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวโรมจัดการเอง"

   งัดไม้ตายออกมาใช้ แค่เรียกเขาว่าพี่แล้วก็แทนตัวเองว่าโรม ผู้ชายใจดีอย่างนิชก็ไม่เคยที่จะต้านทานผมได้หรอก วะฮะฮ่า
คนในจอยกมือขึ้นเสยผมที่ยาวปิดหน้า ขณะเดียวกันก็ยิ้มบางเฉียบ (พี่ว่าพี่จัดการให้ดีกว่านะ)

   "เชื่อมือกูได้เลยเพื่อนรัก"

   คงกลัวผมไม่มั่นใจ เน็ทยกมือขึ้นทำเป็นสัญลักษณ์เยี่ยมโดยมีหน้าระรื่นขั้นสุดเป็นเครื่องการันตีว่างานนี้ต่อให้ผมห้ามแค่ไหนจอมหวงเพื่อนจะไม่ยอมรามือแน่ๆ

   "แงงง ไม่ทำงี้ดิ"

   (ไม่งอแงไร้เหตุผลครับน้องโรม)

   "ก็พวกมึงไม่มีเหตุผลอะ"

   "พวกกูสาระเต็มเปี่ยมต่างหาก เนอะ" หันไปขอความเห็นจากผู้ชายที่เปลี่ยนไปหันหน้าเข้าหาโต๊ะ นิชเพียงแค่พยักหน้าเห็นด้วยแล้วก้มลงไปขีดเขียนอะไรต่อ

   ผมขอร้องไห้ตอนนี้ได้ไหม

   "เข้าใจตรงกันแล้วเนอะ เปลืองสี่จีกูชะมัด บ๊ายบายพี่นิชเร็ว"

   (ไว้เจอกันนะ)

   หน้าจอไม่มีภาพเคลื่อนไหวอีกแล้ว เหลือเพียงหน้าโฮมสกรีนเป็นด้านหลังของผู้ชายในชุดช็อปวิศวะที่ผมมั่นใจว่าไม่ใช่แผ่นหลังของเน็ทแน่นอน

   "ก็ตามนั้นนะ เดี๋ยวกูจัดการให้เองไม่ต้องห่วง อีกสามวันรอฟังผลได้เลย"

   "ไม่ต้องเลยนะมึง"

   นี่ขนาดเฟรนด์ไม่ได้บอกตรงๆ ว่ากำลังจีบผมยังโดนขวางขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยถ้ารู้ว่าที่หนึ่งแกรนด์โอเพนนิ่งออกตัวว่าจะจีบผมจะโดนขนาดไหน

   ขอพูดเปิดใจอย่างไม่มีอะไรปิดบัง ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่อยากยอมรับว่ากำลังโดนผู้ชายจีบ

   โดยเฉพาะผู้ชายคนนั้นคือที่หนึ่ง

   "กูมาบอก ไม่ได้มาขออนุญาต" ในพจนานุกรมของเน็ทไม่เคยมีคำว่าขออนุญาตหรอก ยกตัวอย่างก็การที่เขาใช้กุญแจสำรองไขเข้ามาในห้องผมหน้าตาเฉยไง สิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าเน็ทอยู่เหนือกฎทั้งปวง

   "ทำไมพวกมึงต้องมายุ่งกับชีวิตกูวะ?"

   เสียงโทรศัพท์สั่นครืดเรียกความสนใจจากบทสนทนาที่ยังไม่จบ บนหน้าจอสมาร์ทโฟนของเน็ทปรากฎภาพนิ้วก้อยของคนสองคนอยู่ชิดติดกันโดยมีด้ายสีแดงผูกไว้ ส่วนชื่อของคนโทรเข้าทำเอาผมขมวดคิ้ว 'อนาคต' ชื่อบ้าอะไรนั่น

   "...ตายยากฉิบ" เจ้าของโทรศัพท์พูดลอยๆ ตอนที่หยิบโทรศัพท์มาไว้ในมือ เขากดสไลด์ขวาเพื่อรับสาย "มีไร ...ห้องเพื่อน น้องโรมไง ...แล้วมาบอกตอนนี้เนี่ยนะ บ้าป่ะไอ้เชี่ย ...หยุดเลย ถ้ามึงไม่หยุดพูดกูจะวางสาย ...หือ ขู่เหรอ กูทำจริงเสมอแหละ ...เออๆ ลงไปล่ะ"

   ถึงการโทรจะใช้เวลาไม่กี่นาที มันก็เต็มไปด้วยความหลากหลายทางอารมณ์มาก เริ่มจากอารมณ์ดี  แล้วก็เริ่มใช้น้ำเสียงหงุดหงิด จบด้วยทำหน้าเหมือนกินยาขมเข้าไป เขาหยิบกุญแจพวงใหญ่ไว้ในมืออีกฝั่ง โบกมือลาให้ผมแล้วเดินไปทางหน้าประตู

   เน็ทก็ยังทำอะไรตามใจตัวเองไม่เคยเปลี่ยน

   ผมเท้าคางกับโซฟา มองคนที่ยังคงบ่นปลายสายแบบนอนสต็อปเปลี่ยนสลิปเปอร์เป็นรองเท้าหนังคู่ใหม่ที่ไม่เคยเห็น ไอ้นี่ก็เป็นพวกบ้ารองเท้า เท้าก็มีแค่สองข้าง จะเปลี่ยนไปทำไมบ่อยๆ

   "น้องโรม" เสียงนั้นเรียกผมออกจากภวังค์ "มึงเข้าใจอะไรผิดนิดหน่อยนะ กูไม่ได้ยุ่งกับชีวิตของมึง กูยุ่งกับชีวิตน้องโรม 'ของพวกเรา' ต่างหาก"

   จบประโยคในเวลาไล่เลี่ยกับเสียงปิดประตู จากตรงนี้ยังได้ยินน้ำเสียงแสนมั่นใจในตัวเองนั้นบ่นอยู่ไกลๆ

   น้องโรมของพวกเราอะไรล่ะ

   นี่ผมไม่มีสิทธิแม้กระทั่งในชีวิตตัวเองเลยเหรอเฮ้ย!


***
   พากลุ่มคนหวงน้องโรมมาเปิดตัวเพิ่มค่ะ ให้ที่หนึ่งเตรียมใจไว้เยอะๆ ว่าการจีบน้องโรมไม่ง่ายแน่ๆ (หัวเราะ)
   สัปดาห์นี้งานเข้าเจ้าแบบเต็มๆ โดนดูดพลังชีวิตจนรู้สึกว่าตัวเองเป็นซอมบี้น้อยๆ (ปาดน้ำตา) พิมพ์ไปเบลอไป ถ้าเจอคำผิด พิมพ์ตกหล่น หรือใช้คำตรงไหนแปลกๆ ทักได้เลยนะคะ เดี๋ยวเจ้ากลับมาแก้ค่ะ
   ฝนก็ยังตกตลอด ดูแลสุขภาพกันเยอะๆ นะคะ
   เจอกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 5 [09.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 10-10-2015 01:40:27
น้องโรมของพี่ๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 5 [09.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-10-2015 02:15:06
จะเจอศึกหนักแล้วที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 5 [09.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 10-10-2015 03:47:04
โรมของเราเองงงงง (โดนตบ)
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 5 [09.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 10-10-2015 05:23:48
 :ruready :laugh:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 5 [09.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 10-10-2015 05:56:41
อยากบอกพี่ๆของน้องโรมเหลือเกินว่า ผู้หญิงที่ชื่อเฟรนด์ไม่น่ากลัวเท่าเท่าผู้ชายชื่อที่หนึ่งหรอกนะจ๊ะ :laugh:
คนที่โทรมาตามเน็ท นี่แฟนเน็ทแน่เลย โด่วววว ที่งี้รีบชิ่งหนีเลย อยากมาก็มา อยากไปก็ไป หัวหมุนตามโรมเลย :jul3:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 5 [09.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 11-10-2015 00:05:51
เปิดตัวเน็ท กับ นิช แล้ว ชอบนิชอ่ะ แต่ชอบที่สุดก็ยังคงเป็นราชาแบล็คนะจ้ะ
แต่ละคนในกลุ่มนี่ มีบุคลิกเฉพาะตัวน่าสนใจกันดีจังเลย น้องโรมก็ด้วย
แต่ที่ทุกคนเป็นเหมือนกันนี่คือ หวงน้องโรมกันทั้งนั้น มีลงมติกันด้วย 555
ที่หนึ่ง ยังโชคดีสินะ ที่แบล็คไม่ได้กีดกัน แถมยังมีแอบช่วยด้วย
แต่จะรับมือกับเน็ทกับนิชยังไงนี่สิ เน็ทชอบทำรุนแรงด้วยอ่ะ ชักเป็นห่วง
แต่ยังไง เพื่อน้องโรม ที่หนึ่งทนได้อยู่แล้วเนอะ
ชอบที่หนึ่ง เวลารับมือกับนิสัยเฉพาะตัวของน้องโรมนะ
น้องโรม จะแสดงออกมายังไง ที่หนึ่ง รับได้หมด ยิ้มตลอดเลย น่ารัก ๆ
อ้อ ตอนนี้ น้องวีของน้องโรม ก็น่ารักดีนะ เห็นที่หนึ่ง เป็นไอดอลซะด้วย
คู่ของเน็ทก็น่าสนใจ แหม ทั้งรูปในหน้าโฮมสกรีน นิ้วก้อยผูกด้ายแดง
แถมชื่อเรียกเข้า อนาคต โหย ๆ แค่นี้ก็รู้หมดแล้วว่าเป็นอะไรกัน
น่าสนใจจริง ๆ แสบ ๆ อย่างเน็ทนี่ ใครหนอที่เอาอยู่ อยากรู้ ๆ
เอาใจช่วยที่หนึ่งกันต่อไปจ้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 5 [09.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 11-10-2015 13:02:10
ฉันล่ะสงสารเฟรนด์จริง ๆ นี่ยังไม่อะไรยังโดนกีดกันขนาดนี้
ถ้ากลุ่มคนหวงน้องโรมรู้จักเรื่องของที่หนึ่งเข้าจะว่ายังไง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 5 [09.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: SiHong ที่ 11-10-2015 21:32:10
น้องโรมมมมมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 5 [09.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 12-10-2015 21:15:20
แต่ละคน มีนิสัยเฉพาะตัวที่น่าสนใจมาก ๆ เลย
เนื้อเรื่องก็น่าติดตาม ดูมีปมในอดีตเยอะเชียว
อ่านไปอ่านมา เหมือนที่หนึ่ง จะเข้าใจง่ายสุดแล้วนะ 555
อ้อ ยังมีน้องวี อีกคน น่ารักดี ต้องอย่างนี้ถึงจะเป็นน้องรหัสโรมได้
ว่าแต่ เวลรอใครอยู่นะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 5 [09.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 13-10-2015 12:56:21
น้องโรมมมม... ชอบจังเวลานิชเรียกแบบนี้
ชอบเพื่อนโรมมากค่ะ รู้สึกตั้งแต่เจอแบล็คแล้วว่าที่หนึ่งต้องเจองานหินแน่ๆ
เป็นกำลังใจให้ที่หนึ่งนะคะ จะได้สอยน้องโรมของทุกคนมาจากอ้อมอกของเพื่อนๆสุดหวงได้เสียที

ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 16-10-2015 22:29:20
บทที่ 6

   บนรถบัสขนาดใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมหาศาลแออัดกันอย่างกับเป็นรถขนแรงงานต่างด้าวหนีเข้าเมือง เสียงเอ็มซีกำลังอธิบายกิจกรรมบนรถดังออกลำโพงจนน่าปวดหัว เสียงกลองสันทนาการก็ตามมาไม่หยุดหย่อน ผมหยิบหูฟังออกมายัดใส่หูเผื่อว่ามันจะช่วยลดความโหวกเหวกที่น่ารำคาญนี้ได้บ้าง กดปุ่มเพิ่มเสียงแบบที่ถ้าอยู่ในบีทีเอสคนนั่งถัดไปอีกสามเก้าอี้ก็ยังได้ยิน

   น่าเสียดายที่ผมไม่ได้อยู่บนรถไฟฟ้า

   ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมว่าผมกำลังไปที่ไหน ใช่แล้ว กิจกรรมที่ถูกอ้างว่ามีขึ้นเพื่อสานสัมพันธ์ให้พี่กับน้องได้รู้จักกันมากขึ้น การรับน้องนั่นเองครับ

   "ปวดหัวเหรอ"

   คนข้างๆ สะกิดแล้วก้มลงมาถาม ผมหันไปมองหน้าเจ้าของตำแหน่งเดือนคณะที่กำลังอยู่ในอาการกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด

   "อืม อย่ากวนได้ป่ะ"

   ตอบตัดรำคาญ ผมหยิบหูฟังขึ้นมายัดใส่หูอีกครั้งแล้วพิงกับหน้าต่างบานใหญ่ ข่มตาให้หลับเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับรู้ว่ารอบข้างตอนนี้วุ่นวายมากแค่ไหน

   บอกแล้วว่าผมไม่ใช่คนที่ชอบเข้าสังคมเท่าไหร่นัก นี่เป็นการมาค่ายรับน้องครั้งแรกด้วยซ้ำไป ปีหนึ่งโดด ปีสองก็โดด ตั้งใจจะทำสถิติโดดไปถึงปีจบให้ทุกคนลืมว่าเคยมีคนชื่อโรมอยู่ในคณะ แต่ความตั้งใจนั้นก็ถูกทำลายลงอย่างไม่มีชิ้นดีด้วยฝีมือของน้องสายเวรตะไลอย่างไอ้ปารวี พอผมบอกว่าจะไม่ไปรับน้องเท่านั้นแหละ มันก็เริ่มปฏิบัติการก่อกวนทันที

   วิธีการก็ง่ายๆ ส่งไลน์ด้วยคำว่า 'ไปรับน้องด้วย' ซ้ำเป็นร้อยๆ รอบตลอดวัน จนผมต้องตัดสินใจปิดสัญญาณอินเทอร์เน็ตไว้ชั่วคราว แถมตอนตอบว่าไปก็ได้ยังมีบอกหน้าตาเฉยว่าถ้าแผนหนึ่งไม่สำเร็จก็เตรียมแผนสำรองไว้แล้วด้วย แผนสองก็เปลี่ยนไปตื้อในเมสเสจ แผนสามคือจะโทรมาหาทุกห้านาที และแผนสี่คือมาลากตัวผมถึงห้อง

   มือถือผมยังไม่พังนี่ก็เป็นบุญมากเท่าไหร่แล้ว

   ความเย็นตรงข้างแก้มทำให้ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งแรกที่เห็นคือขวดน้ำพลาสติกที่มีหยดน้ำเกาะอยู่พราว ส่วนสิ่งที่สองที่ยื่นตามมาหลังจากผมรับขวดน้ำมาถือไว้งงๆ คือยาพาราแผงใหญ่

   "กินก่อนค่อยนอนต่อ"

   นี่ก็อีกหนึ่งความวุ่นวายในชีวิตผมช่วงนี้ ที่หนึ่งผู้ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่ากำลังเดินหน้าจีบผมอย่างไม่ลดละ หลังจากที่หมอนี่ทำผมประสาทกินไปรอบเรื่องไลน์แล้วก็ทักมาหาบ่อยครั้ง พอรู้ว่าผมจะมาค่ายรับน้องด้วยเท่านั้นแหละก็ผันตัวไปเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่คอยเช็คเรื่องข้าวของจำเป็นในการอยู่ค่ายตลอดเวลา

   เมื่อเช้าก่อนออกจากห้องยังไลน์มาบอกว่าอย่าลืมหยิบแปรงสีฟันมาด้วยอยู่เลย

   "ไม่กิน"

   "ไม่ดื้อสิ"

   ตรรกะอะไรของเขาที่ทำให้การไม่กินยาเท่ากับผมดื้อ ผมปวดหัวก็เพราะเสียงดังที่ตีกันไปมาไม่ยอมหยุดนี้ต่างหาก เพราะงั้นถึงกินไปทั้งแผงมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น

   อยากจะโทษตัวเองที่ไม่สนิทกับคนในคณะ ตอนเลือกที่นั่งเลยกลายเป็นผมจำใจต้องนั่งกับผู้ชายที่ชื่อที่หนึ่งโดยไม่มีทางเลือก เพราะนอกจากเขาแล้วมองไปทางไหนก็ไม่เจอคนที่คุ้นหน้าเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ป้ายชื่อของบางคนมีเลขสามที่หมายถึงอยู่ปีสามเขียนไว้เหมือนของผม

   "รำคาญเสียงไมค์ ไม่ได้เมารถ"

   "ก็กินดักไว้ก่อน"

   "..."

   อยากด่ากลับว่าบ้านพ่อมึงสิกินยาดักปวดหัว ติดตรงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยกังวลทำให้ผมปิดปากเงียบ ผู้ชายคนนี้เขาจริงจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเกินไปไหม

   ไม่รอให้ผมตอบตกลง เขาแกะยาไว้ในมือ ตาดุที่มองมาเหมือนกำลังบอกว่าให้ผมรับมันไปซะ

   แค่ไม่อยากเถียงกับคนที่ดูผีเข้าผีออกตลอดเวลาอย่างที่หนึ่ง ผมเลยรับมาแล้วรีบๆ กลืนมันลงคอไป เขาพยักหน้าอย่างพอใจตอนที่ผมยื่นขวดน้ำคืนให้

   "เก่งมาก"

   แถมยังชมอีก ถ้าไม่บอกว่านี่คือที่หนึ่งผมต้องคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นร่างโฮโลแกรมของแบล็คแน่ๆ

   ผมกลับเข้าไปอยู่ในโลกของเสียงเพลงอีกครั้ง ที่นั่งของผมอยู่เกือบหลังสุดเพราะงั้นผมจะไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้ด้านหน้ากำลังทำกิจกรรมไปถึงไหนแล้ว อยากให้มันจบไวๆ ชะมัด ตอนนี้เส้นเลือดในสมองของผมเต้นตุบๆ เตรียมจะแตกแล้วมั้ง

   อยากจะหลับก็หลับไม่ลง รถบัสที่เป็นรถพัดลมทำให้ลมตีหน้ารุนแรงต่อเนื่อง ผมขยับตัวเตรียมที่จะปรับบานกระจกให้ลดระดับลงมาหน่อย มือสองข้างจับตรงที่ล็อคไว้แน่น แต่ไม่ว่าจะใช้แรงขนาดไหนมันก็ไม่ขยับอย่างที่ผมต้องการ สนิมกินจนปรับไม่ได้แล้วล่ะสิ ให้ความรู้สึกเหมือนตอนขึ้นรถเมล์ร้อนเวลาฝนตกเลย

   "ให้ช่วยไหม" ที่หนึ่งถามขึ้น

   "จับด้านซ้ายไปแล้วกัน"

   "โอเค"

   เขาตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ผมขยับตัวไปทางขวาเพื่อให้เขามีพื้นที่แทรกเข้าถึงบานกระจกได้ง่ายขึ้น คราวนี้ใช้แรงเพียงเล็กน้อยมันก็เลื่อนลงมาอย่างง่ายดาย

   "ขอบ...คุณ"

   ผมตั้งใจจะหันหน้ามาขอบคุณที่ช่วยปรับกระจกลง ลืมไปว่าพื้นที่ว่างระหว่างเบาะมันไม่ได้มีเยอะมากเท่าไหร่ เพราะงั้นตอนที่เอ่ยปากบอกถึงรู้สึกว่าตอนนี้เราอยู่ใกล้กันมากแค่ไหน ถ้าให้อธิบายแบบในนิยายคงเขียนว่าใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ ซึ่งไม่ได้ยินแน่นอนเพราะเสียงที่ดังออกลำโพงมีมากกว่านั้นมาก

   งั้นผมควรจะอธิบายว่าใกล้กันขนาดไหนน่ะเหรอ อืม...

   ใกล้อย่างที่เห็นได้ชัดว่าสายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นขนาดไหนล่ะมั้ง

   "เต็มใจ" คำพูดที่บอกกลับมาบางเบาไม่แพ้กัน เขามองหน้าผมอยู่สักพักใหญ่ก่อนที่เสียงเอ็มซีจะเรียกชื่อเขาซ้ำๆ

   "พี่ที่หนึ่งอยู่ตรงไหนคะ? ออกมาช่วยน้องทำมาหากินหน่อยยย"

   นั่นถึงทำให้ที่หนึ่งผละออกไปช้าๆ เขายังคงโฟกัสอยู่ที่หน้าผมยามตอบกลับ และเป็นอีกครั้งที่ผมเห็นเลือดฝาดขึ้นบนหน้าเขา

   "อุ๊ยตาย ทำไมหน้าแดงอย่างนี้คะพี่ที่หนึ่ง ร้อนเหรอคะ มะมา เดี๋ยวพัดใหญ่นะ" ตามมาด้วยเสียงโห่ฮาจากทุกสารทิศ อีกหนึ่งอย่างที่ผมสังเกตได้คือเขาพยายามเว้นระยะห่างระหว่างตัวเขาเองกับผมตลอดเวลา ไม่ใกล้หรือไกลจนเกินไป รวมถึงอาการผีเข้าผีออกที่มาเป็นระยะ เมื่อกี้ก็อายหน้าแดงอย่างกับไม่เคยมีใครมาใกล้ ทีตอนถ่ายรูปล่ะเบียดอย่างกับเป็นแฝดสยาม

   "เอาล่ะค่ะ หลังจากสมบัติล้ำค่าของคณะอย่างพี่ที่หนึ่งได้ออกมาเป็นผู้ประเดิมเกมส์รายแรก น้องก็ขอเปิดกติกาเลยแล้วกันเนอะ สำหรับกิจกรรมต่อไปนะคะ เราจะมีสลากให้จับสองส่วน ส่วนแรกคือชื่อของใครสักคนบนรถนี้ และส่วนที่สองคือคำสั่ง ถ้าทำภารกิจไม่สำเร็จก็จะโดนทำโทษนะคะ"

   ผมฟังคำอธิบายเพียงให้เข้าใจ หันมาสนใจกับแอพพลิเคชั่นแชตสีเขียวที่ขึ้นแจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่ เนื้อความมาจากแบล็คผู้ซึ่งกลายเป็นบุคคลไร้บ้านในเวลานี้ เดี๋ยวนี้ไปหาที่ห้องถ้าไม่เจอไวท์ก็เจอความว่างเปล่า ไม่รู้ไปขลุกอยู่ที่ไหน

   เขาส่งมาถามว่าผมอยู่ไหน เลยตอบไปสั้นๆ ว่ามารับน้อง คำว่า read ขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีข้อความใดส่งมาต่อ ไม่รู้ว่าคุณพ่อบังเกิดเกล้าเกิดอารมณ์ดีอะไรขึ้นมาเลยถามผมอย่างนี้

   "เล่นมือถือในรถเดี๋ยวก็ยิ่งปวดหัวหรอก"

   ที่หนึ่งนั่งลงตรงที่เดิม เพิ่มเติมคือมีรอยลิปสติกสีแดงสดเป็นรูปหัวใจติดอยู่ตรงข้างแก้มทั้งสองข้าง ไปโดนเกมส์พิลึกๆ อะไรมาล่ะสิ ผมเก็บโทรศัพท์ลงอย่างว่าง่ายเพราะจริงตามที่เขาพูด ขืนผมปวดหัวมากกว่านี้อาจมีการขย้อนของเก่าออกมาไม่ช้าก็เร็ว

   "ตลกรึเปล่า" เขาถามต่อ ชี้ไปตรงรอยแดงที่เด่นชัด

   "ไม่นะ"

   "ชัวร์?"

   ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลบอกผมว่าเขาดูไม่มั่นใจกับสิ่งที่อยู่บนแก้ม ผมไม่เคยเข้าค่ายรับน้องอะไรอย่างนี้มาก่อน ทุกอย่างเลยดูเป็นสิ่งใหม่ที่แปลกตา แต่ให้ผมมีรอยอะไรแบบนี้ผมก็ไม่เอาด้วยหรอก

   "ก็ไม่แย่"

   "ช่วยเช็ดให้ได้ไหม" ผมว่ามันเป็นคำถาม อะไรคือการที่เขายื่นทิชชู่มาด้วย "คนแถวนี้บอกว่าไม่หล่อ"

   ผมบอกแล้วไงว่าที่หนึ่งเปลี่ยนโหมดได้ไวจนน่ากลัว

   ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับซองพลาสติกที่ห่อกระดาษสีขาวไว้ จัดการเช็ดรอยแดงบนแก้มเร็วๆ ผมล่ะไม่เข้าใจกลไกการทำงานของเครื่องสำอาง ทำไมถึงติดแน่นติดทนได้ขนาดนี้ ไม่เคยเข้าใกล้ที่หนึ่งมากขนาดนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย ผิวเนียนกว่าที่คิด ขนตาก็ยาวดี

   "ช่วยมองไปทางอื่นได้ไหม" เล่นจ้องหน้าผมขนาดนี้ จะสะกดจิตให้หลงรึไงกัน ที่หนึ่งหัวเราะในลำคอเบาๆ นัยน์ตายิ้มจนแทบไม่เห็นสีดำ

   "ไม่ได้ครับ"

   "ไม่ทำก็ไม่ช่วยนะ"

   ต้องให้ขู่แบบเด็กวีรเวร ผู้ชายข้างหน้าถึงยอมหลับตาลง จนในที่สุดรูปหัวใจที่อยู่บนแก้มของเขาทั้งสองข้างก็หายไป เหลือเพียงรอยแดงจางๆ เท่านั้น

   ที่หนึ่งยังไม่ยอมลืมตาตอนผมลดมือลงแล้ว ใบหน้าที่มีแต่คนบอกว่าหล่อไร้ที่ติทำให้ผมได้แต่ถามตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้ รู้ทั้งรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับตัวเองแต่ทำไมถึงยังยอมทำให้ตามที่ขอ เน็ทเคยบอกว่าผมไม่ใช่คนที่เข้าถึงยาก ผมแค่มีเกณฑ์ในการเลือกคนที่จะเข้ามาในชีวิตอย่างชัดเจนแล้วก็มั่นคง ถ้าผมไม่อยากยุ่งกับใคร ผมก็จะออกห่างอย่างที่เรียกได้ว่าเจอหน้ากันครั้งนั้นครั้งเดียวพอ

   แต่กับผู้ชายชื่อที่หนึ่ง มันดูยากเกินกว่าจะกำหนด ถ้าไม่นับเรื่องความสามารถรอบด้านที่มากจนน่าอิจฉา ที่หนึ่งก็เป็นผู้ชายที่น่าคบหาในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง เขาวางตัวดีจนผมประทับใจ อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่คนจำพวกที่ผมอยากหลีกหนี พูดในภาพรวมคือถ้ามีผู้ชายอย่างนี้เข้ามาในชีวิตเพื่อที่จะอยู่ในฐานะ 'เพื่อน' ผมก็พร้อมที่จะให้เขา

   มันยากตรงที่นั่นไม่ใช่ตำแหน่งที่เขาต้องการ ผมตัดเรื่องเพศของเราสองคนออกไปตั้งแต่วันที่เขาประกาศว่าจะจีบผม ความมั่นคงในนัยน์ตาทำให้เชื่อมั่นว่าเขาคิดดีแล้วก่อนที่จะเข้ามาบอกต่อหน้า ที่เหลือมันเลยอยู่ที่ความรู้สึกของผม ว่าจะวางเขาไว้ตรงตำแหน่งไหน

   อาจจะดูแย่ ถ้าผมกำลังจะบอกว่าตอนนี้ไม่ว่ายังไงตำแหน่ง 'ที่หนึ่ง' ที่เขาต้องการผมไม่อาจให้ได้

   "เป็นอะไรครับ ยังปวดหัวอีกเหรอ?" แสนดี เป็นห่วงเป็นใยทุกการเคลื่อนไหว นั่นคือเขา ตั้งแต่ได้รู้จักกับเขาบอกเลยว่าผมยังหาข้อเสียแทบไม่เจอ

   "เปล่า"

   ตัดบท จัดการพาตัวเองเข้าสู่โลกส่วนตัวโดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นการแสดงออกที่ดูก้าวร้าวเกินไปรึเปล่า เพราะความคิดหนึ่งของผมก็ยังคงย้ำกับตัวเองเสมอว่าผมควรจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ให้ผู้ชายคนนั้นออกไปจากโลกของผม

   โดยอีกส่วนก็กระซิบคำที่แบล็คเคยพูดไว้ ผมควรจะเดินออกมาได้แล้ว

   เพลงสากลของวงนอกกระแสเล่นวนไปซ้ำๆ หนึ่งในนิสัยพิลึกของผมคือสามารถฟังเพลงเดียวกันซ้ำได้เป็นสัปดาห์โดยไม่เปลี่ยนไปฟังเพลงอื่นเลยแม้แต่น้อย เสียงหัวเราะเคล้ากับเสียงกลองบ่งบอกถึงระดับความสนุกสนานของกิจกรรม เมื่อไหร่จะถึงที่พักนะ ผมอยากลงไปเหยียบพื้นดินจะแย่แล้ว

   "..รม ...พี่โรม...พี่โรมมมม"

   มั่นใจได้ร้อยเปอร์เซนต์ว่าคงไม่มีใครชื่อโรมแบบผมอีกแล้ว เสียงที่ออกผ่านไมค์ไม่ใช่เสียงของเอ็มซีสาว และไม่มีทางลืมเสียงที่น่ารำคาญแบบนี้ได้เป็นอันขาด เสียงน้องสายผมเอง

   "พี่โรมหลับอยู่ครับ"

   ยังไม่ทันที่จะตอบกลับเสียงเรียก ที่หนึ่งก็ลุกขึ้นตอบแทน ใครบอกผมหลับกัน นี่เห็นไหมว่าลืมตาอยู่เนี่ย

   "งือออ พี่ที่หนึ่งปลุกพี่โรมมาช่วยผมหน่อยดิ"

   "ให้พี่เล่นแทนได้ไหม ไม่อยากปลุก"

   เสียงแรกที่ผ่านไมค์ทำให้ได้ยินชัดเจนแม้ผมจะอยู่เกือบหลังสุด ส่วนเสียงที่สองคือการอาสาที่นำมาซึ่งการร้องโห่จนลั่นรถ

   "ได้ค่ะพี่ที่หนึ่งงง น้องเต็มใจให้เปลี่ยนตัววว"

   "มา จะให้พี่ทำอะไร"

   "เมื่อกี้น้องวีจับได้เกมส์แน่นอนอยู่แล้วค่ะ กติกาก็ง่ายๆ ให้ถามแล้วตอบแค่ว่าแน่นอนอยู่แล้ว ใครที่ตอบอย่างอื่นจะโดนทำโทษค่า"

   ถ้าจำไม่ผิดผมเคยเห็นเน็ทเปิดรายการโชว์เกาหลีที่มีเกมส์นี้เล่น มันเหมาะสำหรับคนที่มีปมมากกว่าคนที่ดูพร้อมในทุกทางอย่างสองคนนี้นะ เชื่อเหอะว่าวีมันต้องชนะแหง ไม่มีใครหลงตัวเองได้เกินมันอีกแล้ว

   "พี่ที่หนึ่งคิดว่าผมหน้าตาดี" นั่นไง... เปิดมาก็เรียกเสียงหัวเราะได้อย่างที่คิด

   "แน่นอนอยู่แล้ว แต่วีก็รู้ว่าพี่หน้าตาดีกว่า"

   "ฮึ่ม แน่นอนอยู่แล้ว พี่จะลงคะแนนให้ผมเต็มทุกช่องตอนประกวดดาวเดือน"

   ความกะล่อนของวีมาพร้อมเสียงแซวจากทุกทิศทาง

   "แน่นอนอยู่แล้ว แต่ต้องเป็นการแสดงที่พี่ประทับใจจนลืมไม่ลงนะ วีเมื่อเช้าไม่ได้อาบน้ำมาใช่ไหม"

   "ฮื้อ...แน่นอนอยู่แล้วก็ได้ พี่ครับ คำถามต่อไปห้ามโกรธนะ แต่ผมอยากรู้อะ พี่ที่หนึ่งคิดว่าตัวเองเป็นที่หนึ่งเสมอ"

   ทั้งรถตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนกำลังรอคอยคำตอบที่ค้างคาในใจ ที่หนึ่งเกิดมาเพื่อเป็นที่หนึ่ง นั่นคือสิ่งที่ผมและคนอื่นรับรู้มาตลอด แม้เขาจะไม่เคยอวดอ้างสรรพคุณที่ยาวเป็นหางว่าวของตัวเองเลยก็ตาม

   "...ไม่ล่ะ"

   เสียงเขาที่ผ่านไมค์เต็มไปด้วยรอยร้าว ไม่มีใครสนใจเกมส์แล้วล่ะครับเวลานี้ อย่างเบาะที่อยู่หลังจากผมถึงกับอุทานไม่เป็นภาษาตอนที่เขาตอบออกมาอย่างนั้น "อยากเป็นที่หนึ่งอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ยังไม่สำเร็จ"

   "เรื่องอะไรคะพี่?"

   "พี่อยากเป็น 'ที่หนึ่ง' ของคนๆ หนึ่งครับ" เขาเว้นช่วงการพูดไปครู่หนึ่ง "ได้แต่อยาก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เป็นที่หนึ่งสักทีเหมือนกัน"


***
มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 16-10-2015 22:45:08

   ไม่ถึงชั่วโมงหลังจากการประกาศที่เรียกว่าเป็นเซอร์ไพรส์ที่สุดของคณะในเวลานี้ เราก็มาถึงที่พักจนได้ ผมลากร่างที่โดนดูดพลังงานชีวิตไปมากกว่าครึ่งลงจากรถทัวร์ ไม่เคยรักพื้นดินเท่าตอนนี้มาก่อนเลยให้ตาย

   "เดี๋ยวน้องๆ มารวมตัวกันตรงนี้นะคะ ส่วนพี่ๆ ถ้าสังขารไม่เที่ยงอยากจะเข้าไปพักผ่อนแล้วก็เดินไปรับกุญแจที่น้องแอลเสื้อชมพูทางซ้ายได้เลยค่ะ"

   กระเป๋าเดินทางค่อยๆ ลำเลียงลงมาทีละน้อย ผมยืนหากระเป๋าเดินทางขนาดเล็กสีดำสนิทของตัวเองอยู่พักใหญ่ถึงเจอ เอื้อมมือคว้าไปแต่กลับได้เพียงความว่างเปล่า ในเมื่อมีเจ้าของข้อมือขาวบางคนคว้ามันไว้ในมือได้เร็วกว่า

   "พักก่อนเนอะ" ที่หนึ่งหันมาถามผม มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าเดินทางของผมไว้ ส่วนอีกข้างก็สะพายเป้เดินทางสีเทาไว้ตรงไหล่

   "เอากระเป๋ามา"

   ผมบอกเขาด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก หลังจากเปิดแถลงการเรื่องความรักของที่หนึ่งเดือนคณะปีสามแล้วความสงบสุขก็ไม่ได้มาเยือนผมอีกเลย คนมากหน้าหลายตาต่างกรูกันเข้ามาถามไถ่ข้อสงสัยของตัวเองกับคนที่นั่งอยู่เบาะถัดไป แล้วพ่อคุณก็สร้างกระแสให้โหมเข้าไปใหญ่โดยการเอาแต่นั่งยิ้ม ตอบกว้างๆ ให้เอาไปตามล่าหาข้อมูลต่อกันเอง

   'พี่ที่หนึ่งคะ น้องถามคำถามเดียว เขามารับน้องด้วยไหมคะ'

   'มาครับ เพราะเขาอยู่ในใจพี่ตลอดเวลา'

   'น้องคะ เป็นเอฟซีมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ทำไมพี่ถึงไม่เคยรู้คะ'

   'เพราะผมแอบชอบเขามานานกว่านั้นครับ'

   อะไรประมาณนี้

   "ถือให้"

   "มีมือ" ผมยกมือตัวเองขึ้นให้เขาเห็น "ถือเองได้"

   "อยากถือให้"

   ทำมึนไม่รับรู้อาการหงุดหงิดของผม เขาไม่รอฟังต่อว่าผมจะพูดอะไร มือข้างที่ยังว่างกวักเรียกให้ผมเดินตาม ใช่สิ ดวงผมมันดวงผจญเผด็จการ

   ห้องพักเกือบทั้งหมดเป็นห้องนอนใหญ่ เพราะงั้นชาวปีสามจึงได้นอนรวมกันไม่แยกชายหญิง ผมค่อนข้างตกใจไม่ใช่น้อยตอนที่รู้ว่าต้องนอนรวมกันทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นมีใครประท้วงในการจัด ที่หนึ่งบอกว่ารับน้องของที่นี่นอนรวมกันทุกปี ใครที่มาตั้งแต่ปีหนึ่งก็ชินกับการนอนรวมแล้ว มีแต่คนที่ไม่เคยมาอย่างผมนี่แหละตื่นตูมอยู่คนเดียว

   "นอนริมสุดนะ" จัดการวางกระเป๋าลงตรงเตียงริมสุดที่ติดกำแพงจะได้ไม่ต้องเจอกับความวุ่นวายมากนัก จะว่าเห็นแก่ตัวก็ช่าง มันไม่เห็นน่าอภิรมย์ตรงไหนที่ต้องนอนข้างๆ คนที่ตัวเองไม่เคยรู้จัก น้องโรมเอ๊ย อยู่คอนโดก็ดีแล้ว ไม่น่ามาหาเรื่องให้ตัวเองต้องลำบากเลย

   "นอนเลยไหม อีกสองชั่วโมงเดี๋ยวมาปลุก"

   เขาดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือเรือนสวย สายหนังสีน้ำเงินเข้มตัดกับตัวเรือนสีเงินอย่างพอดี อีกสองชั่วโมงที่เขาบอกคือเที่ยงครึ่ง อืม นอนแล้วก็ตื่นมากิน ชีวิตผมจะดีไปไหน

   "ถ้าจะมานอนอยู่บ้านก็ได้ นี่ข้างนอกทำอะไรอยู่?"

   "ตอนนี้เหรอ น่าจะไอซ์เบรคกิ้งอยู่มั้ง"

   "มันคืออะไรอะ?"

   เป็นคำถามที่ดูโง่ไหมครับ แต่ผมไม่รู้จริงๆ อะ กิจกรรมช่วยกันทำลายน้ำแข็ง?

   "เขาเรียกว่ากิจกรรมละลายพฤติกรรมน่ะ" อ้าว ไม่ใช่ช่วยกันเจาะน้ำแข็งให้แตกเป็นเสี่ยงๆ อย่างนั้นหรอกเหรอ "จะไปดูไหมล่ะ?"

   "ไปก็ได้"

   ตอนนี้ไม่ว่าที่หนึ่งจะพาไปไหนผมไปหมด ในสถานการณ์อย่างนี้ผมคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าตามผู้มีประสบการณ์ไปเรื่อย ให้อารมณ์ลูกเป็ดเดินตามแม่เป็ดเลย

   ไม่ต้องตามหาพื้นที่ทำกิจกรรมให้เสียเวลา เสียงกลองสลับกับเสียงเฮฮาดังสนั่นทำให้เจอกลุ่มคนโดยง่าย ที่หนึ่งดันหลังผมให้เข้าไปร่วมในวงก่อนที่เขาจะเดินตามหลังมา ความรู้สึกตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับทหารชั้นปลายแถวที่ถูกส่งออกไปเป็นแนวหน้าในการรบ ทั้งที่อยู่ร่วมคณะ คนรอบข้างกลับให้ความรู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้าไปหมด นี่สินะข้อเสียของการไม่เข้าสังคม

   เด็กปีหนึ่งในชุดวอร์มนั่งรวมกันอยู่ตรงกลางสนามหญ้า มีรุ่นพี่ปีต่างๆ ล้อมรอบเป็นวงกลมใหญ่ ปีหนึ่งลุกขึ้นแนะนำชื่อพร้อมกับท่าเต้นพิลึกทีละคน เสียงปรบมือดังเบาสลับกันไปตามความเด็ดของท่าที่โชว์ ผมคงมาร่วมวงช้าไปหน่อยเลยได้ดูการแนะนำตัวเพียงเจ็ดแปดคนเท่านั้น มองในแง่ดีคือไม่ต้องเห็นท่าของวี เชื่อกินขนมได้เลยว่ามันต้องงัดไม้เด็ดออกมาแน่นอน

   จากนั้นก็เป็นการแนะนำตัวของรุ่นพี่ เริ่มจากปีสอง และมาถึงรุ่นของผม ปีสาม

   "ชื่อพี่ที่หนึ่งครับ"

   ไม่บอกก็รู้ว่ามันตามมาด้วยเสียงกรี๊ดขนาดไหน ไม่ใช่แค่รุ่นของตัวเองที่ช่วยกันเชียร์จนออกนอกหน้า รุ่นอื่นก็เป็นเสียงเสริมที่ดี

   "พี่โรมครับ"

   นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ผมพบว่าพลังงานเหลือล้นเกินร้อยของวีมีประโยชน์ มันปรบมือเสียงดังออกนอกหน้าแถมยังโฆษณาว่าผมเป็นพี่สายอยู่นั่น เลยทำให้การแนะนำตัวของผมไม่กร่อยอย่างที่คิด

   หืม? ผมลืมอีกคนไปเหรอ เปล่าสักหน่อย ก็ได้ๆ ส่วนเสียงปรบมือที่ดังไม่เกรงใจใครไม่แพ้น้องสายของผมคือผู้ชายที่เพิ่งแนะนำตัวไปก่อนผมนี่แหละ

   รุ่นพี่ปีอื่นทยอยแนะนำตัวกันจนครบ น้องเอ็มซีคนเดิมก็เริ่มอธิบายกติกาเกมส์ต่อไปอย่างแชร์บอล แบ่งออกเป็นสี่กลุ่มโดยผมได้อยู่กลุ่มที่สองในขณะที่ที่หนึ่งอยู่กลุ่มสาม ถึงผมจะดูเป็นคนแปลกหน้าแต่ทุกคนในกลุ่มก็เป็นกันเองจนรู้สึกผ่อนคลาย

   การแข่งนัดแรกเป็นการเจอกันของกลุ่มที่หนึ่งกับกลุ่มที่สอง ผมได้รับตำแหน่งที่สบายที่สุดในสนามนั่นคือการถือตะกร้า ก็เหมาะกับคนที่ไม่ชอบเล่นกีฬาอย่างผมดีเหมือนกัน ขืนลงไปเป็นคนเล่นนี่ได้พาทีมล่มจม

   "พี่โรมรับ!"

   แต่ทีมที่จะล่มก่อนผมก็ทีมฝั่งตรงข้ามนี่แหละ

   "เชี่ยวี! นั่นคนละทีม!!"

   ยังคงความเป็นปารวีได้แบบเดิม น้องรหัสของผมผู้ถูกวางตำแหน่งไว้เป็นกองหลังของอีกฝั่งหันมาโยนลูกบอลในมือให้ผม โชคยังดีที่ผมมีสติมากพอที่จะลดระดับตะกร้าในมือลงก่อนที่บอลจะเข้า วีถูกเพื่อนในทีมรุมด่าจนกลายเป็นเรื่องตลกที่ทำให้บรรยากาศการแข่งขันสนุกมากขึ้น

   "เข้าไปอีกแล้ว ตอนนี้สกอร์ห่างเป็นหกต่อสองแล้วนะค้าาา"

   ต้องขอบคุณรุ่นพี่ปีสี่ที่เป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของคณะ เขาเป็นคนทำแต้มได้ถึงสี่จากหกครั้ง เกมส์การแข่งขันเต็มไปด้วยความสนุกสนานจนผมหัวเราะออกมาหลายครั้ง ทั้งส่งผิดฝั่ง ส่งเลยตะกร้า แล้วก็วิธีการโกงสารพัด

   เกมส์จบลงที่แปดต่อเจ็ด โดยสองนาทีสุดท้ายพี่บาสของทีมผมโดนวิชามารอย่างระดมตัวสำรองที่นั่งพักออกมากั้นเป็นกำแพงมนุษย์จนไม่สามารถขยับไปรับหรือต่อบอลได้ ปล่อยให้ลูกทีมที่เหลือ (นำโดยคนที่คุณก็รู้ว่าใคร) มาถล่มเสียเละเทะ ก็ยังดีที่ทีมผมชนะ

   "ผมเก่งไหมพี่" ออกจากสนามปุ๊บก็ยิ้มหน้าแป้นมาเลยนั่น

   "โกงเก่งมากมึง กูนับถือใจ"

   "อะไรวะพี่ เขาเรียกทีมเวิร์ค"

   ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองทำให้ผมปลงตก ระบบการทำงานของสมองวีไม่ปกติแน่ๆ เชื่อผมสิ

   "เวิร์คมาก ผู้เล่นฝั่งกูมีสี่ฝั่งมึงมีสิบ"

   "ทุกคนมีส่วนร่วมไง"

   "กูเลิกคุยกับมึงล่ะ" ผมนั่งลงกับพื้นหญ้าแถวนั้น ตอนนี้ทีมที่สามกับทีมที่สี่กำลังลงไปวอร์มร่างกายอยู่คนละฝั่ง กวาดสายตาเร็วๆ แล้วไปหยุดอยู่ตรงคนตัวสูงที่เปิดประชุมแผนการเล่น ก็ผมไม่รู้จักใครเลยนี่นา ไม่แปลกหรอกน่าที่ผมจะมองแต่เขาน่ะ

   "เกมส์ที่น่าระทึกใจได้เริ่มต้นขึ้นแล้วนะคะ ทีมสามของเรานำทีมโดยพี่ที่หนึ่งผู้เป็นเจ้าของวลี 'อยู่ทีมพี่ไม่มีแพ้' ไม่ว่าจะรับน้องมากี่ครั้งพี่ที่หนึ่งไม่เคยทำให้ผิดหวังสักกิจกรรม ส่วนทีมที่สี่นำทีมโดยพี่อาเมน ประธานกลุ่มกิจกรรมธรรมะวันจันทร์ ไม่รู้งานนี้จะมีการใช้ไสยศาสตร์อาคมมาช่วยลบล้างความขลังของทีมสามรึเปล่..."

   "พี่ที่หนึ่งไม่เคยแพ้จริงเหรอพี่" เด็กผมทองที่นั่งอยู่ข้างผมถามแทรกขึ้นมาระหว่างการแนะนำทีม

   "เท่าที่รู้จักก็ไม่เคย กูเคยแข่งคณิตแพ้มันเหมือนกัน"

   "พี่ที่หนึ่งนี่ไม่ใช่คนใช่ป่ะ พระเจ้าใส่ความเป็นที่หนึ่งมากไปชัดๆ"

   ผมหัวเราะให้การเปรียบเทียบของเขา "ก็คนธรรมดานี่แหละ สงสัยมึงต้องลองตั้งชื่อแก้เคล็ดเผื่อจะชนะบ้าง"

   "พูดตรงๆ เลยนะ ตอนผมได้ยินชื่อพี่ที่หนึ่งครั้งแรก ผมว่าเป็นชื่อที่โคตรประหลาด" เสียงนกหวีดเป็นสัญญาณว่าเกมส์การแข่งเริ่มต้นขึ้นแล้ว "แต่พอรู้จักจริงๆ ผมว่าชื่อนี้โคตรเหมาะกับพี่เขาเลย"

   ที่หนึ่งรับลูกที่โยนมาจากกลางสนาม เสี้ยวนาทีต่อมาแต้มแรกของเกมส์ก็เกิดขึ้น เขายกนิ้วโป้งสองข้างขึ้นมาทำเป็นสัญลักษณ์เยี่ยมให้กับเพื่อนร่วมทีมแล้วกลับไปยืนประจำตำแหน่ง

   รอยยิ้มแบบที่ผมเห็นเสมอประดับบนใบหน้าตลอดเวลาการแข่ง ไม่ว่าเขาจะโดนอีกฝ่ายแกล้งหรือผู้เล่นฝั่งตัวเองจะส่งให้พลาดเขาก็ยังอารมณ์ดี หัวเราะไปกับการแข่งขัน

   "พี่โรมรู้ไหมว่าพี่ที่หนึ่งชอบใคร"

   คำถามที่ทำให้ผมหันขวับมามองอย่างหวาดระแวง โล่งใจได้นิดหน่อยที่นัยน์ตาอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความสงสัย มันหมายความว่ายังไม่มีใครระแคะระคายเรื่องของผมกับที่หนึ่ง

   "เรื่องของเขา กูไม่ยุ่ง" ผมเลือกที่จะปัดปัญหาออกไปไกลตัว ไม่ตอบอะไรที่จะทำให้งานตัวเองเพิ่มขึ้น

   "นั่นไง ผมว่าล่ะ ที่พี่บอกว่าไม่สนิทกับพี่ที่หนึ่งนี่หลอกผมใช่ไหม รู้ป่ะว่าขามาพี่เขาเล่นเกมส์แทนให้ตอนพี่หลับด้วย"

   ทำไมจะไม่รู้ล่ะวะ ก็ไม่ได้หลับนี่หว่า

   "เหรอ"

   "มีใครเล่าให้ฟังยังว่าพี่ที่หนึ่งประกาศว่ามีคนที่แอบชอบอยู่ โคตรตกใจอะตอนที่พี่เขาตอบผมมาอย่างนั้น ตอนแรกผมคิดว่าเกมส์นี้ผมแพ้แล้วแหงๆ"

   กลับมาเห็นที่หนึ่งโยนลูกเข้าตะกร้าไปอย่างสวยงามพอดี ตอนนี้ผลการแข่งขันอยู่ที่ห้าต่อหนึ่ง เรียกได้ว่าขาดลอยอยู่พอตัว เขาเดินไปแท็กมือกับคนในทีมจนเกือบครบทุกคนเหลือเพียงน้องปีสองคนเดียวที่ยืนอยู่บริเวณที่ผมนั่งดู พอที่หนึ่งเห็นผมเขาก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาจรดกับปาก จุมพิตเบาๆ

   พร้อมกับส่งยิ้มที่อ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ

   "อยากรู้จังว่าคนแบบไหนที่ทำให้ชื่อที่หนึ่งหมดความหมาย" วียังคงจ้อไปเรื่อยไม่มีหยุด "ต้องเป็นคนที่พิเศษมากแน่ๆ"

   "มันก็แค่ชื่อ"

   "ถ้ามันเป็นแค่ชื่อ เราจะมีความหมายของชื่อไปทำไมล่ะ"

   อยู่ดีๆ น้องสายที่ทำตัวสติไม่เต็มตลอดเวลาก็จุดประเด็นคำถามที่น่าคิดขึ้นมา น้ำตาผมพาลจะไหล วีมันคิดอะไรแบบคนปกติธรรมดาได้ด้วยล่ะ

   "อย่างผมชื่อปารวี แปลว่าผู้มีจุดหมาย พ่อบอกว่าเพราะอยากให้ผมตั้งเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจน"

   "มึงไม่คิดว่าเป็นการยัดเยียดความคิดบ้างเหรอ?"

   "ไม่นะพี่ ส่วนมากชื่อจริงของคนเราก็มีความหมายที่ดีทั้งนั้นนี่ คงไม่มีใครตั้งชื่อลูกแบบ บัดซบ อะไรงี้ป่ะ"

   "ก็นะ" นั่นเป็นสิ่งที่ผมเถียงไม่ออก

   "แล้วชื่อจริงพี่โรมมีความหมายอื่นไหม" พอผมส่ายหน้าให้เป็นเชิงปฏิเสธ วีก็พูดต่อ "แต่ผมว่ามันต้องมีอยู่แล้วแหละพี่ 'ความพิเศษ' อะไรบางอย่างที่ทำให้ชื่อนี้กลายมาเป็นชื่อของเรา"

   ความพิเศษงั้นเหรอ

   ทำไมนะผมถึงเผลอไปคิดถึงคำที่เขาเคยบอก เขาชอบชื่อผม บางทีนะ ชื่อของผมอาจจะรอให้ใครบางคนมาบอกว่าชื่อของผมพิเศษกว่าใครก็เป็นได้

   "พี่ที่หนึ่งชนะจริงด้วย" เสียงประกาศจากเอ็มซีบอกคะแนนที่ขาดลอย สิบต่อสาม "ที่หนึ่งตลอดเลยสิน่า"

   "มึงก็รีบสรุปไป ยังมีรอบชิงอยู่"

   ผมลุกขึ้นเตรียมรวมกับกลุ่มอีกครั้ง เรามีเวลาประชุมแผนในขณะที่อีกฝั่งพักเหนื่อยห้านาที ผมยังคงได้รับตำแหน่งเดิมคือคนถือตะกร้า คราวนี้เราวางแผนกันอย่างรัดกุมมากขึ้นเนื่องจากอีกฝั่งเป็นบุคคลอันตรายที่วัดระดับไม่ได้ ก็โอเวอร์ไป แต่มันก็สนุกดีแหละ ต่างคนต่างเสนอแผนการสู้รบกับที่หนึ่งกันใหญ่ ลืมภาพคนไม่รู้จักเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วไปได้เลย

   อุตส่าห์คิดแผนตั้งเยอะแยะ ไหงอีกฝ่ายถึงมาเหนือเมฆอย่างนี้

   "ทำไมมาอยู่ตรงนี้?" ถามคนที่มายืนเป็นคนปัด ที่หนึ่งยักคิ้วให้ผมข้างหนึ่งแล้วตอบ

   "เขาสั่งมา"

   "เอาความจริง"

   "อยากอยู่ใกล้โรมครับ"

   ขอย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้สักนาทีได้ไหมครับ ผมจะไม่ถามคำถามนั้นออกไปเด็ดขาดเลย

   เสียงนกหวีดเริ่มเกมส์ดังขึ้น ผมทุ่มความสนใจทั้งหมดให้กับรูปเกมส์ตรงหน้า ทีมผมได้เปรียบกว่าเมื่อคนทำแต้มถูกจำกัดไว้แค่บริเวณครึ่งวงกลม พี่ปีสี่ส่งลูกไปมาอย่างคล่องแคล่ว เขาโยนลูกเข้าตะกร้าที่ผมถืออยู่อย่างพอดิบพอดี

   "ยืนระวังหน่อยสิ จะล้มหลายครั้งแล้วนะ" ที่หนึ่งเตือนระหว่างหยิบลูกบอลออกจากตะกร้า "เดี๋ยวก็ได้แผลตั้งแต่วันแรก"

   ตำแหน่งผู้ถือตะกร้าเป็นหน้าที่ที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บมากกว่าผู้เล่นในเกมส์อีกนะสำหรับผม เพราะนอกจากจะต้องใช้ความสามารถส่วนตัวขั้นสูงในการทรงตัวบนเก้าอี้พลาสติกที่ไม่มีความมั่นคงแล้วยังต้องขยับตัวไปมาเพื่อรับลูกบอลอีก เรียกได้ว่าถ้าจัดการทรงตัวไม่ดีนิดเดียวอาจลงไปนอนอยู่บนพื้นหญ้าได้เลย

   การแข่งขันเต็มไปด้วยเสียงเชียร์จากทุกฝั่ง ฝ่ายผมได้บุกเยอะกว่าอย่างชัดเจนแต่ก็ไม่ได้คะแนนมากเท่าที่ควร อันเนื่องมาจากสเต็ปการปัดลูกขั้นเทพของผู้ชายที่ไม่เคยแพ้ กระโดดได้สูงสมกับที่เคยเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลสมัยมัธยมปลาย

   เหลือเวลาการแข่งขันอีกหนึ่งนาที คะแนนเสมอกันอยู่ที่หกต่อหก ต่างฝ่ายไม่มีใครยอมใคร

   "แผนชอ ปฎิบัติ!"

   ชอ ย่อมาจาก แผนชั่วครับ จะย่อไปทำไมใช่ไหมล่ะ นั่นแหละผมก็อยากจะรู้เหมือนกัน แผนชั่วก็ง่ายๆ ตามชื่อเลย ใช้เทคนิคส่วนตัวได้เต็มที่ สำหรับสมาชิกที่มีความสำคัญอันดับต้นอย่างผมก็ได้รับคำแนะนำสั้นๆ

   "ที่หนึ่ง หันมานี่หน่อย"

   ชวนคุยให้คนปัดเสียสมาธิแม่ง!

   "ครับ?"

   "มีอะไรอยากจะถาม"

   "ถามว่า?" หางตาเห็นแล้วว่าทีมของตัวเองเตรียมจะส่งลูกมาให้ผมแล้ว

   "ที่นายบอกว่าแอบชอบมานานแล้ว มันนาน..."

   ที่หนึ่งให้ความสนใจกับคำถามของผมอย่างเห็นได้ชัด คิดว่าการที่เขาเอาแต่มองหน้าผมแล้วยิ้มอย่างนี้คือกำลังรอให้ผมถามให้จบก่อนค่อยตอบ

   เสียใจด้วยที่ผมคงไม่ได้ถามให้จบ

   ยกตะกร้าขึ้นไปรับลูกที่ลงมาอย่าง่ายดาย จากยิ้มหวานที่เขาส่งให้ผมกลายเป็นแยกเขี้ยวใส่ในทันควัน

   "ร้ายนักนะ"

   "ก็นิดหน่อย" ผมหลิ่วตาให้ ตอนนี้คะแนนผมกำลังนำอยู่หนึ่งแต้ม

   ทีมผมตัดลูกจากฝั่งตรงข้ามได้จากกลางสนาม ส่งต่อไปยังพี่บาสที่เตรียมรอรับอยู่แล้ว ความไกลที่มากเกินปกติทำให้ลูกที่ส่งมาโด่งจนผมต้องแหงนมองจนสุดสายตา แขนทั้งสองข้างเหยียดตึงพร้อมที่จะรับไว้

   โดยลืมไปว่าตัวเองยืนอยู่บนเก้าอี้

   "เหวอออ"

   "โรม!"

   เพียงวูบเดียวเท่านั้นที่สติบอกว่าผมกำลังตกจากที่สูง ทั้งร่างของผมก็ถูกดึงให้กลับไปอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ร้องเสียงหลงจนผิดวิสัย

   กลิ่นน้ำหอมที่เริ่มชินจมูกเรียกสติให้กลับมา ตัวผมลอยค้างอยู่ในอ้อมแขนของเขา สัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายที่รดลงตรงบริเวณหน้าอก ที่หนึ่งค่อยๆ ปล่อยผมลงกับพื้นช้าๆ

   "เจ็บตรงไหนรึเปล่า" เขาพลิกแขนทั้งสองข้างของผมไปมาเพื่อหารอยบาดเจ็บ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสดใสหายไปหมดสิ้น "เลือดออกเลยเห็นไหม"

   นิ้วถลอกจนเป็นแผลยาว คงเกิดจากตอนที่จับร่องตะกร้าแน่นจนเกินไป

   "ขอเปลี่ยนตัวครับ พี่พาโรมไปทำแผลก่อนนะ"

   มือที่ใช้ตรวจสอบรอยแผลยังคงจับข้อมือผมแน่นในเวลาที่เราสองคนเดินออกมาจากพื้นที่แข่งขัน เขาก้าวไวๆ พลางพึมพำในลำคอ ห้องพยาบาลอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักใช้เวลาเดินแป๊บเดียวก็ถึง

   "ขอล้างแผลหน่อยครับ" ไม่รอดูว่ามีใครอยู่ในห้องรึเปล่า ที่หนึ่งก็บอกความต้องการของตัวเองไปทันทีที่เปิดประตูห้อง

   "ได้เลยค่ะ มาทางน ...โรม?"

   และผมไม่คิดว่าจะเจอคนนี้เลยแม้แต่น้อย

   "...เฟรนด์"


***

   ไม่ได้ตัดจบนะคะ ...ห้ามโกรธเจ้านะ /หลบมุม เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่หัวหมุนมากๆ เลยล่ะค่ะ รวมถึงรู้สึกเองส่วนตัวว่าเป็นช่วงดวงตกขั้นร้ายแรง (ปาดน้ำตา) ขอให้หมดช่วงมรสุมสักทีเถอะ
   คำผิด คำตกหล่น ใช้คำแปลก ทักได้เลยนะคะ
   แล้วเจอกันใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 16-10-2015 23:13:56
นอกหน้ามากๆที่หนึ่ง :mew1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-10-2015 23:54:01
อดีตที่กักขังโรมไว้หรือเปล่า
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: dradareal ที่ 17-10-2015 00:36:06
ชอบเรื่องนี้ ชอบที่หนึ่งงงง
ที่หนึ่งน่ารักมากเลยย

แต่โรมตอนนี้ส่วนตัวคิดว่านิสัยไม่ค่อยน่ารักเท่าไรเลยน้า
ถึงจะบอกว่าเป็นคนเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใครก็เถอะ แต่มันดูแปลกๆ
หรืออาจจะเป็นเพราะปมหรืออะไรหรือเปล่านะ
รอติดตามค่า
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 17-10-2015 00:40:10
TT
ขอให้งานนี้ชะนีมาดี
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: PingPong_Hunlay ที่ 17-10-2015 01:02:49
ได้โปรดดดดดด มาต่อเถอะค่ะ :o12:
ลุ้นจริงจัง555
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 17-10-2015 02:02:15
ที่หนึ่งงงง //กรีดร้องหนักมาก  //ฟินหนักมาก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 17-10-2015 05:03:03
โรมใจอ่อนนิดหนึ่งเถอะ ที่หนึ่งน่ารักขนาดนี้  :-[
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 17-10-2015 12:32:25
ที่หนึ่ง ได้ใจอีกแล้ว พระเอกคนนี้ ทำไมน่ารัก อบอุ่นจังเลย ชอบบบ  :m1:
น้องโรม ถึงจะดื้อกับที่หนึ่งบ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ความจริงใจที่หนึ่งอยู่ดีอ่ะนะ อิอิ
รุกเข้าไปเยอะ ๆ เลยจ้ะที่หนึ่ง ชดเชยช่วงที่ได้แต่แอบมองไง เนอะ
ชอบน้องวีจังเลย เป็นรุ่นน้องที่ทะเล้น น่ารักมาก เป็นคนที่ทำให้อารมณ์ดีจังเลย
คิดถึงคุณพ่อตาแบล็คค่ะ  ^^
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 17-10-2015 13:39:23
ตัดดดดดดด ค้างงง แง่งงงงงง

ที่หนึ่งน่ารักกกกกกก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: zleep ที่ 17-10-2015 16:40:39
อ่านมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยโอเคกับนิสัยโรมเท่าไหร่
ดูปิดตัวมากเกินไปและคำพูดตรงไปจนบางทีก็สงสารคนฟังแหละเนอะ
ภาวนาให้โรมเปิดใจมากกว่านี้เนอะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: SiHong ที่ 17-10-2015 23:35:21
เฟรนด์ไหนอีกอ่า ไม่เอานะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 18-10-2015 01:04:07
ย่ิงอ่านยิ่งสนุก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 18-10-2015 03:57:24
ที่หนึ่งน่ารักหว่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 18-10-2015 13:27:34
เริ่มมีตัวละครเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ละ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 20-10-2015 00:43:19

ที่หนึ่งน่ารักมากส่วนโรมก็... อืม นะลูก หนูคงมีอดีตอะไรสักอย่าง
แต่หนูอย่าปิดกั้นที่หนึ่งของป้าเลยนะคะ ให้โอกาสนางทำคะแนนเยอะๆ

อยากรู้เหลือเกินว่าสาวเจ้าจะมาช่วยให้ที่หนึ่งทำคะแนนได้มากขึ้นหรือเปล่า
รอตอนต่อไปค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-10-2015 20:39:01
ชอบพระเอก โคตรจะพระเอก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 21-10-2015 23:56:33
สงสารที่หนึ่งเหมือนกันนะเนี้ย โรมไม่หวั่นไหวเลย แถมยังเหมือนไม่สนใจอีกด้วย  :o11:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 22-10-2015 07:03:41
ค้างงงง. ง่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 23-10-2015 06:41:02
ที้หนึ้งคนดี สุดยอดไปเลย
เค้าเชียร์ที่หนึ่งน่าาา

แต่ท่าทางกว่าจะได้เป็นที่หนึ่งของโรม
คงต้องผ่านด่านอรหันต์สักร้อยแปดด่าน
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 6 [16.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 23-10-2015 10:08:11
ที่หนึ่ง  สู้ ๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 7 [23.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 23-10-2015 23:10:18
บทที่ 7

[Side : เวลา]

   ไม่มีใครย้อนเวลาได้

   แต่ผมก็ภาวนาอยู่เสมอ ขอให้ได้ย้อนไปพบ 'เธอ' อีกสักครั้ง

   ไล่อ่านประวัติการสนทนาซ้ำๆ ทั้งที่จำได้หมดทุกประโยค มันไม่เคยมีข้อความใหม่นับตั้งแต่วันนั้น แต่ผมก็ยังคอยว่าสักวันหนึ่งมันมีการแจ้งเตือนใหม่

   'แล้วเจอกัน'

   นั่นคือประโยคสุดท้ายบนกระดานสนทนา อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเราก็ได้เจอกันอย่างที่เขียนไว้ ไม่มีแผนแรกหรือแผนสำรอง เราสองคนแค่ต้องการหนีจาก 'ความจริง' ให้พ้น

   และผมทำไม่ได้

   ห้ามตัวเองไม่ให้หันไปยังระเบียงที่เธอเคยนั่งจนชินตาจนติดกลายเป็นภาพซ้อน ผู้หญิงผิวขาวราวกับหิมะในชุดสีดำสนิทดูตัดกันจนเห็นได้ชัด ควันบุหรี่ที่ลอยจนเป็นม่านควันสีเทาในวันที่เธอบอกว่าเป็นการสูบอวยพร ผมยังจำได้ทุกรอยยิ้มและหยดน้ำตา
เปิดตู้เสื้อผ้า กวาดตาไล่ดูสีเสื้อที่เหลือเพียงสามสีแบ่งกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ อดยิ้มแค่นให้กับตัวเองไม่ได้ เคยพูดอะไรไว้ไม่เคยทำได้สักอย่าง สุดท้ายแล้วผมก็ตกอยู่ในโลกของเธออย่างสมบูรณ์ เอื้อมมือไปดึงเสื้อยืดสีขาวริมซ้ายสุดที่ไม่ได้รวมกับเสื้อตัวอื่นมาแนบหน้า ไม่มีแล้วกลิ่นหวานติดจมูก เหลือเพียงสัมผัสที่ชัดในความทรงจำ

   หยิบมันออกมาใส่หลังจากที่ปล่อยให้แขวนทิ้งไว้นับแต่วันที่เจ้าของหายไป ตรวจสอบความเรียบร้อยของตัวเองแล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าบอร์ดรูปขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยภาพถ่ายมหาศาลซ้อนทับกันไปมา มีเพียงรูปตรงกลางเท่านั้นที่ไม่มีร่องรอยการถูกทับซ้อนจากภาพอื่น ภาพผู้หญิงในชุดขาวกำลังนั่งอยู่บนชิงช้าไม้ขนาดใหญ่ เสี้ยวหน้าที่กำลังหันมาไม่อาจบอกถึงอารมณ์ของเธอในเวลานั้นได้

   ผมไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมลิขิต

   ตอนแรกคิดว่าตาฝาดด้วยซ้ำตอนที่เห็น ผู้หญิงผิวขาวกับผมยาวสีดำขลับ ใบหน้าเรียบเฉยยังคงประดับบนใบหน้าเช่นวันสุดท้ายที่เราอยู่ด้วยกัน แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเธอก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

   'พี่เวลไม่สนใจร่วมโครงการบ้างเหรอคะ'

   สิ่งแรกที่ผมคิดคือเด็กคนนี้ไม่เคยรู้จักผมมาก่อนล่ะสิถึงได้พูดคำต้องห้ามออกมา ผมปฏิเสธการออกกล้องตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยโดยขอทำงานในฐานะสมาชิกชมรมถ่ายภาพเท่านั้น

   ชั่ววูบเดียวที่ทำให้ผมตัดสินใจตอบตกลงไปคือใบหน้าของเธอที่ผมได้เห็นอีกครั้ง โดยมีข้อแม้ว่าเงื่อนไขการทำกิจกรรมผมสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ รู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่ตอนที่เห็นรูปตัวเองติดอยู่บนไวนิลขนาดใหญ่ ปกติเป็นแต่คนหลังเลนส์ พอต้องมาอยู่หน้าเลนส์บ้างมันก็ให้ความรู้สึกเขินอายไม่ใช่น้อย

   ต้องขอบคุณน้องสตาฟที่ให้ความร่วมมือเต็มที่ ผมเจาะจงว่าภาพโปรโมตกิจกรรมจะต้องวางไว้ตรงบริเวณหน้าคณะวิทยาศาสตร์เท่านั้น ไม่สนว่าใครจะคิดว่าผมเรื่องเยอะ ยังไงโครงการนี้ก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นของแผนการทั้งหมดเท่านั้นเอง 

   Beyours - [Well]

   หมดเวลาหนีแล้ว คราวนี้ผมจะออกล่าคุณแล้วนะ

   นาฬิกาเรือนสวยบอกเวลาเที่ยงสิบห้านาที ใกล้เวลาเลิกเรียนเข้าไปทุกที ผมหลบอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามกับทางเดินขึ้นตึกเรียนรวมของคณะวิทยาศาสตร์ ตึกนี้สร้างมานานแล้วเลยมีทางขึ้นลงเพียงแค่ทางเดียว มั่นใจได้ว่ายังไงก็ต้องเจอเธอเดินลงมาอย่างแน่นอน

   ไม่ต้องรอถึงเที่ยงครึ่งตามเวลาเลิกเรียน นักศึกษาก็ทยอยลงมากันหนาตา ผมกวาดสายตาอย่างรวดเร็วเพื่อตามหาคนที่ต้องการพบ จนผู้คนบางตาลงผมถึงพบคนที่ตามหา

   รอยยิ้มจุดที่มุมปากอย่างห้ามไม่อยู่ ผมเจอเธอแล้ว...

   ถือว่าเป็นปฏิกิริยาที่คาดไว้ ยามที่เธอก้าวพ้นบันไดแล้วเห็นป้ายไวนิลขนาดใหญ่ติดอยู่ตรงหน้า ผู้หญิงในชุดเดรสสีเทาหม่นหยุดการเคลื่อนไหว นัยน์ตาที่ผมเคยบอกว่าเป็นสีดำรัตติกาลมองตรงไปอย่างไม่ลดละ ริมฝีปากบางที่เอ่ยเอื้อนออกมานับคำได้กำลังสั่นระริก

   ออกจากที่ซ่อน หลายคนมองผมสลับกับป้ายไปมาระหว่างที่เดินสวนกัน แต่ไม่ใช่กับเธอที่ยังคงจ้องภาพนั้นไม่วางตา ก้าวอีกหน่อยเพื่อให้ตัวเองเผชิญหน้ากับคนที่เบิกตากว้าง นัยน์ตาว่างเปล่าสะท้อนความคุ้นเคย

   "I found you, my Sin"

   ผมเจอคุณแล้ว 'คนบาป' ของผม 

   และคราวนี้ผมไม่มีทางปล่อยคุณไปอีก

[End : เวลา]



   “โรมเอามือวางไว้ตรงนี้”

   “ไม่เป็นไรเฟรนด์ เดี๋ยวเราดูแลเอง”

   “พี่ไหวไหม”

   ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่รักของคนจำนวนมากขนาดนี้มาก่อนเลยแฮะ ห้องพักขนาดสองคนดูแคบไปถนัดตาเมื่อผมเข้ามาขอใช้สถานที่ ผมบอกอาการบาดเจ็บแสนเล็กน้อยของตัวเองให้เฟรนด์ฟัง พอเธอจะเริ่มล้างแผลให้เท่านั้นแหละวิญญาณพยาบาลก็เข้าสิงที่หนึ่ง เขาแสดงออกชัดเจนมากว่าจะเป็นคนทำแผลให้ผมเอง ส่วนเสียงสุดท้ายน่ะเหรอ จะมีใครนอกจากน้องรหัสที่กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วยเหตุผลว่าอยากจะอู้กัน

   ผมมองดูมือข้างซ้ายของตัวเองที่มีเลือดเกาะอยู่กรังแล้วได้แต่ถอนหายใจ เลือดไหลจนหยุดแล้วพวกเขายังตกลงกันไม่ได้เลยว่าใครจะเป็นคนทำแผลให้ผม เดี๋ยวก็หยิบน้ำเกลือมาล้างเองให้หมดเรื่อง

   “ที่หนึ่ง นี่มันหน้าที่เรา” ผู้หญิงคนเดียวในวงสนทนาเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก

   “แต่เราทำโรมเจ็บ เราควรจะดูแลเอง”

   ไม่พูดเปล่าคว้าขวดน้ำเกลือขนาดใหญ่ไว้ในมือ เตรียมที่จะเทลงบนแผ่นสำลีที่เตรียมไว้

   “เรารู้วิธีทำแผลดีกว่านะ ให้เราทำเอง”

   “ผมทำให้ดีกว่าไหมพี่”

   “สรุปคือเราล้างเองดีที่สุด”

   ช่างหัวคนที่ทะเลาะกันไม่เลิกไปเถอะ

   ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว ผมใช้หลักโรมเป็นที่พึ่งของโรม หยิบของที่จำเป็นในการทำแผลทั้งหมดมาไว้ตรงหน้า จัดการล้างคราบเลือดที่เกรอะกรังด้วยสำลีชุบน้ำเกลือ พอสะอาดดีแล้วก็หยิบเบตาดีนมาหยอด ถึงว่าทำไมเลือดออกเยอะ ผมมีแผลบริเวณนิ้วถึงสามที่

   "เดี๋ยวเราแปะพลาสเตอร์ให้" เจ้าของตำแหน่งพยาบาลปีสามเอ่ยขึ้น เธอมาพร้อมกับพลาสเตอร์ในมือ

   "เกรงใจจัง เราทำเองดีกว่านะ"

   ที่หนึ่งตอบกลับนิ่มๆ พร้อมรอยยิ้ม เขาฉวยจังหวะที่เฟรนด์กำลังอยู่ในสภาวะกระอักกระอ่วนใจหยิบสิ่งที่อยู่ในมือไว้ ผมเข้าใจนะว่าเขาคงรู้สึกผิดที่ทำให้ผมเจ็บ แต่นี่มันเกินหน้าที่ของเขาไปแล้วไหมล่ะ

   "ที่หนึ่ง" การเรียกชื่อแบบสั้นห้วนบอกอารมณ์ได้เป็นอย่างดี

   "ว่าไงเฟรนด์"

   เพิ่งรู้ว่าผู้ชายแสนดีอย่างเขาก็มีมุมกวนบาทาอยู่เหมือนกัน จากมุมนี้เหมือนเห็นสายฟ้าแล่นไปมาระหว่างนัยน์ตาของทั้งสองฝ่ายเลย

   "...ของเรา เราดูแลเอง"

   การเว้นจังหวะที่แฝงความนัยเรียกเสียงหยันจากอีกฝ่ายได้อย่างดี "ดีใจที่เฟรนด์รับผิดชอบหน้าที่ดีอย่างนี้ อยากให้ปีสองได้ยิน"

   "ขอบคุณที่ชมนะ งั้นก็ปล่อยให้เราทำแผลสักที"

   "คงไม่ได้อะ พอดีเราก็ต้องดูแล 'ของเรา' เหมือนกัน" วีผิวปากหวือในขณะที่ใบหน้าของเฟรนด์ง้ำลง "เดี๋ยว 'เพื่อน' ของเราจะโกรธที่ทำร้ายร่างกายแล้วไม่ดูแล"

   มั่นใจว่าที่หนึ่งเน้นคำว่า 'เพื่อน' จนเกินพอดี

   โดยไม่ต้องใช้กูเกิ้ลแปลภาษา ทุกคนรู้ดีว่าเฟรนด์แปลเป็นภาษาไทยได้ว่าอะไร

   "เลิกยุ่..."

   “วี มึงทำหน้าที่น้องรหัสที่ดีหน่อยดิ”

   ผมไม่ปล่อยให้สงครามคารมเกิดขึ้นไปนานมากกว่านี้ด้วยการใช้ตัวช่วยสุดท้าย ส่งพลาสเตอร์ปิดแผลแบบผ้าสีน้ำตาลให้คนที่เด็กสุดในห้อง น้องรหัสตัวสูงรับไปพลางบ่นกับตัวเองโดยผมจับใจความได้ว่าไม่น่าตามมาเลย ไม่ทันแล้วล่ะมึง มาร่วมหัวจมท้ายกับกูซะดีๆ

   วีจัดการปิดแผลทั้งหมดอย่างคล่องแคล่ว ยังไม่ทันที่จะเก็บเศษขยะทั้งหมดไปทิ้งก็มีอีกมือฉวยเอาซากสำลีและกระดาษห่อพลาสเตอร์ไปก่อน ผมส่งสายตาไม่พอใจไปให้เขา ดูแลขนาดนี้เอาผมกลับบ้านไปด้วยเลยไหมครับท่าน

   ในเวลาไล่เลี่ยกันมีรุ่นพี่เดินมาขอความช่วยเหลือจากฝ่ายพยาบาล มีปีหนึ่งข้อเท้าพลิก น้องพยาบาลปีสองเลยจำเป็นต้องรีบออกไปดูแลโดยวีเองก็โดนลากออกไปพร้อมกันด้วย ตอนนี้ทั้งห้องเลยมีผม ที่หนึ่ง แล้วก็เฟรนด์

   "พักหน่อยไหม" คนที่เพิ่งเดินกลับมาจากไปทิ้งขยะถาม

   "อืม เหนื่อยกว่าที่คิด"

   ทำตามคำบอกของอีกฝ่าย ผมพาตัวเองขึ้นไปนอนแผ่บนเตียงเดี่ยวสีขาว เครื่องปรับอากาศที่เปิดทิ้งไว้ประกอบกับการขยับร่างกายที่มากกว่าปกติเริ่มทำให้หนังตาผมหลุบต่ำลงเรื่อยๆ

   พักเหนื่อยสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง ยังไงผมก็เป็นคนเจ็บ

   "โรม ให้นั่งพักได้แต่ห้ามนอนครับ"

   "จะนอน"

   "ถ้านอนกลับไปนอนที่ห้อง" เขาขึ้นมานั่งพิงอยู่กับหัวเตียง

   "นอนที่นี่ก็ได้นะที่หนึ่ง เดี๋ยวเราดูแลให้" เฟรนด์พูดแทรกขึ้นมา เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่วางไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งตัวใหญ่ มือสาละวนกับการจัดยาในกระเป๋าสีดำมีโลโก้กาชาดติดไว้

   เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้ทำตามที่แบล็คบอก

   งั้นผมควรจะกลับไปนอนที่ห้องสินะ

   "หนึ่ง" ผมเงยหน้าขึ้นไปเรียกคนที่จ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่ "กลับห้องกัน"

   เขาเลิกคิ้วตอนที่ได้ยิน "อะไรนะครับ"

   "จะกลับห้อง"

   "ไม่ๆ เมื่อกี้โรมเรียกเราว่าอะไรนะ"

   "หนึ่งไง"

   ส่วนตัวผมแล้วผมมีความคิดเรื่องชื่อเล่นที่ประหลาดๆ อยู่อย่างหนึ่งคือผมไม่ชอบคนชื่อเล่นสองพยางค์ ชื่อเล่นมันก็ควรจะมีแค่พยางค์เดียวสิ คนรอบข้างผมก็ชื่อเล่นแค่คำเดียวกันทั้งนั้นแหละ

   ไม่รู้ว่าคำตอบของผมไปสะกิดต่อมอารมณ์ดีของเขาหรือยังไง ที่หนึ่งยิ้มกว้างก่อนที่จะลุกขึ้นยืน

   "กลับห้องเนอะ"

   เขาทวนซ้ำด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ ถ้าตาไม่ฝาดผมเห็นว่าเขาปรายตาไปยังอีกคนที่อยู่นั่งอยู่ที่เดิมด้วย ผมลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียง ทำไมการขยับตัวลงจากเตียงที่มันยากจังนะ

   "โรมไม่อยากอยู่กับเรางั้นสิ?"

   คำถามนั้นเรียกสติให้ตื่นเต็มที่ ผมหันไปมองหน้าผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามามีบทบาทในชีวิตของผมไม่นานด้วยความรู้สึกประหลาดใจไม่ใช่น้อย บางทีผมคงมองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อยอย่างที่เน็ทชอบบ่น

   ลุกออกจากเตียง จัดเสื้อยับย่นให้เข้าที่แล้วออกเดินไปยังทางออก ให้ผมจัดการเองคงดีกว่าให้เธอไปเจออิทธิฤทธิ์ของผู้ชายหวงน้องทั้งหลายสินะ ที่หนึ่งก้าวแทรกผมไปเพื่อเปิดประตูให้ ผมสวมรองเท้าแตะที่วางไว้อยู่หน้าประตู จากตรงนี้เห็นชัดเจนว่าเธอมีสีหน้าที่ซีดเผือกมากเพียงใด

   "ใช่"

   แล้วผมก็ปิดประตูลง

   เราสองคนเงียบตลอดทางจนถึงห้องพัก ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงที่วางกระเป๋าจองไว้ ส่วนที่หนึ่งเดินทั่วห้องเพื่อหารีโมตมาเปิดแอร์ให้ ห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นอบไม่กล่อมให้ผมรู้สึกเคลิ้มหลับได้เลย

   "เมื่อกี้น่ากลัวชะมัด" ที่หนึ่งขึ้นมานั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างของผม

   "อะไร?"

   "โรมน่ากลัว"

   "น่ากลัวตรงไหน" ผมทำหน้าย่นใส่คนที่บอกว่าผมน่ากลัว "ทั้งชีวิตไม่เคยมีใครพูดอย่างนั้น"

   "ดีจังที่เป็นคนแรกที่บอกกับโรมอย่างนี้"

   "อย่ามาประสาทนะหนึ่ง"

   "ครับ"

   เขายิ้มอีกแล้ว ยิ้มจนผมนึกอยากถามว่าไม่เมื่อยรึไงที่ยิ้มอยู่นั่น

   "ชิ จะนอนแล้วนะ อย่ามากวนล่ะ" คว้าผ้าห่มผืนใหญ่มาคลุมตัวไว้ ข่มตาให้หลับโดยไวจะได้ไม่ต้องเจอหน้าผู้ชายจอมกวนประสาทอีก

   "โรมครับ อย่าเพิ่งนอนสิ"

   "ห้ามได้?"

   "โรมครับ"

   "..." เอาเลย จะพูดคนเดียวก็เชิญ

   "เมื่อกี้หนึ่งดีใจมากเลยนะ"

   ตลอดเวลาที่ผมคุยกับเขามา ถ้าไม่แทนตัวเองว่าผมก็จะใช้คำว่าเราเสมอ ที่หนึ่งไม่เคยขึ้นมึงกูกับผมเลยสักครั้ง และตอนนี้เขากำลังเรียกตัวเองด้วยชื่อที่ผมใช้เรียกเขา

   "ที่โรมเลือกมากับหนึ่งน่ะ"

   "ใครเลือกนาย อย่ามาโมเม"

   "ไหนบอกจะนอน ถ้านอนแล้วห้ามตอบสิ"

   ผมกรอกตาใส่ เจ้าเล่ห์เป็นที่หนึ่งล่ะคนนี้

   "จะนอนไง ยังไม่นอน" ผมกวนตีนกลับแบบไร้ซึ่งความมีเหตุผล เรียกได้ว่าเถียงข้างๆ คูๆ เลยแล้วกัน

   "ไม่กวนแล้วครับๆ"

   ผมหลับตาลงอีกครั้ง ซุกตัวอยู่ในเตียงสีขาวที่ไม่นิ่มหรือแข็งจนเกินไป

   "ถ้าหลับแล้วห้ามตอบอีกนะ"

   "..."

   "แอบชอบมาตั้งแต่มอห้าแล้วรู้ไหม" เขาตอบในคำถามที่ผมยังถามไม่จบตอนนั้น ที่หนึ่งไม่ได้สัมผัสตัวผมมากไปกว่าการจัดองศาของหมอนให้ขยับลงมาอีกหน่อย ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อ "หลับฝันดีครับ 'ของผม' "

   ดูสิ แล้วจะให้ผมหลับลงได้ยังไงกัน


***
มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 7 [23.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 23-10-2015 23:24:43

   เรื่องเล่ามักได้รับความสนใจมากกว่าเรื่องจริงเสมอ

   ผมจำไม่ได้แล้วว่าเน็ทหรือแบล็คเคยพูดเรื่องนี้ และเป็นผมเองที่ค้านหัวชนฝาว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนนี้ผมอยากกลับไปสนับสนุนคำพูดนั้นชะมัด

   "โอเคไหม?"

   ผู้ชายที่นั่งบนเก้าอี้ตัวถัดไปจากผมถามขึ้น ซึ่งเป็นคำถามเดิมที่เขาเพิ่งถามผมเมื่อสามนาทีที่แล้ว

   "กูไม่เป็นไร" ผมตอบกลับนิ่งๆ เหลือบตามองกลุ่มผู้หญิงปีสามที่นั่งรวมกลุ่มอยู่โต๊ะถัดไป ถ้าจะจ้องมาทางผมขนาดนั้นก็เดินเข้ามาหาเลยดีกว่าไหม

   "เฮ้อ ไม่คิดว่าเฟรนด์จะพูดอะไรอย่างนั้นออกไป"

   ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่า ได้เวลาทานมื้อเย็นพอดี ผมกับที่หนึ่งมายังห้องอาหารเพื่อพบกับบรรยากาศที่แสนประหลาด ทุกคนจ้องมาทางเราตอนที่เปิดประตู ผมคิดว่าเขาคงมองที่หนึ่งแสนฮอตที่หายไปตลอดช่วงบ่าย และนั่นเป็นความคิดที่ผิดเมื่อน้องสายที่โดนแกล้งสารพัดจนหน้าเต็มไปด้วยรอยแป้งและลิปสติกเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

   'พี่โรมดังแล้วรู้ไหม'

   นั่นคือคำเกริ่นเข้าเรื่อง วีเล่าเรื่องแบบกระชับให้ฟังจับใจความได้ว่า หลังจากที่ผมกับที่หนึ่งกลับไปยังห้องของตัวเองเฟรนด์ก็เอาแต่ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังจนทุกคนตกใจ พอมีคนถามหาสาเหตุก็เล่าว่าผมให้ความหวังแล้วก็ไปหักอกเขา ไม่ยินดียินร้ายกับความรู้สึกของเธอเลยแม้แต่น้อย

   ทั้งที่เรื่องจริงผมแค่ตอบเธอไปว่า 'ใช่' เองนะ

   "พี่ไม่เป็นไรแน่นะ"

   ตอนนี้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามของผมคือวี เขาให้แยกนั่งตามสายรหัสได้ในเวลาทานอาหาร ที่หนึ่งน้องสายปีหนึ่งไม่มารับน้องเห็นว่าติดประกวดอะไรสักอย่าง ดีจังเลยนะ ไม่เหมือนน้องสายที่ล่องไปลอยมาของผม

   "มึงก็เห็นว่ากูปกติดี"

   "ปกติจนเกินไปดิพี่ อะ ชิ้นนี้ผมให้นะ" ตักทอดมันปลาชิ้นใหญ่จากจานตัวเองมาไว้ในจานผม ปลื้มใจจนอยากถ่ายรูปเก็บไว้ว่าเด็กผีที่ร้องหาของฟรีทุกครั้งที่เจอจะมีน้ำใจกับเขาด้วย "พอดีผมตักมาเยอะไปอะ"

   "..."

   ขอบคุณตัวเองที่ยังไม่ถ่ายรูปตามที่คิด

   "พี่โรมไม่กินทอดมัน" ที่หนึ่งท้วงขึ้นมาพลางตักทอดมันไปไว้ในจานของตัวเอง แล้วยกไก่ทอดน่องใหญ่มาให้ผม

   "กูกินนะ"

   "กินแต่ทอดมันกุ้งไม่กินทอดมันปลา"

   ไร้ข้อโต้เถียงใดๆ ถึงผมจะชอบเนื้อปลาเป็นทุนเดิม แต่ทอดมันปลาเป็นข้อยกเว้นเพราะมันเผ็ดเกินไปสำหรับเด็กกินจืดแบบผม เคยลองฝืนใจกินเข้าไปแล้วนอนปวดท้องอยู่ในห้องเป็นวัน เข็ดตลอดกาล

   "วีเอาน้ำเปล่าหรือน้ำแดง"

   "น้ำเปล่าพี่ ขอบคุณครับพี่ที่หนึ่ง" ทั้งที่น้ำในแก้วของคนถามยังไม่พร่อง เขาคงเห็นว่าน้ำในแก้วของผมหมดเกลี้ยง ที่หนึ่งเลยคว้ามันไปพร้อมกับถามน้องรหัสของผม

   "พี่ไม่เครียดจริงนะ?"

   "ไม่อะ ปกติมาก"

   ผมไม่รู้ว่าจะเครียดไปทำไม ถึงจะมั่นใจได้ว่าตอนนี้ 'เรื่องเล่า' คงจะกระจายไปทั่วอย่างไม่มีใครห้ามอยู่ เมื่อคนที่รู้เรื่องจริงมีแค่สามคน แต่คนที่รู้เรื่องเล่ามีเกือบร้อย จะให้ลุกขึ้นสู้คงเป็นความคิดที่บ้าบิ่นจนเกินไป

   น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ จริงไหมล่ะ

   นี่ขนาดเป็นน้ำบริสุทธิ์ 99.9% เลยนะ

   "พี่ทำได้ไงวะ"

   "มึงช่วยกินให้หมดก่อนพูดได้ป่ะ" ผมทำหน้าเอือมระอาเต็มทน "คนเห็นอย่างกูโคตรอนาถใจ"

   เจอผมบ่นไปวีเลยจัดการเคี้ยวข้าวในปากจนหมด "ตอนแรกผมนึกว่าพี่คุยๆ กับพี่เฟรนด์อยู่ เห็นอัพในเฟสบ่อย แต่ตอนอยู่ในห้องพยาบาลผมก็ไม่เห็นว่าพี่จะสนิทกันขนาดนั้น"

   "ก็ใช่ไง กูไม่ได้สนิทกับเขาขนาดนั้น"

   วีทำหน้าเหยๆ เขามองซ้ายขวาเพื่อสอดส่องว่ามีใครได้ยินคำที่ผมพูดออกมารึเปล่า "เบาๆ ดิพี่ เดี๋ยวก็ได้มีคนมาดักตบหรอก"

   ไหล่ผมไหวขึ้นลง สนใจเพียงอาหารเย็นที่อยู่ตรงหน้า อาจคิดว่าผมติดนิสัยนี้มาจากเน็ท ความจริงแล้วเน็ทอาจติดนิสัยนี้ไปจากผมมากกว่า ถ้าผมไม่ผิดก็จะไม่ยอมก้มหัวขอโทษ ถึงอย่างนั้นผมจะไม่พูดความจริงออกไปถ้าทำแล้วเสียเวลาเปล่าเช่นกัน

   "โรม"

   ผมเงยหน้าขึ้นมาหาต้นเสียงที่กลับมาพร้อมแก้วน้ำในมือทั้งสองข้าง ที่หนึ่งกับใบหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่บอกผมว่าเขามีเรื่องกังวลอะไรในใจอยู่

   "สถานการณ์ไม่ค่อยดีเลยล่ะ"

   "เกิดอะไรขึ้นเหรอพี่ที่หนึ่ง"

   "เมื่อกี้กลุ่มนั้นเขามาถามพี่" กลุ่มนั้นที่ว่าคือกลุ่มที่จ้องผมมาตั้งแต่หย่อนตัวนั่งลงตรงนี้ "ดูเหมือนเรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่แล้ว"

   "เล่ามาหนึ่ง" ผมยกแก้วน้ำขึ้นดื่มด้วยท่าทีสบายๆ ไม่เดือนร้อนอะไรกับเรื่องดราม่าที่มีตัวเองเป็นตัวละครหลัก

   "มันกลายเป็นฟันแล้วทิ้ง"

   กลืนน้ำลงคอได้ทันก่อนที่จะพุ่งออกมา มองผู้ฟังอีกคนที่อ้าปากค้าง ตอนนี้เรื่องเล่าถูกเอาไปแต่งเพิ่มจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมซะแล้วสิ เป็นการรีเมคที่เกินคาดไปหน่อย

   "งั้นเหรอ"

   "หน้าอย่างพี่เนี่ยนะ เต๊าะสาวยังทำไม่เป็นเลยมั้ง"

   "มึงยังอยากนั่งอยู่ตรงนี้ต่อใช่ไหม?" ทำหน้าเหี้ยมใส่คนที่ปากพล่อยจนอีกฝ่ายปิดปากสนิท

   "แฮะๆ นั่งครับ"

   "เอาไงดีล่ะ หนึ่งว่าปล่อยไว้จะยิ่งแย่นะ"

   จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ได้อีกรึไง ก็นั่นแหละ ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเล่าที่เต็มไปด้วยจินตนาการเสริมอย่างนี้มากเท่าไหร่ กองไฟถ้าไม่มีคนเติมเชื้อ เดี๋ยวก็มอดไปเอง

   "ปล่อยไป ยังไงพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว" การรับน้องในครั้งนี้ใช้เวลาเพียงสองวันหนึ่งคืน ที่หนึ่งเล่าว่าปีหลังๆ ปีหนึ่งบ่นไม่อยากขาดเรียนวันศุกร์ถ้าค่ายมีสามวัน ปีนี้เลยตัดปัญหาโดยการจัดแค่เสาร์อาทิตย์ ผมหลับไปอีกตื่นพรุ่งนี้ก็กลับไปสู่โลกเดิมของผมแล้ว นี่มันก็แค่โลกชั่วคราว

   "ได้ไงอะพี่!?" วีไม่เห็นด้วยกับความคิดของผมชัดเจน "มันไม่แฟร์กับพี่เลยนะ"

   "แล้วอย่างไหนเรียกว่าแฟร์?"

   ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทั้งที่ข้าวในจานยังเหลือเกือบครึ่งแต่ผมก็ไม่มีอารมณ์จะยกมือขึ้นตักแล้ว

   "ก็..."

   "ความยุติธรรมมันไม่มีอยู่จริงหรอก" ยักไหล่ขึ้นประกอบว่าผมไม่สนเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ต้องขอบคุณสามหน้ากระดาษเอสี่ที่ถูกอัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความยุติธรรมที่ผมใช้ส่งประกอบกับรายงาน พอได้อ่านจริงเลยเข้าใจคำพูดที่ว่าความยุติธรรมไม่มีอยู่จริงของแบล็คแบบแจ่มแจ้งเลยล่ะ "ใครมีอำนาจ นั่นแหละคนที่กุมความยุติธรรมไว้ในมือ"

   ตอนนี้ผมเป็นแค่ผู้โดนร้องทุกข์กล่าวโทษที่โดนสังคมตัดสินไปแล้ว ทั้งที่เรื่องยังไม่มีการขึ้นศาลเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นต่อให้ผมปฏิเสธกับสังคมมากเท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์ ทางเดียวที่ผมจะชนะในคดีนี้คือให้ผู้พิพากษาตัดสิน
น่าเสียดายที่ผมไม่มีผู้พิพากษาอยู่ที่นี่

   "โรมครับ"

   "ว่าไง"

   "เมื่อกี้บอกว่า ใครมีอำนาจเป็นคนถือความยุติธรรมใช่ไหม"

   จะผิดไหมถ้าผมกำลังคิดว่าผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่คนแสนดีอย่างที่คิดมาตลอด

   "หยุดความคิดไว้ตรงนั้นเลยนะหนึ่ง" ต้องรีบห้ามก่อนที่สิ่งที่ผมกลัวจะเกิดขึ้น ถึงผมจะไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อที่หนึ่งมากนัก ผมก็ยังกล้าพูดว่าผู้ชายคนนี้จะไม่หยุดที่การพูด เขาพร้อมจะลงมือทำจริง

   "อ้าว นี่ใจเราสื่อถึงกันอยู่เหรอถึงรู้ว่าคิดอะไรอยู่" คำหยอดของเขาเรียกรอยบึ้งบนใบหน้าของผมได้อย่างดี หันมาหาวีเผื่อว่าน้องเล็กสุดจะเป็นแนวร่วมให้ผมได้ เด็กผมบลอนด์มองหน้าผมกับที่หนึ่งสลับไปมาด้วยสีหน้าสับสน มันควรเลือกที่จะอยู่ข้างผมอย่างไม่ลังเลไม่ใช่รึไง

   "ขอโทษนะพี่ แต่ผมเห็นด้วยกับพี่ที่หนึ่ง" นั่นไงล่ะ เดาผิดเสียที่ไหน "ผมไม่ยอมให้พี่รหัสตัวเองโดนเข้าใจผิดอย่างนี้หรอก"

   "กูว่าคนที่โดยพาดพิงคือกูนะ ทำไมคนอื่นถึงเดือดร้อนแทนจัง"

   "เพราะเป็นโรมไง"

   "เพราะเป็นพี่ไง"

   สองเสียงประสานขึ้นในระยะเวลาเดียวกัน ผมเลยถอนหายใจออกมาแรงๆ ให้รู้ว่าผมไม่ซาบซึ้งกับความหวังดีของทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย จัดการดื่มน้ำจนหมดแก้วลุกขึ้นไปเก็บจานข้าวตรงมุมห้อง ไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่จับจ้องตลอดการเดิน มีบ้างที่ทำเป็นพูดลอยๆ ให้ผมได้ยิน

   มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่น่าเบื่อ

   ตอนดึกเป็นกิจกรรมแสดงละครของชั้นปีหนึ่ง ต่อด้วยการบายศรีสู่ขวัญ ความจริงผมตั้งใจจะกลับห้องตั้งแต่หลังกินข้าวเสร็จแล้วล่ะ ที่หนึ่งบังคับให้อยู่ผูกข้อมือให้น้องก่อน ถามจริงเหอะว่าจะมีน้องคนไหนอยากให้ผู้ชายธรรมดาแสนจืดชืดอย่างผมผูกสายสิญจน์ให้บ้าง อย่าเอาตัวเองเป็นเกณฑ์สิครับรองเดือนมหาลัย

   "ละครน่าประทับใจใช่ไหมล่ะพี่"

   "แอคติ้งชนะเลิศสุดแล้วมึงอะ" ผมผลักหัวเด็กน้อยที่ยิ้มระรื่น เมื่อกี้ปีหนึ่งแสดงละครเรื่องสโนว์เรนโบว์กับคนสูงทั้งเจ็ด เนื้อหามั่วอย่างที่ถ้าดิสนีย์มาเห็นคงอยากจะเผาบททิ้ง วีรับบทเป็นเจ้าชายที่ตามหาสโนว์เรนโบว์ (คนพากย์ให้เหตุผลว่าสโนว์แบล็คหรือสโนว์ไวท์มันเบสิคเกินไป น้องผู้หญิงที่รับบทนี้ต้องเอาผ้าสีๆ มาผูกเอวเจ็ดชั้นจนผมนึกว่าเป็นต้นโพธิ์ขอหวย) หลังจากที่พิชิตแม่มดใจร้ายด้วยกล้องฟรุ้งฟริ้งระดับสิบเพื่อให้เชื่อว่าไม่มีใครงามเลิศได้เท่านางอีกแล้ว พอเจอเจ้าหญิงอยู่กับคนสูงทั้งเจ็ดก็เลยเลือกที่จะกลับเมืองมือเปล่าเพราะนางเอกมีฮาเร็มผู้ชาย ตอนที่ได้ยินคำว่าแล้วเจ้าหญิงก็อยู่กับคนสูงทั้งเจ็ดอย่างมีความสุขนี่เกือบตะโกนด่าไปแล้วว่ามึงเล่นง่ายๆ อย่างนี้จริงเหรอ

   "ผมเท่ใช่ไหมล่ะ"

   "เนื้อเรื่องจัญไรสุด"

   "โธ่ คิดตั้งนานเลยนะ ตอนแรกผมจะให...โอ๊ยพี่! เจ็บนะเว้ยยย"

   ยังไงผมก็รำคาญเสียงของมัน จัดการหยดน้ำตาเทียนลงบนข้อมือที่ยื่นมาให้เตรียมผูกสายสิญจน์ลงอย่างเลือดเย็น ไม่ใช่แค่หยดสองหยดนะ ผมนับได้เกือบสิบเลยล่ะ

   "ฮื้อออ แขนที่ผมเฝ้าถนอมรักษา"

   "อยากได้อีกใช่ป่ะ มา"

   วีดึงมือของตัวเองกลับไปเก็บอย่างรวดเร็ว เสี้ยวหน้าที่สะท้อนกับแสงไฟจากเทียนแสดงออกชัดว่าหวาดระแวงผมเต็มที่ นานๆ ทีให้ได้แก้เผ็ดคืนบ้างเถอะ

   "พี่ที่หนึ่ง พี่โรมแกล้งผมอะ" หันไปฟ้องคนที่นั่งอยู่ต่อจากผมอีกแล้ว ทั้งวันผมไม่ต้องมีเพื่อนคนอื่นเลยอะ ที่หนึ่งตามติดยิ่งกว่าเงาตามตัวอีก ที่บอกอย่างนั้นก็คือเงามีเฉพาะตอนที่มีแสงส่วนที่หนึ่งนี่อยู่ตลอดเวลาไม่หายไปไหน

   "ย้ายมาอยู่สายพี่ไหมล่ะ เลี้ยงดีแน่นอนพี่รับประกัน"

   มีการเปิดข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธอีกด้วย แค่ได้พี่สายเป็นที่หนึ่งก็มีคนกรูแย่งแล้ว นี่อีกฝั่งยังมองเขาเป็นไอดอลขั้นสุดอีก สายรหัสสี่ปีจะเหลือผมคนเดียวก็งานนี้แหละ

   "ย้ายตอนนี้เลย พี่โรมชอบแกล้งผมอะ หัวใจดวงน้อยๆ ของน้องวีมันโดนทำร้ายจนเกินจะทนแล้ว"

   "เออ ไปเลยมึง"

   "พี่ควรจะง้อผมหน่อยดิ"

   "ไม่อะ อยากไปก็ไปเลย"

   ที่หนึ่งหัวเราะร่า เขาดูผมกับวีเถียงกันไปมาโดยเข้ามาแทรกประเด็นเป็นพักๆ

   "โห่ย ไม่ไปหรอกน่า ผมรักพี่สายของผมจะตายไป"

   ทำไมคำว่ารักของวีมันทำให้หนังตาผมกระตุกแปลกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่พูดเขาไม่มองหน้าผม นัยน์ตาขี้เล่นคู่นั้นมองไปหาผู้ชายแสนดีอย่างไม่ปิดบัง ฉีกยิ้มที่ดูยังไงก็เคลือบไปด้วยยาพิษให้อีกฝ่าย

   "รักมากด้วยนะพี่"

   "กูซึ้งใจมาก ขอบคุณ กูไปนอนแล้วล่ะมึง ง่วง"

   เอาทุกอย่างให้จบในประโยคเดียวก่อนที่ที่หนึ่งจะหลุดปากพูดอะไรออกมาอีก หลังจากที่วันนี้เขาท็อปฟอร์มจนผมอยากจะมอบโล่เกียรติคุณให้

   "ไปด้วยสิ"

   สิงร่างได้คงสิงไปแล้ว ผมปลีกตัวออกมาจากความวุ่นวายในห้องประชุม หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโปรแกรมไฟฉายเพื่อส่องไปตามทาง รีสอร์ตอย่างนี้สัตว์อันตรายเยอะ แบล็คบอกไว้

   "โรมครับ"

   "หืม?" เสียงฝีเท้าสองคู่สลับกับถูกแทนที่ด้วยเสียงเรียกจากเขา ผมไม่ได้หันไปมองหน้าต้นเสียงที่เดินเคียงคู่กันมาเพราะทางข้างหน้ามืดลงจนน่ากลัว สงสัยหลอดไฟจะขาด

   "...ไม่มีอะไร"

   เอากับเขาสิ เรียกแล้วก็มาบอกว่าไม่มีอะไร คนประเภทนี้ร้อยทั้งร้อยมีอะไรในใจอยู่ชัวร์

   "มีอะไรก็พูดมา"

   "พูดได้เหรอ"

   "มีใครเอากาวไปติดปากรึไงล่ะ"

   ถ้าผมอยู่กับที่หนึ่งนานๆ ผมว่าตัวเองจะต้องประสาทเสียเข้าสักวัน เขาไม่เหมือนเน็ทที่พูดออกมาตามที่คิดเสมอ ไม่เหมือนไวท์ที่พูดนับคำได้ ผมไม่รู้วิธีการรับมือกับคนประเภทนี้เลย

   สงสัยมีคนเอากาวไปติดปากเขาอย่างที่ผมบอก ที่หนึ่งไม่ได้พูดอะไรออกมาหลังจากนั้นอีก ใช้เวลาอีกพักเดียวก็เห็นบ้านพักที่เปิดไฟสว่างไว้ สงสัยใครกลับมาก่อนแล้วล่ะมั้ง ผมยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ จนแรงรั้งหนึ่งทำให้ผมต้องหยุดเดินแล้วหันมาส่องไฟใส่หน้าเขา

   "จะดึงเสื้อทำไม"

   "คือ..."

   "กาวหลุดหมดแล้วเหรอ มีอะไรก็ว่ามา" ทั้งง่วง ทั้งเหนื่อย ผมอยากจะอาบน้ำแล้วทิ้งตัวลงเตียงใจจะขาดแล้ว

   "ไปเดินเล่นกันก่อนได้ไหม?"

   ใบหน้าที่กระทบแสงเพียงครึ่งซีกทำเอาผมขมวดคิ้ว มันไม่ได้กังวลหรือลังเลใจ กลับกันผมเห็นแต่ความกระสับกระส่ายในนั้น

   "จะบ้ารึไง มาอารมณ์สุนทรีย์อะไรตอนเที่ยงคืนครับคุณที่หนึ่ง?"

   "ไปเถอะน่า นะ" เขาดึงชายเสื้อของผมอีกครั้ง คราวนี้ใช้แรงมากกว่าเมื่อกี้อีก ถ้าเสื้อผมย้วยไปจะให้เขารับผิดชอบพร้อมดอกเบี้ยสูงติดเพดานเลยคอยดู

   "ไม่ จะนอน"

   "โรมครับ ไปกับหนึ่งนะ" ถ้าเป็นเวลาปกติที่สติสมบูรณ์พร้อมผมคงยอมตามไปแล้วล่ะ คือตอนนี้สติผมหมดไปหกสิบห้าเปอร์เซนต์แล้ว ในหัวมีแต่คำว่า นอน นอนและนอน

   "ไม่"

   "ตามมาเหอะน่า"

   คราวนี้ไม่จับชายเสื้อแต่ฉวยข้อมือของผมไว้ ออกเดินไปอีกฟากหนึ่งของรีสอร์ตโดยไม่ห่วงคนที่ต้องก้าวตามกะทันหันแบบผมเลยแม้แต่น้อย เขากำข้อมือของผมไว้แน่นจนสะบัดยังไงก็ไม่หลุด

   "หนึ่ง! ปล่อย!"

   "น้องโรม เงียบก่อน!"

   "..."

   ผมเงียบตามที่เขาบอกด้วยสองสาเหตุ อย่างแรกคือเสียงรอดไรฟันที่ออกมาบอกถึงระดับความเครียด อย่างที่สองคือสรรพนามที่เขาใช้เรียกผม เขารู้ชื่อที่ใช้กันเฉพาะในกลุ่มของผมได้ยังไง

   ผมมองแผ่นหลังของคนที่ยังไม่หยุดก้าว ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยที่ก่อตัวขึ้นจนเป็นกลุ่มคำถามขนาดใหญ่

   "ที่หนึ่ง! หยุดเดินเดี๋ยวนี้นะ"

   คำสั่งไม่ได้ออกมาจากปากของผม ตวัดหน้าไปหาเจ้าของเสียงที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาแล้วได้คำตอบของอาการแปลกๆ ของที่หนึ่งทั้งหมด

   น่าจะเกิดจากการที่ผมเอาแต่ก้มมองพื้นตอนเดินกลับห้อง เลยไม่รู้ว่ามีใครอีกคนรออยู่หน้าห้องพัก ที่หนึ่งคงเห็นเฟรนด์ก่อนแล้วเลยหาเรื่องเฉไฉพาผมออกจากพื้นที่ตรงนั้น ไม่ควรดื้อเลยผม!

   ลัดเลาะมาถึงทางเข้า อีกฟากของถนนเป็นชายหาดที่ยาวต่อเนื่อง มองซ้ายขวาแล้วไม่มีรถแล่นมาเขาก็พาผมข้ามไปยังอีกฝั่งโดยเร็ว เสียงเฟรนด์ยังคงไล่หลังในขณะที่คนตรงหน้าไม่ยอมหยุดเดิน

   ไม่ชอบบทของตัวเองเลยให้ตาย

   ร่างกายที่ถูกใช้มาทั้งวันเริ่มประท้วงขอการพักผ่อน ผมเองก็อยากจะเคลียร์เรื่องทั้งหมดให้จบๆ ไปดีกว่าต้องหลบหน้าหรือวิ่งหนีกันอย่างนี้อีกเลยตัดสินใจเรียกคนที่ยังคงจับมือผมไว้แน่น

   "หนึ่ง หยุด" ผมบอกเขาเสียงเรียบ ที่หนึ่งหันมามองหน้าผมด้วยใบหน้างุดงง "เรื่องของเรา เราจัดการเอง"

   "แต่..."

   "ใครเริ่ม คนนั้นต้องเป็นคนหยุด"

   "ไหวนะ?"

   "อยู่แล้ว" ยามที่หันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนั้น ใจผมมีแต่ความว่างเปล่า ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกยามมองใบหน้าที่ดูอ่อนล้ายังไงดี

   นี่เหรอ 'ความรัก'

   "เฟรนด์" ไม่รอให้อีกฝ่ายขานรับ ผมก็พูดต่อไปทันที "ผมจะไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเย็น เรื่องเดียวที่ผมจะพูดคือขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด ขอโทษที่ผมมองคำว่าเพื่อนกว้างเกินไป"

   "โรม..."

   "เฟรนด์เป็นเพื่อนของผม"

   ใบหน้าที่ส่ายไปมาอย่างคนไม่ยอมรับคือคำตอบที่ผมคาดเดา "ไม่นะโรม ทำไมล่ะ"

   "มันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ"

   "จะบอกว่าที่ผ่านมาคือเราคิดไปคนเดียวอย่างนั้นเหรอ ง่ายไปไหม?"

   "อืม ง่ายอย่างนั้นแหละ"

   "!"

   ผู้หญิงตัวเล็กโน้มตัวเข้ามาเตรียมพร้อมจะทำร้าย ผมก้าวถอยหลังเพื่อหลบ เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกคนพุ่งตัวออกไปป้องกันไว้ให้

   "มีสติหน่อยเฟรนด์!"

   "ไม่! นายทำอย่างนี้กับเราได้ยังไง!!

   ที่หนึ่งกำมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไว้แนบอก คำที่พร่ำบอกพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลลงมายิ่งทำให้เรื่องราวดูแย่เข้าไปใหญ่

   "มัน ฮึก ไม่ยุติธรรมกับเราเลย..."

   "แล้วมันยุติธรรมกับโรมหรือไงที่ถูกใส่ร้ายอย่างนั้น?"

   "หนึ่ง" ผมเรียกชื่อเขาเป็นการห้ามทัพ ใบหน้าหล่อเจือแววหงุดหงิดบอกว่าเขาไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นมากไม่ใช่น้อย "จะไม่มีการโทษว่าใครผิดที่นี่ ไม่มีใครเป็นผู้พิพากษาตัดสิน"

   "เมื่อกี้ใครพูดว่าผู้พิพากษารึเปล่า"

   "..."

   หัวใจผมเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว กลิ่นของยาเส้นแสบจมูกที่ลอยมาตามสายลมเป็นสัญลักษณ์ว่าใครคือผู้มาใหม่

   "ถ้าเป็น 'ว่าที่' ไม่ทราบว่าคู่ความจะยอมให้เปิดการพิจารณารึเปล่าครับ?"


***
   น้องเล็กมักใจร้าย ทุกคนบ่นน้องจนไม่เหลืออะไรให้เจ้าบ่นต่อแล้วค่ะ (ฮา) มาดูกันยาวๆ ว่าที่หนึ่งจะจีบน้องเล็กเอาแต่ใจยังไงต่อไปเนอะ (ยิ้ม)
   พอดีเจ้าไม่มีความรู้เรื่องกฎระเบียบในเล้ามากนัก รบกวนสอบถามว่าถ้าเป็นคู่ธรรมดา (ชาย-หญิง) จะสามารถลงควบคู่ไปได้รึเปล่าคะ? เพราะถ้าไม่ได้เจ้าคงต้องวางโครงเรื่องใหม่เยอะเหมือนกัน รบกวนด้วยนะคะ /โค้ง
   ขอบคุณทุกคำติชม กดบวก เช่นเดิมเจอคำผิดตกหล่นทักได้เลยนะคะ
   ไว้เจอกันใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 7 [23.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: mira ที่ 24-10-2015 00:26:02
เรื่องการลงส่วนของคู่ธรรมดา (ชาย-หญิง) นั้น คุณคนเขียน ลองส่งข้อความไปถามคุณผู้ดูแล คุณ oaw_eang, คุณ Junrai_Hyper™, คุณ THIP, คุณ Poes คนใดคนหนึ่งดูค่ะ ว่าลงได้หรือไม่  โดยอาจจะส่งโครงเรื่อง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่วางไว้ ฯลฯ ให้คุณผู้ดูแลดูจะได้ตัดสินได้ว่าลงที่เล้าได้หรือไม่ หรือควรแก้ไขตรงไหนค่ะ

แต่เหมือนเคยเห็นว่า คู่ธรรมดา ชายหญิง ที่เป็น "ส่วนหนึ่ง" ของเรื่อง ก็มีอยู่บ้างนะคะ  แต่โครงเรื่องเน้นหนักที่ ชาย ชาย มากกว่า ชาย หญิง    อาจจะยังไม่ถึงขนาดต้องวางโครงเรื่องใหม่ก็ได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 7 [23.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: painture ที่ 24-10-2015 01:24:35
ชอบที่หนึ่งจังเลย
ปวดหัวอ่อนเพลียกับเฟรนมาก !

มโน
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 7 [23.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 24-10-2015 01:42:50
ผู้หญิงคนนั้นดูน่าสงสาร


จนกระทั่งยอมปล่อยให้ข่าวใส่ร้ายป้ายสีรั่ว

#ผู้ชายไม่พูดออกมาก็จงอย่ามโน
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 7 [23.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 24-10-2015 06:22:54
นี่แหละความลำบากของผู้หญิงขี้มโน รักเองเจ็บเองโดยที่อีกฝ่ายไม่เคยพูดหรือแสดงอะไรที่มันชัดเจน :เฮ้อ:
ไม่ซ้ำเติมเธอนะเฟรนด์ แต่เลิกแล้วต่อกันเถอะ เขาไม่รักก็ปล่อยเขาไปเถอะ อย่าทำอะไรที่มันดูไม่ดีอย่างใส่ร้ายอีกฝ่ายเลย มันจะยิ่งมองหน้ากันไม่ติด :katai1:
ที่หนึ่งแสนดีอ่ะ อยู่ข้างๆตลอดเลย น้องโรมใจอ่อนเร็วๆนะ ว่าแต่ใครมาอ่ะ จะมาช่วยน้องโรมใช่ไหม อิอิ :z1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 7 [23.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 24-10-2015 08:30:33
ใครมาๆๆ??
จริงๆที่หนึ่งน่าจะทุกข์ร้อนบ้างอะไรบ้าง ความคิดที่ว่าคงไม่เป็นอะไรเนี่ยทำคนฉิบหายมาเยอะ และตอนนั้นก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว คนกำลังแค้น กำลังเสียใจทำอะไรก็ได้นะรู้ไหม
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 7 [23.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 26-10-2015 12:54:01
นายแบล็คออกมาแล้ว เหมือนไม่ได้เจอกันมาหลายตอนเลย 555

น้องโรมนี่ก็โลกส่วนตัวสูงเหมือนกันนะเนี่ย ไม่ค่อยจะสนใจใครเท่าไหร่
ใครเข้ามาก็ถูกจัดอยู่ในเฟรนด์โซนกระทั่งเฟรนด์ก็ด้วย 55 สาวขี้มโน น้องโรมเขาเฉยๆ ไปตีว่าเขามีใจ
แถมยังปล่อยให้เรื่องใส่ไข่ออกมาซะโรมเสียหมด

รอวันน้องโรมใจอ่อน
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 7 [23.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 26-10-2015 22:22:20
อ้ะ ๆ ประโยคสุดท้าย พ่อตาแบล็ค มาช่วยลูกโรม&ว่าที่ลูกเขยแล้วใช่ไหม เย้ ๆ
มาอย่างเท่ห์อีกแล้วอ่ะ (ลำเอียงตลอดเรา แบล็คทำอะไรก็ว่าเท่ห์ไปหมดอ่ะ 555)
อยากรู้ว่า แบล็คจะจัดการกับเฟรนด์ยังไง เจอผู้หญิงอย่างนี้ เหนื่อยใจแทนโรมจริง ๆ
น้องวี ทำตัวน่ารักมาตลอด ๆ แต่ตอนที่บอกรักพี่โรมมาก ๆ แต่จ้องหน้าที่หนึ่งนี่ คืออะไร หา?
หวังว่าคงไม่มาเป็นศัตรูหัวใจที่หนึ่งอีกคนหรอกนะ แต่ถ้าแค่หวงพี่โรมแบบหวงพี่ชาย อันนี้ไม่เป็นไรนะ
ส่วนคนที่เวลรอคอยนี่ คือไวท์งั้นเหรอ ผิดคาดไปเลย คิดว่ารอหนุ่มน้อยที่ไหนซะอีก แหะ ๆ
แต่ก็โอเคนะ เพราะอ่าน ๆ ไป ไม่ค่อยรู้สึกว่าไวท์เป็นผู้หญิงสักเท่าไหร่อ่ะ บอกเลย 555
ส่วนเรื่องคู่ชาย-หญิง ลงควบคู่ไป ก็พอเห็นเรื่องอื่นมีอยู่เหมือนกันนะคะ คือเป็นคู่รอง ๆ ไม่ใช่คู่หลัก
แต่ถ้าไม่แน่ใจ ถามผู้ดูแลอีกทีน่าจะดีกว่าค่ะ
อยากอ่านตอนต่อเร็ว ๆ พี่แบล็คของเรามาแล้วววว  :mew1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 7 [23.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: SiHong ที่ 27-10-2015 19:50:34
ว่าที่ผุ้พิพากษา
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 7 [23.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 28-10-2015 11:43:01
พูดถึงผู้พิพากษา ผู้พิพากษาก็มา

เราว่า ชายหญิง แค่เกริ่นถึงนิดๆ หน่อยๆ ก็พอนะคะ
ถ้ามันมีความสำคัญกับเนื้อเรื่องหลัก  :ruready
แต่สารภาพเลยว่าเรื่องของเกลเราเลื่อนผ่านค่ะ
เหมือนมันไม่ถูกจริตไปแล้วอะค่ะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [23.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 30-10-2015 22:57:59
บทที่ 8

   'ผมแค่มาเตือนให้คุณอย่าล้ำเส้น'

   ไม่มีทางอื่นที่ทำได้นอกจากยืนฟังบทสนทนานั้นเงียบๆ อยู่ข้างหลัง

   'อะไรที่ไม่ใช่ของคุณก็อย่าพยายาม เข้าใจไหม'

   ได้ยินเสียงหัวเราะหยันในลำคอ เดาได้เลยว่าตอนนี้เขากำลังมีรอยยิ้มแบบไหนประดับอยู่บนใบหน้า

   ...รอยยิ้มของคนที่ยิ่งยศศักดิ์กว่า

   ยิ้มแฝงความอำมหิตของราชา

   'ทำไมถึงอย่าพยามยามงั้นเหรอ ...เพราะคุณไม่มีทางเทียบได้ไงล่ะ'

 


   "ไม่ต้องทำหน้าเป็นหมาหงอยเลยมึง"

   "..."

   "เชี่ย ทำหน้าอย่างนี้ใส่กูอีกแล้ว นิชมาดูแลน้องชายคนโปรดมึงที" ถอนหายใจพรืดใหญ่พลางเรียกอีกคนเข้ามาร่วมวงด้วย ผมยังคงนั่งอยู่เฉยๆ ยามที่นิชแทรกตัวลงบนเตียงฝั่งตรงข้าม

   จากที่ง่วงกลายเป็นตาสว่าง ทั้งการออกกำลังกายด้วยการวิ่งไล่จับตอนเที่ยงคืนประกอบกับการสวมบทบาทเป็นลูกขุนในศาลแล้วคืนนี้ผมคงไม่ต้องการพักผ่อนแล้วล่ะ

   "โทรมกว่าในรูปอีกนะน้องโรม กินข้าวครบทุกมื้อรึเปล่า"

   "...ครบ"

   อยากจะเล่นตัวไปอีกสักหน่อยเหมือนกัน แต่นี่มันนิช แค่ใช้น้ำเสียงนุ่มๆ กับรอยยิ้มหวานๆ ผมก็ไปไหนไม่รอดแล้ว พระเจ้าสร้างนิชให้แสนดีเกินไป

   "งั้นไม่ค่อยดูแลหน้าล่ะสิ เคยบอกแล้วไงถ้าไม่ใช้ครีมก็กินวิตามินเสริม"

   "ไม่ชอบ มึงก็รู้นี่"

   "ไม่ชอบก็ต้องกิน"

   นี่คือที่มาของนิยามน้องชายคนโปรด ถึงนิชจะใจดีกับผมมากที่สุดเขาก็ใจร้ายกับผมได้มากที่สุดเช่นกัน จอมบังคับที่ไม่มีใครเทียบได้

   "อย่าไปเชื่อมันมาก วันก่อนกูไปขวดวิตามินที่มึงซื้อยังไม่ได้แกะพลาสติกเลยเหอะ"

   "เน็ท!"

   "เรียกกูทำไม กลัวลืมชื่อผู้มีพระคุณเหรอ ให้กูทวนไหมว่าถ้าเมื่อกี้มาไม่ทันมึงจะเจออะไรน่ะ"

   ผมมองซ้ายขวาหาตัวช่วย ที่หนึ่งกับแบล็คออกไปข้างนอกหลังจากที่กลุ่มจอมหวงได้ 'เปิดศาล' แล้วอ่านคำพิพากษาจนเสร็จสิ้นในเวลาไม่ถึงสิบนาที ยังถือว่าเป็นโชคดีของเธอที่คราวนี้คนคุยเป็นแบล็คไม่ใช่นิช ไม่อย่างนั้นทั้งชาตินี้ผมคงไม่มีทางมองหน้าเธอติดอีกแน่นอน

   "กูรู้ว่ามึงกำลังหากำลังเสริม เสียใจด้วยว่ะที่ไม่มี" เน็ทปาหมอนหนุนใบเล็กที่วางประดับไว้ตรงหัวเตียงมาทางผม

   "พวกมึงมาทำอะไรที่นี่?"

   กลับเข้ามาสู่ประเด็นใหญ่ก่อนที่มันจะออกนอกเรื่องไปมากกว่านี้ นิชเพียงยิ้มจางๆ จนผมต้องเปลี่ยนเป็นหันไปมองหน้าผู้ชายอีกคนที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ด้วยมือซ้ายแบบเดิม

   "เน็ท พวกมึงตามกูมาทำไม"

   "อยากมา"

   "กูไม่สนุกด้วยแล้วนะ" ผมบอกไปตรงๆ เรื่องมันโคตรจะบ้า อยู่ค่ายรับน้องแล้วมีเพื่อนโผล่มาสามคนตอนเที่ยงคืน พวกนี้จองห้องพักในโรงแรมที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกลนัก ดูจากกระเป๋าเสื้อผ้าของแต่ละคนแล้วค่อนข้างชัดว่าเป็นการเดินทางอย่างกระทันหัน

   "แล้วกูขำอยู่?" นัยน์ตาเรียวสวยช้อนขึ้นมามองผมชั่วครู่ "เชี่ยนิชมึงอย่าเอาแต่ยิ้มดิ ขนลุกว่ะ เห็นไหมว่ากูไม่ว่าง อธิบายให้น้องมึงฟังที"

   หนุ่มแว่นคนเดียวโคลงหัวไปมา "ก็เปล่า กูมาหาที่ห้องแล้วไม่เจอ เห็นแบล็คบอกว่าไปค่ายรับน้องเลยตามมาด้วย"

   "เลยตามมาด้วย?" เขาพูดง่ายๆ อย่างกับระยะทางมันใกล้กันมาก อารมณ์เหมือนสยามไปอนุสาวรีย์ก็แค่สามป้ายบีทีเอสอะไรอย่างนั้น

   "มาหาทั้งทีก็อยากเจอตัวเป็นๆ นี่"

   ผมเกือบจะเดินไปกอดนิชแล้วถ้าเน็ทไม่แทรกขึ้นมา "มึงพูดเต็มๆ สิ อยากเจอผู้หญิงชื่อเฟรนด์ตัวเป็นๆ ต่างหาก"

   "..."

   "ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ถ้าเจอก็ดี"

   "ได้เจอสมใจไหมล่ะมึง เหอะ"

   เน็ทโยนโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ผม ถ้ารับไม่ทันแล้วมันเด้งลงไปกระแทกพื้นนี่ผมไม่มีปัญญารับผิดชอบนะ จอค้างไว้ที่รูปสุดท้ายในคลังภาพ เป็นรูปที่แคปจากหน้านิวฟีดของเฟสบุ๊คแจ้งเตือนว่าผมโดนแท็กรูปจากเฟรนด์เมื่อเช้า ภาพที่เธอกำลังนั่งอยู่บนรถชูสองนิ้วให้กล้อง แน่นอนว่าไม่มีผมอยู่ในรูปแม้แต่เสี้ยวเดียว

   "มันเด้งพอดี พอพี่นิชของมึงเห็นเท่านั้นล่ะจ้า กูเก็บเสื้อผ้าแทบไม่ทัน"

   "มาทริปเดียวได้ทั้งเที่ยวแล้วก็เคลียร์ปัญหาไง" ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่ายิ้มสดใสของนิชน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้ ผมแทบไม่ได้หยิบมือถือขึ้นมาเลยตั้งแต่เช้า จำได้ว่าใช้ครั้งสุดท้ายก็ตอนตอบไลน์แบล็คไป พอที่หนึ่งบอกให้เลิกเล่นก็ไม่ได้ตรวจเช็คอีกเลย

   "ลงทุนกันเหลือเกินนะพวกมึง"

   "ก็มีน้องคนเดียว"

   ผมเป็นน้องเล็กของพี่ๆ เสมอ ทุกคนยกเว้นฝาแฝดเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว มันเลยเป็นความเก็บกดเล็กน้อยเวลาที่เห็นใครต่อใครมีพี่น้องให้เล่นด้วย แล้วที่ระบายของคนพวกนี้ก็คือผมไง

   "แล้วไปทำอีท่าไหนเขาถึงมาราวีมึงอย่างนั้น อ้อ ถ้าเจอที่หนึ่งต้องสำนึกบุญคุณมันเยอะๆ ไม่งั้นมึงไม่ได้มานั่งสบายอยู่ตอนนี้หรอก ไอ้บ้านี่ก็คนดีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง สมัยมอปลายแม่งช่วยคนอื่นยังไงตอนนี้มันก็ยังทำอย่างนั้น"

   เน็ทตั้งคำถามใส่ผม เขาเลื้อยตัวลงนอนบนตักของนิชที่นั่งอยู่ข้างๆ

   "เข้าใจผิดกันนิดหน่อย เรื่องมันเลยบานปลาย"

   "น้องโรม มึงมีปัญหากับการเทียบปริมาณป่ะ นิดหน่อยกับบานปลายแม่งไม่ได้ไปด้วยกันได้เลยนะมึง"

   "ดูจากภาพรวมเมื่อกี้กูว่าไม่นิดหน่อยนะ" นิชก็ยังคงจับสัมผัสได้ดีเสมอ

   "อ่า..."

   ผมไม่อยากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครฟังทั้งนั้น สิ่งหนึ่งที่น่าเบื่อเกี่ยวกับเรื่องเล่าคือมันเป็นการเล่าจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว การแต่งเติมหรือการเล่าในมุมของตัวเองย่อมทำให้เรื่องราวผิดเพี้ยนไปได้เสมอ เรื่องเล่าที่ดีควรเป็นเรื่องที่ตัวละครหลักทั้งสองฝ่ายเป็นคนเล่าร่วมกัน

   "เล่ามา หรือจะให้นิชไปเรียกที่หนึ่งมาเล่าให้กูฟัง"

   นิชกับที่หนึ่งเคยอยู่วงดนตรีเดียวกันตอนสมัยมัธยมปลาย ระดับความซี้ใช่ย่อยเลยล่ะ

   "คือมัน..."

   "น้องโรม พี่บอกให้เล่าครับ" นั่นไง เรียกตัวเองว่าพี่อีกแล้ว ท่าไม้ตายของนิชเตรียมทำงาน

   "กูจะนับหนึ่งถึงสามนะ"

   ผู้ชายที่ไม่แคร์โลกเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใส่นิชด้วยหวังว่าเขาจะเปลี่ยนใจมาอยู่ฝั่งผมแทนที่จะเป็นกำลังเสริมให้ 'เจ้าชาย' แต่มันไม่เป็นผลเมื่อเจ้าของรอยยิ้มสว่างเพียงแค่เอียงคอรอให้ผมเล่าเรื่องต่อ

   "กูไม่เล่า"

   "น้องโรม อย่าดื้อ"

   "มึงให้กูเล่าไปแล้วได้อะไรขึ้นมาวะ เรื่องมันก็จบแล้วป่ะ"

   "กูยังอยากฟังตอนพิเศษต่อ"

   "แกล้งอะไรน้องกูอยู่?"

   ไม่เคยรักแบล็คเท่าตอนนี้มาก่อน ผมหันไปยิ้มกว้างให้คนมาใหม่สองคนที่วางถุงพลาสติกหลายใบไว้บนโต๊ะตัวเล็กข้างประตู กล่องเหล้าสีแดงที่โผล่ออกมาจากถุงสีขาวทำให้ผมรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า

   "แกล้งเหี้ยไร กูทักทายปราศรัยกันตามปกติของเพื่อนต่างหาก"

   "หึ..."

   แบล็คหัวเราะในลำคอ เขาเหยียดยิ้มมุมปากแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงอีกคน ส่วนที่หนึ่งก็อ้อมมานั่งพิงหัวเตียงที่ผมนอนอยู่ กลิ่นบุหรี่ที่โชยมาทำให้ผมนิ่วหน้า นี่ก็สูบจังเลยพี่เวร

   "น้องเอ๋อ" เงยหน้าขึ้นมาหาคนเรียก ผู้ชายที่เพิ่งสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้พิพากษาแบบไม่ต้องผ่านการสอบใดๆ ก็โยนพวงกุญแจอันเล็กมาให้ "เปิดห้องให้แล้ว คืนนี้นอนกับที่หนึ่งไปนะ"

   "นอนกับหนึ่ง?"

   "มึงยังกล้ากลับไปนอนรวมกับผู้หญิงที่มึงเพิ่งหักอกเขามารึไง?"

   ใครบอกผมหักอก มีแต่พวกคุณๆ ทั้งหลายที่ขึ้นโชว์ต่างหากล่ะ

   "กูนอนรวมกับพวกมึงก็ได้นี่" ผมค้านกลับ

   "แค่กูสามคนก็เบียดกันจะตายห่าแล้วครับ อย่าเรื่องมาก มึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้ที่หนึ่งโดนเด้งมาหาที่นอนใหม่นะอย่าลืม"

   ผมอยากบอกกลับไปว่าที่หนึ่งกลับไปนอนที่รีสอร์ตก็ไม่มีปัญหาอะไร ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ที่จะคุยกับเฟรนด์ก็ตั้งใจคุยให้จบแบบสวยๆ มีแต่พวกตัวเองนั่นแหละเข้ามายุ่งจนแย่ เหมือนแบล็คจะรู้ว่าผมต้องค้านขึ้นมาแหงเขาเลยส่งสายตาปรามมาก่อน

   จากพี่กลายเป็นพ่อในพริบตา

   ผมขยับตัวขึ้นไปพิงหัวเตียงต่อจากที่หนึ่ง เขากำลังก้มหน้ามองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองไม่วางตา ไม่รู้ว่าจะอึดอัดรึเปล่าที่ต้องมาอยู่ในกลุ่มเพื่อนของผม แต่คงไม่หรอกมั้ง ดูจากการที่ออกไปซื้อของกับผู้ชายสีดำด้วยกันก็บ่งบอกว่าสนิทกันอยู่ไม่น้อย

   "เน็ท ถ้าอยากกลับกับพวกกูอย่ากดปุ่มถ่ายนะมึง" นิชทำท่าจะขยับหนีออกจากโฟกัสของกล้อง จอมหวงดูไม่สนใจในคำห้ามนั้นมากเท่าไหร่

   ทำไมถึงจะไม่ได้กลับด้วยล่ะ ก็เห็นรถของแบล็คอยู่หน้าห้องนั่นไง

   "ไม่มีอะไรหรอก ถ่ายรูปรายงานความประพฤติประจำวัน"

   "สัตว์ คราวที่แล้วก็อย่างนี้ สุดท้ายเป็นไงห้องกูเกือบพัง"

   สองคนเถียงกันไปมาในเรื่องที่ผมไม่เข้าใจมากนัก แบล็คเองก็เอาแต่นั่งกดโทรศัพท์ไม่สนใจการโต้เถียงของทั้งคู่ ผมที่ไม่รู้จะอยู่ตรงนี้ต่อไปทำไมเลยตั้งใจจะกลับไปนอนพักผ่อนดีกว่า ถึงผมนอนช่วงบ่ายไปแล้วแต่เรื่องตอนดึกก็ดูดพลังงานผมไปไม่ใช่น้อยเลย

   "งั้นกูไปนอนแล้วนะ บายทุกคน" ลุกขึ้นยืดตัวพอให้หายล้า หันไปหาคนที่กดปุ่มดับหน้าจอเตรียมที่จะทำหน้าที่เป็นวิญญาณตามติด

   "ใครให้มึงไป" เน็ทรีบท้วงขึ้นมาก่อนที่ผมจะจับลูกบิดประตู

   ท่าทีของคนเอาแต่ใจเรียกให้ผมกวนตีนกลับ "กู"

   "กูไม่ให้ไป" เขาเด้งตัวจากตักของหนุ่มแว่น ทำเสียงจิ๊จ๊ะพอให้รู้ว่าการตอบของผมไม่เป็นที่พอใจของเขา "เชี่ยแบล็คอุตส่าห์ไปซื้อเหล้ามาแล้ว อยู่แดกด้วยกันก่อนดิ"

   "กูเด็กอนามัย ถือศีลห้า"

   "มึงโกหกอยู่ ศีลขาดแล้ว โอเคแดกได้"

   "เน็ท กูจะกลับไปนอน"

   "น้องโรม กูจะให้มึงอยู่"

   หน้าผมบอกบุญไม่รับชัดเจน ผมก็เป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่เคยกินเหล้าเข้าผับตามเพื่อน และนั่นไม่ได้หมายความว่าผมต้องเอนจอยกับมันขนาดนั้น อีกอย่างวันนี้เจอเรื่องเยอะชนิดที่ว่าอารมณ์สนุกสนานหายเกลี้ยง

   "เอ้า! ลุกครับทุกคน หมดเวลาของสังคมก้มหน้าแล้ว" เน็ทปรบมือให้สัญญาณกับทุกคน เขาทิ้งโทรศัพท์ของตัวเองไว้บนเตียงแล้วเอื้อมไปคว้าเครื่องมือสื่อสารออกจากมือของแบล็ค ส่วนนิชเมื่อเห็นอย่างนั้นก็หยิบของตัวเองวางลงไปด้วย

   ผมทำหน้าเอือมระอาให้กับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย มันเป็นข้อตกลงเล็กๆ น้อยๆ ของกลุ่มผมที่จะไม่ให้ช่วงเวลาการพูดคุยของเรามีอะไรอย่างอื่นมาดึงดูดความสนใจ จุดเริ่มต้นของกฎนี้มาจากการที่เราเคยนัดเจอกันแล้วพูดคุยเพียงไม่กี่นาที เวลาที่เหลือต่างคนต่างใช้ไปกับสมาร์ทโฟน

   ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมวางลงไป ที่หนึ่งคงเข้าใจกติกาจึงปฏิบัติตามได้อย่างดี

   แล้วผู้ชายทั้งห้าชีวิตก็ย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ตรงม้านั่งใหญ่หน้าห้อง ผมได้นั่งข้างที่หนึ่งที่ดูกลมกลืมไปกับพวกผมได้อย่างกับเป็นสมาชิกรุ่นบุกเบิก ฝั่งตรงข้ามเป็นนิชที่เริ่มแกะของกินแกล้มและเน็ทที่เตรียมตัวเปิดขวดแรก ขาดไม่ได้คือฝ่ายสวัสดิการที่กำลังจุดยากันยุงด้วยไลท์เตอร์อันสวย

   อาจเป็นเพราะคนรอบข้างเป็นคนที่ผมคุ้นเคยทั้งนั้น มันเลยดูผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งโตขึ้นทุกคนก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้มาเจอกันเกือบครบอย่างนี้

   "จะเล่นเกมส์ป่ะ หรือแดกไปเรื่อย" คนเปิดประเด็นคือเน็ท เขาจัดการวางแก้วน้ำพลาสติกไว้ตรงหน้าทุกคน โต๊ะนั่งได้แค่สี่ที่เท่านั้น แบล็คเลยพาตัวเองและกีตาร์ที่ไม่รู้เสกมาจากไหนไปนั่งบนระเบียงแทน

   "ผลัดกันเล่าเรื่องไปเลย หมดมู้ดเล่นเกมส์แล้ว" เอ่ยพลางดันแว่นขึ้นไปไว้บนสันจมูกแบบเดิม นิชสายตาสั้นอย่างที่ถ้าถอดแว่นแล้วก็กลายเป็นคนตาบอดกลายๆ เขาเลยสวมแว่นตาอันใหญ่ด้วยเหตุผลว่าทำให้เห็นโลกทัศน์ได้กว้างไกลดี

   "เก็บน้องโรมไว้คนสุดท้าย กูจะรอให้แม่งเมาก่อน"

   "ไอ้เหี้ย" ผมด่ากลับไปสั้นๆ

   "แบล็ค มึงเปิดประเด็น" วิญญาณจอมเอาแต่ใจกลับเข้าสิงอย่างสมบูรณ์ ไม่รู้ว่าตายอดตายอยากมาจากไหนถึงกระดกรวดเดียวหมดแก้วอย่างนั้น

   "กู?"

   "เออ มึงอะ"

   "ไม่มีอะไรอัพเดต ชีวิตกูก็เป็นเหมือนเดิม"

   เขาเกลาคอร์ดตามไปเรื่อย ไม่ค่อยเห็นมุมสุนทรีย์ของราชาเท่าไหร่ เห็นความสุขเดียวคือการได้รับสารเสพติดจากแท่งนิโคตินแล้วพ่นควันออกมา

   "พ่อง อย่าเปิดวงแบบโง่ๆ อย่างนี้ดิวะ"

   "แล้วจะให้กูเล่าอะไร ชีวิตกูพวกมึงก็รู้ๆ อยู่" เขาหยุดดีดสายเหล็ก ยื่นมือออกไปหยิบแก้วบรรจุน้ำสีอำพันไว้ในมือแทน "แต่งงานกับประมวล เฝ้าน้อง เฝ้าคนป๊อด ชีวิตกูก็หมดล่ะ"

   น้องที่ว่าไม่ได้หมายความถึงไวท์คนเดียวอย่างแน่นอน ดูจากหางตาที่แลมาทางผมแล้ว

   "จ้ะ พี่ชายแสนดี เชี่ยโรมมึงไหว้พ่อมึงเร็ว"

   "พี่ก็พอ สัตว์!"

   "พี่เหรอ โทษทีกูลืมไป"

   ทำหน้างอใส่คนที่แก้วตรงหน้าไม่พร่องเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่กินหรอกนะ แต่เติมให้เต็มตลอดเวลาต่างหาก ขอล่ะ ชีวิตนี้ผมมีพ่อมามากพอแล้ว อย่ามาเพิ่มพ่อให้ผมอีกคนเลย

   "แล้วไวท์เป็นไงบ้าง กูไม่เจอเลย ไลน์ไปก็ไม่ตอบ" เน็ทถามถึงฝาแฝดที่เป็นฝั่งตรงข้ามของสีดำ

   "มึงคิดผิดแล้วที่ทักไลน์มันไป ขนาดกูเป็นแฝดมันยังตอบหลังจากกูถามไปสามสัปดาห์แล้วเลย" เสียงกีตาร์เริ่มกลับมาคลออีกครั้ง ผมชอบเวลาที่แบล็คพูดถึงไวท์ มันเต็มไปด้วยความผูกพันอย่างที่ไม่มีสายสัมพันธ์ไหนแกร่งได้เทียบเท่า "อย่างอื่นก็ปกติไม่มีอาการอะไรน่าห่วง คุณพินิจไม่ได้โทรมารายงานว่าทำตัวแปลกๆ จบเรื่องของกูและแฝด ตามึงเล่าครับนิช"

   "กูต่อเหรอ?"

   ผมไม่เคยเห็นผู้ชายแสนดีคนนี้แตะเครื่องดื่มมึนเมา ถ้าจะให้เทียบก็เป็นเด็กแว่นดูคงแก่เรียนที่วันๆ เอาแต่นั่งหน้าห้องแล้วเข้าห้องสมุดต่อเพื่อทบทวนบทเรียน เขาเงียบไปครู่ใหญ่เหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะเริ่มเล่าที่ตรงไหน

   "อืม...ถ้าเรื่องงานก็เหมือนเดิม"

   "เหมือนเดิมเหี้ยไร งานใหม่มึงอย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ" คนที่นั่งอยู่ด้านข้างผลักไหล่จนเจ้าของเรื่องตัวเอน นิชหันไปทำหน้าเบื่อใส่เพื่อนที่เริ่มเข้าสู่โหมดไม่มีสติ

   "ทำแป๊บเดียว แค่สองสามเดือนก็คงเลิก"

   "ใช่คนเดียวกับที่มึงเคยให้กูดูป่ะ?"

   ผู้ชายที่ทำตัวเป็นเด็กศิลปกรรมไปแล้วอย่างแบล็คถามขึ้น ผมมองหน้าเพื่อนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสลับกันไปมาด้วยความงุดงง ยังจับประเด็นของเรื่องไม่ได้เลยอะ

   "โรมครับ อย่ากินเยอะสิ"

   หันมาหาผู้ชายที่นั่งฟังเรื่องเล่าของคนอื่นเงียบๆ แก้วของเขามีน้ำเพียงครึ่งเดียว ที่หนึ่งขมวดคิ้วยามที่เห็นผมยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มทันทีหลังจากที่โดนทัก ไม่รู้ทำไมพอเป็นเขาผมถึงอยากดื้อด้านใส่ ไม่อยากเห็นเขายิ้มอบอุ่นแบบนั้นให้ผม

   ยิ้มที่เขาก็ให้คนอื่นเช่นกัน

   "กินปกติ"

   "ปกติไม่ได้กินอย่างนี้"

   "รู้?" คิดว่าตัวเองยังมีสติสมบูรณ์ตอนที่ถาม ผมไม่เคยนั่งล้อมวงดื่มเหล้ากับเขาอย่างแน่นอน ข้อนี้มั่นใจเกินร้อย

   ที่หนึ่งฉวยแก้วของผมไปไว้กับตัวเอง จัดการเทน้ำจนแก้วของผมเหลือเพียงอากาศ "เรื่องของโรมหนึ่งรู้หมดนั่นแหละ"

   คิดถึงเรื่องทอดมันปลาขึ้นมาโดยพลัน ตอนนั้นคงสนใจแต่กับเรื่องเฟรนด์จนไม่ได้สงสัยว่าเขารู้ได้ยังไง

   "เขาก็แค่คนขาด" เสียงเล่าเรียกให้ผมกลับมาอยู่ในวง น้ำเสียงแผ่วเบาดูล่องลอยไม่สมกับเป็นนิชที่ผมรู้จักสักนิด "เห็นบอกว่าประกาศรับสมัครใหม่แล้วด้วย"

   "มึงเชื่อ?"

   "แล้วทำไมกูต้องไม่เชื่อ?" คำถามถูกตอบด้วยอีกคำถาม นิ้วเรียวสวยที่ผมเห็นจับพู่กันจนชินตาไล้วนปากแก้วไปมา "กูไม่เข้าไปให้โง่หรอก"

   "คุยเรื่องอะไรกันอะ กูไม่เข้าใจ" ความสงสัยที่มีมากกว่ามารยาทในวงเหล้าทำให้ผมถามออกไป ถ้าเป็นคนอื่นอาจโดนสวดเจริญพรจนยับไปแล้ว พอดีว่าคนถามเป็นผมเลยแค่โดนมองด้วยสายตาหลากหลายแบบ แบล็คมองมาเบื่อๆ นิชเพียงแค่ส่งยิ้มจาง ส่วนเน็ทแทบจะยิงเลเซอร์ออกจากตาได้อยู่แล้ว

   "ช่วงนี้กูกลับไปเล่นกลอง ไว้จะมาชวนไปฟังนะ"

   ตาผมลุกเป็นประกาย นิชเวลาเล่นดนตรีโคตรเท่ บอกแล้วว่าอิมเมจของนิชคือเด็กเนิร์ดใส่แว่นอันใหญ่ ผิวขาวจากการไม่ชอบออกแดด เป็นผู้ชายตัวผอมบางที่ไม่น่าจะจับไม้กลองแล้วตีอย่างหนักหน่วงได้

   "เล่นกับใคร?" ที่หนึ่งถามขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขามีส่วนร่วมในวงสนทนาใหญ่ คงเป็นการสอบถามในฐานะคนเคยร่วมวงมาก่อน ถ้าจำไม่ผิดที่หนึ่งเล่นเบสล่ะมั้ง

   "วงใต้ดินน่ะ ไว้น้องโรมไปวันไหนจะบอกให้ชวนมึงไปด้วยนะ"

   "ถามกูยัง?"

   "น้องโรม พี่ไม่เคยสอนให้ทำตัวไม่น่ารักแบบนี้"

   "..."

   เงียบครับ เงียบกริบเลย ผมปิดปากทันทีที่ถูกปรามด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหลังเลนส์แว่น การเป็นน้องเล็กไม่ได้พ่วงแค่การถูกแกล้งหรือกดขี่ มันยังมีการสอนมารยาทตามมาด้วย น้องโรมอย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ เฮอะ

   "ขอโทษนะที่หนึ่ง ลากมาเหนื่อยแล้วน้องโรมยังทำนิสัยไม่ดีใส่อีก"

   "ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไร"

   "ตามใจมาตลอดเลยเป็นอย่างนี้ กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ" ผมเบ้ปากใส่ ประชดด้วยการหยิบแก้วเหล้าของที่หนึ่ง (ที่เป็นของผมครึ่งหนึ่ง) มาซัดแบบไม่กลัวสำลัก

   "หมดเรื่องกูแล้ว มึงต่อเลยเน็ท"

   "เข้าแลป เข้าชอป หัวจะพัง ชีวิตกูก็วนแค่นี้"

   "วนแค่นี้รวมถึงคนเดิม?"

   นิชกระทุ้งคนที่ดื่มหนักที่สุดในวง เน็ทดื่มแบบเข้มโซดาน้อยซึ่งวันนี้ผมว่าน้อยกว่าปกติ

   "คนเดิม?" วันนี้ทุกคนเอาแต่คุยกันในเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ นั่งฟังไปเพลินๆ พร้อมกับยกแก้วเดิมขึ้นดื่มจนหมด จัดการเติมเองโดยไม่รีรอ "กูไม่มีคนเดิมนะ กูมีคนเดียว"

   เลิกคิ้วยามได้ยิน พาลคิดไปถึงรูปนิ้วก้อยที่มีด้ายสีแดงผูกไว้วันนั้น คนที่ชื่อว่า 'อนาคต'

   "พี่แม่งโคตรเก่งที่ทนมึงได้นานขนาดนี้" แบล็คพูดขึ้นมาลอยๆ มากกว่าจะจริงจัง เขาส่งแก้วเหล้าว่างเปล่ากลับมาให้คนบนโต๊ะเติม "นอกจากพวกกูไม่คิดว่าโลกนี้จะมีคนทนเจ้าชายแบบมึงได้อีก"

   "กูก็คิดอย่างนั้น" นิชเสริมขึ้น รูปประโยคทั้งหมดเมื่อลองจับมาวิเคราะห์ดูแล้วมีข้อสรุปเดียวที่ผุดขึ้นมา

   "มึงมีแฟนแล้วเหรอ?"

   "เปล่า"

   "อ้าว?"

   "ตามึงล่ะที่หนึ่ง อยู่ในวงนี้จะไม่เล่นไม่ได้นะ"

   ตัดบทเสียอย่างนั้น ผมประท้วงด้วยการดึงแขนเสื้อของที่หนึ่งลงมา เขาโน้มตัวลงมาหาผมตามแรงดึง ความสงสัยผ่านมาทางสายตาอย่างปิดไม่มิด ผมจัดการยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้เขาพูด

   "กูไม่ให้หนึ่งเล่า จนกว่ามึงจะตอบคำถามกู"

   "ตอบไปแล้ว ที่หนึ่งเล่าได้"

   "กูไม่ให้เล่า"

   "เป็นเจ้าของชีวิตมันเหรอ เฮ้ยมึงไม่ต้องไปสนใจเด็กน้อย เล่ามาเลย"

   สะดุดตรงคำว่าเจ้าของชีวิต ผมหันไปมองหน้าคนที่โดนปิดปากอยู่แล้วก็รีบเอามือตัวเองออก ทำอะไรลงไปวะ!

   "พวกมึงอยากรู้อะไรล่ะ กูจะได้เล่าถูก" เอ่ยสบายๆ แต่ผมกลับเสียวสันหลังวาบ ที่หนึ่งหลังพิงกับกำแพงห้องมือสองประสานกันที่ท้ายทอย เขาดูไม่ยี่หระกับการที่ต้องมาเล่าเรื่องราวของตัวเองให้คนแปลกหน้าฟังเลย

   นัยน์ตาเยิ้มที่ยังคงประกายแวววับของเน็ทยามมองกลับมาช่างน่าสะพรึงกลัว

   "เอาเรื่องเมื่อเช้าเลย มึงไปประกาศอะไรมา"

   นั่นไง ว่าแล้วเชียว

   "ประกาศ?"

   "อย่ามาแบ๊ว ไปบอกชอบใครมา"

   "อ้อ..." เขาไม่ประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากนัก ผมหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มแบบไม่หยุดพัก ใจเต็มไปด้วยความกลัวเต็มไปหมด ที่หนึ่งแม่งบ้า และผมกลัวว่าเขากำลังบ้าผิดเวลา

   การที่เขาเห็นอิทธิฤทธิ์จอมหวงเพื่อนไปขนาดนั้นแล้วเขายังกล้าที่จะบอกไปรึเปล่าใครคนนั้นคือผมเอง

   "บอกกับเจ้าตัวไปนานแล้ว นี่แค่บอกเป็นทางการ"

   เพื่อนสนิทผมทั้งสามคนมีปฏิกิริยาตอบกลับที่แตกต่างกันออกไป เริ่มจากแบล็คที่นั่งสูบบุหรี่เงียบๆ อยู่คนเดียว ใบหน้าที่เห็นครึ่งเดียวมองตรงไปยังความมืดมิดข้างหน้าไม่ใช่คนในวง นิชตาโตขึ้นมาหน่อยแล้วกลับไปยิ้ม ที่ตื่นเต้นมากที่สุดคือเน็ทที่อุทานออกมาเสียงดัง

   "เหยดแม่ จริงจัง?"

   เน็ทเคยบอกผมไว้ว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกันในวงเหล้าเสมอ และเขากำลังทำมันอยู่ตอนนี้ อย่างแบล็คหรือนิชเคยทำงานร่วมกับที่หนึ่งมาก่อนผมจะไม่แปลกใจถ้าเขาเป็นคนล้วงลึกคำถาม เน็ทนี่ผมไม่เคยเห็นเข้าไปคุยเลยด้วยซ้ำกลับทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ในห้องอบหลังคลอด

   "อ่าฮะ"

   "ใคร?"

   ไม่กล้าหันไปมองหน้าคนที่โดนซักข้อมูลอยู่ ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ตอนนี้ แต่อีกใจก็กลัวว่าถ้าหันไปแล้วผมต้องทำหน้าไม่ถูกแหงๆ

   ก็ยอมรับว่าตัวเองกำลังคาดหวังคำตอบอยู่

   มีเพียงเสียงเกลากีตาร์บรรเลงระหว่างรอคำตอบ ที่หนึ่งขยับตัวขึ้นมานั่งหลังตรง เท้าแขนทั้งสองข้างลงบนเก้าอี้ การดื่มแบบไม่มีหยุดทำให้ระบบการประมวลผลของผมช้ากว่าปกติ

   "ขอข้ามคำถามแล้วกันนะ ทำได้ใช่ไหม"

   "เฮอะ..." ได้ยินเสียงหยันตามมาทันทีที่ได้รับคำตอบ คนที่นั่งตรงระเบียงยังคงสีหน้าเรียบเฉยยามที่เราทุกคนมุ่งความสนใจไปที่เขา "กูสำลักควัน"

   มันคำตอบงี่เง่าที่สุดที่ผมเคยได้ยิน

   "ไหนบอกเป็นทางการวะ" เน็ทยังไม่ลดความพยายามที่จะตื้อเอาคำตอบ อยากรู้อะไรเน็ทต้องรู้ ยิ่งหน้าแดงด้วยของมึนเมายิ่งแล้วใหญ่ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น

   "ทางการว่าไม่ว่างแล้วแค่นั้น จะได้ไม่กลายเป็นให้ความหวังใครอีก"

   "คนดีที่หนึ่งเลยมึง"

   "หนึ่ง"

   "ว่าไง" ตอบรับคำของผมพลางคว้าแก้วในมือไปไว้กับตัว จากที่คิดว่ามีสติเหลือพอถึงตอนที่ต้องเล่าเรื่องของตัวเองชักจะไม่มั่นใจเสียแล้ว "โรมครับ หยุดกินได้แล้ว"

   "กลับห้องกัน"

   "อย่าคิดชิ่ง นี่กูผสมจางเพื่อรอฟังเรื่องของมึงเลยนะน้องโรม"

   "จะกลับ หนึ่งไม่ให้กินแล้ว"

   "อะไรวะ เดี๋ยวนี้แม่งฟังคนอื่นมากกว่าพี่"

   "ก็พี่มันชอบยุ่ง" ผมแลบลิ้นใส่พี่ชายทั้งหลาย ฤทธิ์ของมึนเมาเริ่มทำให้ตัวผมโอนเอนไปมาจนต้องซบไหล่ที่หนึ่งไว้ "ไม่เหมือนหนึ่ง หนึ่งใจดี ไม่เคยขัดใจน้อง"

   "น้องกูแม่งเมาแล้วเลี้อยว่ะ"

   "ถึงเมื่อกี้จะไม่ค่อยชอบคำตอบก็เหอะ"

   พูดอะไรออกไปตามที่คิด ยิ่งได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายจางๆ จากเสื้อของที่หนึ่งแล้วยิ่งเคลิ้มเข้าไปใหญ่ ผมชอบกลิ่นนี้จัง กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่กล่อมให้รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก

   หลังจากนั้นเหมือนจะเถียงอะไรกับเน็ทอีกสองสามประโยค ถ้าไม่ให้ผมกลับไปนอนงั้นขอหลับตรงนี้เลยแล้วกัน


***
   ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [23.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-10-2015 23:04:25
 :mew1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [23.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 30-10-2015 23:19:48
[Side : ที่หนึ่ง]

   พวกหวงเพื่อนน่ากลัวอย่างที่แบล็คเคยบอก

   ยามที่ทั้งสองคนมองมาที่ผม มันคือสายตาของคนที่อ่านออกหมดทุกอย่าง

   เน็ทไม่เท่าไหร่ อาจเพราะเขาตกอยู่ใต้อำนาจของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผมเลยยังปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้

   แต่นิชนี่สิ

   ใต้ยิ้มสดใสผมเห็นรอยร้ายที่เล่นเอาขนลุกซู่ ผมเคยเจอเขาในโหมดของนักดนตรีมีพรสวรรค์เท่านั้น ยังไม่เคยเจอในโหมดที่แบล็คเคยพูดไว้

   'อย่าไว้ใจปีศาจ'

   ยังเคยโต้กลับไปว่าไม่มีนักบวชคนไหนกลายเป็นปีศาจได้หรอก คราวนี้แหละได้เห็นกับตาเลยล่ะ

   "ที่หนึ่ง"

   "?"

   "ผิดหวังในคำตอบนะ"

   "..."

   "หวังว่าถ้ามีรอบแก้ตัวคงได้ยินคำตอบที่ดีกว่านี้"

   ไม่ว่าเขาจะพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มขนาดไหนผมก็ทำให้เพียงส่งหน้าตึงไปให้เท่านั้น มันต่างกับครั้งก่อนที่แบล็คเคยเล่นสงครามประสาทกับผม คราวนั้นผมมั่นใจว่าสามารถสู้รบปรบมือได้

   ไม่เหมือนคราวนี้ที่แค่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็พร้อมยกธงขาว

   สัญชาตญาณบางอย่างบอกผมว่าอย่าพาตัวเองเข้าไปอยู่ในอันตราย

   "คงไม่มีรอบหน้า"

   ทำได้แค่เพียงยิ้มสู้กับชายร่างผอมที่เคยพิสูจน์กับตัวมาแล้วว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่สามารถบ่งบอกถึงเนื้อแท้ ถ้ายังรักชีวิตอย่าคิดเป็นศัตรูกับนิช ใครที่ลองดีไม่เคยจบสวยสักราย

   "เพราะการแนะนำตัวครั้งต่อไปกูจะมาในฐานะที่หนึ่งของโรม"

   คำลาสุดท้ายก่อนที่ผมจะพาตัวเองและร่างไร้สติของน้องเล็กกลับห้อง พอเคลียร์กับเฟรนด์จบผมกับแบล็คก็แยกออกมาจัดการเรื่องกระเป๋าเสื้อผ้าที่ยังอยู่ในค่าย เราเห็นตรงกันว่าคืนนี้คงต้องให้โรมนอนที่อื่นที่ไม่ใช่การนอนรวม

   นี่ก็อีกเรื่อง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนที่ผมชอบจะเลือดเย็นได้ขนาดนี้ แค่ตอนกลางวันผมก็ใจไม่ดีแล้วไม่ต้องพูดถึงเมื่อกี้ เขาพร้อมที่จะตัดคนที่ไม่จำเป็นในชีวิตออกไปได้อย่างง่ายดาย

   "ซวยล่ะ"

   บ่นกับตัวเองยามที่เปิดไฟห้อง ห้องนี้ไม่เหมือนห้องของแบล็คที่เป็นเตียงเดี่ยวสองเตียงแยกออกจากกัน มันมีเพียงเตียงคู่ขนาดใหญ่ตรงกลางเพียงตัวเดียว นั่นหมายความว่าผมต้องนอนใกล้กับเขาพอควรเลย

   ปุเลงคนตัวเล็กกว่าขึ้นไปไว้บนเตียง คิดไม่ตกว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี ปลุกโรมขึ้นมาอาบน้ำตอนนี้จะยอมตื่นรึเปล่า ถึงยังไงผมก็ต้องให้เขาตื่นมาจัดการทำความสะอาดตัวเองให้ได้ ทั้งเหงื่อจากการเผชิญแดดมาทั้งวัน กลิ่นเหล้าที่ติดตัวนี่อีก

   ไม่รู้ว่าวันนี้โรมอินดี้อะไรถึงดื่มหนักไม่ยอมหยุดเสียขนาดนั้น นึกว่าพอโมเมรวมแก้วแล้วเขาจะไม่ยอมแตะเสียอีก ที่ไหนได้ยิ่งชงใหญ่ นี่ขนาดผมแอบคว้ามาดื่มแทนตั้งหลายแก้วโรมยังเมาไม่รู้เรื่องขนาดนี้เลย

   "โรมครับ" เขย่าตัวคนที่ยังคงหลับตาสนิท "น้องโรมครับ ตื่นมาอาบน้ำก่อนนะ"

   ไม่มีการตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ผมพยายามปลุกเขาอยู่อีกพักใหญ่ถึงมีเสียงเคาะประตูมาคั่น

   "พวกมึงลืมมือถือ" แบล็คยื่นโทรศัพท์สองเครื่องมาให้ผม ผมชอบกติกาการกินเหล้าของกลุ่มนี้ คุยคือคุยจริงๆ ไม่มีการสนใจสิ่งอื่นที่อยู่ในจอ "ดีที่กูเห็นก่อน ลองให้เน็ทเห็นหน้าจอโฮมมึงสิ"

   "เห็นแล้วไงล่ะ"

   "ปากดีนะมึง" เขาแสดงสีหน้าเบื่อหน่าย "ล่ะน้องกูอะ"

   "นอนอยู่ ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น"

   "น้องโรมแม่งขี้เซา กูทำได้แค่เอาใจช่วยว่ะ"

   "ซึ้งใจมากเลยทิวา"

   "ล่ะเป็นไงพวกหวงเพื่อน?"

   ในความคิดของผมนี่แหละคือเมนไอเดียที่เขามาหา เรื่องโทรศัพท์อะไรนั่นก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น ความจริงแล้วค่อยเอาคืนตอนเช้าก็ยังได้

   "อย่างที่คิด" ผมตอบกลับสั้นๆ มองไปรอบตัวว่ามีใครตามมาด้วยรึเปล่า เมื่อมั่นใจได้ว่าไม่มีใครอีกถึงบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไป "...แต่อีกคนเกินกว่าที่คิด"

   "แสดงว่ามึงยังไม่รู้จักน้องกูดีพอ"

   "ทิวา" ผมเว้นช่วงให้รู้ว่าตอนนี้ต้องการความช่วยเหลือ "ที่โรมพูดเมื่อกี้แสดงว่ากูมีหวังใช่ไหม"

   คำที่บอกว่าผิดหวังในคำตอบ ผมไม่ได้ตั้งใจกั๊กอะไรแค่กลัวว่าถ้าบอกไปแล้วโรมจะไม่พอใจรึเปล่าที่มาประกาศต่อหน้าเพื่อนสนิทตัวเองอย่างนั้น ยิ่งก้มหน้าก้มตากินเหล้าอย่างเดียวยิ่งเดาอะไรไม่ได้

   "อยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ?"

   "แล้วมึงตั้งใจจะตอบแบบไหน"

   "จะยอมแพ้ก็บอกมาตรงๆ กูจะได้กลับไปดูแลโรมเอง"

   "ไม่"

   เขายกซองบุหรี่ในมือขึ้นแล้วเคาะลงบนหัวของผม "ถ้ามึงมีคำตอบในใจแล้วก็ไม่ต้องถามกู"

   "กูกลัวว่ากูกำลังหลอกตัวเองทิวา"

   "มึงฉลาดพอที่จะรู้ว่ากำลังหลอกตัวเองอยู่รึเปล่า"

   "พี่กับน้องคล้ายกัน..." ทั้งนิสัยเด็ดขาดของนิชแล้วก็เอาแต่ใจอย่างเน็ท

   "น้องมันได้พี่มาคนละอย่างสองอย่าง" พี่ชายชะโงกหน้าเข้าไปในห้อง ใบหน้าเรียบฉายแววห่วงใยไม่มิด "มึงเคยตอบอะไรกูไว้ก็รักษาคำพูดด้วยแล้วกัน เออ กูกลับไปจะนอนเลย อย่าเสือกงอแงโทรมาหานะมึง"

   ผมพยักหน้าให้เขา ไม่ใช่การยอมรับสภาพแต่เป็นการยืนยันว่าผมยังคงยืนยันในความรู้สึกของตัวเอง แบล็คเพียงแค่ยกมือขึ้นตบบ่าผมสองสามครั้งแล้วโบกมือลา เขาก็อย่างนี้เหมือนเดิม รับฟังแต่ไม่ค่อยให้คำแนะนำ เป็นผู้ชมอย่างที่บอกเสมอ

   จัดการอาบน้ำล้างสิ่งสกปรกที่เผชิญมาทั้งวัน ตั้งใจว่าค่อยออกไปปลุกคนที่หลับไม่รู้เรื่องให้ขึ้นมาอาบน้ำบ้าง

   "พี่หนึ่ง..."

   "ครับผม"

   รีบเดินกลับไปหาคนเรียกที่นอนตาปรืออยู่บนเตียง โรมคงตื่นเพราะผมใช้เสียงดังระหว่างจัดของ ใบหน้าสีเรื่อบอกว่าระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายเขามีมากเพียงไหน

   "พี่หนึ่งง่า..."

   "อะไรครับ" ผมต้องใช้ความสามารถส่วนบุคคลอย่างมากในการคุยกับคนเมาไร้สติให้รู้เรื่อง โรมเรียกชื่อผมซ้ำไปมาโดยเติมคำว่าพี่ลงไปข้างหน้าด้วย อยากให้โรมเรียกผมอย่างนี้บ่อยๆ น่ารักจนบอกไม่ถูก

   "น้องอยากนอน แต่พี่นิชบอกต้องแปรงฟันก่อนนอนทุกคืน"

   "แล้ว?"

   "พี่หนึ่งห้ามไปฟ้องพี่นิชว่าโรมแอบนอนเลยนะ"

   ขนาดสติไม่ค่อยมียังซ่าอีก น่ากลัวมากเลย!

   "ไม่เอาครับ น้องโรมเป็นเด็กดีสิ" หัวเราะให้อาการเมาของอีกฝ่าย ผมจับมือทั้งสองข้างของเขาไว้แล้วดึงให้ลุกขึ้น "ป่ะ พี่หนึ่งพาไปแปรงฟันเนอะ"

   พวกนั้นเลี้ยงมายังไงให้เป็นเด็กน้อยได้ขนาดนี้นะ ยิ่งเวลาที่เห็นอยู่กับเหล่าพี่ชายยิ่งเห็นชัดใหญ่ว่าคำว่าน้องเล็กนี่ไม่ใช่พูดกันเล่นๆ โรมทำหน้ามุ่ยยามที่โดนผมรบกวนการนอน ผมสีน้ำตาลที่คล้ายกับของผมยุ่งเหยิงไม่เหลือทรง

   "พี่หนึ่งใจร้าย"

   "ใครกันแน่ที่ใจร้ายหืม?"

   ถึงผมจะไม่เคยจีบใครอย่างจริงจังมาก่อนก็ตาม แต่ที่ผมรุกอย่างนี้ไม่มีหวั่นไหวบ้างเลยเหรอไง น้อยใจนะเนี่ย

   "พี่หนึ่งไง ไม่ให้น้องนอน"

   "ครับๆ พี่ใจร้ายเองเนอะ ไปแปรงฟันครับ ไม่งั้นฟ้องพี่นิชนะ"

   ยอมเป็นคนใจร้ายจะได้ไม่ต้องเถียงต่อ ไม่อย่างนั้นคืนนี้ไม่ได้นอนอย่างแน่นอน ผมเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางของโรมมาให้เจ้าตัว ถ้าคุยได้เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ผมคงไม่ต้องจัดการอะไรให้หรอกมั้ง

   จากปกติที่ดูความรู้สึกช้าอยู่แล้วพอเจอของมึนเมาเข้าไปโรมยิ่งดูมึนมากกว่าเดิมหลายเท่า เขารื้อหาของที่ต้องการในกระเป๋าอยู่นาน พอหาไม่เจอก็เทออกมาหมดเสียอย่างนั้น เฮ้อ เด็กน้อยจริง

   นั่งเลื่อนดูความเคลื่อนไหวบนเฟสบุ๊คในระหว่างที่ปล่อยให้อีกคนชำระร่างกาย ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากหรอกแค่เข้าไปเช็คดูว่าเฟรนด์อัพเดตอะไรลงในไทม์ไลน์ส่วนตัวบ้าง เธอลบรูปทั้งหมดที่เคยแท็กโรมทิ้ง สเตตัสล่าสุดขึ้นเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วว่า 'เทียบไม่ได้คืออะไร'

   ไหนแบล็คบอกว่าจบลงอย่างสวยงาม ผมว่าเรื่องนี้มีภาคต่อชัวร์

   ไม่เข้าใจว่าหวงน้องอะไรขนาดนั้น โรมก็ยี่สิบกว่าแล้วนะ

   ส่วนหน้าวอลล์ตัวเองก็มีเพื่อนที่คุยกันบ่อยสองสามคนมาแซวเรื่องที่ผมประกาศบนรถ ไม่ได้ต้องการเด่น ก็แค่อยากให้โรมมั่นใจว่าผมจริงจังก็แค่นั้นเอง ไม่รู้ว่ากลายเป็นทำให้โรมลำบากใจรึเปล่า

   รู้สึกไม่มั่นใจเอาซะเลย

   "น้องเสร็จแล้ว นอนแล้วนะ"

   มาพร้อมกลิ่นหอมของครีมอาบน้ำยี่ห้อดัง โรมในชุดนอนลายสก็อตสีเลือดหมูพุ่งตัวเข้าหาเตียงทันที ดูจากผมที่ยังแห้งแล้วคงไม่ได้สระ ก็ดีไม่ต้องลากขึ้นมาเช็ดผมให้แห้งอีกรอบ

   "ครับ เด็กดีนอนตามสบายเลย"

   เด็กน้อยไม่ปิดไฟห้องน้ำ สนใจแต่จะนอนอย่างเดียวจริงด้วยแฮะ ผมเดินไปตรวจสอบความเรียบร้อยภายใน ไม่ได้เปิดน้ำหรือทิ้งเสื้อผ้าไว้ จับลูกบิดเตรียมปิดประตูสายตาเหลือบไปเห็นความผิดปกติบริเวณอ่างล้างหน้าที่มีแปรงสีฟันของผมเพียงคนเดียววางอยู่

   ...ไม่หรอกมั้ง

   ปิดไฟจนทั้งห้องมืดสนิท ตั้งนาฬิกาปลุกในมือถือไว้ตอนเก้าโมง โยนไว้แถวๆ นั้นโดยไม่กลัวว่าคลื่นโทรศัพท์จะทำให้สมองแย่ลงอย่างที่เขาบอกกัน

   "น้องโรมครับ"

   "ฮืม?"

   คำตอบรับส่งๆ ปกติแล้วคนที่อาบน้ำแล้วต้องตื่นตัวไม่ใช่รึไง น้องน้อยนี่ยิ่งหลับลึกเข้าไปใหญ่

   "แปรงฟันรึยัง?"

   "แปรงแล้วนะพี่หนึ่ง น้องไม่ลืมหรอกน่า งืมๆ"

   "พี่ไม่เห็นแปรงของน้องเลยนะ"

   "ก็ที่หน้าอ่างไง"

   "..."

   คำตอบที่ทำผมแทบบ้า จากตั้งใจว่าข่มตาให้หลับๆ ไปจะได้ไม่นึกประหม่าที่คนที่แอบชอบมานอนบนเตียงเดียวกันตอนนี้คงไม่ต้องนอนกันแล้ว โอ๊ย น้องโรมครับ เข้าใจแล้วว่าทำไมแบล็คถึงบอกว่าเอ๋อน่ะ!

   ทำอะไรไม่ได้นอกจากโวยวายในความคิด ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกดเบอร์หาคุณพ่อตาเพื่อขอความช่วยเหลือ นอนไม่หลับแล้วก็หาเพื่อนคุยไปเรื่อยแล้วกัน

   แต่โดนสั่งไว้ว่าห้ามกวนนี่นา

   "จะหลับลงได้ยังไงวะ..."

   "พี่หนึ่งงง"

   "คะ...ครับๆ"

   "เจ็บมืออะ" ในความมืดผมไม่อาจเห็นสีหน้าของคนที่บอกว่ากำลังเจ็บมือได้ มีแต่มือเปะป่ายมาโดนตัวผมที่ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงเจ็บมือที่ถูกตะกร้าบาด

   "เดี๋ยวตื่นมาจะล้างแผลให้ใหม่นะ" ตอนนี้ไม่มีอุปกรณ์ล้างแผลอะไรสักอย่าง แล้วผมก็ไม่ได้ซื้อมาด้วย

   "โอมเพี้ยงให้หน่อย"

   "โอมเพี้ยง?"

   "เพี้ยงๆ แล้วจะได้ไม่เจ็บไง"

   ยันตัวเองขึ้นมาท้าวคางมองคนที่ยังพูดเสียงเจื้อยแจ้วได้ตลอด สายตาที่เริ่มปรับเข้ากับกลางคืนได้แล้วเห็นว่าเขายังคงยกมือขึ้นลงให้รู้ว่าผมต้องโอ๋เขาต่อ

   จับมือที่ถูกยื่นมาไว้ด้วยหัวใจที่เต้นรัว ผิวกร้านเล็กน้อยตามแบบของผู้ชายทั่วไป ไว้ซื้อโลชั่นมาให้ใช้ดีกว่า

   ผมประสานนิ้วทั้งห้าเข้ากับมือของอีกคนและเขาเองก็จับมือผมกลับเช่นกัน หัวใจเต้นแรงแต่ร่างกายผมกลับเย็นเฉียบ เกิดคำถามมากมายขึ้นในใจ ทำไมถึงทำอย่างนี้นะน้องโรม มาสร้างกำแพงเหล็กที่แหงนมองขึ้นไปแล้วไม่เห็นจุดสิ้นสุด พอเริ่มท้อก็มาให้ความหวัง เขาเหมือนระบบคอมพิวเตอร์ที่ลบความจำทั้งหมดยามเปิดเครื่องใหม่ มีเพียงแค่ผมเองที่จำได้ทุกอย่าง

   ไม่ใช่ผู้ชายเพลย์บอยเลยไม่รู้ว่าคนอื่นจะปฎิเสธอย่างชัดเจนขนาดนี้รึเปล่า รักใครทั้งทีดันมารักคนใจร้ายซะได้ ไม่รู้สิ เวลาที่มองโรมมันก็อดคิดไม่ได้ว่า 'ความรัก' ของเขามีนิยามว่ายังไง ต่างจากความรู้สึกที่ผมมีให้เขาขนาดไหนกัน เขาถึงทำเหมือนไม่เคยเห็นค่าอะไรในสิ่งที่ผมทำให้เลย

   "ทำไมถึงใจร้ายได้ขนาดนี้นะ..."

   พึมพำยามจรดปลายจมูกลงกับมือที่กอบกุมไว้ กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำไม่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นเลยสักนิด ผมยังคงค้างมือไว้อย่างนั้นนานพอควรจนอีกฝ่ายไม่งอแงอะไรออกมาอีกแล้ว

   เมฆคงบังพระจันทร์อยู่เลยไม่มีแสงสอดเข้ามาผ่านหน้าต่างบานใหญ่ เมื่อมั่นใจว่าน้องหลับสนิทไปแล้วจึงปล่อยมือที่เต็มไปด้วยพลาสเตอร์ลงข้างตัวตามเดิม ใจเต็มไปด้วยความสับสน

   ที่เคยบอกไว้ว่ามั่นใจ ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกนั้นเหลืออยู่เลย

[End : ที่หนึ่ง]


***
   สวัสดีวันก่อนวันฮาโลวีนค่ะ /โค้ง
   น้องเมาแล้วน่ารักกว่าตอนมีสติเยอะเลยเนอะ (ยิ้ม) ตอนนี้เอาพี่ชายทั้งหลายกลับมาทักทายค่ะ ไม่รักน้องจริงไม่ขับตามไปคุมหรอกนะ (หัวเราะ) เจ้าชอบเวลาที่เหล่าคนหวงน้องออกมาครบเป็นพิเศษค่ะ ชอบเวลาที่น้องโดนรุม ให้น้องไม่น่ารักใส่ที่หนึ่งมาหลายรอบแล้ว (ฮา) เป็นตอนที่แต่งได้ไวมากๆ เลย ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจให้จบดูดราม่านะ ไหงมันถึงออกมาในรูปแบบนี้ได้ล่ะ...
   ในส่วนของเวลเจ้าคงต้องเอามาแทรกไม่มากแต่คงต้องเจอบ้างค่ะ เพราะว่าเจ้าเรื่องนี้จะไปต่อไม่ได้เลยถ้าขาดเวลกับไวท์ น้อมรับทุกคำคอมเมนท์ในส่วนของเรื่องที่ชอบหรือไม่ชอบค่ะ
   ขอบคุณทุกคอมเมนท์ กดบวก รวมถึงถ้าเจอคำผิดทักได้เลยนะคะ
   แล้วเจอกันศุกร์หน้าเช่นเดิมค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: minminmin ที่ 30-10-2015 23:51:52
อยากอ่านต่อแล้วววววววววววววว  วันศุกร์หน้ามาถึงไวๆหน่อยเถอะ 55555
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 31-10-2015 01:41:10
 :o12:ปลื้มมากเมาแล้วน่ารัก แต่แอบสงสารหนึ่ง :hao4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 31-10-2015 03:38:14
อ้อนได้ชวนละลายมากค่ะ เลี้ยงกันมายังไงเนี่ยยย
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 31-10-2015 10:16:02
น้องโรมทำไมน่ารักอย่างนี้คะลูก :ling1:
ที่หนึ่งสู้ๆ นะ

เราอยากรู้ตอนที่พี่ๆทั้งหลายเคลียร์กับเฟรนด์อะ ทำไมข้ามไป
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 31-10-2015 12:58:50
เฟรนด์ จะยังไม่ยอมจบใช่ไหม อย่างนี้ต้องให้เจอพี่นิช ดูสิว่าจะเป็นยังไง
ตอนนี้ชอบมาก ๆ เลย พี่ชายทั้งสามมารวมตัวกันเพื่อปกป้องน้องโรม  :กอด1:
ตอนแรกคิดว่าคุณพ่อแบล็คมาคนเดียวซะอีกนะเนี่ย
ฉายาแต่ละคนนี่แบบ สุด ๆ อ่ะ แบล็ค คือ ราชา เน็ท คือ เจ้าชาย
นิช นี่คือ ปิศาจ ? (แอบน่ากลัว) ทั้งหมดนี้ นิช คือคนที่น่ากลัวที่สุดใช่ไหม
แต่ท่าทาง คนที่ทำให้ที่หนึ่งกลัวได้ คงมีเพียง น้องโรมสุดที่รักคนเดียวนี่แหละนะ
รักมาก ก็ กลัวมาก เป็นธรรมดา ที่จะเจ็บที่สุดเพราะคำพูดและการกระทำของคนที่รัก
ชอบการวางตัวของแบล็คนะ เป็นผู้ชมจริง ๆ ถึงจะแอบเอนเอียงช่วยที่หนึ่งบ้างก็เถอะ
เหมือนต้องดูแลทั้งน้องโรม แล้วก็ว่าที่ลูกเขยไปในคราวเดียวกันด้วย น่ารักดี
ตอนนี้ ชอบตอนที่เน็ท พูดถึง อนาคต จังเลย ไม่ใช่คนเดิม แต่มีคนเดียว โหย ๆ  :m3:
อยากรู้จัง ว่าคนแบบไหนที่ทำให้เน็ทผู้เอาแต่ใจ พูดออกมาได้แบบนี้
ส่วนนิช ก็ต้องมีอะไรในก่อไผ่ กับคนที่ชวนไปเล่นดนตรีใต้ดินแน่ ๆ อะไรยังไง
เหมือนทั้งสามคน จะรู้เรื่องของกันและกันหมด แต่ทำไมน้องโรม ไม่รู้อะไรกับเขาเลยนะ
พอมีคู่เวลกับไวท์ เลยทำให้คิดว่า คนที่ทำให้น้องโรมเดินหน้าต่อไปไม่ได้
จะเป็นอีกหนึ่งสาวของกลุ่ม ที่จู่ ๆ หายตัวไปคนนั้นหรือเปล่า แล้วถ้ากลับมาล่ะ
ยังไงก็เอาใจช่วยที่หนึ่ง จะรักคนแบบน้องโรม ก็ต้องรู้จักน้องโรมให้ดียิ่งกว่านี้อีกสินะ


หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: zleep ที่ 01-11-2015 02:25:36
ใครบ้างจะไม่พูดให้ตัวเองดูน่าสงสารเพื่อหาพวก เฮ้อ ต่อไปนี้โรมต้องระวังและคิดให้เยอะมากกว่านี้นะลูก
ถึงสิ่งที่เราทำไปเราจะไม่คิดอะไรก็จริง แต่อีกฝ่ายมันคิดไง คิดไปไกลเลยด้วย ชะนีขี้มโนเนี้ย
บางทีคนประเภทนี้มันก็น่ารำคาญจริงๆนะ คิดเองชงเองเจ็บเอง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 01-11-2015 08:48:36
ที่หนึ่งยังคงเพอร์เฟคแมนเสมอ แต่เจอนิชเข้าไปทีเกือบเป๋ (เอาใจช่วยนะที่หนึ่ง!)

แต่สามคนนี้เลี้ยงมายังไงเมาได้เด็กน้อยได้ขนาดนี้ 55 อยากรู้อดีตของน้องโรมจัง ว่าผ่านว่าเจออะไรมาบ้าง
ถึงได้กลายเป็นที่หวงแหนของพี่ๆขนาดนี้

ที่หนึ่งสู้ๆน้า
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 01-11-2015 09:03:24
จุดๆนี้ป้าบอกเลยว่าป้าอยากเผือกเรื่องแฟนของพี่ๆน้องโรมสุดๆ
(ที่หนึ่งกับน้องโรมกลายเป็นน้ำจิ้มไปเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

คือชอบความนิช ความเน็ท และความแบล็คมากๆ
เรียกว่าหลงใหลก็คงจะไม่ผิดนัก

รออ่านตอนต่อไปค่ะ ^^  :L2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: SiHong ที่ 01-11-2015 23:54:40
พี่ที่หนึ่งเป็นกำลังใจให้นะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: MOMAMi_96 ที่ 02-11-2015 10:14:49
ไวท์คือคนบาปหรอกรี๊ดดดด :katai4: เราอยากอ่านตอนของไวท์มากๆๆๆๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 02-11-2015 21:32:29
เริ่มเห็นความหวังของที่หนึ่งรำไร  :hao3:

คิดอยู่เหมือนกันว่าเรื่องของเวลต้องมีที่มาที่ไป ตอนนั้นก็นึกอยากให้คู่กับแบล็กนะ สรุปว่ากลายเป็นเวลกับไวท์ ซึ่งก็ดีเหมือนกันนะ เพราะที่ผ่านมาไวท์เป็นตัวละครที่ถูกกล่าวถึงให้ดูมีความลึกลับตลอด ดูดาร์กๆ ขัดกับชื่อตัว อย่างนี่คงมีเฉลยเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรกันมากขึ้นแน่ๆ รอติดตามต่อไปจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 06-11-2015 23:07:38
บทที่ 9

   [Beyours] Project day 1 : Let's ride

   ผมว่าตัวเองไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้ต้องมาชดใช้กรรมอย่างนี้สักหน่อย

   "ใส่หมวกไว้ด้วย วันนี้แดดร้อน"

   คนตัวสูงกว่ามาพร้อมกับหมวกปีกกว้างตามสมัยนิยม เขาจัดการสวมมันลงบนศีรษะของผมโดยไม่รอคำอนุญาต ดูจะพอใจกับผลงานของตัวเองไม่ใช่น้อย

   "แล้วทาครีมกันแดดมารึยัง เอาของหนึ่งไหม?"

   "ไม่ทา"

   "เดี๋ยวก็แพ้แดดอีกหรอก"

   เขาย้อนความไปถึงช่วงหลังคืนรับน้อง กว่าจะตื่นก็ปาไปสิบโมงกว่าแล้วเลยตัดสินใจไม่กลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนที่คณะ ผมกับที่หนึ่งต้องมาขอความเมตตาจากผู้ถือกุญแจรถอย่างแบล็คเพื่อติดรถกลับคอนโดด้วย คิดว่าเบียดกันกลับห้าคนคงไม่หนักหนาเท่าไหร่ ที่ผิดจากคาดคือเน็ทไม่อยู่แล้วตอนที่ผมไปหา คนที่เหลือบอกแค่ว่ามีคนมารับกลับไป อยากจะหาข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับพี่ที่ชื่อว่าอนาคตมากแค่ไหนทั้งคู่ก็ไม่เปิดช่องให้ผมถามเลยสักนิด อีกอย่างคือไม่รู้ว่าเพราะยังแฮงค์อยู่รึเปล่าผมเลยรู้สึกว่านิชมีท่าทีตึงๆ กับที่หนึ่งตลอดการเดินทางกลับ ต่างจากตอนที่คุยเฮฮาในวงเหล้าลิบลับ

   ส่วนเรื่องแพ้แดดมันเกิดจากการที่ผู้ชายช่างสังเกตพบว่าแขนของผมมีผื่นแดงปรากฎตอนอยู่บนรถ นิชกับแบล็ครู้อยู่แล้วว่าผมเป็นพวกแพ้แดดในบางที เหมือนร่างกายจะสุ่มว่าการออกแดดครั้งนี้จะให้อาการแพ้ขึ้นดีไหมน้า บางทีผมตากแดดจนผิวไหม้ก็ยังไม่เป็นไร แต่คราวไหนแจ็คพอตหน่อยแค่ออกจากคอนโดไปร้านอาหารหน้าซอยก็มีรอยแดงขึ้นแล้ว

   "วันนี้วันคู่ ไม่แพ้"

   บอกกลับแบบลอยหน้าลอยตา เขาส่งไลน์มาหาผมเมื่อคืนว่าวันนี้มาช่วยทำงานหน่อย อ้างเรื่องที่เขาช่วยผมไว้ตอนรับน้องมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน ผมจงใจรี้ดแล้วไม่ตอบเพื่อตัดปัญหา ลืมไปว่าอีกฝ่ายเขาเป็นพหูสูตที่มีข้อมูลเกี่ยวกับผมเกือบหมด เพราะงั้นเมื่อเช้าผมเลยเจอเขามาเคาะประตูห้องไง

   "เฮ้อ ยกแขนขึ้น" การที่หยิบครีมกันแดดแบบสเปรย์ออกจากกระเป๋าเป้บอกว่าเขาคงเตรียมมาเผื่อผมโดยเฉพาะ อะไรจะมองการณ์ไกลขนาดนั้น "น้องโรมครับ เดี๋ยวทาให้"

   "ใครให้เรียก?"

   "น้องโรมไง"

   ได้แต่ค้อนกลับไปวงใหญ่ เขาเอาแต่เรียกผมว่าน้องโรมอย่างเพื่อนในกลุ่ม ปั้นหน้าจริงจังมากว่าผมเองนี่แหละเป็นคนเรียกตัวเองว่าน้องโรมก่อน ยิ่งตอนที่เขาแทนตัวเองว่าพี่หนึ่งนะ ขนลุกไปหมด

   จะเถียงกลับก็ไม่ได้ ในความทรงจำที่เลือนรางผมรู้สึกว่าตัวเองเรียกเขาไปอย่างนั้นจริงๆ

   "ทาแป๊บเดี๋ยวก็เสร็จแล้วเห็นไหม" เขาเอ่ยหลังจากที่จัดการทาครีมกันแดดให้แขนทั้งสองข้างของผมเสร็จแล้ว "อะ หลับตาครับ"

   "จะทำอะไรกู" ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวให้รู้ว่าระแวงในคำสั่ง

   "ไม่พูดคำหยาบสิ จะทาหน้าให้"

   "มีหมวกแล้ว"

   "หลับตา"

   จะยุ่งอะไรกับผมนักหนาก็ไม่รู้ บ่นแต่ก็ปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลงตามคำบอก ถึงผมชอบทำเป็นดื้อด้านไม่ฟังคำสั่งของเขาในทุกครั้งสุดท้ายแล้วก็ต้องยอมรับโดยดีว่าผมสู้เขาไม่ได้หรอก เวลาที่หนึ่งมองมาไม่เหมือนกับเวลาที่นิชดุ อะไรบางอย่างในตัวเขาทำให้ผมยอมสยบ

   ก็บอกแล้วไงว่าผมมีอาการแพ้ผู้ชายที่ชื่อที่หนึ่ง

   "อะ เรียบร้อยแล้ว"

   "ขอบคุณ แต่คราวหลังไม่ต้อง"

   เสียงประกาศเรียกรวมพลดังออกลำโพง ผมกับเขาเลยเข้าไปรวมกับฝูงชนที่ยืนเบียดกันในเต็นท์ผ้าใบเพื่อรอรับคำสั่งจากพิธีกรบนแท่นเวที

   ผมโดนเขาลากมาทำอะไรงั้นเหรอครับ ถ้าทุกคนยังจำโปรเจค Beyours ได้นั่นแหละคือสิ่งที่ผมกำลังทำตอนนี้ ธีมของวันนี้คือปั่นจักรยานลดโลกร้อน โดยไม่ได้ให้ปั่นเฉยๆ หรอกนะ มันต้องมีการเข้าไปทำกิจกรรมในแต่ละฐานตามพื้นที่ที่จัดไว้แล้วของมหาวิทยาลัยอีกด้วย

   "งั้นเราจะเริ่มกันที่ไหนดี โรงอาหารกลางไหม?"

   กิจกรรมที่เป็นกึ่งฐานวอล์คแรลลี่ให้เลือกการเดินทางได้ตามใจ ที่หนึ่งกับลูกทีมอีกเจ็ดชีวิตกำลังวางแผนเส้นทางการปั่นอย่างขะมักเขม้น ตามกติกาเขาไม่ได้บังคับให้ต้องมีลูกทีมหรือไปกันเป็นกลุ่มใหญ่อะไรหรอก ก็นะ นี่มันผู้ชายแสนดีอันดับต้นๆ นี่นา ใครก็อยากอยู่ด้วยทั้งนั้น

   ...ยกเว้นผมไว้นะ

   ผมไม่เข้าร่วมวงด้วยหลายสาเหตุ อย่างแรกเลยคือไม่ชอบสังคมมนุษย์แปลกหน้า อย่างที่สองคือไม่อยากเห็นสายตาของคนอื่นเวลาที่มองไปหาเขา สายตาของคนที่ชื่นชมจนอดบอกตัวเองไม่ได้ว่าผมไม่ควรมายืนอยู่ตรงนี้

   "เป็นอะไรรึเปล่า ปวดหัวเหรอ" ถามพลางแขวนป้ายชื่อเข้าที่คอผม พอจัดป้ายให้เข้าที่แล้วก็ส่งลูกอมถุงสีฟ้ามาให้ด้วยเป็นรางวัล

   "ไม่มีอะไร"

   ตอนนี้เขาก็แขวนป้ายชื่อไว้เหมือนกัน ความผิดปกติของชื่อเล่นที่เขียนด้วยเมจิคสีดำของเขาบอกให้ผมก้มลงอ่านป้ายของตัวเองบ้าง

   "ที่หนึ่ง?" ทวนคำที่เขียนอยู่ซ้ำ ไม่ว่าจะอ่านกี่รอบมันก็ยังเขียนว่าที่หนึ่งแทนที่จะเป็นโรม "นายหยิบป้ายผิด"

   เขม่นใส่คนที่เปลี่ยนชื่อตัวเองหน้าตาเฉย เขาชี้นิ้วมาที่ป้ายของผมแล้วตอบสั้น

   "ไม่ นี่ที่หนึ่ง"

   "ในใบเกิดชื่อโรม"

   "เป็นที่หนึ่งวันนึงแล้วกันเนอะ อยากลองเป็นโรมสักวันมานานแล้ว" เขาไม่ฟังคำค้านของผมเลย "อยากจะรู้ว่าโรมคิดยังไงกับคนที่ชื่อว่าที่หนึ่ง"

   "..."

   เขาคิดผิดแล้วล่ะที่ทำแบบนี้

   ขนาดตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่ารู้สึกยังไง

   "พี่ที่หนึ่งคะ ทุกคนพร้อมแล้วค่ะ"

   หนึ่งในลูกทีมเดินมาเรียกเราสองคน ผมเลยได้จังหวะเลี่ยงตัวออกมาอยู่คนเดียว ให้เขาเข้าไปอยู่ในวงสังคมมันดีแล้วล่ะ อย่าให้เขาต้องมาติดอยู่กับคนไร้อัธยาศัยผมเลย

   จากจุดสตาร์ทไปถึงโรงอาหารกลางใช้เวลาไม่นานนัก มีฝ่ายกิจกรรมคอยอยู่แล้วตรงทางเข้า รอบข้างเงียบสมกับเป็นโรงอาหารในวันอาทิตย์ ภารกิจในฐานนี้ให้แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แข่งกันวิ่งเร็วเพื่อไปหยิบขยะกลับมาแยกประเภทให้ตรงกับสีของถัง ไร้สาระมากในความรู้สึกของผม

   เนื่องจากทั้งกลุ่มมีปีสามเพียงสองคน ผมเลยโดนจับแยกกับที่หนึ่งอัตโนมัติ ในเมื่อเขาให้เป็นหัวหน้ากลุ่มแล้วผมก็ต้องทำหน้าที่ลีดเดอร์ที่ดีหน่อยล่ะ

   "น้องเล่นเลย พี่ไม่ชอบวิ่งน่ะ"

   สั่งคนอื่นแล้วตัวเองมานั่งดูอยู่ริมสนามไง

   "พี่....เอ่อ พี่ที่หนึ่งไม่เล่นเหรอคะ" เด็กสาวผมเปียที่มาพร้อมแว่นกลมขนาดใหญ่ถามขึ้น

   "ความจริงพี่ชื่อโรม พอดีโดนขโมยป้ายชื่อน่ะ" พยักพเยิดไปทางโจรขโมยป้ายที่เดินไปคุยกับฝ่ายกิจกรรมอยู่ ผมไม่ได้คุยอะไรกับน้องเขามากไปกว่านั้น พอเกมส์ใกล้เริ่มผมก็ส่งยิ้มให้ลูกทีมพอเป็นพิธีแล้วหามุมสงบนั่ง การที่ต้องมานั่งปั้นหน้ายิ้มแย้มคุยกับคนไม่รู้จักนี่ไม่ใช่ทางของผมเลยแฮะ

   ระยะทางในการวิ่งไกลพอสมควร ที่หนึ่งเป็นหัวแถวอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด ทันทีที่นกหวีดเริ่มเกมส์ดังขึ้นเสียงเชียร์ก็ตามมาไม่หยุด ผมมองทั้งสองทีมวิ่งไปกลับด้วยความเบื่อหน่าย ไอ้เรื่องการแยกขยะนี่โดนฝังหัวมาตั้งแต่วันแรกที่เหยียบเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว ถังเขียวถังฟ้าถังเหลืองไม่เคยจำได้หรอก อาศัยภาพที่ติดไว้หน้าถังอย่างเดียว

   "พี่ที่หนึ่งน่ารักตลอดเลยเนอะ"

   "ใช่ๆ รักแรกพบอะ"

   "เห็นที่เด็กบัญชีเขาเมาท์กันยัง หัวใจไม่ว่างแล้วนะ"

   ผมว่าตัวเองไม่ได้ตัวเล็กหรือจืดจางอะไรขนาดนั้นนะ ไม่เกรงใจผมหน่อยเหรอ

   "จริงป่ะ จะว่าไปพี่เขาไม่เคยคบกับใครเลยไม่ใช่เหรอ"

   "ใช่ไหมล่ะ ตอนนี้ถึงอกหักกันเป็นแถว"

   "พี่เขาจีบใครอยู่อะ สวยไหม"

   "ปริศนามากแก ไม่มีใครรู้เลยว่าจีบใครอยู่จ้า"

   จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก สงสารตัวเองที่ต้องมาเป็นหัวข้อในการสนทนาของใครอีกคน ผมเขยิบออกไปไกลพอที่จะไม่ต้องได้ยินอะไรเพิ่มเติมอีก เหม่อมองอย่างอื่นไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งจบเกมส์ สิ่งหนึ่งที่เพิ่งรู้คือทีมแพ้ต้องโดนทำโทษด้วย แล้วทีมที่แพ้คงเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากทีมผมเอง ...จงหวังแค่ที่สองพอสินะ อืม ผมลืมวลีนี้ไปได้ยังไงกัน

   "เราจะให้ทั้งสี่คนจับสลากวิธีการลงโทษนะคะ เริ่มจากทางนี้เลย"

   ข้อดีของการได้จับเป็นคนสุดท้ายคือมีเวลาเตรียมใจมากขึ้น เป็นเกมส์เบสิคอย่างพวกเต้นไม่ก็สั่งให้ทำตามคำสั่ง ค่อยโล่งใจหน่อยว่าไม่มีอะไรประหลาด

   ...ซะเมื่อไหร่

   'จงเลือกสมาชิกขึ้นมาหนึ่งคนแล้วพูดประโยคว่า ทุกวันนี้โลกร้อนเพราะคนแยกกันอยู่ เรามาเป็นคู่ลดโลกร้อนกันไหม'

   มันช่วยลดโลกร้อนตรงไหนวะเฮ้ย!

   ผมยืนขมวดคิ้วให้กับคำสั่งอยู่นานจนได้ยินเสียงหนึ่งดังข้างหู

   "ให้ช่วยไหม?"

   สะดุ้งโหยงจนกระดาษคำสั่งตกลงพื้น ยังคงยืนนิ่งในขณะที่อีกคนก้มลงไปเก็บแล้วคืนให้ ที่หนึ่งยิ้มร่ารอคำตอบจากคนที่สติหายไปอย่างผมสักพักจึงถามต่อ

   "ให้หนึ่งเล่นแทนไหมล่ะ น้องโรมไม่ชอบอะไรแบบนี้นี่"

   "ชอบทำตัวเป็นอาสาสมัครอย่างนี้ตลอดเลยรึไง?"

   "เฉพาะกับน้องโรมคนเดียวต่างหาก" เขาหันไปให้สัญญาณกับฝ่ายกิจกรรมว่าพร้อมแล้ว "ก็บอกแล้วไงว่าจีบอยู่ ช่วงทำคะแนนไง"

   เขาพูดอะไรอย่างนี้ออกมาได้ไม่อายปากตลอด ผมเลยค้อนกลับไปวงใหญ่ให้ผู้ชายสุดหล่อแสนดีไร้ที่ติของเหล่าสาวๆ โชคดีเป็นของผมที่เขาพูดเสียงเบา ไม่งั้นถ้าสองคนนั้นอาจได้คำตอบที่ไม่ต้องการก็เป็นได้

   "พูดเองได้ อยากช่วยก็ยืนฟังไป"

   "ครับผม"

   เหลือบไปเห็นว่าคนอื่นกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ มือที่จับแผ่นกระดาษสั่นเล็กน้อยจนต้องผ่อนลมหายใจออกมาเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง

   "หนึ่ง" เขายังคงยิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์ "โลกมันร้อน เรามาเป็น...คู่กันไหม?"

   ถึงรู้ว่าความจริงแล้วประโยคมันต้องยาวกว่านี้ แต่ให้ใครมาเจอรอยยิ้มอย่างนั้นก็ลืมบทพูดหมดทั้งนั้นแหละ ผู้ชายอะไรยิ้มเก่งตลอดเวลา ยิ่งเขาจ้องหน้าผมกลับแบบไม่กระพริบตาด้วย

   ประหม่าเป็นยังไงเข้าใจแจ่มแจ้งเลย

   "คิก ด้วยความยินดีครับ" เสียงกรี๊ดกร๊าดตามมาอย่างฉุดไม่อยู่ ผมเดินก้าวยาวๆ กลับไปรวมกลุ่มโดยไม่หันมามองว่าเขาเดินตามหลังมารึเปล่า คนที่ทำตัวติดกับผมเป็นฝาแฝดสยามอย่างนั้นไม่ต้องเดาหรอก เขาพาตัวเองเข้ามาอยู่ในสายตาของผมตลอดนั่นแหละ

   "น้องโรมท่องบทผิด"

   "รู้น่า"

   "แต่บทใหม่ก็ดีเหมือนกัน"

   "..."

   "สัญญาว่าซีนหน้าที่หนึ่งจะเป็นคนพูดบ้าง แล้วจะรอคำตอบจากโรมนะครับ"

   ยกมือขึ้นกอดเข่า หันหน้าไปอีกฝั่งเพื่อที่จะไม่ต้องเห็นหน้าของใครบางคนอีก ผมไม่ให้ความสนใจกับการสรุปเกมส์ที่กำลังเกิดขึ้น ถ้าโทรเรียกแบล็คให้มารับตอนนี้จะโดนด่าไหมนะ ก็ผมไม่อยากอยู่กับที่หนึ่งแล้วนี่นา เขาไม่รู้บ้างหรือไงว่าผมกำลังแสดงออกว่าไม่ต้องการให้เขาเข้ามาใกล้

   ...ก่อนที่ความรู้สึกแปลกๆ จะก่อตัวมากไปกว่านี้


 
   ผ่านมาสามฐาน เป็นช่วงเวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าที่ผมไร้ซึ่งความกระตือรือร้นและการมีส่วนร่วม คนอื่นในทีมคงพอจับสัมผัสได้ว่าผมไม่ต้องการลงไปร่วมกิจกรรมใดๆ ทั้งนั้นเลยปล่อยให้แยกออกมานั่งดูอยู่คนเดียวตามที่ต้องการ ความจริงคือไม่ใช่คนเดียวหรอก พอไปพักที่ไหนก็จะมีเจ้าของชื่อบนป้ายชื่อตามติดอย่างกับเป็นเครื่องติดตาม

   "ไปเล่นกับคนอื่นสิ เขามาเพราะนายกันนะ"

   อันนี้ผมไม่ได้นั่งเทียนเขียนขึ้นเอง ตอนที่ออกจากฐานที่แล้วกลุ่มเด็กปีสองคณะวิทยาศาสตร์ที่มากับพวกผมเขาเปิดประเด็นกันว่าใครมาร่วมกิจกรรมนี้เพราะที่หนึ่งบ้าง จากสี่คนมาเพราะที่หนึ่งสามคน อีกคนมาเพราะอยากจะร่วมกิจกรรมรักโลกจริงๆ ถ้าคนจัดงานได้ยินคงอยากจะโละโครงการนี้ทิ้ง การเอาคนหน้าตาดีมาเป็นสิ่งดึงดูดนี่ถึงจะได้ผลเรื่องปริมาณแต่เรื่องวัตถุประสงค์นี่ผิดไปลิบลับ

   "อยากอยู่ตรงนี้"

   "อู้งาน"

   "ตัวเองก็เหมือนกันนั่นแหละ"

   ผมยกไหล่ขึ้นอย่างไม่สนใจนัก "แล้วไง ไม่ได้อยากมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว"

   "งั้นโดดกัน" หันไปย่นหน้าใส่ ไม่อยากจะเชื่อว่าได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของเขา "อะไรที่น้องโรมอยากได้พี่พร้อมทำให้รู้ไหม"

   "นายไม่ควรให้มาช่วยตั้งแต่ต้น"

   "คนมันไม่พอ"

   "ไปชวนแบล็คนะทีหลัง มาชวนกูนี่คือคิดผิดมาก"

   "สรุปโดดนะ"

   ที่หนึ่งเก่งเรื่องเบี่ยงประเด็น ผมมองสมาชิกร่วมกลุ่มช่วยกันล้วงคำใบ้จากถังน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำเย็นจัดจนมีหยดน้ำเกาะพราว ส่วนตัวแล้วเข้าไม่ถึงความสนุกสนานในการแข่งขันประเภทนี้เลยสักนิด เหมือนเรามาเล่นตลกอะไรก็ไม่รู้ให้คนจัดงานดู

   มีการสรุปกิจกรรมอย่างเช่นทุกฐาน ผมเตรียมไปแสตนบายรอบนจักรยานอย่างไม่แคร์สายตาหลายคู่ที่จับจ้องมา ก็แค่มารอที่จักรยานก่อน ทำอะไรผิดที่ไหน?

   "เดี๋ยวถึงศูนย์หนังสือแล้วเลี้ยวขวานะ"

   เขาตีจักรยานมาคู่กับผม ฐานที่คนในทีมตกลงจะไปต่ออยู่ไกลออกไปพอควร ผมพยักหน้าตกลงให้กับข้อเสนอนั้น

   "เตรียมพร้อม สาม สี่!"

   ในจังหวะที่ทุกคนตรงไปตามทาง เขาก็หักเลี้ยวขวาอย่างที่บอกไว้ล่วงหน้า เร่งจังหวะการปั่นให้เร็วขึ้นหน่อยจนไม่เห็นใครอื่นแล้วจึงหยุดพัก

   "เหนื่อยแฮะ"

   "สม ใครให้ปั่นเต็มแรงอย่างนั้น"

   เขาพยักหน้ารับคำบ่นโดยดี เดินอ้อมมานั่งเบาะด้านหลังของผมจนยวบ

   "ทำอะไรเนี่ย"

   "ขอพักหน่อย"

   "ก็นั่งที่พื้นไปสิ"

   "ไม่เอา อยากนั่งตรงนี้"

   "หนัก ทรงตัวไม่อยู่ด้วย" จักรยานประทับตรามหาลัยเอียงไปทางขวาตามคำบอก หันกลับไปบ่นแบบไม่จริงจังนักใส่คนที่มานั่งเรียกร้องความสนใจอยู่ด้านหลังของผม

   เขาเลยแก้ลำด้วยการยันเท้าทั้งสองข้างลงกับพื้นคอนกรีต ยิ้มแผล่ให้อีกต่างหาก "นี่ไงไม่เอียงแล้ว"

   "ชิ..."

   "ไปไหนกันต่อดีล่ะ"

   "กลับ พักเหนื่อยพอแล้ว ลงไปเลยนะหนึ่ง" พอเขาชวนทิ้งงานผมเลยตั้งใจว่าจะเอาจักรยานกลับไปคืนที่จุดจอดแล้วก็กลับห้อง ที่หนึ่งเดาะลิ้นแล้วท้วงในสิ่งที่ผมลืมคิดไปสนิท

   "กลับไปตอนนี้ก็รู้ว่าเราหนีงานสิ"

   "เออเนอะ"

   "ปั่นจักรยานเล่นรอบมอกัน เดี๋ยวหนึ่งพาทัวร์เอง"

   ผมปฏิเสธข้อเสนอทันควัน "ไม่"

   "ทำไมล่ะ"

   "อยู่มาปีที่สามยังจะทัวร์อะไรอีก"

   "งั้นนอกจากตึกเรียนรวม สำนักทะเบียน แล้วก็โรงพยาบาลที่เข้าตอนปีสองเคยไปที่ไหนอีกบ้าง"

   ผมลอบถอนหายใจให้ความจริงที่เขาขุดขึ้นมา ที่บอกว่ารู้ทุกเรื่องนี่ไม่ได้โกหกสินะ

   "ว่าไง ตอบมาหน่อย"

   "เฮ้อ...จะให้ปั่นไปทางไหน" เปลี่ยนท่าให้พร้อมเคลื่อนที่ รอให้อีกฝ่ายเดินกลับไปที่จักรยานของตัวเอง ก็รอมาเป็นนาทีแล้วทำไมผมยังรู้สึกถึงน้ำหนักที่ถ่วงไว้อยู่ดี เมื่อไหร่จะลงไปครับที่หนึ่ง

   "ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายหน้า ไปนั่งเล่นในสวนใหม่กัน"

   นอกจากไม่ยอมลงแล้วยังทำตัวเป็นจีพีเอสกำหนดเส้นทางให้ผมอีกต่างหาก

   "ไปปั่นของตัวเองสิ"

   "ขาหมดแรง ปั่นไม่ไหวแล้ว"

   "นักกีฬาบาสทำได้แค่นี้รึไง"

   แอบแขวะไปนิดหน่อยด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัวล้วนๆ ผมเริ่มออกแรงถีบจักรยานจนมันเคลื่อนตัว แบล็คเคยเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลอยู่ช่วงหนึ่งสมัยมัธยมปลายก่อนโดนชมรมเทนนิสลากกลับไปเพราะคนไม่พอ นั่นเลยทำให้ผมติดสอยห้อยตามไปสนามบ่อยๆ เพื่อรอกลับบ้านพร้อมกัน

   "เห รู้ด้วยเหรอ?"

   "ไม่รู้ บอกทางต่อสิ"


***
   ต่อด้านล่างเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-11-2015 23:16:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 06-11-2015 23:34:28

   "ตรงตามทางไปเรื่อยๆ เลย เดี๋ยวจะไปโผล่ตรงตึกใหม่" มหาวิทยาลัยนี้รณรงค์เรื่องการใช้จักรยาน เพราะงั้นทางเดินเกือบทั้งหมดจะมีทางจักรยานพร้อมหลังคากันแดดควบคู่ไปด้วย การปั่นโดยมีผู้ชายตัวใหญ่กว่านั่งซ้อนท้ายนี่เล่นเอาหายใจลำบาก "รู้ด้วยเหรอว่าหนึ่งเล่นบาส?"

   "เคยตามแบล็คไปสนามอยู่"

   "แล้วรู้อะไรอีก" มือทั้งสองข้างของเขาโอบรอบเอวผมไว้ ไม่มั่นใจฝีมือการปั่นของผมขนาดนั้นเลยสินะ...

   "รู้ว่าปั่นไปคุยไปไม่ไหว"

   "ไหวน่า โรมไม่เคยออกกำลังกายเลย ต้องให้กล้ามเนื้อได้ทำงานบ้างสิ"

   "แล้วรู้อะไรอีก?"

   ผมย้อนด้วยคำถามที่เขาใช้

   "ไม่รู้อะไรบ้างดีกว่า"

   "มั่นใจ?" หยั่งเชิงกลับ พอปั่นไปเรื่อยๆ มันก็เพลินดีเหมือนกัน สุดทางเป็นตึกใหม่อย่างที่เขาบอก ที่เห็นถัดออกไปคือพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่คงจะเป็นสวนที่เขาตั้งใจมา ผมไม่ค่อยได้มาแถบนี้เลยไม่รู้ว่ามีสวนสร้างใหม่ ปกติเลิกเรียนแล้วถ้าไม่กลับห้องเลยก็รอแบล็ค ชีวิตเรียบง่ายตามแบบของผม

   "ตอนนี้ไม่มั่นใจล่ะ"

   อยากมีตาหลังจะได้รู้ว่าตอนนี้คนที่อยู่ด้านหลังของผมกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่กัน เสียงที่ออกมามันเลยเต็มไปด้วยรอยตัดพ้อได้ขนาดนั้น

   "อารมณ์แปรปรวนนะที่หนึ่ง"

   "...ก็เพราะใครล่ะ" เสียงเบาบางเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าเป็นการตอบโต้ผม เรามาถึงสวนใหม่ที่ดูใหม่สมชื่อเพราะหญ้ายังเขียวชอุ่มไม่มีรอยถูกเหยียบแบน ต้นไม้บางต้นยังไม่ได้ลงดินเลยด้วยซ้ำ

   ตรงกลางของสวนมีแท่นไม้ยกสูงขึ้นมาจากพื้นพอควร ด้านบนปลูกไม้เลื้อยปกคลุมจนแดดลอดเข้ามาได้เพียงแค่เล็กน้อย ผมทรุดตัวลงกับพื้นในเวลาอันรวดเร็ว รู้สึกว่าขาตัวเองสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอมองดูเวลาในโทรศัพท์แล้วผมใช้เวลากับการปั่นไม่ถึงสิบนาที เป็นสิบนาทีที่ยาวนานในความรู้สึกสุดๆ

   "ไม่เป็นไรแน่นะที่หลบออกมาแบบนี้?"

   ผมมันคนไม่สนใจคนอื่นอยู่แล้ว ไม่คิดหรอกว่าคนอื่นจะมองว่าผมไม่ให้ความร่วมมือรึเปล่า แต่ที่หนึ่งเขาเป็นตัวหลักในกิจกรรมไม่รู้ว่าจะโดนอะไรบ้าง

   "ไม่หรอก ก็ยังมีปีสามคนอื่นอีก"

   "มีปีสามอีกเหรอ?" นึกว่าจะเป็นมนุษย์ปีสามแค่สองคนแล้วเสียอีก ตอนที่มีป้ายชื่อมองไปทางไหนก็เจอแต่ปีหนึ่งไม่ก็ปีสองทั้งนั้น

   "มีเวลน่ะ ที่ผมสีน้ำเงิน ...ไม่สิ สีเทาแล้ว อยู่ศิลปศาสตร์"

   "ผมสีเทาที่สูงๆ ดูนิ่งๆ ป่ะ"

   ผู้ชายคนนั้นเด่นมากทั้งจากส่วนสูงที่โดดขึ้นมาแล้วยังทำผมสีเทาอีก ผมเห็นแค่ตอนที่เขาเดินตัดหน้าไปยังสะดุดตา

   "คนนั้นแหละ เวลผู้ลึกลับ"

   "ฉายาเห่ยมาก"

   "มันตรงตัวที่สุดแล้ว มันไม่เคยออกงานเลยไง สตาฟอ้อนวอนแค่ไหนก็เป็นแค่ตากล้องให้ตลอด" เขายื่นขวดน้ำที่เคยเย็นมาให้ ผมรับมันมาแล้วจัดการเพิ่มของเหลวในร่างกายจนพอใจ "อย่างรูปที่ใช้โปรโมตงานนี้เวลก็ถ่าย"

   รูปที่ผมเคยบอกตัวเองว่ามันเต็มไปด้วยความเว้าวอนผ่านนัยน์ตาแล่นกลับเข้ามาในความคิด แอบมองผู้ชายที่นั่งถัดออกไปว่ากำลังทำอะไรอยู่ พอเห็นว่าเขาให้ความสนใจกับเครื่องมือสื่อสารของตัวเองเลยเลื่อนขึ้นมามองใบหน้าแทน จะว่าไปตั้งแต่ได้รู้จักกับเขาผมยังเห็นแววตาแบบนั้นอยู่ไหมนะ

   "รูปขาวดำนั่นน่ะเหรอ"

   "อืม ตรงโรงอาหารไง โรมน่าจะเคยเห็นแหละ"

   "รูปสวย" ผมชมไปตามความจริง

   "แล้วคนในรูปล่ะ"

   "อยากให้บอกว่าสวย?"

   "ถ้าน้องเป็นคนพูดก็โอเค"

   "รูปสวย คนถ่ายเก่ง"

   ที่หนึ่งโคลงหัวไปมาพลางตอบผม "ตลอดเลยนะน้องโรม ก็ตามนั้นแหละ ทุกคนบอกว่าเวลถ่ายรูปคนสวย แต่เจ้าตัวเขาอินดี้ชอบถ่ายก้อนหินบนท้องฟ้ามากกว่า"

   "ก็ดูเหมาะกับคำว่าลึกลับดี"

   ไม่สนว่าพื้นไม้จะเต็มไปด้วยฝุ่นมากแค่ไหน ผมเอนตัวลงนอนยาวพักร่างกายที่ล้าไปหมด ถอดหมวกออกมาปิดหน้าเพื่อป้องกันแสงอีกชั้นหนึ่ง ขนาดหมวกก็ยังมีกลิ่นน้ำหอมของเขาเลย

   "จะนอนเหรอ?"

   "ไม่ แค่พักสายตา"

   "ต้องหัดออกกำลังกายมากกว่านี้รู้ไหม"

   "..."

   "ไว้ไปเล่นบาสกันนะ"

   "ไม่ ไป" ผมย้ำชัดด้วยการเน้นทีละคำ

   "งั้นสัปดาห์หน้าแล้วกันเนอะ หลังควิซวันอังคารก็ดีเหมือนกัน"

   "ไม่เอา"

   "ตีแบต?"

   "ไม่"

   "ไปวิ่งที่ฟิตเนสใต้คอนโดก็ได้"

   "เลิกยุ่งได้แล้วที่หนึ่ง!"

   เผลอกระชากเสียงออกไปไม่รู้ตัว ถ้านิชอยู่ผมต้องโดนดุหรือไม่ก็โดนแบล็คสั่งให้ไปคัดเรียงความเรื่องการควบคุมอารมณ์ในการสื่อสารกับบุคคลอื่นแน่ ผมอารมณ์ไม่ดีมากๆ เลยที่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่ใจต้องการ การเข้ามามีบทบาทของที่หนึ่งในชีวิตของผมไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิดขึ้น เราควรอยู่ในมิติที่ต่างกันแบบเดิม

   ใช่ว่าไม่คิด คิดเสมอแหละว่าทำไมถึงยังปล่อยให้เขาวนเวียน ผมว่าถ้าเป็นคนปกติเจอแผลงฤทธิ์ใส่อย่างนี้ร้อยทั้งร้อยไม่ตื้อต่อหรอก เพียงแค่ผมไม่เคยรู้ว่าเขาไม่ปกติเลยยังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน เขาไม่ควรพยายามเข้ามาในโลกของผม สิ่งที่ผมคิดว่าดีมากที่สุดคือการที่เขายอมจบความต้องการของตัวเองลงเสียที

   ...พร้อมทำให้รู้ไหม

   และเขาก็ทำอย่างที่บอกผมไว้

   ได้ยินเสียงฝีเท้าไกลออกไป ก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องพรรณนี้อีกแล้ว ไม่ต้องเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนนั่นอีก ผมไม่ควรให้อาการแพ้ที่หนึ่งลุกลามไปมากกว่านี้

   ถอนหายใจยาวจนหมดลมเพื่อไล่ความรู้สึกหน่วงที่ตอกย้ำว่าที่หนึ่งไม่อยู่แล้วให้ออกไป กลิ่นหอมหวานของหมวกยิ่งทำให้สติกระจายจนกู่ไม่กลับ ถ้าทิ้งหมวกไว้ตรงนี้คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ถ้าเขาอยากได้คืนเดี๋ยวก็คงตามมาเก็บเองนั่นแหละ ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยในหัวอีกนานพอควรถึงโดนดึงหมวกออกไป ตาหรี่ลงโดยอัตโนมัติเมื่อแสงกระทบหน้ากะทันหัน ยามที่เริ่มปรับสายตาให้เข้ากับความเข้มของแสงได้แล้วถึงรู้ว่าตอนนี้ใบหน้าของอีกคนโน้มเข้ามาใกล้จนน่ากลัว

   "คิดว่าไล่แล้วจะไป?"

   "..."

   ผมเงียบแล้วใช้เพียงใบหน้าไม่สบอารมณ์ส่งไปให้ เขารู้อยู่แล้วว่าการบังคับให้ทำอย่างที่ต้องการไม่ต้องใช้อะไรมากไปกว่าการยิ้มแล้วทำเหมือนผมไม่เคยพูดอะไรออกมาทั้งนั้น

   "ก็รู้ไม่ใช่รึไงว่าใช้วิธีนี้กับหนึ่งไม่ได้"

   "งั้นบอกมาว่าต้องใช้วิธีไหนถึงจะออกไปจากชีวิตกู"

   "โรมรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายที่ชื่อที่หนึ่งบ้าง"

   เขาไม่สนอาการโมโหร้ายของผมเลย ซ้ำยังเปลี่ยนเรื่องที่ถามอีกต่างหาก ผมไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลขนาดที่จะต่อล้อต่อเถียงไม่จบสิ้นเลยตอบคำถามเขาไปสั้นๆ

   "ไม่รู้"

   "งั้นอย่างแรก" พอมองรอบข้างดีๆ แล้วถึงรู้ว่าที่หนึ่งกำลังกักผมไว้ด้วยร่างกายของเขา "รู้ไหมว่าเราทำผมสีเดียวกัน ไปทำร้านเดียวกันแล้วก็ใช้ช่างคนเดียวกันด้วย ถึงสุดท้ายสีจะเพี้ยนไปหน่อยก็เถอะ"

   เบนสายตาไปมองสีผมตามที่เขาบอก จะว่าไปสีมันก็คล้ายอย่างที่เขาบอกจริง ตอนแรกผมก็สีดำธรรมดานี่แหละ จนวันนั้นเกิดอารมณ์ดีอะไรขึ้นมาไม่รู้พาตัวเองเข้าร้านทำผมแล้วชี้ไปที่ชาร์จสี อีกหลายชั่วโมงต่อมาผมเลยหัวสีน้ำตาลออกมาทักทายชาวโลก

   "อย่างที่สอง" คราวนี้เขาก้มลงมาต่ำกว่าเดิมอีก ผมเลยหลับตาลงทันควัน "ที่ยอมเล่นดนตรีสมัยมอปลายก็เพราะว่านิชเล่นกลองอยู่แล้วโรมชอบมานั่งดูด้วย"

   "..."

   นิชเล่นกลองในวงดนตรีของโรงเรียน เมื่อก่อนพี่ชายคนนี้ของผมมักจะใช้ชีวิตอยู่แค่ในห้องสมุด ห้องศิลปะหรือห้องดนตรี อย่างห้องสมุดผมก็เคยตามไปอยู่หลายครั้งจนยอมรับว่าเราไปด้วยกันไม่ได้ พอนิชไปซ้อมดนตรีคนว่างงานตลอดเวลาอย่างผมเลยขอตามไปทุกครั้ง นิชมีความเวทมนต์พิเศษในการสะกดคนด้วยเสียงดนตรี

   "สนใจจะฟังอย่างที่สามไหม" เกือบเป็นคำกระซิบข้างหู รู้สึกได้ว่าเขาขยับตัวมาใกล้จนร่างกายเราสัมผัสกัน ฮือออ แค่ธรรมดายังแพ้ราบคาบแล้วโหมดดาร์กจะเอาอะไรไปสู้ครับ

   "ไม่ฟังงง"

   เขาหัวเราะออกมาเต็มเสียง "งั้นเล่าต่อ ตอนแรกได้ทุนที่อื่น แต่พอรู้ว่าโรมเลือกที่นี่หนึ่งเลยสละสิทธิ์มาแอดที่นี่แทน"

   ที่หนึ่งแม่งบ้า

   "เรื่องที่สี่คือตอนถ่ายรูปโปรโมตเวลไม่ยอมให้ผ่านสักที เอาแต่บอกว่าฟีลมันไม่ได้ จนมันบอกให้คิดถึงหน้าคนที่อยากจะเป็น 'ของคุณ' เข้าไว้นั่นแหละเทคเดียวผ่านฉลุย อยากลองตอบไหมว่าคิดถึงใคร ที่หนึ่งคิดถึงแต่โรมคนเดียวเลยนะ"

   บ้ามาก

   "ที่จริงยังมีเรื่องอีกเยอะที่อยากเล่าให้ฟัง แต่เก็บไว้ก่อนดีกว่า"

   เมื่อเสียงห่างออกไป ผมเลยลืมตาขึ้นมาสำรวจความปลอดภัยของตัวเอง ทุกอย่างยังคงปกติดีไม่มีร่องรอยบุบสลาย เว้นเสียอย่างเดียวที่ทำงานหนักจนผมกลัว

   จังหวะการเต้นของหัวใจ

   ยอมลุกขึ้นมานั่งเผชิญกับใบหน้าแสนจริงจังของอีกฝ่าย ขนาดวันที่เขาบอกว่าจะจีบผมในร้านอาหารครั้งแรกมันยังไม่ชัดเจนขนาดนี้

   "อาจจะดูบ้านะแต่ทั้งชีวิตไม่เคยอยากเป็นที่หนึ่งขนาดนี้มาก่อน เพราะงั้นถ้าคิดว่าดื้อแล้วหนึ่งจะหยุดชอบบอกเลยว่ามันไม่มีประโยชน์" หมวกใบใหญ่ถูกกดลงบนศีรษะของผมตามเดิม "ไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไรที่ทำให้โรมหนีขนาดนี้ แต่หนึ่งขอโอกาสให้ตัวเองได้พิสูจน์ได้ไหมว่าความรู้สึกนี้เป็นเรื่องจริง จนถึงวันหนึ่งถ้าโรมไม่อยากรับมันไว้แล้วก็บอกมา หนึ่งจะเดินออกไปเอง"

   "..."

   เคยเห็นในละครว่าการแสดงออกถึงอารมณ์อะไรบางอย่างจำเป็นต้องใช้สีหน้าท่าทางประกอบ

   ไม่เหมือนผู้ชายคนนี้ที่ไม่ต้องมีท่าทางประกอบใดๆ แค่สายตากับน้ำเสียงมั่นคงตลอดการพูดก็เพียงพอที่สื่อให้ผมรู้ถึงหัวใจของเขา

   "คงเลิกฐานกันแล้วล่ะ กลับไปคืนจักรยานกัน"

   เดินตามหลังไปโดยไม่ปริปากพูดอะไร เราสองคนกลับไปยังจักรยานที่จอดไว้ตรงลานกว้าง คราวนี้ที่หนึ่งเป็นคนขี่บ้าง ผมเลยขึ้นไปซ้อนเบาะหลังแบบหันหลังให้คนขับ คนต้องออกแรงปั่นไม่ได้ดุที่ผมนั่งท่าอันตรายแบบนี้ เขาเพียงแค่เตือนให้ผมจับเบาะไว้ให้ดีเท่านั้นเอง

   เหม่อมองมุมแปลกตาที่ไม่เคยสนใจมาก่อนจนถึงจุดที่ผ่านมาเมื่อช่วงเช้า ทั้งที่เป็นถนนเส้นเดียวกันแต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันลิบลับ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของผม

   ...บางทีการเดินที่ผมเคยบอกแบล็คอาจเป็นการซ้อนท้ายจักรยานโดยหันหลังอย่างที่ผมกำลังทำ

   ยังคงเดินต่อไปแต่ไม่เคยมองข้างหน้า ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับอดีตที่จบไปนานแล้ว ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้ตัวเองกลับหลังหันมาเผชิญปัจจุบัน

   'โรมรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายที่ชื่อที่หนึ่งบ้าง'

   นั่นสิ

   ผมรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้างนะ

   นอกจากเรื่องสีผม เรื่องเล่นดนตรี เรื่องมหาลัย แล้วก็เรื่องภาพโปรโมต

   แล้วถ้าผมกลับหลังหันตอนนี้มันจะทันรึเปล่า จะมีความกล้าแค่ไหนที่เดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง

   "...ช่างมันเถอะ"

   ยังไงผมก็เป็นน้องเล็กจอมเอาแต่ใจอยู่แล้วนี่ จะทำตามใจตัวเองอีกหน่อยคงไม่แปลก

   เขยิบตัวเองเข้าไปจนหลังชนกับคนปั่น สัมผัสได้ว่าเขาสะดุ้งนิดหน่อยตอนที่ผมพักตัวเองในท่านั้น

   คนที่บอกว่าตัวเองรู้ทุกอย่างคงเข้าความหมายของผมใช่ไหม?


 
   "ว่าไงน้องโรม"

   "หวัดดี"

   ผมทักทายเพื่อนข้างห้องที่มายึดพื้นที่ของผมอาศัยอยู่เป็นครั้งคราว แบล็คมีกุญแจสำรองห้องผมเก็บไว้ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามา เพื่อเป็นฝ่ายควบคุมความประพฤติ

   "ไปไหนมา จะชวนไปกินชาบูตอนเที่ยงแล้วไม่เจอ"

   "ไปช่วยงานหนึ่ง ไอ้บียัวร์อะไรนั่นอะ"

   "...เหรอ" เสียงของเขากดต่ำลงกว่าปกติยามตอบ "ก็ดี ทำกิจกรรมบ้าง"

   "มีอะไรรึเปล่า?"

   นั่นเป็นปฏิกิริยาโต้กลับที่แปลกมากสำหรับผู้ชายที่พูดไว้ว่าอย่างน้องเอ๋อโรมไม่เหมาะกับการทำกิจกรรมอะไรทั้งนั้น ไปไหนก็ทำงานเขาพังหมด เรียกว่าเป็นตัวตั้งตัวตีในการสนับสนุนให้ผมไม่ทำกิจกรรมเลยก็ว่าได้

   "เปล่า"

   พี่ชายต่างสายเลือดของผมตอบแบบไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือเรียน

   "Beyours"

   ลอบมองว่าอีกฝ่ายจะโต้กลับมายังไง แบล็คยังคงใช้สายตาจ้องไปยังตัวอักษรในหนังสือโดยไม่มีท่าทีพิรุธเผยออกมา ผมเลยเดินไปพิงกับชั้นวางทีวีที่อยู่ตรงข้ามกับโซฟา กอดอกอยู่อย่างนั้นให้รู้ว่าผมกำลังต้องการคำตอบ

   อยู่กันมาตั้งแต่จำความได้ ทำไมจะไม่รู้ว่าเขามีอะไรที่ค้างในใจ

   "ไม่ใช่แค่เรื่องที่มาชวนไปร่วมโครงการใช่ไหม"

   ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่างานนี้แบล็คถูกเสนอชื่อให้เป็นตัวแทนหลักเหมือนที่หนึ่ง แน่นอนว่าคำเสนอถูกปฏิเสธกลับไปอย่างไม่ใยดี เพื่อนของผมคนนี้บุคลิกและหน้าตาตีอย่างที่ใครหลายคนคลั่งไคล้ ถึงอย่างนั้นเขาไม่ยอมรับตำแหน่งเดือนคณะรวมถึงตำแหน่งอื่นใดด้วยข้ออ้างว่าไม่ชอบออกสื่อ ที่ผมบอกว่ามันเป็นข้ออ้างเพราะสิ่งที่เขาพูดมันโกหกทั้งเพ คำโกหกที่ใช้กลบเหตุผลที่แท้จริงของการเก็บตัวทั้งหมดล่ะ

   คนเป็นพี่ก็แค่ต้องการที่จะปกป้องน้อง

   หนังสือเล่มหนาบนตักปิดลงแล้ว เขายกไลท์เตอร์ขึ้นมาหมุนในมือไปมาจนผมต้องรีบห้ามไว้ก่อน

   "ไม่มีการสูบเหี้ยอะไรในห้องนี้ทั้งนั้น เราตกลงกันไว้แล้ว"

   "...มีคนมาถามเรื่องไวท์"

   เสียงราบเรียบแสนยะเยือก นัยน์ตาสีดำสนิทไม่มีแววของความขี้เล่นเหลืออยู่ ผมเปลี่ยนจากยืนพิงเป็นนั่งลงกับที่ว่างบนชั้น ควบคุมสติให้มั่นก่อนถามกลับ

   "เมื่อไหร่"

   ผมรู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งคนนั้นจะต้องกลับมา

   แต่ที่ผมไม่รู้คืออีกคนที่มั่นใจว่าจะไม่มีทางต้องพบเจอกันอีกแล้วจะกลับมาเช่นกัน

   "เมื่อวาน มันก็เรียนอยู่ที่นี่" ขยับนิ้วจนเกิดประกายไฟวาววับต่อเนื่อง "มันมาถามกูเรื่องนั้น"

   "แสดงว่าเจอกันแล้ว"

   "คงใช่ เมื่อวานไปรับหลังเลิกเห็นป้ายบียัวร์ของแม่งติดหน้าคณะเลยด้วยซ้ำ"

   "เป็นคนร่วมโปรเจค?"

   "ก็ต้องเป็นอย่างนั้น"

   "แบล็ค..."

   ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขา ความทรงจำในช่วงเวลานั้นตีไปมาจนตื้อไปหมด เขากลับมาเพื่ออะไร แล้วถ้าเขารู้เรื่องทั้งหมดแล้วทำไมถึงยังมาหาแบล็คอีก

   "ปากดีย้ำกับกูว่ามันนี่แหละที่หนีไปกับไวท์ เลยแจกไปให้หมัดนึง"

   "แล้วอีกเรื่องล่ะ" ผมไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ สิ่งที่ผมอยากรู้คืออีกเรื่องที่สำคัญกว่า

   "ถาม กูเลยบอกมันไปตรงๆ จะได้เลิกมายุ่งสักที"

   "คุณพินิจรายงานอะไรมารึเปล่า"

   "ไม่ ปกติ"

   ยิ่งได้ยินว่าปกติยิ่งไม่เชื่อถือ ผู้หญิงที่เป็นสีขาวคนนั้นมีหน้ากากที่แน่นหนาเกินไป ขนาดคนเป็นพ่อก็ยังตามไม่ทันในบางที มีแต่พี่ชายร่วมครรภ์ที่อ่านออกทุกอย่าง

   "เราจะทำยังไงกันดี"

   "ปล่อยให้เป็นไปตามทางของมัน" ราชาที่แบกรับทุกสิ่งไว้บนบ่าเอ่ยพลางเอนตัวลง ใช่ว่าคนเป็นผู้นำจะเหนื่อยไม่เป็น "สงสัยงบไม่พอเขาเลยไม่จ้างกูเล่นภาคต่อ"

   ผมเดินเลี่ยงเข้าไปหยิบขวดเบียร์ที่แช่ไว้ในตู้เย็นออกมาให้ แบล็คจับกระป๋องเหล็กแนบกับหน้าผากอย่างที่ชอบทำเวลาที่ต้องใช้ความคิด ไม่เคยเชื่อเรื่องสังคมที่รู้จักกันเป็นวงกลมมาก่อนจนกระทั่งตอนนี้ คนที่บอกตัวเองไว้ว่าชาตินี้ไม่ต้องมาเจอกันอีกเลยก็โผล่กลับมาเสียอย่างนั้น แถมเรียนอยู่ที่เดียวกันอีกต่างหาก

   "ไปนอนไปน้องโรม ไม่ต้องคิดมากแทนคนอื่นล่ะ"

   โบกมือไล่อีกแหนะ นี่ห้องผมไหมล่ะ

   "มึงนั่นแหละคิดมากแทนคนอื่น"

   "นั่นมันครึ่งชีวิตกู ไม่ใช่คนอื่นว่ะ"

   "ครับๆ"

   "มึงเองก็ไม่ต้องไปคิดต่อเลยนะ อย่าคิดว่ากูไม่รู้"

   นิ้วที่ชี้มาทางผมคือการคาดโทษไว้ จะห้ามไม่ให้ผมคิดต่อคงเป็นไปไม่ได้หรอกนะ ในเมื่อเรื่องราวมันต่อเนื่องกันอย่างไม่มีรอยต่ออย่างนี้

   "ไม่หรอกมึง" เงียบไปครู่หนึ่งยามคิดถึงการตัดสินใจของตัวเอง "กูจะเลิกเดินถอยหลังแล้ว"

   คนเป็นพี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "ถึงว่าหน้ามึงวันนี้แปลกไป"

   "เหรอ"

   "ดีกว่าหน้าแบกโลกไว้ตลอดเวลา มึงไม่ต้องมาแจมกับพวกกูในเรื่องพรรณนี้เลย ใช้ชีวิตของมึงไปเถอะ"

   เดินมาขยี้หัวจนยุ่งเหยิง เขากำลังมองผมด้วยสีหน้าเหมือนอย่างเช่นในอดีต ในเวลาที่ผมได้รับรางวัลหรือได้รับคำชมเชยเขาชอบมาลูบหัวอย่างนี้มากกว่ายินดีเป็นคำพูด

   "แค่เห็นมึงเดินออกมาจากตรงนั้นได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ทุกคนคงดีใจที่ได้ยินมึงพูดอย่างนี้"

   "..."

   "กูเชื่อว่า 'ทุกคน' จะดีใจ"


***
   เจ้าวางโจทย์ให้ตัวเองไว้ว่าเรื่องนี้จะไปช้าๆ เรียบๆ ค่ะ เป็นเรื่องของคนสองคนที่เข้าใจความรักไม่เหมือนกันสักนิด เพราะงั้นแต่ละตอนจะออกมาในรูปแบบไม่ได้หวือหวาอะไรมากมายทั้งนั้น ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาและความรู้สึกที่จะพาไปสู่บทต่อไป ตอนนี้น้องก็เริ่มรู้ตัวเองมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ ให้น้องเรียนรู้ตัวเองและที่หนึ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมั่นใจเนอะ (ยิ้ม)
   แรงบันดาลใจตอนนี้มาจากการที่เคยนั่งซ้อนท้ายจักรยานของเพื่อนอย่างที่น้องโรมทำค่ะ มันเป็นมุมที่แปลกไปจริงๆ นะ ทั้งที่เคยขับผ่านอยู่ทุกวันแต่ไม่รู้สึกคุ้นเคยเลยสักนิด อีกอย่างที่อยากเห็นคือภาพน้องปั่นแล้วที่หนึ่งนั่งอ้อนอยู่ข้างหลังค่ะ (หัวเราะ) มันคงเป็นอะไรที่น่ารักดี
   ขอบคุณทุกคอมเมนท์นะคะ ขอบคุณทุกความรักที่มีให้กับเรื่องนี้ เจ้าอ่านทุกคอมเมนท์ตลอดนะ เป็นความสุขที่เต็มทุกวันของเจ้าให้เต็มจริงๆ (กอดแน่น)
   แล้วกลับมาเจอกันใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-11-2015 23:58:58
ลึกลับอีกเช่นเคย
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 07-11-2015 07:26:26

เป็นเรื่องที่ต้องตั้งใจอ่านและมโนตามเยอะมาก
อยากรู้เหลือเกินว่าเหล่าพี่ๆนี่มีปูมหลังอะไร
แถมน้องโรมก็ด้วย... ทำไมถึงกลายเป็นคนแบบนี้

เอาใจช่วยที่หนึ่ง ขอให้ที่หนึ่งมีกำลังใจต่อสู้เพื่อเป็นที่หนึ่งของน้องโรมให้ได้เร็วๆ
ขอบคุณมากค่ะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: GMJeam ที่ 07-11-2015 07:32:27
ที่หนึ่งสู้ๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 07-11-2015 07:58:48
ไวท์เป็นอะไร
ใครนะที่กลับมา
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 07-11-2015 09:09:24
สู้ๆ นะที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: oss_tw ที่ 07-11-2015 09:34:47
อ่านถึงไวท์ เรานึกถึงเวลเลยอ่ะ

บุคคลลึกลับพอกัน

รอคลี่คลายความรู้สึกของน้องโรมต่อ

ที่หนึ่งสู้ๆน้า

  :L2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Ferin1A ที่ 07-11-2015 10:11:07
น้องโรมนี่น้องเล็กจริง ดื้อ เอาแต่ใจ แต่มีออร่าบางอย่างชวนปกป้อง
ทุกคนในเรื่องดูลึกลับหมดเลย  ที่หนึ่งปกติสุดแล้ว? มั้ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book (สิปป์นิช) [13.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 13-11-2015 22:53:41
Limited Book [สิปป์-นิช]

(1)

   ทุกคนสามารถเข้าไปในโลกของศิลปะ
   แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะ ‘เข้าถึง’  ศิลปะ


 
   ผู้ชายคนนี้ตาสวย


   ...จนน่ากลัว


   นั่นคือสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวยามเปิดไฟล์แนบ ผมกดเซฟรูปภาพไว้ในโฟลเดอร์งานภาพเหมือนของเดือนนี้ กลับมานั่งไล่ดูรายละเอียดที่ลูกค้าสั่งมาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ โลกออนไลน์เพิ่มวิธีการหารายได้ให้อาชีพนักวาดรูปบนมากกว่าสมัยก่อน


   และนี่ก็เป็นหนึ่งในลูกค้าที่มาใช้บริการโดยไม่เกี่ยงเรื่องราคาค่างวด


   ส่งงานภายในสองสัปดาห์ ใช้สีน้ำตามที่ผมถนัด รายละเอียดไม่จู้จี้จุกจิกเหมือนลูกค้าบางราย


   กลับมาเปิดไฟล์ที่เพิ่งเซฟลงเครื่องเมื่อกี้อีกครั้ง ภาพผู้ชายผิวขาวกำลังเอียงหน้าไปข้างหนึ่ง ผมสีดำตัดสั้นเปิดข้างเผยให้เห็นรอยไถเป็นรูปตัว D อยู่บริเวณเหนือใบหู ที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือจิวหลากหลายรูปแบบเรียงไล่ลำดับกันไปตาม แถมยังเจาะด้านในอีกด้วย


   โครงหน้าเรียกว่าสวยไร้ที่ติ คิ้วที่ไม่รกหรือบางจนเกินไป จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเฉียบกำลังเหยียดยิ้ม ผมไล่ดูโครงสร้างของใบหน้าอีกครั้งเพื่อจำลองรูปวาดคร่าวๆ พยายามเลยผ่านนัยน์ตาสีดำสนิทที่สบมาราวกับกำลังท้าทายความอดทนกับคนที่ดูภาพนี้อยู่ ตาสองชั้นรีสวยแบบคนตะวันตก คงเป็นพวกลูกครึ่งไม่ก็ลูกเสี้ยว


   ไม่เคยวาดรูปเหมือนของใครที่นัยน์ตาสวยได้ขนาดนี้มาก่อน


   “Happy Birthday to Dix”


   ผมทวนคำที่ลูกค้ารีเควสมา นั่นคงบอกได้ว่าผู้ชายในรูปชื่อ Dix และคงเป็นที่มาของรอยไถตัวดี มันอ่านว่ายังไงนะ เหมือนไม่ใช่ภาษาอังกฤษเลย


   ความจริงยังมีงานอื่นที่ค้างอยู่บนโต๊ะ ผมเลือกที่จะปล่อยงานเดิมให้วางทิ้งไว้อย่างนั้น จัดการปริ๊นท์ภาพสีต้นแบบออกมาอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมที่จะร่างดินสอลงกับกระดาษปอนด์แผ่นใหญ่


   ถามตัวเองเหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ยอมลัดคิวเอาภาพนี้ขึ้นมาทำก่อน ทั้งที่บอกกับตัวเองเสมอว่าจะไม่มีการลัดคิวใดๆ ทั้งสิ้นเพื่อเป็นมาตรฐานในการทำงานของตัวเอง


   ร่างรูปด้วยดินสอเฮชบีจนโครงรูปปรากฎอย่างรวดเร็ว ยิ่งประหลาดใจมากเข้าไปอีกที่เหลียวกลับมามองดูภาพต้นฉบับนับครั้งได้ การร่างภาพของคนที่ไม่รู้จักต้องกลับมาจดจำลักษณะเด่นต่างๆ บ่อยครั้ง แต่ไม่ใช่กับเขา


   เหมือนตรึงทั้งภาพไว้แล้วในความทรงจำ


   เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ใช้สมาธิทั้งหมดไปกับกระดาษขาวที่ถูกแต่งแต้มจนเต็มไปด้วยสีโทนหม่น จุดเด่นของงานผมคือใช้สีเข้มเป็นหลัก งานเกือบร้อยเปอร์เซนต์ไม่เคยมีการใช้สีสว่าง ประจวบเหมาะกับสมัยนิยมที่ใช้การแต่งรูปโดยเพิ่มค่าเฟด (Fade) เข้าไป งานของผมเลยมีลูกค้าต่อเนื่องไม่สะดุด


   วางพู่กันลงบนถาดสีหลังจากตวัดลายเซนต์รูปตัวอนันต์ลง ผมชื่อ ‘นิช’ ที่แปลว่า ‘นิรันดร์’ เพราะงั้นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นอมตะเลยกลายมาเป็นโลโก้ประจำตัว


   “สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้านะ...”


   อวยพรผ่านกระดาษสีหม่น เอื้อมมือไปหยิบซองสีน้ำตาลเตรียมจัดส่งให้กับผู้ว่าจ้าง ผมใช้บริการขนส่งเอกชนแทนที่จะเป็นบริการจากไปรษณีย์ไทยจึงไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพของหลังจากจัดส่ง กระดาษถูกสอดลงไปเกือบครึ่งแผ่นแล้วหยุดลงเสียดื้อๆ ยามที่สายตาสะดุดกับนัยน์ตาสีแปลกนั้นอีกครั้ง


   กวาดมือข้างที่ว่างสะเปะสะปะลงบนโต๊ะตัวเก่ง ขวานหาโทรศัพท์มือถือด้วยความตั้งใจที่จะถ่ายภาพนี้เก็บไว้ก่อน มือสไลด์เลื่อนหาโปรแกรมถ่ายรูปอย่างรวดเร็ว ผมมองภาพที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอของตัวเองด้วยความรู้สึกหลากหลาย อะไรบางอย่างกำลังเตือนผมว่ากำลังถลำตัวเข้าไปในโลกที่ไม่ควรไป


   “...ไม่ดีกว่า”


   วางโทรศัพท์ลง รีบเก็บภาพลงซองให้เร็วที่สุด


   มันก็แค่งานๆ หนึ่งอย่าไปให้ความสำคัญจนเกินไป เขาให้เงินเราส่งงานเท่านั้นเอง


   ต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจ


≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡


   คุณมีข้อความใหม่ 348 ข้อความ


   ตื่นมาพร้อมกับความประหลาดใจขั้นสุด เมื่อหน้าจอแมคที่ไม่เคยปิดโชว์ว่าโปรแกรมไลน์ของผมมีข้อความใหม่มากกว่าสามร้อยข้อความในช่วงเวลาหนึ่งคืนที่ผมหลับไป ส่วนอินสตาแกรมในมือถือก็มีการแจ้งเตือนว่ามีผู้ติดตามไอจีร้านวาดรูปเพิ่มขึ้นมาเกือบสี่พันคน แน่นอนว่ารวมถึงจำนวนไลค์ที่นับไม่ถ้วน


   เกิดอะไรขึ้น?


   ผมปล่อยให้ไลน์ค้างเป็นหลักร้อยไว้อย่างเดิม หันมาให้ความสนใจกับแอพพลิเคชั่นที่ให้ลงรูปพร้อมแคปชั่นอย่างไอจี จริงอยู่ว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมีการแจ้งเตือนเรื่องคนติดตาม แต่มันก็ไม่เคยเยอะขนาดนี้ในเวลาชั่วข้ามคืน ผมมั่นใจว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน


   จะเริ่มจากคนติดตามที่เพิ่มขึ้นมาคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก และยอดไลค์รวมถึงคอมเมนท์ก็เป็นตัวเลือกที่ตัดทิ้งไปเลยได้เช่นกัน ผมเลยเริ่มจากคำสั่งเรียกดูภาพที่ถูกแท็กขึ้นมาเผื่อว่าจะเจอคำใบ้สักอย่างที่ทำให้ผมพ้นจากทางเดินที่มืดบอดนี้ มีคนแท็กไอจีผมใหม่มาเป็นจำนวนไม่น้อย น่าสังเกตคือเกือบทั้งหมดเป็นรูปเดียวกัน


   รูปวาดสีน้ำของผู้ชายคนนั้น


   ผมเริ่มตงิดใจแปลกๆ ไล่ดูทีละรูปเผื่อว่าจะเจอเบาะแส บางรูปมีไลค์เพียงหลักหน่วยจึงตัดทิ้งไปได้เลยว่าไม่มีทางเป็นต้นเหตุของปรากฎการณ์นี้อย่างแน่นอน ไล่ลงไปเกือบสามสิบภาพถึงจะเจอสิ่งที่ตามหา



   _Dix_ : Thank you ps.ใครรู้จักคนวาดช่วยแท็กให้หน่อยนะครับ



   กดเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์ของเจ้าของ รูปตัวแทนเป็นเพียงช่วงนัยน์ตาที่ผมไม่มีทางลืมความสวยงามนั้นได้ คงเพิ่งเลยวันเกิดมาได้ไม่กี่ชั่วโมงเพราะสามสี่รูปหลังสุดคือปาร์ตี้ในร้านอาหาร กองของขวัญใหญ่โต จะมีก็แต่รูปเจ้าปัญหานี่แหละที่เขาถ่ายเดี่ยวไม่รวมกับของขวัญชิ้นอื่น


   จากส่วนไบโอเขียนว่าเป็น singer ถึงว่าคนติดตามเป็นแสน เมื่อได้ข้อสรุปให้ตัวเองว่าปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไรผมก็ปิดแอพไอจีลง มาให้ความสนใจกับไลน์ที่ยังคงเด้งอย่างต่อเนื่อง ไล่ดูคร่าวๆ แบบที่ไม่เข้าไปอ่านเนื้อความ เกือบทั้งหมดคือติดต่อจ้างให้วาดรูป


   ดูท่าว่าเดือนนี้งานผมคงแน่นเอี๊ยด


   ใช้เวลาเกือบทั้งวันในการเคลียร์ข้อความทั้งหมดในไลน์และไอจี ผมวางปากกาลงเมื่อจดข้อความสุดท้ายลงไปในสมุดเรียบร้อย หลับตาลงเพื่อไล่ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตั้งแต่เช้า นี่สินะที่เขาเรียกกันว่างานเข้า


   ผ่อนลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะช้าๆ บอกตัวเองว่าเลิกคิดเรื่องงานแล้วดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีก่อน


   บอกอย่างนั้นแต่ไม่อาจลบสายตาคู่สวยนั้นออกไปได้เลย


   “Dix...”


   จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าคำนี้อ่านว่ายังไง ในเมื่อไล่ภาพให้ออกไปจากความคิดมากเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผลผมเลยหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องเก่งของตัวเองขึ้นมาเปิดโปรแกรมบราวเซอร์อินเทอร์เน็ต พิมพ์คำว่า Dix พร้อมกับ Singer ลงไปจึงพบสิ่งที่ต้องการอยู่ลำดับต้นๆ เป็นแฟนเพจในเฟสบุ๊คมีคนไลค์ครึ่งล้าน


   นั่งตามอ่านหาข้อมูลของผู้ชายคนนั้น ชื่ออ่านว่าดิซ แปลว่าเลขสิบในภาษาฝรั่งเศส ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะเค้าหน้าก็ไม่ใช่แนวคนไทยเสียทีเดียว เป็นนักร้องใต้ดินที่มีผลงานเพลงออกมาต่อเนื่อง บางเพลงผมเคยฟังด้วยซ้ำแต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นเสียงของเขา ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นนักร้องที่ไม่มีสังกัดค่ายเพลง


   รูปภาพในอิริยาบทต่างๆ เรียกไลค์ได้เป็นอย่างดี และยอดจะพุ่งขึ้นไปมากกว่าเดิมถ้ารูปนั้นเป็นรูปที่เขาโชว์กล้ามหน้าท้องเรียงตัวสวยอย่างคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ


   หืม?


   หยุดตากับรูปที่เห็นเพียงเสี้ยวหน้าดูจากโลเคชั่นแล้วคงไม่พ้นร้านหรูสักแห่ง  ดิซในชุดสูทพอดีตัวยืนหลบอยู่หลังมุมกำแพง ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นที่ทำตัวร็อคตลอดเวลาคงไม่เหมาะกับชุดทางการได้ขนาดนี้ โลกไม่ยุติธรรมกับคนบางคนเลยจริงๆ  มือขวาที่จับเมาส์จัดการเซฟรูปนี้ลงเครื่องต่างหากโดยไม่เอาไปปะปนกับไฟล์ตารางงานอื่น


   หยิบกระดาษแผ่นหนาขึ้นมาไว้บนโต๊ะ กะโครงร่างคร่าวๆ ของรูปที่เพิ่งจะบันทึกล่าสุดว่าต้องใช้พื้นที่ส่วนไหนยังไงแล้วเริ่มร่างแบบทันที เป็นอีกครั้งที่ผมจำภาพของเขาได้ขึ้นใจทั้งที่ใช้เวลาดูเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น


   แล้วผมจะวาดไปทำไมน่ะเหรอ


   ในเมื่อเขาพาลูกค้ามาให้ผมขนาดนี้จะให้ผมรับทรัพย์ไปหน้าตาเฉยก็ไม่ใช่ล่ะมั้ง




   ...และผมน่าจะยอมเป็นคนเนรคุณ


   ในไอจีเต็มไปด้วยยอดไลค์สมกับมีผู้ติดตามเป็นแสน เขาลงรูปที่ผมวาดแล้วฝากส่งไปทางไปรษณีย์ลงในไอจีเมื่อสิบสองชั่วโมงที่แล้ว แท็กร้านของผมตรงกลางรูป แคปชั่นใช้เพียงอีโมติค่อนรูปหัวใจสีแดงสามดวงติดต่อกัน


   หัวใจอย่างนั้นเหรอ


   ไล่อ่านคอมเมนท์ตั้งแต่ต้น ส่วนมากเป็นแฟนคลับที่ตั้งข้อสังเกตว่าคนที่ให้จะต้องเป็นคนพิเศษของนักร้องหนุ่มอย่างแน่นอน เพราะเขาให้ความสำคัญกับรูปวาดสีน้ำนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว และครั้งนี้พิเศษยิ่งขึ้นโดยการใส่แคปชั่นรูปหัวใจที่มักเกี่ยวข้องกับเรื่องของความรัก


   “ทำบ้าอะไรของเขา...”


   ผมไม่ได้เขียนข้อความอะไรลงไปมากมายในการส่งครั้งล่าสุด ถ้าพูดให้ถูกคือเขียนเพียงแค่ ‘Thanks for support’ ลงไปเท่านั้นเอง


   “งานเก่ายังเคลียร์ไม่หมดเลยนะเว้ย”


   บ่นกับตัวเองอย่างไม่จริงจังนัก พอเขาลงรูปโปรโมตให้ผมแบบไม่เสียเงินสักบาทมันก็จะตามมาด้วยสมาชิกที่ทักผ่านช่องทางไลน์มาติดต่อเรื่องงานเป็นจำนวนไม่น้อย ได้เงินมันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ผมไม่ได้ทำเป็นอาชีพเต็มตัวขนาดนั้น เป็นงานอดิเรกที่ทำตอนว่างจะเป็นนิยามที่ถูกต้องมากกว่า


   จริงอยู่ว่าผมเรียนต่อในโรงเรียนศิลปะแทนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยตามค่านิยมของเด็กไทย มันไม่ได้หมายความว่าผมเรียนไม่เก่งหรอกนะเพราะผมเป็นหนึ่งในห้าของเด็กเรียนดีเสมอสมัยอยู่มัธยมปลาย ก็แค่ไม่ชอบที่ต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่กับโลกที่ไม่ใช่ของเรา สังคมที่ไม่ใช่ของเรา สี่ปีอาจไม่ใช่เวลายาวนาน ...และก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่สั้นเช่นกัน


   โชคดีที่พ่อกับแม่เคารพการตัดสินใจของผม ทั้งคู่จบปริญญาในต่างแดนเลยทำให้ความคิดความอ่านต่างจาก ‘คนอื่น’ ค่อนข้างมาก อีกอย่างงานศิลปะเองก็ไม่ใช่งานที่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคมมากเท่าไหร่นัก แต่พ่อแม่ผมก็บอกแค่เพียงว่า


   ‘หน้าที่ของหนูคือใช้ชีวิตให้คุ้ม หน้าที่ของพ่อแม่คือคอยสนับสนุนให้หนูได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากทำ’


   บุพการีใครก็ไม่รู้โคตรเท่


   ถามว่าเหงาไหมที่เห็นเพื่อนสนิทเกือบยกกลุ่มไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ก็เหงาแหละ เพียงแค่ว่าผมมีอิสระกว่าพวกเขาในการใช้ชีวิตที่ไม่โดนตีกรอบให้เรียนตามตาราง สอบปลายภาค ทำงานกลุ่ม วนเวียนไปเรื่อยๆ


   อาจเป็นเพราะผมชื่อนิช


   ที่แปลว่าผู้เป็นตัวเองได้เช่นกัน


   หลังจากที่ส่งรูปไปขอบคุณให้นักร้องไร้สังกัดคนนั้นผมก็คอยเตือนตัวเองว่าให้ลืมไปซะว่าทำอะไรลงไป ให้กลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงเสียที ผมว่าผมทำมันได้ดีมาตลอดนะ จนกระทั่งอีกฝ่าย ‘จุดเชื้อไฟ’ ขึ้นมาอีก


   คราวนี้ผมไม่รู้จะดับกองเพลิงนี้ได้อย่างไรจริงๆ


   ใช้ชีวิตอยู่กับความว้าวุ่นในหัวใจจนพอควรแก่เหตุ ผมสะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่านออกไปแล้วเดินไปนั่งหน้าคอมแมคเครื่องใหญ่ ไลน์ร้านบอกว่ามีมากกว่าร้อยข้อความใหม่ ผมไล่เพียงให้ผ่านตา ไม่มีอะไรน่าสนใจ


   เอ๋...?



   Di[X] : ขอจ้างวาดรูปหน่อยครับ



   ผมเปิดเข้าไปอ่านข้อความโดยไม่คิด เป็นพวกคลั่งนักร้องเข้าขั้นรึไงถึงใช่ชื่อไลน์เป็นชื่อนี้ รูปตัวแทนก็เป็นรูปของนักร้องเจ้าปัญหาที่นำพามาซึ่งความปวดประสาทให้ผมไม่หยุดหย่อน



   infiNITy.gallery : ขอทราบรายละเอียดครับผม ; )

   Di[X] : รูปนี้ ขนาดเอสี่ ขอเลขบัญชีด้วย




   รูปที่เขาส่งมาไม่ต่างจากที่คาดไว้ รูปของดิซในอิริยาบทที่ผมว่าเป็นส่วนตัวไปสักหน่อย เขานั่งอยู่บนเตียงหลังพิงกับพนัก ท่อนบนเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมีผ้าห่มสีขุ่นบังท่อนล่างไว้ ปากคาบแท่งนิโคตินสีดำสนิทไว้ มือข้างหนึ่งกำลังจุดไฟแช็คส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นมาบังลม จากความรู้สึกไม่คิดว่าเป็นรูปถ่ายแบบด้วยความเป็นธรรมชาติจนเกินไปหลายประการ
ถ้าให้เดาคงเป็นแฟนคลับที่คลั่งไคล้ไม่ใช่น้อยถึงมีรูปแบบนี้ได้



   infiNITy.gallery : มีรีเควสอะไรเป็นพิเศษไหมครับ หรือว่าให้วาดตามต้นฉบับเลย

   infiNITy.gallery : นี่ครับเลขบัญชี




   ผมถามตามสเต็ป ลูกค้าบางคนก็ชอบให้ปรับนู่นแต่งนี่ตามความชอบส่วนตัว จากทรงแล้วคงเป็นลูกค้าที่ไม่เรื่องมากถึงขอเลขบัญชีไวอย่างนี้ จัดการส่งภาพที่เต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการโอนเงินและวิธีการจัดส่งให้ตามไปอย่างไม่รอช้า


   การซื้อขายบนโลกออนไลน์ต้องเร็ว ทุกอย่างพร้อมที่จะเปลี่ยนไปในทุกนาที


   คำว่ารี้ดขึ้นทันทีที่รูปส่งไปถึง ไม่รู้ว่ารีบอะไรนักหนาขนาดนั้น ผมเปิดหน้าต่างสนทนาค้างไว้เผื่อว่าเขาจะตอบกลับมาว่าต้องการให้เพิ่มเติมอะไรพิเศษอีกไหม


   รอไม่ถึงห้านาทีเสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น


   ผมหยิบมือถือขึ้นมาสไลด์ดูข้อความใหม่ การแจ้งเตือนอัตโนมัติที่จะส่งทันทีที่มีการโอนเข้าของเงินจากธนาคารแห่งหนึ่ง จำนวนเงินที่ถูกโอนเข้ามามันมากผิดปกติจนผมต้องกระพริบตาซ้ำ


   มีอะไรผิดพลาดแล้วแน่


   หันกลับไปมองหน้าจอคอมที่เปิดค้างไว้ ลูกค้าปริศนาตอบกลับมาเมื่อนาทีที่แล้ว



   Di[X] : อยากวาดแบบไหนก็วาด

   Di[X] : โอนเงินแล้ว เช็คด้วย




   ภาพที่เขาส่งแนบกลับมาคือหลักฐานการโอนเงินบนธนาคารออนไลน์ ผมเทียบเลขบัญชีกับวันเวลาในการโอน พบว่าตรงกันทุกประการ



   infiNITy.gallery : คุณโอนเงินมาเกิน รบกวนขอเลขบัญชีเพื่อคืนเงินด้วยครับ

   Di[X] : ขอรับรูปวันเสาร์หน้า ที่ร้าน X-ART

   Di[X] : มาส่งเอง




   “...”

   สายตายังคงจ้องมองที่กระดานสนทนา ในใจเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อย่างแรกเลยคือผมไม่ชอบการออกไปพบปะผู้คนมากนัก อย่างที่สองคือผมสังหรณ์ในแปลกๆ ว่าอีกฟากไม่ได้เพียงแค่ชื่นชอบดิซเท่านั้น



   infiNITy.gallery : ขอเลขบัญชีดีกว่าครับ คนวาดไม่สะดวกในการเดินทางเท่าไหร่



   ความจริงบ้านของผมตั้งอยู่บนแหล่งทำเลทองของเมืองหลวง แต่ถ้าไม่อยากออกไปก็มีค่าเท่ากับไม่สะดวกในการเดินทางนั่นแหละ



   Di[X] : เจอกันเที่ยงตรง



   “คนบ้าอะไรเนี่ย”


   ผมยังคงทักตามไปอีกสองสามประโยค ลูกค้าแสนพิลึกเพียงแต่รี้ดแล้วไม่มีการตอบกลับใดๆ นั่นไง อยู่ดีไม่ว่าดี ดันเจอลูกค้าแปลกๆ อีกต่างหาก


   เปิดไฟล์รูปขึ้นมาดูอีกครั้ง ยอมรับเลยว่าผู้ชายคนนี้ดูดีจนน่าอิจฉาทั้งหน้าตารูปร่างและรสนิยมในเรื่องของแฟชั่น กลุ่มผมไม่มีใครบ้าแฟชั่นอย่างนี้สักคนเดียว ขนาดคนที่ดูเข้าสังคมมากที่สุดอย่างแบล็คเองก็จะมีรูปแบบการแต่งกายที่เป็นแพทเทิร์นเดิมซ้ำๆ วนไปมา กางเกงยีนส์แบรนด์ดังกับเสื้อยืดพอดีตัว พอดีมันเป็นพวกดูแลหุ่นตลอดเวลาไงเลยไม่ต้องมากังวลเรื่องรูปร่างขนาดนั้น


   สูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ


   เงินก็เข้าบัญชีมาแล้วอีก จะทำยังไงได้ล่ะ
 

≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book (สิปป์นิช) [13.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 13-11-2015 23:01:00



   เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอเมื่อไม่ต้องการ


   รู้ตัวอีกทีก็วันเสาร์เสียแล้ว ทั้งสัปดาห์ผมหัวหมุนกับงานวาดที่ยาวเป็นหางว่าว ได้นอนวันละไม่กี่ชั่วโมงเพราะต้องเร่งปิดงานล็อตนี้ให้หมดก่อนการสอบเก็บคะแนนที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วัน จริงอยู่ที่การวาดรูปวัดเป็นคะแนนได้ยาก ทักษะของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน แต่ผมก็ไม่ชอบให้ผลงานออกมาไม่ดีนี่


   สวมหมวกสีเทาเข้มใบใหญ่ที่น้องโรมกับเน็ทหุ้นกันซื้อในวันเกิดเพื่อป้องกันแดด ย่นหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจนักยามที่เดินออกมาเผชิญกับความพลุกพล่านภายนอก คน เสียงดัง มลพิษ ไม่เห็นน่าอภิรมย์ตรงไหน


   เปิดโทรศัพท์เพื่อเช็คเส้นทาง ร้านอยู่ห่างจากบ้านของผมเพียงสองป้ายรถไฟฟ้า ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีก็ถึงอย่างที่คิด ร้านคาเฟ่ขนาดสองชั้นสไตล์ลอฟท์แบบที่โปรดปรานเป็นพิเศษ ของในร้านเน้นโทนมืดอย่างดำเทามากกว่าที่จะเป็นสีโทนสว่างหรือเอิร์ธโทนอย่างที่นิยมกันในปัจจุบัน


   เดินไปสั่งลาเต้ปั่นพร้อมกับแซนวิชไส้ทูน่าเป็นสิ่งรองท้อง คงเป็นรสนิยมส่วนตัวของเจ้าของร้านที่ชอบแนวร็อคไม่ก็โกธิค ขนาดบาริสต้ากับพนักงานเก็บเงินยังมาในแนวชุดสีดำ เจาะจมูกเจาะปากกันหมด


   “ทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบสองบาทครับ”


   ผู้ชายผมสีเขียวมิ้นท์ยาวระต้นคอเอ่ยกับผม ป้ายชื่อที่กลัดอยู่เขียนว่า ‘PING’ เขาอยู่ในชุดเชิ้ตสีดำพับแขนถึงศอก มีโลโก้ร้านปักอยู่ตรงอกเสื้อ ที่สะดุดตาคงเป็นจิวใหญ่ที่เจาะตรงหางตา หน้าตาดี มีบุคลิก คงมีสาวน้อยหลายคนในร้านถูกล่อลวงด้วยหน้าตาของเขา


   วางซองงานลงบนโต๊ะคิดเงินเพื่อให้สะดวกแก่การหยิบของในกระเป๋า ผมคว้ากระเป๋าเงินของตัวออกมาเตรียมหยิบเงินในช่องใส่แบงค์


   “มาส่งของให้ดิซเหรอครับ?”


   “อะไรนะครับ?”


   “นี่” เขาชี้ไปยังซองสีน้ำตาลของผมที่มีเขียนมุมซองว่า Di[X] ตามชื่อไลน์ของคนสั่ง “ของดิซใช่ไหม?”


   “อ่า...ผมก็ไม่รู้ว่าลูกค้าผมชื่ออะไรแฮะ พอดีเขานัดให้ผมมาส่งงานที่นี่น่ะ”


   ตอบพลางยื่นแบงค์สีแดงให้เขาสองใบ ชายที่น่าจะชื่อว่าปิงเพียงส่ายหัวราวกับเอือมระอาอะไรสักอย่างเต็มทน “ไม่ต้องจ่ายหรอก เฮ้ยเอมมาดูหน้าเคาท์เตอร์แทนพี่แป๊บดิ” ท้ายประโยคหันไปตะโกนเรียกคนที่นั่งกดโทรศัพท์อยู่ถัดไป “คุณตามผมมา”


   ในมือเขามีถาดกลมสีดำที่มีเครื่องดื่มกับแซนวิชของผมอยู่ เขาพาตัวเองอ้อมออกมานอกเคาท์เตอร์แล้วนำผมไปยังบันไดวนที่ต่อไปถึงชั้นสอง ข้างบนสว่างมากกว่าข้างล่างพอควรเป็นผลมาจากการใช้กระจกบานใหญ่ติดไว้ตลอดแนว มีโต๊ะหลากหลายแบบให้เลือกสรรตามความชอบ


   เจ้าของคงจบพวกออกแบบภายในมาแหง


   พนักงานตัวสูงพาผมมายังโต๊ะสี่เหลี่ยมสีดำสนิทที่อยู่ริมสุดของร้าน วางของที่ผมสั่งลงแล้วหันมาบอกเสียงเรียบ


   “รออยู่นี่ เดี๋ยวพามา”


   “ขอบคุณมากครับ”


   ตอบกลับตามมารยาท ปิง (ผมจะโมเมว่าเขาชื่อนี้ไปแล้วกัน) พยักหน้าให้ผมแล้วเดินลิ่วไปอีกฝากหนึ่งของร้าน โต๊ะริมสุดติดกระจกในวันที่เมฆมากไม่ร้อนเท่าไหร่นัก ลูกค้าของผมคงมานัดรับงานที่ร้านบ่อยล่ะมั้งพนักงานเลยจำได้ขนาดนี้


   หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอะไรดูเรื่อยเปื่อย โลกโซเชียลเป็นอะไรที่ผมไม่เข้าไปมากนักด้วยสาเหตุหลายประการ อย่างที่ชัดที่สุดคือผมไม่รู้จะอัพเดตอะไรในชีวิตลงไปดีในเมื่อวงจรชีวิตของผมในแต่ละวันก็วนเวียนในรูปแบบเดิม เฟสนี่มีเหมือนไม่มี จะเข้าไปดูไอจีบ่อยหน่อยเพราะต้องตอบคำถามลูกค้า


   เสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นไม้ทำลายความเงียบ มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนหางตาผมเหลือบไปเห็นว่ามีใครกำลังนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ไหนขอดูหน้าลูกค้าแสนพิลึกหน่อยเหอะ


   “...”


   ลูกค้าพิลึกที่ไหนกันล่ะ


   นี่มันดิซตัวจริง


   ผู้ชายนัยน์ตาสวยในชุดลำลอง เสื้อเบสบอลตัวโคร่งสีกรมท่ากับสร้อยเงินเส้นใหญ่ ผมสีดำสนิทที่ลู่ลงเพราะไม่เซตอะไรไม่ได้ทำให้รัศมีความหล่อบนใบหน้าลดลงเลยแม้แต่น้อย


   เราสองคนจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ จนเป็นเขาที่แย้มยิ้มออกมาก่อน


   “สวยอย่างที่คิดจริงด้วย”


   “ครับ?”


   “คิดไว้แล้วว่าคนวาดต้องสวยไม่ต่างจากงาน”


   คิ้วผมขมวดเข้าหากัน ขยับแว่นให้เลื่อนขึ้นไปอยู่บนสันจมูกแบบเดิม ปลอบตัวเองว่าคนดังก็มักจะมีอะไรแปลกๆ อย่างนี้เสมอแหละ


   “นี่ครับงาน” ผมวางซองงานลงกับโต๊ะ “แล้วนี่ก็เงินที่โอนมาเกิน”


   “อืม”


   “ตรวจงานก่อนไหมครับ?”


   “ไม่ล่ะ”


   เขาไม่สนใจกับซองงานหรือเงินที่ผมวางไว้ตรงหน้าเขา ดิซยังคงมองผมไม่วางตา มีเพียงริมฝีปากที่ขยับตอบยามที่ผมถามไป
ไม่โอเคแฮะ...


   ยอมรับเลยว่ารู้สึกแปลกๆ ตอนที่มองกลับไปยังนัยน์ตาคู่สวยนั้น


   “งั้นขอตัวกลับก่อนนะครับ”


   “เดี๋ยว”


   “ครับ?”


   “ขอเบอร์”


   ใบหน้ายิ้มการค้าของผมหายวับ เหลือเพียงรอยเรียบตึงที่ส่งกลับไป มันเป็นระบบการทำงานของใบหน้าผมน่ะ สร้างหน้ากากขึ้นมาปิดบังความรู้สึก อย่างที่ใส่แว่นนี่ก็ทำให้อีกฝ่ายมองไม่เห็นอาการตอบโต้ของผมดีเหมือนกัน


   “ถ้าอยากติดต่อผมสะดวกเป็นไลน์ร้านมากกว่าครับ”


   “งั้นขอไลน์”


   “ไลน์เดิมที่ใช้อยู่เลยครับ อินฟินิตี้แกลอรี่”


   ถ้าเขาฉลาดพอก็จะรู้ว่าผมหมายความว่าจะไม่ให้ในสิ่งที่เขาขอ ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศไม่ช่วยให้อาการตื่นตัวของผมลดลงเลย ความจริงเขาก็ไม่ได้แสดงอาการคุกคามอะไรเลยสักนิด มีแต่นัยน์ตาสีดำแปลกที่จ้องมาไม่ลดละอย่างเดียวนั่นแหละ แค่นั้นก็ปลุกสัญชาตญาณหลีกหนีอันตรายขึ้นมาได้มากโข


   “อยากได้ไลน์ส่วนตัว”


   “ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าส่วนตัว เฉพาะส่วนบุคคลน่ะ”


   หยั่งเชิงจนรู้แล้วว่าไม่มีประโยชน์ที่จะมีมารยาทด้วย เขายกยิ้มมุมปากขึ้นตอนที่รับรู้ถึงคำตอบของผม ให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้แค่กระตุกยิ้มยังอันตรายเลย!


   “ผมชอบคุณจัง”


   “?”


   “เผื่อติดต่องานด่วน ผมชอบงานของคุณ” เสียงทุ้มลึกกังวาลอย่างคนที่ฝึกเสียงมาดี ผมเองก็เล่นดนตรีอยู่ทำไมจะไม่รู้ว่าเสียงของเขามันสวยแค่ไหน “ตัวคุณก็น่าสนใจ”


   “ขอบคุณที่ชอบงานผม” เลือกที่จะทำเป็นหูทวนลมกับท้ายประโยค


   “อย่าลืมไลน์”


   “คุณควรจะไปเรียนวิธีการขอไลน์จากคนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกใหม่นะ”


   “เอาไอดีมา”


   เจอคนเอาแต่ใจยิ่งกว่าเน็ทซะอีก ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน คงเป็นพวกศิลปินที่ถูกตามใจจนเสียคนอยากได้อะไรก็ต้องได้ตามที่คิด ไม่โกรธที่โดนเรียกว่าคนสวยหรอกเพราะผมได้หน้าของแม่มามากกว่าพ่อ ผมก็ยาวกว่าคนทั่วไปหน่อยเพราะไม่ชอบเข้าร้านตัดผม แถมยังผิวขาวอย่างที่ผู้หญิงสมัยนี้คลั่งไคล้ ทำท่าทีว่าจะเขียนให้ตามคำขอ กรรมวิธีทั้งหมดผ่านไปอย่างเชื่องช้าเพราะผมจงใจที่จะถ่วงเวลาให้ตัวเองหาทางหนีทีรอดอย่างอื่นก่อน


   “ไม่ตอบคนแปลกหน้า”


   ยื่นให้คืนพร้อมตัวอักษรภาษาอังกฤษบนกระดาษ ผมไม่ได้ใจง่ายอะไรขนาดนั้นแต่ถ้าไม่ให้ไปเขาก็ติดต่อผมทางไลน์ร้านได้อยู่ดี ยิ่งอีกฝ่ายมีพาวเวอร์ในด้านจำนวนแฟนคลับหนุนหลังด้วยแล้วผมยิ่งไม่อยากจะดื้อแพ่งอะไรมาก ขอให้อย่างน้อยที่สุดผมได้อยู่อย่างสงบในโลกใบเล็กของตัวเองต่อไปก็พอแล้ว


   “ผมชื่อสิปป์ สออิปอปอการันต์ คุณล่ะ”


   ชื่อแปลกหู


   แสดงว่าชื่อดิซเป็นแค่ชื่อในวงการสินะ แล้วเขาจะมาบอกชื่อจริงผมทำไมกัน


   รออีกสักพักเพื่อดูว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไร สิปป์ผายมือทางผมเป็นสัญญาณให้แนะนำตัวบ้าง


   “นิช” ตอบสั้นเพื่อแสดงออกว่าไม่ต้องการเสวนาต่อ


   “งั้นเราก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าแล้ว อย่าลืมตอบไลน์ผมนะนิช”


   บ้าจริง ได้แต่สบถในใจที่รู้ว่าตัวเองเสียท่าให้กับคนตรงข้ามเสียแล้ว สิ่งที่เขาทำคือยกกระดาษแผ่นเล็กขึ้นปิดริมฝีปากจนเหมือนกับกำลังจูบมันอยู่ การกระทำที่ดูเหมือนจะปกติแต่ใจผมกลับแกว่งผิดจังหวะ


   ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์เกินไป


   “ไม่”


   “จะรอนะ”


   อยากจะกรอกตาใส่เสียเหลือเกิน ผมกวาดอุปกรณ์ที่เป็นของตัวเองลงกระเป๋าอย่างเร็วที่สุด ไม่หันไปมองว่าผู้ชายชื่อแปลกจะจับจ้องผมด้วยสายตาแบบไหนอีก


   “งั้นผมขอตัวก่อน”


   ก้าวเท้าให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดินสวนกับผู้ชายผมสีเขียวสว่างตรงทางออก เขาเพียงยิ้มลาให้ในขณะที่ผมหน้าตึงใส่เขากลับ จนกระทั่งมั่นใจว่าพ้นจากรัศมีของการตามหาแล้ว ผมถึงหยุดเดิน หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเช็คว่าที่เคยตั้งคำสั่งไว้ยังไม่มีใครไปเปลี่ยนใช่ไหม


   User ID : XXXX
   Add by ID : Off


   แสยะยิ้มให้กับผลงานของตัวเอง


   การที่ผมให้ไอดีเขาไปง่ายๆ ไม่ได้เท่ากับว่าผมยอมแพ้สักหน่อยนี่



***
   เจ้าชอบโดนลิมิตจำนวนตัวอักษรตลอดเลยค่ะ ... ทำไมคราวนี้ถึงไม่เตือนว่าลิมิตตั้งแต่แสดงตัวอย่างนะ ไปเตือนตอนที่กดตั้งกระทู้แล้วเลยนึกว่าไม่โดนเสียอีก (งอแง)
   หลังจากที่แต่งแล้วลบ "ที่หนึ่ง" มาหลายรอบมาก ...เจ้าก็พบว่าการแต่งพี่นิชมันลื่นไหลกว่ากันเยอะเลยค่ะ (หัวเราะทั้งน้ำตา) การแต่งแบบตอนต่อตอนนี่มันก็มีข้อเสียอย่างนี้แหละค่ะ ยากมากที่จะเขียนให้จบได้ในหนึ่งสัปดาห์ สัปดาห์นี้เลยขอเอาพี่นิชมาขัดตาทัพก่อนนะคะ (ฮา) ที่ตั้งใจไว้คือจะลงอีกตอน (จะพยายามเข็นตอนที่10มาให้ได้ค่ะ) ในสัปดาห์หน้า แล้วเจ้าจะหายไปสอบจนถึงปลายเดือนธันวานะคะ ยิ่งสอบชีวิตก็ยิ่งวุ่นวายจังเลย ...
   มาสู้กับการสอบไปด้วยกันนะคะ ไฟต์!
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book (สิปป์นิช) [13.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 13-11-2015 23:54:13
แอร๊ยย พี่นิชทำไมมีเสน่ห์จัง หนุ่มนีกร้องดิซจะชอบก็ไม่แปลกนะคะ :o8:
แต่ว่ารุกเร็วมากกก พี่นิชของน้องโรมก็เจ้าเล่ห์เหมือนกัน งานนี้ใครจะชนะนะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book (สิปป์นิช) [13.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-11-2015 02:55:48
หลงมาทางนี้แทนที่หนึ่งซะแล้ว
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book (สิปป์นิช) [13.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: echoficy ที่ 14-11-2015 07:56:10
อร้ายยยย.  ทำเราหลงรักไปอีก1คู่. อยากกอ่านคู่สิปป์นิช อีกเยอะๆค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book (สิปป์นิช) [13.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 14-11-2015 09:27:08

นิชน่ารักมากเลย...
คนเคยเล่นดนตรีกับนักดนตรีมาเจอกัน
ก็สปาร์คเท่านั้นสิคะ กร๊ากกกกก (ไม่ค่อยจะอวยสิปป์เลย)

อยากรู้เหลือเกินว่าถ้ารุกหนักกว่านี้
พ่อสิปป์ไม่ต้องส่งรูปต้นฉบับที่เห็นเนื้อหนังมังสามากกว่านี้มาให้นิชวาดหรอกเหรอ?
อู๊ยยยยย! แค่คิดก็ฟินแล้ว วาด portrait สีน้ำของนายแบบนู๊ด กรั่กๆๆๆ (หืดหาด หืดหาด)
มั่นใจว่าถ้าเกิดเรื่องวิตถารอย่างนั้นขึ้นมาจริงๆ นิชจะจำภาพต้นแบบได้ขึ้นใจขนาดไหน...
เดี๋ยวนะ นี่นิยายรักใช่ไหม ได้ข่าว?!!

เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^ สู้ๆนะคะ รอที่หนึ่งกับน้องโรมอยู่ (พอๆกับ Dix & นิช เลยค่ะ)  :L2:



หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book (สิปป์นิช) [13.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 14-11-2015 19:48:34
คู่สิปป์นิชน่ารักจัง  :o8:

ที่หนึ่งรุกทำคะแนนหน่อยนะ เดี๋ยวคู่อื่นๆ จะแซงหน้าเอาได้

อยากเห็นคุณอนาคตของเน็ตด้วย :hao3:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book (สิปป์นิช) [13.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 16-11-2015 01:28:51
คือ...ถ้าบอกว่าคู่สิปป์กับนิชขโมยซีนคู่ที่หนึ่งโรมเต็ม ๆ จะว่าไง
555555555
มันเซ็กซี่มากอ่ะ รู้สึกมีพลัง รู้สึกว่าพ่อนักร้องหนุ่มนั่นค่อนข้างสตรองเลยทีเดียว
นิชต้องปวดหัวแน่ ๆ แต่ดูท่าคงจะแพ้ทางเหมือนที่โรมแพ้ทางที่หนึ่งละมั้ง
ช่วยลัดคู่นี้มาก่อนคู่หลักด้วยนะคะ พลีสส 555

แต่เอาจริง ๆ แล้ว เรื่องนี้มีแต่คาแรคเตอร์น่าสนใจทั้งนั้นเลยนะ
และค่อนข้างมีเอกลักษณ์ สำหรับเราเราว่าจริง ๆ แล้วคนที่ยากที่สุดคือโรมนะ
ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง เหมือนน้องมีนิสัยของทุกคนมาผสมกัน
แล้วก็มีปมอยู่ด้วย(มั้ง) สงสารที่หนึ่งเลยอ่ะ โดนไล่ โดนเย็นชาใส่บ้าง
5555555 แต่สู้ ๆ นะ เราเป็นกำลังใจ

ถ้าตอนนี้ก็จะมีตัวละครสามตัวที่ชอบ น้องโรม น่ารักดี ดูมีความแปลก
ที่หนึ่ง ที่เวลาบรรยายด้วยตัวเองนี่ภาพแตกต่างจากที่หนึ่งในสายตาคนอื่นมาก
คือมันทำให้รู้ว่า เออ โลกนี้มันไม่ได้มีใครเพอร์เฟคไปทั้งหมดนะ
ที่หนึ่งของทุกอย่างแต่ดันมีความป๊อด 555555555
คนสุดท้ายก็ เน็ท เวลามีบทเน็ททีไรจะชอบนึกถึงภาพ 'แมว' คือเป็นเคะที่ดูเอาแต่ใจมากแต่น่ารักดีจัง
และอีกอย่างอยากรู้เรื่องน้องเค้าด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book (สิปป์นิช) [13.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 19-11-2015 13:43:32
เรื่องของนิชน่าติดตามเช่นกัน ขอบคุณฮะ

ขอให้สอบผ่านฉลุยสมใจนะฮะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 20-11-2015 20:09:45
บทที่ 10

   NRome : สามวันแล้ว

   NRome : เปลี่ยนรูปด้วย

   TeeNueng : ชอบ ไม่อยากเปลี่ยน

   NRome : ไหนสัญญาว่าจะลงแค่สามวันไง ครบแล้ว

   TeeNueng : ขอขยายสัญญาหน่อยครับ



   "ไอ้บ้า..."

   ผมยังไม่ตอบกลับ เลื่อนไปกดตรงรูปตัวแทนของอีกฝ่ายแทน หน้าโปรไฟล์อย่างย่อปรากฎขึ้นตามมา ทั้งรูปที่เขาใช้อยู่ในตอนนี้และสเตตัสเล่นเอาผมไม่ต่อไม่ถูก

   <<< ที่หนึ่ง

   ที่หนึ่งใช้รูปตัวแทนเป็นแผ่นหลังของผมกำลังหันหน้าไปมองอะไรสักอย่างในวันที่ไปปั่นจักรยานด้วยกัน ป้ายชื่อที่ไม่รู้ว่าเลื่อนไปอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่โชว์ชื่อหรา คิดว่าคงเป็นเขาเองที่ถ่ายรูปนี้เก็บไว้ตอนที่ผมกำลังเผลอ คือ...เขาเข้าใจว่าคนอื่นจะเชื่อหรือไงว่าแผ่นหลังเล็กๆ แคบๆ นี่เป็นของเขา?

   ที่แย่ที่สุดคือมีคนรูปนี้ไปลงเพจคิวท์บอยของมหาวิทยาลัย ไม่เข้าใจจริงเลยว่าภาพที่เห็นแค่ข้างหลังพร้อมป้ายชื่อที่เขียนว่าหนึ่งนี่มันดึงดูดตรงไหน ยอดไลค์ถึงขึ้นไปเป็นพัน เดือดร้อนให้ผมต้องไปขอให้แบล็คช่วยไปเจรจา (และบังคับ) ให้ลบภาพทิ้ง เนื่องจากว่ามีหลายคนเข้ามาให้ความเห็นว่าคนในรูปชื่อโรมไม่ใช่ที่หนึ่งสักหน่อย หลังจากนั้นก็มีการอภิปรายเรื่องที่เราสลับป้ายชื่อกันเกิดขึ้น

   ต้องขอบคุณเด็กนิติผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ผมไว้ใจให้เพื่อนสนิทอันดับหนึ่งเป็นคนไปคุยเพราะแบล็คเองก็เคยโดนเอารูปไปลงโดยไม่ได้ขออนุญาตเช่นกัน ถึงจะไม่ได้แสดงออกถึงอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่โดนละเมิดสิทธิส่วนบุคคลใช่ว่าเขาจะไม่พอใจ จัดการรวมรวมกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์และการละเมิดไปให้แอดมินอ่านยาวเป็นกิโล หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเห็นใครกล้าลงรูปราชาสีดำแห่งคณะนิติศาสตร์อีกเลย

   TeeNueng : คำขอถูกปฏิเสธเหรอครับ

   เขาส่งรูปหมีสีขาวแอบอยู่หลังเสามาให้ด้วย ที่หนึ่งนี่มีสติกเกอร์กี่ร้อยแบบกันนะ ไม่ว่าเขาจะคุยเรื่องอะไรอยู่ก็จะมีตัวแสดงความรู้สึกที่เข้ากับสถานการณ์ทุกทีไป

   จะเรียกว่าความสัมพันธ์ของผมกับเขาดีขึ้นก็ไม่เชิง หลังจากวันนั้นแล้วเราก็คุยกันตามปกติ ที่เปลี่ยนไปก็อย่างเรื่องรถที่ขับไปรับส่งผมจากอีโค่คาร์เป็นรถหรูฝั่งยุโรป ส่วนหนึ่งก็เพราะแบล็คต้องตามไปดูแลฝาแฝดของเขาด้วยล่ะนะ ผมเองยังไม่เจอไวท์อีกเลย ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว

   NRome : ใช่

   TeeNueng : เก็บไว้พิจารณานานกว่านี้หน่อยสิ

   NRome : ไม่ ยุ่งอยู่

   TeeNueng : ไม่มีการบ้านแล้วนี่?


   อีกการเปลี่ยนแปลงในชีวิตการเรียนของผมคือช่วงนี้ผมกลายเป็นเด็กเรียนขึ้นมาสามสิบเปอร์เซนต์ครับ ที่หนึ่งชอบพาผมไปหาที่นั่งอ่านหนังสือไม่ก็ไลน์มาเตือนให้ทบทวนบทเรียนเสมอ ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมตอนมอปลายเขาถึงได้ตำแหน่งที่หนึ่งของระดับชั้นบ่อยๆ


   NRome : ยุ่ง กลิ้งอยู่บนเตียงนี่ยุ่งมาก

   TeeNueng : ลุกขึ้นมาเลยนะ แล้วนี่บอกจะซักผ้าทำรึยัง?

   NRome : ยัง เดี๋ยวทำ

   เขาส่งสติกเกอร์กระต่ายหน้าโกรธมาให้

   TeeNueng : ไปทำตอนนี้เลยน้องโรม



   หัวเราะให้ตำแหน่งคุณพ่อบังเกิดเกล้าที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ วางมือถือไว้บนเตียงแล้วเดินออกไปยังห้องนั่งเล่น พูดไปเรื่อยอย่างนั้นเองแหละที่จริงผมเอาผ้าลงไปปั่นในเครื่องตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว ก็หนึ่งชอบสั่งผมนี่นา ให้ผมได้มีหนทางระบายความเครียดบ้างเถอะ

   เอ๋ ใครเอาอะไรมาติดไว้ที่หน้าประตูห้อง?

   'ไปกับเน็ท กลับดึก'

   ลายมือตวัดสวยงามบนกระดาษโพสอิทแผ่นเล็กอย่างนี้มีอยู่คนเดียว ทำไมเน็ทกับแบล็คถึงไม่ยอมมาชวนผมล่ะ ขี้โกงชะมัดเลย ลงไปเก็บผ้าที่ปั่นเสร็จแล้วให้เรียบร้อย ขึ้นมาเปิดบานเลื่อนที่ต่อไปยังลานซักล้างขนาดเล็ก หลังจากที่พายุเข้ามาสักพักวันนี้ถึงมีแดดให้ผมได้จัดการกองผ้าเน่าบ้าง

   "ไหนบอกว่ายังไม่ซัก?"

   เหลือผ้าในตะกร้าอีกเพียงแค่สามตัวเท่านั้น จะได้กลับไปนอนกลิ้งบนเตียงแล้ว

   "น้องโรม หลอกพี่เหรอ"

   ใครเรียกชื่อผมรึเปล่า?

   ผมเงยหน้าตามที่มีคนเรียกชื่อ มองบนล่างซ้ายขวาแล้วก็พบแต่ความว่างเปล่า นี่ผมว่างขนาดหูฝาดเลยรึไง

   "โรมครับ มองมาตรงๆ"  บ้าจี้ทำตามที่เสียงปริศนาบอก ข้างหน้าตรงกับระดับสายตาปรากฎว่ามีร่างของคนที่ผมไม่ได้ยอมไลน์ไปยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่

   "ว่าไง ใครบอกพี่ว่ายังไม่ซักผ้า"

   "...ทำไมอยู่ตรงนั้น"

   ที่หนึ่งเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยด้วยความประหลาดใจ "นี่อย่านะบอกว่าไม่รู้?"

   ถ้ารู้จะถามไหมล่ะ

   ผมรู้แค่เพียงว่าเจ้าของห้องฝั่งตรงข้ามเป็นเพื่อนกับแบล็คเท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนของที่หนึ่งด้วย คนที่วันนั้นผมเจอเขาอยู่ด้วยกัน ผู้ชายที่หันหลังให้ผม

   "..."

   ยืนนิ่งโดยในมือยังมีไม้แขวนเสื้ออยู่ ประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวเองได้ใจความอย่างเดียวว่า

   "ห้องนาย?"

   ยิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์ส่งมาให้ผม "เก่งมาก"

   "..."

   ชีวิตการเป็นเด็กหอไม่ได้สนุกสนานอะไรขนาดนั้นสำหรับผมอยู่แล้ว การที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่โดยลำพังปราศจากการดูแลของพ่อแม่มันไม่ได้ยากขนาดที่อยู่ไม่ไหวหรอก เรื่องเพื่อนข้างห้องอะไรอย่างนี้ก็ไม่สนใจที่จะรู้จักทักทายอะไรกัน อย่างห้องต่อจากผมเป็นแบล็ค ส่วนอีกฝั่งเป็นใครก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตัวเองที่จะไปตามหา ไม่ต้องพูดถึงห้องที่อยู่ตึกตรงข้ามเลย คงเป็นคนบ้ามากๆ ที่จะทำความรู้จักกันน่ะ

   "ไม่ตากผ้าต่อล่ะ" เขาชี้มาที่ไม้แขวนเสื้อในมือของผม "ไม่รีบตากเดี๋ยวผ้าก็เหม็นอับหมด"

   "มันไม่อับเร็วขนาดนั้นหรอกน่า"

   ทำหน้ายู่ใส่คนชอบสั่ง รีบสะบัดผ้าแล้วตากจนครบหมดทุกตัว

   "หมดแล้ว" คว่ำตะกร้าประชดให้ด้วย

   "แล้วจะทำอะไรต่อ?"

   "นอนเล่น" วันนี้มหาวิทยาลัยหยุดภายใน จัดงานประชุมเสวนาอะไรสักอย่างที่ดูอลังการล้านแปด ผมเลยใช้เวลาให้คุ้มค่าด้วยการพักผ่อนเก็บแรงให้เต็มที่ไว้สำหรับควิซสัปดาห์หน้า

   "ไม่ต้องเลย จะนอนอะไรทั้งวัน"

   "ก็ว่าง แบล็คไม่อยู่ด้วย"

   "งั้นเย็นนี้ก็ต้องกินข้าวคนเดียวสิ"

   "ก็คงอย่างนั้น" ผมเลิกให้ความสนใจกับความรู้ล้านแปดที่เขามีเกี่ยวกับผมแล้วล่ะ ที่หนึ่งรู้ตารางเรียนทั้งหมดยังไม่เท่ากับรู้ตารางชีวิตของผมละเอียดยิบ คันปากอยากเล่าให้คนอื่นฟังว่าเดือนคณะแสนดีมีงานอดิเรกเป็นสโตรกเกอร์ตามติดทุกฝีก้าว ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พูดไปใครจะเชื่อ

   "งั้นเดี๋ยวไปกินด้วย เจอกันกี่โมงดี"

   "เดี๋ยวค่อยบอกได้ป่ะ ยังคิดไม่ออก"

   "หรือจะเข้าเมือง"

   ยกมือขึ้นมาไขว้กันเป็นรูปกากบาท ในเมืองมันวุ่นวายเกินไปสำหรับผม ทั้งแย่งกันกินแย่งกันใช้การจราจรก็ติดขัดอีก มีครั้งนึงเคยตามเน็ทเข้าไปซื้อของที่พารากอน ติดอยู่บนถนนเกือบชั่วโมงแล้วยังต้องวนหาที่จอดรถอีกสามสิบกว่านาที เข็ดตลอดกาลไม่เอาอีกแล้ว

   "ก็ไปเลือกมาแล้วกัน เจอกันสักห้าโมงครึ่งเนอะ"

   "ทำไมมึงไม่เลือกบ้างอะ ให้กูเลือกทุกทีเลย"

   "ไม่พูดกูมึงสิน้องโรม" วูบหนึ่งผมเห็นภาพนิชซ้อนทับกับเขา ไม่รู้ไปติดโรคพูดเพราะนี้กันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ "หนึ่งกินได้หมดนั่นแหละ ไม่ได้ชอบกินอะไรเป็นพิเศษขนาดนั้น"

   "ไม่เอา กูสั่งให้มึงเลือก"

   เขาหลุบตาต่ำลงเพื่อใช้ความคิดก่อนที่จะเสนอ "สุกี้ไหม"

   ก็น่าสนนะ วันก่อนที่แบล็คชวนไปกินชาบูก็ยังไม่ได้ไปเลย 

   "ดีล"

   "โอเค อีกสิบห้านาทีเจอกันข้างล่าง" เขายกมือเป็นรูปตัวโอแล้วเตรียมหันหลังกลับเข้าห้อง เดี๋ยวนะครับ ที่หนึ่งกำลังเมาเรื่องเวลาอยู่รึเปล่า

   "ไหนบอกข้าวเย็น?"

   "ก็ข้าวเย็นไง"

   "นี่มันเพิ่งบ่ายสองนะหนึ่ง" ยกหน้าปัดนาฬิกาให้อีกฟากของตึกดู คือมันไม่มีทางเห็นหรอกหน้าปัดอันเล็กแค่นี้ ผมก็แค่ใช้มันในการประกอบประโยคเท่านั้นเอง

   "กว่าจะซื้อของครบก็เย็นพอดีนั่นแหละ"

   "หา...?"

   "ห้องหนึ่งมีหม้อสุกี้ เดี๋ยวซื้อมาทำกินกันเองแล้วกัน"

   คิดว่าระบบการประมวลผลของผมกับที่หนึ่งอยู่กันคนละส่วน ความหมายของสุกี้ที่ผมเข้าใจคือเอ็มเคไม่ก็ชาบูแถวมอ ไม่ได้ตีความอย่างกว้างไปถึงการทำเองเลยสักนิด ผมอยากจะค้านแต่อีกฝ่ายหายไปแล้ว พาร่างเอ๋อๆ ของตัวเองกลับเขามาเตรียมของที่จำเป็นในการออกไปข้างนอกอย่างโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์ ผมไม่ได้เรียงลำดับความสำคัญผิดหรอกนะโทรศัพท์มาก่อนเงินอีก มีพี่คอยจ่ายเงินให้ตลอดจนไม่ค่อยเห็นความสำคัญของมันเท่าไหร่

   คว้าหมวกตามที่เขาไลน์มาเตือนเมื่อสักครู่ แถวนี้ห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุดต้องขับรถไปประมาณสิบห้านาที ไม่รู้ว่าจะให้ใส่หมวกเข้าไปเดินเล่นในห้างเพื่ออะไรกัน

   "อะ ถึงแล้ว โรมถือนี่ลงไปด้วย"

   "..."

   ระบบประมวลความคิดของผมกับเขาอยู่กันคนละส่วนจริงๆ นั่นแหละ ผมควรจะเอะใจตั้งแต่ทางออกที่เขาใช้แล้วว่ามันคนละทางกับที่ปกติรถตู้ภายในมอใช้ประจำ แถวยังเลี้ยวเข้ามาในซอยที่คุ้นตา

   ครับ ...เขาพาผมมาตลาดสด

   "นี่คิดว่าจะไปห้าง"

   "ซื้อที่นี่ใกล้กว่าตั้งเยอะ"

   ตอนนี้ผมกับเขายืนอยู่หน้าลานขนาดใหญ่ที่มีหลังคาขนาดใหญ่ไว้กันแดด ป้ายขนาดมหึมาติดว่า 'ตลาดเนื้อสด' ช่วยบอกประเภทของสินค้าที่เรากำลังจะเข้าไปซื้อ สิ่งที่เขาให้ผมถือคือเครื่องสานมีหูหิ้วตามแบบฉบับของคุณปู่คุณย่าที่ใช้ในการเดินตลาด จะเตรียมตัวมาพร้อมมากไปแล้วนะที่หนึ่ง

   "พื้นจะลื่นหน่อยนะ เดินดีๆ"

   ถือว่าตลาดที่นี่สะอาดกว่าที่คิด ผมเคยไปตลาดแถวบ้านเมื่อนานมาแล้วมันค่อนข้างสกปรกแล้วก็อับชื้นจนไม่น่าจะผ่านเกณฑ์การตรวจสุขอนามันมาได้

   จุดแรกที่เรามาหยุดคือร้านขายเนื้อ ที่หนึ่งสั่งหมูแบบบดแล้วกับเนื้อหมูสันใน ผมยืนมองพ่อค้าตัวใหญ่แล่แบ่งเนื้ออย่างคล่องแคล่วตามที่ลูกค้าต้องการเงียบๆ ไม่กระโตกกระตากอะไร จะให้ผมสารภาพตรงนี้เลยมันคงไม่แย่มั้ง นี่มันเป็นการจ่ายตลาดอย่างจริงจังครั้งแรกของผมเลยล่ะ

   ปกติเคยทำอะไรเองที่ไหน มีพี่คอยดูแลประเคนให้ตลอด ขนาดแผนกของสดในห้างผมยังเข้าไปต่อเมื่อถูกสั่งให้ซื้อจำพวกไส้กรอกกับเบคอนกลับบ้านด้วยเท่านั้นเอง

   "อยากกินไก่ไหม?"

   "ไม่อะ"

   "งั้นไปเลือกปลากันเนอะ"

   มือของที่หนึ่งยกขึ้นมาไล่ลิสต์รายชื่อของที่จำเป็นในการใช้สำหรับอาหารมื้อดึก ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าการกินอาหารมื้อหนึ่งมันจำเป็นต้องใช้ของเยอะแยะขนาดนี้ เดินมองซ้ายมองขวาดูสิ่งที่ต่างออกไปจากชีวิตประจำวันเรื่อยเปื่อย เพียงไม่กี่ล็อคร้านค้าก็เปลี่ยนจากเนื้อสัตว์เป็นหมวดอาหารทะเล

   "ทำไมโรมถึงชอบกินปลาล่ะ?"

   ไหล่ผมไหวขึ้นลง "จำไม่ค่อยได้แล้วอะ เหมือนตอนนั้นที่บ้านจัดงานอะไรสักอย่างแล้วเนื้อมันไม่ดีล่ะมั้ง ความจริงแบล็คกับไวท์ก็โดนกันหมดนะ มีแต่กูนี่แหละที่เข็ดยันตาย"

   "น้องโรม"

   "มีอะไรอีก?"

   "ไม่ใช้คำหยาบสิ ไม่น่ารักเลยนะ"

   "ทีตัวเองพูดกับพวกนิชยังใช้มึงกูเลย สองมาตรฐานอะ"

   "ใช่ หนึ่งมีสองมาตรฐาน"

   "เอาแต่ใจว่ะ" ทำปากยื่นใส่ผู้ชายตัวใหญ่กว่า ผมเชื่อว่าคนที่เดินไปมาในตลาดแห่งนี้คงประหลาดใจกับภาพที่เห็นไม่ใช่น้อยเลยล่ะ ผู้ชายวัยรุ่นสองคนมาเดินซื้อของในตลาดสด นี่ตัวเองก็คอยสังเกตอยู่เหมือนกันว่านอกจากพวกผมแล้วจะมีคนวัยเดียวกันมาเดินซื้อของอย่างนี้ไหม ความสะดวกสบายมันทำให้คนรุ่นใหม่เสพติดอะไรที่ได้มาง่ายๆ

   "เวลาโรมแทนตัวเองว่าน้องมันน่ารักกว่าคำว่ากูตั้งเยอะ"

   ที่หนึ่งชอบทำตัวเป็นคนแก่หลงยุค ผมกล้าพูดเต็มปาก

   เราสองคนมาหยุดอยู่หน้าแผงปลาขนาดใหญ่ มีทั้งแบบยังเป็นตัวอยู่และแบบที่แล่ออกมาเป็นชิ้นแล้ว อืม เหมือนกันไปหมด

   "น้องโรมชอบแบบไหนครับ"

   "ชอบทุกแบบที่อร่อย"

   คนขายหัวเราะหัวเราะไม่หยุดตอนที่ผมตอบไปอย่างนั้น

   "แล้วแต่คนชอบนะ แต่เราเอาไปต้มงั้นเอาปลากะพงไหม?"

   "เอาแซลมอนด้วย"

   "โอเค เอาสองอย่างนี้ครับ" เขาชี้ไปตรงปลาที่น่าจะเรียกว่าปลากะพง 

   "รู้ได้ไงว่านี่ปลากะพงอะ?"

   หน้าเขาดูตกใจกับคำถามของผมอย่างมาก "นี่ไม่รู้?"

   "หน้ากูเหมือนเซียนปลาไหมล่ะ"

   อยากจะเปิดกูเกิ้ลมาเทียบว่านี่คือปลาอย่างที่ผมตามหาอยู่รึเปล่า อย่างน้อยผมก็ยังแยกได้ว่าปลาที่คอหักในเข่งเรียกว่าปลาทู พอมาอยู่ตรงนี้แล้วผมรู้เลยว่าตัวเองไม่มีความรู้หรือประสบการณ์อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลย แค่ปลาที่กินอยู่ทุกวันชื่ออะไรยังบอกไม่ได้

   "มาบ่อยเหรอ?"

   "ก็พอควรนะ ชอบมาเดินตลาดต้นไม้ข้างใน"

   "คนแก่"

   พื้นตรงนี้ลื่นกว่าที่อื่น คิดว่าเป็นเพราะโซนนี้ต้องใช้น้ำแข็งในการถนอมความสดของอาหารเอาไว้มาก วันนี้ผมก็ใส่น้องง่อย (รองเท้าจากตลาดนัดสองคู่ร้อย) ผู้ซึ่งไร้ดอกยางมาอีก

   "เราห่างกันแค่เก้าเดือนสิบห้าวันเองน้องโรม"

   "กล้าเรียกว่าแค่?"

   นี่คงเป็นที่มาของชื่อที่หนึ่งสินะ ผมเกิดวันที่สิบห้าเดือนเก้า เพราะงั้นเขาต้องเกิดวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ชีวิตเขาจะมีเลขอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องบ้างไหมเนี่ย

   "เก้าเดือนไม่ได้ทำให้หนึ่งเป็นตาแก่ขนาดนั้นสักหน่อย ...น่ะ ลื่นจนได้"

   น้องง่อยของผมเริ่มประท้วงแล้วล่ะ "แล้วทำไมไม่ชื่อปีใหม่"

   จากสถิติคนรอบข้างที่เกิดในช่วงเวลาวันที่หนึ่งถึงสามเดือนมกราคมแล้วผมสามารถสรุปชื่อยอดฮิตออกมาได้ดังนี้คือนิวเยียร์ ปีใหม่ ใหม่ และนิว พอเจออย่างนี้เข้าไปก็รู้สึกดีขึ้นมาทันตาที่พ่อแม่มีสตอรี่ในการตั้งชื่อให้

   "แม่อยากให้ชื่อที่หนึ่งมากกว่า"

   "ง่ายจัง ไม่มีที่มาที่ไปเหรอ"

   "จะเรียกว่ามีก็ได้ อะ น้องโรมเดินมองทางด้วยสิ" มือซ้ายของเขาจับต้นแขนผมไว้มั่นตอนที่ผมลื่นอีกครั้ง "ก็เป็นลูกคนแรกของครอบครัวใหญ่ เลยให้ชื่อที่หนึ่ง"

   "แล้วมีที่สองรึเปล่า"

   "ไม่มี เป็นลูกคนเดียว"

   ผลัดกันเล่าเรื่องไปมาระหว่างข้ามฝั่งไปซื้อผักสด ผมโดนพวกคุณพี่เคี่ยวเข็ญให้ไม่เลือกกินมาตั้งแต่เด็กเลยไม่มีปัญหาอะไรกับผักสีเขียวหลายอย่างที่เขาหยิบส่งให้แม่ค้า ที่เขาบอกว่ามาบ่อยพอควรคงไม่เกินกว่าที่พูดเท่าไหร่นัก ไม่เหมือนผมที่ยังคิดว่าขึ้นฉ่ายคือผักชียักษ์

   ขอร้องล่ะ ผมไม่ได้โง่ ผมแค่ไม่มีความรู้เรื่องนี้

   ว่าแล้วก็ส่งรูปไปอวดคนที่หนีเที่ยวดีกว่า ผมถ่ายรูปที่หนึ่งจากด้านหลังเพียงครึ่งตัวล่างเพื่อให้เห็นตะกร้าหวายที่เต็มไปด้วยอาหารสด จัดการส่งเข้าไปในกรุ๊ปของกลุ่มอย่างรวดเร็ว


   NRome : ไม่ง้อคนหนีเที่ยวหรอก แบร่


   "เหลือซื้อไข่ วุ้นเส้น แล้วก็คนอร์" เขาบอกผมหลังจากที่ตรวจสอบความถูกต้องภายในตะกร้า "อยากได้อะไรเพิ่มไหม?"
ส่ายหัวไปมา แค่เนื้อที่ซื้อมาแล้วผมยังคิดไม่ตกว่าจะกินกันหมดได้ยังไง

   "หนึ่ง ถ้าสมมติว่าให้เปลี่ยนชื่อได้ มึงอยากจะเปลี่ยนบ้างไหม?"

   ผมถามเขาระหว่างที่เราเลือกไข่ไก่ลงถุง ที่หนึ่งสอนวิธีการเลือกอยู่สองสามอย่าง วิธีที่ผมพยักหน้าคืนส่งๆ แล้วก็ใช้วิธีเลือกตามใจแบบเดิม อยากหยิบฟองไหนก็เลือกไป

   "ไม่นะ"

   "จริงอะ?"

   "ไม่เคยได้ยินเรื่องของฝรั่งที่ตั้งชื่อลูกว่าลูสเซอร์แต่ชนะหรือไง นั่นแหละ ชื่ออะไรก็ไม่เป็นผลหรอก"

   นี่คงเป็นเรื่องที่ผมกับเขาเห็นตรงกัน หวนคิดไปถึงคำที่วีเคยพูดไว้ว่าเราทุกคนมีความพิเศษในชื่อของตัวเอง เขายื่นแบงค์สีฟ้าให้แล้วรับถุงสินค้ามา ยื่นต่อให้ผมโดยกำชับให้ดูแลให้ดีไว้ ภารกิจของผมโคตรใหญ่หลวงบอกเลย

   "เหวอออ"

   ร้องเสียงหลงยามที่ร่างกายไถลไปตามทางอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ คราวนี้แย่กว่าทุกครั้งเพราะผมล้มก้นกระแทกลงไปกับพื้นอย่างจัง

   "อูยยย"

   โคตรเจ็บอะ ไม่มีคำอื่นใดอธิบายได้ดีเท่านี้อีกแล้ว

   "น้องโรม!"

   ส่วนที่หนึ่งชอบเล่นใหญ่เกินบท

   เขาแทบจะโยนตะกร้าลงตรงนั้นแล้วเข้ามาประคองผม มีหลายสายตามองมาที่เราเพราะเขาร้องเสียงหลงจนน่าตกใจ คือแค่ลื่นเนอะที่หนึ่ง ไม่ได้หัวฟาดพื้นอะไรสักหน่อย

   "หนึ่ง..." ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใส่เขา มันเจ็บอะ แล้วยังมีคนมองอีกเยอะแยะเลยฮือ...

   "โอ๋ๆ เจ็บมากเลยใช่ไหม"

   "เจ็บบบ"

   "ไม่เอาไม่ร้อง มาพี่หนึ่งโอมเพี้ยงให้นะคะ"

   "..."

   จะให้ผมเปรียบความรู้สึกตอนนี้ว่ายังไงดี

   มันอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจกับการที่เขาลูบหัวผมไม่หยุดพลางพึมพำอะไรไม่ได้ศัพท์ไปด้วย ผมชอบโดนแกล้งตั้งแต่เด็กเพราะตัวเล็กกว่าคนอื่นเขา ถ้ามีแผลเมื่อไหร่ก็จะร้องไห้งอแงมาให้พวกนั้นคอยปลอบอยู่ตลอด ยกเว้นเน็ทไว้คนนึงแล้วกันเพราะรายนั้นจะเข้ามาซ้ำแผลเดิมมากกว่าด้วยเหตุผลว่าผมควรจะดูแลตัวเองได้มากกว่านี้ จอมหวงน้องน่ะไม่ได้ตามใจขนาดนั้นหรอก

   "ไข่ยังอยู่ดีไหม?"

   อีกฝ่ายหัวเราะพรืดตอนที่ผมถามถึงภารกิจระดับชาติที่ตัวเองได้รับไว้

   "รอดปลอดภัย เดี๋ยวกลับไปซื้อรองเท้าใหม่เลยนะ" คราวนี้เขาไม่ปล่อยให้ผมเดินไปมาตามใจตัวเองอีกแล้ว มือที่ใหญ่กว่ายื่นมาจับมือผมไว้แล้วกลายเป็นว่าเรากำลังเดินไปพร้อมกัน

   ไม่มีอะไรหรอกมั้ง

   เขาก็แค่กลัวผมลื่นหัวฟาดพื้นไปเท่านั้นเอง

***
มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 20-11-2015 20:41:28

   "งั้นนั่งรอตรงนี้ เดี๋ยววนมารับ"

   "เดินไหว"

   "รอ ห้ามตามคนแปลกหน้าไปไหนเลยนะ"

   "คร้าบๆ"

   คนรอบข้างผมนี่ชอบสั่งกันจังเลยนะ ที่หนึ่งเดินลิ่วไปทางที่จอดรถไม่รอให้ผมเถียงอะไรกลับได้ จากตอนแรกที่ไม่รู้สึกเจ็บอะไรมากมันก็เริ่มออกอาการประท้วง น่าอายชะมัดมาลื่นอะไรอย่างนี้

   "จ๊ะเอ๋"

   ภาพสีทั้งหมดถูกกลบจนเป็นสีดำด้วยมือของใครบางคน ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เกือบจะฟาดด้วยถุงบรรจุไข่ไก่ในมือไปแล้วแต่ติดที่ไม่อยากเดินไปซื้อใหม่

   "ใครเอ่ยให้ทาย"

   พอคุ้นเสียงแล้วผมก็ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น "ไอ้วีรเวร!"

   "ทำไมพี่ต้องเติมชื่อผมด้วยวะ"

   "ทำไรของมึงเนี่ยยย" จัดการตีมือที่ยังปิดตาของผมไว้อยู่ไม่ยั้ง จนอีกฝ่ายยอมปล่อยให้สีสันกลับมาสู่โลกทัศน์ของผมอีกครั้ง วีเคลื่อนตัวมานั่งบริเวณม้านั่งด้านขวาที่ยังว่างอยู่

   "มาทักไง เห็นนั่งเอ๋อๆ อยู่คนเดียว"

   "เอ๋อพ่อง!"

   "ไม่ต้องเล่นถึงพ่อผมก็ได้มั้งพี่ นี่มาซื้อของเหรอ?"

   "มึงเห็นกูมาเปิดหมวกร้องเพลงป่ะล่ะ"

   "อ้าว เดี๋ยวสมทบทุนแป๊บ"

   หมดคำด่าแล้วครับกับเด็กปีหนึ่งคนนี้ ไม่ว่าจะแสดงออกถึงความเอือมเบื่อโลกปลงตกมากแค่ไหนก็ไม่เคยระแคะระคายความรู้สึกของเขาเลยสักนิด

   "ล่ะมาทำไร?" ก็เขาบอกไม่ให้ตามคนแปลกหน้าไป ไม่ได้บอกว่าห้ามคุย

   "มาซื้ออุปกรณ์เตรียมงานวันประกวดอะพี่ อย่าลืมมาเชียร์ผมนะวันพฤหัสหน้า"

   "ใครบอกว่ากูจะไป"

   "ผมถอดจิตไปคุยกับพี่ในฝันแล้วเมื่อคืน"

   "สัตว์..."

   หยาบคายกลับเล็กน้อยให้พอสบายใจ ผมไม่เข้าใจระบบการประกวดอะไรพรรณนี้เลย อย่างที่วีเคยเล่าเขาต้องมีการแสดงความสามารถอะไรก็ไม่รู้แล้วก็ต้องตอบคำถามสไตล์โลกสวยให้กรรมการฟังอีก ถามจริงเถอะว่าจุดประสงค์ของการมีกิจกรรมพวกนี้ขึ้นมาคืออะไร

   "แล้วพี่กลับไง กลับกับผมไหม?"

   "มากับหนึ่ง มันไปเอารถอยู่"

   "น่ะ แล้วบอกว่าไม่สนิท"

   "ก็ไม่สนิท"

   วีก้มลงไปเปิดไลน์ของตัวเอง ค้นหาอะไรที่ตัวเองต้องการเมื่อเจอแล้วก็ส่งมาให้ผมดู "ไม่สนิทแต่พี่เขาเอารูปพี่ขึ้นเป็นโปรไฟล์เนอะ"

   ผมถึงอยากให้ที่หนึ่งเปลี่ยนรูปไวๆ ไง เพราะมันจะมีคำถามพวกนี้ตามมาไม่มีหยุด

   "ในเพจผมก็เห็นนะ กดแชร์ไปแล้วด้วยพี่เห็นป่ะ"

   ไลฟ์สไตล์ของวีเรียกได้ว่าคนละโลกกับผม มันชอบอัพเดตชีวิตตัวเองลงโซเชียลเสมอ นั่นเลยเป็นเหตุที่จำนวนคนติดตามพุ่งไปเกือบหมื่น ผมจำไม่ได้ว่าเห็นภาพที่น้องแชร์รึเปล่าเพราะพอผมเห็นภาพนั้นแล้วสิ่งแรกที่ทำคือเอาไปฟ้องแบล็ค พอรูปโดนลบไปก็ไม่สนอะไรอีกแล้ว

   "กูเกรงใจ ไม่เป็นไรมึง"

   "แล้วทำไมไปเอาป้ายชื่อพี่เขามาใส่อะ ผมโคตรจี้ตอนที่อ่านคอมเมนท์แล้วมีคนบอกว่าพี่ที่หนึ่งทำไมตัวหดลง"

   "เข้าใจผิดนิดหน่อย" ไม่บอกว่าอีกฝ่ายตั้งใจต่างหาก ไม่อย่างนั้นไม่จบแน่ๆ

   "ผมสงสัยเรื่องนึง พี่ที่หนึ่งช่วงนี้ทำตัวติดกับพี่ตลอด เขาไม่ต้องไปตามจีบคนนั้นเหรอ"

   "มึงก็ไปถามเขาเองดิ"

   ปัดภาระให้อีกฝ่ายทั้งหมด ผมชะเง้อหารถหรูสีดำภาวนาให้เห็นโดยไวจะได้ไม่ต้องอยู่โดนซักฟอกไปมากกว่านี้

   "พี่ให้ผมถามได้ใช่ป่ะ"

   "..."

   กลับมามองหน้าเจ้าของคำขออนุญาต ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังแสดงพิรุธอะไรออกไปอยู่รึเปล่าในขณะที่ใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่งเรียบราวกับกำลังหยั่งเชิงอะไรอยู่ ซึ่งผิดปกติเป็นอย่างมาก วีมักจะมาพร้อมความสดใสร่าเริงอยู่เสมอ

   "กูห้ามได้?"

   "ผมจะถือว่าพี่อนุมัติแล้วนะ"

   "มึงไห..."

   "ว่าไงวี"

   ยังพูดไม่ทันจบที่หนึ่งก็เข้ามาแทรก เห็นรถของเขาจอดอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก บีบแตรเรียกก็ได้นะไม่ต้องลงมารับขนาดนี้

   "โย่ว พี่ที่หนึ่งสวัสดีคร้าบบบ"

   "สวัสดี มาซื้ออะไรเนี่ย"

   "ซื้อของเตรียมงานประกวดอะพี่ แต่เหมือนจะไม่ต้องซื้อล่ะ"

   "หืม?"

   "เปลี่ยนใจแล้ว แสดงอย่างอื่นดีกว่า" อาจเป็นเพราะอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน ผมเลยเห็นชัดว่าทั้งคู่กำลังแสดงออกแตกต่างกันแค่ไหน คนหนึ่งยิ้มท้าทาย ในขณะที่อีกคนพยายามรักษาสีหน้าเป็นมิตรไว้

   "ปีนี้เป็นกรรมการ จะรอดูแล้วกัน"

   "พี่สัญญาจะให้คะแนนผมเยอะๆ แล้วนะ"

   "บอกแล้วไงว่าถ้าแสดงดี"

   "หูย เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก" แต่ท่าทีที่แสดงออกมันโคตรน่าห่วงเลย ยิ้มที่กว้างจนเกินไปเหมือนกำลังปกปิดอะไรสักอย่างไว้ ผมสังหรณ์ใจชอบกล "รับรองว่าพี่ลืมไม่ลงแน่"
 


   กว่าจะถึงห้องก็ปาไปเกือบห้าโมงอย่างที่เขาบอกไว้ ตลกภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกลิฟต์ตอนที่ขึ้นไปยังห้องของเขา หน้าเคลือบเหงื่อแถมยังหิ้วของพะรุงพะรัง

   ตึกที่สร้างพร้อมกันก็มีแพทเทิร์นแบบเดียวกัน ที่หนึ่งยังไม่ยอมปล่อยมือผมจนถึงตอนที่ยืนอยู่หน้าห้องแล้ว พอกลับมาถึงห้องก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าการที่เขาอยู่ห้องตรงข้ามอย่างนี้เวลาที่ผมอยู่ห้องแล้วเปิดผ้าม่านไว้เขาก็เห็นหมดเลยสิว่าผมทำอะไรบ้างวันๆ
ไม่รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตสักนิด

   ถึงเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินจะเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน แต่ของตกแต่งอย่างอื่นมันก็เปลี่ยนความรู้สึกของห้องให้ต่างกันลิบลับ อย่างห้องของผมจะไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ เน้นหนักไปที่ของจำเป็นต่อการใช้ชีวิตเสียมากกว่า ถ้าเป็นห้องของแบล็คก็จะมีของหลากหลายอย่างผสมปนเปกันไปเพราะว่ามีของไวท์ด้วย ห้องของที่หนึ่งใช้เอิร์ธโทนเกือบหมด สีน้ำตาลไม้สีครีมอะไรอย่างนี้ อบอุ่นเหมือนเจ้าของห้อง

   "จะดูอะไรก็เปิดได้เลยนะ เดี๋ยวขอหมักหมูก่อน"

   "มีอะไรให้ช่วยไหม"

   ทำตัวไร้ประโยชน์มาตั้งแต่เช้าขอกู้ความน่าเชื่อถือของตัวเองหน่อยเถอะ

   "คิดว่าจะลื่นอีกไหมล่ะ?"

   "ที่หนึ่ง!"

   "ฮ่าๆ งั้นมาช่วยล้างผักมา"

   ผมก้าวไวๆ ไปหาเขาที่อยู่ในโซนครัวขนาดเล็ก ที่หนึ่งหยิบเขียงไม้ขนาดใหญ่ออกมาเพื่อไว้ใส่เนื้อสัตว์หลากหลายชนิด ผมเลยเบี่ยงตัวมาอยู่หน้าซิงค์น้ำที่อยู่ถัดไป

   "ล้างกับก๊อกนี่ใช่ป่ะ"

   "..." ถึงที่หนึ่งจะไม่ได้พูดอะไรออกมา ใบหน้าของเขาก็ช่วยบอกได้ว่าเขาดูประหลาดใจกับคำถามของผมมากอยู่

   "ไม่ได้เหรอ?"

   "ไม่ได้ ผักช้ำหมดสิ" เอื้อมมือไปเปิดตู้ที่อยู่ระดับสายตา ส่งกะละมังพลาสติกขนาดกลางมาให้ "เทเกลือ ขวดสีน้ำเงินนั่นน่ะลงไปผสมหน่อย แล้วค่อยล้างออกอีกสองที"

   ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่เลคเชอร์วิชางานครัวโดยอาจารย์ที่หนึ่ง

   ผมทำตามที่เขาสั่งทุกขั้นตอน ถึงจะเทเกลือมากไปหน่อยแล้วก็โดนดุเรื่องล้างผักได้รุนแรงมากก็ตามที จากนั้นก็ได้เวลาที่รอคอยนั่นคือโยนทุกอย่างลงในหม้อแล้วรอให้สุก ผมเปิดตรวจดูว่าภาพที่ส่งไปบอกว่าหนีเที่ยวมีใครตอบกลับมาอย่างไรบ้าง ในกลุ่มมีคนรี้ดเพียงคนเดียว บังอาจมากที่ไม่ตอบผม

   "ใครสอนทำอาหารเหรอ"

   "แม่กับย่า เป็นลูกคนเดียวก็อย่างนี้แหละ โดนลากให้ช่วยทำนู่นทำนี่"

   "ดีจังเลยนะ พวกนั้นไม่เคยให้กูทำอะไรเองเลยอะ"

   ตั้งแต่เด็กแล้วไม่เคยที่เหล่าพี่ทั้งหลายจะปล่อยให้ผมทำอะไรด้วยตัวเอง ขนาดจะต้มมาม่าแบล็คยังเคยมาคุมตั้งแต่ฉีกซองด้วยซ้ำ มันบอกว่ากลัวผมเอามือตัวเองจุ่มลงไปกับน้ำเดือด เอากับเขาสิ

   เสียงเคาะประตูดังขึ้น ที่หนึ่งวางชามของตัวเองไว้บนโต๊ะแล้วเดินไปเปิดประตูห้อง

   "อ้าว ไหนบอกจะมาดึกหน่อย"

   "พอดีเพื่อนนัดทำงานด่วนเลยรีบมาหาก่อน"

   "...!"

   เสียงของผู้มาใหม่ตรึงร่างของผมให้หยุดเคลื่อนไหว ลมหายใจสะดุดอย่างที่ต้องกำหนดลมหายใจเข้าออกไปมาเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดที่ไต่ระดับขึ้นไปสูงจนน่ากลัว ท่องบอกตัวเองให้ทำตัวเหมือนปกติที่สุด คำเล่าของผู้ชายสีดำกลับเข้ามาเตือนความจำ

   ผู้ชายคนนั้น...

   "งั้นเข้ามารอแป๊บนึง แฟ้มอยู่ในรถ"

   เจ้าของห้องเดินมาหาผมที่ยังคงนั่งหันหลังให้ประตู "อยู่กับเพื่อนหนึ่งไปก่อนนะ เดี๋ยวมา"

   อยากจะบอกว่าไม่ให้ไปก็ทำไม่ได้ ผมส่งยิ้มกลับไปให้ความมั่นใจว่าผมอยู่ได้ไม่มีปัญหาอะไร

   ประตูห้องปิดลง บอกว่าไม่อยากจะยุ่งแต่สุดท้ายแล้วความสงสัยก็ชนะทุกสิ่งอย่าง ผมเรียกกำลังใจให้ตัวเองแล้วกลั้นใจหันมามอง 'เพื่อนที่หนึ่ง' ภาวนาให้ผมหูฝาดจำเสียงของคนอื่นสลับกันไปทั่ว

   ...

   และพระเจ้าไม่ได้อยู่ข้างผม

   ผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟาหน้าทีวีก้มลงอ่านเอกสารอะไรบางอย่างในมือ เรือนผมสีเทาโดดเด่นตัดกับเสื้อผ้าสีหม่น จากมุมนี้แก้มขวาของเขายังมีรอยช้ำจางอยู่ไม่ต่างจากที่ผมได้ข้อมูลมา

   เขาไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนผมจ้องอยู่ นั่นสร้างความสับสนให้ผมอย่างมากว่าควรทำอะไรต่อไประหว่างหันหลังกลับแล้วต่างคนต่างอยู่ กับเตือนเขาไปว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น เขาควรจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนที่ไม่ใช่การใช้เพื่อนของผมเป็นเครื่องมืออีกต่อไป

   และสุดท้ายผมเลือกอย่างหลัง

   "ณ...ธาม"

   กลั้นใจเรียกชื่อที่เคยบอกตัวเองให้ลืมเสีย

   เจ้าของชื่อชะงักไปวูบหนึ่ง ผมเม้มปากแน่นรอดูว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป เขาใช้ชื่อนี้แทนตัวเองตอนที่ผมรับสายแทนใครอีกคนที่นอนหลับอยู่ในห้องพักฟื้น เขาหันมาทางผมช้าๆ ใบหน้านิ่งเรียบเฉกเช่นเดียวกับวันที่ปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือในการส่งตัวเพื่อนผมคืน

   "ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ" เสียงเย็นราวกับไร้ความรู้สึก ถึงบอกว่าผมจำเสียงเขาได้ไม่มีลืม

   "ไม่ควรเจอกันอีกต่างหาก"

   "งั้นคุณก็ไม่ควรจะเรียกชื่อผม"

   "คุณกลับมาทำไม?"

   เข้าประเด็นไม่อ้อมค้อมด้วยความกังวลว่าที่หนึ่งจะกลับมาก่อน ณธามเก็บเอกสารที่อยู่ในมือลงกับซองใสไม่ตอบคำถามของผม อาการเมินเฉยของเขาเพิ่มความไม่พอใจให้ผมอย่างมาก เขาไม่มีสิทธิ์มาทำอย่างนี้กับผม ผู้ชายที่เห็นแก่ได้อย่างนั้นไม่ควรมีการต่อรองใดๆ

   "ตอบ"

   "คุณไม่ควรใช้คำว่ากลับมานะ เพราะผมไม่เคยหนีไปไหน"

   "ไม่ว่าคำไหนไวท์ก็ไม่ควรจะเห็นหน้าคุณอีก" ผมไม่เคยใช้น้ำเสียงที่ดูแคลนอย่างนี้ใส่ใครมาก่อน "คนเห็นแก่ตัวที่ไม่รักษาคำพูดอย่างคุณ"

   "จนถึงตอนนี้พวกคุณก็ยังไม่เลิกตัดสินใจแทนซินสักที"

   ซิน...คนบาปที่น่าสงสาร

   "หยุดเรียกไวท์แบบนั้น"

   "คงต้องไปบอกเธอเอง ในเมื่อชื่อนี้ผมไม่ใช่คนเริ่ม"

   "บางทีคุณอาจจะอยากได้อีกรอยบนแก้ม" เตือนตัวเองให้ใจเย็นให้มากที่สุดในการเจรจา เขายังไม่เปลี่ยนไปจากวันนั้นที่ไม่ยอมก้มหัวลงให้ใครไม่ว่าตัวเองจะถูกหรือผิด ผมรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของผมแม้แต่นิดเดียว ทั้งหมดมาจากความต้องการส่วนตัวล้วนๆ ที่ไม่อยากให้เรื่องราวมันกลับไปซ้ำรอยแผลเก่า แผลที่ไม่ยอมสมานกันไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม

   "หึ..."

   "ถ้าแบล็คเล่าเรื่องทั้งหมดแล้วคุณควรหยุดอยู่ตรงนี้นะ จะทำมันต่อไปเพื่ออะไรกัน"

   "...ไม่แปลกใจเลยที่เธอไม่เล่าอะไรให้คุณฟัง"

   "!!!"

   ยิ้มที่ผมมองอย่างไรก็เต็มไปด้วยความสมเพชส่งมาให้ "เพราะนิสัยที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเองแล้วยังไม่ยอมรับความจริงอย่างนี้ไงล่ะ"

   "คุณ!"

   "จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่งนะ" เขาเสยผมที่ลงมาปรกหน้าให้กลับขึ้นไป "ผมไม่เชื่อเรื่องเล่าที่พวกคุณพยายามทำให้เป็นความจริง บอกเลยว่าต่อให้คุณเล่ามันซ้ำๆ มากแค่ไหนผมก็ไม่มีทางหยุด ไม่ต้องมาบอกให้ผมเลิก"

   ผมโคตรไม่พอใจคำตอบ ท่าทีของคนที่เหนือกว่ามันทำให้ผมอยากย้อนเวลากลับไปให้เขาเห็นว่าผลงานที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของเขามีอะไรบ้าง

   คนไม่รู้ไม่ผิด...แต่ก็ไม่ควรมีสิทธิ์กลับมารื้อฟื้น

   "รอดูต่อไปก็ได้นะ แล้วจะได้รู้ว่าใครเป็นฝ่ายถูก"

   คำบอกที่มาพร้อมกับนัยน์ตาท้าทายเกือบทำให้ผมลุกไปตะบันหน้าแล้ว โชคดีเป็นของเขาเมื่อที่หนึ่งเปิดประตูเข้ามาพอดี

   "โทษทีนานไปหน่อย อันนี้รวมผลงานของปีที่แล้ว"

   ณธามผงกหัวรับมันไปแล้วลุกขึ้นทันที เขาโบกมือลาเพียงแค่เจ้าของห้องโดยไม่แม้แต่จะชายตามามองผมสักนิด

   "เป็นอะไรรึเปล่า?" เดือนคณะกลับลงมานั่งที่เดิม เขาแนบหลังมือลงกับหน้าผากของผม "ตัวไม่ร้อนนะ ทำไมหน้าแย่จัง"

   "หนึ่ง"

   "ครับน้องโรม"

   "คนเมื่อกี้ใคร?"

   "นึกว่าคุยกันแล้วเสียอีก นั่นเวลไง เวลผู้ลึกลับ"

   เวลผู้ลึกลับ ถึงว่าทำไมแบล็คถึงไม่ระแคะระคายในมีชีวิตอยู่ของเขาในรั้วมหาลัยเลย ส่วนณธามคงเป็นชื่อจริงของเขาสินะ

   "เวลผู้รอการกลับมาของใครบางคน"

   คำขยายที่เล่นเอาหมดความอยากอาหาร ผมเขี่ยๆ เนื้อปลาที่เขาตักลงมาใส่ถ้วยไปมา ฟังเขาเล่าเรื่องของเวลไปพลาง ข้อมูลหลายอย่างที่เขาบอกมาสร้างความประหลาดใจให้ผมพอควร ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยสักนิด ไม่เหลือความหยิ่งผยองอย่างตอนนั้น

   "น้องโรมกินเยอะๆ หน่อย"

   "ไม่ค่อยหิวแล้ว"

   อยากจะกลับไปเล่าเรื่องให้แบล็คฟังใจจะขาด ติดตรงที่เขาบอกว่าจะกลับดึกนี่แหละ

   "กินถ้วยนี้หมดแล้วเดี๋ยวมีรางวัลให้ ตกลงนะ"

   "กินแค่เนื้อได้ไหม"

   "ไม่เอา กินให้หมด"

   เป็นเด็กน้อยของคุณพ่อที่หนึ่งไปแล้ว ผมจัดการสุกี้ในชามของตัวเองจนหมด หลังจากมื้อเย็นสุดกร่อยผ่านพ้นไปและผมได้จัดการทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จหมดแล้วก็ได้เวลากลับห้องเสียที ตอนที่มองออกไปตึกฝั่งตรงข้ามก็เห็นว่าไฟห้องแบล็คเปิดแล้วด้วย ผมมีเรื่องต้องเอาไปเล่าให้เขาฟัง

   "หนึ่ง รองเท้ากูไปไหน"

   ตรงชั้นวางไม่มีน้องง่อยของผมอยู่แล้ว มันมีแต่รองเท้าแตะแบรนด์ดังของที่หนึ่งวางอยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น

   "นี่รางวัลที่วันนี้เป็นเด็กดี" ในถุงพลาสติกที่เขายื่นให้มีรองเท้าแตะหูคืบสีขาวฟ้าสุดคลาสสิคอยู่ "เมื่อกี้ลงไปซื้อมาให้ใหม่ ไว้ใช้ชั่วคราวแล้วเดี๋ยวพาไปซื้อวันหลัง"

   ถึงว่าทำไมไปเอาเอกสารนานจนน่าสงสัย ผมทำท่าจะไม่รับมันไว้แต่ที่หนึ่งก็ยัดมันลงกับมือผมจนได้

   "เท่าไหร่”

   ควรสะพรึงไหมที่เขารู้แม้กระทั่งขนาดรองเท้าของผม

   "ซื้อให้"

   "ไม่เอา เดี๋ยวจ่าย"

   "ถ้าจ่ายหนึ่งจะมีบริการหลังการขายเป็นอุ้มไปส่งถึงห้อง ยังจะจ่ายไหม?”


***
   ทำไมตอนนี้เวลดูร้าย (หัวเราะ) หลายๆ คอมเมนท์บอกว่าที่หนึ่งดูปกติที่สุด... ไม่นะคะ เจ้าว่านางน่ากลัวมากเลยล่ะ (ฮา)
   เมื่อวานหนีความจริงขั้นสุดด้วยการเอาเรื่องสั้นไปลงมาค่ะ FREEZE | FLY (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50166.0) เป็นเรื่องที่เคยเขียนไว้นานแล้วเลยเอามาปรับอะไรหน่อย เรียกว่านิยายขัดตาทัพระหว่างเจ้าขอหายไปสอบเดือนกว่าๆ แล้วกันนะคะ /ไม่หันไปมองกองหนังสือ เข้าใจคำว่าทีมอ่านไม่ทันยังใจเย็นแจ่มแจ้งเลยค่ะตอนนี้
   แล้วเจอกันใหม่หลังสอบเสร็จค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-11-2015 21:17:15
จากท้องฟ้าสดใสกลับกลายเป็นฟ้าหม่นในทันใด
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Fellina ที่ 21-11-2015 03:58:04
ที่หนึ่งน่่ารักกกกกก แอบอยากให้เป็นรับ ผช.อะไรน่ารักเป็นบ้า!!
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 21-11-2015 11:57:02

อรา... ที่หนึ่งดีงามมาก
ที่หนึ่งจ๊ะ รองเท้าแตะป้าเยินมากแล้วลูก พักนี้เดินล้ม เดินล้มเหมือนคนขาเสียเลยลูก...
สนใจจะดูแลป้าเหมือนน้องโรมมั่งไหม? (ได้ข่าวว่าแกไม่ใช่โรม // โดนโบก!!)

กลุ่มน้องโรมนี่ลึกลับเหลือเกิน...
อ่านไปอ่านมา ชักอยากรู้เรื่องพี่ๆของน้องโรมมากกว่าเรื่องน้องโรมเสียแล้วเนี่ย (เดี๋ยว! ได้ข่าวว่าน้องโรมนี่คู่หลัก!!)
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^  :L2:


หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 21-11-2015 15:32:51

มาชูป้ายไฟให้คุณพ่อที่หนึ่งของน้องโรม
 :ped149:

เป็นกำลังใจให้สำหรับการสอบนะจ๊ะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-11-2015 15:52:13
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 22-11-2015 04:44:43
สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Ferin1A ที่ 28-11-2015 10:23:45
น้องโรมนี่เรียนก่อนเกณฑ์แน่ๆเลย ดูจากวันเกิดกับที่หนึ่ง แล้วมันต้องเรียนคนละรุ่นกัน ยัยน้องน้อย
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 10 [20.11.15]
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 02-12-2015 07:52:40
เพิ่งอ่านจบเมื่อกี้ค่ะ ชอบอ่ะ แปลกดี อ่านไปก็ลุ้นไปเพราะคาดเดาความคิดของตัวละครไม่ออกเลย และกลัวใจน้องโรมด้วย นายเอกเรื่องนี้เป็นบุคคลมิติที่ 10 รึเปล่า กว่าจะรักพี่หนึ่ง พระเอกเราคงไม่ช้ำในตายก่อนใช่ไหมคะ?

อ่านตอนล่าสุดรู้สึกชอบคู่นิชกะสิปป์อ่ะ อธิบายไม่ถูก แต่อ่านแล้วรู้สึกถูกใจ

รอตอนต่อไปน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 2 (สิปป์นิช) [25.12.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 25-12-2015 23:33:27
Limited Book [สิปป์-นิช]


(2)


   _Dix_ : ขอบคุณที่มาหานะครับ <3


   ผมประเมิน ‘ความร้ายกาจ’ ของเขาต่ำไป


   ตื่นเช้ามาเช็คความเป็นไปบนโลกออนไลน์ตามปกติ ที่ไม่ปกติคือการแจ้งเตือนว่ามีคนแท็กรูปมาในไอจี รูปที่ผมเห็นแล้วเล่นเอาตะลึงไปชั่วขณะ


   ในเมื่อรูปล่าสุดในอินสตราแกรมของผู้ชายที่ชื่อสิปป์คือภาพผมกำลังก้มหน้าเขียนอะไรสักอย่างลงในกระดาษแผ่นเล็กอยู่ คงเป็นตอนที่จดชื่อไอดีไปเรื่อยเฉไฉไม่ฟังในสิ่งที่เขาพูด ถือว่าโชคดีที่เลือกใส่หมวกไปเลยเห็นหน้าของผมเพียงแค่ส่วนเดียว หวังว่าคงไม่มีใครรู้ว่าเป็นผมหรอกนะ


   ถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มประดา ไม่ยักกะรู้มาก่อนว่าแค่หยิบมือถือขึ้นมาจะดูดพลังงานขนาดนี้ ไม่บอกก็รู้ว่านี่คือการเอาคืน และเป็นการเอาคืนที่เจ็บแสบพอควรเชียวล่ะ


   นั่งไล่อ่านคอมเมนท์ที่เต็มไปด้วยคำถามของเหล่าแฟนคลับ ส่วนมากจะถามว่าคนในรูปคือใครมีความเกี่ยวข้องยังไงกับเขา ส่วนน้อยก็เป็นการคาดคะเนที่ต่างๆ นานา มีคนคิดว่าผมเป็นสมาชิกใหม่ของวงด้วยล่ะ ถึงจะไม่มีใครเอะใจเรื่องของผม แต่ก็ไม่ชอบอยู่ดีที่มีรูปตัวเองอยู่บนนั้น



   infiNITy.gallery : ลบรูปซะ



   ทักเขาไปในทันควัน ใช้เวลาไม่นานเขาก็ตอบผมกลับมา นี่ว่างขนาดนั่งเฝ้าโทรศัพท์รึไง?



   Di[X] : ไม่

   infiNITy.gallery : คุณไม่มีสิทธิลงรูปผมตามใจชอบ

   Di[X] : งั้นเหรอ =]

   infiNITy.gallery : ใช่ ลบเดี๋ยวนี้

   Di[X] : งั้นลงรูปนี้แทนแล้วกัน

   Di[X] : ใส่แคปชั่นว่า ‘โดนบังคับให้เป็นแบบ ขอค่าจ้างด้วยครับที่รัก’ คงไม่เป็นไรเนอะ




   “...บ้าเอ๊ย”


   สบถออกมาทันทีที่ได้เห็นรูปวาดแผ่นล่าสุดที่เพิ่งเอาไปส่งให้ ข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นธรรมชาติจนเกินไปของรูปได้รับการเฉลยจนสิ้น ผมบอกแล้วว่ามันไม่เหมือนการถ่ายแบบทั่วไป


   และถ้าเขาลงรูปอย่างที่บอกจริงชีวิตที่สงบสุขของผมต้องหมดลงไปทันทีแหง



  Di[X] : ว่าไง จะลงรูปแล้วนะ

   infiNITy.gallery : เดี๋ยวแอดไปเอง

   Di[X] : สามนาที เริ่ม



   “...เริ่มอะไรล่ะ!”


   แค่เวลาให้ตัดสินใจยังไม่มี ผมรีบจัดการส่งข้อมูลใส่เครื่องของตัวเองแล้วกด add friend ก่อนจะครบสามนาทีตามที่เขาบอก และอีกฝ่ายคงไม่มีอะไรทำอยู่จริงถึงทักผมกลับมาทันทีที่ผมจัดการเพิ่มเพื่อนลงเครื่อง



   Di[X] : 2.13

   Di[X] : ทำเวลาได้ดี

   NITCH : พอใจ?

   Di[X] : มาก =]



   ผมกดเข้าไปอ่านแต่ไม่ตอบ ปล่อยให้อีกฝ่ายเจอคำว่า read ไปอย่างเดียวเถอะ


   เสียงเมสเสจเตือนว่ามีข้อความใหม่ ผมกดเปิดดูด้วยใจที่หวาดระแวงแปลกๆ ...นั่นไงล่ะ บอกแล้วไงว่าเขาร้ายกาจ



   Di[X] : โอนเงินไปแล้วนะครับ ช่วยวาดรูปนี้ให้หน่อย ส่งที่เดิมนะ



   ก็ไม่อยากจะยอมรับหรอก


   ยกที่สองผมแพ้อย่างหมดท่าเลยล่ะ



≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡


 
   “วันนี้ไม่มีแซนวิช เอาเป็นอย่างอื่นแทนได้รึเปล่า”


   ‘ผิง’ ทักทายผมทันทีที่ก้าวเข้าไปในร้าน จากคนแปลกหน้าก็กลายมาเป็นลูกค้าประจำที่ไม่เคยจ่ายเงินไปซะได้ ผู้ชายสุดร้ายคนนั้นใช้วิธีเดิมซ้ำๆ ในการล่อผมให้ติดบ่วง ชอบโอนเงินเกินมาเป็นจำนวนมากแล้วก็ให้ผมวาดรูปส่ง ตอนแรกก็ให้วาดแค่ตัวเองอยู่หรอก นี่ลามไปถึงคนในครอบครัวแล้ว


   เป็นวิธีการแนะนำคนในครอบครัวที่แนบเนียนที่สุด


   “เอาอะไรก็ได้ที่ทำให้ผมหลุดจากบ่วงกรรมนี้มีไหม”


   หย่อนตัวลงบนเก้าอี้สูงติดกับเคาท์เตอร์ ร้านนี้มีมุมชงกาแฟแบบเปิดโล่งให้ลูกค้ามานั่งพูดคุยกับบาริสต้าได้ ถ้าครั้งไหนมาแล้วไม่มีลูกค้ามากอย่างวันนี้ผมก็ชอบมานั่งหาเรื่องคุยกับเขาไม่ก็เอมพนักงานอีกคนหนึ่ง


   “ฮะฮะ คราวนี้รูปใครล่ะ”


   “ทวด ต้องเรียกว่าอะไรนะ อาเหล่าม่า?”


   “อืม เกือบครบทุกคนแล้วนี่”


   “สงสัยภาพต่อไปคงเป็นหมาที่บ้าน”


   นั่นเรียกเสียงหัวเราะลั่น ผิง (ที่ตอนแรกผมเข้าใจว่าเขาชื่อปิง มาเฉลยครั้งถัดจากนั้นว่าชื่อขนมผิงต่างหาก) เป็นเพื่อนกับสิปป์มานานพอที่จะด่าพ่อล้อแม่แล้วไม่โกรธกัน ช่วงแรกผมไม่กล้าที่จะเอาเขามานินทาหรอก จนอีกฝ่ายเริ่มเปิดประเด็นก่อนนั่นแหละ ผมเลยจัดเต็มทุกครั้งที่เจอ


   “ไอ้สิปป์มันก็อย่างนี้ อย่าไปหาเหตุผลให้การกระทำมันมาก”


   “วันก่อนโทรมาหาตอนตีสอง ไอ้เราก็นึกว่ามีอุบัติเหตุอะไร สรุปแค่โทรมาบ่นว่าเหนื่อย”


   “ทีหลังก็บล็อคเบอร์ไปเลยสิ”


   “หึ ทำอย่างกันไม่รู้ว่าถ้าขัดใจคุณชายแล้วจะเป็นยังไง”


   ผมแพ้ทางให้กับเขาอย่างสมบูรณ์ สิปป์มีเลขบัญชีผมไว้ในมือ แค่ผมดื้อกับเขานิดๆ หน่อยๆ เงินจำนวนไม่น้อยก็จะถูกโอนเข้ามาเกือบจะในทันที เดือดร้อนให้ผมต้องถอนมาคืนตลอด จะให้เปลี่ยนไอจีหนีก็เสียดายฐานลูกค้า ยิ่งเปลี่ยนบัญชีธนาคารไม่ต้องพูดถึงเลย ผมขอเปิดแค่รอบเดียวก็พอแล้ว


   “มันร้าย”


   “มาก”


   “แต่ผมว่าคุณก็ร้ายไม่ต่าง”


   “หืม?”


   “เคยได้ยินเรื่องศีลเสมอกันถึงอยู่กันรอดไหม นั่นแหละเหตุผล”


   ลาเต้ปั่นวางลงตรงหน้าผม ผิงคงขี้เกียจรอคำตอบจากผมเลยเอาเค้กช็อคโกแลตมูสขนาดกำลังดีมาด้วย กินเค้กกับลาเต้เป็นอาหารเช้า เยี่ยมมาก


   “หลอกด่าอยู่?”


   “ชื่นชมต่างหาก ไม่เคยมีใครอยู่ได้นานแบบคุณ”


   “อย่าเอาผมไปรวมกับคนจำพวกนั้น"


   “ไม่แปลกใจเลยที่สิปป์มันจับคุณไว้นานขนาดนี้”


   “กรุณาใช้คำให้สุภาพกว่านี้หน่อยนะ”


   ชักหน้าตึงให้รู้ว่าไม่พอใจในการเปรียบนั้นมากเท่าไหร่ ผิงบอกว่าที่เรียกสิปป์แทนที่จะเป็นดิซเพื่อไม่ให้เหล่าแฟนคลับรู้ถึงตัวจริง อันนี้ผมอ่านเจอในเว็บแล้วว่าดิซเป็นบุคคลที่ลึกลับมากพอควร ถึงเขาจะเป็นนักร้องแต่ก็ไม่ได้เปิดเผยชีวิตส่วนตัวเท่าไหร่นัก


   “ผมแค่ใช้คำที่ตรงที่สุด” ยักไหล่ขึ้นแบบไม่ยี่หระ


   “แล้วนี่คุณลูกค้าอยู่ไหน?”


   ผมเปลี่ยนข้อหัว ลาเต้ปั่นฝีมือของผิงอร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมา ไม่เลี่ยนนมแต่ก็ไม่หนักกาแฟเกินไป เป็นการต้อนรับวันใหม่ที่สดใสไม่ใช่น้อย


   บาริสต้าหลักของร้านชี้นิ้วขึ้นไปยังชั้นสอง “เมื่อคืนเล่นถึงตีสาม ยังไม่น่าจะตื่น”


   “แล้วนัดเก้าโมงครึ่งเนี่ยนะ”


   “ถ้ารีบก็ขึ้นไปปลุกสิ”


   “หืม?”


   “ชั้นสอง เลี้ยวซ้ายห้องในสุดที่มีป้ายตัวดีแขวนไว้”


   ทำหน้าสงสัยใส่คนที่บอกพิกัดห้องเสร็จสรรพ ผิงจ้องผมกลับนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไรต่อ เป็นจังหวะเดียวกับลูกค้าใหม่เพิ่งเข้าร้านมา เขาเลยต้องผละจากตรงนี้ไป ไม่อย่างนั้นก็จะมาทำตัวเป็นคนขาดความอบอุ่นหาเรื่องกวนบาทาผมได้ตลอดนั่นแหละ
วันนี้ผมไม่มีธุระไปที่ไหนต่อ ใจจริงคือตั้งใจว่าจะมาปล่อยเวลาให้ผ่านไปอยู่ในร้านถึงเย็นอยู่แล้วเลยกระเตงเอาโน้ตบุ๊คมาด้วย ไว้รอสักสิบโมงกว่าถ้ายังไม่ตื่นค่อยวานให้เอมขึ้นไปปลุกก็ได้มั้ง


   ...จนตอนนี้สิบเอ็ดโมงก็ไม่มีวี่แววของผู้ชายนัยน์ตาแปลกคนนั้นเลย


   “เอม ขึ้นไปตามเจ้านายลงมาหาพี่หน่อย”


   ‘เอม’ หรือ ’เฌอเอม’ เบ้ปากทันทีที่ผมทัก เขาเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่ใช้เวลาว่างในช่วงเสาร์อาทิตย์มาทำงานพาร์ทไทม์ในร้านกาแฟ ไม่รู้ว่าทำไมเด็กที่ดูคุณหนูอย่างนี้ถึงมาทำงานให้เสียเวลาวัยรุ่น ทั้งที่ผมก็เห็นว่าขับฮาร์เล่ย์คันใหญ่แสดงว่าบ้านก็มีฐานะไม่ใช่น้อย


   “ผมไม่โง่เอาชีวิตไปเสี่ยงหรอกพี่”


   “ขนาดนั้น?”


   “ถ้าไม่อยากให้ตัวร้ายโมโห รอดีกว่า” เอมส่งขวดโหลคุ้กกี้มาให้ผมช่วยเรียงไว้หน้าเคาท์เตอร์ ทั้งหมดเป็นฝีมือของผิง เห็นหน้าร็อคแต่ใจนี่รักการทำขนมขั้นสุด “ขนาดพี่ผิงถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ยังไม่เคยขึ้นไปปลุกเองเลย”


   “แล้วถ้ามีอะไรด่วนล่ะ?”


   “ก็ไม่สนไง พี่สิปป์เขาไม่ได้สนใจโลกขนาดนั้นอยู่แล้ว อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ปล่อย”


   “ทำตัวฮิปสเตอร์ไปได้”


   “ต้องเปลี่ยนเป็นสิปป์สเตอร์”


   เพียงแค่ยิ้มจางให้การเปรียบเทียบ ตอนนี้ผมยังว่างอยู่เลยช่วยน้องจัดร้านเรื่อยเปื่อย นอกจากเอมกับผิงแล้วร้านนี้ก็ไม่มีผู้ช่วยคนอื่นเลยสักคน เรียกได้ว่าปริมาณพนักงานดูไม่เพียงพอต่อปริมาณลูกค้าเลยสักนิด เคยถามไปว่าเพราะอะไรถึงไม่รับพนักงานเพิ่มก็ได้คำตอบกลับมาง่ายๆ ว่าไม่อยากรับ


   แปรสภาพตัวเองเป็นพนักงานไร้เงินเดือนจนเกือบบ่ายก็ยังไม่เจอคนที่ต้องการพบ จริงอยู่ว่าผมไม่มีแพลนจะไปที่ไหนต่อแต่ถ้านัดไว้แล้วก็ไม่ควรจะเลทได้ขนาดนี้สิ


   “ซ้ายห้องในสุด?”


   เจอผู้ชายผมสีแปลกเดินกลับมาพอดีเลยทวนเส้นทางที่เคยให้ไว้ ผิงพยักหน้าให้ผมแล้วชูสองนิ้วเป็นตัววี นี่จะปล่อยผมไปเจอสิ่งอันตรายตามลำพังโดยไม่มีการช่วยเหลือเลยสินะ ใจร้ายใจดำสุดๆ


   ผ่านป้ายที่เขียนว่า Staff Only เข้าไปยังด้านใน ผมเดินตามทางแคบไปจนสุดท้ายก็เจอประตูห้องที่มีป้ายเหล็กตัวดีแขวนไว้ ให้ความรู้สึกอย่างกับกำลังเดินผ่านเข้าไปในประตูแห่งขุมนรกอยู่เลยแฮะ เป็นคนสอนมารยาทคนอื่นก็ต้องมารยาทดีก่อน ผมเคาะประตูพอให้อีกฝั่งได้ยิน ยืนรอให้เจ้าของมาเปิดประตูให้ สายป่านนี้น่าจะตื่นแล้วล่ะ


   นับหนึ่งถึงสิบในใจแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า ผมถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป นี่มั่นใจว่าไม่มีใครเข้ามายุ่งถึงขนาดไม่ล็อคประตูไว้เลยเหรอเฮ้ย


   แอร์เย็นฉ่ำปะทะร่าง สายตามองตรงไปยังเรือนผมสีดำที่พ้นจากผ้าห่มสีหม่น ห้องของสิปป์ใช้โทนมืดเกือบทั้งหมด จะหาสีสว่างจากห้องนี้คงมีแต่แสงแดดที่ลอดผ่านม่านมาเท่านั้นเอง บนหัวเตียงมีภาพถ่ายขนาดใหญ่ของตัวเขาเองประดับไว้ คงมาจากการแสดงโชว์เพราะเขากำลังถือไมค์ไว้ เสื้อสีเทาลายหัวกะโหลกเปียกจนลีบไปลำตัวเผยกล้ามเนื้อไร้ไขมันช่วยเพิ่มความน่าหลงไหลได้อย่างดี


   เขาไม่รับรู้ถึงการบุกรุกของผมเลยสักนิด ขนาดเดินสำรวจจนทั่วห้องแล้วก็ยังคงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ แปลกกว่าที่คาดคิดไว้พอสมควรเหมือนกันที่ห้องนี้มีตู้หนังสือตั้งเรียงกันจนสุดผนังอีกฝั่งและทุกชั้นเต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายประเภท ตั้งแต่นิยายทั่วไปจนถึงหนังสือปรัชญาที่ดูเข้าใจยากตั้งแต่ชื่อเรื่อง ผมไม่เคยต้องปลุกใครมาก่อน ขนาดน้องโรมยังใช้แค่เสียงสั่งก็ยอมลุกแล้ว


   “นี่...” ผมเดินไปสะกิดไหล่คนที่อยู่ในนิทรา “ตื่นได้แล้ว นี่บ่ายแล้วนะคุณ”


   อีกฝ่ายไม่แสดงอาการตอบโต้ใดๆ ใบหน้าได้รูปยังคงซุกอยู่กับหมอนใบใหญ่


   “คุณสิปป์ ตื่นได้แล้ว”

   เปลี่ยนจากสะกิดเป็นถลกผ้าห่มลงให้ห่มเพียงครึ่งท่อนล่าง ไม่ใส่เสื้อนอนแต่เปิดแอร์หนาวระดับนี้ไม่ป่วยได้ยังไงกัน สิ่งหนึ่งที่น่าแปลกใจเกี่ยวกับนักร้องใต้ดินอย่างเขาคือไม่มีรอยสักใดๆ บนผิวสีขาวนั้น ก็ปกติมันเป็นของคู่กันไม่ใช่หรือไงนักร้องกับรอยสักน่ะ


   “ดิซ ถ้าคุณยังไม่ตื่นผมจะถ่ายรูปคุณไปลงในแฟนเพจนะ”


   รู้ว่าเป็นคำขู่ที่โง่เง่าที่สุด ก็ผมไม่รู้จะปลุกยังไงดีนี่นา กลัวว่าถ้าเอาน้ำมาราดแล้วจะต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับเตียงอีก
รอบข้างไม่มีหมอนข้างหรือตุ๊กตาสักตัว หรือจะเอาหมอนอีกใบมาฟาดให้ตื่นดี ไม่รู้ว่าแรงของผมจะระแคะระคายผิวหนังนั่นรึเปล่า


   เฮ้ นี่ไม่ใช่หนังแฟนฉัน ผมไม่มีทางไปยืนบนเก้าอี้แล้วกระโดดลงมากระแทกให้ตื่นหรอก


   ทั้งสะกิด ทั้งเขย่า ทั้งเอาหมอนฟาด เขาก็ไม่มีอาการตื่นตัวขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ถ้าลองไปถามผิงจะมีวิธีปลุกไหมนะ แต่เอมก็บอกแล้วว่าไม่มีใครกล้าขึ้นมาปลุกเลยสักคน


   "ลงไปทำงานต่อก็ได้วะ..."


   บอกกับตัวเองให้ยอมแพ้ อย่าเสียเวลากับอะไรที่ไร้ประโยชน์ ผมโน้มตัวเพื่อโยนหมอนกลับไปไว้ที่เดิม ช่วงเวลาที่เผลอเลยทำให้อีกคนฉวยโอกาสคว้าเอวแล้วดึงจนเสียหลัก


   “เฮ้ย!”


   “อรุณสวัสดิ์”


   ใช้เวลาตั้งสติอยู่ครู่ใหญ่ ผมกำลังทิ้งตัวทับเจ้าของห้อง ยังไม่ทันที่จะเรียบเรียงระบบความคิดอะไรได้มากเขาก็จัดการพลิกให้ตัวผมลงไปอยู่ด้านล่างแล้วตัวเองก็ขึ้นคร่อมไว้หลวมๆ แค่ท่าก็ให้คะแนนความส่อเต็มสิบแล้วยิ่งรวมกับบรรยากาศเงียบๆ เย็นๆ ในตอนนี้คงได้รางวัลชนะเลิศไปครอง


   “บ่ายแล้ว” ตีหน้านิ่งใส่ บอกให้ตัวเองกล้าที่จะสบสายตาคู่แปลก ยังไม่ชินกับใบหน้าไร้ที่ตินี่สักที เห็นเมื่อไหร่ก็เผลอจดจำส่วนต่างๆ ไว้ตลอด ไว้จะลองหลับตาแล้ววาดรูปดูว่ามันจะคล้ายตัวจริงมากแค่ไหน


   “งั้นก็สวัสดีตอนบ่าย”


   “ตื่นแล้วก็ช่วยลงไปรับงานหน่อย ผมรอคุณมาตั้งแต่เก้าโมงแล้ว”


   “...อืม”


   “เลิกยุ่งกับหน้าผมด้วย”


   มือข้างหนึ่งของเขายันตัวเองไว้ ส่วนอีกข้างก็ยกมันขึ้นมาไล้ไปตามโครงหน้าของผม จะว่าขนลุกก็ไม่เชิง มันจั๊กจี้เสียมากกว่า


   “สันกรามคุณสวย”


   “ขอบคุณที่ชม”


   “คิก...”


   รู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในหลุมของนายพรานจอมร้ายกาจ เขายิ้มบางโดยยังคงสบตากับผมอยู่ไม่ไปไหน มือเย็นเฉียบเคลื่อนตัวตามแนวกรามมาที่คาง ลำคอ อ้อยอิ่งอยู่ตรงกลางอกที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ ใจเย็นไว้นิช อย่าปล่อยให้ตัวเองเดินตามเกมส์ของเขา


   สองสายตายังประสานกันไม่ละลด ถึงไม่เห็นแต่ก็สัมผัสได้ว่าตอนนี้เขากำลังแตะอยู่ที่ส่วนไหน เขาเปลี่ยนเป็นใช้ทั้งมือลากผ่านช่วงลำตัวของผมไปหยุดอยู่ตรงพื้นที่หมิ่นเหม่ ส่วนที่แย่ที่สุดคือผมเป็นพวกไวต่อการสัมผัสมากด้วยสิ


   “หายใจไม่ออกเหรอ”


   ยังมีหน้ามาถามอีก ผมเริ่มหายใจเร็วขึ้นยามที่เขายังคงเล่นกับร่างกายของผมอยู่ เคลื่อนมือไปมาอย่างกับกำลังทดสอบความอดทน แย่แล้วล่ะ การปั่นหัวของเขามันกำลังจะได้ผลแล้ว


   “ผอมจัง กินข้าวบ้างรึเปล่า”


   "..."


   กัดปากตัวเองไว้ไม่ให้ส่งเสียงอะไรออกมา เสื้อตัวโคร่งที่ใส่มาในวันนี้ถูกเลิกขึ้นพอควร จากปลายนิ้วที่สัมผัสเส้นใยทอจากเสื้อเปลี่ยนเป็นผิวเนื้อของผมแทน เขาใช้นิ้วของตัวเองไล้วนรอบท้องน้อยจนสะดุ้งวาบ ผมเขยิบตัวหนีอัตโนมัติแต่ไม่ยอมหลบสายตาที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้นทุกที ถ้าไม่ควบคุมตัวเองดีๆ อาจกลายเป็นเถ้าธุลีอยู่บนเตียงนี้แล้วก็ได้ ไม่แปลกใจที่ผิงเล่าว่าแฟนคลับคลั่งไคล้เขาถึงขนาดยอมแอบเข้าไปในห้องพักนักดนตรีเมื่อวันก่อนเลย!


   "ว่าไง ...ต้องสอนเรื่องกินอาหารให้ครบห้าหมู่ไหม?"


   เสียงของคนเพิ่งตื่นนอนติดแหบพร่า ไม่ชอบเลย ผมไม่ชอบที่ต้องตกเป็นรองใครอื่นอย่างนี้


   "คนที่นอนตื่นบ่ายไม่ต้องคิดมาสอน" ย้อนกลับนิ่งๆ ให้เขารู้ว่าผมเองไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของนายพรานแน่ ถึงตอนนี้โอกาสรอดมีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซนต์เลยก็เถอะ


   "ก็รอเจ้าชายมาจุมพิต" ไม่ว่าเปล่ายังฉวยจูบแก้มของผมอีก เขานี่จะมือไวปากไวเกินไปแล้วนะ "ติดใจห้องนี้จนลืมภารกิจรึไง"


   "ห้องสวยดี"


   "มาอยู่ไหมล่ะ?"


   "เฮอะ" ทำเสียงหยันเพื่อปฏิเสธ "ทำอย่างนี้กับทุกคนเลยรึไง"


   ไม่ได้โง่ขนาดที่ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร แต่ผมเองก็ไม่มีสิทธิ์ออกไปจากบ่วงนี้ เพราะอย่างนั้นสิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้ก็คือยื้อชีวิตตัวเองให้นานที่สุดเผื่อว่าสุดท้ายแล้วเขาจะเบื่อแล้วยอมปล่อยไป ซึ่งไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนรวมถึงไม่รู้ว่าจะรอดออกไปในสภาพไหนด้วยซ้ำ สิปป์เป็นตัวร้ายอย่างที่เอมเรียก นายพรานตัวโกงที่จะไม่ปล่อยให้เหยื่อรอดไปง่ายๆ เด็ดขาด


   "คุณเป็นคนแรกที่เคยเข้ามาที่นี่"


   "งั้นแสดงว่าที่อื่นไปบ่อย"


   ไม่ได้รู้สึกดีกับคำโปรยหว่านนั่นเลยสักนิด ถ้านับรวมๆ แล้วนี่ผ่านมาเกือบสามเดือนที่เขาเข้ามามีบทบาทในชีวิตของผมอย่างต่อเนื่อง เขาไม่ได้บอกว่ากำลังจีบผมทั้งที่การกระทำทั้งหมดมันใช่ ...ผู้ชายคนนี้เขาหยิ่งผยองเกินไปที่จะบอกว่าตัวเองกำลังตามติดชีวิตผู้ชายตัวเล็กๆ อย่างผมอยู่


***
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 2 (สิปป์นิช) [25.12.15]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 25-12-2015 23:51:05


   "หึง?"


   "เอือมระอาต่างหาก"


   "แย่จังนะ"


   ยิ้มระรื่นไม่ได้ไปด้วยกันได้กับคำกล่าว สิปป์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างกับกดซูมกำลังขยายสูงสุด ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเอาตัวเองเข้ามาใกล้ผมขนาดนี้ แต่ไม่ว่าใบหน้าหล่อราวรูปสลักจะมาให้ผมเชยชมกี่ครั้งมันก็ยังทำให้ใจเต้นแรงขึ้นได้ทุกที


   "ลุกไปอาบน้ำสักทีเถอะ"


   "ไม่ล่ะ”"


   "?"


   "มีของน่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้าขนาดนี้"


   "เหรอ"


   ไม่สนใจคำอ้อน ผมต้องวางตัวเองให้อยู่ในฐานะที่ต่อรองได้ ไม่ให้เขาเหลิงในอำนาจจนลืมว่าคนที่เขากำลังท้าทายอยู่ตอนนี้คือปีศาจที่มีดีกรีความร้ายไม่หย่อนไปกว่ากัน


   'มึงมันชั่วไม่รู้ตัว' แบล็คเคยบอกไว้เมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นมีคนกร่างมาขู่ให้น้องโรมไม่เข้าสอบพละเพราะน้องอ่อนด้านกีฬามากๆ พอดีอีกฝ่ายมันโง่เกินกว่าที่จะรู้ว่าไม่มีคนในกลุ่มปล่อยให้โรมไปไหนมาไหนตามลำพัง พอเน็ทเข้าไปช่วยไว้ได้ทันพวกเราเลยวางแผนกันที่จะดัดหลังคนนิสัยเสียให้รู้ซะบ้างว่าไม่ควรใช้กำลังในทางที่ผิด อืมๆ ตอนนั้นพวกเราก็แค่จัดการให้เพื่อนคนนั้นมาสอบปลายภาคไม่ได้เลยสักวิชาเพราะกลัวฝันร้ายเท่านั้นเอง


   ฝันร้ายที่ชื่อว่านิช


   "คนสวยนี่หัวใจทำจากเหล็กกล้ารึเปล่า"


   "คนเราควรมีกำแพงเสียบ้าง"


   การเดินเกมส์ที่ดีต้องไม่วู่วาม การก้าวพลาดเพียงแค่ครั้งเดียวอาจนำมาซึ่งความตายได้ ตอนนี้ผมเลยยังไม่แสดงออกอะไรมากไปกว่าการทำตัวโอนอ่อนยอมทำตามความต้องการของเขาไปเรื่อย


   ปล่อยให้เขาย่ามใจไปก่อน ตลบหลังนี่งานถนัดผมเลยล่ะ
 

≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡



   ห้องซ้อมหมายเลข 10


   ไม่รู้ว่าคราวนี้เกิดอาการสิปป์สเตอร์อะไรอีกถึงให้ผมมาส่งงานที่ห้องซ้อมดนตรีแทนที่จะเป็นร้านของตัวเองอย่างทุกที ห้องซ้อมขนาดใหญ่ดูหรูหราสมกับค่าเช่าแพงระยับที่ติดไว้ตรงทางเข้า เขาคงบอกเจ้าหน้าที่ไว้แล้วว่าจะมีคนมาหาผมเลยเข้ามาภายในได้อย่างง่ายดาย ไม่อย่างนั้นเห็นผู้ชายหน้าเนิร์ดๆ อย่างนี้เดินเข้ามาคงถามว่ามาผิดตึกรึเปล่า ตึกกวดวิชาอยู่ฝั่งตรงข้ามกันนะคะ อะไรอย่างนั้น


   ประตูสีดำปิดสนิทไม่มีช่องกระจกให้ส่องภายใน ถ้าพวกนั้นซ้อมกันอยู่ถึงผมใช้มือเคาะแรงแค่ไหนก็ไม่ได้ยินอยู่แล้ว เลือกที่เปิดเข้าไปเลยดีกว่า


   “สวัสดี...เห?”


   คำว่าครับกลายเป็นเสียงประหลาดใจ ห้องกว้างไม่มีใครอยู่เลยสักคน ผมว่าตัวเองมาสายนะ


   เปิดโปรแกรมแชตออนไลน์เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เขาบอกผมว่านัดมาบ่ายโมงนี่ก็บ่ายสิบสามนาทีเข้าไปแล้วยังไม่เจอใครเลย ส่งกลับไปบอกสั้นๆ ว่าถึงแล้วให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังผิดนัดอีกแล้ว อืม...จะเรียกว่าผิดนัดได้รึเปล่า ก็ถ้าไปส่งให้ที่ร้าน สิ่งที่ผมต้องทำคือต้องปลุกเขาก่อนทุกที


   จนเอมแซวว่าหน้าที่หลักผมคือเป็นนาฬิกาปลุก ส่วนหน้าที่รองเป็นพนักงานไร้เงินเดือน


   นั่งรอจนกลายเป็นนอนรอ ปาไปบ่ายครึ่งประตูก็ยังคงปิดสนิท สิปป์ไม่อ่านไลน์ที่ผมส่งไปให้เลยด้วยซ้ำ หรือควรจะโทรไปตามดี เขาเอาโทรศัพท์ของผมไปเพิ่มเบอร์เองโดยพลการมาสักพัก  ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยที่จะกดโทรออกตรงรายชื่อที่เมมไว้ว่า ‘10’ เลยแม้แต่ครั้งเดียว


   ไม่เหมือนอีกฝ่ายถ้าไม่ได้โทรมาหาวันไหนคงลงแดงตาย


   “ถ้าไม่มาจะวางของไว้ที่นี่แล้วนะ”


   ขู่กับหน้าจอโทรศัพท์ผมก็ยังจะทำ ที่ผ่านมาไม่เคยต้องมาเดินตามเกมส์ของใครอื่นขนาดนี้มาก่อน คนในกลุ่มรู้ดีว่าถ้าทำให้ผมโกรธแล้วมันจะแย่แค่ไหน อย่างเน็ทจะเป็นสายทัพหน้าออกลุยก่อน มีแบล็คเป็นทัพหลังคอยซัพพอร์ต ส่วนผมก็จะคอยเป็นเสนาธิการคอยกำกับรวมถึงลงไปซ้ำถ้าศัตรูยังดื้อด้านไม่เลิก


   พอดีไม่ได้นับถือพุทธ ถ้าให้เทียบคงเรียกได้ว่ากรรมตามสนอง


   สิปป์ร้าย ร้ายอย่างที่ผิงบอกนั่นแหละ เขารู้ว่าตรงไหนคือจุดอ่อนของผมและเล่นงานมันจนยับทุกครั้งที่ต้องการ สร้างกำแพงไร้ทางออกขึ้นมารวมถึงเอาโซ่ล่ามเท้าผมไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้ ก็อยากจะถามเหมือนกันว่าทำไปทำไม ติดตรงที่กลัวเขาตอบกลับแล้วจะรับความเป็นสิปป์ไม่ได้


   พ่นลมหายใจยาวเหยียด เบนหน้าไปทางกลองชุดที่ตั้งไว้อยู่ระดับตรงข้ามสายตาพอดี ที่จริงเครื่องตีสีดำสนิทดึงดูดความสนใจของผมตั้งแต่ก้าวเข้าห้องมาแล้วล่ะ คงรู้กันแล้วว่าผมเล่นกลองชุดในวงดนตรีประจำโรงเรียนสมัยมัธยมปลาย ที่จริงผมไม่ได้หลงไหลหรือให้ความสนใจเครื่องดนตรีนี้หรอก น้องโรมดันเกิดคึกอะไรไม่รู้ขอเรียนกีตาร์ ลำบากให้พวกผมมานั่งจับสลากกันว่าใครที่ต้องตามไปดูแล และคนที่โชคดีคือผมไง


   ผมมันคนมีพรสวรรค์ด้านศิลปะ คนส่วนมากที่ผ่านเข้ามาในชีวิตว่าอย่างนั้น ถ้าถามตัวเองว่าเห็นด้วยกับคำบอกหรือเปล่าก็ไม่ สำหรับผมความจริงแล้วไปได้ทุกทางแหละ ที่สละสิทธิ์ไม่เรียนหมอก็แค่ไม่อยากเรียนต่อแบบไร้ทางเลือกอีกหกปีเป็นอย่างน้อยก็เท่านั้นเอง


   ขยับมือไปมาบนอากาศ ตั้งแต่คนอื่นเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้ววงดนตรีของเราก็ล้มเลิกไปโดยปริยาย การจับไม้กลองครั้งสุดท้ายของผมนี่เลืองรางเต็มทน


   ...แค่ซ้อมมือระหว่างรอคงไม่เป็นไรละมั้ง


   เดินไปหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว มีไม้กลองสำรองเสียบไว้อยู่แล้ว เอาเถอะ ถึงเป็นไม้กากๆ ก็ตีได้ล่ะน่า
ต่อหูฟังเข้ากับโทรศัพท์ ผมมีไฟล์เพลงสำหรับฝึกตีเก็บไว้อยู่ในเครื่องพอสมควร เลือกเพลงที่ต้องการแล้วหลับตาลง รอคอยให้โน้ตตัวแรกดังขึ้น ยินดีต้อนรับกลับมานะนิช


   ถ้าให้เลือกระหว่างวาดรูปกับเล่นดนตรีมันเป็นสองอย่างในชีวิตที่ผมเลือกไม่ได้เลยจริงๆ แล้วทำไมผมถึงเลือกที่จะเดินบนทางศิลปะทั้งที่บอกว่าเลือกไม่ได้งั้นเหรอ มันก็แค่ว่าไม่มีทางที่ผมจะเล่นกลองได้โดยไม่มีเครื่องดนตรีอื่นไง


   พาตัวเองเข้าสู่โลกที่สร้างขึ้นมาใหม่ ผมปล่อยให้ร่างกายขยับไปตามความคุ้นชิน มันก็เหมือนการเล่นกีฬาที่เมื่อฝึกซ้อมจนถึงจุดที่ร่างกายจำการเคลื่อนไหวได้แล้วก็ไม่ต้องไปบังคับอะไรมันอีก คนอื่นชอบทำหน้าประหลาดใจหรือไม่ก็ไม่เชื่อว่าผมจะเล่นกลองด้วยเหตุผลด้านรูปร่างที่ผอมบางจนเกินไป จนคนพวกนั้นได้เห็นผมแสดงเท่านั้นแหละ หน้าประหลาดใจมันก็หายไปทันตาเหลือเพียงความรู้สึกไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น


   เหมือนอย่างคนที่อยู่ตรงหน้าของผมตอนนี้ไง


   "มาสาย"


   ทักทายพลางถอดสายหูฟัง เก็บไม้กลองไว้ที่เดิม


   สิปป์ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ผมเลยเดินอ้อมไปหยิบซองใส่งานที่วางอยู่บนโซฟามาให้เขาพร้อมกับซองเงินส่วนเกิน ถ้าสักวันหนึ่งผมโดนธนาคารเรียกพบเรื่องจำนวนเม็ดเงินที่เข้าออกผิดปกตินี่ผมจะไม่แปลกใจเลยล่ะ พ่อนักร้องใต้ดินชื่อดังเขาไม่สนในเรื่องเงินๆ ทองๆ เลยรึไงกัน


   "ทีหลังจะมาสายก็บอกหน่อย จะได้ไม่รีบมา"


   "ลืมมือถือ"


   สำรวจใบหน้าของเขา เรือนผมสีดำเซ็ตแค่พอให้เป็นทรง ไอร้อนของร่างกายและเหงื่อที่ผุดอยู่ตรงบริเวณขมับบอกผมว่าเขาคงรีบเดินทางพอควร


   "ลืม?" ถามอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ นี่ผมบอกเลยนะถ้าไม่ใช่ตอนกลางคืนในวันที่เขาทำงานหรือเวลานอนแล้วล่ะก็สิปป์ตอบผมช้าที่สุดคือหนึ่งชั่วโมง ไม่เคยมีครั้งไหนที่นานกว่านั้น


   "เมื่อคืนไปนอนค้างห้องเพื่อน"


   "อ้อ...เข้าใจล่ะ" พยักหน้าให้รู้ว่าผมไม่ถือสาที่เขามาสาย "งั้นกลับก่อนนะ"


   โบกมือไปมาเป็นการบอกลา นัยน์ตาที่ไม่มีการแต่งเติมใดๆ ยังคงความสวยปนอันตรายไว้อย่างเดิม ที่ต่างออกไปคือรอยสะท้อนที่อ่านไม่ออก


   เมื่อเขาไม่ตอบกลับอย่างที่เคยทำมาตลอดผมเลยถามต่อ "มีอะไรอีกรึเปล่า?"


   "มือ" เขาชี้มาที่มือทั้งสองข้างของผม "แบออกมา"


   "อะไรของคุณ"


   "ส่งมือมานี่"


   ไม่รอให้ผมทำเอง เขาคว้ามือทั้งสองข้างที่ผมทิ้งไว้แนบลำตัวขึ้นมาระดับอก พอเห็นรอยแดงที่ปรากฎบนฝ่ามือทั้งสองข้างแล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน มันก็แดงพอควรอยู่ ไม่ได้ตีมานานมันก็ไม่คุ้นชินอย่างนี้


   "เรื่องปกติ" หมายถึงสมัยซ้อมก็ตีจนมือแดงอย่างนี้จนเป็นเรื่องปกติ ยิ่งช่วงไหนผมอารมณ์ไม่ดีแล้วต้องมาซ้อมเคยต้องทิ้งไม้เพราะเลือดซึมเข้าเนื้อไม้ด้วยซ้ำไป


   "ปกติ?"


   "ทำอย่างกับคุณไม่เคยเจ็บนิ้วเพราะเล่นกีตาร์ไปได้"


   "หึ..." ยิ้มมุมปากที่ส่งมาให้เล่นเอาใจผมเขวไปช่วงหนึ่ง "คุณชอบทำให้ผมประหลาดใจอยู่เรื่อยเลยนะ"


   "ผมไม่เคยทำเพื่อคุณ ดิซ"


   ชอบที่จะเอาจุดเปราะบางของเขามาใช้ จากการอนุมานของตัวเองแล้วชื่อในวงการของเขาคงมาจากชื่อจริงภาษาไทยนี่แหละ สิปป์ที่อ่านว่าสิบได้เช่นกัน มีข้อมูลสนับสนุนคือรูปวาดคุณย่าของเขาที่เป็นหญิงต่างชาติ


   ส่วนสิปป์ในภาษาไทยแปลว่าศิลปะ เหมาะกับเขาดีเหมือนกัน สวย ลึกลับ น่าค้นหา ...แล้วก็อ่านไม่ค่อยออก


   ความใจเย็นคืออาวุธที่ใช้มาตลอด ถ้าเมื่อไหร่ที่ปล่อยให้อารมณ์มีอิทธิพลมากกว่าสมองแล้วก็เตรียมตัวแพ้ได้เลย


   "แต่นี่ทำเพื่อคุณนะ"


   จากมือที่อยู่ระดับอกขึ้นไปสัมผัสข้างแก้ม ริมฝีปากสวยบรรจงจูบลงไปทีละนิ้ว เรียกเอาความร้อนวูบขึ้นมากองกันบนใบหน้า ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือสายตาที่ไม่ละออกไปจากผมเลย


   สิปป์ชอบเล่นเกมส์ นั่นคือสิ่งที่ผมบอกตัวเองอยู่ในตอนนี้


   อยากจะดึงมือกลับมาแต่นั่นหมายถึงผมเป็นฝ่ายยอมแพ้ในยกนี้ บอกตัวเองให้อดทนเข้าไว้ ผู้ขายตัวร้ายกำลังใช้เล่ห์แพรวพราวทั้งหมดในการหลอกให้ผมติดกับ เกลียดจริงเลย เกลียดตาเขา เกลียดหน้าเขา เกลียดเสียงเขา เกลียดทุกอย่างที่รวมตัวกันแล้วเป็นสิปป์ เพราะผมไม่สามารถรับมือกับมันได้นาน


   นับวันผมก็ยิ่งรู้ เสน่ห์ล้นเหลือที่ทำให้คนหลงจนฆ่ากันเองได้มันเป็นอย่างไร


   "รู้ไหมว่าตอนคุณกัดปากมันเซ็กซี่เป็นบ้า"


   "โรคจิต คิดว่ามื..."


   "ดิซ บอกเคาท์เตอร์แล้วใช่ไหมว่าขอเพิ่มเวลาซ้อมน่ะ"


   ช่วงชิงจังหวะที่มีเสียงที่สามแทรกเข้ามาดึงมือตัวเองออก โชคร้ายที่ทำได้แค่ข้างเดียว ดังนั้นภาพที่ผู้มาใหม่เห็นคือผมกับสิปป์กำลังยืนแนบชิดกันโดยที่มือผมข้างที่หนึ่งยังคงถูกเขากุมไว้แน่น


   พูดแบบไม่เข้าข้างตัวเองอะไรทั้งนั้นนะ ภาพนี้แม่งต่อให้อธิบายสวยหรูยังไงก็ฟังไม่ขึ้น


   คนมาใหม่คาดคะเนแล้วคงสูงกว่าผมไม่มาก ใบหน้ารูปไข่กับผมสีน้ำตาลอ่อนเพิ่มความสดใสให้กับโครงหน้าในองค์รวม ติดอยู่ที่สีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจนที่ทำให้ความสวยงามมันหมดไปทันตาเห็น


   "ยัง ไปบอกหน่อยสิ"


   "นี่! แค่ปล่อยให้น้ำวนหาที่จอดเองมันก็แย่เกินพอแล้วนะ ยังใช้ไปจองห้องต่ออีกงั้นเหรอ"


   "ถ้าตอบว่าใช่จะเดินไปไหมล่ะ"


   "ดิซ!"


   ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไรกันแน่ พูดเหมือนมาซ้อมด้วยกัน แต่ก็ไม่อยากซ้อมพร้อมกัน สิปป์โคลงหัวแล้วพาผมกลับไปนั่งบนโซฟา อย่าเรียกว่านั่งดีกว่า เขาน่ะนั่งบนโซฟา ส่วนผมนั่งบนตักเขาอีกที


   อยากจะดิ้นอยู่หรอก ติดอยู่ที่แขนที่โอบเอวผมไว้แน่นจนเกือบเป็นบ่วงรัดขนาดใหญ่ เมื่อไม่ใช่คนผิดหรือมีชนักติดหลังอะไรก็ไม่จำเป็นต้องหลบสายตา มองกลับไปยังผู้ชายเสื้อฟ้าที่ยืนหน้าไม่รับบุญยิ่งกว่าเดิมเพื่อรอดูว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป นี่ผมกำลังทำตัวเหมือนท้าทายอะไรเขารึเปล่า?


   "แล้วนี่ใคร" เสียงที่ออกมาเกือบเป็นการกัดฟันพูด


   "อยากรู้จริงเหรอ?"


   "ถ้าเป็นเด็กๆ ของนายต้นน้ำจะได้ไล่ให้ออกไปจากห้องซ้อม มันเกะกะสายตา”


   ดูท่าแล้วผู้ชายหน้าหวานคนนี้คงมีอิทธิพลในวงพอควรเลยทีเดียว ผมไม่ได้สนที่จะหาข้อมูลของสมาชิกคนอื่นๆ ในวงของดิซ มันไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตผมสักหน่อยนี่


   ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาก่อนที่เขาจะพูดต่อ "งั้นก็ออกไปเพิ่มเวลาซะ จะได้ไม่เกะกะสายตาอีก"


   เขาใช้คำที่แรงมากพอควรเลยล่ะ ไม่รู้ว่าคนข้างหลังกำลังทำสีหน้าแบบไหน น้ำเลยเดินปึงปังออกไปพร้อมกับปิดประตูกระแทกไล่หลังอีกต่างหาก


   "จะปล่อยได้รึยัง"


   "ไม่อะ"

   "บอกไว้ก่อนว่าอย่าเอาผมเข้าไปเกี่ยว”


   กันไว้ดีกว่าแก้ ดูจากท่าทางที่ออกไปทาง 'หึงหวง' มากจนชัดเจนของอีกฝ่ายแล้ว ผมคงต้องระวังเรื่องการวางตัวให้มากกว่านี้อีก ที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องมาระวังเลยไม่ใช่รึไง


   “เขาต่างหากที่พาตัวเองเข้ามาเกี่ยว” คางของเขากำลังเกยกับไหล่ของผม จักจี้ชะมัด “ไม่มีใครเชิญสักนิด”


   ทั้งแขนที่รัดเอวไว้และคางที่วางตรงไหล่ผมเลยหมดหวังที่จะขยับตัวหนีอย่างสมบูรณ์ ผมทิ้งร่างให้พิงกับคนที่อยู่ด้านหลังอย่างไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าท่านี้มันสบายที่สุดแล้วในการนั่ง


   “ฝ่ายร้ายนี่ชอบความเสี่ยงงั้นเหรอ”


   “เราทุกคนตั้งชีวิตบนความไม่แน่นอนที่รัก”


   “เฮ้อ ผมไม่แปลกใจเลยที่คุณคนนั้นจะหวงคุณขนาดนี้น่ะ” ก็คำเลี่ยนๆ ที่ออกจากปากของเขาตลอดเวลานั่นไง “บางทีคุณก็ควรควบคุมคำพูดของตัวเองหน่อย”


   “บางเรื่องปากมันไปไวกว่าที่คิด”


   “อยู่อย่างนี้ไม่หนักรึไง”


   “ไม่นะ คุณตัวเบา” เขาเอียงคอมาทางผมจนรู้สึกได้ว่ามีอะไรทิ่มข้างแก้ม “ดูบางไปทั้งตัวจนไม่อยากจะเชื่อว่ามีแรงขนาดนั้น”


   “อย่าตัดสินหนังสือจากปกไง”


   Do not judge a book from a cover


   คำพูดที่ผมชอบมากที่สุด


   “เล่นมานานแล้ว?”


   “พอสมควร เล่นตอนว่าง”


   เขาหัวเราะในลำคอ ใช้มือข้างซ้ายโอบเอวไว้หลวมๆ แล้วขยับมือข้างขวาไปจับข้อมือของผมไว้ “ฝีมือขนาดนี้เล่นตอนว่าง?”


   “ใช่”


   ดูโรคจิตไหมถ้าจะบอกว่าผมชอบความความรู้สึกแบบนี้ ชอบเวลาที่ได้เหยียดยิ้มผู้ชนะให้คนที่เคยสบประมาทผมไว้ มนุษย์น่ารังเกียจอย่างหนึ่งคือชอบตัดสินคนอื่นด้วยมุมมองของตนเอง ทั้งที่องค์ประกอบทุกอย่างมันไม่ได้เหมือนกันเลยสักนิด ผมไม่เคยตัดสินคนอื่นและไม่ต้องการให้ใครมาตัดสินชีวิตผมเช่นกัน


   “คุณเป็นหนังสือรุ่นลิมิตเต็ดสินะ” สิปป์โน้มหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกของเราชนกัน กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ไม่เหมือนกับทุกครั้งบอกผมว่าเขาคงไปค้างที่อื่นอย่างที่บอก “ถ้าอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ให้ครบต้องทำยังไงกัน”


   “...เอ่อ กูก็ไม่อยากจะขัดจังหวะอะไรหรอก แต่ว่ากูยืนอยู่ตรงนี้นานแล้วว่ะ”


   ผมได้ยินเสียงฮึมฮัมอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักจากลำคอ ท่าทางของเด็กที่ถูกขัดใจเรียกให้ผมยิ้มหวานกลับไป พาตัวเองออกจากอ้อมแขนแล้วลงมานั่งข้างๆ แทน


   “ไม่อยากขัดจังหวะก็เดินออกไป”


   “มึงก็พูดมาไม่อายเด็กมึงเลยเนอะ”


   ผมเกลียดคำว่า 'เด็ก' ที่พวกเขาใช้พิกล


   ชายที่มาใหม่มาพร้อมกับกระเป๋าใส่เครื่องดนตรีประเภทสาย คิดว่าคงเป็นเบสเพราะสิปป์เป็นมือกีตาร์แล้ว ความรู้สึกแรกที่เห็นก็คงเป็นลูกคุณหนูจอมกะล่อนทั่วไปในชุดแบรนด์ทั้งตัว หน้าตาดีพอควรเลยล่ะ


   "สวัสดี ชื่อ 'พีท' นะ"


   มองหน้าแล้วก้มลงกดโทรศัพท์คือสิ่งที่ผมตอบกลับไป หืม ผมจำเป็นต้องมารยาทดีอย่างที่สอนน้องโรมมาตลอดงั้นเหรอ คุณเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ คนที่มาเรียกคนอื่นว่าเด็กเลี้ยงได้หน้าตาเฉยไม่สมควรที่จะได้รับการปฎิบัติที่ดีกลับไปหรอกนะ


   "หยิ่งว่ะ..." เสียงอุบอิบเรียกรอยยิ้มแสยะบนใบหน้าของผม "ล่ะตอนน้ำเข้ามาพวกมึงอยู่ท่านี้กันเหรอมันเลยเดินหัวลุกเป็นไฟออกไปอย่างนั้น พี่หน้าเคาท์เตอร์ตกใจกันหมด"


   "ก็เปล่า ล่ะนี่คนที่นัดไว้อีกคนล่ะ"


   "ไม่รู้แม่ง โทรไปไม่รับสงสัยเบี้ยวนัดแล้วมั้ง"


   "อืม..."


   ตอนนี้ผมมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ติดตรงที่สิปป์ยังกุมมือผมไว้ไม่ยอมปล่อยนี่แหละที่เป็นตัวปัญหาอยู่


   "มีงานด่วนต้องรีบกลับไปทำรึเปล่า" เขาหันมาถามผม


   "ไม่นะ"


   "อยากเล่นกลองอีกไหม?"


   คำชวนที่ฟังยังไงก็ดูมีความนัยแฝง ผมลอบมองผู้ชายคนเดิมที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยเค้าของความไม่พอใจแล้วเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาในหัว


   ไม่เคยเป็นกันเหรอ ความรู้สึกที่ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทรมานแล้วยิ่งมีความสุขน่ะ


   "จะให้มาช่วย?"


   "จ้างต่างหาก พอดีคนเล่นประจำไปแสวงบุญรอบโลกไม่มีกำหนดกลับ"


   กรอกตาใส่คนที่ยิ้มกริ่ม "คุณควรเลิกเอาเรื่องเงินมาพูดได้แล้วนะ"


   "ไม่มีอะไรในโลกที่ได้มาฟรีๆ"


   "นานแค่ไหน"


   ช่วงนี้ผมไม่ได้มีงานเข้ามารวดเดียวอย่างที่เกิดขึ้นสมัยเจอเขาแรกๆ มันก็ยังคงมีงานเข้ามาสม่ำเสมอแต่ไม่ถึงขนาดต้องเร่งทำอีกแล้ว เด็กที่ไม่ต้องเรียนในระบบการศึกษาภาคบังคับอย่างผมจะใช้ชีวิตอย่างไรมันก็สะดวกไปหมด ไม่ต้องมากังวลเรื่องคาบเรียนไม่พอหรือเรื่องสอบ


   "ตลอดชีวิต"


   "อย่าเว่อร์"


   "ตกลงไหมล่ะ?"


   "จะเล่นให้จนกว่าจะหาคนใหม่ได้แล้วกัน ระยะทดลองงานสามเดือนเหมือนฝึกงาน" เห็นเน็ทมาบ่นเรื่องฝึกงานให้ฟัง ถึงจอมหวงจะดูไม่ค่อยสนใจการเรียนมากเท่าไหร่แต่ความจริงแล้วถ้าเขาตั้งใจจริงก็ทำได้หมดนั่นแหละ ติดตรงที่เขาเป็นคนสบายๆ เกินไปหน่อย นี่คงโดนพี่จ้ำจี้จ้ำไชให้คิดเรื่องฝึกงานเลยเริ่มแอคทีฟ ไม่อย่างนั้นคนอย่างนัทธิไม่มีทางเริ่มคิดเรื่องพรรณนี้เองแน่นอน


   "น่ารักมาก" เขาโน้มมากระซิบที่ข้างหู จงใจเฉียดแก้มผมไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


   "พลอดรักเสร็จรึยัง ถ้าเสร็จแล้วก็ออกไปสักที"


   ถ้าไม่ใช่ลูกคนเดียวก็ลูกคนเล็กถึงได้เอาแต่ใจอย่างนี้ อยากจะให้น้องมาเห็นจะได้เข้าใจว่าเพราะอะไรผมถึงเคี่ยวเข็ญไม่ให้ทำตัวไร้มารยาทอย่างนี้ใส่คนอื่นไปทั่ว


   “นี่นิช จะมาเล่นกลองให้”


   ผงกหัวลงเพื่อไม่ให้ดูหยิ่งอย่างที่มีบางคนแขวะไว้


   “อะไรนะ!?”


   เหมือนการเข้ามาร่วมวงของผมจะมีคนไม่พอใจอยู่แฮะ


   “ต้องให้พูดซ้ำงั้นสิ”


   “น้ำไม่ยอมให้เด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาเล่นขายของหรอกนะ”


   “นายควรให้ ‘คนร่วมวง’ ไปเช็คสายตา” ผมไม่ยอมใช้คำว่าเพื่อนในประโยค “มองยังไงให้คนตีกลองกลายเป็นเล่นขายของ”
บอกเลยว่าถ้าจะมาเปิดสงครามกับผม ผู้ชายคนนี้คิดผิดอย่างมหันต์เลยล่ะ


   “นี่!”


   “นิช ไม่ใช่นี่”


   “ดิซ นายควรสอนเด็กนายให้เก็บปากไว้ทำอย่างอื่น”


   ยามที่ผมหันกลับไปรอคำตอบจากเขา สิปป์เพียงยิ้มจนตาปิดมาให้ ...ผมว่าผมเห็นเขาซาตานงอกอยู่บนหัวผู้ชายคนนี้อยู่ล่ะ พนันไหมว่าเขากำลังคิดแผนชั่วอยู่ในหัว ที่กล้าบอกเพราะเขาเองไม่ต่างจากผมเลยสักนิดที่มีแผนร้ายจำนวนมหาศาลไหลเรียงเข้ามาต่อเนื่อง


   เป็นพระเอกมันจะไปสนุกอะไรล่ะ เป็นตัวร้ายแล้วชีวิตมีสีสันกว่าเยอะ


   "จะมาเล่นให้แต่มีข้อแม้" ผมยื่นข้อต่อรองให้ผู้ว่าจ้าง ไม่เก็บเอาเสียงค้านมาใส่ใจ "ฉันไม่ใช่ 'เด็ก' ของใคร ฝากนายไปปรามคนของนายเองหน่อย"


   ชายตาไปมองชายสองคนที่แสดงสีหน้าแตกต่างกัน หนึ่งคนเต็มไปด้วยโทสะ อีกคนเต็มไปด้วยความเกรง การที่ผมบอกให้เขาไปพูด มันหมายความว่าสิปป์มีอำนาจเหนือกว่าในการควบคุม


   ...ส่วนคนที่สั่งเขาอีกทีอย่างผม ก็เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดไง


   "ข้อสอง นายเป็นคนจ้างเพราะงั้นฉันจะไม่ฟังคำสั่งของใคร"


   "ผมไม่ยอมให้คุณไปฟังคำสั่งคนอื่นอยู่แล้ว"


   "ข้อสุดท้าย ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมทนไม่ไหวแล้วเกิดอันตรายอะไรขึ้นมา จะโทษผมไม่ได้นะ โอเคไหมครับสิปป์"


   "รับทราบครับนิรันดร์"


   ยิ้มหวานที่เคลือบพิษร้ายส่งไปให้เป้าหมาย ผมเรียกเขาว่าสิปป์แทนที่จะเป็นดิซอย่างที่ทุกคนทำ โชคดีที่ตั้งใจฟังเรื่องเล่าจากเอมเรื่องชื่อของเขา ผู้ชายแสนร้ายจะให้เฉพาะคนที่สนิทเท่านั้นเรียกชื่อจริง ถ้าไม่สนิทแล้วลองดีมาเรียกอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับเขาเลยก็เคยมีมาแล้ว


   "ตามนั้นนะ นิชจะมาเล่นให้สามเดือนเป็นอย่างน้อย"


   มันไม่ใช่การขอความเห็น เป็นการบอกเล่าให้ปฏิบัติตามเสียมากกว่า พีทดูมีปัญหาแต่ไม่กล้าท้วงกับการตัดสินใจของหัวหน้าวงในครั้งนี้ ผิดกับอีกคนที่เห็นคำว่าไม่ยอมรับลอยมาเต็มใบหน้า


   "ง่ายไปไหม จะให้ใครก็ไม่รู้มาเล่นเนี่ยนะ"


   "จะให้มาเล่นกูไม่คิดอะไรหรอก แต่ก็อย่างที่น้ำบอกวงเราไม่ใช่วงโนเนมนะเว้ย จะให้คนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกมาเล่นเลยมันก็ดูเสี่ยงไปป่ะวะ"


   สรุปแล้วคือกำลังบอกว่าผมไม่เหมาะก็บอกมาตรงๆ


   วันนี้อาจเป็นวันดีที่ผมได้เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของพวกมนุษย์หลายครั้งหน่อย ผมปล่อยให้คำปรามาสหายไปกับการเดินทางของเสียง หยิบมือถือขึ้นมากดไล่หาเพลงโปรดในการซ้อมดนตรี เพลงที่ผมโปรดปรานแต่ไม่มีใครชอบด้วยเพราะมันเล่นยากเกินไป แปลกนะ อะไรที่มันยากเราควรยิ่งเผชิญมันไม่ใช่รึไง


   "อย่าฆ่าใครตายล่ะ"


   เสียงแผ่วเบาเกือบเป็นการกระซิบ ผมหยิบหูฟังขึ้นมาใส่หูทั้งสองข้างแล้วเดินออกไปนั่งตรงหน้าเครื่องตีอีกครั้ง มือค้างไว้ที่ปุ่มเพลย์แต่สายตามองไปหาเจ้าของนัยน์ตาสวยแสนสะพรึง ส่งยิ้มมุมปากบางเบาให้แทนคำขอโทษ


   ขอโทษที่ต้องบอกว่าเตรียมกดเบอร์โทรเรียกรถฉุกเฉินได้เลย


***
   Merry Xmas ค่ะ (ยิ้ม)
   ไม่มีอะไรจะสารภาพนอกจากยังแต่งที่หนึ่งตอนต่อไปไม่ได้อย่างที่ต้องการสักทีค่ะ (ฮา) ในที่สุดการสอบของเจ้ามันก็จบลงแล้ว หนึ่งเดือนสุดแทนทรมานมันผ่านพ้นไปได้สักที /ปาดน้ำตา แต่คิดว่าปิดเทอมแล้วคงลงได้บ่อยขึ้นแล้วล่ะค่ะ คราวนี้น่าจะมีเวลาแต่งเก็บไว้ ไม่ต้องอัพตอนต่อตอนอย่างที่ทำมาตลอด (หัวเราะ)
   แล้วเจอกันศุกร์หน้าเช่นเดิมค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 2 (สิปป์นิช) [25.12.15]
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 26-12-2015 00:19:05
นิชนางเริศเสมออ่ะ เอาให้กระอักเลือดตายเลยนะ

หมั่นไส้ต้นน้ำ  :m31:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 2 (สิปป์นิช) [25.12.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Ferin1A ที่ 26-12-2015 00:33:51
สิปป์นิชน่ารัก
น้องโรมดูมีอิทธิพลกับนิชพอสมควรเลยนะ นางนึกถึงน้องบ่อยมาก

อยากเห็นเวลาพี่ๆสปอยน้องอ่ะ อยากรู้ว่าเลี้ยงกันมายังไง น้องโรมถึงแอบดื้อเล็กๆ ละเหมือนเด็กถูกตามใจ ทั้งๆที่เห็นพี่ชอบดุกับสอนนางตลอด555 รอพาร์ทที่หนึ่งน้องโรมนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 2 (สิปป์นิช) [25.12.15]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-12-2015 10:33:50
แสยะยิ้ม
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 2 (สิปป์นิช) [25.12.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 28-12-2015 17:14:38


สิปป์นิชนี่เป็นเรื่องที่เซ็กซี่และมีสไตล์มากค่ะ คือจริง ๆ จะแยกออกไปเป็นอีกเรื่องเลยก็ได้
เพราะทัั้งสิปป์และนิชมีเสน่ห์มากพอจะตรึงใจคนอ่านเอาไว้ได้... เรียกได้ว่า ไม่อาจคลาดสายตาไปจากทั้งสองคนได้เลยต่างหาก
ตอนนี้เราตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นว่าเป็นเรื่องของสิปป์นิชเลยนะคะ (สงสารที่หนึ่งน้องโรมมาก ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

อย่างไรก็ดี... เราจะติดตามรออ่านตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อเลยค่ะ
สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้านะคะ!!  :mew1:

หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 01-01-2016 11:23:41
บทที่ 11


   ห้องประชุมขนาดหนึ่งพันที่นั่งในช่วงเย็นของวันพฤหัสบดีเต็มไปด้วยเด็กคณะบัญชีเดินไปมาขวักไขว่ ผมเลี่ยงตัวออกมาอยู่บริเวณด้านหลังของเวทีที่ถูกเนรมิตให้เป็นฉากประกอบธีมการประกวดขนาดย่อม อย่างที่วีเคยบอกวันนี้มีการประกวดคัดเลือกดาวเดือนของคณะ อยากจะชิ่งมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้เพราะโดนดักไว้ทั้งทางของน้องสายและคนห้องตรงข้าม พอดีว่าวันนี้ผมมีเรียนวิชาสุดท้ายตอนบ่ายสามกับที่หนึ่งเลยโดนลากมาด้วยอัตโนมัติ ผมก็งัดทุกข้ออ้างมาใช้จนหมดแล้วนะ ทำได้แค่ยอมรับความจริงว่าเถียงไปแค่ไหนก็ไม่ชนะหรอก เขาตีหน้ามึนใส่แล้วก็ลากมาด้วยก็จบเห่ชีวิต

   ข้ออ้างที่ใช้ไปก็อย่างเช่นคืองานนี้มันมีข้อจำกัดเรื่องการเข้าเชียร์มาก ผมไม่อยากไปนั่งรวมกับใครอื่นที่ไม่รู้จัก ที่หนึ่งก็จัดการเสกบัตรสตาฟแบบ all area ที่เขียนว่าพี่โรมมาให้ในเสี้ยววินาที ที่กลัวว่าต้องไปนั่งรวมกับใครอื่นที่ไม่รู้จักเขาก็จัดให้ผมได้นั่งตรงพื้นที่ส่วนวีไอพี

   นี่สินะการบริการระดับห้าดาว

   "พี่รหัสสส ขอกอดเรียกกำลังใจหน่อย"

   "เอาตีนไปก่อนแล้วกันนะมึง"

   วีมันเกาะแกะอย่างนี้มาตั้งแต่ผมโผล่หน้าไปให้เห็นพร้อมที่หนึ่งในห้องแต่งตัวแล้ว พอเห็นผมปุ๊บก็เข้ามาออเซาะยิ่งกว่าปกติอีกเป็นหลายเท่า ไม่รู้อะไรมากมายถึงมาลงที่ผม

   "ฮือ ผมโคตรเครียดบรรลัยมากมายมหาศาลล้านแปดพันเก้าเลยว่ะพี่ เมื่อกี้เชี่ยโยบอกจะโชว์ควงกระบองไฟด้วยอะ"

   คงจะกังวลมากจริงถึงใช้คำได้พิลึกพิลั่นขนาดนั้น

   "มึงโชว์พ่นน้ำแข็งแบบเอลซ่าสู้เลย"

   "พี่รู้ป่ะว่าแม่งไม่เหมือนการให้กำลังใจเลยสักนิด" เด็กน้อยเบะปากไม่พอใจ

   "รู้ ก็กูไม่เห็นว่ามึงอยากเป็นเดือนอะไรนี่สักหน่อย"

   "โธ่ ชีวิตคนเราก็ต้องทำอะไรสนุกๆ บ้างสิพี่ เมื่อกี้ผมแอบได้ยินพี่สตาฟคุยกันว่าผมมีสิทธิ์ลุ้นสูงนะ"

   ปารวีแม่งเป็นคนที่ผมสรรหาคำมานิยามไม่ถูก โอเคว่าเรื่องรูปร่างหน้าตาไม่มีปัญหา แต่เรื่องการแสดงความสามารถที่พ่วงการตอบคำถามวัดทัศนคติบ้าบออะไรนี่ผมว่ามันเป็นอะไรที่ไม่มีทางทำได้

   "คำพูดลอยๆ เชื่อได้ขนาดนั้นเลยรึไง?"

   "พี่น่าจะเป็นคนที่รู้คำตอบดีที่สุด"

   "มึงไปถามที่หนึ่งเถอะ"

   "ก็นั่นสิเนอะ"

   "เพี้ยนใหญ่แล้วแม่ง มาๆ กูขอให้มึงได้แสดงคนสุดท้าย จะได้ไม่ใครอยู่ดู"

   คุยมากกว่านี้ผมต้องได้หนีกลับก่อนแหง ตั้งใจไว้แล้วว่าตอนที่วีแสดงความสามารถผมจะหนีออกไปสูดอากาศข้างนอกจะได้ไม่ต้องมารับรู้ว่าน้องสายทำเรื่องงามหน้าแค่ไหนไว้ คือถ้าไม่เห็นแก่หน้าตัวเองก็ช่วยเห็นแก่หน้าผมหน่อยเถอะ ไม่อยากจะมารับรู้อะไรอีกแล้วล่ะ แค่ทุกวันนี้ความสงบสุขในชีวิตของผมก็หายไปมากเกินพอแล้ว

   ผมไม่เคยมาร่วมงานอะไรอย่างนี้สักปี ทั้งไม่เห็นความสำคัญแล้วก็รำคาญผู้คนจำนวนมากด้วย บางทีก็อดแปลกใจไม่ได้ที่กิจกรรมที่ไร้แก่นสารอย่างนี้จะมีคนให้ความสนใจล้นหลาม เห็นว่าตอนสมัยปีผมนี่ห้องประชุมเกือบแตกอยู่เหมือนกัน ว่าจะถามที่หนึ่งหลายรอบก็ลืมว่าเขาแสดงอะไร

   "ทำไมมาอยู่ตรงนี้?"

   คิดถึงพ่อพ่อก็มา ที่หนึ่งวันนี้ก็ยังคงออร่าอย่างเคย ที่แตกต่างออกไปคงเป็นเครื่องสำอางที่ถูกแต่งเติมบนใบหน้าอยู่เล็กน้อย อาจดูเหมือนไม่ใช่คนช่างสังเกตแต่ผมก็อยู่กับเขาบ่อยจนพอที่จะรู้ว่าวันนี้หน้าของเขาแตกต่างไปจากทุกวันก็แล้วกัน

   "มาคุยกับวีต่อ" เจ้าของตำแหน่งเดือนปีสามวิ่งวุ่นตั้งแต่เข้าห้องประชุมมา เรียกรันสคริปอธิบายเกณฑ์การให้คะแนนอะไรล้านแปดที่ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว ก่อนที่ผมจะแอบหนีออกมาก็มีสตาฟมาตามไปแต่งหน้าอยู่ เห็นว่าหมดงานนี้ก็อำลาตำแหน่งอย่างสมบูรณ์ "มึงไปล็อบบี้ให้ตกรอบไวๆ เลยนะ เกลียดแม่ง"

   "พูดจาไม่น่ารัก"

   "แล้วไง?"

   “ก็ไม่แล้วไง ไม่ชอบ”

   เขาจะบอกแค่ไม่ชอบแต่ไม่เคยชักหน้าสีหน้าไม่พอใจเลยสักครั้ง ไม่รู้ว่าระดับความอดทนอยู่ตรงไหนกัน บางครั้งผมก็อยากให้เขาดุผมกลับเหมือนอย่างที่พี่คนอื่นชอบทำนะ ยิ่งทำอย่างนี้มากเข้าผมเองนี่แหละที่จะเสียคน

   “ดี ไม่ต้องชอบเลยนะ”

   “ชอบไปแล้วนี่"

   "ว่างแล้วรึไงถึงมาป่วนได้?" ควรเปลี่ยนหัวข้อเรื่องอย่างด่วน

   "ก็ยังมีงานอยู่ แต่ไม่เจอเลยมาตามหา"

   "หนึ่ง..." ผมไม่ได้อยากเรียกเขาด้วยเสียงระอาแบบนี้หรอก แต่มันใช่เรื่องไหมล่ะ "นี่ปีสาม อายุยี่สิบแล้ว โอเคนะ?"

   "ไม่โอเคครับ"

   ผมว่าควรยกตำแหน่งพ่อทูนหัวให้เขา ขนาดคุณพินิจยังไม่เคยหวงผมเท่านี้เลย ยังไม่ทันที่จะตอบโต้อะไรกลับไปที่หนึ่งก็วางมือบนไหล่ของผมทั้งสองข้าง ออกแรงผลักเบาๆ ให้ออกเดินไปข้างหน้าคล้ายการเล่นต่อแถวเป็นรถไฟในสมัยเด็ก แต่นี่คงเป็นขบวนที่สั้นหน่อยเพราะมีแค่สองตู้เท่านั้น

   สถานีปลายทางคือบริเวณส่วนกลางของห้องประชุมที่ถูกกั้นกรอบไว้ให้เป็นโต๊ะกรรมการการประกวด ที่นั่งของผมอยู่สูงขึ้นไปจากส่วนกลางสองขั้น เลือกตำแหน่งริมขวาสุดแล้วยังเอากระเป๋ามาจองที่ทางซ้ายต่อจากผมเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกขนาบด้วยคนไม่รู้จัก คือผมก็ไม่ได้รังเกียจการนั่งรวมอะไรขนาดนั้นนะ ก็แค่มีพื้นที่ส่วนตัวมันก็ดีกว่าอยู่แล้ว

   "จะออกไปไหนก็บอกก่อน เดี๋ยวไปด้วย"

   "งั้นกลับแล้วนะ"

   หยิบมือถือขึ้นมาเตรียมโทรเรียกพี่ชายมารับ แต่เจอตาดุๆ จ้องมาเสียจนต้องเก็บลงกระเป๋าแทบไม่ทัน

   "รอดูวีก่อน" เขาเสกซองลูกอมมาให้เป็นของล่อตา "เบื่อก็เล่นเกมไป"

   "บ้านมึงเป็นนายหน้าขายลูกอมใช่ไหม ถึงได้เอามาแจกจ่ายไม่กลัวล้มละลายขนาดนี้”

   ปากบ่นแต่มือก็แกะซองขนมที่เขาให้ บอกตัวเองให้มองข้ามความเอาใจใส่ร้อยแปดพันเก้าแล้วชินกับคำพูดที่ว่ารู้หมดทุกอย่างเสีย

   "ก็ให้น้องโรมคนเดียว ไม่ล้มละลายหรอก"

   "คร้าบๆ กลับไปนั่งที่ได้แล้วไป สตาฟจะงาบหัวกูอยู่ล่ะ"

   "น้องโรม..."

   "ครับพี่ที่หนึ่ง"

   ฉีกยิ้มกวนตีนเต็มที่ ตั้งใจว่าต้องได้เห็นเขาหลุดมาดบ้างล่ะ

   แต่ไม่ได้เห็นอย่างที่หวังแฮะ

   หน้าของเขากลายเป็นนิ่งสนิทในขณะที่แก้มสองข้างแดงระเรื่อขึ้นกว่าเดิมจนเห็นชัด เดือนปีสามควบตำแหน่งรองเดือนมหาวิทยาลัยยกมือขึ้นป้องปากเหมือนห้ามไม่ให้ตัวเองพูดอะไรออกมา

   "...น่ารักไปแล้วนะ"

   ไม่ชัวร์ว่าได้ยินถูกต้องรึเปล่า ผมเลยถามทวนกลับไป

   "อะไรนะ?"

   ที่หนึ่งผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียดแล้วยื่นมือออกมาทางผมก่อนชะงักไป เขาดูลังเลมากจนผมอดขำไม่ได้

   "เป็นอะไรอีก?"

   "ขออนุญาตนะครับ"

   "โอ๊ยยย"

   เชื่อเขาเลย

   อยากจะเดาไหมว่าเขาขออนุญาตอะไร? เขาขอคำอนุมัติในการยีหัวผมจนยุ่งแหละ เกิดมาจากท้องแม่จนอายุบรรลุนิติภาวะก็มีวันนี้วันแรกแหละที่มีคนมารยาทดีในชีวิต อย่างเน็ทก็เห็นฤทธิ์เดชไปแล้วว่าเป็นยังไง บอกเลยว่าไม่คุ้นกับอะไรแบบนี้เลยครับ

   "หมั่นไส้ อย่าไปยิ้มให้ใครอย่างนี้บ่อยๆ นะ"

   "งั้นจะยิ้ม"

   "ไม่เอา" ทำปากยื่นอย่างนั้นยังไม่น่าเกลียด ลองให้ผมทำบ้างสิ คงอัปลักษณ์พิลึก "ยิ้มให้หนึ่งคนเดียวพอแล้ว"

   "มึงกลับไปเลยไป"

   ไล่กลับแทบไม่ทัน ที่หนึ่งหัวเราะออกมาแล้วยีผมสีน้ำตาลของผมที่ไม่เป็นทรงอยู่แล้วให้แย่เข้าไปอีก แก้มสีแดงธรรมชาติที่ไม่ได้มาจากการแต่งแต้มช่วยเพิ่มความน่ามองขึ้นอีกหลายระดับ

   "หวงนะ"

   อาจจะเบื่อคำนี้แล้ว แต่ผมขอบอกอีกรอบตรงนี้ว่าที่หนึ่งแม่งบ้า


 
   การประกวดรอบแสดงความสามารถไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด แต่ละคนต่างงัดทีเด็ดประจำตัวขึ้นมาประชันกันสุดฤทธิ์สุดเดชจนผมแทบไม่ได้หยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกมส์เลย จะเรียกว่าสมพรปากก็ได้ที่น้องสายของผมได้แสดงเป็นลำดับสุดท้ายจากการจับสลาก ถึงอย่างนั้นคำพูดของผมก็ศักดิ์สิทธิ์แค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งคือที่ผมบอกว่าไม่มีใครรอดูอยู่หรอก มันกลับเป็นว่าตอนนี้คนในห้องประชุมยังคงแน่นขนัดเหมือนรอคอยไฟนอลโชว์อยู่

   เสียงปรบมือให้กำลังใจดังมากกว่าทุกทียามที่พิธีกรประกาศชื่อปารวีออกไมค์ และคงเป็นที่หมั่นไส้ของชายหนุ่มในคณะไม่น้อยเลยมีเสียงโห่ฮาตามมาไม่หยุดหย่อน อยากจะให้มีหลุมดำดูดผมลงไปตอนนี้เลยแฮะ ไม่พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่กำลังจะเกิดเลยสักนิด

   "สวัสดีครับ ผมชื่อวี ถ้าเรียกแบบเต็มๆ ก็ปารวี แปลว่าผู้มีเป้าหมาย"

   ผิดจากที่คาดไว้อย่างที่หน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ว่าได้ วีอยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่มีอุปกรณ์ประกอบการแสดงแม้แต่ชิ้นเดียว สิ่งเดียวที่เขามีคือไมค์ลอยสีดำที่อยู่ในมือเท่านั้น นึกไม่ออกเลยว่าการแสดงที่เขาเคยพูดไว้คืออะไร นี่จะมาเดี่ยวไมค์โครโฟนรึยังไงกัน?

   "ให้สารภาพตามตรงตอนนี้เลยก็ได้ว่าผมเป็นคนไม่มีความสามารถพิเศษ เฮ้ อย่าโห่สิ นี่พูดจริงนะ ...นั่นแหละ เพราะผมไม่ใช่คนที่เก่งกาจอะไรขนาดนั้น ผมเลยอยากจะมาเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ทุกคนฟังมากกว่า ถ้าพร้อมแล้วก็เชิญรับฟังได้เลยครับ"

   ยกมือขึ้นมาปรบมือให้ตามประเพณี วียืนยิ้มโดยไม่พูดอะไรออกมาต่อ เขากวาดตาไวๆ ไปทั่วห้องแล้วมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะกรรมการ...หรือไม่ก็ตรงชั้นที่สูงกว่านั้น

   "นี่เป็นเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อวี วีเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาๆ ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากมัธยมเข้ามาสู่ระดับมหาลัย เขาไม่เคยทำกิจกรรมอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาตั้งแต่เด็ก ที่ทำกิจกรรมครั้งสุดท้ายก็เป็นช่วยยกฉากขึ้นแสตนเชียร์สมัยม.สาม ความจริงก็ไม่ได้อยากช่วยหรอก พอดีเดินผ่านพอดีแล้วโดนเพื่อนในห้องล่อลวงว่ากำลังเอาของไปเก็บไว้ที่ห้องซ้อมหลีด"

   เรื่องเล่าที่ดูธรรมดา ผมลองจินตนาการภาพน้องสายหัวเกรียนที่โดนลากไปช่วยงานแล้วก็หัวเราะเงียบๆ อยู่คนเดียว

   "จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยมา นายวีก็เจอเหตุการณ์ที่ไม่ได้อยากจะทำแต่ก็ต้องหลวมตัวมาทำอีกครั้งอย่างประกวดเดือนคณะ แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะถูกเอาเรื่องดาวมาล่อ" เขาไม่ได้ใช้น้ำเสียงที่ดูน่าสนใจเลยสักนิดด้วยซ้ำ มันเป็นโทนเสียงธรรมดาเหมือนการเล่าทั่วไป และเพราะมันดูเป็นการเล่าที่ทั่วไปนี่แหละมันเลยดูเข้าถึงได้ไม่ยากเลย "วีถามตัวเองหลายครั้ง ว่าอะไรที่ทำให้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ ความจริงตำแหน่งเดือนอะไรนี่มันไม่ได้เหมาะกับคนอย่างตัวเองมากอยู่แล้วอะนะ ปารวีคิดอยู่นาน จนในที่สุดก็ได้คำตอบ"

   มีเสียงจากผู้ชมตะโกนว่า 'เพราะมึงบ้าไง' เรียกเสียงฮาครืนได้มากพอควร แค่นี้ก็บอกได้ว่าวีเป็นที่รักของคนในคณะไม่น้อย

   "โหย อย่ามาตัดมุกอย่างนี้เด้ นี่บิวท์อารมณ์อยู่เห็นไหม ...เมื่อกี้พูดถึงไหนแล้ววะ อ้อ ให้คำตอบใช่ป่ะ นั่นแหละ เขาว่ามันเป็นเรื่องของความกล้า" อาจเป็นตำแหน่งที่นั่งวีไอพีอยู่ไม่ไกลจากเวทีมากนัก เลยเห็นชัดว่าความกล้าที่เขาบอกมันส่งมาผ่านสีหน้าและท่าทางมากแค่ไหน

   "ผมมีรุ่นพี่คนหนึ่งที่ผมเรียกเขาว่าเป็นไอดอลได้เต็มปาก ทั้งที่เพิ่งรู้จักกับพี่เขามาได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เถอะ"

   ...?

   ถึงจะยังไม่เข้าใจเมนไอเดียของทอล์คโชว์ครั้งนี้ดีแต่เดาได้ว่าใครคือคนที่เขากำลังพูดถึง และเพราะผมสามารถเดาได้นั่นแหละ มันเลยดูไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด

   "พี่เขาชื่อที่หนึ่ง" มือข้างที่ไม่ได้จับไมค์ผายมายังเจ้าของชื่อ "พี่ครับ ผมอยากขอบคุณที่พี่ทำให้ผมกล้ามายืนตรงนี้ ด้วยเหตุผลเดียวคือมันคือจุดที่พี่เคยยืน"

   ตอนแรกเหมือจะเข้าใจ และตอนนี้ผมบอกเลยว่าผมไม่เข้าใจในสิ่งที่วีกำลังทำเลยสักนิดเดียว

   "พี่เป็นตัวอย่างที่ทำให้ผมอยากเดินรอยตามทุกอย่าง จนกระทั่งมีเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น เรื่องที่พี่ทำให้ผมรู้สึกผิดหวังโคตร"

   มันไม่ใช่เรื่องแสดงความสามารถอะไรแล้วล่ะ นี่เอาเรื่องส่วนตัวมาพูดต่อหน้าสาธารณะชัดๆ ยิ่งตอนที่วีหันหน้ามาทางบริเวณที่ผมนั่งอยู่แล้วด้วยยิ่งเพิ่มความระแวงให้สูงขึ้นไปอย่างหยุดไม่อยู่ ผมไม่ใช่คนที่มีเซนต์ในเรื่องอันตรายสักเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไมความคิดที่ก้องในหัวของผมตอนนี้ถึงมีอย่างเดียวคือบอกให้เดินออกจากห้องนี้ซะ ให้รีบหนีไปก่อนที่จะได้ยินอะไรที่ไม่ควรรับรู้

   "เพราะงั้นพี่ที่หนึ่งครับ ผมขอใช้ความกล้าที่ผมมีถามอะไรพี่สักอย่าง" เสียงเดียวที่ดังอยู่รอบตัวคือเสียงเครื่องปรับอากาศ ทุกสายตากำลังจับจ้องไปทางบุคคลที่สามที่ถูกเรียกให้เข้ามามีบทบาทในการแสดง "ผมอยากจะรู้ว่าคนที่พี่กำลังจีบคือใคร"

   ไม่ลืมกันใช่ไหมว่าถึงตอนนี้คนปริศนาก็ไม่ได้รับการเฉลยแต่อย่างใด

   ถึงอย่างนั้นสิ่งที่กำลังทำก็บอกผมได้ว่าวีรู้คำตอบอยู่แล้วแม้จะไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยก็ตาม

   "ว่าไงครับ ช่วยบอกผมได้รึเปล่า?"

   เสียงพูดคุยดังอื้ออึงจนแยกไม่ออก ผมนั่งนิ่งไม่กล้าแม้แต่จะขยับซ้ายขวามองคนรอบข้าง สายตามองตรงไปที่แผ่นหลังของผู้ชายที่นั่งอยู่ห่างออกไปสองช่วงตัวว่าเขาจะทำอะไรต่อไป ที่หนึ่งนั่งหลังตรงอยู่อย่างนั้น มือข้างหนึ่งรับไมค์ลอยจากฝ่ายโสตมาถือไว้ และทันทีที่มีเสียงเปิดไมค์ทั้งห้องก็สามัคคีพร้อมใจกันเงียบ

   "ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณที่มองพี่เป็นไอดอลนะ แต่ความจริงพี่ก็ไม่ได้มีดีอะไรมากขนาดนั้น" ต่างจากตอนที่วีพูดลิบลับ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงอะไรออกมาแทรกการพูดของเขาเลย ผมโคตรของโคตรลุ้นในตอนนี้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไปอีก "ส่วนเรื่องหลังพี่ไม่ขอพูดครับ"

   ที่หนึ่ง

   "ก็อย่างที่บอกพี่ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น อย่างที่ชัดที่สุดก็คงเป็นเรื่องขี้หวง" น้ำเสียง 'หนัก' และ 'แน่น' ทุกคำในประโยค ผมสะดุ้งเล็กๆ ตอนที่เขาหันหลังกลับมามองทางด้านหลังของตัวเอง ในสายตาของคนภายนอกอาจแยกไม่ออกว่าเขากำลังมองไปที่ไหน "อะไรที่เป็นของพี่ พี่หวงมากครับ"

   ขอกดหยุดเวลาสักแป๊บ

   ใครเป็นของมึงครับ? ผมเกือบจะลุกขึ้นตะโกนถามไปแล้วถ้าไม่ติดว่าตอนนี้เสียงเซ็งแซ่มันเกิดขึ้นทุกทิศทาง และขืนถ้าผมทำอย่างนั้นออกไปจริง มันคือการฆ่าตัวตายออกอากาศชัดๆ

   "ถ้าไม่มีคำถามแล้วพี่ขอปิดไมค์แล้วนะ"

   บอกเลยว่าตำแหน่งรองเดือนมหาวิทยาลัยไม่ได้มาเพราะโชคช่วย จากวิธีการตอบกลางๆ ไม่ทำให้ใครเสียหายในขณะเดียวกันก็เป็นการตัดบทไม่ให้ถามอะไรต่อไปอีก

   วีเป็นคนตอบคำถามคนสุดท้ายและตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว สมาชิกทุกคนในห้องประชุมถูกบังคับให้เคลื่อนตัวออกไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก ที่หนึ่งหันมาจ้องผมประมาณว่าอย่าคิดลุกหนีไปไหน ผมเลยจำใจต้องนั่งรออยู่ที่เดิมจนกระทั่งเขาคุยกับกรรมการคนอื่นเสร็จแล้วเดินมาหาผม

   "กลับเลยนะ"

   ปลายเสียงตวัดห้วนอย่างที่เขาไม่เคยทำมาก่อน ผมพยักหน้าคืนให้แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเดินจูงมือออกจากห้องประชุม ดูแล้วเขาคงไม่อยู่ในมู้ดที่อยากคุยอะไรกับใครมากเท่าไหร่ผมเลยไม่กล้าพูดอะไรออกไป และคงไม่ใช่แค่ผมที่รู้สึก ระหว่างทางมีคนในคณะทำท่าว่าจะเข้ามาทักแต่ไม่ได้ทักอยู่หลายคน

   "..."

   มือที่จับผมไว้กระชับแน่นขึ้นยามปรากฎร่างของเด็กผมสีทองยืนรออยู่บริเวณทางออกของตึก วีพิงกับกำแพงสบายๆ ไม่มีความสำนึกเลยสักนิดว่าเมื่อกี้สร้างดราม่าไว้มากแค่ไหน

   ผมรักความเงียบสงบ ถึงอย่างนั้นตอนนี้ผมกลับอยากให้รอบข้างมีเสียงโวยวายมากกว่า ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบและผมเองก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรทั้งสิ้น

   รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนกลางที่ห่วยแตกมาก

   "พี่แม่งแย่ว่ะ" เป็นปารวีเริ่มเอ่ยก่อน "ถ้าพี่จะจีบพี่รหัสผมก็กล้าหน่อยดิ มาจีบหลบๆ อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน”

   "พี่ไม่เคยจีบหลบนะ"

   "แล้วที่ผมเห็นคืออะไร"

   "การที่วีเห็น มันก็มีความหมายในตัวอยู่แล้วไหม" วีเป็นเด็กน้อยไปเลยเมื่อถูกพี่ปีสามไล่ต้อนเสียหมดคำพูดอย่างนี้ "วีเป็นน้องสายโรม ก็น่าจะรู้นิสัยพี่สายของตัวเอง"

   หนึ่งรู้ทุกอย่างนั่นแหละ

   ไม่หรอกที่หนึ่ง นายยังรู้ไม่หมดทุกอย่าง

   น้องสายที่เพิ่งใช้ความกล้ากับเรื่องไร้สาระเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก "พอเลย บอกผมมาคำเดียว จีบพี่สายผมอยู่ใช่ป่ะ"

   "อืม"

   ไม่ว่าเขาจะพูดออกมากี่ครั้ง เขาก็ยังคงชัดเจนอย่างเดิม

   "ก็แค่นั้น"

   แค่นั้นบ้านพ่อมึงสิ! 

   ถ้าอยากจะรู้จริงก็ไม่จำเป็นต้องมาถามผ่านช่องทางสาธารณะอย่างนี้เลยไหม แค่เดินมาถามตรงๆ อย่างที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่รึไง ผมใช้สายตาพิฆาตส่งไปให้ เอาอย่างแรกเลยคือนี่ไม่ใช่เรื่องอะไรของวีเลยสักนิด ไม่ว่าที่หนึ่งกำลังจะจีบใครอื่นที่ไม่ใช่ผมอยู่ก็ไม่เห็นจำเป็นที่ต้องมานั่งตอบคำถามอะไรแบบนี้เลย

   "พี่รู้ไหมว่าตอนนี้ผมเกลียดชื่อของพี่ชะมัด" พ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด "เพราะสุดท้ายแล้วพี่ก็เป็น 'ที่หนึ่ง' อยู่เหมือนเดิม"

   มือที่กุมผมไว้คลายออกเล็กน้อย ถึงจะบอกว่าเล็กน้อยใจผมกลับหล่นวูบ ความกลัวที่พุ่งเข้ามาไม่หยุดหย่อนบอกให้ผมรีบกระชับมือให้มั่นก่อนที่มันจะหลุดออกไป

   "ไม่หรอก..." เสียงเขาอ่อนแรงไม่ต่างจากมือที่กำลังจับผมไว้

   "พี่ก็เป็นแค่ผู้ชายที่พยายามเป็น 'ที่หนึ่ง' อยู่เท่านั้นเอง"

   "อะไรที่ได้มาโดยไม่ต้องพยายามจะมีความหมายอะไรล่ะพี่ จริงไหม?" กลับกลายเป็นวีที่ดูทำท่าทางคนแก่ล้อเลียน "เพราะเราต้องทุ่มเทเพื่อได้มันมา มันเลยมีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด"

   วีหายลับไปกับมุมตึกแล้ว และเราสองคนก็ยังคงไม่ขยับตัวไปไหน ผมโคตรกลัวใจที่หนึ่งตอนนี้มากให้ตายเถอะ แม่งทั้งเงียบทั้งสงัด แล้วนี่มันก็เที่ยงคืนเข้าไปแล้วความมืดรอบข้างมันน่ากลัวเว้ย!

   "ขี้หวงอะไรขนาดนั้น"

   ผมไม่รู้ว่านี่ใช่เวลาที่จะมาแซวรึเปล่า ปกติแล้วที่หนึ่งจะอยู่ในไม่กี่โหมด และนี่เป็นโหมดใหม่ที่ผมเพิ่งค้นพบ

   "..."

   ดูทำเข้า ไม่ยอมตอบอะไรกลับแถมยังทำหน้านิ่งสนิทอีก ผมไม่ใช่พวกสายเอนเตอร์เทนเสียด้วย หรือควรจะเงียบตามไปดีจะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลอะไรอีก

   โอ๊ย แต่พอเงียบอย่างนี้ผมก็ใจไม่ดีนะ!

   "พี่หนึ่ง" ถ้าเป็นปกติผมไม่ยอมเรียกเขาว่าพี่ นี่เล่นแผ่รังสีมาคุเป็นระเบิดที่ตั้งเวลาไว้ขนาดนี้ผมคงไม่เสี่ยงทะเล่อทะล่าเข้าไปกลางวงโดยไม่มีเครื่องป้องกันหรอก

   "ขอโทษครับ"

   "?"

   "ขอโทษที่ทำให้วีรู้นะ โรมไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวแท้ๆ"

   นี่ผมนึกว่าเขาจะอารมณ์เสียเพราะวีเสียอีก ไหงกลายเป็นว่าเขาโกรธตัวเองไปเสียได้

   ...แต่ก็สมกับเป็นที่หนึ่งดี

   "เฮ้ย ไม่เป็นไรๆ" ผมยกไม้ยกมือขึ้นพัลวันเพื่อบอกเขาว่าผมไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรเขาเลย เรื่องวีพอมาคิดดูดีๆ แล้วก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่มันรู้ ในเมื่อเราทั้งคู่เองก็ทำให้ทุกอย่างมันดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ "ก็แค่วีคนเดียวเอง คิดไรมากมาย"

   "แต่ก็ไม่ชอบใช่ไหมล่ะ"

   โหมดจะงอแงก็เล่นเสียสุดเลย ถ้าเขาจะเล่นบทเป็นเด็กคราวนี้ผมก็ต้องเป็นผู้ใหญ่กว่า

   "ก็ไม่ชอบ แต่ทำไงได้ ก็มึงคือที่หนึ่งนี่"

   ลองเป็นที่สองที่ดูจืดๆ จางๆ คงไม่มีเรื่องอะไรอย่างนี้

   "ขอโทษครับ" แม่งกลายเป็นว่าหนึ่งยิ่งจ๋อยหนักเข้าไปอีกว่ะ ที่ผมตั้งใจจะบอกมันคือว่าในเมื่อเขาเป็นคนดัง กระแสสังคมมันก็ต้องอยากรู้เรื่องของเขาอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าผมประชดอะไรเขาเลยนะ

   มือขยับไปไวกว่าความคิด ผมเขย่งตัวขึ้นไปให้ความสูงของเราพอทัดเทียบกันได้แล้วจัดการขยี้ผมที่จัดทรงไว้อย่างดีจนยุ่งเหยิงไม่ต่างจากที่เขาทำกับผมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ที่หนึ่งดูอึ้งไปกับการปลอบในแบบของผม มันตลกมากเลยกับหน้าหล่อๆ ที่กำลังเบิกกว้างมาพร้อมกับผมสีน้ำตาลที่ไม่เป็นทรง

***
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 01-01-2016 11:45:48

   "มึงอะคิดมาก" นิชเคยบอกว่าไม่มีอะไรเป็นกำลังใจดีไปกว่าการยิ้ม "คนเราแม่งขืนสนใจความรู้สึกคนทั้งโลกก็เป็นบ้าตายพอดี"

   ปกติแล้วในกลุ่มเพื่อนมักจะมีคนที่โดดเด่นและคนที่โดนกลบใช่ไหมครับ แล้วดูคนร่วมกลุ่มผมแต่ละคนสิ แบล็ค เน็ท แต่ละรายเป็นพวกแนวหน้าทั้งนั้น และเพราะพวกมันนั่นแหละผมเลยมีภูมิต้านทานในการอยู่ในสังคมมนุษย์ที่เต็มไปด้วยตรรกะเพี้ยนๆ นี้อย่างสงบสุข มันทำให้ผมรู้ว่าการใช้ชีวิตของตัวเองให้คุ้มไม่มีอะไรมากไปกว่าการเป็นตัวของตัวเอง ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองโดนกลบรัศมีอะไร เมื่อตัวเองชอบที่จะอยู่ในโลกที่ไร้ความวุ่นวายผมเลยเลือกที่จะอยู่อย่างนี้

   ถ้าวันหนึ่งต้องเปลี่ยน

   จงเปลี่ยนตัวเอง อย่าให้ใครมาเปลี่ยนคุณ

   เพราะอย่างนั้นถ้าวันนี้ที่หนึ่งเขายอมเดินตามเกมส์ของวี ผมก็คงใช้ชีวิตของผมปกติต่อไป ปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น

   "มึงสนใจแค่กูก็พอ โอเคไหม?"

   "..."

   "ถ้ายังไม่ตอบอีกจะเรียกแบล็คมารับแล้วนะ"

   "ครับ"

   "งั้นก็กลับกันได้แล้ว"

   เสียงแจ้งเตือนว่ามีไลน์เข้าเรียกให้ผมก้มลงมองว่าใครส่งข้อความใหม่อะไรมา


   V : นี่เป็นความลับของเรานะพี่ เหยียบไว้ให้มิดเลยนะเว้ย
   V : ถ้าผิดสัญญาผมจะเอารูปพี่ตอนเผลอลงแม่งทุกวันเลย
   V : วันนี้ผมแสดงละครเป็นการโชว์ความสามารถพิเศษ
   V : แค่หมั่นไส้พี่ที่หนึ่ง ; P


   อดหัวเราะออกมาไม่ได้ สุดท้ายวีก็ยังคงเป็นน้องสายที่น่ารักอยู่ตลอดเวลา

   "ใครส่งอะไรมา?"

   หันไปเห็นหน้าของเขาบูดแล้วก็คิดอะไรสนุกๆ ออกมาได้ ผมส่งยิ้มกว้างให้เขาพลางตอบกลับอย่างอารมณ์ดี "วี"

   จากที่หน้าตาไม่รับแขกอยู่แล้วยิ่งบึ้งเข้าไปใหญ่ แปลกดีที่พอเห็นอย่างนั้นแล้วผมก็หัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ยื่นไปจับมือของเขาไว้แล้วออกเดินนำโดยไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะงอแงแค่ไหน

   เห็นเขาโดนแกล้งบ้างก็สนุกดี
 


[Side : เวลา]

   มนุษย์สามารถอดนอนได้สูงสุดกี่คืนกันนะ

   ไม่รู้ผ่านมากี่คืนแล้วที่ผมข่มตาให้หลับไม่ลง พอหลับตาเมื่อไหร่เสียงไร้โทนดั่งกราฟเส้นตรงก็ก้องในหัว 

   'ฉันชื่อไวท์ค่ะ ไม่ใช่ซิน’

   ไม่รู้จะเปรียบความรู้สึกตอนนั้นกับอะไรดี ประหลาดใจ ตกใจ หรือเสียใจ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ซินเป็นผู้หญิงที่อ่านยากมากคือใบหน้าเรียบเฉยราวกับมีหน้ากากเสมือนจริงประดับอยู่ตลอดเวลา น้อยครั้งจนสามารถนับด้วยนิ้วได้ว่าเธอกำลังหลุดออกจากบทบาทที่แสดงรึเปล่า

   เมื่อรวมเข้ากับนัยน์ตาว่างเปล่าสีดำสนิทแล้วยิ่งทำให้ผมไม่มั่นใจเข้าไปอีก

   แม้อยากจะวิ่งตามแผ่นหลังเล็กๆ นั่นไปแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เธอทำเหมือนกับผมเป็นคนแปลกหน้าที่เข้ามาทักทายทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทำไมซินถึงบอกว่าตัวเองชื่อไวท์... ใครคือไวท์? ผมมั่นใจว่าไม่มีทางทักผิด คนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงตลอดสามเดือน

   ภาพใจกลางบอร์ดไม้ที่หยิบติดมือมาด้วยถูกยกขึ้นในอยู่ตรงกับระดับสายตา พินิจจนถี่ถ้วนแค่ไหนก็ได้คำตอบให้ตัวเองแบบเดิมว่านั่นคือซินตัวจริง ไม่มีทางที่จะมีใครอื่นเหมือนได้อีกแล้ว

   ไม่มีทาง

   "ไวท์รึเปล่า?"

   ตวัดหน้าไปทางคนทัก ที่หนึ่งไม่รู้มายืนซ้อนด้านหลังของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ชี้นิ้วมาที่รูปในมือของผมแล้วเลิกคิ้วเป็นการขอคำตอบ

   ผมยังไม่ให้คำตอบกลับไปในทันที "รู้จัก?"

   "อืม ไอเทมลับสุดยอดของคิง นี่ไปดีลมายังไง" 

   เขาหมุนเก้าอี้ตัวถัดไปให้หันมาทางผม วันนี้เรามีนัดคุยงานบียัวร์กันนิดหน่อยตอนบ่ายสอง ประจวบกับที่ผมนอนไม่ค่อยหลับตลอดคืนเลยออกมาที่สตูดิโอเร็วกว่าเวลานัดไปเกือบชั่วโมง

   "เพื่อน?" ถามออกไปนิ่งๆ ต่างกับใจที่เต็มไปด้วยความหวัง บางทีเขาอาจบอกผมได้ว่าผู้หญิงที่เขาเรียกว่าไวท์เป็นใครกันแน่ แล้วซินหายไปไหน

   "มอปลายเรียนโรงเรียนเดียวกันมา แต่ไม่ได้สนิทอะไร"

   "ชื่ออะไรนะ?"

   "นี่นายเอาเขาเป็นแบบโดยไม่รู้ชื่อรึไง นั่นไวท์ รัตติกาล"

   'ฉันเกลียดรัตติกาล'

   เธอเคยพูดเอาไว้ ว่าเธอเกลียด...ตัวเอง 

   "แล้วไปติดสินบนเท่าไหร่พี่ชายถึงอนุมัติให้ไปถ่ายด้วย"

   สะดุดตรงคำว่าพี่ชาย หวนคิดไปถึงกลุ่มคนที่ผมเผชิญหน้า รอบข้างไม่มีใครอื่นนอกจากเราสองคนและรวมถึงไม่มีใครสูบบุุหรี่ แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงควันสีเทาน่าอึดอัดใจเช่นเดียวกับวันนั้น "เปล่านี่"

   "เห แปลกจัง คนอย่างแบล็คเนี่ยนะ"

   "แบล็คนิติ?"

   คนชื่อแบล็คไม่ได้มีมากมายอย่างแน่นอน และถ้าต้องให้เดาจริงๆ คงไม่พ้นสีดำคณะนิติที่ผมเห็นเขาอยู่กับที่หนึ่งบ่อยครั้ง

   "เวล นี่อย่าบอกนะว่าแฝดเขาไม่รู้เรื่องนี้น่ะ" อาการตกใจแสดงชัด ใบหน้าอีกฝ่ายซีดลงจนน่ากลัว "ตายแน่ บอกเลยงานนี้นายไม่รอด"

   ฝาแฝด...?

   แบล็คกับไวท์ 

   สีดำกับสีขาว

   ทำไมผมถึงไม่คิดเรื่องง่ายๆ อย่างนี้ไม่ออก

   "งั้นคงต้องรีบไปบอก"

   "แล้วที่นัดมาคุยงาน"

   "แคนเซิล เดี๋ยวนัดไปใหม่"

   "เดี๋ยวสิ นี่ฉันเพิ่งมาเองนะ ...เฮ้อ เอาเหอะ ก็พอเข้าใจอยู่ว่าเด็กนิติเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว"

   "ขอบคุณ" ผมส่งยิ้มขอบคุณให้เขา


   ที่หนึ่งโบกมือให้พลางพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจผม ผู้ชายคนนี้จะเป็นคนดีไปไหน เขาเป็นคนที่ผมทำงานด้วยแล้วสบายใจมากที่สุด ไม่เรื่องมาก สั่งอะไรก็ปฏิบัติตามไม่มีบิดพลิ้ว รวมถึงไม่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของผมเลยสักนิด

   เป็นเรื่องที่ผมแปลกใจแต่ก็ไม่กล้าถามออกไปว่าผู้ชายอย่างที่หนึ่งกำลังแพ้ให้กับอะไรอยู่ 

   บ้าบิ่นมากที่บุกมาถึงที่นี่ด้วยตัวคนเดียวในเวลาบ่าย ไม่รู้อีกต่างหากว่าเขาอยู่ที่นี่หรือเปล่า แบล็คหรือราชาสีดำตามที่ผมเคยได้ยินมา เขาเองดังในชั้นปีสามพอควร มีหลายครั้งที่สตาฟอยากได้มาช่วยทำงานมหาวิทยาลัยแต่ก็โดนปฏิเสธตลอด อ้างว่าตัวเองไม่ชอบกล้องกี่ครั้งก็ยังมีคนดึงดันที่จะเข้าไปลากออกมาทำงานให้ได้ ผมเองเคยได้ยินแต่ชื่อไม่เคยเจอตัวจริงของเขามาก่อน มีเดือนมหาลัยปีผมเคยพูดไว้ว่าถ้าแบล็คลงแข่งแล้วที่หนึ่งไม่ยอมถอยให้เขาเองคงเป็นได้แค่ที่สาม 

   ถ้ารู้อย่างนี้ผมจะหาข้อมูลเกี่ยวกับเขาตั้งแต่เข้ามาใหม่ๆ จะได้เจอกับเธอได้เร็วกว่าที่ควรเป็น 

   เจอน้องชุมนุมโฟโต้ที่อยู่คณะเดียวกับเขาพอดี เขาบอกผมว่าคนที่ผมตามหาอยู่บนห้องสมุดของคณะเป็นประจำในเวลานี้ เด็กคณะนี้กับห้องสมุดเป็นของคู่กันอยู่แล้วนี่นะ บนชั้นห้าในเวลาบ่ายเกือบเป็นห้องร้าง ผมไล่ตามห้องประชุมขนาดเล็กตั้งแต่ห้องแรกจนเจอเขานั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวในห้องรองสุดท้าย 

   ผู้ชายที่มาพร้อมความน่ายำเกรงอย่างเขาเด่นกว่าคนอื่นจะตายไป 

   เคาะประตูก่อนเปิด คนตรงหน้าเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่ผมเคยเจออย่างแน่นอน เป็นที่มั่นใจได้แล้วว่าซินกับไวท์คือผู้หญิงคนเดียวกัน เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมครู่หนึ่งถึงก้มหน้าลงไปขีดเขียนอะไรในหนังสือ ห้องอยู่ในความเงียบ เสียงพลิกหน้ากระดาษ

   ไปมาเป็นเหมือนการวัดระดับความอดทนของผม

   "ขอคุยอะไรด้วยหน่อย"

   "ผิดห้องรึเปล่าครับ พอดีผมจองห้องนี้ไว้ถึงห้าโมง"

   สุขุมขึ้นเยอะ แล้วก็ร้ายลึกกว่าเดิมจนรู้สึกได้จากคำพูด

   "ไม่"

   "งั้นคงต้องปฏิเสธ"

   "ผมมาหาคุณ ครึ่งชีวิตของสีขาว"

   เข้าใจแล้วว่าทำไมวันนั้นเขาถึงแนะนำตัวผมด้วยชื่อนี้ ชื่อที่ดูอย่างไรก็ไม่อาจเป็นชื่อเล่นได้อย่างแน่นอน 

   "ผมว่าผมไม่ได้นัดใครไว้นะ" 

   "เกิดอะไรขึ้นกับซิน" 

   "ใครคือซิน?"

   ข้างหนังสือเล่มหนาคือลูกเทนนิส เขาวางปากกาลูกลื่นสีดำสนิทลงกับสมุดจด หยิบลูกสักหลาดขึ้นมาแล้วตีลงกับพื้นจนเป็นจังหวะที่น่ารำคาญใจ

   "แล้วถ้าผมถามหาผู้หญิงที่ชื่อรัตติกาลล่ะ"

   "..." เสียงลูกบอลกะทบกับพื้นปูนเป็นจังหวะเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน ผมยืนนิ่งไม่ตอบโต้อะไรเพราะเคยเห็นฤทธิ์เดชของอีกฝ่ายมาแล้ว ถ้าจะเล่นกับไฟใจต้องสงบ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นตัวเองที่โดนไฟคลอกเอา

   "ผมหวงน้อง ขอโทษทีนะ" ดูท่าแล้วถ้าไม่เล่นไม้แข็งอีกฝ่ายคงไม่ยอมเป็นแน่

   ขอโทษนะซิน...

   ผมรู้ดีว่าไม่ควรเอาเรื่องนี้มาพูด

   "แม่สอง"

   การเดิมพันได้ผล ร่างของเขาชะงักไปชั่วครู่ ไม่มีเสียงลูกบอกอีกแล้ว ผมเลยเสี่ยงครั้งที่สองเพื่อบอกให้เขารู้ว่าผมเองมีอำนาจต่อรองที่มากไม่ต่างกัน "หรือจะเอาเรื่องของล..."

   ลูกบอลที่กระแทกกับผนังหลังจากเฉียดหน้าผมไปคือการเตือนให้ผมหยุด ตามองตามลูกเทนนิสสีเขียวที่กลิ้งกลับไปทางต้นแรงโดยไม่กลับไปสบตากับเจ้าของลูก แม้จะรู้สึกแสบตรงข้างแก้มมากแค่ไหนก็ไม่สามารถที่จะแสดงออกได้ ถ้าให้ผมเดาเขาไม่ได้ปาพลาด

   เขาจงใจปาให้ใกล้กับผมมากที่สุด

   "หุบปากไปซะ”

   กลิ่นบุหรี่คละเคล้ากับรอยน้ำตา การอวยพรที่ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะ

   "มันมากพอที่จะพิสูจน์ว่าผมและคุณต่างก็รู้จักผู้หญิงที่ชื่อว่าซินหรือยัง?"

   ไม่ต้องขยับร่างกายให้มากความ เป็นเขาเองที่ขยับตัวเข้ามาใกล้ผม ความสูงของเราห่างกันอย่างมากก็แค่สองเซนต์ มันเลยทำให้สายตาของเราประสานกันอย่างที่ไม่มีใครยอมใคร แย่ที่สุดคือผมคุ้นเคยกลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้เหลือเกิน... กลิ่นหวานแปลกที่ติดตัวซินเสมอ

   "ผู้หญิงที่ต้องมาแบกรับกรรมที่เธอไม่ได้ก่อ"

   "..."

   "คนบาปที่ไม่เคยปกป้องใครไว้ได้"

   "เล่าจบแล้วใช่ไหม?" เสียงลอดไรฟันของเขาบอกผมเป็นนัยว่าให้หยุดเสียที

   "คุณจำไม่ได้รึไงว่าใครคือคนที่หนีไปกับซินน่ะ"

   หน้าหันไปตามแรงกระทบ ความเจ็บแล่นร้าวตามมาจนหัวตื้อไปช่วงขณะ ผมค้างนิ่งไว้อย่างนั้น และเป็นอีกครั้งที่เขาขยับตัวเขามาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจเฉียดข้างแก้ม

   "หมัดเมื่อกี้ถือว่าแลกกับคำตอบ" ผมเหมือนเห็นภาพเธอซ้อนกับพี่ชาย ยามที่ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก "ศีรษะกระแทกอย่างแรง ซี่โครงหักไปสามซี่ รอยช้ำตามตัวอีกนับไม่ถ้วน" 

   "!!!" 

   "รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสามเดือนจนเกือบต้องดรอปเรียนไปหนึ่งเทอม" 

   เขาหัวเราะในลำคอ ความหวานของกลิ่นเครื่องหอมเพิ่มความคลื่นเหียนได้อย่างดี

   "ที่คุณถามผมว่าทำไมเธอถึงทำเหมือนไม่เคยรู้จักกับคุณมาก่อนนั่นน่ะ... ความจริงหมอบอกว่าไม่มีผลอะไรต่อสมองหรอก"

   "..."

   "...แต่ไวท์จำไม่ได้ว่าตัวเองหายไปไหนมา"

   เหมือนกับโลกหยุดหมุน และร่างของผมกำลังด่ำดิ่งสู่ศูนย์กลางจักรวาลที่ไร้แรงโน้มถ่วง

   เป็นไปได้ยังไง 

   "เพราะอย่างนั้นกรุณาออกไปสักที"

[End : เวลา]


***
   สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้เป็นอีกหนึ่งปีดีๆ ของทุกคนเลยนะคะ /โค้งงามๆ
   แล้ววันนี้ก็เป็นวันเกิดของที่หนึ่งด้วยค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะพ่อพระเอกที่น่าสงสารของเจ้า (หัวเราะ) ไว้หลังจากนี้จะให้น้องโรมน่ารักขึ้นบ้างเป็นของขวัญแล้วกันนะ (ฮา)
   พาร์ทเวลกับแบล็คทำเจ้าเขวไปเลยค่ะ อยู่ดีๆ ก็เกิดความคิดอยากสลับคู่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น รู้สึกว่าเวลาสองคนนี้มาเจอกันมันเข้ากันแปลกๆ... /หลบมุม หลังจากตอนนี้ไปคงได้เปิดเผยเรื่องราวของกลุ่มประหลาดกลุ่มนี้มากขึ้นแล้วล่ะค่ะ เราจะเข้าสูุ่ช่วงกลางของเรื่องกันได้แล้วล่ะ นี่บอกว่าปิดเทอมคงได้แต่งเก็บไว้สรุปก็ไม่ต่างอะไรจากเปิดเทอมเลยค่ะ โดนลากออกนอกบ้านเสียจนไม่ต้องแตะคอม ยิ่งพิมพ์ช้าๆ อยู่ด้วย โฮ...
   ไม่รู้ว่าเจ้าคิดไปเองรึเปล่าว่าอากาศกลับมาหนาวหน่อยๆ ยังไงก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-01-2016 13:33:52
รุกหนัก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 01-01-2016 14:09:03
ชอบแบล็คที่สุด  :กอด1: ใครจะเป็นคู่ของราชาสีดำกันหนอ
สุขสันต์ปีใหม่คนเขียนนะคะ มีความสุขมาก ๆ จ้า  :L1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 01-01-2016 14:19:02
สวัสดีปีใหม่
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 01-01-2016 15:58:29
เป็นเรื่องที่ปมเยอะมาก และนศ.ทำตัวเครียดมากเหมือนอายุ40กันแล้ว

xD
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Aimiya ที่ 01-01-2016 18:02:48
อ่านแล้วชอบคู่ที่หนึ่งกับน้องโรมมากๆ น่ารักอ่ะ ><
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Ferin1A ที่ 02-01-2016 23:37:15
แบล็กเวลก็ดีนะคะ  หรือเวลแบล็ก  ? ทำไมเหมือนแบล็กจะเป็นเคะ?  สรุปพี่ชายน้องโรมนี่เคะยกแก้งค์หรอคะ555555
ชอบนายวีด้วย หาใครกวนประสาทน้องโรมได้เท่านายวีไม่มีอีกแล้ว555555 ทุกคนพร้อมสปอย
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Youi_chin ที่ 03-01-2016 16:02:42
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 04-01-2016 00:00:31
โอยยยยยย แต่ละคนมีเรื่องให้ตามคนละแบบเลย
คู่ที่หนึ่งกะน้องเอ๋อโรมน่ารักดีค่ะ อ่านแล้วอมยิ้ม แต่คู่น่องไวท์นี่น่าจะดราม่านาน
เอาใจช่วยนะคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 05-01-2016 20:30:32


เราชอบไอเดียเวลแบล็คนะคะ สนับสนุน ๆ
ตอนอ่านนี่แอบคิด เอ.. หรือว่าซินคนนั้น คือ แบล็คปลอมตัวเป็นผู้หญิง ฮ่า ฮ่า ฮ่า (บ้าไปแล้ว!)
อย่างไรก็ดี เราจะติดตามและตั้งใจรออ่านการคลายปมของเด็กชายทั้งกลุ่มนี้โดยไม่หนีไปไหนเลยค่ะ
สวัสดีปีใหม่นะคะ ^^  :pig4:

หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 05-01-2016 22:22:58
บทที่ 12

   ‘...พี่จะอยู่กับโรมเอง โอเคไหม’

   ‘ไม่ต้องกลัว พี่นิชอยู่นี่นะ’

   ‘เข้มแข็งหน่อยดิ’

   ‘พวกพี่จะดูแลน้องเอง’


   ภาพนิ่งไม่ควรมีเสียง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังจำบทสนทนาของแต่ละคนได้ไม่มีสะดุด ภาพถ่ายที่มีอายุมากกว่าสิบปีซีดจางจนแยกความต่างของสีไม่ค่อยออก ในภาพนั้นมีเด็กน้อยหกคนยืนเรียงหน้ากระดานกันโดยมีเด็กชายโรมันอยู่ตรงกลาง ด้านหลังมีลายมือตวัดเขียนไว้ว่า 'เข้าชั้นประถมวันแรก'

   ไม่รู้อะไรดลใจให้หยิบของที่อยู่ในห้องออกมาเช็ดทำความสะอาดฝุ่นที่เกาะกรัง พอจัดการเรียงวัตถุแต่ละชิ้นเพื่อทำความสะอาดแล้วถึงรู้ว่าตัวเองก็เป็นคนช่างเก็บอยู่เหมือนกัน ผมรื้อไปเรื่อยจนเจอกับภาพนี้ถูกสอดไว้ในนิทานเด็กเล่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของตัวเองหรือว่าพี่น้องคนไหนที่เอามาเก็บไว้อย่างนี้

   เช็ดทำความสะอาดแผ่นกระดาษมันอีกนิด ลุกขึ้นจากแหล่งรวมความทรงจำไปยังโต๊ะเล็กข้างเตียงที่มีกรอบรูปไร้ลวดลายตั้งอยู่โดดเดี่ยว จำนวนคนที่เท่ากันของรูปทั้งสองสร้างความสุขระคนความเศร้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   ...ทั้งที่จำนวนเท่ากัน แต่ก็ไม่เหมือนกันสักนิด

   สอดมันไว้ใต้รูปแรก ผมยืนจ้องรูปถ่ายที่ใหม่กว่าใบแรกอยู่อย่างนั้นไม่ละสายตาไปไหน ทุกคนในรูปกำลังยิ้มให้กล้องราวกับต้องการบอกว่าช่วงเวลานั้นมันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากแค่ไหนและมันก็บอกผมว่าความสุขเป็นสิ่งที่อยู่ไม่ได้นาน

   "ฉันยังรออยู่นะ"

   ส่งผ่านไปกับสายลม หวังว่ามันคงส่งถึงใครอีกคน

   เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่งสัญญาณเตือนว่ามีสายเข้า ผมหลุดออกจากภวังค์แล้วรีบก้าวยาวๆ ไปเลื่อนสไลด์รับสายเพื่อที่จะไม่ต้องเสียเงินโทรกลับ

   (อยู่ไหน)

   "ห้องดิ"

   (ทำอะไรอยู่)

   "เก็บของ มีอะไรรึเปล่า" ไม่บ่อยนักที่แบล็คของผมจะถามว่าทำอะไรอยู่

   (กลับบ้านมาเลย พ่อตาม)

   "ตาม?"

   (เออ)

   "..."

   ที่เงียบไปไม่ใช่อะไร ผมกำลังอยู่ในโหมดสับสนกับชีวิตอยู่ โทรมาหาแล้วบอกให้กลับบ้านเดี๋ยวนี้มันควรมีเรื่องด่วน แต่เขาก็ดูเรียกให้กลับบ้านด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ เรียบๆ ไม่ได้มีอะไรที่ดูร้ายแรงเลยสักนิด

   (แล้วก็เอาที่หนึ่งไปด้วย)

   "หา?"

   (เน็ทมันคาบมาฟ้องพ่อ มึงมาจัดการเองแล้วกัน)
 


[Side : ที่หนึ่ง]

   เพลงสากลที่เล่นวนลูปเพลงเดียวซ้ำไปมาตั้งแต่ขึ้นรถไม่ช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลาย

   น้องนั่งหน้าบึ้งไม่พูดจาปราศรัยอะไรตั้งแต่รถเคลื่อนตัว และผมเองก็ไม่กล้าที่จะทักอะไรมาก โรมมาเคาะประตูห้องของผมเมื่อชั่วโมงที่แล้วพร้อมคำกล่าวสั้นๆ 'ไปส่งที่บ้านให้หน่อย' ตอนนั้นผมก็อยากจะหยอดกลับไปว่าจะพาผมไปเปิดตัวให้ที่บ้านรู้จักเหรอแต่เห็นหน้าบอกบุญไม่รับแล้วผมเลยไม่เปิดปากดีกว่า

   "เดี๋ยวพอเห็นโชว์รูมหน้าปากซอยก็เลี้ยวเลย"

   ผู้นำทางยอมพูดสักที ผมพยักหน้ารับรู้แล้วมองตรงตามทางเตรียมเลี้ยวตามที่บอก

   จนความอยากรู้มันมีมากกว่าทุกอย่าง "มีอะไรรึเปล่า?"

   "เปล่า" ตอบกลับสั้น แล้วถึงจะพูดออกมายาวๆ "เดี๋ยวถึงแล้วมึงก็รู้เองนั่นแหละ"

   โชว์รูมรถญี่ปุ่นยี่ห้อดังตั้งเด่น ผมเปิดไฟเลี้ยวแล้วตบรถให้อยู่เลนซ้ายสุดเพื่อเลี้ยวเข้า ความไม่คุ้นชินเส้นทางบอกให้ผมใช้ความระมัดระวังยิ่งกว่าปกติ บ้านของผมอยู่ทางใต้ของเมืองหลวงคนละทิศกับทางที่ผมกำลังไป มันเป็นซอยขนาดเล็กติดป้ายไว้ว่าถนนส่วนบุคคล ตลอดสองข้างทางเป็นพงหญ้าไร้การดูแลรักษา และมันก็เป็นถนนขนาดสองเลนที่ไม่ค่อยได้มาตรฐานมากเท่าไหร่

   "มึงตรงไปเลย เจอบ้านเมื่อไหร่ก็หยุด"

   "อ่าฮะ"

   พ่อแม่ของโรมเป็นนักโบราณคดี ...จะเรียกขนาดนั้นก็ไม่เชิง เป็นนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์น่าจะเข้าท่ามากกว่า ผมไม่เคยเจอทั้งสองท่านมาก่อนเลยอดประหม่าไม่ได้ วิชาประวัติศาสตร์สมัยมัธยมปลายผมก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรด้วยสิ จะมีเรื่องให้คุยไหมนะ

   ขาซ้ายเหยียบเบรคช้าๆ ยามที่เห็น 'บ้าน' อย่างที่บอก ลืมคำถามไปได้เลยว่าทำไมน้องโรมถึงไม่ให้ข้อมูลที่มากกว่านั้นเกี่ยวกับบ้านของเขา เพราะกวาดตาไปสามร้อยหกสิบองศาแล้วมันมีบ้านหลังใหญ่หลังเดียวตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางต้นไม้เขียวขจี จนให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านกลางป่าได้ไม่ยาก

   "แม่งกลับบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่วะ..."

   รถอีโค่คาร์สีคุ้นจอดอยู่โดดเดี่ยวตรงริมรั้ว มองไปยังป้ายไม้สลักนามสกุลของเพื่อนฝาแฝดบอกให้ผมเริ่มเอะใจในความผิดปกติของการมาส่ง โรมกดปุ่มปลดล็อคเซฟตี้เบลท์ออก เรียกให้ผมต้องรีบถาม "น้องโรม นี่บ้านแบล็คไม่ใช่เหรอ?"

   "ก็ใช่ไง" ผมภาวนาให้เขาจะพูดต่อว่าเป็นเพื่อนบ้านกันตั้งแต่เด็กจนสนิทกันมากหรือไม่ก็พ่อมาเยี่ยมเพื่อนอะไรอย่างนี้ "บ้านมัน บ้านไวท์ แล้วก็บ้านกู"

   อะไรนะครับ

   ตอนนี้ต่อให้น้องโรมพูดคำหยาบออกมาอีกเป็นชุดผมก็ไม่มีอารมณ์มาดุ โรมกำลังบอกว่าเขาอยู่บ้านหลังเดียวกัน นี่พวกเขากำลังอำอะไรผมอยู่รึเปล่า?

   "ขอใหม่ ...ไหนบอกให้มาส่งบ้าน"

   คนที่บอกให้มาส่งทำหน้าตาเบื่อหน่าย "ไหนบอกว่ารู้ทุกอย่าง"

   รู้สึกว่าโดนหลอกด่า ไม่สิ นี่ผมโดนด่าเต็มๆ เลยต่างหาก

   "กูเป็นลูกบุญธรรมบ้านนี้ จบนะ"

   "..."

   มาจงมาจบอะไรล่ะ! ข้อมูลในหัวที่เคยมั่นใจว่าไม่มีทางผิดพลาดตีกันในหัวเต็มไปหมด โดยเฉพาะตอนที่ใบหน้าของผู้ชายสีดำในวันที่เขายืนพิงกำแพงสูบบุหรี่กลิ่นประหลาด คำที่เขาบอกว่า เราเหมือนแฝดสามในบางที คำว่า 'น้อง' ที่ผมเคยคิดว่าจะเคร่งอะไรจริงจังขนาดนั้น

   "แล้..."

   เสียงเคาะประตูฝั่งคนขับแทรกขึ้นมา ผมหันกลับไปมอง 'พี่ชาย' ที่ยืนยกยิ้มมุมปาก

   นั่นไม่ใช่ยิ้มแสดงความยินดีแน่ ผมมั่นใจ

   "จะลงมาเมื่อไหร่ โลกยิ่งร้อนๆ อยู่"

   ผมรีบดับเครื่องแล้วตามมาสมทบกับสองคนที่ยืนอยู่หน้ารั้วเหล็กประดับลวดลายแปลก ส่งสายตาไปขอความกระจ่างจากทิวาแล้วโดนปฏิเสธกลับด้วยรอยยิ้มแบบเดิม

   "ล่ะคุณพินิจเรียกกูมาทำไม?"

   "คิดถึงไง มึงไม่กลับมาให้เขาเห็นหน้านานล่ะ"

   "แล้วทำไมต้องให้หนึ่งมาด้วย"

   "ก็พ่ออยากเจอคนที่ตามจีบลูกชายอยู่"

   เสียวสันหลังวูบวาบ ผมเคยได้ยินเสียงเล่าอ้างเรื่องภูมิหลังของทิวามาเยอะอยู่ เป็นครอบครัวมาเฟียใหญ่ที่มีลูกน้องแฝงตัวอยู่ทั่วไป ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยที่จะเชื่อเรื่องเล่าสักนิดเพราะฝาแฝดขาวดำไม่เคยทำอะไรที่ดูแบ่งแยกชนชั้นหรือโชว์ความเหนือกว่า จนถึงตอนนี้ที่ต้องมาเจอของจริงแหละ

   ถ้าผมเดินเข้าไปในรั้วบ้านแล้วจะสามารถออกมาได้ครบทุกส่วนอยู่รึเปล่า

   "พูดจริง?"

   เจ้าของนามสกุลเดียวกับที่อยู่บนแผ่นไม้ไม่สนใจเสียงเรียกอ่อนๆ เขาหันมาทางผม แม้จะไม่ยิ้มมุมปากอีกแล้วมันก็ยังบอกผ่านสายตาว่าเขากำลังสนุกกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน ยังไงราชาก็ชอบแกล้งประชาชนอยู่ดี

   "สวัสดี ผมชื่อทิวากาล 'บิดาทางพฤตินัย' อ้อ! 'พี่ชายทางนิตินัย' ของโรมครับ"

   ครับ

   ยศมาเต็มอย่างนี้ผมว่าไม่ได้แค่มาส่งเฉยๆ แล้วว่ะ

   ก่นด่าตัวเองในใจยาวเต็มหน้ากระดาษเอสี่ โง่แบบให้อภัยไม่ได้อย่างที่สุด อะไรคือการที่ผมปล่อยไก่มาตลอดสามปีโดยที่ไม่รู้สักนิดว่ากำลังจีบน้องชายผ่านพี่ชาย! แล้วพี่ชายที่ว่านี่ก็ไม่คิดจะบอกอะไรสักหน่อย ยอมให้ผมทั้งระบายทั้งให้ส่งของสารพัด เป็นพี่ที่ชิวไปไหน!

   งั้นที่ผมเมมชื่อเขาว่า 'คุณพ่อตา' มาโดยตลอดนี่ผมรู้อนาคตสินะ

   "บิดาทางพฤตินัยอะไรของมึงงง"

   "หรือไม่จริง?"

   "แม่ง กูไม่พูดด้วยล่ะ นี่คุณพินิจอยู่ไหน"

   "ไม่อยู่ มีงานด่วน"

   "งั้นกลับ"

   น้องโรมก็อย่างนี้ตลอด ผมไม่เคยสังเกตว่าความสัมพันธ์ของเขาสามคนดูแนบแน่นเกินเพื่อนสนิททั่วไป อาจเป็นเพราะตั้งแต่ผมรู้จักกับกลุ่มนี้มามันก็ดูเป็นเรื่องปกติที่โรมจะเป็นน้องเล็กทำอะไรตามใจไม่สนคนอื่น รวมถึงคนอื่นก็ไม่ได้เดือดร้อนกับการกระทำของน้อง...มั้งนะ

   "เดี๋ยวพ่อกลับมากินข้าวเย็นด้วย รอไปเถอะมึง"

   ถ้าการเจอกลุ่มเพื่อนน้องโรมครั้งก่อนเป็นแบบฝึก คราวนี้ก็คงเป็นบอสของจริง

   ในห้องนั่งเล่นขนาดพอดีมีทุกคนรออยู่ ไม่ว่า นิช เน็ท หรือบอสของจริงอย่างไวท์ นี่เป็นครั้งที่สองหรือสามที่ผมได้เจอฝาแฝดของราชาตัวจริง จะว่าไปยังไม่ได้มาคุยกับแบล็คเรื่องภาพถ่ายของเวลเลยแฮะ ให้พูดอย่างเว่อร์ไว้ก่อนก็ตกตะลึงมากตอนที่เห็นหน้าของผู้หญิงในรูปชัดๆ ก็ขนาดผมที่เกาะแกะอยู่กับพี่ชายเขามาตั้งแต่เข้ามหาลัยยังแทบไม่เคยเห็นเสี้ยวหน้า นับประสาอะไรกับเวลที่ลึกลับพอกัน แบล็คกับไวท์เป็นเหมือนแสงสว่างกับความมืด ถ้าคนหนึ่งอยู่ในแสง อีกคนก็จะหลบเข้าไปอยู่ในมุมมืด เป็นการแบ่งที่พอดี

   "ว่าไงที่หนึ่ง"

   การทัก...ที่ไม่รู้จะตอบกลับยังไง ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบนิช "สบายดี"

   "พวกมึงมาทำไมกันนน" ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่น้องโรมจะโวยวายอย่างนั้น เพราะถ้าเป็นผมเองก็คงมีอาการที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่

   "คิดถึง เลยมาหา"

   "สรุปว่าที่บอกว่าคุณพินิจเรียกกูกลับนี่หลอกใช่ป่ะ"

   ผมที่ไม่รู้จะอยู่ส่วนไหนของห้องดีเลยเลือกปิดปากสนิท เบี่ยงตัวออกมาให้ตัวเองได้มีพื้นที่หายใจหายคอจากเรื่องเซอร์ไพรส์ขั้นสิบเสียบ้าง สายตาของสาวคนเดียวที่มองมาทางผมด้วยใบหน้าเรียบเฉยดูสวนทางกับความรู้สึก เหมือนกำลังใช้สายตาประเมินผมอยู่

   แรงสะกิดที่แขนบอกให้ผมหันไปหา คุณพ่อทางพฤตินัยใช้ภาษามือบอกให้ผมออกไปด้านนอกกับเขา

   "เป็นไงบ้าง หน้ามึงไม่ค่อยดีเลยนะเพื่อน"

   "สัตว์..."

   "ด่ากู?"

   "ด่าใครบางคนที่ตีหน้าซื่อเล่นบทพี่ชายควบเพื่อนแสนดี"

   นั่นแม่งตรงใจของผมที่สุดแล้วในตอนนี้ ใครมันจะไปโอเคกับการที่ต้องมารับรู้เรื่องสุดแสนจะพิลึกพิลั่นพรรณนี้ได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจคงแข็งแกร่งเกินไป

   "หึ..."

   "ทำไมมึงไม่บอกกู"

   "กูเป็นผู้ชมดีที่" เกลียดคำว่าผู้ชมของเขาชะมัด เฮอะ ผู้ชมหลังกล้องถ่ายน่ะสิ

   "มึงเป็นผู้กำกับต่างหากทิวา"

   ผู้กำกับที่คิดอยากจะเปลี่ยนเสริมเติมบทเมื่อไหร่ก็ทำ ผมเป็นแค่เพียงตัวละครที่เล่นไปตามบทบาทและต้องปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ให้ได้ นี่มันรายการเซอร์ไวเวอร์ชัดๆ

   ไหล่ของเขายกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจมากนัก "แล้วแต่มึง"

   "มีอะไรอีกไหมที่กูยังไม่รู้" ผมไม่อยากจะถามออกไปหรอก เพียงแค่ว่าจากเหตุการณ์ในวันนี้แล้วผมคงต้องระวังในการอยู่กับกลุ่มนี้ให้มากขึ้น "หรือกูยังไม่รู้อะไรเลย"

   สายตาของราชาวูบไหวไปชั่วขณะ เห็นเขาเหลือบตาไปยังพื้นที่ด้านหลังของผมแล้วรีบกลับมาโฟกัสที่เดิม อาการผิดปกติบอกให้ผมเก็บเงียบไว้ก่อนแล้วค่อยจัดการด้วยตัวเองคงดีกว่า

   "ถ้าโรมเล่าคือมี ถ้าโรมไม่เล่าก็คือไม่มี"

   "กูเกลียดมึง"

   เขากำลังบอกว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับน้อง นี่มันครอบครัวบ้าอะไรกัน แค่ไวท์ผมก็เคยคิดนะว่าเขาเลี้ยงกันมายังไงถึงแตกต่างกันได้ขนาดนี้ พอมีโรมเข้ามาอีกคนนี่สุภาษิตลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นถูกพับเก็บไปได้เลย คนนึงหล่นไกลหลายโยชน์ อีกคนแม่งลอยขึ้นฟ้าแล้วหายลับไปไหนไม่รู้

   "ไหนๆ มึงก็บอกว่ากูเป็นผู้กำกับแล้ว อยากรีเควสอะไรไหมล่ะ?" นัยน์ตาระยับมีแต่ความสนุกสนานอยู่ข้างใน

   "มึงคิดว่าถึงขั้นนี้แล้วกูยังต้องการตัวช่วยอะไรอีก?"

   พอผมย้อนกลับไปตรงๆ อย่างนั้นแบล็คเลยหัวเราะออกมาสุดเสียง เอาเลยครับราชา เต็มที่ไปเลย ไอ้ผมมันก็แค่ประชาชนคนธรรมดาตาดำๆ ที่อยู่ใต้เงื้อมมือเท่านั้นล่ะ

   "ก็ระวังเจ้าชายไว้ ปีศาจไม่น่ากลัวหรอก"

   เจ้าชายคือเน็ท ส่วนปีศาจคือนิช

   "กูกลัวเจ้าหญิงมากกว่า ไวท์นี่เป็นพวกหวงน้องอีกคนรึเปล่า" ฝาแฝดของราชาก็ควรเป็นเจ้าหญิง แค่เจอหน้าผมยังแทบไม่เคยเจอเลยไม่รู้จักเธอมากนัก 

   "ไวท์น่ะเหรอ?" อีกครั้งที่เขาหันไปทางเดิมที่มองไปเมื่อกี้ ในเสี้ยววินาทีหนึ่งผมเหมือนเห็นความอ่อนล้าในนัยน์ตาเขา

   "ไม่มีใครรักโรมเท่าคนบาป"


***
   ขออนุญาตมาแค่ครึ่งเดียวก่อนนะคะ มาลงไว้เตือนใจตัวเองว่าหนีเที่ยวได้แต่ห้ามลืมเอาไปแต่งด้วย (ฮา) สัปดาห์นี้อาจไม่ได้ลงเพิ่มหรือถ้าลงก็น่าจะเป็นวันเสาร์อาทิตย์เลยค่ะ
   เจ้าเพิ่งหัดเล่นทวิตเตอร์ ซุ่มมาตั้งแต่ปีใหม่คิดว่าพอเล่นคล่องแล้ว เผื่อเมาท์มอยบนทวิตติดแทค #ที่หนึ่ง นะคะ จะตามไปรีทุกอันเลย (ยิ้ม)
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-01-2016 22:54:00
ง่าาาาา
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 06-01-2016 00:04:19
ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้แบล็คกราวน์ของกลุ่มนี้ พี่ที่หนึ่งจะต้านทานไหวมั๊ยเนี่ย  :hao3:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-01-2016 00:19:16
เริ่มงงหนัก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Aimiya ที่ 06-01-2016 01:26:54
ที่หนึงที่ว่าดูเพอเฟค พอมาเจอครอบครัวน้องโรมเข้าไปกลายเป็นประชาชนคนธรรมดาเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 06-01-2016 14:26:07
สนุกแบบอึนๆ 555 คู่เอกไปเรื่อยๆเพราะคุณที่หนึ่งเทียบกับบรรดาพี่ชาย (นอกไส้)ดูแสนดีเกิ๊น

มาต่อเรื่องของนิชที ช่วงนี้คู่นักร้อง&มือกลองเร้าใจกว่า
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 06-01-2016 15:06:11
ปมเยอะจุง  :hao4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 07-01-2016 00:53:26
ครอบครัวอบอุ่น อยากรู้อดีตน้องโรม
ชอบเวลาน้องโรมอยู่กับพี่หนึ่ง น่ารักน้ออออ
ชอบเวลาเมาแล้วอ้อน กับแอบหวงที่หนึ่งเป็นบางครั้ง

ขอบพระคุณผู้แต่งจ้า มาต่อบ่อยๆนะคะ สนุกมาก

ฝากตัวติดตามด้วยคน  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 09-01-2016 20:38:43
บทที่ 12.2

  คนบาป?

   นั่นเป็นตำแหน่งที่ไม่เคยอยู่ในสารบบความคิดเลย

   ผมไม่รู้ที่มาที่ไปของชื่อที่พวกเขาใช้เรียกกัน เข้าใจมาตลอดว่ามีแต่ทิวาที่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำ พอมาเจอตำแหน่งของเน็ทกับนิชก็ยังพอเข้าใจได้ จนมาไม่เข้าใจตรงไวท์นี่แหละ แล้วน้องโรมของผมจะเป็นอะไรนะ...

   เสียงโครมครามปนกับเสียงตะโกนดังออกมาจากห้องนั่งเล่น ถ้าฟังไม่ผิดนั่นมันเสียงของน้องกับเน็ทกำลังเถียงอะไรกันสักอย่าง

   "...แม่งตีกันอีกแล้ว" เป็นพี่ของน้องอย่างโรมคงเหนื่อยเหมือนกัน ทิวาดูปลงกับเสียงวุ่นวายที่เกิดขึ้นแล้วเดินไวๆ ไปทางประตูห้อง "กูเข้าไปเบรคก่อน มึงพาน้องไปสงบสติหน่อยแล้วกัน"

   บอกพลางหายไปหลังประตูใหญ่ ความสงสัยเกี่ยวกับทิศทางที่แบล็คมองมาถึงสองครั้งระหว่างที่คุยกับผมบอกให้รีบตามหาให้สิ้นสงสัย ทางซ้ายไม่มีอะไรมากไปกว่าชั้นวางของที่มีแจกันไม้สลักลายวางอยู่ หรือว่าจะเป็นทางนี้ บนชั้นวางหนังสือแบบโปร่งถูกแปลงให้เป็นที่วางรูปมากกว่าสิบชิ้น มันมีตั้งแต่รูปฝาแฝดในวัยขวบกว่านอนอยู่ข้างกันจนไปถึงรูปเดี่ยวของแต่ละคนสมัยจบมัธยมปลาย ชั้นบนๆ จะเป็นรูปที่ถ่ายกับผู้ชายที่น่าจะเป็นคุณพินิจ มีรูปกลุ่มอยู่หลายรูปอยู่เหมือนกัน และมันก็น่ารักดีที่ทุกรูปน้องโรมก็เอาแต่ทำหน้านิ่งไม่เอนจอยกับคนอื่นเลย

   รูปที่ผมชอบที่สุดคงเป็นรูปถ่ายสี่คนตอนเด็ก แยกแบล็คกับไวท์ออกได้ง่ายเพราะทั้งสองใส่เสื้อสีตามชื่อของตัวเอง อีกสองคนที่เหลือที่ผมไม่แน่ใจว่าอีกคนที่ยืนข้างโรมคือใครใส่เสื้อสีเทา ให้พูดตามความรู้สึกมันก็เป็นภาพที่ดูขัดๆ กันอยู่ไม่น้อยจากสีเสื้อที่ใส่ สมัยเรายังเด็กอยู่ส่วนมากก็เป็นเสื้อผ้าสีสันสดใสใช่ไหมล่ะ แปลกดีแฟชั่นของบ้านนี้

   หืม ทำไมรูปนี้ถึงโดนบังล่ะ

   ชั้นวางสูงกว่าผมไม่มากนัก เงยหน้าเพียงเล็กน้อยก็เห็นว่ารูปที่อยู่ริมขวาบนสุดมีอีกรูปอยู่ด้านใน ผมเอื้อมมือเข้าไปหยิบรูปที่เต็มไปด้วยฝุ่นเกาะจนเป็นชั้นหนามาไว้ในมือ ภาพที่ยังพอแทรกชั้นฝุ่นออกมาให้ผมเห็นได้บอกว่ามันเป็นรูปเดี่ยวของใครสักคน

   เสียงลูกบิดประตูบอกให้ผมรีบเก็บมันไว้ที่เดิม ผมปัดฝุ่นที่มือออก หมุนตัวมารอรับคนที่ถูกสั่งให้พาไประงับสติ น้องเล็กของบ้านกระแทกเท้าปึงปังออกมาพร้อมใบหน้ายู่ยับหัวเสีย

   "หนึ่ง กลับกัน"

   "ไม่ต้องอยู่กินข้าวเย็นเหรอ?" จำได้ที่แบล็คบอกว่าต้องอยู่ทานข้าวกับพ่อก่อน

   "ไม่อะ เดี๋ยวจะโทรไปฟ้องคุณพินิจด้วยว่าเอาชื่อมาอ้าง"

   "ตามใจ"

   ผมไม่ขัดใจอยู่แล้วถึงจะกลัวไม่น้อยว่าถ้าพี่ๆ รู้เข้าผมจะโดนอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไรแต่คงทะเลาะกันแรงอยู่พอสมควร โรมถึงเดินเสียงดังนำผมออกไปจนถึงหน้าประตูบ้าน เขาตบกระเป๋ากางเกงของตัวเองแล้วสบถออกมา "แม่งเอ๊ย...มือถือก็ลืมไว้ข้างในอีก กูต้องกลับเข้าไปอีกเหรอวะ"

   "ไปเอาให้ไหม?" ผมเสนอขึ้นหลังจากที่เห็นน้องไม่อยากกลับไปข้างใน

   "น่าจะอยู่บนโซฟา ถ้ามีใครถามอะไรก็ไม่ต้องตอบอะไรทั้งนั้นนะ พวกมันชอบยุ่งไปทั่ว"

   ถึงไม่บอกก็พอรู้อยู่ว่าการเสนอตัวอย่างนี้ไม่ต่างอะไรกับการพาตัวเองไปสู่ปัญหา ช่วยไม่ได้นี่นะ มันมีแค่สองทางให้เลือก ไม่หนีปัญหาก็เผชิญกับมัน โชคร้ายหน่อยที่ผมเป็นจำพวกคนที่ชอบสู้กับปัญหาเสียด้วยสิ

   กลับมาตามทางเดิม ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเลี้ยวไปที่ชั้นวางรูปแทนที่จะเป็นห้องนั่งเล่น จะบอกว่ารูปนั้นมันมีอะไรบางอย่างที่ผมยังค้างคาก็ว่าได้ เหตุผลแรกคือการวางแบบนั้นมันไม่ใช่การวางซ้อนแต่เป็นการซ่อนไว้เสียมากกว่า ส่วนเหตุผลที่สองคือมันเป็นรูปเดียวที่มีฝุ่นเกาะ ต่างจากรูปอื่นไม่มีแม้แต่ปลายผง

   ผมเหมือนพวกสอดรู้สอดเห็นเหรอ?

   เอาน่า

   อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มาเหยียบที่นี่ก็เป็นได้นะ ดูจากสถานการณ์แล้ว

   "..."

   ตรวจจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นนอกจากผม เป้าหมายเดียวคือรูปที่อยู่ขวาบนสุด ขยับสิ่งกีดขวางให้พ้นทางแล้วคว้ามันไว้ในมือ

   “...แค่น้องมันยอมพามาพวกมึงก็ยอมรับได้แล้ว"

   "...!"

   ผมวางมันลงโดยไม่คิด แสงที่สอดผ่านประตูมาบอกผมว่าเสียงที่ผมได้ยินมันมาจากไหน สัญชาตญาณบอกให้ผมอยู่นิ่งอยู่ตรงนั้น พวกเขากำลังพูดถึงผมอยู่?

   "เงียบไปเลยไอ้สัตว์ กูยังไม่เคลียร์เรื่องที่มึงปิดพวกกูเรื่องที่หนึ่ง"

   "กูบอกไปแล้วมีประโยชน์อะไร"

   "นั่นมันน้องกู!" แค่เขากระชากเสียงผมก็รู้แล้วว่าเน็ทยังอารมณ์ไม่ดีจากที่ทะเลาะกับน้องเมื่อครู่

   "น้องกูด้วยไหมล่ะ พวกเราควรจะปล่อยให้น้องเดินเองได้แล้ว" ผมไม่รู้ว่าตัวเองหายใจเร็วขึ้นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ "เลิกห่วงมันจนโอเวอร์เถอะ"

   "กูไม่เคยห่วงน้อง"

   "มึงไม่เคยให้โรมทำอะไรเองเลยต่างหากนิช"

   "โรมรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่" เสียงหญิงสาวคนเดียวในห้องเอ่ยแทรก แม้จะเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินแต่มั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีทางลืมเสียงอย่างนี้ เสียงผู้หญิงที่ไร้โทนสูงต่ำ

   "มันไม่รู้! ถ้ารู้มันจะไม่ทำ!! กูบอกไว้เลยนะ พวกมึงกำลังซ้ำรอยเดิม"

   "เน็ท มึงใจเย็นๆ ดิวะ"

   "ยังจะให้กูใจเย็นเหี้ยอะไรอีก คราวที่แล้วมีใครฟังกูบ้าง แล้วเป็นไงล่ะ น้องเป็นยังไงมึงก็เห็นกันอยู่!" แม้รู้ว่าไม่ควรฟังมากแค่ไหน ร่างกายกลับทรยศเสียอย่างนั้น "ใครจะให้ท้ายก็เชิญ รอบนี้กูบอกเลยว่ากูค้าน กูจะไม่ยอมให้โรมต้องเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว"

   คราวที่แล้ว..

   เป็นอย่างนั้น...
 

   "พวกมึงเคยสัญญาอะไรกันไว้ ช่วยรักษาด้วย"
 


   "ไหนโทรศัพท์?"

   "นี่"

   ส่งเครื่องมือสื่อสารยี่ห้อดังคืนไปให้ เมื่อกี้ผมยืนเก็บข้อมูลจนเป็นที่พอใจแล้วถึงทำเป็นโทรเข้าเครื่องน้องเพื่อให้มีข้ออ้างเข้าไปในห้องอย่างไม่ต้องลำบากใจที่จะมองหน้าใครทั้งนั้น ในห้องนั่งเล่นไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศไว้กลับเต็มไปด้วยความหนาวเย็น โดยเฉพาะจากเจ้าชายจอมเอาแต่ใจที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าผม ก็ได้แต่หวังว่าผมจะแสดงละครเป็นผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้ดีพอที่จะไม่ทำให้ใครจับพิรุธได้

   จากที่เคยคิดว่ากลุ่มนี้เป็นแค่กลุ่มเพื่อนกันธรรมดา ตอนนี้ต้องรีเซตความเข้าใจทั้งหมดใหม่ ทั้งลึกลับแล้วก็ซับซ้อน เหมือนมีกระจกคอยกั้นผมไว้อีกฝั่งหนึ่ง กระจกใสที่ลวงให้ผมตายใจว่าไม่มีอะไรที่ผมไม่รู้ ...แต่พอผมก้าวถึงจุดหนึ่งมันก็เผยออกมาว่าผมแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลยต่างหาก และถึงผมอยากข้ามไปเพื่อรับรู้อะไรมากขนาดไหนกำแพงใสนี้ก็ไม่อนุญาตให้ผมไป

   ไม่ยักกะรู้ว่าการรักใครสักคนมันต้องเผชิญอะไรถึงขนาดนี้

   "นั่นไง แม่งแอบเปิดมือถือกูอีกล่ะ"

   โรมกระฟัดกระเฟียดแล้วไประบายอารมณ์กับต้นไม้แถวนั้นจนพอใจแล้วถึงเดินขึ้นรถตามมาแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะกระชากปิดประตูเสียงดัง คิดว่าการที่ผมเข้าไปเอามือถือของน้องตอนนั้นคงเป็นการบอกไปในตัวแล้วว่าโรมจะกลับแล้ว การที่ไม่มีใครขวางไว้มันเป็นการยอมให้ทำตามใจได้ ...แต่ถ้าพวกพี่ๆ รู้ว่าน้องหนีมานั่งกินเหล้าแบบนี้คงโดนตีตายพอดี เราสองคนตกลงกันเรื่องร้านอาหารไม่ได้สักทีเลยจบที่เซเว่นแถวคอนโด พอจัดการหาของกินจนพอใจแล้วเลยมานั่งรับลมกันที่ดาดฟ้า

   ผมไม่ห้ามตอนที่น้องซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาด้วย ถ้ามันทำให้อารมณ์ดีขึ้นผมก็โอเค ความจริงแล้วระหว่างทางพวกพี่ชายทั้งหลายก็โทรมาตามหลายสายอยู่เหมือนกัน โรมไม่รับแถมยังปิดเสียงปิดสั่นโยนมันไปไว้เบาะหลังเสียอีก ผมเองก็ยังไม่กล้าหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเช็คว่ามีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง กลัวถ้าเห็นว่ามีเบอร์ที่ไม่ได้รับจากคุณพ่อตาแล้วมันจะเป็นคำสาปร้ายไปเสีย

   "ทุกคนแม่งชอบยุ่ง เฮอะ เน็ทมันยังบอกอยู่เลยว่าชีวิตกูเป็นของมันอะ" น้องเป็นคนเมาที่พูดเก่ง มันจะต้องมีบ้างแหละ ความรู้สึกว่าคนสไตล์นี้จะต้องมีบุคลิกนิสัยประมาณนี้ ซึ่งทั้งหมดไม่เคยใช้กับโรมได้เลย ภายนอกโรมคือผู้ชายธรรมดาที่ไร้ซึ่งความน่าสนใจทั้งทางรูปร่างหน้าตาและการเรียน พอเราตัดสินจากภายนอกว่าโรมธรรมดาแล้วมันก็มักจะตามมาด้วยการคาดเดานิสัยมาจะต้องเป็นคนที่จืดชืดแหงๆ

   และมันผิด

   โรมเอาแต่ใจ ...แต่ก็มีเหตุผล

   โรมเหมือนจะอ่านง่าย ...แต่ผมไม่เคยอ่านเขาได้เลยสักครั้ง

   อาจเหมือนกรุงโรม ที่ภายนอกดูแข็งแกร่งมากแค่ไหนภายในอาจเปราะบางจนจวนเจียนจะล่มสลาย

   "ถามอะไรหน่อยได้ไหม?"

   "เรื่องกูอะดิ ก็บอกแล้วว่ามึงไม่รู้จักกูขนาดนั้นหรอก" น้องคงรู้แหละว่าผมจะต้องมีปฎิกิริยาอย่างนี้ "ไม่มีอะไรมาก พ่อแม่เดินทางบ่อย เลยฝากให้คุณพินิจช่วยเลี้ยง กูก็คิดว่าสองคนนั้นเป็นพี่กูจริงๆ มาตลอดอะนะ"

   "ตั้งแต่อนุบาล?" ตอนที่ไล่ตามองรูปบนชั้นผ่านๆ ผมเห็นเขาถ่ายรูปด้วยกันมาตั้งแต่ตอนที่ยังใส่ยูนิฟอร์มเด็กน้อย

   "เตรียมอนุบาล คุณพินิจเล่าว่าแม่กูกับแม่มันสองคนเป็นเพื่อนกัน"

   "แล้วทำไมต้องเป็นลูกบุญธรรม"

   หนึ่งอย่างที่น้องไม่ต่างจากพี่ เวลาที่ไม่ต้องการตอบก็จะใช้วิธีตอบกว้างๆ ไม่ให้เข้าตัว "...ก็หลายอย่าง"

   "เช่น"

   "หลายอย่าง"

   เจอย้ำเข้าไปอย่างนั้นจะให้ตื้อต่อคงไม่ใช่ วันนี้พระจันทร์เต็มดวงช่วยเพิ่มความสว่างให้ท้องฟ้าจนไม่จำเป็นต้องใช้แสงอะไรก็ให้ผมเห็นใบหน้าของคนข้างๆ ที่เหมือนจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ ใช่ ผมพูดไม่ผิด น้องทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้

   "อยากถามเรื่องอื่นอีกไหม ...ถ้าตอบได้จะตอบ"

   "กับพวกนั้น รู้จักกันมานานแล้วเหรอ" คิดอะไรไม่ออกแล้วถึงถามอย่างนั้นออกไป เท่าที่รู้เขาเป็นกลุ่มที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมต้นเป็นอย่างน้อย

   "เจอเน็ทกับนิชตอนปอหนึ่ง" สิบห้าปี...นานจนเกือบเป็นสองในสามชีวิตของผม "ที่จริงคนที่เลี้ยงกูมาไม่ใช่คุณพินิจหรอก พวกแม่งคอยแบ่งกันเลี้ยง นิชเป็นแม่แล้วแบล็คเป็นพ่อ เน็ทเป็นพี่ชายคนโตที่ชอบแกล้งกู ส่วนไวท์...ก็นั่นแหละ"

   ผมมีความทรงจำสมัยประถมน้อยมาก อาจจำได้เป็นรายกรณีไป อย่างพวกครูที่ดุๆ ไม่ก็พวกเด็กเฮี้ยวๆ พอโรมเล่าอย่างนั้นก็คิดภาพออกเลยว่าแบ่งกันเลี้ยงเป็นยังไง โดยเฉพาะเวลาที่ทะเลาะกับเน็ทแล้วเอาไปฟ้องแบล็ค

   "แม่งเคยห้ามไม่ให้กูไปห้องน้ำคนเดียวด้วยอะ โคตรบ้าบอ ไร้สาระชะมัด แม่งจะเหี้ยอะไรขนาดนี้ชีวิตกู..."

   ผมก็พูดคำหยาบกับเพื่อนคนอื่นทั่วไป ไม่รู้ทำไมพอเป็นน้องแล้วถึงไม่อยากให้พูดเลยสักนิด ผมชอบเวลาที่โรมแทนตัวเองว่าน้องแล้วเรียกคนอื่นว่าพี่มากกว่า เหมือนอย่างวันที่ประกวดดาวเดือนไง พอน้องยิ้มอย่างนั้นแล้วเรียกผมว่าพี่ที่หนึ่งบอกเลยว่าผมแพ้หมดท่า หน้าผมแดงอย่างที่ตอนกลับไปโต๊ะกรรมการแล้วมีคนคิดว่าแอร์ร้อนไปแล้วไปให้คนเร่งแอร์เสียอีก

   ที่บอกว่าให้ยิ้มให้ผมคนเดียวนั่นพูดจริงนะ ผมไม่แบ่งน้องให้ใครหรอก

   "บอกแล้วไงว่าไม่ให้พูดคำหยาบ"

   "มันเป็นภาษาเก่า คนที่บอกว่าเป็นคำหยาบมันก็แค่พวกดัดจริตที่พยายามยกระดับของตัวเองให้สูงส่งขึ้นเท่านั้นนั่นแหละ"

   "หนึ่งไม่ชอบ"

   "แล้วกูต้องทำตาม?"

   อย่างนี้ประจำ ย้อนกลับด้วยคำถามเหมือนอยากจะได้อย่างอื่นกลับไปมากกว่าคำตอบ

   "ถ้าพูดอีกจะตีปาก"

   "กูกลัวมา...ที่หนึ่ง!"

   "พูดไม่เพราะต้องโดนตบปาก"

   หยาบมาตบกลับไม่โกง พอน้องหลุดคำว่ากูออกมาผมก็จัดการตีปากจนมีเสียงเพี๊ยะขึ้นมา แม่เคยทำโทษผมอย่างนี้ตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่ ผมไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไรตอนแรกแต่พอแม่ผมได้ยินเท่านั้นแหละโดนตบหน้าชาเลย ตอนหลังแม่ก็บอกนะว่าให้พูดกับเพื่อนได้แต่ไม่ให้เอากลับมาใช้ที่บ้าน 

   "เจ็บนะ!"

   "เจ็บจะได้ไม่ทำอีกไง"

   "พ่อก็ไม่ใช่ พี่ก็ไม่ใช่ จะอะไรกับโรมนักหนา!"

   อยากจะโกรธแต่ก็โกรธไม่ลง ภาพน้องทำหน้าโมโหแล้วยกมือขึ้นจับแก้มที่ผมเพิ่งจับไปเมื่อกี้มันดูไม่น่ากลัวเลยสักนิด เขาคงไม่รู้ตัวว่าเมื่อกี้แทนตัวเองว่าโรมเสียด้วยซ้ำ

   "ก็บอกแล้วว่าอยากเป็น 'ที่หนึ่ง' ไม่ได้อยากเป็นพ่อหรือพี่"

   ผมไม่เคยรู้สึกว่าชื่อของตัวเองพิเศษ จนกระทั่งเจอเขา

   เบียร์สองกระป๋องไม่ได้ทำให้ไร้สติอย่างที่คนข้างๆ กำลังเป็นอยู่ มันแค่ทำให้เราสองคนอารมณ์ดีพอที่จะนั่งพูดคุยอะไรกันโดยไม่กระดากปากสักเท่าไหร่

   "จะฟ้องแบล็คว่ามึ... โอ๊ย!"

   บอกแล้วว่าพูดอีกก็จะตีอีก ผมยกมือขึ้นแล้วตบลงไปเบาๆ ตรงริมฝีปากของเขาอีกครั้ง ส่งสายตาไปบอกว่าถ้ายังมีครั้งต่อไปอีกผมก็จะทำเหมือนเดิม โรมพยายามพูดอะไรออกมาแต่เป็นเพียงแค่เสียงอู้อี้เพราะผมยังไม่ได้ขยับมือออกไปไหน เพราะสัมผัสนุ่มปนชื้นจากเครื่องดื่มที่อยู่ตรงข้อนิ้วมันแปลกดี

   แปลกจนพาลคิดต่อไปว่าถ้าลองจูบลงไปจะได้ความรู้สึกแบบไหน

   ไม่เชิงว่าเมาเพราะถ้าเมามันคือไม่มีสติ นี่ผมยังมีสติอยู่แต่มันมีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เรียกว่าอารมณ์ชั่ววูบคงถูกที่สุด เพราะแค่วูบเดียวที่ผมคิดว่าอยากลองจูบเขาผ่านมือตัวเองหน้าของผมก็โน้มลงไปแล้ว

   บ้าชะมัด

   จะให้อธิบายมันไม่มีอะไรที่มากไปกว่าการจูบหลังมือที่เย็นชืดของตัวเอง ถึงอย่างนั้นหัวใจของผมกลับเต้นเร็วเหมือนวิ่งติดต่อกันเป็นชั่วโมง น้องหลับตาปี๋ต่างจากผมที่ไล่เก็บทุกรายละเอียดบนใบหน้า ขนตาไม่ยาวเท่าไหร่ จมูกพอมีสันออกมาให้เป็นทรงไม่น่าเกลียด ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่ผิวขาวขนาดนี้เพราะโรมไม่ชอบออกไปไหน

   จนอีกคนดิ้นประท้วงผมเลยต้องยอมผละออกมา เขาขมวดคิ้วแล้วถามผม

   "ทำอะไรของพี่"

   "ส่งนิสัยพูดเพราะไปให้"

   ข้ออ้างที่ดีที่สุดเท่าที่ผมคิดได้ในตอนนี้

   "ตำราบ้านไหนกัน บ้าป่ะ"

   น้องก็ยังคงเป็นน้องเอ๋ออยู่อย่างเดิม ช่วยเอะใจหน่อยได้ไหมล่ะว่าผมโกหกน่ะ แต่เมื่อกี้เขาเรียกผมว่าพี่สินะ แสดงว่าวิธีของผมได้ผลนิดหน่อยล่ะน่า

   "เดี๋ยวตีปากอีกนะ"

   "...ง่วงแล้วอะ"

   ขำพรืดออกมาตั้งแต่คำแรก โรมทำหน้าจริงจังมากจนเมื่อกี้ผมกังวลตามว่าเขาไม่พอใจกับการฉวยโอกาสที่ดูไม่มีความโรแมนติกอย่างนี้ เพราะอย่างนั้นตอนที่นอนหลุดปากบอกว่าง่วงออกมาผมเลยเพิ่งคิดออกว่าตัวเองกำลังคุยอยู่กับน้องน้อยที่ไม่รู้ว่าโดนแอบชอบมามากกว่าสี่ปีแล้ว

   "ป่ะ เดี๋ยวไปส่ง"

   "ไม่เอา ยังไม่อยากกลับ" ทำหน้ายุ่งอย่างนั้นคงยังอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ "ขอนอนตรงนี้นะ"

   ไม่รอรับคำจากผมน้องก็เลื่อนตัวลงไปหนุนตักเสียแล้ว ดาดฟ้าไม่ได้เหมาะกับการนอนเล่นมากเท่าไหร่แต่ผมห้ามไม่ทัน โรมเล่าเรื่องพี่น้องไปเรื่อย ผมที่ไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหนดีเลยจัดการลูบผมสีน้ำตาลของคนที่อยู่บนตักไปพลาง

   นุ่มจัง

   ผมคิดมาตั้งนานแล้วว่าน้องดูแลเส้นผมยังไงถึงได้ดูสุขภาพดีตลอดเวลาขนาดนี้ มีช่วงหนึ่งที่เขาเลี้ยงผมจนยาวเกือบประบ่า พอลมพัดผมก็ปลิวตามแรงไปมาเป็นภาพที่น่ามอง บางวันก็มาพร้อมกับผมรวบเป็นหางม้าขนาดเล็กดูเข้ากับเขาดี อยากให้กลับไปไว้ทรงนั้นอีกแฮะ

   "โรมครับ"

   "อะไร?"

   "ถ้ามีราชา เจ้าชาย ปีศาจ แล้วก็คนบาป ...แล้วน้องโรมคืออะไร?"

   "โรมเหรอ?" เขายิ้มกว้างจนให้ความรู้สึกว่ากำลังปกปิดอะไรบางอย่างไว้ให้ลึกที่สุด

  "น้องโรมเป็นผู้เสียสละ"

[End : ที่หนึ่ง]


***
   ครบทั้งบทแล้วค่ะ เรื่องนี้เราไปกันเรื่อยๆ  มีอยู่ไม่กี่ปม ไม่ซับซ้อนๆ (หัวเราะ) ตอนนี้ 'ชื่อ' ของน้องโรมก็ได้เปิดกับเขาบ้างสักที หลังจากปล่อยชื่อของพี่ๆ คนอื่นมาตั้งนานแล้ว ไปๆ มาๆ เจ้าว่าที่หนึ่งน่าสงสารที่สุดในเรื่องแล้วค่ะ (ฮา)
   บอกกับตัวเองว่าปิดเทอมจะเขียนไว้ให้ได้เยอะๆ สรุปแล้วเจ้าก็ยังคงคอนเซปต์แต่งตอนต่อตอนไม่เคยมีเก็บสะสมไว้ได้จนวันที่ใกล้จะเปิดเทอมแล้วค่ะ (ร้องไห้)
   เจอกันสัปดาห์หน้านะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-01-2016 23:54:58
รออ่านต่อไป
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-01-2016 00:29:46
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-01-2016 00:41:58
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 10-01-2016 07:42:19
เห็นด้วยที่สุดค่ะว่าในเรื่องนี้ ที่หนึ่งน่าสงสารที่สุด  o18 คงให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในหนังแนวสืบสวนฆาตกรรมสักเรื่อง
หวังว่าที่หนึ่งจะจิตแข็งพอที่จะพาน้องโรมผ่านไปได้นะคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 12-01-2016 09:18:56


อืม... ตอนแรกเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องรักใส ๆ
หึ หึ ทำไปทำมา นี่มันงานสร้างที่ล้ำลึกยิ่งกว่าอินเซปชันเสียอีก
แหม่! ป้าล่ะอยากจะรู้ขึ้นมาทันทีเลยว่า ไอ้แผลเก่าของน้อมโรมที่พวกพี่ ๆ เป็นห่วงกันแทบเป็นแทบตายนี่มันคือเรื่องอะไร
ถ้าพวกพี่ ๆ จะห่วงน้องป้าไม่ว่าหรอกนะจ๊ะ ขออย่างเดียว... อย่ากีดกันพ่อที่หนึ่งของป้าเป็นอันขาด (ป้านี้เลียแข้งเลียขาพ่อแบล็คแทนที่หนึ่งล่วงหน้าเลยเนี่ยะ)

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^  :กอด1:

หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: GMJeam ที่ 12-01-2016 10:14:01
ปมของน้องคือไรนะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Ferin1A ที่ 12-01-2016 13:57:24
ยิ่งอ่านยิ่งชอบความธรรมดาของที่หนึ่ง(ถึงคนเขียนจะบอกว่าไม่ธรรมดาก็เถอะ)  คือคนอื่นมันประหลาดกว่าไง
รู้สึกว่าต้องคนแบบที่หนึ่งเท่านั้นแหละที่จะคลายปมในใจของน้องโรม  ผู้เป็นศูนย์กลางของกลุ่มได้
เวลาที่หนึ่งอยู่กับน้องโรมนี่กรี๊ดมาก อบอุ่น  พึ่งพาได้
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: puengmimsweety ที่ 14-01-2016 18:59:17
รูปที่อยู่ในห้องน้องโรมมีหกคนนี่ แสดงว่าต้องมีอีกคนนึงสิ เดาว่าน่าจะเป็นคนที่ทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมด
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 17-01-2016 23:36:29
บทที่ 13

   เครื่องมือดูดาว แผนที่ดาวเคราะห์บนท้องฟ้า และเครื่องเขียนสำหรับการจดบันทึกวางระเกะระกะ

   ชินไหม ก็ชินแล้ว

   แต่จะให้ทนต่อไปไหม ก็ไม่เหมือนกัน

   "แบล็ค! มาเอาน้องมึงกลับไปเลยนะ!!"

   ผมตะโกนออกไปอย่างเหลือทน ไม่สนว่าระดับเสียงที่ใช้มันจะเกินระดับที่ควรเป็นรึเปล่า

   เจ้าของห้องละสายตาจากโทรทัศน์จอแบนสามสิบแปดนิ้วมาที่ผม คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเพื่อบอกผมว่าไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะการผ่อนคลาย

   "เอา ไวท์ กลับ ไป เดี๋ยว นี้!"

   ย้ำช้าๆ ชัดๆ ทีละคำ ชี้นิ้วผ่านกำแพงไปยังห้องของตัวเองที่มีหญิงสาวโลกส่วนตัวสูงลิบครอบครองอยู่

   "น้องโรม กูบอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าต้องอ่านหนังสือเตรียมแข่ง" แม่งมีการชี้ไปตรงกองหนังสือที่วางซ้อนกันเป็นชั้นสูงจนเกือบเท่าตัวผม "กูไม่มีสมาธิหรอกนะถ้ามีวิญญาณล่องลอยอยู่ในห้องไปมา"

   "เลยโยนมาให้กูเนี่ยนะ?"

   "อืม"

   "ไอ้เหี้ยยย!" แทบจะเดินเข้าไปบีบคอแล้วเขย่าว่ามึงคิดอะไรอยู่

   "มึงก็ทนหน่อยน่า ช่วงนี้กูไม่อยากให้ไวท์อยู่ห่างตัว" แบล็คยกมือขึ้นนวดขมับ เหตุผลที่เขาใช้มันเป็นเรื่องที่ผมเถียงกลับไปไม่ได้ ถึงผมจะไม่ได้เจอเวลอีกเลยแต่ใช่ว่าอีกคนจะไม่เจอ พี่ชายฝาแฝดบ่นอยู่ว่าเจอเขาบริเวณห้องเรียนของไวท์หลายครั้ง

   "แต่..."

   อยากจะเถียงใจจะขาดสุดท้ายทำได้แค่เม้มปากไม่ให้ตัวเองพูดออกไป ไวท์มีกิจวัตรในแต่ละวันที่ค่อนข้าง 'แตกต่าง' จากคนปกติมาก ถ้าตอนอยู่บ้านมันก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะต่างคนต่างมีห้องนอนเป็นของตัวเอง พอมาตอนนี้ที่จำนวนคนมีมากกว่าจำนวนห้องมันเลยต้องแบ่งกันใช้

   ใช่ ต้องแบ่งกันไม่ใช่ยึดไปคนเดียวอย่างนี้ ผมนี่เกือบจะรื้อถุงนอนออกไปใช้ชีวิตอยู่ตรงระเบียงแล้ว

   "ถ้ามึงไม่โอเคมากก็ลองคุยดู ไวท์มันตามใจมึงอยู่แล้วล่ะ"

   "กูจะไม่ผิดคำพูดตัวเอง"

   สัญญาไว้ว่าไม่เอาแต่ใจกับไวท์ นิสัยไม่ดีของผมต้องไม่ทำร้ายคนรอบข้างอีก

   "งั้น..." เขาลากเสียงยาว มือที่นวดขมับอยู่เมื่อครู่แปรเป็นการชี้ออกไปนอกหน้าต่าง "ไปหาอีกคนที่ตามใจมึงพอกันดิ”

   “หือ?”

   “ห้องฝั่งตรงข้ามมึงอะ”

   “กูไม่รู้จัก จะให้เดินไปเคาะประตูแล้วบอกว่าขออยู่ด้วยไง?”

   “มึงแม่งเอ๋อตลอด กูหมายถึงตึกตรงข้าม”

   "..."

   แบล็คเป็นพี่ชายที่แปลก ทั้งในความหมายดีและไม่ดี ที่ดีคือเขาไม่เคยเข้ามาชี้นิ้วสั่งให้ผมทำอะไรตามที่ต้องการ ส่วนไม่ดีคือถึงเขาไม่ห้ามแต่ถ้าเกิดผมล้มแล้วมีคนซ้ำเมื่อไหร่เขาจะไม่ช่วยดึงผมขึ้น ซ้ำร้ายจะกดให้ผมจมลงไปกว่าเดิม เพราะนั่นหมายถึงผมต้องยอมรับในผลที่อาจตามมาให้ได้ คุณอาจคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินตัว มันก็ช่วยไม่ได้ ราชาที่อยู่บนบัลลังก์ไม่มีสิทธิ์มาอ้างคำว่าเด็กหรอก 

   “...มึงรู้ใช่ไหม” ถามเพื่อความแน่ใจไปอย่างนั้น ที่จริงก็พอรู้ชะตาตัวเองตั้งแต่วันที่โดนเรียกกลับบ้านแล้วล่ะ เขาบอกเองว่าพ่ออยากเจอคนที่จีบลูกชายอยู่

   “น้องโรมครับ ขนาดน้องที่กูไม่ค่อยเจอกูยังรู้เรื่องมันทุกอย่าง กับมึงที่อยู่แค่ห้องถัดไปทำไมกูจะไม่รู้”

   “แล้ว...”

   “กูไม่ใช่เน็ท”

   ผมตีกับเน็ทบ่อย ทั้งเรื่องไร้สาระแล้วก็เรื่องมีสาระ เรื่องที่หนึ่งเป็นหัวข้อล่าสุดที่เราทะเลาะกันและแรงพอสมควร คนกรุ๊ปเอแต่ดันหวงเพื่อนอย่างกับเป็นกรุ๊ปโออย่างเขาเอาแต่โวยวายจะไล่ที่หนึ่งกลับให้ได้ เน็ทไม่ยอมให้ใครเข้ามายุ่งในกลุ่มของเรา โดยเฉพาะกับน้องเล็กอย่างผม งี่เง่าตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงทุกวันนี้

   “หนึ่งมันบอกว่าจะจีบกู...” เป็นครั้งแรกที่ผมยอมเปิดปากเรื่องนี้กับเพื่อนและพี่ชายตามตรง

   “มันจีบมึงอยู่ ไม่ใช่จะจีบ”

   “มึงโอเคเหรอ”

   “เมื่อกี้กูพูดชัดแล้วนะ”

   “ไม่ห้าม?”

   “ห้ามทำไม มันไม่ได้จีบกูนี่” แบล็คเปลี่ยนจากท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนเป็นไขว่ห้างอยู่บนโซฟา “กูมีวิธีเลี้ยงน้องของกู”

   นั่นคือความจริง ตลอดเวลาการเป็นน้องพวกพี่เลี้ยงผมมาคนละแบบ ไม่สับสนหรอกเพราะอยู่ไปนานๆ แล้วมันก็ปรับตัวได้จนชินไปเอง แบล็คจะออกแนวไม่เข้ามายุ่งอะไรมากแต่ก็ไม่เคยมีอะไรหลุดออกไปจากนอกสายตา

   “ที่หนึ่งเป็นผู้ชายนะ”

   “ไม่มีกฏหมายมาตราไหนเขียนว่าห้ามรักครับ”

   “แบล็คคค” ต่างจากรีแอคชั่นของเน็ทลิบลับ ไม่มีอาการสนใจในสิ่งที่ผมกำลังพบเจออยู่ บางครั้งเขาก็ทำเหมือนผมเป็นเพียงคนที่ไม่เคยรู้จัก ที่จะตัดออกจากชีวิตเมื่อไหร่ก็ได้

   “อยากให้กูห้ามรึไง” ยิ้มจางบนริมฝีปากเขาไม่ต่างอะไรกับยิ้มของซาตาน อ่อนโยน...แต่ก็อันตราย “กูเป็นพี่มึงมากี่ปีแล้วโรมัน กูรู้จักมึงมากกว่ามึงรู้จักตัวเองอีก”

   “...”

   “บอกมาคำเดียว อยากให้กูห้ามรึเปล่า”

   ควรจะบอกเขาไปว่าอยาก แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่กล้าพูดไป นัยน์ตาสีดำสนิทไม่ต่างจากของน้องสาวมองมาที่ผมด้วยความเอ็นดูปนหน่วงใจ ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องบอกผ่านคำพูด เราเป็นพี่น้องต่างสายเลือดที่รู้จักกันดีพอ

   "ก็แค่นั้น"

   ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น มองพี่ชายหยิบโทรศัพท์ขี้นมากดอะไรสองสามครั้งก่อนเปิดลำโพงให้ได้ยินเสียงรอสายเป็นเพลงสากลที่ผมกำลังฟังซ้ำอยู่ในช่วงนี้ ปล่อยให้เขาจัดการทุกอย่างไปตามที่ควรจะเป็น ส่วนตัวเองก็จมอยู่กับคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปาก

   คำเดียว ทำไมถึงพูดออกไปไม่ได้ก็ไม่รู้


 

   ก็นั่นแหละครับที่มาของการย้ายสำมะโนประชากรชั่วคราวอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ผมเองตอนแรกก็คิดว่าจะปัดตกข้อเสนอนี้ไปอยู่เหมือนกัน แต่พอคิดไปคิดมาแล้วมันคงจะดีกว่าสำหรับเราทั้งสองคน ผมไม่ต้องมาปวดหัวกับตารางชีวิตที่ไม่ตรงกัน ส่วนไวท์เองก็ได้มีพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น ก็เคยถามไปตรงๆ แล้วว่าไม่อึดอัดใช่ไหมที่ถูกบังคับให้มาอยู่อย่างนี้ พอยัยนั่นตอบว่าโอเคผมเลยทำอะไรไม่ได้

   ยังแอบเสียดายอยู่เลยที่ไม่ได้เห็นหน้าตอนที่แบล็คโทรไป ขนาดได้ยินเสียงจากโทรศัพท์เล็กน้อยตอนที่เขาตะโกนใส่ว่า 'อะไรนะ' ยังตลกอยู่เลย

   "จะให้เอาตุ๊กตาวางไว้ตรงไหน?"

   "อยากวางไว้ตรงไหนก็วางไปเถอะ"

   ผมตอบกลับส่งๆ เพราะยังมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่รอให้รื้ออีก ไม่รู้คำว่าชั่วคราวที่ผมใช้มันจะนานมากแค่ไหน แต่คิดดูแล้วผมเองไม่อยากกลับมาที่ห้องบ่อยๆ เพราะกลัวว่าไวท์จะรำคาญเอา ตอนนี้มันเลยกลายเป็นว่าผมเหมือนย้ายห้องถาวร ของใช้อะไรที่คิดว่าอาจจะได้ใช้ถูกยกมาหมดห้อง

   "ชอบสีส้มเหรอ" เขาเดินมานั่งยองๆ ตรงอีกฟากของกระเป๋า มีน้องหมีส้มของผมอยู่ในอ้อมแขน นี่ตุ๊กตาของผมกลายเป็นหมีสาธารณะตั้งแต่เมื่อไหร่นะ เวลาใครมาที่ห้องก็ชอบเอาเจ้าหมีแขนขายาวตัวนี้ไปกอดทุกครั้ง ส่วนพ่อยอดชายนายที่หนึ่งคงชอบมากกว่าใครเพื่อน เขายิ้มกว้างจนน่ากลัวว่าปากจะฉีกตอนที่เห็นผมถือน้องหมีมาด้วย

   "เปล่า ไม่มีสีที่ชอบ นี่แบล็คซื้อให้ตอนวันเกิด"

   "อ้าว?" ร้องเสียงหลงเสียจนน่าตกใจ ที่หนึ่งก้มหน้าลงไปคุยกับน้องหมีด้วยเสียงอันเบาจนผมฟังไม่ค่อยออก "...ไหนบอกว่าชอบสีส้มไงทิวา"

   "อัพเกรดเป็นคุยกับตุ๊กตาแล้วรึไง"

   "นึกว่าชอบสีส้ม แล้วชอบสีอะไรเหรอ?"

   มือที่รื้อหาเสื้อนอนไว้ใส่คืนนี้ชะงักไปพลันเมื่อพาลนึกไปถึงสีหนึ่ง ผมควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นถึงปฏิเสธกลับไป "ไม่อยากชอบสีอะไรทั้งนั้น"

   "หนึ่งชอบสีเขียวน้ำทะเล"

   "บอกเพื่อ?"

   "น้องโรมจะได้รู้อะไรเกี่ยวกับหนึ่งอีกอย่างไง"

   จั๊กจี้ทุกทีที่เขาเรียกผมว่าน้องโรม จนถึงตอนนี้ผมไม่กล้าขึ้นมึงกูใส่ที่หนึ่งแล้วครับ แค่อ้าปากยังไม่ทันจะพูดอะไรที่หนึ่งก็ยกมือขึ้นมาเตรียมฟาดเสียทุกครั้ง น่ากลัวว่าพ่อก็ที่หนึ่งนี่แหละ ฟาดลงมาจริงไม่มีออมแรงเลยสักนิด วันนั้นผมเมาๆ เลยจำความเจ็บไม่ค่อยได้ พอตอนตื่นเต็มตาคิดว่าต้องหน้าบวมแหงแต่กลับมีแค่ความอบอุ่นแปลกๆ คงอยู่

   ผมเป็นวัยรุ่นจำพวกไม่ชอบเมาแต่โดนเพื่อนมอมอยู่บ่อยครั้ง ถึงไม่มีใครกล้าทำร้ายผมขนาดที่อัดคลิปเก็บไว้มาแฉตอนสร่าง ทุกคนก็ยังให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่าถ้าอยากเห็นผมกลับไปเป็นน้องเล็กที่เดินตามพวกพี่ต้อยๆ ก็ลองให้เมาดูสักทีจะได้เด็กชายโรมกลับมา อีกอย่างที่เป็นข้อเสียคือผมจะจำไม่เคยได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้างตอนที่โดนฤทธิ์เครื่องดื่มเล่นงาน

   “จะดีใจมากถ้าม...พี่ที่หนึ่งเลิกยุ่งแล้วอยู่เฉยๆ ปล่อยโรมเก็บของเอง”

   เกือบจะโดนฝ่ามือพิฆาต ผมมองหน้าเขาสลับกับกระเป๋าของตัวเองเป็นการบอกในตัวว่าตอนนี้กำลังยุ่งวุ่นวายกับการจัดของสุดๆ ที่หนึ่งจับแขนทั้งสองข้างของน้องหมีไว้เหมือนเป็นหุ่นเชิด จัดการพลิกฝากระเป๋าให้ปิดลงโดยไม่ขอความเห็นจากผมเลยสักนิด

   "อะไรอีกกก"

   “ค่อยกลับมาจัด ไปซื้อของกัน”

   “ซื้อของ?”

   “น้องโรมมาอยู่ด้วยมันก็ต้องใช้ของมากขึ้น ไปซื้อของเพิ่มกัน”

   “เตรียมมาจากห้องครบแล้ว”

   ผมไม่ได้มาอาศัยอยู่หน้าด้านๆ อย่างนั้นสักหน่อย อะไรที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตผมก็เตรียมไว้หมดแล้ว ไม่ต้องมาเบียดเบียนเขาเลยสักนิด แขนน้องหมีแกว่งไปมาโดยมีเสียงจุ๊ปากของเขาเป็นตัวเสริม ตุ๊กตาสีส้มที่กลายเป็นหุ่นยนต์ขยับมากอดแขนของผมไว้ รอยด้ายที่ถูกปักให้เป็นโค้งคล้ายรอยยิ้มส่งมาที่ผมไม่ต่างจากคนที่กำลังอุ้มมันไว้

   "ไปกันเถอะน้าาา”

   “เด็กขาดความอบอุ่นรึไง”

   “ถ้าเป็นแล้วจะยอมไปด้วยไหมล่ะ?”

   "ไม่"

   บอกพลางขยับกระเป๋าให้เปิดไว้ตามเดิม ผมปล่อยให้เสียงงอแงของเจ้าของห้องลอยไปมาโดยไม่เก็บเข้ามาใส่ใจ ไม่น่าเอาเสื้อนอนเก็บไว้ข้างล่างๆ เลยแฮะ จะรื้อออกมาทีต้องหยิบตั้งแต่ตัวบนสุด

   "..."

   กระเป๋าถูกปิดลงอีกครั้งโดยฝีมือของเจ้าของห้อง ผมถอนหายใจออกมาดังๆ ให้เขารู้ตัวว่าการกระทำของเขามันน่ารำคาญแค่ไหน เปิดมันให้อ้าออกตามเดิมแล้วลงมือรื้อต่อไป

   และมันก็ถูกปิดลงอีก

   ถ้าเป็นตัวการ์ตูนคงมีเครื่องหมายโกรธขึ้นมาอยู่ตรงหน้า สูดลมหายใจเข้าออกยาวเหยียดหลายครั้งจนพอใจเพื่อไล่ความไม่พอใจออกไป ใจเย็นไว้น้องโรม มาอาศัยเขาอยู่เราต้องยอมทน

   ผมเปิด

   ที่หนึ่งปิด

   ผมเปิดใหม่

   ที่หนึ่งก็ปิดอีก

   โอ๊ย!

   "แค่ไปด้วยก็พอใช่ป่ะ!!"

   ตอนที่เขาบอกว่าจะไปซื้อของ ผมก็คิดว่าคงไม่พ้นตลาดที่เดิมหรือว่าห้างแถวมอ อะไรคือการที่พี่แกขึ้นทางด่วนแล้วมาจบลงตรงสยาม ช่วยบอกผมทีว่าซื้อของที่นี่กับแถวมอมันต่างกันตรงไหน

   “ทำไมต้องมาถึงนี่ที่ด้วย”

   ผมถามออกไปด้วยความไม่พอใจมากนัก คนที่มีความสุขกับโลกใบเล็กอย่างผมไม่ชอบคนเยอะ โดยเฉพาะตอนเย็นที่มีคนเดินขวักไขว่จนน่าเวียนหัวอย่างนี้

   “ก็มันใกล้สุด”

   “ตลกล่ะ ไขสบู่จากดาวอังคารรึไง”

   “ที่อื่นก็มีแหละ แต่ไกลกว่านี้อีก”

   ที่หนึ่งอธิบายพอให้เข้าใจ ผู้มีพระคุณที่กลายเป็นรูมเมทชั่วคราวของผมยื่นมือออกมาค้างไว้อย่างนั้นเหมือนกำลังขออะไรสักอย่าง ลำบากให้ผมต้องหมุนตัวสามร้อยหกสิบองศาดูว่าเขาต้องการอะไรจากผม

   “มึงไม่ได้ฝากอะไรไว้ที่กู”

   “ถ้าไม่อยากโดนตีปากก็ส่งมือมา” ขู่ ขู่ตลอด พอยอมหน่อยนี่ไม่ปล่อยให้มีจังหวะว่างเลย ที่หนึ่งทำหน้าดุใส่ผมพลางยื่นมือเข้ามาใกล้จนอีกนิดก็จะเป็นเขาเองที่จับมือผมไว้ "เดี๋ยวหลงทาง"

   “อย่ามาเนียน”

   แล้วอะไรคือการที่ผมด่าพร้อมส่งมือไปให้วะ

   คงคิดด้วยความรู้สึกของคนธรรมดามากไปหน่อยว่าของที่ว่าคือของใช้ในบ้าน ส่วนคนที่ไม่ค่อยปกติอย่างเขาเลยพาเราสองคนมาที่ร้านขายของดีไซน์เก๋ที่มีสีประจำร้านเป็นสีเหลือง ที่หนึ่งเดินลัดเลาะอย่างชำนาญไปตามทางคดเคี้ยวอย่างที่ถ้าไม่ได้เดินจับมือเขาไว้ผมต้องหลงอย่างไม่ต้องเดา

   จนเราสองคนมาหยุดอยู่ตรงแผนกผ้ายัดนุ่นหลากหลายแบบ และเขากำลังจ้องไปที่เจ้าสัตว์หลายชนิดที่ถูกปรับแต่งดีเอ็นเอให้แขนขายาวกว่าปกติ

   "อย่าบอกนะว่ามาซื้อตุ๊กตา?"

   "อ่าฮะ"

   "ที่หนึ่งงง" เรียกชื่อเขาเผื่อว่ามันช่วยให้มีสติขึ้นมาบ้าง นี่ต้องบ้าขนาดไหนกันถึงเดินทางจากมหาลัยเกือบชั่วโมงเพื่อมาซื้อตุ๊กตาตัวเดียว

   "ครับน้องโรม"

   "มึงบ้าป่ะ"

   ถ้ามีขั้นกว่าของคำว่าบ้าผมก็จะใช้คำนั้น พอดีว่านี่มันขั้นสุดแล้วผมเลยต้องยอมทนใช้ไป ไว้ขอเวลาไปลงเรียนวิชาภาคภาษาไทยหาข้อมูลเรื่องการใช้คำขั้นกว่าก่อน แล้วผมจะสร้างคำใหม่ไว้ใช้กับที่หนึ่งคนเดียว

   ลืมไปว่ามือที่เขาจับผมไว้มันแค่ข้างเดียว พอผมเผลอพูดเขาก็ยกมือขึ้นมาด้วยความเร็วสูง นี่จะไม่ตกใจเลยถ้าหน้าของตัวเองเด้งขึ้นอย่างที่ไม่ต้องใช้น้ำตบบ้าบอคอแตกอย่างที่นิชเคยซื้อมาไว้ให้ที่ห้อง

   "น้องโรมไม่ควรเรียกพี่ว่าบ้านะ"

   "ใช่ เพราะพี่ยิ่งกว่าบ้า"

   "พี่ปกติ"

   "มึงบ้า" พูดจบก็โดนไปอีกดอก

   "ตัวไหนดี"

   ผมชอบตุ๊กตาของร้านนี้ มันไม่เหมือนกับที่ขายทั่วไปตามตลาดนัดตรงความแน่นระดับสิบของนุ่นที่ยัดเป็นไส้ในตัว น้องหมีของผมเวลากอดแล้วมันจะพอดีแขนมาก อ้อนแบล็คให้ซื้อให้ตั้งนานมันก็บอกว่าไร้สาระ เปลืองเงินคุณพินิจ ก็ปากร้ายใจดีไปอย่างนั้นล่ะนะ พอวันเกิดผมปีนั้นน้องหมีก็มานอนยิ้มแฉ่งอยู่บนเตียง

   ตามองตามสินค้าที่แขวนเรียงกันไปตามขนาดใหญ่เล็ก มันก็แล้วแต่สไตล์คนว่าชอบแบบไหนด้วย มีทั้งแบบสีล้วน ลายทางแล้วก็แบบจุดโพก้าดอท อย่างน้องส้มของผมเป็นแบบมีลายจุดสีขาวแซม

   "ชอบแบบไหนล่ะ"

   มันมีตั้งแต่ขนาดสูงเกือบเท่าตัวผมจนถึงตัวเล็กกระจิดริด ที่สะดุดตามากที่สุดคงเป็นไซส์ใหญ่ที่อยู่ริมสุด ผมมือบอนคว้าเจ้าตัวไร้หูสีม่วงอ่อนขนาดใหญ่สุดมากอดไว้รออีกคนทำหน้าเคร่งเครียดกับสินค้าจำนวนมากตรงหน้า อืม เจ้าตัวนี้กอดแล้วเต็มมือมากกว่าน้องส้มที่ห้องอีกแฮะ ตอนนั้นน่าจะโลภมากกว่านี้หน่อยจะได้ตัวบิ๊กสุด

   ที่หนึ่งตัวใหญ่กว่าผมเยอะอยู่ ถ้าเอาขนาดเท่าน้องส้มมันอาจจะเล็กไปหน่อย

   "อยากได้สีเขียว แต่สีเขียวมีแค่ตัวเล็ก"

   "งั้นก็เอาตัวเล็ก"

   "แต่มันกอดแล้วไม่พอดีเหมือนหมีส้ม"

   "ก็เอาตัวกลาง"

   "หรือตัวใหญ่ดี"

   "..."

   "แต่ว่าตัวที่น้องโรมถือก็ชอบ"

   "เหมาเลยป่ะ??"

***
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 17-01-2016 23:52:37
   ที่หนึ่งผู้เปิดโหมดสาวน้อยจอมมากเรื่องเล่นเอาผมสติขาดผึง ตั้งแต่สงครามประสาทกับกระเป๋าเดินทางของผมแล้วยังมาเรื่องนี้อีก แค่ซื้อตุ๊กตาตัวเดียวนี่มันยากอะไรขนาดนั้นบอกผมมาที

   "ถ้าเหมาคิดว่าแม่ต้องไล่ออกนอกบ้านแหง"

   ยังคิดว่าผมพูดจริงอยู่สินะ "นี่ประชด"

   "ฮ่าๆ งั้นเหรอ"

   "เลือกไปเถอะ"

   “ตัวนั้นดีไหม?"

   เขาชี้ไปที่ตัวใหญ่สีฟ้าเข้มสลับครีม มีหูยาวคล้ายหูกระต่าย

   สีฟ้า

   ผมไม่มีสีที่ชอบหรือเกลียด แต่ถ้าถามว่าสีที่อยากเกลียดแต่ทำไม่ลงคือสีอะไร ผมจะตอบว่าสีท้องฟ้าไปอย่างไม่ลังเล

   "ไม่เอา"

   "ไม่น่ารักเหรอ"

   "ไม่ชอบ"

   "ฮะฮะ โอเคครับ"

   เพียงแค่ผมบอกว่าไม่ชอบเขาก็ลบมันออกจากตัวเลือกทันที การตัดสินใจเสี้ยววินาทีของเขามันรวดเร็วจนผมเป็นฝ่ายถามกลับไปด้วยความสงสัย

   "ไม่คิดจะถามหน่อยเหรอว่าทำไมไม่ชอบ"

   ผมยังคงกอดตัวประหลาดสีม่วงไว้อยู่อย่างเดิม มันนุ่มนิ่มจนผมไม่อยากจะปล่อยไปเลยแฮะ

   "ไม่ล่ะ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ" เขายักไหล่ขึ้น "...ก็เหมือนกับชอบ ที่ชอบก็คือชอบ"

   เบ้ปากใส่ประโยคสุดเลี่ยน ความไม่ยุติธรรมอย่างหนึ่งของโลกใบนี้คือเขามียีนความแสนดีมากเกินไป ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูไม่น่าเกลียดไปเสียหมด

   "สรุปเลือกได้ยัง ไม่ได้จะกลับแล้วนะ"

   "น้องโรมช่วยเลือกหน่อยสิ" เขาดันตัวผมให้ไปยืนแทนที่เพื่อจะได้มองสินค้าทั้งหมดได้ชัด

   ของหลากหลายแบบเรียงรายจนน่าปวดหัว ผมไม่รู้ว่าที่หนึ่งชอบแบบไหนมากกว่าเลยไม่กล้าที่จะเลือก คือปกติแล้วถ้าจะเลือกของอะไรสักอย่างมันต้องเลือกจากความชอบของตัวเองไม่ใช่หรือไง แล้วเขามาให้ผมเลือกอย่างนี้มันจะถูกใจเขาได้ยังไงกัน?

   "เลือกเองดิ ไม่อยากมาฟังคนแก่บ่น"

   "ก็พี่ชอบหมดเลย"

   "เหมา"

   "ไม่ได้ เดี๋ยวน้องโรมไม่มีคนเลี้ยงนะ"

   "กูมีพี่เยอะ ไม่มีงานทำเดี๋ยวเกาะพี่กินก็ยังได้"

   ที่หนึ่งยกมือขึ้นมาทำเป็นรูปกากบาท "ไม่ให้ จะเลี้ยงเอง"

   "งั้นเอาตัวนี้" ผมชี้มาที่เจ้าตัวประหลาดสีม่วงที่ตัวเองกำลังกอดอยู่ "จบ ไปจ่ายเงินกัน"

   เขาไม่คัดค้านคำเสนอของผมเลยแม้สักนิดเดียว คนอยากได้ตุ๊กตาพยักหน้าตกลง ยื่นมือออกมาให้ไม่ต่างจากตอนที่ลงจากรถ ที่หนึ่งชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กน้อยที่พร้อมจะหลงทางตลอดเวลา ถ้าไม่จับมือไว้ก็ต้องคอยเดินตามเพื่อให้แน่ใจว่าผมจะไม่หลงทิศ

   "หนึ่ง" ผมยังไม่ยื่นมือกลับไปให้เขาจับ

   "อยากได้อะไรเพิ่มรึเปล่า?"

   "เปล่า"

   "มีอะไรรึเปล่าครับ"

   "...ทำไมถึงไม่เลือกเองล่ะ"

   ถ้าอยากได้คำตอบ ไม่มีทางไหนดีกว่าถามมันออกไป

   ผมไม่เข้าใจเขาเลย ไม่เข้าใจจริงๆ นะ ตามปกติแล้วคนเราควรมีความชอบหรือการเลือกของตัวเองไม่ใช่หรือไง หลังจากถามก็รอเขาตอบ ที่หนึ่งดูนิ่งไปวูบหนึ่งแล้วถึงฉีกยิ้มสดใส

   “เพราะมันเป็นของที่โรมเลือกไง” การคิดของเขาไม่เคยมีคราวไหนที่ซับซ้อน ทุกอยากมันจบลงด้วยตัวของมันเอง "ไม่มีใครสมหวังในสิ่งที่ตัวเองต้องการตลอดไปหรอกนะน้องโรม"

   เพราะบางครั้งสิ่งที่เราชอบจริงมันอาจจะไม่ได้มีอยู่ในขณะนั้น

   สุดท้ายเราถึงก็ต้องเลือกอะไรที่มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไม่ใช่ที่ชอบที่สุด


 
   ร้านอาหารทางซ้ายแห่งที่สี่คือจุดสุดท้ายที่เรามาถึง ผมกับที่หนึ่งกำลังนั่งอยู่คนละฝั่งของโต๊ะอาหารแบบญี่ปุ่นเข้ากับประเภทของร้าน หยิบเจ้าตัวประหลาดสีม่วงออกจากถุงใบใหญ่มากอดไว้อย่างนั้น นี่ผมเหมือนผู้ชายที่กำลังแอบมีกิ๊กเลยอะ ถึงน้องส้มจะน่ารักมากแค่ไหนแต่มันก็ไม่น่ากอดเท่าตัวนี้

   "น้องโรม สั่งอาหารก่อน"

   "สั่งไปเลย ปลาอะไรก็ได้"

   ปากคุยกับคนส่วนมือกำลังลองของเล่นใหม่ ผมพันแขนที่ยาวจนน่าจะกอดผมไว้ได้รอบให้เป็นปมเหมือนกำลังกอดอกอยู่ ถ้ามันมีหูเล็กก็เป็นหมี หูยาวเป็นกระต่าย แต่มันไม่มีหูแล้วควรเป็นตัวอะไรกัน

   ได้ยินว่าเขาสั่งปลาหิมะให้ มีของทานเล่นอีกหน่อย แล้วก็สั่งซาชิมิมาเสริมด้วย

   “ตั้งชื่อเร็ว” ย้ายเจ้าตัวประหลาดที่ผมยังระบุประเภทไม่ได้มากอดไว้แนบอก มองหน้าเจ้าของที่แท้จริงที่กำลังเอาตะเกียบไม้มาจิ้มๆ ตรงหน้าของตุ๊กตา

   “มาถามคนที่ตั้งชื่อหมีตัวเองว่าหมีส้มเนี่ยนะ"

   สิ้นคิดไหมล่ะชื่อหมีของผม กระชับตุ๊กตาที่ไม่ใช่ของตัวเองให้แน่นกว่าเดิม ผมติดนิสัยชอบกอดตุ๊กตามากกว่าหมอนข้างมาตั้งแต่เด็ก ก็จากพวกพี่ๆ ที่ประเคนมาให้นั่นแหละ เมื่อก่อนบนเตียงของผมแบ่งพื้นที่ให้ตัวตุ๊กตาอยู่สามส่วนสี่ ที่เหลือถึงเป็นที่นอนของผม

   “ใช่" กลับมาอีกครั้งกับการยิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์

   "ทำไมไม่ตั้งเอง"

   "อยากให้น้องโรมตั้งให้"

   "เจ้าม่วง"

   นั่น พอตั้งให้ก็ทำหน้ารับไม่ได้

   “อย่างกับมะเขือม่วง”

   “งั้นชื่อไวโอเล็ต”

   “มันต่างกับเจ้าม่วงตรงไหน”

   “เป็นภาษาอังกฤษ”

   “งั้น...” ชื่อจากผมคงไม่ถูกใจ เขาลากท้ายเสียงยาว ผมเลยเลิกคิ้วให้เป็นเชิงว่าพูดๆ มาสักที "ชื่อไอ"

   “ไอ?”

   "เพราะที่หนึ่งแบบโรมันคือตัวไอ (I) ไง"

   “...”

   ไปต่อไม่ถูกเลยครับกู

   ที่หนึ่ง 'เคย' เป็นผู้ชายที่ปกติในความคิดของผม แค่เคยจริงๆ

   “ชื่อม่วงดีแล้ว” ความครีเอตของชื่อที่เขาตั้งขึ้นมาบอกผมให้รีบเปลี่ยน อีกฝั่งบนโต๊ะอาหารส่ายหัวไปมาแล้วยืนยันคำตอบเดิม

   "ชื่อไอแหละ"

   "ไหนบอกให้กูตั้ง?"

   "เปลี่ยนใจได้ไหมล่ะ"

   "ห้าม!"

   แยกเขี้ยวกลับใส่ ผมยกแขนยาวๆ ของตัวประหลาดปัดป้องอาวุธของอีกฝ่ายสุดกำลังจนกลายเป็นเรากำลังต่อสู้กันอยู่

   เสียงเคาะกระจกเป็นระฆังหมดยก ทั้งผมและเขาหันไปทางเงาสีดำที่อยู่อีกฝั่งของแผ่นแก้วสีใส ความสูงเกือบสองเมตรอย่างที่ต่อให้อยู่กลางคนเป็นแสนก็ยังไงหาเจอ หน้าคุ้นเคยกับรอยแผลเป็นบริเวณหางคิ้วไม่ต่างจากเดิม ผมจำชื่อเขาไม่ได้รู้เพียงแค่เป็นกัปตันทีมบาสตอนที่เราอยู่มอปลาย สมัยที่แบล็คยังอยู่ในทีมแข่งก่อนที่จะโดนลากกลับไปอย่างที่เคยบอกแล้ว อยู่เป็นคนที่เฮี้ยบไม่น้อยตามที่เคยไปดูอยู่หลายครั้ง เห็นสารรูปของเพื่อนหลังการฝึกแล้วสงสารสุด

   เขาเดินเข้ามาในร้านและทักทายเราสองคน "ว่าไงเพื่อนทรยศ"

   “ผ่านมากี่ปีแล้วยังด่ากูอีก”

   "จะด่า ทุกวันนี้กูยังโกรธไม่หายที่มึงหนีไปเรียนที่อื่นไม่บอกพวกกู"

   "มึงไม่รู้หรอกคืนนั้นกูโดนถล่มขนาดไหน"

   เขาคงคุยกันอีกนาน ผมเลยขยับเจ้าม่วงไปข้างในสุดตามด้วยตัวเองเพื่อให้บุคคลที่สามนั่งด้วยได้

   “กูนี่ไงคนที่นำถล่ม แม่งงง ไม่บอกเพื่อนสักคำ กูต้องมาเหนื่อยหาเพื่อนใหม่อีก”

   “ก็พามึงไปเลี้ยงโออิชิแกรนด์แล้วไง ให้กูเลี้ยงมื้อนี้ด้วยเลยไหมล่ะ”

   “เอา”

   “เพื่อนรักจริงๆ”

   “ฮ่าๆ กูล้อเล่น นี่ตั้งแต่เปิดเทอมไม่โผล่หัวไปทักทายเพื่อนฝูงบ้างรึไง”

   “งานกูเพียบ นี่เพิ่งจบงานเดือนคณะมา ขอพักหน่อยเถอะว่ะ” ที่หนึ่งโคลงหัวไปมา “น้องโรมกินให้หมดนะ”

  ยังไม่วายหันมาสั่งอีก ผมมองอาหารญี่ปุ่นแบบเซตตรงหน้าตัวเองที่มาพร้อมกับปลาดิบสีส้มจานใหญ่ ส่งสัญญาณเอสโอเอสว่าผมไม่มีทางยัดทุกอย่างนี้ลงท้องหมดได้แหง

   "นี่เพื่อนแบล็คป่ะ" เพื่อนแบล็คที่ว่าคงมีแต่ผมคนเดียว กัปตันบาสหันมายิ้มทักให้พลางถามต่อ “เหมือนเดิมเลยเนอะ”
แอบประทับใจเล็กน้อยที่คนไร้ตัวตนอย่างผมก็มีคนจำได้เหมือนกัน

   “จำได้?”

   "จำได้ดิ มานั่งอยู่ริมห้องบ่อยๆ ตรงที่มึงชอบไปพักไงที่หนึ่ง"

   สนามบาสตอนนั้นอยู่บนชั้นสองของโรงยิม ผมชอบไปนั่งรอพี่ชายอยู่ตรงมุมห้องด้านหนึ่งที่ใกล้กับประตูทางออก หนึ่งคือมันปลอดภัยจากทิศทางของลูกสีส้มที่เคยกระแทกหน้าผมมาแล้ว สองคือมันใกล้กับพัดลมไอน้ำ เปรียบเหมือนแหล่งโอเอซิสของยิมสุดอับ

   ขอวาร์ปกลับไปประโยคเมื่อกี้แป๊บ ...ตรงที่เขาชอบไปพักเหรอ

   หันไปขอคำอธิบายจากอดีตนักกีฬาบาสดีเด่นของโรงเรียน ผมไม่เคยสังเกตว่าสิ่งแวดล้อมรอบข้างมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว สนใจแต่ว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาเลิกซ้อมผมจะได้กลับบ้านเสียที พี่ชายเขาไม่เคยปล่อยผมกลับบ้านเองจนอายุยี่สิบหรือเมื่อปีก่อน คนเรียนกฎหมายอ้างเรื่องความเป็นผู้เยาว์อะไรสักอย่างว่าผมยังต้องอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ

   เก่งไหมล่ะ มันท่องให้ฟังจนขึ้นใจเลย

   ที่หนึ่งยังคงยิ้มให้ผม เขาขยับปากแบบไม่มีเสียงจับใจความไม่ได้ และพอผมทำหน้าไม่เข้าใจในการสื่อสาร พ่อเดือนคณะก็เปลี่ยนเป็นยกนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมาชี้ที่ตาตัวเองแล้วส่งมาทางผม คล้ายจะบอกว่าเขาคอยมองผมอยู่ตลอดเวลา

   “แล้วมอมึงเริ่มซ้อมยังวะ งานเดือนหน้าอะ”

   นั่งฟังเขาคุยกันไปเงียบๆ คิดว่าเป็นดนตรีประกอบมื้อเย็นเพื่อให้เจริญอาหารมากขึ้น นอกจากอาหารหลายอย่างของตัวเองแล้วยังมีของกินเล่นที่ถูกส่งมาให้อยู่ในขอบเขตการกินของผม ที่หนึ่งสั่งเป็นชุดเบนโตะที่ยังไม่ได้แตะเนื่องจากยังคงคุยกับเพื่อนเก่าอยู่ คงเป็นเพื่อนสนิทอยู่พอควรเขาเลยถามไถ่กันไม่จบสิ้น

   "เห็นคุยๆ กันแล้ว แต่ติดตรงชมรมบาสคณะไม่รู้จะเอายังไง"

   "ลงการ์ดแบบเดิมป่ะ หรือโยกไปเล่นเซนเตอร์"

   "กูมันฟรีแลนซ์ ว่างตรงไหนค่อยเสียบ"

   "ไอ้เหี้ย กูล่ะเกลียดความมั่นหน้าของมึง"

   "กูพูดอะไรผิด?"

   "มึงแม่งขี้โกงเชี่ยหนึ่ง โกงตั้งแต่ชื่อ"

   เขาดูต่างออกไปจากเวลาที่อยู่กับผม เฮฮาเล่นหัวกันอย่างไม่ถือสา ผมฟังเข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้างจนผู้มาใหม่ขอตัวลา

   "กูไปล่ะ ฝากบอกแบล็คหน่อยถ้าวันแข่งว่างเดี๋ยวจะไปหา"

   คนที่ออกกำลังกายอาจมีเหตุผลแตกต่างกันไป เป็นเรื่องที่น่าแปลกถ้าลองกลับไปศึกษาประวัติของนักกีฬาระดับโลกหลายคนจะพบว่าเหตุผลของการเริ่มเล่นมันมาจากเรื่องปัญหาสุขภาพ ไม่ต่างจากพี่ชายของผมที่ต้องเล่นกีฬาเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายของตัวเองมากกว่าเป็นเรื่องของการเล่นกีฬาตามสมัยนิยม

   ทำมือเป็นเครื่องหมายโอเคก่อนจึงตามด้วยการโบกมือลา ท่องบอกตัวเองไว้ว่าอย่าลืมเอาข้อความไปส่งให้ผู้รับด้วย

   "น้องโรม เก็บไอไว้ดีๆ สิ"

   เจ้าม่วง (ผมกระดากปากมากเกินกว่าที่จะเรียกว่าไอ) ยังคงถูกผมยึดไว้อย่างเดิมตอนที่เราเดินออกจากร้านด้วยกัน หมายถึงผมยังกอดไว้อย่างเดิมไม่เก็บมันไว้ในถุงอะนะ

   "ไม่เอา จะถืออย่างนี้"

   ถ้าคุณเจอผู้ชายอายุยี่สิบที่กำลังยืนกอดตุ๊กตาตัวใหญ่เกือบเท่าตัวเองกับผู้ชายหน้าตาดีอยู่แถวสยามวันนี้ นั่นผมเองแหละครับ

   "เดี๋ยวขึ้นรถก่อนค่อยเล่นต่อ"

   "อายรึไง?"

   "เปล่า"

   "งั้นจะถือ"

   "ไม่เอา"

   “ดื้ออะไรเนี่ย”

   เขาทำหน้ามุ่ย มองสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาอย่างกับจะเผาให้เป็นจุล ตื่นไหมที่หนึ่ง มึงเป็นคนซื้อมาเองเมื่อไม่ถึงสองชั่วโมงที่แล้วเองนะ

   "ก็มือน้องโรมกอดไอไว้หมด แล้วหนึ่งจะจับมือได้ยังไง?"

   "..."

   ผมว่าตอนนี้ตัวเองอิ่มมากเลยล่ะ ไม่ได้อิ่มอาหารนะ อยู่กับเขาแล้วผมได้แดกจุดวันละหลายๆ รอบ

   “เก็บไว้ก่อนนะครับ” ทำหน้าอ้อนอย่างกับเป็นหมาหงอย ตาวิบวับจนผมอยากจะเอาแว่นกันแดดมาใส่ป้องกันแสง

   "ไม่อะ"

   "นะ น้าาา"

   "จับนี่ไว้ เคป่ะ" ยกแขนสีม่วงข้างหนึ่งไปให้เขาด้วยความรำคาญเสียงง๊องแง๊งเต็มที

   "ไม่เอาาา"

   "โอกาสสุดท้าย"

   ทำหน้าจริงจังเป็นของแถม ผมเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว ถ้าผมเสนอไปนั่นคือจุดสูงสุดของการต่อรองอย่าหวังว่าจะมาขอเพิ่มเติมให้สูงกว่านั้นได้ 

   "..."

   "หนึ่ง"

   "เฮ้อ ก็ได้ๆ"

   สุดท้ายเขาก็ยอมจับแขนน้องม่วงไว้ตามที่ผมสั่ง เดินพร้อมกันไปทางที่จอดรถ ไม่สนใจว่าจะมีสายตากี่ร้อยคู่มองมาที่เรา ก่อนจะถึงทางออกมากระจกบานใหญ่ติดไว้อยู่ทางซ้ายมือ มันสะท้อนภาพเสมือนของผมที่กำลังกอดตุ๊กตาตัวใหญ่ไม่ยอมห่างโดยมีผู้ชายแสนดีอีกคนจับมือข้างหนึ่งของเจ้าตัวสีม่วงไว้เหมือนกับเขาเป็นพี่เลี้ยงเด็กของผม แม้เพียงไม่กี่วินาทีที่ผมเดินผ่านภาพนั้นก็ยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำไม่ต่างกับกดปุ่มถ่ายเอาไว้

   มันเป็นภาพที่ตลก และตามปกติแล้วมันควรจะดูเป็นเรื่องประหลาดที่ผู้ชายสองคนมาทำอะไรอย่างนี้ในห้างใหญ่ใจกลางเมือง

   ...ถึงอย่างนั้นเงาสะท้อนของตัวเองกลับเต็มไปด้วยความสุขอย่างที่ไม่เป็นมาก่อน


***
   สวัสดีค่ะ เพิ่งลงเครื่องเมื่อวันศุกร์เลยปั่นให้ทันไม่ได้จริงๆ ค่ะ (ร้องไห้) เป็นตอนที่เพิ่มความสกิลการเล่นมือถือบนพาหนะได้มากเลย เพราะเกือบทั้งตอนนี้เจ้าพิมพ์ใส่เวิร์ดในมือถือบนเครื่องยนต์ห้าชนิดตลอดการเที่ยวค่ะ (ฮา)
   คุยกันได้ที่ #ที่หนึ่ง นะคะ จะตามไปรีให้ครบเน้อ
   จะพยายามปั่นให้ทันวันศุกร์เหมือนเดิมค่ะ (ยิ้ม)
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 18-01-2016 00:13:02
ตอนนี้ดูมุ้งมิ้งมากขึ้น แต่ก็ดูงงๆกับตัวละครหลายตัวอยู่ดูจะมีความลับกันเยอะมากเลย  :hao4:

ปล.อยากอ่าน สิปป์-นิช จังเลยค่ะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Khan_htt ที่ 18-01-2016 00:19:18
ที่หนึ่งน่ารักกกกกก เอาใจช่วยให้น้องโรมเป็นแฟนให้ได้
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-01-2016 00:22:04
ความสุข เห็นได้อย่างชัดเจนเลย
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 18-01-2016 08:34:15
ชอบแบล็คจังเลย  :กอด1:
ที่หนึ่ง ดูธรรมดาที่สุดในเรื่องสำหรับเราแล้วนะเนี่ย 555
ชอบวิธีจัดการน้องโรมที่พูดไม่เพราะของที่หนึ่งมาก
ดีแล้ว น้องโรมนี่ก็ดื้อจริง พูดเพราะ ๆ น่ารักออกนะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 19-01-2016 17:59:08

คือปมแต่ละคนมันเยอะจนพระเอกที่โคตรเพอร์เฟคในบทนำกลายเป็นตัวประกอบไปเลยอ่ะ *หัวเราะแบบไร้เสียง*
สีฟ้าของท้องฟ้าเกี่ยวอะไรกับอดีตของน้องโรมกันแน่? คนๆนั้นของน้องโรมโผล่ออกมาในเรื่องรึยังนะ? หรือจะเป็นเวลอีก?
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 20-01-2016 12:51:26


ไม่ว่าจะอ่านกี่ที ป้าก็ยังสงสารที่หนึ่งเหมือนเดิม
ความเป็น 'ที่หนึ่ง' ของพ่อ ดูจะใช้ไม่ได้กับเหล่าพี่น้องกลุ่มนี้เลยให้ตาย
ต่อให้ต้นทุนดีสักเท่าไร... มาเจออีพ่อ อีพี่พวกนี้เข้าไป... วกวนจนอีป้าแอบท้อแท้ไปบ้างเหมือนกัน
หรือเอางี้ไหมที่หนึ่ง ป้าว่า ไหน ๆ น้องโรมก็มาอยู่ในห้องปิดตายกับพ่อด้วยความสมัครใจของเจ้าตัวแล้ว
พ่อรวบหัวรวบหางน้องโรมแล้วมอมเมาน้องด้วยเรื่องอย่างว่าให้น้องติดพ่อไปเลย ป้าจะได้สมใจเสียที (เดี๋ยว! อีป้า!! มโนได้ทรามมาก!!)

อย่างไรก็ดี ขอคุณคนเขียนอย่าถือสาความต้องการของป้าเลยนะคะ
้ถ้าเป็นไปได้ เอาสิปป์นิชกลับมาคั่นเวลาความอึนของเหล่าองครักษ์พิทักษ์น้องโรมหน่อยได้ไหม... อ่านแล้วมันกระชุ่มกระชวยหัวใจดีจั้งงง!!

เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^ ^  :L2:


หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 20-01-2016 23:24:07
ที่หนึ่งอ้อนน้องโรมน่ารักมาก  :-[ แต่ท่าทางที่หนึ่งจะแพ้น้องม่วงเอ๊ยน้องไอนะคะ
ชอบพี่ชายอย่างแบล็คจังค่ะ บุคคลิกดูดาร์กๆเทาๆดี แบบคาดเดาไม่ได้ แล้วก็หวงน้องแบบแปลกๆดี 5555
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.1 [22.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 22-01-2016 22:47:54
บทที่ 14.1
 
   ก. เสียงลูกบาสกระทบกับแป้น

   ข. เสียงรองเท้ากีฬาเสียดสีกับพื้นไม้

   ค. เสียงเรียกรับส่งบอลกันเป็นจังหวะ

   ง. เสียงเพลงจากเกมส์แคนดี้ครัช

   ข้อใดไม่เข้าพวก

   ...

   มันก็ต้องข้อ ง. อยู่แล้วป่ะวะ

   ผมละสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยม มองกลุ่มคนบนสนามบาสวิ่งสลับกันไปมาอย่างไม่มีหยุดพัก คล้ายว่าเคยผ่านเหตุการณ์นี้มาแล้วเมื่อไม่กี่ปีก่อน ต่างกันแค่คนที่ผมต้องมานั่งรอคราวนี้ไม่ใช่พี่ชายสีดำเท่านั้น

   ถ้าคิดว่าผมเต็มใจมานั่งอยู่อย่างนี้บอกเลยว่าผิดถนัด ด้วยตำแหน่งผู้ขอมาอยู่อาศัยพักพิงแล้วผมไม่มีกุญแจห้องหรือคีย์การ์ด (ซึ่งผมจำได้ว่าห้องผมมีสองชุด แต่เขาบอกว่าห้องเขามีแค่ชุดเดียว) เลยไม่สามารถกลับห้องได้ตามใจอีกต่อไป อีกอย่างคือพ่อบวกพี่บวกรูมเมทไม่ยอมให้ผมกลับเองโดยเด็ดขาด ทำอย่างกับกลัวว่าผมจะโดนดักฉุดระหว่างทางไปได้ ตอนนี้เลยแทบจะกลายเป็นเจอหน้าเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวันอยู่แล้ว

   พ่อรูมเมทชั่วคราวของผมเตรียมชู้ตสามแต้มหลังจากเพื่อนในทีมพาสบอลมาให้ เขามองตรงไปยังแป้นสีขาวและปล่อยมันออกไปอย่างไม่ลังเล ลูกสีส้มโค้งตามแรงส่งก่อนที่จะผ่านห่วงเหล็กไปอย่างสวยงาม ไม่เสียแรงที่เป็นนักกีฬาเก่า ตอนนั้นโรงเรียนของผมเคยได้แชมป์จังหวัดเลยมั้ง

   เขาแทคมือกับเพื่อนร่วมทีมในขณะที่วิ่งกลับไปอยู่ตำแหน่งดีเฟนส์ ยกมือขึ้นเตรียมป้องกันเต็มที่ นี่เป็นวันที่ห้าแล้วที่ผมต้องมานั่งดูเขาซ้อมจนดึกอื่นอย่างนี้ มันก็ไม่ได้แย่อะไรมากอย่างที่ผมคิดไว้เมื่อปลอบใจตัวเองว่าถึงกลับห้องไปมันก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี


   NETTLE : มึงอยู่ไหน?


   หน้าจอแปรจากสีดำเป็นการแจ้งเตือน ชื่อของคนที่ทักไลน์ผมมาปรับสวิตช์อารมณ์ดีที่มีตลอดวันให้กลายเป็นติดลบได้อย่างง่ายดาย

   ถ้ามันเป็นผู้หญิงผมคงคิดว่าเน็ทกำลังอยู่ในช่วงมีประจำเดือนหรือไม่ก็ท้องอยู่ เขาเข้าโหมดอาร์ตตัวพ่อแบบสุดๆ ที่สุดของคำว่างี่เง่า ถ้าไม่โทรก็ต้องไลน์มาถามว่าอยู่ไหน ทำอะไร จะกลับห้องกี่โมง โทษแบล็คคนเดียวเลยที่หลุดปากไปบอกเน็ทว่าตอนนี้ผมย้ายมาอยู่ห้องที่หนึ่ง จากที่เราทะเลาะกันหนักอยู่แล้วมันก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ถ้ามันเอาบาซูก้ามาถล่มห้องได้เชื่อเถอะว่าจอมหวงก็จะทำ


   NETTLE : อ่านแล้วก็ตอบ
   NETTLE : อย่าให้กูโมโห



   ไม่เห็นเขาพิมพ์ได้เร็วอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมรออีกพักหนึ่งให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ส่งข้อความอะไรมาเพิ่มเติมแล้วจึงกดพักหน้าจอ ปิดเสียงการแจ้งเตือนทั้งหมด คว่ำโทรศัพท์ลงจะไม่ต้องรับรู้อะไรอีก

   เมื่อไม่สามารถเล่นเกมส์ในมือถือได้แล้วผมเลยเหลือทางเลือกสุดท้ายทางเดียวคือมองเหล่านักกีฬาซ้อม งานบาสประเพณีเป็นงานใหญ่ประจำคณะของผมอยู่เหมือนกัน และการแข่งกีฬานี้เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของงานเลยทีเดียว การฝึกถึงเต็มไปด้วยความเข้มข้นขนาดนี้

   เหม่อไปมาอีกพักหนึ่งนักกีฬาก็เข้าสู่ช่วงคลายกล้ามเนื้อ ผมเก็บข้าวของรวมถึงขยะให้เรียบร้อย เดินลงมาจากที่นั่งสูงเพื่อรอเขาบริเวณทางออก ที่หนึ่งกวาดสัมภาระของตัวเองเร็วๆ แล้วก้าวมาทางผมทันทีที่ได้รับการปล่อยตัวไม่ต่างจากทุกวัน ตามร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อจากการซ้อมแบบไม่หยุดพัก

   "บอกให้ไปรอที่ห้องสมุดก็ไม่ไป"

   "กูยอมอยู่ในที่อับๆ มากกว่าไปเป็นโรมแช่แข็ง"

   ห้องสมุดมหาวิทยาลัยผมไม่ควรได้ชื่อว่าเป็นห้องสมุด มันควรเป็นห้องจำลองขั้วโลกเหนือมากกว่า ผมบอกขณะขวานหาของที่ต้องการในกระเป๋าเป้ โยนผ้าขนาดกำลังดีไปให้เขาจัดการตัวเองให้เรียบร้อย

   "โรงยิมร้อนจะตายไป"

   "อีกที่ก็หนาวฉิบหาย"

   ช่วงชิงจังหวะที่มือขวาของเขาถือผ้าเช็ดผมและมือซ้ายหิ้วรองเท้าบาสจนไม่สามารถทำโทษผมได้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เขาถลึงตาใส่แบบที่ผมทำล้อเลียนกลับไป

   "อย่าฉวยโอกาสอย่างนี้สิน้องโรม"

   "กูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ"

   "พูดเพราะๆ สิ"

   "อย่ามาจิตใส่ได้ป่ะมึง"

   กลายเป็นกระจกที่สะท้อนท่าทางของอีกฝ่าย นักบาสคณะมองผมเลียนแบบท่าทางของเขาแล้วส่ายหัวไปมาคล้ายยอมแพ้ เดินนำผมไปยังรถของตัวเองที่จอดห่างจากตัวตึกไม่ไกลนัก

   "แล้วจะกินอะไรดี" บอกแล้วว่าเขาเป็นพ่อ เรื่องปากท้องไม่เคยขาดตกบกพร่อง

   "ข้าวต้มก็ได้ ขี้เกียจกินอะไรเยอะแยะ"

   "ครับผม"

   รถเคลื่อนตัวออกแล้ว ผมหันไปดึงสายนิรภัยให้ยืดออกพร้อมทำหน้าที่ปกป้องให้ปลอดภัย ปกติแล้วผมจะรัดเข็ดขัดให้เรียบร้อยก่อนจะออกรถ พอดีคราวนี้ไปวุ่นวายกับการจัดอุปกรณ์ล้านแปดในการเล่นกีฬาของอีกคนเลยต้องมาควานหาช่องรับในความมืด แสงที่แทบไม่มียิ่งเพิ่มระดับความยากในการตามหาเข้าไปใหญ่

   ยังไม่ทันไรเขาก็เหยียบเบรคจนหน้าเกือบคะมำ

   "เหวอออ!" ผมร้องเสียงหลง หันไปทางคนขับที่ยังคงจับจ้องอยู่แต่ถนนด้านหน้าของตน

   "น้องโรม..."

   เสียงของที่หนึ่งบางเบาจนน่าใจหาย เขาเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาอีกแต่ก็ปิดปากเสียสนิท

   รีบเบนสายตาไปยังทางที่เขากำลังมอง ไฟหน้ารถสาดกระจายจนเห็นชัดว่าใครบางคนกำลังยืนขวางกลางถนนอยู่ ชายผิวขาวกับใบหน้านิ่งเรียบอย่างที่ไม่เคนเป็นมาก่อน และเป็นผมเองที่ใจหล่นวูบ

   จะมีใครใจกล้าบ้าบิ่นได้เท่าเน็ทอีกล่ะ

   มันเป็นความเงียบที่น่าอึดอัด หนึ่งในพี่ชายของผมยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ไหวติง ไม่ต่างกับผมที่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ผมรู้ว่าตัวเองกำลังมีชนักติดหลังอยู่ เชื่อเถอะว่าต่อให้ที่หนึ่งเร่งเครื่องยนต์เป็นการขู่แค่ไหนเขาก็ไม่มีทางขยับตัวหลบอย่างแน่นอน

   "ลงไปคุยไหม?"

   “ไม่เอา เน็ทมันไม่ฟังกูหรอก”

   "น้องโรม ไม่ทำอย่างนี้สิ"

   ที่หนึ่งรู้ว่าผมกับเน็ททะเลาะกัน มันมีครั้งหนึ่งที่เน็ทโทรมาตอนที่เราสองคนอยู่ในห้อง แล้วความหวงไร้สาระของเน็ทมันก็ลดระดับความอดทนลงของผมลงจนควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ บอกเลยว่าตัวเองไม่เคยขึ้นเสียงใส่พี่อย่างนั้นมาก่อน

   "กูจะทำ"

   "โรมครับ"

   "ทำอย่างกับมึงไม่รู้ฤทธิ์เดชมันไปได้"

   "รู้ แต่นั่นพี่โรมไม่ใช่รึไง"

   คำเขาเหมือนกับเข้าข้างอีกฝ่าย มันเลยทำให้ผมกระแทกเสียงขุ่น "ไม่มีใครเข้าข้างโรมเลย!"

   "...มองพี่" เขาประคองหน้าของผมให้มองตากลับ แม้ใบหน้ามีรอยล้าจากการซ้อมแต่นัยน์ตาของเขากลับยังคงวาววับ "พี่เข้าข้างโรมอยู่แล้ว แต่เราต้องใช้เหตุผลด้วยสิ ถ้ารู้ฤทธิ์ดีก็ต้องรู้ว่าเน็ทรักโรมมากแค่ไหน ไปคุยกันดีๆ ใจเย็นๆ พี่เชื่อว่าเน็ทจะเข้าใจ"

   "แต่..."

   "ไม่ไหวก็แค่เดินกลับมา พี่หนึ่งจะรีบพาออกไปเอง"

   คำหว่านล้อมของเขามีอิทธิพลต่อความคิดของผมไม่น้อย จนสุดท้ายผมเองก็ยอมเดินลงไปเผชิญหน้ากับเขา

   "มึงอย่ามากวนตีนกูนะน้องโรม"

   "กูทำอะไร?"

   "ทำไมไม่ตอบไลน์กู"

   พวกพี่สอนไม่ให้ผมโกหก ถึงอย่างนั้นตอนนี้ผมกลับเลือกที่จะพูดความเท็จออกไป "ส่งมาตอนไหน เมื่อกี้ดูหนึ่งซ้อมอยู่"

   "อะไรๆ ก็ที่หนึ่ง"

   "เน็ท..."

   "เลิกยุ่งกับมันซะที"

   "ขอเหตุผล"

   ผมนับหนึ่งถึงสิบในใจ เราสองคนเป็นพวกไม่ยอมคนเหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างอยากจะเป็นผู้ชนะ แต่ไม่ใช่ทุกการแข่งที่ชนะได้ด้วยการดื้อแพ่งไร้สติควบคุม ผมจะใจเย็นอย่างที่เขาบอก

   "กูไม่ชอบที่หนึ่ง"

   "มึงไม่เคยชอบใครเลยมากกว่า"

   "ใช่ จะใครกูก็ไม่ชอบทั้งนั้น”

   “ถ้ามึงตอบอย่างนี้กูไปก่อนนะ” คงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว ผมก้าวเท้าเตรียมเดินกลับไปที่รถ ติดตรงเสียงกึ่งตะคอกที่ส่งมาแทบจะในทันที

   "ก็ตอนนั้นใครเกือบตาย!"

   "...!"

   คำพูดตามตรงของพี่ชายถีบความระแวงให้พุ่งสูงขึ้น ผมหันกลับมาทางรถยุโรปคันโตที่ดับเครื่องแล้วเรียบร้อย ฟิล์มกระจกสีดำสนิทซ่อนทุกสิ่งอย่างที่อยู่ภายในไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกมา ผมกำลังกลัว...กลัวว่าเขาจะได้ยินอะไรที่ตัวเองเก็บซ่อนไว้

   "บอกกูมาสิ"

   "..."

   เน็ทกับนิชเวลาโกรธเลเวลสูงสุดจะเหมือนกัน เย็นชาและนิ่งจนน่ากลัว บางคนคิดว่ามีแค่ความร้อนเท่านั้นที่ทำให้ทรมาน...อย่าลืมไปว่าความเย็นถ้าอยู่ในองศาที่ต่ำมากพอก็สร้างความทุกข์ทนได้ไม่ต่างกัน

   "พอปล่อยแล้วใครกลายเป็นอย่างนั้น"

   "เน็ท"

   "มึงไม่เห็นตัวเองหรอก แต่กูเห็นไง”

   "หยุดได้แล้ว"

   "รับความจริงไม่ได้?"
 
   "หมดเรื่องพูดแล้วใช่ป่ะ”

   การตัดจบไม่ต่างอะไรกับไม่ยอมรับความจริง เน็ทมองผมอยู่อย่างนั้นไม่ละสายตาไปไหน ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ บางทีสิ่งที่อยู่กับผมตรงนี้อาจเป็นเพียงร่างหยาบ ส่วนจิตกำลังล่องลอยกลับไปยังช่วงเวลาเดิมที่ต่างคนต่างหลอกตัวเองให้ลืมเสีย

   “กูไม่เคยให้โอกาสใครครั้งที่สอง”

   “...”

   “กูเห็นน้องเจ็บครั้งเดียวก็พอแล้ว”

   "มึงอย่ามาตัดสินใจแทนกู"

   "อย่าเอาความลังเลของมึงมาเล่นสนุก กูสงสารคนที่อยู่ข้างหลังมึง" เขาพยักเพยิดไปทางด้านหลัง ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนข้างหลังที่เขาว่าไม่มีทางพ้นที่หนึ่ง "เลิกเล่นได้แล้วน้องโรม"

   คนเป็นพี่กำลังผิดหวัง

   เพราะผมกำลังเลือกทางที่เห็นแก่ตัวมากที่สุด
 


   อะไรคือการเด็กนิติ วิทยา วิศวะ และศิลปะมานั่งดูการแข่งบาสประเพณีของคณะบัญชีครับ

   พวกพี่ผมมาหาในวันแข่งจริงอย่างที่คิดไว้ พี่ชายทุกคนและพี่สาวอีกหนึ่งมาพร้อมกันอย่างที่รู้ได้เลยว่าต้องนัดหมายกันมาอย่างดี อยากจะรู้ว่าเขาไปทำอีท่าไหนถึงลากไวท์มาได้ ตอนนี้พวกนั้นอยู่บนแสตนด์ฝั่งมหาวิทยาลัยเราส่วนผมเองอยู่ในสนามเพราะได้บัตรสตาฟจากที่หนึ่งคนเดิม

   บรรยากาศโคตรแย่

   ต่อให้รอบข้างเต็มไปด้วยความสนุกสนานมากแค่ไหนผมก็ไม่มีอารมณ์ร่วม พยายามไม่หันไปมองกลุ่มของตัวเองอีก ถึงแม้สัมผัสออร่าความเป็นคนดังแผ่กระจายออกมาจากคนร่วมกลุ่มอย่างที่เป็นมาตลอดสมัยอยู่มัธยม

   “ฝากบอกแค่แบล็ค ไหงมากันเป็นโขยงอย่างนั้น"

   เบนหน้ากลับไปทางซ้ายที่มีผู้ชายตัวสูงชะลูดมายืนเคียง กัปตันทีมคนเดิมในชุดนักกีฬาเต็มยศยกมือขึ้นทักทายให้แล้วถามต่อ "นี่ทำฝ่ายอะไรอะ"

   "ฝ่ายยืนว่างๆ" ผมยกป้ายที่เขียนชื่อฝ่ายว่า Extra ให้เขาดู

   "มีสมาชิกกี่คน"

   "น่าจะกูคนเดียว"

   "ฮ่าๆ ทำไมดูน่าสงสาร"

   "ไม่ต้องไปวอร์มเหรอ?"

   เห็นทีมของเขาวิ่งรอบสนามอยู่ในเวลานี้ การซ้อมที่ไม่ค่อยต่างจากเมื่อก่อนเท่าไหร่ วิ่ง ยืดกล้ามเนื้อ ซ้อมชู้ตรูปแบบต่างๆ อยากจะเดินไปตบบ่าเหล่าลูกทีมว่าขอให้โชคดีนะที่มีหัวหน้าทีมจอมเฮี้ยบขนาดนี้

   "เสร็จแล้ว นี่จะไปหาคิงสักหน่อย"

   "แบล็คอยู่นู่น" บางคนเรียกพี่ชายสีดำของผมว่าคิง "ริมซ้ายล่างสุด"

   "ไหนอะ"

   "นั่นไง เห็นผู้หญิงขาวๆ นั่นป่ะ"

   "ริมล่างไม่เห็นมีผู้หญิงเลยนะ ...เฮ้ย! เหี้ยหนึ่งมานี่ดิ๊"

   เพื่อนของที่หนึ่งนี่รักเขากันจังนะ กัปตันที่ผมยังไม่รู้ชื่อโบกมือแล้วตะโกนเรียกชายที่เพิ่งเดินเข้ามาในสนาม ที่หนึ่งนี่ก็ยิ่งกว่าติดเรดาร์เดินมาตามต้นทางของเสียงได้อย่างรวดเร็ว เขาอยู่ในชุดบาสสีประจำคณะที่พอดีตัว สภาพเหมือนเพิ่งไปเปลี่ยนชุดมาเพราะยังคงใส่รองเท้าแตะอยู่

   "สรุปลงตำแหน่งไหน"

   "อยากอยู่ตรงไหนก็อยู่”

   ถ้าผมเป็นเพื่อนเขานี่ต้องมีการวางมวยเกิดขึ้นบ้างล่ะ

   "สัตว์ เอาดีๆ"

   "อยู่การ์ด"

   "ชู้ตติ้ง?"

   "เยป"

   "ไอ้เหี้ยยย ตำแหน่งโปรดมึงเลยนี่หว่า" เพื่อนเขาหลุดคำหยาบออกมาอีกนิดหน่อย แล้วที่หนึ่งก็มีปฏิกิริยาตอบกลับเพียงแค่ยิ้มจนตาหยี

   "จะยังไปหาแบล็คอยู่ป่ะ"

   ผมแทรกขึ้น ที่จริงคือผมไม่อยากไปตรงนั้นมากเท่าไหร่เพราะมีเน็ทอยู่ เราเข้าสู่ภาวะสงครามเย็นใส่กันโดยต่อเนื่องไม่มีสะดุด

   “เดี๋ยวไว้พักครึ่งแล้วกัน” มีเสียงประกาศตามสายมาให้นักกีฬาเตรียมตัวลงสนาม “ตรงไหนนะ ริมซ้ายล่างใช่ป่ะ”

   “ริมแสตนด์คนดู หาไม่ยากหรอก”

   "อ้อ! เจอล่ะ โห...มากันเกือบครบ" เขาหยุดไปนิดหน่อยตอนที่กวาดสายตาอีกรอบเพื่อเช็คความแน่ใจ "ไม่ดิ ครบแล้วต่างหาก”

   “กลับไปได้แล้วสัตว์”

   “จะเร่งอะไรนักหนาที่หนึ่ง”

   “เบื่อหน้า”

   “มึงอารมณ์ฉุนเฉียวนะวันนี้ อัพยามาป่ะ”

   “ไสหัวไป”

   “เออๆ กูไปแล้วก็ได้” คนตัวสูงที่สุดยกมือขึ้นสองข้างยอมแพ้ ก่อนจะแปรเป็นชิงจังหวะล็อคคอของที่หนึ่งจากด้านหลังในเสี้ยววินาที ทั้งคู่ตะลุมบอนกันอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งมีประกาศเรียกซ้ำจึงยอมหยุด

   “คราวนี้มึงเปลี่ยนชื่อเหรอ?” คนที่อยู่ด้านหลังจิ้มลงตรงตำแหน่งชื่อผู้เล่นที่สกรีนอยู่เหนือหมายเลข

   “อ่าฮะ”

   “ปกติไม่เคยเห็นเปลี่ยน นี่ชื่อใครวะ คนที่มึงจีบอยู่ป่ะ”

   เขาควรจะหันไปพูดกับเพื่อนของตัวเอง ไม่รู้ทำไมถึงมองหน้าผมตลอดเวลาที่พูด

   “ความลับ”


***
   โดนไข้หวัดเล่นงานค่ะ ขอลงแค่ครึ่งแรกนะคะ /โค้งขออภัย
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.1 [22.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 22-01-2016 23:22:00
โรมนี่เป็นที่รักจริงๆ  หายป่วยไวๆนะคะคุณคนเขียน   :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.1 [22.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-01-2016 01:07:53
ไปทำะไรทำไมโดนหวงขนาดนี้นะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.1 [22.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 23-01-2016 07:30:58

ในอดีตเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.1 [22.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 23-01-2016 09:26:08
เรื่องในอดีตคงร้ายแรงสำหรับน้องโรมมากๆแน่อ่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.1 [22.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 23-01-2016 16:15:15
แบล็คแอนด์เดอะแก๊งส์มากดดันกันครบเลย ที่หนึ่งกะน้องโรมจะรอดมั๊ยเนี่ว  :serius2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.2 [24.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 24-01-2016 14:07:05
บทที่ 14.2

   “เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับเพื่อนเว้ย”

   "ยุ่ง! กลับไปได้แล้วมึง" มีการถีบไล่หลังอีก ผมมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายจนมันกลมกลืนกับทีมของเขาแล้วหันมาเลิกคิ้วใส่คนข้างตัวเป็นการถามว่าแล้วทำไมถึงยังไม่กลับไปบ้าง

   "น้องโรมจะเชียร์ใคร”

   เปลี่ยนหน้ากากไวสุด ที่หนึ่งคนแมนเมื่อกี้หายไปไหน ทำไมเหลือแค่ที่หนึ่งคนแบ๊ว

   “อีกฝั่ง”

   “ให้ตอบใหม่” คงไม่รู้ตัวว่าเวลาที่ไม่พอใจคำตอบ เขาชอบทำปากยื่นใส่อย่างตอนนี้

   “ทีมนี้มีมึงอยู่ ไม่อยากเชียร์”

   “น้องโรมควรเชียร์พี่สิ”

   “เหรอ?”

   “โหย ไม่มีกำลังใจเล่นแล้วนะ” โคตรสำออย ผมพูดได้แค่ในใจเท่านั้นอะ ขืนลองพูดออกไปสิพ่อคุณได้งาบหัวผมแหง "แพ้ชัวร์เลย"

   "ก็แพ้ไปดิ"

   "อยากให้พี่แพ้รึไง"

   คือเขาต้องการอะไรจากผม ต่อให้เชียร์สุดใจขาดดิ้นขนาดไหนก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะสักหน่อย

   คราวนี้ไม่ใช่แค่เรียกให้นักกีฬาเตรียมตัว มันถูกระบุไปถึงชื่อของคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ สมน้ำหน้า อยากเล่นตัวดีนัก ตอนนี้คนรอบข้างเริ่มมองมาที่เราสองคนมากขึ้นแล้ว ผมเลยเคาะไปที่ลายสกรีนตราคณะบนอกเสื้อเขาสองสามครั้ง

   “มึงเป็นที่หนึ่งอยู่แล้วน่า”

   รอยยิ้มกว้างแบบที่หนึ่งสไตล์กลับมาอีกครั้ง ผู้ชายที่ยิ่งรู้จักมากเท่าไหร่ก็พบว่าเขาเด็กกว่าผมอีก ที่หนึ่งชอบให้ผมพูดในทำนองเอาใจ จนผมคิดว่าเขาเป็นพวกที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองอยู่มากพอควร

   จนกระทั่งเขาหันหลังเพื่อกลับไปรวม ผมถึงได้เห็นเต็มตาว่าทำไมถึงโดนแซวเรื่องหลังของเขา ที่หนึ่งอยู่ในชุดบาสสกรีนหมายเลข 11 นั่นไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่ สิ่งที่ควรโฟกัสมากกว่าคือชื่อที่เขาใช้ ไม่ใช่ TeeNueng อย่างที่ควรจะเป็น บนเสื้อมีเพียงตัวอักษรเดียวปรากฎอยู่

   I

   ตัวไอในเลขโรมันคือที่หนึ่ง

   ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลย ...จริงๆ นะ

   ที่หนึ่งเป็นนักกีฬาชุดแรกที่ลงสนาม เสียงเชียร์แสบหูดังมาจากทุกทางจนผมต้องยกมือขึ้นอุดไว้เพื่อป้องกันไม่ให้แก้วหูได้รับการกระทบที่มากเกินควร เห็นแวบๆ ว่ามีคนทำป้ายไฟให้ด้วย นี่มาดูบาสหรือคอนเสิร์ตกันแน่ครับ

   หามุมอับที่มั่นใจว่าเหล่าพี่ทั้งหลายจะไม่มีทางเห็นผมได้ ใช้ผ้าขนหนูที่เขาฝากไว้มาคลุมหน้าเอาไว้ไม่ให้เป็นที่สังเกตได้ จากตรงนี้เห็นการแข่งขันไม่ค่อยชัดเท่าไหร่เลยแฮะ

   “ทำอะไรของพี่อะ?”

   เครื่องเพิ่มไม่น่าไว้วางใจถูกกระชากออกไปจากศีรษะ ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางตอบกลับเสียงคุ้นเคยของวี

   “หายตัว”

   “นี่ไม่ใช่ผ้าคลุมล่องหน”

   “กูปลุกเสกมาแล้ว”

   "ถ้าสบายใจอย่างนั้นผมก็จะพยายามเข้าใจนะ"

   “ฝ่ายสวัส?” ป้ายห้อยคอที่ไม่ต่างของผมเขียนชื่อเขาในบรรทัดแรก และมีคำว่าสวัสดิการอยู่ในบรรทัดที่สอง

   “ถูกกก ดอยขนมได้เยอะแยะเลย”

   ว่าพลางยื่นขนมที่ขโมยมาให้ ผมรับของโจรมาไว้ในมือตอนที่แขวะน้องสายกลับ

   “กราบขอบพระคุณครับไอ้น้องประเสริฐ...มึงช่วยทำอะไรที่มันเป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้หน่อยเหอะ"

   "ก็ของมันเหลือ ผมแค่ไม่อยากให้มันเน่าไง"

   "ตรรกะสมกับเป็นมึงดี"

   ตอบกลับแบบที่สายตายังคงจับต้องอยู่แต่ในสนาม ตอนนี้คะแนนแรกของเกมส์เกิดขึ้นแล้วจากการจั๊มป์เปิดเกมส์ของกัปตันตัวสูงฝ่ายตรงข้าม ผมว่ามันเป็นเกมส์ที่ค่อนข้างคาดเดาได้ยากเพราะตัวเก่งของทั้งสองฝั่งเคยอยู่ทีมเดียวกันมาก่อน เทคนิคการเล่นคงเป็นสิ่งที่พอจับทางกันได้ ที่เหลือก็ต้องอยู่ที่ว่าทีมเวิร์คของใครจะดีกว่ากันแล้วล่ะ

   อีกไม่กี่อึดใจต่อมานักบาสทีมผมสามารถตัดบอลได้กลางสนาม ทีมเราบุกกลับอย่างรวดเร็ว เสียงเชียร์ที่ดังสนั่นกว่าปกติบอกให้ผมรู้ว่าตอนนี้ใครเป็นคนครอบครองลูกสีส้มอยู่แม้จะไม่เห็นด้วยตัวเอง

   นกหวีดเป่าบอกการเกิดขึ้นของแต้ม จากตอนแรกที่ผมไม่เห็นแม้แต่ชายเสื้อของเขาก็กลายเป็นเห็นทั้งตัวกำลังส่งนิ้วโป้งเป็นเครื่องหมายเยี่ยมมาให้ เชื่อเขาเลย ผมอยู่มุมขนาดนี้ยังเจอ

   "พี่ที่หนึ่งนี่ความจริงก็ชอบโชว์นะ"

   "...?"

   "ผมเรียนวิทย์คณิตมานะพี่ ทำไมจะไม่รู้ว่าไอหมายถึงอะไร"

   ในสถานการณ์ที่ไม่รู้จะตอบยังไงกลับไปให้ดูโอเคมากที่สุดผมเลยเงียบไว้ดีกว่า พอวีพูดอย่างนี้ก็อดหวาดเสียวไม่ได้ว่าพวกนั้นจะต้องรู้ไม่ต่างกันแน่ว่าที่หนึ่งกำลังสื่อถึงอะไรอยู่ ชักไม่แน่ใจแล้วล่ะสิว่าเย็นนี้ตอนกลับห้องไปผมจะยังได้เห็นหน้ารูมเมทอยู่รึเปล่า

   บาสเก็ตบอลชายได้แต้มเร็วกว่าการเล่นของผู้หญิง ผมได้ยินเสียงบอกแต้มต่อเนื่องไม่หยุด 

   "วันนี้พี่ที่หนึ่งฟอร์มดีชะมัด"

   "เคยดูด้วยเหรอ?"

   "ไม่อะ นี่นัดแรก"

   "แล้วรู้ได้ไงว่าฟอร์มดี"

   ขนาดผมเองที่เคยตามไปดูพี่ชายแข่งยังจำไม่ได้เลยว่าเขาเล่นเก่งแค่ไหน วีถอนหายใจออกมาเป็นพรืดแล้วยกมือขึ้นตบหัวผมแปะๆ

   "ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงเรียกพี่ว่าเด็กเอ๋อ"

   "เดี๋ยวนี้ลามปามนะมึงงง"

   “จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ค่อยอยากเชื่อว่าพี่ไม่ได้รหัสนักศึกษาเดียวกับผม”

   “พ่อง!”

   “คิก พี่ที่หนึ่งเขาลงทุนขนาดนี้พี่ไม่ใจอ่อนบ้างเหรอ?”

   “...”

   “เงียบนี่คือคบกันแล้ว?”

   “คบเตี่ยไรล่ะ!”

   “ก็พี่เล่นทำตัวติดกันขนาดนั้น ถ้าเป็นพี่สายเทคคนเดียวกับที่ผมเจอตอนต้นเทอมไม่มีทางมาอยู่ในงานอะไรอย่างนี้หรอก”

   วีกวาดมือไปรอบๆ ‘งานอะไรอย่างนี้’ ที่เต็มไปด้วยเสียงดังครึกโครม ความวุ่นวายจากกิจกรรม และผู้คนจำนวนมหาศาล ผมเป็นคนโลกแคบ ไม่เคยคิดจะเข้าร่วมสังคมมหาลัยด้วย ชีวิตของผมที่มีพ่อแม่แล้วก็พี่น้องมันเพียงพอกับความต้องการแล้ว ตอนที่จับสายผมเดินไปหาวีพร้อมแนะนำตัวว่า ‘หวัดดี กูชื่อโรม ปีสาม สายเรามีแค่กูกับมึง’ แค่นั้นด้วยซ้ำไป

   “ไม่ได้บอกว่าไม่ดีนะ ก็แค่สงสัย เก็ตป่ะ เวลาที่พี่ไม่ชอบอะไรพี่ผลักออกรุนแรงจะตายไป แต่กับพี่ที่หนึ่งดูเหมือนพี่ไม่รู้สึกอะไรเลยอะ ...เหยด พี่ที่หนึ่งอย่างเท่”

   "ไหน?" ละความสนใจการอ่านค่าโภชนาการที่อยู่ด้านหลังของซองขนมไปตามทิศทางที่ปารวีชี้โดยพลัน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็เจอคนที่ตามหานั่งคุยกับเพื่อนร่วมทีมอีกคนหนึ่งอยู่ข้างสนาม มึงจะบอกว่าท่านั่งของเขาเท่รึไง "หนึ่งยังไม่ได้ลงนี่หว่า แกล้งกูอีกล่ะ"

   "แหนะ ชะเง้อขนาดนั้นแถมยังเรียกแค่หนึ่งด้วย"

   "กวนตีนกูมากๆ จะตัดสายล่ะนะมึง"

   "กวนตีนไรวะ พี่ไม่เคยสังเกตรึไงว่าปกติแล้วไม่ค่อยมีใครเรียกชื่อพี่ที่หนึ่งพยางค์เดียวอะ ผมเองก็เรียกว่าพี่ที่หนึ่งอยู่ตลอดเลยเหอะ"

   "ไม่อะ" ผมเคยเสวนาอะไรกับใครที่ไหนล่ะ

   "ก็เห็นพวกผู้หญิงพูดกันว่าพี่เขาไม่ค่อยชอบให้ใครเรียก"

   "เหรอ..."

   ย้อนกลับไปตอนที่เรียกครั้งแรก เขาไม่เห็นจะไม่ชอบตรงไหน เห็นเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นั่นแหละ

   "พี่ที่หนึ่งแม่งมีหูทิพย์แน่เลย เดินมานู่นแล้ว ผมไปก่อนดีกว่า"

   หายวับไปกับตา วีไม่อยู่ให้ผมบอกลาแม้แต่คำเดียว คนขี้หวงที่เมื่อกี้ยังนั่งอยู่ข้างสนามเดินตรงมาทางที่ผมยืนอยู่

   "ยืนตั้งนานไม่เมื่อยเหรอ"

   "ไม่นะ"

   "ไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ดีกว่าเนอะ"

   มันไม่ใช่คำชวนแต่เป็นคำบอกให้ทำตาม ผมถูกเขาลากไปตามแรงดึงจากมุมมืดของสนามไปยังส่วนของที่นั่งนักกีฬา มีคนในชุดบาสแบบเดียวกับของที่หนึ่งทักทายผมอย่างคุ้นเคยเป็นระยะ ก็เล่นไปนั่งดูการซ้อมตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายถ้าจำผมไม่ได้ก็แย่เกินไปล่ะ

   "คุยอะไรกับวีตั้งนาน"

   "เผามึงให้มันฟั..." ลืมไปว่าวันนี้มือเขาว่างแล้ว "หนึ่ง!"

   หลังจากวันประกวดจนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังคงปิดปากเงียบเรื่องที่วีตั้งใจแกล้ง และที่หนึ่งคงยังไม่ค่อยพอใจมากเท่าไหร่เวลาที่ชื่อน้องสายออกมาจากปากของผม

   "ใครบอกว่าเด็กจะกลัวเวลาโดนตี"

   "กูไม่ใช่เด็กไง" แม่งเอามือที่จับลูกบาสแถมยังปาดเหงื่อมาตบผมอีกล่ะ

   "น้องโรมเด็กจะตาย"

   "แล้วคนที่ลากกูมานั่งโง่ๆ ตรงนี้ไม่เด็กเลยเนอะ"

   ที่หนึ่งแม่งบ้า ผมอยู่มุมมืดอย่างนั้นก็ดีอยู่แล้วดันลากมาให้พวกพี่เห็นง่ายๆ อีก ไม่ต้องหันหลังไปยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่ทิ่มแทงมาเลยให้ คืนนี้กลับห้องไปถ้าต้องนอนกอดส้มม่วงคนเดียวจะไม่แปลกใจเลย

   "ไม่นะ ก็อยากให้น้องโรมเห็นพี่หนึ่งชัดๆ นี่"

   เท่านั้นแหละผมไม่เอาผ้าคลุมล่องหนออกจากหัวอีกเลย


 

   จังหวะเป่านกหวีดสั้น สั้น ยาวบอกหมดเวลาการแข่งขัน

   การแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะของฝั่งผมอย่างที่คิดไว้ ที่หนึ่งก็ยังคงความศักดิ์สิทธิ์ของชื่อไว้ได้อย่างเดิม ถึงผมจะไม่ได้นับแต้มแบบละเอียดเท่าไหร่ก็ยังรู้สึกได้ว่าวันนี้เขาเล่นดีมาก หลายครั้งที่แต้มสูสีแล้วเขาก็เรียกความเชื่อมั่นกลับมาให้ทีมได้

   ผมมองทั้งสองทีมเดินไปจับมือกัน ตามมาด้วยการถ่ายรูปรวมทั้งหมด ผมยืนดูกิจกรรมภายนอกเงียบๆ อยู่ที่เดิม ไม่อยากเดินออกไปให้พี่ทั้งหลายเห็นไปมากกว่านี้ พื้นที่ชั้นล่างสุดเป็นที่ปลอดภัยให้ผมในระดับหนึ่งเพราะถ้าไม่มีบัตรผู้จัดงานคุณไม่มีทางที่จะเข้ามาในส่วนนี้ได้ ถึงไม่มีก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหาไม่ได้นี่ อย่าลองดีกับคนพวกนี้เลยเชื่อผมเถอะ ขอพูดในฐานะคนที่เจ็บมาเยอะ

   ที่หนึ่งยืนคุยอยู่กับกัปตันทีมอีกฝ่ายอยู่กลางสนาม ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมไม่อาจละสายตาไปจากผู้ชายเบอร์ 11 คนนั้น เขาไม่ใช่คนที่สูงที่สุดหรือคล่องแคล่วที่สุด ถึงอย่างนั้นทุกการเคลื่อนไหวของเขาก็อยู่ในสายตาของผมตลอดเวลา ไม่ต่างกับเขาที่หันมาหาผมเสมอไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของสนามนั่นแหละ และถึงจะเป็นนัดจริงเขาก็ยังรีบเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างแล้วเดินมาทางผมเหมือนเดิม

   "ชนะแล้วแหละ"

   "รู้แล้ว" บอร์ดสกอร์โชว์คะแนนอยู่ทนโท่อย่างนั้นผมคงไม่รู้มั้ง

   "มีรางวัลไหม?"

   "มี" ขนมที่ยังคงไม่ได้แกะจากวีถูกยื่นไปให้เขา "วีให้มา"

   ก็รู้ทั้งรู้นะว่าเขาต้องทำหน้ามุ่ยแหง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังชอบแกล้งอยู่ดี

   "ขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหมอะ"

   "ไม่มีตัวเลือกเว้ย"

   "ชู้ตสามแต้มได้ตั้งเยอะ"

   "จ้า เก่งจ๊ะ" ปรบมือแปะๆ ให้ด้วย

   "เล่นโชว์ให้น้องโรมดูคนเดียวเลยนะ"

   "ไปขอร้องให้ทำตอนไหน?"

   "ขอโทษที่ขัดจังหวะนะ"

   ทั้งผมและเขาหุบยิ้มโดยพลัน บอกแล้วไงว่าถ้าพวกเขาอยากจะทำอะไรสักอย่างมันต้องเป็นไปอย่างที่ต้องการ ไม่อย่างนั้นคนที่ไม่มีบัตรห้อยคอแถมหนึ่งในนั้นยังใส่เสื้อช็อปมาจะได้ลงมาอยู่ตรงนี้เหรอ

   "นิช...เน็ท...”

   "ขอคุยกับน้องหน่อย" ยามที่เขาหันไปหาอีกคน มันคือการสั่ง "คนเดียว"

   "ไม่ต้องไปนะ”

   คว้าแขนของคนข้างๆ ไว้อย่างไม่ต้องคิด ผมเขม่นพี่ชายทั้งสองคนที่กำลังแผ่รังสีการฆ่าฟันออกมาอย่างปิดไม่มิด เมื่อไหร่พวกเขาจะเลิกใช้ความรุนแรงพร่ำเพรื่ออย่างนี้กัน

   “เข้าใจที่กูพูดใช่ไหมที่หนึ่ง?”

   "หนึ่งไม่ต้องไปสนใจ"

   "ที่ หนึ่ง"

   ผมกอดแขนคนกลางไว้อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย "ไปกันเถอะ"

   "น้องโรม" เดือนคณะผู้ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดอย่างที่สุดลูบหัวของผมบางเบา "ถ้าไม่ใช่เด็กแล้วก็ต้องคุยกับพี่ดีๆ สิ"

   "หนึ่ง..."

   ทั้งเสียใจ ทั้งผิดหวัง ถึงอย่างนั้นเขากำลังบอกให้ผมอย่ากลืนน้ำลายตัวเอง

   "พี่ไม่ไปไหนหรอก"

   "..."

   "คุยแป๊บเดียวก็จบแล้ว เดี๋ยวเราไปกินฉลองกันเนอะ"

   จำเป็นต้องปล่อยมือที่กำลังเกาะหาที่พึ่งพิงออกอย่างไม่เต็มใจสักนิด "อือ"

   "ไม่มาให้หมดเลยล่ะ" หลุดประชดออกไปไม่รู้ตัวหลังจากที่คนตัวสูงหายไปจากสายตา ทั้งคู่พาผมมายังมุมหนึ่งของตึกที่ไม่มีคนเดินผ่านไปมากนัก นี่เป็นคราวที่สองแล้วที่พวกเขายกโขยงบุกมาหาผมอย่างนี้ ไม่รู้โรคหวงน้องไม่รู้จักจบสิ้นนี่เมื่อไหร่จะหายขาด

   "สองคนนั้นเคยขัดใจน้องโรมเสียที่ไหนล่ะ"

   การเรียงลำดับความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดของกลุ่มผมจะแบ่งได้เป็นสามระดับ เน็ทอยู่ในจำพวกแรกคือขัดได้เมื่อไหร่เป็นขัด บางเรื่องที่ไม่มีเหตุผลมารองรับขอให้เน็ทพูดออกมาคำเดียวว่าไม่ชอบนั่นคือจบ นิชอยู่ในพวกที่สองคือตามใจเกือบทั้งหมดขอแค่มีข้อสนับสนุนที่มากเพียงพอ และพวกที่สามคือไวท์ พี่ไวท์ตามใจน้องโรมในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ส่วนหนึ่งที่ผมเป็นเด็กเอาแต่ใจได้ขนาดนี้ก็คิดว่ามาจากการเลี้ยงของเธอนี่แหละ

   ส่วนแบล็คไม่จัดอยู่ในจำพวกไหนทั้งนั้น เขาชอบที่จะมองลงมาจากมุมสูงโดยไม่เข้ามาเอี่ยวมากกว่า

   "พวกมันเข้าใจกูต่างหาก"

   “เน็ทเล่าให้พี่ฟังแล้ว”

   เขาเริ่มอย่างนั้นหมายความว่าทุกคนรู้เรื่องที่ผมทะเลาะกับเขาวันก่อน

   “เล่าหรือฟ้อง?” ผมย้อนกลับ

   "กูเล่า"

   "มึงตกลงกับกูแล้วว่างานนี้จะไม่สอดนะเน็ท เงียบไป"

   คุณแม่นิชคือคนเดียวที่กำราบลูกชายคนโตได้อยู่หมัดที่สุด เน็ทได้แต่ทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจมากเท่าไหร่ในคำสั่งนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผมที่จะไม่ต้องทะเลาะกับเขาอีกครั้ง

   "อย่างแรกเลยคือน้องโรมกำลังหลบหน้าพี่”

   “เปล่า”

   "งั้นเหรอ"

   "จะยุ่งอะไรกับที่หนึ่งอีกก็รีบพูด”

   "น้องโรมรู้ใช่ไหมว่าทำไมพี่ถึงไม่ห้าม" นิชถอดแว่นออกมาเช็ดเลนส์ขนาดใหญ่กับชายเสื้อยืดสีขุ่น "เพราะนั่นคือ 'ที่หนึ่ง' คนที่พวกพี่ไม่มีทางหาข้อติเจอ”

   เพราะเขาต่างจากคนอื่นที่เข้ามา เราต่างรู้แต่ไม่ยอมรับว่ากำลังเอาใครเป็นมาตรในการเปรียบเทียบ ใครที่ไม่สามารถทะยานขึ้นมาถึงจุดนั้นได้จะโดนกันออกให้หลุดออกจากวงโคจรไป

   "ไม่ต้องเอาเรื่องที่เขาเป็นผู้ชายเหมือนกันมาพูด พี่ไม่เคยสนใจเรื่องนั้นอยู่แล้ว พี่มาวันนี้พี่อยากรู้อย่างเดียว" กลืนน้ำลายยังรู้สึกผิด คนบางจำพวกต่อให้ไม่เคยเรียนวิชาสะกดจิตหรือโน้มน้าวใจคนก็ทำให้รู้สึกหวาดผวาได้เพียงแค่เอ่ยปากออกมาไม่กี่ประโยค...และ 'ปีศาจ' คือหนึ่งในคนแบบนั้น

   ต่อให้นิชเลี้ยงผมมาแบบโคตรสปอยล์แค่ไหน เพื่อคำตอบที่ต้องการเขาไม่เคยเลือกวิธีเช่นกัน

   “น้องโรมคิดยังไงกับที่หนึ่ง?”

   "..."

   ไม่เคยมีใครตั้งคำถามอย่างนี้กับผมมาก่อนเลย และผมเองก็ไม่เคยคิดที่จะถามคำถามนี้กับตัวเองด้วย

   "โรมไม่เคยเป็นอย่างนี้รู้ไหม โรมไม่เคยให้ใครเข้ามาอยู่ในชีวิตมากขนาดนี้ ...อาจมากกว่าครั้งก่อนอีกนะ”

   อย่างกับนัดกับวีมาถามอย่างไงอย่างนั้น ผมยอมให้เขาตามไปทุกที่ ยอมพาเขาไปที่บ้านทั้งที่รู้ว่าต้องเจอเรื่องใหญ่ ยอมย้ายไปอยู่กับเขาโดยไม่มีเงื่อนไข งานที่ต้องเจอประชากรมหาศาลมากแค่ไหนผมก็ไม่เคยคิดอยากโวยวายใส่

   "พี่ถึงถามว่ารู้สึกยังไงกับที่หนึ่ง"

   "..."

   "ทีให้พูดก็ไม่พูด" เรื่องใช้คำเชือดเฉือนไม่มีใครสู้นิชได้หรอก "ตอบไม่ได้หรือว่าไม่รู้สึก?"

   ผมควรจะพูดอะไรออกไปบ้าง ไม่ใช่ก้มลงมองเท้าตัวเองอยู่อย่างนี้ เหมือนสิ่งที่กำลังเป็นของตัวเองอยู่ตอนนี้มีเพียงสมอง ส่วนร่างกลายเป็นของใครไม่รู้ที่ผมไม่สามารถควบคุมให้เคลื่อนไหวได้ตามใจ

   "ถ้าน้องโรมไม่รู้สึก พี่ก็คงบอกเหมือนเน็ท หยุดได้แล้ว" มือของเขาแตะที่บริเวณหัวใจ หนึ่งแผลเป็นที่อยู่อย่างนั้นไม่มีทางหายคอยย้ำเตือนสิ่งที่ผ่านมา “ไปคิดให้ดี แล้วมาให้คำตอบพี่ใหม่ คราวนี้พี่สัญญาว่าถ้าโรมมั่นใจแล้วพี่จะไม่เข้าไปยุ่งอีกเลย"

   สัญญาต้องเป็นสัญญาเสมอ

   ผละออกจากตรงนั้นทันทีที่ได้รับการปล่อยให้เป็นอิสระ ใจคิดแต่จะตามหาคนที่โดนสั่งห้ามไม่ให้อยู่ด้วย จากมุมนี้เลือกทางเดินต่อได้ว่าจะตรงไปหรือเลี้ยวขวา ขวาร้ายซ้ายดีแต่ไม่มีซ้ายก็ไปขวาแล้วกัน

   ...

   ผมชาไปทั้งร่างและความรู้สึกตอนที่เห็นว่าใครอีกคนยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ไปไหนอย่างที่พูดไว้ จากจุดเดิมที่ผมยืนมาถึงตรงนี้แทบจะนับก้าวได้ ความเงียบที่เกิดขึ้นบอกผมให้รู้...

   เขาได้ยินหมดทุกอย่าง


***
   อากาศกลับมาเย็นอย่างที่แต่งนิยายแล้วเพลินมากค่ะ ถึงจะไอคอกแคกไปด้วยก็เถอะ (ฮา) รักษาสุขภาพกันนะคะทุกคน ป่วยทีนี่มันช่างเหนื่อยกับชีวิตเสียเหลือกัน
   เห็นหลายคนคิดถึงพี่นิชเลยพากลับมาหาค่ะ อ้าว ไม่ได้ให้กลับมาหาอย่างนี้เหรอคะ (หัวเราะ) สัปดาห์หน้าตั้งใจว่าจะลงให้ได้ทั้งสเปพี่นิชแล้วก็พาร์ทของเวลค่ะ พักหายใจหายคอหน่อยเนอะ นี่จบตอนเหมือนให้เตรียมพร้อมสำหรับดราม่าเลยล่ะ อย่าเพิ่งเครียดไปนะคะ เจ้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยดราม่า ไม่ซับซ้อน ไปเรื่อยๆ เอื่อยๆ นี่แหละ
   ชักไม่อยากให้ที่หนึ่งกับน้องโรมแล้วค่ะ สงสารนางจัง ทำไมต้องมาเจอกลุ่มนี้ด้วยนะ (ฮา) ต้องสู้นะที่หนึ่ง <3
   แล้วเจอกันใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.2 [24.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 24-01-2016 16:13:25
แม้ว่าน้องโรมจะยังไม่ได้พูด ที่หนึ่งอย่าเพิ่งถอดใจนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.2 [24.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 24-01-2016 18:46:33
รู้สึกว่า....รัก...ที่หนึ่ง มากขึ้นทุกวัน  :-[
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.2 [24.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 24-01-2016 19:38:13

แค่ไม่กี่บรรทัดก็ทำเอาเรารู้สึกหน่วงแล้ว...
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.2 [24.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 26-01-2016 15:04:38


นี่มันเรื่องอะไรคะ? นี่มันเรื่องอะไร?
ทำไมมันมีลับลมคมในไปเสียทุกเงี่ยงทุกมุมขนาดนี้?!!
สงสารที่หนึ่งมากเหลือเกิน อยากจะไปลักพาตัวมาโอบกอดปลอบประโลมให้มีแรงกลับไปต่อสู้กับใจน้องโรมให้ได้จริง ๆ

น้องโรมนี่ก็น่าตีนะคะ... เก็บผ้าเก็บผ่อนไปอยู่กับเขา ตัวติดกันกับเขา นอนกอดตุ๊ตาของเขาทุกคืน ๆ ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าคิดอะไรเลยเถิดกับพ่อที่หนึ่งของป้า? เอาล่ะ... ป้าให้เวลาแค่ชั่วพักเบรคโฆษณาสิปป์นิช หนูต้องคิดดี ปฏิบัติชอบกับพ่อที่หนึ่งของป้าให้ทันนะลูก!!!

เป็นกำลังใจให้ และรออ่านตอนต่อไปค่ะ ^^  :pig4:

หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 3 (สิปป์นิช) [28.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 28-01-2016 19:48:31
Limited Book [สิปป์-นิช]


(3)


   บัตรเข้างานสีดำสนิทปั๊มนูนด้วยฟลอยด์สีเงินวางลงตรงหน้าผม


   "เซนต์ให้ผมหน่อยดิพี่นิช"


   "เอาไปทำไม?"


   "เผื่อขายได้ รายได้เสริมของผมคือเอาของพวกนี้ไปปล่อยในกรุ๊ปคนรักพี่สิปป์แหละ"


   เอมหัวเราะให้กับการกระทำของตัวเอง ผมเลยเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนที่จะปฏิเสธกลับไปนิ่มๆ


   "แกควรเอาไปให้เจ้านายเซนต์มากกว่าพี่"


   "โหย ทำได้ทำไปนานแล้วพี่" เขาจีบปากจีบคอพูดให้ผมฟัง "พี่แกไม่ยอมให้ตรงๆ ผมต้องใช้วิธีซิกแซกตลอด"


   "เงินเดือนไม่พอรึไง"


   จากการเป็นพนักงานไร้เงินเดือนผิงเคยเล่าเรื่องตัวเลขเงินที่ผมควรได้รับให้ฟัง มันก็มากอย่างที่ไม่แปลกใจที่มีพนักงานแค่สองคนในร้าน


   "เงินเดือนก็ส่วนเงินเดือนสิ ผมบอกแล้วไงว่านี่รายได้เสริม"


   "หน้าเลือดเนอะ"


   "เขาเรียกรู้จักจัดการชีวิต"


   "ถามจริงเหอะ เด็กเอกวรรณกรรมที่ขับฮาร์เล่ย์มาทำงานอย่างแกนี่ต้องการเงินพิเศษอีกเหรอ"


   "โหยพี่ แค่ค่าน้ำมันก็ปาไปเท่าไหร่แล้ว เนี่ยเลยต้องหาเงินไปขับเคลื่อนน้องฮาวสุดที่รัก"


   ผู้ชายที่เด็กกว่าทำหน้าเหยเกให้ผม เอมชี้ลงมาที่บัตรอีกครั้งเป็นการจี้ให้ผมเซนต์ลงไป "อยากไปดูพี่นิชเล่นเหมือนกัน แต่ว่ายังไม่ยี่สิบเข้าไม่ได้"


   ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เอมรู้เรื่องงานใหม่ของผม เอมรู้มาจากผิง ส่วนผิงรู้มาจากสิปป์อีกที เป็นร้านที่น่ารักมากจริงๆ ไม่ว่าผมจะทำอะไรทุกคนจะต้องรู้หมด ตอนที่ผมเจอเจ้าของผมสีเขียวมิ้นท์เมื่อวันก่อนเขายังย้ำคำเดิมว่าไม่แปลกใจที่สิปป์ไม่ยอมปล่อยผมไปไหน


   "รักจริงต้องปลอมบัตรดิ" ผมแกล้งยุกลับในระหว่างที่ตวัดลายเซนต์รูปอนันต์ลงไปในบัตรตามที่เขาต้องการ


   "โดนจับได้ไม่คุ้มอะ พี่สิปป์เคยขู่ไว้ว่าถ้าจับได้จะไล่ออก”


   “กลัวทำไม”


   “แล้วนี่มารอไปพร้อมพี่สิปป์เหรอ”


   ตอบกลับด้วยการผงกหัวขึ้นลง ผมเองก็ไม่อยากที่จะมาหาเขาที่นี่หรอกถ้าเลือกได้น่ะ เขาเล่นโทรมาเตือนตั้งแต่วันจันทร์ยันวันศุกร์ แถมโทรมาตอนสองทุ่มตรงเป๊ะทุกวัน ถือว่าเห็นแก่ความตรงต่อเวลาผมเลยยอมมาหาที่นี่


   “โคตรหวงจริงว่ะ พี่เชื่อไหมขนาดพี่น้ำอ้อนวอนแค่ไหนพี่สิปป์ก็ให้ไปเจอที่ร้านตลอด”


   “ไม่หรอก พี่ไปครั้งแรกไง”


   “ไม่จริงอะ พี่สิปป์แม่งไม่ใจดีอย่างนั้นหรอก”


   ผมปล่อยให้เอมขยับปากไปเรื่อย เขาชอบมานินทาเจ้านายให้ฟังอย่างนี้แหละ อยากจะลองอัดเสียงไปให้เขาฟังดูเผื่อว่าจะได้โบนัสในการแจ้งเบาะแส


   วันนี้เป็นวันแรกที่ผมจะได้ขึ้นแสดงจริง หลังจากที่ผมทำการฆ่าปาดคอพวกคนอวดดีไปแล้ววันนั้นพีทก็ไม่เข้ามาวุ่นวายกับผมอีกเลย ส่วนน้ำถึงไม่เข้ามายุ่มย่ามแต่ก็ชอบทำตัวเป็นลูกแมวไร้แม่ที่น่าเวทนา คอยขู่ฟ่อตลอดเวลา  โชคดีที่เพลงของสิปป์มีโน้ตไม่ยากเกินไป ใช้เวลาทำความคุ้นเคยเพียงไม่นานก็พอจะถูไถไปได้


   "ทำไมใส่เสื้อกล้ามมา"


   ขนลุกกราวยามที่มีเสียงกระซิบข้างหู ผมตวัดตาขวางไปหาคนที่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง สิปป์อยู่ในชุดเสื้อยืดลายแปลกกับกางเกงยีนส์รัดรูปมีสายโซ่ร้อยไว้ ผมที่เซ็ตตัวอย่างดีเผยให้เห็นต่างหูหลากหลายแบบละลานตา เขาไม่คิดจะเหลือพื้นที่ให้เนื้อตรงหูหน่อยหรือไง


   “อยากใส่”


   “ล่ะนี่อะไร”


   เขาจิ้มลงมาตรงช่วงหลังส่วนบน วันนี้ผมใส่เสื้อกล้ามตัวหลวมมาเพื่อให้เหมาะกับการขยับร่างกาย ไม่รู้ว่าร้านที่กำลังจะไปเล่นมีบรรยากาศโดยรวมเป็นยังไงเลยไม่อยากเสี่ยง ผมไม่ชอบอากาศหนาว แต่ไม่ชอบอากาศร้อนมากกว่า เพราะงั้นวันนี้เสื้อของผมเลยโชว์ผิวขาวอย่างคนไม่ค่อยโดนแดดมากกว่าทุกวัน


   พอผมลอยหน้าลอยตาไม่ตอบ เขาก็ลากมือไปมาตามรอยสีที่แทรกลึกเข้าไปในชั้นผิว


   “Endless Knot?”


   “รู้จักด้วยเหรอ”


   “ไหน หลังพี่นิชมีอะไรเหรอพี่ ...โห โหดสัตว์ลัตเวีย”


   ถอนหายใจเบาๆ  ให้อาการตกตะลึงที่โอเวอร์เกินไปหน่อย ผมมีรอยสักขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือหน่อยที่ตั้งใจจะเก็บไว้ดูคนเดียวอยู่ช่วงบนของแผ่นหลัง เป็นลายปมอนันต์ (endless knot) หรือปมที่ซับซ้อนมากขึ้นของสัญลักษณ์อินฟินิตี้ ตั้งใจไว้ตั้งนานแล้วแต่เพิ่งได้ทำตามที่ต้องการตอนจบมอหก ที่ทำตอนนั้นเพราะว่าไม่ต้องใส่เสื้อนักเรียนสีขาวที่มองทะลุไปถึงไหนต่อไหนอีกต่อไป


   “ใครๆ ก็มี”


   “พี่ไม่เจ็บเหรอ ผมกลัวเข็มอะเลยไม่กล้าสัก”


   “ก็เจ็บ แป๊บเดียว”


   ผมไม่ได้พูดโกหกนะ เจ็บน่ะแป๊บเดียว ...แต่ปวดน่ะแทบแย่ ต้องนอนคว่ำเป็นสัปดาห์เลยล่ะ


   “ไปกันได้แล้ว”


   “นี่เพิ่งสองทุ่มเอง” เขาบอกผมว่างานเริ่มสี่ทุ่มแถมจากนี้ไปถึงร้านก็ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงอย่างแน่นอน


   "ร้านขอเลื่อนเวลา เมื่อกี้น้ำเพิ่งโทรมาบอก"


   ได้ยินชื่อของคนที่ประกาศตัวว่าเป็นศัตรูอย่างชัดเจนแล้วอารมณ์ดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก อยากเจอผู้ชายที่ดีแต่ปากคนนั้นไวๆ จังนะ อยากเห็นสีหน้าที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างนั้นอีกสักที ยิ่งลำพองผยองมากเท่าไหร่ ตอนตกลงมามันเจ็บเจียนได้ยิ่งกว่าเยอะ


   "งั้นไปกันเลย"


   โบกมือลาพนักงานที่ยังคงต้องเฝ้าร้านไปจนกว่าผิงจะกลับมาจากการซื้อของใช้ทั่วไป เอมดูไม่มีปัญหากับการที่ต้องกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ อย่างนี้ตลอดการทำงาน ถ้าเป็นพ่อแม่ผมนะหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมให้มาทำแหงๆ


   "พี่ผิงเอาวีออสไปนะพี่" เอมตะโกนไล่หลังมาตอนที่เราอยู่หน้าร้านแล้ว


   "มันบอกแล้ว"


   "งั้นพี่ก็ต้องไปอีกคันอะดิ"


   ได้ยินเสียงบ่นเบาๆ ว่ายุ่ง นี่ขนาดเจ้านายยังไม่เว้นเลย "จะให้พี่โบกตุ๊กตุ๊กไปรึไง"


   "เช้ดเด้! เรื่องนี้ถึงพี่ผิงแน่"


   "เออ จะทำอะไรก็เรื่องของมึงเหอะ เก็บร้านให้เรียบร้อยแล้วกัน"


   ผมเดินตามเจ้าของร้านไปยังโรงรถขนาดเล็กข้างตึก เบนซ์สปอร์ตสองประตูสีดำสนิทดูเข้ากับเขาดี ผมเองสงสัยว่าอาชีพนักร้องไม่มีสังกัดอย่างที่เขาทำอยู่ทุกวันนี้มันสร้างเม็ดเงินได้มากขนาดนี้ได้เหรอ ทั้งร้านกาแฟตามอารมณ์กลางเมืองหลวง เงินเดือนพนักงานที่สูงลิบ แล้วยังรถสปอร์ตราคาไม่รู้กี่ล้านนี่อีก


   "สรุปทำไมใส่เสื้อแบบนี้มา แล้วไปสักตั้งแต่เมื่อไหร่"


   เขาถามขึ้นในระหว่างที่รถเคลื่อนตัวไปตามทาง


   "เผื่อร้อน ตั้งแต่จบมอหก"


   ตอบกลับสั้น ผมทำเป็นกดมือถือเรื่อยเปื่อยเหมือนเสียงติดไม่พอใจที่เขาใช้มันไม่มีผลอะไร ลอบแอบมองว่าเขามีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างไรบ้างกับการเดินหมากของผมในคราวนี้ สิปป์ไม่ได้ละสายตาจากถนนคอนกรีต มีเพียงแค่สายตาเจือความไม่สบอารมณ์ที่ปรากฎ


   ผู้ชายคนนี้ไม่ชอบให้ใครขัดใจ


   "โทรไปหาน้ำไม่ก็พีท บอกว่าเอาเสื้อแขนยาวไปเผื่อด้วยตัวนึง"


   "ไม่มีเบอร์"


   "เอาของฉันไปโทร"


   "ถ้าไม่ทำ?"


   จังหวะไฟแดงทำให้เขายื่นหน้ามาหาผมได้ใกล้ ผมยิ้มกวนประสาทกลับคืนไปให้ชายที่ถูกเรียกว่าตัวร้าย


   "เป็นลูกจ้างต้องทำตามคำสั่งของเจ้านายสิ"


   คำพูดของตัวเองกลายเป็นบ่วงแน่นที่รัดคอไว้ สบถหยาบคายในใจพอให้หายหงุดหงิดที่โดนเล่นงานกลับ ตอนที่พูดไปก็ดันคิดแต่เรื่องแกล้งสองคนนั้น ยังดีที่ข้อแม้ที่เหลือมันคงไม่ย้อนกลับมาทำร้ายผมได้มากไปกว่านี้


   ถ้าให้คิดจริงๆ แค่ผมยอมให้เขาเป็นเจ้านายก็เสียเปรียบไปเกือบร้อยเปอร์เซนต์แล้วล่ะ


   "งั้นก็เอามา" แบมือขอโทรศัพท์โดยที่อีกฝ่ายส่งกลับมาให้อย่างรวดเร็ว "มีพาสเวิร์ด พิมพ์ให้หน่อย"


   "1010"


   "ไว้ใจขนาดนั้น?"


   "คิดว่ายังไงล่ะ"


   "นี่อาจเป็นการตัดสินที่ผิดพลาดที่สุดของนาย"


   ผมใส่รหัสผ่านตามที่เขาบอก รูปหน้าจอล็อคสกรีนของเขาเป็นรูปถ่ายเช็ตแฟชั่นที่เพิ่งออกไปไม่นาน งานนั้นเขาโทรมาสั่ง ใช่โทรมาสั่ง ไม่ได้โทรมาขอร้องหรือว่าขอความร่วมมืออะไรทั้งนั้น ให้ผมช่วยไปเป็นผู้จัดการชั่วคราวให้หน่อยเพราะว่าคนดูแลติดปัญหาครอบครัวมาทำงานให้ไม่ได้


   "..."


   ส่วนที่ทำให้ผมนิ่งไปคือหน้าจอโฮมสกรีน กระพริบตาถี่ๆ ไล่ความมัวของสายตา ผู้ชายคนนี้เขามีมุมอะไรอย่างนี้กับคนอื่นเขาด้วยเหรอ ภาพที่เขาใช้เป็นพื้นหลังคือรูปวาดของผมครั้งที่สองหรือรูปที่ผมส่งให้เขาไปเพื่อขอบคุณในการช่วยโปรโมตร้าน


   "นี่..." ผมพลิกให้เขาเห็นภาพหน้าจอของตัวเอง "ชอบมากเลยรึไง?"


   สิปป์หันมามองปราดเดียวแล้วกลับไปใช้สมาธิกับการขับรถ "ก็บอกแล้วว่าชอบทั้งงานแล้วก็เจ้าของงาน"


   "ชอบอะไรมากกว่า"


   ไม่รู้อะไรที่ดลใจให้ถามกลับไปอย่างนั้น ผมเปิดดูรายชื่อเบอร์ที่โทรเข้าออก ล่าสุดคือเบอร์ที่บันทึกไว้ว่าน้ำอย่างที่เขาบอกว่าเพิ่งโทรมาเลื่อนเวลาโชว์ กดโทรออกแต่ไม่ได้เอามาแนบหู


   "ไม่เลือกได้ไหม"


   ยังคงเป็นคำว่า Calling อยู่ตอนที่เขาตอบ


   "ไม่"


   "อืม...เลือกยากจังเลยนิรันดร์" ไม่รู้แน่ชัดว่าเอาชื่อของผมไปหาคำแปลตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาชอบเรียกชื่อนี้มากกว่านิชเวลาที่อารมณ์ดี "ทางไหนก็ชอบพอกันเลย"


   จากตัวอักษรภาษาอังกฤษแปรเปลี่ยนเป็นตัวเลข 00.00 ผมยิ้มให้แผนการณ์ที่กำลังดำเนินไปด้วยดี "เลือกมา ตอนนี้เลย"


   เขาคงรู้แล้วว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ โทรศัพท์ในมือถูกดึงกลับไปเสียแล้ว เสียดายจังที่เขายังไม่ตอบผมมาก่อน อยากจะให้ปลายสายได้ยินว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการมากกว่ากัน


   "แต่ผมเลือกคนสวยเอาแต่ใจอยู่แล้วล่ะ"


   "!"


   สิ่งที่เขาทำผิดจากที่คาดไว้ ผมนึกว่าเขาจะเอาไปคุยเคลียร์หรือไม่ก็ตัดสายไปให้จบๆ แต่เขากลับยกมือถือขึ้นระดับริมฝีปาก พอบอกประโยคนั้นเสร็จก็กดตัดสายไปทันที


   "ร้ายตลอดนะ" ผมจะถือว่านั่นเป็นคำชมแล้วกัน


   "ขอบคุณ"


   "ผมชักจะกลัวแล้วสิ"


   ปากบอกกลัวแต่หัวเราะร่า ผมเท้าคางกับริมกระจกหันหน้าออกไปมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวง เคาะมือกับข้างแก้มเป็นจังหวะไปมาเพื่อใช้ความคิด นี่มันแค่ออร์เดิฟเท่านั้นแหละ รอให้ถึงร้านก่อนค่อยคิดแผนต่อไป ตั้งแต่ไม่ต้องตามเก็บกวาดคนที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับน้องโรมแล้วรู้สึกฝีมือตกไปเยอะ มีเควสพิเศษมาให้ทำแก้เบื่อก็ดีเหมือนกัน


   อีกไม่นานนักเราก็มาถึงผับ เขาเข้าทางที่จอดด้านหลังผมเลยไม่รู้จำนวนลูกค้าในวันนี้ จากที่หาข้อมูลในเว็บมาก่อนร้านนี้เป็นร้านดังที่เต็มไปด้วยลูกท่านหลานเธอหลายคนแวะเวียนเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง อย่ามองผมด้วยสายตาอย่างนั้นสิ ชีวิตวันๆ ของผมน่ะหมดไปกับการนั่งวาดรูประบายสี ไม่มีเวลามาหาแสงสีอย่างนี้หรอก อีกอย่างคือผมมีความทรงจำที่ไม่ดีเท่าไหร่นักกับร้านประเภทนี้ เขาเคยไม่ให้ผมเข้าด้วยเหตุผลว่าหน้าผมเด็กเกินไป ซวยซ้ำสองตรงที่โดนหาว่าปลอมบัตรประชาชนอีกต่างหาก เน็ทหัวเราะใหญ่บอกว่าต้องโทษที่ผมชอบคีฟลุคเด็กเนิร์ดตลอดเวลา


   "ขอตรวจบัตรครับ"


   นั่นไงล่ะ ขนาดผ่านมาครึ่งปีได้แล้วมั้งยังเหมือนเดิมเป๊ะ


   "นักดนตรี ต้องตรวจด้วยเหรอ" ผมชี้ไปทางผู้ชายที่สะพายกีตาร์เดินตามหลังมา "ผมมากันคนนั้นน่ะ"


   "มีอะไรรึเปล่าที่รัก"


   แสดงความเป็นเจ้าของด้วยการโอบไหล่ผมไว้ มือที่เจอความเย็นจากแอร์ในรถเมื่อแตะลงตรงผิวของผมก็อดสะดุ้งไม่ได้ มือเขาเย็นเฉียบอย่างกับคนไร้ชีวิต


   "เขาขอตรวจบัตร"


   นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงหัวเราะเต็มที่ ไม่ใช่แค่หัวเราะในลำคอหรือแสร้งทำ มันน่าตลกตรงไหนกับการที่ผมโดนเรียกบัตรน่ะฮะ


   "ฮ่าๆ นี่มันเรื่องที่ทำให้ผมขำได้มากที่สุดในรอบหลายวันเลยนะ ...ไม่เป็นไรครับพี่ เขามากับผมจริง"


   จัดการจูบที่ขมับแสดงความเป็นเจ้าของอีกด้วย คนเฝ้าประตูมองมาที่ผมซ้ำอีกครั้งจึงยอมปล่อยให้เราสองคนเข้าไปด้านใน โลกหลังประตูไม่ต่างจากที่ผมคาดไว้ เสียงดังอึกทึก กลิ่นควันที่ตีกันหลากหลายจากมุมสูบบุหรี่ กองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สีสันที่มากจนเกินพอดีทำให้ผมเบ้ปากให้โลกราตรี สำหรับผมพื้นที่นี้มันเป็นแหล่งรวมคนไร้สติชั้นเยี่ยมที่ไม่น่ายุ่งเกี่ยวเท่าไหร่


   เขาเดินลัดเลาะไปตามทางเดินแคบๆ อย่างชำนาญ ตลอดทางถ้ามีพนักงานสวนผ่านก็จะทักทายอย่างเป็นกันเอง ก็มีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่นดีเหมือนกันนี่นา นึกว่าพอเป็นนักร้องแล้วจะทำตัวหยิ่งใส่คนอื่นไปทั่ว กลายเป็นผมเองมากกว่าที่มองเลยผ่านไม่สนใจคนรอบข้าง


   ห้องที่ติดป้ายกระดาษแผ่นใหญ่ว่า DIX คือจุดสุดท้ายของการเดิน สมกับเป็นร้านหรูมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเตรียมไว้ให้ครบครันอยู่ภายใน ผมวางของใช้ที่จำเป็นลงบนโต๊ะหน้าโซฟาขนาดใหญ่ กวาดสายตาสำรวจรอบห้องไปเรื่อยเปื่อย


   "อยากกินอะไรหน่อยไหม?" สิปป์ถามขณะที่อยู่หน้าตู้เย็น เขาเปิดให้ผมเห็นเครื่องดื่มรวมถึงของกินเล่นบางอย่างเรียงต่อกันจนไม่มีพื้นที่ว่าง สวัสดิการก็ดีเยี่ยมไม่แพ้รสนิยมของคนตกแต่งห้อง


   "ไม่ล่ะ"


   ก่อนออกมาผิงเตรียมอาหารมื้อใหญ่ไว้ให้ บอกว่าเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยให้ผมประสบความสำเร็จในวันนี้ จะไม่กินก็ไม่ได้ ผมชอบฝีมือผู้ชายผมสีชมพู (ผิงเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นชมพูแล้ว) นี่นา

***
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 3 (สิปป์นิช) [28.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 28-01-2016 20:03:20

   "ตื่นเต้น?"


   "นายต้องได้เห็นดินเนอร์คอมโบที่ผิงทำ"


   "จะตกใจถ้าตอบว่าตื่นเต้น"


   "นี่มองว่าผมเป็นตัวอะไรเนี่ย"


   "หนังสือลิมิเต็ดที่ไม่ยอมให้อ่านสักที"


   เขาเดินมานั่งข้างๆ ผม อ้อมแขนมาโอบไว้หลวมๆ จากด้านหลัง มืออีกข้างถือกระป๋องเบียร์ยี่ห้อดังที่เปิดฝาแล้วไว้


   "กินอะไรตามไปด้วย เดี๋ยวอ้วกหรอก" เตือนไว้ก่อน การกินเครื่องดื่มพวกนี้ตอนท้องว่างมันไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ "นี่กินไปแค่มื้อกลางวันล่ะสิ"


   หน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกรวมถึงพนักงานไร้เงินเดือนทำให้ผมรู้สภาพชีวิตทั่วไปของเขามากพอควร สิปป์ไม่กินข้าวเช้าเพราะตื่นทีก็เกือบเที่ยง กินเสร็จไม่ขังตัวอยู่ในห้องทำงานที่อยู่ถัดจากห้องนอนก็ลงมาหาเรื่องใช้งานผมไปเรื่อย จะกินอีกทีก็ช่วงห้าทุ่มเที่ยงคืนนู่น ตอนที่ท้องร้องประท้วงนั่นแหละ ถ้าวันไหนผมอยู่ร้านดึกก็จะได้รับคำสั่งให้ไปลากสิปป์สเตอร์ลงมากินมื้อเย็นไม่ก็ออกไปหาอะไรง่ายๆ แถวนั้น คนร้านนี้เลี้ยงผมดีอย่างที่มองตัวเองในกระจกแล้วรู้สึกว่าแก้มมันเริ่มพองมากเกินไปทุกที


   "ปกติ"


   "แล้วจะรอดู"


   ผมปล่อยให้ตัวเองอยู่ในอ้อมแขนของเขา ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศเริ่มทำให้ตาแห้งไปหมด การที่ใส่แว่นแล้วไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องการน้ำตาเทียมสักหน่อยนี่นา


   เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายข้างใบเก่งมาเปิดหาสิ่งที่ต้องการ ผมไม่แน่ใจว่าก่อนออกจากห้องตัวเองเก็บน้ำตาเทียมลงกระเป๋าแล้วรึยัง เมื่อวันก่อนนั่งทำงานดึกไปหน่อยเลยหยิบมาใช้แล้วทิ้งไว้หน้าโต๊ะทำงาน


   นั่นไง ไม่ได้เอามาจริงด้วย


   "หาอะไรอยู่"


   "นายมีน้ำตาเทียมไหม?"


   "เป็นอะไร เจ็บตาเหรอ"


   เขารีบวางเครื่องดื่มในมือลง ดึงแว่นตากรอบใหญ่ของผมออกแล้วใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของผม ไอ้ผมมันคนสายตาสั้นเกือบเจ็ดร้อย พอไม่มีเครื่องมือที่ช่วยเปิดโลกให้แล้วก็กลายเป็นคนตาบอดไปเลย ตลกดี ทำไมผมยังเห็นหน้าของเขาชัดเจนทุกรายละเอียดได้ขนาดนี้ล่ะ


   ชัดเจนอย่างที่เห็นว่ามีเงาตัวเองสะท้อนกลับมาจากนัยน์ตาสีดำขลับของเขา


   "ฝุ่นเข้าตาเหรอ ก็ไม่มีนะ"


   "..."


   "หรือว่าแพ้อะไรรึเปล่า อาหารที่กินไปเมื่อกี้มีอะไรบ้าง"


   "เปล่า แค่ตาแห้งน่ะ"


   รีบอธิบายก่อนที่การคาดเดาจะไปไกลกว่านี้ เขารับทราบด้วยการตอบรับในลำคอพลางทัดผมให้เรียบร้อยไม่ยุ่งเหยิง จะโดนจับเนื้อต้องตัวกี่รอบมันก็ยังไม่ชินสักที เขาไม่รู้ตัวหรือไงว่าการสกินชิปที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันทำให้ใจผมเต้นระส่ำมากี่สิบรอบแล้ว


   "อยากได้ใหม่ไหม เดี๋ยวฝากคนอื่นซื้อมาก็ได้"


   "ไม่อะ นิดหน่อยเอง"


   ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอารมณ์ดีอะไรถึงฮัมเพลงไม่ยอมหยุด "งั้นหลับตาลง"


   "หืม?"


   "หลับตาครับ"


   "จะกล่อมให้หลับเหรอ" ขอแค่ให้ได้เถียงกลับไปผมก็พอใจแล้ว เปลือกตาของผมเคลื่อนตัวเข้าหากันอย่างช้าๆ ตามคำสั่งของเขา


   มือสองข้างยังคงอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือเสียงลมหายใจที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมีสัมผัสแปลกปลอมบางอย่างอยู่ที่เปลือกตา


   ...ริมฝีปากของเขา


   สั่งให้ตัวเองอย่าหวั่นไหวไปกับการกระทำนั้น ถึงจะพูดไปอย่างนั้นหัวใจไม่รักดีกลับเพิ่มจังหวะการบีบตัวให้เร็วขึ้นจนน่ากลัว ผมถึงบอกว่าผมเกลียดเขาไง ผู้ชายร้ายกาจที่มีแรงดึงดูดมหาศาลจนน่ากลัว เขากำลังล่อผมให้ตกอยู่ในเขาวงกตที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนยากที่จะหาทางออก


   สิปป์โหมดอบอุ่นมันก็ดีอยู่หรอก


   แต่ผมก็ชอบโหมดตัวร้ายของเขามากกว่า


   คราวนี้ไม่มีใครเข้ามาเห็นช็อตเด็ดแสลงใจ ผมจะต้องขึ้นแสดงตอนสามทุ่มครึ่งและตอนนี้ก็สามทุ่มยี่สิบแล้ว เรากำลังเตรียมตัวอยู่ด้านหลังของเวทีขนาดย่อม จากการกวาดสายตามองผู้ชมคร่าวๆ แล้ววงของสิปป์ต้องมีชื่อเสียงอยู่พอตัวอย่างที่พีทเคยบอก กว่าจะเห็นพื้นที่โล่งให้หายใจได้ก็เกือบด้านหลังสุดของฟลอร์เข้าไปแล้ว ส่วนมากเป็นสาวสวยมากหน้าหลายตา จะเห็นส่วนสูงของผู้ชายโดดเด่นขึ้นมานับหัวได้เลย


   "นิช"


   "ว่าไง" ท่ามกลางเสียงพูดคุยของผู้คนจำนวนมากผมเลยต้องใช้เสียงดังกว่าปกติ


   "ขอกำลังใจหน่อย"


   ขอมองแรงใส่จะดูชัดเจนไปไหมนะ ผมปั้นหน้าให้นิ่งสนิทเอียงคอเล็กน้อยทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด วันนี้น้ำก็ยังคงทำตัวเป็นลูกแมวไร้แม่ที่คอยหวงคนเลี้ยงอยู่เหมือนเดิม เขาแทบไม่ยอมห่างจากนักร้องนำของวงเลยตั้งแต่ผมเห็นหน้า


   "ตรงนี้"


   โอเค กรอกตาบนไปให้จบๆ เรื่องเลยดีกว่า ส่วนสูงของผมกับเขาต่างกันมากพอสมควร โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ไม่ชอบกินนมตั้งแต่เด็กแล้วยังเกลียดการออกกำลังกายอีกต่างหาก ผมสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าเพราะงั้นเขาน่าจะสูงร้อยแปดสิบสี่ถึงร้อยแปดสิบห้า สิปป์ย่อตัวลงมาเพื่อให้ 'ตรงนี้' หรือปากของเขาตรงกับผม นั่น มีการแตะนิ้วย้ำแถมยังยิ้มยั่วอีก เกลียดความดูดีทุกการเคลื่อนไหวของเขาจริงจังให้ตายเถอะ!


   "ไม่"


   "นะครับ" เพิ่มออฟชั่นด้วยการก้มตัวลงต่ำอีกนิดแล้วช้อนตาขึ้นมา ประกายแวววับจากดวงตาเล่นเอาผมร้อนวูบทั้งที่อากาศเย็นฉ่ำ ยิ่งตอนที่เขาฉีกยิ้มอีกนิดแล้ว...


   นี่มันสถานการณ์ที่แย่ที่สุดที่ผมเคยเจอมา


   "ดิซ เตรียมตัวได้แล้ว"


   "นะ..."


   เขาไม่สนใจเสียงเรียก ใช้เสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยการอ้อนวอนร้องขอผมอีกครั้ง


   "นิดเดียวก็ยังดี"


   ผู้ชายคนนี้รู้จักวิธีการใช้ร่างกายของตัวเองเป็นอาวุธอย่างดีเลยล่ะ เขารู้จักวิธีบังคับควบคุมเสียงอยู่แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องการใช้เสียงเพื่อแสดงความรู้สึกเลย แค่ควบคุมให้สติอยู่กับตัวเองตลอดเวลาไม่เตลิดไปตามการชักจูงของจอมวายร้ายก็ยากเกินไปแล้ว อีกอย่างคือผมเองไม่มีสิทธิต่อรองอะไรมากขนาดนั้นเพราะถ้าเขาอยากได้อะไรก็บังคับให้ผมทำให้เขาจนได้


   อ้อ อย่าคิดว่าผมจะก้มลงไปจุมพิตตัวร้ายด้วยความเต็มใจอะไรขนาดนั้น ก็แค่จูบมือตัวเอง เอาไปประทับไว้ตรงที่เขาต้องการแล้วดึงออกในเสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง


   "คุณมันร้าย รู้ไหมสิปป์" ผมเอ่ยด้วยความเอือมระอาเต็มที่


   สิปป์หัวเราะออกมาก่อนที่จะตอบผม "รู้ดีเลยล่ะ"


   "นี่ ขึ้นเวทีไปได้แล้ว"


   เสียงไม่สบอารมณ์แทรกเข้ามาในระหว่างการสนทนา ตัวร้ายตามที่ผมตั้งฉายาให้พาร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อขึ้นเวทีไปอย่างคุ้นเคย ผมปล่อยให้น้ำกับพีทเดินตามไปก่อนแล้วจึงค่อยเป็นคนปิดท้าย เสียงกรี๊ดดังสนั่นเป็นการต้อนรับที่อบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ สมัยเปิดวงกับที่หนึ่งมันยังเป็นแค่วงในโรงเรียนธรรมดาทั่วไป พอมาเจอของจริงอย่างนี้แอบประหม่าอยู่เหมือนกันแฮะ


   พาตัวเองไปอยู่หลังเครื่องดนตรี ตรวจเช็คความเรียบร้อยของอุปกรณ์จนครบ ตรงพื้นที่ของผมถูกยกให้สูงขึ้นกว่าตำแหน่งอื่นเล็กน้อย ผมเลยเห็นภาพโดยรวมได้สะดวกขึ้น บริเวณฟลอร์ถูกจับจองจนแน่นไปทุกส่วน เสียงตะโกนเรียกชื่อสมาชิกในวงตีกันวุ่นวายไปหมด


   "Are you ready?"


   แค่คำสั้นๆ ที่ออกไมค์ก็ได้รับการตอบรับถล่มทลาย สิปป์หันมายิ้มหวานให้ผมตอนที่พูดคำต่อไป "Welcome to MYWORLD"


   พระเจ้าครับ


   ผมควรซ่อนตัวอยู่ตรงไหนถึงจะไม่โดนดูดไปอยู่ในโลกของเขาเหรอครับ



≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡



   ผ่านครึ่งทางของการแสดงไปโดยสวัสดิภาพ ผมเป่าลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ขอบคุณร่างกายของตัวเองที่ขยับทันความคิดที่ไปก่อนแล้ว ตอนเพลงแรกกับเพลงที่สองมันก็ตามที่ซ้อมอยู่หรอกแต่พอเพลงที่สามเท่านั้นแหละ จังหวะจากเครื่องซินธ์ (Synth) ที่ต้นน้ำเล่นมันก็เริ่มรวนไปหมด และผมก็ไม่ใช่คนดีพอที่จะคิดว่ามันคงเป็นข้อผิดพลาดทางเทคนิค


   "ไหวนะ"


   "ช่วยกลับไปบอกคนของนายให้มีความเป็นมืออาชีพกว่านี้หน่อย" ผมบอกกลับไปตามตรง ความรู้สึกเหมือนการทำรายงานที่ตัวเนื้องานไม่ได้ยากอะไรเลยมีแค่คนร่วมงานที่ทำตัวมีปัญหาตลอดเวลา


   "คนของฉัน?"


   "คนที่เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนของนาย" แก้คำพูดก็ได้ ไม่เห็นต้องมาทำท่าไม่พอใจใส่เลย


   "ไม่ไปบอกเองล่ะ"


   "ไม่อยากเสวนาด้วย"


   นั่นออกมาจากเบื้องลึกของใจ ผมโคตรอารมณ์ไม่ดีในตอนนี้ อยากจะเหวี่ยงใส่เครื่องตีจนหายหงุดหงิดแต่ก็กลัวทำพังไปเสียก่อน มันคงเป็นการเดบิวท์ที่ไม่น่าประทับใจมากเท่าไหร่


   "เดี๋ยวจบงานจะคุยให้ โอเคไหม"


   "คุยแล้วต้องเคลียร์นะ ถ้าไม่จบฉันจะเข้าไปจัดการเอง"


   "สัญญาเลย"


   เขายกมือขึ้นทำท่าวันทยาหัตถ์สามนิ้วแบบลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ความไม่เข้ากันของนักร้องใต้ดินที่ร้องเพลงเนื้อหาเสียดสีสังคมกับท่าสัญญาแบบเด็กมัธยมช่วยให้ความขุ่นมัวในใจของผมลดลงไปนิดหน่อย ย้ำ นิดหน่อย ทางเดียวที่ผมจะกลับไปอารมณ์ดีตามเดิมได้คือพวกลอบกัดจะต้องได้รับอะไรคืนไปก่อน


   "กลับไปเหอะ พีทหันมามองหลายรอบแล้ว"


   ตอนนี้มือเบสของวงกำลังพูดคุยทักทายผู้ฟังเป็นการชั่วคราวอยู่


   "อืม ฝากนี่หน่อย"


   "เฮ้ย!"


   ผมอยากได้วิธีรับมือกับสิปป์สเตอร์


   หลังจากที่เขาตอบผมว่าจะกลับไปครองไมค์ สิปป์ก็จัดการถอดเสื้อของตัวเองออกแล้วโยนมาทางผม เสียงฮือฮาตามมาไม่มีหยุด ตอนนี้พีทหมดความน่าสนใจแล้วครับ ทุกคนมุ่งความสนใจมาที่ร่างเปลือยท่อนบนของนักร้องนำหมดแล้ว


   นอกจากในรูปที่ผมเคยวาด นี่เป็นครั้งแรกกับการได้เห็นกล้ามเนื้อที่ซ่อนอยู่แบบเต็มตา (บางครั้งที่เข้าไปปลุกสิปป์ก็ใส่เสื้อแบบผู้คนปกติ) เขามีซิคแพกเรียงตัวสวยไม่แพ้นายแบบในนิตยสารเลย ผิวขาวเมื่อต้องกับแสงไฟที่สาดส่องมายิ่งเพิ่มความคมชัดจนเหมือนกำลังเอาดินสอสองบีถมดำลงไป


   "ดิซครับ คุณมึงจะช่วยเหลือพื้นที่ให้กับผู้ชายตัวเล็กๆ แบบผมหน่อยได้ไหม"


   เจ้าของชื่อที่แปลว่าสิบในภาษาฝรั่งเศสหันไปยักคิ้วให้เพื่อนร่วมวง เขายังคงยืนอวดบอดี้อยู่ตรงหน้าราวกับกำลังทดสอบความอดทนของผมอยู่


   "ที่รัก..." แม้อยู่กลางฝูงชนเขาก็ยังกล้าเรียกผมด้วยชื่อนี้ "ผมมีทางเลือกให้คุณสองทาง หนึ่งคือแลกเสื้อกับผมดีๆ หรือจะผมถอดให้คุณเอง"


   มันเรียกว่าทางเลือกตรงไหนวะ!


   แยกเขี้ยวขู่ฟ่อโดยพลัน "ไม่ทั้งนั้น!"


   อีกฝ่ายไม่สะทกสะท้านกับอาการที่ผมแสดงออกสักนิด เขาโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูให้ผมได้ยินเพียงคนเดียว


   "ผมมีสถิติอยู่ที่เจ็ดวินาทีในการทำคิสมาร์ค..." เสียงติดแหบอย่างคนใช้เสียงมากทำเอาผมขนลุกเกรียว "ทางเลือกที่สามคือผมพร้อมทำลายสถิติเดิมของตัวเองลงบนคอขาวๆ ของคุณตอนนี้เลย"


   "!"


   "นับหนึ่งถึงห้า"


   "ฮึ่ม..." ผมกัดฟันกรอด อยากจะยกไม้ขึ้นฟาดลงบนผิวเนียนที่ประชิดตัวให้ขึ้นรอย


   "ว่าไง เสื้อกล้ามบางๆ แถมยังเว้าไปถึงไหนไม่รู้ของคุณมันทำผมไม่สบอารมณ์มามากพอแล้ว" 


   เขามันจอมวายร้าย...


   "ห้า"


   เริ่มนับเร็วไปไหมล่ะ!


   "สี่"


   เขานับต่อไปอย่างต่อเนื่อง


   "สาม"


   เพิ่งสามแล้วมายุ่งกับชายเสื้อของผมทำไมเฮ้ย


   "สอง"


   ไม่ต้องอ้าปากท้วงอะไรทั้งนั้นเสื้อของผมก็เลิกไปครึ่งตัวแล้ว สุดท้ายเขาจะให้ข้อเสนอผมทำไมในเมื่อตัวเองมีคำตอบไว้ในใจแล้วน่ะ เสื้อกล้ามตัวเล็กหลุดออกจากตัวไปแล้ว สิปป์สวมเสื้อตัวใหญ่ที่กลายเป็นพอดีกับตัวเขาอย่างรวดเร็ว โชคดีคือกลองตัวใหญ่ยังคงบังร่างกายไว้เกือบหมด พอตัวเองพอใจแล้วถึงหันมาใช้สายตาสั่งผม


   "เหม็นเหงื่อ"


   ไม่ได้ล้อเล่นนะ เสื้อของเขาชุ่มเหงื่อไปหมดเลย


   "ต้องใส่ให้ด้วยใช่ไหม?"


   แล้วก็ต้องทำตามความต้องการของเขาอีกครั้ง ผมรีบสวมเสื้อลายแปลกด้วยความไวแสง


   "เด็กดี"


   อยากย้อนเวลาได้ชะมัด


   จะย้อนกลับไปเลี้ยงน้องด้วยวิธีที่ดีกว่านี้ เพราะตอนนี้กฎของนิวตันว่าด้วยแอคชั่นเท่ากับรีแอคชั่นถูกพิสูจน์ให้ผมเห็นจนกระจ่างเลยล่ะ


   "หน้าด้าน"


   ระหว่างที่สิปป์โดนพีทเรียกไปตอบคำถามแฟนเพลง สมาชิกอีกคนที่เหลือก็ทำทีเดินมาหยิบน้ำในกระบะที่อยู่ถัดไปจากเวทีกลอง


   ผมขยับแว่นให้ขึ้นไปอยู่บนสันจมูกตามเดิม เหงื่อที่ถูกขับออกมาจากร่างกายทำให้ความสามารถในการเกาะน้อยลงจนน่ารำคาญ


   "อย่าคิดว่าพิเศษ ดิซเขาขี้เบื่อ"


   ตอนแรกก็ตั้งใจว่าวันนี้จะยังไม่เปิดศึกอะไรทั้งนั้น ถือว่าเป็นการเริ่มทำงานวันแรกเราก็ควรเจอแต่สิ่งดีๆ ในเมื่ออีกฝ่ายเขาเสนอตัวมาให้ถึงที่เราก็ควรสนองหน่อยจริงไหม


   "ความจริงผมไม่เคยคิดไปเองว่าตัวเองพิเศษหรอกนะ"


   ทำทีเป็นกระพือคอเสื้อไล่ความร้อน เขาคงไม่ความจำสั้นขนาดไม่รู้ว่าเสื้อที่ผมใส่อยู่เป็นของใคร ใบหน้าของอีกฝ่ายถมึงตึงขึ้นมาทันตา ผมเลยโต้กลับไปด้วยรูปแบบเกมส์ที่ถนัดที่สุด


   ผมส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยรอยเวทนาไปให้


   "มันคือเรื่องจริงต่างหากที่ผม 'พิเศษ' กว่าคุณเยอะ"



***
   อากาศหนาวนี่ไปไวมาไวดีนะคะ ยังหยิบเสื้อแขนยาวมาใส่ไม่ครบเลยค่ะ อยากเอนจอยกับแฟชั่นฤดูหนาว (ที่ไม่รู้อีกนานแค่ไหนถึงจะมีอีก) มากกว่านี้จัง (ร้องไห้)
   ตามที่บอกไว้ว่าจะพาพี่นิชมาเบรคอารมณ์ค่ะ แล้วเสาร์น่าจะลงพาร์ทเวลได้ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าว่าสิปป์เป็นคนที่พูดคำว่า 'ที่รัก' แล้วเขินมาก เวลาพิมพ์ทีไรรู้สึกอิจฉาพี่นิชเสียเหลือเกินค่ะ (หัวเราะ) หลังจากผ่านมาสามตอนก็สรุปได้ว่าแต่งพี่นิชไม่ยากเท่าแต่งที่หนึ่งจริงๆ ค่ะ (ปาดน้ำตา) หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ คุณแม่นิชของน้องโรมทำไมทำกับเจ้าอย่างนี้นะ...
   ช่วงนี้เจ้าซุกตัวอยู่แต่ในผ้าห่มบนเตียงมีคอมอยู่ตรงหน้าตักทั้งวันเลยค่ะ (ฮา) ดูแลสุขภาพกันเยอะๆ นะคะ กอดดด
   วันเสาร์เจอกันใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 3 (สิปป์นิช) [28.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 28-01-2016 20:54:50
กรี๊ดดด สิปป์ นิชน่ารักอ่ะ อยากอ่านต่อจัง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 15 [30.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 30-01-2016 21:35:55
บทที่ 15

[Side : เวลา]

   ในโลกที่ช่องทางการสื่อสารมีมากมายจนนับไม่ถ้วน เราสามารถเป็นเพื่อนกับใครสักคนบนโลกนี้ได้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ไม่ต่างกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ในตอนนี้ สร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ ใช้ชื่ออะไรก็ได้ แต่งเติมตัวตนให้เป็นตามที่ต้องการ ผมและ 'ใครคนนั้น' เป็นเพื่อนในแชตออนไลน์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็จำไม่ได้ รู้แค่เราคุยกันได้ทุกเรื่อง ทุกเวลา และเราสบายใจที่จะอยู่ในสถานะนี้


   Night_ : อยากหนีไปที่ไหนก็ได้


   แชตแรกของวันดูต่างจากทุกที ผมกดเข้าไปดูหน้าโฮมของอีกฝ่ายเผื่อว่าจะเจอเบาะแสอะไรบ้างแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า


   NaTime : เกิดอะไรขึ้น
   NaTime : เจอเรื่องอะไรมา

   Night_ : หลายอย่าง

   NaTime : อยากเล่าไหม?

   Night_ :  เล่าไม่ได้...

   NaTime : ผมก็เจอเรื่องแย่มาเหมือนกัน
   NaTime : ถ้าหนีไปไกลๆ ได้ก็ดีเนอะ

   Night_ : ไปไหมล่ะ?



   "…"

   มันเป็นการชวนที่เรียบง่ายจนชวนให้สะดุด ถึงตามข้อมูลเบื้องต้นผมและอีกฟากฝั่งคุยกันอย่างนี้มานานแล้วแต่สิ่งที่ต้องเน้นคือเรารู้จักกันแค่ในโลกสมมติ ในโลกแห่งความเป็นจริงเราอาจไม่เคยหายใจอยู่ในพื้นที่เดียวกันเลยก็เป็นได้

   เปลี่ยนจุดโฟกัสจากหน้าจอการสนทนาเป็นแผ่นกระดาษขนาดเอห้าที่ปักไว้ตรงกระดานไม้เหนือหัวเตียง มันมีรอยหมึกอยู่ไม่ถึงสี่บรรทัดดีเมื่อรวมกับท้ายกระดาษที่ผมลงชื่อตัวเองไว้ ข้อความที่ตั้งใจว่าจะส่ง...และคงทำได้แค่ตั้งใจ

   มันสอนให้ผมตัดสินใจอะไรให้เด็ดขาด


   NaTime : แล้วเจอกัน
 



   ถ้าให้นิยามผู้หญิงที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม คำแรกคือ สวย แต่คำที่ตามมาคือ สวยแบบแปลกๆ ผิวขาวเกือบซีดตัดกับเรือนผมสีดำสนิทยาวถึงกลางหลัง ยามต้องกับแสงไฟกลับออกเป็นสีเทาเคลือบ คิ้วเรียงตัวสวย จมูกเชิดดูรั้นเข้ากับริมฝีปากที่เอ่ยออกมานับคำได้ สิ่งที่เหมาะกับนิยามคำว่าสวยแปลกๆ ที่สุดคือนัยน์ตาสีดำนั่น สีดำที่มองลึกเข้าไปแล้วพบก็เพียงแต่ความว่างเปล่า

   ที่ใครเคยนิยามว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจคงใช้กับผู้หญิงคนนี้ไม่ได้

   “ผมชื่อเวลา จะเรียกเวลก็ได้”

   เลือกที่จะเปิดบทสนทนาแบบเป็นทางการด้วยการแนะนำตัวเอง ในฐานะที่เป็นเจ้าของบ้านก็ควรที่จะบอกให้รู้รายละเอียดขั้นพื้นฐานบ้าง ไม่เคยมีใครรู้ว่าเหตุผลคืออะไรผมเลยได้ชื่อที่ดูประหลาดอย่างนี้เป็นชื่อเล่น และผมก็เลิกใส่ใจที่จะตามหาคำตอบมาตั้งนานแล้ว

   เธอไม่หลบสายตาหรือแสดงอาการประหม่ายามตอบกลับ “ซิน”

   “ซินเดอเรลล่า?”

   “คนบาป S-I-N” เธอคงเห็นผมมองด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เลยพูดต่อ “ก็เหมาะกับฉันดี”

   เอาล่ะ นอกจากจะสวยแปลกแล้ว ความคิดก็แปลกด้วย ผมค่อนข้างตกใจตอนที่เธอชวนหนี แล้วยิ่งพอมาบอกว่าตัวเองเหมาะกับชื่อว่า ‘คนบาป’ นี่ผมควรแปลกใจคูณสองสินะ

   “แล้ว หนี...”

   “ไม่ได้หนีออกจากบ้าน” เธอชิงตัดบทขึ้นก่อน

   “ก็ไม่ได้บอกว่าหนีออกจากบ้าน”

   กระเป๋าเดินทางที่ยังคงอยู่ข้างตัวบอกได้ มันเป็นกระเป๋าขนาดกลางที่ทำให้คล่องตัวในการเดินทาง คาดคะเนแล้วคงอยู่ได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ คงเล็กไปสำหรับคนที่หนีออกจากบ้าน อย่างที่ผมบอก เธอไม่มีอาการกระสับกระส่ายหรือหวาดระแวงใดๆ มันทำให้ผมทำได้แค่ยอมรับว่าเธออาจแค่ต้องการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศ ทั้งๆ ที่มันไม่ได้เข้าเค้าเลยสักนิด

   “ก็เห็นตอนแรกบอกหนี” ที่เธอบอกว่าหนีไปที่ไหนก็ได้ “นึกว่าหนี...ใคร”

   เหมือนกับที่ผมเลือกเดินออกมา

   “หนีความจริง”

   “...?”

   “ฉันหนี ‘ความจริง’ มา”

   แค่ประโยคเดียวของเธอกลับทำให้ผมชะงัก หัวใจกระตุกวูบแบบไม่มีสาเหตุ ผมเหมือนเด็กที่กำลังบอกคุณครูว่าไม่ได้แอบกินขนม ทั้งๆ ที่ยังมีร่องรอยปรากฎอยู่ชัด

   ริมฝีปากของเธอเริ่มขยับอีกครั้ง เมื่อเห็นผมตกอยู่ในห้วงความคิด ภาพของผู้หญิงอีกคนทับซ้อนขึ้นมากับคนตรงหน้า

   “ความจริงที่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็รู้ดีว่าหนีไม่พ้น”

   ไม่มีรอยยิ้มล้อเลียน ไม่มีน้ำเสียงหยอกเย้า แต่เมื่อมองลึกลงไปในนัยน์ตาที่ว่างเปล่า สีดำราวรัตติกาลเหมือนกำลังบอกว่า

   ฉันรู้ว่าคุณก็หนีความจริงมาเหมือนกัน

 

   เสียงล้อเบรคกระทันหันแล่นเข้ามาในโสตประสาท ตามด้วยเสียงโครงเหล็กกระแทกกับรั้วคอนกรีตดังสนั่น ความโกลาหลเกิดขึ้นทันที ผมมองกลุ่มควันสีเทาลอยจากเครื่องยนต์เหล็กขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วทำได้เพียงยืนนิ่ง

   “...!!!”

   เสียงที่คุ้นเคยกรีดร้องสุดเสียง มือที่กอบกุมมาตลอดตั้งแต่จำความได้สะบัดออกอย่างแรง ราวกับเป็นสัญญาณของการบอกลา ผู้หญิงคนนั้นวิ่งตรงไปอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งๆ ที่มีคนจำนวนไม่น้อยกรูเข้าไปยังพื้นที่เกิดเหตุเช่นกัน แต่สายตาของผมก็ไม่อาจหันเหไปที่อื่นได้เลย มันเป็นคำตอบที่ชัดเจนเหลือเกิน

   เธอวิ่งออกไปแล้ว

   ...วิ่งออกไปจากหัวใจผมตลอดกาล

   “!”

   เสียงริงโทนที่คุ้นเคยปลุกประสาทของผมให้ตื่นตัวเต็มที่ สายตาที่ยังไม่คุ้นชินกับความมืดค่อยๆ ปรับให้เข้าที่ พลางสอดส่องหาที่มาของเสียง โทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงส่งเสียงร้องจนถึงตอนที่ผมหยิบมันมาไว้บนมือ หน้าจอแสดงชื่อและรูปภาพที่ผมกำหนดไว้ รูปที่ผมยืนอยู่กับใครอีกสองคน...

   ยังไม่อยากรับ แต่ไม่รับก็ไม่ได้ ผมเลยทำได้แค่เพียงรีบสไลด์กดรับเพื่อที่จะไม่ต้องเห็นภาพนั้นอีก

   “ว่าไง”

   (กลับเมื่อไหร่?) นั่นเป็นข้อดีของปลายสาย ไม่เคยถามอะไรซอกแซก พูดให้ถูกคืออีกฝ่ายรู้อยู่แล้วเลยไม่ต้องถามต่างหาก

   “ไม่มีกำหนด มีอะไรเร่งด่วนรึเปล่า”

   (ยัยนั่นถามหา)

   เคยบอกตัวเองว่าจะทำทุกอย่างให้เหมือนเดิมแต่เพียงแค่ได้ยินชื่อก็พาลจะหมดแรงเสียแล้ว ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับเสียงให้ไม่มีพิรุธก่อนจะตอบไป

   “ก็บอกไปว่าออกไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์แล้วกัน”

   (คงเชื่อ...)

   “ถ้าบอก ยังไงก็เชื่อ”

   (อืม แล้วก็อย่าลืมของฝากนะ)

   ยามที่ปลายสายดัดเสียงให้เล็กลงเพื่อล้อเลียนบุคคลที่สามในบทสนทนาทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นนิดหน่อย

   “หึหึ ไม่ลืมอยู่แล้วครับผม”

   (ดูแลตัวเองด้วย)

   “ครับ”

   (กลับเมื่อไหร่ก็บอก เดี๋ยวไปรับ)

   ปลายสายวางทันทีที่จบคำสุดท้าย ผมปรับโทรศัพท์ให้อยู่โหมดรักษาพลังงานแล้วโยนเข้าไปในลิ้นชักข้างหัวเตียง ล้มตัวลงกับเตียงใหญ่อีกครั้ง ลมหายใจถูกถอนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า

   ความจริงที่หนีไม่พ้น

   คำพูดของเธอวนเวียนไปมา ยอมรับว่าซินมีอิทธิพลต่อความคิดของผมอย่างมากในเวลานี้ เราไม่เคยรู้จักกัน ผมแน่ใจในข้อนั้น แต่สิ่งที่เธอเอ่ยออกมามันเหมือนเธอรู้ รู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่

   ใช่ ผมเป็นฝ่ายที่ไม่ถูกเลือก นั่นคือ ‘ความจริง’ ที่เกิดขึ้น และบอกเลยว่าผมไม่สามารถยืนอยู่ตรงนั้น มองดูความรักของตัวเองมีความสุขกับใครอีกคนที่ไม่ใช่ผม การปรับตัวไม่ใช่เรื่องง่าย ในวันที่รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์อะไรในหัวใจเธออีก

   “แย่ล่ะ”

   สายตามองตรงไปที่นาฬิกาเรือนใหญ่ริมห้อง เข็มสั้นชี้ตรงเลข 10 ผมแยกกับเธอประมาณห้าโมง นัดว่าจะพาเธอออกไปทานอาหารเย็นกันตอนทุ่มหนึ่ง แต่คงเป็นเพราะเดินทางมาตั้งแต่เช้า ทำให้ผมเพิ่งตื่นจากความฝัน วันแรกก็แสดงความน่าประทับใจเลยแฮะ

   ซินไม่อยู่ในห้องนอน ไม่มีวี่แววอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วย คิ้วผมเริ่มขมวดเข้าหากัน ไม่ใช่ว่ากลัวเธอเป็นสิบแปดมงกุฏอะไรหรอก เพราะกระเป๋าก็ยังคงอยู่ในห้อง แต่ผมกลัวเธอออกไปไหนแล้วหลงทางต่างหาก บ้านนี้ลึกเข้าไปในหุบเขาพอสมควร คนที่เพิ่งมาครั้งแรกหากออกไปข้างนอกโดยไม่มีคนคุ้นทางไปด้วยอาจหลงทางได้ง่ายๆ

   ลองเดินทั่วบริเวณบ้านอีกครั้งก็ไม่มีวี่แวว จนกระทั่งผมเดินไปด้านหลังของตัวบ้านที่ยื่นออกไปเป็นระเบียงขนาดใหญ่ เลยพบคนที่ตามหากำลังนั่งอยู่บนชุดเก้าอี้หวาย เรือนผมสีดำที่ไม่ได้มัดไว้ปลิวตามลม ออกไปทำอะไรตรงนั้น?

   แปลกนะ สิ่งที่กั้นขวางผมไว้กับระเบียงภายนอกมีเพียงกระจกใส แต่ความรู้สึกของผมกลับบอกว่าตรงหน้าคือกำแพงขนาดใหญ่ บางอย่างบอกว่าผมไม่ควรล้ำเข้าไปในโลกของเธอ อย่างไรก็ตามอากาศของบ้านกลางหุบเขาตอนกลางคืนไม่ได้เหมาะกับการนั่งเรื่อยเปื่อย เมื่อคิดอย่างนั้นบวกกับผมควรไถ่โทษที่ผิดคำนัด กลับเข้ามาหาสิ่งที่ต้องการบริเวณห้องครัว ผมบอกคนดูแลบ้านไว้ล่วงหน้า มันเลยมีของกินจุกจิกอยู่ไม่น้อย บางชิ้นที่มีร่องรอยการเปิดคงจะเป็นฝีมือของเธอ 

   มือข้างหนึ่งคว้าน้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์ไว้สองกระป๋อง อีกข้างอุ้มผ้านวมผืนใหญ่ ผมเปิดกระจกบานเลื่อนให้เบามากที่สุด วางเครื่องดื่มไว้บนโต๊ะกลมขนาดย่อมที่คั่นกลางเก้าอี้หวายสองตัวเอาไว้

   “ข้างนอกมันหนาวนะ”

   “ขอบคุณ” มือซีดยื่นมือมารับผ้านวมสีหวานที่ผมยื่นให้

   “ขอโทษที่ไม่ตื่น”

   “เดินทางมานานมันก็เหนื่อย”

   นั่นคงเป็นประโยคบอกว่าเธอไม่ได้ติดใจอะไร ไม่มีใครพูดอะไรต่อ มีเพียงเสียงลมพัดเป็นดนตรีบรรเลงไปมา ผมยกเครื่องดื่มที่วางไว้ขึ้นจิบรสชาติ แอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายร้อนขึ้นมาบ้าง บอกแล้วว่าบ้านกลางเขามันหนาว

   หันกลับมามองคนขวาก็พบว่าผ้านวมผืนนั้นได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว ซินเป็นคนตัวเล็ก และยิ่งเล็กเข้าไปใหญ่เมื่อถูกห่อหุ้มด้วยผ้าปุยนุ่น สายตาของเธอจ้องตรงไปยังสมุดสีดำเล่มหนาบนตัก ตวัดตัวอักษรไปมาโดยไม่มีหยุดพัก จากมุมนี้มองได้ชัดเจนว่ากระดาษสีขาวได้รับการรังสรรค์จำนวนมากเพียงใด สมัยนี้ยังมีคนเขียนไดอารี่อยู่ด้วยเหรอ

   เมื่ออีกฝ่ายอยู่ในโลกของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ ผมที่ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาจากข้างในบ้านเลยทำได้แต่มองทิวทัศน์ไปเรื่อยเปื่อย คืนนี้ไม่ใช่คืนพระจันทร์เต็มดวงแต่สายตาผมก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ชัด รั้วต้นไม้ถูกตัดแต่งอย่างดีแสดงถึงความใส่ใจ หากมองลึกเข้าไปก็จะพบกับสวนผลไม้หลายหลายสายพันธุ์ที่ปลูกไว้เป็นรายได้เสริมของเจ้าของพื้นที่

   มองมุมระนาบจนเบื่อเลยเปลี่ยนเป็นแหงนมองบนฟ้า ลมเย็นตีเข้าหน้าตลอดเวลาจนรู้สึกชาเล็กน้อย พื้นท้องฟ้าสีดำสนิทแซมไปด้วยเกล็ดละอองสีเงิน ความสวยงามที่พบเจอได้ยากมากในเมืองกรุง เกิดความคิดว่าเพราะอะไรมนุษย์ถึงพยายามเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ทั้งๆ ที่ความสวยงามอยู่ตรงหน้ามากมาย

   “ดาวอะไรส่องแสงสว่างมากที่สุด”

   แม้จะอดแปลกใจไม่ได้ว่าเพราะอะไรเธอจึงเป็นฝ่ายเริ่มถามก่อน แต่ผมก็ตอบไป

   “เคยได้ยินว่าดาวเหนือนะ”

   “...ซิริอุสต่างหาก” นิ้วเรียวสวยชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า คาดคะเนบริเวณที่เธอบอกจะพบกับดาวดวงหนึ่งส่องสว่าง กลบรัศมีดาวน้อยใหญ่ในบริเวณนั้นไปสิ้น “บางคนก็เรียกว่าดาวโจร”

   “เทพเจ้าแห่งกองโจร?”

   “สุนัขต่างหาก”

   หันมาสบตากับคนที่ยังเจี้ยวแจ้วไม่หยุด “สุนัข?”

   “เลยมีอีกชื่อว่าดาวสุนัขใหญ่”

   เธอดูมีความสุขกับการได้บอกเล่าเรื่องราวของจุดสว่างบนท้องฟ้า และผมเองก็ไม่มีความรู้อะไรด้านนี้มากเท่าไหร่ ไม่สิ ไม่มีเลยต่างหาก ดังนั้นตามน้ำไปคงจะดีที่สุด

   “ซิริอุสเป็นสุนัขของโอไรออน โอไรออนเป็น ‘คนรัก’ ของอาร์เทมิส แต่เทพีแห่งพรหมจารีย์ไม่สมควรมีรัก เทพอะพอลโล่ที่เป็นเทพแห่งพระอาทิตย์ ฝาแฝดของเธอเลยวางแผนทำให้อาร์เทมิสฆ่าโอไรออนโดยเข้าใจผิด พอเธอรู้เรื่องทั้งหมดเลยเสกให้โอไรออนกับซิริอุสเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า”

   “มันก็แค่ก้อนหิน”

   “ก็อยู่ที่เลือกว่าจะเชื่อยังไง”

   เธอไม่ใส่ใจกับความไร้จินตนาการของผม สมุดสีดำเล่มโตถูกปิดลงแล้ว กระป๋องน้ำถูกยกขึ้นพิจารณาในระดับสายตาแทนที่

   “คุณเชื่อว่ามันเป็นสุนัข?”

   “ฉันแค่อิจฉาที่โอไรออนไม่เคยต้องอยู่คนเดียวต่างหาก”

   ซินเป็นคนแปลก นั่นคือทั้งหมดเท่าที่ผมสรุปได้ในเวลานี้

   “อิจฉาแม้กระทั่งก้อนหิน” ผมเย้ากลับไปขำๆ พยายามกลบใบหน้าของใครคนนั้นลงไปให้อยู่ในความทรงจำแบบเดิม คนที่กำลังมีความสุขกับใครอีกคน และเป็นผมที่ต้องอยู่คนเดียว

   “คนบาปก็ทำได้แค่นี้แหละ”

   “ก็ยังดีกว่าอิจฉาคนบางคนในชีวิตจริงนะ...”

   “มนุษย์” ริมฝีปากบางยกขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง “เลยมีความรู้สึก”

   “คุณบอกว่าคุณหนีความจริงไม่พ้น”

   “ใช่” คำตอบฉะฉานจนผมถามกลับ คำถามที่ไม่รู้ว่าถามเธอ หรือถามใจผมเอง

   “แล้วหนีทำไม?”

   “เพราะฉันเป็นมนุษย์”

   สั้น เรียบง่าย แต่ได้ความหมายชัดเจน ซินไม่เคยพูดยาวเยิ่นเย้อ ไม่แปลกใจเลยถ้าเธอจะถูกนิยามจากคนที่เพิ่งรู้จักกันว่าหยิ่งยโส ผมเคยคุยกับเธอผ่านแค่ตัวอักษรถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้รู้สึกเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันมากเท่าไหร่เมื่อต้องมาพูดคุยกันโดยเห็นหน้าตาอย่างนี้ ผมกลับชอบที่เธอเป็นแบบนี้เสียอีก น้ำเสียงราบเรียบที่เหมือนกราฟเส้นตรงทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด

   ...ยิ่งได้พูดคุยกับเธอยิ่งรู้ว่าไม่ควร ใจผมคิดถึงแต่ผู้หญิงอีกคน

   ผมไม่เคยโทษความมึนเมา ไม่โทษบรรยากาศ ไม่โทษเธอที่พูดอะไรแปลกๆ ผมโทษตัวเองที่ปล่อยให้ความอ่อนแอครอบงำความรู้สึกทั้งหมด จนตัดสินใจพูดอะไรแบบนั้นออกไป

   “ถ้าบอกว่าหนีความจริงมา ตอนนี้ก็คงเป็นความฝันสินะ”

   ผมรู้ผมกำลังหลอกตัวเอง...

   “มาตกลงกันไหม เราสองคนจะอยู่ด้วยกันจนสิ้นสุดการหนี จากนั้นต่างคนต่างไป เรากลับไปเป็นคนที่คุยกันผ่านแชตแบบเดิม”

   แต่ตอนนี้ผมยังไม่เข้มแข็งพอที่จะเผชิญความจริง

***
มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 15 [30.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 30-01-2016 22:05:29

   “น้ำตก?"

   “ใช่ จากที่นี่ประมาณ 10 นาทีก็ถึง”

   “...”

   “ผมกลัวคุณเบื่อ”

   ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงออก เกือบสัปดาห์ที่ผ่านมาชีวิตผมวนเวียนแค่ตื่นเช้ามากินข้าว กลางวันเข้าไปเดินเล่นในสวน สักสี่โมงก็เลาะไปลำธารข้างล่างดูเด็กๆ ของชาวบ้านเล่นน้ำ กลับขึ้นมาทานข้าวเย็นที่ทำเองบ้าง ฝากคนดูแลบ้านทำบ้าง นั่งเป็นเพื่อนซินอยู่ตรงระเบียงตอนกลางคืน แล้ววนกลับเหมือนเดิมในเช้าวันต่อมา

   ความตั้งใจแรกของผมตอนที่จะมาพักที่นี่มันรวมถึงทริปน้ำตกอยู่แล้ว แต่เพราะซินดูไม่ชอบออกไปข้างนอกมากเท่าไหร่ ผมเลยไม่กล้าที่จะชวนไปไหนมาไหน

   ตอนนี้สถานะของเราเป็น ‘คู่สัญญา’ เป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่ผมยื่นข้อเสนอในคืนนั้น ซินก็ตอบกลับมาง่ายๆ ว่า ‘ตามนั้น’ ไม่มีถามเงื่อนไข ไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไร เหมือนเธอไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความกลัวหรือความระมัดระวังเลยสักนิด

   ...ไม่รู้จัก หรือไม่มีอะไรให้ต้องกลัวไปมากกว่านี้ก็ไม่รู้

   “ไม่ได้เบื่อ ก็ไปได้”

   “งั้นอีกครึ่งชั่วโมงออกเดินทาง ไปเตรียมตัวได้เลย”

   ผมยิ้มให้เธอยามที่ตอบตกลง ซินพยักหน้ารับรู้แล้วเดินตัวปลิวเข้าห้องนอนของตัวเอง บ้านหลังนี้มีสองห้องนอน ห้องรับรองแขกเลยได้หน้าที่ของมันอย่างเต็มความสามารถอยู่ในเวลานี้ ผมไม่ต้องเสียเวลาเตรียมอะไรมาก เมื่อออกมาแล้วยังพบว่ามีเวลาเหลืออยู่อีกพอสมควร เดินออกไปเช็คสภาพเครื่องจักรยานยนต์ที่ปกติแล้วจะให้คนดูแลเอาไปขับเพื่อรักษาสภาพไว้ให้ทำงานได้ปกติ พอมั่นใจว่ามันจะไม่มีอะไรผิดพลาดกลางทางก็พิงรถรอใครอีกคน

   ถ้าพูดตามตรงคือเราสองคนดูใช้ชีวิตได้เป็นปกติอย่างมาก ไม่มีความรู้สึกว่าเมื่อวันก่อนนั้นเราเป็นคนแปลกหน้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ตื่นเช้ามาก็ช่วยกันทำอาหาร อย่างวันก่อนเธอก็ตามผมเข้าไปในสวน ตอนดึกก็นั่งเล่นอยู่ตรงระเบียง ซินไม่เหมือนคนที่กำลังหนี หรือถ้ากำลังหนีจริงๆ ก็เป็นคนที่ใจเย็นมากเลยทีเดียวล่ะ

   “นี่” เสียงเรียบแบบกราฟเส้นตรงเรียกสติผมกลับมา “เสร็จแล้ว”

   เธอไปเปลี่ยนจากเสื้อขาวเป็นเสื้อสีดำ กางเกงยีนส์ขาสั้นยังเป็นตัวเดิม นี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อสังเกตที่ผมได้มา ซินเป็นผู้หญิงที่ใส่เสื้ออยู่แค่สามสี ขาว เทา ดำ แม้แต่การเลือกเสื้อผ้าก็ยังแปลกในความรู้สึกผม ไม่รู้สิ ถ้าเป็นวัยรุ่นทั่วไปก็คงเลือกเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสมากกว่าสีที่ดูเหมือนไว้ทุกข์ตลอดเวลาอย่างนี้

   “มอ’ไซต์นะ”

   เธอไม่ได้ตอบมาเป็นคำพูด เหวี่ยงตัวเองขึ้นมาซ้อนท้ายผม นั่นผมจะถือว่าไม่มีปัญหาแล้วกัน

   ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีตามที่บอก เราก็มาถึงจุดหมายที่ต้องการ โชคดีที่วันนี้เป็นวันธรรมดาคนเลยไม่มากเท่าไหร่ จากที่จอดรถต้องผ่านร้านค้าที่จัดเรียงไว้ตามข้างทาง ผมคิดว่ามันเป็นการตลาดแบบบังคับที่เยี่ยมยอดมาก เพราะนี่เป็นทางเดียวที่จะขึ้นไปน้ำตก

   คนข้างกายไม่หยุดอยู่ร้านไหนร้านหนึ่งเป็นพิเศษ เธอเดินช้าๆ คอยสอดส่องซ้ายขวาไปเรื่อย ท่าทางเหมือนไม่เคยมาเที่ยวในสถานที่แบบนี้ ความจริงถ้าดูจากผิวซีดๆ ของเธอผมคงไม่แปลกใจถ้าเธอจะบอกว่าใช้เวลาในวันหยุดไปกับการอยู่ในบ้านหรือที่ร่ม ชีวิตแบบนั้นน่าเบื่อจะตาย คุณไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?

   สุดท้ายมาจบอยู่ที่ร้านขายของสารพัดอย่าง ซินแยกตัวไปอยู่ตรงหน้ากระบะน้ำแข็งที่มีเครื่องดื่มแบบขวดแช่อยู่เต็มไปหมด ผมเลยมายืนอยู่ตรงหน้าชั้นเหล็กที่เต็มไปด้วยโปสการ์ดหลากหลายรูปแบบ บางแผ่นก็ดูเหลืองกรอบ บ่งบอกได้ว่าอยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่ มันกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่เราจะซื้อ ‘ของฝาก’ เป็นเจ้ากระดาษแผ่นเล็กนี้ทุกครั้งที่ออกเดินทางไปที่ไหนก็ตาม ผมแค่นยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น สุดท้ายแล้วก็ยังคงคิดถึงเธออยู่ตลอด

   “สวยดี”

   ไม่รู้ว่าเลือกเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอวางน้ำเปล่ากับน้ำชายี่ห้อดังลงตรงชั้นที่อยู่ข้างๆ

   “ลายไหน?”

   “ก็สวยหมด”

   “งั้นเลือกให้หน่อย สองใบ”

   นัยน์ตาที่ว่างเปล่าช้อนขึ้นมามอง เธอไม่ได้สูงโปร่งขนาดนางแบบ แต่ก็ไม่ได้ตัวเล็กจนเกินไป เรียกได้ว่าพอดี พอดีในแบบของเธอเอง ”ต้องซื้อของฝากไปให้เพื่อนน่ะ”

   คงเป็นคำตอบที่น่าพึงพอใจ เธอเลยไม่ได้ถามอะไรต่อ ซินหันไปให้ความสนใจกับโปสการ์ดหลากหลายรูปแบบที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าด้านข้างที่ผมเห็นกำลังตั้งอกตั้งใจเลือกอย่างเต็มที่ ไม่ควรเข้าไปรบกวนเป็นอย่างยิ่ง ข้างๆ โปสการ์ดกองใหญ่คือกล้องฟิล์มแบบใช้แล้วทิ้ง ผมไม่ได้เห็นเจ้าสิ่งนี้มานานมากจนลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนก็เคยใช้มันหลายครั้งเหมือนกัน

   เริ่มตั้งแต่สมาร์ทโฟนเข้ามามีบทบาทในชีวิตมนุษย์ ทุกอย่างที่เป็นดิจิตอลค่อยๆ ดูดกลืนความเป็นอนาล็อค ที่จริงผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะใช้เจ้าเครื่องสารพัดประโยชน์ให้น้อยที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ มันเลยนอนนิ่งอยู่ในลิ้นชักหัวเตียง จะหยิบมันมาตรวจการโทรเข้าออกแค่ก่อนนอนเท่านั้น ส่วนคนข้างๆ ที่ยังคงอยู่ในโลกของโปสการ์ดน่ะไม่เคยแม้แต่จะเห็นตัวเครื่องด้วยซ้ำ สมกับที่เธอบอกว่าหนี คงไม่อยากให้ใครตามรอยได้ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่ เธอดูไม่เร่งร้อน ไม่กลัวมีคนตามเจอ หรือเธอเชื่อว่าตัวเองจะปลอดภัยอย่างแน่นอน?

   หยิบขึ้นมากล่องหนึ่งโดยไม่ลังเล เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอเหลือแผ่นกระดาษในมือเพียงสองใบ ทั้งสองแผ่นเหมือนกันตรงที่เป็นภาพขาวดำ ภาพหนึ่งเป็นกลุ่มเด็กกำลังเล่นน้ำตก และอีกภาพเป็นเนินน้ำตกจากมุมสูง ปกติผมไม่ชอบภาพขาวดำเพราะมันดูหม่นหมอง แต่คงเป็นเพราะคนตรงหน้าเป็นคนเลือก มันเลยกลายเป็นภาพที่ดูสื่อตัวตนของเธอออกมาได้เด่นชัด

   “ทั้งหมดสามร้อยสี่สิบบาทจ้ะ”

   กำลังจะยื่นแบงค์ร้อยสี่ใบให้คนตรงหน้า สายตาหันไปเห็นหมวกแก๊ปสีขาวห้อยลงมาจากชั้น หยิบมันลงปัดฝุ่นแดงที่เกาะอยู่แล้วสวมมันลงบนศีรษะของคนที่กำลังพยายามแกะซีลพลาสติกของขวดน้ำ เธอเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อย่าคิดว่าผมจะปล่อยให้เธอปฎิเสธ

   “ไม่ต้องทอนครับ”

   ราคาหมวกเมื่อรวมแล้วไม่เกินแน่ๆ กึ่งชวนกึ่งบังคับให้คนที่ยังทำหน้าตาไม่เข้าใจเดินมานั่งศาลาที่อยู่ไม่ไกลจากทางขึ้นน้ำตก

   “ห้ามถอดด้วย” ดักคอไว้ก่อนเป็นการดีที่สุด อากาศวันนี้ร้อนไม่ใช่เล่น คนตัวเล็กกว่าเหมือนไม่เคยออกแดดหรือออกกำลังกายด้วยซ้ำ ผมกลัวว่าร่างกายของเธอจะไม่ไหว

   น้ำชาพร่องไปพอควร เธอตีขาไปมาขณะที่รอผมจัดการกับเจ้ากล้องตัวใหม่ เช็คสภาพรวมถึงวันหมดอายุของฟิล์มให้เรียบร้อย เมื่อแน่ใจว่ามันยังคงทำงานได้ก็ตั้งใจจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง เสียงร้องไห้จ้าดังมาจากทางเดิน เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายตัวใหญ่ที่น่าจะเป็นพ่อ บริเวณฝ่าเท้าน้อยๆ มีร่องรอยของบาดแผล ให้ตาย ผมลืมไปเลย

   “ซิน”

   เธอคงรู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร “ฉันไม่ใช่เด็ก”

   “เอามาแลกกัน”

   “ไม่เป็นไร”

   “อย่าดื้อน่า”

   ไม่เปิดโอกาสให้โต้เถียง ผมก้มลงจับข้อเท้าของเธอแล้วหยิบรองเท้าแตะแบบคีบสีดำออก

   “นี่!” ถ้าผมยังไม่บอก ซินไม่เคยเรียกผมว่าเวลาหรือเวลตามที่เคยบอกเลย ชื่อที่เธอใช้เรียกคือ ‘นี่’ และผมก็ชินไปแล้วล่ะครับ

   “ผมลืมบอกให้ใส่รองเท้าผ้าใบมา”

   การเดินขึ้นภูเขาตามชั้นน้ำตกควรใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าที่เหมาะกับการปีนป่าย รองเท้าแตะแบบคีบอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ยามที่ต้องเดินผ่านก้อนหินหรือลำธาร ผมเคยมาแล้วเลยเตรียมตัวมาพร้อม ไม่เหมือนคนที่กำลังแสดงอาการไม่พอใจอยู่ตอนนี้

   “ฉันดูแลตัวเองได้”

   “ตอนนี้ผมคือคนดูแลคุณ”

   “ฉันดูแลตัวเอง”

   ซินดื้อ แต่ผมบอกเลยว่าผมสามารถดื้อได้มากกว่า เปลี่ยนจากนั่งข้างๆ มาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า แรงที่เยอะกว่าทำให้ผมชนะคนที่กำลังดิ้น แม้จะมั่นใจว่าขนาดรองเท้าผ้าใบของตัวเองจะต้องใหญ่กว่าพอสมควร แต่ผมก็เปลี่ยนให้จนสำเร็จทั้งสองข้าง ผมไม่ยอมให้เธอเปลี่ยนเองหรอก ขืนทำอย่างนั้นอย่าหวังเลยว่าวันนี้จะได้ขึ้นไปด้านบน

   การแลกรองเท้าใส่ทำให้ผมต้องพยายามยัดเท้าขนาดผู้ชายลงไปในรองเท้าของผู้หญิง ไม่ได้แย่อย่างที่คิด แต่ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ และบางทีผมว่ามันก็ดูพิลึกไม่ใช่น้อย

   “คู่สัญญาต้องทำอะไรขนาดนี้เลยรึไง?”

   ผมส่งยิ้มให้เธอ ยิ้มที่กลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง

   “นั่นสินะ”

   “นั่นไม่ใช่คำตอบ”

   “ก็นั่นสินะ”

   “ไร้สาระ...”

   คำที่เหมือนกับก่นว่าทำให้ผมอารมณ์ดี “ก็นั่นสินะ”

 

   สองข้างทางเต็มไปด้วยไม้ป่านานาพรรณ น้ำตกมีทั้งหมดเจ็ดชั้นและเรากำลังข้ามไปยังชั้นที่สี่ ที่นี่ก็เหมือนกับแหล่งน้ำตกทั่วไปที่ไม่มีการถางอะไรเป็นกิจลักษณะ อาศัยการเหยียบย่ำในบริเวณเดียวกันซ้ำๆ จนกลายเป็นทางเดินตามธรรมชาติ ผู้หญิงในชุดลำลองรองเท้าผ้าใบยังคงเดินต่อไปโดยไม่มีอาการเหนื่อยหอบอย่างที่คาดการณ์ไว้

   จนมาถึงจุดพักผมจึงได้รู้ว่าผู้หญิงผิดซีดคนนี้ไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด เราสองคนเดินขึ้นมาโดยไม่มีการหยุดพักและเธอก็ไม่ได้ปริปากบ่นออกมาสักคำ หมวกถูกสะบัดไปมาแทนพัด ใบหน้าสวยแปลกนั่นมีเหงื่อซึมไม่ใช่น้อย ผมเลยยื่นผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวไว้ตลอดไปให้

   “เอ้า!”

   สายตาที่ผมบอกว่าว่างเปล่าทำให้ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “ไม่เป็นไร”

   “เหงื่อไหลขนาดนี้ยังบอกไม่เป็นไร?”

   “นิดเดียว"

   “ครับ นิดเดียว”

   ไม่รอให้ปฎิเสธ ผมจัดการซับเหงื่อบริเวณข้างแก้มทั้งสองข้างจนพอใจโดยเลือกที่จะมองผ่านคิ้วโก่งที่กำลังขยับเข้ามาชิดกัน แก้มที่เริ่มมีสีฝาดทำให้เธอดูสมกับเป็นมนุษย์ขึ้นมาหน่อย ไม่งั้นปกติซีดจนนึกว่าไม่มีเลือด ยิ่งรวมกับพฤติกรรมที่ชอบอยู่ตอนกลางคืนแล้วเหมือนแวมไพร์ไม่มีผิด

   “ผ้าเช็ดหน้าผมเหม็นเหรอ?”

   “...”

   “เพิ่งหยิบผืนใหม่มานะ”

   “ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

   “ค่อยยังชั่ว”

   ในความรู้สึกผมซินไม่ใช่คนหยิ่ง เธอแค่ชอบที่จะเลือกคำพูดที่ดูสั้นกระชับมากที่สุดในการสนทนามากกว่า และจะเลือกตอบเฉพาะในเวลาที่อยากจะตอบเท่านั้น

   ใบหน้าที่เริ่มออกอาการไม่พอใจชัดเจนทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องขึ้นมาบันทึกภาพไว้ ตัวเลขบนตัวกล้องถอยหลังลงไปเรื่อยๆ เพราะมันเป็นกล้องที่ถูกจำกัดจำนวนไว้เพียง 39 รูป มันทำให้การกดปุ่มแต่ละครั้งต้องใช้สมาธิและการตัดสินใจที่เด็ดขาดมากเหลือเกิน

   [27]

   หมวกสีขาวถูกสวมกลับเข้าไปอย่างรวดเร็วพอๆ กับร่างของเธอที่ผ่านผมไป สองเท้าทำได้เพียงรีบก้าวเดินตามไปให้เร็วที่สุด ผมรู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเห็นแผ่นหลังเล็กๆ ที่อยู่ข้างหน้าขยับไปข้างหน้าโดยไม่หยุดพักแล้วก็กดชัตเตอร์อีกครั้ง มันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมหลงรักการใช้กล้องฟิล์ม เรากำลังอยู่ในโลกที่การถ่ายภาพไม่จำเป็นต้องมีการจัดองค์ประกอบ ไม่ต้องกังวลเรื่องแสง ไม่ต้องห่วงเรื่องจำนวนภาพที่ถ่ายได้ในแต่ละครั้ง จนเราลืมไปแล้วว่าความรู้สึกใส่ใจเป็นแบบไหน

   [23]

   เปลี่ยนจากแผ่นหลังของคนข้างหน้ามาเป็นทิวทัศน์ไม่ก็ผู้คนที่เดินผ่านสวนกันไปมา ผมหลงรักเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมนี้ เพราะมันเป็นครูที่ดีอย่างหนึ่ง บทเรียนสำคัญที่ผมได้รับคือโอกาสที่มาพร้อมกับการตัดสินใจ ภาพตรงหน้ามีแค่สองทางเลือกคือบันทึกด้วยความทรงจำหรือบันทึกด้วยกล้อง ไม่มีทางเลือกอื่น ไม่มีการย้อนกลับมา

   [18]

   “นี่” รู้ตัวโดยความเคยชินว่าคนข้างหน้าเรียกผม

   “ครับผม?”

   “ทำไมถึงยังเดินต่อ”

   เธอหยุดเดิน สายตามองตรงไปยังทางที่เราเดินผ่านมา

   “ขอทวนคำถาม”

   “ทำไมถึงยังเลือกเดินไปต่อ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะถึง ...ไม่สิ ไม่รู้ว่ามีจุดสุดท้ายรึเปล่า”

   “คุณคงไม่ได้หมายถึงข้างบนนั่น”

   ผมชี้ไปยังทางเดินตรงหน้า คำถามที่แฝงความนัยเอาไว้อย่างชัดเจน เธอกำลังถามถึง ‘การหนี’ ของเราสองคน ไม่มีทางหรอกที่มนุษย์จะมั่นคงได้ขนาดนั้น เธอกำลังถามคำถามที่ค้างอยู่ในใจของตัวเอง และอยู่ในใจของผมด้วยเหมือนกัน

   เพราะทางที่เราสองคนเลือกเดินมันช่างอันตราย

   “ทางที่คุณและฉันกำลังเดินอยู่”

   ตอนแรกผมเดินตามหลังเธอมาตลอดเพราะกลัวเธอจะเหนื่อยแล้วล้มไปไม่ก็หันกลับมาอาจไม่เจอผู้หญิงแปลกๆ คนนี้แล้วก็เป็นได้ เปลี่ยนมาเดินอยู่ข้างๆ เพื่อให้ตอบคำถามถนัดหน่อย
 
   “เป็นคำถามที่น่าสนใจ”

   “จะตอบว่า?”

   ช่วงหน้าที่พ้นจากหมวกสีขาวกำลังรอคอยคำตอบ ซินยังคงก้าวเดินต่อไปข้างหน้า มีหลายครั้งที่ผมพยายามช่วยพยุงเธอไว้ แต่แน่นอนว่าความช่วยเหลือไม่เคยไปถึง เธอดูแลตัวเองได้ดีอย่างที่บอกผมไว้ตั้งแต่แรก

   ถ้าทางข้างหน้าไม่รู้ว่าจะมีจุดจบรึเปล่างั้นเหรอ

   ทำไมคำถามที่ไม่น่าจะตอบยากถึงทำให้ผมต้องมาคิดอะไรมากมายอย่างนี้ด้วยนะ ถ้าเธอหมายถึงการมาเดินเที่ยวอย่างนี้แน่นอนว่าถ้าคุณเดินไปถึงจุดๆ หนึ่งมันย่อมมีจุดสุดท้ายหรือจุดสิ้นสุดของการเดินให้อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องปกติ มีแต่คนที่ยอมแพ้ก่อนนั่นแหละที่จะไปไม่ถึง มันเหมือนการแข่งขันที่ไม่ได้วัดกันที่ความสามารถ แต่วัดกันที่กำลังใจและความพยายามที่จะพาตัวเองไปถึงจุดหมายให้ได้

   แต่ถ้าไม่รู้ว่ามีจุดจบรึเปล่า ผมกำลังคิดถึงการว่ายน้ำในมหาสมุทร เพราะมองไปตรงไหนก็ไม่เห็นพื้นดิน นั่นสิ...ทำไมถึงเลือกที่จะว่ายต่อไป ไม่มีทางรู้เลยว่าอีกไกลแค่ไหนจะถึง ...หรืออาจไม่ถึงด้วยซ้ำ

   “เพราะผมมีความหวัง”

   ผมตอบตามความรู้สึกของตัวเอง

   “หวัง?”

   “ใช่ หวังว่าข้างหน้าจะดีกว่าตรงนี้”

   “มั่นใจ?”

   ความสงบเงียบทำให้เสียงของเธอดังกังวาล น้ำตกชั้นที่ห้าคือชั้นที่สูงที่สุดที่ผมเคยมา เพราะคราวนั้นเรามากันเย็นมากแล้ว เจ้าหน้าที่เลยไม่เปิดให้ขึ้นไปถึงชั้นสุดท้าย ผมเพิ่งสังเกตว่าไม่มีคนเดินสวนลงมาหรือมีใครเดินตามหลัง ตอนนี้เหลือเพียงผมกับเธอเท่านั้น

   [12]

   ผมไม่ตอบเธอ หันมาให้ความสนใจกับทางเดินหินตรงหน้า มันเป็นเส้นทางน้ำขนาดใหญ่ ถ้าจะข้ามไปอีกฟากต้องเหยียบก้อนหินไปเรื่อยๆ จนถึงอีกฝั่ง ทางเดินที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมชาติมาตั้งแต่แรกหรือมนุษย์ทำให้ดูเหมือนเป็นธรรมชาติไปเสียแล้ว

   ยื่นมือกลับมาให้คนด้านหลังจับ เผื่อว่าถ้าลื่นไปก็ยังสามารถพยุงกันได้อยู่ เธอมองมือของผมแล้วเงยขึ้นมาสบตา นั่นคงหมายความว่าไม่จับสินะ

   ซินเป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ

   “เดี๋ยวลื่น ก้อนหินพวกนี้กลม”

   “ไม่ลื่น” คำตอบมั่นใจในตัวเอง

   “อย่าดื้อ”

   เธอไม่ตอบ ยืนอยู่เฉยๆ บนก้อนหินที่ผมเพิ่งเหยียบผ่านมา ไม่มีอาการใดๆ แสดงออกบนใบหน้า ผมไม่เคยเจอใครที่อ่านยากเท่าเธอมาก่อน ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออารมณ์ดีร้ายแค่ไหน

   “ฉันดูแลตัวเองได้”

   นั่นเป็นพูดซ้ำครั้งที่สองหรือสามนะ หรือครั้งที่สี่ก็จำไม่ได้ ต่างจากอีกคนที่ดูแลตัวเองไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ตั้งแต่ผมจำความได้ผมก็ดูแลสามมาตลอด ไม่ใช่ว่าสามทำอะไรไม่เป็น แต่ผมอยากที่จะดูแลเธอในทุกเวลา พอมาเจอคนที่ย้ำว่าสามารถดูแลตัวเองได้เลยไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน

   “ผมแค่อยากดูแลคุณ”

   “เพราะ” น้ำเสียงยังคงราบเรียบ

   “บอกไปแล้วว่าอยากทำ”

   เธอคงไม่พอใจในคำตอบนั้น ริมฝีปากบางพึมพำอะไรสองสามประโยคแล้วหมุนตัวกลับไปอีกฝั่ง ผมเตรียมขยับตามจังหวะการเดินของเธอ ผู้หญิงผิวซีดก้าวข้ามครั้งแรกไปอย่างง่ายดาย แต่ไม่มีก้าวที่สองเกิดขึ้น ร่างเล็กๆ โอนเอนไปมาเหมือนรักษาสมดุลไม่ค่อยได้ก่อนที่ทั้งร่างจะโน้มตัวลงสู่น้ำ

   “ระวัง!”

   ร่างกายพุ่งไปก่อนที่จะคิด หลังจากที่ควบคุมสติตัวเองให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้ ผมถึงรู้ว่าตัวเองเข้ามารับซินได้ทัน โชคดีที่เธอไม่ได้ตกน้ำไปอย่างที่กลัว เธอเปียกเพียงแค่ครึ่งแข้งเพราะหล่นลงมาบริเวณที่เป็นลำธาร ไม่ต่างกับผมเท่าไหร่ ผู้หญิงในอ้อมกอดนิ่งจนผมกลัวใจ กลิ่นหอมแบบที่ผมไม่เคยสัมผัสปะทะเข้าเต็ม กลิ่นที่ดูเหมือนจะหวาน...แต่กลับเย็นยะเยือก

   “เอ่อ ขอโทษนะ” ผละออกอย่างว่องไว สายตาสอดส่องดูว่าคนที่เมื่อกี้อยู่ในอ้อมกอดบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ พื้นน้ำเต็มไปด้วยหินขนาดเล็กและแหลมคม ผมเองก็รู้สึกระคายผิวไม่ใช่น้อย

   “ดีที่ใส่ผ้าใบ"

   “...”

   ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายทาง มันยากที่จะเดาว่าตนข้างหน้ากำลังรู้สึกอะไรอยู่รึเปล่า เหมือนคุณอยู่กำลังคุยอยู่กับหุ่นขี้ผึ้งที่ทำหน้าแบบเดียวตลอดเวลา

   “หนาวรึเปล่า เดินต่อเถอะ”

   บรรยากาศดูกระอักกระอ่วน ผมเลยเป็นฝ่ายเดินนำมาก่อน ไหนๆ ก็เปียกแล้วเลยเดินเลาะลำน้ำมาดีกว่า น้ำเย็นเฉียบจนรู้สึกชาเล็กน้อย ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเธอพลาดตกลงไปมันจะแย่มากแค่ไหน แม้เธอจะพิสูจน์โดยการกระทำแล้วว่าเธอไม่ใช่คนที่ดูอ่อนแอ ...แต่สำหรับผมเธอก็ยังไม่ใช่คนที่ดูแลตัวเองได้ดีอยู่นั่นแหละ

   “หืม?”

   ผมรู้สึกได้ถึงแรงรั้ง หันกลับมาก็พบสาเหตุ มือที่กำลังดึงชายเสื้อผมไว้

   “...ขอบคุณ” ไม่ต้องมีสีหน้าประกอบใดๆ แค่เสียงเบานั้นก็ทำให้ผมรู้สึกดี วันนี้เธอทำผมประหลาดใจไปกี่รอบแล้วนะ

   “ผมจะคอยดูแลคุณเอง”

   [11]

   ป้ายที่มีเลขเจ็ดปรากฎ รู้ได้โดยทันทีว่าผมได้ขึ้นมาถึงปลายทาง ธรรมชาติที่ปรากฎเบื้องหน้าทำให้ผมลืมความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไปสิ้น พื้นที่โล่งเต็มไปด้วยสีเขียวจากต้นไม้ เสียงน้ำกระทบลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกผสมกับเสียงนกร้องปนเป จากความสูงนี้ผมสามารถมองไปรอบๆ ได้เกือบร้อยแปดสิบองศา มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียว

   สิ่งที่ดูขัดกับความเป็นธรรมชาติมากที่สุดคือชิงช้าไม้ที่เหมือนจะสร้างขึ้นลวกๆ แค่นำท่อนไม้ใหญ่มาเจาะร้อยเข้ากับเชือกหนาแล้วฟาดกับกิ่งไม้ใหญ่ ผมเดาว่าคงเป็นเจ้าหน้าที่ทำไว้ให้นักท่องเที่ยวที่มานั่งไกวเล่น เหมือนที่ ‘คู่สัญญา’ ของผมกำลังทำ ซินไกวชิงช้าไปมา ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เธอกำลังมองไปที่ไหน หรือกำลังคิดอะไรอยู่ ผมให้คำนิยามเวลาที่เธอนั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ว่า ‘หลุมอากาศ’ เพราะถ้าเธออยู่ในอาการนี้ มันเหมือนมีบาเรียกางรอบตัว พร้อมด้วยป้ายประกาศตัวใหญ่ๆ ว่าห้ามรบกวน นั่นคือโลกที่เธอไม่ต้องการให้ใครเข้าไปใกล้

   ผมก้าวถอยหลังมาจนถึงระยะที่ตัวเองต้องการ จัดมุมที่ตัวเองต้องการมากที่สุดแล้วหยิบกล้องขึ้นมาเตรียมกดปุ่ม

   ...มั่นใจ?

   คำเดิมกลับมาหลอกหลอน ผมบอกเลยว่าถ้าเธอหมายถึงการเดินทางวันนี้มันคุ้มค่ามากกับการที่ไม่ถอดใจไปกลางทาง ผมพร้อมที่จะตอบเธอทันทีว่าผมมั่นใจ แต่ถ้ามันเป็นทางที่ไม่มีจุดจบแบบที่เธอถาม ผมคิดถึงการหนีของเราสองคน...

   ซินบอกว่าเธอหนีไม่พ้น แต่เธอก็ยังหนี มันก็เหมือนกับการเดินที่ไม่มีจุดจบนี่แหละ สำหรับผมแล้ว ‘ความหวัง’ คือสิ่งที่ทำให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้ ผมหวังว่าผมจะเจออะไรที่ดีกว่า แต่สำหรับเธอผมไม่รู้... ว่ามันจะดีกว่าสำหรับเธอรึเปล่า

   ตั้งท่าให้พร้อม ขยับปากเรียกคนที่ยังคงอยู่ในหลุมอากาศ

   “ซิน”

   ไม่รอให้เสียเวลา ทันทีที่ร่างนั้นขยับผมก็กดชัตเตอร์ไปโดยไม่ลังเล ภาพผู้หญิงชุดดำบนชิงช้า หมวกสีขาวถูกสลับฝั่งให้ปีกหมวกอยู่ข้างหลัง ยามที่ครึ่งหน้าเผยให้เห็นจึงไม่มีสิ่งใดขวางกั้นไว้ บรรยากาศข้างหลังคือท้องฟ้ายามบ่ายแก่ที่สดใสเกินคำบรรยาย

   [10]

   เหลืออีกสิบภาพ อาจดูแปลกแต่ผมกลับเก็บอุปกรณ์บันทึกความทรงจำลงในกระเป๋าเป้ ความรู้สึกตอนนี้คือผมได้ภาพที่ดีเกินพอแล้ว แม้จะเหลือพื้นที่ให้เก็บแต่ผมไม่ต้องการมันสักนิด

   “ผมจะให้คำตอบคุณ เรื่องที่คุณถาม” ไม่มีใครอื่นบริเวณนี้ ผมเลยสามารถใช้เสียงได้เต็มที่ “แต่คุณต้องให้คำตอบผมมาก่อน”
คำถามที่ไม่รู้ว่าควรจะถามไปหรือไม่

   “ถามมา” น้ำเสียงมั่นคง นั่นแหละคือซิน

   “ถ้าเป็นคุณ จะเดินต่อรึเปล่า” ก้าวเท้าเข้าไปใกล้บริเวณนั้นมากขึ้น “...ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอยู่ตรงไหน”

   ก้าวช้าๆ เหมือนเป็นการถามตัวเองไปในตัวว่าการ ‘หนี’ นี้จะยาวนานไปถึงเมื่อไหร่ แล้วสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้คือการหนีที่มีจุดจบรึเปล่า

   ใบหน้าสวยแปลกมองตรงมาอย่างท้าทาย เธอชี้ลงไปที่ข้อเท้าของตัวเอง

   “ฉันไม่มีทางไปถึงจุดหมาย...” อ้างว้างทั้งนัยน์ตาและน้ำเสียง “ตราบใดที่ยังมี ‘โซ่’ ตรึงฉันไว้อยู่”

   “ผมไม่นับว่าเป็นคำตอบ”

   เธอยิ้มให้ผม ยิ้มเศร้าแกมสงสาร

   “ชะตาฉันถูกกำหนดไว้แล้ว”

   “ชะตาอะไรของคุณ"

   “ฉันตอบคำถามแล้ว ตาคุณตอบ” อยากจะสบถออกมายาวเหยียด ผู้หญิงคนนี้แปลกเกินกว่าที่ผมจะรับได้ในบางที คิดว่าผมไม่รู้หรือไงว่ามันคือการเบี่ยงประเด็น

   “นั่นไม่ใช่คำตอบนะซิน”

   “ก็นั่นสินะ”

   คำเดิมที่ผมเคยใช้กลับมาเล่นงานตัวเอง เธอยังคงไกวชิงช้าไปมาเอื่อยๆ เอียงคอให้ผมเล็กน้อยเป็นการเร่งให้ผมทำตามคำพูดที่เคยให้ไว้

   “ผมไม่มั่นใจว่าทางข้างหน้ามันจะดีกว่า แต่ผมก็จะเลือกเดินต่อ เพราะสำหรับผมมันดีกว่าการยืนอยู่ที่เดิม”

   ไม่มีอะไรทำให้ผมทรมานได้เท่าการยอมรับความจริงว่าที่ข้างๆ เธอไม่ได้มีไว้สำหรับผม

   “นั่นคือคุณมั่นใจนั่นแหละ”

   “ไม่ ผมไม่มั่นใจ” มือจับเชือกเส้นหนาไว้มั่น ผมออกแรงให้มันเอนไปมา “ถ้าพูดให้เจาะลึกลงไป สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าคือระหว่างทาง ไม่ใช่ปลายทาง ... ผมกำลังอ่อนแอ และสิ่งที่ผมเลือกทำคือการออกเดินทางเพื่อเรียกความเชื่อมั่นว่าผมสามารถอยู่ต่อไปได้ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม และถ้าผมสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ ปลายทางมันจะไม่สำคัญอะไรเลย”

   จากมุมนี้เธอพยักหน้ารับรู้การอธิบายของผม

   “ผมไม่ใช่นักทำนาย ผมไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าทางข้างหน้าจะดีกว่าตรงนี้รึเปล่า แต่ที่ผมรู้แน่ๆ ถ้าเดินต่อไปแล้วทางข้างหน้ามันไม่ได้ดีอย่างที่คิด ก็ไม่มีกฎข้อไหนที่ห้ามไม่ให้ผมเดินกลับมาที่เดิมนี่”

[End : เวลา]

***
   กล้องแบบใช้แล้วทิ้งเป็นอะไรที่เล่นสนุกจริงๆ นะคะ ถึงราคาจะไม่ค่อยสนุกตามในบางรุ่นก็เถอะ (หัวเราะ)
   ตอนหน้าทั้งตอนก็ยังคงเป็นพาร์ทของเวลนะคะ เจ้าน่าจะลงประมาณวันพุธหรือไม่ก็วันพฤหัสตามเดิมให้วันอาทิตย์กลับไปลงในส่วนของที่หนึ่งต่อได้ ที่ต้องปล่อยให้เป็นพาร์ทของเวลต่อเนื่องยาวอย่างนี้เพราะเขาสองคนที่คนที่จะทำให้เรื่องเดินต่อได้ค่ะ หมดสองตอนนี้แล้วคงเป็นที่หนึ่งยาวจนจบเลย ตอนนี้พอจะคำนวณตอนจบไว้คร่าวๆ ได้แล้วค่ะ เฮ
   เข้าใจว่าอาจไม่ถูกใจ (หรือเจ้าอาจคิดไปเอง) แต่ก็อยากให้อยู่กับเวลต่อไปในตอนหน้านะคะ ความรักมันไม่เคยมีนิยามเนอะ (ยิ้ม)
   ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 15 [30.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 02-02-2016 15:56:18


ไม่เป็นไรค่ะ จะคู่ไหนเราก็รออ่าน (แม้จะอยากอ่านสิปป์นิชเยอะ ๆ ก็ตามเถอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
เวลกับไวท์นี่ไม่น่าจะมีโมเมนท์หวาน ๆ กันได้เลยเนอะ... คือเอาจริง ๆ เราสัมผัสได้ถึงการอยู่ร่วมกันโดยสันติของทั้งสองนะคะ
แต่ถ้าไม่มีช่วงให้หนุ่มสาวสปาร์ค เราว่าไวท์มีความเป็นมาสคูลีนสูงจนให้บรรยากาศของการเป็นเพื่อนมากกว่าพอสมควร - นี่ถ้าเรื่องนี้ดุเด็ดเผ็ดมันและดาร์คกว่านี้ เราว่าไวท์นี่ให้อารมณ์เหมือนลิซเบธ (The Girl with the Dragon Tattoo) ยังไงก็ไม่รู้ค่ะ (คือถ้าเข้าพระเข้านางกันแล้วไวท์บังคับการเองตั้งแต่ต้นจนจบเราก็ว่าไม่แปลกเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

อย่างไรก็ดี... เรารออ่านตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อเลยค่ะ สู้ ๆ นะคะคุณเจ้า ^^  :L2:

หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 15 [30.01.16]
เริ่มหัวข้อโดย: DE SaiKuNee ที่ 03-02-2016 21:05:13
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 16 [04.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 04-02-2016 20:17:21
บทที่ 16


[Side : เวลา]

   "ภาพสวยนะ ขนาดเป็นกล้องพลาสติก"

   "ต้องขอบคุณบรรยากาศครับ"

   ผมตอบกลับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ระหว่างที่ตรวจสอบความเรียบร้อยของม้วนฟิล์มในซองรวมถึงรูปถ่ายที่อัดออกมา

   "เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครเอาฟิล์มมาล้างกันแล้ว จะมีก็แต่ลูกค้าประจำเลยยังไม่ยกเลิก ถ้าเราไม่ทำเขาก็ไม่รู้จะไปให้ที่ไหนช่วย"

   "อย่างน้อยวันนี้พี่ก็ช่วยชีวิตผมไว้แล้วล่ะครับ"

   "ได้เห็นภาพสวยๆ ก่อนใครก็เป็นกำไรสำหรับอาชีพนี้แหละ"

   "น่าอิจฉาจัง"

   มือยังคงเปิดไล่เช็คภาพทีละแผ่น ความไวแสงของฟิล์มที่มากอยู่มันช่วยให้รูปที่ออกมามีสีสันแปลกตากว่าที่คิดไว้ แม้บางภาพจะมัวไปหน่อยจากการถ่ายในพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีแสง ได้แต่ทำใจเพราะใช้เพียงกล้องชนิดชั่วคราว

   "อ้อ ส่วนตัวพี่ชอบภาพนี้ที่สุดนะ"

   'ภาพนี้' คือกระดาษมันแผ่นสุดท้ายของเล่ม ผมเปิดค้างไว้ในขณะที่สายตากวาดมององค์ประกอบโดยรวมของภาพ มันเป็นจังหวะที่เธอกำลังหันมาทางผมอย่างที่จงใจไว้ แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจนผิวที่ขาวอยู่แล้วยิ่งดูสว่างเข้าอีก ถึงภาพที่ได้กับที่เห็นด้วยตาตัวเองจะไม่ได้มุมที่ตรงกันมากนักมันก็ยังสร้างความพึงพอใจให้ผมอยู่ไม่น้อย

   ไม่มีใครไม่ชอบภาพที่ตัวเองถ่ายหรอก

   "นางแบบสวยดี แฟนเหรอ?"

   "...เปล่าครับ" ผมปฏิเสธกลับแล้วเก็บทุกอย่างใส่ซองแบบเดิม "เราไม่รู้จักกัน"


 
   จากส่วนเมืองมาถึงบ้านใช้เวลาเป็นชั่วโมง นี่ถือว่าโชคดีที่มอเตอร์ไซค์ไม่แผลงฤทธิ์กลางทางอย่างที่คนดูแลบ้านขู่ไว้ ผมลงมาอัดภาพที่ถ่ายไว้คราวก่อนรวมถึงซื้อของใช้จำเป็นหลายอย่าง ชวนซินมาด้วยแล้วนะแต่อีกฝ่ายไม่มาด้วย อย่างกับกลัวว่าถ้าอยู่ในพื้นที่สาธารณะเมื่อไหร่จะโดนจับได้เมื่อนั้น

   ไม่รู้ว่าหนีความจริงหรือหนีอะไรกันแน่

   ช่วงเวลาบ่ายสามของทุกวันถ้าไม่ขีดเขียนอะไรลงในสมุดเล่มเดิมก็ออกไปอยู่ในสวน กิจกรรมกลางแจ้งที่ผมทำตลอดหลายสัปดาห์เปลี่ยนสีผิวให้ออกสีแทน ไหงเธอยังขาวกึ่งซีดได้อยู่อย่างเดิมไม่เคยเปลี่ยนก็ไม่รู้

   "กินอะไ..."

   ตั้งใจจะถามว่าตอนเที่ยงกินอะไรรึยัง เธอทานน้อยยิ่งกว่าที่เขาว่าแมวดมจนน่ากลัวว่าสารอาหารในร่างกายมันต้องรียูสมาใช้ใหม่ ยังคงบอกเหมือนเดิมว่าเธอแปลก

   ที่พูดได้ไม่จบประโยคก็เพราะปลายกระบอกปืนที่กำลังจ่อมาทางผม ซินกับปืนสั้นหนึ่งในเซ็ตของโชว์บนฝาบ้านอันเป็นรสนิยมของคุณตา เมื่อก่อนบ้านหลังนี้เคยเป็นที่พักเวลาคุณตากับเพื่อนมาล่าสัตว์กัน หลังจากมีการรณรงค์ไม่ให้ล่าสัตว์ป่ามันเลยกลายเป็นเพียงของประดับภายในบ้านไป

   ผมไม่เคยเรียนยิงปืนแบบเป็นเรื่องเป็นราว มีแต่คุณตาที่เคยสอนวิธีการใช้เบื้องต้นรวมถึงเทคนิคการเล็งเป้าหมาย ความรู้ที่มีนิดหน่อยบอกผมว่าเธอคุ้นเคยกับอาวุธชนิดนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว

   "เป็นการทักทายที่ระทึกใจดีนะ"

   ยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้ ซินที่ยังคงอยู่ด้วยหน้ากากชิ้นเดิมค่อยๆ ลดมือลง "ไหนบอกกลับเย็น"

   "คราวที่แล้วที่เคยไปทำมันนาน แต่คราวนี้แป๊บเดียว" เคยต้องรอเป็นครึ่งวันกว่าจะล้างฟิล์มเสร็จ ไม่เหมือนร้านนี้ที่ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงดีผมก็ได้ทุกอย่างที่ต้องการ "นี่ทำอะไรอยู่"

   "ทำความสะอาด มันน่าสงสาร"

   ตั้งแต่คุณตาของผมเสียไปเมื่อหลายปีก่อนก็ไม่มีใครยุ่งกับส่วนนี้ของบ้าน พ่อกับแม่ผมไม่ชอบของอันตรายพวกนี้และผมเองก็ไม่ได้นิยมความรุนแรงอะไร คอลเล็กชั่นปืนสะสมของคุณตาเลยถูกปล่อยปละให้ฝุ่นเคลือบอยู่อย่างนั้น

   ปลายนิ้วสวยที่เปลี่ยนไปจับแส้ล้างปืนสั่นเล็กน้อย พอสังเกตดูให้ดีถึงเห็นรอยเหงื่ออยู่บริเวณขมับ ผมย้อนกลับไปในเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เพิ่งเกิดขึ้นถึงรู้สึกว่านัยน์ตาว่างเปล่าของเธอเบิกกว้างกว่าปกติเล็กน้อย อาการทั้งหมดคล้ายว่าหวาดระแวงอะไรอยู่

   "แล้วไปเอาของมาจากไหน?"

   "ขอลุงมา"

   "อ้อ..." คนดูแลบ้านของผมเป็นครอบครัวที่อยู่แถวนี้จากรุ่นสู่รุ่น ลุงที่เธอว่าคือผู้ดูแลคนปัจจุบันที่ชื่นชอบในอาวุธหลากหลายชนิด ไม่ค่อยน่าแปลกใจที่มีอุปกรณ์ทำความสะอาด

   ที่ควรประหลาดใจคืออีกคนที่กำลังถอดชิ้นส่วนอย่างคล่องแคล่วนี้ต่างหาก

   นั่งมองเธอแบ่งชิ้นส่วนออกแล้ววางแยกเป็นหมวดหมู่จนไม่เหลือเค้าเดิม ผมที่เพิ่งนึกได้ว่าซื้อของสดมาด้วยเลยเดินไปเก็บใส่ตู้เย็นให้เรียบร้อย มีของใช้ที่ลุงฝากซื้ออยู่สองสามชิ้น ไว้ค่อยเอาไปให้พร้อมคืนของที่ซินยืมมาด้วยเลยดีกว่า

   "พักกินน้ำก่อนไหม"

   ไม่เห็นว่ากับข้าวเมื่อเช้าพร่องไปเลยสักนิด ผมยื่นน้ำชายี่ห้อเดิมที่เธอชอบไปให้ ความแปลกอย่างที่ร้อยได้แล้วมั้งคือเธอชอบดื่มน้ำชาแบบที่เป็นชาจริงๆ ไม่ผสมความหวานอะไรทั้งสิ้น ขมอย่างที่ผมเคยจิบไปแค่คำเดียวก็ขอยกขึ้นลิสต์ของที่ไม่มีทางซื้ออีกตลอดกาล

   ตอนที่เธอรับมันไปผมเลยถามต่อ "แล้วทำไมไม่กินข้าว"

   "ต้องกิน?"

   อยากรู้ว่าใครเป็นคนสอนให้ตอบคนอื่นด้วยคำถามอย่างนี้ ผมล่ะไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน ไม่ชัวร์ว่ารู้สึกไปเองรึเปล่าว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังคำถามง่ายๆ มันคือการเตือนให้ผมอย่าลืมฐานะของตัวเอง

   "ใช่"

   "...ไว้จะกิน"

   "เย็นนี้ต้องกินสองจาน"

   อีกฝ่ายไม่ตอบรับ อย่างกับเสียงของผมเดินทางไปไม่ถึงเธอเสียอีก ได้แต่ยอมแพ้ให้กับผู้หญิงที่กลับไปจมอยู่ในโลกของตัวเองอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ถึงนิดได้ว่านอกจากไปซื้อของมาแล้วผมยังมีของฝากอีกอย่าง

   ส่งรูปอัดที่อยู่ในเล่มไปให้ทั้งหมด คนที่ก้มๆ เงยๆ อยู่กับกองน้ำมันไม่ได้สนใจสิ่งใหม่ที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด จนผมวางบันทึกความทรงจำลงกับตักนั่นแหละเธอถึงเงยหน้าขึ้นมาหาผมได้สักที

   "ที่ถ่ายวันนั้น"

   "อ้อ..."

   คำรับกระชับ ประจวบเหมาะกับการทำความสะอาดปืนกระบอกสั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วถึงยอมวางทุกอย่างลง ผมชะเง้อมองเธอไล่รูปไปทีละแผ่นช้าๆ จนหยุดอยู่ตรงรูปบริเวณกลางเล่ม รูปที่ผมถ่ายเธอจากด้านหลังขณะปีนขึ้นไปยังน้ำตกชั้นถัดไป

   ผมเกือบชอบรูปนี้ ที่ใช้คำว่าเกือบเพราะมัน 'สวยงาม' เกินไปหน่อยสำหรับคนที่อยู่ด้านหลังอย่างผม เธอเป็นคนตัวเล็กที่หุ่นดี เมื่ออยู่กับหมวก กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ มันจึงกลายเป็นสาวเท่ไปได้ไม่ยาก และเพราะมันเท่นี่แหละ ผมถึงไม่ชอบ คนบาปสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องให้ใครมาช่วยเหลือ

   ไม่ว่าต้องแบกรับอะไรไว้ขนาดไหนก็ตาม

   "ชอบเหรอ"

   "แอบถ่าย"

   "สวยไหมล่ะ"

   "...สวยดี"

   คุยกันคนละอย่างก็ยังกลับมาอยู่ในเรื่องเดียวกันได้ เป็นคำชมที่ผมรู้สึกดีกว่าครั้งไหนๆ แม้ว่าเธอจะไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าตามประโยค

   "ให้ หยิบออกไปเลย"

   "?"

   "มีอีกตั้งหลายภาพ ไม่แย่งภาพเดียวกันก็โอเคแล้ว" หมายถึงภาพที่อยู่หลังสุด "อยากได้ภาพไหนอีกไหมล่ะ?"

   เธอส่ายหัวไปมาพลางดึงรูปของตัวเองออก "ขอบคุณ"

   "ค่าตอบแทนเป็นพรุ่งนี้ต้องกินข้าวเช้า"

   รูปที่กำลังหลุดจากซองถูกสอดกลับเข้าไปในทันที ผมเลยได้แต่หัวเราะแล้วรีบกลับลำ

   "ล้อเล่น เอาไปเถอะ ผมอยากให้คุณเก็บไว้"

   มันไม่ใช่รูปถ่ายคุณภาพสูง ถ้าลองพิจารณาให้ดีแล้วจะพบว่ามีจุดฝ้าแสดงถึงความละเอียดต่ำอยู่ทั่วไป ถึงอย่างนั้นผมกลับชอบมันมากกว่าหลายๆ ชุดภาพที่เคยถ่ายมาในอดีต

   "ผมดีใจที่คุณชอบนะ"

   "อยากให้เกลียด?"

   "ชอบแหละดีแล้ว" หลังจากหยิบรูปออก เธอก็ไม่สนใจที่จะเปิดดูต่อไปอีก ผมเลยเอื้อมมือหยิบทั้งเล่มกลับมาไว้กับตัว "ยิงปืนได้?"

   "ต้องฝึกไว้" กราฟไร้โทนหายไปจากหน้าจอการอ่านพักหนึ่ง "ฝึกให้ไม่กลัวอีก"

   "แล้วมีอะไรที่เกลียดไหม?"

   อยากรู้ว่าคนแปลกที่กลัวปืนจะเกลียดอะไร เลยถามออกไป

   แต่อีกฝ่ายก็กลับไปอยู่ในหลุมอากาศพร้อมกองปืนเสียแล้ว


 
   “ฉันเกลียดคำว่าฝันดี”

   ในที่สุดเธอก็ยอมปริปากหลังจากรอบข้างของผมกับเธอเต็มไปด้วยความเงียบตลอดวัน ตอนนี้เรากำลังทำกิจวัตรประจำวันอันได้แก่การมานั่งเล่นบริเวณระเบียงหลังบ้าน เมฆที่ลอยเกาะกลุ่มหนาทำให้คืนนี้ไม่เห็นละอองสีเงินมากเท่าที่เคย ขนาดพระจันทร์ก็ยังเห็นเป็นเพียงภาพที่ดูเลือนราง

   “เพราะ?”

   “เพราะมันไม่มีจริง”

   ปิดสมุดปกดำเล่มเดิมแล้ววางมันบนโต๊ะ ขาสองข้างยกขึ้นมาชันเข่าแล้วกอดเอาไว้ เธอหลับตาแล้วซบหน้าลงไป

   “แล้วคุณล่ะ?"

   “ผมไม่ชอบการโกหก”

   “แล้วชอบอะไร”

   พินิจใบหน้าของคู่สนทนา นัยน์ตาสีดำกำลังส่งสัญญาณว่าเธอรอคอยคำตอบอยู่ ดูหยิ่งยโส แข็งแกร่ง และไม่ยอมใคร ผมชอบแล้วก็กลัวตาของซินในเวลาเดียวกัน ความว่างเปล่ามันทำให้ดูจริงใจ แต่บางครั้งมันก็ทำให้รู้สึกว่าเธอกำลังซ่อนอะไรไว้เต็มไปหมด

   ผมเป็นคนช่างสังเกต อะไรที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยมักจะไม่ค่อยพลาดเท่าไหร่ รวมถึงเป็นประเภทความรู้สึกไวมันเลยทำให้ผมปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี แน่นอนว่าตลอดเวลาที่ผมใช้ชีวิตอยู่กับคู่สัญญาผมก็เก็บข้อมูลของเธอได้เยอะไม่ใช่น้อย แต่สิ่งที่ผมรู้ก็จะเป็นอะไรที่ดูออกได้โดยการสังเกตภายนอก อะไรที่เป็นเรื่อง ‘ภายใน’ ผมไม่เคยรู้เกี่ยวกับเธอเลย

   ไม่ใช่ว่าไม่อยากรู้ แต่เรามีเส้นเขตแบ่งที่ชัดเจนเกินไป ชัดจนไม่ควรแม้แต่จะคิดข้าม ซินไม่เคยปกปิด...แต่ก็ไม่เคยพูด ผมถึงบอกว่าเธอเป็นคนแปลก เรียกได้ว่าตั้งแต่พบเธอวันแรกจนถึงวันนี้ผมยังคงเซอร์ไพรส์ใน ‘ความเป็นคนบาป’ ของเธอตลอดเวลา

   “ไม่มีเป็นพิเศษ”

   ไม่ได้ต้องการยียวนกวนประสาท นี่เป็นหนึ่งในคำถามที่ผมไม่เคยตอบได้จนถึงทุกวันนี้ ทุกอย่างสามารถยืดหยุ่นได้ตามข้อจำกัดของการเลือก ผมเชื่อในเรื่องที่ว่ามนุษย์ไม่มีทางได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการทุกอย่าง เพราะงั้นถ้าไม่ชอบก็จะไม่ผิดหวังเวลาที่ไม่ได้ตามที่ต้องการ

   “นึกว่าชอบถ่ายรูป” เธอประกบมือขึ้นเป็นกรอบสี่เหลี่ยมแล้วเล็งมาทางผม “ในห้องก็ของคุณใช่ไหมล่ะ”

   คงหมายถึงรูปบนฝาผนังรวมถึงเซตล่าสุดเมื่อตอนบ่าย ผมซื้อกระดานไม้แผ่นใหญ่มาติดไว้ในห้องนอนทั้งสอง เอาไว้สะสมความทรงจำที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ที่บ้านก็มีแบบเดียวกัน แตกต่างกันที่ในห้องนอนของซินจะมีการประดับตกแต่งมากกว่าเพราะอีกคนเคยบอกว่ามันดูจืดชืด เจ้าของห้องทางพฤตินัยอย่างเธอเลยจัดการตบแต่งให้ใหม่เสร็จสรรพ

   “แล้วคุณชอบอะไร?” ย้อนถามกลับคนที่เริ่มวาดมือไปมาบนอากาศ ตวัดไปมาอย่างรวดเร็วจนผมมองไม่ทันว่ากำลังบรรเลงอะไร

   “ชอบเหรอ...” นิ้วเรียวสวยยังคงขยับไปมา ก่อนจะหยุดแล้วชี้มาที่ผม

   "?"

   ผมชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ขยับปากถามไปว่าหมายถึงผมรึเปล่า มันเป็นความรู้สึกที่จั๊กจี้หัวใจพิลึกเวลาที่แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอต้องการจะสื่อว่าชอบผม ซึ่ง...ผมควรจะเก็บความคิดนี้ไว้ให้ลึกที่สุด

   “สีผม ฉันชอบสีเทา เหมือนสีของดาว”

   “อ่าฮะ” แก้เก้อด้วยยกมือขึ้นเสยผม ผมควรจะเก็บความคิดประหลาดนั่นไว้อย่างที่คิดจริงๆ

   ตอนนี้เส้นผมถูกย้อมให้เป็นสีเทา สีที่ใช้เวลาตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากที่ช่างนำชาร์ตสีมาให้เลือก อย่างที่เคยบอกผมเสียศูนย์ไปมาก และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลักฐานที่ยังคงตอกย้ำถึงรอยแผลบนหัวใจ

   “แล้วก็ชอบท้องฟ้าตอนกลางคืน”

   นั่นคงเป็นที่มาของโหมดแวมไพร์ รวมถึงความรู้ทางดาราศาสตร์จำนวนมหาศาลด้วย แต่การนอนดึก ...ไม่สิ นอนเช้าต่างหาก ผมเคยตื่นมาเพราะเสียงไก่ขันตอนตีสี่แล้วยังเห็นแผ่นหลังเล็กๆ อยู่ที่เดิม พฤติกรรมอย่างนั้นไม่ได้ดีต่อสุขภาพเลยสักนิด

   “แล้วไม่ชอบ?”

   “ไม่ชอบกลางคืน” ชอบท้องฟ้าตอนกลางคืน แต่ไม่ชอบกลางคืนเนี่ยนะ? “ฉันเกลียดรัตติกาล”

   “ขอเวลาเรียบเรียงความคิดหน่อยนะ”

   เสียงหัวเราะแว่วมากับสายลม ผมไม่ได้ล้อเล่นเรื่องที่ขอเรียบเรียงความคิด เธอชอบพูดสั้นแบบที่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเข้าใจหรือไม่ และไม่สนใจที่จะอธิบายซ้ำ ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ต้องเข้าใจ

   “คุณเป็นคนแปลก...”

   “ฉันก็เป็นฉัน” ยักไหล่แบบไม่สนใจใคร

   “ดื้อที่หนึ่ง”

   ยามที่สายตาไม่พอใจตวัดมาช่างดูแปลกตา ผมพยายามกลั้นขำกับปฎิกิริยาตอบกลับของเธอ แปลกตาแต่ก็อยากเห็นบ่อยๆ อะไรก็ดีกว่าโหมดหลุมอากาศทั้งนั้น

   “ฉันดูแลตัวเองได้”

   “ดีพอที่จะย...” ผมเกือบที่จะหลุดพูดสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ คำว่ายิงปืน ผมไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดที่จะไม่รู้ว่าเธอคุ้นชินกับอาวุธอันตรายชิ้นนั้น ทุกอย่างแสดงออกชัดเจนผ่านทางการกระทำ โชคดีที่เธอดูจะไม่ค่อยใส่ใจกับคำพูดของผมมากเท่าไหร่เลยต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง "ถ้าดูแลได้ก็ต้องกินข้าวให้ครบ"

   “ต้อง?”

   เชิดหน้าท้าทาย ซินยกริมฝีปากขึ้นน้อยๆ แบบที่ผมได้แต่เตือนเสียงอ่อน

   “มันไม่ดีต่อสุขภาพ”

   “เหรอ”

   “...ตามใจเถอะ”

   ยอมศิโรราบให้กับความเป็นซินจริงๆ เธอสามารถตัดบทสนทนาแบบที่ผมไม่มีทางกลับมาต่อติดได้เลยเสมอ ถ้าซินไม่อยากพูดหรือไม่อยากยอมรับ ไม่ว่าจะทำวิถีทางไหนเธอก็ไม่ปริปากอย่างแน่นอน

   “ฉันผูกปมไว้ ฉันต้องแก้เอง”

   “นั่นมันก่อนที่คุณตกลงทำสัญญากับผม”

   “ไม่มีข้อไหนที่ฉันตกลงให้คุณเข้ามาแก้ปัญหาของฉัน”

   ทุกอย่างจบลงด้วยประโยคที่มาพร้อมรอยยิ้มละไม แปลก วันนี้ยิ้มบ่อย

   ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยยิ้ม แต่มักจะเป็นยิ้มยกมุมปากไม่ถึงสามสิบองศาเสียมากกว่า เธอย้ำเรื่องข้อตกลงของเราอีกแล้ว ในเมื่อสิ่งที่เราตกลงกันมันมีแค่อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ ไม่ได้ตกลงเรื่องอื่นนี่นา แล้วทำไมผมจะขยายข้อตกลงในรูปแบบที่ผมต้องการไม่ได้ล่ะ

   “อะไรที่คุณหนีมา ผมจะไม่ยุ่ง” รอบตัวของผู้หญิงคนนี้เต็มไปด้วยความลับมากเกินไป...

   “เราจะอยู่ด้วยกัน”

   “เก่งมาก” เปลี่ยนมายืนอยู่ตรงหน้าคนที่ยังคงนั่งชันเข่าอยู่ เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วเลิกคิ้วขึ้น “ให้รางวัล”
นั่นคือสิ่งที่ผมตอบกลับความสงสัยที่ส่งออกมาผ่านนัยน์ตาสีดำสนิท มือขวาเอื้อมไปจับแขนของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามให้ยกขึ้นมาเหนืออากาศเล็กน้อย

   ผมชอบสะสมนาฬิกาข้อมือ เรียกว่าคลั่งไคล้ก็ได้ กลไกการทำงานของมันทำให้ผมอัศจรรย์ใจตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็น เครื่องเรือนวงกลมแสนซับซ้อนทำงานตลอดเวลาไม่เคยมีวันหยุดเว้นแต่ในกรณีที่แบตเตอรี่หมด ขยัน สม่ำเสมอ ตรงต่อเวลา ผมเคยบอกกับครอบครัวว่าจะเรียนต่อในสายของช่างนาฬิกาด้วยซ้ำ

   หรือบางทีมันคงเป็นเพราะว่าผมชื่อ ‘เวลา’

   ไม่มีอะไรที่จะบอกตัวตนของเวลาได้เท่านาฬิกาอีกแล้ว

   ปลดสายหนังสีขาวออกจากข้อมือของตัวเอง แล้วย้ายไปให้ตรงกับผิวสีขาวซีด ลำบากนิดหน่อยตอนปรับสายให้เข้ากับข้อมือที่เล็กกว่าของตัวเองหลายช่วง นาฬิกาเรือนนี้เป็นสีขาวล้วนทั้งหมด มีเพียงหน้าปัดกับตัวเลขที่บอกเวลาเท่านั้นที่เป็นสีดำเด่นขึ้นมา เป็นแบรนด์ในอินเทอร์เน็ตที่มีชื่อเสียงพอสมควร ผมเป็นลูกค้าประจำมาตั้งแต่รุ่นแรกๆ ที่วางขาย เรียกได้ว่ามีรุ่นใหม่ออกวางขายเมื่อไหร่ผมได้เสียทรัพย์อย่างไม่ต้องสืบ

   “รางวัล?”

   “อ่าฮะ”

   เธอขมวดคิ้วจนเกือบเป็นปม “ให้ของใช้แล้วเป็นรางวัลเหรอ”

   ผมหัวเราะให้คำเปรย ตอนแรกคิดว่าเธอจะถอดมันออกแล้วส่งกลับมาให้ผมด้วยใบหน้าไม่พอใจแบบที่ชอบทำเสียอีก ไม่ใช่การมาบ่นเรื่องที่มันเป็นของผ่านการใช้งานมาแล้ว

   “ไว้คราวหน้าจะซื้อสีเทาให้นะ”

   เธอชอบสีเทา ผมจะจำไว้ให้ขึ้นใจ

   มือขวาแตะลงตรงหน้าปัด จนได้ยินเสียงเข็มวินาทีที่ขยับอยู่ตลอดเวลา “ใส่ไว้ตลอดนะซิน เพราะ ‘เวลา’ จะอยู่กับคุณเสมอไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม”

   “น้ำเน่า”

   “ยอมรับ” ผมเลือกที่จะปล่อยผ่านประโยคที่แสนทิ่มแทงใจ เหยียดแขนทั้งสองข้างไว้กับพนัก โน้มตัวเข้าไปใกล้คนที่ยังคงให้ความสนใจกับนาฬิกา “รู้ไหม ...เขาว่ากันว่าการชนหน้าผากเป็นการส่งผ่านฝันดี แต่คุณคงไม่อยากได้”

   สายตาว่างเปล่าที่มองกลับมาโดยไม่มีหลบอ่านไม่ออกเช่นเคย เมื่อเห็นว่าคนที่ถูกกักอยู่ในอ้อมแขนยังคงไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใดมันยิ่งทำให้ผมกล้าที่จะขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น ใกล้จนได้กลิ่นหอมหวานชัดเจนกว่าทุกที จนในที่สุดหน้าผากของเราก็อยู่ชิดกัน เย็นเฉียบ...แต่กลับรู้สึกว่ามีความอบอุ่นส่งผ่านมาถึงข้างใน

   “ผมขอให้คุณไม่ฝันนะ คนบาป”

***
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 16 [04.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 04-02-2016 20:39:11

   กว่าผมจะได้เอาอุปกรณ์ทำความสะอาดปืนไปคืนลุงจริงๆ ก็อีกหลายวันต่อจากนั้น

   ซินเสกให้ของรักของคุณตากลับมามีชีวิตใหม่ทุกกระบอกอย่างที่ไม่เหลือเค้าความเป็นของเก่าเก็บ ได้แต่คิดในใจว่าถ้าตายังมีชีวิตอยู่เธอคงกลายเป็นหลานรัก ส่วนหลานแท้ๆ อย่างผมก็เป็นคนแปลกหน้าไป

   "ขอบคุณมากครับลุง"

   "ไม่เป็นไรๆ ไว้เข้าไปทำความสะอาดวันไหนจะไปดูผลงาน"

   "ลุงต้องตะลึงแน่"

   "ก็ว่าอย่างนั้นอยู่ คุณซินเธอแปลกนะ ไม่ค่อยเจอผู้หญิงที่สนใจเรื่องปืนมากเท่าไหร่" ผมนั่งลงตรงเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่แถวนั้นระหว่างมองดูลุงเก็บของเข้าที่ "จะว่าไปคุณหนูจะกลับเมื่อไหร่ครับ มานานขนาดนี้คุณหญิงไม่ว่าเหรอ"

   พอโดนทักอย่างนั้นผมถึงรู้สึกว่าตัวเองหนีมาอยู่ในโลกกลางหุบเขานี้เกือบสองเดือนแล้ว การตัดขาดจากโลกภายนอกและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตมันหลอกให้ผมลืมว่าสุดท้ายตัวเองก็ต้องกลับไปเผชิญความจริงอยู่ดีในวันหนึ่ง ชีวิตในตอนนี้สร้างโลกใหม่ขึ้นมาจนผมหลงระเริง

   "ก็คงใกล้แล้วล่ะครับ"

   "เปิดเทอมเมื่อไหร่ครับ คุณหนูตัวเล็กของผมใกล้เป็นนักศึกษาแล้วสินะ"

   ผมสอบตรงได้ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมสองใหม่ๆ ของชั้นมัธยมหก ถึงจะชอบการถ่ายภาพมากกว่าสิ่งอื่นมากแค่ไหนสุดท้ายผมเลือกเรียนต่อในเอกภาษาอังกฤษ การเรียนที่ต่อให้ลองเชื่อมโยงยังไงก็ดูไม่เข้ากับธุรกิจของครอบครัวด้านโภชนาการอาหาร

   "ปิดอีกสักพักแหละครับ"

   "แล้วคุณซินล่ะ เธอเรียนอยู่ชั้นเดียวกับคุณหนูรึเปล่าครับ ได้มหาลัยอะไรล่ะ"

   "...ไม่แน่ใจเหมือนกันแฮะ"

   จากวันแรกจนถึงวันนี้ซินก็ยังคงเป็น 'คนแปลกหน้า' ในบางความรู้สึก ผมไม่เคยรู้ชื่อจริง นามสกุล หรือข้อมูลส่วนตัวอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ ของเธอแม้แต่น้อยนิด อย่างเรื่องนี้ก็เหมือนกัน เราอายุเท่ากันจากที่เคยคุยกันในแชต แต่ถ้าถามต่อไปว่าเธอจะไปเรียนต่อที่ไหนมันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้และถึงถามก็ใช่ว่าจะตอบ

   "รอแอดมิชชั่นเหรอครับ เห็นลูกบ้านท้ายน้ำก็บอกว่ารอแอดๆ อะไรนี่เหมือนกัน"

   "น่าจะใช่แหละครับ" ตอบไปให้อีกฝ่ายสบายใจ

   "คนน่ารักอย่างนั้นได้ตามที่... ใครมากดกริ่งน่ะ"

   เสียงกระดิ่งที่ไม่เคยได้ยินมานานแล้วดังระหว่างการพูดคุย ผมมองลุงเดินออกไปหาต้นเสียงโดยที่ตัวเองยังคงนั่งอยู่ที่เดิม วันนี้ซินคงเข้าไปอยู่ในสวนตามเคย ช่วงนี้สวนผลไม้ที่ปลูกไว้เริ่มมีผลออกมาให้เชยชมสมกับที่ชาวบ้านถนอมรักษา ชาวบ้านที่ว่ารวมถึงคนบาปที่ได้รับคำชมไม่ขาดปากว่าคล่องแคล่วผิดกับรูปร่าง

   สำเนียงคนเมืองจ๋าอย่างที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักในละแวกนี้ มองลอดผ่านกระจกออกไปก็พบรถยนต์สีดำคันใหญ่ติดฟิล์มกรองแสงสีทึบให้ความรู้สึกว่าเป็นรถของพวกผู้ทรงอิทธิพลได้ไม่ยาก ผมเห็นลุงยืนคุยอยู่กับเด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ที่เดาจากหน้าตาแล้วถ้าไม่ใช่รุ่นเดียวกับผมก็คงบวกลบกันไม่เกินสองปี ในมือของชายหนุ่มคนที่อยู่ใกล้ลุงมากที่สุดมีสมาร์ทโฟนจอใหญ่โชว์อยู่

   คงเป็นพวกมาเที่ยวกันในช่วงปิดเทอมแล้วหลงทาง แถวนี้นอกจากน้ำตกที่ผมเคยพาซินไปแล้วก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติอยู่อีกสองสามแห่ง

   "...ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้นะ"

   ลุงไม่จำเป็นต้องใช้เสียงดังขนาดนั้นในการคุย และรูปประโยคที่ฟังยังไงแล้วก็ดูไม่ใช่การถามทางบอกให้ผมเปลี่ยนที่อยู่เพื่อให้สะดวกต่อการสังเกตการณ์มากขึ้น

   "ไม่เลยเหรอครับ เห็นเด็กๆ ข้างล่างบอกว่าอยู่บ้านนี้"

   "!"

   "ลุงไม่มีลูกครับ อยู่กับป้าเหี่ยวๆ คนเดียว"

   ผมพิงตัวเองกับอีกฝั่งของประตู เลือดที่ไหลเวียนผ่านหัวใจมีปริมาณมากกว่าปกติอย่างที่เรียนมาในวิชาชีววิทยาว่าเมื่อไหร่ที่มนุษย์ตื่นเต้นตกใจหัวใจจะเต้นเร็วขึ้น

   มันเป็นการคาดคะเนที่ดูเข้าข้างตัวเอง ผมกำลังคิดว่าคนพวกนี้มาตามหาซิน

   "งั้นเหรอครับ"

   "ครับ ขอโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้นะ"

   "ขอโทษที่มารบกวนคร..."

   "คิดว่ากูโง่เหรอ!!"

   ในจังหวะที่เสียงหนึ่งกำลังบอกลาอีกเสียงกลับตวาดลั่น ผมปลอบตัวเองให้อย่าตระหนกกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น จากนั้นผมได้ยินเสียงเครื่องแก้วที่น่าจะเป็นแจกันเซรามิคใบที่ผมซื้อมาฝากเมื่อหลายปีที่แล้วกระแทกกับพื้น และยังคงเป็นเสียงเดิมที่คำรามต่อเนื่อง

   "กูรู้ว่าอยู่ที่นี่!! ไปพามาให้กู!!!"

   รู้ว่าไม่ควรออกมาแต่มือกลับบิดกลอนประตูจนมันเปิดออก ตรงหน้ามีผู้ชายสามคนกำลังยืนเรียงกัน เจ้าของเสียงดังคงไม่พ้นคนกลางที่สูงที่สุด มีเพื่อนริมขวาสุดกำลังรั้งไม่ให้ระเบิดอารมณ์ไปมากกว่านี้ ส่วนคนซ้ายเป็นเด็กแว่นที่เงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอมือถือด้วยใบหน้าแบบผมบอกไม่ถูกว่ามันคือความรู้สึกไหน

   อ้อ...มากันสี่คน หลังผู้ชายลุคเนิร์ดแว่นกรอบใหญ่มีคนตัวเล็กร่างซูบเซียวคล้ายคนป่วยกำลังหลบอยู่ข้างหลัง

   "เดี๋ยวผมจัดการเองครับลุง"

   "คุณหนู..."

   "ผมจัดการเองครับ"

   ยิ้มสร้างความมั่นใจว่าผมจะจัดการทุกอย่างได้เอง รอจนได้ยินเสียงงับกลอนประตูถึงเปิดการสนทนา

   "ตามผมมาทางนี้"

   ไม่สนว่าผู้มาเยือนใหม่ทั้งสี่คนจะเดินตามมาจริงหรือเปล่า ผมเดินนำไปยังสวนดอกไม้ขนาดย่อมที่เป็นโรงเพาะตามใจฉันของภรรยาคุณลุง ผมกลัวว่าถ้ายังอยู่หน้าบ้านอย่างนั้นคงมีบิลเบิกค่าซ่อมแซมไปหาที่บ้านใหญ่มากโข

   "รบกวนพาคนของเรามาคืนด้วยครับ"

   เจ้าของเสียงสุภาพคงไม่พ้นหนุ่มแว่น เขาเป็นคนเดียวที่อยู่ใกล้ผมในเวลานี้โดยอีกสามคนที่เหลืออยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เหลือบมองไปยังชายหนุ่มในเสื้อสีดำที่กำลังถูกอีกสองคนรั้งไว้อยู่แล้วก็กลับมาอยู่กับคนตรงหน้า

   "คนของเรา?"

   "ผมไม่ชอบคนตีหน้าซื่อเล่าเรื่องโกหก แล้วก็ไม่อยู่ในอารมณ์มานั่งเล่นเกมส์จับผิดด้วย"

   "คืนกูมา!!!"

   ที่เห็นไม่นานชายชุดดำเป็นคนอารมณ์ร้อนพอควร โครงหน้าที่ลองคิดดูแล้วถ้าอยู่ในรูปแบบของความเงียบสงบก็คงดูน่ายำเกรงไปอีกแบบ คือเขาไม่ได้ดูไร้ชีวิตอย่างที่ซินเป็น แต่ก็ไม่ได้ดูมีชีวิตอย่างคนทั่วไปเช่นกัน

   "กูจัดการเอง มึงเงียบไปไอ้สัตว์!!" พอหลุดคำผรุสวาทออกมาแล้วมาดเด็กเรียนก็หายวับไปกับตา ผมสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ไม่ให้ผิดสังเกตว่ากำลังประหม่าแค่ไหน

   "โว้ย!!!"

   "คุณน่าจะเห็นว่าผมไม่ว่าง รบกวนคุณช่วยส่งคนของเราคืนมาได้ไหมครับ"

   วิชาภาษาไทยสอนว่าการลงท้ายประโยคด้วยคำว่าไหมมันคือการร้องขอไม่ใช่หรือไง นี่มันต่างอะไรกับการขู่กรรโชกเหรอ เขายกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดเปิดอะไรสักอย่างแล้วโชว์ให้ผมดู ...และอย่างที่คิดไว้มันเป็นใบหน้าของคนที่อยู่กับผมมาตลอดสองเดือน

   "คุ้นหน้าอยู่แล้วเนอะ คืนมาแล้วพวกผมจะได้ไปสักที"

   "บุกเลยเหอะ กูรำคาญแล้วว่ะ"

   "ไอ้เหี้ย ไปดูดไกลๆ"

   ที่บอกกันว่าบุหรี่ทำให้คนใจเย็นลงคงเป็นเรื่องจริง ชายหนุ่มอารมณ์ร้ายไม่เหลืออยู่แล้ว เขากำลังเปลี่ยนบุคลิกตามที่ผมคิดอยู่เมื่อครู่

   และขอถอนคำพูดที่ว่าคงน่ายำเกรง มันน่าหวาดหวั่นต่างหาก

   "มึงก็เอาน้ำเย็นเข้าลูบอยู่นั่นนิช กลับไปดูแลน้องโรมเหอะ เพิ่งออกจากโรงพยาบาลแล้วยังดื้อมาด้วย"

   "ให้น้องอยู่ตรงนั้นไป เรารีบมาคุยให้มันจบๆ ดีกว่า"

   "ผม ไม่ คืน"

   มันไม่มีข้อดีที่จะดึงเกมส์ การที่พวกเขามาถึงจุดนี้ได้คงไม่ใช่การเดินทางแบบสุ่มอยู่แล้ว ใบหน้าของทั้งคู่ตึงไปหนึ่งระดับตอนที่ผมบอกไปอย่างนั้น และมันหมายความอย่างนั้นจริงๆ ว่าผมจะไม่คืนซินให้คนพวกนี้เด็ดขาด

   ผมต้องดูแลคู่สัญญาของผม

   "อยากพูดใหม่รึเปล่า?" ชายที่ผมยังไม่รู้จักชื่อขยี้ปลายมวนให้ดับด้วยเท้า

   "ไม่คืน"

   "..."

   "ถ้าซินหนีพวกคุณมา เรื่องอะไรผมจะให้เธอกลับไปล่ะ"

   ความจริงที่เธอไม่มีทางหนีพ้นกำลังอยู่ตรงหน้าของผมในตอนนี้ ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ามีความสัมพันธ์แบบไหนกัน เพื่อนนี่เขาต้องทุ่มเทให้ขนาดนี้เชียวเหรอ หรือคนรัก...

   "...ซิน?"

   "หึ ก็ว่าอยู่" กลิ่นยาเส้นชวนให้คลื่นเหียนกลบอีกกลิ่นไว้ กลิ่นที่ผมไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกไปเองรึเปล่า ผู้ชายคนนี้ใช้น้ำหอมที่คล้ายกับเธอเสียเหลือเกิน "ไปมึง กลับ"

   "...?" กลับคำพูดง่ายจนผมแคลงใจ

   ถ้าเลือกได้ ผู้ชายสี่คนที่อยู่ตรงนี้ผมขอไม่เจอกับชายในชุดสีดำที่อยู่ใกล้กับผมมากที่สุดอีก คนที่สามารถปรับคลื่นอารมณ์ไปมาได้รวดเร็วจนตามไม่ทัน "ฝากไปบอกด้วย 'ครึ่งชีวิตของสีขาว' มาหา"


 
   ท้องฟ้าในเมืองหลวงไม่สวยงามเลยสักนิด

   ผมเก็บเรื่องที่เจอไว้กับตัวเอง กำชับลุงว่าห้ามเล่าให้ซินฟังเด็ดขาด ก็เป็นเหมือนอย่างเคยที่เธอไม่มีอาการอิดออดตอนบอกว่าต้องย้ายออกจากที่นี่แล้ว เราสองคนใช้เวลาเก็บของน้อยเหมือนกับว่าเตรียมพร้อมจะเดินทางได้ตลอดเวลา

   เก้าอี้สามส่วนที่ปกติแล้วจะวางอยู่ข้างเตียงถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่นอกระเบียงขนาดกำลังเหมาะนอกห้องนอน เป็นฝีมือของคนที่ยังเป็นแวมไพร์ตอนกลางคืนไม่เปลี่ยน ผมยกห้องนอนห้องเดียวให้เธอไปตั้งแต่วันที่พากลับมาอยู่ในคอนโดริมชานเมืองที่ซื้อเตรียมไว้สำหรับอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปมหาวิทยาลัย

   จากที่เป็นคนเมืองกรุงมาโดยตลอดผมแทบไม่เคยได้เห็นดวงดาวบนท้องฟ้า พอถูกลวงให้ปรับพฤติกรรมมากเข้าจากคนร่วมห้องก็ติดเป็นนิสัยที่จะแหงนมองขึ้นไปดูว่าตอนนี้ก้อนหินพวกนั้นกำลังเคลื่อนตัวไปถึงไหน บางดวงลับฟ้าไป...และบางดวงก็ขึ้นมาทักทายใหม่แทน

   ผมยังไม่ได้บอกใครว่ากลับมาจากบ้านสวนแล้ว โดยเฉพาะกับคนที่ผมหนีไปและยังไม่ได้เอาของฝากไปให้ หลังจากทุกอย่างเข้าที่ตามที่ควรจะเป็นเลยเพิ่งว่างนัดอีกฝ่ายมารับของที่สั่งไว้

   "งั้นแยกกันตรงนี้นะ ขอบคุณสำหรับของฝาก" หญิงสาวตรงหน้าก็ยังคงเป็นความสดใสอย่างเดิม วันนี้อีกคนไม่ได้มาด้วยเพราะติดธุระกับที่บ้าน "...ขอบคุณสำหรับทุกอย่างด้วย"

   "..."

   ไม่อยากพูดอะไรต่อจากนั้น แม้จะยกถุงกระดาษที่บรรจุขนมหวานอย่างที่เธอชอบขึ้นมาเป็นการประกอบ มันก็ไม่ได้หมายความว่าการ 'ขอบคุณ' ที่บอกมันจะหมายถึงแค่ของหวาน

   "หายไปนานเปลี่ยนไปเยอะนะ" ปลายนิ้วที่ผมเคยจับเมื่อนานมาแล้วชี้มาที่ถุงพลาสติกในมือผม ของที่ผมกำลังซื้อกลับไปให้อีกคนที่รอผมอยู่  "เวลาเดินต่อแล้วใช่ไหม"

   สมุดสีดำของซินมันเหลืออยู่แค่ไม่กี่หน้าจากที่ผมสังเกตเมื่อคืน พอดีกับผ่านร้านขายเครื่องเขียนสไตล์แปลกผมเลยแวะซื้อเล่มใหม่รวมถึงซื้อปากกาเพิ่มไปด้วยเลย ถึงฟ้าเมืองกรุงจะไม่ปรากฏแสงสีเงินให้เห็นเธอก็ยังคงอยู่กับมันได้เหมือนเดิม ยังคงเหม่อมองไปที่ไหนสักแห่ง ซึ่งอาจเป็นดาวเคราะห์ที่เธอจากมา

   และเพราะไม่มีทางเห็นท้องฟ้าได้อย่างที่ชอบ ผมเลยซื้ออะไรอีกอย่างไปให้ด้วย

   "เวลามันหยุดเดินไม่ได้ต่างหาก"
   
   ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงต้องฝืนยิ้มให้ ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่ผมส่งยิ้มให้เธอได้อย่างสนิทใจ

   "อย่างนั้นก็ดีแล้ว งั้นคงไม่โกรธถ้าจะเราบอกอะไรสักอย่าง"

   "เราเคยโกรธรึไง"

   "ไม่เคยไง ก็เลยกลัวว่าอาจโกรธเพราะเรื่องนี้เป็นครั้งแรก"

   "สัญญา ไม่โกรธหรอก"

   "...อย่าเอาใครมาแทน อะไรที่ไม่ได้มัดไว้ มันจะลอยหายไปเมื่อไหร่ก็ได้นะ"

   ผมจมอยู่กับคำพูดสุดท้ายจนถึงหน้าประตู

   ห้องมืดสนิทตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไป มันเป็นห้องชุดที่แบ่งสัดส่วนการใช้งานชัดเจน ปกติในเวลานี้ซินมักจะอยู่ในห้องนั่งเล่นเพื่อดูช่องสารคดีไปเรื่อยจนกว่าสี่ทุ่มถึงจะไปสิงอยู่ตรงระเบียง

   ?

   มือที่กดเปิดสวิทช์ไฟค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อแสงจากหลอดอิเล็กทรอนิกส์กระจายความสว่างให้กับห้องผมถึงเห็นว่าข้าวของบางอย่างอยู่ผิดที่ผิดทางกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะปฏิทินแบบแขวนขาดวิ่นและตุ๊กตาแก้วเคลือบรูปนางฟ้าที่เป็นของประดับตกลงมาแตกจนแหลกละเอียด

   จะบอกว่ามันยังอยู่ในภาวะปกติก็คงไม่ใช่ ผมเรียกหาเธอตั้งแต่ในห้องนั่งเล่นจนครบทุกห้องเหลือเพียงแต่ห้องนอน ห้องที่ผมเก็บไว้เป็นที่สุดท้ายเพราะมันหมายความว่าถ้าเปิดไปแล้วเจอความว่างเปล่า นั่นคืออีกฝ่ายจบการหนีแล้ว

   อะไรที่ไม่ได้มัดไว้ จะลอยหายไปเมื่อไหร่ก็ได้นะ

   คำขู่ที่ผมไม่อยากยอมรับว่าระแวงแค่ไหน

   หมอกในใจสลายไปพลันเมื่อเห็นคนที่คิดถึงนั่งอยู่ตรงริมระเบียงอย่างเดิม ที่ดูแตกต่างกับทุกวันคือทุกอย่างที่ผมกำลังเห็นอยู่ในตอนนี้ ซินกับชุดเดรส...ไม่สิ เสื้อเชิ้ตผู้ชายที่ขนาดใหญ่กว่าตัวสองถึงสามเบอร์สีดำสนิท มันยาวลงมาจนเกือบครึ่งขาอ่อน ซึ่งเป็นคนละตัวกับที่ผมเห็นเธอใส่ก่อนออกห้องไปเมื่อบ่าย

   เธอไม่ได้สนใจว่ามีใครเปิดระเบียง คนบาปยังคงล่องลอยออกไปไกลแสนไกลโดยมีแท่งนิโคตินสีดำสนิทอยู่ที่ร่องนิ้วมือแทนที่จะเป็นสมุดเล่มเดิมอย่างทุกที

   บุหรี่

   สิ่งที่เตือนผมให้อย่าลืมว่ามีใครอีกคนยังคงตามหาเธออยู่

   "ทำอะไรอยู่"

   "..."

   "ทำไมถึงสูบบุหรี่"

   "กำลังอวยพร"

   มันคงเป็นแค่การอวยพรอย่างที่พูดไว้ เมื่อเธอไม่ได้เอาแท่งเสพติดชิดกับริมฝีปากเลยสักนิด สิ่งเดียวที่เธอทำคือคีบมันไว้ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง ปล่อยให้กลิ่นยาเส้นฟุ้งออกมาพร้อมกับควันสีเทา ผมก้มลงมองปลายเท้าของตัวเองที่เต็มไปด้วยก้นบุหรี่กระจายเกลื่อน จากที่มองดูเร็วๆ แล้วมันคงมีไม่ต่ำกว่าสิบตัว

   ผมไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

   "...แล้ว"

   "หืม?" ผมยังคงอยู่ในโลกของตัวเองตอนที่ได้ยินเสียงเธออีกครั้ง

   "นับให้หน่อย กี่ตัวแล้ว"

   "หนึ่ง ...สาม ...แปด ...สิบสอง" จำนวนที่ผมบอกมันรวมกับที่อยู่ในมือของอีกคน "พอแล้ว สิบสองตัวแล้วนะ"

   บ้านผมไม่มีใครสูบบุหรี่เลยตั้งแต่คุณตาเสียไป อาจเป็นเพราะท่านเสียไปด้วยโรคมะเร็งปอดที่่มีสาเหตุหลักมาจากแท่งกลมเล็กๆ นี่ด้วยแหละ ยิ่งบอกกันว่าคนไม่สูบแต่ต้องดมจะตายไวกว่ายิ่งไม่อยากเข้าไปเสี่ยง

   ชุดสีดำตัดกับผิวสีซีดอย่างชัดเจน ผมฉวยเอาสิ่งที่อยู่ในมือเธอมาไว้กับตัวแล้วทำท่าจะดับมันกับริมระเบียง

   "อย่า ปล่อยให้มันหมดไปเอง"

   "ทำไม?"

   "เมื่อกี้บอกสิบสองใช่ไหม ของแม่สองครบแล้ว..."

   "งั้นก็พ..."

   ที่ตั้งใจจะบอกว่าพอแล้วก็หายลงไปอยู่ในลำคออย่างเดิม ผมมองเธอคาบแท่งที่สิบสามไว้ตรงปากในขณะที่มือทั้งสองช่วยกันประคองไลท์เตอร์อย่างที่ขายในร้านสะดวกซื้อทั่วไปสู้กับแรงลมได้ กระพริบตาสองสามครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าใบหน้าไร้ความรู้สึกตรงหน้ากำลังแสดงออกอย่างที่เห็นในคราวแรกจริงหรือไม่

   ซินกำลังร้องไห้

   "...ให้อีกคน"

   บรรยากาศที่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ราวกับฟ้าเป็นใจวันนี้เลยไม่มีลมพัดผ่านมาให้แสบหน้า ความเงียบเมื่อบวกเข้ากับควันสีเทาลอยเอื่อยมันกำลังขมวดความอึดอัดให้เป็นก้อนใหญ่มากขึ้น มันมีอะไรหลายที่ผมควรทำมากกว่ายืนนิ่งมองคนข้างๆ ร่ำไห้แบบไร้เสียง ไม่มีรอยสะอื้น ไม่มีการสั่นของร่าง มีเพียงนัยน์ตาคู่เดิมฉายรอยเศร้าเกินคำบรรยาย สิ่งเดียวที่บอกผมว่าเธอยังคงมีชีวิตอยู่คือสายน้ำที่ไหลออกมาจากหางตาอย่างเดียวเท่านั้น

   จนกระทั่งไฟสีส้มมอดลงไป เธอจึงปาดน้ำตาที่เลอะเต็มแก้มโดยที่ผมไม่กล้าช่วย

   ซินไม่ต่างจากแก้วเจียระไนเนื้อบางที่อาจร้าวได้เพียงสัมผัส

   "ขอโทษที่ทำสกปรก เดี๋ยวเก็บให้ตอนเช้า"

   "ไม่เป็นไร..."

   ผมควรพูดอะไรอย่างอื่นที่มากกว่าคำว่าไม่เป็นไร

   "แล้วก็ทำตุ๊กตาตก"

   "เจ็บหรือเปล่า?"

   สิ่งที่น่าห่วงคือคนที่ชอบบอกว่าดูแลตัวเองได้ ยิ่งเธอเป็นอย่างนี้มันยิ่งน่าห่วงเข้าไปใหญ่ว่าปล่อยให้ตัวเองเจ็บแล้วไม่ยอมรักษาหรือเปล่า

   เธอถลกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นแล้วพลิกไปมาให้ผมดูว่าไม่มีแผลอย่างที่ผมกังวล "เปล่า"

   "ดีแล้ว" โล่งอกไปหนึ่ง "งั้นเข้าห้องนะ"

   ไม่ไว้วางใจให้อยู่คนเดียวอย่างทุกวัน ผมกล่อมจนอีกฝ่ายยอมเดินเข้ามาอยู่ด้านในห้อง เห็นถุงพลาสติกวางทิ้งไว้อยู่ใกล้ๆ ถึงนึกได้ว่าตัวเองมีของที่ยังไม่ได้ให้อยู่

   "แลกกับที่ทำของแตก หลับตา"

   สงสัยอยู่กับกลิ่นบุหรี่มากไป ซินถึงยอมขึ้นไปนั่งขัดสมาธิอยู่กลางเตียงแล้วหลับตาลงตามที่ผมสั่งโดยไม่อิดเอื้อน ไม่อย่างนั้นปกติต้องให้ขู่กันแทบตายถึงจะยอมทำตาม ผมรีบเดินไปปิดม่าน ไม่มีแสงจากภายนอกลอดเข้ามาได้ แกะกล่องที่บรรจุเครื่องทรงเหลี่ยมออก ตระเตรียมความพร้อมให้เสร็จสรรพ เดินไปปิดไฟห้องนอนเป็นสิ่งสุดท้าย

   "ลืมตาได้"

   "..."

   "น่าจะพอแทนกันได้เนอะ"

   นัยน์ตาที่ว่างเปล่าเสมอมากำลังเต็มไปด้วยประกายแวววาว

   ห้องที่ถูกปิดจนมืดสนิทกลายเป็นโลกของประกายดาราทันทีที่ผมกดปุ่มเปิด ท้องฟ้ากลางคืนที่เธอชอบไม่มีอยู่ที่นี่ ผมเลยลองเสิร์จหาพวกอุปกรณ์เกี่ยวกับดาราศาสตร์ดูจนเจอกับเครื่องจำลองดวงดาว หาจนเจอที่พอใจแล้วถึงไปซื้อเมื่อเช้า ตั้งใจว่าจะมาเซอร์ไพรส์ ไม่คิดว่าจะกลายเป็นผมเสียเองที่เจอเรื่องน่าตกใจ

   "ก็ได้อยู่"

   ซินหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเองอีกแล้ว เธอคงไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตื่นเต้นมากแค่ไหน ทั้งรอยยิ้มแล้วก็การที่เงยหน้ามองไปทั่วห้องไม่หยุดพักอย่างนี้ ผมชอบเวลาเธอยิ้มแบบนี้ ยิ้มที่ดูมีความสุขออกมาจากข้างใน

   "อันนี้ให้"

   "รางวัล?"

   "คิก อยากให้" ส่วนสมุดไว้ค่อยให้ตอนเช้าแล้วกัน ตอนนี้ไม่มีอะไรดึงเธอออกมาจากหลุมอากาศได้หรอก

   "ขอบคุณ"

   "เต็มใจ"

   ต่างฝ่ายต่างเงียบ ผมปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำกับแสงไฟสีขาวขุ่นที่กระจายตัวอยู่ทั่วห้องสลับกับฟังเสียงของอีกคนไล่ชื่อของดวงดาวไปทีละจุด กลิ่นหวานปะปนกับกลิ่นเครื่องหอมกล่อมให้ผมเคลิ้มไปกับทุกสิ่งรอบตัว หัวใจพองโตโดยไร้สาเหตุมารองรับ

   "นี่..."

   "ครับ" บอกแล้วไงว่านี่มันคือการเรียกผม

   "ช่วยฟังอะไรสักหน่อย...ได้ไหม"

   จากนั้นสิ่งที่พรั่งพรูออกมามันคือ 'บาป' ที่ผมไม่มีทางลืม
 


   เรื่องเมื่อคืนเหมือนความฝัน...

   ผมฟังเรื่องราวที่ไม่อยากยอมรับว่ามันเกิดขึ้นจริงกับผู้หญิงตัวเล็กแค่นี้ เรื่องที่ทำให้ 'ความจริง' ที่ผมบอกว่ามันร้ายแรงกลายเป็นเพียงเรื่องงี่เง่าเล็กน้อย จนไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงชอบพูดอะไรที่ดูเข้าใจยาก

   จนอีกฝ่ายผลอยหลับไป ผมถึงจัดการเก็บทุกอย่างให้เข้าที่ และมันเป็นคืนแรกที่ผมเห็นเธอหลับแบบจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่การบอกลากันเท่านั้น ทำอย่างกับผมไม่รู้ว่าต่อให้เธอบอกเองว่าจะนอนแล้วกว่าเธอจะเข้านอนจริงก็ปาไปตีห้าหกโมง พอสักสิบโมงก็ตื่นแล้ว นอนน้อยอย่างที่น่าเป็นห่วงเหลือเกิน นี่ว่าจะลองผสมยานอนหลับลงไปเผื่อว่ามันจะช่วยให้ร่างได้พักผ่อนซ่อมแซมเสียบ้าง

   ประตูห้องนอนยังคงปิดสนิท ไม่กล้าเคาะหรือเปิดเข้าไปรบกวนการนิทรา ผมเดินไปยังส่วนครัวเพื่อล้างหน้าล้างตาให้ดูเป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้ ถังขยะขนาดใหญ่มีซากเซรามิคปนกับก้นของบุหรี่อยู่ในนั้น ซินตื่นแล้วงั้นสิ

   เคาะประตูห้องนอนหลังจากเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ อย่างซีเรียลเรียบร้อย ปกติอีกคนจะเปิดประตูให้หลังจากนั้นไม่นานนัก ต่างจากครั้งนี้ที่ผมไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้า

   "ซิน ออกมากินข้าว"

   มือปะทะกับประตูไม้อีกครั้ง ยังคงเป็นเช่นเดิมที่ผมไม่รู้สึกถึงความมีชีวิตจากอีกฝั่งของประตู มันเงียบจนใจผมหล่นวูบ จากหน้าห้องนอนเมื่อหันขวาจะเห็นได้ไกลถึงชั้นวางรองเท้าหน้าห้อง ที่มักจะมีเพียงรองเท้าแตะแบบผู้หญิงคู่เดียววางไว้
แต่ตอนนี้มันว่างเปล่า

   หรือว่า...

   ผลักประตูออกอย่างแรง ภาพติดตาแรกคือร่างคุ้นเคยอยู่ตรงระเบียงเช่นทุกที หากเมื่อกระพริบตาซ้ำสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ก็พลันหายไป เท้าที่ก้าวยาวๆ ไปทั่วห้องหยุดลงเมื่อเหลือบเห็นของคุ้นตาอยู่ตรงหัวเตียง กระดาษเอห้าที่หล่นลงมาจากตัวปัก นาฬิกาสีขาวเรือนโปรดและรูปแผ่นหลังที่เธอบอกว่าสวย

   การจากลาไม่เคยมีคำเตือน

[End : เวลา]

***
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 16 [04.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-02-2016 20:40:34
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 16 [04.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: DE SaiKuNee ที่ 04-02-2016 21:00:56
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 16 [04.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-02-2016 14:15:38
อึมครึมตลอด
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 17 [07.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 07-02-2016 19:39:59
บทที่ 17


   อยากให้เขาทำหน้าผิดหวังเหมือนนิชตอนรู้ว่าผมสอบตก


   อยากให้เขาดุผมเหมือนแบล็คตอนที่ผมทำโมเดลประกอบมือตัวโปรดพัง


   อยากให้เขาโวยวายใส่เหมือนเน็ทเวลาผมเถียงกลับแบบไร้เหตุผล


   อยากให้เขาทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ผมรู้สึกตัวว่ากำลังทำผิด


   ...ไม่ใช่แค่ดึงไปกอดแล้วไม่พูดอะไรอย่างนี้


   ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนออกไปตอนเห็นที่หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น และไม่คิดมาก่อนว่าพอเขาหันมาเห็นผมแล้วจะคว้าทั้งตัวไปอยู่ในอ้อมแขนเกือบทันที มันล้างความเข้าใจที่ว่าตัวเองเจอวิธีการลงโทษที่พิศดารมามากจนไม่กลัวอะไรอีกแล้วไปเสียหมด สิ่งที่เขาทำมันไม่ได้เข้าข่ายของการทำโทษแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกผิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


   “โอเคไหมครับ”


   “คิดว่าโอเค”


   “เก่งมาก บอกแล้วว่าน้องโรมทำได้”


   “...”


   "ไปฉลองที่ไหนกันดี"


   เขายังไม่ปล่อยให้เป็นอิสระตอนที่ถามและผมก็ยังไม่ต้องการให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นในตอนนี้ ตอนที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าเขากำลังแสดงออกผ่านสีหน้าแบบไหนอยู่ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลังหลายต่อหลายครั้ง ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะผลักออก อ้อมกอดของที่หนึ่งมันทั้งอบอุ่นและให้ความรู้สึกปลอดภัยจนไม่อยากให้มันหายไป


   "ไม่กินก็ได้" บอกกลับเสียงอู้อี้เพราะใบหน้ายังคงชินอยู่กับอกของอีกฝ่าย เขายกมือขึ้นลูบศีรษะของผมไปมาอยู่อย่างนั้นเหมือนพ่อปลอบลูก "หนึ่ง..."


   เขาได้ยินใช่ไหม เขารู้ใช่ไหมว่าผมตอบออกไปไม่ได้


   "ไม่ให้ ตั้งแต่บ่ายยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่"


   ผมคิดยังไงกับเขากันแน่


   "ก็ไม่มีอะไรอยากกิน"


   "วนรอบนึงแล้วเลือกไหม ตอนนี้ก็ไม่ค่อยหิวแฮะ”


   “อื้อ”


   “งั้นไปกันเลยเนอะ”


   ยามที่ผละตัวออกผมก็รีบคว้ามือเขาไว้โดยไม่คิด คล้ายมีอะไรสักอย่างเตือนผมว่าถ้าไม่รีบจับไว้ที่หนึ่งจะหายไป ผู้ชายในเสื้อบาสเบอร์ 11 ดูตกใจนิดหน่อยที่ผมทำอย่างนั้น เขายกมืออีกข้างมาดึงแก้มของผมจนต้องประท้วงกลับ


   "งือออ"


   "ชอบดื้อ แต่พอโดนดุก็ทำหน้าจ๋อย"


   "..."


   “เดี๋ยวพี่เลี้ยงไอติมปลอบใจนะ”


   ทั้งผมและเขาไม่มีหน้าที่อื่นในงานอีกแล้ว เราเลยแทรกตัวออกมาจากงานได้โดยสะดวก หางตาเหลือบไปเห็นกลุ่มเพื่อนบาสของเขาคุยเสียงดังโหวกเหวกไปทางที่จอดรถที่ไม่ห่างออกไป พอหนึ่งในนั้นเห็นเราสองคนก็เดินมาหาอย่างที่ไม่ต้องใช้สกิลช่างสังเกตอะไรมากเห็นอยู่เขาว่ามองมือที่จับกันอยู่วูบหนึ่งแล้วทำเมินเสีย


   "เจอกันหน้ามอ จองไว้แล้วชื่อที่หนึ่ง"


   "อ้าวไอ้เหี้ย เอาชื่อกูไปใช้ไม่บอก"


   "เออน่า ถ้าถึงก่อนก็ได้สั่งไปเลย"


   "กูบอกแล้วเหรอว่าจะไป"


   "ไปดิวะ ชนะต้องฉลองงง" เขาหันมายิ้มกว้างให้ผม "โรมก็ต้องไปนะ บังคับ"


   คนในทีมส่วนมากรู้จักชื่อผมทั้งหมดนั่นแหละ ไปทุกวันจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกดีเด่นประจำทีมไปแล้ว


   "อ่า..."


   "น้องโรมไม่ชอบเสียงดัง หน้ามอแม่งเปิดเพลงดังจะตายห่า" เขาก็ยังคงคิดถึงผมก่อนตัวเอง "กูคงไม่ไปอะ ฝากกินเผื่อด้วยแล้วกัน"


   "ไปดิว้า เขาไปกับหมดนะมึง"


   "ขอผ่า..."


   "ไปได้นะ" ผมแทรกขึ้น


   "หือ?"


   "ไปได้"


   "แต่..."


   ทั้งคนและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบ ทำไมผมถึงหันไปพยักหน้าให้เขาอย่างนั้นนะ "ไม่เป็นไร"
 




   ที่หนึ่งบอกว่าร้านนี้เสียงดัง ผมว่าเขาพูดผิด
   
   ร้านนี้แม่งเสียงดังฉิบหายวายป่วงต่างหากล่ะ


   "เอ้า แดกกก"


   ไม่มีอะไรที่เหมาะสำหรับการฉลองเท่าร้านหมูกระทะ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่บัญญัติขึ้นมาว่าการฉลองหลังเสร็จกิจกรรมอะไรสักอย่างต้องมาลงเอยที่ร้านปิ้งย่างอย่างนี้ด้วย ผมถูกดันมาอยู่ส่วนท้ายสุดของโต๊ะโดยมีที่หนึ่งนั่งเก้าอี้ตัวถัดไป อีกฝั่งเป็นเพื่อนคนเดิมที่เดินมาหาพวกผมพร้อมบ่นไม่หยุดปากว่าโดนไล่ที่


   "ตรงนี้เป็นหม้อจิ้มจุ่มได้ป่ะวะ ปลามันปิ้งแล้วตลกอะ"


   "อย่าเรื่องมากครับไอ้นักกีฬาดีเด่น กูจะแดกเนื้อ"


   "ก็..."


   "หนึ่ง น้องกินได้" หันไปดึงแขนเสื้อคนที่เปลี่ยนเป็นเสื้อยืดตอนอยู่บนรถ "ไม่เป็นไร ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก"


   อย่างที่หนึ่งไม่มีปัญหาเรื่องการกินอยู่แล้วล่ะ ยิ่งพอเขาบอกว่ามันปิ้งปลาไม่ได้ก็รู้เลยว่าเขาคงกลัวว่าคนไม่ชอบเนื้อสัตว์จำพวกหมูอย่างผมจะกินไม่ได้ คือสุดท้ายแล้วผมก็ยังเป็นเด็กหอที่จะเสกให้ทุกอย่างเป็นดังใจเหมือนตอนที่อยู่บ้านไม่ได้ไง มีอะไรก็ต้องกินไป


   "งั้นเอาอย่างอื่นเพิ่มไหม?"


   ส่ายหัวให้พลางดันเมนูที่ยื่นมากลับ ที่จริงผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์เอนจอยอะไรอย่างนั้นเลย ยิ่งเขาทำอย่างนี้ผมยิ่งรู้สึกผิดกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า ที่หนึ่งดูเหมือนปกติมากๆ ในขณะที่ผมเหมือนเป็นน้ำขุ่นที่ถูกพวกพี่ผสมให้ยิ่งมัวเข้าไปใหญ่ 
เขากำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้


   "ที่จริงไปกินอย่างอื่นกันก็ได้นะ"


   "อยู่กับเพื่อนบ้างแหละดีแล้ว"


   หลังซ้อมเขาก็ไม่เคยไปกินข้าวกับเพื่อนต่อสักครั้ง อยู่แต่กับผมจนถึงไม่พูดแต่ทุกคนก็พอจะเดาได้ล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นคงมีคนอื่นเข้ามาร่วมแจม ไม่ใช่อย่างตอนนี้ที่มองไปจนถึงหัวโต๊ะอีกฝั่งมันไม่มีคนอื่นนอกจากผมที่เป็นคนนอกทีม


   "น้องโรม" เสียงเพลงดังอย่างที่ถ้าไม่ตะโกนหากันก็ต้องเข้าไปใกล้จนเกือบชิด ที่หนึ่งขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อให้เสียงของตัวเองมาถึงผม "เป็นอะไรครับ?"


   อยากจะว้ากกลับไปว่าตัวเองนั่นแหละยังเป็นคนปกติอยู่รึเปล่า คนที่เพิ่งได้ยินอะไรอย่างนั้นทำไมถึงยังทำตัวได้เป็นปกติขนาดนี้


   "เปล่า"


   "เลิกทำหน้าอึนได้แล้ว ไว้เดี๋ยวแวะซื้อไอติมเซเว่นขัดตาทัพไปก่อนแล้วกัน"


   "..."


   "ไม่อย่างนั้นต้องออกจากร้านเร็วหน่อย" ตอนนี้ผมรู้เลยว่าตัวเองเป็นนักพูดที่ห่วยแตก ในใจมีอะไรเป็นล้านที่อยากบอกออกไปแต่ก็เอาแต่น้ำท่วมปากอยู่นั่น "บอกแล้วว่าร้านนี้เสียงดัง น้องโรมไม่ชอบหรอก"


   "ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย"


   "หรืออยากออกไปข้างนอกก่อนไหม"


   "ไม่เอา" ส่ายหัวดิก เขาจะกังวลอะไรเบอร์นั้นกับการที่ผมต้องมานั่งกินข้าวเย็น คือนี่มากินข้าวไง ไม่ได้กำลังไปผจญภัยในป่าอเมซอนสักหน่อย


   "น้องโรมไม่ยิ้มเลยอะ"


   จะให้บอกไปได้ยังไงว่าก็เขานั่นแหละที่ทำให้ผมยิ้มไม่ออกอยู่ตอนนี้ คือผมผิดไง เรื่องที่คุยกับนิชผมผิดแบบเต็มๆ อย่างที่ไม่มีทางหาข้อยกเว้นอะไรมาลบล้างความผิดได้เลย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เห็นแสดงออกสักนิดว่ากำลังเสียใจกับสิ่งที่ผมทำลงไป และผมจะรู้สึกดีกว่านี้มากถ้าเขาทำตัวรู้ร้อนรู้หนาว จะเหวี่ยงจะดราม่าใส่อะไรก็ได้


   ถ้าเป็นผมนะ เจอเรื่องอย่างนี้เข้าไปไม่มีทางทำได้อย่างเขาหรอก


   "ปกติก็ไม่ยิ้ม" คิดว่าได้อิทธิพลเรื่องนี้มาจากไวท์


   "น้องโรมยิ้มให้พี่บ่อยจะตาย"


   "คิดไปเองแล้ว"


   อย่างผมนี่นะจะขยับปาก วันๆ อีกคนเอาแต่หาเรื่องให้ผมบ่นได้ตลอดมากกว่า


   เขารับถาดหมูสไลด์จากพนักงานมาไว้ตรงหน้าของตัวเอง ผลักถาดเบคอนมาไว้กับผม งานนี้คงกะมาถล่มร้านกันอย่างจริงจังถึงมีจานอัดแน่นถึงพื้นที่จนแทบจะหาที่ว่างไม่เจอ


   "ห้ามแย่งน้องโรมกินนะมึง"


   “กูไม่กล้าหรอกครับ ไม่ต้องมองแรงขนาดนั้นได้ป่ะไอ้เหี้ย”


   สงสัยไม่ค่อยมีใครอยากร่วมโต๊ะกับผม มันเลยมีแค่เราสามคนเท่านั้น ตั้งแต่เด็กที่ผมจะชอบหลบอยู่ข้างหลังของพวกพี่ๆ มันเป็นสถานที่เสมอในความคิดผม และตอนนี้ผมก็อยากจะหลบอยู่ด้านหลังของที่หนึ่งอย่างนั้นไม่พบปะใคร เออ ก็ดี รบเร้าให้อีกคนพามาเองแล้วพอมาถึงก็ทำตัวมีปัญหา


   ผมแม่งควรได้ตำแหน่งจอมงี่เง่าดีเด่น


   “กินได้แน่นะ จะเป็นอะไรรึเปล่า”


   จำได้ว่าเคยเล่าแค่ผมไม่ชอบเนื้อสัตว์เพราะเคยเจอของไม่ดี ไม่ได้เคยไปฆ่าล้างโคตรจนโดนจองล้างจองผลาญสักหน่อย


   "ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”


   "งั้นก็กินเยอะๆ”


   “เออที่หนึ่ง งานบียัวร์ไปถึงไหนแล้ววะ”


   ผมคีบเนยลงไปในถาดเหล็ก ความร้อนหลอมก้อนไขมันแบบอิ่มตัวให้กลายเป็นของเหลวในชั่วพริบตา เอาเนื้อตามลงไปเพื่อพาตัวเองให้ออกมาจากการสนทนาอย่างเนียนๆ


   "ก็ใกล้จะจบแล้วมั้ง เหลือมีไปค่ายกับชมรม แต่ยังไม่ชัวร์ว่าชมรมไหน"


   "ค่ายไรวะ ไปต่างจังหวัดเหรอ?"


   "บอกแล้วว่ายังไม่สรุป กูก็ไม่ได้เข้าไปเลยช่วงหลัง โดดไปงานนึงเลยไม่อยากเข้าไปบ่อย"


   คงไม่พ้นงานปั่นจักรยานวันนั้น เขาไม่เคยเล่าให้ผมฟังว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และผมเองก็เพิ่งนึกได้ว่าโครงการนี้ยังไม่จบ ก็เขาเอาแต่อยู่ติดกับผมอย่างนั้น จนนึกว่าเขาเป็นพวกว่างงานเตะฝุ่นอยู่


   "โดด? คนอย่างมึงที่เอาแต่ด่าให้กูเข้าเรียนให้ครบเนี่ยนะ"


   "เขาให้ขาดได้สามครั้งมึงก็ขาดไปสองครั้งครึ่ง คราวล่าสุดถ้ากูไม่ช่วยอ้อนวอนอาจารย์ก็หมดสิทธิ์สอบแล้วป่ะ"


   "อันนั้นแม่งสุดวิสัย"


   "อะกูให้ กินไปให้หมด ปากจะได้ไม่ว่างอีก" ที่หนึ่งย้ายเนื้อที่อยู่ในเตาไปยังจานของอีกฝั่งแบบไม่สนเลยว่าเนื้อมันสุกหมดแล้วหรือไม่ คือหนึ่ง กูเพิ่งลงไปเมื่อกี้อะ แม่งยังแดงๆ อยู่เลย


   "อ้อ พูดถึงแล้วก็เพิ่งนึกได้ น้องโรมจำเวลได้ป่ะ"


   "...จำได้"


   ชื่อที่ผมไม่อยากจำออกมาจากปากของเขา


   "วันก่อนไปเจอเวลมา มันพาไว..."


   เสียงตะโกนเฮลั่นดังมาจากส่วนหน้าของโต๊ะ ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่ชายร่างเล็กบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่กำลังชูมือขึ้นเหนือหัวสองข้างด้วยหน้าปลื้มปริ่มเต็มประดา ที่เหลืออีกสองสามคนกำลังทำท่าบูชาเทพเจ้าอยู่


   "ที่หนึ่งครับบบ งานที่ส่งประกวดได้รางวัลชนะเลิศ!"


   "เหรอ”


   เขาเพียงปรบมือแปะๆ ให้ตัวเอง ดูเหมือนกับว่ารางวัลที่เพิ่งได้รับมาไม่มีผลอะไรต่อชีวิตเลยสักนิด ในขณะที่เพื่อนหลายคนส่งเสียงดังจนน่าปวดหัวยิ่งกว่าเดิม


   “มึงช่วยตื่นเต้นมากกว่านี้หน่อยสิ”


   “เย้”


   เขายกมือขึ้นคล้ายท่าเฮ แล้วก็พูดคำว่าเย้ด้วยหน้านิ่งๆ แบบที่ผมหลุดขำได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าร้านมา


   น่าจะเป็นงานที่เด็กในคณะหลายคนส่งไปประกวดอยู่เหมือนกัน ผมไม่ชอบงานอะไรที่ต้องติดต่อสื่อสารหรือใช้ชีวิตอย่างทุ่มเทไปกับการสร้างผลงานชิ้นหนึ่งขึ้นเลยไม่สนใจมัน ถึงเงินรางวัลกับโอกาสที่จะได้รับการทาบทามให้ไปทำงานต่อหลังจบมันจะมีมากแค่ไหนก็เถอะ แค่เรื่องฝึกงานผมยังไม่คิดเลย จะจบเทอมหนึ่งอยู่แล้วแท้ๆ


   “ไอ้เชี่ย นี่กูหวังอะไรสูงไปเหรอวะ”


   "ทำงานมึงก็ต้องหวังชนะเลิศดิ"


   "กูหมายถึงจะได้เห็นมึงทำหน้าดีใจมากกว่านี้อะ"


   เนื้อร้านนี้อร่อยกว่าที่คิด แต่ท้องของผมมันกลับรับสารอาหารลงไปไม่ได้อีกแล้ว ผมเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ปิ้งมือฉมังให้คนอื่นในโต๊ะได้กินอย่างไม่มีสะดุด


   "ก็ดีใจนะ เย้"


   เขากดปุ่มย้อนกลับไปยังฉากก่อนหน้าที่ยกมือขึ้นแล้วทำหน้าเรียบ "พอใจยัง"


   "ใช่สิ มึงคงได้ที่หนึ่งจนเบื่อแล้วมั้ง"


   นั่นสินะ ตั้งแต่เคยได้ยินชื่อเขาครั้งแรกจนถึงทุกวันนี้ยังไม่เคยเห็นว่าจะมีครั้งไหนที่เขาได้ยืนอยู่ตำแหน่งอื่นนอกจากจุดสูงสุดอย่างนั้นเลย


   "ก็เปล่า" ตะเกียบในมือของเขาส่ายไปมา "งานนี้กูช่วยนิดเดียวเอง"


   "แล้วโรมทำด้วยป่ะ?"


   ส่งเครื่องหมายเอ็กซ์กลับไป เพื่อนร่วมทีมที่ผมไม่อยากจะจำชื่อ (เพราะถ้าเริ่มจำแล้วมันต้องไปจำคนอื่นต่ออีกแหง) ขยับหัวขึ้นลงให้เป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว จากเป็นปลายโต๊ะที่สงบกว่าส่วนอื่นมันก็มีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามาแสดงความยินดีอย่างต่อเนื่อง


   "พ่อพระของลูกช้างงง"


   "มีเงินใช้ล่ะว้อย"


   "กราบ อยากได้ของบูชาเป็นอะไรครับมึง"


   บอกแล้วว่าผมมันพวกขี้รำคาญ คนมากหน่อยก็พร้อมจะเลี่ยงตัวเองไปอยู่ที่อื่นแล้ว สิ่งที่น่าอึดอัดกว่าจำนวนคนคือบรรยากาศที่ผมมองไปรอบตัวแล้วไม่รู้สึกสบายใจ ก็ใช่ว่าเป็นคนคุ้นหน้า แต่คือระดับคุ้นหน้าของผมมันเท่ากับการที่พอจำได้ไม่ใช่สนิทกัน


   ส่องหาพื้นที่สงบๆ จนเจอกับม้านั่งไม้ไผ่ขนาดยาวอยู่ด้านข้างของร้าน ผมถอนหายใจออกมาจนน่ากลัวว่าจะขาดอากาศกลับเข้าไปแลกเปลี่ยน ผมอยากเข้าใจระบบการทำงานของความรู้สึกเหมือนกัน บางทีที่เราทะเลาะกันหรือว่าผิดใจกันมันจะมีอะไรบางอย่างบอกเราว่าตอนนี้มันไม่ใช่สถานการณ์ปกตินะ ความเงียบที่เกิดขึ้นตอนที่เราทะเลาะกับช่วงเวลาปกติสุขกันมันแยกได้ง่ายดายมากเลยล่ะ




   NITCH : ไปคิดให้ดีๆ นะน้องโรม พี่รออยู่




   คงไม่คิดอะไรถ้านิชส่งไลน์มาให้ในแบบห้องแชตส่วนตัว นี่เล่นส่งมาในไลน์กลุ่มให้คนอื่นเห็นทั่วกันพี่นิชของผมคงกัดไม่ปล่อย จะมาใครมาช่วยหนุนหลังผมได้บ้าง


   ที่หนึ่งเหรอ


   จากที่อาการหนักอยู่แล้วพอคิดถึงตอนที่เขาดึงผมไปกอดอย่างนั้นก็ยิ่งแย่ ถ้าเป็นสัตว์จำพวกมีหูตอนนี้ก็คงลู่จนแทบติดกับหน้า ย้ำไว้อีกครั้งตรงนี้ว่าผมไม่โอเคมากกับการเห็นเขาทำตัวแสนดีกับผมอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


   "กลับกันไหม?"


   ยังไม่ต้องเงยหน้าก็รู้ว่ามีอยู่รายเดียวที่ติดจีพีเอสไว้ที่ตัวผมอย่างนี้ ผมกดปุ่มพักหน้าจอเพื่อให้เขาไม่เห็นว่านิชส่งอะไรมาให้ เรียกกำลังใจให้ตัวเองก่อนที่จะสบตากลับ นัยน์ตาสวยคู่เดิมปิดความกังวลไม่มิด


   "ไม่อะ ไปสนุกกับเพื่อนเถอะ"


   เขาคงมีเพื่อนอยู่เยอะแยะ ผมแย่มากที่ทำให้เขาต้องมาติดแหงกอยู่กับผมคนเดียวอย่างนี้


   "น้องโรม..." ที่หนึ่งย่อตัวลงมาให้ผมไม่ต้องยกคอขึ้น "ไม่เห็นต้องฝืนใจมาเลย"


   "หนึ่งต่างหากที่ฝืนอะ"


   ฝืนที่ผมบอกมันมีหลายอย่าง...เขาจะรู้ไหมนะ


   "ฝืน?"


   "ไม่เห็นต้องมาติดอยู่ที่โรมเลย เพื่อนหนึ่งก็มี..." แล้วไหงผมถึงเสียงแห้งอย่างนี้ ขอบตาก็เริ่มร้อนๆ อีก


   ได้ยินเขาถอนหายใจออกมาเบาๆ อาการเหนื่อยหน่ายมันเบะปากของผมออก เขาต้องคิดว่าผมเอาแต่ใจมากเกินไปแล้วแหง


   "น้องโรมครับ" ผู้ชายตัวสูงขยับตัวมานั่งชิดกัน จากที่นั่งหลังตรงก็โดนดึงให้ไปซบกับไหล่อีกฝ่าย กลิ่นอ่อนๆ ของน้ำหอมที่เขาใช้ประจำมันแสบจมูกจนผมน้ำตาซึม "โรมเคยบังคับให้พี่อยู่กับโรมเหรอ?"


   "เปล่า..."


   "แสดงว่าหนึ่งเต็มใจอยู่เองถูกไหม"


   "ไม่รู้"


   "โอเค งั้นรู้ไว้ว่าหนึ่งเต็มใจอยู่ ไม่ต้องไปสนใจพวกนั้นมากหรอก" เขาคงเดาได้แล้วว่าผมกำลังคิดมากเรื่องอะไร "ได้แต่มองน้องโรมอยู่ห่างๆ ตั้งหลายปี พอได้อยู่ใกล้จริงๆ มันก็อยากอยู่ให้ได้มากที่สุดแหละ"


   คนอย่างโรมันมีดีอะไรที่ทำให้ที่หนึ่งมาอยู่ตรงนี้


   "...เพราะต่อจากนี้หนึ่งอาจไม่มีโอกาสอย่างนี้อีกเลยก็ได้นะ"


   ผมไม่รู้เลยจริงๆ
 




   ที่เข้าใจว่าร้านนี้เปิดแค่เพลงจากเครื่องเสียงกลายเป็นว่าพอเริ่มอิ่มก็กลายเป็นลานดนตรีแสดงสด ผมวางตะเกียบลงหลังจากที่งอแงจนสบายใจไปเปราะหนึ่งแล้วก็กลับมาทำลายล้างเผ่าพันธุ์สัตว์เนื้อต่ออีกยก งานนี้สบายหน่อยตรงที่ไม่มีใครกล้ามาแย่งผมกินเหมือนเตาอื่นที่ยิ่งกว่าสงครามกลางเมือง คนกินน้อยที่สุดเปลี่ยนจากผมเป็นที่หนึ่งผู้ซึ่งถูกเรียกหาตัวไปพูดคุยถ่ายรูปตามประสาจนก้นไม่ได้ติดเก้าอี้อีกเลย


   ความรู้ใหม่อีกอย่างคือเจ้าของร้านเป็นศิษย์เก่าคณะผม พอรู้ว่าเราเพิ่งชนะบาสประเพณีมาเลยร่วมแจมโดยการเปลี่ยนนักร้องมืออาชีพเป็นพวกสมัครเล่นมาร้องคาราโอเกะ บางคนกำลังกรึ่มได้ที่จากของมึนเมาก็ขึ้นไปร้องเพลงหลงคีย์ให้คนอื่นได้โห่เล่น ถึงรอบข้างจะเฮฮามากแค่ไหนผมก็ยังนั่งนิ่งอยู่ตรงที่ของตัวเอง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมส์ให้หายเบื่อบ้าง ผมอัพเดตทุกโปรแกรมออนไลน์ในเครื่องจนไม่มีอะไรให้เข้าไปดูอีกเว้นแต่ไลน์ ผมไม่กล้าเข้าไปดูว่ามันมีอะไรเพิ่มเติมบ้าง


   "และเพลงต่อไป ขอเชิญฮีโร่ของเราในเกมส์ครับบบ"


   ผู้ชายคนนั้นยังคงเฉิดฉายท่ามกลางฝูงคน ที่หนึ่งขึ้นไปอยู่บนเวทีหลังจากที่คุยอะไรกับคนคุมเครื่องเสียง ยามที่เขาโปรยยิ้มการค้ามันเรียกเสียงเชียร์จากเหล่าสมาชิกร่วมทีมได้ถล่มทลาย


   ...เขาเหมาะที่จะอยู่อย่างนั้น


   อยู่กับแสงสี อยู่บนที่สูง อยู่ให้สมกับเป็นที่หนึ่ง


   ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้เมโลดี้แรกของเพลงก็ดังขึ้น ผมไม่ได้ฟังเพลงไทยมากเท่าไหร่เลยยังไม่รู้ว่าเขากำลังจะร้องเพลงอะไร ที่หนึ่งทำหน้าเหวอใส่เพื่อนคนอื่นจนผมต้องหันมามองรอบๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาถึงทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนั้น มีบางคนยังหัวเราะใส่นักร้องจำเป็น อีกส่วนหนึ่งหันมามองทางผมด้วยสายตาแปลกๆ


   "เชี่ยหนึ่ง! เผด็จศึกเลยมึง!!!"


   ผู้คนจำนวนมากกลบที่มาของเสียง นักร้องชั่วคราวบนเวลาพูดแบบไม่มีเสียงพร้อมส่งนิ้วกลางอย่างเดียวลงมาให้ผู้ชมด้านล่าง เห็นไม่ชัดแต่ก็คล้ายว่าเคยเห็นเขาในมุมเขินอายอย่างนี้มาก่อน


   "พวกมึงนะ..." คำกล่าวเบา "ช่วยรับฟังด้วยนะครับ"


 
   ปฏิเสธหัวใจอย่างไร ฉันทำไม่เป็น
   เพียงแค่เห็นเธอ เข้ามาทักทาย
   เหมือนได้เห็นความฝันที่กลับกลายเป็นความจริง



 
   มันเป็นเพลงไทยที่ผมเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้สนใจเนื้อร้องเท่าครั้งนี้


 
   หัวใจที่ไม่เคยมีรัก กลับอยู่ไม่เป็นจังหวะ
   เพียงแค่เธอส่งยิ้มมา ไม่กล้าเปิดเผยใจ
   กลัวเธอจะรู้ว่า คนที่ยืนอยู่ตรงนี้

 
   จะรู้อะไรล่ะ...
 
   แอบหลงรักเธออยู่ แต่เธอคงดูไม่ออก
   ซ่อนความรักไม่กล้าบอก กลัวเธอจะเปลี่ยนไป
   ห้ามใจยังไงให้ไหว เมื่อเธอน่ารักเกินกว่าใคร
   ปฏิเสธอย่างไร เมื่อรักเธอจนไม่อาจจะถอนตัว

 


   ใครจะทำอะไรก็ช่างมันแล้ว ผมยกมือถือขึ้นมาปิดหน้าอย่างกับว่ามันใหญ่พอที่จะปิดหน้าของผมได้ทั้งหมด เขาไม่หันไปมองทางอื่นบ้างเลย มุมเดียวที่หันองศามาคือตรงที่ผมยืนอยู่ พื้นที่ที่ไม่มีใครกล้าเข้ามาบังรัศมีแม้แต่เสี้ยว


   แอบบ้าอะไร นี่มันปราศรัยไฮปาร์คแล้ว


   ยิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์ที่ผมไม่ได้เห็นมาพักใหญ่ส่งมาให้ระหว่างที่ยังไม่ขึ้นเนื้อร้องท่อนถัดไป ต่อให้มีเสียงอื่นแทรกมากแค่ไหนผมก็ไม่สนใจที่จะฟัง สิ่งเดียวที่ผมกำลังพุ่งสมาธิไปหาคือเขา ผู้ชายกลางแสงไฟที่เต็มไปด้วยความโดดเด่น




   ปฏิเสธไม่ไหว วันนี้ฉันจะบอกเธอให้รู้ตัว


- ปฏิเสธอย่างไร (ลิปตา)
 


   พูดแบบเกรงใจก็คนเล่นกีต้าร์ไม่ได้หมายความว่าจะร้องเพลงเพราะ ส่วนถ้าแบบไม่เกรงใจคือเพี้ยนวายวอด ผมปรบมือให้หลังจากท่อนสุดท้ายจบลง การปรบมือที่ไม่ใช่ตามมารยาทอย่างทุกที


   "มันแอบเปลี่ยนเพลงอะ หนึ่งไม่ได้เลือกเพลงนี้นะ"


   "แล้วตอนแรกจะร้องเพลงอะไร"


   "บัวลอย"


   "..."


   เขาทำหน้าจริงจังชนิดที่ผมไม่กล้าตกมุกกลับ


   "ฮ่าๆ ตอนแรกจะร้องเพลง XX แต่คงใหม่ไป เครื่องหาไม่เจอ" มันคือเพลงที่ผมกำลังเปิดวนลูปฟังในช่วงนี้ ที่หนึ่งรู้ดีอยู่แล้วล่ะก็เล่นเปิดมันทั้งวันตอนอยู่ในห้อง แล้วเขาก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับการเล่นซ้ำไปมาเป็นร้อยๆ รอบอย่างนั้นผมเลยไม่ได้สนใจ


   "ไม่ร้องเพลงชาติล่ะ เจอแน่นอน"


   "โห ตั้งแต่จบมอปลายมานี่ร้องนับครั้งได้เลยนะ"


   "จะได้ทวนความจำไง"


   "มันควรจะจำได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ"


   "กว่าน้องจะจำบทแผ่เมตตาได้ก็ตอนมอห้าอะ"


   "ไม่ท่องได้วันจบเลยล่ะ" เขายกมือขึ้นมาโยกหัวผมไปมา หน้าเวทีเวลานี้กลายเป็นลานคนโศกไปแล้วเมื่อเพลงเศร้าเล่นต่อเนื่องกันเป็นรอบที่สาม ผมมองเหม่อกลุ่มชายหนุ่มกลางแสงไฟแย่งกันร้องท่อนฮุกของเพลง มือเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเคยชิน


   "เอ๊ะ"


   ผมอุทานออกไปเบาๆ ยามมือเราสองคนแตะกันโดยบังเอิญ หันไปมองฝ่ามือใหญ่ที่กว่าค่อยๆ ประสานทีละนิ้วเข้าหากันช้าๆ จนรับกันสนิท มุมปากที่ยกขึ้นขึ้นเรียกให้ผมทำตาม


   แล้วเราก็หัวเราะให้กันท่ามกลางเพลงช้าเนื้อหาโศก 


 
   กลิ่นเนื้อย่างที่ติดตัวอย่างที่ไม่ค่อยอยากยอมรับตัวเองมากเท่าไหร่ ผมพุ่งเข้าไปอาบน้ำทันทีที่กลับมาถึงห้องปล่อยให้อีกคนเคลียร์อุปกรณ์เล่นกีฬาที่ถูกโยนๆ มาให้ช่วยเก็บเพราะว่าเป็นคนเดียวมีรถ พวกมันก็อ้างไปอย่างนั้นแหละ เรื่องจริงคือมีแผนเมาเหล้ากันต่อไม่อยากเอาอะไรไปเป็นภาระต่างหาก


   เวลาที่ล่วงเลยไปเกือบเที่ยงคืนบอกว่าได้เวลานอนแล้ว ที่หนึ่งหันไปมองห้องฝั่งตรงข้ามที่ยังเปิดไฟสว่างแล้วชี้นิ้วถาม


   "ไวท์นอนดึกเนอะ"


   "ปกติ"


   อยากจะแก้คำ ขืนแก้ไปก็ต้องมาอธิบายไม่จบไม่สิ้น ว่าไม่ได้นอนดึก...ไม่นอนต่างหาก


   ตอนที่นอนห้องเดียวกันบอกเลยประสาทจะกิน คุณพี่สาวที่ไม่เคยสะกดคำว่าเกรงใจเป็นเหมือนเน็ทอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจ เคยสะดุ้งตื่นตอนตีสามจากการที่เธอทำของตกอยู่เหอะ กว่าจะหลับลงอีกทีก็ตีห้า แล้วต้องตื่นมาเรียนแปดโมงไง


   "อ้อ ที่ยังเล่าเรื่องเวลไม่จบ คือ..."


   "นอนกันเถอะ"


   แค่ได้ยินชื่อก็ไม่อยากจะฟังอะไรต่อแล้ว ผมสะบัดเสียงห้วนใส่แล้วคว้าน้องส้มมากอดไว้ ซุกตัวเองลงไปอยู่ในผ้านวมผืนใหญ่ของเขาเพื่อบังคับกลายๆ ให้อีกฝ่ายต้องยอมหยุดพูด


   เหมือนเขาพูดครับๆ ตามมาด้วยไฟห้องที่ปิดลง ในความมืดผมเห็นกลุ่มความน่าอึดอัดกระจายอยู่รอบตัว ตอนนี้ผมอยากอ่านใจคนได้ ผมอยากรู้ว่าตอนนี้สิ่งที่เขากำลังทำอยู่มันคือการพยายามทำตัวให้เป็นปกติอยู่หรือเปล่า


   "หนึ่ง"


   "ครับ"


   "ที่หนึ่ง"


   "หืม"


   "ที่หนึ่ง ที่หนึ่ง"


   ผมเอาแต่เรียกชื่อเขาซ้ำๆ อย่างนั้นเหมือนเครื่องเล่นเพลงที่เล่นวน


   เตียงของเขามีขนาดใหญ่อย่างที่ผู้ชายสองคนนอนได้สบาย เราแบ่งฝั่งกันหลวมๆ แบบที่ต่างฝ่ายไม่มีใครเข้าไปรุกล้ำมากจนเกินพอดี ปกติแล้วผมจะนอนกอดหมีส้ม (ซึ่งตอนนี้เป็นกอดหมีส้มกับเจ้าม่วงสลับกันไปตามมาอารมณ์) ส่วนที่หนึ่งนอนแบบไม่ต้องใช้อะไรเสริมทั้งนั้น


   ยิ่งข่มตาให้หลับมากแค่ไหนภาพเขาบนเวทีก็ชัดเจนขึ้นมากเท่านั้น ผู้ชายที่ควรค่ากับการอยู่บนจุดสูงสุดกับการกระทำที่ผมเชื่อว่าพรุ่งนี้เช้ามันจะต้องส่งผลอะไรบางอย่าง หันมามองคนที่นอนตะแคงหันหลังให้อยู่อย่างนั้นแล้วไม่พอใจอย่างไรไม่รู้ ถึงมันจะไม่ต่างจากหลายคืนที่ผ่านมาก็เถอะ


   "หันมาหน่อย"


   เขาหันมาหาผมอย่างว่าง่าย "ยังไม่ง่วงเหรอ"


   ส่ายหัวไปมาเป็นการปฏิเสธ ผมเขยิบตัวเองเข้าไปจนระดับความใกล้ของเราไม่ต่างอะไรกับที่เคยเขาดึงผมไปกอดจนชิด จากที่นอนแยกกันคนละหมอนมันก็เป็นสองคนบนหมอนเดียวกัน ความมืดแม้จะเสกให้ผมกลายเป็นคนตาบอดแต่มันก็เพิ่มประสาทสัมผัสการรับรู้ส่วนอื่นให้ทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น 


   กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำสูตรเย็นคุ้นจมูก เสียงลมหายใจของเขาผ่อนลมเข้าออกสลับไปมา เราสองคนต่างปิดปากสนิทเหมือนกำลังเล่นเกมส์ที่ใครพูดออกมาก่อนเป็นฝ่ายแพ้ ความน่าหงุดหงิดใจบอกให้ผมเคลื่อนมือไปแตะตรงบริเวณหน้าอกข้างซ้ายของเขา ให้รู้กันไปเลยว่าคนข้างกายยังคงมีหัวใจอยู่หรือเขาไร้ใจจนไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้เลย


   "น้องโรม?"


   ร่างกายเขาตอบผมกลับผ่านจังหวะการเต้นที่เร็วกว่าปกติ ความหน่วงเหมือนกำลังทำโจทย์ที่ใช้ตัวช่วยมากแค่ไหนก็แก้ไม่ออก จนยอมแอบเปิดดูเฉลยจนรู้คำตอบแล้วปลอบใจตัวเองว่าได้คำตอบก็พอแล้ว ไม่ต้องรู้วิธีแก้หรอก


   ผมไม่อยากหาคำอธิบายให้สิ่งที่กำลังทำอยู่ สำหรับผมการเลือกแบ่งได้เป็นสองแบบคือใช้สมองไตร่ตรองคิดวิเคราะห์ถึงข้อดีข้อเสียจนครบทุกด้านกับใช้ความรู้สึกถูกชะตากับมัน แน่นอนว่าแต่ละอย่างก็แตกต่างกันไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ จุดนั้น


   และตอนนี้ผมเลือกโดยใช้หัวใจ


   "...กอดหน่อยได้ไหม"


   ผมอยากอยู่ในอ้อมกอดเขาอีกครั้ง


***
   สวัสดีวันตรุษจีนค่ะ /จุดพลุ
   เป็นวันที่ต่อให้อยากนอนตอนรับอากาศเย็นๆ มากแค่ไหนก็ทำไม่ได้เพราะโดนเสียงพลุมาทักทายตลอดเวลาค่ะ (ฮา) ขอให้เฮงๆ กันตลอดไปนะคะ (ยิ้ม)
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 17 [07.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: DE SaiKuNee ที่ 07-02-2016 21:42:46
 :L2: :L2: :mc4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 17 [07.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Aimiya ที่ 07-02-2016 22:27:20
โอ้ยๆ กอดแน่นๆเลยน้าาาา เขินมากตอนร้องเพลงงงง >///////< รู้สึกถึงความหน่วง อึดอัดไปพร้อมๆกับความหวานลึกๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 17 [07.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-02-2016 00:49:46
พอเป็นคู่นี้มันสั้นทุกทีเลย
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 17 [07.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 08-02-2016 09:02:31

ถ้าคิดเยอะแล้วมันหนักหนาก็เลิกคิดเถอะน้องโรม
พี่ที่หนึ่งกอดน้องแน่นๆ ห้ามปล่อยเลยนะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 17 [07.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 10-02-2016 14:22:17


จากที่คิดว่าแค่สงสารที่หนึ่ง ตอนนี้เริ่มจะโคตรสงสารพ่อพระเอกของเรื่องนี้สุด ๆ ไปเลย
ใครมันจะรักมั่นและปักหลักกับน้องโรมที่โคตรมีปมอดีตเยอะแยะได้มากเท่าที่หนึ่ง... คงไม่มีอีกแล้วแหละ
อ่าน ๆ ไปนี่ก็นึกนะว่า ถ้าเกิดที่หนึ่งถอดใจจากน้องโรมเอากลางคัน น้อมโรมจะรู้สึกตัวบ้างไหมว่าตัวเองเดินมาไกลจากจุดเริ่มต้นมากแล้ว และบาดแผลหลังจากที่หนึ่งหายไปคงจะกรีดลึกอยู่ในใจน้องโรมไปอีกนานเลยทีเดียว

เฮ่อ... เป็นพระเอกของน้องโรมต้องอดทน โดนสงครามประสาทหล่นใส่ต้องไม่ตาย (ตบบ่าที่หนึ่งปุ ๆ )
รออ่านตอนต่อไปค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ ^^  :pig4:


หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.1 [11.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 11-02-2016 22:48:27
บทที่ 18.1


   วันที่สิบห้า เดือนกันยายน เมื่อยี่สิบปีที่แล้วเด็กชายโรมันได้ลืมตาขึ้นเป็นครั้งแรก

   วันนี้วันเกิดของผม

   "น้องเอ๋อตื่น"

   ตาทั้งสองข้างเปิดกว้างตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ผมกระพริบตาปริบๆ แล้วส่งสัญญาณไปให้คนที่ยืนอยู่หน้าห้องรู้ว่าหลุดออกมาจากโลกแห่งความฝันแล้ว แบล็คมีหน้าที่ปลุกผมตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านนี้ ตอนแรกก็เป็นไวท์อยู่หรอกแต่คือผมไม่ตื่นอะ เสียงเรียบๆ นิ่งๆ อย่างนั้นฟังไปก็กลายเป็นเพลงกล่อมเด็กให้นอนต่อมากกว่า พอแฝดเปลี่ยนตัวผู้เล่นเป็นพี่ชายคนโตผมเลยโดนสารพัดวิธีปลุกให้ตื่น จนเป็นโรคจิตแค่ได้ยินเสียงก็ต้องดีดตัวขึ้นจากเตียงแล้ว ไม่เหมือนที่หนึ่งปลุกเบาๆ ก็ตื่น

   "...แม่ง"

   หลุดคำหยาบออกไปตอนที่คิดถึงอีกคน ผมขยี้หัวที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่มากกว่านี้หน่อย มืออีกข้างคว้ามือถือมาตรวจสอบว่ามีข้อความที่ต้องการเพิ่มขึ้นมาหรือไม่

   ...แล้วมันก็ไม่มี

   เป็นการเริ่มต้นวันที่แย่มาก

   "อย่าเพิ่งเล่นมือถือ ล้างหน้าแล้วลงไปตักบาตรก่อน เดี๋ยวพระหมด"

   "อือออ" อือๆ ออๆ แต่ก็ยังคงตรวจดูแอพอื่นว่ามีการเคลื่อนไหวหรือไม่ต่อไป

   "น้อง โรม"

   เสียงกึ่งไม่พอใจบอกให้วางมือถือลง ผมเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวด้วยความไวแสงแล้วลงไปสมทบกันคนอื่นในบ้านที่รออยู่บริเวณห้องนั่งเล่นเรียบร้อยแล้ว

   "คุณพินิจสวัสดีครับ"

   ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่สุดในบ้าน คุณพินิจเป็นผู้ใหญ่วัยเกือบห้าสิบที่เห็นจากภายนอกก็ให้ความรู้สึกเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง จนได้เห็นนามสกุลนั่นแหละถึงรู้ว่าผู้ชายที่ชอบใส่เสื้อเชิ้ตคอปกกับกางเกงสามส่วนสมัยอากงจะเป็นเจ้าของธุรกิจสีเทาหลายอย่าง ผมเองไม่รู้อะไรมากไปกว่าบ้านนี้มีอาวุธอันตรายซ่อนไว้สำหรับป้องกันการบุกรุกเต็มไปหมด ถ้าลองรื้อดีๆ ก็อาจเจอปืนสั้นบรรจุกระสุนเต็มเก็บไว้ข้างชั้นวางของก็เป็นได้ เชื่อเถอะ ผมกับแบล็คเคยเล่นเป็นนักสำรวจมาแล้ว

   ไม่ใช่แค่ผมที่ต้องเรียกผู้ใหญ่สุดในบ้านด้วยชื่อนี้ แม้แต่ลูกแท้ๆ ถ้าเป็นการคุยต่อหน้าหรือคุยกับบุคคลที่สามที่มีเจ้าตัวอยู่ในวงสนทนาด้วยก็ต้องเรียกว่าคุณพินิจเช่นกัน มันดูเหมือนจะเก๋าแต่ในขณะเดียวกันก็ดูเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลมารองรับอยู่ไม่น้อยที่ลูกต้องมาอยู่ในกฎเกณฑ์อย่างนี้

   ฝาแฝดไม่ค่อยเหมือนพ่อถ้าดูจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่ถ้าลองรู้จักแล้วจะไม่แปลกใจเลยที่เขาสองคนเติบโตมาได้อย่างเข้มแข็งและสวยงามขนาดนี้ พวกเขาได้วิญญาณจากพ่อมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลยล่ะ

   ส่วนผมในฐานะลูกบุญธรรมที่ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลเลยไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องนี้เท่าไหร่ และผมเองก็ไม่อยากเล่าประวัติความเป็นมาให้ใครฟัง ก็เคยเล่าไปแล้วไม่เห็นมีใครเชื่อเลยเลิกเล่าดีกว่า

   “เมื่อคืนนอนดึกนะ เกือบตีหนึ่งแล้วลุงยังเห็นไฟห้องเปิดอยู่แล้ว”

   "แฮะๆ"

   "เอาแต่เล่นเกมส์ล่ะสิ"

   “เปล่าสักหน่อย”

   จะบอกว่านอนดึกก็ไม่เชิง คือผมคงหวังอะไรมากไปหน่อยเลยยอมรอถึงเที่ยงคืนเพราะคิดว่าจะต้องมีข้อความส่งมาสุขสันต์วันเกิดแน่ๆ

   แล้วเป็นไงล่ะ จนถึงตอนนี้ก็ยังศูนย์ข้อความ

   "แบล็ค ดูแลน้องด้วยสิ"

   "มันอายุยี่สิบแล้วคุณพินิจ"

   "แล้วเป็นน้องอยู่รึเปล่า"

   "เป็น"

   "พ่อเคยพูดไว้ว่าไง?"

   "เป็นพี่ต้องดูแลน้อง" ราชาชิงท่องประโยคที่ถูกกรอกหูจนขึ้นใจ ไม่ต่างกับผมและไวท์ที่ทำปากขมุบขมิบตามไปด้วย ประโยคนี้คือ 'คำสั่ง' ที่พวกเราจำได้ดี ใครเกิดก่อนมีหน้าที่ต้องดูแลปกป้องคนที่เด็กกว่า นั่นรวมถึงแบล็คยังคงต้องดูแลไวท์เช่นกันแม้ว่าจะเกิดห่างกันไม่กี่นาทีก็เถอะ

   ผมไม่ได้อยากกลับบ้านสักเท่าไหร่ แต่นี่เป็นธรรมเนียมของทั้งบ้านที่จะต้องลงมาทำบุญตักบาตรในตอนเช้าของวันเกิด เลยต้องยอมแหกขี้ตาตื่นมารับพรให้คุณพินิจสบายใจ ผมน่ะลูกชายดีเด่น ไม่เหมือนที่เหลือหรอก

   รอจนพระสงฆ์รูปสุดท้ายลับตาไปถึงถ่ายรูปโต๊ะว่างเปล่าไปให้พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดดูว่าเช้านี้ได้ทำอะไรไปบ้าง ตอนนี้บุพการีของผมกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปดูงานที่แถบละตินอเมริกา เวลาของนี่นู่นน่าจะยังไม่พ้นวันใหม่เลยไม่มีข้อความจากท่าน

   เล่าความเป็นมาแบบย่อมากที่สุดคือการที่ผมมารู้จักกับฝาแฝดได้มันเกิดขึ้นจากการที่แม่ของเราสามคนเป็นเพื่อนกันมาก่อน ไม่รู้ระดับความสนิทเพราะไม่เคยมีใครเคยบอก ผมเกิดทีหลังแต่ยังอยู่ในปีเดียวกัน ความเป็นลูกคนเดียวบวกกับลักษณะนิสัยส่วนตัวของผู้ให้กำเนิดที่ไม่ชอบอยู่กับที่ไหนที่หนึ่งนานๆ เลยถูกโยนมาให้ทางนี้ช่วยเลี้ยงให้เพราะเราเกิดในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน แล้วมีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อยช่วงประถมมันเลยทำให้ผมต้องมาเป็นลูกบ้านนี้ตามกฎหมาย แบล็คเล่าว่าข้อดีคือผมสามารถรับมรดกของทั้งสองบ้านได้เต็มจำนวน น่าดีใจจริงๆ

   จบภารกิจช่วงเช้าแล้วต่างคนก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง คุณพินิจออกไปทำงาน พี่ชายสีดำของผมเดินหายเข้าไปในสวนป่าหลังบ้าน พี่สาวก็ได้เวลานอน ส่วนผมเองกลับไปข่มตานอนโดยที่หวังว่าตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งจะได้เห็นสิ่งที่หวังไว้

   เทวดาคงเกลียดผมมากเลยแกล้งอย่างนี้ หน้าเฟสบุ๊คของผมมีเพื่อนสองสามคนมาอวยพรตามที่มีระบบแจ้งเตือนวันเกิด คือขนาดคนที่ผมไม่ค่อยรู้จักยังมา แล้วทำไมมันถึงไม่มี

   ถูกต้อง

   ที่หนึ่งยังไม่โผล่มาอวยพรวันเกิด

   มันเป็นเรื่องที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน คนที่บอกว่าตัวเองรู้ทุกอย่างแล้วก็รู้มากอย่างที่ผมตะลึงในหลายๆ ครั้งจะจำข้อมูลสำคัญอย่างนี้ไม่ได้เหรอ เขารู้วันเกิดผมเพราะเขาเคยบอกได้ถูกต้องว่าผมเกิดวันไหน แล้วตอนที่ผมบอกเขาว่าต้องกลับไปนอนบ้านนะก็ไม่เห็นจะถามเลยสักคำว่าทำไมต้องกลับ แถมยังมาส่งผมถึงบ้านอีก อย่างนี้จะให้คิดว่าไง

   เขาลืมวันเกิดผมเหรอ คือมันไม่ควรเป็นอย่างนี้ป่ะ

   "มึงเป็นแอตลาสหรือไง แบกโลกไว้แต่เช้า"

   "เสือก"

   "ไม่ใช่ว่าเป็นวันเกิดมึงแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ"

   "โอ๊ยยย อย่ามายุ่งกับกูได้ป่ะ"

   ตีรวนระดับสิบ โยนโทรศัพท์มือถือลงกับพื้นพรมในห้องนั่งเล่นแล้วเอาหมอนขนเป็ดมาปิดหน้าไว้ไม่ให้ใครยุ่งอีก

   “เป็นอะไรของมึง วันเกิดไม่ใช่เหรอวะ”

   ก็วันเกิดไง!

   ส่งมาแค่สามตัว HBD มันยากตรงไหนถามหน่อย สติกเกอร์มีเป็นล้านก็จิ้มๆ สองทีมันก็ส่งมาถึงผมแล้ว!

   “มึงไปจะไปรมควันที่ไหนก็ไปเลย”

   “ถ้ามึงยังนอนไม่พอกูแนะนำให้ขึ้นไปนอนต่อนะน้องเอ๋อ”

   "ไปไกลๆ จากสายตากูก็พอ"

   "ปิดหน้าอย่างนั้นคงเห็นอะไรหรอก"

   ปล่อยเสียงของพี่ชายให้หายไป ผมเบ้ปากอยู่ใต้หมอนใบเขื่อง สาปส่งคนที่คิดถึงให้รู้ตัวเสียบ้างว่ากำลังทำอะไรผิดอยู่ บางทีอาจมีงานด่วนอะไรสักอย่างก็ได้ เขาเป็นคนของประชาชนอยู่แล้ว

   ...ไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจผมหรอกน่า

   “สุขสันต์วันเกิดน้องโรม”

   ช่วงเที่ยงเสียงกริ่งก็ดังก้องทั่วบ้าน ปีนี้ไม่รู้ว่าพิเศษกว่าทุกปียังไงนิชถึงมาพร้อมกับของขวัญกล่องใหญ่ แทนที่จะเป็นรูปวาดที่เปลี่ยนไปตามอารมณ์ในแต่ละปี ผมเขย่าๆ ฟังเสียงเพื่อคาดเดาว่าข้างในมันคืออะไรก่อนถามกลับ

   "ทำไมมาเป็นกล่อง?"

   นิชทำหน้าเบื่อก่อนตอบ "เจ้านายฝากมาให้ด้วย"

   "ให้กูเหรอ"

   "อืม รับๆ ไปเถอะ"

   "มีคนเลี้ยงนี้มันดีจังน้า" เสียงหัวเราะประหลาดๆ ของเน็ทมาพร้อมกับการกระทุ้งสีข้าง "อิจฉาาา"

   "แม่งจ่ายเองไม่ถามกูป่ะล่ะ เดี๋ยวเงินเดือนกูออกมาแล้วหายไปก็รู้เองนั่นแหละ"

   พี่นิชกำลังเดือดร้อนเพราะผมรึเปล่า สงสัยเป็นเจ้านายของวงดนตรีที่ไปเล่นให้ล่ะมั้ง เพิ่งเห็นเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นตอนเล่นดนตรีอยู่ที่ไหนสักแห่ง เท่สุดยอด

   “ล่ะของขวัญกูอะ?”

   รอจนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นว่าจะมีของชิ้นไหนอยู่ในมือของเน็ทเลย

   “ทวงจัง ปีที่แล้วมึงให้กูเลท ปีนี้กูก็จะให้มึงเลท จบนะ”

   “ไหงงั้นนน”

   ปีที่แล้วผมสั่งของขวัญเป็นรองเท้าหนังแบบที่เน็ทบ่นๆ ว่าอยากได้ แต่เพราะมันเป็นของพรีออเดอร์เลยต้องรอตามรอบ และกว่าของจะส่งถึงผมมันก็เลยวันเกิดพี่ชายคนนี้ไปนานแล้ว ผมไม่ผิดสักหน่อย

   “เสมอภาคเว้ยน้องโรม”

   "เสมอแป๊ะไรของมึง พากูไปเลี้ยงเค้กเลย"

   "ไม่"

   "เน็ททท"

   "ปกติไม่เห็นมึงสนใจวันเกิด ปีนี้เป็นบ้าไรขึ้นมา"

   โดนผลักจนหน้าหงาย ผมลงไปจมอยู่ในโซฟาอีกครั้งโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้ามาช่วงชิงพื้นที่ว่างของที่นั่งขนาดยาว ไปนั่งตรงเก้าอี้เดี่ยวแล้วกันนะ เจ้าของบ้านขอยึดหน่อยเถอะ

   อิทธิพลไม่สนใจวันเกิดของผมคงมาจากทิวาราตรีนี่แหละ พวกเขาไม่ค่อยมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับวันเกิดมากเท่าไหร่มันเลยทำให้การฉลองหายไปโดยปริยาย แล้วมันก็คงตลกดีถ้าคนอย่างผมจะมีงานเลี้ยงในขณะที่ลูกจริงไม่มีแม้แต่เค้กวันเกิด

   ไม่มีงานเลี้ยงนี่ผมไม่สนหรอก ก็อยากให้โทรมาหน่อยไหมล่ะ หวังน้อยๆ แค่ส่งข้อความมาในไลน์ก็ยังดี

   "เหม่อไร"

   จอมหวงที่มือหนักต่างจากรูปร่างฟาดมาที่แก้มของผมเต็มแรง เล่นเอาสติที่หลุดไปอยู่ในโลกความคิดวิ่งกลับมาอยู่ในร่างแทบไม่ทัน เมื่อไหร่แม่งจะเลิกใช้กำลังทำร้ายร่างกายคนอื่นสักที

   "เปล่า"

   "กูเรียกมึงมาสามรอบแล้วไม่ตอบยังบอกว่าเปล่า แม่งเอ๋อจริงน้องกู"

   "ไม่มีของขวัญก็กลับไป"

   "เชี่ย มึงจะปีกกล้าขาแข็งไปหน่อยล่ะ ถึงกับไล่พี่แล้วเหรอ" เน็ทกระโจนเข้ามาหาพลางถลกแขนเสื้อขึ้นจนสุด ผมที่เห็นลางร้ายใกล้เข้ามาเลยรีบลุกออกมาหาที่กำบังอย่างหลังของนิช

   "พี่นิชชช เน็ทจะแกล้งโรมอะ"

   "ทำไมมึงไม่เรียกกูว่าพี่บ้างวะ..."

   ความสูงของพวกเราสามคนไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ก็ไม่ใช่เตี้ยแคระ ความสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าของพวกเราเมื่อเทียบกับผู้หญิงแล้วมันไม่ได้แย่ แต่พอลองเอาไปเทียบกับคุณพ่อแบล็คแล้วก็กลายเป็นเด็กตัวเล็กที่ได้รับกรรมพันธุ์ตัวเตี้ยมาจากฝั่งแม่ทั้งหมด ไม่มีใครได้ยีนสูงมาจากพ่อเลย น่าเศร้าจริง

   เพราะงั้นตอนที่ผมหลบไปอยู่ด้านหลังของนิชมันเลยไม่ค่อยช่วยเป็นที่กำบังให้มากเท่าไหร่ในเรื่องของส่วนสูง และวันนี้คุณพี่นิชของผมก็คงไม่ได้อยู่ข้างลูกชายคนเล็กเลยเปิดโอกาสให้ลูกอีกคนแกล้งได้ตามใจชอบ เล่นกับเน็ททีไรได้แผลตลอด ไม่ชอบเลย

   "เพราะตอนนี้กูอายุเท่ามึงแล้วไง"

   ข้อดีของการอายุยี่สิบแล้วคือจะผมสามารถเถียงกลับไปได้ว่าตอนนี้อายุเท่ากันแล้ว

   "แก่ขึ้นนี่ภูมิใจเนอะ"

   “แน่นอน ก็พวกมึงชอบข่มกูเรื่องนี้อะ”

   “เกิดช้าสุดทำไมล่ะมึง พวกกูไม่ผิด”

   “พอๆ ทะเลาะอะไรกันอยู่นั่น” เจอฤทธิ์คุณแม่ปีศาจตบบ้องหูไปคนละทีถึงยอมสงบ "เดี๋ยวออกไปกินข้าวเย็นด้วยกันแหละ ฉลองวันเกิดหน่อย"

   "เน็ทเลี้ยง"

   ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจเดิม

   "ไม่!!"

   "งกสัตว์ วันเกิดน้องมึงเลยนะ"

   "วันเกิดกูนอกจากมึงจะไม่ให้ของกูแล้วมึงยังไม่ไปเลี้ยงฉลองต่อกับกูครับ เรื่องอะไรกูต้องเลี้ยง"

   เน็ทคือกฎแรงสะท้อนกลับ ใครมาดีเขาก็ดีกลับ ใครมาร้ายก็จะร้ายกว่า เจ้าคิดเจ้าแค้นแม้กระทั่งเรื่องจุกจิกจนไม่มีใครทนได้ เรื่องที่เอามาอ้างคืองานวันเกิดของเน็ทเมื่อต้นปี กว่าผมจะกล้าสารภาพออกไปว่าไม่ได้เอาอะไรติดมือมาเลยก็ทำเอาอีกคนโล้งเล้งจนงานเกือบล่ม พอจะไปต่อกันที่ผับแถวทองหล่อผมก็ไม่อยากไปต่อเพราะมันไม่ใช่ทาง คุณเจ้าของวันเกิดเลยงอนผมไปหลายวันอยู่ ต้องเอาของไปถวายถึงยอมเลิกเล่นตัว

   "เรื่องชาติที่แล้วลืมๆ ไปบ้างก็ได้นะมึง"

   "พอดีมันเป็นเรื่องชาตินี้กูเลยยังจำได้ว่ะ"

   "มึงจะกลับแล้วเนอะ เดี๋ยวกูไปส่งหน้าบ้าน"

   "กู ไม่ กลับ" ลืมไปได้ยังไงว่าเน็ทเป็นที่สุดของความดื้อ "บอกว่าจะไปกินข้าวไม่ใช่เหรอ ไปลากไวท์ลงมาสิ เดี๋ยวกูกับนิชเลือกร้านเอง"


 
   มันเลยกลายเป็นว่าพวกเรายกพลกันออกมากันที่ร้านอาหารกลางเมือง มีคุณพินิจเป็นผู้สนับสนุนหลักในส่วนของค่าใช้จ่ายทั้งหมดแทนการไถ่โทษที่ปีนี้ไม่สามารถมาเลี้ยงได้ด้วยตัวเอง

   "สั่งดิน้องโรม เลิกกดมือถือสักทีได้ป่ะ"

   "สั่งไปเลย"

   นี่มันบ่ายสามแล้วนะ ทำไมไลน์ไม่กระเตื้องขึ้นเลยล่ะ ผมเปิดหน้าจอสนทนาครั้งล่าสุดที่เขาส่งมาเตือนว่าอย่าลืมทำการบ้านวิชาบัญชีขั้นสูงเมื่อสองวันก่อนแล้วเปลี่ยนไปใช้ไวไฟฟรีของร้านในการเชื่อมต่อแทนที่จะเป็นสามจี ก็เผื่อว่าเน็ตผมโดนตัดไม่รู้ตัวอะไรอย่างนี้ไง

   พอผมเปลี่ยนไปใช้ไวไฟ หน้าจอโฮมสกรีนตรงกล่องแอพพลิเคชั่นไลน์ก็มีการจุดสีแดงขึ้นมาทันตา ผมรีบกดเข้าไปดูด้วยความรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม ใจมุ่งมาดว่าจะต้องเป็นคนที่ผมรออย่างแน่นอน

   F : [LINE เกมเศรษฐี]

   "..."

   มันจะมากเกินไปแล้วนะที่หนึ่ง

   "ถ้ามึงยังก้มหน้ากูจะปามือถือมึงทิ้ง"

   "มึงไม่ยุ่งเรื่องกูสักวันคงไม่ตายหรอกเน็ท"

   "กูจะยุ่ง"

   "แบล็คแม่งก็เล่น ทำไมไม่ด่า"

   "กูทำงานครับ"

   “งานเหี้ยไร เทสิ นี่เวลาครอบครัว”

   คนที่สะกดคำว่ามารยาทเป็นแต่ไม่รู้ความหมายและวิธีการใช้ชะโงกหน้าไปดูงานที่อีกคนว่า เขาไล่สายตาตามหน้าจอแล้วแปรจากอารมณ์ดีเป็นพิโรธทันตา

   “ปิด!”

   “บอกแล้วไงว่าทำงานอยู่”

   "ทำงานบ้าอะไรของมึง!"

   ถ้าให้ผมบอกรายละเอียดของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าคือจอมโวยวายที่นั่งริมขวาสุดกำลังขึ้นเสียงใส่แบล็คที่อยู่ตรงกลาง ถัดจากนั้นก็มีผู้หญิงคนเดียวของโต๊ะสร้างบาเรียขึ้นมากั้นรอบตัวไว้ไม่ให้ใครเล็ดรอดเข้าไปรบกวนความสงบสุข ส่วนคนที่นั่งฝั่งเดียวกับผมอย่างหนุ่มแว่นกรอบใหญ่ก็กำลังใช้สมาธิขีดเขียนอะไรลงบนหลังมือผมอยู่

   อีกหนึ่งอาชีพที่ผมว่าเหมาะกับนิชคือช่างสัก เด็กศิลปะที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูง่ายดายไปเสียทุกอย่าง เสียอย่างเดียวคือสมมติว่าคุณเดินเข้าร้านสักแล้วพบกับผู้ชายตัวผอม ผิวขาวซีด ใส่แว่นหนาเตอะนั่งต้อนรับแขกก็คงไม่มีความน่าเชื่อถือหรอกใช่ไหมล่ะ

   "ทำไมไม่มีปลาเลยอะ" ประท้วงขึ้นหลังจากที่พนักงานนำอาหารทั้งหมดมาเสิร์ฟไว้บนโต๊ะ

   "ก็ไม่ยอมเลือกเอง อย่ามาบ่น"

   "ถ้าเป็นที่..." ดีที่ยั้งปากไว้ได้ทัน ไม่งั้นอาหารมื้อนี้ได้ล่มแหง เกือบเอาอีกคนมาเทียบแล้วไหมล่ะ ที่หนึ่งไม่เคยเลือกอาหารที่ผมไม่ชอบหรือทานไม่ได้ ไม่มีครั้งไหนที่ผมต้องออกปากเอง สุดท้ายของที่ลงกระเพาะมันก็เป็นอะไรที่ผมกินได้ทั้งหมด

   "อะไร?"

   "...เปล่า"

   "ไหนใครบอกว่ากินปลาแล้วฉลาดไงวะ น้องกูแม่งไม่เห็นจะมีอีคิวสูงขึ้นบ้างเลย"

   พ่อ มึง ตาย

   ด่ากลับไปแบบที่ขยับปากแต่ไม่ออกเสียง ผมก้มลงเขี่ยๆ ข้าวกล้องในจานโดยไม่ตักกับชนิดใดมาใส่ แต่ละอย่างถ้าไม่เผ็ดก็เป็นเมนูเนื้อสัตว์ที่ดูเลื่อนจนทานไม่ลง คนอื่นชอบแต่ผมไม่ชอบด้วยนี่

   "เรื่องมากล่ะเสือกงอแง พี่ครับ ไข่เจียวปูเพิ่มจานนึง"

   ตบหัวแล้วก็ลูบหลัง เน็ทด่าผมเสร็จก็หันไปเพิ่มเมนูกับบริกรที่เดินผ่านมาพอดี เมนูเด็กน้อยที่ไม่ต้องเดาว่าเขาสั่งให้ผมกินก่อนที่จะกลายเป็นข้าวกล้องบูดไป ถ้าพวกเราออกมาทานข้าวนอกบ้านจะต้องมีการสั่งแยกไว้ให้ผมต่างหาก เพราะผมเรื่องมากเรื่องการกินด้วยแหละ ไม่กินเผ็ดแล้วยังไม่ชอบเนื้อสัตว์อย่างหมูหรือไก่ วิธีตัดปัญหาที่ง่ายสุดก็ให้ผมแยกกินไปให้หมดเรื่อง

   เสียงคุยกันข้ามฝั่งไปมากลายเป็นเสียงช้อนส้อมกระทบกับจานเซรามิค ผมกลับไปอยู่ในโลกของหน้าจอสี่เหลี่ยมเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้เพื่อลุ้นสิ่งที่คาดหวัง ถึงไม่มีก็ยังทำอย่างอื่นบนแผ่นดิจิตอลไปเรื่อยเผื่อว่าถ้ามีการแจ้งเตือนขึ้นมาผมจะได้ตอบทันท่วงที

   ลายวาดสีดำไม่มีอะไรแซมตรงหลังมือดึงความสนใจทั้งหมดไป ผมยกมือของตัวเองขึ้นมาดูว่าพี่ชายสายศิลปะรังสรรค์อะไรบนผิวหนัง มันเป็นรูปวาดด้วยหมึกเมจิคสีดำสนิทอย่างเดียวเป็นตัวอักษรที่ผมอ่านไม่ออกโดย ฟอนต์แบบโรมันที่มีเถาไม้เลื้อยสักชนิดพันเกี่ยวไว้อย่างลงตัว

   ไม่อยากจะลองเดาว่าเพราะอะไรนิชถึงทำอย่างนี้

   ตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้ให้คำตอบนิชไป เขาเองก็ดูไม่ใส่ใจที่จะตามจิกเอาสิ่งที่ต้องการผมเลยทำเป็นเมินไปเสียอย่างกับว่าวันนั้นเราไม่ได้มีข้อตกลงอะไรกันเกิดขึ้น ที่หนึ่งกับผมก็ยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างเดิม เช้าวันถัดจากนั้นตอนที่ผมตื่นมาก็ยังมีไออุ่นจากเขาโอบล้อมไว้ไม่เปลี่ยนไป และเขาไม่เคยปฏิเสธถ้าคืนไหนผมจะแทรกตัวเข้าไปอย่างนั้นอีก ไม่มีใครขุดเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแล้วมาพูดซ้ำอีกสักประโยค เราต่างปล่อยมันให้หายไปกับเวลา เสมือนหนึ่งว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นเพียงฝันร้ายที่จากไป

   "มึง ยึดโทรศัพท์แม่งที"

   "นิช!" เรียกชื่อเขาเสียงแหววตอนที่โทรศัพท์ของผมมันหายไปอยู่ในมืออีกคนแทน

   "น้องโรมกินข้าวก่อน"

   "ไม่หิวแล้ว"

   "แต่พี่หิว"

   แปลแบบง่ายๆ ก็คือผมจะไม่มีทางได้มือถือคืนจนกว่ายอมกินข้าวให้หมด นิชมองผ่านอาการกระฟัดกระเฟียดของผมไปเสียอย่างนั้น ส่วนเน็ทพอได้ดั่งใจก็เจริญอาหารมากขึ้น ตามจริงแล้วเจ้าของวันเกิดไม่ควรจะมีใครขัดใจไม่ใช่เหรอ ตั้งแต่เช้ามาจนถึงวินาทีนี้ผมยังไม่ได้ทำอะไรตามใจสักอย่างเลย

   "กิน"

   ไม่ค่อยอยากจะเชื่อทั้งหูแล้วก็สายตามากเท่าไหร่ เมื่อหญิงสาวคนเดียวของกลุ่มพูดออกมาเป็นคำแรกของวัน ไวท์ตักไข่เจียวปูออกมาส่วนหนึ่งใส่ไว้ในจานของผม ถ้ากดดันขนาดนี้คงทำได้แค่ก้มหน้ากินตามที่ทุกคนต้องการ จะว่าไปเราไม่ได้กินข้าวด้วยกันอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ

   ใช้เวลาไม่นานพนักงานก็กลับมาเก็บจานเปล่าออกจากโต๊ะไปจนหมด ผมแบมือขอของที่โดนยึดคืนจากหนุ่มแว่นข้างตัวทันที ต้องเช็คว่าที่หนึ่งจะส่งอะไรมาให้ผมบ้างรึยัง นี่ผมจะโทรไปตามจิกแล้วนะ ถ้าลืมคืนนี้มีเฮแน่

   "มองโทรศัพท์มากๆ เดี๋ยวก็สายตาเสียแบบพี่หรอก"

   ...แล้วก็โดนปฎิเสธกลับมานิ่มๆ

   ส่งสายตาอ้อนวอนไปให้พี่ชายฝั่งตรงข้าม ชี้ไปหานิชว่าช่วยคุยให้หน่อย แบล็คมองหน้าเราสองคนสลับกันไปมาด้วยความระอาเต็มทน ถอนหายใจออกมาเสียงดังขณะกลับไปมองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองแบบเดิม นี่ราชาครับ ถ้าไม่ช่วยกันอย่างนี้ไม่ต้องโผล่หน้าขึ้นมาเลยก็ได้นะ ไม่มีประโยชน์เลย

   คอสเพลย์เป็นไวท์ด้วยการมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง มันเป็นเรื่องปกติในวงสนทนาของเราที่จะมีคนพูดอยู่แค่สี่ราย ไวท์จะนั่งฟังเงียบๆ ไม่ก็จมอยู่กับสมุดเล่มใหญ่ของตัวเอง แต่ละคนทำอะไรที่ตัวเองชอบโดยที่ไม่ได้มองว่าเป็นการไม่ให้ความร่วมมือ

   เค้กต่างชนิดหกชิ้นในถาดใหญ่วางลงตรงหน้า เสียงร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดดังแค่ในระดับที่ไม่รบกวนลูกค้ารายอื่นในร้าน เราฉลองวันเกิดกันซึ่งหน้าอย่างนี้นั่นแหละ ไม่ต้องมีงานเลี้ยงหรูหราหรือของขวัญมูลค่าสูง แค่ระหว่างที่เราล้อมวงกันแล้วมองไปเห็นครบทุกคนแค่นั้นมันก็มากเกินพอ ผมว่าผมเป็นคนโชคดีที่ได้มาเจอพวกเขา เข้าใจว่าแต่ละครอบครัวก็มีฐานะหน้าที่ต่างกันไป ผมจำไม่ได้ว่าเคยล้อมวงแล้วพ่อแม่ร้องเพลงให้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ผมรู้แค่ในทุกปีจะได้ยินเสียงประสานที่คุ้นเคยคอยบอกผมว่าเราจะอยู่ด้วยกันไม่ไปไหน

   "พวกมึงไม่คิดจะเซอร์ไพรส์กูบ้างเลยเหรอ"

   "ที่มากินร้านนี้เพราะเน็ทบอกว่ามึงชอบเค้กที่นี่ พอยัง"

   "เป่าๆ ไปได้แล้วมึง" 

   หน้าของคนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกตลกจนผมฉีกยิ้มกว้าง เน็ทแก้เก้อโดยการดันถาดใส่เค้กให้มาใกล้กับผมมากกว่าเดิม พี่ชายจอมเอาแต่ใจของผมนี่ก็มีมุมน่ารักแบบนี้ด้วยล่ะ

   "อธิษฐานเร็ว อยากได้อะไรรีบขอ"

   "เอามือถือกูคืนมา"

   "เทวดาเขาไม่ลงไปยุ่งกับปีศาจนะ"

   ใครกล้าสู้กับนิชนี่ผมขอกราบรัวๆ แค่เตือนพร้อมกับยิ้มให้ก็ปลอบตัวเองว่าถ้าอยากมีชีวิตต่อไปจงหุบปากแล้วอยู่เงียบๆ ไปซะ ผมที่ยังไม่รู้จะขออะไรตอนนี้เลยก้มหน้าเป่าไปอย่างรวดเร็ว

   "รีบไปไหนวะ กูยังไม่ทันถ่ายรูปได้เลย"

   "ก็กูไม่มีอะไรอยากได้ตอนนี้อะ แค่มีพวกมึงอยู่กับกูก็พอแล้ว"

   "ขอให้มีความสุขนะน้องโรม"

   คำอวยพรที่เหมือนจะทั่วไป แต่มีความหมายข้างในซ่อนไว้มากมายจนเกินจะกล่าว

   ผู้เสียสละกับความสุขที่เขาไม่เคยได้

   เค้กหลายสไตล์อย่างที่รู้ได้เลยว่าใครเลือกบ้าง ผมหยิบช็อคโกแลตฟัจด์ก้อนหนามาไว้หน้าตัวเองโดยไม่ต้องถามให้มากความ ราชาอยู่กับเค้กกาแฟ เน็ทขยับเค้กในจานเล็กของตัวเองให้นิชสามารถแบ่งของตัวเองให้ผู้ชายที่รักของหวานได้ปริมาณเพิ่ม ส่วนเค้กมะพร้าวอ่อนที่ไม่อยู่ตรงหน้าใคร

   เรายังคงเว้นตรงนั้นไว้ด้วยความเคยชิน

   นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ที่เรายังคงใช้ความคุ้นเคยที่มีอยู่ตลอดมาในการจัดการชีวิตประจำวัน

   "...ถ้าได้กินข้าวแบบครบกลุ่มกันอีกก็ดีนะ"

   เอ่ยออกไปอย่างไม่คิดอะไรมากไปกว่ารำลึกความทรงจำในอดีต ทุกคนต่างมองมาที่ผมเป็นตาเดียว มันเป็นสายตาที่แสดงออกถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป และเป็นไวท์ที่เอ่ยปากเป็นครั้งที่สองของวัน

   "อืม มันต้องดีแน่ๆ"


***
   มาครึ่งเดียวก่อนนะคะ ยังแต่งอีกครึ่งไม่จบแต่จะไม่ว่างยาวไปจนถึงอาทิตย์เลยค่ะ (งอแง) จะมาต่อให้เร็วที่สุดค่ะ (ยิ้ม)
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.1 [11.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-02-2016 01:34:53
สงสัยๆๆๆ   HBD น้องโรม
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.1 [11.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: DE SaiKuNee ที่ 12-02-2016 22:35:06
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.2 [14.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 14-02-2016 21:21:03
บทที่ 18.2


   วันเกิดของผมปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ หลังจากที่เราสลายตัวแยกย้ายกันหน้าร้านอาหารแล้วจึงกลับมาเก็บของอะไรให้เรียบร้อยเตรียมกลับหอ บนอีโค่คาร์คันเดิมมีแค่ผมกับแบล็ค ส่วนไวท์ไม่มีเรียนในสัปดาห์นี้เพราะคณะต้องจัดงานอะไรสักอย่างที่พี่สาวผมไม่มีทางผ่านไปให้ใครเห็นอยู่แล้ว

   "อะ ของขวัญ"

   กล่องกระดาษสีดำสนิทอย่างที่เหมาะกับการเป็นของแจกงานศพมากกว่าถูกโยนมาไว้บนตักของผมตอนที่รถจอดเข้าซองแล้ว คือเข้าใจนะว่าชื่อแปลว่าสีดำ มันก็ไม่ได้หมายความว่าต้องให้อะไรที่ดูเป็นลางขนาดนี้ไหมล่ะ

   "อะไรอะ"

   "ไว้ไปเปิดที่ห้อง"

   "ไม่ใช่ระเบิดใช่ป่ะ"

   "ถ้ามึงเปิดแล้วระเบิดห้องต่อไปอย่างกูก็ตายไปด้วยไหม"

   "แต่มึงให้ของขวัญกูมาแล้วไม่ใช่เหรอ"

   ชุดโมเดลเหล็กรูปโคลอสเซียมในกรุงโรม ราชาช่างสรรหาของขวัญที่แปลกตามาให้ผมได้ประหลาดใจอยู่ทุกปี ถ้าถามว่าผมตั้งความหวังไว้กับของขวัญชิ้นไหนมากที่สุดคงเป็นจากเขานี่แหละ อย่างสองปีที่แล้วที่ซื้อน้องหมีส้มให้อันนั้นก็ถูกใจผมเหมือนกัน

   "มีไม่ได้ให้ไปปีนึง ทบมาปีนี้เป็นสองอย่างแล้วกัน"

   ผมนั่งนิ่งไปพักใหญ่ตอนที่ย้อนกลับไปทวนว่ามีปีไหนที่เขาไม่ได้ให้ด้วยเหรอ ไม่มีทางล่ะ ขืนพี่ชายไม่ให้ผมได้โวยวายบ้านแตกแน่ "มึงให้กูทุกปี"

   "กูไม่ได้ให้ไปปีนึง"

   "ให้กูไล่ให้ฟังไหม?" ถึงจะขี้ลืมแต่สำหรับเรื่องนี้ไม่มีทางลืมหรอก

   "มึงอย่ามาทำเป็นความจำดีกว่าคนรับ ...แล้วนั่นจะเดินไปไหน?"

   ผมคว้าทุกอย่างที่จำเป็นไว้ในมือแล้วปิดประตูรถ สนใจแต่กล่องสีดำในมือจนได้ยินคำทักถึงเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนที่เดินไปยังทางขึ้นตึกอีกฝั่ง

   "ขึ้นห้องไง"

   "ห้องมึงอยู่ตึกนี้"

   "..."

   "วันนี้ไวท์ไม่อยู่ นอนห้องตัวเองไป"

   "แต่ของอยู่ห้องนู้น"

   ชี้ไปยังห้องที่ปิดไฟมืด ลืมไปสนิทเลยว่าห้องของตัวเองอยู่ที่ไหน กลายเป็นความเคยชินไปแล้วที่ต้องอยู่ติดกับใครอีกคนตลอดเวลา

   "ห้องมืดอย่างนั้นรู้ได้ยังไงว่าอยู่ ไม่มีกุญแจห้องมันไม่ใช่เหรอ"

   เสียงโทรศัพท์แผดลั่น แบล็คหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมากดตัดสายพลางบ่นอะไรกับตัวเอง "รู้แล้วไอ้เหี้ย จิกกูเป็นไก่เลย"

   "เดี๋ยวโทรหาหนึ่งก็ได้"

   "ไม่ต้องเลย ห้องตัวเองก็มี" เขาโยนกุญแจห้องที่ผมยกให้ไวท์ใช้ชั่วคราวมาส่งๆ เล่นเอาผมรีบตะครุบไว้แทบไม่ทัน "เน่าจะตายห่า ถ้าคิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเลย อย่ามาเอาแต่พูดว่าจะเปลี่ยนแต่ก็ยังใช้ต่อ"

   "ก็..."

   "ขี้หวงอยากได้เป็นของตัวเองไปหมด เหมือนพี่ไม่มีผิด"

   กุญแจพวงเดิมไม่คุ้นแม้กระทั่งน้ำหนัก ตุ๊กตารูปนางฟ้าที่ถูกใช้งานจนไม่เหลือเค้าเดิมยังคงส่งยิ้มทักทายให้ผมอยู่อย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน ผมเดินเข้าลิฟต์ไปพร้อมกับอีกคนที่ไม่รู้ว่าโดนใครโทรตามจิกจนเสียงริงโทนดังไม่หยุดขนาดนั้น พอถึงชั้นที่เราสองคนอยู่ผมก็เดินเรื่อยๆ ไปจนถึงหน้าห้องของตัวเอง

   กระดาษสีขาวที่ติดด้วยเทปลายสวยเด่นอยู่กลางประตูสีทึม นี่ผมโดนนิติกรเตือนเรื่องไม่จ่ายค่าไฟหรือไง?

   'เปิดกล่องได้แล้ว'

   เห?

   หันมาจะถามว่านี่กำลังเล่นสนุกอะไรอยู่ พี่ชายที่เข้ามาในลิฟต์พร้อมกับผมก็ไม่อยู่ให้ถามเสียแล้ว นี่อย่าบอกนะว่ากำลังเซอร์ไพส์ผมอยู่น่ะ

   ในกล่องสีดำมีเพียงกระดาษโพสอิทสีขาวลายเด็กชายที่ผมเคยได้รับจากที่หนึ่งหลายใบ แต่ละใบมีข้อความเขียนไว้สั้นๆ

   'วันนี้วันอะไรเหรอ'

   'อย่าตอบว่าวันอาทิตย์นะ'

   'มีอะไรจะให้ล่ะ'

   'ไปที่ระเบียงสิ'

   อย่าบอกนะ...

   กล่องสีดำถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว ผมรีบไขประตูห้องแล้วกระโจนไปยังส่วนในสุดของห้องโดยไม่สนใจที่จะเปิดไฟส่วนไหนทั้งสิ้น ความมืดจากฝั่งตรงข้ามฉุดใจผมให้แป้ว

   ไม่ใช่ที่หนึ่งจริงเหรอ

   "เอ๋?"

   กลับหลังหันตั้งใจว่าจะเข้าห้องตามเดิม กระดาษแบบเดียวกันที่ติดอยู่ตรงกระจกก็หยุดผมไว้ตรงนั้น

   'กดตอน 21.34'

   พอมองรอบตัวอีกทีถึงเห็นว่าตรงขอบระเบียงมีสวิทช์ไฟแบบประกอบขึ้นเองวางอยู่ สายที่โยงลับหายไปยังฝั่งตรงข้ามบอกผมไม่ได้ว่ามันไปสิ้นสุดที่ตรงไหน อ่านกระดาษบนกระจกอีกทีถึงนึกขึ้นได้ว่าต้องเปิดดูเวลา หน้าจอล็อคสกรีนโชว์เลข 21.30 หรือหมายถึงผมต้องรอไปอีกสี่นาที

   หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่รู้ว่าเกิดจากการวิ่งเข้าห้องมาหรือว่ากำลังลุ้นระทึกกับสิ่งที่กำลังจะเกิด

   นี่ ตอนนี้ผมคิดคำอธิษฐานเมื่อตอนเย็นออกแล้วล่ะ

   ผมอยากเห็นเขายิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์ให้ผมอยู่อีกฟากตอนที่กดปุ่มไปแล้ว

   พอใจจดใจจ่อกับอะไรสักอย่างโลกก็มักเล่นตลก ผมรู้สึกว่ากว่าเวลาจะผ่านไปแต่ละวินาทีได้มันช่างยาวนานจนน่ารำคาญใจ อยากจะโกงด้วยการปรับเวลาในโทรศัพท์ให้ไปถึงช่วงที่กำหนดไว้เสียเลย ผมจ้องเข็มวินาทีที่เคลื่อนตัวไปตามการเดินทางของกาลเวลาจนกระทั่งมันวนครบถึงเลขสิบสองถึงกดปุ่มเปิดที่อยู่ในมืออย่างไม่รอช้า

   ทันทีที่กระแสไฟทำงานครบระบบ หลอดไฟก็สว่างจ้าท่ามกลางความมืดมิด

   และถึงจะไม่มีร่างของใครที่ผมภาวนาอยู่อีกฝั่งตามที่คิดไว้ หัวใจที่ห่อเหี่ยวมาทั้งวันก็กลับมาพองโตได้ไม่ยาก

   H B D <3

   กำแพงฝั่งตรงข้ามปรากฎเพียงแค่คำสามคำกับอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยหลอดไฟสีอุ่น มีน้องหมีส้มของผมกับเจ้าไอกำลังนั่งข้างกันอยู่ที่ระเบียงโดยที่เจ้าตัวประหลาดไร้ชนิดอยู่ในชุดบาสสกรีนเลข 11 เอาไว้ มือข้างหนึ่งของตุ๊กตาทั้งสองตัวกำลังจับกันโดยที่แขนยาวเก้งก้างอีกข้างของหมีส้มมีลูกโป่งแบบลอยได้สีใสผูกติดไว้อยู่

   ...

   เข้าใจคำว่าดีใจจนพูดไม่ออกก็ตอนนี้แหละ

   "Happy Bir... เหวอ!"

   แค่ได้ยินเสียงก็เตรียมพุ่งเข้าไปหาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง การขยับตัวกะทันหันของผมมันส่งผลให้อีกฝ่ายต้องถอยหนีไปหลายก้าวเพื่อไม่ให้เค้กก้อนเล็กในมือกลายเป็นซาก

   "หนึ่ง"

   แล้วคำขอของผมก็เป็นจริงเมื่อผมได้เห็นเขายิ้มให้ผมอย่างที่วาดหวังไว้ "สุขสันต์วันเกิดครับน้องโรม"

   "...นึกว่าลืมไปแล้ว!"

   "?"

   "ทำไมไม่ไปหา ความจำสั้นลืมทางไปบ้านโรมแล้วรึไง ตังค์ค่าโทรหมดเหรอถึงโทรมาไม่ได้ สามจีไม่มีรถเมล์ก็มีไวไฟฟรีแล้วรู้ป่ะ ไลน์มีมากี่ชาติแล้วทำไมไม่ส่งอะไรมา สติกเกอร์ล้านตัวนั่นหัดใช้ให้คุ้มหน่อยดิ!! "

   "เอ่อ..."

   "ทั้งวันทำอะไรอยู่ฮะ! จับมือถือทั้งวันจนเคสจะสึกอยู่แล้ว แล้วทำไมต้องรอถึ..."

   21.34

   จะบอกว่าไม่เคยจำก็คงไม่ผิดเท่าไหร่ พอนึกไปมาเลยเพิ่งคิดได้ว่ามันคือเวลาที่เขียนลงในใบสูติบัตรว่ามันเป็นครั้งแรกที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกแห่งนี้

   "...เป่าเค้กก่อนไหม?"

   อยากกจะเอาถังดับเพลิงมาฉีดใส่ ผมเป่าลมออกจากปากไปยังเปลวไฟสีสว่างตามที่เขาขอทันที เมินแท่งเทียนที่ไร้แสงส้มน้ำเงินกลายเป็นเพียงควันสีเทาลอยเฉื่อย ตวัดสายตาไปที่หน้าติดเหวอของเขาแบบคาดโทษไว้เรียบร้อย

   "ให้เวลาแก้ตัวสามวิ หายไปไหนมา"

   "นี่ไม่อธิ..."

   "หนึ่ง"

   "น้อง..."

   "สอง"

   "เฮ้อ..."

   "ส..."

   สัมผัสบาง ที่ชัดเจนในความรู้สึก

   ไม่รอให้ผมพูดได้จบตัวสุดท้าย ที่หนึ่งโน้มตัวลงมาฉวยเอาคำพูดทั้งหมดให้หายไปกับการประทับจูบสั้นๆ แล้วกลับไปยืนเต็มส่วนสูงอย่างเดิม

   "ให้เวลาอธิบายมากกว่านั้นหน่อยไหม?"

   "..."

   ผมยืนค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นเหรอ หรือผมเข้าใจผิดไปเอง...

   นั่นเรียกว่าจูบรึเปล่า

   "เงียบอย่างนี้หมายความว่าไง?"

   "ที่หนึ่งงง..."

   พอผมเรียกด้วยเสียงยานคางแบบนั้นก็ได้เห็นเขาหัวเราะร่ากลับ "อะ ที่หายไปทั้งวันก็..."

   "ไม่ใช่!" ค้านเสียงแข็ง ถึงผมจะไม่เห็นตัวเองแต่ความร้อนที่กำลังกองอยู่บนนั้นบอกผมว่าหน้าของผมต้องแดงมากๆ อยู่แน่ "มะ...เมื่อกี้ทำอะไร!"

   "เมื่อกี้? ไปซ่อนอยู่ที่ห้องแบล็คมา"

   "โอ๊ยยย ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น"

   "อ้าว?"

   "นี่" ชี้มาที่ปากของตัวเอง "หนึ่ง...."

   มีอะไรน่าขำนักหนาถึงได้หัวเราะไม่ยอมหยุดอย่างนั้น เขายื่นกล่องเค้กในมือมาให้ผมถือไว้ ความสับสนวุ่นวายมันมีมากจนยอมรับมาไว้ในมืออย่างไม่อิดออด

   ที่หนึ่งไม่ปล่อยมือออกจากกล่อง แทนที่เขาจะถอยกลับไปอยู่ที่เดิมทั้งร่างกลับชิดผมเข้ามาเรื่อยๆ ทุกอย่างกลายเป็นภาพช้าเมื่อผมไม่ยอมปล่อยให้สักวินาทีเดียวหลุดออกไปจากสายตา ผมเห็นเขายิ้มสดใสกว่าทุกที เห็นว่านอกจากมุมปากที่ยกขึ้นแล้วทั้งนัยน์ตาก็ยังแปรเป็นสระอิตามไปด้วย

   ฟากหนึ่งก็กลัวว่าเหตุการณ์เมื่อกี้จะเกิดซ้ำอีกครั้ง แต่อีกส่วนก็ร้องแย้งว่าผมอยากได้มันอีก

   เราห่างกันนับเป็นหน่วยมิลลิเมตรได้ ลอบกลืนน้ำลายจนอีกฝ่ายหัวเราะในลำคอออกมา ที่หนึ่งจรดจมูกของเขาให้ชิดกับจมูกของผม เอ่ยเอื้อนคำที่เรียกเอาความร้อนทั้งหมดขึ้นมากองบนหน้ายิ่งกว่าเดิม

   "เมื่อกี้เหรอ ...ก็จูบไง"
 


   "สรุปคือวางแผนกับแบล็ค?"

   "ไม่เชิง แค่ให้ช่วยรายงานว่าถึงคอนโดแล้วเฉยๆ"

   "แล้วทำไมไม่ส่งอะไรมาเลยทั้งวัน"

   "เพื่อนให้ไปช่วยงาน คนที่เป็นกัปตันบาสอะ ส่งด่วนตอนหกโมง"

   เค้กเพียงแค่ชิ้นเดียวกินไม่กี่คำก็หมด ถึงผมจะเพิ่งผ่านการเลี้ยงฉลองมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วช็อตเค้กสตอเบอรี่ก็ยังคงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแป้งโมเลกุลเล็กในลำไส้ผมได้ไม่ยาก

   "แสนดีจังนะ"

   "กลัวกลับมาจัดห้องไม่ทันจะตาย"

   "ทีหลังไม่เอาแบบนี้นะ อันตรายอะ" ถัดจากระเบียงมีปูนยื่นออกมาไม่มากเท่าไหร่ ก้าวพลาดนิดหน่อยก็ได้ลงไปแนบพื้นคอนกรีตต่อด้วยสวัสดียมบาลได้สบายๆ

   "พูดอย่างนี้แสดงว่าพี่จะได้ทำอีกใช่ไหม?"

   "อย่าโมเม"

   "พูดแล้วไม่คืนคำสิ นี่ใครทำให้เหรอ" เขายกมือของผมขึ้นโบกไหวๆ

   "พี่นิช"

   "สวย รีเควสลายเองรึเปล่า"

   "คิดว่าอย่างโรมจะเลือกลายอะไรอย่างนี้?"

   เค้กร้านนี้มันต้องใส่กัญชาลงไปแหง ผมเปลี่ยนจากฟีลลิ่งหงุดหงิดงอแงทั้งวันมาเป็นดอกไม้บานยามเช้า ขนาดเขาดึงแขนของผมไปจับๆ ลูบๆ ตรงรอยวาดอยู่อย่างนั้นมาหลายนาทีก็ยังไม่โวยวาย

   "แอบคิดนิดหน่อย"

   "เออ ไปเอาน้องส้มกลับเข้ามาเลยนะ เอาไปใช้ไม่ขออนุญาต" 

   "น้องอยากช่วยเองต่างหาก"

   "โดนบังคับแหงๆ"

   "จริงๆ นะ น้องส้มบอกว่าอยากมีส่วนร่วมในการเซอร์ไพรส์ด้วย"

   "โกหกตกนรก"

   ทำตาจิกใส่คนที่นั่งถัดไปบนโซฟา เขาหัวเราะอยู่อย่างนั้นเหมือนโดนกัญชามาไม่ต่างจากผม บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างที่ไม่ต้องมีเครื่องทำความร้อนใดๆ

   "สาบานได้เลย"

   "ไม่เชื่อ"

   "เอ้า ไม่อยากเชื่อก็ไม่เป็นไร"

   "คนผิดห้ามเถียง!"

   "พี่ทำอะไรผิดตอนไหน?"

   "ผิดมาก! นี่คิดว่าจะมาอวยพรคนแรกด้วยซ้ำ!!"

   ยิ่งกว่าเด็กอยากได้ของเล่น พาลใส่ทุกอย่างที่ขวางหน้า ผมเตรียมร่ายยาวเป็นบทสวดสรภัญญะไว้แล้ว เพียงแต่พอเห็นเขาขยับมุมปากจนเป็นการยิ้มเล็กๆ แบบนั้นผมก็ไม่กล้าพูดต่อ ผมชอบเวลาที่มีที่หนึ่งสไมล์สไตล์อยู่บนหน้า ไม่ใช่ยิ้มหวานจ๋าหรือว่าสว่างจ้า แต่เป็นยิ้มที่บอกว่าเขากำลังมีความสุขขนาดไหน ไม่เหมือนตอนนี้ที่เขาเหมือนมีอะไรอยากพูดออกมาแต่ก็กลบความต้องการของตัวเองด้วยการยิ้มให้ผม

   "...เป็นอะไร เหนื่อยเหรอ?"

   "เปล่าๆ เมื่อกี้ถามว่าทำไมไม่ส่งมาเป็นคนแรกใช่ไหม ทีแรกก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นแหละแต่คิดไปมาแล้วมันเบสิคไปอะ อยากได้เวลาอื่นที่มันพิเศษกว่านั้น"

   "นี่ไปเอาเวลาเกิดมาจากไหน ถามแบบจริงจัง"

   "ก็บอกแล้วว่ารู้หมดแหละ"

   ที่ผมบอกว่าเขาแปลกไปนิดหน่อยคงแสดงออกผ่านประโยคนี้มากที่สุด ถึงผู้ชายไม่เคยแพ้จะยิ้มกว้างมากแค่ไหนผมก็บอกตัวเองได้ว่านั่นเป็นการยิ้มที่ฝืนเสียเหลือเกิน ที่หนึ่งเป็นพวกที่แสดงออกผ่านสายตาออกมาเยอะ มันคงเป็นเรื่องของสภาพแวดล้อมที่ผมโตมาด้วย อย่างไวท์นี่ถึงพยายามอ่านความรู้สึกผ่านสายตาหรือท่าทางมากแค่ไหนถ้าไม่ใช่ระดับผู้เชี่ยวชาญอย่างฝาแฝดแล้วล่ะก็อ่านยังไงก็อ่านไม่ออกหรอก ผมตั้งใจเรียนวิชานี้มาตั้งแต่เด็กจนถึงทุกวันนี้มันก็ยังไม่ผ่านหลักสูตรเบื้องต้นเสียที เลยกลายเป็นว่าต้องเอามาปรับใช้กับคนอื่นในชีวิตเสียมากกว่า

   "ให้ตอบใหม่ เร็ว"

   "ความลับ"

   "ที่หนึ่ง!"

   เสียงโวยวายของผมแปรผันตรงกับความสุขของเขา พอผมเรียกชื่อเต็มๆ ก็ยิ่งหัวเราะคิกคักมากเข้าไปอีก

   "คุยกับน้องก่อนนน อย่าเล่นมือถือสิ"

   "อีกแป๊บนะ"

   กล้าดียังไงมาคุยกับคนอื่นต่อหน้าผม ฉวยโอกาสที่เจ้าของยังคงใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างจิ้มอะไรบนหน้าจอแย่งโทรศัพท์มาไว้กับตัวเอง "ถ้าไม่ตอบก็กลับห้องไปเลยนะ"

   "น้องโรม"

   "กว่าจะมาก็ช้า ยังจะมาเล่นอะไรอยู่นั่น" สวมวิญญาณนิชดุ

   "โรมครับ..."

   มองโทรศัพท์ในมือของตัวเอง ถึงเห็นว่าเขาไม่ได้คุยอะไรกับใครอยู่อย่างที่คิดไว้ มันเป็นการแสดงคำสั่งส่วนที่ผมไม่ค่อยได้เห็นบ่อยเท่าไหร่นักเพราะตัวเองไม่ชอบโพสอะไรลงเฟสบุ๊ค


   Happy Birthday to you


   ไม่มีรูปภาพ ไม่มีการแท็ก ไม่มีอะไรที่เป็นการบอกใบ้ว่าเขากำลังอวยพรให้ใคร ผมช้อนตาขึ้นมามองเดือนคณะผู้ยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เก้อแถมยังทำปากมุบมิบจากการที่โดนจับได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่

   "ไม่ชอบใช่ไหมล่ะ กดแคนเซิลไปก็ได้นะ"

   "..."

   "พี่ขอโทษ อย่ามองอย่างนั้นสิ" มีการก้มหน้าสำนึกผิดอีกด้วย ถ้าลงไปกราบได้ผมว่าเขาก็ทำ "ก็อยากเก็บไว้ดูบ้าง..."

   ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ ส่ายหัวระอาใจกับความเป็นเด็กน้อยสุดกู่ ใช่อยู่ว่าผมไม่ชอบการโพสอะไรลงโซเชียล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมต้องห้ามคนอื่นให้เห็นด้วยในแบบเดียวกับผม เมื่อตอนหลังกินข้าวนิชเองก็ถ่ายรูปรวมแล้วก็อัพเดตลงเฟสบุ๊คไปเหมือนกัน ผมจะไปสั่งให้ลบก็คงไม่ใช่ นั่นเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ต่างฝ่ายต้องเคารพให้ดี

   กดแป้นลบตัวอักษรโดยมีเสียงงอแงเป็นซาวน์เอฟเฟค รำคาญคนตัวใหญ่กว่าที่ชะโงกมาจนหน้าเกือบติดจอเลยถอยมาจนสุดขอบโซฟา ยกมือถือขึ้นขนานกับใบหน้าป้องกันไม่ให้มีใครชะโงกหน้ามาดูอีก เครื่องของเขาไม่ได้ปิดเสียงปุ่มกดไว้มันเลยมีเสียงติ๊กๆ ทุกครั้งที่นิ้วของผมสัมผัสหน้าจอ ทุกครั้งที่มีเสียงกดที่หนึ่งก็ร้องเสียงหลงประหลาดๆ จนผมหยุดแกล้งไม่ได้

   สนุกสนานจนเป็นที่พอใจแล้วถึงกดแป้นพิมพ์รัวๆ ตามด้วยปุ่มโพส ผมส่งโทรศัพท์คืนให้เขาไป มืออีกข้างหยิบอดีตชิ้นของหวานที่เหลือแต่ฟลอยด์รองฐานไปทิ้งที่ถังขยะหน้าห้อง ลอบมองจากที่ไกลๆ ว่าเขาจะทำหน้ายังไงตอนที่เห็นว่าหน้าวอลล์ของตัวเองมีอะไรเพิ่มเติมขึ้นมา
 
   เห็นแก่เซอร์ไพรส์ชิ้นแรกในชีวิตหรอกนะ

   One Teenueng
   Happy Birthday to R



***
   สวัสดีวันวาเลนไทน์ค่ะ มีใครปล่อยทิ้งวันนี้ให้หมดไปด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้องทั้งวันแบบเจ้าบ้างคะ (ฮา)
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.2 [14.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-02-2016 21:34:00
หวานๆสั้นๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.2 [14.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: kung ที่ 15-02-2016 21:33:22
ที่หนึ่งมาเหนือจริงๆ น่ารักที่สุดเนอะ ว่ามั้ยน้องโรม คนดีๆเก่งๆหล่อๆช่างเอาใจแบบที่หนึ่งอย่าปล่อยให้หลุดมือนะน้องโรม สู้ๆแม้พี่ๆจะน่ากลัวทุกคน555 o13
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.2 [14.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 16-02-2016 15:55:04


ที่หนึ่งน่ารักมาก... ก็เข้าใจอารมณ์โรมนะ
แต่ถ้าเจอที่หนึ่งเซอร์ไพรส์แอทแท็คเข้าไป ถ้าอีป้าเป็นน้องโรม อีป้าก็ตายค่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
รออ่านตอนต่อไปค่ะ ^^  :กอด1:

หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.2 [14.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: GMJeam ที่ 22-02-2016 22:31:36
เซอร์ไพรสในเวลาเกิด สุดๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 18.2 [14.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: ::UsslaJlwaJ:: ที่ 23-02-2016 20:56:28
โฮยยยยย ที่หนึ่งน่ารักก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 19 [26.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 26-02-2016 20:53:29
บทที่ 19
 
   เสียงจากนาฬิกาแบบตั้งโต๊ะแผดลั่นเรียกให้หลุดออกจากนิทรา ผมครางฮึมฮัมในลำคอด้วยความรำคาญใจจากการถูกขัดจังหวะผ่อนคลาย เอาหมอนใบใหญ่มาอุดหูไว้กั้นเสียงที่ยังคงทำงานอย่างขยันขันแข็ง

   “หนึ่ง ปิดเสียงหน่อย”

   พูดอู้อี้อยู่ใต้หมอน เปลือกตาไม่ยอมขยับห่างออกจากกันเสียที

   "ฮืมมม เดี๋ยวตื่นแล้วน่า"

   นอกจากเสียงแสบแก้วหูจะยังไม่ยอมอันตรธานไป ผมยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าหรือเสียงเขายุ่งวุ่นวายกับการจัดเก็บห้องในตอนเช้าเช่นทุกที ความง่วงที่ยังคงครอบงำไว้บอกให้ผมรอไปอีกสักพักก่อน เดี๋ยวก็มีคนมาจัดการให้เองอย่างทุกที จนในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้

   "ที่หนึ่งงง ทำไมไม่ป..."

   เสียงแหบหายไปในลำคอ ยามลืมตาตื่นขึ้นมามองสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้วเพิ่งรู้ตัวว่ามันไม่ใช่พื้นที่ที่เคยคุ้น บนเตียงขนาดใหญ่มีเพียงตุ๊กตาสีส้มนอนยิ้มต้อนรับอรุณอยู่เพียงตัวเดียว ไม่มี 'ใคร' ที่เป็นเจ้าของเจ้าตัวประหลาดสีม่วงและเป็นเจ้าของความอบอุ่นแสนอ่อนโยน

   ไม่มีอีกแล้ว

   ใจหายวาบกับสิ่งที่เป็นอยู่ ผมยกมือขึ้นมาจับหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองไว้โดยไม่รู้ตัว รอยนูนจากแผลยังคงย้ำเตือนถึงการตัดสินใจของตัวเองว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้คือเรื่องจริงไม่ใช่โลกแห่งความฝันอย่างแน่นอน

   มันบอกว่าผมไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้อีกแล้ว

   นาฬิกาที่ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุดปลุกผมออกจากภวังค์ เอื้อมมือไปกดปุ่มที่นูนขึ้นมาด้านบนเป็นการปิดเสียง เข็มวินาทีที่ยังคงเดินต่อไปไม่มีหยุดพักร้องเรียกให้ผมยอมขยับตัวแล้วจัดการกิจวัตรส่วนตัวให้เสร็จเรียบร้อยถ้าไม่อยากไปเรียนคาบเช้าสาย

   อยากจะยื้อทุกการเคลื่อนไหวให้ช้ามากที่สุด กฎของเวลาช่างน่าชังจนผมอยากลองหายตัวไปอยู่มิติอื่นที่มีการเคลื่อนไหวของกาลเวลาที่เฉื่อยกว่านี้ ภาพสะท้อนในกระจกยังคงเป็นผมคนเดิมที่ไม่ค่อยเหมือนเดิมสักเท่าไหร่ หน้าตาอิดโรยเป็นผลต่อเนื่องมาจากอาการเบื่ออาหาร ผมสีน้ำตาลถูกย้อมกลับไปเป็นสีเข้มเกือบติดดำ มันสั้นลงกว่าเดิมเยอะพอควรเพราะความคิดชั่ววูบที่แล่นเข้ามาในหัวเมื่อประมาณสองสัปดาห์ที่แล้ว

   อยากรู้เหรอ?

   แค่ไม่อยากนึกถึงมือของเขาที่คอยจัดแต่งให้ก็เท่านั้น

   จัดการอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จสรรพ ปรบมือสามครั้งเป็นการให้รางวัลตัวเองที่สามารถผ่านภารกิจภาคเช้าไปได้อย่างเข้มแข็ง ก้าวช้ายิ่งกว่าการเดินจงกรมที่เคยโดนฝึกสมัยเด็กลงจากพื้นที่ชั้นสองของบ้าน จนถึงโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ที่มีเพียงสาวผมยาวสีรัตติกาลนั่งอ่านหนังสือโดยมีอาหารเช้ารออยู่พร้อม

   “สายนะ”

   ไวท์เงยหน้าขึ้นมาทักสั้นตามแบบฉบับของตัวเอง

   “อือ โทษที”

   “พรุ่งนี้จะไปปลุก”

   “ไม่เป็นไร โตแล้ว"

   รู้ทั้งรู้ว่าเหตุผลที่ใช้มันเป็นเพียงข้ออ้าง แท้จริงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความต้องการของตัวเองที่อยากให้สิ่งสุดท้ายที่เขาให้ยังมีความหมายอยู่ในชีวิตของผม

   "โตแล้วก็ไม่ควรสาย"

   "เมื่อคืนนอนดึกน่ะ อ่านหนังสือ"

   "เหรอ"

   "ก็ดีกว่าไม่นอนน่า"

   ตะครุบปากก็คงไม่ทัน ผมช้อนตาขึ้นมามองฝั่งตรงข้ามของโต๊ะตัวใหญ่ เธอไม่แสดงออกถึงความไม่พอใจหรือว่าอาการอื่นใด ไวท์ยังคงทานอาหารเช้าของตัวเองต่อไปไม่มีสะดุด อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ ที่เผลอพูดอะไรที่ไม่ควรออกไปชะมัด สีขาวไม่ได้ทำอะไรผิด อาจเป็นผมที่ไม่ชินกับการพูดมากกว่าปกติอยู่พอสมควร แต่นั่นก็เป็นผลมาจากการที่ผมเงียบเองอยู่บ่อยครั้งจนคนอื่นต้องเติมให้บาลานซ์ต่างหาก

   “อนุญาตให้โดดเรียน”

   “หืม?”

   เธอรักผมมากที่สุด รักมากกว่าใครทั้งนั้น ใต้ใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกยังคงเต็มไปด้วยความอาภรณ์ สีขาวรวบช้อนส้อมไว้ทางด้านข้างของจานเป็นสัญลักษณ์เพื่อบอกว่ามื้ออาหารนี้ได้จบลงแล้ว

   “ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป” เราต่างเงียบไปทั้งคู่ พอเห็นว่าเธอวางมือลงแล้วผมก็เลยทำบ้าง ถึงบนจานของตัวเองจะพร่องไปเพียงไม่กี่คำก็ตาม "ทำอะไรที่อยากทำบ้าง"

   พี่ไวท์ไม่เคยขัดใจอยู่แล้ว ไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่เข้าสู่โหมดโอ๋น้องเลเวลสูงสุด นิช เน็ท หรือแม้กระทั่งแบล็คเองขอเพียงแค่ผมเอ่ยปากออกมาไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ในบางอารมณ์ผมก็คิดว่าพวกเขาก็แค่อยากไถ่โทษที่ไม่สามารถดูแลผมได้ล่ะมั้ง พี่ที่ดูแลน้องไม่ได้อย่างที่ถูกสอนไว้

   "ไม่ล่ะ" ผมตีกลับคำเสนอชัดเจน "โรมโตแล้ว"

   ไม่ใช่การย้ำแบบไร้จุดหมาย  คำว่าโตแล้วของผมคือผมควรเป็นคนจัดการเรื่องราวที่ตัวเองก่อไว้ เมื่อเลือกที่จะทำอย่างนี้แล้วก็ไม่มีทางไหนที่ให้แก้ไขอดีตได้ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือต้องก้าวเดินต่อไปให้ได้

   "งั้นก็เลิกมือบอนกับนั่น"

   พี่สาวชี้ไปที่ปฏิทินแบบแขวนทำมือขนาดใหญ่ รู้ได้โดยง่ายว่าตอนนี้วันที่เท่าไหร่แล้วเพราะเมื่อหมดวันหนึ่งผมก็จะเอาปากกาเมจิคหัวใหญ่สีดำมาขีดฆ่าทิ้ง มีวงกลมสีแดงขนาดใหญ่วงไว้ที่วันสุดท้ายของเดือน

   จำนวนวันที่บอกได้อีกนัยว่าเขาเดินจากผมไปนานแค่ไหนเช่นกัน

   พาลคิดไปถึงกอดสุดท้ายแล้วก็น้ำตารื้นมาเสียอย่างนั้น ผมสูดลมหายใจเข้ายาวๆ เรียกสติให้กับตัวเอง ท่องบอกไว้ว่าในเมื่อตัวเองเห็นแก่ตัวเกินกว่าที่จะตัดสินใจ เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับมัน

   ยอมรับว่าในวันนี้ผมไม่มี 'ที่หนึ่ง' แล้ว
 


[หกสัปดาห์ก่อน]

   "แบล็ค วันนี้กูไปข้างนอกนะ"

   "แล้ว?"

   "บอกไว้ไง"

   "ที่หนึ่ง?"

   "..."

   "มึงรู้ไหมว่าการเงียบทางกฎหมายบางทีคือการยอมรับนะ"

   มองราชาดันแว่นสายตาที่ไม่เห็นมานานแล้วขึ้นไปอยู่บนสันจมูกตามเดิม เขายังไม่ละสายตาจากหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนาตรงหน้ามาหาผมที่ยืนตัวลีบอยู่ไม่ไกล ผมยังคงติดนิสัยรายงานตัวกับคุณพ่ออยู่ตลอด ถึงอายุจะเลยเข้ามาถึงเลขสองแล้วก็เถอะ

   "อืม หนึ่งไปด้วย"

   "ไปไหนล่ะ"

   "ไปซื้อหนังสือ แล้วก็อาจแวะไปซื้อขนมต่อ"

   "โอเค"

   "มึ..." บอกตัวเองให้ปิดปากให้สนิท ผมไม่ควรย้อนกลับไปหาคำถามที่ฝั่งตรงข้ามเคยให้คำตอบเอาไว้แล้ว นี่คือวิธีเลี้ยงน้องในแบบของเขา คิงบนบัลลังก์ต้องรักษาสัจจะไว้ให้ได้

   "อ้าว น้องโรมลงมาแล้วเหรอ"

   หันไปทางม่านตาข่ายไว้กันยุงที่แหวกออกจากกัน เห็นที่หนึ่งเดินออกมาสบายๆ พร้อมน้ำเปล่าในมืออีกขวด ผมมองเขาสลับกับว่าที่เจ้าของบ้านกันไปมา จนแบล็คปิดหนังสือลงอย่างที่ไม่ต้องหาอะไรมาคั่นไว้ มันเป็นวิธีการฝึกสมองตัวเองให้จดจำว่าอ่านถึงหน้าไหนแล้ว เป็นการคั่นเอาไว้ในความทรงจำ ไม่ต้องกลัวเรื่องที่คั่นหายหรือหนังสือมีรอบพับมุม ไม่น่าแปลกใจที่เขาเรียนนิติศาสตร์ได้เลยใช่ไหมล่ะ เคยลองเลียบแบบอยู่พักหนึ่งแต่ไม่ค่อยเวิร์คเลยกลับไปใช้ที่คั่นตามเดิมดีกว่า สบายใจดี

   "เห็นยืนเป็นสล็อตเกาะรั้วอยู่นานแล้วเลยเรียกเข้ามารอข้างใน"

   "แบล็คคค"

   "เรียกชื่อกูมากๆ เดี๋ยวไม่ให้ไปนะ"

   เจอขู่อย่างนั้นเข้าไปก็เงียบสิครับ ผมไม่ดื้อกับคนขี้รำคาญให้โง่หรอก

   ใช้คำถามเป็นการทักทายแรก "ทำไมไม่บอกว่าถึงแล้ว"

   "ส่งไลน์ไปบอกแล้วนะ ไม่เห็นล่ะสิ"

   "ขนาดตั้งปลุกไว้รัวขนาดนั้นยังไม่ได้ยิน คิดว่าจะรู้ไหมว่าไลน์มา?"

   ผมนัดกับที่หนึ่งไว้ตอนสิบโมง ส่วนเวลาในมือถือตอนที่ผมตื่นขึ้นมามันก็ไม่ค่อยห่างกันมากเท่าไหร่ เก้าโมงสี่สิบเจ็ดนาที นาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ไม่รู้ทำไมไม่ยอมทำงาน หรือทำงานจนเต็มความสามารถไปแล้วเลยเลิกทำก็ไม่รู้

   "บอกแล้วว่าให้ฝึกตื่นเอง เดี๋ยวจะซื้อนาฬิกาปลุกไว้ให้"

   "มีคนปลุกทุกวันสบายจะตาย"

   "กว่าจะตื่นพี่ต้องเรียกกี่รอบ"

   "แล้วเมื่อกี้ไปไหนมา" เบี่ยงประเด็นก่อนที่ผมจะโดนนาฬิกาปลุกมนุษย์ที่บ้านเล่นงาน ถึงอยากจะเถียงกลับไปใจจะขาดก็เถอะว่าปกติแล้วเขามาปลุกครั้งแรกๆ ผมก็ตื่นทุกทีนั่นแหละ แค่นอนต่อเนียนๆ ให้ปลุกต่อไปต่างหาก

   "ไปกินน้ำมา บ้านน้องโรมใหญ่อะ มาครั้งที่สองแล้วยังหลงอยู่เลย"

   "เฮ้อ หลงไม่เท่าไหร่ ระวังไปเหยียบกับระเบิดแล้วกัน"

   "หา?"

   เห็นเขาร้องเสียงหลง ผมเลยได้ทีสร้างเรื่องต่อ "รู้ป่ะว่าคุณพินิจทำงานอะไร บ้านนี้มีปืนซ่อนไว้เพียบ"

   "พอเลย เลิกแหย่มันได้แล้ว"

   "มึง มาคอนเฟิร์มหน่อยว่าบ้านนี้แม่งคลังอาวุธชัดๆ"

   "ไม่มีหรอกระเบิดน่ะ" เจ้าบ้านอย่างสีดำลดความน่ากลัวของบ้านหลังนี้ให้ลดลงไปมากโข ตามด้วยการเพิ่มตัวเร่งเข้าไปอย่างไม่ปราณี "แต่หลังรูปตรงนั้นมีมีดสปาต้าอยู่"

   "ทิวา!"

   "ไม่เชื่อไปพลิกดู น้องเอ๋อ ห้องนี้มี .38 อยู่ตรงนั้นอีกใช่ป่ะ" เขาชี้นิ้วไปทางตู้โชว์ถ้วยรางวัลของตัวเองที่ได้จากการแข่งเทนนิสเยาวชน ผมเองจำไม่ได้หรอกว่ามีซ่อนไว้อยู่ตรงไหนบ้าง เคยทำการวิจัยแล้วก็พบว่ามันมีการเปลี่ยนที่ทางอยู่บ่อยครั้ง

   "ใช่ๆ ตอนนั้นที่มึงกับกูทำสมุดจดกันอะ" แต่ถ้าเพื่อนรักลำดับหนึ่งช่วยชงแล้วก็เล่นต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน

   "แล้วจะกลับบ้านกี่โมง จะได้เตรียมข้าวเย็นถูก"

   "ยังไม่ชัวร์เลย"

   "งั้นสรุปคือกลับมาทันข้าวเย็น จะได้ให้แม่บ้านเตรียมเพิ่มไว้อีกที่"

   เขาอ่านหนังสือมากไปจนไม่รู้วิธีจับใจความสำคัญหรือไง ผมบอกว่ายังไม่ชัวร์ นั่นคือห้าสิบห้าสิบ ไหงมันเด้งกลายเป็นร้อยเปอร์เซนต์ไปได้

   "เพิ่มทำไม"

   "เย็นนี้จองตัวนะที่หนึ่ง มีอะไรอยากกินเป็นพิเศษป่ะ เดี๋ยวกูไปบอกให้" ถ้าผมจะไม่มีตัวตนขนาดนี้ล่ะก็นะ แบล็คนี่มีระบบปิดเสียงหรือไงถึงทำเป็นไม่สนใจทุกอย่างรอบตัว แล้วเกิดอะไรขึ้นมาถึงไปชวนหนึ่งมากินข้าวเย็นด้วย

   "ไม่ล่ะ เอาที่สะดวกเลย "นี่ก็ช่วยเก็บอาการดีใจไว้ให้มิดหน่อยไหมล่ะ

   "คุณพินิจก็น่าจะกลับมากินทัน"

   "คุณพินิจด้วยเหรอ!?" ร้องเสียงหลง แค่ชวนมาทานข้าวด้วยก็น่าตกใจมากพอแล้ว นี่ยังบอกว่าคุณพินิจจะกลับมากินด้วยอีก ผมกังวลว่าไวท์จะไม่พอใจที่มีคนอื่นอยู่ในบ้านน่ะสิ จะว่าไปผมยังไม่รู้เลยว่าหญิงสาวคนเดียวของบ้านนี้อยู่ข้างไหนเรื่องที่หนึ่ง ใช้วิธีของแบล็คอุปมาเอาได้ไหมนะ เงียบคือการยอมรับ

   "ลูกชายไปรบกวนคนอื่นไว้เยอะ ต้องตอบแทนบ้างสิ"

   เข้าใจที่หนึ่งเลยว่าทำไมไม่ปฏิเสธออกไป ราชาไม่ชอบให้ใครขัดใจ คำสั่งคือ 'ต้อง' ทำตาม ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ แน่นอนแล้วว่าตอนเย็นผมจะต้องรีบกลับมาบ้านให้ทันหกโมงครึ่งซึ่งเป็นเวลาตั้งโต๊ะอาหารของบ้าน

   ด้วยความประมาทขั้นสุดของผมเองที่ไม่ยอมซื้อหนังสือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จนกลายเป็นว่าหนังสือหมดสต็อกไปแล้ว พอใกล้จะสอบอย่างตอนนี้ผมเลยต้องมาตระเวนหาหนังสือทางบัญชีขั้นสูงไว้ใช้เรียนโดยมีวิญญาณตามติดอีกหน่อคอยไปรับไปส่ง

   "แล้วถ้าที่นี่ไม่มีจะทำยังไง"

   "ก็ต้องยอมซีรอกซ์ล่ะมั้ง ไม่อยากทำเลยอะ"

   ผมไม่ชอบหนังสือที่ถูกถ่ายเอกสารแล้วจัดทำให้เป็นเล่มใหม่ ตามร้านที่มหาลัยเขาชอบใช้กระดาษคุณภาพต่ำอย่างที่เขียนไปนิดหน่อยก็มีรอยหมึกขึ้นเป็นปื้น ไม่ต้องพูดถึงไฮไลท์ที่ทะลุไปอีกสองหน้ากระดาษสบายๆ

   "ซีไปตั้งแต่ต้นก็จบแล้ว เอาของพี่ไปจะได้ไม่ต้องจดใหม่ด้วย"

   "ไม่ชอบบบ"

   "ไม่ยอมเตรียมพร้อมเองแล้วยังมาบ่นอีกน่ะ"

   โดนขยี้ผมไปอีกที เล่นเอาที่จัดทรงมาไม่เหลือซากอารยธรรมความตั้งใจของผม "อย่าเล่นหัวสิ มันเซตยากนะ"

   เส้นผมสีน้ำตาลของเราไม่ได้แตกต่างกันเลย แต่ความหนาของเส้นกับกรรมพันธุ์ผมหยักศกมันก็เสกให้รังนกมาสร้างอยู่บนหัวของผมได้เสมอ น่าอิจฉาพวกผมเส้นเล็กแล้วยังอยู่ในโอวาทเจลแต่งผมอย่างเขาจัง

   "อะๆ จัดให้ใหม่"

   มือของที่หนึ่งใหญ่แล้วก็อบอุ่น คุณพี่ผู้สวมวิญญาณช่างทำผมขยับมือไปมาเพื่อจัดเส้นผมให้เข้าที่ ความคล่องแคล่วที่เกิดจากการที่ผมเป็นหุ่นให้เขาดูแลมานานพอสมควรมันเลยจบด้วยการที่ผมหยิกๆ ของผมกลับไปสู่สภาพเดิมได้อย่างง่ายดาย

   "ขอบคุณฮับ ...งืออออ" ร้องประท้วงที่เขาหยิกแก้มจนยืด

   "ขอบคุณทำไมต้องยิ้มขนาดนี้"

   "นิชสอนว่าเวลาขอบคุณให้ยิ้มด้วย"

   "นี่บอกว่าเป็นแม่ก็เชื่อนะ"

   "ใช่ นั่นแม่นิช"

   ตำราเลี้ยงลูกฉบับนิชนี่โคตรพิสดารอะบอกเลย

   เขาน่าจะรู้ดีว่าผมไม่ได้พูดเล่นนะ ผมคิดมาตลอดว่าถ้านิชมีลูกจะต้องเป็นเด็กที่ดีมากๆ แน่ เล่นมีคุณพ่อที่เต็มไปด้วยความพิเศษอย่างนั้น อย่างผมยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้การสอนของนิชมันไม่สามารถหยั่งรากลึกไปถึงแก่นในได้

   "แล้วมีพ่อกี่คนแล้วฮะ"

   "สาม" พ่อจริง คุณพินิจ แล้วก็แบล็ค

   "ใช่เหรอ?"

   "...สี่ก็ได้" ถ้าจะเสนอตัวขนาดนั้นผมนับเป็นพ่อให้อีกคนก็ได้ "คุณพ่อทูลหัวที่หนึ่ง"

   "พี่ไม่ใช่พ่อสักหน่อย"

   "อ้าว แล้วอีกคนมาจากไหน"

   "พ่อตา"

   "?"

   "พ่อของพี่ก็ต้องเป็นพ่อตาของน้องโรมสิ"
 

***
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 19 [26.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 26-02-2016 21:00:38

   นี่มันปีชงของผมแน่เลย

   นอกจากจะนาฬิกาไม่ปลุก เจอที่หนึ่งหยอดมุกเพลียโลก แล้วยังต้องมารับรู้ว่าความตั้งใจของตัวเองกำลังทลายลงเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าตอนนี้คือภาพเด็กมหาวิทยาลัยใจกลางเมืองกำลังเอื้อมมือไปคว้าหนังสือที่ผมดั้นด้นมาหาไว้ในอ้อมแขน แถมยังเดินฉิวไปยังเคาท์เตอร์จ่ายเงินแล้วอีก

   "เล่มสุดท้ายเหรอ..."

   ท่ามกลางหนังสือวิชาการหลายสีหลายขนาดเกิดเป็นช่องว่าง บอกว่าพื้นที่ตรงนี้เคยมีสิ่งใดวางอยู่

   "ลองหาดูก่อนสิ"

   "ไม่มีแล้วอะ" ค่อยไล่ไปทีละเล่มก็ยังไม่พบสันหนังสือเป็นชื่อหนังสือที่ผมต้องการ "ฮือ..."

   "ค่อยๆ ดูไป เดี๋ยวพี่ไปถามพนักงานให้ว่ายังมีสต็อกเก็บไว้อยู่รึเปล่า"

   เข้าสู่ห้วงความคิดที่ถามตัวเองอยู่นั่นว่านี่ปีชงหรือว่าผมไปทำอะไรผิดไว้ถึงโดนเล่นงานอย่างนี้ คือผมลงทุนมาถึงที่นี่เลยอะ โรมไม่มีทางมาศูนย์หนังสือที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินไปมายั้วเยี้ยอย่างนี้แน่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อะไรคือการที่ผมมาถึงแล้วกลับไม่มีสิ่งที่ผมต้องการล่ะ

   จากที่ไล่หาจากชั้นเดียวกันก็ขยับไปทั้งบนล่าง ลามไปถึงชั้นวางข้างๆ ด้วยเลยแล้วกัน จากตู้แรกก็ขยับไปตู้ที่สอง สาม และสี่ตามลำดับ

   "เขาบอกว่าบนชั้นมีแค่นั้นแหละ"

   แผนที่ผิดไปจากที่คิดไว้มากดูดพลังความศรัทธาของผมไปมาก ผมที่ไม่พร้อมจะสู้กับความเป็นปีชงนอกราศีได้อีกแล้วก็บอกความต้องการของตัวเองที่อยากจะหาที่นั่งพักเหนื่อยสักหน่อยค่อยกลับบ้านไป

   "อะ มีอะไรจะให้"

   ผมรับมันมาไว้กับตัวเอง ก้มลงมองหนังสือเล่มหนาที่เป็นต้นเหตุของการเดินตะลุยในวันนี้กับกล่องกระดาษลายตารางขนาดเกือบเท่าฝ่ามือ

   "ไหนบอกหมด?"

   "ไม่ได้บอกว่าหมด บอกว่าบนชั้นหมดแล้วแต่หลังร้านยังมีสต็อคอยู่"

   "หนึ่ง!"

   "คิก ไม่ทำหน้ายู่สิ" นิ้วอีกฝ่ายจิ้มมาตรงกลางหน้าผาก “รอยย่นขึ้นหมดแล้วน่ะ”

   “เพราะอยู่กับหนึ่งนั่นแหละ”

   "น้องโรมทำจนเป็นนิสัยแล้วต่างหาก"

   "แล้วนี่อะไรอะ"

   "เปิดสิ"

   วางหนังสือเล่มหนาลงบนโต๊ะ มือทั้งสองข้างช่วยกันแกะกล่องกระดาษออกจนเห็นของข้างใน "นาฬิกา?"

   ยกเครื่องบอกเวลาสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีเขียวให้เขาดู เหมือนเคยเห็นที่คล้ายแบบนี้อยู่ในห้องแบล็คเมื่อก่อน จำไม่ได้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เครื่องกลชนิดนี้หายไปจากความทรงจำของผม

   "จะได้ไม่ต้องอ้างนู่นนี่อีก"

   ที่หนึ่งแม่งคนจริง บอกว่าจะซื้อก็ซื้อ "ประชดรึเปล่า"

   "เปล่า น้องโรมต้องหัดตื่นเองบ้างสิ"

   "อยู่บ้านแบล็คก็ปลุก อยู่หอหนึ่งก็ปลุกอยู่แล้วนี่"

   "ก็เผื่อวันนึงพี่ไม่ได้ปลุกแล้วไง" เขาคลี่ยิ้มจาง "เดี๋ยวกลับไปอยู่ห้องตัวเองก็ต้องตื่นเองให้ได้นะ"

   "..."

   คำพูดจุกอยู่ที่คอ การบอกไม่ต่างอะไรกับที่เขาเคยพูดในหลายครั้ง คนมีชนักติดหลังอย่างผมก็อย่างนี้แหละ พอพูดอะไรหน่อยก็ร้อนตัว

   ตอนนี้ผมคิดภาพตัวเองกลับไปอยู่คนเดียวในห้องเดิมไม่ออกสักนิด

   "ใช้แบบนี้แหละจะได้ไม่ต้องอ้างว่านาฬิกาไม่ปลุกอีก"

   "ยังไม่ได้กลับสักหน่อย" พูดกับตัวเองเบาๆ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องที่ต้องกลับไปนอนที่ห้องเลย การมีรูมเมทมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้ ตอนแรกเคยคิดว่าผมจะต้องเผ่นกลับตั้งแต่วันแรกๆ กลับกลายเป็นว่าอยู่ได้โดยราบรื่นเสียจนลืมไปเลยว่าห้องที่อยู่ตอนนี้มันไม่ใช่ห้องของตัวเอง

   "พูดว่าอะไรนะ?"

   "พูดว่าหนึ่งขี้บ่น"

   "ยังไม่ได้บ่นอะไรเลยนะ เออใช่" เขาก้มลงหาของบางอย่างในกระเป๋าสะพายข้าง กล้องโพราลอยด์สีดำสนิทเป็นเงาเลื่อมวางลงบนโต๊ะ "มาเป็นนายแบบให้หน่อย"

   "ไหนพูดใหม่"

   "ถ่ายรูปกัน"

   "ไม่"

   ผมเกลียดการถ่ายรูปยิ่งกว่าอะไรดี ถ้าเป็นรูปเดี่ยวนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยนับนิ้วได้ แล้วนี่ยังจะมาถามอีกว่าถ่ายรูปไหม ตลกล่ะ

   “ค่าหนังสือ”

   มีการทวงอีกน่ะ ผมล้วงกระเป๋าเงินของตัวเองเตรียมหยิบเงินคืนคนขี้งก “เอาไปเลย!”

   “ไม่รับ”

   อีกฝ่ายยกมือขึ้นกอดอกไว้ไม่รับแบงค์ที่ผมยื่นให้ แลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนใส่ จะเอายังไงกับผมกันแน่เนี่ย

   “หนึ่งงง รับไปสิ”

   “ซื้อให้”

   “ไม่เอา”

   “แค่ยิ้มแป๊บเดียวเอง คุ้มจะตาย”

   ค้อนหน้าเหวี่ยง เห็นผมเป็นคนเห็นแก่ได้ขนาดไหนกันถึงคิดว่าผมจะยอมแลกหน้าจืดๆ กับหนังสือเรียนราคาเกือบสามร้อย

   “ไม่ชอบ หน้าตลก”

   เน็ทชอบล้อว่าผมหน้าประหลาด แล้วมันก็จริงเวลาถ่ายรูปรวมกันหน้าของผมมันจะตลกมากเมื่อเทียบกับคนอื่น จนผมชอบทำหน้านิ่งมากกว่า

   “ไม่เห็นตลกเลย นี่ไง”

   อะไรคือการโชว์รูปผมแบบที่เห็นแล้วฟันธงได้ร้อยเปอร์เซนต์ว่ามันเป็นรูปแอบถ่ายอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่ามันเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจน่ะ เออ ก็ดี สไลด์รูปอื่นให้ดูด้วย นั่นมันสมัยผมเข้ามหาลัยใหม่ๆ นี่หว่า ยังหัวตลกไม่เข้าทรงอยู่เลย

   "ถ่ายเมื่อไหร่"

   น่าจะเพิ่งรู้สึกว่ากำลังเผาตัวเองอยู่ ที่หนึ่งสะดุ้งโหยง ตะครุบโทรศัพท์ของตัวเองกลับไปพลัน รู้สึกตัวช้าไปไหมนั่น...

   "แหะๆ"

   "ที่ หนึ่ง"

   "ถ่ายพี่ก่อนก็ได้มา"

   วิธีการเฉไฉที่ไม่เนียนที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เขายัดกล้องสีดำตัวเดิมมาไว้ในมือของผม

   เฮ้อ ตีหน้ามึนเก่งจริง

   ผมยกกล้องขนาดกำลังดีขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา หลับตาลงข้างหนึ่งให้เห็นเพียงผ่านช่องมองภาพขนาดเล็ก ที่หนึ่งที่ผมเห็นยามปกติกับการมองผ่านกระจกใสไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

   "จะกดถ่ายแล้วนะ"

   "หน้าโอเคไหมๆ"

   "ถามอะไรช่วยสงสารเบ้าหน้าคนถ่ายหน่อยได้ไหมล่ะ"

   ทำปากยื่นหมั่นไส้พวกหน้าตาดี ผมสไลด์ด้านล่างขวาของมือถือตัวเองให้เปลี่ยนจากการพักหน้าจอเป็นกล้องถ่ายภาพ ให้พ่อรองเดือนมหาลัยได้เห็นความดีงามบนใบหน้าตัวเองจนพอใจ

   "อิจฉาพวกดีเอ็นเอหน้าตาตีจริง"

   "น้องโรมน่ารักจะตาย"

   "เอาคำอื่นได้ไหม ทำไมชอบใช้คำว่าน่ารัก" คุณพินิจก็ชอบบอกว่าผมน่ารักนะ ก็ผมเป็นน้องเล็กของบ้านนี้นี่นา แต่กับที่หนึ่งผู้ซึ่งพูดคำว่าน่ารักพร้อมออร่าฟรุ้งฟริ้งรอบตัวมันดูน่าสยองชอบกล

   "ก็น่ารักจริงนี่ นี่หน้าเหมือนพ่อหรือแม่"

   "เหมือนคนข้างบ้าน"

   "พี่หน้าเหมือนพ่อ"

   "หล่อทั้งบ้านล่ะสิ"

   "แม่ชอบพูดอย่างนั้นนะ" เขาไม่เคยอวดหรือถือตัวข่มคนอื่น ทั้งที่คนอย่างเขามีอะไรให้โชว์เต็มไปหมด แล้วยังไม่ชอบยอมรับว่าตัวเองหน้าตาดีแค่ไหนด้วย "แล้วพี่โรมเหมือนพ่อหรือแม่ล่ะ?"

   "แบล็คแอนท์ไวท์อะนะ"

   "อื้ม"

   ผมนิ่งไปพักหนึ่งจึงตอบตามที่ตัวเองรู้สึก "...ไม่รู้"

   "ไหงงั้นล่ะ"

   "เดี๋ยวเย็นนี้เจอคุณพินิจก็รู้เองนั่นแหละ ยังจะถ่ายรูปไหม"

   "ถ่ายครับ"

   "ยิ้มสิ"

   เสียงกลไกทำงานตามที่ตั้งไว้ ผมมองแผ่นฟิล์มค่อยๆ เคลื่อนออกมาจากตัวเครื่อง มันยังคงเป็นภาพที่ขาวขุ่นไร้ซึ่งภาพสะท้อนใด

   "หนึ่ง ทำไมเป็นอย่างนี้อะะะ" โวยวายไว้ก่อนนี่แหละผม ที่หนึ่งตื่นตกใจกับอาการของผมจนกระทั่งเขาดีดนิ้วเป็นการบอกว่าเข้าใจแล้วว่าผมต้องการจะสื่ออะไร

   "รอก่อนสิ นี่ไงมาแล้ว"

   "อ้าว"

   จากฟิล์มขาวขุ่นเริ่มเห็นเป็นสีสันที่แตกต่างกัน ผมจ้องดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจนกระทั่งปรากฎรูปที่ไม่ต่างจากในกรอบกระจกเล็ก เพิ่งรู้ว่ามันมีกลไกอะไรแบบนี้ด้วย

   ผมไม่ชอบถ่ายรูป และบ้านเราก็ไม่มีใครชอบการถ่ายภาพเลยสักคน ในตัวบ้านจะมีก็แต่รูปรวมหลักๆ จำพวกวันจบการศึกษาหรือไม่ก็วันสำคัญๆ อย่างช่วงหนึ่งก็จะมีรูปแบล็คกับรางวัลที่เขาได้อยู่เต็มไปหมดตามอารมณ์เห่อลูกของคุณพินิจ พอมาเจอของที่ต่างไปจากการใช้กล้องดิจิตอลทั่วไปผมเลยไปต่อไม่ถูก เอาน่า ตอนนี้ผมก็รู้วิธีใช้แล้วไง

   และภาพที่ออกมามันสร้างหนึ่งคำถามขึ้นมาในหัว ว่าเขายิ้มอย่างนี้ให้กล้องหรือให้คนหลังกล้อง

   เพราะถ้าเขายิ้มให้ผม ทำไมมันถึงเป็นการยิ้มที่แล้งความสุขเสียเหลือเกิน

   ทุกองค์ประกอบมันรวมกันเป็นภาพที่สวย มันเป็นรูปที่เขายกมุมปากขึ้นสูงทั้งสองข้าง แต่ทำไมพอลองมองดูอีกทีผมกลับเห็นแต่รอยเจ็บปวดบนนั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขายิ้มอย่างนี้ ตั้งแต่ที่ผมเห็นเขายิ้มอย่างนี้ให้ในวันเกิดของผมมันก็เผยบนใบหน้าเขาบ่อยครั้งจนผมเผลอหงุดหงิดใส่ไปหลายรอบ

   มันเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปนเปกันมากเกินไป

   "ตาน้องโรมแล้ว เร็ว"

   "มันต้องออกมาตลกแน่เลยอะ"

   จนถึงตอนนี้จะให้ดื้อไปก็คงไม่มีประโยชน์ ดีไม่ดีเดี๋ยวโดนแอบถ่ายรูปอาจจะแย่กว่าอีกก็เป็นได้

   "ยื่นหน้ามา หัวไม่เป็นทรงอีกแล้วนั่น" ทำตามที่เขาสั่ง อย่างกับมีมือวิเศษที่เสกให้ผมของผมเข้าทรงได้อย่างง่ายดาย "บอกแล้วว่าให้ใช้มูสก่อนออก"

   "ไม่ชอบ"

   "พอหัวยุ่งก็บ่น"

   "ตัวเองบ่นก่อนไหมล่ะ"

   จอมยุ่งไม่มีใครเกิน ตอนแรกก็แค่บ่นเรื่องที่ผมไม่ชอบใช้โลชั่นหรือครีมอะไรดูแลผิว โยนของใช้ล้านแปดที่อยู่ตรงชั้นวางเครื่องบำรุงมาอยู่ในความดูแลของผม จะไม่ใช้ก็เสียดายของเปล่าๆ ไหนบอกว่าใช้แล้วดีขึ้น ผมยังไม่เห็นใครชมบ้างเลย มีเขาอยู่หน่อเดียวนี่แหละที่ภาคภูมิใจกับผลงานของตัวเอง

   "โรมก็อยู่ได้มาตั้งนานแล้ว"

   "เปลี่ยนตัวเองได้สิ เดี๋ยวก็กลายเป็นตาลุงก่อนวัยหรอก"

   "ตาแก่ขี้บ่น"

   "ทำไมชอบบอกว่าพี่แก่" ยิ่งพอเขาทำหน้าไม่พอใจแล้วเห็นว่ามีรอยย่นตรงหน้าผากจางๆ นั่นแหละที่ผมบอกว่าเขาแก่ ที่หนึ่งหยิบกล้องขึ้นมาเตรียมถ่ายผม "ไม่ยิ้มเหรอ"

   "ไม่อะ นี่คือโรมสไตล์"

   ครึ่งหน้าของเขาที่ไม่โดนเครื่องถ่ายโพลารอยด์บังกลั้นขำสุดกำลัง ปากเขาขมุบขมิบพูดกับตัวเองแบบไร้เสียง จะอ่านปากก็อ่านไม่ออกเพราะเขาพูดเร็วจนเกินไป

   ให้สัญญาณหนึ่งสองสามตามปกติตามมาด้วยการกดปุ่ม ที่หนึ่งล้อเลียนท่าตกใจของผมด้วยการทำตาโต อ้าปากกว้าง พร้อมชี้ไปยังแผ่นฟิล์มขนาดครึ่งฝ่ามือที่ยังคงเป็นสีขาวขุ่นไม่ต่างจากที่ผมเห็นในตอนแรก เออ ใช่สิ ผมมันเด็กบ้านนอกไร้ความสามารถเรื่องเทคโนโลยีนี่

   "เป็นไงบ้าง?"

   เขาไม่ยอมโชว์ให้ผมดูว่าหลังจากที่สารเคมีมันทำปฎิกิริยาเรียบร้อยแล้วภาพของผมที่ปรากฎบนนั้นออกไปในทางไหน คนแก่ขี้บ่นดูภาพนั้นแล้วยิ้มคนเดียวอย่างกับคนสติไม่เต็ม มีอะไรตลกนักหนา

   "จะซื้ออะไรไปฝากที่บ้านไหม ไวท์น่าจะชอบของหวานนะ"

   ร้านคาเฟ่ชอบมีของหวานเอาไว้ล่อลวงเงินในกระเป๋า ผมส่ายหัวไปมา ไวท์น่ะเกลียดของหวานจะตายไป กินอยู่ได้แต่น้ำชาแบบที่คนแก่ชอบกิน ตัวเลยเล็กแค่นั้นไง "ไม่ต้อง เอารูปมาให้ดูก่อน"

   รูปที่ผมไม่รู้ว่าน่าเกลียดหรือพอดูได้ ยืดสุดตัวเพื่อแย่งสิ่งที่อยู่ในมือเขามาไว้กับตัวเอง ที่หนึ่งไม่ยอมให้ความต้องการของผมเป็นจริงได้ง่ายๆ ความสูงที่ต่างกันอยู่แล้วก็กลายเป็นผมเขย่งกระโดดข้ามโต๊ะแบบไม่กลัวว่าจะทำความเสียหายให้ตัวร้าน

   "ชู่ว ไม่กลัวคนอื่นมองเหรอ"

   "ไม่ เอารูปมาดู" เวลาที่ผมอยากได้อะไรแล้วผมไม่สนอะไรทั้งนั้นแหละครับ "พี่หนึ่ง ...เฮ้ย!"

   จังหวะที่ผมกระโดดพลาดจนหน้าเกือบฟาดโต๊ะไม้ไปนั้นเขาเผลอปล่อยสิ่งที่อยู่ในมือ แผ่นฟิล์มร่วงหล่นลงสู่พื้นโดยมีมือของผมตามติดไปอย่างรวดเร็ว ยังไงผมก็ต้องเห็นหน้าตัวเองว่าแย่แค่ไหนให้ได้

   ถึงจะคิดว่าตัวเองพุ่งตัวไปเร็วแล้วแต่ก็มีอีกมือเร็วกว่า ไม่ใช่ที่หนึ่งเพราะมือนี้เล็กกว่าเยอะ ผมโค้งตัวตามเพื่อขอบคุณในทันที

   "ขอบคุณ...ครับ"

   คำสุดท้ายเกือบไม่ได้ออกมาเป็นเสียง เมื่อตรงหน้าของผมมันสร้างความตกตะลึงให้จนไม่อาจจะเรียกสติทั้งหมดให้กลับมาอยู่กับตัวเองได้ กระพริบตาถี่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองว่าไม่ได้ตาฝาดหรือว่าเป็นเพียงคนหน้าเหมือน

   ...ผมอยากหลอกตัวเองว่านี่มันไม่ใช่เรื่องจริง

   เมื่อคนตัวสูง รูปร่างบอบบาง ผมสีดำเป็นทรงเดียวไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีแล้วก็ตามคือคนที่ผมไม่คิดว่าจะได้พบกันอีกครั้งเร็วอย่างนี้

   "อ้าว" อีกฝั่งดูไม่ค่อยตกใจอย่างผมมากนัก สิ่งที่ถูกส่งต่อมาก็คือยิ้มแห้งติดเย็นชาจนเป็นเอกลักษณ์ "บังเอิญจังเลยนะ"

   "...เกรย์"


***
   หายไปสัปดาห์หนึ่งเต็มๆ เลยค่ะ ขอโทษนะคะ /โค้ง เจ้าติดงานต้องออกต่างจังหวัดเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนค่ะเลยไม่ได้เอามาลง แล้วก็ยังแต่งไม่เสร็จด้วยค่ะ (ร้องไห้) พอมาสัปดาห์นี้งานก็เทลงมาแบบไม่เกรงใจร่างกายพังๆ นี่เลย กว่าจะมาลงได้เลยเป็นวันศุกร์แล้ว ขอโทษจริงๆ นะคะ
   ตอนนี้ก็มาอีกตัวละครนึงแล้ว ดูจากชื่อแล้วพอจะเดากันได้ไหมคะ เรื่องนี้จะเดินต่อไปทางไหนมาลุ้นกันต่อไปนะ (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 19 [26.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-02-2016 21:06:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 19 [26.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: DE SaiKuNee ที่ 26-02-2016 22:43:13
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 19 [26.02.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Aimiya ที่ 03-03-2016 00:47:34
ตัวละครลับโผล่มาแล้ววววววว แล้วทำไมที่หนึ่งกับน้องโรมต้องแยกกันนนนน รอตอนต่อไปนะคะ^^
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.1 [05.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 05-03-2016 23:26:57
บทที่ 20.1
 
   "น้องโรม รับโทรศัพท์ของแบล็คเถอะ"

   "ไม่"

   ปล่อยให้เครื่องมือสื่อสารของตัวเองเคลื่อนตัวไปมาตามแรงสั่น ผมหยิบหูฟังไว้ส่วนมืออีกข้างก็ถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์ของรูมเมทชั่วคราวมาไว้กับตัวเอง กดปุ่มตรงกลางให้หน้าจอที่พื้นหลังเป็นรูปตุ๊กตาปรับแต่งดีเอ็นเอสองตัวนั่งอยู่ข้างกันปรากฎขึ้น สไลด์พาสเวิร์ดที่จำได้จนขึ้นใจจากการใช้หลายต่อหลายครั้ง

   "มันสั่นอย่างนั้นมาหลายนาทีแล้วนะ"

   "เดี๋ยวแบตหมดก็เลิกสั่นเองนั่นแหละ"

   บอกกลับสบายๆ เลื่อนเปิดหาเกมส์โปรดของตัวเองที่มีอยู่ในเครื่องของที่หนึ่งเหมือนกัน ส่วนหูฟังก็แค่ใส่เพื่อลดระดับการได้ยินเท่านั้น ไม่ได้หาเพลงอะไรฟังหรอก

   ไม่อยากรับก็ยังโทรมาอยู่นั่น

   ที่หนึ่งเองคงปลงตกกับสงครามเย็นของเราพี่น้องแล้วถึงคว้าโทรศัพท์ที่ยังไม่หยุดสั่นของผมไปปิดการแจ้งเตือนเสีย เปิดกล่องกระดาษจากร้านหกสิบบาทที่ผมซื้อมาวางไว้เฉยๆ แล้วยัดมันลงไปไม่ให้เห็นอีก

   "ถ้าแบล็คมาเคาะประตูน้องโรมไปเปิดเองเลยด้วย"

   "ไม่เปิด"

   เสียงถอนหายใจด้วยความระอาบอกได้ว่าเขาเหนื่อยกับครอบครัวของผมแค่ไหน ราชาถ้าลองให้โกรธแล้วมีแต่เสียกับเสีย แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากเจอใครทั้งนั้นอะ เห็นหน้าแล้วก็คิดถึงคนที่เพิ่งกลับมาเมื่อช่วงปลายอาทิตย์ที่แล้ว

   แม่ง แค่นึกถึงหน้าก็หงุดหงิด

   Coming call : คุณพ่อตา

   อะหือ นี่เล่นเมมไว้ด้วยชื่อนี้เลยเหรอ

   จากภาพลูกกวาดหลายสีกำลังระเบิดต่อเนื่องจากไอเทมกลายเป็นหน้าของผู้ชายสีดำกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่สักที่ในมหาวิทยาลัย ดูท่าแล้วคงรู้ว่าโทรหาผมต่อไปก็คงไม่มีการตอบรับใดๆ ถึงเปลี่ยนไปโทรหาที่หนึ่งอย่างนี้

   "เป็นการเมมชื่อที่แย่มากเลยรู้ไหมหนึ่ง"

   พลิกไปให้เขาดูว่าใครโทรมา ที่หนึ่งผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้งก่อนตอบผม

   "รับไปเถอะ พี่ไม่อยากโดนราชาสั่งประหาร"

   "มันไม่ทำหรอกน่า"

   "ตื่นเช้ามาวันพรุ่งนี้ห้องอาจเหลือแค่ครึ่งเดียวก็ได้ใครจะรู้"

   สงสารเหยื่อผู้โดนลูกหลง อยู่กับผมผมก็ระเบิดอารมณ์ใส่ไปหลายรอบ นี่ยังต้องมาเจอพี่ชายของผมโทรตามจิกอีก ผมรู้ตัวดีว่าเป็นตัวปัญหาอยู่เลยเดินออกมานอกระเบียงแล้วยอมกดรับสายไปส่งๆ

   "ไร"

   (กลับบ้าน) ไม่ต้องยืดเยื้ออะไรทั้งนั้น เขาแน่ใจอยู่แล้วว่าผมต้องเป็นคนรับสาย

   "ไม่กลับ"

   (กลับ)

   "ไม่"

   พูดสั้นยิ่งกว่าไวท์ ผมบอกเขาผ่านคำพูดและน้ำเสียงว่าไม่อยากพูดคุยด้วยแค่ไหน

   (โรมัน) ชอบเรียกชื่อจริงให้รู้สึกตัวว่ากำลังทำไม่ดีอยู่

   "ทำไม"

   (มึงอย่าหนี)

   "..."

   มันเป็นอย่างนี้เสมอมา เขารู้จักผมมากกว่าที่ผมรู้จักตัวเอง ผมเงียบลงเพื่อให้สมองได้ใช้ความคิดมากขึ้น เมื่อวันที่เจอเกรย์โดยบังเอิญมันเลยกลายเป็นว่าชุดอาหารที่เตรียมไว้เพิ่มขึ้นนั้นเป็นของลูกชายคนที่สองที่กลับมาโดยไร้การบอกกล่าวล่วงหน้า และผมก็ไม่เคยกลับบ้านหรือติดต่อสื่อสารกับคนในครอบครัวอีกเลย จะไลน์จะโทรจะทำอะไรก็ตามแต่ผมก็ปล่อยให้มันลอยผ่านไป เป็นการตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์แบบ

   (อย่าเงียบด้วย นี่กูใจดีมากแล้วนะ)

   "ไม่อยากกลับ"

   บอกไปตามตรงว่าไม่อยากเจอเจ้าของยิ้มแห้งแล้งนั่นเลย

   (คุณพินิจเจอลูกครบหน้า)

   "กูเป็นลูกด้วยเหรอ"

   (มึงเป็นน้องกู)

   "แต่อีกคนไม่คิดอย่างนั้นนี่"

   (เลิกงอแงได้แล้ว เปลืองเงินโทรศัพท์) เขาเริ่มใช้เสียงห้วนด้วยความไม่พอใจ ความกลัวที่สะสมมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยกระตุ้นให้ผมรีบตอบในสิ่งที่เขาต้องการก่อนที่จะโดนสั่งทำโทษ

   "...หนึ่งจะไปด้วย"

   สูดลมหายใจลึกก่อนต่อรองออกไป ไม่อาจหาเหตุผลให้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงพูดออกไปอย่างนั้น ที่หนึ่งกำลังทำให้ผมนิสัยเสีย ถึงพวกพี่จะไม่บอกผมก็สังเกตมาได้สักพักแล้วว่าตัวเองจะต้องมองหาเขาตลอดเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เอาเขาไปเทียบกับคนอื่นในทุกเรื่อง

   และมันทำให้ผมกลัว

   กลัวว่าผมจะรักษา 'สัญญา' เอาไว้ไม่ได้

   (ให้พูดอีกรอบ)

   "กูจะกลับ ...แต่ที่หนึ่งจะไปกับกูด้วย"

   (รอบนี้เจอคุณพินิจจริงๆ นะ) ย้ำพร้อมกับขู่ การที่เขาไปด้วยมันบอกได้อย่างเดียวว่าความสัมพันธ์ของเรามันกำลังไปในทิศทางไหน (กูไม่พูดมากกว่านี้แล้วนะโรม)

   "อืม"

   (งั้นศุกร์กลับมาด้วย หกโมงครึ่งเหมือนเดิม)

    กดปุ่มวางสายตั้งแต่ยังไม่จบคำสุดท้าย ความอึดอัดมากจนผมถอนหายใจออกมาซ้ำๆ หวังว่ามันจะช่วยให้ความรู้สึกนี้ละลายหายไป มันเป็นเรื่องปกติที่การมีอยู่ของคนบางคนสามารถผลักให้ตัวเองขยับห่างออกมาเพื่อเพิ่มความสบายใจให้ตัวเอง โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ต้องการโลกใบเล็กของตัวเองขยายใหญ่ขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อย่างผม เพราะงั้นทุกครั้งที่เกรย์กลับมาสถานการณ์มันเลยวนลูปซ้ำๆ อยู่อย่างนี้

   หรืออาจเป็นแบบที่บางคนเคยพูด ผมไม่เคยยอมรับความจริง

   ส่วนลึกที่สุดของใจรู้ดีว่าวันหนึ่งเขาต้องกลับมา ไม่ว่าจะเร็วหรือช้าแค่ไหนก็ตาม สักวันหนึ่งผมก็ต้องเผชิญหน้ากับเกรย์อย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถึงอย่างนั้นผมก็ทำใจให้ยินยอมรับมันไม่ได้เสียที เขามีชีวิตอยู่เหมือนคนไร้ชีวิต จนผมไม่สะดวกใจที่จะพูดคุยให้เป็นปกติได้ทุกครั้งที่เห็นหน้า

   เดินกลับเข้ามาด้วยความห่อเหี่ยว แค่ต้องกลับบ้านก็เป็นอะไรที่แย่มากพอแล้วยังต้องมาคิดเรื่องที่จะบอกที่หนึ่งยังไงอีกว่าจะให้เขาไปกินข้าวเย็นด้วย ปากที่ไวกว่าความคิดนี่สร้างภาระให้ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ ที่หนึ่งกำลังจัดเก็บอะไรสักอย่างขึ้นชั้นตอนที่ผมเดินกลับเข้าไปในส่วนห้องนั่งเล่น พอเขาเห็นผมก็วางของทุกอย่างลง ปัดมือกับกางเกงยีนส์ราคาสูงเสร็จแล้วกางมือออกกว้าง

   "มานี่มา"

   ก้าวขายาวขึ้นหลายช่วงตัวให้เข้าไปประชิดตัวอีกคนได้ในเสี้ยวนาที ผมทิ้งทุกความคิดในหัวไปเสีย ปล่อยให้ร่างกายได้ซึมซับความอบอุ่นจากร่างกายของอีกคนเพียงอย่างเดียว กอดของที่หนึ่งไม่เหมือนพี่คนอื่น นอกจากจะได้สัมผัสเพิ่งกำลังใจแล้วยังมีอะไรบางอย่างส่งมาด้วย

   เบา เคลิ้ม ผ่อนคลายไม่ต่างจากยาเสพติดชั้นดี

   และอาจโหยหายเจียนตายหากขาดมันไป


 
   ลมอะไรหอบเขามาอยู่ตรงนี้

   ผมหยุดนิ่งอยู่ตรงทางออกตึกเรียน มองไปยังชายร่างผอมบางในชุดเสื้อยืดกางเกงสีซีดที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ไม้ขนาดยาวหน้าคณะ เขาก้มหน้ากดมือถือของตัวเองอยู่ในเวลานี้ผมเลยยังคงอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่ต้องหลบซ่อนอะไร เกรย์เรียนจบชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนประจำ แล้วไปต่อในคณะทางสายวิทยาศาสตร์ที่อังกฤษ ไม่มีเหตุผลอะไรเข้าท่าเลยกับการมาเยือนมหาวิทยาลัยย่านชานเมืองอย่างนี้

   จะพยายามมองในแง่ดีว่าเขามาหาเพื่อนเก่าแล้วกัน

   "น้องโรมหยุดเดินทำไม?"

   "เปล่า!" สะดุ้งโหยงตอนที่มีเสียงทักข้างหู รีบหันไปปฏิเสธเป็นพัลวันว่าไม่มีอะไร แต่ดูเหมือนว่ายิ่งทำอย่างนั้นมันก็กลายเป็นมีพิรุธมากขึ้นไปอีก

   "ลืมของไว้บนห้องเหรอ ขึ้นไปหาไหม"

   "ไม่ได้ลืมๆ"

   "งั้นเป็นอะไร ทำไมหยุดเดินล่ะ"

   "เอ่อ..."

   "ที่ไทยเลิกเรียนเย็นจังนะ"

   ระหว่างที่คุยกับเดือนคณะอยู่เลยไม่ได้มองไปที่เขาอีก รู้ตัวอีกทีคนที่ผมต้องการจะหนีก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว การคิดบวกของผมนี่มันไม่เคยช่วยอะไรเลย เขามาหาผมอย่างที่ระแวงไว้จริงๆ

   "อ้าว...?" ที่หนึ่งอุทานออกมาเบาๆ

   "สวัสดีครับ"

   "มา...ทำไม" กัดฟันถามออกไป นอกจากใช้เสียงที่ไม่เป็นมิตรแบบสุดๆ แล้วผมว่าหน้าตัวเองตอนนี้ก็คงแสดงออกชัดว่าไม่ยินดีต่อการมาของเขาเลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว

   "มารับ กลัวว่าบางคนจะหนี"

   วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ผมต้องกลับบ้านตามที่สัญญาเอาไว้ กว่าจะทำใจบอกที่หนึ่งไปได้ว่าจะต้องไปกินข้าวที่บ้านอีกรอบก็เล่นเอาเหงื่อตก เขาก็ซักอยู่นั่นว่าทำไมต้องกลับไป ขอหาข้อมูลเพิ่มเติมจนสุดท้ายก็ต้องพูดออกไปตามตรงอยู่ดีกว่าผมไม่อยากกลับไปคนเดียว ยังดีที่เขายอมไปด้วย ให้ผมกลับไปคนเดียวนี่เหมือนพาตัวเองกระโดดตึกตายชัดๆ

   "การหนีมันใช้กับคนขี้ขลาดเท่านั้นแหละ" ไม่ใช่คนชอบเหน็บแนมสักเท่าไหร่ เว้นไว้กับเขาคนหนึ่ง ผมแพ้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่เกรย์

   ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนเรายังคงเป็น 'กระจก' ของกันและกัน

   "บอกตัวเองอยู่อย่างนั้นสิ?"

   เกรย์คือสีเทา สีที่เป็นการผสมกันระหว่างสีดำกับสีขาวจนกลายเป็นสีหม่นหมอง และเขาก็เป็นการผสมกันระหว่างพี่ทั้งสองอย่างลงตัว นิ่งเรียบแบบไวท์และร้ายกาจแบบแบล็ค ถึงเจ้าตัวเองจะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองได้รับอะไรมาบ้างก็ตามทีเถอะ คนที่อยู่กับเขามานานอย่างผมดูปราดเดียวก็อ่านออกหมดแล้ว

   น้ำนิ่งที่ไหลลึก ...อันตราย

   "มาที่นี่ทำไม" ผมถามย้ำออกไปอีกครั้ง 

   "เมื่อกี้เพิ่งบอกไปเองนะว่ามารับ"

   "ซึ้งใจมาก แต่จะซึ้งกว่าถ้าไม่มา"

   "กลายเป็นคนขี้ระแวงไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน" เขาจงใจโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูเพื่อไม่ให้อีกคนได้ยิน ผมกำมือแน่น จ้องชายผอมซีดกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ "...กลัวหรือไงว่าความลับที่เก็บไว้จะแตกน่ะ"

   "!"

   "ดูแล้วเขายังไม่รู้สินะ"

   "พูดเพ้อเจ้ออะไรอยู่"

   "ผมพูดเรื่องอะไรอยู่นะ" เขายกมุมปากอย่างผู้เหนือกว่า โทนเสียงที่ขึ้นสูงในบางช่วงกลายเป็นการล่อให้ผมหลงกล "ใครกันที่ยังรอ 'นางฟ้า' กลับมา"

   เขารู้เรื่องนี้ได้ยังไง...

   ราวกับมีใครมาปิดปากผมไว้ในทันควัน ริมฝีปากของเขาไม่มีแล้วรอยยิ้มที่น่าชัง สิ่งที่หลงเหลืออยู่บนรูปหน้าไร้ความรู้สึกมีเพียงนัยน์ตาเศร้าที่ไม่เคยเปลี่ยน

   "ปากบอกว่าไม่มีทางลืม แต่ที่ฉันเห็นนี่มันคืออะไรกันเหรอ?"

   "อย่ามาตัดสินกู"

   หลุดใช้สรรพนามสมัยพ่อขุนออกมาจนได้ เรามักถูกสอนมาว่าคำสุภาพเป็นสิ่งที่อนารยชนควรใช้ แต่กลับกลายว่าในปัจจุบันมันถูกใช้เพื่อเป็นการเสแสร้งใส่กันเสียมากกว่า

   "ไม่แน่นะ บางทีอาจเผลอพูดออกไปก็ได้" แสยะร้ายของเขาน่าสะพรึงกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ผมถึงไม่ชอบเขาไง ยิ้มที่ไม่ต่างอะไรกับการใส่หน้ากากปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงข้างใน "นานๆ ทีจะรับบทเป็นพระเอกที่ช่วยปลดปล่อยคนโง่"

   "..."

   "เหมือนที่นายเคยทำไง"

   "เกรย์!" ผมหมดความอดทนกับการเล่นโง่ๆ นี้แล้ว โพล่งออกไปเสียงดังแบบไม่กลัวว่าใครจะมองมาอย่างไร

   "ดีใจจังที่ยังจำชื่อกันได้อยู่นะโรม"

   สีเทาเป็นตัวแทนของความแห้งแล้ง ความไร้ชีวิตชีวา เช่นเดียวกับเสียงของเขาที่ทั้งราบเรียบและเย็นชา อยู่ดีๆ เขาก็หันไปทางที่หนึ่งเสียอย่างนั้น "ขอบคุณที่เหนื่อยมาตลอดนะครับ"

   "อ่า...ครับ"

   "งั้นผมขอตัวกลับก่อนแล้วกัน ไปได้แล้วโรม"

   "หนึ่งไปด้วย"

   "หืม?" ใช้เสียงจากลำคอเพื่อบอกว่าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก

   "ที่หนึ่งจะไปกินข้าวที่บ้านด้วย"

   เกรย์นิ่งไปเกือบห้าวินาที เขาใช้สายตามองประเมินคนข้างกายผมพลางกระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจ "อาหารมื้อนี้คงอร่อยขึ้นเยอะ นี่คงไม่เป็นการรบกวนไปถ้าผมจะขอร่วมเดินทางไปด้วยนะครับ"

   เขาปฎิเสธไม่ได้หรอกก็เล่นขอเสียขนาดนั้น ผมไม่ได้เล่าอะไรให้ที่หนึ่งฟังเพิ่มเติมนับแต่เราเจอกันโดยบังเอิญวันก่อน สิ่งที่ผมทำลงไปก็แค่รับรูปกลับคืนมาแล้วพาตัวเองออกมาอยู่นอกร้านทันที ที่หนึ่งเองก็ไม่กล้าถามอะไรผมออกมาด้วย แต่สายตาเขาบอกหมดล่ะว่าเขาเองต้องการคำตอบให้เรื่องนี้ขนาดไหน

   ไม่บอกกับบอกไม่ได้มันไม่เหมือนกัน

   "คิดซะว่าไม่มีผมอยู่ข้างหลังนี้ก็แล้วกันนะ" เกรย์เอ่ยออกมาสบายๆ ด้วยประโยคที่เต็มไปด้วยการประชด แม้เพลงที่เปิดตามคลื่นวิทยุตอนนี้จะเป็นเพลงป๊อบจังหวะสนุกมากขนาดไหนก็กลายเป็นเพลงช้าแสนอึมครึม "ปกติก็ไม่มีใครสนใจผมอยู่แล้วน่ะ"

   ขากลับเลยมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งอยู่ตรงเบาะหลัง เขานั่งอยู่ติดหน้าต่างฝั่งคนขับเยื้องกับผม พอลอบมองผ่านกระจกหน้ารถก็เห็นได้ชัดวันว่าเกรย์ยังคงชอบเลี่ยงไปอยู่ในอีกโลกเหมือนเดิม หูฟังแบบเฮดโฟนอันใหญ่สีทะมึนไม่ต่างกับชุดหรือกระเป๋าสะพายใบย่อม สัมผัสได้ถึงความหดหู่ที่กระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง

   "นี่ ชื่อที่หนึ่งใช่ไหม”

   ชะงักค้างไปชั่วขณะ ผมแตะปุ่มหน้าจอออกไปสู่หน้าหลักเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้จากการตัดสินใจไม่ได้ว่าจส่งไปบอกคนที่บ้านดีไหมว่าเกรย์มาหาผมที่มหาลัย ที่จริงสิ่งที่ผมควรทำคืออยู่ให้เป็นปกติมากที่สุด ท่องว่านี่มันก็แค่การมาเยี่ยมเยียนของพี่ชายเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่ใครๆ เขาก็ทำกัน

   "ใช่"

   "หึ..."

   แม้แต่วิธีการหัวเราะติดเหยียดหยันก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป ผมลอบมองผู้โดยสารเบาะหลังผู้เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเสียแล้ว เหมือนจะผอมลงกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอ ผมสีดำธรรมชาติยาวจนสามารถมัดเป็นหางม้าได้สบายๆ ต่างหูแบบแป้นทรงเหลี่ยมสีดำสนิทเด่นชัด

   ใจไม่ดีเลย

   ลางสังหรณ์บอกว่าการกลับมารอบนี้ของสีเทาจะพาความยุ่งยากมาให้ผมด้วย


***
พรุ่งนี้มาลงครึ่งหลังต่อนะคะ พอดีงานเข้าด่วนเลยจบตอนไม่ลงสักที (สะอื้น)
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.1 [05.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-03-2016 02:00:35
ความลับอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.1 [05.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-03-2016 13:22:45
ปมเยอะจนกลัวจะคลายไม่หมดเลยทีเดียว
ทุกตัวละครลึกลับมากกกก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.1 [05.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 06-03-2016 14:19:16
ปมเยอะมาก อึดอัดแทนตัวละครทุกตัว
ยังไงน้องโรมก็สู้ๆน้า
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 06-03-2016 20:12:47
บทที่ 20.2

   ไฟในบ้านเปิดสว่างแล้วตอนที่รถของที่หนึ่งเทียบจอดหน้าบ้านต่อจากรถอีโค่คาร์ของลูกชายคนโต ถ้ารถของแบล็คต้องระเห็จออกมาจอดนอกบ้านอย่างนี้ก็รู้ได้เลยว่าคุณพินิจต้องกลับมาแล้วแหง ในบ้านมันก็มีพื้นที่อยู่หรอกแต่ถูกกันไว้เป็นที่จอดรถของบิ๊กไบค์ของแบล็คที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ ที่ต้องใช้รถอีโค่คาร์แทนก็เพราะว่าเขาต้องตามรับตามส่งผมนี่แหละ เป็นพี่ชายแสนดีที่สุดแล้ว

   "เดี๋ยวให้ถาม"

   ดักคอเอาไว้ก่อน เรื่องของบ้านนี้มันมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างจะยุ่งเหยิงมากจนไม่สามารถอธิบายให้จบในการเล่าสั้นๆ ได้ สุดท้ายก็ไม่กล้าไลน์หรือโทรบอกคนที่บ้านว่าเกรย์ไปรับผมถึงมหาลัย เพราะงั้นเมื่อคุณพินิจและแบล็คเห็นว่านอกจากแขกรับเชิญหมายเลขหนึ่งแล้วยังมีอีกตัวละครลับโผล่มาเสริมด้วยเลยอยู่ในอาการตกตะลึงไม่แพ้กัน

   "สวัสดีครับคุณพินิจ"

   เหินห่างไว้มารยาทในทุกคำ จนไม่เหมือนการพูดคุยของพ่อลูก

   และไม่รอให้ใครได้ปริปากออกมาเพิ่ม เกรย์ก็ลับหายไปตามทางเชื่อมของบ้าน คุณพินิจถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หันมายิ้มแย้มให้กับอีกคนที่ไม่คุ้นหน้า

   "นี่ที่หนึ่งสินะ"

   ที่หนึ่งยกมือขึ้นไหว้คุณพ่อทางกฎหมายของผม "สวัสดีครับ"

   "เคยได้ยินชื่อตอนไปงานโรงเรียนบ่อยๆ วันนี้ได้เจอตัวจริงสักที"

   "ตัวจริงไม่ค่อยเหมือนที่คิดไว้ใช่ไหมล่ะครับ"

   "หน้าตาดีกว่าที่เห็นไกลๆ อีกนะ เดี๋ยวนี้ลุงตาไม่ดีแล้วล่ะ" ชายอายุเกือบขึ้นเลขห้าชี้ไปที่แว่นสายตาที่เหน็บอยู่ตรงกระเป๋าเสื้อ "เห็นว่าน้องโรมไปอยู่ด้วยใช่ไหม ขอโทษทีนะที่รบกวน"

   "ไม่ได้รบกวนอะไรฮะ"

   "ยังไม่ถึงเวลาตั้งโต๊ะ น้องโรมพาเพื่อนไปเดินเล่นก่อนก็ได้นะ"

   เรารอไม่ถึงชั่วโมงดีก็ถึงเวลาอาหารเย็น บนโต๊ะมีจานหกชุดวางไว้เตรียมพร้อมอยู่แล้วตอนที่เราเข้าไป ผมกับที่หนึ่งเลือกฝั่งซ้ายมือของเจ้าบ้าน ปล่อยให้อีกฝั่งเป็นพื้นที่ของสามพี่น้องตระกูลสีไป

   "ทำไมยัยไวท์ยังไม่ลงมา" ผู้ใหญ่เพียงคนเดียวในห้องถามขึ้นหลังจากรอสมาชิกคนสุดท้ายที่มาไม่ถึงสักที "แบ ...อ้อ มาแล้วนั่น"

   ไวท์ชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่ามีสมาชิกหน้าไม่คุ้น สำหรับคนที่มีความสามารถพิเศษในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วก็เข้าใจเรื่องราวเบื้องต้นได้อย่างดี เธอเพียงอ้อมไปนั่งต่อจากพี่ชายฝาแฝดแล้วสร้างบาเรียของตัวเองชั้นใหม่ขึ้นมา

   ที่หนึ่งเป็นผู้ชายที่เข้ากับผู้ใหญ่ได้ดีกว่าที่ผมคิดไว้ ความสนใจหลายๆ อย่างของทั้งคู่ไปในทางเดียวกันจนบรรยากาศบนโต๊ะอาหารตัวใหญ่ดูมีสีสันขึ้นมาไม่ใช่น้อย บอกแล้วว่าที่หนึ่งน่ะมีรสนิยมแบบคนแก่

   "แล้วจัดการเอกสารเสร็จหรือยัง" ลูกชายคนที่สองของบ้านกลับจากอังกฤษมาเพื่อเปลี่ยนข้อมูลในเอกสารที่จำเป็นนิดหน่อย "รอบนี้มาอยู่นานเท่าไหร่ล่ะ"

   "คงเกือบสองเดือนครับ หยุดที่นู่นพอดี"

   "ถ้าต้องไปธุระอะไรไกลๆ ก็บอกก่อน จะได้ให้พี่ไปส่ง"

   "ผมคงไม่รบกวนหรอกครับ"

   "นั่นพี่ ไม่ใช่คนอื่น"

   "คนอื่นครับ"

   นานแล้วที่ไม่ได้เจอบรรยากาศอย่างนี้ ผมเอื้อมมือไปแตะหน้าขาของที่หนึ่ง หาที่พึ่งพิงเตรียมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เกรย์กับคุณพินิจไม่ค่อยมีปากมีเสียงกันมากเท่าไหร่ แต่ถ้าลองได้ทะเลาะกันสักทีแล้วระดับความรุนแรงมันมากอย่างที่อาจไม่มีใครเหลือรอดไปได้เลย

   บอกแล้วว่าระดับความสัมพันธ์ของคนในบ้านนี้มันซับซ้อนจนเกินไป

   "เกรย์..."

   "ครับ"

   "พ่อมีลูกอยู่สี่คน ที่พูดเข้าใจใช่ไหม?"

   "ลูกที่คนนึงเป็นฆาตกร ส่วนอีกคนก็ควรจะตายไปตั้งนานแล้วน่ะเหรอครับ"

   "สนธยา!"

   สองเสียงเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน หนึ่งคือเสียงถอยเก้าอี้ตามด้วยเสียงฝีเท้าวิ่งฉิวออกไปของคนท้ายสุดของโต๊ะฝั่งตรงข้าม สองคือเสียงดุดันเรียกชื่อจริงซึ่งบอกได้เลยว่าเจ้าของเสียงไม่พอใจในการตอบนั้นมากแค่ไหน เกรย์เพียงมองหน้าพ่อบังเกิดเกล้ากลับไปนิ่งเฉย "ครับ"

   "นั่นพี่แก"

   "ผมไม่มีพี่ครับ" คำปฏิเสธชัด หันหน้ามาทางที่ผมนั่งอยู่ "แล้วก็ไม่มีน้องด้วย"

   ปากเม้มสนิทจนรู้สึกเจ็บ มือที่ยังคงอยู่บนหน้าขาของเขาจิกลงไปในเนื้อยีนส์ไม่รู้ตัว เพิ่งนึกขึ้นได้ก็ตอนที่หนึ่งกุมมือผมไว้แน่น ไม่ต้องมีคำพูดอะไรออกมาผมก็รับรู้ได้ว่าเขาจะอยู่ตรงนี้กับผมไม่ไปไหนทั้งนั้น

   "พ่อว่าเรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ"

   "คุณพินิจพยายามจะล้างสมองผมต่างหากครับ"

   "พ่อไม่เคยล้างสมองใคร เราทำความเข้าใจกันแล้วไม่ใช่เหรอ"

   "ผมว่าเราไม่ควรทำให้แขกอึดอัดนะ"

   เสียงที่สามตัดบทการสนทนาระหว่างพ่อลูก แบล็คยกแก้วน้ำเปล่าของตัวเองขึ้นดื่มจนเกือบหมดก่อนพูดต่อ "มีอะไรไว้ไปคุยกันเองดีกว่ามั้ง"

   "งั้นเรามาเล่าเรื่องอธิบายโครงสร้างครอบครัวเน่าๆ นี่ไหมล่ะครับ?" เกรย์กวาดมือไวๆ ไปยังสมาชิกทั่วทั้งห้อง "จะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่ควรอึดอัด"

   "..."

   "ระหว่างลูกแท้ๆ อย่างผมกับกาฝากอย่างใครบางคน"

   สิ่งที่ทนมาตลอดจบลงด้วยคำพูดไม่กี่คำ ผมลุกพรวดพราดออกจากพื้นที่ทานอาหารไปยังทางที่ไวท์เดินไปก่อนหน้านั้น ปลายทางเดียวคือห้องนอนตัวเองบนชั้นสอง

   เสียงปิดประตูดังสนั่น แต่ไม่อาจสู้อีกเสียงที่ดังขึ้นมาในใจได้

   ประโยคที่ไม่ต่างกับลิ่มตอกย้ำในสิ่งที่ผมบอกตัวเองว่าลืมมันไปแล้ว

   ลมหายใจติดขัดแบบที่ไม่ได้เจอมานาน ผมพยายามยื้อตัวเองให้เคลื่อนตัวต่อไปถึงจุดปลอดภัยอย่างบนเตียงให้ได้ ก้าวแต่ละก้าวที่เคยทำได้อย่างง่ายดายกลับกลายเป็นความยากลำบาก ฝืนตัวเองไปได้อีกสองสามก้าวเท่านั้นก็ทรุดลงกลางห้อง โชคดีเป็นของผมที่ต้องทำห้องคุณพินิจยืนกรานว่าต้องมีพรมรองไว้กินพื้นที่เกือบทั้งห้องเลยทำให้การทิ้งตัวลงอย่างไร้การฝืนของผมไม่เจ็บเท่าที่ควร

   มือสั่นเทาแตะรอยเแผลเป็นตรงบริเวณหน้าอก พาลคิดถึงความเจ็บที่เคยเกิดขึ้นแล้วแทบจะขาดสติไป ความร้อนขับเหงื่อออกมาจนเต็มขมับ ขยับปากตะโกนขอความช่วยเหลือแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา

   เจ็บ

   เจ็บเกินไป

   เจ็บกว่าทุกครั้งที่เคยเจอ

   เรียกสติที่กระเจิงกลับมาให้กับตัวเองด้วยการสูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ พลางบอกตัวเองว่ามันไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่หมอเคยแนะนำมาในการรักษาเมื่อนานมาแล้ว ออกซิเจนที่เข้าไปแลกเปลี่ยนในปอดกลับกลายเป็นมีดบาดร่างกายผมให้หวิ่นเป็นริ้ว

   เลือด

   ทำไมถึงมีเลือดล่ะ

   ยามยกมือที่แตะหน้าอกขึ้นมากลับมีฮีโมโกบิลสีข้นติดมาด้วย ก้มลงมองเสื้อสีขาวมีวงเลือดซึมจนเป็นบริเวณกว้าง แผลเปิดได้ยังไง มันควรจะสนิทไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ

   "ทำไมแผลเปิดได้ล่ะ"

   "แผลอะไร?"

   "ที่หนึ่ง..."

   เขามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน สายตาของผมพร่ามัวด้วยหยดน้ำตาที่คลอเต็มเบ้า ทั้งสั่นแล้วก็ล้าราวกับผ่านการทรมานมาอย่างยาวนาน ยิ่งพอเขาเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ แบบที่เขาชอบใช้แล้วสิ่งที่พยายามเก็บมาตลอดวันก็หมดลง ต่อมน้ำตาของผมเริ่มทำงานอย่างขยันขันแข็งจนผมไม่สามารถเห็นเขาได้ชัดเจน

   “เป็นอะไรไป แบล็คบอกให้พี่ขึ้นมาหา แล้วร้องไห้ทำไม”

   "หนึ่ง ฮึก...ดูแผลให้หน่อย" ผมไม่สนคำถามของเขา สิ่งเดียวที่ต้องการคือหาสาเหตุของเลือดที่ไหลไม่หยุดนี้

   ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเจ็บแบบนั้นอีกแล้ว

   "แผล? แผลอะไร?"

   "นี่ไง" ผมชี้ไปที่รอยเปื้อนสีแดงเป็นวงกว้าง "เจ็บมากเลยพี่หนึ่ง..."

   "น้องโรม มันไม่มีอะไรเลยนะ"

   "มีสิ" ยืนกรานคำเดิม "นี่ไ..."

   เงียบลงเพราะเมื่อก้มลงมองอีกครั้งกลับไร้ซึ่งร่อยรอยใด แม้จะกระพริบตาไล่หยดน้ำตาที่คลอเต็มออกไปแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ราวกับที่ผมเห็นเมื่อครู่เป็นน้ำยาล่องหนที่หายไปตามกาลเวลา

   แต่ความเจ็บปวดที่อยู่กับผมไม่ได้จางตามลงไปเลย

   “พี่ไปเรียกแบล็คดีกว่า”

   “ไม่!” ถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้จะไม่จบลงแค่ตรงนี้แน่ เกรย์อาจยังอยู่กับพี่น้องของเขา และผมมั่นใจว่าเขาพร้อมเล่าความเป็นมาของความสัมพันธ์นี้อีกครั้งอย่างแน่นอน ผมไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น “พาไปบนเตียงหน่อยก็พอ นะ...”

   “แต่น้องโรมหน้าซีดมากเลยนะ ไปหาหมอก็ดีเหมือนกัน”

   “ไม่ต้องไป...ไม่มีอะไร”

   “น้องโรมครับ”

   “จริงๆ“

   แผลในใจมันไม่ได้ดีขึ้นง่ายอย่างนั้น...

   เขายอมเข้ามาประชิดตัว ผมค่อยๆ ยกแขนที่ไร้เรี่ยวแรงขึ้นเกาะเกี่ยวอีกฝ่ายไว้ จากที่คิดว่าจะได้ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มของตัวเองกลับกลายเป็นว่าที่หนึ่งเพียงอ้อมมาอยู่ด้านหลัง ขยับตำแหน่งนิดหน่อยเพื่อให้ตัวเองกลายเป็นเบาะรองให้ผมทิ้งน้ำหนักไปด้านหลังไปทั้งตัวอย่างไร้กังวล  คางของเขาเกยกับไหล่ของผม สัมผัสได้ถึงแรงกดปลายจมูกกับข้างขมับปลอบโยนหนักๆ อยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนจับมือของผมขึ้นโบกไปมาเหมือนกำลังเล่นตุ๊กตาของเล่น

   "อยู่อย่างนี้ดีกว่าไหม"

   มันไม่สบายกว่าหรอก แต่ผมอยากอยู่อย่างนี้มากกว่า "อื้ม"

   "ดีขึ้นหรือยัง?"

   ผมนิ่งนั่งโดยมีเขาโอบรัดอย่างนั้นนานนับชั่วโมง ระหว่างนั้นเขาก็ปลอบผมไปมาจนอาการสะอื้นหายไปในที่สุด ที่หนึ่งฆ่าเวลาด้วยการเอาปากกาหมึกสีดำมาเขียนๆ ขีดๆ อะไรสักอย่างลงบนข้อมือของผม จนเห็นตัวเลขสีดำในภาษาโรมันขึ้นมาหนึ่งตัว
ตัวอักษรที่เหมือนกับชื่อของตุ๊กตาสีม่วงตัวนั้น จะว่าไปอยากกลับห้องจัง ห้องที่มีตุ๊กตาไร้ชีวิตสองตัวนั้นสร้างความสุขให้ผมได้มากกว่ามนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเสียอีก

   "ไม่เห็นรู้เลยว่าแบล็คกับไวท์มีน้อง"

   ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่เขาไม่รู้ว่าฝาแฝดยังมีน้องอีกคนที่ไม่ใช่ผม ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทหรือว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กจริงๆ เกือบร้อยทั้งร้อยไม่เคยรู้เรื่องนี้ เราไม่ได้ปกปิด...เราแค่เลือกที่จะไม่พูดมันออกไป

   "ก็รู้แล้วไง"

   "แล้วทำไมไม่เคยเห็นที่โรงเรียนเลย"

   "เกรย์เรียนที่อื่นน่ะ"

   "เหรอ"

   "พวกนั้นไม่ค่อยเหมือนพี่น้องกันหรอก" เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ผมเลยขยายความให้ดีขึ้น "จะพูดว่าเป็นพี่น้องกันมันก็พูดได้ไม่เต็มปากขนาดนั้น"

   "..."

   "มันมีเรื่องอื่นอีก"

   น้องที่ควรเป็นพี่

   ...พี่ที่ไม่ควรมีตัวตน

   "เล่าได้ไหม"

   อยากเล่า อยากเล่าทุกอย่างออกไปไม่ให้เหลือแม้แต่เรื่องราวเล็กน้อย แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่มีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องมากมายเสียเหลือเกินจนผมไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน

   "เล่าไม่ได้"

   และที่สำคัญที่สุดผมไม่ได้รับสิทธิให้พูดออกไป

   "...อืม"

   อาการน้อยใจผ่านน้ำเสียงบอกให้ผมรีบคว้ามือของเขามาจับไว้แน่น ไม่กล้ามองใบหน้าที่หมองลงไปถนัดตาจนต้องหลบสายตาเอง "ไม่ใช่ไม่อยากเล่านะ แต่นี่มันเรื่องของพวกเขา ไม่รู้ว่าจะเล่าได้รึเปล่า"

   ผมเองยังไม่มีสิทธิรู้เลย ที่รู้มาได้ก็เพราะว่าบังเอิญไปได้ยินคนงานในบ้านพูดกันเมื่อนานมาแล้ว ถึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดว่าเพราะอะไรบ้านนี้ถึงมีอะไรที่แปลกประหลาดเต็มไปหมด เหตุผลอะไรที่พาผมมาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านนี้อย่างที่ไม่คาดคิด

   "เข้าใจๆ ก็พอเห็นอยู่ว่าเขาดูไม่ค่อยลงรอยกัน" ส่งหน้าเหยเกมาให้ เขาคงไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน คุณพินิจมีข้อตกลงกับลูกชายคนที่สองไว้ว่าจะให้ไปอยู่โรงเรียนประจำตามที่ขอได้ต่อเมื่อสัญญาว่าจะกลับบ้านทุกสุดสัปดาห์และตลอดปิดเทอมเขาไม่สามารถไปไหนได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต สำหรับผมแล้วการปะทะคารมของทั้งคู่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอในตัวบ้าน จนเริ่มอยู่เป็นโดยการไม่เอาเรื่องราวเดิมๆ ซ้ำๆ ที่เขาทะเลาะกันมาใส่ใจผมถึงอยู่ในบ้านหลังนี้ได้อย่างสงบสุข "แล้วเมื่อกี้เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม?"

   ในท้ายที่สุดก็วนกลับมาเรื่องของตัวเองจนได้ ผมปฏิเสธกลับไปโดยการนิ่งเงียบ ไม่อยากโกหกเขาแม้แต่เสี้ยวความคิด จะให้บอกว่าร้องไห้เพราะว่าทนฟังเขาพูดกระทบอย่างนั้นไม่ได้จนบ่อน้ำตาแตกไปก็คงไม่เชื่อ

   "นี่ก็เล่าไม่ได้สินะ" อารมณ์ตัดพ้อแสดงออกมาชัดแจ้ง ผมกระอึกกระอักไม่กล้าแก้ตัวอะไรต่ออีก ความรู้สึกผิดก่อตัวเต็มไปหมด ผมไม่ชอบเห็นเขาทำอย่างนี้เลย

   "ไม่ใช่เล่าไม่ได้ แต่..."

   "ขอโทษนะ"

   "ที่หนึ่ง!" ร้องประท้วงออกมาดังลั่น เมื่อร่างที่คอยคุ้มครองผมเอาไว้กลับกลายเป็นบุกเข้ามาจู่โจม ปัดป่ายมือของเขาที่พยายามถลกเสื้อของผมออก "จะทำอะไร!!"

   แรงที่มีอยู่น้อยนิดเทียบไม่ได้กับนักกีฬาอย่างเขา การรุกรานที่ไร้การเตือนบอกให้ผมต้านตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ถึงผมจะไม่เข้าใจมากเท่าไหร่ก็ยังฮึดสู้จนสุดกำลัง จนสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถต้านทานได้ การต่อสู้ของเราจบลงเมื่อเสื้อยืดสีขาวหลุดออกจากศีรษะไปความรุนแรง

   ที่หนึ่งค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น มือซ้ายยังมีอดีตเสื้อผ้าของผมไว้ในมือ ทิศทางที่สายตาของเขามองลงมาคือพื้นที่เดียวกับที่ผมเพิ่งเกิดภาพหลอนไปก่อนหน้านี้

   เขาเห็นแล้วว่าตรงหน้าอกข้างซ้ายของผมมีร่องรอยการสมานกันของผิวหนัง

   แผลที่ทำให้ผมเป็น 'ผู้เสียสละ'

   "มีอะไรที่พี่ควรรู้ไหม?"

   เจ็บและจุกจนพูดไม่ออก หมดแล้วทุกสิ่งที่พยายามเก็บไว้ เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นมุมปากของเขายกขึ้นสูง ต่างจากนัยน์ตาสีดำที่แสดงออกทุกอย่าง ไม่เอานะ อย่ามองผมด้วยสายตาอย่างนั้น

   มันบอกหมดทุกอย่างว่าเขาผิดหวังกับผมมากแค่ไหนกัน

   "..."

   "ที่หนึ่งรู้อะไรเกี่ยวกับโรมบ้าง?"

   ครั้งหนึ่งเคยถูกถามว่าผมรู้จักเขามากแค่ไหน และครั้งนี้เขาใช้คำถามเดิมแต่ว่าสลับประธานและกรรมของประโยค ผมกลายเป็นคนไร้เสียงที่ทำได้แค่กลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมาอีกครั้ง เขาเคยบอกว่าเขารู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับผม และตลอดมาการกระทำของเขาพิสูจน์ว่าสิ่งที่เคยบอกไว้มันไม่ใช่การพูดออกมาลอยๆ สักนิด 

   "รู้ไหมน้องโรม คำตอบเดียวที่พี่มีให้ตัวเองคือพี่ไม่รู้อะไรเลย"

   ไม่อาจทนฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปได้ ผมโถมตัวเข้าไปหาสุดแรงกอดเขาไว้แน่นจนน่ากลัวว่าอีกฝ่ายจะขาดอากาศหายใจไปเสียตรงนั้น ความลับเป็นความลับต่อเมื่อไม่มีใครรู้ เมื่อมีคนรู้...มันก็ไม่เรียกว่าลับได้อีกต่อไป

   เพิ่งรู้ตัวว่าที่เคยบอกแบล็คไว้ว่าจะเดินต่อ มันเป็นเพียงการวิ่งในลู่ ที่ต่อให้วิ่งได้เร็วมากแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องกลับมาสู่จุดเริ่มต้นอยู่ดี ต่อให้อยากหนีออกไปจากวังวนนี้มากแค่ไหนก็ทำได้แค่เพียงยอมรับอย่างไร้ข้อแม้เท่านั้น

   หมดเวลาแล้ว

   เมื่อตัดสินใจทุกอย่างได้แล้วผมถึงผละออกมา ยกมือขึ้นประคองใบหน้าไร้อารมณ์ของเขาไว้ เกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลคล้ายกับของตัวเองให้พ้นออกจากกรอบหน้า ใช้เวลาจดทุกองค์ประกอบที่รวมแล้วเป็น 'ที่หนึ่ง' ขึ้นมา ตาที่ผมเคยบอกว่ามันเว้าวอน จมูกโด่งที่เคยชิดใกล้ ริมฝีปากที่เคยประทับจูบเบาเมื่อคราวนั้น

   เก็บทุกอย่างเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะผมอาจไม่ได้สัมผัสมันอีกต่อไป

   "หยุด...ไหมที่หนึ่ง"

   เอ่ยปากออกไปทั้งเสียงแห้งผากจากการตะโกนร้องก่อนหน้าจนไร้เรี่ยวแรง "บางทีการที่เราหยุดตรงนี้ มันอาจจะเป็นทางที่ดีที่สุด"

   ต่อให้ใจร้องเรียกในสิ่งที่แตกต่างมากแค่ไหนผมก็ทำตามสิ่งที่ควรจะเป็น ภาพที่เขาอยู่บนเวทีอย่างนั้นมันกำลังบอกให้ผมควรทำอย่างไรต่อไป ที่ที่เขาควรอยู่คือตรงนั้น ไม่ใช่การที่ต้องมาอยู่ข้างคนอย่างผม จากเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็งมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองเทียบไม่ได้กับเสี้ยวของเขา เขาต้องเข้มแข็งอีกมากแค่ไหนกับคนที่ไร้ความมั่นคงอย่างผมนะ

   ถามว่าผมเองเกลียดเขาขนาดนั้นเหรอ ไม่เลย

   ผมอยากให้เขาอยู่

   แต่ผมก็อยากให้เขาไป

   มันคือระบบการทำงานของสมองง่ายๆ ที่มักจะหลีกหนีสิ่งที่เคยทำให้ตัวเองทุกข์มาก่อน เราจะกลัวสิ่งที่เคยทำให้เราเจ็บ เช่นตอนเด็กหากเราเคยล้มจักรยานก็จะกลัวการขึ้นไปถีบมันอีกครั้ง ถ้าเคยโดนตีก็จะกลัวไม้เรียว และผมเองก็กลัวการจากลา

   "อยู่ที่นายเลือกแล้วหนึ่ง"

   หลับตาลงเตรียมพร้อมรับสิ่งที่จะตามมา หัวใจที่ควรจะเต้นเร็วขึ้นกลับผ่อนจังหวะลงจนเกือบเป็นกราฟที่ไร้เส้นหยัก สักพักจากเส้นคงที่ก็กลายเป็นหล่นวูบเมื่อแขนทั้งสองข้างของเขาที่รัดผมไว้คลายออก ที่หนึ่งดันตัวผมออกให้ตาเราสองคนได้สบกันเพียงชั่วขณะ ก่อนที่ผมเองเป็นฝ่ายหลบสายตานั้นเสีย

   ต่างคนต่างไม่พูดอะไร ผมไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าภายความเรียบเฉยนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งเขาจับแขนของผมที่มีตัวอักษรไอขึ้นมา จ้องมองมันอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรจนผมเกือบจะอ้าปากถาม ถ้าไม่ติดว่าเขาดึงข้อมือของผมขึ้นประทับจูบ ช้า เนิ่นนาน

   มันคือการบอกลาที่ไม่ต้องใช้เสียง

   ...เพราะแผ่นหลังนั้นลับหายไปโดยไม่กลับมามองผมอีกเลย


***
   ครบทั้งบทแล้วนะคะ (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-03-2016 22:51:10
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 06-03-2016 23:27:03
นี่เรามาถึงจุดๆนี้ได้ยังไง? จุดที่เราอ่านนิยายแล้วรู้สึกเครียด จุกในอก อึดอัด หายใจลำบาก
แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่การเปรียบเทียบเปรียบเปรยใดๆทั้งสิ้น.... ตอนที่20.2นี่ทำเอาเราหายใจไม่ออกไปเป็นนาทีเลยล่ะ
น่ากลัวมากๆ นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าอินมากเกินไป...
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 06-03-2016 23:41:38
อ่านมาถึงตอนนี้บอกได้ว่า
ความลับเยอะมากกกกกกก ไม่เคลียร์ซักเรื่องอ่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-03-2016 00:38:38
งื้ออออ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 09-03-2016 10:11:01
ฮือออออออ จะร้องไห้ !!!!

เครียดอ่าาา
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 20.2 [06.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: GMJeam ที่ 09-03-2016 17:22:14
เครียดดดดดด  :ling1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 13-03-2016 18:20:18
บทที่ 21

   ก็แค่กลับไปอยู่ต่างมิติกันเหมือนเดิม

   สิ่งที่เขาไม่มีอะไรมากไปกว่าการหายไปจากชีวิตของผมในทุกทาง ตัดขาดทุกช่องทางการติดต่อ ตอนกลับมาถึงคอนโดก็พบว่าเจ้าหมีส้มของผมกำลังนอนยิ้มอยู่บนเตียงของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ข้าวของต่างๆ ถูกจัดเก็บลงกล่องไว้อย่างเป็นระเบียบ เป็นการตอกย้ำว่าคำตอบของเขาคืออะไร

   เราอยู่บนทางคนละสายแล้ว

   ประจวบเหมาะกับการแข่งของแบล็คจบลงแล้วไวท์เลยกลับไปอยู่กับแฝดของตัวเองตามเดิม ห้องกลับมาเป็นของผมร้อยเปอร์เซนต์ ไม่จำต้องไปเบียดเบียนอยู่กับใครอีก

   เอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะตัวเล็ก ปลดตัวล็อคออกเพื่อให้กระดาษสองใบที่ซ้อนกันอยู่ในนั้นร่วงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วง จับใบที่ซ่อนอยู่ด้านหลังให้ขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา มองเด็กชายสนธยาที่ยืนอยู่ต่อจากผมกำลังยิ้มกว้าง ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมไม่ได้เห็นเขามีความสุขอย่างนี้นะ กี่ปีผ่านมาแล้วที่ผมเห็นเพียงแต่ความทุกข์ฉายอยู่ในนัยน์ตานั้น

   พอนึกถึงคำพูดแขวะบนโต๊ะอาหารวันนั้นขึ้นมาได้เลยโยนมันทิ้งไปเสีย เปลี่ยนไปหยิบภาพที่หนึ่งบนโพลารอยด์ตรงข้างหมอนขึ้นมาดูเป็นรอบที่ร้อยได้ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่ห้อง

   คิดถึง

   ผมเข้าใจพฤติกรรมแปลกๆ ของวีที่ชอบถ่ายรูปเก็บไว้ตลอดเวลาแล้วล่ะ อย่างตอนนี้ผมเองก็เสียดายมากอยู่ที่อัลบั้มรูปในมือถือไม่ค่อยมีภาพของเขาเก็บไว้เลย จะมีก็ไม่กี่รูปที่เราเคยถ่ายด้วยกันเมื่อนานมาแล้ว...

   เอาแผ่นฟิล์มแปะลงกับหน้าผาก หลับตาลงแล้วกล่อมให้ตัวเองเลิกฟุ้งซ่านกับเรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีก ยอมรับเลยว่าใจโหวงไปเลยตอนที่เปิดไฟห้องตัวเองแล้วเห็นของทุกอย่างวางไว้อย่างนั้น โดยเฉพาะเจ้าหมีที่นอนยิ้มไม่รับรู้ว่าเจ้าของกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่แย่มากแค่ไหน แค่เข้าไปกอดแล้วรู้สึกไม่คุ้นชินก็บ่อน้ำตาแตกไปอีกรอบ การกอดของใครอีกคนกลายเป็นมาตรฐานสำหรับผมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

   เช้ามาก็โดนห้องถัดไปลากไปเรียนตั้งแต่เช้า โชคไม่ดีเด้งสองตอนเจอที่หนึ่งกำลังซื้อน้ำอยู่ตรงร้านค้าข้างทางขึ้นบันไดเสียอีก จะหลบก็ไม่ได้เพราะห้องเรียนอยู่ถัดต่อไป ทำได้แต่แสร้งตัวว่าเป็นปกติโดยการเดินให้ห่างกันมากที่สุด เข้าห้องเรียนมานั่งที่ประจำโดยไร้เงาคนด้านข้าง เขาย้ายไปนั่งบริเวณกลางห้องกับเพื่อนกลุ่มบาส มีบางคนที่หันมาทางผมแต่ก็โดนโหมดเย็นชาของโรมเล่นงานจนไม่กล้าเข้ามาใกล้ ซึ่งก็ดีแล้ว อย่ามาทำให้ผมลืมว่าตอนนี้สถานะของเราสองคนไม่เหมือนเดิมแล้วเลย

   เรียนไปได้แค่ชั่วโมงเดียวจากสามชั่วโมงก็ทนต่อไปไม่ไหว ถึงเขาจะนั่งคนละฝั่งกับผมเลยก็ตามทีสายตาเจ้ากรรมก็ยังคงมองไปหาอยู่เกือบตลอดเวลา ผมตัดสินใจโดดเรียนโดยส่งไปบอกพี่ชายว่ารู้สึกไม่ดีขอกลับห้องก่อน โบกมอเตอร์ไซด์รับจ้างกลับหอแล้วก็มานอนทิ้งตัวอยู่อย่างนี้จนกระทั่งเกือบเย็น เป็นการใช้เวลาได้คุ้มค่ามากจริงๆ ให้ตาย

   "ไม่อยากไปเรียนเลยแฮะ..."

   คิดเรื่อยเปื่อยไปถึงตารางเรียนพรุ่งนี้ แน่นอนว่าเด็กเอกบัญชีแบบเดียวกันก็ต้องเจอหน้ากับอีกเป็นธรรมดา นี่ผมต้องแข็งแกร่งเบอร์ไหนถึงจะพาตัวเองไปเผชิญหน้ากับเขาได้อีกครั้งในวันพรุ่งนี้น่ะ ขอเวลานอกให้ปรับตัวหน่อยได้ไหมล่ะ จะให้ผมกลับไปเป็นโรมคนเดิมผู้ไร้เพื่อนฝูงได้นี่คงอีกพักใหญ่เลย ดันไปชินกับชีวิตอีกแบบเสียแล้ว

   ดึงฟิล์มใบเดิมออกมา จ้องมองรูปอยู่อย่างนั้นอย่างกับกำลังเล่นเกมส์จับผิดภาพ ตามเซนต์ของคนทั่วไปแล้วมันควรจะส่งคืนหรือไม่ก็ทิ้งไปเสีย เพียงแต่ใจอีกฝั่งของผมสั่งห้ามไม่ให้ทำอย่างนั้น อย่างน้อยมันก็เป็นไม่กี่สิ่งที่เหลืออยู่ให้ผมได้ครอบครองมัน

   เพราะต่อจากนี้มันไม่มีอะไรอย่างนี้อีกแล้วล่ะ

   เสียงกระดาษต้านลมดังอยู่สองสามครั้งตามมาด้วยรูปถ่ายรวมหกคนสมัยจบชั้นมัธยมปลิวผ่านหน้าไป ผมเด้งตัวขึ้นมาตามจับกระดาษมันที่ลอยไปตามลม เอื้อมมือคว้าเพียงไม่กี่ครั้งก็จับมันไว้ได้ ลมก็ไม่ค่อยแรงทำไมถึงปลิวได้ไกลขนาดนี้นะ

   "..."

   ร่างกายและคงรวมถึงหัวใจชาสนิท ยามที่ลดมือจากรูปภาพแล้วสามารถมองเห็นออกไปนอกหน้าต่างได้พอดีว่าเจ้าของห้องฝั่งตรงข้ามเพิ่งเปิดประตูบานเลื่อนเข้ามาอยู่ในส่วนของห้องนอน เขาก้มหน้าหาอะไรสักอย่างในกระเป๋าหนังอยู่เลยไม่เห็นว่าผมกำลังจ้องอย่างไม่ลดละอยู่

   หลบสิ หลบเดี๋ยวนี้

   ใจบอกอย่างนั้น แต่ร่างกายไม่ยอมขยับตาม ผมมองเขาควานหาสิ่งของให้กระเป๋า กัดปากแน่นจนรู้สึกเจ็บเมื่อเกิดความคิดขึ้นมาว่าไม่มีพื้นที่ของผมในห้องนั้นอีกแล้ว

   ที่หนึ่งคงหาของของตัวเองเจอแล้วเลยเงยหน้าขึ้นมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างกายของผมยอมทำตามคำสั่งทิ้งตัวลงกับพื้นเพื่อให้กำแพงบังไว้ไม่ให้เขาจับได้ว่าผมกำลังแอบมองอยู่ หัวใจเต้นรัวอย่างกับวิ่งรอบสนามแบบสปีดสุดกำลัง ผมยกมือขึ้นจับตรงหัวใจที่น่ากลัวว่าจะทำงานหนักไปแล้ว ระแวงไปหมดว่าเขาจะเห็นผมหรือเปล่า ไม่หรอก เขาไม่น่าจะเห็นผมหรอกมั้ง

   ถึงจะเห็น เขาก็คงไม่รู้สึกอะไรหรอก
   
   "ทำอะไรอยู่น้องเอ๋อ?"

   สะบัดหน้าไปมองเพื่อนข้างห้องผู้ยังคงอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อเช้าบ่งบอกว่าเพิ่งกลับมาถึงห้อง ข้างกายเขามีน้องสาวฝาแฝดยืนไร้ตัวตนอยู่

   "ปิดม่านหน่อย"

   "หา?"

   "เดินมาปิดม่านให้หน่อย" สั่งย้ำไปด้วยเสียงจริงจัง แบล็คมองหน้าผมสลับกับมุมนอกหน้าต่าง นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นไม่ยอมทำตามคำขอของผม "แบล็ค ปิดม่าน!"

   กระชากเสียงสั่งออกไป คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจมากนัก ทิวากาลยืนพิงกำแพงอยู่อย่างนั้นไม่ไหวติง คนอย่างเขาเข้าใจอยู่แล้วล่ะว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลผมเลยทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่อย่างนี้

   "ทำไมกูต้องทำ"

   "ยังจะมาถามอีก"

   "กูจะขยับตอนที่มึงสัญญาว่าจะเล่าให้กูฟังว่าเกิดอะไรขึ้น"

   "เดี๋ยวเล่าหมดเลย!"
   
   ตกลงกลับไปอย่างไม่ต้องคิด สิ่งเดียวที่ผมต้องการในตอนนี้คือให้ห้องของผมเป็นห้องปิดตายทุกด้าน ไม่ให้ใครมองเห็นเข้ามาได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายในบ้าง รวมถึงไม่ให้ตัวเองเห็นว่ามีใครอยู่ภายนอกนั้นด้วยเช่นกัน

   "มึงแม่งไม่คิดก่อนพูดเหมือนเดิม กูเคยสอนไม่ให้รับปากใครทันทีไม่ใช่หรือไง" เจอเขาเทศน์กัณฑ์เบาไปหนึ่งรอบพลางเดินไปปิดม่านให้สนิทตามที่ขอ ผมเผลอถอนหายใจออกมาที่ไม่ต้องเห็นสิ่งที่ไม่ต้องการอีกแล้ว

   "เสร็จหน้าที่กูแล้ว ทำตามสัญญาด้วย"

   "..."

   "เราตกลงกันไว้ว่ายังไงน้องโรม?"

   "...สัญญาต้องเป็นสัญญา"

   ตอบอ้อมแอ้มไป ก้มหน้าจนคางเกือบชิดกับอกจะได้ไม่ต้องเห็นโหมดสั่งสอนของคุณพ่อ

   "มองหน้ากูด้วยเวลาตอบ หนึ่ง...สอง...สาม"

   ตัวเลขแรกฉีดยาชาเพิ่มเข้าไปอีก การนับเลขที่รวดเร็วจนเกือบตั้งตัวไม่ทันจนผมรีบเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกคนที่ขึ้นไปนั่งไขว้ห้างอยู่บนเตียงตรงข้ามกับผม ส่วนไวท์กำลังยืนพิงกับโต๊ะเครื่องแป้งอยู่

   "เรียบเรียงให้ดีด้วย กูขี้เกียจมาสรุปใหม่เองอีก"

   “...กูกับที่หนึ่งแยกกันเดินแล้วนะ” บอกให้เรียบเรียงให้งั้นก็เอาเมนไอเดียไปเลยแล้วกัน

   "ไหนพูดอีกรอบ"

   "เราแยกกันเดินแล้ว"

   "ไม่ต้องออกไปแดกไหนล่ะสัตว์ พิซซ่าหนึ่งแถมหนึ่งพอ"

   ดูท่าแล้วเราคงต้องคุยกันอีกยาว สีดำหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรเร็วๆ โดยมีผมนั่งมองการกระทำทุกอย่างตามไปด้วย

   "ซีฟู้ดใช่ป่ะ เล่นของแพงตลอดมึงอะ"

   เกลียดการโดนแขวะแบบนี้ที่สุด ผมเบะปากคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ทำไมต้องมาบ่นอะไรอย่างนี้ด้วยล่ะ ที่หนึ่งไม่เคยปริปากถามผมด้วยซ้ำ

   "อย่าร้องไห้นะมึง ร้องเมื่อไหร่กูพากลับบ้านแน่"

   "แล้วทำไมต้องพูดอะไรอย่างนั้นด้วยล่ะ"

   "พูดอะไร กูก็ทำตัวปกติป่ะ"

   "ไม่ต้องมายุ่งกับกูเลย!"
   
   "ทำอย่างกับกูอยากยุ่งนักนี่ จะบอกมาดีๆ หรือจะไปนั่งพับเพียบกราบกรานรายงานพวกคุณพี่ทั้งหลายของมึงเองว่าทำอะไรลงไปอะ" ผมไม่ยอมกลับบ้านอีกเลย ที่ตั้งใจไว้ก็จนกว่าเกรย์จะกลับอังกฤษไปนั่นแหละ เบื่อที่ต้องกลับไปเจอเขาพูดจาสองแง่อย่างนั้นใส่ เขาสามารถเกลียดผมได้ ผมเต็มใจให้เขาเกลียดเลยล่ะ แต่เขาไม่ควรไปพูดอย่างนั้นใส่คนอื่น ไม่ควรเลยสักนิด "งั้นที่กลับมานอนห้องก็เพราะอย่างนี้?"

   "...คงอย่างนั้น"

   "แล้วยังไม่เอาของออกจากกล่องอีกเหรอ พอใช้หรือไง?"

   "พออยู่แหละ"

   ผมไม่อยากแกะมันออก อยากให้มันอยู่อย่างนั้นเผื่อว่าอีกไม่นานผมจะได้กลับไปอยู่กับเขาอีก

   "กูย้ำหน่อยนะว่านี่แบล็ค ไม่ใช่ไวท์ ถึงมึงจะนั่งก้มหน้าอย่างนั้นกูก็ไม่ปล่อยให้มึงเงียบหรอก"

   "แล้วจะให้กูพูดอะไรล่ะ"

   "อะไรที่คิดว่าควรเล่าก็เล่ามาให้หมด"

   "...ที่หนึ่งเห็นแผลแล้ว" เหมือนมีใครไปสับสวิทช์เปิดโหมดเงียบหลังจากคำสุดท้ายออกจากปาก เมื่อประโยคแรกหลุดออกมาแล้วมันคงไม่มีประโยชน์อะไรอีกที่จะเก็บส่วนที่เหลือไว้ "เขาถามกูว่าแผลมายังไง"

   "แล้วมึงตอบไปว่า?"

   "กูไม่ตอบ"

   "ฉิบ..."

   "หมดเรื่องแล้ว"

   ในเมื่อเรื่องทั้งหมดมันมีแค่นี้ ผมก็ไม่รู้จะเล่าอะไรต่อไปอีก

   "แต่กูยัง"

   "อะไรอีกล่ะ"

   "แล้วทำไมมึงไม่เล่า?"

   "...กูเล่าได้หรือไง" ถ้าเริ่มเล่าแล้วมันต้องเล่าตั้งแต่ตรงไหน แล้วจะต้องจบที่ตรงไหน

   "น้องโรม..." เสียงเขาทั้งอ่อนและระอาใจ "เอาเลือดกูไปนี่ไม่ได้ฉลาดขึ้นเลยนะ"

   "ไม่ใช่เลือดมึงสักหน่อย"

   "ก็ลองไม่มีกูอยู่สิ มึงไม่ได้มานั่งตาแดงเป็นกระต่ายโง่ใส่อยู่อย่างนี้หรอก"

   การมีอยู่ของบางคนหมายถึงการต่อลมหายใจของตัวเองด้วยเช่นกัน ผมเข้าใจนะว่ากระต่ายบางตัวก็ตาแดงอยู่แล้ว ที่เติมคำว่าโง่เข้ามานี่แค่อยากหลอกด่าผมรึเปล่า

   "ดีแค่ไหนแล้วที่มึงเจอกูอะ ลองเป็นนิชสิ แม่งได้เค้นมึงจนตาย"

   "พี่นิชไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอกน่า"

   “หึ ทำอย่ากับไม่รู้ฤทธิ์มันไปได้”

   “ถึงขั้นนี้ใครจะทำอะไรอีก?”

   อารมณ์ไม่ดีมาจากไหนก็ไม่รู้ถึงได้ประชดออกไปทุกครั้งที่มีโอกาส ความน่าเบื่ออย่างหนึ่งของคุณพ่อคงไม่พ้นเรื่องนี้แหละ ตอกย้ำลงไปให้เจ็บกว่าเดิม

   "งั้นถามอีกข้อ สรุปแล้วมึงกับที่หนึ่งนี่ยังไง"

   "..."

   นั่นสิ เรื่องของผมกันเขานี่คือยังไงนะ

   ไม่อยากหานิยาม แค่มีเขาอยู่กับผมอย่างนี้ก็มีความสุขมากพอแล้ว

   "น่ารำคาญว่ะ" เขาขยี้หัวตัวเองด้วยความขุ่นเคืองใจ "กูถามไม่ตอบ ใครถามก็ไม่ตอบ แล้วจะทำตัวอย่างนี้ไปเพื่ออะไรวะ"

   เขาคงหมดความอดทนแล้วจริงๆ ถึงโพล่งออกมาอย่างไม่ปิดปัง ไม่อย่างนั้นเขาก็จะเป็นผู้ชมตำแหน่งวีไอพีในโรงโอเปร่ายิ้มนั่งมองจากที่สูงไม่ลงมายุ่งเกี่ยวเด็ดขาด

   "..."

   "เงียบอีกล่ะ มึงลองเงียบอีกทีกูเดินไปเปิดม่านแน่"

   "กูไม่รู้"

   "ถ้ามึงยังไม่รู้ กูก็ไม่แปลกใจที่มันจะไป"

   "แบล็ค!"

   "เสียงดังทำไม" การที่เขาทำท่าปิดหูของตัวเองอย่างนั้นโคตรน่าหมั่นไส้ "เข้าใจรึยังว่าทำไมพวกมันถึงค้านหัวชนฝาอย่างนั้นน่ะ เพราะพวกมันรู้ว่าสุดท้ายมึงก็จะกลับมาอยู่ในสภาพนี้ไง"

   ผมคิดมาตลอดว่าเน็ทกับนิชยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของผมมากจนเกินไป เจ้ากี้เจ้าการในทุกเรื่องโดนเฉพาะเรื่องที่หนึ่งที่จิกยิ่งกว่าอะไรดี จนมาถึงตอนนี้ผมรู้ซึ้งเลยว่าไม่มีอะไรเกินไปกว่าที่พวกเขาเคยพูดไว้สักอย่าง

   'อย่าเอาความลังเลมาเล่นสนุก'

   'หยุดได้แล้ว'


   ท้ายที่สุดแล้วผมมันก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง

   "เอาจริงคือกูก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่มันออกมาในสภาพนี้นะ" ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อมากเท่าไหร่เลยเงยหน้าขึ้นมามอง "นานกว่าที่กูคิดไว้เยอะ"

   "ไอ้เหี้ย" สรรหาคำด่าต่อไปไม่ออกแล้ว พูดมาอย่างนี้ก็ตีความได้อย่างเดียวว่าที่เขาอยู่นอกวงก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจ ก็แค่คิดตอนจบไว้ล่วงหน้าแล้วค่อยดูว่าจะเหมือนตามที่ตัวเองวางแผนไว้หรือไม่เท่านั้นเอง ดีไม่ดีอาจเกิดการแทรกแซงเพื่อให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการอีกด้วยซ้ำ

   "หึ"

   "ทำอย่างนี้ไปทำไมวะ"

   ในบางอารมณ์ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรกับหุ่นเชิดให้เขาโบกไปมาได้ตามใจจนหลุดปากไป คุณพ่อทางพฤตินัยของผมสบตากลับมา โครงหน้าที่ดูลงตัวไปทุกสัดส่วนเรียบตึงจนกลายเป็นรูปสลักไร้ชีวิต อยากอ่านความคิดของเขาให้ทะลุมากเพียงไหนก็ทำได้เพียงแค่ยอมรอจนกว่าเขาจะขยับปากอีกครั้ง

   "กำลังทดสอบอะไรสักอย่างอยู่มั้ง"

   ไม่อยากจะนับว่านั่นเป็นการตอบ เขาหยุดพูดไปเมื่อโทรศัพท์ของตัวเองส่งเสียงร้องลั่น เป็นพิซซ่าที่มาถึงแล้ว แบล็คหันมาสั่งให้ผมนั่งรออยู่เฉยๆ ไม่หนีไปไหนพลางคว้ากระเป๋าเงินของตัวเองออกไปรับสินค้าโปรโมชั่น

   "ไหวไหม?" เธอนิ่งเงียบตลอดการคุยของเราจนเกือบลืมไปว่าห้องนี้มีสมาชิกอยู่สามคน ไวท์เดินเข้ามาจนชิดกับผม ปลอบขวัญที่เสียไปจากคำพูดทำร้ายจิตใจจำนวนมหาศาลจากคุณพ่อด้วยการดึงส่วนศีรษะของผมไปซบไว้กับหน้าท้องแบนราบ กลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวของพี่น้องขาวดำแสบจมูกอยู่เช่นเดิม

   "เอาความจริงเหรอ..." เหนื่อยกับสิ่งที่ต้องเผชิญเหลือเกิน ผมหลับตาลงรับสัมผัสที่อาจไม่อบอุ่นเท่าแต่ก็ทำให้รู้สึกปลอดภัยได้ไม่ต่างกัน หลอกตัวเองว่าน้ำตาที่หยดลงบนเสื้อสีดำสนิทของเธอตอนนี้มันเกิดจากกลิ่นหวานแปลกที่แสบไปทุกประสาทสัมผัส

   "ไม่เลย"
 


   เคยอ่านเจอมาว่าคาเฟอีนไม่ใช่สิ่งดีต่อร่างกายหากได้รับเข้าไปในปริมาณมากๆ เพราะงั้นต้องสั่งแต่พอดี

   "ชาเขียวปั่นแก้วใหญ่ครับ"

   แต่จะมาถามหาความพอดีกับผมที่อยู่ในช่วงเป๋ก็คงไม่ได้ล่ะมั้ง

   ปกติแล้วผมไม่ชอบกินชาหรือกาแฟสักเท่าไหร่ ขอเว้นวันนี้ไว้หน่อยแล้วกันที่ต้องพึ่งมันสำหรับคาบบ่ายที่ห้ามตายเด็ดขาด เมื่อเช้าผมมีเรียนตอนแปดโมงถึงสิบเอ็ดโมง ได้เรียนจริงจังก็ปาไปเกือบสิบโมงเพราะหลับไม่รู้เรื่องคาโต๊ะเลคเชอร์ที่งีบไม่สบายเลยสักนิด ที่ยังพอมีแรงฮึดเรียนตัวบ่ายก็เพราะว่าวันนี้ผมเรียนไม่ตรงกับที่หนึ่งเลยสักคาบ มั่นใจได้เลยว่าต้องเข้าไปควิซไหวแน่
ยื่นแบงค์สีแดงไปให้พร้อมรอรับเงินทอนอยู่อย่างนั้น เห็นหน้าตัวเองที่สะท้อนกลับมาจากกระจกหลังร้านแล้วยู่หน้าลงอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ทำไมถึงหน้าโทรมได้ขนาดนี้เลยนะ

   ร้านดูแคบลงไปถนัดตาในเวลาที่นักศึกษาต่างต้องการหาตัวช่วยให้ตื่นตัวในการเรียน หมายเลขคิวที่สิบสามในขณะที่เมื่อกี้ผมเพิ่งได้ยินพนักงานตะโกนเรียกคิวที่เจ็ดให้ไปรับเครื่องดื่มเป็นการไล่ให้ไปหาที่นั่งทางอ้อม ผมพาตัวเองมานั่งรออยู่ตรงเก้าอี้สานริมกระจก กดเปิดโปรแกรมสนทนาออนไลน์สีเขียวขึ้นมา ถ้านี่ไม่ใช่หน้าจอกระจกผมว่ามันมีสิทธิสึกลงไปเป็นรอยมือแล้วล่ะ ในเมื่อผมนั่งกดมันทั้งวันอยู่อย่างนี้

   กดเข้าออกซ้ำๆ อยู่ตรงชื่อไลน์ที่เขียนไว้ว่า 'TeeNueng'

   บนเฟสบุ๊คส่วนตัวของเขาก็ไม่มีการเคลื่อนไหวเพิ่มเติมใดๆ ให้รู้ว่าตอนนี้เขาสบายดีอยู่หรือเปล่า ที่พอเปลี่ยนไปบ้างก็แค่รูปโคฟเวอร์ในไลน์เป็นภาพพื้นสีเพลนที่ไม่รู้จะเรียกว่าสีอะไรดี สเตตัสที่ต่อท้ายก็มีเพียงอิโมติค่อนหมายเลขหนึ่งไม่ใช่ตัวไออย่างที่เป็นมาตลอดในช่วงหลัง

   ไม่มีอะไรทำก็กลับไปเล่นเกมส์แล้วกัน ตั้งใจจะปิดแล้วไปเปิดอีกแอพให้หายเบื่อก็ปรากฎการแจ้งเตือนขึ้นมาพอดี ผมมองชื่อเจ้าของไลน์ที่เด้งขึ้นมาใหม่แล้วเกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นในหัว


   GRY : Guess what , Where am I


   ชื่อไลน์ไม่คุ้น รวมถึงภาพตัวแทนก็เป็นเพียงรูปท้องฟ้าแปลกตาที่ปรับจนซีดจาง

   ...แต่ก็เดาได้ว่าใครเป็นคนส่งมา


   GRY : Sent a photo
   GRY : Who is he?


   ไม่ต้องกดขยายภาพก็รู้ได้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร ในเมื่อรูปที่เขาส่งมาคือภาพที่หนึ่งบนไวนิลที่ซีดไปตามกาลเวลา ชื่อของผู้ชายคนนั้นกับคำเขียนสั้นๆ ว่า Beyours เล่นเอาผมไปต่อไม่ถูก

   ผมอยากเป็น 'ที่หนึ่ง' ของคุณ

   สายตาที่ผมเคยบอกว่ามันเว้าวอนขออะไรสักอย่างมันยังคงอยู่อย่างนั้นไม่แปรเปลี่ยนไป


   GRY : Where r u
   GRY : Wanna have twin talk?



   คุณพินิจมีลูกแฝดสองคู่ แบล็คกับไวท์ แล้วก็เกรย์กับโรม...

   สัมผัสได้แต่รอยประชดประชันและเสียดสีในตัวอักษรเหล่านั้น และไม่ต้องตอบกลับอะไรไปสิ่งที่ถูกส่งมาเป็นอย่างสุดท้ายคือโลเคชั่นที่อยู่ของเขาในเวลานี้


   GRY : Always waiting
   GRY : ; )



   เครื่องหมายที่ผสมกันเป็นรูปรอยยิ้มกลายเป็นเพียงการเตือนให้ระวัง ผมกำโทรศัพท์ในมือแน่น มาถึงขนาดนี้แล้วผมไม่มีอะไรจะต้องเสียเพิ่มแล้วล่ะ ก้าวเดินออกนอกร้านโดยปล่อยให้ชาเขียวแก้วเกือบร้อยที่เพิ่งสั่งเป็นม่ายไปอย่างไม่แยแส คุยกันให้จบๆ ไปเลยก็ดี จะได้ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก

   พอเดินตามที่อยู่ที่เขาส่งมาให้แล้วถึงรู้ว่าคือที่ไหน โรงยิมชั้นสองว่างเปล่าตอนที่ผมขึ้นไป เวลาบ่ายสองมันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่จะไม่มีใครอยู่ สถานที่ออกกำลังกายแบบปิดไร้ซึ่งหน้าต่างระบายอากาศเต็มไปด้วยความร้อนสะสม ผมกระแอมไอออกมาสองสามครั้งเพื่อไล่ฝุ่นในโพรงจมูก ตอนตามที่หนึ่งมามันเป็นเวลาเย็นที่เปิดไฟสนามไว้แล้ว แถมยังมีพัดลมอะไรไว้บริการเสร็จสรรพ ต่างจากตอนนี้ที่ทั้งมืดและวังเวงเสียเหลือเกิน

   ท่ามกลางความเงียบมีเพียงเสียงรองเท้าผ้าใบคู่เก่งของผมเสียดสีไปตามพื้นไม้ ผมกวาดตาหาเจ้าของคำเชิญชวนจนทั่วแล้วก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากตัวเอง ใจมีแต่ความหวาดระแวงเต็มไปหมด หรือว่าเขาจะหลอกให้ผมมาที่นี่เพื่อที่ให้อยู่ห่างกับที่หนึ่ง

   ไม่เคยคาดเดาความคิดของเขาออกเลยให้ตายเถอะ

   ที่บอกว่าเหมือนพี่รวมถึงเรื่องนี้อีกเรื่อง ผมว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ที่ส่งต่อมาตั้งแต่รุ่นพ่ออย่างคุณพินิจแล้ว การที่ต้องมาเดาความคิดของคนบ้านนี้เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ ต่อให้พยายามวิ่งตามให้ทันมากแค่ไหนพอเริ่มตีตื้นได้ก็จะพบว่าผมไม่ได้เร็วขึ้นเลย พวกเขาแค่ผ่อนการวิ่งให้ผมตามทันแค่นั้นเอง และพอเป็นที่พอใจแล้วก็กลับไปวิ่งเต็มสปีดแบบเดิม

   "โรงยิมนี่ควรจะปรับปรุงหน่อยนะ"

   สะดุ้งไปนิดหน่อยตอนที่เกิดเสียงแทรกท่ามกลางความเงียบสงบ ผมท่องบอกตัวเองให้ใจเย็นเข้าไว้ วันนี้ไม่ว่าเกรย์จะมาไม้ไหนผมก็ต้องสู้กับมันให้ได้

   "ทำไมต้องมาคุยถึงบนนี้?" ไม่ได้สงสัยอะไรจริงจังหรอก ก็แค่ว่าไม่รู้จะเริ่มอย่างไรก็เท่านั้นเอง

   "มันเงียบดี ไม่มีคนอื่นเข้ามาสอด"

   "แล้วมีอะไรจะคุยอีก"

   "หลายอย่าง ให้เริ่มตรงไหนดี"

   "อยากเริ่มตรงไหนก็เชิญ ช่วยเล่าตั้งแต่ต้นด้วยนะ บางเรื่องก็อาจลืมไปแล้ว"

   ตลกดีที่วันนี้เราต้องมาเผชิญหน้ากันในรูปแบบนี้ ไม่มีเค้าความสนิทสนมเดิมที่เคยมีมาตั้งแต่จำความได้

   "งั้นเอาเรื่องของผู้ชายคนนั้นก่อนไหม" เกลียดยิ้มหยันอย่างนั้นเหลือเกิน "ชื่ออะไรนะ ที่หนึ่งรึเปล่า?"

   "อย่ายุ่งกับหนึ่ง"

   บอกเสียงห้วน ผมมองเขาตาขวาง หวาดระแวงกับทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ ก็อย่างที่บอกไงว่าสีผสมอย่างเขาน่ะอันตรายไม่ต่างจากคนเป็นพี่ทั้งสองคนหรอก

   "ทำไมถึงยุ่งไม่ได้ล่ะ"

   "หนึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้...อย่าเอาเขาเข้ามาเกี่ยว"

   "ไม่เกี่ยวเหรอ แน่ใจแล้วใช่ไหม?"

   "ใช่"

   "เฮ้อ...น่างสงสารจังนะ บางคนก็โง่ให้หลอกไปเรื่อย" ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเพราะอะไรเขาถึงสนใจเรื่องของผมกับที่หนึ่งอย่างนี้ "ชื่อไม่ได้บอกตำแหน่งสักหน่อย ว่าอย่างนั้นไหม"

   ครั้งสุดท้ายที่เราได้พูดคุยกันจริงจังมันผ่านมากี่ปีแล้วนะ กี่ปีแล้วที่เราไม่ได้รับฟังเรื่องราวในชีวิตของอีกฝ่ายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมไม่เคยรู้ว่าชีวิตการอยู่ในโรงเรียนประจำของเขาเป็นอย่างไร ได้เห็นหน้ากันก็เพียงแค่ช่วงสุดสัปดาห์ตามข้อตกลงที่เขาให้ไว้ หากเจอหน้ากันต่างฝ่ายต่างก็ไม่พูดจาปราศรัยกันสักนิด จนผมสงสัยว่าในขณะที่ผมไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ทำไมเกรย์ถึงรู้ไปถึงเรื่องที่เป็นความลับที่สุด

   เรื่องที่ควรจะมีแค่ผมคนเดียวที่รู้

   "...ทั้งที่บนนั้นมีอีกคนยืนอยู่แล้ว" เขาทำเหมือนสิ่งที่ผมทำมันน่าสมเพชเสียเหลือเกิน "ที่หนึ่งน่ะมีได้แค่คนเดียวนะโรม"

   "อยากมีตำแหน่งอีกคนหรือไง"

   "ก็เปล่า แค่อยากรู้ว่าสรุปแล้วตอนนี้คนที่อยู่บนนั้นเป็นใครกันแน่ ...จะได้เอาไปบอกอีกคนได้ถูก"

   "ขอบคุณในความหวังดี แต่ไม่ต้องการ"

   "งั้นเดี๋ยวจะไปบอกนางฟ้าให้แล้วกันนะ"

   เอาอีกคนมาล่อให้หลุดปากออกมา ถึงตอนนี้ผมก็มั่นใจได้แล้วว่าสิ่งที่เขาต้องการได้ยินคืออะไร

   "เขาเป็นที่หนึ่งไม่ได้อยู่แล้ว พอใจรึยัง!!"

   ได้ยินเสียงของตัวเองก้องเต็มโรงยิม ความที่ไม่ใช่คนชอบใช้เสียงดังเป็นทุนเดิมตอนนี้ลำคอเลยแสบไปหมด พอมาประกอบกับร่างกายที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงดีมากเท่าไหร่ในช่วงนี้ผมเลยรู้สึกหัวหมุนไปชั่วขณะ จนต้องโค้งตัวลงเพื่อปรับสมดุล

   "อยากให้รู้เท่านี้ใช่ไหม"

   "!!!"

   ความเจ็บปวดทั้งหมดถูกลืมไปในทันที ผมหมุนตัวไปทางด้านหลังของตัวเองโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ ร่างที่ควรสั่งให้เป็นไปตามที่ต้องการได้กลายเป็นว่าผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ มันชาดิกไปหมด รวมกับว่าผมเพิ่งได้รับสารพิษเข้าร่างไป

   ที่หนึ่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...

   ในขณะที่ผมนิ่งไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง ริมฝีปากที่ผมเคยสัมผัสคลี่ยิ้มจางให้ เขาเหมือนดีใจที่เห็นผมอยู่ตรงนี้ ในขณะที่มองอีกทางได้เหมือนกันว่ามันคือการฝืนเพื่อเก็บซ่อนอะไรไว้ มันยกขึ้นสูงอยู่อย่างนั้นจนเผลอจ้องริมฝีปากสวยว่ากำลังจะเอ่ยเอื้อนคำใดออกมาอีก

   ในบางเวลามิติของเราก็เข้ามาอยู่ใกล้กัน แต่ไม่อาจส่งความรู้สึกถึงกันได้

   ส่วนลึกในใจบอกว่าสิ่งที่ผมเคยกลัวกำลังเกิดขึ้นจริง

   "ถ้าเป็นเรื่องนี้ความจริงไม่ต้องเรียกผมมาก็ได้"

   "..."

   "ผมรู้อยู่แล้วว่า 'ลัจ' คือที่หนึ่งของโรม"

   อ่อนล้า เหนื่อย ท้อ แต่ก็ยอมรับความจริง ทุกอย่างรวมอยู่ในหนึ่งคำพูด

   รู้หมดทุกอย่างนั่นแหละ
 
   ...กลายเป็นผมเองที่ไม่รู้อะไรเลย

   "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมไปก่อนนะ"

   ไม่รอให้ใครยื้อหรือรั้ง เขาหันหลังกลับแล้วเดินออกไปอย่างไร้เยื่อใย ภาพอดีตครั้งที่เขาเลือกที่จะเดินออกไปทับซ้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า หนึ่งเฉลยแล้วว่าเพราะอะไรถึงตัดสินใจเลือกที่จะหยุดอยู่ตรงนั้น ต่อให้ผมอยากจะวิ่งตามแผ่นหลังนั้นไปอย่างที่เคยอยากทำเมื่อครั้งก่อนผมกลับถูกอะไรบางอย่างตรึงไว้อยู่ตรงนั้นไม่กล้าขยับไปไหนอีก หัวสมองตื้อไปหมด

   "ได้ยินไหม ...ผมไม่ได้เป็นคนพูดเองนะ"

   เกรย์พูดทั้งที่ไม่ได้กลับมามองผมสักนิด เสียงแห้งแล้งของเขาที่เคยทำร้ายจิตใจผมมาโดยตลอดเทียบไม่ได้กับหนึ่งประโยคก่อนหน้าของที่หนึ่ง

   "ทำอย่างนี้ทำไม..." นึกอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ สายตาของผมมองแผ่นหลังนั้นลับหายไปเป็นครั้งที่สองอยู่อย่างนั้น มันคือคำถามที่ผมเคยคิดอยากจะบอกออกไปหลายต่อหลายครั้ง ว่าเพราะอะไรกระจกที่เคยเป็นตัวสะท้อนของกันและกันถึงอยากจะแยกออกจากกันไป เราเคยสนิทกันมากไม่ใช่เหรอ

   เคยสัญญากันไว้

   ว่าเราจะเป็นคนสุดท้ายที่บอกลากัน

   "คนที่แย่งทุกอย่างไป ก็ไม่สมควรได้อะไรเหมือนกัน"

   "คิดอย่างนั้นมาตลอดเลยสินะ" ในสถานการณ์อย่างนี้ผมกลับแค่นหัวเราะให้ตัวเอง อย่างน้อยสิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มันก็ถูกต้องมาตลอด เขามองผมเป็นแค่คนที่เข้ามาแย่งพื้นที่ของเขาไป "ถ้าได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วก็ไปสักทีเถอะ อย่ามายุ่งชีวิตของกูอีก"

   เขาเดินผ่านหน้าของผมไปโดยไม่มีการบอกลา เสียงฝีเท้าที่ไกลออกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นไร้สรรพเสียงใด ห้องกว้างเหลือเพียงผมยืนอยู่เดียวดาย และพอมันยิ่งเงียบมากเท่าไหร่ เสียงของเขากลับก้องกังวาลอยู่ในหูมากเท่านั้น

   "ผมรู้อยู่แล้วว่า 'ลัจ' คือที่หนึ่งของโรม"


***
   #ที่หนึ่ง #ที่ไม่ใช่ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: GMJeam ที่ 13-03-2016 19:47:50
เครียดไปอีก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 13-03-2016 20:22:06
โอ้พระจ้าวววววววว!! นี่มันเรื่องอะไรก๊านนนนนนนนนนนน!?
ความมุ้งมิ้งโมเอะในตอนต้นเรื่องมันหายไปไหนหมดแล้ว!
ยิ่งอ่านก็ยิ่งมีแต่เรื่อง อยากบอกคนเขียนว่าบางทีก็ปมเยอะเกินไปหน่อยนะจ๊ะ...
ปล.ที่หนึ่งผู้น่าสงสาร มากอดเราก็ได้นะนาย โอ๋ๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 13-03-2016 23:18:38
เครียดอ้ะ แง

ปมเยอะ จุงงงงง

สงสารหนึ่งมากเลยอ่า
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: kung ที่ 14-03-2016 10:42:41
ไม่เคลียร์อะไรเลยอะ เริ่มมึน คือแต่ละคนดูไม่ปกติเลยเว้นที่หนึ่งคนเดียว นอกนั้นเหมือนมนุษย์กลายพันธุ์x-menไปสิ555 ยิ่งอ่านยิ่งหน่วง ที่หนึ่งจะไม่มีบทแล้ว เปลี่ยนเป็น ที่เกรย์ ที่แบล็ค เหอะ บทโคตรเยอะ #เอาที่หนึ่งที่เป็นที่หนึ่งกลับมาเถอะนะๆ  :z3:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 14-03-2016 11:13:51

อ่านแล้วอึดอัด ไม่เคลียร์ ไม่ชัด แบบไร้ว้า!!

แต่ที่หนึ่งก็คือที่หนึ่ง จริงๆ นะ

รอตอนต่อไปค่ะ ลุ้น!!
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-03-2016 11:25:28
มีมาเพิ่มอีกหนึ่งแล้ว อะไรกันน๊าบ้านนี้
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Ametyst ที่ 14-03-2016 11:43:27
แค่อ่านบทนำ ก็รีบปักหมุดเลยค่ะ น่าติดตามมากกกก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 14-03-2016 19:09:23
ใครคือลัจ!!!!?????
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: zzzzzz ที่ 14-03-2016 22:00:53
“ผมชื่อที่หนึ่ง”

“ผมอยากเป็น ‘ที่หนึ่ง’ ของคุณ”

พึ่งได้มีโอกาศเปิดมาอ่านเราประทับใจประโยคนี้มาก มันดูขำๆปนมึนๆอึนๆงงๆอะไรสักอย่าง5555555แบบห้ะอะไรนะ555555ประกอบกับความที่หนึ่งอะ555555555น่ารักๆๆๆดีเราชอบ อ่านต่อๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Lonelyนู๋โรนลี่ ที่ 14-03-2016 22:46:44
ฝันของหนึ่งเป็นจริง
ถถถ อ่านถึงตอนนี้ได้แต่สงสัยว่านี่นิยายสืบสวนใช่ไหม  ทำไมมันสับซ้อนขนาดนี้
ที่หนึ่งไปจริงๆหรอ รู้ขนาดนี้แล้วจะทิ้งโรมหรอ เสียใจอะ
ได้โปรดเอาตอนกุ๊กกิ๊ก อย่างตอนเขียนกระดาษส่งกันไปมาตอนแรกได้ไหม ฮืออออออ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: tahpahtarnrop ที่ 15-03-2016 00:02:47
ปมเยอะมากอ่า เยอะไปนะบางที
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 15-03-2016 09:57:32
อะไร ยังไง งง ไม่เคลียร์ซักอย่าง ที่หนึ่งไปเถอะทิ้งโรมไว้กับความไม่เคลียร์นั่นแหละ ขอให้สายเกินไปสำหรับโรมจริงๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: cassavakate ที่ 16-03-2016 12:30:22
หน่วงจิตมาก......

รอ
รอ
รอ
รอ...... ต่อไป
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 21 [13.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Ametyst ที่ 16-03-2016 21:29:00
คนเขียนนนนนน นี่มันอะไรกัน
มาต่อด่วนเลยค่ะ ตอนนี้หายใจไม่ออกมาก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 19-03-2016 12:53:18
บทที่ 22

   "งั้นอจลาไปนั่งข้างรัตติกาลนะ" 

   "...ซวยสัตว์" 

   ผมเผลอหลุดปากออกเมื่อได้ยินว่า 'เด็กใหม่' จะได้นั่งข้างบุคคลอันคนทั้งห้องไม่พึงประสงค์จะอยู่ใกล้

   มันเป็นช่วงกลางเทอมของชั้นมัธยมปีที่สาม คาบโฮมรูมก่อนเข้าคาบแรกไม่เหมือนกับทุกทีเมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาอายุสี่สิบสี่ผู้โสดสนิทเดินเข้ามาพร้อมเด็กสาวในชุดนักเรียนไม่ต่างจากพวกผม แนะนำง่ายๆ ว่าเป็นเพื่อนใหม่ในห้องเรียนนี้

   "ถ้าไวท์ได้ยินคงเสียใจแย่" 

   "ขนาดมึงยังไม่นั่งกับแฝดตัวเองเลยเหอะ" 

   "ถ้ามึงตั้งใจเรียนกูก็ไม่ต้องมานั่งคุมไหมล่ะ" 

   "กูไม่ได้สมองดีแบบมึงนี่" 

   พี่ชายของผมได้รับยีนเรียนดีมาจากคุณพินิจแบบเต็มสูบ ถึงไม่ค่อยสนใจเรียนแค่ไหนก็ยังเก็บเลขสี่ในใบเกรดได้ตลอดแนว ไม่เหมือนผมที่พยายามจนสุดก็ทำได้แค่เกรดสามต้นๆ 

   "มึงควรโทษตัวเองที่ไม่ยอมตั้งใจเรียนนะน้องโรม"

   "เฮอะ ก็ใครชวนกูเล่นเกมส์อยู่นั่น"

   ไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่ที่จะมีเด็กย้ายมากลางเทอมอย่างนี้ในรั้วโรงเรียนเอกชน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนนี้จะมีลูกครึ่งให้เห็นทั่วไปเสียหน่อย เด็กใหม่ไม่ใช่ชาวไทยหรือชาวจีนอยู่แล้ว ดูจากโครงหน้าที่ออกไปทางยุโรปรวมถึงผมสีอ่อนต่างจากทั้งห้องที่มีแต่สีดำเต็มไปหมด

   "มันควรเข้าสังคมบ้าง กูไม่ได้อยู่กับมันตลอดชีวิตสักหน่อย"

   "กูสงสารเด็กใหม่ที่ต้องมานั่งข้างหุ่นขี้ผึ้งขยับได้" นิชที่นั่งโต๊ะตัวหลังสะกิดผม "อยากทักทายไหม?"

   "ไม่ล่ะ แต่ชื่อโคตรแปลก เมื่อกี้ครูอ่านว่ายังไงนะ"

   "อจลา" 

   เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่ของพวกผม เราทุกคนหันไปทางต้นเสียงที่เมื่อกี้ยังคงยืนแนะนำตัวอยู่ตรงหน้าห้องโดยพร้อมเพรียง "อ่านว่า อัด-จะ-ลา"

   "ชื่อเพราะ" เป็นแบล็คที่กลับมามีสติได้ก่อนใครเพื่อน เธอเพียงแย้มยิ้มสดใสให้ก่อนพาตัวเองไปยังที่นั่งว่างด้านข้างของไวท์ เป็นมุมที่แปลกตาดีเหมือนกันเพราะปกติแล้วโต๊ะนี้จะถูกเว้นไว้ให้คนที่นั่งต่ออย่างผมเห็นภาพมุมกว้างได้เสมอ

   เธอหันไปพูดคุยกับฝาแฝดสีขาวอยู่สองสามคำ และเด็กหญิงรัตติกาลที่กำลังจะเป็นนางสาวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็เพียงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนกลับไปอยู่กับสมุดเล่มใหญ่ที่เธอเอาไว้สะสมความทรงจำของตัวเองไปเรื่อย บอกแล้วไงว่าซวยที่ต้องมานั่งข้างไวท์ ไม่เคยคิดจะผูกมิตรไมตรีกับคนอื่นเสียบ้าง

   "คิดว่ากี่วัน?" หันหน้าไปป้องปากกระซิบกับพี่ชายสุดเนิร์ดที่อยู่ถัดไป วิชาประวัติศาสตร์ชนชาติไทยไม่น่าสนใจเท่าเพื่อนร่วมห้องคนใหม่สำหรับผม

   "วันเลยเหรอ?"

   "เห็นไวท์ตอบกลับสักคำไหมล่ะ"

   "คิดอย่างนั้น?" นิชกระตุกยิ้มเล็กน้อย "กูว่าคนนี้นาน"

   "ไม่อะ ให้เดือนนึงเลยก็ได้ เดี๋ยวที่นั่งอาถรรพ์ก็กลับมาว่างแล้ว"

   ไม่เคยมีใครนั่งอยู่ตรงนั้นได้นานกว่าหนึ่งสัปดาห์ไม่ว่าหญิงหรือชาย ความรุนแรงของคำสาปมากถึงขนาดที่โรงเรียนต้องไปจัดที่นั่งเสริมให้กับเด็กคนอื่นแทนที่จะเป็นการอยู่อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยของคนร่วมห้อง อยู่กับไวท์ไม่ต่างจากอยู่คนเดียว ถึงเรื่องจริงมันก็แค่ทุกคนรับไม่ค่อยได้ที่ต้องมานั่งต่อจากคนบาปผู้ไร้ความรู้สึกที่ไม่เคยแสดงออกถึงการมีตัวตนของตัวเองขึ้นมาก็เท่านั้นเอง

   "ตั้งใจเรียนหน่อย" ชะโงกหน้าไปคุยกับนิชจนถูกผลักหัวเป็นการเตือน ผมทำหน้าหน่ายใส่พี่ชายคนโตของบ้านที่หยิบกระดาษเอสี่แผ่นใหม่ขึ้นมาจดเนื้อหาบทเรียนเพิ่ม พอเริ่มดื้อด้วยการไม่สนใจทำตามแล้วเลยโดนมาตรการขั้นสองหรือการโยนหนังสือเรียนเล่มหนามาไว้ตรงหน้า มีรอยขีดบนกระดาษโพสอิทไว้ว่าตอนนี้เรียนถึงหน้าไหนแล้ว

   "มึงเป็นพ่อกูจริงๆ ใช่ไหมแบล็ค..."

   บ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้ง ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากอีกฝ่ายแบบที่เขาไม่ได้ละสายตาจากแผ่นเยื่อไม้ตรงหน้า ไม่เข้าใจจริงเลยว่าจะอินกับบทบาทพวกนี้ไปไหน อายุห่างกันแค่เกือบปีทำไมถึงโดนกดตำแหน่งลงไปขนาดนี้เลยก็ไม่รู้ แถมเป็นพ่อที่เคี่ยวกว่าพ่อแท้ๆ ของผมเสียอีก

   อยากจะหันไปคุยกับเพื่อนโต๊ะหลังต่ออยู่หรอก คุณแม่ที่แสนดีผู้ซึ่งนึกขึ้นได้ว่ามีภารกิจลากลูกชายคนเล็กให้จบมัธยมสามไปได้อย่างปลอดภัยก็เลิกคุยกับผมเสียอย่างนั้น หยิบตำรากวดวิชาอื่นที่ไม่ใช่ทางสังคมขึ้นมาอ่านแทน

   ก็เลยต้องเปิดหน้าหนังสือตามที่บอก ไล่สายตาไปตามตัวอักษรจนเจอบรรทัดที่กำลังพูดถึงอยู่ ผมปล่อยให้ความรู้เข้าออกไปเรื่อยจนได้ยินคำว่าจดเพิ่มลงไปถึงเงยหน้าขึ้นมามองกระดานว่าสิ่งใดคือคำเพิ่มเติมที่จำเป็นต้องเสริม เผื่อว่ามันจะออกข้อสอบด้วยน่ะ

   "…"

   คิ้วของผมขมวดเข้าให้กัน ไม่คุ้นชินเลยที่มุมตรงหน้ามีเรือนผมสีอ่อนคอยบังไม่ให้เห็นกระดานไวท์บอร์ด เอาเถอะ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงได้มุมเดิมของตัวเองกลับมา

   ไม่น่าจะนานหรอก

   ...หรือว่าจะนานวะ

   ไวท์เซอร์ไพรส์พวกเราทุกคนด้วยการนำเด็กใหม่มานั่งร่วมทานอาหารด้วยตอนมื้อกลางวัน ผมอึ้งไปสนิทตอนที่เห็นว่ากลุ่มที่มีผู้หญิงคนเดียวกลับแบ่งเซลล์เพิ่มเป็นสอง

   "ให้มากินด้วยก่อน" ดูท่าแล้วไม่ใช่คนใหม่ที่เป็นผู้ขอมานั่งด้วย ไวท์ไม่สนใจว่าพวกผมจะมีปฎิกิริยาตอบกลับไปอย่างไร เธอกับเด็กฝรั่งวางขวดน้ำที่ซื้อมาใหม่ลงกับโต๊ะ เดินลิ่วไปทางร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ต่อไปไม่ไกลนัก

   "เชี่ย นี่เรื่องจริงอะ" ขยี้ตาไปทางสองสาว ไม่อยากจะเชื่อมากเท่าไหร่ว่าจะมีโอกาสได้เห็นมุมนี้จากฝาแฝดคนน้องผู้ซึ่งสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาทับซ้อนกับมิติที่คนอื่นอาศัยอยู่ ช่วงแรกแค่ลากลงมากินข้าวด้วยก็เกือบไม่สำเร็จ นี่ไวท์เป็นคนชวนมาเองเหรอ พระเจ้า!

   "กูบอกแล้วไงว่านาน" นิชพูดออกมาอย่างขำขัน "อยากจะเปลี่ยนเวลาที่พนันไว้ไหมน้องโรม"

   "ไม่อะ"

   "ตามใจ เดี๋ยวก็รู้"

   ถึงไม่ค่อยอยากเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าปีศาจมากเท่าไหร่นักก็เถอะ ยังไงเรื่องนี้ผมก็มั่นใจเต็มร้อยว่าอีกไม่นานเท่าไหร่เราจะได้ความปกติสุขกลับมาอยู่กับตัวเองอย่างแน่นอน

   "เราชื่อนิชนะ ส่วนที่น่ากลัวๆ นั่นแบล็ค ที่ฟุบหน้าอยู่ก็เน็ท เมื่อคืนมันปั่นการบ้านถึงโต้รุ่งเลยยังพูดไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ แล้วก็น้องเล็กของเราชื่อโรม" นิชแนะนำชื่อพวกเราแบบม้วนเดียวจบตอนที่ทุกคนกลับมานั่งประจำที่พร้อมอาหารกลางวันของตัวเอง

   "ลัจ"

   ผู้ใหญ่สมัยนี้ชอบตั้งชื่อลูกแปลกๆ ตั้งแต่โรมัน ทิวากาล รัตติกาล นิชจะว่าแปลกก็ไม่เท่าไหร่แค่ชื่อเล่นกับชื่อจริงเหมือนกันเป๊ะ ที่ปกติที่สุดก็คงเน็ทนี่แหละ แต่จะกาลอะไรมาเจอ 'อจลา' ก็ดูปกติไปหมดเลย

   "เขียนยังไงเหรอ ชื่อแปลกดี"

   พี่นิชของผมเป็นพวกเข้ากับคนง่ายที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับคนอื่น ผมก้มหน้าก้มตาทานข้าวมันไก่ไม่เอาหนังของตัวเองไปเงียบๆ อย่างทุกทีเวลาที่ต้องออกไปพบเจอคนภายนอกที่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่มีใครเข้ามาอยู่ในกลุ่มของพวกเราเพิ่มเติม ผมชินกับการมีแค่พวกเราไปแล้ว

   "ออจอลออา อ่านยากหน่อย มาจาก Angela น่ะ"

   "นางฟ้า?"

   "อืม พ่อฉันเป็นคนอังกฤษ"

   มีเชื้อทางยุโรปอย่างที่คาดเดาไว้ไม่มีผิด ผมผลักจานข้าวที่หมดแล้วของตัวเองไปไว้ฝั่งตรงข้าม สะกิดเน็ทให้ตื่นจากการไปเฝ้าเทพแห่งความฝันเสียที ก็ชอบทำงานใกล้เดทไลน์อย่างนี้ตลอด เมื่อเช้านี่หลับยาวตั้งแต่คาบแรกยันคาบสาม ถ้าไม่มีแบล็คบังไว้คงโดนอาจารย์ประจำชั้นเรียกไปด่าหูชาแน่

   "แล้วทำไมย้ายมาล่ะ"

   "พ่อย้ายมาอยู่สำนักงานใหญ่ที่นี่น่ะ ฉันเกิดที่ภูเก็ต"

   ผมว่าเธอเก่งมากเลยนะที่สามารถอยู่ในวงสนทนาที่มีคนโต้ตอบเพียงแค่นิชกับแบล็ค เน็ทยังไม่ยอมตื่น ผมก็นั่งเงียบๆ ส่วนไวท์นี่หลุดไปอยู่ในโลกไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้

   "ยังไม่เคยไปภูเก็ตเลย สวยไหม"

   "สวยนะ แต่ของแพง" หล่อนย่นจมูก "เมืองที่ของถูกที่สุดอยู่ในเซเว่น ถ้าไม่นับซุปเปอร์ชีฟน่ะนะ”

   "นั่นใคร?"

   ทุกคนหันมาทางคนถาม เน็ทชี้มาทางลัจด้วยใบหน้าที่ยังไม่ค่อยตื่นเต็มตามากนัก นี่ถ้าจะมานอนขนาดนี้ทำไมไม่โดดเรียนไปวะเน็ท

   "ลัจ เพื่อนใหม่"

   "เพื่อน?"

   "มึงเอาแต่หลับไงสัตว์ นี่เจ้าของที่นั่งต้องสาปคนล่าสุด"

   "แล้วทำไมต้องมากินข้าวด้วย?"

   หน้าตึงด้วยความไม่พอใจ บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อสักครู่หายไปกับคำพูดเพียงประโยคเดียว เน็ทเป็นคนขี้หวง หวงมากที่สุดคือเพื่อนในกลุ่ม จากการเป็นเพื่อนกันมาเก้าปีสอนเราว่าเน็ทไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายหรือเป็นส่วนเพิ่มเติมในชีวิต

   "เน็ท..."

   "ทำไมอะ"

   "นั่นเพื่อนไวท์"

   "แล้วไง ก็ไม่ใช่เพื่อนกูป่ะ"

   โคตรไร้มารยาท จอมหวงที่คงตื่นเต็มตาจากการได้ยินว่ามีใครอื่นเข้ามาแทรกแซงกลุ่มเริ่มทำหน้าบึ้ง โยเยจนผมหันมามองว่าคนที่โดนกระทบกระเทียบกำลังทำหน้าตาอย่างไรอยู่

   "ฉันชื่อลัจนะเน็ท มาเป็นเพื่อนกันเถอะ"

   เสียงผิวปากหวือมาจากราชา นัยน์ตาสีดำพราวระยับปิดไม่มิด เออ นี่ก็ดี เห็นการปะทะคารมของคนอื่นเป็นเรื่องสนุก ชอบนักล่ะเห็นคนอื่นตีกันเนี่ย

   "สนิทกันเหรอถึงมาเรียกชื่อเล่น?"

   "งั้นบอกชื่อจริงมาสิ"

   นางฟ้ายุคใหม่โคตรร้ายกาจ ลัจกับเน็ทอยู่คนละฟากฝั่งของโต๊ะ ถ้ามองจากมุมกว้างแล้วมันก็เหมือนโปสเตอร์โปรโมตการต่อสู้อะไรสักอย่างได้เลยล่ะ "ส่วนชื่อจริงฉันชื่ออจลา"

   คราวนี้ชื่อจริงไม่ได้ออกเสียงแบบไทย สำเนียงอย่างผู้ดีอังกฤษออกมาเต็มจนนิชหลุดขำ น่ะ อย่างที่กลัวไว้เลย พี่ไวท์ของผมทำอะไรลงไปครับ

   "หึ" เห็นรอยยิ้มหยันของเจ้าชายจอมเอาแต่ใจแล้วเสียวสันหลังวาบ "กูชื่อนัทธิ"

   "งั้นเราเป็นเพื่อนกันแล้วสินะ"

   "เพื่อนอะไรเรียกชื่อจริง?"

   "ก็นั่นสิ งั้นฉันเรียกว่าเน็ทได้แล้วใช่ไหม"

   คราวนี้ไม่ใช่แค่การหัวเราะในลำคอ ทั้งแบล็คแล้วก็นิชระเบิดหัวเราะออกมาจนคนแถวนั้นหันมามองที่เราเป็นตาเดียว เน็ทสบถคำผรุสวาทออกมายาวเหยียดจนผมนึกว่ากำลังสวดมนต์บทแผ่เมตตาตอนเช้า จากที่ควรกังวลว่าจะเกิดการทะเลาะขึ้นมารึเปล่าผมเริ่มสนุกกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า น้อยครั้งจนแทบนับได้ที่เจ้าชายจอมเอาแต่ใจจะโดนลูบคมอย่างที่กำลังเป็นอยู่ มีแต่นิชกับแบล็คเท่านั้นแหละที่รับมือกับเขาได้

   เพิ่งรู้ว่านางฟ้าก็ปราบเจ้าชายได้

   "ว่าไงล่ะ" รอยยิ้มของลัจสดใสไม่เปลี่ยนจากครั้งแรกที่ผมเห็นเมื่อตอนเช้า

   "เออๆ เรียกว่าเน็ทก็ได้"

   "ว้า ไม่สนุกเลย"

   พอเน็ทยอมแพ้ง่ายๆ เสียอย่างนั้นนิชก็โอดครวญด้วยความเสียดายกลับอย่างไว คุณแม่นี่ชอบเห็นลูกชายทะเลาะกับผู้หญิงหรือไงกันนะ

   "เงียบไปเลยเชี่ยนิช"

   "กลุ่มนายดูสนิทกันจัง น่าอิจฉาเนอะ"

   "ก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปอหนึ่ง" แบล็คทำหน้าหน่ายตอนกวาดตามองเราทุกคนจนครบ "เบื่อหน้าจะแย่"

   "พวกกลุ่มคนที่ไม่มีใครอยากอยู่ด้วยก็อย่างนี้ล่ะนะ"

   "หืม?"

   "เดี๋ยวอยู่ไปก็รู้เองล่ะน่า"

   เน็ทกลั้วหัวเราะในสิ่งที่ไม่น่าขำเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเธอสังเกตรึเปล่าว่ากลุ่มเราเป็นพวกที่ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้มากเท่าไหร่ ก็เริ่มแบ่งแยกมาเป็นเอกเทศกันตอนขึ้นมอหนึ่งเทอมสองใหม่ๆ ล่ะมั้ง เป็นช่วงที่ทุกคนเริ่มเข้าที่กับการอยู่ในมัธยมแล้ว และทุกคนก็รู้แล้วว่าไม่ควรเข้ามายุ่งกับพวกผมแล้วเช่นกัน

   เริ่มจาก 'ราชา' สีดำแสนอารมณ์ร้อน เข้ามาแค่ไม่กี่เดือนก็เล่นงานรุ่นพี่มอห้าที่เข้ามายุ่มย่ามกับน้องสาวของตัวเอง 'สีขาว' จนราบคาบ เน็ทไม่ต้องพูดถึงแค่พูดชื่อก็ส่ายหัวดิก 'เจ้าชาย' เจ้ายศเจ้าอย่างไม่สนใจความรู้สึกของใครอื่น ที่ดูเหมือนว่าจะญาติดีที่สุดอย่าง 'ปีศาจ' นิชก็เป็นพวกเด็กเนิร์ดหัวดีจนน่าหมั่นไส้ เก่งทุกอย่างทุกทางจนหาที่ติไม่เจอ ติดท็อปของระดับชั้นตลอดแต่ไม่เคยได้อันดับแรกเสียทีเพราะว่ามีผู้ชายชื่อที่หนึ่งจองไว้

   "ทำอย่างกับเป็นมาเฟียกันไปได้"

   "ก็เป็นอยู่นะ" สีดำยังคงร่าเริงกับสมาชิกใหม่ เขาคงถูกใจเพื่อนคนล่าสุดมากอยู่พอควร "สักพักเดี๋ยวก็เริ่มชินเองแหละ"

   "นี่ฉันย้ายมาอยู่ในโรงเรียนแน่เหรอเนี่ย"

   "ใช่นะ ที่นี่ไม่ใช่คุกอะไรทำนองนั้น"

   "หมดคาบแล้ว ขึ้นห้องกันเถอะ"

   ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมามองแล้วพบว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบสิบนาทีกว่าจะเข้าเรียนคาบบ่าย เหลือบตาไปมองคุณแม่สาวแว่นที่ยังคงยิ้มแย้มกลบรัศมีคาดโทษเอาไว้ โธ่ ชอบตีตนไปก่อนไข้ไปได้ บางเรื่องก็ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ จะมาให้รับรู้ทีเดียวทั้งหมดคงไม่ใช่แค่ย้ายที่แต่อาจจะย้ายโรงเรียนไปเลยก็ได้ใครจะรู้ ที่ต้องสาปผมว่าไม่ใช่ที่นั่งหรอก กลุ่มผมนี่แหละที่ร่ายคำสาปไว้

   ไม่เคยมีใครเข้ามาอยู่ตรงที่ของเกรย์ได้

   "ยังไงก็ตามแต่ ยินดีต้อนรับนะนางฟ้า"


 
   รู้ตัวอีกทีก็มอห้า จากกลุ่มการที่มีกันห้าคนก็กลายเป็นหกคนมาสามปีแล้ว เปิดเทอมใหม่ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้าไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเหมือนอย่างทุกปีที่ผ่านมา รถยนต์คันใหญ่ที่ผมนั่งอยู่สตาร์ทอีกครั้งเมื่อเห็นหญิงสาวต่างชาติวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากตัวบ้าน

   "ลัจตื่นโคตรสาย" 

   "ขอโทษได้ไหมล่ะ!"

   "เสียงดังทำไมแต่เช้า"

   "โรมเริ่มก่อน!"

   "พอทั้งหมดนั่นแหละ กูจะนอนต่ออย่าทะเลาะกันล่ะ"

   รถแวนคันใหญ่เคลื่อนตัวออกจากบริเวณสวนหน้าบ้านของลัจ บ้านของเราอยู่ในเส้นทางเดียวกันคุณพินิจเลยตกลงกับพ่อแม่เธอว่าจะเป็นคนมารับทุกเช้าตามประสาเพื่อนที่ดีของกันและกัน

   "สายตั้งแต่เปิดเทอม" ผมบ่นกระปอดกระแปด เราสามคนนั่งรอลัจมาเกือบสิบห้านาทีอยู่บนรถที่ปิดเครื่องปรับอากาศไว้เพื่อลดโลกร้อนตามทำบอกของคุณชายคนโต

   "ยังไม่สายสักหน่อย"

   "เดี๋ยวรอดูเหอะ"

   "โรมัน!"

   พอโมโหหนักๆ สำเนียงก็เปลี่ยนไปเป็นแบบของเจ้าของภาษา ผมคงเป็นโรคจิตอ่อนๆ ที่ชอบได้ยินเวลาเธอพูดด้วยสำเนียงแบบนี้

   "เงียบ" คุณหนูทิวากาลที่นั่งอยู่ข้างคนขับปรามเสียงเรียบ ช่วงนี้เขากำลังติดเกมส์อยู่เลยนอนไม่ค่อยพอ

   เราสองคนถึงต้องยอมสงบศึกชั่วคราวเอาไว้ หมายถึงแค่การต่อล้อต่อเถียงผ่านคำพูดอะนะ ผมแลบลิ้นล้อเลียนใส่คนมาสาย แล้วเธอก็โยนหมอนอิงใบเล็กกลับมา เห็นไวท์เหลือบตาขึ้นมามองนิดหน่อยแล้วย้ายไปนั่งเบาะหลังสุด ปล่อยให้เราสองคนเล่นแบบเด็กๆ ต่อไป

   เสียงตุ้บตั้บมันก็คงดังอยู่แหละ ถ้าไม่มีเสียงปรามอีกนั่นก็แสดงว่าเขาหลับลึกไปแล้ว พอมั่นใจได้ว่าสามารถเปิดศึกได้โดยไม่โดนใครห้ามอีกมันเลยมีการออกกำลังกายตอนเช้าต่ออีกหน่อย

   "โอย พอแล้ว" ลัจยอมสงบศึกก่อน ยกมือขึ้นตรวจสอบความเรียบร้อยของทรงผมว่ามันยุ่งเหยิงจากการเล่นตีหมอนนี่มากน้อยแค่ไหน "เอาคืนไปเลย"

   "ยกแรก โรมชนะ"

   สัพยอกกลับไปขำขัน ผมยื่นมือออกไปจับหมอนทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่เธอกำลังส่งมาให้ รถที่เปลี่ยนเลนกะทันหันมีแรงเหวี่ยงมากพอที่จะทำให้การจับของผมมันพลาดไปพอควร จากที่คิดว่าจะจับแค่ปลายหมอนกลับเป็นผมคว้าส่วนที่เป็นมือของเธอไว้ได้ มันแปลกจนผมต้องรีบชักมือกลับ

   อะไรบางอย่างแปลกไปในความรู้สึกของผม

   "งานคู่เหรอ"

   "อืม ให้ไปสัมภาษณ์ใครก็ได้เกี่ยวกับหัวข้อที่จับฉลากได้"

   "แล้วไหงต้องใช้วิธีนี้"

   ปกติแล้วสองสาวของกลุ่มจะทำงานด้วยกันตลอด ส่วนพวกผมสี่คนจะแบ่งกันไปตามอารมณ์ คราวนี้เกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาไม่รู้ถึงเล่นไม้สั้นไม้ยาวจับสลากว่าใครจะได้คู่กับใคร

   "เพิ่มความตื่นเต้นให้ชีวิตไง"

   "ตื่นเต้นอะไรล่ะ ถ้ากูได้คู่กับเน็ทแล้วมันก็เป็นงานเดี่ยวอยู่ดี... โอ๊ย!"

   "มึงพูดดีๆ เลยนะน้องโรม" เจอพี่ชายตบหัวไปรอบ แม่งตัวเล็กแค่นี้ไม่รู้ไปเอาแรงช้างมาจากไหน กีฬาก็ไม่เห็นชอบเล่น ผอมแห้งเป็นอาตี๋ร้านทองที่ถูกสปอยจนเคยตัว "กูช่วยทุกงานเถอะ"

   "ช่วยพิมพ์หน้าปกนี่โคตรเป็นพระคุณมากเลย"

   "กูว่าเราเริ่มจับกันตอนนี้เลยไหม" คุณแม่นิชยกมือขึ้นเป็นปางห้ามทัพ ยื่นมือที่กำไม้หกแท่งมาที่ผมคนแรก

   ต่อให้เถียงต่อไปก็คงล้มข้อมติไม่ได้ ผมทำหน้าเบื่อพลางคว้าไม้มาส่งๆ ในมือหนึ่งแท่ง มีเลขหนึ่งเขียนไว้ตรงปลายไม้ "เน็ท กูได้เลขหนึ่ง มึงจับให้ได้เลขอื่นเลยนะ"

   "ถ้ามึงจะรังเกียจกูขนาดนี้นะน้องโรม คราวหน้าไม่ต้องมาอ้อนเอาการ์ตูนจากกูเลย ...เหยด ได้เลขสามว่ะ"

   "สาม" แบล็คโยนไม้ที่เพิ่งจับลงมากลางโต๊ะ

   "..." ส่วนไวท์ก็โชว์ไม้ที่เขียนเลขสองให้พวกเราเห็น

   "หนึ่ง..."

   มองไปที่คู่ทำงานของผมคราวนี้ แปลกใจนิดหน่อยที่จะได้ทำงานคู่กับนางฟ้า อย่างมากที่สุดก็เคยทำงานแบบสามคนที่สุดท้ายแล้วลัจทำกับนิชสองคนเพราะผมเข้าโรงพยาบาลจากไข้เลือดออก

   "งานน่าจะไม่ล่มหรอกมั้ง" แก้เก้อด้วยมุขที่ดูไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่ ถึงลัจจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเราได้เข้าปีที่สามแล้วผมก็ยังรู้สึกไม่สนิทสนมกับเธอมากเท่าที่ควร คือให้คุยเล่นอะไรก็พอได้นะแต่ไม่สนิทใจอะ คิดว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของผมด้วยที่ไม่ชอบเปิดรับคนแปลกหน้าเข้ามา ซ้ำร้ายก็เป็นพวกเปิดประเด็นไม่เก่งเลยไม่รู้จะชวนคุยยังไง อยู่กับลัจแล้วมันมีบางอย่างแปลกๆ

   "ไม่ล่มหรอก เชื่อมือฉันได้เลย"

   "ฮ่าๆ งั้นงานนี้เต็มสิบแน่"

   ปากบอกว่าเต็มสิบแต่อีกห้าวันจะถึงกำหนดส่งแล้วผมยังไม่ได้พิมพ์รายงานลงไปสักตัวอักษรเดียว และถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะขวนขวายหาทางออกใดๆ จนถึงขั้นที่สามารถมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ในงานประกวดวงดนตรีประจำปีของโรงเรียนได้ ที่จริงผมไม่ชอบงานเลี้ยงสังสรรค์ ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบคนเยอะ และไม่ชอบที่ต้องมาทำอะไรอย่างนี้ เหตุผลเดียวที่ผมมาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ

   "นิชโชว์กี่โมงอะ" พี่ชายที่น่ารักของผมโดนเพื่อนทาบทามให้ไปร่วมวง และพี่นิชกับเครื่องตีชนิดใหญ่นี้เป็นอะไรที่ผมจะไม่ยอมพลาดอย่างเด็ดขาด

   "ถ้าตามที่มันบอกก็อีกไม่เกินสามสิบนาทีอะ"

   "นานขนาดนั้นเลยเหรอ"

   งอแงใส่ทันทีที่ได้ยินระยะเวลาที่มากกว่าที่คิดไว้เยอะ นี่ผมต้องอยู่ท่ามกลางความแน่นขนัดอย่างนี้อีกนานเลยล่ะสิกว่าจะได้เห็นพี่นิชอะ

   "นานไร เหม่อๆ ไปเดี๋ยวก็หมดเวลาแล้ว" นิ้วชี้จิ้มมาตรงหน้าผากของผม "ช่วยเลิกทำหน้าบอกบุญไม่รับเวลาออกมาข้างนอกนอกได้ป่ะน้องโรม แล้วจะเป็นพระคุณขั้นสูงสุดถ้ามึงจะเลิกเกาะหลังกูเป็นหมีโคอาล่าอย่างนี้ด้วย"
   
   "ไม่เอา"

   เปิดโหมดดื้อด้วยการเบี่ยงตัวให้อยู่ข้างหลังเขาตามเดิม ส่วนสูงของเราที่ต่างกันพอสมควรเลยทำให้ผมหลบได้เกือบมิด ผมไม่ชอบการเจอผู้คน แค่ต้องเดินเบียดกันก็รู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว แผ่นหลังของพี่ชายผมเลยเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้

   "มึงคิดว่ากูอายบ้างป่ะ"

   "ไม่อะ มึงหน้าด้าน"

   "พูดงี้กลับบ้าน!"

   "ฮื้อออ ไม่เอาสิ จะได้ดูพี่นิชเล่นกลองเลยนะ"

   นานทีปีหนคุณพี่ชายสุดที่รักของผมจะยอมออกงานอย่างคนอื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นก็เอาแต่จมอยู่กับกองหนังสือที่เห็นแค่หน้าปกก็ไม่อยากจะเปิดอ่านแล้ว วิทยาศาสตร์เอย ปรัชญาเอย ศาสนาเปรียบเทียบเขายังมีอะคิดดูสิ

   "แล้วงานสัมภาษณ์ไปถึงไหนแล้วล่ะ"

   พอเขาเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาก็ใจห่อเหี่ยว ผมกับลัจได้หัวข้อ 'นักกีฬา' ซึ่งมันดูไม่ยากใช่ไหมล่ะ ในเมื่อผมมีพี่ชายเป็นสปอร์ตแมนตัวจริงเสียงจริง แต่บอกเลยว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดมาก แบล็คประกาศไว้ชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้สัมภาษณ์เด็ดขาด อ้างว่าผมควรจะออกไปหาสังคมอื่นข้างนอกเสียบ้าง ไม่ใช่เอาแต่คลุกคลีกับกลุ่มตัวเองจนกลายเป็นโรมไร้เพื่อนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

   พอเถียงกลับไปว่าไวท์ก็ไม่มีเพื่อนคนอื่นเหมือนกัน ก็โดนตอกกลับมานิ่งๆ ว่านั่นไวท์ เป็นการจบที่ดี

   "ก็มึงไม่ยอมช่วยกูอะ!"

   "มึงก็อย่ามาเล่นง่ายอย่างนี้ดิ กูบอกแล้วว่าออกไปหาอะไรใหม่ๆ บ้าง"

   "กูไม่อยากได้สักหน่อย"

   ผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ต้องไปเสวนากับคนแปลกหน้าเลยสักนิด

   "เรื่องมากอีกล่ะ เทอมนี้งานจะเสร็จไหม"
   
   "เสร็จดิ เดี๋ยวมึงก็ทนไม่ได้มาช่วยกูเองล่ะน่า"

   "กูบอกว่าไม่" คำปฏิเสธมาพร้อมใบหน้าจริงจังจนผมหงอไปหน่อย "คิดไม่ออกก็ไปสัมภาษณ์นั่นดิ"

   มองตามทางที่เขาชี้ไป ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็พบว่าแบล็คกำลังหมายถึงใคร ผู้ชายตัวสูงโดดเด่นที่ผมแบบรองทรงของรด.ไม่อาจทำร้ายเขาได้แม้แต่น้อย กำลังคุยอยู่กับเพื่อนร่วมห้องของผมที่เป็นกัปตันชมรมบาส ความสูงเกือบสองเมตรแล้วมั้งนั่น สูงเอาสูงเอาไม่เห็นหยุดสักที ผมนี่หยุดสูงมาเกือบเทอมแล้วอะ

   ผมคว่ำปากยิ่งกว่าเดิม "ไม่เอาที่หนึ่ง"

   เขาชื่อที่หนึ่ง ได้ยินครั้งเดียวก็ไม่ลืมแล้ว

   "นี่มึงยังแค้นมันอยู่อีกเหรอวะ" พูดแล้วก็ยิ่งอารมณ์เสีย แม่งเป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมยอมลงทุนทุ่มเทชีวิตทำอะไรอย่างนั้น "คือมึงกากเองแล้วจะไปโทษคนอื่นทำไม"

   "แบล็ค!"

   "เออ นั่นชื่อกู"

   "กูจะฟ้องคุณพินิจว่าวันก่อนมึงแอบดูดบุหรี่ที่สวนหลังบ้าน"

   "ไอ้เด็กขี้ฟ้อง น่ารำคาญชะมัด"

   ที่หนึ่งกับผมแม่งโคตรต่างกันอะ คืออยู่โรงเรียนเดียวกันนะ ซึ่งหมายความว่าผมกับเขาคงเดินสวนกันอยู่หลายครั้งแหละ แต่ไอ้การอยู่ร่วมกันของเรามันคนละมิติ คือพื้นที่อาจทับซ้อนกันบ้างแต่ไม่มีทางที่จะสื่อสารถึงกันได้อะไรประมาณนั้น

   "มึงก็มาช่วยกูทำงานดิ กูไม่ไปถามที่หนึ่งหรอก"

   "ใครบอกว่ากูบอกให้ไปถามที่หนึ่งล่ะวะ ถามอีกคนดิ เพื่อนในห้องก็ใช้ให้เป็นประโยชน์หน่อย"

   เหมือนมีรูปหลอดไฟสว่างขึ้นมาอยู่เหนือหัว ผมฉีกยิ้มกว้างให้ผู้ชี้ทางสว่างให้ นั่นสิ มีกัปตันบาสอยู่ในห้องทั้งทีก็ขอให้ช่วยหน่อย ลัจน่ะซี้กับทุกคนไปทั่วอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร กำหนดส่งก็อีกห้าวัน มีเวลาทำเยอะแยะ

   ...แต่ไม่รู้ทำไมถึงอยากให้งานคู่ชิ้นนี้มันยืนยาวออกไปอีกหน่อย


***
ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 19-03-2016 13:09:34

   "มาไวตลอดเลยนะช่วงนี้" แซวแทนการทักเมื่อเห็นว่าในห้องสมุดขนาดเล็กของคุณพินิจมีใครนั่งอยู่ก่อนแล้ว ลัจเงยหน้าขึ้นมามองผมยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรแล้วกลับลงไปขีดเขียนอะไรบางอย่างตรงหน้าต่อ

   "ขยันชะมัด อย่าทำให้รู้สึกมีปมด้อยดิ"

   "ก็อย่าขี้เกียจ นี่ยังไม่ได้ทำการบ้านของเมื่อวานเลยล่ะสิ"

   ผมเดาะลิ้นเบื่อคนรู้ทัน "ยากอะ ไม่มีใครยอมช่วยทำด้วย"

   "ถูกแล้ว"

   "แล้วนี่นอนไม่หลับหรือไงถึงมาเช้าได้ตลอด"

   ตอนนี้เราก็อยู่ในชั้นมัธยมที่หกกันแล้ว อีกไม่กี่เดือนสนามสอบเพื่อแข่งขันแย่งชิงกันเป็นนักศึกษาก็จะเริ่มต้นขึ้น พวกผมลงมติกันว่าจะไม่ไปเรียนพิเศษตามกระแสอย่างที่เด็กวัยรุ่นทั่วไปเขาทำกัน จะติวเฉพาะวิชาที่จำเป็นเท่านั้นและก็จะไม่ใช่การติวกับตู้โทรทัศน์เด็ดขาด เลยจบลงด้วยการที่คุณพินิจจ้างติวเตอร์มาสอนแบบกลุ่มขนาดเล็กที่บ้านโดยมีสมาชิกเข้าเรียนสามถึงสี่คนตามอารมณ์ นิชประกาศตนไว้ชัดเจนแล้วว่าจะไม่เข้ามหาลัยเลยไม่ต้องติวอะไรให้ปวดสมอง คือถ้าให้ตอบตามความคิดของตัวเองคนที่สอบติดแพทย์แต่สละสิทธิ์นี่ก็ไม่ควรต้องติวอะไรอีกแล้วล่ะ ส่วนเน็ทติดคณะวิศวะอินเตอร์ตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอมหนึ่งเลย ใช้โควต้าพิเศษอะไรของเขาก็ไม่รู้

   การติวของพวกเราจะมีทุกเสาร์ เช้าหรือบ่ายแล้วแต่ความสะดวกในช่วงนั้น ส่วนวันนี้เรามีติวกันช่วงบ่ายแต่เธอก็มานั่งเล่นอยู่ตั้งแต่เก้าโมงกว่าแล้ว ถึงบ้านของผมจะกลายเป็นที่รวมศูนย์ของเพื่อนทุกคนมานานแล้วก็เถอะ มันก็ดูมีอะไรที่ไม่ค่อยเมคเซนต์ รู้สึกว่าลัจเริ่มมาเร็วอย่างนี้ได้เกือบเดือนแล้วมั้ง

   "เปล่า" ยิ้มของเธอดูมีความสุข "มาเช้าจะได้เพิ่มโอกาสอะไรให้ชีวิตบ้างไง"

   "วันนี้แปลกๆ นะลัจ"

   "เหรอ"

   "อืม"

   "ก็แค่อยากมาเช้า ไม่เห็นมีอะไรแปลกเลย" เธอยกไหล่ขึ้น พยักเพยิดมาทางแฟ้มที่ผมถืออยู่ "ไปทำการบ้านไป เดี๋ยวก็โดนสั่งทำเพิ่มหรอก"

   ในห้องติวเลยจะมีผม แบล็ค ลัจ ส่วนไวท์จะเข้ามาเรียนต่อเมื่อเป็นเนื้อหาวิชาที่สนใจเป็นพิเศษ วิชาที่ติวก็เป็นพวกที่จำเป็นต่อการสอบตรงอย่างพวกแกทแพท อะไรทำนองนี้

   "นี่สรุปจะสอบของอะไรบ้างอะ?"

   ทำการบ้านแบบส่งๆ ไปให้ครบเสร็จแล้ว ผมถามขึ้นระหว่างที่รอพี่ชายลงมาเสริมทัพ อย่างผมเองก็สอบแบบเก็บคะแนนสะสมไว้สำหรับสอบตรงแล้วส่วนหนึ่ง เผื่อว่าถ้าพลาดรอบรับตรงก็ยังพอไปลุ้นกับด่านสุดท้ายอย่างแอดมิชชั่นได้

   "ไม่รู้สิ มีอะไรก็คงสอบหมดล่ะมั้ง"

   "แต่จะเข้าที่เดียวกันใช่ป่ะ" คุณพินิจเคยคุยเรื่องเรียนต่อกับพวกเราเอาไว้แล้ว เป็นเรื่องที่ดีที่พวกเราสามคนเห็นตรงกันเรื่องมหาลัยที่จะเข้าในอนาคต เลยเป็นที่ค่อนข้างแน่นอนว่าต่อให้เปลี่ยนสถานะจากนักเรียนเป็นนักศึกษาแล้วผมกับพี่ฝาแฝดก็ยังคงติดสอยห้อยตามกันไปต่อ ...ถ้าผมสอบติดอะนะ

   "...ไม่แน่ใจแฮะ นี่เริ่มลังเลแล้ว"

   "อ้าว?"

   "อาจไปเรียนเมืองนอกเลย ที่จริงอยากเข้าแบบอินเตอร์น่ะ แต่ว่ามันต้องเรียนอีกศูนย์"

   "ก็เข้าแบบปกติสิ"

   "ทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างนั้นไหมล่ะ" เธอกรอกตาไปมา "ไม่ได้หัวดีแบบคุ้กกี้แอนท์ครีมสักหน่อย"

   นั่นเป็นชื่อที่เธอใช้เรียกลับหลัง บอกว่าแบล็คแอนท์ไวท์มันเกร่อไปหน่อยเลยเปลี่ยนให้เอง แต่ก็ไม่ได้เรียกต่อหน้าหรอกนะ รสชาติที่เต็มไปด้วยความหวานเลี่ยนอย่างนั้นไปด้วยกันกับพี่น้องคู่นี้ไม่ได้หรอก

   "ไม่อยากอยู่ด้วยกันต่อเหรอ"

   "หืม?"

   "เราเป็นกลุ่มเดียวกันไม่ใช่หรือไง" รีบกลบเกลื่อนก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นว่ามันมีอะไรที่ซ่อนอยู่ใต้นั้น

   "ทีตอนนั้นใครพนันว่าฉันจะอยู่ได้กี่วัน"

   หัวเราะแห้งๆ ตอนที่เห็นเธอค้อนวงใหญ่ "หนูเองค่ะ"

   "ก็อยากอยู่ ถ้าเป็นพระเจ้าคงเสกให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่ต้องการแล้ว เสียดายที่ฉันเป็นแค่นางฟ้าน่ะ"

   "มาอยู่กับพวกเราเถอะน่า"

   "ไม่สัญญานะ...ขอดูก่อนแล้วกัน"

   "เย้ ลัจน่ารักที่สุดเลย"

   มันเป็นคำชมปกติที่ผมมักใช้เวลาได้สิ่งที่ต้องการจากพวกพี่ แต่ละคนก็จะมีการตอบกลับที่ต่างกันออกไป ส่วนของลัจนี่คงเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับผมมากอยู่พอควร เธอชะงักค้างและหยุดทุกการเคลื่อนไหวไป

   "เป็นอะไรเหรอ"

   "เปล่า..." ส่ายหัวนิดหน่อยพลางกลับไปอยู่กับตำราเรียนตรงหน้า "ก็แค่คิดว่าถ้าทุกคนพูดอะไรอย่างนี้ออกมาง่ายๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน"

   "อย่าดีกว่ามั้ง ลองนึกภาพแบล็คพูดอะไรอย่างนี้ออกมาสิ น่าขนลุกจะตายไป"

   ลองคิดภาพตามแล้วก็ปัดมันทิ้งเสีย ลองให้ลูกชายแมนๆ คนโตของบ้านมาทำอะไรอย่างนั้นดูสิ คงเป็นตอนที่ไวท์ยอมพูดมาก นั่นเท่ากับไม่มีทางเป็นไปได้ยังไงล่ะ

   "น่าสนใจดีออก"

   "พอจบมอหกแล้วไปเที่ยวกันไหมลัจ"

   "อะไรนะ?"

   "ไปเที่ยวฉลองเรียนจบกันไหม ไปภูเก็ตอย่างที่เคยคุยกันก็ได้"

   "ทริปล่มจมน่ะเหรอ นี่ยังหวังได้อยู่?"

   มันเป็นแพลนที่ล่มจนกลายเป็นเรื่องตลกว่าชาตินี้คงไม่มีทางได้ไปเที่ยวด้วยกันครบกลุ่มที่นี่ พอคนนี้ว่างคนนู่นก็ติดงาน มีครั้งหนึ่งลงทุนของทุกอย่างไว้เป็นครึ่งปีสุดท้ายก็อดไปอยู่ดีเพราะเน็ทลืม แล้วไปเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครัวเสียอย่างนั้น

   "ก็นิดหน่อย ได้ไปเที่ยวพร้อมหน้าก็น่าสนุกดี" อยากไปเห็นด้วยตาตัวเองว่าเมืองที่เธอโตขึ้นมาเป็นแบบไหน

   "...โรม"

   "ว่าไง?"

   ค้างอยู่อย่างนั้นเป็นการรอคอยว่าเธอจะพูดอะไรต่อ ลัจมองหน้าผมอยู่อีกพักใหญ่สุดท้ายถึงพูดออกมา "...ช่างมันเถอะ ไปอ่านหนังสือได้แล้ว"

   "ขอพักอีกหน่อยแล้วกัน"

   ทำเป็นมองออกไปนอกหน้าต่างชมอะไรไปเรื่อย แต่ลัจไม่ทางรู้หรอกว่าสิ่งเดียวที่ผมกำลังมองอยู่ตอนนี้คือภาพของเธอที่ฉายอยู่ตรงกระจกใส ผมสีอ่อนหยักสวยเหมือนของแม่ โครงหน้าแบบชาวต่างชาติสร้างความโดดดเด่นให้เธอกว่าใคร

   หลับตาลงไล่ความเมื่อยล้า

   ขอแค่เธอยังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนก็พอแล้ว

 
   ผมว่าผมชอบเธอเข้าแล้วล่ะ

 
   เสียงพากย์ที่ฟังแล้วชวนหลับมากกว่าตื่นเต้นกล่อมให้ผมเคลิ้มไป นาฬิกาบอกเวลาเกือบสามทุ่มกว่าแล้วแต่พี่ชายคนโตของบ้านก็ยังไม่กลับจากการซ้อมกีฬาตามปกติ หลังจากที่หนีไปอยู่ชมรมบาสเก็ตบอลมาเกือบครึ่งปีสุดท้ายก็โดนลากกลับไปอยู่ชมรมเทนนิสจนได้ เห็นว่าคนไม่พอ

   ทั้งยังไม่ใช่เวลานอนและเพื่อนสาวคนข้างๆ ก็ยังไม่ละสายตาจากสารคดีเกี่ยวกับอวกาศเรื่องที่ล้าน ผมเลยมานั่งแหมะดูภาพก้อนหินในจักรวาลเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ ตามเนื้อหาในช่วงนั้น ไวท์จะเรียนต่อในด้านดาราศาสตร์ตามที่เคยคุยกับคุณพินิจเอาไว้ จากงานอดิเรกที่ทำฆ่าเวลาตอนกลางคืนก็กลายเป็นความสนใจจริงจังถึงขั้นที่มีกล้องดูดาวอยู่ในห้องเป็นของตัวเอง ไม่ต้องห่วงเรื่องแสงไฟเพราะบ้านหลังนี้อยู่กลางป่าที่ไม่มีไฟอิเล็กทรอนิกส์อะไรมารบกวนได้อยู่แล้ว

   พูดแล้วก็น่าอิจฉาจังนะ พวกที่รู้ตัวว่าอยากเรียนต่อทางไหนแล้วก็พุ่งไปสุดตัว อย่างผมเองถึงตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าที่บอกความต้องการของตัวเองไปวันนั้นมันเป็นสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ หรือเปล่า ตั้งแต่จำความได้ผมก็ทำตามที่คนอื่นต้องการมาโดยตลอด พอต้องมาเลือกทางเดินให้กับตัวเองคนจำพวกเรื่อยเปื่อยที่ลอยไปตามแรงบังคับของคนอื่นจนเคยตัวเมื่อถึงวันที่ไร้การกำกับดูแลแล้วมันก็เคว้งคว้างอย่างนี้

   จะให้เรียนต่อในทางประวัติศาสตร์อย่างที่พ่อแม่ของตัวเองเคยทำอยู่คงเป็นไปไม่ได้ แค่ได้ยินคำว่าประวัติศาสตร์ก็โบกมือลาแล้ว คุณพินิจจบทางสถาปัตย์ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นนายใหญ่ในธุรกิจสีเทาเลย ความอินดี้ที่ไม่เข้าใครออกใครนี่มันส่งมาถึงพวกลูกๆ ด้วย

   "ลัจบอกว่าอาจไปเรียนต่อเมืองนอกแหละ"

   "...เหรอ" ไวท์ตอบผมทั้งๆ ที่สายตายังคงจับจ้องไปยังจอภาพตรงหน้า "ก็เป็นไปได้"

   "เธอไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ เพื่อนจะไม่อยู่แล้วนะ"

   "ต่างคน...ก็มีเหตุผลของตัวเอง"

   คล้ายว่าไวท์ทำใจไว้อยู่แล้วว่ามันอาจเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น ก็อาจเป็นเป็นได้สูงเพราะสองสาวเขาก็คงมีการพูดคุยกันเองมากพอสมควร

   "ก็จะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ แล้วล่ะสิ" 

   "คงอย่างนั้น" 

   "ไวท์..."

   "ว่า"

   "น้องคิดว่าน้องชอบลัจ"

   "..."

   มือที่ถือรีโมตเตรียมเปลี่ยนช่องค้างอยู่อย่างนั้น เห็นนัยน์ตาว่างเปล่าขยายออกนิดหน่อยก่อนกลับมาเป็นแบบปกติพร้อมกับการที่เธอหันมาทางที่ผม

   "ชอบ?"

   "อืม"

   "เพราะ"

   "หลายอย่าง บอกไม่ถูกอะ แต่คิดว่าอย่างนี้นี่แหละที่เรียกว่าชอบ"

   "มั่นใจ?"

   "อืม เลยอยากปรึกษาอะไรหน่อย"

   เลือกอยู่นานว่าควรถามพี่ผู้ชายหรือผู้หญิงดี แล้วก็สรุปได้ว่าถามไวท์น่าจะดีกว่า ขืนไปถามแบล็คนี่อาจโดนไล่เรียงสอบสวนอะไรอีกมาก

   "ว่ามา"

   "ถ้าบอกไปว่าชอบ...คิดว่ามันจะเป็นอะไรไหม?"

   หนึ่งในเรื่องพิลึกของกลุ่มผมคือทุกคนโสด ตลกไหมล่ะ แบล็คไม่เคยมองใครนอกจากน้องสาวของตัวเอง ส่วนน้องสาวที่เฝ้าห่วงแค่จะสนใจมนุษย์ด้วยกันยังไม่ค่อยจะทำ นิชก็เป็นเด็กเนิร์ดที่ปฏิเสธทุกคนที่เข้ามาด้วยเหตุผลว่ายังไม่ดีพอ ที่ดูเข้าเค้ามากที่สุดคงเป็นเน็ทที่เห็นคุยไปทั่ว แต่ก็ไม่เห็นว่าจะสนใจใครจริงสักราย

   "..."

   เธอชะงักค้างไปนิดหน่อยตอนที่ผมบอกความต้องการของตัวเองออกไป อะไรบางอย่างบอกว่าเธออึดอัดใจที่ได้ยินคำพูดนั้นออกมาจากปากของผม

   "จะบอกเหรอ"

   "อยู่อย่างนี้มันก็ค้างคาอะ" ผมอาจเดาใจเธอไม่ออก แต่ก็พอเห็นอยู่ลางๆ ว่าเธอไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าไหร่นัก "คิดว่าไม่ดีเหรอ?"

   ถึงจะกังวลอยู่หน่อยว่าถ้าบอกไปแล้วทุกอย่างอาจเปลี่ยนไปถาวร มีตัวอย่างให้เห็นเยอะแยะพวกที่ไม่สามารถกลับไปเป็นเพื่อนกันได้น่ะ

   แต่จะให้เก็บไว้อย่างนี้ก็ไม่อยากทำเหมือนกัน

   "เปล่า ก็แค่..."

   "แค่?"

   สีขาวชอบพูดช้า เบา แล้วก็สั้นอย่างที่เอาแต่ใจความสำคัญจริงๆ อีกทั้งชอบพูดตรงจนดูเป็นจำพวกหยิ่งที่ไม่มีใครอยากคบ ไม่เหมือนพี่ชายที่ต่อให้พูดน้อยแค่ไหนก็ยังมีคนชอบ สีดำที่เอาผ้าสีขาวมาคลุมตัวเองไว้ให้ดูแสนดีตลอดเวลา

   "ไม่มีอะไรหรอก"

   "งั้นช่วยน้องหน่อยได้ไหม?"

   บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องตลกที่เราจะกลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยในอีกไม่มีเดือนข้างหน้าอยู่แล้วผมก็ยังเรียกตัวเองว่าน้องอยู่ดี ซึ่งผมไม่แคร์เรื่องนั้นนะ อย่างน้อยต่อให้ผมเป็นน้องเล็กก็เป็นน้องที่รู้จักจัดการชีวิตตัวเอง ไม่เหมือนบางคนที่ผมรู้จัก เป็นพี่แล้วแท้ๆ แต่กลับทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง

   มันเป็นการถามที่รู้อยู่แล้วว่าไวท์ไม่มีทางปฏิเสธ ในที่สุดเธอก็ตกลงที่จะทำตามคำขอของผมโดยที่ไม่ถามรายละเอียดเพิ่มเติม

   "อืม"

   พี่ไวท์ตามใจน้องโรมเสมอ

   การตามใจที่เกิดขึ้นทุกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะรักมากกว่าใคร...หรือรู้สึกผิดมากกว่าใคร
 


   ไม่รู้ว่ากำลังเจอเรื่องแปลกหรือว่าตัวเองนี่แหละที่กำลังทำตัวแปลก

   แผนงี่เง่าที่ให้ไวท์ชวนลัจไปเที่ยวโดยที่จริงแล้วมีแต่ผมเองที่รออยู่ พี่สาวก็ให้ความร่วมมืออย่างดีโดยยอมนัดให้ตามวันที่ผมขอไว้ วันนี้อย่างน้อยผมก็ต้องบอกความในใจของตัวเองออกไปให้ได้ ต่อให้รู้ตัวว่ามีสิทธิผิดหวังมากกว่าสมหวังก็เถอะ

   ลัจเป็นคนตรงต่อเวลา เธอมักจะไปถึงก่อนเวลานัดห้านาทีเป็นอย่างต่ำ สูงที่สุดคือสี่สิบห้านาทีตอนที่พวกเรานัดกันไปเที่ยวบ้านผีสิงแถวรัชดา มันถึงเป็นเรื่องแปลกที่ตอนนี้เลยเวลานัดมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วผมยังไม่เห็นร่างสูงโปร่งแบบชาวต่างประเทศเดินผ่านมาแถวนี้เลยสักคนเดียว

   อยู่ไหนแล้ว?

   ค้างตรงกล่องข้อความอยู่อย่างนั้นไม่ยอมกดส่งออกไปเสียที หัวใจผมเต้นเร็วอยู่ตลอดเวลา คงจากความตื่นเต้นระคนกับความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตรงไหน

   จากครึ่งชั่วโมงล่วงเลยจนเป็นเกือบสองชั่วโมง ผมเริ่มกระวนกระวายใจจนไม่สามารถนั่งอยู่กับที่ได้ โต๊ะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเปลี่ยนหน้ามาเป็นรายที่สามแล้ว จะโทรไปก็ไม่กล้า แค่จะส่งข้อความไปหาก็ยังไม่อยากทำ

   โทรศัพท์ในมือสั่นครืด รีบพลิกดูว่าคนที่โทรมาคือคนเดียวกับที่ผมกำลังรออยู่หรือไม่ ความผิดหวังมากเกินตอนที่มันแจ้งว่าพี่ชายคนโตของผมโทรเข้ามา ผมรับสายไปอย่างนั้นไม่ให้โดนเขาบ่นภายหลัง

   (อยู่ที่เดิมรึเปล่า?)
   
   ผมบอกที่บ้านไว้ว่าจะออกมาเที่ยว ไม่ได้บอกว่าจะออกมากับใครด้วย

   เสียงของเขาราบเรียบจนผมใจคอไม่ดี "อยู่ๆ มีอะไร"

   (กำลังไปรับ รออยู่แถวนั้นอย่าไปไหนล่ะ)

   "หา?"

   (ไม่เกินสิบนาที)
   
   ต่อให้ไม่เข้าใจอะไรก็ไม่มีโอกาสได้ถามต่อ ผมเลยต้องชะเง้อมองหาผู้ชายคนนั้นอยู่ร้านกาแกชื่อดังที่อยู่ติดกับถนนใหญ่ตลอดเวลา เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ ถ้าไม่เครียดอะไรจริงๆ ปกติแล้วนั่นไม่ใช่เสียงที่เขาใช้เลย 

   ราชาทำได้อย่างที่พูดไว้ ใช้เวลาไม่ถึงแปดนาทีดีรถบิ๊กไบค์คันใหญ่ก็มาเทียบตรงหน้าผม แบล็คเปิดหมวกกันน็อคของตัวเองออกมา ผมเห็นรอยเศร้าอยู่ในนัยน์ตาที่โผล่ออกมาจากหมวกเพียงเสี้ยว

   "ขึ้นมา"

   "จะไปไหน"

   "กูบอกให้ขึ้นมาน้องโรม"

   "แต่..."

   ผมรอลัจอยู่
   
   พี่ชายที่แสนใจดีของผมไม่เคยทำหน้าเคร่งเครียดขนาดนั้นใส่มาก่อน ผมหันรีหันขวางมองเผื่อว่าลัจจะมาตามที่นัดไว้แล้ว เธอต้องมาสิ...ก็นัดไว้แล้วนี่นา

   "พอแล้ว ไม่ต้องรอแล้ว"

   "..."

   "เดี๋ยวพาไปหาเอง"

   ผมลืมไปว่านางฟ้ามี 'ปีก' ที่พร้อมบินตลอดเวลา


***
   สวัสดีค่ะ กล้ากลับมาทอร์คแล้วค่ะ (ฮา) อยากเมาท์มอยมาสองสามตอนแล้วแต่ไม่ช่องให้แทรกเลยค่ะ เป็นช่วงหน่วงหน่อยๆ ที่ไม่อยากขัดฟีลอะไรทั้งนั้นเลย จากนี้ก็จะเข้าสู่ช่วงเกือบท้ายเรื่องแล้วล่ะค่ะตามที่ลองวางโครงไว้ แต่ได้วางนะคะยังไม่ได้พิมพ์อะไรเลย (หัวเราะ)
   ฟีตแบคส่วนมากคือซับซ้อน...ซึ่งก็ยอมรับตรงนี้ว่าพอกลับไปมองดีๆ มันก็ซับซ้อนจริงๆ นั่นแหละค่ะ ซึ่งเจ้ามีแพลนเคลียร์ปมอยู่แล้วในแต่ละตอนต่อจากนี้ หากท่านใดเคยทายเนื้อเรื่องไว้รอดูกันต่อไปนะคะว่าจะเหมือนที่เดาไว้หรือเปล่า (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-03-2016 14:13:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: qilarsy39 ที่ 19-03-2016 17:43:54
ชอบเรื่องที่มีปมอ่ะ มันทำให้หยึดอ่านไม่ได้อยากอ่านต่อ  :really2:
ว่าแล้วก็เข้ามารอตอนต่อไป รอคอยพี่หนึ่งของป้าต่อ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 19-03-2016 17:50:43
รอเน้อออ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-03-2016 18:21:38
นางฟ้ามีปีกบินไปเองได้สินะ เห้ออออ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Lonelyนู๋โรนลี่ ที่ 19-03-2016 19:23:39
เดาไม่ออก เพราะไม่เกรย์โผล่เลย แต่ที่ลัจมาบ้านเช้าๆเราว่าตอนนี้น่าจะได้มาเจอเกรย์กันหรือเปล่า เดามั่วแท้ๆ
รอลุ้นตอนต่อไป
ที่หนึ่ง..คิดถึงจัง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Ametyst ที่ 21-03-2016 00:31:58
มีปมเยอะก็ดีเหมือนกันนะคะ เรื่องจะได้ไม่จบเร็วเกินไป อยากอ่านไปเรื่อยๆค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 22 [19.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 21-03-2016 12:53:11
พึ่งจะเข้ามาอ่าน  :เฮ้อ: ปมเยอะ ซับซ้อนได้อีก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 26-03-2016 19:30:20
บทที่ 23

   ผ่านช่วงสอบปลายภาคมาแล้วก็ได้เวลาเข้าสู่ช่วงเวลาที่เรียกว่าปิดเทอมเล็ก เป็นเรื่องดีนิดหน่อยที่มันทำให้ผมบังคับตัวเองได้มากขึ้นจากการที่ไม่มีตัวแปรอื่นมาเสริม เริ่มชินกับการตื่นเช้าโดยนาฬิกาปลุกสีเขียวที่เขาเป็นคนซื้อ ไม่ต้องให้แบล็คหรือไวท์มาเคาะเรียกให้เสียเวลาอีก วิธีการอยู่ร่วมบ้านกับพี่ชายอีกคนก็แค่ทำเป็นเมินเหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตนไปเสีย มันก็ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมาได้เล็กน้อยอยู่เหมือนกัน ผมชินกับทุกอย่างที่กลับไปเป็นอย่างตอนที่ยังไม่มีเขาอยู่

   รวมทั้งชินกับอาการชาตรงหัวใจตอนที่เผลอนึกถึง

   "มารับดอกไม้ครับ"

   ยื่นใบจองที่ได้รับมาเมื่อหลายวันก่อนตอนมาสั่งไว้ พนักงานหน้าร้านยิ้มการค้าให้พลางตรวจสอบความถูกต้องของระเบียบการสั่ง ผมยืนมองสินค้าชนิดอื่นที่ละลานตาไปทั่วเป็นการพักสายตาไปในตัว ไม่ได้ออกมาเห็นวิวข้างนอกอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ผมทิ้งให้ด้ายชีวิตค่อยๆ ม้วนเก็บเข้าหลอดไปอย่างไร้ประโยชน์ที่สุดตั้งแต่เริ่มปิดเทอมมาด้วยการเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านไม่ออกไปสุงสิงกับใคร ต่อให้คุณพินิจเป็นคนชวนเที่ยวผมยังปฏิเสธไปเลย

   "...กค้า ลูกค้าคะ"

   "ครับ?" ตอบรับไปอย่างไม่ค่อยได้สตินัก ส่วนหนึ่งคงมาจากการตื่นเช้าเกินพอดีเพื่อให้ออกมารับสินค้าได้ทันตามที่สั่งไว้ วันนี้ผมยังมีภารกิจอีกเยอะแยะให้กลับไปทำ "ดอกไม้ล่ะครับ?"

   ไม่เห็นดอกไม้สักดอกอยู่บนเคาท์เตอร์ สาวน้อยผู้มีป้ายแบบเข็มกลัดติดไว้ที่อกว่าฝึกงานพนมมือไว้บริเวณอกเป็นส่วนประกอบคำขอโทษ

   "ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ คือพอดีดอกไม้หมดเลยต้องให้สาขาอื่นมาส่งให้ ทางลูกค้ารีบรึเปล่าคะ"

   "ไม่รีบครับ"

   แอบไม่พอใจอยู่หน่อยที่เจอปัญหาเฉพาะหน้าอย่างนี้ เดี๋ยวคงต้องไปลองเช็คดูดวงรายวันเสียแล้วว่าวันนี้เป็นวันฤกษ์ไม่ดีของผมรึเปล่า อาจเป็นวันดาวมฤตยูที่จะเจอแต่เรื่องร้ายๆ อะไรอย่างนั้น

   คนที่โดนปล่อยเคว้งก็เลยต้องเดินวนไปมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่มีแต่ดอกไม้เต็มไปหมด กลิ่นเฉพาะตัวของแต่ละดอกตีกันให้วุ่นจนต้องยกมือขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้ สีสันที่แตกต่างละลานตาต่างอวดความสวยงามของตัวเองที่ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้ มองเหม่อไปจนสะดุดกับดอกไม้สีสดที่ถูกวางไว้รวมกัน

   ดอกไม้สีสวย กลีบหยักซ้อนกันจนกลายเป็นช่อดอกไม้ในตัวเองเด่นออกมาจากกลุ่ม...คล้ายเขา

   "นั่นดอกอะไรเหรอครับ?"

   "ไหนคะ อ๋อ ดอกคาเนชั่นค่ะ"
   
   ชื่อคุ้น แต่ไม่ชัวร์ว่าเคยเห็นมันมาก่อนหรือไม่ ผมเดินตรงไปหาช่อดอกไม้ที่อยู่ในความสนใจ แตะปลายนิ้วลงตรงช่วงอ่อนนุ่มของกลีบ เมื่อลองสังเกตดูให้ดีแล้วจะเห็นว่ามีการไล่ระดับสีตั้งแต่โคนกลีบไปจนถึงปลาย เริ่มจากสีแดงอ่อนติดชมพูไปถึงสีแดงเข้ม สวยดี

   "มีความหมายว่าอะไรเหรอครับ?" อยากรู้มันขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมยกมันขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา พิจารณาจนครบทุกส่วน

   "ความหมายเหรอคะ ...สักครู่นะคะ"

   "ได้ครับ"

   สาวน้อยในชุดยูนิฟอร์มพนักงานยังคงก้มหาอะไรบางอย่างในลิ้นชัก คงกลัวผมเสียเวลาเลยบอกข้อมูลอื่นไปพลาง "คาเนชั่นเป็นดอกไม้ประจำเดือนมกราคมค่ะ หนูเองก็เกิดเดือนนี้"

   มือเกิดอ่อนแรงเสียอย่างนั้น ผมนึกขอบคุณตัวเองในใจที่ยังคงสติไว้ได้ก่อนที่จะทำมันร่วงหล่นลงไป ดอกไม้ประจำเดือนของคนที่เกิดเดือนหนึ่ง และคงรวมถึงคนที่เกิดวันที่หนึ่ง...

   บอกแล้วไงว่าผมชินกับอาการชาตรงหัวใจแล้ว

   "แล้วกันยานี่ดอกไม้ประจำเดือนคืออะไรเหรอครับ"

   "เดี๋ยวจะลองเปิดหาให้นะคะ อ้อ! เจอแล้ว ดอกคาเนชั่นสีแดง" ปลายนิ้วที่สังสรรค์ช่อดอกไม้ขนาดใหญ่เลื่อนลงไปตามแผ่นกระดาษ หล่อนฉีกยิ้มที่ผมเห็นแค่รอยสงสารอยู่ข้างใน "ยังรักอยู่เสมอค่ะ"

   ทุกอย่างลงตัวจนเกินไป

   "ขอบคุณมากครับ"

   "ดอกไม้ที่สั่งอีกสักพักคงจะมา ถ้าอยากรู้อะไรอีกก็ถามมาได้เลยค่ะ"

   จะไม่รอก็ไม่ได้ โชคดียังเป็นของผมอยู่หน่อยที่กะเวลาการเดินทางเอาไว้เยอะอยู่ อีกอย่างร้านก็ไม่ห่างจากบ้านมากนัก อย่างแย่ที่สุดก็แค่ให้แบล็คแวะมารับกลางทาง ส่วนดีถัดมาคือร้านก็รับผิดชอบด้วยการนำดอกไม้มาส่งให้หลังจากนั้นไม่นานนัก ดอกไม้สีขาวแซมฟ้าช่อใหญ่สำหรับคนพิเศษ

   ผมตรวจสอบความเรียบร้อยของสินค้าอีกนิดหน่อย เมื่อไม่มีข้อติอะไรแล้วถึงหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองขึ้นมาหาแบงค์สีม่วงเตรียมชำระเงิน

   "ตามบิลลูกค้าชำระครบแล้วนะคะ" เธอยกบิลที่มีรอยปั๊มกำกับไว้ว่า 'จ่ายเงินแล้ว' ให้ผมดู

   "...เอาคาเนชั่นช่อนั้นด้วยครับ"

   โดยพื้นฐานแล้วไม่ใช่คนชอบดอกไม้สักเท่าไหร่ ไม่ถึงขั้นเป็นภูมิแพ้อะไรหรอก แค่ไม่ชอบเวลาที่เห็นมันแห้งเหี่ยวไปตามกาลเวลา ความร่วงโรยที่คอยตอกย้ำเรื่องจริงที่ไม่มีใครเถียงออกไปได้ว่าต่อให้เคยสวยงามมากแค่ไหน สักวันหนึ่งมันก็ต้องจากไปไม่มีใครหรืออะไรที่อยู่ได้เป็นอมตะนิรันดร์

   ไม่ชอบนะ แต่ก็ยังอยากได้มันมาเก็บเอาไว้

   มองดอกไม้ที่ถูกตั้งให้มีความหมายว่า 'ยังรัก' ตลอดทางกลับบ้าน ช่อดอกไม้ขนาดใหญ่สองช่อสร้างความยากลำบากในการเดินเข้าไปสู่ตัวบ้านพอสมควร เรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุมอย่างที่สองของวันคือการพบสาวคนเดียวกำลังนั่งขีดเขียนอะไรอยู่ในสมุดเล่มหนาของตัวเอง แทนที่จะเจอลูกชายคนที่สองอย่างที่คิดไว้

   เกรย์ตื่นเช้ามาตั้งแต่เล็ก ไม่ต้องมีนาฬิกาปลุกเลยด้วยซ้ำ ถ้าตามเดิมแล้วหากวันไหนที่ผมตื่นเช้าจะต้องเจอเขาอยู่บริเวณห้องนั่งเล่นหรือไม่ก็ห้องอ่านหนังสือ ก่อนออกไปข้างนอกและจะกลับมาอีกทีตอนดึกดื่นค่ำมืด มันเป็นช่องว่างในข้อสัญญาที่เขาทำกับคุณพินิจ คุณพ่อมีตกลงแค่ว่าต้องกลับบ้านในทุกวันหยุด แต่ไม่ได้บอกว่าต้องอยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งวัน เพราะอย่างนั้นเขาจะอยู่แค่ช่วงเช้าที่คนอื่นยังไม่ตื่น พอสายหน่อยก็ไม่อยู่ให้ใครตามตัวเจอแล้ว น่าเบื่อที่สุดคือวันไหนที่คุณพินิจสั่งให้ต้องกลับมากินข้าวด้วยกันแล้วเขาไม่ยอมอยู่นี่สิ โทรจิกจนกว่าจะยอมกลับล่ะ

   "สวย"

   "ใช่ไหมล่ะ"

   "ให้สอง?"

   "ให้ช่อนี้” ผมชี้ไปทางช่อดอกไม้สีสะอาด แล้วเปลี่ยนยกอีกช่อให้เธอเห็นชัดๆ “...ส่วนนี่เห็นว่าสวยดีเลยซื้อมาด้วย"

   "อืม"

   ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อยระหว่างรอราชาเสด็จลงมา ผมเลยไปรื้อหาแจกันทรงสูงที่เก็บไว้อยู่ในมุมซอกหลืบของบ้านออกมาล้างคราบฝุ่นเสียหน่อย ระหว่างนั้นถึงนึกขึ้นมาได้ว่าที่ไวท์ตอบกลับมาแค่อืมมันไม่ใช่การตัดจบ สีขาวเคยมีงานอดิเรกเป็นการปลูกต้นไม้อยู่พักหนึ่ง ดอกไม้ที่เบสิคอย่างนี้คงรู้จักหรือถ้าไม่รู้เปิดอินเทอร์เน็ตปราดเดียวก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว

   ช่างเถอะ ใครจะคิดยังไงก็เรื่องของเขา ผมใช้วิธีการมั่วๆ จนสามารถยัดดอกไม้สีแดงลงไปได้ทั้งหมด มันไม่สวยเหมือนตอนที่อยู่ในร้านหรอก ฝีมือกากอย่างผมได้แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ก้าวถอยหลังมาชื่นชมผลงานของตัวเองจากมุมกว้าง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ภาพที่ปรากฎอยู่บนจอภาพสี่เหลี่ยมไม่ต่างจากที่ตาเห็น ผมถ่ายจนพอใจแล้วถึงเปลี่ยนไปเช็ครูปในอัลบั้ม

   "..."

   จนมาสะดุดอยู่ตรงแผ่นกระดาษขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังแจกัน ผมเลื่อนจุดสนใจจากหน้าจอเป็นปฏิทินที่แขวนไว้อยู่อย่างเดิม ที่เปลี่ยนไปคงเป็นรอยกากบาทในช่องว่างที่เพิ่มขึ้นจนเกือบเต็ม หยิบปากกาเมจิคหัวตัดขนาดใหญ่มาไว้ในมือ บรรจงวาดเส้นทแยงจากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่งจนเกิดตัวเอ็กซ์ขึ้นมาไม่ต่างจากช่องอื่น ค่อยๆ ยกมือขึ้นแตะช่องสุดท้ายที่เขียนไว้ว่า 'Angel Day' ค้างอยู่อย่างนั้น

   เหงาไหมนางฟ้า

   เดี๋ยวจะไปหาแล้วนะ


 
   "ทำไมต้องมาที่นี่"

   ผมหน้าตึงไปทันทีที่รถของแบล็คเลี้ยวเข้ามายังลานจอดรถของคอนโดข้างมหาวิทยาลัย บรรยากาศที่เคยคุ้นแต่ไม่คุ้นเคยเรียกเอาความทรงจำหลายๆ อย่างย้อนกลับเข้ามาจนรู้สึกแย่

   "มึงอยากโดนเจ้าชายระเบิดตู้มใส่หรือไง รอมันทำโปรเจคหน่อย"

   "ก็ไปรับที่หอสิ ทำไมต้องมาคอนโด"

   "มันบอกว่ากว่าจะเสร็จก็บ่ายสองนู่น นี่ยังไม่เที่ยงจะไปอยู่ไหนครับ"

   "ไปหาอะไรกินก็ได้"

   "เมื่อกี้เราไปกินกันมาแล้วน้องโรม คนอื่นน่ะกินส่วนมึงก็เอาแต่เขี่ยไปมาอยู่ได้ เดี๋ยวเป็นลมไปล่ะจะรู้สึก"

   อยู่ในช่วงเบื่ออาหารมาพักใหญ่แล้ว ผมไม่อยากมาที่นี่ ในเวลาที่ตัวเองยังไม่เข้มแข็งพอที่จะอยู่กับสิ่งเดิมๆ ได้

   ที่แย่ที่สุดคือแบล็คไม่ยอมให้ผมไปอยู่ห้องมันก่อน เจอคำพูดง่ายๆ แค่ว่าห้องไหนมันก็เห็นเหมือนกันเล่นเอาผมจุกจนไม่กล้าเถียง แม่งโคตรปัดความรับผิดชอบอะ ไขกุญแจเข้าห้องมาเจอสภาพแล้วจะให้ปิดม่านไว้ก็ไม่ค่อยไหว ช่วงหลังจากเกิดเรื่องผมก็กลับไปนอนบ้านกับไวท์ ปล่อยให้ห้องว่างฝุ่นเกาะอยู่อย่างนั้น แล้วนี่ก็มาเจอช่วงปิดเทอมต่อเข้าไปอีก ขืนไม่เปิดหน้าต่างไว้คงได้ไปโรงพยาบาลจากอาการภูมิแพ้ฝุ่นถามหา

   ค่อยๆ เคลื่อนผ้าม่านไปตามราง แสงแดดกระทบม่านตาจนต้องหรี่ลงกะทันหัน ผมก้มหน้าเอาไว้พลางกดเปิดตัวล็อคเพื่อเลื่อนกระจกบานใหญ่ให้แยกตัวออกต้อนรับลม ท่องบอกไว้ว่าอย่าหันไปมองฝั่งตรงข้าม รีบเปิดแล้วก็หันหน้าหนีไปซะ

   หรือบางทีผมก็ควรจะไปตรวจเช็คหน่อยว่าร่างกายนี้เป็นของผมอยู่หรือว่ามีใครกำลังควบคุมมันไว้ เพราะต่อให้บังคับมากแค่ไหนสุดท้ายผมก็ค่อยๆ หันหน้าไปทางกระจกจนได้ หัวใจหล่นวูบไปยามมองผ่านหน้าต่างไปเห็นว่าอีกฝั่งปิดม่านไว้สนิท

   เด็กกิจกรรมอย่างเขาคงยังไม่กลับบ้าน เพราะเห็นเจ้าประหลาดสีม่วงพาดอยู่ตรงระเบียงเพื่อตากแดดเอาไว้ ...อยากกอดอีกจังนะ ตอนที่เขารู้ว่าตั้งแต่ผมได้น้องส้มมาแล้วก็ไม่เคยเอาไปซักเลยนี่โดนร่ายใส่เป็นชุดอยู่เหมือนกันว่าผมต้องเอาตุ๊กตาออกไปซักไม่ก็ตากแดดเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นหมีส้มอาจกลายเป็นหมีดำไปได้

   ไว้กลับไปรอบนี้ก็คงได้เวลาซักอย่างเป็นทางการ ถ้ายังอยู่กับที่หนึ่งเขาต้องหยิบไปซักให้เองแล้วล่ะ

   “...”

   เลิกคิดถึงเขาสักทีน้องโรม

   สะบัดหัวไล่ความคิดทุกอย่างออกไป ผ้าม่านฝั่งตรงข้ามที่ปิดสนิทไม่อาจบอกผมได้ว่าตอนนี้ในห้องนั้นมีใครอื่นอยู่หรือไม่ ผมที่เล่นแคนดี้ครัชถึงด่านล่าสุดเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทำบนโทรศัพท์อีก จำใจยอมลากเก้าอี้มาไว้ตรงหน้าต่างบานใหญ่ เท้าแขนกับขอบกระจกพลางมองตุ๊กตาสีม่วงแสบตาอีกฝั่งแทนการพักสายตา

   และเป็นวิธีที่ดีกว่าที่คิดไว้เยอะอยู่ ผมสามารถนั่งมองตัวประหลาดอยู่อย่างนั้นได้โดยไม่ต้องทำอะไรให้มากความ ในสมองมีเพียงความว่างเปล่าปกคลุมไว้อย่างที่ไม่มีอะไรสามารถเข้ามาแทรกได้ จากแดดจ้าตอนเที่ยงตรงก็กลายเป็นลมพัดแรงจนสะดุ้ง ผมเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่เริ่มกลายเป็นสีครึ้ม ความรู้ที่เคยเรียนมาบอกว่าหยาดฝนกำลังจะมาทักทายในอีกไม่ช้า

   ที่จริงแล้วตุ๊กตาแบบนี้มีน้ำหนักมากพอควร โดยเฉพาะกับตุ๊กตาไซส์ใหญ่สุดอย่างนั้น เพียงแต่ว่าการเอามันมาพาดไว้กับระเบียงโดยที่ไม่มีอะไรคอยกดทับหรือว่าดึงเอาไว้มันเลยเริ่มโงนเงนไปตามแรงลม ความกังวลว่าเจ้าตัวประหลาดจะตกลงไปยังพื้นปูนข้างล่างบอกให้ผมเกาะติดสถานการณ์นี้เอาไว้อย่างใกล้ชิด

   เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เจ้าตัวม่วงที่ต้านแรงลมได้มาช่วงหนึ่งก็ร่วงหล่นไปตามการดึงดูดของสนามแรงโน้มถ่วง  ชั่งใจอยู่บนนั้นว่าจะลงไปดีหรือไม่ ถ้าเราเลือกที่จะกลับไปอยู่ตำแหน่งเดิมแล้วผมไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเดินลงไปเก็บ แล้วจะให้ผมมองเจ้าตุ๊กตาแสนรักของตัวเองนอนอยู่ที่พื้นด้านล่างอย่างนั้นเหรอ ถ้าฝนตกมันก็ต้องเปียกน่ะสิ หรือถ้ามีคนอื่นมาเห็นเข้าแล้วแอบเก็บไว้เองล่ะ

   แล้วผมก็ลงมาจนได้

   ถ้ามีคนผ่านไปมาก็คงสงสัยว่าผู้ชายคนนี้มายืนจ้องตุ๊กตาที่หล่นอยู่บนพื้นทำไม ผมกำลังหาเหตุผลสนับสนุนในการกระทำที่สวนทางกับความคิดอยู่น่ะ นี่ก็ยื่นมือออกไปแล้วก็ดึงกลับมาอยู่ข้างตัวไว้อย่างเดิมมาห้านาทีแล้วล่ะมั้ง ตลกดีนะที่เรื่องแค่นี้มันก็ทำให้ผมมีปัญหาได้

   เจ้าตัวแปลกยังคงยิ้มให้ผมเช่นทุกที หรืออาจจะไม่ได้ยิ้มอยู่ก็ได้ น่าคิดว่าถ้ามันพูดได้เจ้าม่วงไอจะพูดอะไรกับผมอยู่ อาจจะเป็น 'ไม่เจอกันนานเลยนะ หายไปไหนมา' ไม่ก็ 'อยู่ตัวคนเดียวเหงาจังเลย เมื่อไหร่จะเอาเจ้าส้มมาอยู่เป็นเพื่อนอีกล่ะ' ...หรือบางทีมันอาจกำลังถามผมอยู่ว่าจะมาอยู่ตรงนี้ทำไมอีก

   "ไง คิดถึงกันบ้างรึเปล่า" ไม่รู้ว่ากำลังพูดกับตุ๊กตา ...หรือส่งไปให้เจ้าของ

   ถึงจะรู้ว่าที่ผ้ายัดนุ่นตรงหน้ายังยิ้มได้เพราะว่ามันคือตุ๊กตา มันไม่สามารถเปลี่ยนอารมณ์หรือความรู้สึกได้อย่างผม ก็ยังอดอิจฉาไม่ได้ที่มันยังคงยกมุมปากขึ้นเป็นรูปตัวยูอยู่ เพราะทุกวันนี้แค่ขยับมุมปากให้ขยับองศาขึ้นไปหน่อยก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับผม

   "ข้างล่างร้อนใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวพากลับขึ้นไปนะ"

   จะถือว่ายิ้มที่ส่งมาให้อย่างนั้นคือการตอบตกลงแล้วกันนะ ผมหยิบไอขึ้นมาไว้ในมือ เลี่ยงที่จะเอามันมาชิดตัวไว้อย่างที่ชอบทำ ผมเข้าใจดีว่าระดับความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นต้องปฏิบัติตัวยังไง ใกล้กันว่านี้มันจะไม่ดีกับใจของผมเอง

   ที่จริงผมควรจะเอามันไปฝากไว้ที่ห้องส่วนกลางของคอนโด ผิดตรงขาเจ้ากรรมไม่ยอมฟังคำสั่ง มันพาผมเลี้ยวเข้ามาในตึกของเขา แล้วยิ่งกว่าฟ้าเป็นใจที่ผมสามารถผ่านทุกประตูเข้ามาได้โดยไม่มีสะดุด ทั้งที่ปกติแล้วคอนโดมีการวางระบบคีย์การ์ดไว้อย่างแน่นหนา มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้องที่อดีตเคยเป็นของเรา ไม่สิ ผมไม่ควรใช้คำพูดอย่างนั้นสักหน่อย ตลอดมาผมก็แค่ขอมาอยู่อาศัยด้วยชั่วคราวเท่านั้นเอง

   ตัวเลขห้าหลักเป็นการบอกเลขห้อง มันไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจแต่ผมก็จ้องมันอยู่อย่างนั้นไม่ละสายตาไปไหน อย่างกับว่าถ้ายังคงเพ่งมันต่อไปอีกสักพักประตูไม้นี้จะกลายร่างเป็นประตูโปร่งให้ผมเห็นภายในได้ ซึ่งที่จริงต่อให้ไม่เป็นอย่างนั้นผมก็จำได้อยู่ดีว่าข้างในมันเป็นอย่างไร อะไรอยู่ตรงไหนบ้าง

   โคตรแย่ ผมมายืนอยู่ไม่ถึงสองนาทีแม่งทำลายสิ่งที่ผมพยายามลืมตลอดสองเดือนหมดเกลี้ยง

   "เจ้านายแกอยู่ในห้องไหม?" ไม่สนว่าใครจะมองว่าผมประหลาดที่คุยกับตุ๊กตา "ถ้าลองเคาะ...เขาจะเปิดประตูให้รึเปล่า"

   เหมือนวันที่ผมย้ายมาอยู่กับเขา กระเป๋าอะไรไม่มีปัญหาหรอก จะมีก็แต่น้องส้มที่ไม่รู้จะยัดไว้ตรงไหนเลยหิ้วติดมือมาด้วยให้จบเรื่อง คอนโดไม่มีกริ่งเลยต้องใช้ระบบอัติโนมือ เคาะไปสองสามครั้งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาใกล้เข้ามาตามด้วยประตูที่เปิดออกกว้าง ยังจำได้อยู่เลยว่าเขาทำสีหน้าประหลาดขนาดไหน

   "ไม่น่าถามเลย ยังไงเขาก็ไม่มีทางเปิดให้อีกแล้วนี่นา"

   หรือว่าคลื่นความถี่ในการได้ยินของเรามันอยู่คนละระดับก็ไม่รู้ ผมยกไอให้อยู่ในระดับสายตา มองมันคงใบหน้ามีความสุขอยู่อย่างนั้นในขณะที่ความทรงจำกำลังเล่นย้อนกลับไปยังวันที่ผมไปซื้อเจ้าตัวนี้ จำได้ว่าเขาเรื่องมากแค่ไหนจนสุดท้ายก็มาจบตรงที่ตัวที่ผมหยิบลงมากอดมั่วๆ ตอนที่เขาอธิบายชื่อที่ตั้งขึ้นมาใหม่ หรือแม้กระทั่งภาพสะท้อนในกระจกที่บอกว่าตอนนั้นเรามีความสุขขนาดไหน

   "ห้ามโกรธนะที่ไม่ได้เอากลับไปไว้ข้างใน คงต้องให้นั่งรออยู่ข้างนอกนี่แหละ"

   ไม่มีสิทธิอะไรที่จะก้าวผ่านประตูนี้เข้าไปอีกแล้ว

   "ฉันแย่มากเลยเนอะ..."

   ไม่อยากปล่อยให้ไป แต่ก็จะไม่ให้อยู่

   "แกอยากบอกอะไรฉันรึเปล่า" เงียบรออีกฝ่ายตอบ มันยังคงปิดปากสนิทไม่มีการตอบรับกลับมาเลยสักนิด  "ไม่น่าถามเลยใช่ไหม ก็ทำตัวเองทั้งนั้นนี่นา"

   ผมรอจนมั่นใจว่าการสื่อสารของเราจบลงแล้วถึงเอ่ยคำลา

   "...อยู่กับเขาเผื่อสำหรับฉันด้วยนะ"

   ดึงมันมากอดไว้อย่างที่ต้องการ หลับตาลงรับสัมผัสอ่อนโยนของผืนผ้า สูดลมหายใจเข้าไปลึกจนได้กลิ่นของเขากระจายอยู่ทั่วไป มันคือกลิ่นเดียวกับที่กล่อมผมให้หลับฝันดีในอ้อมแขนของเขาทุกคืน

   ฝันดีที่คงไม่มีโอกาสได้พบอีกตลอดกาล


***
ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 26-03-2016 19:36:49
  การเคลื่อนตัวของรถยนต์สี่ประตูหยุดลงแล้ว ไม่ต่างกับการเต้นของหัวใจที่ช้าลงไปเรื่อยๆ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ตอนที่มองออกไปแล้วเห็นเพียงแท่นหินหลายรูปแบบวางเรียงต่อกันไปจนเกือบสุดลูกตา ทุกอย่างดูว่างเปล่าจนไม่รู้จะเริ่มต้นทำอะไรก่อนดี

   ถ้าสถานที่มันมีสีไว้แทนความรู้สึก ที่นี่ก็คงเป็นสีเทาจนเกือบดำ ตอนนั้นมาแทบทุกวันก็ยังไม่ชินกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยการจากลาอย่างนี้เสียที

   นางฟ้าทิ้งร่างของตัวเองไว้ก่อนโบยบินจากไป

   จำความรู้สึกแรกที่รู้ว่าเธอกลับไปอยู่บนท้องฟ้าไม่ได้เสียแล้ว หลังจากที่แบล็คมารับผมกลับบ้าน เขาก็สั่งให้ขึ้นไปเปลี่ยนเป็นเสื้อสีขาวหรือไม่ก็สีดำ พอลงมาก็พบว่าเพื่อนคนอื่นมารอกันอยู่พร้อมหน้าแล้ว ทุกอย่างชี้ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้น มีแต่ผมที่ไม่อยากยอมรับมัน

   จนกระทั่งตอนที่เห็นเธอนอนอยู่ในโลงศพดอกไม้ถึงเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้โดยไม่ต้องให้ใครเล่า ลัจหลับตาพริ้มราวกับร่างที่อยู่ตรงนั้นเพียงแค่กำลังหลับฝันดีอยู่ และพอเทพแห่งความฝันจากไปแล้วเธอก็จะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แค่ในความจริงแล้วเธอไม่มีทางตื่นขึ้นมาอีกเลย

   อุบัติเหตุจราจรคือสาเหตุการตายบนรายงานการเสียชีวิต รถสิบล้อที่ขับมาด้วยความเร็วสูงปาดหน้าไปจนรถของลัจต้องหักหลบกะทันหัน ส่วนที่เขาว่ากันว่าดีคือนางฟ้าเสียชีวิตเกือบจะในทันที ไม่ต้องทนเจ็บจากพิษบาดแผลใดๆ
ถ้าผมไม่เอาแต่ใจวันนั้น ลัจก็คงไม่ตาย

   'แองจี้กำลังไปจะไปเรียนต่อที่อังกฤษไงลูก'

   และคงไม่มีอะไรกระแทกความรู้สึกผมได้เท่าความจริงเรื่องการเดินทางของเธอในวันนั้น ทางที่ลัจเดินทางไปมันคือทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นคนละทิศกับที่ผมนัดเจอ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน และจนกว่าจะรู้ก็เป็นวันฝังแล้ว ถึงจะตกตะลึงกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งออกมาจากปากบุพการีของเธอ พวกผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเงียบไว้ไม่ให้พ่อแม่ของลัจสงสัยว่าเพราะอะไรลูกสาวถึงไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญอย่างนี้กับเพื่อนสนิท

   คนอื่นอาจไม่พอใจแค่เรื่องที่เธอจะไปเรียนต่อโดยไม่คิดจะบอกกล่าวสักคำ แต่สำหรับผมแล้วมันมีอะไรที่มากกว่านั้น
มันยิ่งตอกย้ำว่าลัจตั้งใจที่จะไม่มาอยู่แล้ว

   เธอใจร้ายมากเลยนะที่ทำอย่างนั้นได้ลงคอ ยอมรับนัดของผมทั้งที่ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่ามันตรงกับวันเดินทาง ถ้าเธอยังคงมีชีวิตอยู่ผมก็อยากจะถามออกไปเหมือนกันว่าทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ทำไมถึงต้องทำร้ายความรู้สึกผมอย่างนี้ด้วย

   อยากจะถาม และยังรอวันที่จะได้พูดสิ่งที่ตั้งใจจะบอกออกไป

   "น้องโรม ลงมาได้แล้ว"

   หลุดออกจากภวังค์ก็ตอนที่เห็นว่าทุกคนยืนรออยู่นอกรถ ผมสะบัดหน้าไล่ความคิดที่ฟุ้งอยู่ในหัวให้กระจายตัวออกไป มาถึงขั้นนี้แล้วคงไม่มีทางให้หนีไปไหนอยู่แล้วล่ะ

   กระชับดอกไม้ในอ้อมกอดเอาไว้แน่น เรียกความมั่นใจให้กลับมาอยู่กับตัวเอง "อืม"

   แบล็คเป็นคนเดินนำไปตลอดทาง ระหว่างทางไร้ซึ่งเสียงพูดจาจนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงแผ่นหินเกือบสุดท้ายที่มีรูปปั้นแกะสลักนางฟ้าแบบยุโรปอยู่เคียงข้าง

   ANGELA L.

   ชื่อที่ผมไม่มีทางลืม บรรทัดต่อมาเป็นเลขวันเกิดซึ่งก็คือวันนี้ตามด้วยวันเสียชีวิต ที่ดึงดูดสายตามากที่สุดคงเป็นช่อดอกไม้สีขาวที่ผมไม่รู้จักชื่อวางไว้เด่นอยู่ตรงหน้าแท่นหิน คงเพิ่งเอามาวางไว้ไม่นานเพราะกลีบดอกยังคงสวยสดงดงาม

   "ใครมาเยี่ยม?"

   "ของพวกนั้นมั้ง เห็นมันอัพสเตตัสว่ามาเยี่ยมอยู่เมื่อเช้า" พวกนั้นที่เขาว่าคือเพื่อนบาสที่อยู่ห้องเดียวกันตอนมัธยมปลาย เพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกันว่ามีช่วงหนึ่งที่เขาเคยบอกว่าลัจน่ารัก ทำท่าเหมือนจะจีบด้วย

   บางคนเกิดมาเพื่อ 'รัก'

   และบางคนก็เกิดมาเพื่อเป็น 'ที่รัก'

   เค้กมะพร้าวอ่อนที่ไม่รู้ไปซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่อยู่ในมือของไวท์ เทียนที่ติดมาด้วยปักลงไปโดยมีมือของราชาคอยจุดเปลวไฟให้เชื้อเพลิงติด ทำนองภาษาอังกฤษของเพลงสุขสันต์วันเกิดร้องประสานกันเบาๆ จนกระทั่งคำสุดท้ายจบลง เราถึงพร้อมใจกันเป่าให้เทียนดับ

   "สุขสันต์วันเกิดนะนางฟ้า"

   "เอ้า ใครมีอะไรจะเล่าให้ลัจฟังบ้าง"

   แปลกใจนิดหน่อยที่เน็ทเป็นคนเปิด ผมไม่รู้ว่าจะนิยามความสัมพันธ์ของคู่นี้ยังไง เน็ทชอบทำเป็นไม่ยอมรับ จิกกัดสารพัดจนนึกว่ารับบทเป็นนางอิจฉา เขาชอบบอกเสมอว่ากลุ่มเรามีแค่ห้าคน แต่ว่าในวันฝังคนที่ตาแดงที่สุดก็เป็นเขาเช่นกัน

   "ขอให้มีความสุขเหมือนกันนะลัจ"

   ส่วนนิชก็มาแบบเรียบๆ ง่ายๆ แถมพูดออกมาให้พวกเราได้ฟังอีกด้วย

   "ขออนุญาตนะ"

   กลิ่นมิ้นท์ของบุหรี่นอกกล่อมประสาทให้คลายตัว แบล็ควางมวนบุหรี่เพิ่งจุดติดเมื่อกี้ลงกับพื้น ล้วงมือทั้งสองข้างลงไปในกระเป๋ากางเกงพร้อมมองตรงไปยังตัวอักษรที่เรียงต่อกันเป็นชื่อและนามสกุลของเธอ การคุยผ่านควันสีเทาเป็นไปอย่างเชื่องช้า เขานิ่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งส่วนสีขาวของบุหรี่หมดลงถึงเป็นการจบการสนทนา

   ต่อจากสีดำก็เป็นสีขาว ไวท์เดินเข้าไปหาเธอใกล้ๆ แล้วยกมือขึ้นแตะชื่อค้างไว้อย่างนั้น มันเกินกว่าที่ผมจะบรรยายความรู้สึกที่ส่งมาถึงในตอนนี้ ถึงภายนอกเธอจะดูไม่ค่อยญาติดีกับใครมากเท่าไหร่แต่ลัจก็เป็นหนึ่งในเพื่อนที่สนิทที่สุด ในกลุ่มที่มีแต่ผู้ชายพวกเราเคยเสนอว่าไวท์ควรจะมีเพื่อนเพศเดียวกันเสียบ้าง เราเปิดใจที่จะรับสมาชิกคนอื่นเข้ามาถ้านั่นคือความต้องการของเธอ จนกระทั่งตอนที่ลัจเข้ามานั่นแหละ

   หลังงานศพของลัจคนที่เสียสูญที่สุดคือไวท์ การไม่พูดที่เคยเป็นเรื่องปกติกลายเป็นสิ่งที่ไม่ปกติไปได้เหมือนกัน นิ่ง เงียบ ไม่มีใครรู้ว่าไวท์กำลังเสียใจมากแค่ไหนใต้ใบหน้าไร้อารมณ์นั้น จนตอนที่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บแล้วพบว่าไวท์หายไปถึงรู้ว่าใต้น้ำนิ่งมันมีคลื่นขนาดใหญ่แผ่กระจายอยู่ ไร้หนทางการติดต่อในทุกช่องทาง โทรศัพท์ถูกปิดสนิท ไม่มีร่องรอยการใช้เงินจากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งบ้านสติแตกกันถ้วนหน้า ขนาดคุณพินิจที่ว่าใหญ่แล้วยังไม่สามารถหาเบาะแสของลูกสาวตัวเองได้เลย 

   ที่เห็นแบล็คดูเป็นผู้ใหญ่ได้ขนาดนี้อยากจะให้ลองไปดูตอนนั้น ไม่เหลือเค้าความน่ายำเกรงของคนเป็นราชา โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นคนอารมณ์ร้อนนะ เขาพร้อมเข้าชนอย่างรุนแรงอยู่ตลอดนั่นแหละ จากที่หายไปวันสองวันก็กลายเป็นสัปดาห์ จนมันเกือบสองเดือนเราถึงตกลงกันว่าหมดเวลาที่จะปล่อยให้ไวท์ไร้การติดต่อกลับอย่างนี้แล้ว

   ตอนที่แบล็คยอมปล่อยไวท์ให้อยู่กับเวลต่อนั่นก็เป็นอะไรที่พวกผมค้านสุดฤทธิ์ กว่าเราจะตามหาเธอเจอได้ก็แทบตายเรื่องอะไรถึงปล่อยให้สิ่งที่ทุ่มเทมาตลอดหายไปกับตาอย่างนั้น คำเดียวที่หยุดทุกความไม่พอใจคือ ถ้าไวท์ใช้ชื่อซินนั่นคือเธอไม่ต้องการเจอใคร

   คนบาป...ที่มาพร้อมความตาย

   โทรศัพท์ที่ส่งข่าวมาถึงบ้านว่าไวท์เจออุบัติเหตุก็เป็นอะไรที่อยู่นอกเหนือการคาดหมายมากเช่นกัน หมอบอกว่าสมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือนอะไรรุนแรง แผลทางร่างกายก็ดีขึ้นตามลำดับ ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้เหมือนกันว่าเพราะอะไรเธอถึงไม่มีความทรงจำในช่วงเวลานั้นเหลืออยู่ เธอเล่าได้เพียงถึงตอนช่วงปิดเทอมใหม่ๆ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือช่วงที่ลัจยังคงมีชีวิตอยู่ นิชเดาว่าไวท์คงไม่อยากยอมรับว่าต้องเสียเพื่อนสนิทไปจนเป็นระบบการทำงานของสมองที่บอกให้ลืมซะ ผมยังจำหน้าของเธอตอนที่พวกเราบอกไปตามตรงว่าลัจเสียแล้วได้อยู่เลย มันเป็นไม่กี่ครั้งที่ผมเห็นใบหน้าเรียบเฉยหมองลงไปอย่างชัดเจน

   เราเลยตกลงกันว่าจะไม่รื้อฟื้นเรื่องใดๆ ขึ้นมาให้รกสมอง ถ้าเธอจำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อีกอย่างที่ผมอาจคิดเกินไปเองคือปล่อยให้เวลหายไปกับกาลเวลาก็คงจะดีไม่น้อย ให้เขาเป็นเพียงคนที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ออกไป ไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกันอีก

   ผมเคยเจอเวลแค่ครั้งเดียว และมันก็เป็นครั้งเดียวที่ตราตรึงในหัวของผมไม่ใช่น้อย ผู้ชายผมสีอ่อนอย่างคนทำสีกับความกล้าที่มีมากจนผมยอมใจ ไม่เคยมีใครกล้าเผชิญหน้ากับราชาโดยไม่เกรงกลัวขนาดนั้น

   จนกระทั่งเวลกลับเข้ามาอยู่ในวงจรการเดินทางของพวกเรานี่แหละ โลกแม่งไม่ควรกลมอย่างนี้ ไม่เฉพาะแค่เรื่องที่เราเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกันเท่านั้นแต่รวมไปถึงเรื่องที่เขาเป็นเพื่อนสนิทพอควรกับที่หนึ่งด้วย นี่ได้ข่าวว่าวันก่อนเวลยังเอาอะไรมาให้ไวท์ที่คณะอยู่ด้วยเลย จะตามไปถึงไหนก็ไม่รู้

   "น้องโรม ปิดเลย"

   ทางตรงกลางแหวกออกให้ผมเข้าไปอยู่ตรงกลางได้ง่ายขึ้น ผมวางดอกไม้ช่อใหญ่ไว้ตรงหน้าแผ่นหิน อ่านคำอาลัยที่ถูกสลักไว้ด้วยตัวเขียนจนครบทุกคำ


   ว่าไงนางฟ้า

   สุขสันต์วันเกิดนะ ถ้าเธอยังอยู่ตอนนี้ก็ต้องยี่สิบเอ็ดแล้วใช่ไหมล่ะ อยู่บนนั้นสบายดีไหม มันคงไม่มีสามฤดูในหนึ่งวันอย่างที่ฉันกำลังเจอใช่ไหมล่ะ แต่บางทีเธออาจจะชอบก็ได้นะ เธอชอบหน้าฝนนี่นา ข้างบนมีน้ำฝนให้เล่นเหมือนอย่างที่เธอชอบแอบหนีออกไปหาหรือเปล่า?

   ช่วงที่ผ่านมาเธอได้มองลงมาที่ฉันบ้างไหม หรือว่าเอาแต่บินไปมาอยู่บนฟ้าจนลืมพวกเราแล้วล่ะ มีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังเยอะแยะเลย อย่างช่วงต้นเทอมมีคนที่ดีไม่แพ้เธอเข้ามาในชีวิตฉันล่ะ จำที่หนึ่งได้ไหม ที่ชอบได้ที่หนึ่งบ่อยๆ น่ะ ตลกดีเหมือนกันที่คนที่เราเคยพูดกันว่าชาตินี้คงจะไม่ได้แม้แต่พูดคุยกัน ท้ายที่สุดแล้วเขากลับมีบทบาทในชีวิตฉันมากเลยล่ะ ดูงี่เง่ามากเลยนะที่เขาเดินเข้ามาแล้วพูดประโยคโคตรเลี่ยนอย่างนั้น หนึ่งพูดว่า 'ผมอยากเป็นที่หนึ่งของคุณ' แหละ ห้ามหัวเราะนะ ที่หนึ่งพูดอย่างนั้นออกมาจริงๆ ทีแรกก็ตกใจแหละ ไม่อยากให้เขาเข้ามาอยู่ใกล้ด้วย ไม่รู้ไปๆ มาๆ ทำไมกลายเป็นไม่อยากให้เขาจากไปเลย

   เธอต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าผู้ชายที่ดูพร้อมไปทุกอย่างเสียอย่างนั้นจะมีมุมอะไรที่ดูพิลึกเต็มไปหมด เขายอมเปลี่ยนที่เรียนเพราะฉันเลือกแอดที่นี่ แล้วลงทุนขนาดย้ายมาอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามเลยนะ มีอย่างที่ไหนย้อมสีผมให้เหมือนกับฉันด้วยล่ะ บ้าบอที่สุดแล้ว เธอรู้รึเปล่าว่าฉันชอบกินปลา เขารู้แม้กระทั่งว่าฉันไม่ชอบกินอะไรบ้าง ...แปลกเนอะ ฉันจำเรื่องที่เกี่ยวกับเขาได้เต็มไปหมดเลย

   เธอคงคิดว่าเรื่องต้องจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งใช่ไหมล่ะ เธอชอบให้มันจบแบบนั้นอยู่แล้วนี่ เสียใจด้วยนะที่ฉันกำลังจะเล่าต่อไปว่าฉันกับหนึ่งเรากลับไปอยู่ต่างมิติแบบเดิมแล้ว

   ทำไมน่ะเหรอ? ก็คิดว่าฉันคงรักแต่เธอไปตลอดชีวิตนั่นแหละ แย่เนอะ เขาอยากเป็นที่หนึ่งแต่ฉันให้เขาไม่ได้ เพราะตรงนั้นฉันให้เธออยู่มาตลอด แล้วจะให้เอาเธอลงมาฉันคงไม่ทำหรอกนะลัจ ห้ามโวยวายล่ะ พี่นิชก็เอาแต่ถามว่าสรุปแล้วฉันรู้สึกยังไงกับที่หนึ่งกันแน่ จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังให้คำตอบพวกนั้นไม่ได้เลย ความรู้สึกที่ฉันมีให้เขามันไม่เหมือนที๋ฉันมีให้เธอ มันก็ต้องเท่ากับว่าฉันไม่ได้รักเขาใช่ไหมล่ะ

   ไม่ได้รัก...แต่ถ้ามานับดูแล้วฉันเสียน้ำตาให้คนที่ไม่ได้รักมากกว่าตอนที่เธอกลับไปอยู่บนฟ้าเสียอีก

   จะคิดว่าเป็นสีสันช่วงหนึ่งของชีวิตก็แล้วกันที่ได้เจอกับเขา ถึงจะแยกทางกันไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ก็ตาม เรื่องในชีวิตจริงมันไม่ได้สวยงามเหมือนในนิยายเสมอไปหรอกจริงไหม กลายเป็นว่ามาเล่าเรื่องที่หนึ่งให้ฟังเสียอย่างนั้น เบื่รึเปล่า ช่วยทนฟังอีกเรื่องหน่อยแล้วกัน

   ฉันรักเธอเสมอนะลัจ

   มาบอกตอนนี้มันสายเกินไปไหม ก็รู้อยู่หรอกว่าเธอคงไม่สามารถตอบฉันกลับมาได้ อย่างน้อยก็เอาเป็นว่าฉันได้พูดสิ่งที่อยากพูดออกไปแล้วนะ คืนนี้ไม่ต้องรีบกลับมาให้คำตอบล่ะ ไม่รับแล้ว

   แล้วเจอกันใหม่ปีหน้านะ



   ปล่อยมือจากแผ่นหินสลัก สายลมที่พัดผ่านหน้าผมไปพากลิ่นหอมแปลกมาด้วย ผมหันไปทางรูปสลักที่อยู่เคียงข้าง พยักหน้าให้แทนการบอก

   ...เธอรับรู้แล้ว


 
   "เดี๋ยวไปล้างมือก่อนนะ"

   แยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนไปอีกทางหนึ่งที่ป้ายบอกทางเขียนไว้ว่าห้องน้ำ ตั้งใจว่าจะไปล้างมือเสียหน่อย ดันไปจับตรงแท่นหินที่มีแต่ฝุ่นจนเกือบจามไปหลายรอบ ต่อให้แข็งแรงขนาดไหนมาเจอกองทัพฝุ่นอย่างนี้ก็อาจพังได้เหมือนกันล่ะ เชื่อสิ

   ข้างทางไม่มีอะไรที่น่าสนใจมากไปกว่ากลุ่มคนที่เดินสวนไปมา บรรยากาศการโดยรอบหดหู่จนผมต้องรีบก้าวให้ยาวกว่าเดิม ถ้ารีบจัดการภารกิจของตัวเองได้เร็วผมก็ยิ่งออกไปจากที่นี่ได้เร็วขึ้น

   ...

   ผมหยุดกึก มองตรงไปยังรถยุโรปที่จอดอยู่โดดเดี่ยวกลางพงหญ้ารก แถบนี้มันน่าวังเวงจนไม่ค่อยมีใครกล้าเอารถมาจอดหรอก แต่ส่วนที่ทำให้ผมนิ่งอยู่อย่างนี้ไม่ใช่ความประหลาดของการจอด แต่มันคือยี่ห้อรถที่คุ้นตาเสียเหลือเกิน คุ้นจนต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แม้ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองไปมากกว่านี้เสียนิดเดียวก็ยังคงเดินต่อไปจนสามารถเห็นหมายเลขทะเบียนรถได้ชัดเจน

   อาจไม่ใช่คนความจำดีมากสักเท่าไหร่ รถของแบล็คเองผมก็ยังจำไม่ได้เลยจนกระทั่งทุกวันนี้ ต่างจากทะเบียนที่ผมกำลังยืนมองมันอยู่ตอนนี้ ตัวอักษรไทยที่ปนกับตัวเลขตรงกับของเขา

   ที่หนึ่งอยู่ที่นี่เหรอ...

   มันคือความดีใจที่ปะปนไปกับอารมณ์เจ็บปวด ผมหมุนตัวจนครบสามร้อยหกสิบองศาเพื่อหาเจ้าของรถ มองไปยังทุกคนที่เดินไปมาประปราย ไม่ว่าจะจ้องขนาดไหนก็ไม่เห็นว่าจะมีใครโดดเด่นออกมาอย่างที่เขาเป็นตลอด

   เขามาทำอะไรที่นี่

   ทุกความสงสัยถูกเก็บลงไป ถ้าเขาอยู่ที่นี่ตอนนี้จริงสิ่งเดียวที่ผมต้องการคือการได้พบเขาเสียหน่อย อาจไม่ต้องเห็นอยู่ตรงหน้า ขอแค่เห็นจากที่ไกลๆ ก็ยังดี ให้รู้ว่าเขายังสบายดีอยู่ก็พอแล้ว ยืนหันรีหันขวางอยู่ตรงนั้น ไม่แน่ใจว่าเขาจะอยู่ข้างในรถหรือเปล่าเพราะเป็นกระจกฟิล์มดำทึบ จะเคาะกระจกก็ไม่กล้าทำอีก

   ได้แต่เดินไปจนทั่วบริเวณนั้นซ้ำไปมา หวังว่าคงมีสักครั้งที่ความต้องการของผมจะเป็นจริง จากที่ไม่ได้เป็นเด็กขี้แงมาเสียนานแล้วผมรู้สึกถึงน้ำตาที่เอ่อจนพร้อมจะปรากฎ มั่นใจได้เลยว่าอีกไม่นานจะต้องมีพวกพี่เดินมาตามแต่ก็ยังคงหมุนรอบตัวอยู่อย่างนั้น

   ลัจ... ช่วยหน่อยได้ไหม

   ช่วยให้ผมได้เจอเขาอีกสักครั้ง

   ท้องฟ้าที่มืดสลัวเริ่มมีเสียงร้องเตือน ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ฉาบด้วยสีเทาเข้มเป็นเกือบทั้งหมด ต่อให้รู้ว่าอีกไม่นานคงต้องเจอกับหยาดฝนเป็นแน่แท้ก็ยังไม่ยอมหยุดตามหา ผมยังเดินวนเวียนอยู่ละแวกนั้นไม่ไปไหน ระแวงจนต้องหันกลับมามองรถยนต์คันหรูอยู่ตลอดเวลา

   ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำอะไรอย่างนี้ บอกตัวเองให้ท่องไว้ว่าเราอยู่คนละมิติกันแล้วทำไมถึงยังมาตามหาเขาอีกทำไม เราไม่มีอะไรที่ต้องทำความเข้าใจกันอีกแล้วด้วย

   ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ไม่เข้าใจแม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง

   จนในที่สุดคำขอก็ได้รับการตอบรับจากนางฟ้า ตอนที่ก้มตัวลงไปผูกเชือกรองเท้าที่หลุดออกของตัวเองอยู่นั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นว่ามีใครยืนอยู่ตรงด้านหลังของต้นไม้ขนาดใหญ่ที่คงมีอายุมากพอควร หลังจากที่สังเกตจนมั่นใจได้แล้วว่าคนตรงนั้นกำลังมองมาที่ผมอยู่จริงถึงรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที

   เขาอยู่ตรงนั้นอย่างที่คิดไว้

   ภาพตรงหน้ากลายเป็นโหมดโฟกัสไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่ผมบอกได้อย่างเดียวคือนอกจากเขาแล้วผมไม่อาจเห็นสิ่งอื่นได้ชัดเจนอีกเลย ที่หนึ่งกำลังหลบอยู่หลังต้นไม้ขนาดใหญ่ในตอนแรก พอเขาเห็นว่าผมเจอแล้วรีบออกจากที่ซ่อน กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังอีกฟากหนึ่งของสุสาน

   "ที่หนึ่ง!"

   อย่างน้อยผมก็เรียกชื่อเขาได้ ไม่เหมือนคราวก่อนที่ทำได้แค่ปล่อยให้เขาเดินออกไป

   ความคิดหนึ่งเดียวในตอนนี้คือต้องตามเขาให้ทัน ร่างกายที่ถูกทำร้ายมาต่อเนื่องประท้วงเสียแล้ว ผมเริ่มหายใจติดขัดจนต้องอ้าปากกว้างรับออกซิเจนเข้าไปให้มากขึ้น ขาสองข้างล้าจนเกือบจะหมดแรงลงไปเสียตรงนั้น

   นึกก่นด่าแบล็คในใจเรื่องที่บอกว่าผมจะต้องเป็นลมอย่างแน่นอน เป็นแค่นักกฎหมายแท้ๆ ดันทำตัวเป็นพ่อหมอไปได้ ผมยังฝืนเดินตามร่างที่ใหญ่กว่าของเขาไปเรื่อย ถึงจะยิ่งพยายามมากแค่ไหนก็รู้ว่ามันไกลออกไปเสียทุกที ต่อให้ตาพร่ามัวแค่ไหน หรือว่าแรงที่จะพยุงร่างให้ยังไม่ล้มเอนกำลังจะหมดลงไปผมก็ไม่ยอมหยุด

   จนภาพที่พร่ามัวกลายเป็นสีดำไปชั่วขณะ ผมกระพริบตาถี่ๆ ไล่จุดสีดำที่เริ่มกลืนกินพื้นที่การมองเห็นไปทีละน้อย มือที่ยังว่างอยู่ขวานหาสักสิ่งที่จะยันไม่ให้ตัวเองล้มลงไป

   มือที่ปัดป่ายได้แต่เพียงอากาศถูกดึงกลับมากุมขมับไว้ ผมหัวเสียจนต้องสบถออกมา ไม่มีเลยเหรอ อะไรก็ได้ที่จะเป็นหลักให้ผมได้พักสักหน่อย ไม่อย่างนั้นผมต้องตามเขาไปไม่ทันแน่ 

   ทนหน่อยสิ

   ยิ่งฝืนตัวเองมากเท่าไหร่ การมองเห็นก็ยิ่งเลือนรางเข้าไปทุกที ในเสี้ยววินาทีเดียวที่ผมหลับตาลง มันไม่ต่างอะไรกับการกดสวิทช์ดับเครื่อง ทั้งร่างเอนตัวไปตามแรงโน้มถ่วงจนไม่กล้าเปิดตาขึ้นมารับรู้ว่าตัวเองกำลังจะต้องเจออะไร

   "..."

   แต่กลายเป็นว่ามันไม่ใช่ความเจ็บที่เกิดจากการกระทบกับพื้นหินกรวด กลับเป็นร่างของใครบางคนที่เข้ามารองรับผมไว้ และต่อให้ตอนนี้ผมไม่สามารถจะลืมตาขึ้นมามองได้ว่าผู้ประสงค์ดีจะเป็นใครประสาทสัมผัสอื่นก็บอกผมได้ว่าใครคือคนๆ นั้น

   รอยยิ้มโผล่ที่มุมปากไม่รู้ตัว อยากจะเห็นใบหน้าไร้ที่ติอีกสักครั้ง อยากจะยกมือขึ้นกอดเขาไว้ อยากจะพูดอะไรออกไปเยอะแยะเต็มไปหมด น่าเสียดายที่ตอนนี้แค่ประคองสติให้อยู่ยังทำไม่ได้

   เอาเถอะ

   แค่ได้พบเขาอีกครั้งมันก็ดีเกินพอ


***
   จากการลองหาข้อมูลคาเนชั่นสีแดงไม่ได้มีความหมายว่ายังรักนะคะ แต่ว่าเท่าที่หาข้อมูลมาไม่เจอที่ไหนตรงกันเลย (ฮา) เลยไม่สนใจล่ะค่ะ ใส่ลงไปเองเลย (หัวเราะ)
   ที่หนึ่งนี่ค่าตัวแพงจังเนอะ ไว้เจอกันเต็มๆ ในตอนหน้านะคะ (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-03-2016 20:36:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 26-03-2016 20:47:13
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 26-03-2016 21:54:05
รอตอนต่อไปนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-03-2016 22:16:40
ยาวสะใจมากๆๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 26-03-2016 23:09:12
รอตอนต่อไปนะค่ะ

แอบหวังว่าเด็กน้อยของเรา

จะรู้ตัวว่า ที่หนึ่ง สำคัญไม่น้อยไปกว่า ลัจ เลย
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Lonelyนู๋โรนลี่ ที่ 27-03-2016 14:55:05
ที่หนึ่ง มีได้แค่คนเดียว
แต่สำหรับโรม คงต้องให้มีถึงสอง..เฮ้อ
รักครั้งแรกจำฝังใจ ทั้งเพื่อนที่กลายเป็นคนที่แอบชอบ
ดูเป็นมิตรภาพ ครอบครัว เพื่อนพ้องที่ผูกพันมากๆ (ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ที่ผูกพันกันขนาดไม่ใช่พี่น้องแท้ๆแต่ทำตัวยิ่งกว่าครอบครัว)
ขอให้โรมผ่านเรื่องนี้ไป ถ้ายังให้คำตอบตัวเองไม่ได้ เราก็ไม่อยากให้ที่หนึ่งเจ็บอะ งือออ
รอตอนต่อไปปป
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Ametyst ที่ 28-03-2016 10:29:17
น้ำตาไหลพรากกกก ที่หนึ่งกลับมาเถอะ...สงสารน้องโรม
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: nnewy ที่ 28-03-2016 16:39:07
โรมน่าสงสารจัง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: GMJeam ที่ 28-03-2016 17:38:55
รอต่อไปด้วยใจจดจ่อ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: เปลว แว๊บแว๊บ ที่ 28-03-2016 18:37:18
รอออออออออออ อยากอ่านอีกแง้  :z3:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 23 [26.03.16]
เริ่มหัวข้อโดย: nnewy ที่ 01-04-2016 14:49:05
มารอโรมอีกวัน
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 01-04-2016 19:22:33
บทที่ 24
 
[Side : ที่หนึ่ง]

   สายลมพัดพาความร้อนมาจนรู้สึกแสบหน้า แดดในเวลาบ่ายยิ่งทวีคูณความทรมานเข้าไปอีกยามที่ต้องมายืนอยู่ตรงนี้ หน้าพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าสีแห้งที่มีแผ่นหินอ่อนตั้งอยู่ข้างรูปปั้นแบบกรีก

   ตรงหน้าคนที่เป็น 'ที่หนึ่ง' ของโรม

   ยืนอ่านคำที่สลักไว้จนครบนานแล้วก็ยังมองมันต่อไป ปล่อยให้ร่างกายซึบซับความหน่วงที่อยู่รอบกายจนกว่าจะเต็ม ผมไม่เคยมีความคิดที่จะย่างกรายมาที่นี่เสียเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งเมื่อเช้าเห็นเพื่อนเชคอินอยู่ตรงสถานที่ที่ดูแล้วแปลกประหลาดไปเสียหน่อย แคปชั่นสั้นๆ ว่า 'มาเยี่ยมนางฟ้า' ช่วยให้เข้าใจอะไรได้มากขึ้น ผมเลยรีบเปิดหาแผนที่การเดินทางไปยังสถานที่นั้นบนอินเทอร์เน็ต ขับรถออกมาจากคอนโดทันที รีบจนกระทั่งลืมว่าควรที่จะแวะหาดอกไม้มาเยี่ยมตามมารยาทที่ดี

   มีดอกไม้ช่อใหญ่วางอยู่ตรงนั้นแล้วตอนที่ผมไปถึง ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่ผมว่ามันก็เหมาะสำหรับนางฟ้าอย่างเธอดี สมแล้วที่เป็นที่รักของใครหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนๆ นั้นคือโรม

   มีอะไรที่อยากลองทำความรู้จักกับ 'ความรัก' ของโรมหลายอย่าง แต่ก็ทำได้เพียงยืนมองชื่อนั้นอยู่เงียบๆ คนเดียว ผมจำหน้าของเธอไม่ค่อยได้ ที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นสีผมที่อ่อนกว่าเด็กไทยทั่วไปเพราะว่าเป็นลูกครึ่งก็เท่านั้น ไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่านั้น

   ก็นะ ผมเคยสนใครอื่นนอกจากโรมเสียทีไหนล่ะ

   มีเสียงฝีเท้าหลายคู่ใกล้เข้ามาทุกที เห็นแค่คนที่เดินนำมาผมก็รีบหลบไปยังมุมอับที่อยู่ไกลออกไปพอสมควร ชายหญิงห้าคนที่เดินมาด้วยกันอย่างพร้อมเพรียงหยุดอยู่ตรงหน้าแผ่นหินที่เมื่อกี้ผมอยู่เมื่อครู่

   ช่วงเวลาหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าคนเหล่านั้นเป็นคนแปลกหน้า เป็นคนที่ไม่แม้แต่จะเคยเดินสวนกัน ใครที่ต่อให้ผมพยายามที่จะรู้จักและเข้าใจมากแค่ไหนก็ไม่สามารถก้าวข้ามไปในเส้นเขตแดนของพวกเขาได้ ผมชะเง้อหาน้องเล็กอยู่นานสองนาน คนตัวเล็กที่สุดอยู่ตรงกลางโดนบังจากพวกคุณพี่คนอื่นจนเกือบมิด เท่าที่เห็นก็แค่ส่วนหัวที่ไม่ใช่สีน้ำตาลแบบเดียวกับของผมแล้วเท่านั้น

   ...เปลี่ยนแล้วเหรอ

   ทำท่าเหมือนคนที่มีความผิดติดตัวร้ายแรง ซึ่งที่จริงจะเรียกอย่างนั้นก็ได้นะ การที่ผมหยุดตามที่น้องเสนอมามันก็คือการบอกแล้วว่าผมเลือกที่จะจบทุกอย่างไว้ตรงนั้น ผมไม่ควรเสนอหน้ามาให้พวกเขาเห็นอีก ที่สำคัญที่สุดคือผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไรกับสิ่งที่ผมทำลงไป

   ทุกอย่างดำเนินมาถึงจุดนี้จากเพียงหนึ่งรูปถ่ายที่ถูกอัพโหลดขึ้นบนโลกออนไลน์ ในวันเกิดของน้องโรมที่ผ่านมา

   "อ้าว วันนี้วันเกิดโรมเหรอ"

   หน้านิวฟีตของเฟสบุ๊คถูกยื่นมาให้ผมดู มันเป็นรูปที่อัพเดตขึ้นบนหน้าวอลล์ของนิชเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้ว กลุ่มของน้องโรมห้าคนนั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกันโดยมีเค้กแบ่งชิ้นอยู่ตรงกลาง มีเขียนอธิบายไว้ง่ายๆ ว่าสุขสันต์วันเกิดน้องเล็ก

   "เออ" ตอบพลางกลับไปให้ความสนใจกับตัวอักษรเป็นพรืดที่อยู่ในโปรแกรมเวิร์ด

   "อ้าวฉิบหายล่ะ แล้วทำไมมึงไม่บอกกู"

   "บอกทำไม?"

   "มึงไม่ต้องไปเซอร์ไพรส์อะไรอย่างนี้หรือไง?"

   หยุดการรัวแป้นคีย์บอร์ดพลัน ปรายตาไปมองเพื่อนสนิทของตัวเองที่ยังคงมองมาที่ผมโดยที่ยิ้มล้อไปด้วย ผมไม่ได้หงุดหงิดมากสักเท่าไหร่ที่โดนเรียกตัวให้มาช่วยงานด่วนอย่างนี้ เข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องมันก็อยู่นอกเหนือการควบคุม อีกอย่างผมเองก็เตรียมการทุกอย่างสำหรับคนพิเศษอย่างเขาไว้หมดแล้ว ถ้าสามารถออกจากที่นี่ได้ตอนหกโมงอย่างที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกยังไงก็ทันตามแผนที่วางไว้

   "อะไร คิดว่ากูไม่รู้?"

   "รู้เรื่องอะไรล่ะ" หยั่งเชิงไปก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งทำอะไรให้เขารู้ว่าผมกำลังประหลาดใจกับสิ่งที่เขากำลังพูดถึงอยู่มากแค่ไหน

   "ก็มึงกับโรมไง"

   เราเป็นเพื่อนกันมานานเกินว่าที่จะกั๊กสิ่งที่ต้องการจะสื่อออกไป แม่งพูดกับผมสบายๆ เหมือนกำลังบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะไปเที่ยวนะอะไรอย่างนั้น คือมันควรจะเว้นที่ว่างให้ผมได้หายใจหายคอหน่อยไหมล่ะ เรื่องนี้ผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครรู้เลยจริงๆ

   "รู้?"

   "ใครไม่รู้ก็ตาบอดแล้วป่ะวะ" คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยมีใครอื่นพูดประโยคประมาณนี้มาก่อน "โชว์ออกนอกหน้าซะชนาดนั้น ยังไม่รวมที่มึงกอดกันกลมที่ยิมอะนะ"

   "เชี่ย..." ตอนนั้นผมไม่มีอารมณ์มานั่งแคร์สายตาใครหรอก ตอนแรกก็เฟลที่น้องไม่ยอมตอบคำถามของเหล่าพี่ชายไปอยู่นะ พอเห็นหน้าน้องตอนที่เห็นว่าผมยืนอยู่ตรงนั้นแล้วจะให้ดราม่าใส่ผมก็ทำไม่ลงหรอก คิดอะไรไม่ออกก็กอดแม่งเลย อยากจะทำมานานแล้วแต่ไม่กล้าสักที น้องตัวเล็กที่คล้ายว่าจะจมหายไปในร่างของผมตอนที่รัดไว้อย่างนั้น ไม่ดิ้นหรือว่าออกอาการประท้วงจนผมแอบเนียนกอดต่อไป

   "มึงอย่ามาอึ้งแดก กูไม่ได้ซีเรียสที่่มึงอินเลิฟกับผู้ชาย"

   "ใครรู้บ้าง"

   นั่นคือที่สุดแล้วของความกังวลที่ผมกำลังมี น้องโรมไม่ชอบความวุ่นวายหรือเป็นจุดสนใจ ผมเลยเลี่ยงที่จะแสดงออกถึงความสัมพันธ์ของเราในทุกทาง

   "ใครไม่รู้บ้างดีว่า หลายคนก็มาถามกูอยู่"

   "จริงจัง?" ผมพอรู้อยู่แล้วว่าคนในชุมนุมบาสคณะคงเข้าใจกันไปโดยปริยาย ก็ผมเล่นพามาทุกวันเสียอย่างนั้น แต่กับเพื่อนมหาลัยอื่นที่แทบไม่ได้เจอกันเลยในช่วงหลังแล้วมันก็เป็นอะไรที่อยู่นอกเหนือการคาดคะเนไปมากโขอยู่ แล้วไอ้การที่บอกว่าใครไม่รู้บ้างดีกว่าที่ผมควรตีขอบเขตยังไงให้ครอบคลุม

   "เออดิวะ ที่มึงขึ้นไปร้องเพลงให้กลางร้านแล้วพอลงมาก็สร้างโลกอยู่กันสองคน ทุกคนแม่งก็ฟันธงกันหมดแล้ว"

   "ถ้ามึงไม่บอกกูก็ยังไม่รู้..."

   ไม่ว่าสายข่าวจะเป็นใครก็ตามตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่ามีบางคนคอยตามชีวิตของผมอยู่ บางคนที่ทำให้เรื่องของเราสองคนกลายเป็นเรื่องของใครหลายคนไปเสียอย่างนั้น

   "มึงไม่สนใจเองไง ถ้ามองจากมุมกูมันก็มีคนอยากเสือกแหละ แต่อีกฝั่งแม่งดันเป็นโรม ลองเสนอหน้าดูกูว่าคุณพี่ทั้งหลายแม่งได้ตามเก็บเหี้ยน"

   ท่าทางสยองขวัญของเพื่อนสนิทตลกมากกว่าดูสะพรึงกลัว ต่างจากที่ผมเคยบอกที่ไหนล่ะ ใครอยู่ชั้นมัธยมมาด้วยกันรู้ซึ้งดีว่าไม่ควรหาเรื่องกับกลุ่มนี้ทั้งนั้นแหละ ผู้มีอิทธิพลของแท้

   "ก็ไม่ได้ขนาดนั้นสักหน่อย" ไม่ต้องทำมันแล้วงานน่ะ มาคุยกันให้รู้เรื่องน่าจะดีกว่า

   "ไม่ขนาดนั้นเลยครับพ่อคุณ เอารูปเขาขึ้นเป็นโปรไฟล์ตั้งกี่วันหา?"

   "ไม่กี่วันเอง น้องโรมไม่ชอบ"

   "นี่ดีนะที่มึงไม่ค่อยอัพรูปอะไรมาก เพจคิวท์บอยอะไรก็เลยไม่ค่อยตามชีวิตมึงเท่าไหร่"

   "ถ้าไม่มีใครตามกูก็อยากจะอัพเหมือนกันนั่นแหละ" น้องโรมน่ารักจะตายไป ผมมีอัลบั้มแอบถ่ายเก็บไว้ตรึมเลย

   "สัตว์เอ๊ย กูล่ะเหนื่อยใจ"

   "เออ ก็อย่าเอาไปพูดต่อแล้วกัน"

   ตัดปัญหาให้จบกันแค่ในวงนี้ มันไม่ใช่คนปากมากอยู่แล้วเพราะงั้นไม่ต้องห่วงเรื่องที่เราคุยกันตรงนี้จะกลายเป็นหัวข้อสนทนาของใครอื่นในอนาคตหรือเปล่า

   "กลัวอะไรขนาดนั้นวะ นี่คือคบกันแล้ว?"

   "เปล่า"

   "อ้าว"

   "ก็เป็นอย่างนี้ ไม่ได้มีสถานะอะไร" ยักไหล่ขึ้นอย่างไม่ยี่หระเท่าไหร่ "สบายใจทั้งสองฝ่าย"

   "จริงเหรอวะ? อย่างนี้ก็มีด้วย?"

   "ได้อยู่ด้วยกันแค่นี้ก็เกินกว่าที่กูหวังไว้แล้วมึง"

   ที่เคยหวังก็แค่ได้คุยพูดคุยทักทายกันเสียบ้างก็พอ ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อน เลยไม่ค่อยรู้สึกว่าคำว่าแฟนนี่มันสำคัญอะไรกับชีวิตขนาดนั้น เพื่อนรอบข้างแต่ละคนก็ใช้คำว่าแฟนได้ไม่เหมือนกันสักราย จนผมว่ามันเป็นคำที่ดูไม่มีค่าอะไรไปแล้ว

   "จะว่าไปมึงก็เก่งนะ รับเรื่องอะไรแบบนี้ก็ได้ด้วย"

   "นี่มันสมัยไหนแล้วครับ แค่กูชอบผู้ชาย"

   "กูไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นไอ้ห่า เอาอีกเรื่องดิ"

   "เรื่องอะไร"

   มันตบหน้าผากเสียงดัง หยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่เพิ่งวางลงไปขึ้นมาอีกครั้ง "ตั้งใจฟังที่กูกำลังจะพูดนะ เห็นไหมว่าเค้กมีหกชิ้น"

   เมื่อกี้เอาแต่สนใจหน้าที่ไม่ยอมยิ้มของน้องโรมเลยไม่ได้สังเกตว่ามันจำนวนชิ้นเค้กอย่างที่บอก "อ่าฮะ"

   "แต่ในรูปมีห้าคน ถูกไหม?"

   "เจ้าของวันเกิดกินสองไง น้องโรมชอบของหวานอยู่เหมือนกัน"  แผนที่จะซื้อเค้กปอนด์คงต้องเป็นพับไป เอาเป็นแค่ชิ้นเล็กๆ ก็พอแล้วมั้ง

   "ไม่ใช่ว้อย! มึงฟังกูนะไอ้สัตว์" เพื่อนคนนี้ของผมไม่ค่อยมีท่าทีจริงจังมากเท่าไหร่ เพราะอย่างนั้นพอเขาเปลี่ยนไปอยู่ในโหมดทางการผมเลยต้องเงียบปากไป

   "มึงจำได้ป่ะว่ากลุ่มแบล็คมีกี่คน"

   "ถ้าตอนนี้ก็ห้า ใครเคยบอกกูนะว่าผู้หญิงอีกคนไปเรียนต่อนอก"

   "เออ ผู้หญิงคนนั้นอะ ชื่อลัจ"

   "ใครนะ?" ชื่อแปลกๆ ที่ออกมาจากปากของเพื่อนสนิทไม่ค่อยคุ้นหู "ชื่ออะไร"

   "ลัจ ที่กูเคยชอบอยู่ช่วงหนึ่งอะ" พอเขาใช้คีย์เวิร์ดอย่างนี้ค่อยนึกออกลางๆ ผู้หญิงที่เป็นมีเชื้อของชาวต่างชาติ เด่นที่สุดเวลาเข้าแถวตอนเช้า

   "แล้วไงวะ?" ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อ ก็เพื่อนที่ห่างกันมันก็ต้องคิดถึงกันอยู่แล้วสิ อย่างผมเองก็ยังเคยตัดแปะเอาหน้าของเพื่อนที่ไม่มางานเลี้ยงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาพเลย

   "ก็โรมชอบลัจไม่ใช่หรือไง"

   "..."

   เหมือนมีใครเอาน้ำเย็นมาสาดจนหน้าของผมชาไปทั้งหมด เรื่องที่เพิ่งออกมาจากปากของเขาเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน แล้วมันก็มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ทุกอย่างรอบตัวของผมกลายเป็นพื้นที่สุญญากาศไปพลัน มันคงเห็นผมเปลี่ยนสีหน้าเลยถามต่อ "อย่าบอกนะว่าไม่รู้?"

   "...ไม่เลย"

   คำบอกเล่ารื้อฟื้นหนึ่งเสียงของราชาที่ถามผมว่ามั่นใจแค่ไหนที่จะเดินหน้าต่อไป นั่นคือเหตุผลที่เขาพยายามผลักผมออกไปสินะ นั่นคือ 'อดีต' ที่แบล็คบอกใช่หรือเปล่า

   เขาต้องการจะบอกผมว่าโรมมี 'ที่หนึ่ง' อยู่แล้ว

   ในช่วงแรกน้องก็ชัดเจนเรื่องที่ไม่อยากให้ผมเข้าใกล้นะ พอนานๆ เข้าแล้วที่เขายอมทำตามที่ผมบอกอยู่บ่อยครั้งมันเลยกลายเป็นว่าผมเข้าใจไปเองว่าเขาคงยอมรับผมมากขึ้น ทุกอย่างมันกำลังไปในทิศทางที่ดีขึ้น จนลืมไปว่าต่อให้สร้างทางเดินไว้สวยงามเพียงไหนถ้ามันไม่ใช่ทางที่น้องจะเดินมันก็จบอยู่ดี

   "งานงอกล่ะกู มาทำครอบครัวคนอื่นแตกรึเปล่าวะ"

   "ไม่หรอก"

   "กูหนอกู ปากพาซวยชัดๆ"

   "แล้วตอนนี้ลัจอยู่ไหนเหรอ..."

   จะได้รู้ว่าผมมีเวลาเป็นตัวสำรองอยู่ตรงนี้อีกนานเท่าไหร่

   "อยู่บนนั้น" นิ้วของเขาชี้ขึ้นไปบนเพดานห้อง

   "บนนั้น?"

   "ใช่ อยู่บนท้องฟ้า"

   "ท้องฟ้า?"

   เอาแต่ถามกลับไปจนมันตีหน้าเหวอใส่ เพื่อนตัวสูงของผมดูหงุดหงิดกับการที่ผมไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น

   "ไม่รู้เรื่องนี้ได้ไงวะ ...เออใช่ ตอนนั้นช่วงที่มึงไปเที่ยวกับที่บ้านแหง ใช่ๆ ที่มึงไปทัวร์ยุโรปฉลองสอบติดอะ"

   นั่นไม่ใช่การไปเที่ยวฉลองสอบติดเสียหน่อย มันก็แค่เป็นช่วงเวลาที่บังเอิญตรงกันเท่านั้นเอง หลังจากจบชั้นมัธยมผมไม่ได้ตามข่าวสารของคนรอบตัวรวมถึงไม่ค่อยเข้าไปอัพเดตชีวิตตัวเองมากเท่าไหร่ ทั้งขี้เกียจโดนด่าเรื่องเปลี่ยนที่แอดมิชชั่นโดยไม่บอกใคร แล้วก็ต่อให้เข้าไปก็ไม่มีเรื่องที่เกี่ยวกับน้องโรมให้ตามอยู่ดี

   "มึงช่วยเล่าอะไรที่เป็นสาระสำคัญหน่อยเถอะ"

   "นางฟ้ากลับไปอยู่บนฟ้า" นางฟ้าคงหมายถึงเธอ ชื่อที่ใช้เรียกกันไม่ต่างกับราชาหรือว่าผู้เสียสละ "อุบัติเหตุ...เสียชีวิตทันที"

   "..."

   ได้แต่เงียบอย่างนั้นระหว่างฟังรายละเอียดปลีกย่อย ที่ผมเข้าใจมาตลอดว่าไปเรียนต่อก็ไม่ผิดสักเท่าไหร่เพราะวันนั้นคือวันที่เธอกำลังเดินทางไปยังสนามบินจริงๆ

   จากที่เคยถามเวลว่าเคยรู้สึกแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มไหม มันกลายเป็นเรื่องของการแข่งที่ไม่มีทางชนะ

   ทุกอย่างถูกเตรียมไว้เกือบพร้อมแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ผมวางแผนงานนี้มาสักพักหนึ่งแล้วล่ะ กราบกรานอ้อนวอนคุณพ่อตาตั้งนานถึงยอมร่วมมือในการพาน้องกลับมาตามเวลาที่ผมขอไว้ ตัวเลขอะไรที่แตกต่าง...แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองสำคัญ เหยียบไว้ตรงนี้เลยนะว่าผมไปเอารายละเอียดเฉพาะตัวพวกนี้มาจากไหนน่ะ อาสาอาจารย์ตอนมอห้าไปช่วยจัดเรียงเอกสารในห้องทะเบียนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

   เลยกลายเป็นว่าผมไม่ได้อยู่ช่วยงานต่อ และเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เลยกลับมาถึงห้องก่อนเวลาที่ตั้งใจไว้มากพอสมควร ตุ๊กตาสองตัวในห้องที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการนั่งรอให้ผมมาจัดการอยู่อย่างนั้น หัวที่ยังตื้อจากคำบอกเมื่อกี้สั่งให้ผมลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น ย้อนกลับมาถามตัวเองอยู่อย่างนั้นว่าสิ่งที่ผมทำอยู่ผมทำไปเพื่ออะไรกันแน่

   ผมไม่มั่นใจว่าตัวเองควรอยู่ตรงนี้ต่อไป...

   "หายไปไหนมา!"

   ตาของเขาเป็นประกายแวววับตอนที่เห็นผม น้องโรมเป็นพวกพูดน้อยจนผมต้องมานั่งแปลความหมายเอาเอง พอเห็นน้องเอาแต่โวยวายงอแงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนก็เลยต้องหาวิธีปิดปากเสียหน่อย ยิ่งตอนที่พูดตะกุกตะกักว่าผมทำอะไรลงไปยิ่งน่ารักขั้นสิบ เขินไหมมันก็เขินล่ะ แต่โอกาสอย่างนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ นี่

   Happy Birthday to R

   น้องไม่รู้หรอกว่าตอนที่ตัวเองหลับไปแล้วผมเอาแต่นั่งจ้องคำนี้อยู่ไม่หลับเสียที ถามว่ามีความสุขไหมที่เห็นอะไรอย่างนี้บนเฟสตัวเองคงต้องตอบว่าแฮปปี้โคตรๆ มีหลายคนเข้ามากดไลค์รวมถึงคอมเมนท์อีกเพียบ พวกกลุ่มบาสเองก็แซวไปตามประสาแบบที่ไม่ได้ออกชื่อแต่ก็รู้ว่าเป็นใคร จะมีคอมเมนท์เดียวที่แตกต่างก็จากราชาสีดำที่เข้ามาพร้อมแปะมาตราที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของวิธีการคิดดอกเบี้ย หน้าเลือดแบบที่น่าจะมาเรียนทางบัญชีมากกว่ากฎหมาย

   แต่ในความสุขมันก็ยังมีอะไรที่ติดค้างอยู่มากมาย โดยเฉพาะสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อช่วงสาย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็จะฝืนตัวเองไม่ให้หลุดปากพูดอะไรอย่างนั้นออกไปอยู่หรอก ดีนะที่น้องไม่ได้สงสัย ไม่อย่างนั้นผมเองนี่แหละที่จะต้องตายแน่

   "ก็บอกแล้วว่ารู้หมดแหละ"

   รู้ว่าตำแหน่งที่อยากได้คงไม่มีทางขึ้นไปถึง

   หรือมันถึงเวลาที่ผมต้องตั้งคำถามให้กับตัวเองได้แล้วว่าโรมคิดยังไงกับผมอยู่ เหมือนอย่างที่นิชเคยถามนั่นแหละ น้องอาจไม่มีท่าทีต่อต้านอย่างช่วงแรกแล้วแต่ว่าเขาก็ยังไม่สามารถชัดเจนอะไรได้สักอย่าง หมายถึงว่ารวมถึงตัวผมเองด้วยที่ไม่เคยบอกว่ารักออกไปอย่างจริงจังสักครั้ง จะเคยบอกก็แค่ว่าชอบเท่านั้นเอง

   ชอบ...ที่อาจเทียบไม่ได้กับเสี้ยวรักที่เขาให้อีกคน

   "ลูกที่คนนึงเป็นฆาตกร ส่วนอีกคนก็ควรจะตายไปตั้งนานแล้วน่ะเหรอครับ"

   คนบาป

   ผู้เสียสละ

   ตอนที่ได้ยินเกรย์พูดอย่างนั้น สิ่งแรกที่โผล่เข้ามาในหัวผมคือชื่อที่พวกเขาใช้เรียกกัน แล้วมันก็ยิ่งมีข้อสนับสนุนการสันนิษฐานของผมเข้าไปอีกเมื่อตอนที่ไวท์หนีออกไปจากห้องอย่างนั้น แต่ว่าผู้หญิงที่ดูเฉยชาต่อทุกสิ่งอย่างนั้นน่ะเหรอจะดับเปลวเทียนชีวิตของใครได้...


***
มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 01-04-2016 19:27:37
   เอาจริงคือถ้าลองไปถามเพื่อนสมัยมัธยมแต่ละคนว่ารู้เรื่องที่แบล็คกับไวท์มีน้องอีกคนหรือไม่ ร้อยทั้งร้อยคงทำหน้าตกใจกลับมา เพราะนั่นคือสิ่งที่พวกเราเห็นมาโดยตลอดว่าฝาแฝดอยู่ด้วยกันอย่างนั้นไม่เคยมีใครอื่น แล้วการที่น้องชายอีกคนบอกว่าไม่มีพี่มีน้องนั่นมันไม่แปลกประหลาดไปหน่อยเหรอ

   แล้วก็ไม่ชอบเท่าไหร่ที่ต้องกลายมาเป็นเหยื่อในความขัดแย้งของพี่น้องบ้านนี้ หรือผมควรจะย้อนไปถึงเรื่องว่าเรานิยามว่าพวกเขาเป็น 'พี่น้อง' กันรึเปล่า ผมเป็นลูกคนเดียวที่ไม่เคยสัมผัสชีวิตที่มีพี่หรือน้อง พวกลูกพี่ลูกน้องส่วนใหญ่ก็กระจายไปเรียนที่ห่างไกลกันจนแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน จะว่าอย่างนั้นอย่างนี้ก็เถอะ ถ้าได้ไปนั่งอยู่บนโต๊ะทานอาหารเดียวกับผมวันนั้นก็ต้องเข้าใจได้ว่าบ้านนี้แม่งไม่ลงรอยกันมากแค่ไหน

   "ขึ้นไปอยู่กับโรมที"

   แบล็คพูดสั้นๆ แค่นั้น เขาใช้สายตาสั่งให้ผมทำตามโดยไม่ให้ผมได้มีโอกาสค้านหรือแย้งอะไรทั้งสิ้น เลยต้องรีบพาตัวเองออกมาจากส่วนของห้องทานข้าว ผ่านห้องนั่งเล่นแล้วถึงจะเจอทางขึ้นไปชั้นสอง ผมก้าวยาวๆ ให้สามารถข้ามขั้นบันไดขึ้นไปได้เร็วกว่าเดิม ตอนที่หักเลี้ยวจะขึ้นไปก็มองลงมาเห็นชั้นวางรูปภาพขนาดใหญ่ ชั่วขณะหนึ่งผมเหมือนคิดออกแล้วแล้วว่าสิ่งที่ทำให้ผมสะกิดใจในภาพพวกนั้นคืออะไร

   ภารกิจหลักที่ยังไม่ได้รับการสะสางให้สำเร็จบอกให้ผมหักใจลงไปพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเอง แล้วคือบอกให้ไปอยู่กับโรมโดยที่ไม่บอกว่าน้องอยู่ไหนเนี่ยนะ บนชั้นสองของบ้านมีอยู่หลายห้องเลยล่ะ แล้วแต่ละห้องก็ไม่มีอะไรที่ช่วยบ่งบอกได้เลยว่าเจ้าของห้องคือใครกันแน่ ผมเลยเลือกเปิดมั่วๆ เข้าไปในห้องที่มีแสงสว่างลอดออกมาจากปลายประตู

   ห้องแรกที่ผมเข้าไปที่เปิดไฟสว่างเอาไว้ แต่ไม่มีใครอยู่ในนั้น ดูจากรสนิยมการจัดห้องในโทนสีครึ้มหม่นรวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่น้อยชิ้นแล้วคงหนีไม่พ้นห้องของเกรย์ มันโล่งเสียจนขนาดของชิ้นเล็กที่อยู่บนหัวเตียงสามารถเด่นขึ้นมาได้ มันเป็นตุ๊กตาสีน้ำตาลขนาดไม่ใหญ่มาก คุ้นว่าเคยเห็นอยู่ตามร้านขายเครื่องเขียนบางแห่ง เมื่อที่นี่ไม่มีสิ่งที่ผมต้องการแเล้วเลยก้าวถอยหลังกลับมาปิดประตูห้องไว้ตามเดิม

   กว่าจะเจอน้องจริงๆ ก็ห้องที่สาม น้องที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้นห้อง เอาแต่จ้องมองมือว่างเปล่าของตัวเองแล้วก็พูดออกมาว่ามีเลือด ยิ่งนัยน์ตาเต็มไปด้วยหยดน้ำที่กลิ้งเต็มไปหมดมันทำใจผมวูบโหวง ผมไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนั้นควรทำอะไรบ้าง ได้แต่ปลอบใจเขาว่ามันไม่มีเลือดอย่างที่เขากำลังหวาดกลัวอยู่ น้องเอาแต่ส่ายหน้าปฎิเสธคำขอของผม ยืนกรานว่ามันมีอยู่ไม่ยอมลดราวาศอก

   ท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับว่าตัวเองไม่อาจทนอยู่ในนสถานะอย่างนี้ต่อไปได้อีก และแผลขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าอกคือการเล่าเรื่องที่ดีที่สุด

   ...คุณรู้อะไรเกี่ยวกับคนชื่อ 'โรม' บ้าง?

   "ไม่เคยรู้อะไรเลย"

   นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกจริง ในแง่มุมหนึ่งผมว่าผมรู้จักเขาในทุกเรื่อง แต่พอมาตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่ามันมีอะไรอีกมากที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ราชาเคยเตือนผมไว้ก่อนแล้ว คนดูที่เห็นทุกอย่างแต่ไม่สามารถเล่าเรื่องออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา

   สิ่งที่เคยฝันกลายเป็นความจริง และความจริงกลายเป็นการเฉลยความฝัน

   ทุกคำไม่ต่างอะไรกับที่เคยฝันถึง ผมถึงเกลียดความฝันของตัวเองไง สุดท้ายแล้วต่อให้หนีมันมากแค่ไหนผมก็ต้องเจอมันอยู่ดี ทุกอย่างเป็นการรีรันที่ผมไม่ได้ต้องการสักนิด

   มองตัวพยัญชนะภาษาอังกฤษที่มีความหมายกับผมมากเสียเหลือเกิน มองอยู่อย่างนั้นหวังว่ามันจะช่วยให้คำตอบที่ผมต้องการได้ว่าผมควรจะหยุดหรือไปต่อ คราวนี้โรมให้ผมเลือกเอง ต่อให้ผมเคยบอกเขาไว้แล้วว่าผมจะยอมหยุดทันทีที่เขาต้องการให้เรื่องนี้จบลง

   จนท้ายที่สุดความฝันของผมก็เป็นจริงในทุกฉาก

   ให้ตอบตามจริงว่าเพราะอะไรถึงเลือกที่จะหยุด มันคงไม่มีอะไรที่มากไปกว่าการที่รู้สึกไร้ทางไปต่อ พอคิดถึงคำที่เพื่อนตัวเองเคยพูดไว้เรื่องว่าเราอยู่ในสถานะอะไรแล้วมันก็ยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่ผมต้องการมันไม่มีทางเป็นไปได้ รอบข้างตัวโรมเต็มไปด้วยความลับมากจนเกินไป ทั้งครอบครัวที่ไม่ควรเรียกว่าครอบครัว ยังไม่รวมแผลเป็นตรงหน้าอกนั่นอีก ดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามันเคยเป็นแผลใหญ่มาก่อน

   มันอาจเป็นอย่างที่น้องพูด

   การที่เราหยุดมันคงดีที่สุด


 
   การเจอกันของเราครั้งแรกหลังจากที่ผมเดินออกมาเป็นอะไรที่โคตรแย่ น้องเป็นคนที่แสดงออกทางสีหน้าเยอะโดยเฉพาะเวลาที่กำลังทุกข์ใจอยู่ และมันฉายออกมาชัดบนหน้าของเขาตอนที่เห็นว่าผมยืนอยู่ไม่ไกลออกไป ทั้งที่ทางเดินที่ผมกำลังยืนอยู่มันใกล้กับทางเข้าห้องเรียนภาคเช้ามาก แต่สิ่งที่น้องทำก็คือการเลี่ยงไปเดินอ้อมอีกฝั่งโดยไร้ประโยชน์

   ตอนที่ต้องเก็บของคืนให้น้องนั่นก็เจ็บปวดพอกัน สิ่งของที่ปะปนกันไปจนเป็นภาพชินตาว่าจะต้องวางไว้เป็นคู่ถูกลบออกครึ่งหนึ่งในทุกพื้นที่ ข้างของของโรมไม่ได้เยอะแยะอะไรมาก ห้องไม่ได้ดูโล่งอะไรหลังจากเก็บชองเสร็จ แปลกที่กลับรู้สึกใจหายเสียเหลือกัน

   แน่สิ ก็ผมเอา 'หัวใจ' ของตัวเองเก็บลงไปกับสิ่งของพวกนั้นด้วย

   ช่วงหลังมานี้ผมนั่งเรียนกับเขาทุกคาบ พอวันนี้ผมเปลี่ยนไปนั่งกับเพื่อนคนอื่นแล้วมันก็มีคนคันปากอยากจะถามออกมาเยอะอยู่เหมือนกัน ผมอาจจะยังมีโชคดีหลงเหลืออยู่บ้างที่น้องโรมจัดการปิดปากทุกคนที่พร้อมสอดรู้สอดเห็นให้เงียบปากไป ตั้งใจใช้สมาธิกับการเรียนจนกระทั่งมีคนสะกิดบอกว่าโรมเดินออกไปแล้ว พอหันไปตรงที่ประจำด้านหลังห้องก็พบว่าไม่มีใครนั่งอยู่แล้ว

   ตุ๊กตาตัวม่วงยังคงทักทายผมทุกครั้งที่กลับมาถึงห้อง ผมไม่ชอบของอะไรพวกนี้มากหรอก คิดแล้วก็แค้นใจราชาที่แกล้งกันได้ลงคอ มีอย่างที่ไหนมาบอกว่าน้องโรมอยากได้ตุ๊กตาอย่างนี้ แล้วต้องสีส้มด้วย ผมไปหาที่สยามไม่มีก็ต้องถ่อไปถึงสาขาศรีนครินทร์โน่น

   รูปถ่ายในวันที่เจอเกรย์ครั้งแรกถูกวางไว้บนหัวเตียงอย่างนั้น มันไม่ได้แย่อย่างที่น้องโรมคิดเอาไว้หรอก ผมกลับชอบมันมากเสียด้วยซ้ำ ตลกที่โรมสไตล์อยู่อย่างนั้นไม่เคยคิดจะเปลี่ยน น้องไม่รู้หรอกว่าตัวเองเวลายิ้มแล้วมันทำให้โลกของผมเป็นสีสว่างมากแค่ไหน

   ต่างจากไฟของห้องฝั่งตรงข้ามไม่เคยสว่างอีกเลย

   จากการสืบเสาะพบว่าน้องกลับไปนอนที่บ้านแล้ว มันยิ่งทำให้เราได้เจอกันน้อยลงไปกว่าเดิมอีกมาก เมื่อก่อนวันๆ หนึ่งผมหมดเวลาไปกับการนั่งมองเขาจากอีกฝั่งของตึกนานพอดู เห็นเขาเดินไปมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ส่วนมากจะนั่งก้มหน้าอยู่กับเกมส์บนมือถืออย่างนั้น ไม่ค่อยเห็นว่าจะดูทีวีหรือว่าทำอะไรอย่างอื่นมากเท่าไหร่ จะยอมออกจากห้องก็ต่อเมื่อมีคนมาลากให้ออกไปเท่านั้น

   "เขาเป็นที่หนึ่งไม่ได้อยู่แล้ว พอใจรึยัง!!"

   ถึงจะทำใจมาตั้งนานแล้ว แต่พอได้ยินจากปากของโรมเองมันก็เจ็บปวดไม่ใช่เล่น

   เกรย์ไปดักเจอผมที่คณะไม่ต่างจากวันนั้น ส่วนที่ต่างก็คงเป็นคนที่เขาต้องการมาพบในครั้งนี้คือผมไม่ใช่โรมอีกต่อไป  มันก็แค่คำชวนง่ายๆ ว่าไปช่วยไปกับเขาหน่อยได้ไหม ซึ่งผมก็ว่าดีเหมือนกันที่อย่างน้อยผมก็จะได้รู้ว่าเขาเข้ามาแทรกอย่างนี้ไปเพื่ออะไร

   สำหรับผมแล้วเกรย์น่ากลัวคนละแบบกับพี่ชายของเขา แบล็คต้องสร้างความน่าสะพรึงกลัวไว้เพื่อยืนหยัดให้ได้ถึงความเป็นราชา แต่ว่าเกรย์เป็นความน่ากลัวในจิตใจที่ดูดำมืดยิ่งกว่าพี่เสียอีก เขาดูเป็นคนที่เก็บอะไรไว้ในใจมากมายจนเกือบล้น แต่ก็กลบทุกอย่างไว้ด้วยการยิ้มที่ไม่ควรเรียกว่ายิ้มอย่างนั้น เขาชอบทำเหมือนว่าตัวเองเป็นตัวร้าย...ที่ต้องเป็น

   ที่บอกว่ารู้หมด ท้ายสุดแล้วก็ไม่ได้รู้ทุกอย่างขนาดนั้นหรอก อย่างง่ายที่สุดเลยคือผมมั่นใจว่าเกรย์คือคนในรูปที่ถ่ายกันสี่คน เรื่องสีเสื้อก็เป็นอันเคลียร์ไปเพราะชัดเจนจากชื่ออยู่แล้ว ส่วนที่ไม่รู้ก็คงเป็นเรื่องราวบาดหมางระหว่างพวกเขานี่แหละ ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรและระดับความร้ายแรงมันอยู่ตรงไหน

   "ผมรู้อยู่แล้วว่า 'ลัจ' คือที่หนึ่งของโรม"

   อย่างน้อยก็คือบอกให้เกรย์รู้ว่าเลิกเอาผมเข้าไปเกี่ยวได้แล้ว สองก็คือจะได้ไม่ต้องค้างคากันอีก ให้น้องได้รู้เหตุผลที่แท้จริงของทุกสิ่งที่ผมทำลงไป

   น้องที่ผมรู้จักมาตลอดไม่ใช่คนขี้แง โรมเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลาไม่เคยเปลี่ยนแม้จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่เพียงไหนก็ตาม สีหน้าของเขาในตอนนั้นเล่นเอาหัวใจหยุดเต้นไปวูบหนึ่ง ความปวดร้าวที่ส่งผ่านมาถึงมันมากเกินที่จะทนไหว จนผมต้องรีบหันหลังกลับไม่ให้เห็นอีก

   เพราะถ้าลองเห็นมันอีกแค่เศษวินาที ผมคงไม่มีทางเก็บความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไปเหมือนกัน


 
   เดินเล่นฆ่าเวลาอยู่แถวนั้นจนคาดคะเนได้ว่าพวกเขาคงกลับไปหมดแล้วจึงเดินย้อนกลับไปยังทางที่จอดรถเอาไว้ เห็นฟ้ามืดอย่างนี้แล้วก็อดห่วงตุ๊กตาที่ตากเอาไว้ที่คอนโดไม่ได้ คงไม่ดีเท่าไหร่ถ้ากลับไปแล้วเจอมันเปียกแฉะอยู่ตรงระเบียง

   "แย่ล่ะ..."

   ความตั้งใจทั้งหมดก็ถูกทำลายลงเมื่อผมเห็นว่ามีร่างของใครอีกคนกำลังยืนหันรีหันขวางอยู่หน้ารถ ดูจากท่าทางแล้วนั่นไม่ใช่การดูลาดเลาเพื่อมาลักขโมยอะไรหรอก ถ้าดักรอผมอยู่ล่ะก็ไม่แน่

   ก่นด่าตัวเองในใจที่ไม่รู้จักหาที่จอดรถที่ดีกว่านี้ ผมมาที่นี่เป็นครั้งแรกเลยไม่รู้ที่ทางมากเท่าไหร่เลยจอดๆ ไปเท่าที่มันจะเอื้ออำนวย มีเรื่องแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งก็คือการเดินตามหาจุดฝังของลัจไม่ได้ยากอย่างที่กลัวไว้ ผมเดินตามใจเพียงแค่แป๊บเดียวก็เจอแล้ว อย่างกับเธอต้องการให้ผมเจอไวๆ อย่างไรอย่างนั้น

   โรมรู้อยู่แล้วล่ะว่านั่นคือรถของผม แล้วนั่นก็หมายความว่าเขารู้แล้วว่าผมอยู่ที่นี่ด้วย เขาทำท่าเหมือนจะเคาะกระจกอยู่หลายรอบ พอใกล้จะถึงเคาะได้แล้วก็หุบกลับลงไปอยู่ข้างตัวเสียอย่างนั้น น้องเปลี่ยนเป็นวิ่งไปมาแถวนั้นหลายต่อหลายรอบ ร่างที่ปกติก็ผอมอยู่แล้วยิ่งพอมาได้เห็นชัดๆ วันนี้ก็รู้เลยว่ามันควรเปลี่ยนไปเรียกว่าซูบ ผมยาวที่ผมเคยบอกว่าชอบก็สั้นลงจนน่ากลัว เห็นตาของเขาแดงขึ้นเรื่อยๆ และมีครั้งหนึ่งที่เขาใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งเสีย

   ถึงแม้ไม่ได้ยินเสียง ริมฝีปากที่กำลังสั่นระริกนั่นก็พูดออกมาอยู่แค่คำเดียว

   ได้แต่ห้ามตัวเองไว้ไม่ให้ใจอ่อนเดินออกไปหา ในเมื่อเป็นผมเองที่เลือกเดินจากมาก็ต้องทำให้ได้อย่างที่พูดไว้ ต่อให้ต้องรั้งตัวเองให้ซ่อนอยู่อย่างนี้ต่อไปก็ตาม มันเป็นภาพที่อยากจะเบือนหน้าหนี จากที่เดินไปด้วยระยะปกติโรมก็ก้าวขาช้าลงไปทุกที
นี่มันคือสิ่งที่ผมต้องการแน่เหรอ?

   ท้องฟ้ายิ่งร้องเตือนให้ระวัง เสื้อของผมเริ่มมีหยดน้ำกระทบจนกลายเป็นวงที่แผ่กระจายอยู่ทั่วไป พะวงแต่คนตัวเล็กที่ไม่ชอบออกกำลังกายว่าจะตามหาผมไปอีกนานแค่ไหน เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก

   "ที่หนึ่ง!"

   ขนาดคิดว่าแอบมิดชิดแล้วก็ยังโดนจับได้ ผมผละออกไปจากต้นไม้ใหญ่ที่ใช้บังตัวเองไว้ ก้าวยาวๆ ไปอีกทางหนึ่งโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะพาผมไปที่ไหนกันแน่ ไม่กล้าที่จะหันกลับไปมองว่าโรมยังคงตามผมอยู่หรือเปล่า จนคิดว่ามันไกลพอสมควรแล้วถึงเหลียวหลังมามองว่าตอนนี้น้องอยู่ตรงไหน

   "..."

   น้องหยุดอยู่กับที่ ควานหาอะไรบางอย่างในอากาศที่ว่างเปล่าอยู่สักพักใหญ่ จนร่างนั้นโงนเงนคล้ายกำลังจะล้มลง ตัวของผมก็พุ่งออกไปรองรับร่างบางเบานั้นไว้ทันก่อนที่น้องจะกระแทกกับพื้นยางมะตอย

   หยาดฝนเริ่มตกกระทบร่างของเราทั้งคู่ไม่มีหยุด ผมกอดเขาไว้แน่นด้วยความหวาดกลัวว่ามันจะแย่แค่ไหนถ้าผมเข้ามารับไว้ไม่ทัน ...ถ้าเมื่อกี้ผมวิ่งเข้ามาช้าอีกนิด หรือว่าถ้าผมไม่หันมามองเลย

   "ที่...ห..."

   มือของโรมเอื้อมมาจับเสื้อของผมไว้แน่น เสียงเกือบเป็นการพึมพำเรียกชื่อของผมซ้ำไปมา

   "น้องโรม?"

   เขย่าตัวของเขานิดหน่อยดูว่ายังพอดีสติอยู่บ้างไหม จากภายนอกที่ผมเห็นบวกกับนิสัยที่หัวรั้นอยู่แล้วผมคิดว่าคนตัวเล็กกว่าคงหมดสติจากความเหนื่อยล้าไปแล้ว ผมประคองน้องไว้ในวงแขน ตั้งใจว่าจะพาไปหาที่หลบฝนเสียก่อนค่อยว่ากันต่อ

   ดูเหมือนว่าความต้องการของผมจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ

   สิ่งที่คิดไม่อาจเป็นจริงได้เนื่องจากกำแพงมนุษย์ที่ขวางไว้ไม่ให้ไปไหน เห็นพวกเขาทุกคนยืนเรียงกันอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่แบล็ค ไวท์ นิช แล้วก็เน็ท พวกเขาอยู่ในร่มที่คอยกันสายน้ำที่รดลงมาอย่างต่อเนื่อง ร่มที่ผมเห็นนานแล้วว่ามันกางอยู่บริเวณนั้นอยู่ก่อนแล้ว

   "ขอบคุณที่ช่วยดูแลนะครับ เดี๋ยวต่อจากนี้เราจะดูแลคนของเราต่อเอง"

   สีดำยื่นมือออกมา และผมปฏิเสธด้วยการกระชับคนที่อยู่ในอ้อมกอดให้แน่นเข้าไปอีก "ทำอย่างนี้...ทำไม"

   ตั้งแต่เรื่องที่ยอมปล่อยให้ผมเข้ามาอยู่ในวงเวียนนี้ ยอมให้เรื่องราวหลายอย่างเกิดขึ้นโดยไม่คิดเข้ามาขวาง ยอม...ทั้งที่รู้ว่าโรมจะเลือกใคร

   สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง เสียงหยดน้ำที่กระทบลงพื้นแบบไร้จังหวะกลายเป็นทำนองเฉพาะตัว ในม่านฝนผมต้องหรี่ตาลงเพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปแทรก ผู้ชายที่ยิ่งยศตรงนี้ยังหยัดยืนอยู่ตรงนั้นไม่ต่างจากคนอื่น

   พวกเขากลายเป็นใครที่ผมไม่รู้จักไปแล้วจริงๆ

   "...เคยได้ยินที่เขาว่า 'ไม่เคยมีใครชนะคนตาย' ไหม?"

   ท่ามกลางเสียงร้องคำรามของท้องฟ้า ผมกลับได้ยินมันชัดเจน

   "ก็แค่อยากลองพิสูจน์ดูก็เท่านั้นเอง"

[End : ที่หนึ่ง]


***
   สวัสดีวันแรกของเดือนเมษาค่ะ วันโกหกแต่มาอัพจริงนะคะ (ฮา)
   เดี๋ยวขออนุญาตหลบมุมก่อน คิดว่าพี่แบล็คน่าจะโดนเยอะอยู่ (หัวเราะ) อย่าทำร้ายพี่เลยนะ พี่น่ารักจะตายไป
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 01-04-2016 20:27:03

ที่หนึ่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ฮึก แกจะเป็นพระเอกที่รันทดเกินไปแล้วนะ!!
กรีดร้องน้ำตานองเต็มหน้าดราม่าจนหัวใจปวดร้าว ฮึกฮืออออออออ
แต่คือเรื่องนี้ปมมันเยอะเกินไปจริงๆนะ มีทั้งเรื่องลัจ เรื่องความไวท์กับเวลที่ยังไม่เครียล์กันให้เรียบร้อย เรื่องคำพูดของเกรย์ เรื่องความสัมพันธ์แปลกๆในบ้าน เรื่องแผลของโรม ไหนจะประวัติน้องโรมที่ตอนแรกก็เหมือนนายเอกตาใสธรรมดา แต่จู่ๆเรื่องราวก็ดันพลิกกระดานจนน่ากลัวอีก โอยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!
อ่านไปอ่านมาก็รู้สึกปวดหัว อืมมมมมม เราไม่ได้จะบอกให้เปลี่ยนหรืออะไรหรอกนะ แค่อยากจะเม้นให้รับรู้ความเห็นส่วนตัวของเรา ว่าจริงๆแล้ว ถ้าเรื่องมันมีแค่ปมที่โรมหลงรักลัจ ลัจตาย ไวท์เศร้าที่(เหมือนจะ)เป็นต้นเหตุให้ลัจตายก็เลยหนีออกจากบ้านไปเจอเวล จากนั้นทุกคนก็ไปตามไวท์กลับมา แล้วโรมก็ใช้ชีวิตมาถึงปัจจุบันโดยที่ยังมีลัจอยู่ในใจ จากนั้นที่หนึ่งก็เข้ามาจีบโรม เราว่าแค่นี้ก็สามารถแต่งฉากดราม่าได้ไม่หวาดไม่ไหวแล้ว แต่เรื่องนี้เหมือนจะพยายามดราม่าแล้วก็ทำให้มันดูซับซ้อนซ่อนเงื่อนไปด้วยกัน ซึ่งถ้าย้อนไปอ่านบทนำใหม่นี่เรารู้สึกว่ามันออกแนว หนังคนละม้วน นิยายคนละเรื่อง อะไรประมาณนั้นเลยแหล่ะ...
ตอนแรกๆเรารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องมุ้งมิ้งแล้วก็ค่อนข้างจะเบาๆ(ถ้าไม่นับปมไวท์กับเวลอ่านะ) พอมาปัจจุบันนี่แบบ นี่มันอะไรกันฟะ... ไอ่คนนู้นก็โผล่ ไอ่คนนี้ก็มีเรื่อง ใจคอจะอยู่กันแบบธรรมดาๆไม่ได้เลยใช่ม้ายยย อะไรทำนองนั้น - -;)
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: GMJeam ที่ 01-04-2016 20:33:03
อย่างนี้ต้องโดนนะแบล็คอ่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 01-04-2016 20:58:27
ปมเยอะมากอ่ะ ไม่เคลียร์ซักเรื่องเลย
สงสารที่หนึ่ง  :hao5:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-04-2016 22:51:38
อ่านแล้วงงๆ นิดหน่อย
แต่ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีนะน้องโรม ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-04-2016 03:50:43
ควรจะคิดเรื่องไหนก่อนดี
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-04-2016 06:58:47
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 02-04-2016 09:44:49

"ก็แค่อยากลองพิสูจน์ดูก็เท่านั้น" ประโยคนี้ใครพูด!! ที่หนึ่งบอกได้ยินชัดเจน!!

ถ้าเป็นพี่ๆ คนใดคนหนึ่ง จะหมายถึงต้องการให้น้องโรมหลุดพ้น ไม่ยึดติด เลิกยึดติดกับลัจที่จากไปแล้ว?
พี่บางคนเลยเปิดทางให้ แต่น้องโรมเองเป็นตัวแปร เกรย์ด้วย
ที่หนึ่งเลิกสู้ ทำตามที่น้องโรมบอก ไปไม่สุด เลยเอาน้องคืน
แบบนี้หรือเปล่า?

ถ้าเป็นที่หนึ่งพูด ก็รีบจัดโลดเลย พูดไปเลยว่ารัก น้องโรมน่ะยิ่งกว่ารักที่หนึ่ง
ไม่ต้องกั๊กแล้วที่หนึ่งเอ๋ย


ที่หนึ่งก็คือที่หนึ่ง
บางคนอาจมีที่หนึ่งได้หลายคน
บางคนเป็นที่หนึ่งได้ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
ที่หนึ่งเป็นปัจจุบันค่ะ

รอๆ รีบมานะคะ สนุกมาก
ขอบคุณจริงๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 02-04-2016 10:35:25
โอ๊ยยย เครียดดดดด
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 02-04-2016 12:12:02
สงสารที่หนึ่ง :mew2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: nnewy ที่ 02-04-2016 17:34:23
เอาที่หนึ่งกลับมาให้น้องโรมเลยย
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Lonelyนู๋โรนลี่ ที่ 03-04-2016 01:39:45
ทำขนาดนี้ไม่สงสารที่หนึ่งที่เป็นแค่หมาก ก็สงสารน้องโรมบ้างเหอะที่เป็นหมาก(อ้อมๆ)เหมือนกัน
มาถึงขนาดนี้แล้ว เราก็ยังอยากเชียร์ให้ที่หนึ่งถอยห่างออกมาอยู่ดี อย่าเข้าไปอีกเลย ครอบครัวนี้มันแปลกทุกคนเลย
เหมือนทุกคนไม่พร้อมต้อนรับใครเข้ามาอยู่แล้ว ที่หนึ่งควรอยู่ที่ของที่หนึ่งเหอะ
ให้โรมออกมาเอง ไม่ก็ เป็นเส้นขนานกันต่อไป ไม่ต้องรักกันก็ได้ เป็นความทรงจำดีๆปนขมๆก็ได้
เซ็งพี่น้องครอบครัวนี้มากๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: kung ที่ 03-04-2016 09:51:16
ต่อให้เป็นที่หนึ่งที่ไหนๆมาก็ตาม แต่บ้านคนแปลกๆบ้านนั้นที่หนึ่งคงไม่มีวันเป็นที่หนึ่งได้อะ โรมก็ดูอ่อน พี่น้องบ้านโรมก็ดูประสาทๆ เราว่าเขียนแฟนให้ที่หนึ่งใหม่จะง่ายกว่ารอพวกบ้านโรมคลายปมนะ บอกจริงๆเราโคตรมึนอะ555  :katai5: :katai1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 24 [01.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 04-04-2016 12:08:13

"ก็แค่อยากลองพิสูจน์ดูก็เท่านั้น" ประโยคนี้ใครพูด!! ที่หนึ่งบอกได้ยินชัดเจน!!

ถ้าเป็นพี่ๆ คนใดคนหนึ่ง จะหมายถึงต้องการให้น้องโรมหลุดพ้น ไม่ยึดติด เลิกยึดติดกับลัจที่จากไปแล้ว?
พี่บางคนเลยเปิดทางให้ แต่น้องโรมเองเป็นตัวแปร เกรย์ด้วย
ที่หนึ่งเลิกสู้ ทำตามที่น้องโรมบอก ไปไม่สุด เลยเอาน้องคืน
แบบนี้หรือเปล่า?

ถ้าเป็นที่หนึ่งพูด ก็รีบจัดโลดเลย พูดไปเลยว่ารัก น้องโรมน่ะยิ่งกว่ารักที่หนึ่ง
ไม่ต้องกั๊กแล้วที่หนึ่งเอ๋ย


ตามเท่าที่เราเข้าใจนะ คนที่พูดคือแบล็คค่ะ และไม่น่าจะหมายถึงต้องการให้น้องโรมหลุดพ้น ไม่ยึดติด เลิกยึดติดกับลัจที่จากไป

แบล็คถามที่หนึ่งว่า "...เคยได้ยินที่เขาว่า 'ไม่เคยมีใครชนะคนตาย' ไหม? ก็แค่อยากลองพิสูจน์ดูก็เท่านั้นเอง"
(สองประโยคนี้แบล็คน่าจะพูดต่อกัน แต่มี Narrative จากมุมมองของที่หนึ่งมากั้น)

ก่อนหน้านี้ที่หนึ่งถามแบล็คว่า "ทำอย่างนี้...ทำไม" ทำไมถึงให้ที่หนึ่งเข้าใกล้โรม ไม่ห้ามจีบโรมทั้งๆที่รู้ว่าโรมมีลัจเป็นที่หนึ่งในใจตลอด แบล็คเลยตอบกลับมาว่าอยากพิสูจน์ว่าที่หนึ่งจะไม่มีวันมาแทนลัจ ("คนตาย") จริงๆใช่หรือไม่

คนเขียนน่าจะยังอยู่โหมดดาร์คค่ะ 55555 เช่นเดียวกับแบล็ค
หรือคนเขียนจะเป็นแบล็คหว่า ชอบทิ้งปมไว้ปล่อยให้คนอ่านสงสัยต่อไป 5555
คงต้องรอน้องโรมฟื้นมาก่อนแล้วค่อยรอดูว่าโรมจะยังลังเลเรื่องที่หนึ่งต่อหรือไม่
แต่เราก็คิดนะว่าที่โรมคงรักที่หนึ่งเข้าแล้ว แต่คงติดที่ว่าลัจยังเป็นเรื่องฝังใจอยู่ เป็นรักที่ไม่ได้เอ่ยไป อาจจะจะเคยให้สัญญากับตัวเองหรือกับใครว่าจะไม่ให้ใครมาแทนที่ลัจ (เดาจากบทสนทนาระหว่างโรมและเกรย์เอานะ)
แต่ก็นะ คงจะยังสรุปอะไรไม่ได้จนกว่าคนเขียนจะมาเฉลยปมระหว่างเกรย์และโรม รอยแผลของโรม แล้วที่ว่าทำไมโรมถึงถูกเรียกว่าผู้เสียสละ ทำไมพี่ๆถึงไม่อยากให้เกิดเหตุ'ซ้ำ' แต่กว่าจะเฉลยหมดก็คงจบเรื่องพอดี 5555
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 06-04-2016 19:05:27
บทที่ 25
 
   ปวดหัวจนไม่อยากจะขยับตัวไปไหน เปลือกตาหนักอึ้งจนต้องใช้แรงมากกว่าปกติในการคลี่มันออกให้แสงจากภายนอกลอดเข้ามากระทบ ผมอยากจะขยับร่างกายให้ได้มากกว่านี้อยู่หรอก ติดที่ว่าตอนนี้สิ่งที่เป็นของผมจริงๆ มันมีแค่ความคิดเท่านั้น ร่างกายถูกตัดขาดจากส่วนการรับคำสั่งอย่างสิ้นเชิง

   ครั่นเนื้อครั่นตัวไปเสียหมด อยากจะฝืนสู้สิ่งที่กำลังเจอขนาดไหนก็ทำได้มากที่สุดแค่ครางฮือในลำคอ ต่อมาอีกพักใหญ่ถึงรู้สึกได้ว่าแผ่นเจลไร้ความเย็นที่อยู่ตรงบริเวณหน้าถูกดึงออก แทนที่ด้วยผ้าชุบน้ำเย็นทั่วหน้าจนสะอาด คงมีใครมาเช็ดเอาความร้อนที่สะสมอยู่ข้างในจนแทบจะหลอมละลายนี่ออกไป

   คลายคิ้วที่เข้ามาชิดกันได้หน่อยตอนที่รู้สึกความอบอุ่นตรงบริเวณฝ่ามือ มือของใครบางคนคอยจับมันไว้อย่างนั้นให้รู้ตรงนี้ไม่ได้มีผมอยู่ลำพัง

   "หนึ่ง..."

   ชื่อที่อยากเรียกมากที่สุด

   "อย่าไปไหนนะ..."

   ช่วยรับคำขอของผมได้หรือเปล่า

 

   โรคเยื่อจมูกและลำคออักเสบเฉียบพลัน

   เรียกง่ายๆ ก็ไข้หวัด

   ถ้าอยากจะลองสัมผัสประสบการณ์นอนซมร่วมสัปดาห์อย่างที่ผมกำลังเจออยู่ก็แค่ไม่ดูแลตัวเองจนภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่เต็มที่แล้วยังพาตัวเองไปตากฝน ผลสุดท้ายเลยได้เป็นง่อยอยู่บนเตียงโดยมีพยาบาลส่วนตัวจำนวนมากเกินพอดี

   อย่ามองผมอย่างนั้น ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากเป็นหวัดหรอก

   "ไม่มีไข้แล้วล่ะ"

   ปรอทวัดไข้แบบดิจิตอลถูกยื่นมาให้ผมดู เลขสามสิบกว่าองศากำลังแสดงความยินดีกับผมเนื่องในโอกาสที่หลุดออกจากวงจรคนป่วยได้อย่างสมบูรณ์ นี่ยังดีที่มาเป็นหนักขนาดนี้ช่วงปิดเทอม ถ้าเป็นตอนเปิดเทอมคงวุ่นวายพิลึก คิดภาพคนเดินเข้าออกห้องของผมเป็นว่าเล่นแล้วนั่นมันความโกลาหลของแท้

   "งั้นออกไปข้างนอกได้แล้วใช่ไหม"

   "ไม่ได้ เพิ่งฟื้นไข้เอง" นี่คือพยาบาลหมายเลขหนึ่ง ช่วงแรกที่อาการหนักก็เห็นแต่นิชคอยอยู่ใกล้ตลอดเวลา จะตื่นจะหลับก็ได้ยินแต่เสียงเขาวนเวียนอยู่รอบตัว

   "เบื่อแล้ว"

   "น้องโรม"

   "เมื่อวานเน็ทมาก็เอาแต่นั่งเล่นเกมส์"

   พยาบาลหมายเลขสองไม่สมควรเรียกว่าพยาบาล อย่างดีที่สุดคือคนเยี่ยมไข้ที่มาสร้างความเดือดร้อนเสียมากกว่า เน็ทเอาแต่ชวนผมเล่นเกมส์อยู่ทั้งวันไม่ได้ดูเลยว่าผมเพิ่งฟื้นขึ้นเอง พอจะนอนก็ไม่ให้นอนบอกว่านอนมามากพอแล้ว จนต้องยอมเล่นด้วยไปได้สักพักคนชวนที่เล่นแพ้ติดต่อกันสี่ตารวดก็โยนจอยทิ้งแล้วก็ไปดูทีวีแทนอีก

   "อยากลองให้เน็ทเช็ดตัวให้เหรอ?"

   "ไม่อะ" ปฎิเสธกลับไปพลัน แม่งเคยเช็ดตัวให้ผมอยู่ครั้งนึง ไม่สิ มันคือการถลกเนื้อของผม บ้านไหนเขาสอนให้เช็ดตัวด้วยแรงมหาศาลขนาดนั้นกัน

   "แค่มันไม่ทำให้ป่วยเพิ่มก็ดีแล้วล่ะน่า"

   "งั้นขอออกไปเดินเล่นแถวนี้ไม่ได้เหรอ สวนข้างหลังก็ได้"

   "จนกว่าจะไม่มีไข้ชัวร์แล้วถึงให้ออกไปนะ"

   "นิชชช" ผมโอดครวญ "นี่กูแทบไม่ได้ลงไปชั้นล่างเลยด้วยซ้ำ"

   ตื่น กินยา หลับ เล่นในห้อง นอน โคตรหรรษาเลยชีวิตผม

   "ดีแล้ว เดี๋ยวไปติดคนอื่นล่ะยุ่ง"

   "มึงยังไม่ติดเลย"

   "กูเก่ง"

   สำหรับผมแล้วหนุ่มแว่นคนนี้เป็นคนที่พูดคำว่ากูเก่งได้อ้อนส้นตีนที่สุดแล้ว ไม่ได้เกลียดการลอยหน้าลอยตาหรือว่าการกระตุกยิ้มร้ายอย่างนั้นนะ ที่เกลียดที่สุดคือมันเป็นอย่างที่เขาพูดทุกประการ

   "นี่นิช"

   "ไม่ให้" ยังไม่ทันจะขออะไรเลยก็โดนตีกลับเสียแล้ว

   "ให้กูพูดก่อนไหม?"

   "ไม่อะ"

   "...กูไม่หายไปหรอกน่า" ผมอาจจะคิดมากไปเอง และเพื่อให้ความกังวลใจนี้หมดไปผมถึงพูดออกไป "เหนื่อย ไม่ทำอย่างนั้นแล้ว"

   ดักคอพวกที่ให้การดูแลที่ใกล้ชิดและมากจนเกินพอดี จะมีอะไรนอกจากเรื่องที่พวกเขากำลังกลัวว่าทุกอย่างจะซ้ำรอยเดิมอีกล่ะ 

   "..."

   "รอบนี้ไม่ไปไหนแล้วจริงๆ"

   ย้ำลงไปอีกครั้งว่ามันจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นอีก พวกเขาจะไม่ต้องเหนื่อยเพราะน้องสุดท้องที่เอาแต่ใจในทุกเรื่องอย่างผมอีก

   "ต่อให้มึงหลั่งเลือดสาบานกูก็ไม่ปล่อยให้ไปไหนหรอก" เขาดันแว่นขนาดใหญ่ของตัวเองขึ้นไปไว้บนสันจมูกตามเดิม "กูเคยเจ็บมาแล้วน้องโรม เข้าใจไหม"

   "...เข้าใจ" ยอมรับเสียงอ่อน หลุบตาลงต่ำหน่อยจะได้ไม่ต้องเห็นว่าเขากำลังดุผมด้วยสีหน้าแบบไหน

   "เพราะอย่างนั้นอย่าทำให้พวกกูห่วงเลยเนอะ"

   "อืม"

   "แต่คนที่เดินไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับมาเป็นหวัดได้นี่ก็เก่งนะ แม่ง ตอนกูเจอมึงสภาพอย่างกับศพอะ"

   "ใครเจอกูคนแรกอะ?" เห็นช่องว่างที่จะได้สิ่งที่ต้องการในคำบอกเล่าของเขา ผมทำเป็นไม่สนใจอะไรมาก ยกแก้วน้ำที่วางไว้ข้างเตียงมาดื่มแก้กระหายโดยเหลือบตามองดูว่าปีศาจที่ได้ชื่อว่าควบคุมความรู้สึกได้ดีที่สุดจะทำหน้ายังไงกับการหลอกล่อของผม

   ต้องยอมรับเลยว่าเขายังคงคอนโทรลตัวเองได้ดีเช่นเคยจนผมแทบไม่เห็นข้อพิรุธ "...ก็กู คนอื่นด้วย"

   "ใช่เหรอนิช ...มึงคือคนแรกที่เจอกูแน่เหรอ"

   "..."

   "ไม่ใช่ที่..."

   "ซื้อหนังมาให้แล้วนะ บอกว่าอยากดูเรื่องนี้ไม่ใช่รึไง"

   คำว่า 'ที่หนึ่ง' หรืออะไรที่สามารถสื่อถึงเขาได้กลายเป็นคำต้องห้ามของทุกคนไปเสียแล้ว ถ้าผมพยายามวกกลับไปเรื่องนี้เมื่อไหร่ก็จะโดนตีมึนไปเสีย พิษไข้ที่รุมติดต่อกันหลายวันลบความทรงจำของผมในช่วงนั้นไปเกือบหมด ลืมตาตื่นแบบเต็มที่ครั้งแรกก็ในห้องนอนของตัวเองโดยมีพี่ชายคนโตนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ

   พยายามนึกว่าคนที่กอดผมไว้ตอนที่ไปเจอลัจเป็นเขาจริงหรือแค่คิดถึงมากจนเกิดภาพหลอน ไม่มีใครปฏิเสธ...แต่ก็ไม่ยอมเข้าประเด็นนี้เลยสักคน จนผมตัดสินด้วยตัวเองว่าวันนั้นผมเจอที่หนึ่งจริงๆ ...สัมผัสที่ผมได้รับมันคือของจริง

   ในถุงกระดาษใบเล็กมีกล่องดีวีดีของหนังที่ออกจากโรงมาพักใหญ่แล้วอยู่สองสามเรื่อง ผมหยิบมันออกมาไล่ดูทีละแผ่น มีแต่อนิเมชั่นหลอกเด็กทั้งนั้นเลย ไปบอกตอนไหนกันว่าอยากดูน่ะ

   เห ในถุงยังมีอะไรอีก?

   กระดาษขนาดนามบัตรเคลือบแข็งอย่างดีในมือของผมเขียนรายละเอียดของงานสักอย่างที่ลงท้ายด้วยคอนเสิร์ต ตรงราคาเขียนไว้ว่าวีไอพีหรา ชื่อของวงดนตรีที่ไม่คุ้นเลยถามออกไป

   "อะไรอะ"

   "ไปเที่ยวกัน"

   "เที่ยว?"

   "ที่เคยชวนไว้ไง ไปดูพี่เล่นดนตรีไหม"

   "ยังเล่นอยู่เหรอ?" ไหนเขาบอกว่าจะเล่นแค่ไม่กี่เดือนไง

   "อ่าฮะ จะพาไปเจอเจ้านายด้วย อยากจะขอบคุณเรื่องของขวัญไม่ใช่เหรอ"

   ของขวัญชิ้นใหญ่จนเกือบหาที่วางไม่ได้ เปิดมาแล้วลมแทบจับว่านี่มันคือการคว้าอะไรได้มั่วๆ ก็ใส่มานี่หว่า มันมีทั้งหนังสืออ่านนอกเวลา ปากกาหมึกซึมแท่งสวย สมุดจดลายแปลกตา แผ่นซีดีเพลงวงดนตรีที่ผมไม่รู้จัก ตุ๊กตาตัวเล็กแบบเป็นเซต ขนมจุกจิกอีกเพียบ โคตรจับฉ่ายของแท้

   ก็ตั้งใจว่าจะโวยวายกับนิชอยู่หรอกนะ ไม่รู้ว่านี่ตั้งใจหรือว่าไปพลาดตรงกระบวนการไหนมันเลยมีใบเสร็จติดมาด้วยอยู่ที่ก้นกล่อง ไล่ดูตามลิสต์รายการที่พอรวมกันแล้วได้เฉียดครึ่งหมื่นแล้วขนลุกชอบกล ปกติของที่นิชให้จะเป็นของที่คำนวณเป็นราคาไม่ได้อย่างรูปวาด พอได้ของที่มันมีมูลค่าผมล่ะไปต่อไม่ถูกเลย

   "อืม ก็อยากอยู่"

   "งั้นก็ไปกัน เดี๋ยวจะได้จองห้องไว้ให้"

   ผมอยากปฎิเสธออกไปใจจะขาด อดด่าตัวเองไม่ได้ที่จนป่านนี้ก็ยังดื้อกับนิชไม่ออก เห็นเขายิ้มรอคอยคำตอบของผมอย่างใจจดใจจ่อก็เลยทำได้แค่ยอมตอบรับไป


 
   ชั้นสองของร้านคือพื้นที่วีไอพีที่กั้นไว้เป็นสัดส่วนชัดเจน ผมเท้าแขนกับราวเหล็กที่ตั้งไว้ป้องกันอันตราย มองลงไปยังพื้นที่กว้างด้านล่างที่เริ่มมีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ ผมไม่รู้จักวงดนตรีที่พี่นิชไปเล่นให้ ก็ตอนแรกเห็นบอกว่าทำแค่ชั่วคราวเลยคิดว่าไม่ต้องไปสนใจให้รกสมอง กลายเป็นว่าจนตอนนี้ผ่านมาได้เกือบครึ่งปีแล้วเขาก็ยังคงยึดอาชีพเสริมนี้อยู่เลย

   เอาความจริงจากใจแล้วผมไม่ได้อยากออกมาพบเจอบรรยากาศอะไรอย่างนี้หรอกนะ ยอมนอนโง่ๆ อยู่ในห้อง พิจารณาการเข้าออกของลมหายใจให้หมดวันหนึ่งยังจะดีเสียกว่า เพียงแค่เคยพูดไปแล้วว่าจะมาดูเมื่อครั้งไปรับน้องตอนนั้น ก็เลยต้องยอมมา... แบบที่ยังไม่ได้ชวนที่หนึ่งมาด้วยเลย

   "อีกนิดนึงก็จะหล่นลงไปแล้วสัตว์ ยืนดีๆ หน่อย"

   โดนดึงคอเสื้อจนมันรั้งมารัดช่วงลำคอ ผมส่งตาขวางไปให้เพื่อนที่คงไม่สามารถใช้สามัญสำนึกอย่างคนอื่นทั่วไปได้ว่าวิธีการอย่างนั้นมันมีแต่เพิ่มความบาดแผล ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด

   "ยังจะมาทำหน้าเหวี่ยงใส่กูอีก" เน็ทแม่งเข้าวัยทองแล้วแน่เลยถึงลงมือรุนแรงกว่าทุกที "มาเที่ยวก็เอนจอยหน่อยดิ"

   "นี่เรียกว่าเที่ยว?"

   "มึงกำลังคิดว่าเรากำลังจะสวดมนต์ข้ามปีกันเหรอ"

   เอาจริงนะ อย่างเขานี่แค่ท่องนะโมสามจบได้รึเปล่าเถอะ มองเจ้าชายที่บอกว่ากำลังจะไปสวดมนต์หัวจรดเท้า กางเกงยีนส์ตัวเก่งกับเสื้อยืดสีขาวขนาดพอดีตัว เห็นสร้อยเงินเส้นยาวที่ติดตัวตลอดเวลาห้อยลงมาเป็นเครื่องประดับ เน็ทหน้าตาดีอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรมากก็ดึงดูดสายตาผู้คนได้มากมายเสมอ

   "ไม่ต้องวิจารณ์กูในใจ ถึงมึงเพิ่งหายไข้กูก็บวกมึงได้นะ"

   "มึงเป็นคนดีมาได้ตั้งหลายวันแล้วก็เป็นต่ออีกหน่อยดิ"

   "ไม่อะ อย่างกูเหมาะกับบทผู้ร้ายอย่างนี้นี่แหละ"

   "เรื่องมึง"

   ขี้เกียจคุยกับคนที่พูดไม่รู้เรื่องแล้ว นอกจากผมกับเน็ทแล้วยังมีอีกคนนั่งอยู่ตรงโซฟาขนาดใหญ่ลึกเข้าไปในห้องกั้น ไวท์นั่งเงียบๆ อยู่อย่างนั้นไม่ต่างจากตอนที่อยู่บ้าน เธอยกโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดอะไรไม่ยอมหยุด สังคมก้มหน้านี่มันมีข้อดีก็วันนี้แหละ ได้เห็นสีขาวทำอะไรที่มันแตกต่างออกไปบ้าง

   ส่วนแบล็คขอตัวไปสูบบุหรี่ตั้งแต่เจอป้ายที่เขียนว่าสโมคกิ้งโซนแล้ว จนป่านนี้ก็ยังไม่กลับมาหาเพื่อนฝูงเสียที ผมไม่ชอบที่เพื่อนทำร้ายร่างกายตัวเองอย่างนั้น บอกให้เลิกเท่าไหร่ก็แค่ยักไหล่ขึ้นอย่างคนไม่สนใจโลก อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนประเภทไหนที่จะมายันกับราชาได้ ตอนนี้มองไปทางไหนก็ไม่เห็นผู้กล้าที่จะขึ้นไปต่อกรกับคนบนบัลลังก์ได้สักคน คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าคนประเภทไหนที่จะทำอะไรอย่างนั้นได้

   จากนั้นไม่นานไฟของร้านก็หรี่ลงต้อนรับวงดนตรีใต้ดินที่จะมาบรรเลงในค่ำคืนนี้ เสียงเชียร์กระหึ่มอย่างที่ผมต้องยกมือขึ้นมาปิดหูของตัวเองทันที ไม่ว่าเมื่อไหร่เสียงดังก็เข้ากับไม่ได้ผมสักที

   ผู้ชายสองคนแรกที่ก้าวขึ้นมาบนเวทีไม่ใช่พี่ชายของผม ผมมองตามทั้งคู่เข้าไปประจำที่ของตนเองเรียบร้อยแล้วถึงหันไปทางข้างเวที รอคอยการปรากฎตัวของหนุ่มแว่นร่างผอมบางอย่างใจจดใจจ่อ ในความมืดสลัวผมเห็นชายคนหนึ่งคล้ายกับคนที่กำลังรออยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีดำกำลังคุยอะไรกับคนดูแลข้างเวทีนิดหน่อยถึงเดินขึ้นมาบนเวที

   คนบนเวทีไม่เหมือนกับพี่นิชที่ผมรู้จักเลยสักนิด พี่ชายของผมในชุดแปลกตาโชว์ผิวขาวอย่างคนไม่ชอบออกแดดชัดเมื่อแสงสปอตไลท์ส่องลงมา คงอยู่ในความสนใจของใครหลายคนจากเสียงร้องต้อนรับยามประกาศชื่อ เขายิ้มรับเสียงทักทายด้วยความคุ้นเคย ไม้กลองในมือควงไปมาเป็นการวอร์มอย่างที่ชอบทำ

   หนุ่มแว่นเงยหน้าขึ้นมาตรงที่ผมยืนอยู่ พอเห็นว่าผมประจำที่พร้อมแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างให้ โบกมือไปมาอยู่ครู่ใหญ่จึงลดมือลง ผมเลยชูนิ้วเป็นตัววีคืนไปให้

   "หืม?"

   จากที่กำลังพูดคุยกันผ่านภาษามืออยู่นั้น พี่ชายของผมถูกร่างของใครอีกคนบังไว้จนมิด ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มาพร้อมกับทรงผมแปลก มองไกลๆ เลยเห็นไม่ค่อยชัดว่าส่วนที่เขาตัดจนสั้นกุดนั้นมีรอยไถแบบไหน ผมมองทั้งคู่คุยอะไรกันอยู่หลายประโยค ถึงได้เห็นหน้าของเขาชัดๆ เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้ามาทางผม

   เค้าหน้าแบบที่เห็นปราดเดียวก็รู้ว่าต้องมีเลือดของชนชาติอื่นปนอยู่ไม่มากก็น้อยผสมกันจนลงตัว ให้พูดแบบสั้นๆ ที่สุดก็หล่อ คนในวงของนิชไม่เชิงว่าน่ากลัว... แค่มองมาที่ผมแปลกๆ จนต้องแอบหลบอยู่หลังเน็ทเพื่อความปลอดภัยในชีวิต

   "ซวยแน่น้องโรม พี่นิชสุดที่รักเล่นมึงล่ะ"

   "ทำไมเขามองมาที่กูอย่างนั้นอะมึง"

   "หึ...ไม่น่าถาม"

   รอว่าเขาจะพูดอะไรต่อ จนแล้วจนรอดเน็ทก็ไม่ยอมปริปากอีกจนกระทั่งเสียงของนักร้องนำดังผ่านไมค์ไปทั่วบริเวณนั้น เสียงทุ้มต่ำที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักกลายเป็นเสียงที่ลงตัวเมื่อผสมเข้ากับเครื่องดนตรีชนิดอื่น แม้ตอนนี้จะเพิ่งผ่านมาแค่ครึ่งเพลงแรกผมก็พอเข้าใจได้ว่าเพราะอะไรวงของเขาถึงมีคนมารอชมการแสดงแน่นขนัดอย่างนี้ การเล่นดนตรีไม่ใช่แค่ว่าคุณเล่นได้เก่งแค่ไหน แต่มันรวมถึงคุณบรรเลงเสียงที่แตกต่างให้ผสานกันได้มากแค่ไหนด้วย

   สายตาของผมมองตรงไปเพียงพื้นที่หลังกลองขนาดใหญ่ นิชยังคงเท่เมื่อขยับตัวไปตามจังหวะของเพลงอยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยนไป แว่นสายตาขนาดใหญ่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการลงจังหวะบนเครื่องตีสักนิด เหมือนมีมนต์สะกดไม่ให้ละสายตาไปที่ไหน

   "เชี่ย โคตรมันส์" จอมหวงพูดกับผมพลางปาดเหงื่อที่ไหลเต็มข้างขมับ ก็สมควรอยู่หรอกเล่นทั้งร้องทั้งเต้นแบบจัดเต็มขนาดนั้น เก็บกดจากโปรเจคมากไปไหน "นี่มึงกับกูยืนอยู่ข้างกันตลอดเวลาจริงเหรอวะ"

   ในขณะที่ผมไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยการออกสเต็ป ถึงเพลงจะเพราะขนาดไหนมันก็เป็นเพลงใต้ดินที่ผมไม่รู้จักอยู่ดี ทำได้แค่โยกหัวเบาๆ ตามไปก็เท่านั้นเอง "กูหรือไวท์ น่าจะเป็นใครล่ะ"

   "ยอกย้อนกูเหรอสัตว์" เจอฝ่ามือพิฆาตกลางหลังอีกที "แม่งกวนตีนกูเกินไปล่ะเดี๋ยวนี้"

   "จะได้อยู่กับมึงรอดไง เรายังต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน"

   "ถามกูยังว่าอยากอยู่รึเปล่า?"

   "ถึงมึงไม่อยากกูก็จะเกาะอยู่อย่างนี้แหละ"

   "เดี๋ยวๆ ช่วยเข้าใจอะไรใหม่หน่อย กูอยู่กับมึงตลอดไปไม่ได้หรอกนะน้องโรม" เน็ทจับไหล่ผมไว้ บังคับให้ผมหันมาเผชิญหน้ากับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ "สักวันหนึ่งเราก็ต้องเดินไปตามทางของตัวเอง จะต้องมีใครสักคนที่เข้ามาอยู่กับมึงแทนพวกกู เหมือนที่กูก็จะต้องไปดูแลคนของกูเหมือนกัน"

   "มึง..."

   "ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว เวลาที่พวกกูเห็นเหมือนกันว่าน้องเล็กที่พวกกูเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเอ๋อโง่ๆ จะต้องเดินเองโดยที่ไม่มีใครหนุนหลังแล้ว มึงต้องทำให้ได้ เข้าใจใช่ป่ะ"

   เขาพูดเรื่องที่เข้าใจยากออกมาด้วยเสียงจริงจังอย่างที่ผมไม่กล้าตัดมุกใดๆ เน็ทไม่เคยพูดอะไรอย่างนี้ เขาเป็นสายโวยวายไว้ก่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

   เหมือนเขากำลังบอกใบ้อะไรผมอยู่

   "..."

   "แม่ง สงสัยแดกเยอะไป มึงไม่ต้องสนใจที่กูเพ้อเจ้อหรอก"

   มาเฉไฉเวลานี้คงไม่ทันแล้วล่ะมั้ง ผมเหล่มองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ยังคงกองไว้เต็มโต๊ะ มีพร่องไปก็แค่ไม่มีขวดเท่านั้น คอทองแดงอย่างเขาไม่มีทางเมาง่ายๆ อย่างนี้หรอก

   มันเป็นช่วงพักเบรคระหว่างการแสดง ที่ไม่ควรจะมีอะไรมากไปกว่าการพูดคุยกันตามประสา กลับไปมองพื้นที่ด้านล่างที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่กลุ่มผมสีต่างๆ กระจายตัวอยู่ทั่วไป ตอนนี้คนที่กำลังคุยกับผู้ชมอยู่คือมือคีย์บอร์ด ส่วนนักร้องนำเดินไปคุยกับพี่นิชไม่ต่างอะไรกับก่อนเริ่มการแสดง หรือว่าพี่ชายผมจะเล่นผิดจังหวะ ไม่น่ามั้ง

   เดี๋ยวนะ...ผมไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม?

   ภาพเคลื่อนไหวเกิดขึ้นเร็วจนกลัวว่าถ้ากระพริบตาไปอาจพลาดโมเมนท์สำคัญ ผมอ้าปากค้างมองเจ้านายของนิชโน้มตัวลงไปจับปลายคางของพี่ชายผมไว้ ประกบริมฝีปากตามลงไปแบบไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว จุมพิตดูดดื่มยาวนานที่เล่นเอาหน้าผมร้อนไปทั้งแถบ

   "นะ...เน็ท" เรียกชื่อของคนข้างตัวพลางตะกุยแขนเสื้อ ผมไม่กล้าขยับเปลือกตาเข้าหากันจนกระทั่งเสียงโห่ร้องหายไปพร้อมกับการผละตัวออกของคนที่ยืนค้ำหัวอยู่

   "คนจริงสัตว์ๆ"

   "ทำไมเขาทำอย่างนั้นกับนิช?"

   "ก็นั่นผัวมันไง"

   ผมเบิกตากว้างตอนที่ได้ยินคำนั้นออกจากปากของเพื่อนสนิท ในเวลาเดียวกันแบล็คก็เป็นตัวละครเสริมที่โผล่เข้ามาได้ถูกจังหวะพอดี "เดี๋ยวมันได้ยินล่ะมึงจะโดนฆ่า"

   นี่ก็คนไม่แคร์อะไรสักอย่างบนโลกใบนี้ "ไม่ใช่ความจริงหรือไงล่ะ"

   "นั่นไม่ใช่เจ้านายของนิชเหรอ?"

   "เจ้านาย ผัว แฟน คนที่ขายวิญญาณให้ปีศาจ มึงอยากเรียกอะไรก็เชิญ"

   หันไปขอคำอธิบายที่ดีกว่านี้จากแบล็ค เขาคงเห็นว่าถ้าให้เน็ทพูดต่อไปเรื่อยๆ อย่างนี้คงไม่เข้าหัวผม "นั่นแฟนนิช คบกันมาพักใหญ่แล้ว"

   "ทำไมกูไม่รู้"

   "มึงสนอะไรนอกจากที่หนึ่งด้วยหรือไง?"

   "..."

   หลังจากที่คำนี้กลายเป็นคำต้องห้ามมาพักใหญ่เน็ทก็โพล่งชื่อของเขามากลางวง ผมนิ่งไประหว่างมองเพื่อนทั้งสองสลับกันไปมา

   "ถ้ามึงสนสักหน่อยมึงก็จะรู้น้องโรม นิชก็ไม่เคยปิดมึง ในเฟสนี่โคตรจะเปิดเผยอะ"

   โลกโซเชียลไม่เคยเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตของผมอยู่แล้ว และมันยิ่งไม่มีผลมากขึ้นเมื่อมีเขาเข้ามา...

   "ไม่เห็นนิชบอกเลย" เรื่องแบบนี้มันควรมีการประกาศให้รับทราบโดยทั่วกันหน่อยไม่ใช่หรือไง

   "แล้วทำไมมันต้องบอกมึง?"

   "ก็กูเป็นเพื่อนมันนะ"

   "แล้วเพื่อนอย่างกูมึงเคยเล่าเรื่องที่หนึ่งให้ฟังป่ะ?"

   ชื่อของที่หนึ่งกลับมาอีกครั้งเร็วกว่าที่คิดไว้

   "มันไม่เหมือนกัน..." เรื่องของผมกับเขามันไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น ไม่เหมือนที่นิชกำลังคบใครอีกคนอยู่อย่างนี้

   "ไม่เหมือนตรงไหน บอกกูมาดิ"

   ตรงที่ผมกับที่หนึ่งไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมควรจะพูดมันได้เต็มปาก แต่ความเจ็บตรงรอยแผลมันมากจนไม่กล้าพูดออกไป

   เราไม่ได้เป็นอะไรกัน...ใช่ มันเป็นอย่างนั้น

   "มึงมันน่าหมั่นไส้น้องโรม มึงโชคดีกว่าคนอื่นแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครมาเสือกเรื่องที่หนึ่งกับมึงอะ"

   "..."

   "ถ้ามึงรู้ว่ากว่านิชแม่งจะมาถึงจุดนี้ต้องเจออะไรมาบ้างนะ มึงจะขอบคุณพวกกูที่คอยซัพพอร์ตมึงตลอด" ผมไม่รู้เลยว่าเขาหมายความถึงเรื่องอะไร นิชไปทำอะไรมา "ถึงมันจะดูจู้จี้จุกจิกเรื่องนี้ก็เถอะ มันไม่เคยห้ามเพราะว่าที่หนึ่งเป็นผู้ชาย...มันห้ามเพราะรู้ว่ามึงจะรักมากไป"

   ไม่ชอบเลยที่เขาแสดงออกผ่านสีหน้ามากมายอย่างที่กำลังเป็นอยู่ นัยน์ตารีสวยที่มักดูร้ายกาจอยู่เป็นนิจเผยความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ข้างในจนสิ้น "เหมือนตอนลัจไง..."

   ผมรักลัจ แต่ผมไม่รู้ว่าตัวเองรักที่หนึ่งหรือเปล่า

   ความรู้สึกที่ผมมีให้เขามันไม่เหมือนกับที่ผมเคยให้นางฟ้า เพราะอย่างนั้นมันไม่ควรเรียกว่ารัก

   "เลิกคุยเรื่องเครียดๆ ได้แล้ว งานกร่อยหมด" กรรมการในครั้งนี้ชื่อแบล็ค ผมย่นจมูกยามได้กลิ่นยาสูบที่ลอยมาตามทิศทางของลม กลิ่นที่แรงจนคิดว่าไม่น่าจบที่มวนแรก "ไปสนุกให้เต็มที่เถอะ กูอุตส่าห์เตรียมทุกอย่างไว้แล้ว"

   เพลงครึ่งหลังทวีความเร้าใจจนผมกลัวใจว่าฟลอร์ข้างล่างจะถล่มลงไป อุณหภูมิที่สูงขึ้นของร่างกายมนุษย์ด้านล่างส่งขึ้นมาถึงบริเวณที่ผมยังคงยืนมองเหม่อไปทั่ว

   น่าเบื่อ

   ไม่ชอบที่แบบนี้เลย ทำไมวัยรุ่นถึงชอบพื้นที่แออัดแบบนี้กันนะ ผมไม่เห็นว่ามันจะช่วยให้ผ่อนคลายตรงไหน ผมไม่มีอะไรทำขนาดที่ว่าต้องมาสอดส่องหาว่าด้านล่างมีอะไรที่เจริญหูเจริญตาหรือน่าตื่นตาตื่นใจหรือไม่ ตรงแถวหน้าเวทีมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังตั้งใจฟังเต็มที่ ถัดออกมาหน่อยก็เป็นพวกที่มาเพื่อสร้างโลกส่วนตัวขึ้น ส่วนคนที่ยืนติดเสาก็เอาแต่ยืนนิ่งอย่างกับกำลังฟังเพลงคลาสสิคของบีโธเฟ่น

   ...

   ไม่จริงน่า มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้สิ


***
ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 06-04-2016 19:23:52
   ท่ามกลางผู้คนนับร้อย ผู้ชายที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นสะกดสายตาของผมไม่ให้เบนไปที่อื่นได้ ในความมืดผมมองเห็นสีผมของเขาได้ไม่ชัดเจนนัก มีเพียงใบหน้าเสี้ยวที่สะท้อนจากแสงไฟบอกผมว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคล้ายกับที่หนึ่งเสียเหลือเกิน เหมือนไปหมด ทั้งทรงผมแล้วก็โครงหน้า ความเครียดที่ผสมกับความตกตะลึงมากพอที่จะให้ผมระบายความเครียดด้วยการกำราวเหล็กไว้แน่น

   ราวกับว่าคนตรงนั้นรู้ว่าผมกำลังมองเขาอยู่จากด้านบน ยามที่เงยหน้าขึ้นมาจนสบสายตากับผมนั้นมันทำลายความสงสัยของผมจนหมดสิ้นไป

   ผู้ชายตรงนั้นคือที่หนึ่ง

   ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครละสายตาไปไหน เราสองคนยืนนิ่งอยู่กลางฝูงชนที่กำลังขยับร่างกายอย่างบ้าคลั่ง เสียงดังที่อื้ออึงอยู่ในขณะนี้ไม่อาจสู้เสียงหัวใจที่กำลังเต้นดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นการแสดงความยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้ง

   อยากจะกระโดดลงไปจากตรงนี้ด้วยซ้ำ เพียงแต่สิ่งที่ทำได้จริงคือต้องกัดปากห้ามไม่ให้ความรู้สึกของตัวเองแสดงออกไป

   ...ห้ามลืมว่าเราไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว

   ตักตวงความสุขชั่วคราวจนพอใจ ริมฝีปากบางสวยของเขายกมุมขึ้นน้อยๆ ก่อนทั้งร่างจะกลืนหายไปกับกลุ่มคน ไม่นะ...

   "เน็ท เดี๋ยวกูมา"

   "จะไปไหน" เน็ทมือไวกว่าขาของผม เขาจับแขนผมไว้แน่นไม่ให้ไปไกลกว่านั้นได้ "อีกสองเพลงก็จบแล้ว อยู่ด้วยกันก่อน"

   "ลงไปข้างล่าง แป๊บนึง"

   ถ้ารีบลงไปตอนนี้น่าจะยังพอหาเจอ เขาหาง่ายจะตายไป

   "ข้างล่าง? คนเยอะแยะมึงจะไปเบียดทำซากอะไร"

   "เออน่า เดี๋ยวมา"

   "ไม่ต้องไป อยู่กับกูนี่แหละ"

   สะบัดออกด้วยแรงที่มากแค่ไหนก็ไม่สะเทือน พี่ชายที่แรงเยอะกว่าผมหลายเท่าเพิ่มแรงแขนอีกจนผมนิ่วหน้า "ปล่อยกูเน็ท!"

   "มึงก็บอกกูมาสิว่าจะไปไหน"

   "ที่หนึ่งอยู่ข้างล่าง!"

   "แล้วมึงจะไปหามันทำไม!!"

   ระดับเสียงที่เราสองคนใช้ค่อยๆ ไต่ระดับความดังขึ้นไปเรื่อยๆ และมันอาจจะขึ้นไปสูงได้มากกว่านี้อีกถ้าเขาไม่ถามอย่างนั้นออกมา

   "..."

   "ตอบกูมาสิ!"

   ผมสับสนจนทำอะไรไม่ถูก คิดออกแค่ว่าถ้าไม่รีบตอบตอนนี้ผมอาจไม่ได้เจอที่หนึ่งอีกแล้ว ทางเลือกสุดท้ายคือการขอความช่วยเหลือจากอีกคนที่ผมมั่นใจว่าเขาคอยสนับสนุนผมอยู่ตลอดเวลา

   "อย่าปล่อยมัน"

   "แบล็ค!" ประกาศิตสุดท้ายมาจากราชาผู้ทรงศักดิ์ ผมฉุนกึกจนเผลอตะคอกใส่หน้าของเขา เอาอีกแล้ว อย่างนี้อีกแล้ว ชอบสั่งอย่างกับว่าเป็นเจ้าของชีวิตของผม

   "ถ้าไม่คุยกันด้วยเหตุผลดีๆ ก็อยู่ตรงนี้ไป"

   "แต่..."

   แต่ถ้าผมไม่ไปตอนนี้มันอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว

   "มึงต้องชัดเจนกว่านี้ได้แล้ว ที่กูบอกให้เลิกลังเลมึงไม่เคยทำมันได้เลย" ท่ามกลางแสงสีของไฟยามราตรี ภายในใจของผมกลับไร้ซึ่งแสงสว่างไปสู่ทางออก "นี่คือโอกาสสุดท้ายของมึง ตอบกูมาเดี๋ยวนี้ มึงจะลงไปหาที่หนึ่งทำไม"

   "สาม"

   ตัวเลขแค่สามตัวกับเวลาที่อาจไม่ถึงหนึ่งนาทีคือข้อจำกัดที่ผมกำลังต้องเจอ เหตุผลกับความรู้สึกแก่งแย่งกันเพื่อเป็นคำตอบสุดท้ายก่อนจะออกจากปากของผมไป

   "สอง"

   ผมจะลงไปหาเขาทำไม

   ผมอยากเจอคนที่อยู่ต่างมิติกันแล้วไปทำไม

   "หนึ่ง"

   หึ ไม่เห็นต้องถาม

   เหตุผลเดียวของผมคือตัวเลขสุดท้ายนั่นไง

 

   ตอนเข้ามาผมอาจมาไวเกินไปหน่อย ด้านล่างเลยยังไม่ค่อยมีลูกค้าเข้ามาจับจองพื้นที่มากอย่างตอนนี้ ส่วนช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าเป็นจุดพีคมันเลยคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมหาศาลอย่างที่ผมหาจุดเดิมที่เห็นเขาเมื่อกี้ไม่เจอด้วยซ้ำ

   ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศกระจายตัวไปทั่ว แต่ใบหน้าของผมกลับเต็มไปด้วยรอยเหงื่อจากการวิ่งซอกแซกตามหาเขาคนนั้น ความสูงของผมที่ไม่ได้มากมายอะไรนักเมื่อรวมเข้ากับความมืดของสถานที่แล้วยิ่งเป็นการยากที่จะตามหาคนเพียงหนึ่ง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ยอมหยุดตามหา

   กลัว...กลัวว่าถ้าคราวนี้ยอมแพ้ไปสิ่งที่ต้องการก็จะหลุดมือไปตลอดกาล

   คราวนี้ผมไม่ขอให้ใครช่วย คำของแบล็คที่เคยบอกไว้เมื่อนานมาแล้วอาจตรงใจของผมมากที่สุดตอนนี้ ถ้าจะเจอ...ยังไงก็เจอ อย่างน้อยครั้งนี้ขอให้ผมได้ทำตามสิ่งที่ต้องการอย่างเต็มที่ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น

   "ขอโทษนะครับ"

   พูดคำนี้มาเป็นสิบๆ รอบ ผมแทรกตัวเข้าไปในทุกพื้นที่เท่าที่จะทำได้ ร้านนี้มีความกว้างมากพอสมควรจนเริ่มคิดได้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำมันไร้ประโยชน์สิ้นดี

   ตลกดีนะ

   ในวันนั้นผมเป็นคนให้เขาไป

   แล้วในวันนี้ผมก็กลับมาวิ่งตามหาเขาเสียเอง

   ตอนที่ว่างๆ ก็เคยนับอยู่เหมือนกันว่าช่วงเวลาที่เราได้รู้จักกันจริงๆ มันก็เพียงแค่ห้าหกเดือนเท่านั้น เทียบไม่ได้เลยกับเพื่อนคนอื่นของผมที่รู้จักกันมานานนับสิบปี ทำไมผมถึงได้รู้สึกผูกพันกับที่หนึ่งได้ขนาดนี้

   เดินวนไปมาอย่างนั้นจนขาเริ่มล้า ร่างกายที่เพิ่งหายไข้มาได้ไม่เท่าไหร่ประท้วงโดยการหอบหนักๆ เรียกออกซิเจนเข้าไปแลกเปลี่ยนข้างใน กลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผสมกับกลิ่นเครื่องหอมจากตัวคนฉุนจนน่าเวียนหัว แย่ที่สุดคือเสียงดนตรีที่ยังไม่ยอมหยุดบรรเลงง่ายๆ

   ปวดหัว อยากจะล้มตัวลงเสียตรงนี้ เรื่องราวที่คล้ายว่าเคยเจอมาแล้วทำให้ผมเกิดคำถามขึ้นมาว่าถ้าผมล้มไปอีกครั้งเขาจะมาหาเหมือนเดิมหรือเปล่า

   "...เพ้อเจ้อแล้วน้องโรม"

   สะบัดหัวไล่ความคิดล้านแปดไป ผมเขย่งตัวขึ้นให้เห็นบรรยากาศโดยรอบมากขึ้นอีกหน่อย ถ้าเขาอยู่แถวนี้จริงผมมั่นใจว่าผมจะได้เจอ ที่หนึ่งไม่เคยหลุดออกไปจากสายตาของผมได้หรอก ยกเว้นว่าเขาเองนั่นแหละที่จงใจเลี่ยงตัวให้หายออกไปเอง

   กวาดตาซ้ายขวาจนทั่วก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอ หัวใจหล่นวูบไปตามร่างกายที่ลดตัวลงมาอยู่ระดับเดิม พอคิดให้ดีๆ แล้วมันก็ไม่น่าจะเจอกันได้หรอก ที่นี่ทั้งกว้างแล้วคนก็เยอะเสียแทบจะเหยียบกันตาย

   ทำอะไรงี่เง่าไปได้ คิดว่าทุกอย่างจะง่ายอย่างที่คิดไว้ตลอดอย่างนั้นเหรอไง...

   จากมุมนี้เห็นข้างเวทีได้ชัดอยู่พอสมควร ผมมองชายร่างสูงบนเวทีผู้มีฐานะเป็น 'คนที่ขายวิญญาณให้ปีศาจ' สลับกับตัวปีศาจที่ทำสัญญากับมนุษย์ ได้ยินเสียงเขาบอกว่านี่เป็นเพลงสุดท้ายแล้วก่อนจะหันไปหานิชที่เตรียมเริ่มจังหวะแรก สายตากับรอยยิ้มที่ส่งไปให้พี่ชายของผมนั้นมันหวานเสียจนความรู้สึกน้อยใจทั้งหมดหายวับไปกับตา กลายเป็นความยินดีที่ได้รู้ว่าพี่ชายของผมได้เจอตำแหน่งที่หนึ่งของตัวเอง

   ...ที่หนึ่งและที่เดียว

   แทบจะไม่มีการแข่งขันไหนที่มีผู้ชนะสองคนร่วมกัน พื้นที่ตรงนั้นมันมีไว้ให้เพียงคนๆ เดียวได้ยืนหยัด เพราะอย่างนั้นเลยต้องเลือก ว่าจะให้ใครได้อยู่บนนั้น

   และผมก็ได้เลือกไปแล้ว

   เพลงช้า เบา เสียงของนักร้องนำไม่ได้หวานจับใจอะไรขนาดนั้น สิ่งที่ทำให้คนฟังต่างเคลิ้มตามไปคือความรู้สึกที่เขาต้องการจะส่งมาให้ทุกคนได้รับรู้ ผมโยกหัวไปตามจังหวะเพลง ล่องลอยไปกับทำนองเฉพาะตัวของวง ย้อนคิดไปถึงทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น

   "..."

   กลิ่นน้ำหอมที่เคยคุ้นลอยแล่นเข้ามาในโสตประสาท ผมชะงักค้างอยู่ตรงนั้น รับรู้ได้ว่าด้านหลังของตัวเองมีใครอีกคนเข้ามาใกล้ มันไม่ได้ถึงขนาดแนบชิดที่จะได้รับไออุ่นจากร่างกาย แต่แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วสำหรับคนที่แยกกันเดินอย่างเราสองคน ผมปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีการหันหลังกลับไปมองว่าคนด้านหลังคือคนเดียวกับที่กำลังตามหาหรือไม่

   ผมมั่นใจว่าที่หนึ่งอยู่กับผมตรงนี้

   ท่ามกลางเสียงเพลงที่ยังคงเล่นตามทำนองต่อไปไม่มีหยุด เราสองคนเงียบแล้วดื่มด่ำไปกับท่วงทำนองหวานซึ้งและผมก็ยังเป็นน้องเล็กที่กลัวทุกอย่าง ทุกความกล้าที่จะดื้อแพ่งกับเหล่าพี่คนอื่นหายวับไปกับตา สิ่งที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะทำตอนที่เจอเขาอีกครั้งถูกพับเก็บไปจนหมด ผมทำไม่ได้แม้กระทั่งแอบจับมือกันใต้โต๊ะอย่างที่เคยทำ

   ผมอาจไม่มีเหตุผลที่ดีพอให้กับการกระทำของตัวเอง มันดูย้อนแย้งที่ผมตามหาเขาแทบแย่แต่พอได้เจอแล้วกลับไม่ไขว่คว้ามันเอาไว้ในมือ คงเป็นเพราะข้อเท็จจริงหนึ่งข้อที่ผมห้ามลืมมันไป ในวันนี้ทางเดินของเรามันไกลเกินกว่าจะเดินย้อนกลับไป ที่หนึ่งควรจะเดินต่อไปบนเส้นทางของตัวเอง ทางเดินโรยกลีบกุหลาบที่เหมาะกับเขา ต่างจากผมที่ยังคงยืนลังเลอยู่ตรงทางแยกมาโดยตลอด

   จนคิดว่าแค่ได้ยืนอยู่ข้างกันอย่างนี้มันก็ดีแค่ไหน

   "ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะที่หนึ่ง"

   ในความเงียบหลังท่อนสุดท้ายจบ ผมชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนที่จะมีเสียงจอแจของฝูงชน ไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่าคำนี้ เขาคือคนที่เข้ามาทำให้โลกใบเล็กของผมกว้างขึ้นมาหน่อย ที่เห็นชัดที่สุดคือเขาทำให้ผมกล้าเดินต่อ ถึงแม้จะเป็นการวิ่งในลู่ก็ตามที เขาเข้ามาปลดผมให้หลุดออกจากโซ่ที่พันตัวเองเอาไว้ ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองต้องอยู่ต่อไปให้ได้ไม่ว่าอดีตที่ผ่านมาก็เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง

   และไม่รอให้มีสิ่งใดโต้ตอบกลับมา ผมรีบเดินออกมาจากบริเวณนั้นโดยไม่แม้จะหันกลับมามองภาพด้านหลัง ต่อจากนี้ไปจะไม่มีการเห็นแผ่นหลังของเขาเดินจากผมไปอีกแล้ว

   ผมอาจใช้เวลาตามหาที่หนึ่งไม่นาน แต่พอรวมถึงช่วงเวลาที่ผมหนีไปทำใจอยู่นาน่ในห้องน้ำด้วยแล้วมันก็ปาไปเกือบสองชั่วโมงได้ อย่างน้อยตอนที่กลับไปก็ไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าตาของตัวเองแดงแค่ไหน หวิดจะร้องไห้ออกมาตั้งหลายรอบดีที่ว่าเก็บมันไว้ได้

   เวลาที่ปาไปตีสองกว่าแล้วถ้าไม่ใช่ลูกค้าวีไอพีจริงๆ คงโดนไล่ตะเพิด ผมลืมของทุกอย่างไว้บนห้องเลยไม่ชัวร์ว่าที่ตัวเองหายไปอย่างนี้จะมีใครโทรตามหรือเปล่า เดินลัดเลาะตามทางขึ้นมาส่วนของชั้นสอง ไฟที่ส่องสว่างพ้นออกจากตัวห้องมีเพียงไม่กี่ช่วง รวมถึงห้องที่ผมขึ้นมาตั้งแต่แรกด้วย หายไปนานอย่างนี้ต้องโดนบ่นหูชาแหง

   "..."

   มือที่จับลูกบิดค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อเห็นผ่านกระจกขนาดเล็กว่าสมาชิกในห้องมันมีมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น ที่เด่นที่สุดคงไม่พ้นชายตัวสูงเกือบเท่าแบล็ค เรือนผมที่คราวก่อนเป็นสีเทาคราวนี้มันจางลงไปกลายเป็นเกือบบลอนด์

   ณธาม

   รวมถึงอีกคนที่อยู่ถัดไปคือชายตัวเล็ก ผอมบางอย่างคนที่ไม่ใส่ใจดูแลตัวเองอย่างเกรย์

   ทำไมสองคนนั้นถึงมาอยู่ที่นี่ได้

   "รีบคุยกันเถอะ ป่านนี้น้องโรมคงอยู่กับที่หนึ่งแล้ว"

   ประตูที่ปิดไม่สนิทเลยได้ยินเสียงที่ลอดออกมาชัดเจน เมื่อได้ยินชื่อของตัวเองจากปากของแบล็คผมเลยรีบปล่อยมือที่จับกลอนประตูออก เบี่ยงตัวออกมาอยู่ด้านข้างให้ไม่มีใครเห็น พวกเขาจะคุยเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงต้องคุยตอนที่ไม่มีผมอยู่ด้วย

   "ปกป้องจังเลยนะ" พี่น้องชื่อสีคนที่สามหยัน

   "กูต้องดูแลน้องทุกคนให้เท่ากัน เรื่องไหนที่ไม่เกี่ยวกับน้องกูก็ไม่เอามาพูด"

   "ไม่เกี่ยวหรือไม่อยากให้รู้กันแน่?" ขนาดได้ยินแค่เสียงผมยังหายใจติดขัดได้ "เอาแต่ปกปิดอยู่อย่างนั้น คิดเหรอว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ น่ะแบล็ค"

   "ตามหลักแล้วมึงเป็นน้องกู ช่วยเรียกให้ถูกด้วย"

   "ตามหลักแล้วผมต้องเป็นลูกคนเดียว" สีเทาโต้กลับอย่างไม่ลดละ "ตามหลักแล้วผมไม่ควรต้องนับคนอย่างพวกคุณเป็นคนรู้จักเลยด้วยซ้ำ"

   บาดแผลที่ลบไม่ออกในหัวใจของพวกเราทุกคนถูกกระตุ้นขึ้นมาด้วยคำพูดนั้น แผลเป็นมันมีความหมายตรงตามตัว แผลที่ยังคง 'เป็น' อยู่ราวกับร่างกายไม่อาจทำการสมานได้ด้วยตัวเอง

   "อย่านอกประเด็น เรากำลังพูดเรื่องที่มึงเอาที่หนึ่งเข้าเกี่ยวในเรื่องที่ควรเป็นของพวกเราต่างหาก"

   "เรื่องของพวกเราคืออะไรอย่างนั้นเหรอครับ? ใช่เรื่องที่มีบางคนแย่งทุกอย่างไปจากผมหรือเปล่า คุณก็เรียนทางด้านกฎหมายอยู่ไม่ใช่เหรอ? ...ช่วยบอกผมหน่อยว่าถ้าผมอยากได้ความยุติธรรมกลับมาผมควรไปหาจากที่ไหนดี?"

   สิ่งที่ดูเป็นความเท่าเทียมสำหรับคนหนึ่ง อาจเป็นการเลือกปฎิบัติสำหรับคนที่สอง

   ความยุติธรรมคือสิ่งที่ไม่มีจริง

   "ไม่มีใครเคยแย่งอะไรไปจากมึงเกรย์"

   "พูดออกมาได้เต็มปากดี"

   "อย่ามาเรียกร้องทั้งที่มึงไม่รู้ความจริงอะไรเลย"

   "ยังมีอะไรที่ผมไม่รู้อีกเหรอ ...นี่ เอาตามตรงนะ เอาเวลานี้กลับไปเลี้ยงน้องให้เป็นเด็กโง่ที่ไม่เคยรู้อะไรต่อไปดีกว่ามั้ง" วัตถุบางอย่างตกสู่พื้นเสียงดัง ผมอยากจะขยับตัวไปดูเหตุการณ์ข้างในที่เกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน ติดตรงที่ผมกลัวว่าทุกคนจะรู้ว่าผมอยู่ด้วยน่ะสิ "แต่พวกคุณก็เก็บความลับเก่งจริงๆ นะ แค่เรื่องของผมกับลัจทุกวันนี้โรมยังไม่เคยสะกิดใจเลย"

   เมื่อกี้เกรย์เรียกชื่อลัจใช่ไหม ผมไม่ได้หูฝาดไปเองใช่ไหมว่าสองคนนั้นรู้จักกัน

   "มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยสนธยา"

   "แล้วความจริงที่ว่าคืออะไรล่ะ! หรือจะบอกว่าที่แม่ตายไม่ใช่เพราะมันหรือไง!!" เสียงของเขาที่ตะโกนก้องไปทั่วห้องมันส่งออกมาถึงข้างนอกด้วย ผมสะดุ้งเฮือกยามนึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในคืนนั้น "..แค่นั้นมันไม่พอใช่ไหม ทำไมมันต้องเอาลัจไปจากผมอีกคนด้วย!!"

   !

   ส่วนประโยคที่สองคือการแทงซ้ำในตำแหน่งเดิม แรงโน้มถ่วงแถวนี้มันคงมากกว่าปกติจนดึงทั้งร่างของผมให้ทรุดลงไปตรงนั้นโดยไม่มีเวลาได้พยุงตัวเองเอาไว้

   ยกมือขึ้นจับหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง เสียงหัวใจที่ยังคงเต้นต่อไปไม่มีหยุดพักคล้ายกับเสียงเข็มของนาฬิกาที่คอยบอกผมว่าทุกอย่างมันยังคงต้องดำเนินต่อไป ไม่ว่าผมจะอยากหยุดเวลาหรือคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องในจินตนาการก็ไม่อาจจะทำได้

   "เรื่องแม่สองไม่ใช่เพราะโรม เรื่องลัจก็เหมือนกัน..."

   "แล้วเพราะใครล่ะครับ คุณรึเปล่ารัตติกาล" ท้ายเสียงแห้งผากจนไร้ชีวิตจิตใจ "ก็คุณเป็นคนฆ่าแม่เพื่อปกป้องมันนี่นา..."

   "...!"

   "ถ้ามันไม่นัดลัจวันนั้น...ลัจก็คงไม่ตาย"

   นั่นมันเรื่องอะไรกัน ไม่ใช่เพราะผมสักหน่อย

   "ใครกันแน่ที่พานางฟ้าไปตาย"

   เวลแทรกขึ้นมากลางสนามอารมณ์ที่ไม่มีที่ท่าว่าจะดับลงง่ายๆ "ว่าอย่างนั้นไหมซิน"

   "..."

   ขอโทษที่สอดนะ แต่พอดีเห็นพูดกันเรื่องความจริงอะไรล้านแปดแล้วเพิ่งนึกได้ว่าผมก็รู้อะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน" เสียงที่ผมคิดว่ามีวิธีการพูดที่คล้ายกับของไวท์ไม่ยอมหยุดอธิบาย "บางเรื่องที่ผมรู้...พวกคุณคงไม่รู้กันเลยด้วยซ้ำ"

   "..."

   "ใช่ไหมซิน 'ความจริง' ที่คุณหนีมาน่ะ"

   "...หยุดนะ" นั่นคือคำแรกคือลอดออกมาจากปากของสีขาว

   "ได้เวลาพูดความจริงแล้ว มันหมดเวลาที่คุณจะหนีแล้ว" ลมหายใจของผมขาดช่วงไปหลังจากได้ยินคำบอกเล่าที่ไม่เคยรู้มาก่อน เรื่องที่จะเปลี่ยนทุกความเข้าใจเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้วให้กลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำที่ไร้ค่า

   "บอกไปสิว่าลัจไม่รู้เรื่องที่นัดวันนั้นเลยด้วยซ้ำ ก็คุณเลือกที่จะให้ลัจไปเรียนต่อกับเกรย์อย่างที่ตั้งใจไว้นี่นา"

   "เวลา!"

   เสียงกรีดร้องนั้นหยุดการเคลื่อนที่ของเวลาลง


***
   ปั่นเสร็จเร็วที่สุดเท่าที่เคยพิมพ์มาเลยค่ะ มาถึงตอนนี้คิดว่าได้เคลียร์ปมใหญ่ออกได้นิดหน่อยแล้วค่ะ (หัวเราะแห้งๆ)
   ที่หนึ่งน่าสงสารเนอะ สำหรับเจ้าแล้วน้องโรมก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ยังคงมีความซับซ้อนทางความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นเองค่ะ ยังตัดสินใจเองไม่ได้ ยังเอาหลายๆ อย่างมาผสมกันจนเป็นคนที่ดูโลเลตลอดเวลา อย่าเพิ่งเกลียดน้องกันเลยนะคะ อย่าเพิ่งเกลียดพี่ๆ ด้วยเลยนะ (ร้องไห้)
   ขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็นนะคะ (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: puengmimsweety ที่ 06-04-2016 19:33:33
โอ๊ยยยยย ค้างงงงงงงงง ฮือ อออ สงสารน้องโรม
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 06-04-2016 19:52:08
โอ๊ยยยยย น้องโรม!!!
ซับซ้อนเหมือนพี่ๆ เลย
เฮ้อ!!!


ปั่นต่อเลยค่ะ ปมจะได้เคลียร์ออกเยอะๆ
คิดถึงที่หนึ่ง #ที่หนึ่ง
 :ling2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-04-2016 21:33:58
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: kung ที่ 06-04-2016 22:03:51
งงงงงงงงง มันคืออัลไลฟระ รำคาญอิโรมมากจริงๆ ทำไมงี่เง่าแบบนี้ ถ้าเรื่องจริงที่หนึ่งคงมีเมียใหม่ไปนานแล้วละ บ้านอิโรมเป็นคนจริงๆใช่มั้ย ทำไมดูหลอนๆกลวงๆทุกคนเลย ไปโรงบาลบ้าดีกว่ามั้ย #อินี่ก็อินจริงจัง #ทีมที่หนึ่งว้อยยยย และนี่สำหรับอิโรม>> :z6: :angry2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-04-2016 22:27:46
รออ่านอย่างเดียวนาทีนี้
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 06-04-2016 22:35:54
งง หนักมาก สรุป ที่หนึ่งใช่พระเอกมั้ย ????
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 06-04-2016 23:04:29
ที่หนึ่งหาเมียใหม่เถอะ เลิกข้องเกี่ยวกับตระกูลนี้เถอะ นายควรไปตามทางของคนธรรมดาอย่าไปยุ่งกับครอบครัวที่ทำตัวอย่างเทพเจ้าเลย คนธรรมดาอย่างเราและนายไม่มีวันเข้าใจหรอก เรามึนไปหมด และโรมโลกไม่ได้หมุนรอบตัวนายนะแอดมิทตัวเองซะ ท่าทางจะเป็นเอามาก  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Lonelyนู๋โรนลี่ ที่ 07-04-2016 14:07:27
สุดท้ายก็ยังเชียร์ให้ที่หนึ่งไปหาคนอื่นเหอะ
นี่ขนาดโรมเลือกแล้วนะ ยังไม่กล้าทำอะไรเลย คิดดู โลเลมาก
ต่อไปพอมีเรื่องอะไรเข้าหน่อย โรมก็จะโลเลอีก ที่หนึ่งก็จะเจ็บปวด
แกมันคนไม่มั่นคง ที่หนึ่งออกมาเหอะ
ส่วนความซับซ้อนของตระกูลนี้
บอกเลย เราไม่โอเค ประคบประหงมโรมจนขาดความมั่นใจ อ่อนแอเกินไป อยู่แบบนี้ต่อไปเถอะะะะ
ปล.อยากอ่านคู่คนขายวิญญาณให้ปิศาจอ่าาาา  ดูจะแซ่บ จะมั่น จะแมน จะเด็ดขาดกว่ากันเยอะเลออออออ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 07-04-2016 18:49:05
รอตอนต่อไปนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 25 [06.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: nnewy ที่ 08-04-2016 00:33:23
น้องโรมสู้ๆนะะะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 10-04-2016 15:14:13
บทที่ 26

[Side : เวลา]

   เวลา น. ชั่วขณะความยาวนานที่มีอยู่หรือเป็นอยู่ โดยนิยมกกำหนดขึ้นเป็นครู่ คราว วัน เดือน ปี

   "โทษที ห้องรกหน่อยนะ"

   "ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย"

   มันไม่ได้รกอย่างที่เขาบอก ก็แค่ว่าดูแล้วรู้ว่ามีคนอยู่อาศัยในห้องนี้เพิ่ม การจัดวางของมีบางสิ่งที่ไม่ใช่รสนิยมการจัดห้องของเขา อย่างเช่นรองเท้าหลายแบบที่คนละไซส์กัน ถุงขนมจำนวนมาก รวมถึงตุ๊กตาที่เพิ่มขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้สองตัวบนโซฟา

   เป็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันบ่อย แถมการเจอแต่ละครั้งก็ชอบมาพร้อมกับปัญหาเสียอีก เทอมนี้เราเรียนวิชาเลือกตัวเดียวกัน แล้วมันมีงานคู่ที่ต่างฝ่ายต่างลืมไปว่าต้องส่งในคาบต่อไป เลยต้องถ่อมาช่วยกันทำตอนห้าทุ่มกว่าเพราะต่อจากนี้ไม่มีช่วงว่างที่ตรงกันอีกแล้ว

   ที่หนึ่งไม่เคยหวงห้อง การมารอบนี้นี่เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ได้มานั่งคุยเล็กๆ น้อยๆ แลกเปลี่ยนชีวิตกัน เป็นที่หนึ่งเล่าเรื่องตัวเองเก้าสิบเก้าเปอร์เซนต์ ส่วนอีกหนึ่งคือผมนั่งฟังไปเรื่อย

   เขาเคลียร์ข้าวของบนโต๊ะตัวเล็กหน้าโซฟาเพื่อให้มีพื้นที่ในการทำงาน ผมวางโน๊ตบุ๊คของตัวเองลงบนโต๊ะ จัดการเปิดโปรแกรมต่างๆ ที่จำเป็นต่อการหาข้อมูลจนครบ รอจนที่หนึ่งกลับมาจากพื้นที่ส่วนห้องครัวขนาดเล็กพร้อมกับของกินเล่นนิดหน่อยถึงเริ่มทำงานกันจริงจัง

   "เที่ยงคืนแล้วยังจะกินอีก"

   "จะได้ไม่หลับไง"

   "งั้นขอแค่น้ำเปล่าสักแก้วแล้วกัน"

   เคยมาหลายครั้งแล้วผมเลยเดินไปหยิบสิ่งที่ต้องการเอง ปริมาณสิ่งของที่เพิ่มมากขึ้นในทุกพื้นที่เป็นส่วนเสริมความคิดเรื่องที่ว่ามีคนอื่นอาศัยอยู่กับเขาด้วย ผมเปิดตู้บิลท์อินขนาดกำลังดีที่อยู่เหนืออ่างล้างจาน หยิบสิ่งที่ต้องการมาไว้ในมือแล้วปิดเสีย

   "...ที่หนึ่ง มานี่หน่อย"

   ไม่ใช่ว่าหาอะไรไม่เจอ แต่ตอนที่มองออกไปยังส่วนลานซักล้างแล้วภาพที่ฉายอยู่ในตาของผมตอนนี้คือห้องฝั่งตรงข้ามที่ปิดไฟในห้องจนหมดให้เหลือเพียงประกายดาวที่พร่างพราวลอดออกมา ...ไม่ต่างจากความสวยงามที่เกิดขึ้นในคืนนั้น

   "น้ำหมดเหรอ?"

   "รู้จักห้องฝั่งตรงข้ามรึเปล่า" ไม่ตอบเขา ผมแค่ชี้ไปทางประกายแสงแวววาว มันเป็นการถามแบบหว่านแหมากพอควร เตรียมใจไว้ได้เลยว่าจะต้องผิดหวัง

   "ฝั่งตรงข้าม? อ้อ รู้จัก ทำไมเหรอ?"

   ที่หนึ่งนี่จะเครือข่ายกว้างไกลไปไหนนะ "ใคร?"

   "น้องโรม ที่วันนั้นมาห้องแล้วเจออะ"

   อ้อ เด็กน้อยของพวกนั้น น้องเล็กที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรกับใครเขาเลย ผมไม่ได้ไม่ชอบผู้ชายที่ชื่อโรมหรอก ถ้าหมายถึงในกรณีที่ผมมีตัวเลือกแค่ผู้ชายสี่คนวันนั้นน่ะนะ เขาไม่ค่อยต่างจากครั้งเดียวที่ผมเจอ ดูป่วยซีดแล้วก็ไม่น่าสนใจ จากการสังเกตบวกกับเรื่องที่เธอเคยเล่าผมสรุปให้กับตัวเองได้ว่าเขาก็เป็นแค่เด็กที่เกือบจะโตแล้ว ติดที่ว่ามีพี่พวกนั้นคอยโอ๋มากจนเกินไป

   แล้วยิ่งเก็บไว้มากเท่าไหร่นั่นแหละที่น่ากลัว

   "มีอะไรรึเปล่า?"

   "ไฟ..." ดวงดาวที่เธอชี้นิ้วไล่เรียงให้ผมฟังว่ามันชื่ออะไรบ้าง "สวยดี"

   "โอ๊ะ วันนี้ไวท์เปิดเร็วแฮะ"

   "ไวท์? ไหนบอกว่าห้องโรม"

   ความสนใจทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่ชื่อของเธอทันที

   "ตอนนี้ไวท์อยู่ ห้องต่อไปนั่นก็ห้องแบล็ค มันเล่ามีตัวน่ารำคาญมายุ่งอยู่เลยต้องดูแลเป็นพิเศษ ตอนนี้น้องโรมก็เลยมาอยู่ด้วย"

   'ตัวน่ารำคาญ' ที่ว่าคงไม่พ้นผมหรอก

   งั้นอีกหนึ่งชีวิตนี่ก็คือน้องเล็กคนนั้นสินะ

   "อ้อ เข้าใจล่ะ"

   "เห็นเปิดประจำแหละ เที่ยงคืนตีหนึ่งอะไรอย่างนี้ นอนดึกจะตายไป"

   "...ยังไม่ยอมนอนอีกเหรอ" พึมพำกับตัวเอง ที่หนึ่งคงไม่รู้ว่านี่คือเวลาปกติ ไม่มีคำว่านอนดึกสำหรับซิน

   "พูดกับฉันหรือเปล่า?"

   "ไม่ ไม่เกี่ยว"

   เธอยังเหมือนเดิม...

   กลับมาประจำอยู่ตรงหน้างานของตัวเอง ผมกับที่หนึ่งต่างพุ่งสมาธิไปยังงานที่ตัวเองได้รับมอบหมาย มีเสียงเพลงจากเครื่องของเขาที่เล่นซ้ำอยู่เพียงเดียวช่วยขับกล่อมให้การทำงานมีความผ่อนคลายมากขึ้นหน่อย สงสัยคงจะชอบเพลงนี้มาก

   "จะว่าไปนายกับไวท์ก็คล้ายกันนะ"

   ระหว่างที่ผมกำลังตรวจสอบความถูกต้องของรายงานเป็นครั้งสุดท้ายผู้ชายที่เป็นที่หนึ่งก็เปรยขึ้นมา "เหรอ"

   "ก็คิดว่าถ้าไม่เหมือนหรือคล้ายกันก็ไม่น่าจะลากไปถ่ายรูปได้"

   เขายังคงติดใจเรื่องนี้อยู่สินะ ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ที่หนึ่งไม่ใช่คนอ่านยาก คงคิดว่ารูปนั้นมันเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาไม่นานล่ะสิ

   "อย่างเรื่องเสื้อผ้าก็เหมือนกัน ใส่แต่โทนพวกนี้"

   "บางคนเขาใส่ไว้อาลัย" ก็เลยใส่เป็นเพื่อนด้วย ให้เธอไม่ต้องจมอยู่ในกองความคิดนั้นอยู่คนเดียวไม่ไปไหน ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจขนาดนี้หรอก แค่เปิดตู้อีกทีก็เห็นแต่โทนสีทะมึนอย่างนี้อยู่เต็มตู้ไปหมด

   "ไหนบอกว่าไม่ได้ใส่ไว้อาลัยให้ใครไง"

   "ก็บอกว่าบางคน ไม่ได้บอกว่าตัวเองสักหน่อย"

   "อ้อ เรื่องที่ชอบดาวก็เหมือนกัน ไวท์เรียนเอกดาราศาสตร์นี่ น่าจะคุยกันสนุก"

   นิ้วของอีกฝ่ายชี้มาที่หน้าจอเดสก์ท็อปของผม มันเป็นรูปพื้นหลังที่เต็มไปด้วยประกายดาวสีเงินเต็มผืนท้องฟ้าสีดำสนิท เป็นรูปที่ชอบที่สุดจากทริปเมื่อสี่เดือนที่แล้ว

   ผมไม่เคยชอบดวงดาว ไม่คิดจะชอบมันด้วย มันก็แค่ก้อนหินที่ลอยไปมาตามแรงดึงดูดประหลาดเป็นรอบชัดเจน หรือไม่ก็ลอยแบบไร้ทิศทางรอวันที่จะตกลงมา ที่ผมถ่ายมันจนกลายเป็นผลงานหลักก็แค่ผมไม่ชอบถ่ายรูปคน มันมีองค์ประกอบเสริมที่บังคับไม่ได้มากเกินไป ไม่เหมือนกับการถ่ายธรรมชาติหรือสิ่งไร้ชีวิต

   ...โกหกไปอย่างนั้น

   แค่อยากถ่ายเก็บไว้ให้รู้ว่าในระหว่างที่เธอแหงนมองท้องฟ้าอยู่ที่ไหนสักแห่งผมเองก็กำลังมองมันอยู่ไม่ต่างกัน จนตอนนี้ก็ปาไปกี่อัลบั้มแล้วก็ไม่รู้ มากที่สุดคงไม่พ้นดวงดาวที่เคยบอกว่าอิจฉานั่นแหละ

   "ไว้จะลองดูนะ"

   "แต่อย่างเรื่องการพูดจะไม่เหมือนกันเท่าไหร่"

   "ใครพูดเหมือนกันบ้าง?"

   "ก็ใช่อยู่ แต่มันก็คล้ายแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายยังไง"

   "งั้นก็อธิบายช่วงสรุปของรายงานไป"

   โชว์หน้าปัดนาฬิกาข้อมือเรือนใหญ่ให้เห็นว่าตอนนี้ปาไปเกือบตีสองแล้ว สั่งให้ทำงานต่อไปจะได้ไม่ต้องมานั่งเปรียบเทียบผมกับซินอีก ชักจะง่วงแล้วล่ะ

   แล้วเธอคนนั้นเคยง่วงกับใครเขาบ้างหรือเปล่า

   นอกหน้าต่างยังปรากฎไฟสีจางอยู่ ตอนนี้ก็คงนั่งจดอะไรลงไปสมุดอยู่อย่างเดิม หรือไม่ก็แหงนมองดาวบนฟ้าอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน ผมได้คำตอบแล้วว่าเครื่องจำลองท้องฟ้าหายไปไหน เพราะของที่ซินคืนไว้ให้ผมมีแค่นาฬิกากับของอีกสองสามอย่าง หาเจ้าสิ่งนี้มากเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ นี่เท่ากับว่าในช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่กับผมแล้วเธอแทบไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปเลย

   ดาวที่ส่องสว่างมากที่สุดชัดอยู่ในความทรงจำ ไม่ต่างอะไรกับคำบอกเล่าตำนานความเป็นมาของแสงสีสวยบนท้องฟ้านั่นเลย

   จะมีตำนานไหนบ้าง...ที่อาร์เทมิสได้คู่กับโอไรออนอย่างที่หวังไว้

   ให้คนบาปไม่ต้องอยู่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
 


   ต่อให้เก็บรักษาของไว้ดีแค่ไหนมันก็ไม่อาจคงทนสู้การแปรเปลี่ยนของเวลาได้

   สมุดปกดำเล่มเดิมมีร่องรอยของการเก็บไว้เป็นเวลานาน ถ้าไม่นับว่าหน้าปกหมองลงไปนิดหน่อยแล้วก็มีเพิ่มเติมแค่ตรงหน้าแรกที่มีรอยขีดเขียนด้วยลายมือของผมอยู่

   SIN

   ชื่อที่ต่อให้เป็นเพียงเรื่องสมมุติก็ยังมีค่ามากมายสำหรับผม

   ปิดมันไว้อย่างเดิม หยิบมันใส่ถุงกระดาษที่วางไว้อยู่ข้างตัว ในนั้นมีนาฬิกาสีขาวเรือนเดิมกับที่เคยให้ไปเมื่อคราวนั้นนอนอยู่ ปากกาที่หมึกคงแห้งไปแล้ว รวมถึงรูปถ่ายด้านหลังที่ผมเกือบชอบมัน

   มันอยู่ที่ผมนานเกินไปแล้วล่ะ ต้องเอาไปคืนเสียที

   วันนี้ซินเรียนถึงแค่ตอนเที่ยง ปกติแล้วจะไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหนมากไปกว่ารอบมหาลัย เพียงแต่ช่วงนี้ที่พี่ชายเกิดอยากทำหน้าที่เป็นพวกขี้หวงเลยมาประกบติดจนผมไม่มีที่แทรกเข้าไป เอาเถอะ แค่มาให้เห็นหน้าว่าต่อให้เขาจะกลบมันไว้มากแค่ไหนผมก็จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกก็เท่านั้นอง

   กลายเป็นภาพที่คนทั้งเอกจะชินชาไปแล้วว่าผมชอบมานั่งรอเธออยู่อย่างนี้ในช่วงก่อนหมดคาบเรียน ต่อให้ซินจะเมินเฉยมากแค่ไหนผมก็ยังคงเรียกเธอว่าซินอยู่แบบเดิม ผมไม่เคยรู้จักคนที่ชื่อไวท์ มันมีแค่ซินเท่านั้นที่ผมรู้จัก

   วันนี้เป็นคาบเรียนในห้องใหญ่แล้วผมเองก็งดคลาสเช้าเลยมีที่ว่างให้ผมได้เข้ามานั่งปะปนด้วยง่ายหน่อย ซินไม่เคยมีเพื่อนคนอื่น ผมเห็นเธอนั่งอยู่คนเดียวเสมอไม่ว่าจะเป็นช่วงการเรียนหรือว่าพักเบรค ในสาขานี้ก็มีคนเรียนแค่ไม่กี่คนอยู่แล้วยิ่งเห็นชัดเวลาที่เธอแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว

   ถือวิสาสะลงมานั่งด้วย วันนี้ซินมาพร้อมเสื้อสีเทาเข้มตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นที่ดูแล้วไม่น่าช่วยสร้างความอบอุ่นให้ในห้องเรียนขั้วโลกอย่างนี้ได้ ผมเลยส่งแจ็คเกตยีนส์ของตัวเองไปให้ ความหวังดีของผมโดนตีกลับด้วยการที่เธอไม่แม้แต่จะหันมามองว่าคนข้างๆ จะยื่นของมาให้ทำไม คนบาปยังคงมองตรงไปยังสื่อการสอนในรูปแบบสไลด์หน้าห้อง ทำอย่างกับผมเป็นพวกคนล่องหนไม่มีตัวตนอะไรทำนองนั้น

   หลายคนแอบเรียกผมลับหลังว่าเวลผู้ลึกลับ ผมไม่ได้หลบซ่อนตัวอะไรขนาดนั้นสักหน่อย ก็แค่ไม่ชอบที่ต้องมาอยู่ในความสนใจของใครต่อใครก็เท่านั้นเอง ช่วงที่เข้ามหาวิทยาลัยมาใหม่ๆ ผมยังทำใจเรื่องของซินไม่ได้เลยขอบอกลาทุกกิจกรรมที่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น มีพี่หลายคนเข้ามาชักชวนให้ช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้คณะหน่อยได้ไหมแต่ก็โดนผมปฏิเสธกลับไปหมด ไม่รู้สุดท้ายกลายเป็นว่าผมใส่เสื้อไร้สีสันเพราะผมไว้อาลัยให้ความรักที่จากไปได้ยังไงก็ไม่รู้ เป็นตำนานความรักที่ประทับใจจนอยากขำออกมาดังๆ

   "ใส่ไว้ มันหนาว"

   ต่อให้ครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกันมันผ่านมาสามปีแล้วก็ตามที เธอยังคงดื้อเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

   "ซิน..."

   สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปหน่อยก็คงเป็นเรื่องคำดุของผมไม่มีผลอะไรต่อเธออีกแล้วล่ะ ถ้าไม่ยอมรับไปดีๆ ผมก็คงต้องบังคับหน่อยแล้ว

   ช่องว่างระหว่างแถวไม่ได้มีมากเท่าไหร่ ผมแทรกตัวลงไปอย่างลำบากนิดหน่อยเพื่อก้มตัวลงไปคลุมช่วงขาอ่อนที่พ้นออกมาจากกางเกงขาสั้นให้โดยไม่รอคำอนุญาต อาการตกใจของเธอมีอยู่แค่ไม่ถึงสามวินาทีก่อนกลับไปเป็นซินคนเดิม ไม่ส่งคืน ไม่ขอบคุณ ยังคงมองข้ามผมไปอย่างนั้น

   จ้องหญิงผิวขาวซีดจดอะไรลงไปในสมุดเล่มใหญ่ไม่มีหยุด ผมนั่งพิจารณาเค้าหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนไปสักนิด เหมือนย้อนไปตอนที่เธอเอาแต่ก้มหน้าอยู่กับสมุดเล่มใหญ่คราวที่เรานั่งอยู่ตรงหน้าระเบียง ไม่มีอะไรต่างออกไป เวลาของเธอหยุดอยู่ที่ตรงนั้นเสมอมาสำหรับผม

   จนกระทั่งอาจารย์เลิกคลาส สมาชิกที่เหลือต่างเร่งรีบเก็บอุปกรณ์การเรียนของตัวเองลงกระเป๋า ผมหยิบถุงกระดาษที่ติดตัวมาตั้งแต่เช้าลงไปบนโต๊ะแทนที่สมุดและชีทเรียน

   คราวนี้เธอมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ก่อนเปลี่ยนมาสบตากับผม

   นัยน์ตาที่มองตรงมามันแสดงออกชัดว่าผมไร้ความหมายแค่ไหนสำหรับเธอ

   ให้ตายเถอะ ผมเกลียดตาคู่นั้น เกลียดที่ต้องมารู้ว่าความว่างเปล่าในตาของเธอมันมาจากไหน

   "เอามาคืน" คงจะฝันอยู่ถ้าได้ยินเธอตอบกลับมาสักประโยค "นั่นของคุณ ไม่ใช่ของผม"

   อย่างน้อยก็อยากได้ยินเสียงแบบกราฟไร้โทนที่ไม่เคยได้ยินจากใครที่ไหนอีก และมันคงเป็นไปไม่ได้เมื่อเธอยังเป็นผู้หญิงที่สวมหน้ากากไร้ชีวิตอยู่เช่นเดิม

   "เวลาจะอยู่กับคุณเสมอ"

   เมื่อพูดสิ่งที่ต้องการออกไปทั้งหมดแล้วก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องอยู่ตรงนี้อีก ดีไม่ดีเดี๋ยวถ้าออกนอกห้องไปเจอพี่ชายเธออีกล่ะก็วันนี้คงไม่ต้องทำอะไรแล้ว

   ผมเดินออกไปทางประตูหลังเพื่อความปลอดภัย ไม่เหลือบตากลับมามองว่าเธอหยิบของที่ผมให้หรือไม่

   เชื่อผมเถอะ ซินไม่มีทางวางมันทิ้งไว้หรอก

 

   "ช่วยฟังอะไรสักหน่อย...ได้ไหม"

   "ฟัง?"

   "เรื่องเล่าทั่วๆ ไป"

   เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความขมขื่น เธอชี้ไปยังผนังห้องด้านตรงข้ามกับเตียง มันก็ไม่ต่างจากส่วนอื่นของห้องที่มีจุดของแสงไฟกระทบอยู่บนวัตถุที่ไม่สามารถลอดผ่านไปได้ "นั่นกลุ่มดาวคนคู่ ดาวประจำราศีเมถุน"

   ผมมองไม่ออกหรอกว่ามันคือดาวดวงไหน ทำเออออเข้าใจไปอย่างนั้นไม่ให้เธอขาดช่วงการเล่า "แล้ว...?"

   "ที่จริงจะมีดวงที่สว่างอยู่แค่สองดวง คือพอลลักซ์กับคาสเตอร์" ได้ยินแค่ชื่อก็คิดไว้แล้วว่าจะต้องไม่พ้นฟังตำนานกรีกเพิ่มอีกเรื่องแหง "เป็นฝาแฝดกัน คนนึงเป็นเทพ อีกคนเป็นมนุษย์"

   "หือ?"

   "หนังสือเขียนมาอย่างนั้น สองคนนี้เป็นฝาแฝดที่เก่งมากแต่โดนญาติหักหลัง ไปแก้แค้นจนชนะสุดท้ายเหลือคาสเตอร์คนเดียวเพราะเป็นอมตะ ส่วนอีกคนตายระหว่างการต่อสู้"

   "ไม่แฟร์เลยแฮะ" คารวะหัวครีเอตของคนสมัยก่อนจริงๆ

   "ฉันมีน้องอยู่สองคน"

   ท่ามกลางดวงดาวที่พร่างพราว เธอเปลี่ยนประเด็นที่ต้องการจะเล่าไปเสียอย่างนั้น

   "น้องต่างสายเลือด กับน้องนอกสายเลือด"

   "ขอคำอธิบายเพิ่ม" สกิลของผมในการทำความเข้าใจวิธีการพูดของซินยังต้องการการเรียนรู้อีกมาก

   "น้อง...ร่วมพ่อ กับน้องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย เป็นฝาแฝดที่ไม่ต่างอะไรกับดาวคนคู่"

   น้องที่ไม่เกี่ยวอะไรกันเลยนี่เรียกว่าน้องได้ด้วยเหรอ? ผมเกิดคำถามนี้ในใจแต่ก็ยังเก็บมันไว้ก่อน เดี๋ยวคงมีข้อมูลอื่นที่ช่วยให้เรื่องราวมันเข้าใจได้มากขึ้น

   "น้องที่บอกว่าตัวเองเป็นแฝดกับอีกคน ตอนแรกเป็นเพื่อนสมัยเด็กอายุห่างจากเราเกือบปี ฉันเลยไม่เคยมองว่านั่นคือเพื่อน...แต่นั่นคือน้องสำหรับฉัน"

   ราวกับว่าเธออ่านใจของผมได้ เพราะคำเล่าต่อมาช่วยอธิบายคำถามของผมจนหมด จะสรุปอีกครั้งก็คือประมาณว่าซินมีน้องร่วมพ่อคนหนึ่ง ส่วนอีกคนที่เป็นนอกสายเลือดก็คงเป็นเพื่อนสมัยเด็กอะไรนั่น ที่กลายมาเป็นคู่แฝดกัน เป็นการเล่นพ่อแม่พี่น้องที่ล้ำกว่าที่ผมเคยเล่นเยอะ

   "มีพ่อ ...แล้วก็มีแม่สอง"

   แม่สอง ชื่อนี้ออกมาเมื่อครั้งตอนที่ยังอยู่ตรงระเบียง

   "ครอบครัวก็ต้องประกอบด้วยพ่อแม่ลูกใช่ไหมล่ะ ฉันก็เข้าใจอย่างนั้นมาตลอด ครูก็สอนมาอย่างนั้นตั้งแต่เล็ก ฉันรักทุกคนในครอบครัว ...แต่ฉันไม่เคยรู้ว่าแม่สองไม่เคยรักฉันเลย"

   "ไม่หรอก...มีแม่ที่ไหนไม่รักลูกของตัวเองด้วยหรือไง"

   "เพราะเขาไม่ใช่แม่ของฉัน" การบอกเล่าด้วยเสียงโทนเดียวมีแต่ความว่างเปล่า เธอเริ่มอธิบายต่อหลังจากที่พาส่วนจิตกลับมาจากห้วงอวกาศที่แสนกว้างใหญ่ "แม่สองไม่ได้หมายความว่าแม่มีชื่อเล่นว่าสอง แต่มันหมายถึงเธอเป็นแม่คนที่สองของฉัน"

   "..."

   ผมเป็นลูกคนสุดท้องของบ้าน แล้วยังเป็นลูกหลงอีกต่างหาก ตอนนี้พี่ชายทั้งสองคนของผมต่างมีการงานที่มั่นคงเป็นของตัวเองกันหมดแล้ว แต่อย่างน้อยที่สุดแม่ของผมก็เป็นผู้หญิงที่อุ้มท้องผมมาเก้าเดือน

   "แม่คนที่สอง ...ทั้งที่ฉันไม่รู้จักแม่คนแรกเสียด้วยซ้ำไป"

   "ซิน..."

   "เห็นเขาว่ากันว่าพ่อรักกับแม่มาก่อน แต่ว่าต้องมาแต่งกับแม่สองเพราะว่าเป็นเรื่องธุรกิจ" เรื่องที่ดูเป็นนิยายน้ำเน่าในสมัยก่อน "แล้วพอแต่งไม่กี่เดือนแม่ก็เอาของขวัญแต่งงานมาให้ ...ฉันเอง"

   มองไม่ออกเลยว่าครอบครัวที่มีโครงสร้างแปลกประหลาดอย่างนี้จะอยู่ร่วมกันอย่างไร


***
มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 10-04-2016 15:22:51

   "พ่อชอบพูดอยู่คำหนึ่ง...เป็นพี่ต้องดูแลน้อง " เธอเดินไปหยิบเครื่องจำลองท้องฟ้ามาไว้ใกล้ตัว จากดวงดาวที่กระจายไปทั่วห้องมันก็เหลือแค่เพียงบริเวณโดยรอบที่ผมนั่งอยู่ ปลายนิ้วเรียวสวยแตะไปตรงบริเวณหนึ่งของแผนที่ดวงดาว คงเป็นตรงที่เธอบอกว่ามันคือดาวคนคู่อะไรนั่น "ฉันจำคำนี้ได้ขึ้นใจเลยล่ะ ฉันเลยมีน้องอยู่สองคนให้ดูแลตั้งแต่เด็ก"

   นึกภาพเธอตอนเป็นเด็กน้อยไม่ค่อยออก อาจจะสดใสมากกว่านี้ รวมถึงเป็นพี่สาวแสนร่าเริงของน้องชายทั้งสองคน ถ้าลองได้เห็นตอนยิ้มแล้วคงเป็นพระอาทิตย์ที่สว่างสดใสอยู่พอควรแน่นอน

   "น้องคนเล็กที่กลายมาเป็นคนในครอบครัวเพราะบ้านของเขาต้องเดินทางบ่อย บางทีก็ฝากน้องไว้ที่โรงเรียนเป็นสัปดาห์เลยล่ะ พวกเราเข้ากันได้ดีเลยอาสาช่วยดูแลมาตลอด"

   เพื่อนที่กลายเป็นน้องไปอย่างสมบูรณ์สินะ ยิ่งห่างกับเกือบปีอย่างนี้เหมาะกับการเป็นน้องเข้าไปใหญ่

   "ดูแลจนกระทั่งวันนี้...เมื่อสิบสองปีที่แล้ว"

   ผมคิดถึงปฎิทินที่ถูกฉีกขาดจนไร้เค้าเดิม

   "วันนั้นเป็นตอนที่พ่อออกไปทำอะไรสักอย่างนอกบ้าน ฉันกับน้องเล็กกำลังเล่นซ่อนแอบกันอยู่ในห้อง แม่สองเข้ามาหาฉันตามปกติ ฉันเลยถามออกไปว่า 'แม่มาจุ๊บฝันดีเหรอคะ' แล้วเธอก็ยิ้มให้พร้อมเล็งปลายปืนมาหา"

   "..."

   นี่มันคือเรื่องที่เธอต้องเจอมาจริงๆ อย่างนั้นเหรอ เรื่องที่เต็มไปด้วยความมืดมนอย่างนี้คือสิ่งที่ผู้หญิงตัวบางคนนี้ต้องเจอมาจริงหรือไม่ แม่เลี้ยงที่อำมหิตพอที่จะสังหารเด็กที่ได้ชื่อว่าลูกของตัวเอง

   ซินเป็นของขวัญที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องการมาตั้งแต่ต้น

   "น้องวิ่งออกมาจากที่ซ่อน คงตั้งใจจะมาสวัสดีแม่สอง" เสียงของเธอจะขาดหายเป็นช่วง โดยเฉพาะคราวนี้ที่ผมเห็นร่างของเธอสั่นกว่าปกติจนต้องยกมือขึ้นกอดแขนตัวเองเอาไว้ "จังหวะเดียวกับที่แม่ลั่นไก"

   "...!"

   "เสียงปืนดังมาก ดังจนไม่ได้ยินเสียงอะไรข้างตัวอีก น้องล้มลงตรงหน้าฉันเลือดไหลออกมาไม่มีหยุด ฉันตกใจจนไม่รู้จะทำอะไรต่อ สับสนจนทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงของพ่อพูดคำที่ชอบสอน ต้องดูแลน้องให้ได้ ต้องปกป้องน้องให้ได้..."

   บ้าชะมัด ผมคิดฉากต่อไปออกได้อย่างเดียว

   "ในบ้านมีปืนอยู่เยอะ รวมถึงหนึ่งกระบอกที่ฉันเพิ่งแอบหยิบจากห้องนั่งเล่นมาไว้ในห้องตัวเอง แม่จะยิงน้องซ้ำ...ฉันเลยต้องทำอะไรสักอย่าง"

   หล่อนก้มลงมองฝ่ามือบอบบางของตัวเอง มือขาวซีดที่ผมเห็นรอยเลือดเปรอะเต็มไปหมด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน บ้านที่ไหนมีปืนเก็บไว้เยอะแยะอย่างนั้นด้วยเหรอ

   "มือนี้คือมือที่ฆ่าแม่สอง" เสียงเรียบเย็นชา คล้ายว่ากำลังเล่าเรื่องธรรมดาให้ฟัง "...ฉันฆ่าแม่เลี้ยงของตัวเอง"

   'ก็คุณเป็นคนฆ่าแม่เพื่อปกป้องมันนี่นา...'

   นี่...ให้แม่สอง

   บุหรี่จำนวนสิบสองตัว แทนจำนวนปีที่เธอต้องอยู่ในวังวนนี้ไม่ไปไหน

   ไม่มีข้อกังขาใดอีกให้คำอธิบายว่าทำไมเธอถึงมีความคุ้นเคยกับของอันตรายชิ้นนั้น ทำไมเธอถึงบอกว่าต้องฝึกไว้ไม่ให้กลัวอีก ภาพที่โผล่เข้ามาในหัวเวลานี้คือเด็กอายุหกขวบที่ต้องทำอย่างนั้นเพื่อปกป้องอีกหนึ่งชีวิต

   ...

   ให้สาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนก็ได้ ผมคิดว่าในชีวิตนี้คงไม่เจอเรื่องไหนที่สะเทือนใจได้เท่านี้อีกแล้ว

   "น้องต้องนอนอยู่ในห้องพักฟื้นเป็นสัปดาห์ เพราะกระสุนเฉียดตรงหัวใจไปแค่นิดเดียว ทำได้แค่เฝ้าน้องไว้ รอว่าเมื่อไหร่น้องจะตื่นมาคุยกับฉันได้อีก ...ฉันบอกพ่อไว้ สาบานไว้ว่าถ้าน้องตื่นมาคราวนี้จะดูแลให้ดี ไม่ให้มีเหตุการณ์อย่างนั้น"

   "..."

   "สุดท้ายน้องก็ฟื้น คราวนี้ฉันยืนกรานว่ายังไงน้องต้องอยู่กับฉัน จะไม่มีใครทำอะไรเขาได้ ...จนพ่อต้องยอมไปต่อรองให้น้องมาอยู่กับเรา ทำสัญญารับเป็นลูกบุญธรรม พ่อเองก็บอกว่าเป็นความผิดของพ่อที่ทำให้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ถ้าพ่ออยู่บ้านวันนั้นมันก็คงไม่บานปลายอย่างนี้..."

   ร่างที่เริ่มสั่นสะอื้นอีกครั้งบอกให้ผมทำในสิ่งที่ควรทำ ผมดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน โอบกอดแก้วเจียระไนที่แสนเปราะบางนั้นไว้ ลูบผมยาวสีเคลือบเป็นการปลอบประโลมไปในตัว

   "ตั้งแต่วันนั้นเราสัญญากัน เราจะดูแลน้องให้ดีที่สุดไม่ว่าจากใครก็ตาม น้องไม่ควรจะได้รับอะไรอย่างนั้นอีก"

   เราที่ว่าคงหมายความถึงผู้ชายพวกนั้น กลุ่มคนที่คอยปกป้องเด็กน้อยไว้

   กลิ่นน้ำหอมหวานติดจมูก ชั่ววูบหนึ่งเกิดความคิดว่าถ้าการหนีของเราจบลงแล้วผมคงคิดถึงกลิ่นหอมนี้มากเหลือเกิน จากร่างที่สั่นเล็กน้อยเริ่มหายใจแรงขึ้น ใจผมวูบไปถึงตาตุ่มแล้วตอนนั้น ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรที่จะเป็นการแสดงความห่วงใยที่ดูไม่ละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัว สุดท้ายแล้วเราก็ยังไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกันขนาดนั้นอยู่ดี

   "หลังจากที่แม่สองตาย ต่อให้คนในบ้านพยายามปิดมันไว้แค่ไหนก็เถอะ สุดท้ายน้องก็รู้ว่าที่แม่สองตายมันเกิดขึ้นเพราะฉัน เราก็เลยแตกหักกันไปเลย ความสัมพันธ์ของเราไม่เชิงว่าไม่ดีหรอก แต่ถ้าไม่ยุ่งเกี่ยวกันได้ก็ดีกว่าอะไรอย่างนั้น พอมัธยมต้นน้องก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำ"

   น่าจะไม่ใช่น้องคนเล็ก ตอนนี้เธอคงเล่าไปถึงน้องอีกคนหนึ่ง...น้องที่มีสายเลือดร่วมกันเพียงครึ่งเดียว

   ผมเคยเจ็บตัวจากอุบัติเหตุมาหลายครั้งนะ หลายครั้งที่ขนาดรวมกันแล้วผมว่ามันยังได้ไม่ถึงศูนย์จุดศูนย์หนึ่งของความเจ็บปวดที่เธอต้องได้รับเลย

   "น้องที่ฉันเคยมีสอง ตอนนี้เหลือแค่หนึ่ง"

   เป็นเหมือนตำแหน่งดวงดาวที่เธอบอก ฝาแฝดที่เหลือเพียงหนึ่งคน ตอนแรกผมคิดว่านั่นคงหมดเรื่องที่เธออยากเล่าให้ฟังแล้ว ผมถึงเตรียมจะโน้มน้าวให้เธอเลิกคิดมาก

   "ลัจ เข้ามาอยู่ในวงเวียนนี้"

   เธอคงไม่รู้ตัวว่าหลุดชื่อของตัวละครออกมา

   "เข้ามาตอนชั้นมัธยมสาม ตอนที่พวกเราเริ่มชินกับการที่ไม่มีน้องอยู่แล้ว ลัจไม่เหมือนใคร ลัจสวยงาม เป็นนางฟ้าที่ต่างกับฉันเหลือเกิน"

   "เราทุกคนแตกต่างกันอยู่แล้วน่าซิน"

   "กลุ่มของเราอยู่กันอย่างนั้น ไม่มีอะไรแปลกประหลาด จนกระทั่งช่วงปลายเทอมก่อนจบ..."

   ปลายเทอมอย่างนั้นเหรอ ก็เพิ่งผ่านมาได้ไม่นานล่ะสิ 

   "คนไม่นอนมักได้เห็นอะไรมากกว่าใคร ฉันก็เหมือนกัน ฉันบังเอิญไปรู้ว่าลัจชอบกับเกรย์..." เกรย์นี่ชื่อของน้องที่เธอพูดถึงหรือเปล่า น้องคนไหนกัน "มันเป็นตอนเช้าของวันเสาร์ แม่บ้านบอกว่าลัจมาถึงแล้ว ฉันเลยรีบลงไปหา...ลัจอยู่ตรงนั้น กำลังจูบกับเกรย์อยู่"

   มันชัดเจนว่าเขาสองคนอยู่ในสถานะไหน

   "ตกใจจนรีบวิ่งกลับขึ้นไปบนห้อง คุมสติตัวเองตั้งนานกว่าจะสงบ ลัจชอบมาที่บ้านตั้งแต่เช้า เคยคิดว่าคงเพราะอยู่บ้านแล้วไม่มีอะไรทำเลยมาหาพวกเรา ไม่เคยรู้เลยว่าที่จริงแล้วมาหาอีกคนต่างหาก ...ฉันตัดสินใจว่าจะคุยให้รู้เรื่อง แต่ตอนที่ลงมาอีกครั้งก็เหลือแค่ลัจคนเดียว" ย้อนคิดกลับไปถึงแชทระหว่างเราสองคน เค้นความทรงจำว่าซินเคยพูดอะไรเกี่ยวกับนางฟ้าคนนี้หรือเปล่า แล้วผมก็คิดไม่ออก

   "จากที่จะถามก็เหมือนโดนมือล่องหนมาปิดปากไว้ เห็นรอยยิ้มของเธอที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างนั้นแล้วมันก็ได้แต่เก็บเงียบ ถ้าลัจมีความสุขมันก็ดีแล้ว"

   "ผมก็คงทำอย่างนั้นเหมือนกัน..." อย่างที่ผมปล่อยให้เธอคนนั้นได้อยู่กับความรักของตัวเอง

   "วันนั้นลัจลืมเอาแฟ้มไปเรียนด้วย เธอเลยฝากของไว้ที่ฉัน ...มานึกขึ้นได้ก็ตอนอยู่บ้านแล้ว ก็แค่แยกว่าอันไหนของใคร ฉันถึงเห็นว่าในกองกระดาษมันมีบางสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่"

   "...?"

   "เอกสารเรื่องการเรียนต่อ ลัจกำลังจะไปเรียนต่อ...ที่เดียวกับที่เกรย์กำลังจะไป"

   งั้นเกรย์ก็ต้องเป็นคนที่ต้องสูญเสียแม่สองไป ที่เธอบอกว่าย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำ

   ความรัก...ทำได้ทุกอย่างจริงๆ

   "ฉันรีบไปหาเธอที่บ้าน ยื่นเอกสารที่แกะแล้วไปให้ รอว่าลัจจะตอบมาว่ายังไง ...อยากลองทายไหมว่าเกิดอะไรขึ้นต่อ"

   "คงไม่ใช่ทะเลาะกันเสียงดังหรอกกันหรอก" แค่พูดให้เสียงดังเท่าที่คนปกติทำกันเธอยังทำไม่ได้เลย

   "...ลัจแค่ยิ้มที่ไม่ต้องปิดฉันอีกต่อไปแล้ว" หันมามองคนที่ซบอยู่ตรงบริเวณไหล่ว่าทำไมถึงหยุดพูดไปเสีย แสงไฟที่พอส่องสว่างช่วยให้ผมเห็นว่าเธอกำลังขยับมุมปากขึ้น มันคงเป็นความสุขที่ได้ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวในอดีต "ฉันก็พูดอะไรไม่ออก จะรู้สึกว่าโดนหักหลังก็ไม่ถึงขนาดนั้น เธอเคยพูดอยู่แล้วว่าอาจไม่ได้เรียนต่อที่ไทย"

   แต่คงไม่ได้คิดว่าจะไปเรียนต่อกับน้องที่ห่างเหินกันไปหรอก

   "แล้วลัจก็บอกว่า แต่ถ้าไม่อยากให้ไป ขอแค่ฉันพูดออกมา ทุกอย่างที่เราคุยกันอยู่ตอนนี้จะเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น"

   "อะไรนะ?"

   เสียงของซินเงียบหายไปนานหลังจากผมร้องออกมาเสียงหลงด้วยความตกใจ ผมว่าตัวเองก็เจอคนมาหลายแบบนะ แต่ไม่เคยเจอใครที่ดูแน่วแน่กับการตัดสินใจของตัวเองได้เท่าผู้หญิงชื่อลัจเลย

   "ถ้านายต้องตอบ จะตอบว่า?"

   แล้วก็กลายเป็นการโยนหน้าที่ในการตัดสินใจอันยากลำบากมาให้ผมเสียอีก ผมไม่รู้ว่าพวกเขาสนิทกันมากแค่ไหน แล้วสถานการณ์ที่เธอเจอมากับสิ่งที่ผมเคยเจอมันก็ไม่เหมือนกัน ถ้าผมต้องกลายเป็นคนชี้ขาดในเรื่องนี้...

   "ผมจะให้เธอไป"

   ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรั้งร่างกายเอาไว้ ถ้าหัวใจมันอยู่ไกลออกไปจนไม่อาจคว้ากลับมาได้

   "ฉันบอกว่า ไปซะลัจ ถ้าเธอใจดีพอ" แสงประกายที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตานั้นไม่อาจสู้กับความว่างเปล่าราวกับรัตติกาลนั้นได้เลย "อย่าใจร้าย...ด้วยการใจดีอีกเลย"

   "ใจร้าย?"

   "เพราะน้อง...ก็ชอบลัจเหมือนกัน"

   ...อย่าทำให้ต้องตกอยู่ในวังวนที่เรียกว่ารักอีกคนอย่างนั้นสินะ ผมมีบทเรียนว่าต่างคนต่างมี 'ความรัก' เป็นของตัวเอง และรักเป็นเรื่องของหัวใจเพียงสองดวงที่ตรงกัน ถ้ามีดวงที่สามมันจะต้องมีคนเสียใจ

   ไม่ต่างจากที่ผมเจอมา

   "หลังจากนั้นน้องมาคุยกับฉัน น้องอยากจะบอกลัจเรื่องที่ตัวเองแอบชอบอยู่ออกไป เขาขอให้ฉันช่วยนัดให้หน่อย ...และฉันก็ตกลงตามที่น้องขอ"

   มือที่ลูบหัวอยู่อย่างนั้นหยุดการกล่อมไปชั่วครู่ ผมก้มลงมองบางส่วนของใบหน้า หลุดปากถามออกไป "ทำอย่างนั้นทำไม?"

   "...จะไม่ขัดใจน้อง จะไม่ให้น้องต้องเจ็บอีก ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่าคราวนี้ฉันต้องปกป้องไว้ให้ได้ ไม่ว่าน้องคนไหนก็ตาม"

   "ผมไม่เรียกว่ามันเป็นการปกป้องนะ"

   ขัดใจจนต้องออกความเห็นของตัวเองออกมาในที่สุด ถ้าเป็นผมแล้วคงปล่อยให้สองคนนั้นได้ทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง ไม่ทำอะไรที่จะเป็นการเข้าไปแทรกกลางในเรื่องที่ตัวเองไม่มีสิทธิตัดสินใจหรอก

   "เพราะฉันไม่เอาเรื่องนี้ไปบอก ฉันทำเป็นลืมว่าตัวเองให้สัญญาอะไรไป ...เพื่อให้ลัจได้ไปอย่างที่ต้องการ"

   'บอกไปสิว่าลัจไม่รู้เรื่องที่นัดวันนั้นเลยด้วยซ้ำ ก็คุณเลือกที่จะให้ลัจไปเรียนต่อกับเกรย์อย่างที่ตั้งใจไว้นี่นา'

   "น้องออกบ้านไปตามปกติ ดูก็รู้ว่าเขารอคอยวันนี้มากแค่ไหน ...และมีแต่ฉันที่รู้ว่าต่อให้รอยังไงก็ไม่มีทางได้เจอ วันนั้นคือวันที่ลัจจะบินไปเรียนต่อ"

   ใครกันแน่ที่ใจร้ายนะ ซินอาจคิดว่าวิธีนี้มันจะดีที่สุด แต่ผมกลับมองว่าวิธีนี้จะไม่มีใครที่ไม่เจ็บปวดเลยสักคนเดียว

   "ไม่มีใครในกลุ่มรู้เรื่องนี้ เกรย์เองก็ไม่รู้เรื่องนี้ ลัจขอเป็นคนบอกเองตอนที่ถึงที่นู่นแล้ว" อยู่ดีๆ เสียงที่กลับไปเป็นโทนเสียงกลางก็เริ่มสั่นอีกครั้ง  "กระวนกระวายอยู่ที่บ้านตั้งแต่เช้า จนกระทั่งมีโทรศัพท์เข้า ...บอกสิ่งที่ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเกิดขึ้นจริง"

   หัวใจของผมเต้นเร็วขึ้นทุกที จนน่ากลัวว่าเธอจะได้ยินมัน

   "ลัจตายแล้ว"

   "..."

   แก้วเจียระไนเต็มไปด้วยรอยร้าวที่พร้อมจะแตกสลายอยู่ตลอดเวลา ต่อจากเรื่องของแม่ตัวเอง เธอยังต้องมารับรู้ถึงการจากไปของเพื่อนสนิทอีกอย่างนั้นเหรอ

   มันคือสิ่งที่เธอต้องชดใช้การจากทำลายชีวิตของแม่สองอย่างนั้นรึเปล่า

   "รถชนระหว่างเดินทาง..." เสียงเริ่มขาดห้วงเป็นช่วง จากที่เคยราบเรียบเป็นกราฟเส้นตรงก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวขึ้นเล็กน้อย "ถ้าวันนั้นฉันรั้งเธอไว้ ถ้าฉันไม่ให้เธอไป... ลัจก็จะไม่ต้องตายเพราะฉันอีกคน"

   ความสูญเสียที่วนเวียนอยู่รอบตัวของเธอมันมากเหลือเกิน ซินไม่ใช่คนบาปสำหรับผมอีกต่อไป ที่อยู่กับผมตอนนี้มันก็แค่ผู้หญิงที่ต้องแบกรับความรู้สึกผิดจำนวนมหาศาลไว้คนเดียว

   "มันเป็นเรื่องที่ใครก็ควบคุมไม่ได้นะ"

   "สัญญาที่เคยให้ไว้ก็รักษาไม่ได้ ฉันเองที่แหละที่ทำร้ายน้องเอง ทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า"

   "...ไม่ใช่อย่างนั้น"

   "ก็แค่คนที่ไม่สามารถปกป้องใครไว้ได้เหมือนเดิมนั่นแหละ"

   เธอยกเครื่องจำลองขึ้นให้อยู่ระดับสายตา หมุนไปมาจนเจอสิ่งที่ต้องการ นิ้วมือที่เป็นสีสดขึ้นมาหน่อยยามสะท้อนกับแสงไฟกดปุ่มปิดลงหลังจากนั้นไม่นาน

   ไม่มีแล้วแสงดาวที่สวยงาม เหลือเพียงความมืดมิดที่มาพร้อมกับเสียงร่ำไห้


 
   ผมไม่คิดจะออกตามหาซินหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าการหนีของเราสิ้นสุดลงแล้ว ในเมื่อผมเป็นคนเสนอข้อตกลงนี้ไปเองก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ให้ได้
 
   มองไปตรงเสื้อสีขาวไม่มีลวดลายอะไรที่แขวนไว้ตรงหน้าตู้ มันเป็นเสื้อที่ร้านซักรีดเพิ่งส่งคืนมาให้พร้อมบอกว่าคราวที่แล้วส่งมาไม่ครบ ผมเลยต้องรับมันไว้อย่างเสียไม่ได้ เมื่อเรื่องของเราจบลงแล้วสิ่งที่ผมต้องทำคือปล่อยให้ทุกอย่างหายไปตามการเดินทางของเวลาที่ไม่เคยหยุด อะไรที่ไม่เกี่ยวข้องก็ควรจะลืมมันไปเสียให้หมด เป็นคนบอกเองว่าเราจะกลับไปเป็นคนไม่รู้จักกันก็ต้องทำให้ได้

   ทิ้งๆ ไปให้หมดเรื่องแล้วกัน

   เดินไปหยิบเสื้อตัวเดิมมาไว้ในมือ น้ำยาปรับผ้านุ่มของร้านไม่อาจกลบอีกกลิ่นที่ฝังลึกลงไปในเนื้อผ้า น้ำหอมที่ไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน ขวดเป็นแก้วสีใสทรงสี่เหลี่ยมที่เล่นลวดลายประหลาดตา เคยถามอยู่เหมือนกันแต่เธอแค่ส่ายหัวไปมา ไม่รู้หรือไม่อยากให้รู้ก็ไม่อาจคาดเดาได้

   "เอ๊ะ?"

   เพิ่งเห็นว่าตรงไม้แขวนเสื้อมีกระดาษแผ่นเกือบฝ่ามือพับครึ่งแล้วแม็กซ์ติดอยู่กับตัวโครงเหล็ก พินิจดูแล้วมันคือใบส่งซักทั่วไป ที่ต้องมีชื่อ รายละเอียดของเสื้อผ้าที่นำไปส่งซัก

   ...รวมถึงเบอร์โทรติดต่อกลับ

   ต่างคนต่างดูแลทรัพย์สินของตัวเอง ถึงผมจะส่งซักเหมือนกันแต่ก็ไม่เคยส่งไปพร้อมกัน อย่างผมเป็นลูกค้าประจำแบบรายปีไปเลยเพราะยังไงก็คงต้องอยู่ที่นี่อีกยาว ไม่เหมือนกับซินที่เป็นเพียงการอยู่อาศัยชั่วคราว

   กระดาษแผ่นเดียวกำลังทำร้ายผมอีกครั้ง ใบแรกก็กระดาษที่ถูกขย้ำทิ้งแทนการระบายอารมณ์ไปตอนที่ต้องยอมรับว่าคนที่เคยอยู่ด้วยกันหายตัวไปแล้ว แล้วตอนนี้ที่ผมเพิ่งตัดสินใจว่าจะลบความทรงจำทิ้งมันก็มีสิ่งอื่นมารั้งเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้

   ซินคงลืมนึกถึงเรื่องนี้

   ภาพตัดกลับมาก็เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ในมือของตัวเอง หน้าจอโชว์เลขสิบหลักที่ไม่ต่างจากในกระดาษหรา ก็อย่างนี้ตลอด บอกว่าจะไม่แต่ก็ทำ

   อย่างแย่ที่สุดก็แค่ได้ยินเสียงโอเปอเรเตอร์แล้วกันน่ะ

   กดปุ่มสีเขียวเพื่อโทรออก ผมยกเครื่องสี่เหลี่ยมขึ้นแนบหู ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นระหว่างรอให้สัญญาณต่อกันติดสงัดพอที่จะให้เสียงหัวใจของผมดังขึ้นมาแทนที่ มันคือความตื่นเต้นที่ไม่ได้เจอมานานแล้ว

   ได้ยินเสียงรอสายอยู่จนเกือบถอดใจก็มีคนรับ ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยปากออกไป

   "ไม่รู้ว่าคุณอยากจะได้ยินเสียงของผมอีกหรือเปล่า"

   "..."

   "แต่ช่วยฟังหน่อยแล้วกัน"

   "..."

   "ณธามรักซิน"

   ธาม...อ่านแบบอังกฤษได้ว่า Time ซึ่งก็คือชื่อเล่นของผม แม่บอกว่าธามในภาษาไทยมันคือผู้ยิ่งยศศักดิ์ได้เช่นกัน ที่เติมตัวหน้าก็เพราะว่ามันเป็นตัวอักษรแรกของทั้งพ่อแล้วก็แม่ ไว้จะลองกลับไปถามแม่แล้วกันว่าถ้ามันอยากจะเปลี่ยนชื่อจะได้ไหม ผมอยากเป็นเพียงเวลาที่จะอยู่กันเธอได้เสมอไปก็เท่านั้นเอง


 
   "เวลา!"

   มันคือสิ่งที่ผมต้องการให้มันออกมาจากปากของเธอมากที่สุด เพราะสิ่งนี้จะพิสูจน์ทุกข้อสันนิษฐานของผมว่าเธอไม่เคยลืมอะไรทั้งนั้น ชื่อเล่นแบบเต็มที่แทบนับนิ้วได้ว่ามีใครรู้บ้าง ตีกรอบที่ชัดที่สุดเลยคือคนในครอบครัว เพื่อนสมัยมัธยมยังแทบไม่มีใครรู้เลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงคนในมหาลัยที่เข้าใจกันหมดแล้วว่าผมชื่อเวล

   'ชื่อ' ที่แทบไม่มีใครรู้ ผมไม่เคยเล่าความเป็นมาของชื่อเวลให้ฟังว่ามันคือ 'เวลา' เบื่อที่ต้องมานั่งอธิบายอะไรไร้สาระที่ไม่มีผลกับชีวิต จะเวลหรือเวลามันก็คือผมคนเดียวเท่านั้น

   ...เหมือนเธอที่จะชื่อซินหรือไวท์ก็ไม่ต่างกัน

   อาจเป็นคนนอกของที่นี่ แต่ผมว่ามันหมดเวลาที่เธอจะมาเก็บทุกอย่างไว้กับตัวแล้วล่ะ อยากให้ผมเดาไหมว่าทำไหมเธอถึง 'แกล้งลืม' ทุกอย่าง มันไม่ใช่แค่เรื่องของผมอยู่แล้ว เราสามารถกลับไปเป็นคนที่ไม่รู้จักกันได้โดยไม่ต้องหาเรื่องให้ตัวเองขนาดนี้เลย ซินแค่อยากกลบความผิดของตัวเองเรื่องลัจลงไปด้วยก็เท่านั้น กลบไม่ให้ใครรู้ ให้ทุกบาปมันตกอยู่ที่เธอเพียงคนเดียวก็พอ

   นัยน์ตาที่เคยว่างเปล่าแปรเป็นความเจ็บปวด สิ่งที่เธอเฝ้าเก็บไว้มาตลอดกำลังโดนผมทำลายลงตอนนี้

   "จำกันได้แล้วเหรอซิน"

   "..."

   "...แล้วจำได้รึเปล่าว่าสิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดคือคนโกหกน่ะ"

   ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่าคุณจะต้องไปชดใช้บาปทั้งหมดที่ไหน ผมจะไปกับคุณด้วยทุกที่เลยล่ะ

[End : เวลา]


***
   ทำลายสถิติการเขียนของตัวเองลงได้เรียบร้อยแล้วค่ะ (หัวเราะ) เป็นตอนที่เขียนได้ไวที่สุดเท่าที่เคยพิมพ์มาเลยล่ะ ด้วยความที่ไม่อยากให้มันค้างนานด้วยมั้งคะ ตอนนี้ก็จะเฉลยความสัมพันธ์ของบ้านนี้เรียบร้อยเกือบหมดแล้ว เหลือเก็บตกอีกนิดหน่อยก็ใกล้จะถึงตอนจบแล้วค่ะ เย้
   ถ้าพูดแล้วน้องโรมก็แค่ถูกดึงให้เข้ามาอยู่ในวังวนนี้ก็เท่านั้นเองค่ะ เป็นอะไรที่น้องไม่ได้เริ่ม แต่น้องก็ต้องข้องเกี่ยว ต้องเป็นตัวละครที่ให้พวกพี่ๆ คอยปกป้องไว้แค่นั้น ทุกคนมีเหตุผลให้การกระทำของตัวเองทั้งนั้นแหละค่ะ อยู่ที่ว่าเราจะเปิดใจรับได้รึเปล่าว่า 'มนุษย์' ไม่มีทางเลือกได้เหมือนกันทุกคน (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Jitsupa_milk ที่ 10-04-2016 16:26:34
เจ็บปวดอึดอัด
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 10-04-2016 16:58:33
อ่านจบตอนนี้เหมือนกับเฉลยปมที่มีอยู่เหมือนกันนะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 10-04-2016 17:00:21
อ่านแล้ว เข้าใจมากขึ้นค่ะ

น้องโรม จงมั่นใจ เลิกลังเล เชื่อมั่น ชีวิตเป็นของตัวเองนะ
ที่หนึ่ง เอาใจช่วย เชื่อว่าจะเป็นที่หนึ่ง แน่นอน
#ที่หนึ่ง
 :L2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Lonelyนู๋โรนลี่ ที่ 10-04-2016 18:35:33
น้องไม่เกี่ยวแค่เอี่ยวด้วย แต่วิธีการปกป้องพี่ๆมัน.... เฮ้อ
แต่มันหล่อหลอมโรมจนเป็นแบบนี้แล้ว เราไม่คิดว่าโรมจะเปลี่ยนได้
แล้วที่หนึ่งก็คงเป็นคนที่โดนดูดมาโคจรเพราะดันไปรักโรม เฮ้อออ เพลีย
รอดูอย่างเดียวละ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 11-04-2016 12:45:07
เฮ้ออออ รอลุ้นละกันเนอะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 26 [10.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: GMJeam ที่ 11-04-2016 19:20:01
น้องโรมน่าสงสารอ่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 16-04-2016 18:00:13
บทที่ 27

   เราชอบอะไรเหมือนกัน

   ชอบสีเดียวกัน ชอบวิชาเลขเหมือนกัน ชอบกินปลามากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น รวมถึงชอบที่จะนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องมากกว่าออกไปเล่นวิ่งไล่จับกลางแดด เรานั่งเรียนข้างกันในห้องตั้งแต่วันแรกจนวันจบ นอนกลางวันพร้อมจับมือไปด้วย อะไรที่โรมไม่ชอบเกรย์ก็ไม่ชอบ ถ้าเจอผมที่ไหนต้องเจอเด็กน้อยวัยไล่เลี่ยกันอยู่ไม่ห่าง จนคุณพินิจยังเคยแซวว่าเราเหมือนฝาแฝดกันมากกว่าแบล็คกับไวท์เสียอีก

   จนถึงขั้นที่ว่าแค่เรามองตากันก็พอเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไรออกมา เมื่อไหร่ที่คนหนึ่งโดนทำโทษอีกคนก็พร้อมจะเจ็บไปด้วยแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ผิดเลยก็ตาม มันเป็นมิตรภาพของเด็กวัยอนุบาลที่น่ารักในสายตาของผู้ใหญ่

   ผมกำลังย้อนเวลากลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด

   ในห้องสี่เหลี่ยมที่ทากำแพงด้วยสีพาสเทล มองไปทางไหนก็มีแต่คนแปลกหน้า แม่บอกผมไว้แล้วว่าวันนี้ผมจะเข้าโรงเรียนเป็นวันแรก บอกว่ามันเป็นสถานที่ที่สนุกสุดๆ ผมจะได้เจอเพื่อน มีของเล่นมากมายรอให้ผมไปหา ผมจะมีความสุขกับที่นี่

   "ฮือออ ไม่เอา ...ฮึก น้องโรมจะกลับบ้านนน"

   แน่นอนว่าเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตายนั่นคือผมเอง เด็กชายโรมันในวัยที่ต้องเข้าเรียนในชั้นอนุบาลเป็นวันแรกไม่ค่อยเอนจอยกับสิ่งที่กำลังเจอมากเท่าไหร่ เด็กอนุบาลคนนั้นอยู่ในเสื้อขาวคอปกปักชื่อนามสกุลไว้ตรงอกซ้าย กางเกงลายสก็อตสีเขียวยาวถึงหัวเข่าแบบที่เห็นแล้วก็รู้ว่าเพิ่งหยิบมาใส่

   "น้องโรมไม่ร้องไห้สิคะ เห็นไหมว่าไม่มีใครงอแงเลยนะ"

   "คุณแม่ ฮือออ น้องโรมจะหาคุณแม่"

   ต่อให้ทุกคนกำลังสนุกสุดเหวี่ยงผมก็จะร้องต่อไปอย่างนั้นนั่นแหละ มันน่ากลัวจะตายไปที่ต้องมาอยู่กับใครก็ไม่รู้เต็มไปหมด คุณแม่หลอกผม ที่นี่ไม่เห็นสนุกเลย

   คุณครูประจำชั้นผู้มากประสบการณ์งัดทุกกลเม็ดในการการดึงความสนใจของผมให้กลับมาอยู่ที่ห้องเรียนขนาดเล็ก พอได้มองกลับไปอย่างนี้ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่เธอคงเสียความมั่นใจไปมากอยู่ที่ไม่สามารถหยุดการร้องไห้ของผมได้ ก็รู้ว่ามันเป็นนิสัยที่ไม่ดีอยู่หรอก ไอ้การร้องไห้จนกว่าจะได้ตามที่ต้องการน่ะ แม่งแย่ตรงที่ผมดันติดนิสัยนี้ตั้งแต่เด็กแล้วไง เพิ่งมาเลิกได้จริงๆ จังๆ ก็ตอนที่ถูกโยกไปให้พี่ทั้งสองคนดูแลนั่นแหละ

   เด็กน้อยตรงนั้นยังคงแหกปากโวยวายไม่ยอมพัก ที่นี่เป็นโรงเรียนอนุบาลที่มีนโยบายเรื่องจำนวนเด็กไม่เกินสิบห้าคนต่อห้อง มันเลยกลายเป็นที่สนใจของเด็กคนอื่นอยู่มากพอสมควร

   "จากลับบ้าน คุณแม่มารับน้อ..."

   ตุ๊กตาสีน้ำตาลถูกยกขึ้นมาบังจนเกือบมิดหน้า มันมีหูกว้างคล้ายมิกกี้เมาส์ ตากลมโตที่ดูเศร้าสร้อยอยู่ตลอดเวลา หน้าตาประหลาดแต่ผมกลับชอบมัน

   "ฮึก..."

   จากที่โวยวายไม่สนใจใครก็หยุดไปพลัน ผมมองผ้ายัดนุ่นที่ดูนุ่มนิ่มน่ากอดสุดๆ ตากลมโตไม่ได้ช่วยให้รู้สึกสดใส ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ไม่อาจวางตาจากมันไปได้

   "ไม่ร้องไห้สิ พ่อบอกว่าลูกผู้ชายเขาไม่ร้องไห้กันหรอกนะ"
   
   นั่นคือการเจอกันครั้งแรกของผมกับเกรย์

   เชบูราชก้า เรียกยากจนต่อให้ต้องเรียกตอนนี้ที่อายุยี่สิบแล้วก็ยังเรียกไม่ค่อยถูก มันเป็นตัวมาสคอตที่ไม่ค่อยเห็นใครชอบสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะว่ามันให้ความรู้สึกหดหู่ใจมากกว่าสว่างสดใสล่ะมั้ง

   ปกติแม่มาส่งผมแต่เช้า เพราะท่านต้องกลับไปจัดการเอกสารต่ออีกมาก ผมนั่งหงอยอยู่ตรงชิงช้าคนเดียวแบบที่ไม่มีใครมาแย่ง ก็แน่ล่ะ เริ่มเรียนตั้งแปดโมงครึ่งนี่เพิ่งเจ็ดโมงเองผมก็ถึงที่หมายแล้ว คุณครูยังหาวตอนรับไหว้ผมอยู่เลย

   "อ๊ะ มาแล้ว"

   นั่งรออยู่อย่างนั้นจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหน ที่ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้เพราะมันตรงกับทางเข้าของเด็กทุกคนในโรงเรียนนี้ ถ้าคนที่ผมกำลังรอคอยเดินเข้ามาเมื่อไหร่จะได้เห็นทันที จนกระทั่งเด็กสามคนในวัยเดียวกันเดินเรียงหน้ากระดานเข้ามา ผมถึงหยุดไกวชิงช้าเสีย วิ่งจ้ำอ้าวไปทางพวกเขาเหล่านั้นทันทีทันใด

   "เกกก" เด็กอนุบาลหนึ่งพูดชื่อที่อ่านยากได้แค่นั้นนั่นแหละ "วันนี้มาช้าจัง"

   "พ่อหลงทางอะ"

   "รอตั้งนานนน"

   สำหรับวัยที่ไร้การแต่งแต้มเรื่องที่จะทำให้โกรธกันได้ไม่ต้องการอะไรมากหรอก

   "ทำไมเบกับเวถึงชอบอยู่ด้วยกันตลอดเลย" ออกเสียงไม่ชัดสักทีผมเลยย่อชื่อของทั้งสองคนให้อ่านง่ายที่สุด สองคนนั้นชอบแยกไปอยู่ด้วยกันต่างหาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะจูงมือกันไปอย่างนั้นไม่ยอมปล่อย มีเวลาเดียวที่ยอมแยกกันคือตอนอาบน้ำกลางวันเท่านั้นล่ะ

   "ก็พวกเขาเป็นฝาแฝด"

   "อะไรคือฝาแฝด?"

   "พ่อบอกว่าเกิดมาพร้อมกัน"

   "เกิดพร้อมกันเหรอ"

   แม่เคยเล่าว่ากว่าผมจะเกิดมามันทรมานสุดๆ เจ็บยิ่งกว่าตอนที่วิ่งแล้วหกล้มเสียอีก

   "ช่ายยย"

   "แล้วเกไม่ใช่แฝดเหรอ"

   "ป่าว เราไม่มีแฝด"

   "อ้าว"

   "สองคนนั้นเป็นแฝด แต่เราไม่ได้เป็น แม่บอกว่าอย่านับพวกนั้นเป็นพี่"

   "ฮืมมม งั้นเรามาเป็นแฝดกันไหม?"

   เด็กจะรู้อะไรไปมากกว่านั้น ผมเองก็ไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อแม่ตั้งแต่จำความได้แล้ว เห็นว่าทำงานๆ อยู่ตลอดนั่นแหละ พอได้ยินว่าแฝดคือคนที่อยู่ด้วยกันตลอดแล้วผมเองก็อยากมีบ้าง

   "เป็น!"

   เราเป็นฝาแฝดกันนับตั้งแต่นั้นมา
 


   "ดำ ขาว แล้วก็เทา" ผมคิดถึงคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ได้เรียนมาเมื่อช่วงเช้า "แล้วโรมนี่สีอะไรอะ"

   "โรมไม่ใช่สีสักหน่อย" เด็กชายเกรย์ส่ายหัวไปมา ชั้นประถมปีที่หนึ่งเปลี่ยนจาก เกกับโลม ให้กลับไปสู่การอ่านอย่างที่ควรจะเป็น

   "ก็อยากเป็นสีบ้างง ชื่อโรมตลกจะตาย"

   "อยากชื่อน้องบลู น้องเรด อะไรอย่างนี้เหรอ" เขาทวนคำศัพท์อื่นที่เรียนมาเมื่อกี้ "โรมแหละดีแล้ว"

   "ก็อยากเหมือนกันบ้างนี่นา..."   

   ขมุบขมิบคำอยู่คนเดียว ผมชอบชื่อของบ้านนี้มากเลยนะ แบล็คกับไวท์ แล้วพอคนต่อมาก็เป็นสีตรงกลางอย่างเกรย์ ขนาดชื่อจริงยังเป็นช่วงระหว่างกลางวันและกลางคืนอย่างสนธยาเลย

   "โธ่แฝดของพี่ ไม่ต้องคิดมานะ เดี๋ยวเย็นนี้จะอ้อนพ่อให้เลี้ยงขนม"

   "ทำไมไม่เลี้ยงเองเล่า"

   "ได้กินฟรีก็ไม่ต้องบ่นน่ะน้องโรม"

   แต่เย็นนั้นสิ่งผมได้กลับมาไม่ใช่ขนมอย่างที่เกรย์บอก กลายเป็นกรงขนาดเล็กที่มีกระต่ายน้อยตัวเล็กสีเทานอนหลับปุ๋ยอยู่ข้างใน เราได้จากการเดินเล่นในตลาดเปิดท้ายขายของประจำปีของโรงเรียน มันก็เหมือนกันเรื่องอื่นๆ ที่พอเราเห็นเจ้าขนปุยในกรงเหล็กแล้วก็รีบพุ่งตัวเข้าใส่ จ้องมันนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งคุณพินิจเดินมาถามว่าอยากได้เหรอ เราสองคนก็รีบตอบไปพร้อมกันว่าอยาก

   มันชื่อเรย์ เป็นการเอาชื่อของโรมกับเกรย์มารวมกัน

   คืนนี้ผมก็มาค้างที่บ้านของพวกเขาไม่ต่างจากทุกวัน นี่ผมอาศัยอยู่ที่นี่บ่อยกว่าอยู่บ้านตัวเองอีก บ้านที่มีคุณพ่อ แม่สอง แล้วก็ลูกๆ สามคนอาศัยอยู่อย่างมีความสุขตามความคิดของผม แบล็คนอนห้องเดียวกับไวท์ ส่วนผมนอนกับเกรย์
มันเป็นความสุขที่ได้เห็นเจ้ากระต่ายตัวน้อยค่อยๆ เติบโตขึ้น เรย์กินเก่งสุดๆ มันชอบกินแครอทแล้วก็ผักบุ้งจีนกว่าผักอย่างอื่น ไม่นานนักก้อนขนตัวน้อยก็เริ่มขยายออกข้างไปเรื่อยๆ

   เราจริงจังขนาดที่ว่ามีการวางเวรการให้อาหารไว้เลยนะ ทำได้อยู่แค่ไม่กี่วันแบล็คก็โดดเวร พอเตือนมากเข้าไวท์ก็โดดตามอีกคนเพราะไม่ชอบที่พี่ของตัวเองโดนว่า จนกลายเป็นว่าผมกับเกรย์ที่คอยชวนกันมาดูแลเจ้าเรย์อยู่ทุกเช้าเย็น

   และเพราะเจ้าตัวนี้นี่แหละที่ทำให้ผมไม่กล้าเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นอีกเลย...

   มันไม่ต่างอะไรกับกระต่ายส่วนมากที่ถูกจับมาขาย อ่อนแอ เต็มไปด้วยโรค พอเลี้ยงไปอีกสักพักเรย์ก็ทนความโหดร้ายของโลกใบนี้ไม่ไหว มันหลับฝันดีไปตลอดกาลโดยไม่แม้จะแสดงอาการอะไรให้พวกผมได้เตรียมใจ

   คุณพินิจเอาเรย์ไปฝังไว้ที่โคนต้นไม้ใหญ่หลังบ้านก่อนทางเข้าสวน ผมกับเกรย์เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น เจ้ากระต่ายตัวน้อยที่เคยจ้องมาที่ผมตาแป๋วไม่สามารถขยับตัวได้อีกแล้ว ผักของโปรดถูกส่งลงไปด้วยเผื่อว่าเรย์จะหิวระหว่างหาทางออกไปอีกโลกหนึ่ง แล้วเราเอาดอกไม้ที่เด็ดได้แถวๆ นั้นใส่ลงไปในหลุมด้วย

   คืนนั้นผมนอนไม่หลับ พอลองปิดตาลงก็จะเห็นฉากที่เรย์โดยดินฝังกลบอยู่อย่างนั้น มันคือความสูญเสียครั้งแรกของเด็กประถมอย่างผม ได้แต่นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงฝั่งตัวเองไม่ยอมนอน

   "เกรย์..." ผมเด้งตัวขึ้นมานั่งขัดสมาธิ ตาที่เริ่มชินกับความมืดเห็นว่าคนด้านข้างเองก็ยังนอนไม่หลับเหมือนกัน

   "ว่าไง"

   "คิดถึงเรย์"

   กลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องรับผิดชอบอีกหนึ่งชีวิตทุกเช้าเย็น มาเล่าให้ฟังว่าวันนี้เจออะไรมาบ้าง การบ้านเยอะแค่ไหน แล้วต้องท่องศัพท์อะไรใหม่อีก

   "...คิดถึงเหมือนกันเลย"

   บอกแล้วว่าเราเป็นแฝดนอกสายเลือดที่ความคิดส่งถึงกันตลอดเวลา

   "พ่อบอกว่าเราทุกคนต้องตาย"

   "แล้ววันนึงเราต้องตายรึเปล่า เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ" แค่คิดว่าถ้าหลับตาลงตอนนี้มันจะไม่มีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกแล้วความกลัวมันก็แล่นไปทั่วร่าง "จะไม่หนีน้องไปอย่างเรย์ใช่ไหม"

   "..."

   "เกรย์?" หันไปทางอีกคนบนเตียง ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ฝาแฝดของตัวเองเพื่อหาสาเหตุว่าเพราะอะไรเขาถึงไม่ยอมตอบผม คราบน้ำตรงข้ามแก้มมันช่วยเฉลยให้ผมเข้าใจ เกรย์ไม่เคยร้องไห้ให้ผมเห็น เขาอยากเป็นเหมือนพี่คนโตอย่างแบล็ค เข้มแข็งแล้วก็พึ่งพาได้ในทุกเรื่อง

   "ฮือออ ไม่ร้องสิ" เลิกลั่กไปต่อไม่ถูก ผมหันซ้ายหันขวาหาอะไรที่จะสามารถเอามาซับน้ำตาของเขาได้ แต่ว่าในความมืดแล้วผมไม่อาจตามหาสิ่งที่ต้องการได้เลย ความคิดแบบเด็กๆ ผมเลยยกชายเสื้อนอนตัวใหญ่ของตัวเองขึ้นเช็ดใบหน้าเปื้อนน้ำตา

   "ไม่เอานะ ลูกผู้ชายไม่ร้องไห้ไง"

   คงจำได้ว่าเป็นคำพูดของตัวเองจริงเกรย์ยกมือขึ้นปาดหน้าตัวเอง "ไม่ร้อง ไม่ร้องแล้ว..."

   "แล้วร้องทำไม ใครแกล้งเหรอ"

   "เปล่า" หัวเล็กๆ ส่ายไปมา "แค่กลัวว่าถ้าโรมหายไปอีกคน..."

   "น้องจะไม่ไปไหน" ชิงพูดขึ้นมาก่อนจบกระโยค "มาเกี่ยวก้อยสัญญาได้เลย"

   ยื่นนิ้วก้อยออกไปตรงหน้า แบล็คบอกว่าสัญญาคือสิ่งที่ต้องทำตาม ถ้าไม่ทำตามจะต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น

   "น้องโรมสัญญาเราจะไม่แยกจากกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม"

   เราสัญญาว่าเราจะเป็นคนสุดท้ายที่บอกลากัน...

   นิ้วของเราสองคนที่เกี่ยวก้อยกันในคืนนั้น มันไม่เคยได้กลับมาเจอกันอีก ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากเสียงปืนนัดนั้น...

   เราชอบอะไรเหมือนกัน

   แต่ไม่คิดว่ามันจะรวมถึงเราจะชอบคนๆ เดียวกัน


 
   ไวท์ไม่เคยขึ้นเสียงอย่างนั้นใส่ใคร เวลเป็นคนแรกที่ทำให้ไวท์หลุดออกจากหน้ากากไร้อารมณ์นั้นได้ นอกจากเสียงที่เธอใช้อย่างเกรี้ยวกราดแล้วผมยังจับประเด็นที่พวกเขาพูดกันไม่ได้ทั้งหมด เขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ ตอนนั้นลัจจะไปเรียนต่อกับเกรย์เหรอ...

   "ว่าไงซิน จำได้ใช่ไหมว่าผมไม่ชอบคนโกหกน่ะ" เวลถามย้ำขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยชื่อที่พวกเราไม่ชอบมักเลยสักนิด สีขาวมันคือตัวแทนของความบริสุทธิ์ ไม่ใช่สีขาวขุ่นที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการผสมสีอื่นลงไปอย่างนี้

   "ขอบคุณที่ช่วยมาพังบทนะเวล แต่จะดีกว่าถ้าคุณหยุดพูดได้แล้ว"

   "นี่มาช่วยพิสูจน์ว่าน้องสาวตัวเองไม่ได้ความจำเสื่อมแต่กลับโดนไล่อีกเหรอ"

   "เรื่องที่ผมรู้อยู่แล้วเขาไม่เรียกว่าพิสูจน์นะ" ราชาเว้นช่วงไปสักพัก ช่วงเวลาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำแทรกออกมา "รู้อยู่แล้ว 'ทุกเรื่อง' ด้วย"

   ทุกเรื่อง...คือไม่ใช่แค่เรื่องที่ไวท์จำอะไรในช่วงนั้นไม่ได้ แต่นั่นหมายความรวมถึงเขารู้เรื่องของลัจอยู่แล้วสินะ

   เสียงพูดคุยจากข้างในยังคงดังออกมาต่อเนื่อง ผมยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างของตัวเองไว้ไม่ให้ตัวเองได้ยินอะไรอีก
ไม่อยากจะยอมรับว่ามันเรื่องจริง

   ที่เคยเข้าใจมาตลอดว่าเราไม่เคยมีความลับอะไรต่อกันตอนนี้สิ่งที่พวกเขาพยายามจะซ่อนไว้มันก็ถูกเผยออกมาแล้ว นั่นคือเหตุผลที่อยู่ดีๆ เกรย์ก็พูดว่าผมแย่งทุกอย่างไปจากเขาสินะ มันไม่ใช่แค่เรื่องที่ผมเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ แต่มันรวมถึงว่าเขาเข้าใจว่าในวันนั้นลัจกำลังไปหาผม

   "...ทำไมมันต้องเอาลัจไปจากผมอีกคนด้วย!!"

   ทั้งที่จริงแล้วเธอกำลังไปหาเขาต่างหาก

   ภาพในอดีตฉายวนไปมาในหัว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้เจอฝาแฝด เรื่องราวที่เราผ่านมาด้วยกัน จนถึงวันที่ต้องไปหานางฟ้าผู้นอนหลับไหลไปนิรันดร์ เรื่องที่เกิดขึ้นเทียบไม่ได้กับหนึ่งสิ่งที่ผมต้องเจอในตอนนี้ ที่ต้องรู้ว่าตลอดมา 'พี่' ของผมปิดบังเรื่องสำคัญอย่างนี้เอาไว้

   ทำไม...

   มีแต่คำถามอยู่ในหัวเต็มไปหมด ถ้าลองเอามาเรียงให้เป็นระเบียบแล้วคงได้มากกว่าหนึ่งหน้ากระดาษเอสี่เสียอีก จากคนที่คิดว่ารู้จักกันดีตอนนี้ผมไม่มีความรู้สึกนั้นหลงเหลืออยู่เลย ทุกคนกลายเป็นคนคุ้นหน้าที่ผมไม่รู้จักตัวจริงข้างในสักเล็กน้อย

   ผมค่อยๆ ฝืนร่างกายให้กลับมายืนได้อีกครั้ง คิดว่ารีบหนีไปจากตรงนี้มันคงจะดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ให้ตัวเองได้มีโอกาสได้ตั้งสติอีกหน่อย

   "..."

   บ้าไปแล้ว

   นี่มันตลกร้ายที่ผมขำไม่ออก

   ชั่วขณะหนึ่งที่ลมหายใจของผมขาดช่วงไป สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าในตอนนี้คือการปรากฎตัวของคนที่ผมพยายามตามหาอย่างเอาเป็นเอาตาย จนกระทั่งได้เจอตามที่หวังรวมถึงได้การบอกลาแล้ว มันหมายความว่าผมจะไม่ได้เจอเขาอีก

   ไม่ใช่การที่เขามายืนอยู่ตรงนี้

   ที่หนึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากระยะทางที่ยังอยู่ในรัศมีการเคลื่อนที่ของเสียงภายในห้อง รวมถึงสามารถเห็นผมได้ชัดเจนตลอดเวลาว่าทำอะไรลงไปบ้าง

   ผมกำมือแน่น ความเครียดพุ่งขึ้นสูงจนเผลอกัดริมฝีปากของตัวเองจนเจ็บไปหมด สอดส่องไปทั้งซ้ายขวาหาทางที่จะเดินผ่านเขาไปให้ได้

   "ขอทางหน่อยครับ"

   ตรงนี้มันเป็นเพียงทางแคบๆ แค่เขายืนขวางไว้อย่างนั้นผมก็แทบไม่มีพื้นที่เดินสวนออกไปแล้ว ผมก้มหน้าก้มตาพยายามเบี่ยงตัวให้พ้นจากร่างที่บังทางอยู่ตอนนี้ และเขาก็ทำตัวเป็นเซนเซอร์อัตโนมัติที่ขยับตามผมอยู่ตลอดเวลา พอผมไปซ้ายเขาก็บังไว้ พอมาทางขวาก็ตามมาอีก ผมลองขยับตัวอีกสองสามครั้งแล้วก็ยอมแพ้ สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ปลุกตัวเองให้กล้าสบตากับเขา

   "อย่าทำอย่างนี้" 

   บอกไปสั้นๆ ปล่อยให้ความรู้สึกที่แสดงออกผ่านทุกอย่างอธิบายเพิ่มเติม อย่าทำอย่างนี้คือทั้งอย่ามาบังทางของผมไว้รวมถึงอย่ามาให้ผมเห็นอีกเลย ถ้าเขาเลือกจะเดินออกไปแล้วก็อย่าหันกลับมา อย่ามาทำให้ผมมีความหวังว่าเขาจะกลับมาอีกครั้ง

   อย่าให้หัวใจของผมพังไปมากกว่านี้

   "ถ้าเลือกแล้วอย่าลังเลสิ"

   ย้ำเตือนไปว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะตัดสินใจแล้ว มันคือสิ่งที่เขาเลือกเองและผมทำได้แค่ยอมเดินตามสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเคารพการตัดสินใจของเขา เพราะฉะนั้นเขาก็ควรให้เกียรติหัวใจของผมด้วยเช่นกัน ตั้งแต่เขาเดินออกไปหัวใจของผมต้องเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก ในช่วงเวลาที่ผมคิดว่าตัวเองจะดีขึ้นแล้วเขาก็กลับเข้ามาย้ำบาดแผลให้ลึกลงไปอีก

   การเดินจากไปของเขามันยิ่งกว่าตอนที่ลัจจากไป เพราะการบินของลัจมันเป็นการโบยบินที่ไม่เคยหันกลับมา ไม่เหมือนเขา ที่ยังคงวนเวียนอยู่รอบกาย แผลที่ควรจะสมานตัวดีพอเห็นเขาทีไรก็ขยายออกไปเรื่อยๆ อย่างที่ไม่รู้ว่ามันจะกลับมาเป็นร่างกายของผมแบบเดิมได้อีกเมื่อไหร่

   "ที่หนึ่งควรจะเป็นที่หนึ่งนะ..."

   อยู่บนจุดสูงสุดของใครบางคน คนที่คู่ควรกับเขา

***
ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 16-04-2016 18:09:31
   ต่อให้ตอนนี้มันเป็นช่วงที่ผมรู้สึกอ่อนแอมากที่สุดในชีวิตแล้วก็ตามทีเถอะ ผมก็ยังฝืนตัวเองให้ตอบกลับแบบที่ดูปกติเท่าที่จะเป็นไปได้ บังคับเสียงไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้อีก

   ผมจะอ่อนแอให้ใครเห็นก็ได้ที่ไม่ใช่เขา ผมต้องทำให้เขารู้ว่าผมยังคงอยู่ต่อไปได้ถึงแม้จะต้องกลับไปอยู่อย่างเดิมแล้วก็เถอะ

   "..."
   
   ที่หนึ่งไม่แสดงอาการตอบโต้อะไรทั้งนั้น เขาเอาแต่มองมาที่ผมอยู่อย่างนั้น จนเป็นผมเองต้องหลบสายตาไป ก็บอกแล้วใช่ไหมว่าตาของเขาน่ะแสดงอะไรออกมาได้ดีกว่าท่าทางอีก อย่างตอนนี้มันก็ไม่ค่อยต่างจากครั้งหลังๆ ที่เคยเจอ รอยโศกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดมหาศาล

   แล้วร่างที่สูงกว่าก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้ ผมเลยต้องถอยหลังเองไปโดยอัตโนมัติ หัวใจที่คิดว่าด้านชากับความเจ็บปวดไปแล้วเริ่มออกอาการเจ็บแปลบซ้ำ

   "อย่าเข้ามา..."

   เสียงที่สั่นจนควบคุมไว้ไม่อยู่ ผมหลับหูหลับตาวิ่งไปผ่านเขาไปไวๆ จะไปโผล่ตรงไหนก็ช่าง ขอแค่ให้หนีพ้นก็เพียงพอแล้ว ผมยังคงขยับร่างกายไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จนเห็นคำว่า exit เหนือประตูบานหนึ่งจึงรีบผลักออกไปทันที มันเป็นทางออกไปยังส่วนจอดรถ ถัดออกไปผมเห็นถนนใหญ่เลยตั้งใจว่าจะวิ่งออกไปตรงนั้นต่อ

   "น้องโรม!"

   เสียงของเขาที่ยังไล่หลังบอกให้ผมต้องรีบเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น โชคเป็นของผมที่ระหว่างทางข้ามไปอีกฟากฝั่งของถนนไม่มีรถสักคันเข้ามาขวาง มองซ้ายขวาจนมาถึงอีกฝั่งอย่างปลอดภัย ระหว่างทางผมเหลือบเห็นอยู่แล้วว่ากำลังมีรถหลายคันแล่นสวนมา พอก้าวขึ้นไปอยู่บนฟุตบาทโดยปลอดภัยแล้วผมถึงหันกลับมามองว่าคนที่วิ่งไล่ตามอยู่ที่ไหนแล้ว

   ที่หนึ่งยืนรอจังหวะข้ามตามมาอย่างที่คิดเอาไว้ พอรถยนต์เหล่านั้นเคลื่อนตัวผ่านไปเขาก็ทำท่าเหมือนจะก้าวข้ามมาต่อ ผมเลยรีบตะโกนกลับไป

   "อย่ามานะ!"

   เขาชะงักไปตามเสียงห้ามของผม ที่หนึ่งก้าวขากลับขึ้นไปอยู่บนขอบถนนตามเดิม แสงไฟข้างทางตกกระทบเหนือศีรษะพอดีจนรูปหน้าส่วนหนึ่งหายไปกันเงามืด มันน้อยเกินกว่าที่จะช่วยบอกผมได้ว่าเขากำลังอยู่ในความรู้สึกอย่างไร แตกต่างจากความสับสนจำนวนมหาศาลที่ผมกำลังเจออยู่หรือไม่

   เราประสานสายตากันจากคนละฝั่งของเส้นขนาน รอบข้างมีเพียงความเงียบสงัดคอยอยู่เป็นเพื่อน ไม่มีเครื่องยนต์ชนิดใดแล่นผ่านหรือว่ามีคนเดินผ่านไปมา ราวกับพื้นที่ที่ผมยืนอยู่ตรงนี้มันถูกรังสรรค์ขึ้นมาใหม่เพื่อให้ผมได้อยู่กับเขาโดยเฉพาะ

   “เคยบอกใช่ไหมว่าจะไปต่อเมื่อบอก...” ถนนที่มีเพียงไม่กี่เลนเลยสามารถตะโกนออกไปได้โดยไม่ต้องฝืนตัวเองมากนัก เขาเคยบอกไว้ ว่าถ้าผมไม่อยากรับมันไว้แล้ว...ให้บอกเขาไป "อย่ากลับมาอีกเลยได้ไหม ขอร้องล่ะที่หนึ่ง..."

   ก้มหน้าไม่กล้าสบตา มือกำปลายเสื้อจนยับย่น หัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ปลุกให้ผมรู้สึกตื่นตัวกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญ ซ้ำร้ายมันกลับทรมานผมให้ยิ่งเจ็บปวดตรงหัวใจเพิ่มเข้าไปอีก มันเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายของคนที่ไม่ชอบความเสี่ยงอย่างผม

   ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เห็นเขา หัวใจของผมมันเหนื่อยมามากพอแล้วกับการจากลา

   "ให้เรื่องระหว่างเรามันจบอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว...อย่ามาเปลี่ยนอะไรมันอีกเลย"

   หลับตาลง นับเลขถอยหลังอยู่ในใจ ที่ต้องทำให้ภาพกลายเป็นสีดำสนิทก็ไม่มีอะไรมากหรอก ผมแค่ไม่เข้มแข็งพอที่จะเห็นแผ่นหลังของเขาหายลับไปอย่างนั้นอีกเป็นครั้งที่สาม แค่สองครั้งมันก็ทรมานเกินไปแล้วสำหรับผม

   สิบ

   เริ่มนับตั้งแต่สิบเพื่อให้มั่นใจว่าตอนที่ลืมตาจะไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา

   เก้า

   เดี๋ยวต้องไปคุยกับคนดูแลเรื่องที่จะย้ายห้องด้วย จะให้อยู่ที่เดิมคงไม่ไหว แบล็คก็ไม่น่าจะมีปัญหาถ้าไปคุยด้วยดีๆ

   แปด

   ส่วนวิชาเรียนเทอมสองนี่อาจต้องทนต่อไปอีกหน่อย เดี๋ยวปีสี่ก็เหลืออีกไม่กี่ตัวแล้ว หรือจบสามปีครึ่งไปดีนะ

   เจ็ด

   เฮ้อ...ชีวิตนี่มันยุ่งยากจัง แค่เจอเขาไม่กี่เดือนเอง

   หก

   ไม่เอาใครเข้ามาในชีวิตก็ดีอยู่แล้วน้องโรม มีแค่เพื่อนก็พอแล้วแท้ๆ ไม่น่าหาเรื่องให้ตัวเองเลย

   ห้า

   ก็เพราะว่าเป็นเขานั่นแหละ เป็นเขาที่ไม่รู้จะหนีออกจากมันยังไง อาการแพ้ที่หนึ่งนี่เป็นแล้วจะเป็นตลอดไปเลยหรือเปล่า มีวิธีไหนที่ช่วยให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้นบ้างหรือไม่นะ

   สี่

   แค่ไม่มีที่หนึ่งแล้ว มันไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอก...

   สาม

   อย่าร้องไห้นะน้องโรม

   สอง

   อย่าร้อง

   หนึ่ง

   ...

   จากที่อยู่คนละฟากของถนน เขากลับมายืนห่างออกไปไม่ถึงก้าวดี

   ...ทำไมยังอยู่อีกล่ะ บอกให้ไปแล้วทำไมถึงยังไม่ไป ก็ไหนบอกว่าถ้าผมบอกให้หยุดเมื่อไหร่เขาจะไปเองไง

   ยังไม่ทันที่จะได้คิดแผนสำรอง แขนของผมก็ถูกดึงจนพาทั้งร่างเข้าไปอยู่ในกอดของอีกคน กลิ่นที่เคยได้รับเพียงเจือจางกลายเป็นชัดเจนไปทุกประสาทสัมผัส ความคิดถึงที่มีมากกว่าสิ่งอื่นใดปลุกทุกอารมณ์ที่ซ่อนเก็บไว้ ผมพยายามดิ้นหนีก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ลงกว่าเดิม ทั้งทุบทั้งตีทั้งโวยวายทำทุกอย่างเท่าที่คิดออก หวังว่ามันจะช่วยให้ที่หนึ่งเข้าใจได้ว่าสิ่งที่ผมต้องการในเวลานี้คืออะไร

   "ปล่อย!"

   "ไม่ปล่อย"

   "บอกให้ปล่อย!" เสียงร้องเอะอะของผมดังไปทั่วบริเวณ และมันก็ไม่ทำให้สิ่งที่ผมต้องการเกิดขึ้นได้จริงเลย ยิ่งผมขยับหนีมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกอดผมไว้แน่นมากเท่านั้น

   "น้องโรม อย่าดิ้น ฟังพี่ก่อน"

   "ปล่อย ฮึก..."

   "ไม่ปล่อยครับ ...ไม่ปล่อยอีกแล้ว"

   ...ไม่ปล่อยอีกแล้ว

   พอแล้ว...ผมยอมแพ้

   ที่เคยบอกว่าตัวเอง 'แพ้ที่หนึ่ง' จนถึงตอนนี้แล้วก็ยังคงแพ้อยู่อย่างนั้น

   เสียงที่ยังคงยืนยันความต้องการของตัวเองทำให้ผมร้องโฮออกมาจนได้ ผมไม่ได้ร้องเพราะถูกบังคับให้อยู่ในอาณัติของเขา แต่มันเกิดจากการที่ผมยอมรับแล้วว่าตัวเองคิดถึงทุกอย่างที่รวมแล้วกลายเป็นเขามากแค่ไหน ได้ยินเสียงของที่หนึ่งที่มักจะอยู่รอบตัวของผมเสมออีกครั้ง ได้อยู่ในอ้อมแขนที่ไม่มีใครสามารถให้ความอบอุ่นใจเท่า

   ผมคิดถึงเขามากจริงๆ

   "ร้องไห้อย่างนี้จะปล่อยได้ยังไง"

   "...เ...เปล่าร้องนะ"

   "นี่นะไม่ได้ร้อง"

   "ฮึก...ไม่ได้...ร้อง" พูดสะดุดตามจังหวะหายใจที่ไม่เหมือนเดิม

   "แล้วนี่ทำอะไรอยู่ล่ะ หืม?"

   มีคำอีกมากมายติดอยู่ในลำคอไม่ยอมออกมา กักเก็บน้ำตาที่พยายามซ่อนไว้ไม่ได้อีกต่อไป ผมปล่อยให้สายน้ำไหลลงมาตามที่ต้องการ แล้วพอมันเป็นการระบายเรื่องที่ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่เมื่อสักครู่มันเลยยิ่งมีปริมาณมากกว่าที่ควรจะเป็น

   เขาส่งยิ้มจางมาให้ตอนที่ยกมือขึ้นปาดรอยเลอะข้างแก้มทั้งสองของผม ยิ่งผมได้รับสัมผัสที่คิดถึงมากเท่าไหร่ น้ำตาเจ้ากรรมก็ยิ่งไหลออกมาไม่มีหยุด

   "พี่เป็นต้นเหตุใช่ไหม" 

   "..."

   "ขอโทษนะครับ"

   ผมมากกว่าหรือเปล่าที่ควรเป็นคนพูดคำนั้นออกมา ขอโทษที่ต้องให้เขามาเจอกับอะไรอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น ความเห็นแก่ตัวของผมมันทำร้ายเขามามากแค่ไหนแล้ว

   "ฮื่อ ทำไมร้องหนักกว่าเดิมอีกล่ะ" เห็นเขาทำหน้ายุ่งกว่าเดิมแล้วก็อยากจะปล่อยออกมาอีกระลอก "ไม่เอาไม่ร้อง พี่อยู่ตรงนี้แล้วนะ"

   "...ทำไม...ไม่ไป"

   "ก็ไม่อยากไป"

   มันง่ายจนผมสะอึก ในขณะที่ผมคิดอะไรเสียมากมายเขากลับมีเหตุผลให้การกระทำของตัวเองแค่หนึ่งคำ

   "ไม่อยากไปจากน้องโรมแล้ว"
 
   จริงใจในทุกคำ ยิ่งเขายืนยันในความรู้สึกของตัวเองว่ามันไม่เคยเปลี่ยนไปอาการตอบรับก็ยิ่งแสดงผ่านหยดน้ำตามากเท่านั้น จนที่หนึ่งต้องเปลี่ยนเป็นเอาผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่มาซับให้แทน ผมใช้เวลาปรับอารมณ์อยู่นานพอควรถึงกลับมาพูดได้เป็นภาษา

   "ไม่ไปแล้วจริงนะ"

   "สาบานเลยก็ได้เอ้า!"

   "ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้..."

   "ดีขึ้นแล้วไหม ตาบวมหมดแล้วนั่น"

   "...ก็เพราะใครล่ะ" บ่นอุบอิบอยู่คนเดียว "รับผิดชอบด้วยเลย"

   "หึหึ พูดเองนะ"

   "ที่หนึ่ง!"

   เจ้าของชื่อหัวเราะร่าเริง ตลกดีที่ทั้งคนพูดและคนฟังมีความสุขกับคำหนึ่งคำเดียวที่เพิ่งออกจากปากไป อาจเป็นเพราะผมไม่เคยมีความคิดว่าจะได้เรียกชื่อนี้ต่อหน้าเขาอีกครั้งล่ะมั้ง

   "นี่น้องโรม พี่มีอะไรอยากเล่าให้ฟัง" แขนของเขาโอบเอวของผมไว้ ดันให้ตัวของเราชิดกันมากขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆ แม้จะปะปนไปกับกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ยังทำให้ผมมีความสุขได้อยู่ดี

   "มีวันหนึ่งตอนพี่มอห้า วันประกวดวงดนตรีประจำปีของโรงเรียน" ผมได้เห็นรอยยิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์แล้ว "วันนั้นพี่ได้เจอเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง ผู้ชายตัวเล็กที่เอาแต่หลบอยู่ข้างหลังของแบล็ค เพื่อนที่เอาแต่ทำหน้าบึ้งไม่เอนจอยกับงานดนตรีเลย"

   จะมีใครอีกที่เกาะอยู่ด้านหลังของผู้ชายคนนั้นนอกจากผม

   “ผู้ชายคนนั้นชื่อโรมัน ชื่อเล่นชื่อโรม เป็นคนไม่รู้จักที่ต้องพยายามตามหาตั้งนานสองนานกว่าจะได้ข้อมูลตามที่ต้องการ ถามแล้วก็ไม่ค่อยมีใครรู้จัก”

   โกหก ผมเคยแข่งวิชาการกับเขามาก่อนหน้านั้น

   “ได้แต่แอบมองอยู่อย่างนั้น จนยอมทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพราะหวังว่าวันหนึ่งจะเขาจะเห็นพี่อยู่ในสายตาบ้าง ตอนแรกจะไม่เป็นเดือนคณะแล้วแต่ดันมีพี่มาเป่าหูว่าถ้าเป็นแล้วคนจะรู้จักเยอะ เลยยอมเป็นๆ ไปเพราะอยากจะให้คนนั้นรู้จักแค่ชื่อก็ยังดี”

   ที่หนึ่งแม่งบ้า...

   "แต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้นเลย แล้วก็ป๊อดไม่กล้าเข้าไปทักทายด้วยสักที รู้หรือเปล่าว่าพี่เคยทักโรมด้วยแต่โรมกลับเมินผ่านไปซะงั้นอะ" ตอนที่เขาทำหน้างอแงอย่างนี้ก็น่ารักดี "จนได้ทำความรู้จัก ได้ผ่านอะไรหลายๆ อย่างมาด้วยกัน ..."

   ที่หนึ่งหยุดเล่าไปเฉยๆ เขายิ้มจางให้ผมก่อนแล้วถึงพูดต่อ "พี่่ไม่ค่อยเจอเรื่องผิดหวังในชีวิต ปกติแล้วทุกอย่างมันจะเป็นอย่างที่พี่คิดไว้ จนพี่รู้เรื่องของลัจ...”

   เรื่องของนางฟ้า...ที่เป็นที่หนึ่งของผม

   "พี่เข้าใจนะ ก็ทั้งสับสนแล้วก็อะไรหลายๆ อย่างรวมกันเลยออกมาในรูปแบบนั้น พอมาคิดดีๆ แล้วพี่ไม่ควรจะเดินหนีออกไปอย่างนั้นเลยเนอะ เลยกลับไปหาคำตอบให้ตัวเองว่าพี่จะทำยังไงต่อ แล้วมันก็มีแค่ข้อสรุปเดียว ...แค่อยากให้รู้ว่าโรมที่พี่ให้เป็นที่หนึ่งมายังไง จนถึงตอนนี้มันก็ยังเป็นอย่างนั้น"

   "...หนึ่ง"

   “วันนี้เลยจะมาขออะไรบางอย่าง" มือทั้งสองข้างของเขาเปลี่ยนไปประสานกับมือของผมไว้ มันชื้นไปด้วยเหงื่อที่ผมไม่รู้ว่าเกิดจากความประหม่าหรือว่าสาเหตุอื่นใด "ช่วยรับฟังหน่อยนะครับ"

   "..."

   "ผมชื่อที่หนึ่ง"

   เขาพูดประโยคนี้ออกมาเป็นประโยคแรกตอนที่เราเจอกันครั้งนั้น การแนะนำตัวที่ไม่ได้อะไรเพิ่มเติมเพราะผมรู้อยู่ก่อนหน้านั้นแล้วว่านี่คือชื่อของเขา

   "ถึงจะเป็นที่หนึ่งไม่ได้ อย่างน้อยขอให้ได้เป็น 'ของโรม' จะได้รึเปล่าครับ?"

   ผมอยากเป็นของคุณ...

   มันไม่มีความแตกต่างอะไรจากวันนั้น เขายังคงยืนยันความรู้สึกของตัวเองว่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แม้ว่าเขาจะรู้ว่าผมมีเงื่อนไขในการ 'รัก' อยู่อย่างไรก็ตามที...

   "...ถ้าเป็นของโรมแล้ว ห้ามหายไปอีกแล้วนะ"

   ถามออกไปทั้งที่ยังปากสั่นไม่หาย ผมคงไม่สามารถทนรับการหายไปของเขาได้อีกแล้ว "ไม่ให้เดินหายไปอย่างนั้นอีกแล้วนะ"

   "เคยบอกแล้วไงว่าจะไปต่อเมื่อน้องโรมบอก" 

   "เมื่อกี้ก็บอกแล้วทำไมไม่ไป..."

   "ไม่นับ ทำหน้าไม่อยากให้ไปขนาดนั้นแล้วยังจะมาพูดอย่างนี้อีก"

   "พูดแล้วต้องรับผิดชอบด้วย"

   "ครับผม"

   ผมโผกอดเขาไว้แน่นอย่างกับว่าถ้าคลายออกเพียงสักเล็กน้อยเขาจะลอยหายไปตามสายลม ที่หนึ่งเองก็รัดผมกลับแน่นไม่แพ้กัน มันคือความโหยหาอย่างที่ผมเคยบอกไว้ ทุกไออุ่น ทุกความรู้สึกที่ได้รับมันไม่ได้ต่างจากวันสุดท้าย

   ที่หนึ่งเป็นยาเสพติดที่ผมขาดไปไม่ได้อีกแล้ว

   "คิดถึงมากเลย"

   "เห..."

   ยังไม่ทันจะได้ตอบกลับว่าคิดถึงเหมือนกันเสียงร้องเตือนว่ามีสายเข้าก็ดังขึ้น ที่หนึ่งถอนหายใจออกมาเซ็งๆ แล้วถึงยอมคลายวงแขนที่กำลังโอบกอดผมไว้ เลิกคิ้วขึ้นมานิดหน่อยตอนเห็นชื่อของสายโทรเข้า

   "หืม เวลโทรมาทำไม?"

   ชื่อของคนที่เมื่อกี้ยังคงอยู่ในห้องด้วยกัน เสียงไวท์ที่เรียกชื่อของเขายังก้องอยู่ในหู เสียงที่พี่สาวของผมไม่เคยทำมาก่อน เสียงที่เต็มไปด้วยความปวดร้าวจนเจ็บหัวใจตาม

   "ฮัลโหล ...อ่า ครับ ครับ โรมอยู่กับผมครับ ...เดี๋ยวส่งให้"

   ผมหน้าตึงไปอีกหลายระดับตอนที่หนึ่งส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้ผม "ไวท์...จะคุยด้วย"

   ไวท์เหรอ? ผมรีบคว้ามันแล้วกรอกเสียงลงไปตามสาย ลืมไปเสียว่าเบอร์ที่โทรมาเป็นของใคร

   "ฮัลโหลไวท์ มีอะไรรึเปล่า?"

   (...)

   เสียงจากปลายสายสั่นเครือมากกว่าปกติหลายเท่าตัว การบอกเล่าที่มาเพียงใจความสำคัญแต่ก็ทำให้ทุกส่วนของร่างกายผมอ่อนแรงไปพลัน

   "ได้...จะรีบไป" ตอบรับกลับไป ผมกดวางสายแล้วหันไปหาอีกคนที่ยังคงกอดผมเอาไว้หลวมๆ

   "มีอะไรรึเปล่า ไวท์โทรมาทำไม"

   "หนึ่ง..." เสียงของผมกลายเป็นแห้งผาก ส่วนล่างอ่อนแรงจนต้องเกาะแขนเขาไว้เพื่อยันตัวเองให้ยังยืนอยู่ได้ "ไปส่งน้องหน่อย"

   เสียงจากปลายสายยังคงติดอยู่ในส่วนรับรู้

   "แบล็คอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีน้อง"


***
   สวัสดีหลังสงกรานต์นะคะ (ยิ้ม) หมดดราม่าแล้ววว เคลียร์อีกปมเดียวแล้วจะจบได้สมบูรณ์แล้วค่ะ จะเข็นให้ทันก่อนหมดเดือนนี้ให้ได้ เพราะเจ้าจะหายไปเตรียมสอบค่ะ ที่จริงคือตอนหน้าส่วนหนึ่งก็มีไว้เชื่อมไปเรื่องต่อไปนี่แหละ (หัวเราะ)
   ที่หนึ่งก็อย่างนี้แหละค่ะ ไม่ซับซ้อน ทำอะไรอย่างที่ต้องการ ในขณะที่น้องโรมคือความซับซ้อนที่แท้จริง เจ้าเคยคิดนะคะว่ามันจำเป็นด้วยเหรอที่ต้องมีเหตุผลรองรับในการกระทำอะไรอย่างหนึ่ง แล้วถึงรู้ว่าสำหรับคำว่า 'รัก' มันไม่เคยต้องการอะไรให้มากความเลยค่ะ (ยิ้ม)
   ขอให้เป็นอีกหนึ่งปีที่ดีของทุกคนเลยนะคะ
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-04-2016 18:40:13
รออ่านอีก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 16-04-2016 18:45:17
ชอบๆ .... ไม่ปล่อยอีกแล้ว ... ก็ไม่อยากไป
โอ๊ยยยยย  ที่หนึ่งคือที่สุด

ซับซ้อน ผูกกันไปหมด
บางทีก็ยาก กว่าจะเข้าใจ

ว่าแต่อะไรของแบล็คอีก
อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีน้อง คือ....
ไม่อยากให้น้องลังเล นั่นคือเลือกพวกตน?

ไม่ค่ะ ต้องที่หนึ่งเท่านั้น
น้องโรม อย่าให้ผิดหวัง

#ที่หนึ่ง

รีบมาต่อนะคะ ลุ้นค่ะ
 :กอด1:

หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 16-04-2016 21:02:15
ที่หนึ่งมีจุดยืนที่ชัดเจนมาก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-04-2016 22:16:30
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: aurusma ที่ 17-04-2016 16:35:16
รออออออออออออ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: GMJeam ที่ 18-04-2016 11:28:53
แบล็คเป็นไร
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 27 [16.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 20-04-2016 19:51:13
อะไรอีกกกกกก เครียดดด
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 21-04-2016 20:54:43
บทที่ 28

   เพิ่งรู้ว่าท้องถนนในเวลาเกือบตีสี่มันโล่งขนาดนี้ เสาไฟสูงข้างทางสาดแสงลงมาจนผมเห็นได้ถนัดว่าบนถนนที่ทอดยาวต่อไปมันว่างเปล่าขนาดไหน ตั้งแต่ที่หนึ่งสตาร์ทรถมาจนถึงตอนนี้ผมสามารถนับรถที่เราแซงไปได้ไม่กี่คันเอง

   "หนึ่ง เร่งกว่านี้หน่อยได้ไหม"

   หน้าปัดของเครื่องยนต์ที่เหยียบร้อยกว่าไปแล้วยังไม่เป็นที่พึงพอใจของผม อาการกระวนกระวายจนเกือบนั่งไม่ติดเบาะเป็นผลจากคำบอกเล่าผ่านโทรศัพท์ ผมขยับดูเวลาบนข้อมือของตัวเองเกือบทุกนาที มันยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ตามหน้าที่ที่ได้รับ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ

   จะต้องไม่มีใครเป็นอะไร...

   "ไม่ได้ มันอันตรายนะ"

   "ตอนนี้แบล็คก็เหมือนกัน"

   "น้องโรม..."

   "ต้องรีบไป...เดี๋ยวไม่ทัน"

   นี่คือการแข่งขันเพื่อช่วงชิงเวลาชีวิต

   ผมไม่เคยเห็นราชาต้องกลายเป็นคนป่วย เขารู้จักตัวเองดีว่าต้องหลบหลีกปัญหายังไง ทั้งเล่นกีฬาแล้วก็ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งอันตรายมากจนเกินควร เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์

   "อย่าเพิ่งคิดมากสิ"

   จะให้ผมคิดบวกตอนนี้คงไม่ได้หรอก เงื่อนไขการมีชีวิตอยู่ที่ขึ้นอยู่กับไม่กี่ตัวแปรต้องไม่ให้มีสิ่งใดเข้ามาแทรกแซงจนไม่สามารถควบคุมได้

   "ทำไมทุกคนต้องมาเจ็บเพราะน้องด้วย" คำที่เหมือนจะถามเขา แต่ที่จริงกำลังถามตัวเอง "ทำไมน้องต้องทำให้คนอื่นต้องเป็นอย่างนี้ด้วย..."

   ห้ามมือไม่ให้สั่นไม่ได้เลย ยามที่ส่วนลึกในความทรงจำถูกกะเทาะขึ้นมาว่าในอดีตเรื่องราวแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และมันไม่เคยทำให้ผมชินกับมันสักนิด

   มือของที่หนึ่งเปลี่ยนจากจับเกียร์มาเป็นกุมมือผมไว้ มือที่อบอุ่นส่งความเชื่อมั่นมาให้โดยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ

   "เชื่อพี่สิ อย่างทิวาน่ะไม่ยอมให้ใครมากำหนดวันตายให้หรอก"

   เป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่าแค่ประโยคเดียวของเขาทำไมมันถึงคลายความกังวลของผมไปได้เยอะขนาดนี้ ทั้งที่เขาก็ไม่ใช่ฮีทเตอร์ทำความร้อนแท้ๆ ทำไมการมีเขาอยู่ข้างๆ ถึงเพิ่มความอุ่นให้หัวใจได้ก็ไม่รู้

   ทันทีที่รถของเขาจอดสนิท ผมก็รีบวิ่งเข้าไปหาผู้หญิงในชุดสีดำที่นั่งอยู่ตรงหน้าทางเข้าห้องฉุกเฉินตามที่ได้นัดหมายเอาไว้

   "เป็นไงบ้าง?"

   "แบล็คเข้าห้องผ่าตัดไปแล้ว ส่วนเกรย์เข้าไปทำแผล เจ็บนิดหน่อย"

   ต่อให้ใบหน้าไร้ความรู้สึกยังคงอยู่ รอบนัยน์ตาสีดำขลับก็มีรอยแดงอยู่ชัด

   "แล้ว...?"

   พูดแค่นั้นก็เข้าใจกันได้ นั่นคือเหตุผลหลักที่ผมต้องมาอยู่ที่นี่ ต่อให้ร่างกายของตัวเองในตอนนี้ไม่ได้เหมาะกับการช่วยเหลือแต่ถ้ามันช่วยต่อชีวิตให้เขาได้ผมก็จะทำ

   "หมอบอกว่าไม่ต้อง มีคนเพิ่งมาบริจาคไว้"

   "จริงจัง?"

   "อืม"

   ประหลาดใจมากอยู่ที่มีคนมาบริจาคให้ มันดูเป็นเรื่องที่บังเอิญเกินไปหน่อยที่ของหายากอย่างนี้จะมีคนเอามาบริจาคพอดี ผมมองเลยผ่านผู้ชายผมสีอ่อนที่นั่งอยู่ไกลออกไป เวลสร้างความประหลาดใจให้ผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เคยได้เจอกันจนถึงวันนี้

   เขาเคยเตือนผมเอาไว้แล้ว ว่าไวท์มีเรื่องอะไรที่ไม่ได้บอกผมอยู่

   มีเรื่องบางเรื่องที่ไวท์บอกให้เขารู้ได้ แต่กลับไม่ยอมบอกให้ผมรู้เลยสักนิด

   "เกิดอะไรขึ้น" ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อไล่ความน้อยใจที่กำลังก่อตัวให้สลายลงไปก่อน

   "เกรย์ไปมีเรื่องกับคนเมา แล้วแบล็คเข้าไปช่วย..."

   "คนอื่นล่ะ"

   "กำลังมา ตอนนั้นแยกกันแล้ว"

   "แล้ว..."

   อยากจะถามต่อไปว่าถ้าแยกกันแล้วทำไมเวลทำไมถึงยังอยู่ตรงนี้ได้ พยาบาลในชุดสีขาวก็เดินเข้ามาแทรกกลางด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ตอนนี้มีไวท์เป็นญาติเพียงคนเดียวของคนเจ็บทั้งสอง คุณพินิจออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนกลุ่มมัธยมตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว แต่ตอนนี้ก็คงรู้เรื่องแล้วล่ะ นี่มันโรงพยาบาลขาประจำของบ้านเราเลยนะ

   ที่หนึ่งกลายเป็นเวลนัมเบอร์ทูไปโดยการหลบไปนั่งเงียบๆ อยู่คนเดียวตรงเก้าอี้แถวหน้าเคาท์เตอร์ ผมตั้งใจจะไปหาเสียหน่อยติดที่ว่าเพื่อนสนิทอีกสองคนวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงพอดี

   "ปลอดภัยหมดแล้วใช่ไหม?"

   "ไวท์บอกอย่างนั้น"

   "เฮ้อ...ค่อยโล่งอกหน่อย ตกใจแทบแย่ตอนที่เห็นเบอร์ไวท์โทรหา"

   ที่ต้องใช้เครื่องของเวลติดต่อมาคงเพราะว่าไม่รู้จะติดต่อผมทางไหน นิชคลายสีหน้ากังวลไปในขณะที่เน็ทเกือบจะระเบิดที่นี่ได้อยู่แล้ว

   "แล้วเหี้ยตัวไหนมันทำ!"

   "เน็ท นี่โรงพยาบาล" ผมปรามเจ้าชายที่พร้อมลั่นกลองศึกอยู่ทุกเมื่อ "เดี๋ยวค่อยไปถามไวท์ก็ได้ ตอนนี้รอหมอก่อน"

   "ไอ้สัตว์! นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วยังจะให้กูนิ่ง!?"

   "..."

   "มึง! ไวท์! แล้วคราวนี้ก็แบล็ค! กูถามจริงนะว่านี่มันคือสิ่งที่กูต้องเจอเหรอวะ ต้องมาเครียดเป็นคนบ้าคอยลุ้นว่าเพื่อนตัวเองจะตายไหมอย่างนั้นเหรอ?"

   ทุกคำพูดของเขามันดังพอที่จะให้คนที่อยู่ตรงนั้นอีกสองสามคนได้ยินทั่วกัน

   "เน็ท นี่ห้องฉุกเฉินนะ"

   "โดยเฉพาะมึง! สองรอบไอ้เหี้ย!!!"

   จอมโวยวายยังไม่ยอมหยุดใช้เสียงดัง จนเพื่อนอีกคนต้องปรามด้วยการยกมือขึ้นมาปิดปากให้เหลือเพียงเสียงอู้อี้พร้อมสายตาอาฆาตแค้นเท่านั้น

   "เชี่ยเน็ท อยากโดนหิ้วออกนอกแผนกหรือไง" หันไปทำหน้าดุใส่พร้อมเหล่ตาไปทางพยาบาลเวรที่จ้องมาทางพวกผมสักพักแล้ว "กูยังอยากฟังอาการของแบล็คอยู่นะ"

   เน็ทยังคงประท้วงด้วยการพ่นคำที่จับความไม่ได้ออกมา เพราะติดตรงมือของนิชยังคงปิดอยู่ตรงปากของเขาไว้อยู่อย่างนั้น เขาเปลี่ยนไปใช้ภาษามือในการสื่อสาร ซึ่งผมไม่เข้าใจไง ชี้โบ้ชี้เบ้ไปทั่วอย่างนั้นจะเอาเวลาที่ไหนมาแปลความหมาย พอจะเข้าใจแล้วก็เปลี่ยนเป็นท่าอื่นไปเสียแล้ว

   คุณแม่มองลูกชายคนโตที่ยังพยศอยู่ไม่มีหยุดแล้วถอนหายใจด้วยความปลงตก เขาออกแรงนิดหน่อยให้เน็ทขยับตัว แน่นอนว่ามีผมเดินตามต้อยๆ ไปด้วย เราออกมาจากแผนกฉุกเฉินมาอยู่ตรงทางเข้ากลางของโรงพยาบาล มันมีพื้นที่ไว้สำหรับนั่งรอรวมถึงสูบบุหรี่อยู่ เหมาะกับการพูดคุยดี

   พอเห็นแล้วก็คิดถึงคนที่กำลังต่อสู้กับพิษบาดแผล

   ผมจะเชื่อตามที่หนึ่งพูด คนอย่างนั้นไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก

   "เอ้า จะแหกปากอะไรก็เชิญ ตรงนี้ไม่ต้องกลัวใครมาไล่แล้ว"

   "มึงอนุญาตแล้วนะ ห้ามด่ากูย้อนหลัง" ผมกลับไม่อยากให้พี่นิชไฟเขียวในเรื่องอย่างนี้เลยแฮะ มันพอจะเดาได้เลยว่าจอมหวงจะต้องร่ายยาวแบบไม่มีหยุดแน่ "เรื่องแบล็คนี่ยังไง ไวท์มันบอกว่ามันโดนแทงเพราะไปรับแทน"

   "กูไม่ได้คุยเรื่องนี้"

   "แล้วปลอดภัย? ไม่ต้องใช้เหรอ?"

   ปฎิเสธกลับไปด้วยการส่ายหัว "ไม่ต้อง"

   "เชี่ยเอ๊ย ถ้ามีครั้งหน้าอีกนี่กูจะเลิกคบพวกมึงล่ะนะ"

   น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เน็ทเสยผมที่ยาวลงมาปรกหน้าให้ขึ้นไปอยู่ด้านบนตามเดิม คิ้วที่ขมวดกันรวมถึงอาการหงุดหงิดไปเสียทุกอย่างนั่นบอกผมว่าเขาคงอดทนกับเรื่องพวกนี้มานานแล้ว

   ...ซึ่งก็คงจะนานจริงๆ นั่นแหละ

   "กูด้วย ตอนที่ไวท์โทรมากูคิดออกคำแรกคือ 'อีกแล้วเหรอวะ' แล้วมึงเข้าใจกูไหม นั่นมันไม่ใช่คำที่ควรออกมาป่ะวะ เรื่องพวกนี้ถึงมันจะไม่มีใครเตือนให้ระวังก่อนได้แต่ก็อย่าบ่อยขนาดนี้เลยเถอะ ถ้าหัวใจกูทำงานหนักไปจนตายไปนี่ใครจะรับผิดชอบ?"

   "มึงตายไปแล้วทำไมกูต้องรับผิดชอบวะ"

   "ใช่เวลาไหมเน็ท" เจอนัยน์ตาสีอ่อนหลังกรอบเลนส์จี้ไปทีคนลูกก็หน้าจ๋อย

   "เออ ก็นั่นแหละ คือชีวิตวัยรุ่นของพวกกูมันควรจะได้เฮฮาปาร์ตี้แฮปปี้ไปวันๆ ไม่ใช่ต้องมานั่งเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น

   เพราะว่าคนในกลุ่มแม่งถูกหามมาห้องฉุกเฉินป่ะมึง"

   "กูรู้"

   ก้มหน้ายอมรับผิดในทุกข้อ นั่งนับดูแล้วตลอดสามปีที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยมาพวกผมต้องแวะเวียนเข้ามาสถานที่ที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคอย่างนี้ก็หลายครั้ง ถ้าเอาเฉพาะแค่ครั้งสำคัญๆ ก็สามครั้งแล้ว เฉลี่ยได้ว่าหนึ่งคนต่อหนึ่งปี เป็นสถิติที่ได้มาตรฐานดีอยู่เหมือนกัน

   "หัวใจกูไม่ได้ทำมาจากเหล็กน้องโรม กูยังมีความรู้สึก โดยเฉพาะความรู้สึกเหี้ยๆ เวลาที่ต้องรู้ว่าเพื่อนตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตรายแล้วนี่ยิ่งชัดเข้าไปใหญ่ ตอนไวท์นั่นกูเกือบจะไปบวชให้แล้วนะ"

   เสียงจากโทรศัพท์ที่แจ้งมาว่าพบคนไข้ถูกรถชนมา อาการสาหัส

   "ส่วนของมึง..."

   "พอๆ เอาเป็นว่าเรื่องนี้เคลียร์แล้ว ก็หวังว่าเราจะไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีกในเร็วๆ นี้ก็แล้วกัน"

   พี่นิชโบกมือไปมาในอากาศเป็นการคลายบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอึดอัดอย่างนี้ เขาหันมามองหน้าผมแล้วดีดนิ้วเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้

   "ใช่ ลืมถามไปเลย ตอนอยู่ที่ร้านสนุกไหมน้องโรม"

   "ก็...ดี" จะตอบตามตรงว่าจำอะไรไม่ได้นอกจากฉากจูบก็ไม่กล้าพูด   

   "ทำไมทำเสียงไม่ค่อยมั่นใจอย่างนั้นล่ะ ไม่สนุกเหรอ"

   "สนุกดีๆ"

   "มึงน่าจะเห็นหน้าน้องโรมตอนดิซจูบมึง เหวอเหี้ยๆ"

   "ช่างหัวคนงี่เง่าพรรณนั้นเถอะ" มือกลองกรอกตาอย่างเอือมระอาเต็มทน "นี่กูโกรธแม่งอยู่นะ มาทำอะไรอย่างนี้ในที่สาธารณะได้ยังไง เดี๋ยวกลับไปเคลียร์ล่ะโดนแน่"

   "มึงนั่นแหละไปทำอะไรมา แม่งถึงมองน้องโรมตาขวางอย่างนั้น"

   "กูทำอะไรที่ไหนล่ะ ก็แค่บอกว่าวันนี้จะมีคนพิเศษมาดูด้วย ก็เท่านั้นเอง"

   "แค่นั้นพ่อมึง คนพิเศษเหี้ยไรอีก"

   "น้องโรมไงคนพิเศษ" มีการเอามือมาลูบหัวผมอีกน่ะ "แล้วมันก็ถามว่าระหว่างมันกับน้องโรมใครสำคัญกว่า กูก็ต้องตอบว่าน้องโรมอยู่แล้ว"

   "ไอ้เหี้ยยย"

   เน็ทแหกปากเสียงดังไม่กลัวคนด่า โชคยังดีที่โรงพยาบาลในเวลาเกือบรุ่งสางอย่างนี้ไม่มีคนไข้ฉุกเฉินอยู่แล้ว เขาร่ายคำด่าออกมาอีกชุดใหญ่โดยลดระดับเสียงลงมาหน่อย

   "ใครที่ไหนจะสำคัญเท่าน้องเนอะ"

   นิชดึงแก้มผมจนมันยืดออกคล้ายขนมมาร์ชเมลโล่ ก็ดูน่าประทับใจอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าพอผมเห็นหน้าเน็ทแล้วก็คิดถึงสิ่งที่เขาบอกไว้ก่อนหน้านี้น่ะ

   "...เน็ทบอกว่านั่นผัวอะ"

   ยังไม่ทันสิ้นเสียงของผม นิชก็ตวัดหน้าไปทางบุคคลที่สามที่ถูกผมอ้าง เขาข่มเสียงไม่ให้ดังเกินไปอีกคน "ไอ้ห่าเน็ท! กูจะแช่งให้พี่บอกเลิกมึง!!"

   ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะจากอีกฝ่ายแว่วประมาณว่า 'ไม่มีทาง' ผมมองเขาใช้สายตาฟาดฟันกันในขณะที่ในหัวของตัวเองก็มีคำถามว่าพี่อะไร บอกเลิกเหรอ? คนที่ชื่อว่าอนาคต?

   จากที่เขาอารมณ์ดีอยู่ก็กลายเป็นหัวเสียกลับมา "แม่งปากเสีย"

   "เรื่องจริงเหรอ"

   "หมายถึง?"

   "นั่นผั...อ่า แฟนเหรอ"

   ผมดูตรงประเด็นไปหรือเปล่า คือตอนนี้หัวว่างมากเลยอะ มีแต่คำว่า 'นั่นผัวนิช' ลอยเต็มไปหมด หรือผมควรใช้คำว่าสามีเพื่อให้ดูสุภาพมากขึ้นดี

   "...ถ้าจะย้ำขนาดนี้อยากให้พี่ตอบยังไงดีล่ะ"

   "ใช่หรือเปล่า?"

   "เฮ้อ...เราคบกันอยู่"

   ตะลึงจนพูดไม่ออก

   ไม่รู้จะเริ่มจากไหน ไม่มีท่าทีอิดออดหรือปิดบังอะไรทั้งสิ้น นิชยอมรับง่ายๆ ไม่ต่างกับตอนที่กำลังบอกว่าใช่ กูจะไม่เรียนต่อในมหาลัยเพราะเบื่อการเรียนในตำราแล้ว

   "ทำไมไม่บอก...ทำไมคนอื่นรู้แต่กูไม่รู้"

   "ไวท์ก็น่าจะไม่รู้อีกคนนะ" นั่นเป็นข้อยกเว้นไหมล่ะ "ยังไม่บอกเองเพราะนึกว่ารู้อยู่แล้ว"

   "นิช" เชือกที่เคยผูกต่อกันจนเป็นเส้นเดียวกันในวันนี้มันกำลังหลุดไปหนึ่งปม เราเคยเป็นเชือกเส้นใหญ่ที่ทั้งหนาแล้วก็แน่น เชือกที่ห้ามลืมไปว่าต่อให้มันแน่นมากแค่ไหนวันหนึ่งมันก็ต้องหลุดออกไปตามกาลเวลา

   "มีความสุข...ใช่ไหม"

   หากเป็นน้องโรมคนเดิมคงไม่พ้นทะเลาะกันจนเป็นเรื่องใหญ่ ผมผิดหวังคำตอบของเขามากอยู่นะ พูดออกมาง่ายๆ แค่ว่าคิดว่ารู้อยู่แล้ว คือถ้าผมรู้คงไม่มานั่งซักฟอกเขาอย่างนี้หรอกไหมล่ะ

   สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเองคือสายตาของอีกคนที่มองไปยังพี่ชายของผม สายตาที่ดูออกได้เพียงการกวาดตาเพียงเสี้ยววินาทีก็รู้ว่านิชสำคัญมากแค่ไหนสำหรับเขา

   "อืม พี่มีความสุขกับที่กำลังเป็นอยู่"

   นิชเป็นคนที่ยิ้มสวย และถึงเขาจะขยับเพียงแค่มุมปากมันก็เพียงพอแล้วสำหรับผม "วันหนึ่งน้องโรมก็เหมือนกัน จะมีความสุขกับสิ่งที่เลือก"

   "พูดเหมือนเน็ทเลย" เขาบอกว่าสักวันหนึ่งผมก็ต้องมีใครคนนั้นเป็นของตัวเอง "ก็ไม่ได้เหมือนทุกประโยคขนาดนั้น แต่ว่าเมนไอเดียเหมือนกัน"

   "พวกเราต้องขอบคุณลัจนะ อย่างน้อยก็สอนพวกเราเรื่องความไม่แน่นอนของชีวิต เห็นวันนี้...ก็ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้จะได้เห็นกันอีก"

   นางฟ้าที่จากกันไปโดยไม่ทันได้เอ่ยคำลา

   "กลายเป็นว่าถ้าต้องตัดสินใจในเรื่องอะไรสักอย่าง พี่จะคิดให้มากที่สุดแล้วจะตัดสินใจให้ดีที่สุด เพราะพี่ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้กลับมาแก้ไขมันอีกไหม"

   "พี่นิช..."

   "เพราะอย่างนั้นตอนนี้พี่ว่าคงได้เวลาแล้วล่ะ พี่มาขอคำตอบแล้วนะ" คำถามที่พี่เขาเคยบอกว่าผมคิดยังไงกับที่หนึ่ง "คงคุยกับที่หนึ่งแล้วใช่ไหม เมื่อกี้เห็นอยู่"

   คนใส่แว่นนี่สายตาดีได้ขนาดนั้นเลยหรือไงนะ

   "ได้เวลาตอบแล้วน้องโรม"

   เน็ทอ้อมมาจับไหล่ผมไว้ ฝ่ามือที่กดลงมาตรงไหล่แต่กลับไปหนักตรงหัวใจ ผมไม่ชอบเลยที่ต้องมาโดนคาดคั้นอะไรอย่างนี้ อย่างกับผมเป็นนักโทษที่ทำผิดร้ายแรงแบบที่ไม่สามารถขอลดโทษได้

   "กูเบื่อที่จะมานั่งโอ๋มึงแล้ว ตอบมาดีๆ แล้วกูจะได้ทิ้งมึงสักที"

   "กูรักลัจ"

   จนถึงตอนนี้ผมก็ยังคงมั่นใจว่าตัวเองยังคงวางใครไว้ตรงตำแหน่งสูงสุด

   "เชี่ย..." เน็ทขยี้หัวของตัวเองจนยุ่ง "นั่นหมายความว่ายังไงวะ แล้วที่หนึ่งล่ะ"

   "หนึ่งเหรอ"

   "เออ คนที่มึงตอบพวกกูไม่ได้ว่าคิดยังไงแต่เสือกตามหาแม่งแทบพลิกแผ่นดินอะสัตว์"

   "ที่หนึ่งบอกว่าจะไม่ไปไหน แล้วกูก็จะไม่ยอมให้ไปด้วย" เรื่องบางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอะไรมาประกอบให้มากความ

   คราวนี้ผมเจอทางออกไปนอกลู่วิ่งที่หมุนเป็นวงกลมนี้แล้ว ถึงจะไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรบ้างแต่มันก็คงดีกว่าการย่ำเท้าซ้ำไปมาบนพื้นที่เดิม ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตว่ามันจะเดินไปทางไหน ถ้าคิดมากแล้วมันเหนื่อยนัก มีความสุขอยู่กับตอนนี้ก็พอ

   "น้อง โรม"

   "นั่นคือคำตอบของกู"

   "แม่งเป็นการตอบที่เหี้ยที่สุดที่กูเคยได้ยินมา ตอบอย่างนี้ก็ได้เหรอ?"

   "ได้สิ"

   "มึงคิดว่ามันง่ายอย่างนั้นเหรอ? นี่มึงชอบมันแน่ป่ะวะ?"

   เน็ททำท่าเหมือนพร้อมจะฆ่าผมให้ตายคามือได้อยู่ทุกขณะ ผมเอียงคอลงตอนที่ถามเขากลับ

   "ทำไมต้องสนใจเรื่องนั้นด้วย?" ผมกำลังใช้ตรรกะแบบที่หนึ่ง การตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ไม่ต้องใช้สมองคิดหาเหตุผลให้ยุ่งยากมากมาย ทั้งหมดคือเรื่องที่ออกมาจาก 'หัวใจ' เท่านั้นก็พอแล้ว "แค่สิ่งที่กูกับหนึ่งต้องการมันตรงกันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ"

   "ไอ้...สัตว์...."

   "เน็ท พอแล้ว ...น้องโรม มั่นใจแล้วนะ?"

   "ใช่"

   "ถ้ามั่นใจแล้วก็โอเค ตามสัญญาพี่จะไม่ถามอีกแล้ว"

   "โรมัน" นัทธิดันหัวของผมให้เอียงไปข้างหนึ่ง ใบหน้าติดไม่พอใจยังคงปรากฎชัด "ภูมิใจซะว่ามึงเป็นอย่างแรกที่กูจะปล่อยไปอะ มึงจะไม่ใช่ของกูอีกต่อไปแล้วนะ"

   จอมหวงที่ทุกอย่างที่เป็น 'ของเน็ท' แล้วจะไม่มีทางยกให้ใครอื่น ตั้งแต่ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยลามไปถึงคนที่มีชีวิตอย่างผม

   "กูควรดีใจป่ะมึง"

   "มึงควรเสียใจ เพราะพี่ชายอย่างกูมึงหาจากไหนไม่ได้อีกแล้ว"

   "บอกแล้วเหรอว่าอยากได้"

   "พอๆ ทำไมถึงชอบตีกันตลอดเลย" นิชรีบแทรกมาอยู่ตรงกลางระหว่างเราสองคนก่อนที่มันจะมีการวางมวยเกิดขึ้น "กลับไปทำอะไรที่ควรทำได้แล้วไป"

   การแนะที่มาพร้อมกับสายตาที่เชื่อมั่นในตัวผมเต็มเปี่ยม มันอาจเป็นครั้งแรกที่ผมตอบกลับไปด้วยความมั่นใจขนาดนั้น

   "แน่นอน"


***
ต่อด้านล่างเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 21-04-2016 21:06:50

   สองคนนั้นหายไปไหนก็ไม่รู้ตอนที่ผมกำลังเดินกลับเข้ามาด้านในของห้องฉุกเฉินที่มีญาติคนไข้รออยู่ประปราย เห็นที่หนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ด้านในสุดของที่นั่งโดยไม่มีวี่แววของเวลหรือว่าไวท์อยู่แถวนั้นเลย ผมสั่งให้เท้าของตัวเองหยุดการเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าของเขา ในเมื่อคนอื่นต่างบอกว่าวันนี้เราจะจบทุกอย่างลง มันก็ยังคงมีอะไรบางอย่างที่ผมควรจะบอกออกไป

   "หนึ่ง...ไปด้วยกันหน่อย"

   ชั้นสิบสอง ห้องที่สี่ ที่ที่ผมพาเขาไปคือห้องพักฟื้นบนชั้นสูง ห้องที่เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งบ้านได้ในสมัยเด็ก

   “สวัสดีครับ”

   "อ้าว น้องโรมัน"

   พี่พยาบาลหน้าคุ้นทักทันทีที่เห็นว่าผมเดินเข้าไปหา เธอไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่ผมมาเยี่ยมมากเท่าไหร่ ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสและเต็มไปด้วยพลังงานอย่างเดิม ไม่ใช่ว่าพยาบาลที่นี่มีความสามารถในการจำคนไข้ได้ทุกคนหรอก เธอเป็นคนพูดเองว่าคงไม่มีคนไข้คนไหนที่ทำให้ประทับใจได้เท่าบ้านผมอีกแล้วก็เท่านั้นเอง

   "วันนี้คนไหนมาล่ะ"

   "ทั้งคนโตคนรองฮะ วันนี้มาครบเลย" เธอเป็นพยาบาลที่เคยดูแลลูกคุณพินิจมาครบแล้วทุกคน รู้จักกันเป็นอย่างดี "ห้องผมมีใครอยู่ไหมอะ ขอแวะเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ"

   "ห้องเหรอ ว่างๆ เข้าไปสิ"

   "ขอบคุณฮะ เดี๋ยวจะให้ไวท์ขึ้นมาหาตอนเช้านะ ...หนึ่ง ไปกันเถอะ"

   ในช่วงเวลานิทราของใครหลายคนมีเพียงเสียงฝีเท้าของเราก้องไปทั่ว ผมเดินนำเขาไปตามทางที่กว้างพอสมควร จนถึงหน้าห้องที่มีป้ายหน้าห้องว่า หนึ่งหนึ่งศูนย์สี่ เสียงเดินถึงหายไป

   "น้องนอนอยู่ที่นี่สามเดือนตอนปอหนึ่ง"

   การบอกเล่าอดีตของโรมเริ่มขึ้นแล้ว มันก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ถ้าบอกว่าอาการบาดเจ็บมันมาจากกระสุนที่เกือบเข้ากลางหัวใจ และคนไข้ในตอนนั้นคือเด็กชายร่างกายอ่อนแออายุหกขวบ

   เปิดประตูออกกว้าง ปล่อยให้มือยื่นออกไปหาที่เปิดไฟตามที่ร่างกายสั่ง ห้องพักฟื้นขนาดใหญ่ที่สามารถบรรจุคนได้มากพอสมควรมีไว้เพื่อให้เด็กน้อยสี่คนในเวลานั้นได้พักอาศัยอยู่ร่วมกันได้ทั้งหมด ผมเดินไปนั่งด้านข้างของเตียงโดยมีที่หนึ่งยืนชิดอยู่ด้านหน้า

   "โดนแม่ของเกรย์ยิงเข้ากลางอก" ใช้นิ้วเคาะไปที่รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่เขาเคยถามว่ามันเกิดจากอะไร รอบแผลที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหลาย "ถ้าเล็งแม่นอีกหน่อยก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้"

   "น้องโรม..."

   "เกรย์เลยบอกว่าน้องควรจะตายไปตั้งนานแล้วไง"

   ต้องอยู่ที่นี่นานจนเกือบนึกว่าเป็นการย้ายบ้านครั้งใหญ่ พวกพี่ๆ ทุกคนก็คอยผลัดกันเข้ามาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย เด็กปอหนึ่งแค่มีเพื่อนอยู่ด้วยมันก็ไม่ต้องสนใจอะไรมากแล้ว

   หลังจากนั้นผมก็ได้มาเป็นลูกบุญธรรมของบ้านหลังนี้ เหตุผลเดียวคือไวท์ ไวท์ยังคิดอยู่ตลอดเวลาว่าที่ผมต้องมาเจออะไรอย่างนี้เป็นเพราะเธอ เกรย์ก็น่าสงสารที่โดนลูกหลงจากเรื่องนั้นไปด้วย คนที่บ้านไม่ชอบแม่สองอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมารู้ว่าเธอพร้อมจะทำลายคุณหนูของบ้านอย่างเลือดเย็นก็ยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ จนในที่สุดเขาก็เลยหนีไปอยู่โรงเรียนประจำเสียเลย

   เขาก็พูดไม่ผิดเท่าไหร่ว่าผมมาแย่งทุกอย่างไป ผมเข้ามาแทนที่ตำแหน่งคุณหนูคนสุดท้อง และอาจรวมถึงที่ผมแย่งชีวิตของแม่สองไปด้วย จำไม่ค่อยได้แล้วว่าแม่สองหน้าตาประมาณไหน คุณพินิจไม่เคยเก็บรูปของภรรยาผู้ล่วงลับของตัวเองเอาไว้เลย

   มองหน้าเขาที่อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต่อให้ผมอ่านใจเขาไม่ได้ก็ตามที แค่ลองคิดว่าผมต้องเป็นคนที่มายืนฟังอีกคนเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยความรุนแรงอย่างนี้ก็คงคิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรพูดอะไรออกมา ผมทิ้งตัวลงนอนบนฟูกแข็ง ปล่อยให้สายตาหลุดโฟกัสไปกับเพดานสีขาวที่ยังคงให้ความรู้สึกว่างเปล่าทุกครั้งที่เห็นมัน เพดานที่ผมเคยตื่นมาครั้งหนึ่งแล้วลองถามแบล็คไปว่า คิดว่าเพดานอยากจะมีสีขาวหรือเปล่า หรือว่ามันอาจจะอยากได้สีอื่นก็เป็นได้

   เคยถามถึงขั้นว่า แล้วแบล็คอยากเป็นสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำหรือเปล่า

   "แล้วน้องก็นอนที่นี่อีกเกือบเดือน ตอนจบมอหก"

   กลายเป็นเรื่องตลกเวลาย้อนมองกลับไปแล้วพบว่ากลับมาสู่ห้องที่ชินตาหลังจากเวลาผ่านไปสิบสองปี ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เครื่องมือเครื่องใช้ชุดใหม่ ที่เหมือนเดิมก็คงเป็นรอยขีดที่ลึกเข้าไปในเนื้อปูนจากการเล่นซนของพวกผมหลังเตียงคนป่วย

   "ตอนนั้นยังรับไม่ค่อยได้ว่าลัจตายแล้ว เลยไปนั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้นเกือบเดือน จนโดนพวกขี้ยามาดักปล้น แล้วซ่าไง เลยโดนมาอีกแผล ได้มานอนหยอดน้ำเกลืออีกรอบ"

   ก็รู้อยู่ว่าเรื่องของลัจคงเป็นอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกของที่หนึ่งมามากอยู่ แต่มันคือความจริงที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ผมไม่มีทางที่จะทำเป็นลืมมันไปได้เพื่อให้เขาสบายใจ

   ผมยังรอ...คำตอบอยู่ตรงหน้าแผ่นหินแผ่นเดียวอยู่อย่างนั้นหลายต่อหลายวัน หวังว่าคงจะมีปาฎิหาริย์สักอย่างเกิดขึ้นที่จะทำให้ลัจฟื้นขึ้นมาฟังสิ่งที่ผมต้องการจะบอกได้ บางเรื่องที่อยากบอกออกไปเหลือเกินแต่ว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางได้รับฟังอีกแล้ว มันยากที่จะทำใจนะ การที่ต้องมารับรู้ว่าเพื่อนที่ตัวเองรักจากกันไปโดยไม่ทันได้เตรียมใจ เรายังคุยกันเรื่องเรียนต่อก่อนหน้านั้นไม่นาน เธอยังบอกว่าอาจจะมาเรียนที่เดียวกัน ไหงกลายเป็นว่าบินหนีกลับขึ้นสวรรค์ไปเสียได้

   พอนึกถึงเรื่องที่ต้องมาอยู่ในโรงพยาบาลตอนก่อนขึ้นปีหนึ่งได้ก็เชื่อมมาถึงอีกเรื่องที่เพิ่งเกิด ผมดีดตัวขึ้นมาให้อยู่ในท่านั่งแบบเดิม คว้ามือของเขามาจับไว้ทั้งสองข้าง มันเย็นเฉียบจนผมยกมันขึ้นมาแนบแก้มเอาไว้เพื่อเพิ่มไออุ่น

   "อยากลองทายไหมว่าเพราะอะไรน้องถึงต้องรีบมา ทำไมน้องถึงบอกว่าแบล็คอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีน้อง"

   "ไม่ล่ะ"

   ถ้าลองตอบว่ารู้สิเขาคงเป็นยิ่งกว่าพวกโรคจิต

   "น้องกับแบล็คมีเลือดกรุ๊ปพิเศษ คนเอเชียพบแค่ศูนย์จุดสามเปอร์เซนต์"

   แบล็คเป็นราชา...เพราะเขาคือคนที่ต้องอยู่บนนั้นต่อจากพ่อของตัวเอง

   ไวท์เป็นคนบาป...ที่แบกรับความตายของคนที่รักยิ่งสองคนเอาไว้

   ส่วนเกรย์...

   เราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ เพราะตอนที่เราเริ่มใช้ชื่อนี้กันอย่างจริงจังเกรย์ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพวกเราแล้ว และเราก็ว่ามันคงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าที่เขาจะได้มีชีวิตที่แยกออกจากพวกเราไป

   ผมเป็น 'ผู้เสียสละ'

   ที่ไม่ใช่แค่การที่เกือบแลกชีวิตของตัวเองกับชีวิตของอีกคน แต่มันรวมถึง 'เลือด' ที่จะคอยต่ออีกชีวิตไปเหมือนกัน

   กรุ๊ปเลือดของผมคือ O RH-

   การควานหายิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร ซ้ำร้ายกรุ๊ปโอยังรับเลือดเฉพาะแต่กรุ๊ปโอด้วยกันอีก ถ้ามีเหตุการณ์ที่ต้องรับบริจาคเลือดอย่างเร่งด่วนแล้วล่ะก็เตรียมใจไว้ได้เลยว่าจะไม่รอด

   คุณพินิจกับพ่อแม่ของผมให้ความสนใจในเรื่องนี้อย่างจริงจังก็ตอนที่เกิดเรื่องของแม่สองนั่นแหละ ตอนที่ผมเกือบตายไปจากการที่ไม่สามารถหาผู้บริจาคที่กลุ่มเลือดตรงกันได้ โชคยังดีที่ตอนนั้นหาคนมาช่วยไว้ได้ทัน ผมเลยยังคงอยู่เล่าเรื่องให้เขาฟังได้

   ผมกลายเป็นน้องเล็กที่โดนปกป้องยิ่งกว่าเดิม

   พวกเขาถึงไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นเพื่อน แต่เป็นพี่ที่มีหน้าที่ต้องดูแลน้องอย่างที่คุณพินิจเคยบอกเอาไว้ เพราะคนเป็นพี่ต้องรับผิดชอบในการดูแลชีวิตมากกว่านั้นหลายเท่านัก เมื่อบวกกับผมเป็นคนตัวเล็กที่ดูไม่ค่อยสู้คนอยู่แล้ว มันเลยยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ พวกเขาเลยชอบทำตัวเป็นพวกมาเฟียที่ใช้อิทธิพลข่มขู่คนอื่นไปทั่วไม่ให้มายุ่งกับผมไง

   "ที่โดนแทงซ้ำนั่นแย่กว่าเดิมอีก คิดว่าต้องไม่มีใครตามมาเจอแล้วแหง ที่ไหนได้พวกนั้นแม่งไม่เคยปล่อยให้อยู่เดียวสักหน่อย"

   สิ่งที่เหล่าผู้ปกครองกังวลมันเกิดขึ้นจริงจนได้ ระบบการบริจาคเลือดไม่สามารถทำการเบิกจ่ายได้โดยฉับไว ต่อให้คุณพินิจเป็นผู้ทรงอิทธิพลมากแค่ไหนก็ตามทีเถอะ แบล็คเป็นคนบริจาคเลือดให้ผม เพื่อที่เราจะได้เบิกเลือดจากคลังออกมาใช้ได้

   ถ้าไม่มีเขา ผมก็คงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้เหมือนกัน

   "พอตื่นขึ้นมาก็เจอเรื่องแย่ๆ อย่างที่ต้องมีรู้ว่าไวท์หนีออกจากบ้านอีก ตามหากันให้วุ่น พวกนั้นกลายเป็นพวกโรคจิตที่หวาดระแวงไปหมดเลย จะไปไหนต้องรายงานตลอด ถ้าเอาจีพีเอสมาล่ามที่เท้าได้ก็คงทำไปแล้ว น้องโดนสั่งห้ามไม่ให้ออกไปไหนคนเดียวอีกเด็ดขาด"

   พวกปากแข็งที่ไม่พูดแต่การกระทำชัดเจน เขากลัวว่าผมจะหนีไปหาลัจแล้วจะเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาอีกครั้งเลยเอาแต่ห้ามนู่นห้ามนี่ ตามติดไปทุกฝีก้าวเอาให้ไม่คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว

   "เป็นไง เรื่องแฟนตาซีพอไหม"

   "เรื่อง...จริง?"

   "ไม่ใช่เรื่องจริงล่ะมั้ง" เอียงหน้าให้แอบอิงกับฝ่ามือใหญ่ของเขา "เล่าให้ฟังหมดแล้ว คิดจะหนีตอนนี้ก็ไม่ยอมให้ไปไหนแล้วหรอกนะ"

   จะไม่ยอมให้ไปไหนอีก...

   ช้อนสายตาขึ้นมามองเจ้าของรอยยิ้มที่ผมชอบ ที่หนึ่งมองกลับมานิ่งๆ จนผมใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม มือทั้งสองข้างที่ประคองใบหน้าของผมอยู่เปลี่ยนไปเกลี่ยช่วงสันกราม เขาค่อยๆ โน้มตัวมาจนกระทั่งผมรู้สึกถึงรอบประทับตรงหน้าผาก ปล่อยให้มันค้างอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่จึงผละออกไป

   เขาเลื่อนมากุมมือของผม จับมันไว้แน่นจนผมอยากร้องไห้ออกมาอีกสักรอบ

   กอดอาจเป็นวิธีสร้างความอบอุ่นได้ดี แต่ว่าการกุมมือพร้อมกับส่งสายตาแทนคำพูดมันก็การสร้างความเชื่อมั่นได้ดีไม่ต่างกัน
 


   "โรม" คนที่เรียกผมด้วยเสียงบางเบาอย่างนั้นมีอยู่คนเดียว "เกรย์ทำแผลเสร็จแล้ว"

   พยักหน้ารับรู้ หันไปขอกำลังใจจากคนด้านข้างที่ยังคงจับมือกันเอาไว้ ที่หนึ่งเพิ่มแรงบีบนิดหน่อยให้ผมได้ใจชื้นว่าเขาจะคอยอยู่กับผม

   "ไวท์" ผมเรียกเธอไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเลี่ยงตัวออกไป "เข้าไปหาเกรย์กัน"

   "..."

   "ไปจบทุกอย่างกันเถอะ"

   จากคำที่ผมใช้เป็นนัยเธอคงพอรู้ตัวแล้วว่าเรื่องที่พวกเขาคุยกันในห้องตอนนั้นผมได้ยินทั้งหมด ไวท์ก้มต่ำไม่ยอมสบสายตา จนผมต้องอธิบายเพิ่มเติม "ต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็เถอะ น้องโรมรักพี่ไวท์เสมอนะ"

   เธอที่รักผมกว่าใคร

   จนที่สุดแล้วเธอก็ยอมเดินเข้ามาด้านในห้องทำแผลด้วยกัน นางพยาบาลชี้ให้ดูว่าคนที่พวกเราเข้ามาหาอยู่ตรงเตียงเบอร์ไหน ในห้องทำแผลสนธยากำลังเก็บของลงกระเป๋าไม่มีหยุด อาการบาดเจ็บแม้จะไม่ได้ร้ายแรงมากแต่จากผ้าพันแผลที่ติดอยู่หลายที่เขาก็คงเจ็บอยู่ไม่น้อย

   "ขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม"

   ผมเป็นคนเปิดปากก่อน มองเขาทำเป็นหูทวนลมจัดระเบียบสิ่งของในกระเป๋าต่อไปไม่หยุดมือ เกรย์บอกความต้องการของตัวเองชัดเจนผ่านการกระทำว่าเขาไม่ต้องการที่คุยกันอย่างที่ผมขอ

   ได้แต่สูดหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนจะบอกออกไปอีกครั้ง "มาคุยกันแบบฝาแฝดกันไหม"

   เหมือนที่เขาเคยถาม มือที่หยิบจับข้าวของค้างอยู่อย่างนั้น มันเป็นการพนันที่ยิ่งใหญ่อย่างมากสำหรับผม จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม หรือจะกลายเป็นไม่รู้จักกันตลอดไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตอบรับของเขาทั้งสิ้น

   "ไม่เห็นใจกันก็ไม่เป็นไร แค่อยากคุยเผื่อคนที่ยังอยู่ในห้องผ่าตัด"

   "..."

   เป็นการรอคอยที่ทรมาน

   จนเขาเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าสีเข้มของตัวเองจนครบจึงเงยหน้าขึ้นมาหาพวกเรา ผิวสีซีดยิ่งส่งผลให้เห็นรอยช้ำอยู่ตรงมุมปากชัดรวมถึงมีอีกแผลที่แถวหางคิ้ว เกรย์ชอบอยู่เงียบๆ เขารักสันติเกินกว่าที่จะออกไปหาเรื่องใส่ตัว ความสุขของเราสองคนในวัยเด็กคือการได้นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ กันในห้องสมุด ทุกอย่างมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมกำลังเห็นอยู่

   "สองนาที"

   รู้ว่าไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ หรอก ผมเก็บอาการดีใจไว้ข้างในจนมิด เริ่มประเด็นต่อไปอย่างไม่รอช้า

   "ก็ไม่ได้อยากจะแอบฟัง...แต่ดันได้ยินไปแล้ว เลยคิดว่าเราเข้าใจอะไรกันผิดอยู่หน่อย"

   เห็นเกรย์มองไปทางไวท์ เรื่องนี้ผมเองก็ไม่ได้เตรียมกับไวท์มาก่อน ให้ทุกอย่างมันจบลงที่นี่อย่างที่ผมบอกไว้มันก็ดีเหมือนกัน

   "โรมนัดลัจจริง...แต่วันนั้นลัจไม่ได้ไปหาหรอกนะ"

   ริมฝีปากสีช้ำของสีเทาเม้มเข้าหากันตอนที่ได้ยินชื่อของเธอ

   "เขากำลังไปสนามบิน พ่อแม่เป็นคนบอกเอง"

   "...!"

   "ลัจกำลังไปเรียนต่อที่อังกฤษ ...แบบที่พวกเราไม่รู้"

   เรา...ที่รวมถึงตัวเกรย์เองด้วย

   จริงอยู่ว่าผมยังคงมีอะไรที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่ไวท์ทำอยู่หลายอย่าง แต่ถ้าเชื่อตามที่เวลบอกว่าไวท์รู้อยู่แล้วว่าลัจจะไป ก็คงมีทางเลือกไม่มาก

   หรืออาจเป็นผมเองที่ดื้อรั้นจนสิ่งนี้มันเกิดขึ้น

   "ไม่จริงน่า..." น้ำเสียงที่สั่นเทา มือทั้งสองข้างทิ้งลงข้างตัว

   "ถ้ายังไม่เชื่อก็จะย้ำว่าวันนั้นลัจไม่ได้ไปหาน้อง ลัจไปหาเกรย์ต่างหาก ใช่ไหมไวท์"

   โยนหน้าที่ไปให้อีกคนเสีย คงไม่มีใครที่จะให้คำตอบได้ดีเท่าสีขาวอีกแล้ว ขอเพียงหนึ่งคำตอบที่จะเป็นคำเฉลยทุกอย่าง

   "...ใช่"

   หนึ่งคำที่สลายหมอกในใจของทุกคน

   เจอจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่หายไปแล้ว เข้าใจแล้วว่าทำไมวันนั้นไวท์ถึงไม่ค่อยสนับสนุนให้ผมบอกลัจออกไป เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าลัจมีใครในใจ ...ต้องเจ็บปวดแค่ไหนกันนะที่ต้องรู้ว่าตัวเองต้องอยู่ตรงกลางระหว่างน้องทั้งสองคน ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ต้องมีอีกคนที่เสียใจ

   เธอเดินเข้าไปหาน้องชายครึ่งสายเลือดของตัวเอง แตะลงตรงบ่าเล็กไร้กล้ามเนื้อ

   "ขอโทษ ขอโทษนะ ขอโทษที่พี่ปกป้องเธอไม่ได้นะ" ราชาที่บาดเจ็บได้ คนบาปที่ร้องไห้เป็น "ขอโทษที่ดูแลลัจให้ไม่ได้"

   "...พ" น้องชายต่างสายเลือดยกมือขึ้นเก้ๆ กังๆ อย่างทำอะไรต่อไปไม่ถูกเมื่อเห็นหญิงสาวที่มักไร้ความรู้สึกจนชินตากำลังสะอื้นไห้

   "ขอโทษนะ..."

   ได้แต่มองพี่น้องร่วมสายเลือดอยู่อย่างนั้น คราวนี้ผมไม่มีบัตรผ่านแบบ all area ที่จะพาผมไปอยู่ตรงไหนก็ได้ ไวท์ยกมือขึ้นปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ ส่วนเกรย์ก็ยิ่งเลิกลั่กเข้าไปใหญ่ เขาหันมาขอความช่วยเหลือจากผม แน่นอนว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเพราะผมทำเป็นไม่เห็นเสีย

   คราวนี้ตัวใครตัวมัน จัดการเองแล้วกัน

   "....ตอนนี้ผมรู้สึกโคตรแย่" หลังจากทำท่าว่าจะพูดอะไรออกมาตั้งหลายครั้งเขาก็ยอมเอ่ยออกมาในที่สุด "นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ร้องไห้ให้ผมเห็นเลยรู้ไหมไวท์"

   "ไม่ได้อยากร้อง..."

   "พี่ดูแลลัจดีที่สุดแล้ว ที่เหลือมันคงเป็นเรื่องที่ยัยนั่นคงขี้เกียจเรียนต่อแล้วเลยหนีไปสบายก่อนใครเพื่อน"

   "..."

   "ส่วนเรื่องแม่..." เขายิ้มเยาะให้โชคชะตา "ถ้าผมเป็นพี่ก็คงต้องทำอย่างนั้นอยู่เหมือนกันนะ ถ้าต้องดูแลน้องให้ได้"

   "แต่ว่า...ฮึก"

   "แม่น่าสงสารนะ คุณพินิจไม่เคยรักแม่"

   การเรียกที่ห่างเหิน คือการเรียกให้เท่าเทียม

   "ผมก็คิดแหละว่าบางทีให้แม่ได้ไปอยู่ในที่อื่นที่ไม่ใช่โลกใบนี้ แม่อาจมีความสุขมากกว่า"

   น้ำตาที่เห็นครั้งสุดท้ายเมื่อตอนที่เราต้องสูญเสียเรย์ไป คราวนี้มันค่อยๆ ไหลรินลงมาตามข้างแก้มไม่มีหยุด ผมปล่อยมือที่จับกับอีกคนออก ยกชายเสื้อขึ้นมาเช็ดรอยน้ำอย่างที่เคยทำมาในอดีต

   "ใครบอกว่าต้องเข้มแข็งไง" เย้าแหย่ด้วยคำเดิม เกรย์แบะปากแบบไม่ค่อยพอใจ

   "...ขออีกแค่หนึ่งคำถาม"

   "ว่ามา"

   "ยัยนั่นยิ้มใช่ไหม"

   ภาพเธอนอนหลับฝันดีในห้องดอกไม้ สวยงามราวกับภาพวาดที่เป็นสีสดใส

   "อืม ยิ้มสวยเลยล่ะ"

   นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นรอยชีวิตอยู่ในนัยน์ตาของเขา จากที่ถูกทาบทับด้วยความทุกข์ทนที่วนเวียนอยู่รอบกายไม่เคยหายไปไหน

   "ดีแล้ว" สีเทากระชับเป้ในมือตัวเอง จับมันพาดขึ้นบ่าเตรียมเดินออก "งั้นออกไปข้างนอกกันเถอะ"

   "เดี๋ยวก่อน" ผมร้องห้ามขึ้นมาเสียก่อน "มาสัญญากัน"

   ยื่นนิ้วก้อยของตัวเองออกไปแทนการย้ำคำสัญญาที่เราสองคนเคยให้กันไว้ ครอบครัวนี้หลอมให้ผมเด็ดขาดในหลายๆ เรื่อง อย่างเรื่องของสัญญา...ที่ต้องกระทำตามที่ลั่นวาจาไว้ให้ได้

   อย่า 'สัญญา' ถ้าคิดว่า 'รักษา' ไว้ไม่ได้

   เกรย์ส่ายหัวเบาๆ "ยังไม่ลืมอีกเหรอ"

   "ไม่ลืมหรอกน่า นี่แฝดของเกรย์เลยนะ"

   เรียกได้เต็มปากอย่างภาคภูมิใจ รอจนเขาตอบตกลงด้วยการยื่นมือออกมาเกี่ยวก้อยไว้

   เราจะเป็นคนสุดท้ายที่บอกลากัน


***
   เพราะวิธีการไปให้ถึงเส้นชัยไม่ได้มีแค่การวิ่งอย่างเดียว ให้ทุกอย่างมันค่อยเป็นค่อยไปอย่างมั่นคงนั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการค่ะ (ยิ้ม)
   ดูลำเอียงมาก ก็แค่ไปเปิดเรื่องใหม่ไว้แล้วค่ะ (ฮา) คิดว่าจากชื่อเรื่องน่าจะเดาได้ว่าของใคร ♚ PITCHBLACK ♛ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53263.0) ถามว่าแต่งแล้วเหรอก็ยัง แต่ฟีลอยากเปิดมันมาก็เปิดค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวต่อด้วยนะคะ
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 21-04-2016 22:42:06
หน่วงมาก เฉลยแล้ว แต่เราก็ขัดใจโรมอยู่มากมันสุขไม่สุด ที่หนึ่งน่าสงสารสุดถึงจะยอมรับได้ก็เถอะ (เราไม่สงสารโรมเลยซักกะนิด) :hao5:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 21-04-2016 23:31:09
เรื่องนี้ ที่หนึ่งน่าสงสารสุด :ling3:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 22-04-2016 03:36:34
กอดที่หนึ่งแน่นๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 22-04-2016 19:43:20

น้องโรมหลุดแล้ว เมื่อเผชิญด้วยความจริง และจะอยู่กับปัจจุบัน
ที่หนึ่งจะไปไหนเสีย ... :)

#ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 28 [21.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-04-2016 21:57:45
ที่หนึ่งน่าสงสารสุดแล้ว จริงๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 29 [24.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 24-04-2016 20:19:41
บทที่ 29

   NROME : Sent a photo
   NROME : ภูเก็ตสวยยย
   NETTLE : เหี้ยยย หนีเที่ยวไม่บอกกู
   NITCH : สวยดี ส่งมาอีกเยอะๆ นะน้องโรม
   GRAY : Sent a photo
   GRAY : บาร์ทฝนตกแล้ว

 

   ข้อความสุดท้ายในห้องสนทนาไม่ได้เข้ากับเนื้อหาที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ผมกดตรงรูปภาพเพื่อให้มันขยายใหญ่ขึ้นเต็มหน้าจอ เป็นรูปจากหน้าต่างห้องพักของเกรย์ที่มหาวิทยาลัย กรอบกระจกสุดวินเทจมีผ้าม่านสีเขียวแก่ประดับลวดลายอะไรสักอย่างมัดไว้อยู่ด้านข้าง ตรงกลางมีดอกแกลดิโอลัสสีสวยในแก้วกาแฟ และมีตุ๊กตาเชบูราชก้าพิงอยู่ข้างๆ ของสองอย่างที่สำคัญกับชีวิตของเขามากที่สุด

   กดพิมพ์ส่งกลับไปว่าดูแลสุขภาพด้วย เดี๋ยวผมจะเที่ยวเผื่อให้เอง เสร็จแล้วก็เปลี่ยนไปเป็นหน้าจอถ่ายรูปเพื่อสะสมไว้อีกสักรูปสองรูปเป็นที่ระลึก

   ในวันที่ผมและที่หนึ่งควรจะนั่งเรียนวิชาไฟแนนซ์อยู่ในห้องเลคเชอร์หมีขั้วโลก กลับเป็นว่าเราสองคนกำลังนั่งห้อยขาดูวิวทะเลที่ไกลออกไปจนลิบตาอยู่บนจังหวัดเดียวในไทยที่เป็นเกาะอย่างภูเก็ต จะเรียกว่าทริปเร่งด่วนก็ได้อยู่นะ ผมดันเลื่อนเฟสไปเจอเพจโปรโมตเรื่องตั๋วลดราคา พอกดเข้าไปมั่วๆ แล้ววันที่ใกล้จะถึงมันดันมีมีที่นั่งเหลืออยู่พอดี หันไปขอความเห็นจากที่หนึ่งก็ได้รับคำตอบว่าพร้อมไปเสมอ มันเลยเกิดเป็นทริปนี้ขึ้นมา

   "เน็ทโวยวายใหญ่เลยอะ"

   ส่งโทรศัพท์ที่เป็นหน้าไลน์กลุ่มไปให้ที่หนึ่งดู เน็ทยังไม่เลิกส่งข้อความมาจนกระทั่งตอนที่ที่หนึ่งรับมันไปแล้ว โคตรงอแงอะบอกเลย

   "บอกแล้วว่าให้รายงานตัวก่อน" เขาส่ายหัวออกมาอย่างสุดเอือม "เน็ทบอกว่าจะบินตามลงมาพรุ่งนี้"

   "หา!" รีบชะโงกหน้าไปดูข้อความล่าสุด เน็ทเขียนว่า 'พรุ่งนี้มึงเจอกูแน่' ตามด้วยสติกเกอร์ยิ้มเป็นการปิดท้าย เอาแล้วไงน้องโรม งานงอกอีกแล้วไหมล่ะ

   "โอ๊ยยย ตายแน่เลยหนึ่ง"

   "ห้ามบ่น พี่บอกแล้วไม่เชื่อ"

   เขาบอกแล้วจริงๆ นั่นแหละว่าให้บอกคนอื่นก่อนว่าจะลงมาเที่ยว ผมก็เอาแต่คิดว่าเขาจะกลัวอะไรพวกพี่ของผมนักหนาเลยไม่เก็บมาใส่ใจ ลืมไปได้ยังไงว่าคนพวกนี้น่ะไม่ใช่แค่เพื่อน แต่เป็นผู้ปกครองต่างหาก

   "พรุ่งนี้เปลี่ยนแผนไปกระบี่เลยแล้วกัน"

   ตามกำหนดการเดิมแล้วเราจะอยู่ภูเก็ตอีกสองวัน แล้วจะไปต่อกระบี่อีกหน่อยก่อนบินกลับ ผมไม่ได้เป็นคนวางแผนเองหรอกครับ มีแต่พ่อคุณที่หนึ่งนี่แหละที่นั่งเปิดหารีวิวพันทิปให้สารพัด ปรินท์ออกมาเป็นปึกให้ผมเลือกว่าอยากไปที่ไหนบ้าง ที่เหลือเขาจะจัดสรรเวลาให้เอง

   "เดี๋ยวพวกนั้นก็จะตามไปกระบี่"

   "พวกมันควรเปิดบริษัทรับตามหาคนหาย น่าจะรุ่ง"

   "นี่ไงรายแรก น้องโรมเลย"
 

   KingB : กูเอาของฝากเป็นขนมโค ส่วนไวท์อยากได้ทรายเม็ดละเอียดๆ หน่อย   
   NROME : อะไรของพวกท่านครับบบบ
   KingB : ถ้าหาไม่ได้บอกที่หนึ่งว่าไวท์จะยึดมึงกลับบ้านสองสัปดาห์

 

   ผมกลายเป็นตุ๊กตาที่ให้คุณพี่ได้แย่งกันเอาไปดูแลเสียแล้ว คือราชาน่ะก็แค่อยากสนุกสนานไปอย่างนั้นแหละครับ ชอบแกล้งให้คนอื่นเดือดร้อนที่แหละเป็นความสุขขั้นสูงเลย คนที่ชอบเป็นคนเขียนบทตามใจแล้วก็มานั่งไขว่ห้างนั่งดูตัวละครที่ตัวเองเสกสรรขึ้นมากระโดดโลดเต้นไปตามความต้องการ

   บ่นไปอย่างนั้นอะ เดี๋ยวก็ต้องเปิดกูเกิ้ลหาว่าขนมโคคืออะไรอีกอยู่ดี

   ตอนนี้เรื่องในบ้านของเราก็ค่อนข้างกลับไปสู่ทางที่ควรจะเป็น ถึงต้องใช้เวลากว่ารอบนักษัตรในการกลับมาเป็นแบบเดิมแต่ว่ามันก็คงน้อยกว่าที่เหลือทั้งชีวิตที่เราจะได้อยู่ด้วยกันต่อไปเรื่อยๆ คุณพินิจ เอ๊ย คุณพ่อเองก็แฮปปี้มีความสุขสุดๆ ที่เหล่าลูกๆ ญาติดีกันเสียที ถึงกับถ่ายรูปแล้วอัดใส่กรอบใหญ่ไว้ในห้องนอนเลยทีเดียว

   เราต่างเหลือเวลาเรียนอีกแค่ปีกว่าๆ เกรย์เลยไม่ย้ายกลับมาเรียนที่ไทย เดี๋ยวหลังฝึกงานจบพวกเราเตรียมวางแผนยกโขยงไปเยี่ยมลูกชายคนที่สองที่อังกฤษอยู่เหมือนกัน กำลังอยู่ในขั้นตอนยื้อแย่งอยู่ว่าที่หนึ่งจะตามไปด้วยได้หรือเปล่า เพราะคุณพินิจโอเค แต่คุณพ่อแบล็คไม่โอเคน่ะสิ

   ความสัมพันธ์ของผมกับที่หนึ่งก็เป็นอย่างเดิม เราอยู่ด้วยกันอย่างที่เคยทำมา มีความสุขที่ได้เดินจับมือไปไหนมาไหนด้วยกัน วันก่อนก็พาไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับคุณพินิจมาเรียบร้อยแล้ว ผ่านฉลุยแบบที่ยังไม่ทันได้กังวลอะไน ส่วนพ่อแม่ของผมเดี๋ยวรอให้กลับมาจากประชุมวิชาการก่อนค่อยพาไปหา ปล่อยให้พ่อคุณผู้จิตตกว่าจะเข้าหน้าผู้ใหญ่ยังไงนั่งอ่านหนังสือสรุปประวัติศาสตร์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแบบย่อไปเถอะ เห็นแล้วหมั่นไส้ ก็บอกแล้วว่าพ่อแม่ของผมไม่ได้น่ากลัวอะไรเบอร์นั้นก็ไม่เชื่อ

   ส่วนทางฝั่งที่หนึ่งนี่ไม่ต้องพูดอะไรเลย เข้าบ้านไปยังไม่ทันจะสวัสดีด้วยซ้ำก็ถูกอีกฝ่ายเข้ามากอดต้อนรับเสียยกใหญ่ ชื่อนามสกุลประวัติอะไรรู้หมดแล้วจนผมได้แต่นั่งเอ๋อๆ มาหลุดก็ตรงที่คุณแม่แอบแฉว่าที่หนึ่งเอาเรื่องของผมมาเล่าให้ฟังตั้งนานแล้ว อารมณ์แบบ พูดให้ฟังบ่อยๆ จนชินหูพอมาบอกว่าชอบผมนะทางบ้านจะได้ไม่เป็นลมเป็นแล้งไปอะไรทำนองนั้น โคตรมองการณ์ไกล

   มันดูราบรื่นดีใช่ไหมล่ะ บอกเลยว่าคุณคิดผิดอย่างแรง เพราะต่อให้เหล่าบุพการีจะไม่มีปัญหาก็จริง แต่มันก็ยังมีเหล่าคุณพี่ทั้งหลายที่ไม่เคยปล่อยให้น้องเล็กของตัวเองได้อยู่อย่างที่ต้องการ ที่หนึ่งยังอยู่ในช่วงของการรายงานความประพฤติให้คุณพ่อทางพฤตินัยของผมฟังทุกสัปดาห์ โดยมีคุณพี่สาวเป็นคนคอยจดบันทึกรวบรวมข้อมูลว่ามีตรงไหนที่ย้อนแย้งกันบ้างหรือไม่ ขนาดเกรย์เองตัวไม่อยู่นี่ก็ยังขยันส่งข้อความมาถามความเป็นไปตลอดจนที่หนึ่งเกือบหัวระเบิดไปช่วงหนึ่ง

   ทั้งหมดนี้ไม่รวมคุณพี่ชายอีกสองคนอย่างนิชกับเน็ท ที่ต่อให้บอกว่าผมไม่ใช่ของเน็ทแล้วเขาก็ยังเข้ามาเจ๊าะแจ๊ะอยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย จะพูดให้ดูเท่ทำไมก็ไม่รู้ว่าถึงวันหนึ่งก็ต้องปล่อยให้ผมเดินต่อไปเอง แล้วเป็นยังไงล่ะ ผมยังไม่ได้ก้าวเองสักก้าว
 

   NROME : หนึ่งบอกว่าอยากได้ก็มาบุกห้องเอง
   KingB : คิดว่ากูไม่กล้า?

 

   ผมย้ายกลับเข้าไปอยู่ห้องเดียวกับที่หนึ่งเหมือนเดิมแล้ว ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมยิ้มได้มากไปกว่าการที่ได้เห็นตุ๊กตาสองตัวนั้นนั่งอยู่ข้างกันอีกครั้ง เรายกโซฟาหน้าทีวีให้เป็นที่อยู่ของเจ้าตัวประหลาดสองตัวนี้อย่างถาวร แล้วก็ระเห็จตัวเองลงมานั่งเบาะแบบญี่ปุ่นที่ซื้อมาเพื่อรองนั่งแทน


   KingB : เรื่องขนมโคกูล้อเล่น กว่าจะถึงมือกูแม่งคงบูดไปแล้ว แต่ของไวท์ต้องมี
   KingB : เที่ยวเผื่อด้วย
   KingB : ไว้พร้อมหน้าแล้วลงไปกันอีกสักรอบ


 
   "น้องโรม หันมาทางนี้หน่อย"

   "หืม มีอะไ...ที่หนึ่ง!" ได้เรียกเขาเสียงแหววแบบที่ไม่ได้ถามให้ครบ ก็พอผมหันหน้าไปตามเสียงเรียกแล้วก็ถึงเห็นว่าคุณที่หนึ่งเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายรูปแบบสุดๆ ยังไม่ทันจะเก๊กหน้าทันเขาก็กดถ่ายไปเสียแล้ว เหมือนในรูปผมจะอ้าปากอยู่พอดีด้วย

   "น่ารัก"

   "ยังจะมาโชว์อีก เมมกล้องเมื่อไหร่จะหมดเนี่ย"

   บ่นโวยวายไปทั่ว ยืดออกไปจนสุดแขนหวังว่ามันจะช่วยให้ผมได้โทรศัพท์เจ้ากรรมของเขามาไว้ในมือ นี่เป็นโรคตามวีไปอีกคนแล้ว ชอบถ่ายรูปอยู่นั่น ถ่ายได้ทุกที่ทุกเวลาจนผมแอบรำคาญ คือเข้าใจฟีลคนโดนแอบถ่ายต่อหน้าป่ะ เออ มันไม่น่าจะเรียกว่าแอบถ่ายใช่ไหมล่ะ นั่นแหละจุดอ่อนของผมที่ไม่ค่อยรู้ว่าตอนนี้สิ่งรอบข้างมันดำเนินการไปถึงไหนแล้ว เอาเป็นว่ารูปไหนที่ผมไม่ได้ชวนถ่ายเองผมนับว่าเป็นรูปแอบถ่ายหมดแล้วกัน

   "เอาลงคอมตลอดไม่ต้องห่วง" ยังมีการส่งนิ้วโป้งเพื่อบอกว่าไม่ต้องคิดมากไปอีกน่ะ

   "ชอบแอบถ่ายตอนเหวออยู่นั่น ไม่ชอบอะ"

   "แล้วถ้าชวนถ่ายดีๆ ยอมไหมล่ะ"

   "ก็ไม่ชอบถ่ายรูป"

   "กว่าจะยอมให้ถ่ายก็นาน ให้ทีก็ทำหน้าบึ้งทุกรูป"

   ที่หนึ่งส่ายหัวระอาพลางเปิดเปลี่ยนหน้าจอไปยังอีกหนึ่งส่วน เลื่อนขึ้นไปสองสามทีก็ส่งมาให้ผมดู "นี่ไง"

   ยินดีต้อนรับเข้าสู่น้องโรมคอลเล็กชั่นของที่หนึ่งอย่างเป็นทางการนะครับ ตอนนี้เขากำลังเปิดไล่รูปของผมที่ทำหน้าแบบโรมสไตล์อยู่ อธิบายสั้นๆ ก็ทำหน้านิ่งติดบึ้งบูดนั่นแหละ อัลบั้มนี้น่าจะเพิ่งสร้างได้ไม่นานเพราะรูปส่วนมากเป็นรูปที่เพิ่งถ่ายไม่นานมานี้เอง

   "ก็ยิ้มแล้วตลก"

   "บอกแล้วว่าไม่ยิ้มก็ได้แค่ทำหน้าให้เป็นธรรมชาติพอ แบบรูปโปรเฟสก็ได้"

   "นั่นเรียกว่าธรรมชาติแล้วเหรอ?"

   รูปโปรไฟล์เฟสบุ๊คของผมตอนนี้เป็นรูปที่ผมกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงโดยกอดเจ้าหมีส้มไปด้วย มีโน้ตบุ๊ควางอยู่ตรงหน้า ขอเล่าเบื้องหลังความเป็นมาของรูปที่ดูแล้วโคตรธรรมชาติหน่อยว่าเบื้องหลังมันเป็นยังไง คือตอนนั้นผมเปิดโน้ตบุ๊คหาข้อมูลเกี่ยวกับสักวิชาเรียนนี่แหละ นอนยืดยาวเอาหลังพิงพนักธรรมดาเลย สักพักที่หนึ่งก็โยนน้องส้มเข้ามาหาพร้อมบอกว่า ลุกขึ้นมานั่งดีๆ หน่อย นี่ก็ยังคิดว่าเขากลัวเรื่องผมจะปวดหลังเลยยอมลุกขึ้นมาแล้วว่าจะเปลี่ยนไปทำงานหน้าโต๊ะเล็กตรงโซฟาจะได้ไม่โดนบ่น

   พอหยิบของทุกอย่างไว้ในมือเท่านั้นแหละครับ วิญญาณช่างกล้องมืออาชีพก็เข้าสิง ที่หนึ่งสั่งให้ผมนั่งขัดสมาธิแล้วก็เอาของอย่างอื่นมาจัดแต่ง ถ่ายไปสองสามภาพไม่พอใจก็มีการเอาพรอบอย่างอื่นเข้ามาเสริม เข้าๆ ออกๆ อย่างนั้นหลายต่อหลายรอบจนผมยื่นคำขาดว่าจะยอมถึงแค่เซตนี้เท่านั้นจึงยอมหยุดทำการเติมแต่ง ก็ยังไม่วายไปเอาหลอดไฟที่เคยใช้ประดับตอนวันเกิดของผมมาประดับตกแต่งรอบๆ ตัวจนกลายเป็นสายสิญจน์พันรอบตัวผมไว้อีก

   "แล้วสวยไหมล่ะ"

   "ครับๆ สวยครับผม" ได้โลเคชั่นที่พอใจแล้วยังจะมีจัดท่านั่งรวมถึงบอกว่าควรแสดงสีหน้ายังไงอีก ไม่อยากจะพูด "จะใช้รูปนี้ไปนานๆ เลย"

   "ไม่เอาสิ นี่ตั้งใจมาถ่ายเซ็ตใหม่เลยนะ"

   "รอไปได้เลย อีกนานนน"

   ผมไม่ชอบเปลี่ยนอยู่แล้ว รูปที่ใช้ก่อนหน้านี้อัพเดตครั้งสุดท้ายคือสิบเอ็ดเดือนที่แล้ว ที่หนึ่งเบะปากใส่แล้วก้มลงไปให้ความสนใจกับรูปภาพในโทรศัพท์ ผมเลยนั่งแกว่งเท้าที่ลอยเหนือพื้นพอสมควรไปมา ปล่อยความคิดทุกอย่างให้ลอยออกไปกับแผ่นน้ำที่ยาวจนสุดสายตา

   ได้ยินเสียงเขาหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ผมเลยเลื่อนตัวเองไปซบช่วงไหล่ของเขาแทน มองดูว่าที่หนึ่งกำลังทำอะไรอยู่ถึงดูมีความสุขเสียเหลือเกิน

   "ไม่เอารูปนี้" ค้านสุดใจขาดดิ้นที่เขาจะอัพรูปผมอ้าปากกว้างอย่างนั้น

   "งั้นเลือกเองเลย"

   "รูปไหนก็ไม่เอาทั้งนั้นอะ"

   "ถ่ายใหม่ไหมล่ะ คราวนี้ไม่แกล้งแล้ว"

   พอเขาบอกว่าที่ทำลงไปมันเป็นการแกล้งผมแล้วก็ไม่อยากให้ความร่วมมือขึ้นมาเฉยๆ คือคนหน้าตาดีต่อให้เป็นภาพแอบถ่ายตอนเพิ่งตื่นมันก็ดูดีอะ อย่างผมเป็นจำนวนต่อให้หามุมที่ดีที่สุดแล้วก็ยังโดนกลบด้วยความออร่าล้านแปดของเขาอยู่ดีไง โลกที่ไม่ยุติธรรมนี่มันน่าเศร้าสุดๆ ไปเลย

   "ไม่!"

   "งั้นลงรูปนี้นะ"

   "...ฮึ่มมม" ได้แต่กัดฟันกรอดที่โดนต้อนให้จนมุมอย่างนี้

   "ถ่ายใหม่เนอะ"

   มันคือการบังคับในรูปของคำเชิญชวน ผมมองตัวเองในกล้องแล้วก็ก้มลงหน่อยให้เห็นส่วนหน้าน้อยที่สุด รู้สึกได้ว่าแขนของเขาขยับขึ้นลงอยู่สองสามครั้ง จากนั้นจึงลดแขนลงเพื่อให้ผมเคาะอนุมัติ ในรูปเขาไม่ได้มองกล้องอยู่ สายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูของเขากำลังมองลงมายังอีกคนที่กำลังแนบชิดอยู่ตรงลาดไหล่ มุมที่เขาถ่ายบวกกับการก้มหน้าของผมมันเลยแทบเอาไม่ออกว่าคนตรงนั้นคือใคร

   ถ้าบอกว่าผมไม่อยากให้เขาอัพภาพนี้ลงไปเลยจะเป็นคนขี้หวงไปไหมนะ

   ไม่อยากให้ใครเห็นมุมนี้ของเขาเลย

   "ไม่ชอบเหรอ"

   จนเขาทักถึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังขมวดคิ้วตอนที่ดูรูปอยู่ "ชอบ"

   "แล้วไหงทำหน้าอย่างนั้น?"

   "ไม่ให้ลง" ผมมองรูปนั้นอีกครั้ง "เก็บไว้ดูเองก็พอ"

   "หวง?"

   "สรุปคือไม่ให้ลง จบ"

   พอเข้าใจฟีลเป็นคนขี้หวงของเน็ทขึ้นมานิดหน่อย มันเป็นอารมณ์ประมาณว่าถ้าเอาลงเฟสไปมันก็ต้องมีคนเห็นเยอะแยะ ก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นรอยยิ้มอย่างนั้นของเขาด้วย อะไรทำนองนี้

   "ไม่ให้ลงก็มาช่วยคิดสเตตัสเลย"

   เราสองคนไม่เหมือนกันในหลายๆ อย่าง เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ความเห็นของเราไม่ค่อยตรงกัน สำหรับผมแล้วเฟสบุ๊คมีไว้สำหรับเป็นมารยาทในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคม ต้องใช้เยอะหน่อยตอนที่เข้ามหาวิทยาลัยมาใหม่ๆ แล้วมีวิชาเรียนรวมขนาดใหญ่ ใช้ตามข่าวสารรวมถึงใช้นัดแนะในการเรียนชดเชยอะไรพวกนั้น หลังจากปีสองเป็นต้นมาก็ไม่ค่อยจำเป็นที่ต้องใช้มันอีกแล้วเลยกลายเป็นว่าผมมีเฟสบุ๊คไว้ประดับมือถือไปเท่านั้นเอง

   ในขณะที่ที่หนึ่งมีเพื่อนฝูงเยอะแยะที่พร้อมจะเข้ามาทักทายตลอดเวลา เขาก็อัพเดตชีวิตของตัวเองบ้างเป็นบางเวลา ชีวิตที่ว่ามันก็รวมถึงตัวผมด้วยอะนะ ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความเข้าใจผิดๆ มาจากไหนเหมือนกันว่าผมเกลียดการลงรูปขั้นร้ายแรง จนเป็นโรคจิตที่ต้องเอาทุกอย่างมาขออนุญาตผมก่อนทำการลง เคยคุยกันไปแล้วนะว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องทำอะไรขนาดนี้ก็ได้ นั่นมันโลกของเขา เขาควรจะตัดสินใจได้เอง

   คุยกันเหมือนจะเข้าใจ นี่ก็กลับมาใช้ความเคยชินเดิมอีกล่ะ


***
ต่อด้านล่างเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 29 [24.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 24-04-2016 20:21:38

   "นี่ไม่ได้ประกวดเขียนเรียงความ ไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้นก็ได้มั้ง" ขอแค่ได้เหน็บแนบพอเป็นพิธี ผมยื่นมือไปหยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องใหญ่ของเขามา เลื่อนหาส่วนที่จะช่วยให้คนอื่นได้รับทราบถึงความเป็นไป จิ้มไปตามส่วนต่างๆ ของหน้าจอจนได้คำที่ต้องการ เดี๋ยวน้อยใจใส่โลเคชั่นให้ด้วยเลยแล้วกัน

   
   One Teenueng at แหลมพรหมเทพ ภูเก็ต
   โดดเรียน
 

   ยังชื่นชมผลงานของตัวเองไม่ทันเสร็จดี ช่องการแจ้งเตือนก็ขึ้นสีแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อหมดหน้าที่ของผมแล้วมันก็ไม่มีเหตุผลให้ผมต้องยึดมันไว้กับตัวอีกต่อไป กลับไปเหม่อมองดูท้องน้ำใสสะอาดตาให้สบายใจ

   "สั้นจัง"

   "จะให้เล่าตั้งแต่ลงจากเครื่องเลยหรือไง?"

   ไม่มีใครถามว่าทำไมผมถึงเลือกภูเก็ตเพราะมันคงชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว ถ้าแค่อยากเที่ยวทะเลคงไม่จำเป็นต้องถ่อลงมาถึงที่นี่ มันมีอีกหลายจังหวัดที่มีพื้นที่ติดแผ่นน้ำแล้วยังมีค่าครองชีพถูกกว่าที่นี่หลายเท่า และคนที่ไม่ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างผมก็คงไม่ได้ลงมาหาปาร์ตี้ฟูลมูนอะไรทำนองนั้นด้วย

   ที่นี่คือบ้านเกิดของผู้หญิงชื่ออจลา

   เหตุผลเดียวมันคือทริปที่ผมเคยพูดกับเธอไว้ว่าเราจะมาเที่ยวด้วยกันหลังจากจบชั้นมัธยม อยากมาดูว่าเมืองที่เธอโตขึ้นมานั้นมันเป็นอย่างไรบ้าง สภาพแวดล้อมไหนที่หลอมให้นางฟ้าได้เป็นอย่างที่ผมจำได้อยู่ในความทรงจำ จะได้ไม่มีอะไรที่ค้างคากันอีกต่อไป

   ที่บอกว่ารีวิวพันทิปเป็นปึกนั่นสุดท้ายก็ได้ใช้จริงแค่ไม่กี่แผ่น ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องของกินอยู่แล้วเลยยอมไปเสี่ยงดวงเอาเองดีกว่า ส่วนสถานที่เที่ยวก็ไม่ได้เจาะจงที่ไหนเป็นพิเศษ อยากจะแวะตรงไหนก็แวะ ยังไงก็เช่ารถมาแล้วไม่ต้องกังวลอะไรมากมาย เมืองที่มีรถประจำทางเป็นรถโพถ้องสามสายนี่ไม่สะดวกสำหรับคนที่พร้อมจะออกนอกแผนการเที่ยวอย่างผมเลยน่ะ

   อ้อ ผมไปซุปเปอร์ชีพตามที่ลัจบอกมาแล้วล่ะ ของถูกกว่าที่คิดไว้ แถมยังขายทุกอย่างที่ขวางหน้าจนผมอ้าปากค้าง ที่หนึ่งเล่าว่ามันเพิ่งไฟไหม้ไปเมื่อสองสามปีก่อน ถ้ามาแบบเวอร์ชั่นออริจินอลผมน่าจะประทับใจมากกว่านี้อีก เห็นว่ายังเอาพวกสังกะสีมากั้นอะไรทำนองนั้น

   เราสองคนมาถึงที่นี่เมื่อวาน เครื่องลงตั้งแต่เช้ามืด จัดการเรื่องที่พักกับรถเช่าเสร็จก็บ่ายกว่าเข้าไปแล้ว วันแรกหมดไปกับการเดินสำรวจรอบที่พักกลางเมืองรวมถึงตลาดที่เมืองเก่า พอมาวันนี้ก็ล่องลอยต่อ เดี๋ยวเย็นนี้ไม่ก็พรุ่งนี้จะไปป่าตองอีก มาทั้งทีมาให้คุ้มจริงๆ

   ที่ดูไม่คุ้มที่สุดก็คงเป็นค่าใช้จ่ายที่ตัวเลขสูงอย่างกับว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในประเทศไทย อาหารจานเดี่ยวยังปาไปห้าหกสิบ ไม่ต้องไปคิดถึงมื้อใหญ่ที่คูณเข้าไปเยอะกว่านั้นอีก ไม่แปลกใจเลยที่ลัจบอกไว้ว่าของแพง นี่มันเมืองขายของให้ฝรั่งอย่างเดียวชัดๆ คนไทยแทบไร้ที่ยืนแล้ว

   ผมว่าตัวเองโคตรขี้บ่นเลยอะ ทั้งที่คนจ่ายคือที่หนึ่งนะนั่น

   "ลมแรงแล้ว กลับกันเถอะ"

   แหลมพรหมเทพคือจุดที่ทุกคนบอกว่าต้องมา ซึ่งพอมาถึงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่าสิ่งที่เห็นแล้วไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นแหลมเสียเลย มีต้นมะพร้าวหักๆ จากแรงลมอยู่เรียงราย ผมอยากจะลงไปเดินเล่นด้านล่างอยู่เหมือนกัน มาติดตรงผู้ร่วมเดินทางที่เอาแต่มองตาขวางแล้วบอกว่าอันตรายนั่นแหละ

   "เดี๋ยวแวะกินหมี่สะปำด้วย"

   ให้เลือกระหว่างเที่ยวตามสถานที่กับกินผมเลือกกินอยู่แล้ว นี่อ่านเจอมาว่ามันเป็นหนึ่งในห้าหมี่ที่ห้ามพลาดถ้ามาภูเก็ต เมื่อวานผมจัดไปแล้วหนึ่ง วันนี้อีกสอง แล้วที่เหลือก็น่าจะเก็บได้หมดก่อนที่จะย้ายไปกระบี่ กลับไปคงเอียนอาหารประเภทเส้นไปช่วงหนึ่ง

   "ครับๆ"

   เขารับคำแล้วยื่นมาจับมือผมไว้อย่างเช่นทุกที ต่อให้เราอยู่ที่มหาลัยที่มีคนรู้จักเขาอยู่ทั่วไปเราก็ยังทำอะไรอย่างที่เราอยากทำ อย่างวีเองก็ชอบทักมาแซวอยู่บ่อยๆ ว่าพอเปิดตัวแล้วก็หวานไม่เกรงใจใคร แล้วมันก็โดนผมเผ่นกบาลไปรอบข้อหาพูดอะไรเกิดจริง เราไม่เคยมีช่วงโปรโมชั่นอะไรอย่างใครเขา เราก็เป็นแบบเดิมอย่างที่เคยเป็นมา ไม่มากไม่น้อย มีตรงกลางที่พอดีกับเราสองคน

   คือผมก็รู้ลิมิตตัวเองดีไงว่าแบบไหนถึงจะไม่ดูเกินขอบเขต ผมอาจเป็นที่รู้จักของคนอื่นขึ้นมาหน่อยเพราะได้ชื่อว่าเป็นคนของที่หนึ่งอะไรประมาณนั้น ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างผมไม่เคยคิดจะเก็บของพวกนั้นมาใส่ใจให้เสียเวลา

   ยังคงเดินเล่นอยู่แถวนั้นอีกหน่อย ภูเก็ตอาจไม่ได้เป็นเมืองที่เจริญเท่าที่ผมคิดไว้ในตอนแรกแต่พอมองไปทางไหนก็จะเจอชาวต่างชาติปะปนอยู่ทั่วไป ร้านค้าไม่ได้ขึ้นแค่สองภาษาแต่มีถึงสามหรือสี่ในบางพื้นที่ ขนาดตอนที่รอกระเป๋าที่สนามบินป้ายที่ติดไว้ยังมีภาษาอื่นติดอยู่เป็นพรืด อีกหน่อยคงกลายเป็นหมู่บ้านรัสเซียตามพัทยาไป

   "ทากันแดดก่อนมา"

   จะว่าอินดี้ก็ไม่เชิง ผมบอกว่าไม่อยากมาช่วงเวลาที่คนเยอะเราเลยมาดูแหลมกันตอนกลางวัน พิลึกไหมล่ะ ร้อนก็ร้อนแถมความรุนแรงของแดดยังมากสมกับเป็นช่วงซัมเมอร์ พวกปากมากชอบบอกว่าช่วงนี้ผมดูผิวพรรณดีขึ้น ก็แน่ล่ะ ลองมาเจอคุณพ่อจอมเฮี้ยบอย่างเขาหน่อยไหม ไม่กล้ามีปากมีเสียงอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ

   "มันเหนียว"

   "เปลี่ยนสูตรแล้ว อันนี้คนขายบอกว่าเป็นแบบดราย"

   ผมทำหน้าบูด "หนีไปซื้อมาตอนไหน ไม่เห็นรู้เลย"

   "ก็ตอนที่เน็ทมาขโมยถึงหน้าห้องเรียนไง ว่างตลอดเย็นเลยออกไปซื้อของ"

   ความโรคจิตของคุณพี่ผมแม่งทะลุหลอดอะ คือมีอย่างที่ไหนมานั่งดักรอหน้าห้องตั้งแต่ก่อนเลิกสิบนาที ยังมีหน้ามาบอกว่าสอนเกินไปสองนาที เกือบจะบุกเข้าห้องแม่งแล้วด้วย ไม่มีเวลาอัพเดตสถานการณ์ล่าสุดให้ที่หนึ่งฟังเพราะว่าโดนยึดมือถือไปหน้าตาเฉย ทีแรกผมก็นึกว่าเกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้น ที่ไหนได้แม่งลากผมไปรับรองเท้าคู่ใหม่ที่จตุจักร เน็ทครับ เรื่องแค่นี้มันไม่ต้องลงทุนขนาดนี้ก็ได้ป่ะ

   ที่หนึ่งเขย่าขวดกันแดดแบบสเปรย์จนได้ยินเสียงลูกเหล็กข้างในกลิ้งไปมา ผมปล่อยให้เขาได้ดูแลผิวของผมตามต้องการ บอกเลยว่าอาการแพ้แดดของผมมันไม่มีทางได้กลับมาทักทายผมได้แน่ตราบใดที่ยังมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิดจนาดนี้

   "หมวกก็ไม่ใส่ หน้าแดงหมดแล้วนั่น"

   "ก็ลืมอะ"

   "เชื่อเลย ลืมของที่พี่ให้ได้ยังไงหืม?"

   ถึงจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรที่มากไปกว่าการบ่นไปเรื่อย ผมก็อดหงอยลงไปไม่ได้ที่ดันลืมของที่เขาให้อย่างที่บอก หมวกปีกกว้างใบเดิมที่กลายเป็นของผมไปโดยปริยายจากการหยิบใช้บ่อยครั้ง แล้วครั้งนี้ผมเองก็ไม่พลาดที่จะเอามันติดตัวมาด้วย หมายถึงติดตัวมาที่ภูเก็ตด้วยแล้วก็ลืมไว้ในห้องพักน่ะ

   "ขอโทษ..."

   "ไม่ได้โกรธ แค่กลัวว่าจะแพ้แดดอีก"

   "ก็รู้"

   "พรุ่งนี้ก็ใส่มาด้วยแล้วกัน โอเคไหมครับ?"

   รีบพยักหัวขึ้นลงไวๆ เราเดินเล่นกันจนพอใจแล้วก็เตรียมตะลุยตามแผนต่อ ระหว่างที่กำลังเดินกลับไปยังจุดจอดรถแล้วผมก็เหลือบตาไปเห็นของที่คุ้นตายามมีการแข่งขันกีฬาขึ้น มันเป็นแท่นรับรางวัลทำจากไม้ ดูจากสภาพแล้วคงผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนานจนได้ปลดระวางไว้อยู่ริมทางอย่างนี้

   ผมมองมันอยู่อย่างนั้น เกิดไอเดียที่จะบอกอะไรบางอย่างที่เคยคิดเมื่อนานมาแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้พูดสักที

   "หนึ่ง ขึ้นไปอยู่ตรงนั้นหน่อย"

   "จะถ่ายรูปเหรอ"

   เขาขึ้นไปอยู่บนนั้นอย่างไม่อิดออด พอก้าวไปถึงจุดสูงสุดแล้วก็ก้มหน้ามาหาผมงงๆ ว่าจะให้เขามาอยู่ตรงนี้ทำไม

   "ที่หนึ่ง"

   "ครับผม"

   "ถ้าน้องบอกว่าจนถึงตอนนี้ตำแหน่งของลัจมันก็ยังอยู่ที่เดิม หนึ่งจะทำยังไง?"

   เรื่องที่ยังคงค้างคามาจนถึงตอนนี้ ถ้าความรู้สึกของผมที่เคยให้เธอกับความรู้สึกที่ผมมีให้เขามันไม่เหมือนกันเลยสักนิด ถ้าผมเรียกสิ่งนั้นว่ารัก แล้วสำหรับที่หนึ่งมันควรจะเป็นคำว่าอะไร

   ยิ้มละไมที่ส่งมาให้ช่างสว่างสดใส "พี่ก็ยังเป็น 'ของโรม' อยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ"

   สิ่งที่สำคัญมากกว่า 'คำ' คือความรู้สึก

   ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นแรงขึ้นตอนที่ยกมือขึ้นชี้ไปหาเขา

   "นี่ที่หนึ่ง"

   สายตาที่มองมาดูไม่ค่อยเข้าใจว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ การเอียงคอน้อยๆ มันแทนบอกว่าเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อมากเท่าไหร่

   "เป็นที่หนึ่ง"

   พูดอย่างที่ให้ไปตีความเอาเอง ไม่เข้าใจก็เรื่องของเขา นี่คือทั้งหมดที่ผมอยากบอกออกไป

   คนที่ผมบอกว่าเขา 'เป็นที่หนึ่ง' นิ่งไปครู่ใหญ่ ผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองพูดอะไรที่เข้าใจยากเลยนะ ทำไมถึงต้องใช้เวลาในการประมวลผมมากมายขนาดนั้น เป็นคอมเวอร์ชั่นเก่าหรือไง

   "...ส่วนน้องโรมก็อยู่ตรงนี้"

   เขาเดินลงมาจากแท่น ใช้แรงเพียงนิดหน่อยผมก็ตัวลอยขึ้นไปอยู่แทนที่ที่เขาอยู่เมื่อสักครู่ "เป็นที่หนึ่งของที่หนึ่ง"

   เป็นที่หนึ่งของโรม...

   "หนึ่ง" เรียกเขาเสียงเบา

   "ครับ"

   "รับหน่อย"

   กระโดดลงมาจากแท่นนั้นอย่างไม่กลัวว่าคนข้างล่างรับไว้ไม่ทัน ความสูงมันก็ไม่ได้มากอะไรแหละ เพียงแค่การกระโดดไม่ได้เตรียมให้พร้อมสำหรับการแลนด์ดิ้งด้วยตัวเอง ถ้าเขารับไม่ได้ก็เตรียมหน้าแหกได้เลย แต่ที่หนึ่งไม่มีทางปล่อยให้ผมตกลงไปหรอก

   "น้องโรม!"

   บอกแล้วไงว่ายังไงเขาก็รับได้ ผมหัวเราะขำขันให้อาการตื่นตกใจของเขา "อย่ากระโดดลงมาอย่างนี้สิ มันอันตรายนะ ถ้ารับไม่ทันแล้วจะเป็นไง"

   "พี่หนึ่งไม่ยอมให้เกิดขึ้นหรอก" ยังคงเกาะเขาไว้จนตัวลอยคล้ายสัตว์ที่เกาะกับกิ่งไม้ใหญ่ "...นี่ที่หนึ่ง"

   "จะอ้อนให้พี่หายโกรธหรือไง"

   เขาหมุนตัวไปมา จนร่างของผมเองก็หมุนตามไปด้วย

   "คิก เปล่านะ"

   "แล้วทำไมไม่ยอมลงไปสักทีหืม"

   ทำเป็นบ่นแต่ตัวเองก็ไม่ยอมปล่อยผมไปเองนั่นแหละน่า ผมลอยไปมาอยู่อย่างนั้นจนเริ่มรู้สึกมึนหัวจากการถูกเหวี่ยงมากเกินไปถึงบอกให้เขาปล่อยลง

   "มาตกลงอะไรกันไหม?"

   "ตกลง?"

   "ไม่ต้องขึ้นไปอยู่บนแท่นนั่นหรอก มันเก่าจะตาย เดี๋ยวซาเล้งก็มาซิวไปแล้ว"

   "..?"

   "ไม่ต้องคนที่ต้องมองจากข้างล่างแหงนจนปวดคอด้วย" เอียงคอไปมาเป็นการประกอบ การที่ต้องมองเขาจากมุมเงยก็เหนื่อยเหมือนกัน "เรามายืนอยู่ข้างล่างด้วยกันไหม ไม่ต้องขึ้นไปอยู่บนนั้นแล้ว”

   ไม่ต้องให้อะไรมีความหมายกับเรามากไปกว่าการให้ความสำคัญกับกันและกัน

   "ให้เราอยู่ข้างๆ กันอย่างนี้"

   ไม่ต้องมาตั้งให้ใครเป็นที่หนึ่ง มันจะมีเพียงหนึ่งเดียวที่คอยอยู่เคียงข้าง

   "ให้เราได้จับมือกันแบบที่ไม่ต้องให้อีกคนอยู่สูงกว่า" ผมยิ้มกว้างให้เขา "ดีไหม?"

   ผมเหมือนรุ่นพี่ที่กำลังสารภาพรักกับรุ่นน้องอยู่อะไรอย่างนั้น

   ใบหน้าของเขาขึ้นสีเลือด ที่หนึ่งยกมือขึ้นมาปิดครึ่งหน้าของตัวเองเอาไว้อย่างที่ชอบทำเวลาเขิน คือช่วยคิดหน่อยว่าคนที่ควรเขินคือผมมากกว่าไหมอะ พูดอะไรเลี่ยนๆ อย่างนี้ออกมาก็อายเป็นนะเฮ้ย

   ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลยไง แถวนี้มันมีแต่ผู้ชายสองคนที่ยังคงยืนอยู่ชิดกัน ที่หนึ่งปล่อยมือที่จับหน้าของตัวเองออก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนน่ากลัวว่ากำลังจะต้องตัดสินใจอะไรที่มันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ

   "น้องโรม"

   "ว่า?"

   "จูบได้ไหม"

   ผมคว่ำปากให้คำขอนั้น ไม่ยอมสนับสนุนข้อเสนอของผมแล้วยังจะมาเปลี่ยนเรื่องอีก "ตอบมาก่อน"

   "จูบแล้วเดี๋ยวตอบเลย"

   "อย่ามาต่อรอง"

   "นะนะนะ"

   อาการแพ้แดดอาจจะไม่มี แต่อาการแพ้ที่หนึ่งนี่ไม่เคยจะดีขึ้นเลยให้ตาย แค่ทำหน้าอ้อนแล้วใช้เสียงเล็กหน่อยก็ยอมแล้ว
 
   "แล้วถ้ามีคนเดินมาทางนี้ล่ะ"

   "พูดภาษารัสเซียใส่ไปเลย"

   "พูดไม่เป็น"

   ความสูงของเราที่ต่างกันอยู่พอควรทำให้ที่หนึ่งต้องย่อตัวลงมาเพื่อให้ระดับสายตาของเราประสานกันได้ ผมมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาที่เคยสะกดผมมาแล้ว ภาพสะท้อนผ่านแก้วตาสีดำขลับมีเพียงใบหน้าของผมอยู่ในนั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้นะ ใช่อย่างเดียวกับที่ผมกำลังคิดอยู่หรือเปล่า

   "If I say you're the ONE ,Would you believe me?"

   สำเนียงที่ไม่ได้สวยงามขนาดเจ้าของภาษา แต่ก็ตราตรึงไปทุกคำ

   "อยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ"

   "อย่าหลุดภาษาไทยสิ ตีเนียนเร็ว"

   กลัวอะไรนักหนา เขาเคลื่อนใบหน้าของตัวเองให้เข้ามาอยู่ใกล้กับผมเรื่อยๆ จนจมูกของเราชนกัน ความร้อนของบรรยากาศเทียบไม่ได้กับลมหายใจที่เป่ารดใบหน้าผมอยู่ เกลียดจริงเลยพอรู้ว่าผมแพ้อะไรอย่างนี้ก็ชอบทำอยู่นั่น ที่หนึ่งรู้ว่าถ้าเอาหน้าเข้ามาใกล้ผมอย่างนี้แล้วผมจะยอมทุกอย่างเพื่อให้หนีออกไปได้มากที่สุด ก็หน้าของเขาเวลายิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์เวอร์ชั่นอัพเกรดมันทำใจผมเต้นแรงจนน่าห่วงว่าจะเป็นโรคหัวใจวายตายสักวัน

   "เคยไม่เชื่อด้วยรึไง"

   เสียงอื่นใดไม่ได้เล็ดลอดออกมาจากปากผมอีกเมื่อที่หนึ่งฉวยโอกาสปิดมันด้วยริมฝีปากของตัวเองอย่างรวดเร็ว
สัมผัสนุ่มที่มาพร้อมลิปกลิ่นขนมหวานที่ผมซื้อมาให้เขาช่วงหน้าหนาวปีที่แล้ว มันไม่ใช่การจูบที่ลึกซึ้งหรือว่าดูดดื่มอะไร จะเรียกง่ายๆ มันก็คือการเอาริมฝีปากของเรามาชนกันก็เท่านั้น ...จะเป็นแบบไหนผมก็ชอบมันทั้งหมดแหละ

   "You're my only one"

   คุณเป็นที่หนึ่งและที่เดียว


***
   เหลือบทส่งท้ายสั้นๆ อีกหน่อยแล้วก็จบแล้วค่ะ น่าจะลงได้พรุ่งนี้ "ที่หนึ่ง" ก็จะจบอย่างเป็นทางการแล้ววว
   ไว้คุยกันยาวๆ ทีเดียวตอนหน้านะคะ (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 29 [24.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-04-2016 21:37:47
หวานแล้ว
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 29 [24.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 25-04-2016 14:25:13

ที่หนึ่งและหนึ่งเดียว วรั้ยยยยยยยยย! เขินอ่ะ
ดีกันแล้วก็ดีไป ทั้งคู่หลักและสมาชิกบ้านทรายทอง(ฮ่าๆๆ)ด้วย
แบล็คกับเกรย์เองก็ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง
แอบรู้สึกว่าบทเกรย์จะเปิดใจก็ดูง่ายไปรึเปล่า?
ที่ยังค้างก็คือคู่รอง(?)นี่แหล่ะ ตกลงยังไงกัน? ไวท์เวลเนี่ยยังไงกัน?
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 29 [24.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 25-04-2016 16:58:59
หวานนนนนนน :o8:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 29 [24.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 25-04-2016 19:50:32
โอยยยย เขิลลล
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 25-04-2016 21:17:09
บทส่งท้าย

   คุณคิดว่า 'ชื่อ' มีความสำคัญมากขนาดไหนครับ?

   นอกจากไว้ใช้แนะนำตัวเองว่าเป็นใคร ชื่อมีความหมายว่าอะไร ใครเป็นคนตั้ง อาจสำคัญตอนที่อาจารย์ใช้เรียกเช็คชื่อ ตอนไล่ดูหาคะแนนสอบของตัวเองในใบประกาศ ตอนที่ใช้จองคิวร้านอาหาร หรืออีกสารพัดเวลาที่ต้องเจอในชีวิตประจำวัน

   สำหรับผมแล้วผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชื่อจะมีความสำคัญมากไปกว่าเป็นสิ่งที่คอยบ่งบอกตัวตนว่านี่คือเรา ต่อให้ตั้งชื่อที่มีความหมายเป็นมงคลหรือสวยงามขนาดไหนมันก็ไม่มีผลอะไรกับการดำเนินชีวิตทั้งนั้น

   ชื่อก็แค่ชื่อ

   "หนึ่งงง"

   "ว่าไงครับ"

   "ที่หนึ่งที่หนึ่ง"

   "จะอ้อนเอาอะไรล่ะ"

   เด็กน้อยตรงตักฉีกยิ้มกว้าง ยิ้มที่ไม่ต่างอะไรกับแสงสว่างที่คอยส่องลงมาให้ความอบอุ่นกับผมอยู่เสมอ

   "อยากเรียกเฉยๆ"

   "งั้นก็เรียกต่อไปห้ามหยุด"

   "ที่ หนึ่ง"

   "กวนนะเรา"

   หมั่นเขี้ยวจนยกมือขึ้นบีบจมูกจนอีกฝ่ายร้องประท้วง เปลี่ยนไปเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าเขาออก กลับไปมองภาพเคลื่อนไหวในโทรทัศน์แบบติดผนังตรงหน้า คนที่บอกว่าอยากจะดูการ์ตูนคงลืมไปแล้วว่าเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วพูดอะไรออกมาถึงได้ก่อกวนไม่มีหยุดปากอย่างนี้

   ฟังเสียงของเขาเรียกชื่อของผมซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น ลูบเส้นผมที่เริ่มยาวขึ้นจนเกือบเท่าเดิมไปมาด้วยความเพลิดเพลิน ผมหลับตาลงเพื่อให้เสียงของเขาก้องอยู่ในหัวมากกว่าเดิม เสียงที่ไม่ได้ไพเราะหรือว่าหวานซึ้งจับใจ แต่ก็ฟังได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ

   บางที 'ชื่อ' สำหรับผมมันมีความสำคัญตรงนี้ก็ได้

   มีไว้เพื่อรอใครสักคนมาเรียก

   ...คนที่ทำให้รู้สึกว่าชื่อของคุณพิเศษกว่าใคร
 

THE END
"ที่หนึ่ง"


***
   ได้พิมพ์คำว่าจบลงไปสักทีค่ะ (ยิ้ม) อย่างแรกเลยก็ต้องขอขอบคุณทุกการติดตามนะคะ เจ้าเองไม่ได้แต่งนิยายขนาดยาวอย่างนี้มานานมากแล้ว อะไรหลายๆ อย่างก็ดูไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางในบางที แต่ก็เป็นครึ่งปีกว่าที่สนุกมาเลยค่ะ (ยิ้มกว้าง)
   ที่จริงแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม "ที่หนึ่ง" เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรนอกจากชื่อพระเอกค่ะ แค่อยากแต่งเรื่องที่มีพระเอกชื่อนี้จริงๆ (ฮา) ก็คิดอยู่นานว่าจะให้มันออกมาในทางไหน จนมาจบตรงที่ถ้าที่หนึ่งไม่สามารถเป็น 'ที่หนึ่ง' ได้ล่ะ? ถ้าการแข่งขันคือการแข่งกับคนที่ไม่มีทางชนะมันจะเป็นอย่างไร แล้วยิ่งพอเป็นการแต่งแบบตอนต่อตอน ไม่เคยจะมีสต็อกเก็บไว้ก็ยิ่งแล้วใหญ่เลยค่ะ อยากจะเสริมเติมแต่งเปลี่ยนตรงไหนก็ทำตามใจชอบสุดๆ (หัวเราะ) ตอนแรกที่วางโครงไว้แค่ยี่สิบกว่าตอนก็จบแล้วค่ะ พอแต่งไปแต่งมาจบตอนที่ยี่สิบเก้าแหนะ
   เป็นเรื่องที่เรียกว่าตามใจฉันได้อย่างแท้จริงเลยค่ะ อยากให้มันออกไปทางไหนก็ทำ ไม่เคยคิดอะไรมากเลย (หัวเราะ) ตัวละครทุกตัวเจ้าวางนิสัยไว้ค่อนข้างชัดเจน ที่หนึ่งนี่เป็นอีกรูปแบบของตัวละครที่อยากทำมานานแล้วค่ะ ผู้ชายที่ไม่มีอะไรมากไปกว่า 'รัก' มีแค่นั้นจริงๆ เป็นจำพวกซื่อตรงกับความต้องการ แยกเรื่องของหัวใจกับเรื่องของเหตุผลเด็ดขาดมาก อาจมีเขวบ้างในบางที แต่ถ้าลองให้มั่นใจแล้วยังไงเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ
   ส่วนน้องโรมนี่คือซับซ้อนมากกก หมายถึงซับซ้อนเรื่องความรู้สึกนะคะ เรื่องความคิดที่น้องไม่รู้ว่าสิ่งที่รู้สึกกับที่หนึ่งมันชื่ออะไรกันแน่ หรือสุดท้ายแล้วมันไม่จำเป็นต้องมีชื่อมาเรียกให้สับสนหรอก เจ้าไม่ให้น้องตอบไปในทันทีเพราะโรมที่เจ้าวางไว้ไม่ได้เป็นคนชัดเจนอยู่แล้ว เขาไม่เคยต้องตัดสินใจอะไรเอง สำหรับเจ้าแล้วการที่น้องรู้จักตัวเองพร้อมกับยอมรับว่าเรื่องของที่หนึ่งเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตได้ก็ดีมากแล้วค่ะ มันคือขั้นแรกที่ดีที่จะให้น้องได้เรียนรู้ว่าทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเสมอไป
   เรื่องนี้เจ้าวางธีมกับเรื่องชื่อไว้เยอะค่ะ เกือบทุกตัวละครจะออกมาพร้อมกับ 'ความหมาย' ที่ต่างกันไป ถ้าพูดไปแล้วก็แทบมีแต่น้องโรมนี่แหละที่ไม่ค่อยตรงกับคอนเซปมากเท่าไหร่ (หัวเราะ) ไม่รู้ว่ามีคนสังเกตหรือเปล่าว่าเรื่องนี้เจ้าแทบไม่ได้ใช้คำว่า 'รัก' เลย อย่างที่เขียนไว้ในตอนที่แล้วว่าคำไม่สำคัญเท่าความรู้สึกหรอก นั่นคือสิ่งที่เจ้าอยากแสดงออกมาค่ะ (ยิ้ม)
   เกือบจะยาวเท่าเนื้อหาบทส่งท้ายได้แล้วมั้งเนี่ย (หัวเราะ) ส่วนเนื้อหาของพี่นิชที่เป็นสเปเชี่ยลจะเหลืออีกประมาณสองตอนค่ะ ตามที่คิดไว้ แล้วก็พาร์ทของเวลกับไวท์ที่ยังไม่ลงตัวเท่าไหร่ แล้วก็มีของเน็ทอีกหน่อยน่าจะเป็นตอนเดียวจบนะคะ (แน่นอนค่ะว่าทั้งหมดเป็นแค่การวางเนื้อหาที่ยังไม่ได้มีการพิมพ์ใดๆ /ปาดน้ำตา)
   ส่วนของพี่แบล็คก็ไม่ได้ลำเอียงอะไรเท่าไหร่ (หัวเราะ) แต่งไปหมั่นไส้พี่ไปค่ะ คนอะไรทำไมใจร้ายอย่างนี้ เลยแยกเรื่องให้เลยแล้วกัน ช่วงนี้ต้องเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบแล้วค่ะแต่ก็ยังไม่มีไฟสักที ถ้าเห็นอัพเมื่อไหร่ก็เดาได้เลยค่ะว่าเจ้าหนีหนังสือมา (ฮา)
   สุดท้ายนี้คงไม่มีคำไหนดีกว่าคำว่าขอบคุณ ทั้งกดบวก กดชื่นชม ทุกคอมเมนท์ที่ให้ความรักกับเรื่องนี้มาตลอด
   ขอบคุณจากใจค่ะ
   23August
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Nuch_Chii ที่ 25-04-2016 21:32:13
จะรวมเล่มไหมคะ?
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: GMJeam ที่ 25-04-2016 22:52:02
สุดท้ายแล้ว คำ ไม่ได้มีค่าเท่าความรู้สึก
ชื่อก้อเช่นกัน อยู่มีคนเรียก
อ่อยยยย ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้ค่ะ
เริ่มจากน่ารัก น่าค้นหา เครียด เคลีย ฟิน
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 25-04-2016 23:02:29
อยากให้รวมเล่มจัง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-04-2016 23:14:06
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-04-2016 00:47:56
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 26-04-2016 07:13:45
ชอบเรื่องนี้มากค่ะ เขียนภาษาลื่นไหล วางพล็อตเรื่องได้ตื่นเต้นดี
ตอนที่เห็นชื่อเรื่องตอนแรกนึกว่าจะเป็นแนวใสๆแบบ Slice of life อะไรประมาณนั้น
สารภาพว่าตอนแรกที่กดเข้ามาอ่านไม่ได้คาดหวังอะไรไว้เลย
แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งสนุก ยิ่งติด ผูกปมไว้หลายปมมากจนเราแทบจะลงแดงตายเวลาตอนใหม่ยังไม่มา (ฟังดูเว่อร์ไปเนอะ 5555)
ชอบคอนเซปของเรื่องที่เกี่ยวกับความสำคัญของชื่อคือการที่ถูกคนพิเศษเรียก
แต่ละคาแรคเตอร์ก็มีความขมุกขมัวและความชัดเจนไปพร้อมๆกัน
อย่างน้องโรม ตอนแรกดูเป็นคนคิดอะไรไม่ซับซ้อน แต่ไปๆมาๆทุกตัวละครก็มีปมหมด ที่หนึ่งพระเอกของเรื่องดูเป็นคนที่ซับซ้อนและลึกลับน้อยสุดแล้วมั้ง

ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆมาให้อ่านนะคะ จะติดตามผลงานต่อไปค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-04-2016 16:10:34
 :L2: :3123: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-04-2016 21:38:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Mitnai ที่ 26-04-2016 21:45:57
ฮือ รวดเดียวจบค่ะ คุณเจ้าแต่งได้สนุกมาก ปมลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่า knot ของพี่นิช ยอมรับว่ามีบางตอนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ย้อนไปย้อนมาจนงง แนะนำให้ใช้สีหรือแบ่งพาร์ทอดีต - ปัจจุบัน น่าจะอ่านง่ายขึ้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ร้องไห้หนักตอนอ่านดราม่า เพราะลุ้นมากกับการเฉลยปมทีละปม ร้องไห้หนักสุดๆคือตอนที่พี่น้องเขาคืนดีกัน ทิชชู่ขาดติดตากันเลยทีเดียว เพื่อนๆทุกคนของโรม อ่านแล้วเรานึกถึงคำที่บอกว่า ถ้ากอดแน่นไป คนที่จะเจ็บไม่ใช่คนกอด แต่เป็นคนที่ถูกกอด
เราชอบเวลากับซินมาก มันหน่วง มันละมุน เคยคิดว่าอยากออกไปเที่ยวกับคนไม่รู้จักบ้าง แต่กลัวไม่ได้เจอคนอย่างเวลา555555555 อยากได้ตอนพิเศษของสิปป์นิช เวลไวท์ อนาคตเน็ท แล้วก็ช่วงชีวิตของราชาอย่างแบล็ค
สนุกมากค่ะ เราชอบฉายา บุคลิกของตัวละครทุกตัวตรงกับฉายาที่คุณเจ้าตั้งไว้แบบไม่ผิดเพี้ยน นิยายเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าสิ่งที่เราอาจจะมองมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้ามองลึกไปแล้ว มันอาจจะมีอะไรมากกว่าแค่ตาเห็นก็ได้
ไม่รู้จะบรรยายยังไงดี เพราะถ้าให้เขียนทั้งหมดคงไม่จบภายในวันนี้เพราะแค่นี้ยังยาวมากแล้ว5555555555
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ ♥
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: princessrain ที่ 27-04-2016 23:40:20
จบแล้วววววว  :katai2-1:

ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายสนุกๆแบบนี้ให้อ่าน
วินาทีแรกที่เอาอ่านบทนำเรื่องนี้เราขอบอกเลยว่าชอบมาก
อ่านช่วงบทนำแล้วใจเต้นตึกตักแบบว่า ต้องสนุกแน่ๆ
แต่พออ่านไปเรื่อยๆยอมรับว่าแอบมึนๆกับไทม์ไลน์ของเรื่อง
ในช่วงต้นๆถึงช่วงกลางเรื่องนะคะ
แต่พอจนจบเราเข้าใจเลยว่า อ๋อ เจ้าเก่งมากนะที่วางไทม์ไลน์เรื่องได้แบบนี้
มันต้องมีการวางพล็อตแบบอลังการแน่ๆ เพราะเราเข้าใจว่าการเขียนแบบสลับไทม์ไลน์ไปมา
ต้องแบบมีผังการเขียนอยู่ในหัวงี้ 5555

เราดีใจนะที่เรามาอ่านตอนเรื่องนี้จบพอดี เพราะถ้าอ่านตอนยังแต่งไม่จบต้องค้างแน่ๆ 555

สุดท้ายนี้... สนุกมากค่ะ! เรารอเรื่องแยกของพระราชาอยู่นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: sunipum ที่ 29-04-2016 09:04:54
ชอบนิยายเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ  ขอบคุณนะค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 01-05-2016 04:00:29
สนุกดีค่ะ ชอบสไตล์การเขียน ถ้าคลายปมระหว่างทางบ้าง ไม่ใช่เฉลยปังเดียวตอนจบ จะน่าติดตามมากขึ้น

เสียดายที่เรื่องจบไม่ชัดเจน เดาว่าเพราะกันไว้เล่าในภาคของแบล็ค แต่ข้อเสียคือทำให้แต่ละเรื่องไม่สามารถอ่านแยกกันได้อย่างสมบูรณ์

ป.ล. ตกลงเวลกับไวท์นี่ยังไงเหรอคะ? แค่เพื่อน?
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 4 (สิปป์นิช) [11.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 11-05-2016 23:03:56
Limited Book [สิปป์-นิช]


(4)


   NETTLE : ไอ้เหี้ย ไหนบอกว่าทำแค่สองเดือน
   NETTLE : จำคำที่ตัวเองพูดไม่ได้หรือไง?

 
   เปิดอ่านแต่ไม่ตอบ ผมไม่เคยทำอย่างนี้กับเพื่อนสนิทมาก่อน โดยเฉพาะอีกฝ่ายคือจอมเอาแต่ใจอย่างเน็ทแล้วผมยิ่งไม่เคยขัดใจเขาตั้งแต่รู้จักกันใหม่ๆ เพียงแต่คราวนี้มันต่างออกไป...

   "พี่นิชคนดังของน้องเอมมม"

   "จะให้พี่เซนต์อีกรึไง คราวก่อนเอาไปแล้วตั้งกี่ใบฮะ?"

   ดักทางไว้ก่อน เอมเพียงยิ้มแผล่พลางส่งกระดาษแข็งที่เต็มไปด้วยลวดลายมาให้ผมปึกหนึ่ง ไอ้เด็กนี่มันจะหน้าเลือดไปถึงไหนกัน

   "น่าพี่ สงเคราะห์น้องตัวน้อยๆ"

   "ไม่คิดจะสงเคราะห์พนักงานไร้เงินเดือนอเนกประสงค์แบบพี่บ้างรึไง"

   ย้อนกลับไปขำๆ ตอนนี้ผมกลายร่างเป็นส่วนหนึ่งของร้านนี้แบบเต็มตัวไปแล้ว เช้าก็มาช่วยงานร้านแบบเต็มตัว ถ้าคืนไหนมีงานก็ต้องทำกะดึกต่ออีกรอบ ผิงเองดูจะชอบใจที่มีลูกมือเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชีวิต ที่จริงผมก็ไม่ได้ไร้เงินเดือนเต็มตัวขนาดนั้น ผมเลือกที่จะไม่รับเงินเดือนในการทำงานร้านกาแฟเองเพราะว่าตอนที่ว่างผมก็ใช้แอร์ใช้ไฟร้านทำงานวาดรูปจนมีมุมประจำในไปแล้ว เงินจากเล่นดนตรีผมก็เอาไปซื้อพวกอุปกรณ์ศิลปะบริจาคให้บ้านเด็กยากไร้เกือบหมด

   ถ้ามีสิปป์สเตอร์ ตอนนี้ผมว่าตัวเองก็เข้าขั้นนิชสเตอร์อีกคน

   "แหม คนดังไม่ต้องมาถ่อมตัวเลยครับ พี่ได้ตามเช็คเรตติ้งในเพจบ้างรึเปล่าเถอะ"

   "ไม่อะ" บอกแล้วว่าผมไม่ใช่พวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกโซเชียลขนาดนั้น

   "พี่โคตรรรดัง" เขาเน้นคำว่าโคตรจนผมตกใจ "มีรูปแอบถ่ายเพียบเลยรู้รึเปล่า"

   "สิปป์เคยเปิดให้ดูอยู่"

   ผมไม่สนใจเรื่องแฟนคลับบ้าบออะไรนั่นหรอก เขาจะมาชอบพออะไรผมก็ปล่อยไป เดี๋ยวหมดช่วงเห่อก็จะรู้เองว่ากำลังทำอะไรที่ไร้สาระมากอยู่ ไม่ต้องพูดถึงงานวาดรูปเหมือนเลย ผมต้องขึ้นตัวหนาว่างดรับออเดอร์ชั่วคราวเพราะร่างกายไม่สามารถทำงานหลายอย่างได้ขนาดนั้นอีกแล้ว อีกอย่างเรื่องเงินก็ไม่ได้จำเป็นอะไรกับชีวิตช่วงนี้ของผม

   "วันก่อนมีคนตามหาพี่ในเพจ รางวัลนำจับสามหมื่น"

   "...ไร้สาระ"

   ผมไม่ได้ซ่อนตัวขนาดดิซนะ เพียงแค่คนสมัยนี้ใช้ชีวิตอยู่กับความสะดวกสบายบนโลกออนไลน์มากไปแล้ว เขาตามหาประวัติทุกอย่างเกี่ยวกับผมบนอินเทอร์เน็ต บอกเลยว่าหาให้ตายยังไงก็หาเจอไม่มากไปกว่าผมชื่อนิช ขนาดเฟสบุ๊คของผมยังมีเพื่อนไม่ถึงร้อยเลยมั้ง

   "ขึ้นไปตามหน่อยไหม นี่มันดึกแล้วนะ" ชายหัวชมพูอ่อนเดินออกมานั่งต่อจากผม

   "ไม่ต้องหรอก" ยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูเวลา "อีกไม่เกินห้านาทีก็ลงมาแล้ว"

   "รู้ลึกรู้จริง"

   "สิปป์เขาตรงต่อเวลาต่างหาก"

   ตรงกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผมอะนะ ถ้าวันไหนต้องขึ้นไปปลุกนี่ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงอย่างต่ำทุกที ไม่รู้จะตื่นยากตื่นเย็นไปไหน

   "ทำไมใส่เสื้อกล้ามอีกแล้ว"

   คำดุมาพร้อมกับเสื้อแจ็คเก็ตที่โปะลงบนหัว ผมหยิบเสื้อหนังสีดำมาพิจารณาแล้วย่นจมูกอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก ผมไม่ชอบตัวนี้ ใส่แล้วหลวมไปหน่อย

   "ก็ไหนคราวก่อนบอกเสื้อหลวมไปมันไม่ดี ไม่ให้ใส่ เลยกลับมาใส่เสื้อกล้ามมันผิดตรงไหน"

   ย้อนความไปถึงเวทีล่าสุดที่ผมใส่เสื้อยืดไซส์เอ็กซ์แอลไป สิปป์เริ่มรู้แกวผมเขาเลยเอาเสื้อสำรองไม่ก็เสื้อแจ็คเก็ตติดไว้บนรถเสมอ ผมเลยกวนตีนกลับด้วยการใส่เสื้อตัวหลวมแถมยังตัดคอให้กว้างจนเปิดเห็นไหล่ได้ง่ายเวลาขยับตัวไปมา

   เวลาเห็นเขาถูกขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้มันสนุกจะตายไป

   "ไม่ให้ใส่ทั้งสองแบบ เข้าใจนะ"

   "ไม่เข้าใจ"

   "นิรันดร์" เวลาเขากดเสียงต่ำลงมากกว่าปกตินั่นหมายถึงวิธีการของผมได้ผล

   "ว่าไงศิลปะ"

   "อยากลองทำลายสถิติจริงๆ สินะ"

   "หยุดแค่ในความคิดไปเลย" ผมชี้หน้าคาดโทษเขาไว้ วันก่อนเกือบโดนแล้วดีที่พีทลืมของเลยเดินกลับเข้ามาเอาในห้องพักพอดี "อย่ามารุ่มร่ามให้มาก"

   "ไปกันได้แล้ว ถ้ายังไม่เลิกทะเลาะกันจะไปไม่ทันเอานะ"

   เสียงของผิงคือระฆังห้ามทัพที่ได้ผลตลอดเวลา ผมหันไปค้อนใส่กรรมการกลางผู้คงไว้ซึ่งมาตรฐานระดับเยี่ยมยอด สิปป์บ่นอะไรออกมาให้ตัวเองฟังเพียงคนเดียวก่อนเดินนำออกจากร้านไปยังรถสปอร์ตคันเดิมที่ผมเพิ่งได้ข้อมูลใหม่มาจากเอมจอมปากมาก

   'ถือว่าตอบแทนที่พี่มาเป็นแหล่งรายได้ให้ผม'

   หน้ายิ้มแต่ตอนนั้นใจผมก่นด่ายันบรรพบุรุษแล้ว

   'รถคันนั้นพี่สิปป์ไม่เคยให้ใครขึ้นเลยนะ บอกว่าเก็บไว้ตอนที่ถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยใช้'


   ถึงว่าตอนที่น้ำรู้ว่าผมกลับกับเขาถึงโวยวายออกมาไม่มีหยุด สงสารก็แต่พีทที่ต้องคอยเป็นคนรองรับอารมณ์ลูกแมวไร้พิษสง ไม่รู้มีคนใจบุญพาไปฉีดยาแล้วหรือยัง ขืนถึงวันหนึ่งจนตรอกขึ้นมาแล้วข่วนคนอื่นไปทั่วล่ะจะยุ่งเอา

   ตลอดเวลาที่ผมทำงานเป็นมือกลองให้วงของสิปป์มันไม่มีปัญหาอะไรน่ากังวล ถึงผมจะโดนลอบกัดเล็กๆ น้อยๆ มันก็ยังพอให้อภัยได้ ผมเองก็โต้กลับไปทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นกัน นี่ อย่ามองผมอย่างนั้นสิ หรือจะบอกให้ผมเป็นคนดียอมรับชะตากรรมโดยหวังว่าวันนึงความดีจะชนะทุกสิ่งงั้นเหรอ ไปบอกคนอื่นที่ไม่ใช่ผมเถอะ

   "สวัสดีนิช"

   "ดี"

   น่าแปลกที่วันนี้ลูกแมวที่ทำตัวร้ายเป็นฝ่ายทักผมก่อน

   "ดีจัง ขอให้ยังปกติไปถึงจบงานนะ"

   "ขอบใจ"

   ...นี่มันเข้าพล็อตของตัวร้ายในละครเลยล่ะ จำพวกที่เอามาขู่แล้วก็จะมีเรื่องเลวร้ายรออยู่ข้างหน้า

   ความไม่น่าไว้วางใจทำให้ผมเลือกที่จะเดินออกมาตามหาสิปป์ที่ออกไปสูบบุหรี่เรียกสมาธิอยู่ตรงสโมคกิ้งโซน เขาเลิกคิ้วให้เป็นการทักทายแล้วไม่สนใจผมอีก

   "ทำไมวันนี้สูบ?" ช่วงหลังเขาใช้การอ้อนขอกำลังใจจากผมจนไม่เคยพึ่งแท่งนิโคตินแล้ว

   "ไม่ชอบร้านนี้ ต้องบังคับตัวเองให้ทำงานหน่อย"

   "แล้วรับทำไมล่ะ"

   "ไม่ได้รับเอง รู้ตัวอีกทีก็เห็นหนังสือสัญญาแล้ว"

   "หืม?"

   "ร้านนี้เจ้าของเป็นเพื่อนน้ำ"

   นั่นไง ว่าแล้วทำไมเขาถึงทำตัวเหนือกว่าขนาดนั้น ผมปล่อยให้เขาจมอยู่กับควันสีเทาโดยตัวเองก็นั่งเล่นอยู่ตรงนั้นด้วย ไม่ได้รับควันพิษอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ ผมเองไม่ใช่คนกินเหล้าสูบบุหรี่ จะมีก็แต่เพื่อนคนที่มีศักดิ์เป็นราชานั่นแหละที่ชอบพาตัวเองไปหาโรคมะเร็งปอด

   "อีกสิบห้านาทีขึ้นแสดงแล้ว เข้ากันไหม?"

   "ไปสิ"

   มือเย็นแตะลงบริเวณสะโพก เขาเพิ่มระดับความเนียนมากขึ้นไปทุกทีจนผมปลงตก แขวะก็แล้วด่าก็แล้วไม่เห็นจะสะดุ้งสะเทือนอะไรเลยสักนิด คุณผู้ชายอยากทำอะไรก็ทำไปตามสบาย

   ในห้องพักไม่มีใครอยู่ ผมเดินไปหยิบกระเป๋าที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำมาหากินของตัวเองมาหาโทรศัพท์ตั้งใจจะตอบเพื่อนจอมหวงก่อนที่เขาจะมาว้ากผมถึงห้อง แม่งเป็นคนที่มีเครือข่ายกว้างขวางจนผมกลัวใจ ถึงไม่ยอมบอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหนมันก็สามารถมาปรากฎตัวให้เห็นได้ในเวลาไม่นาน ถึงจะควานหาจนเจอสิ่งที่ต้องการแต่ความระแวงที่มีมากกว่าสิ่งอื่นใดเตือนให้ผมระวังตัวให้มาก

   ...นั่นไงล่ะ

   ผมมักจะมีสมุดไร้เส้นติดไว้ในกระเป๋าเสมอเผื่อว่าเจออะไรที่ถูกใจจะได้บันทึกลงไป เพียงแต่ตอนนี้มันควรเรียกว่าเศษกระดาษมากกว่าเล่มสมุด ส่วนกล่องดินสอที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์วาดรูปหลากหลายรูปแบบก็เหลือเพียงกล่องเปล่า ไม่มีแม้แต่ดินสอกดทิ้งไว้ให้สักแท่ง

   ถ้ามีมาตรวัดความไม่พอใจของผมในตอนนี้มันคงทะลุหลอดไปแล้ว สมุดบันทึกทุกเล่มมีคุณค่ากับผมมากอย่างที่อธิบายออกมาไม่หมด มันคือที่รวม 'อดีต' ที่สมองไม่สามารถจดจำได้หมด

   "ที่รัก ร้านนี้ไม่มีไม้สำรองให้นะ ตีระวังๆ หน่อย"

   เขาเตือนหลังจากช่วงหลังๆ ผมใส่อารมณ์ในการเล่นมากไปหน่อย ตอนนี้เก็บสถิติไว้สูงสุดที่ห้าไม้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว
ไม้กลอง...

   ใช่แล้ว ไม้กลองผมไม่อยู่

   "บ้าฉิบ" สบถออกมาเต็มคำ สำรวจทั้งห้องแล้วก็ไม่พบว่าไปตกหล่นอยู่ที่ไหน ผมโดนเล่นแล้วไง!

   "เกิดอะไรขึ้นที่รัก"

   "ไม่มีไม้กลอง นายมีสำรองไว้บ้างไหม"

   ผมดีดนิ้วซ้ำๆ เพื่อเรียกสติไม่ให้แตกกระเจิงไปมากกว่านี้ ผมไม่คิดว่าเขาจะบ้าได้ขนาดที่ฆ่าคนทั้งวงให้ตายไปกับเขาด้วย นี่มันวิธีของคนอับจนหนทางแล้วสินะ

   "ไม่มี?"

   "หาย จบนะ"

   "..ถึงว่าเจอเพื่อนของน้ำที่เล่นกลองเข้ามาทัก"

   คำบอกของเขาเพิ่มความมั่นใจให้ผมอย่างมากว่าทุกอย่างถูกจัดฉากไว้

   ได้เลยต้นน้ำ

   ถ้าอยากจะเปิดศึกกับผมขนาดนี้ผมก็จะไม่เกรงใจอะไรทั้งนั้นแล้ว

   หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ที่ต้องการ ระหว่างรอสายผมไม่ละสายตาไปจากผู้ชายต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด อยากส่องกระจกดูตัวเองชะมัดว่าตอนนี้กำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ บางคนโกรธจัดแล้วจะทำลายข้าวของไปทั่ว ไม่เหมือนผมที่โกรธหนักๆ แล้วยิ่งเย็นเป็นน้ำแข็ง

   "สิปป์" รู้สึกได้เลยว่าเสียงที่ใช้มันเย็นชามากแค่ไหน "จำข้อตกลงของเราได้ใช่ไหม ถ้าผมทนไม่ได้จะไม่รับประกันความปลอดภัย"

   "..."

   (ว่าไงปีศาจ)

   "รบกวนคุณพินิจส่งคนเอาไม้กลองมาให้ที่ร้าน XXX ภายในสิบนาที ส่วนมึงไปลากเน็ทมาหากู"

   (ลงสนามเอง?)

   ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่ารอยยิ้มของตัวเองจะเต็มไปด้วยความร้ายกาจได้ขนาดนี้

   “อยากรู้ก็รีบมา”

   ปลายสายตัดไปแล้ว คุณพินิจไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว ส่วนเน็ทเดี๋ยวสั่งให้คนขับส่วนตัวมาส่งไม่เกินสามสิบนาทีคงถึง

   "ผมไม่ชอบเล่นนอกกติกา แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเริ่มก่อน ผมจะไม่หยุดง่ายๆ" โยนเครื่องมือสื่อสารลงบนโต๊ะแบบไม่กลัวการกระแทกใดๆ

   "ผมรู้น่า" เขาดึงผมให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอด ลูบหัวไปมาเพื่อปลอบประโลม

   "ถ้าจบหนังสือบทนี้...คุณอาจไม่อยากอ่านต่อเลยก็ได้นะ"

   ส่วนลึกสุดไม่เคยคิดว่าต้องพูดคำนี้ออกมาเลยสักนิด ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองมีรอยด่างพร้อยไม่น้อย ส่วนหนึ่งที่คอยหลอกหลอนดึงให้ผมกลับเข้ามาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงสักที

   อ้อมแขนของเขาช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน ผมยกมือขึ้นกอดเขากลับ พยายามละทุกความคิดที่ฟุ้งซ่านอยู่ในหัว อยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้จังเลยนะ ไม่อยากให้อนาคตมาถึงเลย

   "ผิงไม่เคยบอกเหรอว่าผมเป็นหนอนหนังสือ" รอยหยุ่นประทับลงบนหน้าผาก "วางใจได้เลยว่าผมจะไม่ยอมหยุดอ่านจนกว่าจะเจอคำว่าจบบริบูรณ์แน่"

   พอได้ยินอย่างนั้นผมยิ่งกอดเขาไว้แน่นกว่าเดิม หัวใจพองโตขึ้นไม่รู้ตัว มันเต้นดังจนผมกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงร้องหัวใจร้องบอกว่าดีใจมากแค่ไหนที่ได้ยินคำพูดนั้น...

   ถึงจะบอกว่าเชื่อมั่นในเครือข่ายแสนกว้างขวางก็เถอะ ผมก็ยังคงอยู่ในโลกแห่งความจริงที่ต้องเข้าใจว่าภายในสิบนาทีไม่สามารถเสกทุกอย่างให้ได้ตามที่ต้องการ ผมไล่สิปป์ให้ออกไปเตรียมตัวแสดงเพื่อไม่ให้ใครจับพิรุธได้ หายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เรียกความมั่นใจให้กลับมาสู่ตนเอง

   นั่งนับเข็มวินาทีรอไปเรื่อยๆ จนมีเบอร์แปลกโทรเข้ามา พนักงานส่งของชนิดด่วนพิเศษมาถึงแล้ว

   "ขอบคุณมากนะ" ตอนที่ผมเดินออกมานอกร้านการแสดงได้เริ่มขึ้นแล้ว ผมต้องรีบทำเวลาให้ดีขึ้นอีกหน่อย พนักงานส่งของเพียงโค้งให้แทนการตอบรับ ผมรอจนเขาเดินไปลับสายตาแล้วจึงหันหลังเตรียมกลับเข้าไปในร้าน

   "เข้าไม่ได้ครับ"

   มือข้างหนึ่งของการ์ดหน้าประตูยกขึ้นมาขวางเอาไว้ ต้องชมว่าคราวนี้เขาเตรียมการมาพร้อมเหมือนกันนะ

   "คุณก็เห็นว่าผมออกมาเอาของเฉยๆ"

   "มีคำสั่งลงมา ไม่ให้เข้าครับ"
   
   หน้าประตูมีการ์ดคุมอยู่สองคน ขนาดตัวไม่ต้องบอกก็แค่ตัวหนากล้ามใหญ่ตามสไตล์คนดูแลผับ แค่คนเดียวผมยังไม่คิดสู้ไม่ต้องพูดถึงสองคนเลย

   "คำสั่งไหน ถ้าวงดนตรีคนไม่ครบร้านนั่นแหละที่จะแย่นะ"

   "ผมต้องทำตามคำสั่ง"

   ชายร่างใหญ่สองคนตรงเข้ามาจับตัวไว้ ผมดิ้นสุดแรงพร้อมกับแหกปากร้องโวยวายไปด้วย นี่มันเกินไปหน่อยไปแล้วนะ เจ้าแมวไร้แม่นั่นมันคิดจะทำอะไรกันแน่

   "เงียบสิมึง!"

   เสียงฝ่ามือกระทบกับข้างแก้มเล่นเอาชาไปชั่วขณะ รู้สึกได้ถึงรสเลือดในปากแถมแว่นก็หลุดไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ไอ้พวกสัตว์นรก สาบานเลยว่าผมจะไม่เมตตาพวกมัน!

   ถ่มน้ำลายที่เคล้าไปด้วยรสเลือดใส่หน้าหนึ่งในนั้น ถึงจะมองอะไรไม่ชัดแล้วผมก็ยังไม่ยอมสิ้นฤทธิ์ง่ายๆ อีกฝ่ายเลยง้างมือขึ้นทำท่าจะตบลงมาอีกรอบ บังเอิญว่ามีเสียงที่สามโผล่ขึ้นมา เสียงที่ไม่ต่างจากเสียงสวรรค์ลั่นระฆังชัยให้

   "ขอโทษนะครับ มีกฎระเบียบข้อไหนที่อนุญาตให้การ์ดทำร้ายลูกค้าเหรอ"

   ...ถึงจะไม่ใช่เสียงของคนที่คาดหวังไว้ก็เถอะ

   "มึงยุ่งอะไรด้วย"

   ผมถูกล็อคไพล่หลังด้วยการ์ดหนึ่ง ส่วนการ์ดสองเดินอาดๆ ไปทางแบล็ค (คิดว่าน่าจะสูบบุหรี่อยู่ด้วย จากกลิ่นที่ลอยมาน่ะ)

   "ช่วยตอบให้ตรงคำถามหน่อย"

   "ไอ้เด็กนี่แม่งรนหาที่ตา...เหี้ย!"

   ถึงผมจะมองภาพไม่ชัดแต่ก็ยังคงได้ยินเสียงบางอย่างกระทบกับพื้นได้อย่างดี พอหรี่ตาลงให้ภาพเบลอมีความชัดขึ้นมาอีกหน่อยก็เห็นว่ามีวัตถุสีดำบางอย่างอยู่มือของเขา หึ...ไม่ได้เห็นราชาในรูปแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ น่าเสียดายจริงที่ผมมองได้ไม่ชัดเอาเสียเลย

   "มึงต่างหากที่กำลังจะตายไม่รู้ตัว นัดเมื่อกี้กูแค่ทดสอบ ...ส่วนนัดต่อไปกูยิงจริง"

   น่าจะเป็นกระบอกโปรดแบบติดที่เก็บเสียง ได้ยินการ์ดหนึ่งที่ยังคงล็อคตัวผมไว้อุทานว่าปืนจริง

   "ว่าไง จะปล่อยเพื่อนกูได้รึยัง"

   "มึงลองยิงสิ เพื่อนมึงโดนกูหักคอแน่!"

   "...เหรอ มึงน่าจะโดนกูเอามีดจ้วงหลังก่อนมั้ง"

   บุคคลที่สี่ปรากฎตัวขึ้นแล้ว ผมไม่สามารถหันไปมองต้นเสียงที่อยู่ด้านหลังของตัวเองได้ เน็ทมาเร็วกว่าที่คาดไว้เยอะเลยล่ะ ไม่รู้ว่าพี่โดนเร่งให้ขับมาด้วยความเร็วเท่าไหร่กัน

   "กูจะสั่งครั้งสุดท้าย ปล่อยเพื่อนกู"

   เสียงต่ำสร้างความหวาดกลัวได้อย่างดี แบล็คมันคนหลายบุคลิก ใจดีก็ใจดีหาย ส่วนตอนที่โหดร้ายก็ไม่เคยไว้หน้าใครทั้งนั้น เป็นราชาที่ปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบสุขแต่ก็พร้อมจะฆ่าศัตรูที่เข้ามารุกรานได้เหมือนกัน

   "หรือมึงอยากลองโดนแทงก่อนค่อยปล่อย รู้ไหมว่าตำแหน่งที่กูจ่ออยู่ตอนนี้มันคือจุดตายของร่างกายเลยนะ"

   อีกคนก็เจ้าชายจอมเอาแต่ใจ คิดว่าตัวเองมีอำนาจมากกว่าคนอื่นไปทั่ว

   "ฮึ่ม ถอยเร็ว!"

   ผมโดนปลดออกจากพันธนาการแล้ว เน็ทรีบเข้ามาตรวจดูบาดแผลบนร่างกาย

   "ปีศาจแม่งติดหนี้มนุษย์ว่ะ"

   "เดี๋ยวจ่ายคืนให้"

   "ไม่ต้องอะ มึงรีบกลับเข้าไปดีกว่ามั้ง ป่านนี้เริ่มแสดงไปแล้วรึเปล่า"

   แบล็คช่วยเป็นแว่นตาให้ชั่วคราวยามที่กลับเข้าไปภายในร้าน ผมไม่สามารถเข้าด้านหลังได้อย่างที่คิดไว้ ทุกคนต่างยืนกรานเป็นเสียงเดียวกันว่าได้รับคำสั่งให้กันผมไว้ไม่ให้ขึ้นไปยุ่งวุ่นวายบนเวทีได้

   ไม่ให้ผมขึ้นจากด้านหลังงั้นเหรอ

   ก็ขึ้นจากด้านหน้าแม่งเลยสิ!

   บริเวณด้านหน้าของเวทีคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมหาศาล ถึงผมจะเห็นทุกอย่างเป็นภาพเลืองรางแต่เอาหัวเป็นประกันเลยว่าผู้ชายที่ยืนอยู่กลางเวทีคือคนเดียวกับที่ผมตามหาอยู่ โชคดีที่ตอนผมไปถึงมันเป็นช่วงพักเบรคสำหรับพูดคุย เสียงเพลงเลยไม่มีผลมากเท่าไหร่

   "เพลงต่อไป ผมขอมอบให้..."

   "สิปป์!!!"

   ตะโกนออกไปสุดเสียงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทุกอย่างรอบข้างตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศทันควัน ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมในจังหวะที่ภาพเลือนบนเวทีขยับตัวไปมา บ้าเอ๊ย ไม่เคยเกลียดที่ตัวเองสายตาสั้นเท่าวันนี้มาก่อนเลย วันที่ผมไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังมองผมมาด้วยสายตาแบบไหนกันแน่

   "...ขอมอบให้คนพิเศษ คนสำคัญ"

   ไม่รู้ว่าทางเดินที่ตรงไปยังหน้าเวทีถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมก้าวเดินไปช้าๆ ด้วยความมั่นคง สายตาจับจ้องเพียงแค่ภาพบนเวทีที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ

   "คนที่ผมหลงในงานศิลปะของเขาตั้งแต่แรกเห็น"

   ...ผมชอบงานของคุณ

   "และยิ่งหลงรักเข้าไปใหญ่ตอนที่เจอตัวจริง"

   ...ชอบคุณด้วย

   "มาตรงนี้สิที่รัก"

   ไม่เคยชอบคำว่าที่รักของเขามากเท่าครั้งนี้มาก่อน

   ผมยื่นมือไปให้เขาดึงตัวขึ้นไปบนเวที หรี่ตาลงเล็กน้อยยามที่แสงไฟส่องเข้าหน้า สิปป์พูดคำหยาบออกอากาศตอนที่เขาเห็นรอยแดงบนใบหน้าผม

   "ใครทำ?"

   "การ์ดหน้าร้าน"

   "ไหนบอกว่าเป็นปีศาจไง" เขาถอนหายใจพลางส่งยิ้มหวานมาให้ "...มีคนถามมามากว่ามือกลองคนใหม่ของเราชื่ออะไร"

   เขาหันหน้าไปหาผู้ชม ทั้งที่ยังจับมือผมไว้แน่น

   "ขออนุญาตไม่แนะนำนะ พอดีเจ้าของหวงมาก" การกระทำทั้งหมดของเขามีค่ามากกว่าคำพูดเป็นร้อยเป็นพัน เสียงฮือฮาเหมือนผึ้งแตกรังดังเซ็งแซ่ "ขอส่งเวทีต่อให้มือเบสครับ"

   ทางลงจากเวทีต้องเดินผ่านน้ำ ผมเสหน้ามองไปทางอื่นไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีอาการอย่างไรปรากฎอยู่ อีกอย่างคือกลัวว่าถ้ามองไปแล้วผมจะควบคุมตัวเองให้ใจเย็นไว้ไม่ได้น่ะ

   วันนี้เป็นวันดี

   ปีศาจจะยอมปล่อยผ่านไปสักทีแล้วกัน


≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡


   สิปป์กอดผมจากด้านหลังอย่างนี้อยู่บนโซฟามานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ พอเขาประกาศสถานะออกต่อหน้าพยานจำนวนหลายร้อยแล้วเขาก็พาผมกลับมาที่ร้านทันที แบล็คกับเน็ทส่งไลน์มาหาจนเกือบครึ่งน้อยผมก็ไม่เข้าไปอ่าน ไม่อยากจะรับรู้ว่าโลกภายนอกตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

   "เจ็บมากไหม?" เขาถามถึงบริเวณที่มีเจลเย็นแปะอยู่

   "ไม่อะ เสียดายแว่นมากกว่า"

   ผมดูเหมือนคนงกมากไหม แต่ถ้าไม่มีแว่นนี่ผมไม่ต้องใช้ชีวิตทำอะไรอย่างอื่นเลยจริงๆ นะ เตรียมตัวนอนเป็นผักนั่งเล่นมือถืออยู่บนเตียงอย่างเดียว

   "เดี๋ยวพาไปตัดใหม่พรุ่งนี้"

   "เวลาส่งใบเสร็จค่าเสียหายไปเพิ่มชาร์จเยอะๆ เลยนะ"

   ควันบุหรี่ลอยจาง ผมปล่อยให้เขาอัดสารเสพติดเข้าปอดจนกว่าจะพอใจ เข้าใจว่าเขามีเรื่องในคิดอยู่ในหัวมากมายอยู่แล้วในเวลานี้ การที่เขาทำอย่างนั้นไม่ต่างจากการประกาศแตกหักกับคนในวงเลยสักนิด

   "ไม่ชอบกลิ่นรึเปล่า" เขาคงเห็นผมทำหน้ามุ่ยเลยถามขึ้น

   "เปล่า" บอกไปตามที่คิด "สูบบุหรี่นี่มันดีตรงไหน"

   "อืม...ก็ทำให้หัวโล่งดีล่ะมั้ง"

   "ไม่กลัวตายไว?"

   อย่างแบล็คนี่ผมคิดไว้แล้วว่ามันคงอยากตายตอนที่ยังหนุ่มอยู่เลยอัดมะเร็งเข้าปอดอย่างไม่สะทกสะท้านตลอดเวลาขนาดนั้น เตือนเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง

   "ไม่ล่ะ สูบแค่พอให้หายอยาก"

   "มันดูเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นสักนิด"

   "อยากให้เลิกไหมล่ะ"

   "นี่มันชีวิตของนาย"

   เพราะเขากำลังเกยคางกับไหล่ของผม ยามที่ควันสีขุ่นปรากฎมันเลยใกล้กับหน้าของผมอย่างมาก ผมชอบกลิ่นบุหรี่ของเขามากกว่าแบล็ค ติดหวานมากกว่าแสบจมูก หน้าจอโทรศัพท์ยังสว่างต่อเนื่องไม่มีหยุด แสงที่แยงตาจนน่ารำคาญบอกให้ผมปิดเครื่องไปให้จบเรื่องจบราว

   "ขอโทษ..." เป็นสิปป์ที่ทำลายความเงียบ

   "เรื่องอะไร"

   "คุณเจ็บเพราะผม"

   ผมปล่อยเจลที่ไร้ซึ่งความเย็นแล้วลงกับพื้น "ก็ทำตัวเองด้วยแหละ ไม่ต้องคิดมาก"

   มันคือความเสี่ยงที่มาพร้อมกับความสะใจ ผมไม่รู้ว่าเพื่อนฝั่งของผมจะจัดการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร อย่างน้อยๆ น้ำไม่มีทางผ่านเรื่องนี้ไปโดยไม่มีบาดแผลอย่างแน่นอน

   "สิปป์ ขอนะ" หยิบแท่งสีขาวที่คาบอยู่ในปากของอีกฝ่ายมาไว้กับตัวเอง ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะทำตามความต้องการของตัวเองดีหรือไม่ "...มันช่วยให้สมองโล่งจริงใช่ไหม"

   "ก็ช่วยอยู่นะ"

   "เหรอ..."

   "ทำตัวเป็นเด็กวัยว้าวุ่นไปได้" เสียงกลั้วหัวเราะมาพร้อมกับรอบประทับข้างขมับ สิปป์คว้าบุหรี่กลับไปแล้วหยอดลงในขวดแอลกอฮอล์ที่วางอยู่ตรงหน้า "เครียดเรื่องอะไรหืม?"

   "...หลายอย่าง"

   ที่สุดคงเป็นไลน์ของเพื่อนสนิทที่ผมยังไม่ตอบ เน็ทเตือนผมไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผมไม่ควรเข้ามาอยู่ในโลกนี้ เขาพูดด้วยความมั่นใจมากว่าผมไม่มีทางรอดไปจากโลกของเขา

   และมันก็เป็นอย่างนั้น

   ผมกำลังหลงรัก 'ศิลปะ'

   "อยากเล่าไหม?"

   ส่ายหัวไปมากลับไป จะให้เล่าอะไรล่ะถามจริง

   "งั้นมีอีกวิธีที่ช่วยให้ไม่คิดมาก"

   "บอกมา"

   "แบบนี้ไง"

   เขาขยับตัวให้เราใกล้กันมากขึ้น ใบหน้าไร้ที่ติเคลื่อนที่เข้ามาใกล้โดยที่ตาของเรายังคงประสานกัน ไม่มีใครยอมหลบสายตา จนในที่สุดริมฝีปากของเราก็สัมผัส

   อืม หัวโล่งอย่างที่เขาบอกจริงด้วย


***
   เหลืออีกตอนพาร์ทสเปเชียลของพี่นิชจะจบแล้วค่ะ เย้ /จุดพลุ
   พอดีตอนนี้มีพี่แบล็คโผล่มาด้วยก็ฝากเรื่องของราชาไว้หน่อยนะคะ ♚ PITCHBLACK ♛ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53263.0) เพิ่งลงไปได้ตอนเดียวแล้วก็ยังคิดตอนต่อไปไม่ออกค่ะ (ฮา)
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 4 (สิปป์นิช) [11.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 12-05-2016 15:21:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 5 (สิปป์นิช) [28.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 28-05-2016 22:01:29
Limited Book [สิปป์-นิช]


(5)


   เสียงนาฬิกาปลุกดับลงไปแล้ว ผมดันตัวเองขึ้นจากเตียงกว้างด้วยความเคยชิน สิ่งแรกที่ควานหาบนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียงคือแว่นตากรอบใหญ่อันใหม่ที่เพิ่มออฟชั่นเปลี่ยนเป็นเลนส์กันแดดยามที่ออกแดด อืม อยู่ไหนนะ ทำไมไม่มีบนโต๊ะล่ะ

   "สิปป์ แว่นตาหายอะ"

   หันไปเขย่าคนที่ยังหลับอุตุไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ยอมใจกับความสามารถในการนอนของเขาจริงเลย คนที่โดนกระทำทั้งคืนอย่างผมควรจะต้องการการพักผ่อนมากกว่าไม่ใช่หรือไง

   "ตื่นมาช่วยหาหน่อยสิ"

   จะให้คลำทางไปห้องน้ำหรือลงไปหาผิงข้างล่างนี่พอทำได้นะ ทำได้แค่นั้นนั่นแหละ ลงไปภาพรอบตัวกลายเป็นพิกเซลคุณภาพต่ำอยู่ดี ผมพยายามทบทวนว่าใส่ครั้งสุดท้ายตอนไหนแล้วใครเป็นคนถอด เหมือนว่าผมเตรียมจะนอนแล้วสิปป์ก็เข้ามาดึงสมุดวาดรูปออกไปจากมือ จากนั้นก็เข้ามาจู... ใช่แล้ว เมื่อคืนเขาเป็นคนเอาเครื่องมือเพิ่มความคมชัดของผมไป

   "นี่ เมื่อคืนโยนแว่นไปไว้ไหน"

   ขยับตัวขึ้นไปคร่อมร่างของอีกคนไว้ทั้งที่ตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ผมเล่นงานจุดอ่อนของเขาคือบริเวณคางอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

   "ฮื่อ..." เสียงครางแบบรำคาญบอกผมว่าเขาเริ่มมีสติแล้ว

   "หาให้ก่อน จะลงไปช่วยผิงเปิดร้าน"

   วันธรรมดาที่เอมมีเรียนเลยเหลือพนักงานแค่ผิงคนเดียว ผมเลยอาสาช่วยเขาจัดร้านให้เรียบร้อยเตรียมพร้อมต้อนรับลูกค้าในทุกวัน

   "ให้มันเปิดเองไป"

   ตอบทั้งที่ยังไม่เปิดตา สิปป์รวบมือทั้งสองข้างของผมรวมไว้ด้วยกันอย่างที่ทำตลอดเวลาผมลงไม้ลงมือกับเขา

   "ไม่ได้ วันนี้เอมมีเรียน"
   
   "ทำได้ มานอนต่อมา"

   "ไม่เอา นอนทั้งวันเดี๋ยวก็เป็นง่อยหรอก" ผมทิ้งตัวลงทับคนที่อยู่ด้านล่าง "ช่วยหาแป๊บเดียวเอง เร็วๆๆ"

   หลอกล่อด้วยจำนวนเวลา ตัวร้ายก็อย่างนี้แหละ เวลานอนนี่เป็นเวลาทองคำมากมาย 

   "อยู่แถวนี้ล่ะมั้ง อะ นี่ไง"

   เขาควานหาจนเจอสิ่งที่ผมต้องการอยู่ใต้หมอนของตัวเอง บอกกี่รอบแล้วว่าไม่ให้ไว้ตรงนั้นเดี๋ยวขาแว่นงอหมด

   "ขอบคุณครับ" กดจูบลงไปตรงแก้มที่โผล่ขึ้นมาจากหมอนเป็นส่วนเสริมด้วย

   ปกติแล้วผมแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็แปรงฟันก่อนที่จะลงไปปฏิบัติหน้าที่พนักงานอาสาในภาคเช้า พอช่วยเช็ดนู่นถูนี่เหงื่อมันก็มาหา เพราะงั้นจัดการให้ร่างสกปรกทีเดียวค่อยอาบเลยดีกว่าเยอะ

   "สวัสดีตอนเช้า"
   
   ทักทายผู้ชายเสื้อดำหลังเคาท์เตอร์ ผิงกำลังขีดเขียนอะไรสักอย่างลงไปในสมุดจดอยู่เงยหน้าขึ้นมาแล้วทักทายผม ไม่สิ จะเรียกว่าคำทักทายได้รึเปล่า

   "เดินไหวไหม?"

   "หืม?"

   "รอยเต็มคอเลย" เพียงแค่ทำหน้าเบื่อกลับไป ผู้ชายบ้าบอนี่ขนาดผมบอกเขาไว้แล้วว่าไม่ให้ทำรอยที่คอ มันเห็นชัดเกินไปจนน่ารำคาญ

   "จะให้ทำอะไรบ้าง"

   "มาช่วยเรียงของเข้าชั้นหน่อยแล้วกัน"

   เดินขนของไปมารอบร้านจนหมดหน้าที่ กลับขึ้นไปเขาก็ยังคงเป็นเจ้าชายนิทรา ผมจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเตรียมของให้เจ้าของห้อง ตั้งแต่วันนั้นสิปป์ก็รับงานน้อยลงจนน่ากลัว แถมยังไม่ยอมให้น้ำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงอีกต่างหาก เคยบุกมาหาถึงที่ร้านด้วยนะ เจอผิงไล่จนต้องหนีกลับไปแทบไม่ทัน เห็นเงียบๆ อย่างนั้นผู้ชายผมสีแปลกนี่เล่นเอาเกลือมาสาดหน้าร้านไล่ความซวยเลยนะครับ อย่าทำเป็นเล่นไป

   หยิบสมุดวาดรูปขนาดใหญ่จากลิ้นชัก ลากเก้าอี้มาหามุมเหมาะๆ เพื่อวาดรูปเจ้าชายนิทราฆ่าเวลา จากห้องโล่งวันนั้นตอนนี้มันเต็มไปด้วยอุปกรณ์วาดเขียนของผมวางอยู่ระเกะระกะไปหมด นี่กำลังต่อรองเอาขาตั้งมาไว้อยู่ จะได้ครบสูตร

   ปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปกับลายเส้น เพราะไม่รู้ว่าเขาจะตื่นตอนไหนผมเลยใช้วิธีร่างด้วยดินสอเสียมากกว่า บางรูปก็เพิ่งได้แค่ครึ่งหน้า หรือบางทีได้แค่ส่วนโครงหน้าเอง สิปป์ชอบแอบหยิบไปดูตอนที่ผมเผลอ นี่ขนาดห้ามแล้วยังไม่เคยฟังเลย เอาแต่ใจไปไหนไม่รู้

   เสียงเคาะประตูที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแล่นเข้าโสต ผมวางของในมือลงเดินไปหน้าประตูห้อง ต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่อยู่พอควรเหมือนกันเพราะไม่เคยมีใครกล้าเข้ามายุ่งกับห้องนี้

   "มันตื่นยัง?"

   ผิงนั่นเอง ผมชี้ไปทางเตียงที่ยังมีเจ้าของร้านนอนหลับสนิทอยู่

   "ปลุกหน่อย" ถึงจะประหลาดใจอยู่มากแต่ก็ไม่กล้าถามออกไปเพราะใบหน้าเคร่งเครียดของเขา

   ลังเลใจอยู่ว่าจะใช้วิธีไหนปลุกดี เขานอนหลับลึกมากอย่างที่ผมเคยแกล้งเอาหูฟังที่เปิดเสียงเกือบดังสุดให้เขาฟังแล้วยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าผิงไม่อยู่ก็จะใช้วิธีการสุดท้ายอยู่หรอกนะ

   "ตื่นหน่อย ผิงมาหา"

   "หือ...เจอแว่นแล้วไม่ใช่เหรอที่รัก"

   "เชี่ยสิปป์ พ่อมึงมา" การที่เขาแทรกขึ้นมากลางคันด้วยคำว่าพ่อมาหาบอกผมว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่

   "ก็มึงไงพ่อกู"

   "มึงช่วยดูว่าหน้ากูเล่นอยู่รึเปล่านะ" เขาตีหน้าเครียด "พ่อ มึง มา"
   
   พ่อที่เขาว่าคือพ่อจริงๆ

   หุ้นส่วนใหญ่ที่สุดของค่ายเพลงยักษ์ท็อปทรีของเมืองไทย

   เคยเห็นหน้าอยู่ครั้งนึงตอนที่ไปแสดงผลงานเมื่อต้นปี สิปป์ไม่มีส่วนไหนที่เหมือนพ่อของเขาเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว เลือดหลายเชื้อชาติที่อยู่ในตัวเขาหลอมจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว พ่อลูกนั่งประจันหน้ากันอยู่บนโต๊ะมุมสุดของชั้นสอง มีการเอาป้ายงดใช้พื้นที่มาวางไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว ผมวางแก้วกาแฟร้อนลงตรงหน้าทั้งคู่ ตั้งใจจะเดินออกมาแต่สิปป์ไม่ยอมให้ทำอย่างนั้น เขาบังคับให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวถัดไป

   "คนอื่นออกไป"

   "นี่แฟน"

   บอกตัวเองให้ชินกับความเป็นสิปป์ แต่ก็ทำไม่ได้สักที

   ผมก้มหน้าลงไม่สบหน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย คงมีเรื่องอะไรที่เป็นปัญหาใหญ่มากพอควรคนเป็นพ่อถึงใช้เสียงที่เต็มไปด้วยความเครียดอย่างนั้น

   "อ้อ คนนี้เองเหรอที่หนูน้ำบอก"

   ชื่อของคนที่ผมลืมไปแล้วโผล่ขึ้นมาในบทสนทนา แบล็คกับเน็ทเคยมาขออนุญาตจากผมจัดการเก็บกวาดเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ผมอนุญาตให้แค่ทำการเตือนแบบเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แค่สิปป์ไม่ยอมร่วมวงกับเขาอีกต่อไปนั่นมันก็แย่เกินพอแล้ว ถึงใจจริงแล้วอยากจะจัดการแบบที่ให้สมกับสิ่งที่เขาทำกับแว่นของผมก็เถอะ

   "โดนเป่าหูอะไรมาอีกล่ะ"

   "เขาหวังดีเลยมาเล่าให้พ่อฟังต่างหากว่าแกทำตัวเหลวไหลขนาดไหนน่ะ"

   "คุณควรจะไปดูในเพจวงผมนะก่อนจะมาพูด"

   นั่นไม่เหมือนการคุยกันของพ่อลูกเลย ให้ความรู้สึกเป็นการเจรจาธุรกิจที่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากันเสียมากกว่า สิปป์คว้ามือผมไปจับไว้ มือเย็นเฉียบบอกผมว่าเขาเองไม่ได้เก่งกาจอย่างที่กำลังทำอยู่

   "ถ้าเล่นสนุกพอแล้วก็กลับไปทำงานเต็มเวลา"

   "ขอทวนข้อตกลงของเราหน่อยนะ ผมไม่จำเป็นต้องเข้าไปทำงานในบริษัทตราบใดที่ยังส่งงานได้ตรงเวลาและไม่มีข้อบกพร่อง"

   "นั่นมันตอนที่แกขอฉันเปิดวงใต้ดินอะไรนั่น"

   "งั้นเดี๋ยวผมไปเปิดวงใหม่แป๊บนึง"

   "สิปป์!"

   เขาไม่ยอมแพ้ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเลย เสียงกึ่งตวาดเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมามองเขาเป็นครั้งแรก มันเต็มไปด้วยความโมโหที่ถูกขัดใจ

   “ใช่ นั่นชื่อของผมเอง”

   "น้ำบอกว่าแกติดเด็กจนไม่สนใจทำงาน"

   "อ้อ ลืมแนะนำ นี่นิช ยี่สิบแล้วไม่เรียกว่าเด็กนะ"

   “เด็กที่เรียนจบแค่มอหก”

   “!”

   สิปป์รีบคว้าแขนผมไว้ก่อนที่จะมีการวางมวยเกินขึ้น น้ำเสียงดูแคลนที่ผู้อาวุโสกว่าใช้เกือบสะบั้นความอดทนของผมให้หมดลง ให้ตาย นี่มันโลกยุค 2016 แน่เหรอ!

   "ผมแค่เรียนต่อในตามความชอบของตัวเอง" ขอให้ตัวเองได้มีโอกาสอธิบายอีกมุมมองเสียหน่อย ทำอย่างกับผมไม่รู้ว่าในสังคมไทยมันก็ยังไม่ได้ยอมรับเรื่องการเรียนตามสายความถนัดอื่นที่ไม่ใช่ในมหาวิทยาลัยอยู่  คือถ้าเข้าไม่ได้หรือว่าเข้าได้แต่ไม่ใช่แหล่งศึกษาที่มีชื่อก็โดนมองว่าเป็นพวกโง่อยู่ดี

   "อยากเรียนหรือไม่มีที่ไป?"

   "สรุปคือมาด่าแฟนผม?"

   คนกลางเริ่มที่จะโมโหมากขึ้นแล้วล่ะ เขาไม่รู้ตัวละมั้งว่าตอนนี้จับมือผมไว้แน่นมากแค่ไหน

   “เอาเป็นว่าถ้าเล่นสนุกพอแล้วก็กลับไปทำงานซะ”

   "ผม ไม่ กลับ"

   "แกต้องกลับสิปป์ อย่าทำให้ความพยายามของฉันมาจบลงที่เด็กไร้ที่มาอย่างนี้"

   คำก็ไม่มีที่ไป สองก็ไร้ที่มา

   ผมว่าตัวเองเข้มแข็งนะ แต่ว่าเจอคำพูดพวกนั้นซ้ำๆ มากเข้าแล้วก็กลับมาคิดว่าเพราะอะไรผมถึงต้องมาทนฟังอะไรอย่างนี้ด้วยวะ

   "เป็นกรรมการบริหารนี่น่าจะรู้เรื่องสัญญาดีไม่ใช่เหรอ จะเพิ่มเติมอะไรช่วยถามความสมัครใจของผมด้วยหน่อยสิ"

   "นี่ไม่ใช่การคุยในฐานะลูกจ้าง แต่ที่มาคุยในฐานะพ่อ" ชายสูงวัยหันมาสบตากับผม นัยน์ตาแบบคนที่ผ่านอะไรหลายอย่างในชีวิตมามากมันแข็งกร้าวจนผมไม่กล้าสู้กับมันต่อ "พ่อที่รับไม่ได้ตอนที่รู้ว่าลูกชายตัวเองรัก 'ผู้ชายคนอื่น' มากกว่าครอบครัว"   

   ทุกคำดูแคลนมันเกินพอที่จะนั่งทนฟังต่อ ผมเสียมารยาทด้วยการผลุดลุกขึ้นมากะทันหัน บอกอีกคนสั้นๆ ว่าไม่อยากจะรับฟังอะไรเพิ่มเติมแล้ว "ไปรอข้างล่างนะ"

   รู้ตัวอีกทีตรงที่ผมกำลังอยู่มันกลับไม่ใช่พื้นที่ชั้นล่างที่เป็นร้านกาแฟ มันกลับเป็นหน้าประตูห้องพักของผมไปได้ยังไงก็ไม่รู้ ผมหากุญแจห้องนานมากเพราะไม่ได้ใช้มาเป็นเดือนๆ แล้ว สิ่งแรกที่ทักทายผมยามที่เปิดประตูคือละอองฝุ่นคลุ้งจนต้องไอออกมา ผมเปิดหน้าต่างไล่ความอับและสิ่งสกปรกไปตามลม ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนขอตัวเองที่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นของตัวเองอีกต่อไป วันนี้คิดว่าไม่ได้ทำอะไรมาแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนโดนดูดพลังชีวิตไปหมดสิ้น

   นี่ชีวิตของผมต้องเจออะไรที่มันเข้าขั้นพล็อตนิยายน้ำเน่ายอดนิยมขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย หรือว่าที่ผมกำลังเจออยู่ตอนนี้คือการเตือนว่าใกล้หมดเวลาที่จะท่องอยู่ในความฝันแล้ว ผมใกล้จะต้องลืมตาตื่นมาอยู่กับความเป็นจริงแล้วสินะ เฮ้อ... ยอมรักใครทั้งทีกลับมาตกม้าตายตรงนี้เสียได้

   คงได้แต่บอกตัวเองว่าตื่นจากฝันได้สักที


≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡

 
   "มึงเลิกทำหน้าเหมือนคนใกล้ตายอย่างนั้นได้แล้วนิช กูเห็นแล้วรำคาญตาว่ะ"

   "กูก็รำคาญ"

   เพื่อนบังเกิดเกล้าทั้งสองบ่นแล้วตบแก้มผมคนละที

   "นี่กูไม่ได้เรียกพวกมึงมาให้ซ้ำเติม"

   "กูจะซ้ำ แหมไอ้เชี่ย 'ไม่โง่เดินเข้าไปหรอก' เป็นไงล่ะมึง" เน็ทยังคงปากร้ายเสมอต้นเสมอปลายดีจริง

   "แล้วนี่น้องโรมไม่มาด้วยเหรอ"

   ใจหนึ่งก็อยากเจอน้องเล็กให้หัวใจชุ่มชื้นอยู่นะ แต่อีกใจพอมองสภาพตัวเองตอนนี้แล้วยิ่งกว่าตอนนี้เคยบ่นน้องเขาไว้อีกหลายเท่าเลยล่ะ

   ผมปิดโทรศัพท์แล้วโยนมันลงใส่กล่องเก็บของ รวมถึงงดเข้าไปอัพเดตช่องทางการรับรู้ข่าวสารในทุกวิถีทาง ในเมื่อบอกตัวเองให้ตื่นจากฝันผมก็ต้องอยู่กับความจริงให้ได้ ถือว่าโชคดีที่แบล็คยังจำเบอร์บ้านผมได้เขาเลยโทรมาเช็คความเป็นไป สงสัยเสียงผมจากการคุยผ่านสายโทรศัพท์คงย่ำแย่ขนาดที่เพื่อนของผมบอกว่าจะมาหาภายในหนึ่งชั่วโมง

   "ปล่อยน้องโรมแม่งเอ๋อต่อไปเถอะ"

   "วันนี้ที่หนึ่งพาไปเที่ยวน่ะ เห็นบอกว่าอยากไปลองร้านขนมเปิดใหม่"

   "แม่งลำเอียงสัตว์อะ มึงรู้ป่ะแค่กูบอกว่าอยากแดกเค้กพี่แม่งร่ายขุดมาทุกชั่วโคตรว่าเค้กมันไม่มีกับสุขภาพอย่างนั้นอย่างนี้ อ้วนบลาๆ โธ่มึงครับ ช่วยดูกูหน่อยว่าทุกวันนี้แม่งผอมเกินค่ามาตรฐานไปเยอะแล้วนะ"

   "มึงก็ไปจีบที่หนึ่งดิ"

   "เรื่องไร คนนี้ของกู กูหวง"

   "..."

   ผมเงียบลงเพราะเผลอเอาไปเปรียบเทียบกับตัวเอง น่าอิจฉาจังเลยนะ ถึงเน็ทจะชอบเอาพี่มาบ่นให้ฟังอย่างนี้แต่เขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องเลิกกันเลยสักครั้ง ไม่เหมือนผมที่ยังไม่ได้คบกันอย่างเป็นทางการเลยด้วยซ้ำ

   "น่ะ มึงไม่ต้องเอาคนของมึงมาเทียบเลย" โดนดีดมะกอกที่หน้าผากไปอีกหนึ่งที เราอยู่ด้วยกันมานานจนรู้หมดว่าอาการนี้แสดงว่ากำลังคิดอะไรอยู่

   "เขาไม่ใช่คนของกู"

   "ถ้าเขาไม่ใช่คนของมึงก็เลิกสนใจเขาซะ" นั่นแหละคือเน็ท พูดจาขวานผ่าซากเข้าตรงประเด็นเสมอ "นิช กูรู้ว่ามันยากกับการยอมรับสถานะที่เกิดขึ้น นี่กูพูดในฐานะคนที่ไม่โสดคนเดียวของกลุ่ม ถึงความสัมพันธ์ของกูกับพี่จะดูพิลึกไปหน่อยก็เหอะ แต่สิ่งเดียวที่จะทำให้มึงผ่านตรงนี้ไปได้คือตัวมึงเอง ต่อให้วันนี้คนที่มานั่งตรงนี้จะอยู่ครบกลุ่มมันก็ไม่มีประโยชน์เหี้ยอะไรเลยถ้ามึงยังไม่มั่นคงในความรู้สึก เพราะงั้นสิ่งที่มึงต้องทำคือให้คำตอบกับตัวเองให้ได้ว่าจะไปต่อยังไง แต่ขอให้รู้ไว้ว่าสุดท้ายแล้วพวกกูจะเดินไปพร้อมกับมึงเสมอ"

   เขาจับมือของผมไว้แน่น เขย่ามันให้รู้ว่าจะไม่มีทางปล่อยมือผมไปไหนเด็ดขาด

   "ในฐานะคนที่กลัวความรัก กูไม่ออกความเห็น"

   "แค่มึงช่วยกูวันนั้นก็มากเกินพอแล้วว่ะ"

   "ไปขอบคุณพี่กูด้วย ดีนะที่ชิ่งออกมาทัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รอดหรอก"

   "เออ ไว้จะส่งของไปให้"

   "อยากเล่าอะไรให้พวกกูฟังอีกไหม" แบล็คถามขึ้น

   ส่ายหัวให้แทนคำตอบ เวลานี้ผมยังไม่พร้อมที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ใครฟังทั้งนั้น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่อยากยอมรับว่าฝันดีของผมหมดลงแล้ว

   "เออ ก่อนขึ้นมากูเช็คกล่องจดหมายให้แล้วนะ พวกค่าน้ำค่าไฟเดี๋ยวกูเอาไปจ่ายให้เอง เหลือแต่ซองนี้อะของมึง"

   แบล็คยื่นซองจดหมายปิดผนึกอย่างดีมาให้ ชื่อและที่อยู่ของผมถูกเขียนด้วยลายมือที่ไม่คุ้นตา ข้างในเป็นบัตรเชิญไปร่วมงานจัดแสดงผลงานทางศิลปะที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ไม่รู้วิธีการดำเนินการของโรงเรียนสอนศิลปะที่ผมอยู่เหมือนกันแต่ว่าจดหมายประเภทนี้มักส่งมาถึงผมบ่อยๆ

   งานศิลปะงั้นเหรอ...

   สุดท้ายแล้วผมก็เข้าไม่ถึงโลกของศิลปะอย่างที่กลัวไว้เลย
 

≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡


   ไม่ได้อยากมายืนอยู่ตรงนี้อีก ติดที่ว่าอุปกรณ์ของผมทั้งหมดมันอยู่ห้องซ้ายสุดบนชั้นสอง...

   โชคยังดีที่ผมยังมีตารางการแสดงเอาไว้ เขาตรงต่อเวลาเสมอในการทำงาน นั่นเลยทำให้ผมกล้ามายืนอยู่ตรงหน้าร้านแบบไม่กลัวว่าจะบังเอิญเจอหรือเปล่า

   ผมหายไปโดยตัดขาดการติดต่อในทุกทางจนมั่นใจได้ว่าเขาไม่มีทางหาตัวผมเจอได้ มันคือการบอกทางอ้อมว่าผมขอจบเรื่องของเราเอาไว้ตรงนี้แล้วกัน สิปป์ไม่ผิด พ่อของเขาก็ไม่ผิด คนผิดก็คือผมที่ไม่อาจจะอยู่ในสังคมที่มองคนแต่ภายนอกได้ก็เท่านั้นเอง นั่นคือพ่อเขาไง คนที่ผมไม่มีทางจะหลีกหนีไปได้เว้นแต่ผมหรือเขาจะตายจากกันไปเสียในอีกไม่กี่วันนี้อะนะ แล้วผมเป็นคนจำพวกที่ถ้าไม่สบายใจที่จะอยู่ตรงไหนแล้วก็จะหนีออกมาไกลๆ เลย แบบที่ว่ามั่นใจได้ว่าจะไม่มีการกลับเข้าไปเฉียดอีกแล้วอะไรประมาณนี้

   ก็ได้แต่หวังว่าสิปป์จะเข้าใจความคิดของผมบ้าง

   "พี่นิช หายไปไหนมา" ผมเลยผ่านคำถามของเอม หันไปหาผู้ชายที่เปลี่ยนสีผมอีกแล้ว คราวนี้สีส้มไล่โทนจากอ่อนไปเข้ม

   "ไม่อยู่ใช่ไหม"

   ไม่พูดแม้กระทั่งชื่อ

   "อืม"

   "ไม่เกินครึ่งชั่วโมง จะรีบไป"

   บอกอย่างนั้นแต่ก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องที่ไม่มีตัวดีแขวนไว้อีกแล้วมาห้านาทีแล้ว แค่ตอนเดินขึ้นบันไดมาขาผมพาลจะหมดแรงตั้งหลายรอบ ความทรงจำมันมีเยอะเกินไปจนมองไปที่ไหนก็บอกได้ว่ามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้าง

   กลั้นใจเปิดประตู ยามที่ภาพตรงหน้าปรากฎต่อสายตาแล้วสิ่งที่ผมพยายามฝืนมาทั้งหมดก็ไม่มีค่าอะไรเลย ทั้งร่างทรุดลงกับหน้าประตูอย่างที่ไม่มีเสี้ยววินาทีให้รั้ง

   ทุกอย่างยังเหมือนเดิม...

   เหมือนวันที่ผมเดินออกไป

   อุปกรณ์สีน้ำยังวางไว้บนโต๊ะทำงาน สมุดเสก็ตภาพยังคงเปิดอยู่ที่หน้าเดิม ทุกส่วนในห้องก็ถูกแบ่งเป็นสองฝั่งอย่างที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก

   ที่สำคัญที่สุด ...คือภาพวาดสีน้ำที่ทำให้เขาหลงรักผมก็วางไว้อยู่บนหัวเตียงเหมือนเดิม

   บอกตัวเองให้แข็งใจอีกหน่อย ผมจัดการกวาดทุกอย่างลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่เตรียมมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ฝั่งนึงไว้สำหรับอุปกรณ์ศิลปะ ส่วนอีกด้านคือเสื้อผ้าของตัวเองที่แขวนอยู่ในตู้

   เดินไปหยิบรูปวาดสีน้ำทั้งสามรูปมาไว้ในมือ รูปวันเกิด รูปที่ผมส่งขอบคุณ และรูปที่เขาจ้างผมวาด อยากจะเอาติดไปด้วยเพราะเป็นจุดเชื่อมต่อของความทรงจำทั้งหมดแต่ก็ทำไม่ได้ ...อย่างน้อยก็ให้งานได้อยู่กับเขาแทนตัวผม

   ช่วงเวลาที่ไม่มีผมแล้ว เขายังนอนตื่นบ่ายเหมือนเดิมไหมนะ แล้วยอมกินข้าวเย็นรึเปล่า ถ้าหิวตอนดึกแล้วมีของรองท้องอยู่บ้างไหม ไม่ให้โยนผ้าขนหนูไว้บนเตียงหลังใช้เสร็จก็พาดส่งๆ ไว้ปลายเตียง เวลาบีบยาสีฟันต้องลืมปิดฝาอีกแหง บอกให้หากล่องมาใส่ต่างหูจะได้หาเจอง่ายๆ ไม่รู้ยอมทำรึยัง ให้แยกผ้าสีกับผ้าขาวเวลาเอาไปส่งร้านซักจะได้ไม่บ่นเรื่องผ้าสีตกอีกนี่ก็เอามารวมกันอีกแล้ว ก้นบุหรี่จำนวนมหาศาลที่อยู่ในขวดแก้วใบใหญ่บอกผมว่าเขากลับไปสูบจัด พนันได้เลยว่าในตู้เขาต้องยัดๆ ผ้าที่ส่งรีดแบบไม่แยกประเภทแหง นี่แอบเอาสมุดฝึกวาดรูปของผมไปดูอีกแล้วล่ะสิมันเลยอยู่ข้างหมอนอย่างนั้น

   อา...ให้ตายเถอะ ผมคิดถึงเขามากขนาดนี้เลยล่ะ

   ...แล้วเขาจะคิดถึงผมบ้างไหม


≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡



   ผมมาถึงสถานที่จัดแสดงก่อนเวลาพอสมควร

   ไม่ได้กะเวลาอะไรผิดหรอก ผมแค่กำลังอยู่ในช่วงเปราะบางของชีวิต ก็แค่เคยสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะนึกว่าเขาหายไป ตอนที่แปรงฟันก็เผลอหาแปรงสีฟันอีกด้าม กลางวันก็คิดถึงแซนวิชทูน่า ซื้อข้าวมาเผื่อให้อีกคนไว้กินตอนดึกก็เท่านั้นเอง เพราะงั้นในบางอารมณ์ผมถึงอยากจะออกไปห้องไวๆ จะได้ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้อีก

   "นิชครับ"

   ยื่นซองพร้อมบอกชื่อ เจ้าหน้าที่สาวหน้าโต๊ะลงทะเบียนตรวจสอบความถูกต้องทั้งหมดแล้วบอกข้อมูลห้องที่จัดตั้งงานศิลปะไว้

   ไม่รู้ว่าเพราะผมมาเช้ารึเปล่าถึงไม่มีใครอยู่เลย รอบข้างดูวังเวงจนผมอดระแวงไม่ได้

   หยุดอยู่ตรงหน้าห้องหมายเลข 10 อย่างที่พนักงานบอก หัวใจของผมชาวูบอย่างที่ต้องยกมือขึ้นทาบหน้าอกเพื่อความแน่ใจว่ามันยังทำงานอยู่อย่างสมบูรณ์พร้อม ผมเกลียดเลขสิบ...มันพาลทำให้ผมคิดถึงผู้ชายที่ชื่อสิปป์ไปด้วย

   "?"

   ในห้องกว้างมืดสนิท ผมปิดประตูลงอย่างเบามือที่สุดหรือว่าจะเป็นนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับความมืดนะ กวาดตามองซ้ายขวาหาจุดเริ่มต้นของจุดชม ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างจุดขึ้นมาอยู่ที่กลางห้อง รูปถ่ายของชายหนุ่มที่หันหลังให้กล้อง บนผิวสีขาวมีรอยสักสีดำสนิทโดดเด่นขึ้นมาเพียงแห่งเดียว รูปตัวเอ็กซ์ที่ซ้อนอยู่กับสัญลักษณ์อนันต์

   ให้สาบานกับที่ไหนเลยก็ได้

   ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเอง แต่ผมมั่นว่าผมรู้จักเจ้าของแผนหลังนั้นเป็นอย่างดี

   “สิ...”

   "กาลครั้งหนึ่ง ผมได้รับกระดาษแผ่นหนึ่งในวันเกิด" ยามที่เสียงนั้นดังก้องไปทั่วห้อง ความเข้มแข็งทั้งหมดก็หายวับไปกับตา ผมยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างไว้เผื่อว่ามันจะช่วยให้ผมไม่ต้องได้ยินเสียงทุ้มต่ำน่าฟังนี้อีกต่อไป "น่าแปลกนะ เคยได้รับของขวัญมาก็เยอะ แต่คืนนั้นผมไม่ยอมปล่อยให้กระดาษแผ่นนี้ให้รวมกับอย่างอื่นเลย"

   เสียงเขา...นั่นมันเสียงของเขา 

   "ใช้ทุกวิธีทางตามหาคนวาดให้พบ ตอนแรกจะขอตามรอยไปรษณีย์กลับไปหาต้นทางแล้วด้วยซ้ำ ...นั่นมันเรียกว่ารักแรกพบได้หรือเปล่า?"

   ต้องรีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ผมหันหน้าไปตรงประตูที่ตัวเองเข้ามาเมื่อครู่ มันอยู่ใกล้เพียงแค่ปลายเอื้อม แค่ผมยอมขยับตัวไปอีกสองสามก้าวมันก็จะพาผมพ้นออกไปได้ เพียงแค่ผมยอมให้เหตุผลอยู่เหนือความต้องการของหัวใจ ย้ำบอกตัวเองไปว่านี่มันกับดัก

   ให้ตายเถอะ

   ผมลืมไปได้ยังไงว่าตัวเองตกอยู่ในหลุมพรางนี้มานานแล้วต่างหาก

   "ว่าไง อย่างนั้นเรียกว่ารักแรกพบได้ใช่ไหม?"

   พอผมไม่ยอมตอบเขาก็ทวนคำถามอีกครั้ง อยากปิดตาให้ไม่ต้องเห็นภาพด้านหน้าอีก ใจเจ้ากรรมกลับไม่ยอมละสายตาออกไปจากเครื่องหมายสีดำที่มีอยู่เพียงตำแหน่งเดียวนั้นเลย เครื่องหมายอนันต์ที่ผมใช้แทนตัวเอง ...กับตัวเอ็กซ์ที่แทนเลขสิบในตัวเลขโรมัน สองสัญลักษณ์ที่ถูกผสมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

   ดูเหมือนจะเป็นการคิดที่เข้าข้างตัวเอง แต่ตอนนี้ผมคิดความหมายอื่นไม่ออกแล้ว

   ที่ชัดเจนที่สุดคือตำแหน่งของรอยสัก บริเวณแผ่นหลังซ้าย...ตรงหัวใจ

   "ผมนัดเขาไว้เที่ยงตรงทั้งที่ปกติแล้วนั่นไม่ใช่เวลาตื่นของผมเลย คืนก่อนหน้านั้นผมเลิกงานตอนตีห้า ...ตื่นขึ้นมาเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับนัดตั้งแต่เก้าโมง ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเด็กเนิร์ดไร้พิษสงธรรมดา จนแอดไลน์ไปแล้วหาไม่เจอนั่นแหละเลยรู้ว่าตัวเองโดนเล่นเสียแล้ว" ผมยิ้มออกมาได้นิดหน่อยตอนที่เขาพูดถึงวีรกรรมของผม "อ้อ ที่ให้วาดคนอื่น ...ผมแนะนำในฐานะ 'แฟน' นะ"

   ถ้าไม่ใช่สิปป์คงทำอะไรอย่างนี้ไม่ได้... มีอย่างที่ไหนเอาผมไปโมเมอย่างนั้น

   "อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกตอนที่กลับมาถึงห้องแล้วของทุกอย่างที่เคยวางไว้หายไปหมด มันทั้งเคว้ง ทั้งอ้างว้าง ทุกอย่างที่ผมวางไว้ที่เดิมรอให้เขากลับมาใช้ ต้องเป็นปีศาจที่ใจร้ายจริงๆ ถึงทำอย่างนั้นได้ลง ...รู้ไหมว่าสิ่งหนึ่งที่ผมอยากทำมาตลอดคือการสัก แต่ที่ผมยังคงปล่อยให้ว่างเปล่าอยู่เพราะผมยังไม่เจอสิ่งที่คู่ควรที่จะอยู่กับผมไปตลอดชีวิต" เขาเงียบไปพักใหญ่ "ไหนบอกว่าเจ็บนิดเดียวไง โกหกกันนี่"

   ผมหัวเราะทั้งน้ำตาให้คำตัดเพ้อของเขา

   "จนถึงตอนนี้...ตอนที่ผมมั่นใจว่าตัวเองเจอสิ่งที่ตามหา"

   เขาค่อยๆ พาตัวเองมาอยู่ในไฟสลัว นัยน์ตาสวยเต็มไปด้วยความน่าหลงไหลอยู่เช่นเดิม ที่เพิ่มเติมคงเป็นความอบอุ่นที่ผมเห็นแล้วอยากจะร้องไห้ออกมาเสียอย่างนั้น เขายังคงส่งยิ้มให้ผมได้ทั้งที่ผมทำผิดกับเขา ผมไม่กล้าที่จะหลบสายตาไปทางอื่น ทำได้แค่จ้องมันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งอีกฝ่ายขยับมาจนชิด

   "เจอหนังสือรุ่นลิมิตเต็ดที่มีแค่เล่มเดียวในโลก" เขาเคยบอกว่าผมเป็นหนังสือรุ่นพิเศษ "...รู้แล้วว่าเป็นตัวร้ายที่อยากได้ 'ความเป็นนิรันดร์' ไว้ตลอดชีวิต"

   "..."

   "เราเพิ่งเข้าพาร์ทดราม่ากันเองที่รัก อย่าเพิ่งถอดใจสิ"

   "พาร์ทดราม่าอะไรกัน..."

   "ก็ปกติตามนิยายมันต้องมีช่วงดราม่าไง"

   "นี่ไม่ใช่นิยายสักหน่อย" เถียงกลับไปทั้งที่เสียงสั่นหมดแล้ว

   "อย่ามาเถียงหนอนหนังสือ" เขาโคลงหัวไปมา โอบแขนรอบตัวผมไว้แน่น จนผมแน่ใจว่าต่อจากนี้ไปก็คงไม่อาจหนีไปจากโลกของศิลปะได้อีกแล้ว

   "ว่าไง พร้อมจะเปิดหน้าต่อไปกันรึยัง?"
 
And the story continued.


***
Coming soon - 'ของเน็ท'

   "เน็ท?" พออีกฝั่งของสัญญาณโทรศัพท์เงียบเสียงไปผมเลยเรียกชื่อเป็นการถาม
   (กูนับหนึ่งถึงสามนะ) เสียงเรียบติดไม่พอใจนั่นบอกผมว่าพายุใหญ่กำลังมา
   (ถ้ามึงไม่ออกมา กูจะเข้าไปเอง)


   สอบเสร็จแล้วค่ะ ...ซะเมื่อไหร่ (ร้องไห้) สำหรับสเปเชี่ยลของพี่นิชก็จะหมดเพียงแค่นี้นะคะ เป็นการจบอย่างที่เจ้าอยากทำไว้อยู่แล้ว เรื่องราวที่อยู่ในหน้าต่อไปที่คงไม่มีใครรู้ได้ดีกว่าคนอ่านอย่างสิปป์กับนิช จบให้เข้ากับชื่อเรื่องหน่อยค่ะ (หัวเราะ)
   ส่วนที่ยังค้างไว้อยู่อีกนิดก็จะเป็นส่วนของพี่เน็ทค่ะ ส่วนของไวท์นี่...ยังไม่ได้อย่างที่ต้องการเลยค่ะ เลยยังขอค้างไว้ก่อนนะคะ /หนี
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 5 (สิปป์นิช) [28.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 28-05-2016 22:25:32
โมโหอิน้ำ :z6:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 5 (สิปป์นิช) [28.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-05-2016 04:13:21
น้ำคนพาล  :z6:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 5 (สิปป์นิช) [28.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-05-2016 16:09:40
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 5 (สิปป์นิช) [28.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: M.J. ที่ 31-05-2016 04:28:03
ชอบมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 5 (สิปป์นิช) [28.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 02-06-2016 14:50:14
อ่านเรื่องนี้แล้วให้อารมณ์หนังนอกกระแส

ที่แบบขุ่นๆมัวเท้าความไกลๆตัดไปตัดมา ปิดตรงนั้นเปิดตรงนี้

คริคริ บังเอิญผมชอบหนังนอกกระแสครับ

อ่านแล้ว...อยากเป็นQueen  :o8:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - Limited book 5 (สิปป์นิช) [28.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 02-06-2016 22:56:59
น้ำแม่งน่าถีบ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 17-06-2016 21:57:02
NET's [ฟิว-เน็ท]


(1)


   ใครๆ ก็บอกว่าแฟนผมเป็นคนขี้หวง

   เจ้ากี้เจ้าการไปทุกเรื่อง ทำอะไรก็ต้องบอกก่อนตลอด หวงไม่เว้นแม้แต่กับเพื่อนสนิท ขนาดที่เพื่อนในกลุ่มยังถามอยู่บ่อยครั้งว่าผมทนไปได้ยังไงที่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้

   "พี่ฟิว"

   ผมหันไปทางเสียงทัก เด็กหนุ่มหน้าตี๋แบบที่เห็นได้ทั่วไปตามโรงเรียนเอกชนชายล้วนกำลังฉีกยิ้มให้จนตาปิดเกือบหมด

   "เฮ้ย น้องเจ!"

   พอสมองกลับมาประมวลผลจนเสร็จก็เลยเรียกชื่อกลับไป น้องเจเป็นน้องที่เคยเป็นน้องค่ายคณะสมัยผมปีหนึ่ง ถึงจะมีเฟสมีไลน์กันก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกันมากมาย นี่ดูจากเสื้อนักศึกษาชายสภาพใหม่เอี่ยมแล้วแล้วน้องคงสอบได้ที่นี่อย่างที่หวังไว้แล้ว

   "จำผมได้ด้วยอะ ดีใจจัง"

   "จำได้ดิ น้องกลุ่มนี่"

   "พี่กลุ่มน่ารัก ผมขอนั่งนี่นะพี่"

   "เออๆ ตามสบายเลย"

   เคลียร์ของที่วางไว้ระเกะระกะเพราะนึกว่าจะไม่มีใครมานั่งด้วยให้มาอยู่ฝั่งตัวเองทั้งหมด น้องเจไหว้ลวกๆ แล้วก็นั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม

   "แล้วนี่ทำไมได้ที่นี่ไม่ส่งข่าวบอกหน่อย จะได้พาไปเลี้ยง"

   "หืม อย่าเลยพี่" เด็กใหม่ปีหนึ่งทำหน้าเหยยามที่ผมบอกไปอย่างนั้น "เกรงใจ"

   "เกรงใจไรวะ ทีตอนนั้นอ้อนขอให้พี่เลี้ยงขนมทุกวัน"

   "ก็ตอนนี้มันไม่เหมือนตอนนั้น...."

   สมัยที่เป็นน้องค่ายเขามีกฎว่าห้ามออกไปร้านสะดวกซื้อ พวกพี่เลี้ยงกลุ่มเลยกลายเป็นเดลิเวอรี่กลายๆ ให้เหล่าน้องทั้งหลายได้สั่ง บางคนก็จ่ายคืนบางคนก็หายต๋อม แต่สั่งได้ทั้งวันไม่คิดจะหยุดปาก คิดแล้วก็เป็นเรื่องตลกดีเหมือนกัน วัยรุ่นเป็นวัยแสบสัน

   "ไม่เหมือนตรงไหนก็ ยังเป็นน้องพี่ป่ะ"

   "ก็เป็นอยู่ครับ"

   เจจ้องหน้าผมจนนึกว่าตัวเองทำอะไรเลอะหน้าหรือเปล่า ผมอ้าปากแบบไม่มีเสียงพลางชี้ที่หน้าของตัวเองเป็นถามกลับไปว่ามีอะไรผิดปกติที่หน้าของผมหรือเปล่า

   "ไม่มีพี่ อ่า..."

   "แล้วมีอะไรรึเปล่า?"

   "...คืองี้พี่ฟิว ผมโดนสั่งมาอะ" พอน้องชี้ไปที่ป้ายชื่อของตัวเองที่ถูกบังคับให้ใส่ตลอดเวลาหากอยู่ในตัวตึกคณะแล้วก็พยักหน้าให้เป็นเชิงเข้าใจ ช่วงปิดเทอมมาใหม่ๆ ก็ไม่พ้นเทศกาลรับน้องล่ะนะ

   "อ้อ จากพวกปีสองอะดิ ให้พี่ช่วยอะไรล่ะ" เจอทุกปีตั้งแต่ปีสองยันตอนนี้ที่อยู่ปีสี่ ชินไปแล้ว อย่างปีที่แล้วก็มีคนลองของอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่าเจออิทธิฤทธิ์พ่อเจ้าประคุณเข้าไปคงไม่มีใครกล้าเล่นอะไรแผลงๆ อีกแล้วล่ะ

   "พี่ฟิว..."

   "อะไร"

   "ผมก็ไม่ได้อยากจะละลาบละล้วงนะ แต่..."

   "แต่"

   "คือแบบว่าพี่..."

   "พี่"

   น้องเจทำท่าเหมือนกลืนบอระเพ็ดเข้าไปสักห้าท่อนพร้อมกัน "พี่ฟิวมีแฟนใช่ป่ะ"

   นั่นไงล่ะ คิดไว้ไม่มีผิด

   "...จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้"

   ในเมื่ออีกฝ่ายเขาไม่ได้เรียกความสัมพันธ์ของเราว่า 'แฟน' ก็ต้องให้เป็นไปตามนั้นล่ะนะ

   "ที่ชื่อ..."

   "เน็ท" ผมบอกชื่อให้แทนน้องที่ยังคงดูเกร็งกับการต้องมาถามผมในเรื่องนี้ "แฟนพี่ชื่อเน็ท"

   "ยังไม่เคยเจอตัวจริงเลย มีแต่คนบอกว่าน่ากลัว ผมเข้ามาคุยกับพี่ฟิวอย่างนี้ผมจะโดนอะไรไหมอะพี่"

   ขำพรืดตอนที่น้องทำหน้าหวาดระแวง ถูกส่งมาถามแบบที่โดนล้างสมองมาเสร็จเรียบร้อยแล้วสินะ

   "ไม่หรอก อย่าฟังคนอื่นมากเลย"

   "เห็นบอกว่าปีที่แล้วพี่เน็ทว้ากเละจนเกือบกลายเป็นห้องเชียร์เหรอพี่"

   นั่นไงล่ะ ตำนานที่จะอยู่คู่การรับน้องของวิศวกรรมศาสตร์ไปอีกนาน

   "ไม่ได้ว้าก เน็ทแค่โกรธมากไปหน่อย"

   "พี่ผู้หญิงที่เล่าให้ผมฟังเล่าไปสะอื้นไปอะพี่ ไม่น่าจะหน่อยแล้วมั้ง"

   แสดงว่าเป็นพวกที่เจออิทธิฤทธิ์แบบเต็มที่สินะ คือมันก็ไม่ได้อะไรมากมายขนาดนั้นเมื่อเทียบกับตอนที่ผมโดนมา เรื่องมันเริ่มที่มีน้องกลุ่มหนึ่งเขาไม่ชอบหน้าเน็ท (ก็ไม่แปลกใจ ใครที่เห็นเน็ทแล้วชอบตั้งแต่แรกพบนี่คงเป็นมนุษย์พวกคิดบวกเต็มล้าน) แล้วแกล้งมายุ่งวุ่นวายกับผม ท้ายที่สุดเจอจอมเอาแต่ใจเล่นไปทีขนาดผู้ชายยังเกือบร้องโฮ กลายเป็นกิจกรรมพีคไปเลย

   "เน็ทไม่เคยเริ่มก่อน"

   หน้าจอโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะของผมสั่นครืด พอมองลงไปก็เห็นรูปแผ่นหลังของใครคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคยดีพร้อมกับชื่อที่ผมตั้งไว้ว่า 'ปัจจุบัน' รูปที่ตั้งเลียนแบบการจดบันทึกในเครื่องของอีกคน

   ให้น้องได้เห็นอิทธิฤทธิ์กับตัวก็ดีเหมือนกัน

   "ครับผม"

   (มึงคุยกับใคร)

   ปลายสายถามขึ้นมาแทบจะทันทีที่กดรับ ผมแอบกวาดสายตามองไปรอบตัวเพื่อดูว่าใครที่สายข่าวที่รายงานความคืบหน้าของผมให้อีกคนรู้ ตรงนี้ถ้าให้มองตามสายตาของคนทั่วไปก็คงคิดว่าเป็นเรื่องน่ากลัวแหละ แต่ว่าผมเองเจอมาบ่อยจนชินแล้ว

   "น้องค่าย"

   (...)

   "เน็ท?" พออีกฝั่งของสัญญาณโทรศัพท์เงียบเสียงไปผมเลยเรียกชื่อเป็นการถาม

   (กูนับหนึ่งถึงสามนะฟิว) เสียงเรียบติดไม่พอใจนั่นบอกผมว่าพายุใหญ่กำลังมา

   (ถ้ามึงไม่ออกมา กูจะเข้าไปเอง)
 

┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨


   "ฟิว เย็นนี้เข้าด้วย"

   คิ้วของผมเลิกขึ้นสูงแทนการส่งคำถามคืนไป

   "วันนี้?" เร็วกว่าที่ตกลงกันไว้เยอะ

   "เออ"

   "ขนาดนั้น?" ปกติแล้วเพื่อนของผมคนนี้ไม่ค่อยทำหน้าหงุดหงิดใส่ใครมากเท่าไหร่ ถ้าลองตอบสั้นห้วนแล้วยังทำหน้าบอกบุญไม่รับขนาดนั้นก็คงหมายความได้อย่างเดียวว่าเรื่องคงไม่ดีเท่าไหร่

   "ไปดูเอง"

   เห็นภาพโดยรวมเลยไม่ถามอะไรเพิ่มเติมอีก ผมพยักหน้าคืนให้เป็นการตกลงแล้วถึงก้มลงไปให้ความสนใจกับโจทย์ไดนามิคตรงหน้าต่อ แต่ว่ามันกลับไม่เข้าหัวเลย

   ไม่ใช่คนเซนต์ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าในหลายๆ ครั้งความรู้สึกของตัวเองกับสิ่งที่จะต้องเจอมันค่อนข้างไปในทางเดียวกันมากเหลือเกิน การที่โดนเรียกให้เข้าไปช่วยเร็วอย่างนี้มันบอกอะไรได้หลายๆ อย่าง...

   ในเวลาไม่กี่พริบตาก็ถึงเวลาที่ผมได้ตกลงเอาไว้ เสียงชายหนุ่มที่ตะโกน...ไม่สิ ตะคอกออกมาจนก้องโรงยิมที่แปรสภาพกลายเป็นสถานที่ทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ผิดวัตถุประสงค์ไปเยอะอยู่

   "บอกแล้วนะ ได้แค่ไหนแค่นั้น"
   
   หันไปทวนข้อตกลงที่ให้ไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะรับหน้าที่มาตามคำขอร้อง เพื่อนชายคนสนิทของผมรีบตอบรับเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้

   "เออ เอายังไงก็ได้ให้ปีสามปีสี่ไม่ลงมาแดกหัวพวกเราอะ ไม่อย่างนั้นที่เราตั้งใจจะปฏิวัติแม่งล่มเลยนะมึง"

   ดูจากรูปการณ์แล้วคงพอเดาได้ใช่ไหมล่ะว่าผมกำลังจะทำอะไรต่อไป แต่ขอบอกไว้ตรงนี้ก่อนว่าผมไม่เคยเรียกตัวเองว่าว้ากเกอร์ พี่ว้าก หรือจะพี่ระเบียบก็ตาม ผมเป็นเพียง 'นักแสดง' ที่ต้องเล่นไปตามบทบาทของตัวเองก็เท่านั้น

   "แล้วจะให้กูเข้าไปเมื่อไหร่" จนถึงตอนนี้ผมก็ยังได้ยินเสียงของคนพวกนั้นไม่จบไม่สิ้น

   "แล้วแต่มึงเลย กูบอกพวกมันไว้แล้ว"
   
   พอได้รับคำอนุญาตให้ทำอะไรก็ได้แล้วผมเลยค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มของพี่ปีสองที่ทำหน้าที่อื่นๆ แฝงตัวเพื่อดูสถานการณ์ว่าตอนนี้กำลังอยู่ในฟีลไหน

   ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าเหมือนเป็นภาพรีเพลย์ซ้ำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อปีที่แล้ว ต่างกันตรงที่จากเป็นเด็กน้อยนั่งรวมกันอยู่ตรงกลางสนามเป็นแถวระเบียบตอนนี้ผมก็กลายมาเป็นคนยืนมองบ้างแล้ว

   "เร็วจัง"

   "หืม?" ผมหันไปทางเพื่อนสาวคนหนึ่งในเอกที่ยังคงก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถือของตัวเองไม่มีพัก   

   "แต่ก็นะ..."

   "คนไหนอะ"

   ดูจากการถอนหายใจแล้วผมว่าก็หนักอยู่ เพื่อนคนเดิมกดปิดหน้าจอมือถือแล้วมองปราดเดียวไปทางกลุ่มเด็กปีหนึ่งพร้อมกับชี้นิ้วตรงไปยังจุดเยื้องไปข้างหลัง

   "คนเดียวที่ไม่ติดป้ายชื่อ"
   
   พอบอกอย่างนั้นเลยลดขอบเขตของการตามหาได้ง่ายขึ้นเยอะ ผมมองตามทิศทางที่ถูกกำหนด

   เด็กผู้ชาย...ดูจากยูนิฟอร์ม ผมตัดสั้นมีซอยประปรายตามสมัยนิยม ผิวขาวอย่างที่เห็นแล้วดูขัดตา ใบหน้านิ่งเรียบแต่คิ้วที่กำลังขมวดบอกว่ากำลังอดทนอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน

   "เล่าให้ฟังหน่อย"

   "ลองดูเอง"

   มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจไม่น้อยที่เพื่อนทั้งสองคนให้คำตอบในแบบเดียวกันคือผมต้องลองเจอด้วยตนเอง

   "มันแย่อย่างนั้นเลยเหรอ..."

   "ก็ยิ่งกว่าตอนที่ฟิวทำเมื่อปีที่แล้ว" เพื่อนสาวยกป้ายชื่อขึ้นพัด ในโรงยิมไม่มีเครื่องปรับอากาศหรือว่าพัดลมที่ช่วยระบายอากาศที่อบอ้าว "นิ่งกว่า...แต่เด็กกว่า"

   ผมไม่คุ้นหน้าของเด็กที่กำลังเป็นส่วนที่น่าหนักใจของการรับน้องในครั้งนี้ ทั้งที่เด็กที่โดดเด่นขนาดนี้ไม่มีทางที่ผมจะลืมลง อาจเป็นเพราะน้องเขาไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมอื่นที่จัดขึ้นก่อนหน้านี้ ท่านั่งขัดสมาธิหลังตรง ยกมือขึ้นมาปิดปากที่หาวหวอดแบบไม่เกรงใจใคร

   ...ไม่เห็นเหมือนผมสักหน่อย

   "เราไปก่อนนะ"

   "เดี๋ยวรอดู"

   เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมเห็นว่าประจวบเหมาะสำหรับการเข้าไปรับช่วงต่อ เก้าอี้พลาสติกที่ที่ถูกวางทิ้งไว้แถวนั้นตัวหนึ่งเลยถูกผมจับ ลากมันไปพร้อมกับออกเดินให้เสียงของแข็ง่ขูดไปกับพื้นสนามดึงความสนใจของทุกคนมาอยู่ที่ผมคนเดียว

   ถึงวลาเปิดม่านแสดงแล้ว

   "สตาฟออกไป"

   ใช้เสียงแบบที่เอาแค่พอให้ดังจนทั่วห้องก็พอแล้ว ไม่ต้องตะคอกหรือตะโกนให้เสียงหายเล่นๆ ผมไม่ได้เป็นคนเข้ามาตกลงเองแต่คิดว่าเพื่อนคงได้เตรียมการในส่วนนี้เอาไว้จนครบแล้ว เพราะอย่างนั้นการสั่งของผมเลยไม่ต้องมีการพูดซ้ำสอง ตอนนี้ในโรงยิมกว้างเลยมีแค่ผมกับเพื่อนที่เป็นผู้ดูแลอยู่เท่านั้น

   "สวัสดีครับ" ทักทายแทนการดึงความสนใจทั้งหมดให้มาอยู่ที่ผมคนเดียว "คุณไม่ต้องรู้หรอกว่าผมเป็นใคร วันนี้ผมแค่แวะมาถามอะไรนิดหน่อย"
   
   ห้องกว้างมีแต่ความเงียบสงัด จะได้ยินก็เพียงเสียงของเครื่องยนต์ที่ผ่านหน้าตึกไปเท่านั้น

   "คุณคิดว่ากฎมีไว้ทำไมครับ" พอเห็นว่าคงไม่มีใครกล้าตอบผมเลยถามต่อ "มีใครอยากเป็นอาสาสมัครไหมครับ"

   คนตัวเล็กยกมือขึ้นแล้วลุกขึ้นตามทันที คนอย่างนี้รับมือยาก นัยน์ตาที่เห็นจากไกลๆ ฉายแววรู้ทันจนสิ้น เขารู้ว่าคำถามของผมต้องการเจาะจงไปที่ใคร

   "ไม่ได้ร้อนตัว แต่คิดว่าคงหมายถึงผม"

   "เชิญตอบครับ"

   "ไว้ปฏิบัติตาม...ตราบที่ไม่ได้ละเมิดสิทธิคนอื่น" ไม่มีหางเสียง ไม่ใช้เสียงอ่อน ทุกอย่างแข็งกระด้างจนผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงบอกให้ผมมาเจอด้วยตัวเอง "ในรัฐธรรมนูญก็มีเขียนไว้นะ"

   "งั้นสิ่งที่คุณทำตอนนี้คือการปฏิิบัติตามรึเปล่าครับ?"

   "แล้วสิ่งที่คุณทำคือการละเมิดสิทธิหรือเปล่าล่ะ"

   ยอกย้อนทุกคำ แล้วก็ไม่ใช่การเถียงแบบไร้เหตุผล เด็กแบบนี้น่าจะไปเรียนสายสังคมมากกว่าที่จะมีนั่งอยู่ในคณะวิทย์จ๋าอย่างนี้

   "เราขอความร่วมมือไปตั้งแต่แรกแล้ว ผมว่าเขาก็น่าจะบอกเรื่องที่ว่าถ้าไม่พอใจก็ให้แสดงเจตจำนงไม่เข้าร่วมได้นะ"

   หนึ่งในข้อเสนอของผมเอง ใครที่ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ให้ส่งจดหมายมาได้เลยโดยไม่ต้องระบุเหตุผลมาด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้นคนที่อยู่ตอนนี้คือคนที่ยอมรับข้อตกลงมาแล้วทั้งนั้น

   "ข้อตกลงที่ไม่มีความแน่นอนพรรณนั้นน่ะเหรอ"

   "ถ้าไม่ทำตามก็แสดงว่ายินยอม" ผมควรจะจบการเตือนเพียงแค่นี้ ก่อนที่มันจะบานปลายไปมากกว่านี้ "ตกลงอะไรไว้ก็ช่วยทำตามด้วยนะครับ ไว้ผมจะเข้ามาตรวจใหม่"

   "คิดว่าใหญ่มากหรือไง ถึงอายุจะมากกว่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรก็ได้นะ"

   "แล้วอายุน้อยกว่าเลยจะทำอะไรก็ได้?"
   
   พอยืนเต็มความสูงก็ยิ่งเห็นชัดว่าเด็กอวดดีที่ยังจ้องตากับผมไม่ยอมลดละนั้นสูงเพียงแค่ช่วงริมฝีปากของผมเท่านั้นเอง ตัวเล็กอย่างนี้ไม่ชอบออกกำลังกายล่ะสิ

   "คุณชื่ออะไรครับ?"

   อีกฝ่ายเงียบ

   "ถ้าติดป้ายชื่อตามที่บอกก็ไม่ต้องมาถามอะไรอย่างนี้"

   "แล้วคุณชื่ออะไรล่ะ" ร้าย...ตั้งแต่การใช้คำที่ล้อเลียนไม่ต่างกัน

   "ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรู้ชื่อหรอก"
   
   หนึ่งสิ่งที่ยากสำหรับหน้าที่นี้คือการมีสติอยู่ตลอดเวลา ห้ามเปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายหาทางตีโต้กลับมาได้ ทุกคำพูดต้องได้รับการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว

   "แค่ชื่อตัวเองยังไม่รู้ แล้วยังมาถามคำถามคนอื่น"

   "รู้ กับ รู้แต่ไม่บอก ไม่เหมือนกัน" ต้องรีบจบให้มากที่สุด ถึงผมจะมั่นใจว่าพอที่จะรับมือเด็กอย่างนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ยิ่งนานก็จะแย่เสียเปล่าๆ "สรุปแล้ว ทำไมไม่ติดป้ายชื่อครับ"

   "ไม่ใช่หน้าที่"

   "งั้นก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ผมต้องบอกเหมือนกัน"

   ผมยิ้มจางให้เด็กเอาแต่ใจที่อยู่ตรงหน้า จากที่คิดว่าต้องมาเจอกับอะไรที่น่าเบื่อกลับเป็นว่าผมเริ่มสนุกกับการได้อยู่ในบทบาทนี้

   เล่นกับเด็กก็น่าจะบันเทิงใจอยู่

   "ถ้าอยากรู้มากก็ตามหาเอาเอง"
 
┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨

   "ฟิว"

   "..."

   "ฟิว"

   'เน็ท' คือชื่อที่คนอื่นบอกผมมาเกี่ยวกับตัวปัญหาตอนนี้ เท่าที่ได้ข้อมูลมาก็เป็นที่รักของเพื่อนๆ เยอะอยู่เหมือนกัน เป็นจำพวกคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายไปทั่ว แต่บทจะเอาแต่ใจนี่ก็ไม่มีใครเกิน

   วันนี้เน็ทไม่ใส่ป้ายชื่ออย่างที่เป็นข้อกำหนดไว้อีกแล้ว สำหรับผมไม่ได้มีปัญหามากเท่าไหร่ อย่างน้อยเด็กอายุ 18 ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแล้วก็ควรที่จะมีสิทธิได้ทำอะไรอย่างที่ตัวเองต้องการบ้าง ไม่ใช่ว่าต้องมานั่งทำตามทำสั่งของพวกรุ่นพี่บ้าอำนาจไปทั่ว

   "รู้ชื่อแล้ว"

   เป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่พอตัว แล้วยังไม่ยอมคนง่ายๆ อีกต่างหาก ไม่อย่างนั้นเรื่องแค่นี้คงไม่ต้องถึงขนาดเดินมาบอกต่อหน้าก็ได้ นี่ล่ะมั้งที่เพื่อนเขาบอกว่ายังเด็กอยู่

   "อืม"

   "ฟิว"

   "...แม่งมากวนตีน"

   คำพูดของเพื่อนสนิทที่ขึ้นมาลอยๆ บอกให้ผมรีบปราบเอาไว้ก่อน ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่คิดว่ามันเป็นการกวนบาทาอะไร กลับมองว่ากำลังเล่นกับเด็กน้อยที่อายุไม่กี่ขวบต่างหาก หรืออาจเป็นเพราะว่าผมมีน้องที่ห่างกันเป็นสิบปีด้วยล่ะมั้ง จะว่าไปแล้วเน็ทที่ก็นิสัยเหมือนน้องผมอยู่เหมือนกันนะ ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ

   โรงอาหารที่เป็นลานโล่งไม่ได้มีลมพัดพาเข้ามามากเท่าไหร่ แต่มันก็พัดเด็กที่บอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรให้หายไปกับสายลมได้เช่นกัน อยากมาก็มา อยากไปก็ไป นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าลมเพลมพัด

   "เดี๋ยวกูตามไป ถ้ามีชีตเก็บให้ด้วย"

   มื้ออาหารที่จบไปรบกวนความรู้สึกของผมไม่น้อย พอลองล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายของตัวเองแล้วพบว่าไม่ได้เอาแท่งนิโคตินออกไปเลยคิดว่าไปหาเรื่องอัดสารพิษเข้าปอดให้อารมณ์ดีขึ้นเสียหน่อย

   ผมไม่ชอบสูบบุหรี่ ไม่มีความตั้งใจที่จะเลิกเพราะว่าไม่ได้คิดว่าตัวเองติดอะไรอยู่แล้ว มันเป็นเพียงส่วนช่วยให้อารมณ์แปรปรวนของตัวเองกลับมาเข้าที่เข้าทางได้เร็วขึ้นหน่อยก็เท่านั้นเอง

   "สูบทำไม ไม่ดี"

   คงเป็นลมชุดเดิมที่พัดเอาคนที่หายไปเมื่อครู่กลับมาพร้อมกับแก้วกาแฟในมือ ผมมองเด็กปีหนึ่งตัวปัญหานั่งแหมะลงตรงขอบปูนพลางดูดน้ำในแก้วไปด้วยโดยไม่ตอบอะไรกลับไป

   "เลิกเลยนะ ไม่ชอบ"

   บอกว่าไม่ชอบ แต่ก็มานั่งดมอยู่เป็นเพื่อน

   "ได้ยินไหมฟิว?"

   "..."

   "ฟิว"

   "เน็ท"
   
   ที่บ้านต้องเลี้ยงแบบปล่อยแค่ไหนนะเลยเป็นเด็กที่เอาแต่ใจได้ขนาดนี้ นี่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชายที่ทำอะไรก็ได้ตามใจนึกหรือไง

   "ฟิว"

   "เน็ท"

   "เลิกสูบเดี๋ยวนี้เลยนะฟิว"

   ผมไม่โกรธนะที่เขาเรียกชื่อผมโดยไม่มีคำว่าพี่นำหน้า แล้วก็ไม่ได้รำคาญด้วยที่เขาเอาแต่สั่งอย่างนั้น กลายเป็นเรื่องที่น่าลุ้นต่อไปว่าถ้าผมไม่ยอมทำตามที่เขาสั่งแล้วคนเอาแต่ใจจะทำอย่างไรต่อ อย่างกับคนโรคจิตเลยเนอะผมเนี่ย

   "บอกให้เลิกไง!"

   แท่งนิโคตินที่ผมคาบไว้ตรงริมฝีปากถูกดึงออกไปกะทันหัน แล้วจากภาพสวนหญ้ารกทึบก็กลายเป็นใบหน้าไร้รอยตำหนิติดง้ำงอของเน็ทไปแทนเพราะผมต้องก้มลงมามองเด็กตัวเล็กกว่าไม่ต่างจากตอนที่อยู่ในห้องประชุมเชียร์ ผมเพิ่งสูบไปได้ไม่เท่าไหร่เอง เสียดายจัง เดี๋ยวนี้ภาษีบุหรี่แพงนะ

   คนประหลาดที่ไหนเขาดึงบุหรี่ออกจากปากของคนที่ไม่รู้จักกัน

   "รู้จักเรื่องสูบบุหรี่มือสองไหม"

   "รู้" เรื่องที่เขาว่ากันว่าคนที่ได้กลิ่นบุหรี่นี่อันตรายกว่าคนที่สูบอีก

   "งั้นก็ต้องหยุดสูบสิ"

   "ไม่มีเรียน?"

   หาเรื่องเปลี่ยนเรื่องคุย เวลานี้เด็กปีหนึ่งควรจะอยู่ในคาบเรียนวิชาบังคับ

   "เดี๋ยวไป"

   "ไปเดี๋ยวนี้"

   "ไม่เอา"

   โคตรดื้อ

   "งั้นไปล่ะ"

   "ห้าม!"

   คิ้วของผมเลิกขึ้นสูงตอนที่อีกฝ่ายสั่งออกมา ได้ข่าวว่าผมเพิ่งรู้จักน้องเขาได้แค่ไม่ถึงสองวันดี อะไรคือการที่มาเจ้ากี้เจ้าการอย่างกับเป็นเจ้าของชีวิตของผมนะ

   "ฟิว"

   เสียงสั้นติดห้วนแบบคนที่ถูกตามใจมาโดยตลอดยังคงเรียกชื่อผมอย่างไม่ลดละ อะไรจะชอบชื่อผมขนาดนั้น

   "อยากได้ชื่อจริงด้วย?"

   "เลิกสูบบุหรี่เลยนะ"

   "ตัวยุ่ง..." บ่นอุบกับตัวเอง

   "มันไม่ดี"

   "แล้วที่ทำตัวอย่างนี้คือดี?"

   เอาแต่ใจตัวเอง ไม่แคร์ใครหน้าไหนทั้งนั้น ผมไม่เข้าใจเด็กประเภทนี้เลย ขนาดพยายามดันกิจกรรมให้กลายเป็นเรื่องของความสมัครใจได้แล้วแท้ๆ ก็ต้องมาเจออย่างเน็ทอีก

   "ไม่ใช่เรื่องของนาย"

   "นี่ปอดผม นี่ปากผม นี่เรื่องของผมเหมือนกัน"

   ไม่รู้ทำไมผมถึงชอบเวลาที่ได้ย้อนกลับไปอย่างนี้ เวลาที่เห็นหน้าของเขาฉายแววไม่พอใจอยู่ในนั้นเต็มไปหมดแล้วยิ่งทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นไปอีก

   "นี่เรื่องของเน็ท!"

   กลับบ้านไปผมจะกอดน้องแรงๆ สักทีที่เป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทของผม จากที่เคยคิดว่าน้องตัวเองเอาแต่ใจมากแล้วมาเจอคนตัวเล็กกว่าที่ชื่อเน็ทแล้วเด็กทุกคนก็ดูน่าขึ้นมาเป็นสิบเท่า

   ผมเกือบหลุดขำออกมาตอนที่เขาแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นอย่างนั้น เรื่องของเน็ทอย่างนั้นเหรอ

   "งั้นมาแลกกันไหมล่ะ เลิกสูบให้ แต่ว่าต้องให้ความร่วมมือตลอดการรับน้อง"

   ยื่นข้อเสนอไปอย่างนั้นแหละ บอกแล้วว่าผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการเลิกสูบบุหรี่อยู่แล้ว ให้เลิกวินาทีนี้เลยก็ยังได้ เพียงแต่ว่าถ้ามีช่องว่างให้ตัวเองได้ประโยชน์ก็ต้องใช้มันให้คุ้มหน่อย เรื่องนี้เน็ทผิดเต็มๆ เลยนะ เพราะในสัญญาเขียนไว้ชัดอยู่แล้วว่าการยินยอมเข้าร่วมหมายความว่าต้องรับกิจกรรมให้ได้

   เน็ททำหน้าหงิก ไม่ต่างกับเด็กน้อยที่ไม่เคยเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้ เห็นเขากัดริมผีปากสีอ่อนของตัวเองเหมือนกำลังคิดหนัก

   "...ก็ได้"

   "ต้องทำตามให้ได้นะ" ร้องไชโยในใจ ผมยังทำหน้านิ่งขณะมองดูว่าเด็กปีหนึ่งจะทำอย่างไรต่อ

   "สัญญาเป็นสัญญา ถ้าไม่คิดจะทำอย่างที่พูดก็อย่าทำ"

   พิลึกคน สมัยนี้ยังมีคนที่ยึดมั่นในเรื่องนี้อีกด้วยเหรอ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเห็นคนพูดคำว่าสัญญาออกมาเป็นว่าเล่นจนกลายเป็นคำที่ไร้ความสำคัญไปแล้ว

   "แน่ใจ?"

   "เน็ทพูดแล้วไม่เคยคืนคำ!"

   "อืม ได้ยินอย่างนี้ก็ดี" แถวนั้นไม่มีใครอื่น ถึงเป็นอย่างนั้นก็อยากให้สัญญานี้เป็นความลับของเราสองคน ผมโน้มตัวลงไปจนใบหน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของครีมแบบที่เด็กใช้ลอยเข้ามาปะทะจมูกจนคล้ายว่าผมกำลังอยู่กับเด็กไม่กี่ขวบจริงๆ

   กระซิบข้างหูย้ำคนที่บอกว่าพูดแล้วไม่คืนคำ "เพราะถ้าผิดสัญญาเมื่อไหร่ ผมจะลงโทษหนักเลยล่ะ"


***
   ได้เอาพี่ฟิวมาเปิดตัวสักทีค่ะ อยากจะทำตั้งแต่แต่งได้ไม่กี่ตอนกว่าจะได้มาจริงๆ ตอนพิเศษ (หัวเราะ) จากที่คิดว่าจะทำให้เป็นตอนเดียวจบดูท่าว่าน่าจะไม่ได้แล้วล่ะค่ะ อาจเป็นสองหรือสามตอนต้องดูตอนที่พิมพ์ว่ามันจะทะลุหน้าที่วางไว้หรือเปล่า น่าจะอัพสลับกับของพี่แบล็คไปมานะคะ พาร์ทหลังของพี่แบล็คน่าจะลงได้เป็นสัปดาห์หน้าค่ะ ขอดูงานระหว่างสัปดาห์ก่อนว่ามากแค่ไหน หรืออาจเจอกับตอนที่สองของเน็ทก็ได้นะคะถ้าแต่งพี่ไม่ออก (ฮา)
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-06-2016 22:51:01
ออกแนวแพ้ทาง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 19-06-2016 19:56:16
 :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 20-06-2016 17:44:29
หึหึ รอดูคู่นี้
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 20-06-2016 17:45:18
รอดูคูนี้
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 24-06-2016 13:25:16
อ่านจบแล้วหละ เอาสั้น ๆ เลยนะ "งง"

 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 25-06-2016 12:35:35

อุหวาาาาาา! นี่หรอพี่ "อนาคต" ><!?
ชอบที่เมมชื่อเน็ตว่า "ปัจจุบัน" อิอิ
ฉากเจอกันครั้งแรกนี่สุดๆจริงๆ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: zaalim ที่ 26-06-2016 21:59:38
อ่านทันแล้ว..... โอยยยยย ขอสารภาพเลยว่าเฟบเรื่องนี้ไว้นานแล้วเพิ่งมาอ่าน  :z3:
เป็นนิยายที่ใช้ภาษาดีอีกเรื่องนึงสำหรับเราเลยนะ...  สนุกมากๆ พออ่านแล้วก็วางไม่ลงกันเลยทีเดียว แต่ละตัวละครในเรื่องก็มีปมชวนให้น่าติดตาม... มารู้ตัวอีกทีก็อ่านจบซะแล้ว...  :hao7:

ส่วนตอนของสิปป์กับนิชนี่ยังแอบอยากเห็นน้ำโดนปีศาจของเราเล่นหนักๆสักทีนึงนะ หมั่นไส้!! 5555 แต่ตอนนี้อยากรู้เรื่องของพี่อนาคตกับน้องปัจจุบันแล้วค่ะ มาต่อไวๆนะคะ ขอบคุณค่าาาา   :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 2 (ฟิวเน็ท) [01.07.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 01-07-2016 21:15:37
NET's [ฟิว-เน็ท]

(2)

   ผมเพิ่งรู้ว่าคำพูดมันมีความหนักก็วันนี้

   แอบมองกิจกรรมจากด้านหลังสุดของสตาฟ เห็นว่าเจ้าเด็กที่เอ่ยปากต่อรองนั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยจนน่าประหลาดใจ กิจกรรมในวันนี้เป็นการสอนร้องเพลงคณะเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะมีการร้องโชว์รุ่นพี่ในวันพรุ่งนี้ เป็นการร้องเพลงตามประเพณีที่ไม่ได้บังคับว่าต้องร้องดังอะไร สอนไว้เผื่อไปบูมพี่วันรับปริญญาเท่านั้นแหละ

   "สงบ?"

   "อืม แต่ว่าก่อนฟิวเข้ามีปีสี่มาลองของ โดนเล่นไปแล้ว"

   เสียงที่เล่าเจือไปด้วยความสนุกสนาน ปีสี่รุ่นนี้ไม่ค่อยได้รับความเคารพจากรุ่นอื่นมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะจากรุ่นของผม ก็ปีก่อนเล่นมาพังเกือบทุกกิจกรรม อยากให้จบตอนไหนก็ทำ พอถามหาเหตุผลก็ตอบแบบข้างๆ คูๆ จนพวกผมรวมกลุ่มกันแบนกันไปเรียบร้อย

   "น่ากลัวจะโดนลับหลัง"

   "ใครจะเถียงทัน"

   "นั่นสิ" หัวเราะออกมาเบาๆ ตอนนึกถึงภาพเน็ทเถียงเสียงเจื้อยแจ้วเมื่อครั้งก่อน "งั้นเราไปล่ะ"

   "อย่าเพิ่ง มีเรื่องจะให้ช่วย"

   "อะไร?"

   "ป้ายชื่อ" แผ่นกระดาษมันที่ถูกแต่งด้วยลวดลายประหลาดพร้อมปากกาเมจิคหัวใหญ่ถูกยื่นมาให้ผม

   "จะให้เข้าไปเป็นพี่เนียนหรือไง"

   "เปล่า ฝากเอาไปให้น้องเน็ทหน่อย"

   "เรา?"

   "ก็นอกจากฟิวมีใครคุมอยู่อีกล่ะ" การกรอกตาไปมาบอกว่าคงไม่มีใครสู้เด็กตัวเล็กคนนั้นได้จริง

   ผมรับป้ายที่ยังคงไร้ชื่อเจ้าของมาไว้ในมือ มองไปที่เด็กคนนั้นว่าจะทำตัวดีอย่างที่บอกหรือเปล่า เน็ทไม่ถึงขั้นที่ว่าให้ความร่วมมือจนอยากปาดน้ำตาด้วยความประทับใจ อย่างน้อยก็เป็นที่พอใจได้ว่าจะไม่ทำอะไรที่เป็นการวุ่นวายกิจกรรมอื่นอีก

   "เน็ท มานี่หน่อย" พอเห็นว่าเด็กปีหนึ่งกระจายตัวกันไปพักเบรคตามอัธยาศัยผมเลยกวักมือเรียก

   "สัญญา!"

   นั่นคือคำทักทายในแบบของเน็ทสินะ

   "อืม เห็นแล้ว"

   "มาเช็คหน่อย" คนตัวเล็กกว่าทำจมูกฟุดฟิดแถมยังยื่นหน้ามาใกล้จนผมต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง "ฟิว อย่าหนีสิ จะเช็คว่ามีรักษาสัญญาไว้รึเปล่า"

   "ไม่ได้สูบเลย"

   ก็บอกว่าว่าผมไม่ได้ติดสารพิษที่อยู่ในนั้นมากเท่าไหร่ ตั้งแต่วันที่สัญญาไปแล้วซองบุหรี่นั้นก็ถูกโยนทิ้งลงไปในถังขยะอันตรายไปแล้ว

   "งั้นก็อย่าหนี ให้พิสูจน์ก่อน"

   "ไม่เชื่อหรือไง"

   "ไม่"

   คำว่า 'ไม่' คำเดียวถูกใช้ในหลายบริบทจนผมแปลกใจ

   "งั้นก็เต็มที่เลยครับท่าน"

   "หึ"

   นี่ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าผมเรียกแบบประชดน่ะ เน็ทกระตุกมุมปากขึ้นชั่วขณะแล้วเปลี่ยนจากน้องเฟรชชี่ปีหนึ่งเป็นนักสืบที่ตามหาร่องรอยที่ต้องการไม่ยอมหยุด เขาเล่นวนรอบตัวผมเป็นวงกลมอย่างกับเป็นช่างเสื้อที่กำลังวัดตัวลูกค้าอยู่ เห็นแล้วเวียนหัวแทน

   "ดีมาก"

   "บอกแล้วไม่เชื่อ"

   "มึงมันไม่น่าไว้ใจ"

   พอใจดีด้วยชักเอาใหญ่ มาขึ้นมึงกูใส่เสียแล้ว เน็ทนี่ไม่เคยโดนใครหมั่นไส้หรือดักตีหัวบ้างหรือไงนะ ผมว่าถ้าลองสลับจากผมเป็นพี่คนอื่นดูสิ เน็ทไม่ได้มายืนสบายๆ อยู่ตรงนี้แน่

   "ให้" ยื่นงานที่โดนรับมอบหมายมาอีกคน "ไม่ต้องใส่ตลอดเวลาก็ได้ อย่างน้อยก็ตอนอยู่ในห้อง"

   "ทำไมต้องใส่"

   "แล้วทำไมถึงจะไม่ใส่"

   "ป่านนี้คนอื่นรู้ชื่อกูหมดแล้วมั้ง"

   เน็ทเป็นเด็กในบางมุม แต่อีกหลายมุมผมว่าเขามีเหตุผลที่มากกว่าใครหลายๆ คนในรุ่นเดียวกันมากเหลือเกิน อย่างเรื่องป้ายที่ที่เขาบอกกันว่าให้ใส่เพื่อเป็นการแนะนำตัวแบบที่ไม่ต้องคอยพูดตลอดเวลา แล้วถ้ารู้จักแล้วก็ไม่ต้องใส่อย่างนั้นใช่หรือเปล่า เป็นหน้าที่ของคนที่เด็กกว่าจริงเหรอที่ต้องคอยนำเสนอตัวเองให้คนอื่นรู้จัก

   ผมว่าเป็นสิ่งดีที่เราจะตั้งคำถามต่อแนวทางการปฏิบัติที่ดูโบราณไร้เหตุผลมารองรับ

   "ถึงกูจะไม่ได้อยากรู้จักใครก็เถอะ"

   "แล้ววันนั้นมาทักผมทำไม"

   "ไม่ได้ทัก แค่ไปบอกว่ารู้ชื่อแล้ว"

   จะเรียกว่ามันเป็นการเถียงก็พูดได้ไม่เต็มปาก ในเมื่อวันนั้นสิ่งที่เน็ททำมันคือการเรียกชื่อของผมซ้ำอยู่อย่างนั้นไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม "มึงเป็นเดือนคณะเหรอฟิว ทำไมคนถึงรู้จักมึงเยอะ"

   "เปล่า" ปฏิเสธไปตามจริง ผมไม่ได้เป็นเดือนคณะ หรือว่าทำงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานออกหน้าพวกนี้ "ก็คณะไม่ได้ใหญ่ ผมก็รู้จักเกือบหมด"

   "กูว่าคณะนี้ใหญ่ฉิบหาย"

   ยักไหล่ขึ้นแบบไม่ใส่ใจ "แล้วแต่จะคิด"
   
   "เออนั่นแหละ สรุปคือกูไม่เอา"

   "เน็ท" เรียกชื่อห้วนๆ เหมือนเวลาที่กำลังดุน้องที่บ้าน

   "ฟิว"

   ดันลืมไปว่าที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่น้องที่ห่างกับเป็นสิบปีคนนั้นสักหน่อย ผมถอนหายใจออกมาต่อหน้าเด็กที่ทำตัวกวนบาทาไม่มีลดราวาศอก คิดแล้วก็ไม่น่าพาตัวเองเข้ามาอยู่ตำแหน่งนี้เลย อยู่เงียบๆ คนเดียวของผมก็ดีแล้ว

   "ไหนบอกว่าจะให้ความร่วมมือไง"

   "ให้แล้ว นี่ไม่เกี่ยว"

   "เอาที่จริงก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือเท่าไหร่เลยนะ"

   เดี๋ยวผมจะไปขอพาราฝ่ายพยาบาลไว้ติดตัวสักแผง ให้ตายสิพับผ่า ถึงเด็กผิวขาวที่อยู่ตรงหน้าจะไม่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์อะไรใส่รุ่นพี่แต่กับรุ่นเดียวกันแล้วเขาก็ยังหลีกตัวออกมาห่างอยู่พอสมควร จะเรียกว่าเป็นโชคดีของตัวเขาเองรึเปล่าก็ไม่รู้ที่ไม่ค่อยมีใครไม่พอใจกับการแสดงออกอย่างนั้นของเน็ทมากเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเราเป็นเด็กที่ใกล้จะหมดช่วงวัยรุ่นกันแล้วด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เป็นผู้ใหญ่พอที่จะรู้จักการเคารพความแตกต่างของคนในสังคม

   "ให้เยอะแล้ว"

   "ถ้าไม่อยากใส่คอก็ห้อยกับกางเกงก็ได้"

   "ไม่เอา ไม่รับ หายไม่รับผิดชอบ"

   "ผมให้เลยนะ"

   ไม่ต่างอะไรกับการต่อรองให้เด็กยอมกินผักเลย "กลัวหายเดี๋ยวเลิกแล้วจะเก็บไว้ให้ อีกวันค่อยมาเอา"

   "..."

   "อย่างนั้นโอเคไหมล่ะ"

   มองคนตรงหน้าทำท่าครุ่นคิดไม่ต่างจากจากตอนที่ผมยื่นข้อเสนอแรกให้ เน็ทนี่เป็นพวกเก็บสีหน้าไม่เก่งเลยนะ อย่างตอนนี้ก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนรู้ว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ผมมองไปเพลินๆ กว่าสติจะกลับมาครบก็ตอนที่ได้ยินแค่ส่วนท้ายประโยค

   "...ยนสิ"

   "อะไรนะ?"

   "ให้ก็เขียนชื่อสิ"

   ผมยิ้มออกมาได้หน่อยพอเห็นว่าเน็ทยอมอ่อนลงให้อย่างนั้น เปิดฝาปากกาเตรียมเขียนชื่อลงไป ต้องใช้วิธีเดียวกับตอนเลี้ยงน้องเลยแฮะ

   "ชื่อเขียนยังไง?"

   "มึงไม่รู้เหรอว่าชื่อกูสะกดยังไงอะฟิว"

   อ้าว แล้วไหงการที่ผมไม่รู้มันกลายเป็นความผิดของผมไปได้ล่ะ "ไม่รู้ บอกมา"

   "กากสัตว์ เอ นอ ไม้แปด ทอทหาร"

   ลากเส้นให้กลายเป็นตัวอักษรตามคำบอกเขา แต่พอได้ยินคำว่าไม้แปดแล้วก็ขำจนเขียนต่อไม่จบ เน็ทไม่ได้เหมือนเด็ก แต่เน็ทยังเป็นเด็กอยู่อย่างที่ผมบอกเลย มีใครเขาเรียกสระเอะว่าไม้แปดบ้างถ้าไม่ใช่เด็กอายุไม่กี่ขวบที่เพิ่งหัดเขียนน่ะ น้องของผมยังไม่เคยเรียกอย่างนั้นเลยนะ

   "ชื่อกูน่าขำเหรอฟิว"

   "ก็เปล่า" ฝืนตัวเองให้เขียนตัวสุดท้ายลงไปให้เสร็จแบบที่ลายเส้นไม่โย้เย้จากการกลั้นขำ "เอาไป เดี๋ยวเลิกแล้วถ้าจะฝากก็เอามาไว้ที่ผมได้"

   "เมื่อกี้มึงขำอะไร"

   ไม่ยอมรับของที่ผมยื่นไปให้แถมยังทำหน้าบูดพร้อมจะงอแงได้ตลอดเวลาอีก จากที่เคยคิดว่าการมีน้องอายุห่างกันมากพอสมควรเป็นเรื่องที่น่าเศร้าตอนนี้ผมกลับขอบคุณเหลือเกินที่ตัวเองมีประสบการณ์การรับมือกับเด็กมากอยู่พอสมควร อย่างตอนนี้ผมก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองควรทำต่อไปคืออะไร

   "อยากขำก็ขำ"

   "มึงเป็นคนบ้าหรือไง"

   "เขาเรียกยังมีความรู้สึก" เสียงเรียกรวมผ่านไมค์ดังขึ้นมาพอดี ผมเลยได้โอกาสที่จะยุติการพูดคุยที่ดูท่าแล้วจะไม่ยอมจบง่ายๆ "กลับไปเข้ากลุ่มได้แล้ว"

   "มึงแม่งเหี้ย กูยังรู้ชื่อมึงเลยทำไมมึงไม่รู้ชื่อกู"

   โดนเด็กด่าอีกครับ ผมแก้มัดปมเชือกให้เข้าที่แล้วคล้องมันลงไปที่คอของคนที่ยังไม่ยอมหยุดปากสักที

   "รู้ แต่ว่าเน็ทมันสะกดได้หลายอย่างนี่"

   "มึงแม่ง" เน็ทยกมือขึ้นเหมือนจะยีหัวตัวเองด้วยความไม่พอใจ แล้วกลายเป็นว่าฟาดตรงแขนผมเสียงดัง

   "เน็ท..."

   เอาเข้าไป อยากจะทำอะไรก็ทำเกินไปไหมล่ะ อยู่ดีๆ ก็ตีลงมาแบบเต็มแรงจนผมรู้สึกว่าแขนตัวเองเจ็บชาๆ เลย นึกว่าตัวเล็กแล้วก็ดูบอบบางอย่างนั้นจะไม่ค่อยมีแรงเสียอีก ฟาดลงมาทีมีตกใจเลยนะเนี่ย

   "บาย!"

   ยังไม่ทันได้ดุอะไรที่ทำอย่างนี้เน็ทก็สะบัดหน้าหนี หมุนตัวกลับไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนร่วมรุ่นเสียแล้ว ผมส่ายหน้าเอือมระอาอยู่คนเดียว มองเด็กอารมณ์แปรปรวนกลับเข้าไปอยู่ในกลุ่มเพื่อน มีอยู่สองสามคนที่เข้าไปใกล้ และหนึ่งในนั้นทำท่าเหมือนจะหยิบเครื่องประดับใหม่ที่คล้องคออยู่ขึ้นมาดู เลยโดนฟาดมือไปเต็มแรงไม่ต่างจากที่ผมโดนเมื่อกี้

   ไม่รู้ว่าผมหูดีไปเองหรือว่าเน็ทพูดเสียงดัง ผมเลยได้ยินชัดว่าเขาพูดอะไรต่อจากนั้น

   "อย่ายุ่งกับของเน็ท!"

   ไหนเมื่อกี้ยังบอกว่าไม่อยากได้อยู่เลย


┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨



   "อ้าว น้องเน็ทมีเพื่อนด้วยเหรอ"

   ชื่อของเด็กที่เป็นมากกว่าตัวปัญหาโผล่ขึ้นมาระหว่างที่เรากำลังนั่งรออาหารในร้านกลางห้าง ที่พูดออกมาคะนองปากอย่างนั้นก็เพราะว่าเน็ทเองยังคงขยันทำตัวกวนรุ่นพี่อย่างไม่หยุดยั้ง วันก่อนที่พี่ปีสามเข้าคนตัวเล็กแต่ใจใหญ่ก็เหวี่ยงเอาทุกอย่างล่มลงไปเป็นหน้ากอง ส่วนพวกผมที่ตกลงกับพวกพี่เอาไว้แล้วว่าไม่เอาระบบนี้เลยสบายหน่อยเพราะว่าไม่โดนสั่งซ่อมอะไรทั้งนั้น

   "มึงควรเลิกปากหมาได้แล้วนะ"

   "อะไรวะฟิว ปกติกูก็แซวไปทั่วอยู่แล้ว"

   ใช่ เพื่อนของผมคนนี้เป็นพวกปากไวแต่มือไม่ได้ไวตาม หลายครั้งที่เขาเกือบจะมีเรื่องกับคนอื่นเพราะปากไม่มีหูรูดของตัวเอง ยังดีที่ความกะล่อนเลยพาให้มาอยู่ถึงตอนนี้ได้

   "เออน่า"

   "หึ ทำอย่างกับพวกกูไม่รู้อะ มองน้องแบบแทบจะแดกเข้าไปล่ะ"

   "ไม่ใช่อย่างนั้น"

   สิ่งที่เน็ททำผมไม่ได้มองว่ามันถูก แต่มันก็ไม่ผิด แล้วมันคงจะไม่ดีเท่าไหร่ถ้าเสรีภาพของน้องต้องโดนจำกัดด้วยทัศนคติของคน ถ้าตราบใดมันยังไม่ได้เป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับกันในสังคมเราควรจะเคารพความแตกต่างของแต่ละคนให้ได้ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ

   สิ่งที่ผมทำก็แค่ปกป้องให้เขายังอยู่ต่อไปในสังคมได้โดยไม่ถูกบีบบังคับจากโลกภายนอกก็เท่านั้นเอง

   "มีเพื่อนหลายคนอยู่นี่"

   ที่เห็นเดินอยู่ด้วยกันก็สี่คนแล้ว ผู้ชายทั้งหมดแล้วก็ไม่คุ้นหน้าเลยสักคน คงไม่ได้อยู่คณะนี้

   "มีดิ กลุ่มนี้น้องกูบอกว่าตอนแม่งอยู่มัธยมโคตรดัง"

   "ไหนเล่า"

   "เน็ทเหรอ ก็มีแต่คนบอกว่าเอาแต่ใจอะ"

   นั่นผมรู้อยู่แล้วจากที่เจอมากับตัว ก็อย่างตอนนี้ที่ทั้งสี่คนยืนอยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นสีส้มแต่เน็ทก็ชี้ไปทางร้านสเต็กที่อยู่ถัดออกไปสองสามล็อค แล้วพนันได้เลยว่าต้องไปจบตามความต้องการของเน็ทแหง จอมเอาแต่ใจอย่างนั้นไม่ยอมลดละความต้องการของตัวเองหรอก

   เห็นไหมล่ะ เดินออกจากร้านแล้ว

   "เข้าใจเลย"

   "แล้วมึงอะฟิว คนนี้จริงจัง?"
   
   "จริงจัง?"

   ผมหันกลับมาทวนคำถามอีกครั้งหลังจากที่แผ่นหลังเล็กๆ นั้นหายเข้าไปในร้านสเต็กสีขาวแล้ว

   "สัตว์ เอาจริงเหรอมึง"

   "เอาใหม่ เมื่อกี้กูไม่ได้ฟังว่ามึงพูดอะไร"

   "เหยดโด้ คนอย่างฟิวแม่งเหม่อเป็นเหรอวะ"

   "เข้าเรื่องได้หรือยัง?"

   กดเสียงในต่ำลงเพื่อบอกว่าไม่ให้ล้อเล่นอีกต่อไป เพราะผมชอบเปิดโหมดดุอย่างนี้ออกมาไม่รู้ตัวบ่อยๆ เพื่อนเลยสนับสนุนให้ผมเป็นไพ่ตายในกิจกรรมห้องเชียร์ไงล่ะ เมื่อตอนปีหนึ่งเคยมีคาบที่ต้องซักถามเป็นคะแนนการมีส่วนร่วม ผมว่าตัวเองก็ถามแบบปกติไปนะ แต่ว่าคนพรีเซนต์น้ำตาคลอเลย

   "ดุอีก คิดว่ากลัวเหรอไง"

   "นับหนึ่ง..."

   "โว้ย อะไรจะขนาดนั้นวะ เมื่อกี้กูพูดว่า มึงจริงจังเรื่องเน็ทเหรอ"

   "หมายถึง"

   ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำว่าจริงจัง เขาหมายถึงที่ผมคาดโทษเอาไว้ตอนอยู่ห้องเชียร์อย่างนั้นเหรอ พวกเขาก็น่าจะรู้ว่าผมพูดเล่นไปอย่างนั้นเอง

   "เรื่องเน็ท"

   สายตายังคงจับจ้องไปยังทางเข้าร้านอาหารที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แม้ร่างของคนที่เป็นหัวข้อในการสนทนาจะหายลับเข้าไปแล้วผมกลับไม่ยอมละสายตาไปไหน เด็กที่มีนิสัยเอาแต่ใจอย่างนั้นจะชอบกินอาหารแบบไหนนะ จะเป็นพวกไม่เผ็ดอย่างที่น้องของผมชอบทานรึเปล่า

   จงทำมากกว่าพูด ผมทำอย่างนั้นมาตลอด ตอนที่เข้าปีหนึ่งมาผมอาจจะดูอาการหนักกว่าเน็ทอีกนะ ผมไม่ชอบพูดมาก แล้วก็พาลดูเป็นคนไม่ให้ความร่วมมือไปเสียอย่างนั้น

   "กูไม่ชอบคนพูดมาก"

   "จ้าาา พ่อคนไม่พูดมาก คิดว่าพวกกูไม่รู้หรือไงที่พี่ปีสี่่ยกพวกจะมารุมเน็ทแล้วมึงไปขู่จนไม่มีใครกล้ามาอะ"

   "แค่ทำหน้าที่ของรุ่นพี่"

   เป็นเรื่องตลกดีที่คนมีการศึกษาผู้ซึ่งกำลังจะได้รับใบปริญญาบัตรในอีกไม่ถึงปีข้างหน้ากลับเลือกใช้วิธีการใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา ผมไม่ได้ทำอะไรขนาดนั้นอย่างที่เพื่อนกำลังบอก ก็แค่ไปเตือนเรื่องข้อตกลงอะไรบางอย่างที่เราได้ทำกันไว้ตั้งแต่ก่อนมีการรับน้องขึ้น

   ไปย้ำว่าเรื่องบางเรื่องที่ผมเก็บไว้อาจทำให้พวกเขาไม่จบง่ายๆ

   "ออกโรงปกป้องนอกหน้าเกินไปไหมล่ะ"

   "ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เน็ทกูก็ทำแบบเดิม"   

   หน้าที่ของรุ่นพี่คือต้องปกป้องคนที่เด็กกว่าไม่ใช่หรือไง

   "แต่ถ้าเป็นคนอื่นมึงก็ไม่ถึงกับต้องขู่ขนาดนั้นป่ะวะ"

   "ก็ทุกอย่างมันพอดี ถ้าเป็นกลุ่มอื่นที่กูไม่ได้มีคดีของเขาเก็บไว้ก็ต้องใช้วิธีอื่น"

   อธิบายพลางแสดงอาการเหนื่อยหน่ายเต็มประดา ตอนนี้ทุกคนไม่มีใครสนใจอาหารจำนวนมากที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเลยสักนิด สายตาระยิบระยับอย่างคนอยากรู้อยากเห็นปิดไม่มิด เรื่องของคนอื่นล่ะอยากรู้ไปหมด

   "ว่าไง สรุปจริงจัง?"

   "แล้วแต่มึงคิด"

   ตัดบทให้จบลงเอาดื้อๆ เราควรจะเข้าใจกันได้โดนสามัญสำนึกไม่ใช่หรือไงว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องที่ถามได้ เรื่องไหนที่ไม่ควรถามน่ะ ผมหยิบตะเกียบที่วางไว้ข้างชามใบโตขึ้นมาเตรียมทานราเมงที่เริ่มออกอาการบวมน้ำแล้ว ปล่อยให้เสียงต่อมาผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาไปอย่างไม่คิดจะสนใจอีก

   "ถ้าให้กูคิดนะครับคุณมึง คุณมึงกำลังติดกับดักเข้าอย่างจังเลย!"


┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨


   "สวัสดีค่าาา"

   เสียงใสของเหล่าเด็กปีหนึ่งดังระงมจนจับต้นทางไม่ถูก ผมนั่งเล่นอยู่ตรงอัศจรรย์ขนาดยาวที่ตั้งไว้ตามริมสนาม เหล่าเพื่อนทั้งหลายพร้อมใจไปรวมตัวกันอยู่ตรงด้านล่างของตึก บอกว่าจะตั้งด่านพิเศษขึ้นให้เด็กปีหนึ่งได้เข้าไปร่วมเล่น แต่ผมขี้เกียจไปปั้นหน้าเฮฮาอะไรกับคนอื่นเขาเลยหนีขึ้นมามองจากด้านบนดีกว่า

   "ฟิว!"

   "ว่า?" มีอยู่เสียงเดียวที่เรียกผมอย่างนั้น มองคนผิวขาวที่ตะโกนเรียกชื่อจากด้านล่างของที่นั่ง หน้าง้ำงอที่มาตัวเปล่าต่างจากน้องคนที่อื่นมีหนังสือเล่มเล็กไว้สำหรับติดตัว

   "เซนต์"

   วันนี้เป็นกิจกรรมที่เรียกกันว่าล่าลายเซนต์ ที่จริงผมอยากเรียกมันว่าวอล์กเรลลี่ที่มีจำนวนฐานแบบมหาศาลมากกว่า เพราะเราต้องการจะเปลี่ยนแปลงทุกกิจกรรมที่มีปัญหาสืบเนื่องและเรื้อรัง จนมาจบที่ว่าเราจะยังคงมีกิจกรรมนี้เพื่อให้ปีหนึ่งได้รู้จักกับปีอื่นๆ มากขึ้น แต่ว่าขอบเขตของการแลกเปลี่ยนนั้นห้ามเกินเลยเด็ดขาด ถ้าคิดว่าไม่โอเคมีสิทธิ์ที่จะบอกรุ่นพี่ได้ ถ้ามีใครแหกกฎที่ตกลงกันกิจกรรมรับน้องนี้จะจบลงทันที

   กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้คนที่มีอายุมากกว่าเข้าใจได้ก็เหนื่อยไปหลายเดือน ตลกดีที่คนมีอายุมากกว่าควรจะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าจนรู้ว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ควรทำไม่ใช่หรือไง

   "ผม?" การเรียกที่ห่างเหินคือข้อตกลงที่ผมวางไว้กับรุ่นตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ว่าผมไม่ยอมรับว่าเขาเป็นน้อง อาจเป็นผมที่คิดมากไปเองว่าการที่เราเรียกตัวเองว่าพี่มันคือการข่มตั้งแต่แรก เพราะอย่างนั้นผมก็จะแทนตัวเองไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนกว่าเด็กพวกนี้จะเรียกผมว่า 'พี่' ด้วยความเต็มใจ ไม่ต้องให้ใครบังคับ

   และเพราะตัวเองมีความคิดอะไรอย่างนั้นไงล่ะ เน็ทถึงเรียกผมแบบไม่มีคำว่าพี่นำหน้าจนถึงทุกวันนี้

   "อืม"

   "ไม่ไปหาคนอื่นล่ะ"

   "เขาบอกว่า ให้ฟิวเซนต์คนเดียว ห้ามให้คนอื่น"

   การที่เขายอมทำตามคำสั่งง่ายๆ อย่างนั้นเล่นเอาเครื่องหมายคำถามขึ้นเต็มหน้าผม

   "ไม่อย่างนั้นต้องได้สามสิบคน"

   "อ้อ" รู้เลยว่าทำไมถึงยอมเดินมาหาผมง่ายๆ คนพวกนั้นก็เข้าใจหาวิธีแก้ไขปัญหา แต่อย่างน้อยก็ช่วยมาเตี๊ยมกับผมหน่อยไหม "แล้ว..."

   "นี่ปากกา"

   เครื่องเขียนสีกรมท่าแท่งสวยถูกส่งมาให้ต่อจากนั้นทันที 

   "ของแลกเปลี่ยนล่ะ"

   "ปากกาก็ของกู ยังจะมาเรื่องมากอีก"

   "คำว่าแลกเปลี่ยน คือต้องมีการแลกเพื่อเปลี่ยนกันนะเน็ท"

   "งั้นจะให้ทำอะไรล่ะ" ถ้าได้ยินแต่เสียงก็คงคิดว่าเน็ทกำลังยอมอ่อนลงแล้วล่ะสิ บอกเลยว่าคนตัวเล็กตรงหน้าของผมตอนนี้กำลังขู่ฟ่อยิ่งกว่างูแผ่แม่เบี้ยที่มองไปมองมาก็เป็นแมวน้อยตัวเล็กที่กำลังตั้งท่าพร้อมสู้ได้เช่นกัน

   "ยังคิดไม่ออก" อยู่ดีๆ ให้มาคิดแบบกะทันหันอย่างนี้ใครจะคิดออกกัน ผมไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเข้ามาหาผมแล้วด้วยซ้ำ ตั้งใจว่าคงได้นั่งแกร่วอยู่คนเดียวคนถึงจบกิจกรรม

   "เห็นไหม คิดไม่ออกก็เซนต์ๆ ไปเถอะน่า"

   "บอกแล้วไงว่าต้องแลก"

   "ก็รีบคิดให้ออกสิ เบื่อจะแย่อยู่แล้ว"

   เจอฤทธิ์คนเอาแต่ใจมาก็หลายรอบ ปลอบตัวเองว่าอย่าไปใส่ใจมากก็ยังทำไม่ได้สักที จากที่เจอกันครั้งแรกแล้วเอาแต่ใจยังไงทุกวันนี้ก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ไม่คิดจะมีการพัฒนาบ้างเลยหรือไงกัน

   "ยิ่งเร่งยิ่งคิดไม่ออกนะเน็ท"

   "เร็ว"

   "งั้นนั่งเป็นเพื่อนหน่อย"


***
   ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 2 (ฟิวเน็ท) [01.07.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 01-07-2016 21:20:49

   คิดอะไรไม่ออกจริงๆ ถึงบอกไปอย่างนั้น คือผมเองก็คิดไว้แล้วว่าจะต้องไม่มีใครเข้ามาขอลายเซนต์ของผมอยู่แล้วไง เลยขึ้นมานั่งมองกิจกรรมจากที่สูงเสียดีกว่า ได้เห็นว่าเพื่อนพี่น้องมาทำกิจกรรมร่วมกันอย่างที่คิดเอาไว้ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน

   เน็ทค่อยๆ ปีนบันไดที่ทำเป็นขั้นขึ้นมาจนถึงชั้นที่ผมนั่งอยู่ ผู้ชายในชุดเสื้อขาวที่ไม่ใช่เสื้อนักศึกษากับกางเกงยีนส์เข้ารูปนั่งแหมะลงข้างๆ ผมพลางสำทับว่าห้ามลืมเซนต์ชื่อให้

   "ขอเล่นหน่อยนะ"

   เรามีกฎเรื่องเครื่องมือสื่อสารชัด เด็กทุกคนจะถูกเก็บโทรศัพท์ก่อนเข้ากิจกรรมแล้วจะได้คืนตอนที่จบวันแล้วเท่านั้น เน็ทน่าจะไม่ต่างจากเด็กวัยเดียวกันคนอื่นๆ ที่เสพติดการมีอยู่ของโลกออนไลน์ถึงเอ่ยปากอย่างนั้น

   "เชิญ" ให้ไปแบบที่ไม่อิดออดอะไร ขี้เกียจเล่นตัวมากเดี๋ยวเน็ทโวยวายอีก อีกอย่างหนึ่งคือเครื่องผมค่อนข้างจะว่างเปล่าเมื่อเทียบกับความจุ 128 GB ดันเป็นพวกไม่ชอบถ่ายรูป ไม่ชอบเล่นเกมส์ แล้วยังไม่มีงานอดิเรกที่ต้องอยู่กับเครื่องมือสื่อสารอีก ทุกวันนี้มีไว้ให้คนอื่นช่วยโทรออกให้คุ้มกับโปรโมชั่นราคาแพงของแพคเกจการโทร

   "มึงมีลูกแล้วเหรอฟิว" หน้าจอโทรศัพท์ของผมตอนนี้เป็นรูปน้องสาวที่เคยเล่าว่าห่างกันเป็นสิบปีนั่นแหละ เอาโทรศัพท์คนอื่นเขาไปเล่นหน้าตาเฉยแล้วยังจะมากเรื่องอีกเนอะคนเรา

   แก้ความเข้าใจผิดด้วยเสียงเอือมระอา "น้อง..."

   "เหมือนมึงมากอะ"

   "ก็พ่อแม่เดียวกันไหมล่ะ"

   "ดีอะ กูเป็นลูกคนเดียว แต่ก็มีเพื่อนคนนึงที่เหมือนน้องอยู่เหมือนกัน ชื่อน้องโรม"

   "เด็กทุกคนก็น่ารักหมดแหละ"

   "ขี้อ้อนไหม กูอยากได้น้องที่เดินตามต้อยๆ แต่น้องโรมแม่งไม่เคยได้ดั่งใจเลย"

   ถ้าบอกว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ควรจะมีโมเมนท์เดินตามเป็นลูกเป็ดเดินตามแม่อยู่แล้วไหมล่ะ

   "ดื้อ" อยากจะต่อด้วยคำว่าเหมือนคนบางคนแถวนี้

   "เขาเรียกวัยต่อต้าน"

   "กูออกเฟสมึงนะ"

   อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะครับ...

   ผมมองเขากดปุ่มคำสั่งต่างๆ บนหน้าจออย่างคล่องแคล่ว เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีต่อมาหน้าวอลที่เคยเป็นของผมก็กลายเป็นคนของอีกคนอย่างรวดเร็ว เน็ทไม่ได้เลื่อนเปิดตรงหน้าโพสท์ล่าสุด เขากดไปยังกล่องชุดที่สองที่มีตัวเลขสีแดงเตือนขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เป็นพวกฮอตอยู่พอควรเลยล่ะสิ

   แล้วทำไมชื่อที่อยู่บนสุดถึงคุ้นตา

   "เน็ท" เรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่กดให้ต่ำกว่าปกติ ผมไม่ได้มองเขาเล่นอยู่ตลอดเลยไม่รู้ว่าคนที่หยิบโทรศัพท์ของผมไปเล่นจะมือบอนได้อย่างนี้ มีอย่างที่ไหนเอาเฟสของผมไปกดเพิ่มเพื่อนหาตัวเองแล้วก็มากดรับต่อจากนั้นน่ะ "ควรจะถามผมก่อนนะว่าอยากทำอย่างนี้หรือเปล่า"

   "ทำไมต้องถาม ก็กูอยากทำ"

   "..."

   หมดคำพูดกับเด็กคนนี้จริงๆ ผมห่างกับเน็ทแค่ปีเดียวเองแต่ว่าความคิดตรรกะเรื่องพวกนี้เราห่างกันมากจนผมอยากจะลองเอาขวานมาจามแล้วแหวกศีรษะของอีกคนดูว่ามันถูกผสมด้วยอะไรบ้าง

   หลังจากที่กดรับผมเป็นเพื่อนแล้วเน็ทก็ตั้งหน้าตั้งตาตะลุยรื้อของที่อยู่บนหน้าวอลของผมอย่างเต็มกำลัง พอเจออะไรที่ถูกใจก็ยื่นส่งมาให้ผมดูอีก ไล่ลงไปได้ไม่นานนักก็เริ่มเป็นเรื่องราวของช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะว่ารูปที่เขากำลังให้ความสนใจอยู่ตอนนี้คือรูปของผมในชุดนักศึกษาที่ถูกถ่ายโดยกลุ่มช่างภาพคณะตอนวันแรกที่เข้ามาเหยียบที่นี่

   "ขี้เก๊กว่ะฟิว"

   "โดนถ่ายตอนเผลอ"

   "เฮอะ" ผมไม่รู้ว่าการทำเสียงขึ้นจมูกอย่างนั้นหมายถึงอะไร "ทำไมไม่เห็นมีรูปของน้องมึงเลย"

   "ก็ไม่เคยถ่ายลงเฟส"

   "ถ่ายมาให้บ้างสิ อยากเห็น"

   "ไปเจอเองไหมล่ะ" คิดภาพเด็กต่างวัยที่นิสัยไม่ค่อยห่างกันเท่าไหร่แล้วคงเป็นสงครามย่อมๆ อยู่เหมือนกัน "ไว้จะพามาหา"

   "ทำตัวเป็นพ่อลูกอ่อนกระเตงลูกมาเรียนด้วยไปได้"

   "เน็ท"

   ใบหน้าขาวซีดหันกลับมาทันทีที่ได้ยินผมเรียก "เรียกอยู่นั่น กลัวกูหายไปหรือไง"

   "อืม กลัว"

   "ตอแหล มึงยังเขียนชื่อเล่นกูไม่ได้เลยเถอะ"

   "ชื่อเล่นที่ใช้ไม้แปดน่ะเหรอ"

   "ฟิว!"

   "ให้เซนต์ชื่อตรงไหน?"

   วิธีการล่อให้เด็กหายโมโหที่ง่ายที่สุดคือให้ในสิ่งที่ต้องการ ผมถือวิสาสะหยิบปากกาที่หนีบอยู่ตรงกระเป๋าเสื้อของเน็ทมาไว้ในมือ ปลายด้ามมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเรียงต่อกันจนเป็นชื่อที่ผมไม่ชัวร์ว่าจะอ่านถูกต้องหรือไม่

   "นัท...?"

   "ชื่อจริงกู นัทธิ"

   "ชื่อสวย"

   "ทีงี้ล่ะมาสน รีบๆ เขียนลงไปเลยฟิว"

   นิ้วเรียวสวยจิ้มมาตรงด้านหลังของป้ายชื่อที่มีลายมือของผมปรากฎอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว ผมพยักหน้าเออออไปตามเรื่องไม่ให้เน็ททำเสียงหงุดหงิดไปมากกว่านี้ ถ้าเขียนแค่ชื่อลงไปจะได้ไหมนะ หรือว่าต้องเขียนแบบเต็มยศเป็นการยืนยันว่าเป็นลายมือของผมจริง

   "คิดอะไรมากมาย ลืมชื่อตัวเองเหรอครับคุณอนาคต"
   
   หันขวับไปทางคนพูดมากที่ยังไม่ยอมหยุดปากง่ายๆ "รู้ชื่อจริง?"

   ตกใจไม่ใช่น้อยที่ชื่อของผมหลุดออกมาจากของเน็ท ชื่อจริงที่ไม่เคยมีใครกล้าล้อมาตั้งแต่เด็ก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงตั้งชื่อแบบนี้ อีกอย่างคือผมไม่ได้ใช้ชื่อจริงเป็นชื่อตัวแทนในเฟสบุ๊ค ไม่มีทางที่เน็ทจะรู้จากจุดนั้นได้อยู่แล้ว

   "ใครจะโง่แบบมึง"

   "นัทธิ" ข่มใจให้ไม่น็อตหลุดแล้วเริ่มสาธยายสิ่งที่ควรทำเมื่อคุยกับคนที่แก่กว่า "ถ้ายังไม่เลิกพูดอย่างนี้จะไม่เซนต์ให้นะ"

   "ฟิวแม่งโง่ เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้"

   "ให้โอกาสใหม่"

   "ฟิวโง่!"

   "เอาคืนไป"

   ยื่นป้ายชื่อที่ดูเหมือนว่าจะยับยู่มากขึ้นทุกครั้งที่กลับมาอยู่ในมือของผมคืนไป คว้าโทรศัพท์ที่อีกคนเลิกเล่นกลับมาไว้ในกระเป๋าของตัวเอง กระโดดลงจากอัทจรรย์ชั้นสูงลงไปครั้งเดียวถึง

   "อนาคต!!"

   ไม่สนใจเสียงเรียกของคนเอาแต่ใจ โบกมือไหวๆ บอกลา ยังไม่ทันจะก้าวออกไปก็ต้องเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจตอนที่ตอนแรงปะทะจากด้านหลังจนเจ็บ ก้มลงมองเอวของตัวเองก็พบว่ามีแขนผอมแห้งกำลังรัดเอาไว้จนกลายเป็นเข็มขัดมนุษย์

   "ไม่ให้ไป!"

   "รู้จักการพูดอย่างอื่นที่ไม่ใช่การสั่งไหมเน็ท" ถอนหายใจเฮือกใหญ่แบบไม่ปิดบัง ผมหมุนตัวเองให้หันมาเผชิญหน้ากับคนตัวเล็กกว่าที่ยังไม่ยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ "ไม่ต้องกอดแน่นขนาดนี้ก็ได้ ไม่หายไปไหนหรอก"

   "เขียนชื่อลงไปเลยนะ สัญญาแล้วต้องทำตามสิ"

   ไม่คิดจะสนใจคำสอนของผมก่อนหน้านั้นเลยสินะ ผมนิ่งไปชั่วครู่ตอนที่นึกถึงคำที่เน็ทใช้ขึ้นมาได้ นี่มันเจ้าชายที่รักษาสัญญายิ่งกว่าอะไรดีนี่นา ชายผิวขาวที่สูงเพียงช่วงไหล่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าไม่พอใจเต็มที่ คนอย่างเน็ทต้องเจอการแก้เผ็ดอย่างนี้บ้าง ไม่อย่างนั้นก็เอาแต่ทำเสียงโวยวายเอาแต่ใจอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

   "ไม่ เน็ททำตัวแย่ก่อน"

   "เรื่องนี้ไม่อยู่ในข้อตกลง"

   "อยากโดนทำโทษ?"

   "เน็ทไม่ได้ทำอะไรผิด!"

   ภาพที่ซ้อนทับกับชายที่อายุห่างจากผมปีกว่าคือน้องสาวร่วมสายเลือด ไม่ต่างอะไรในสาระสำคัญสักนิด ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด ต่อให้หลักฐานที่มัดตัวจะแน่นมากแค่ไหนก็พร้อมที่จะยืนกรานความคิดของตัวเอง

   "เรื่องที่เปิดเฟสผมยังไม่ได้เคลียร์เลยนะ"

   "โธ่เอ๊ย เรื่องขี้ปะติ๋วมากเลยฟิว"

   "มันเป็นเรื่องใหญ่ของผม"

   "เออ หวงมาก็อันเฟรนด์ไปเลยไป"

   "ได้" พูดขนาดนั้นผมก็จะทำให้ มือข้างที่ถือโทรศัพท์เอาไว้ถูกยกขึ้นมาอยู่ตรงระดับสายตาอย่างทุลักทุเลจากการที่ยังมีคนเกาะแกะไม่ยอมปล่อย "นี่ไม่ได้ทำอย่างอื่นอีกใช่ไหม"

   "..."

   "นอกจากเฟสแล้วทำอะไรกับเครื่องผมอีก?"

   จู่ๆ คนที่ทำเสียงดังไม่ยอมหยุดก็นิ่งจนกลัวใจ ผมเปิดหน้าแรกของเฟสบุ๊คค้างไว้อยู่อย่างนั้น ใช้แขนสะกิดช่วงตัวของอีกคนให้ตอบคำที่ผมถามไปเมื่อสักครู่ "จะได้ลบทีเดียว"

   "..."

   เสียงอุบอิบจนผมฟังไม่ถนัด "เน็ท...?"

   "ไม่ให้ลบ!"

   จากคำที่เอ่ยอยู่แค่ในลำคอกลายเป็นทะลุกลางปล้อง แรงตีจากแขนที่ไม่เข้ากับขนาดตัวสร้างความเจ็บปนแสบให้กับช่วงตัวของผมได้เป็นจำนวนมาก "ฟิวแม่ง! โง่ก็โง่! ยังมาทำอย่างนี้อีก!"

   ยังไม่ทันได้อ้าปากเถียงอะไรชุดคอมโบต่อมาก็เสิร์ฟแบบที่ไม่มีช่วงให้ผมได้หายใจหายคอ

   "เน็ทไม่ให้ก็ห้ามทำ เข้าใจไหม!"

   "นี่จอมเอาแต่ใจ" จนถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องยอมทิ้งความตั้งใจของตัวเองที่จะไม่สั่งสอนอะไรจนกว่าจะรับน้องเสร็จ "ผมไม่รู้หรอกนะว่าบ้านเลี้ยงมาแบบไหน แล้วผมก็ไม่เชื่อคำโบราณอย่างนั้นด้วย แต่อย่างน้อยมันก็ควรรู้ด้วยตัวเองหน่อยไหมว่าเรื่องไหนที่ควรทำไม่ควรทำ บอกเลยนะว่าที่ทำอยู่อย่างนี้มันไม่ได้เป็นตามสัญญาที่เน็ทให้กับผมเลย"

   "ก็มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย"

   "พอดีมันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม" ถ้าต้องอยู่นานกว่านี้ผมได้เปิดห้องเทศน์แน่ บางคนยิ่งอายุเยอะแล้วก็กลายเป็นเด็ก "ปล่อยมือด้วย จะไปแล้ว"

   "ห้ามไป"

   จะมีคำไหนที่ออกมาจากปากของเน็ทแบบที่ไม่เป็นคำสั่งบ้างไหมนะ   

   "ทำไมผมต้องทำตาม?"

   พูดออกไปแล้วก็อยากจะกลืนคำพูดตัวเองกลับอยู่เหมือนกัน ถ้าอยู่ในสภาพจิตใจปกติแล้วผมไม่มีทางพูดเสียงห้วนอย่างนั้นออกไปหรอก ยิ่งเป็นคนจำพวกที่ชอบทำตัวจริงจังประกอบท่าทางแล้วด้วย ผมรู้สึกได้ว่าเน็ทสะดุ้งโหยงแล้วยังขยุ้มชายเสื้อผมจนยับอีก

   "ตอบมาเร็วเน็ท"

   "ก็" คราวนี้เสียงของคนที่เคยมั่นใจในตัวเองเสมอกลายเป็นลังเล "ฟิวต้องทำตามสิ..."

   ถ้าน้องสาวผมรู้ว่าพี่ชายของตัวเองที่เคยประกาศตนไว้ชัดว่าจะไม่ยอมยกโทษให้กับคนที่ทำผิดกำลังใจอ่อนเพราะคำพูดไม่กี่คำแล้วล่ะก็คงหมดความน่าเชื่อถือ

   จะให้อธิบายเหตุผลก็คงทำไม่ได้ รู้แค่ว่าพอเป็นเน็ทแล้วทุกอย่างก็ดูมีข้อแม้ไปหมด สุดท้ายแล้วแม้ว่าคนที่ยังไม่ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระจะยังพูดอะไรตามใจตัวเองอยู่ดี บริเวณที่เราสองคนยืนอยู่อาจไม่ได้ห่างจากกลุ่มฐานอื่นมากเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสักคนที่คิดจะเดินโฉบเข้ามาหา

   จะว่าไปแล้วเน็ทกอดผมมานานแค่ไหนแล้วนะ...

   "อยากแก้ตัวไหม?"

   "เน็ทขอโทษ"

   "ก็แค่นั้น ถ้ารู้ตัวว่าผิดก็หัดพูดว่าขอโทษให้ติดปาก"

   เป็นคนจำพวกที่ชอบเผลอเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นสินะ เหมือนน้องสาวของผมเลย "งั้นจะให้รางวัลที่รู้จักขอโทษ"

   "เขียนเลย เอาทั้งชื่อจริงทั้งนามสกุล"

   "ครับๆ" เสียงเหมือนระอาเต็มทน น่าแปลกที่ผมเอาแต่ยิ้มตอนที่จรดปากกาลงไปตรงพื้นที่ว่างสีขาวด้านหลังของป้ายชื่อ
   
   "โอ๊ะ..."

   แย่ล่ะ

   ผมเขียนคำว่านัทธิลงไปตรงหน้านามสกุลผมนี่นา


┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨


   ถ้าจะให้นิยามง่ายๆ ก็คือความเน็ท

   ผมจะเมินผ่านเรื่องกฎการใช้ความต้องต่อด้วยคำกริยาไปแล้วกันนะ ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคิดเรื่องวิชาภาษาไทยสมัยมัธยมหรอก เน็ทไม่เหมือนกับอะไรทั้งนั้น เน็ทก็คือเน็ท ที่จะดีกับคนที่อยากดีด้วย ส่วนใครที่ไม่อยากจะรู้จักมักจี่ก็ปล่อยให้หายไปกับสายลม

   เด็กผิวขาวที่กลายเป็นคนดังในคณะไปแล้ว ทั้งจากวีรกรรมช่วงรับน้องที่มีเอามาให้เล่าอยู่เนืองๆ ได้ยินว่าหลายคนก็แอบปลื้มอยู่ไม่ใช่น้อย สิ่งหนึ่งที่ตรงจนน่าขนลุกของเน็ทคือความตรงต่อเวลา ถ้านัดกันเที่ยง เน็ทจะมาก่อนเวลาสิบห้านาทีทุกครั้ง บวกลบไม่เกินสองนาที จนผมเคยได้ข้าวฟรีจากการพนันกับเพื่อนมาแล้ว ผมเจอเขาบ้างในคณะ ไม่เคยมีการทักทายอย่างที่รุ่นน้องคนอื่นทำ ถ้าเป็นช่วงเวลาอื่นก็ไม่ค่อยได้นอกเวลาเท่าไหร่ ผมเองเป็นพวกที่พอจบคาบถ้าไม่มีอะไรต่อก็ดิ่งกลับไปนอนตายที่ห้องด้วย

   ผมไม่คิดว่าเราจำเป็นต้องทำตัวให้ดูดุอยู่ตลอดเวลา จริงอยู่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกอาจมีผลต่อความรู้สึก แต่ผมมีความเชื่อเรื่องภาพลักษณ์ที่ต่อให้ดูดีแค่ไหนก็ไม่ดีเท่าเนื้อในของตัวเอง เราสามารถทำให้คนอื่น 'เคารพ' เราได้โดยไม่จำเป็นต้องไว้หนวดไว้เคราหรือว่าทำตัวกร่างไปทั่ว

   เพราะอย่างนั้นผมเลยทำตัวปกติอย่างที่ทำมาตลอดเวลาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เฮฮากับเพื่อนฝูงไปตามประสา รับไหว้เด็กที่เต็มใจไว้ แต่ก็ไม่ได้ไประรานพวกที่ไม่ยอมไหว้ อย่ามาไร้สาระน่า ขนาดผมเองยังเลือกไหว้เฉพาะคนที่อยากจะให้ความเคารพก็เท่านั้นเอง

   "ฟิว" ขนาดผ่านการรับน้องมาตั้งนานแล้วเขาก็ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนวิธีเรียกของผมเลย

   "เอาไป" ป้ายที่ชื่อผมต้องเก็บให้ตามที่ได้สัญญากันเอาไว้ ส่วนด้านหลังก็ยังมีลายมือของผมประดับอยู่ในนั้นไม่ถูกลบหรือว่าขีดฆ่า เป็นเรื่องที่น่าแปลก

   "ฝากของหน่อย" ของที่ว่าคือกระเป๋าสะพายข้างแบรนด์ดังที่เห็นใช้มาได้สักพักแล้ว

   "แล้วทำไมไม่รวมไว้กับคนอื่น"

   "ไม่ชอบ"

   พอสังเกตหลายๆ อย่างเข้าก็รู้เลยว่าเน็ทเป็นจำพวกขี้หวงขั้นหนัก กระเป๋าอะไรก็ไม่ยอมฝากไว้กับสตาฟอย่างที่คนอื่นเขาทำ สิ่งของชิ้นไหนที่เป็นของเน็ทจะถูกโยนมาให้ผมช่วยเก็บไว้ตลอด บ่นว่าไม่ไว้ใจสารพัด มีครั้งหนึ่งที่ผมไม่ได้เข้าเพราะโดนอาจารย์เรียกไปคุยเรื่องโปรเจค เพื่อนนี่โทรมาจิกแทบตายให้รีบกลับไปเข้า ไม่อย่างนั้นเน็ทจะระเบิดห้องได้อยู่แล้ว รายนั้นไม่ยอมให้ใครยุ่งกับของของตัวเองเลย ทำเป็นเด็กหวงตุ๊กตาไปได้

   "สร้อยด้วย"

   น่าแปลกที่คราวนี้เขายอมถอดสร้อยที่อยู่ติดคอตลอดมออกมาให้ผมเก็บไว้ด้วย ปกติแล้วต่อให้ต้องเก็บเครื่องประดับทุกชิ้นแค่ไหนเน็ทก็ไม่เคยยอมถอดมันออกเลยสักครั้ง

   "สวยดี ซื้อจากไหน"

   แท็กทหารที่มีตัวเลขเขียนไว้ มีน้ำหนักมาอยู่พอสมควร คงไม่ใช่งานโหลทั่วไปดูจากคุณภาพของสินค้าแล้ว

   "ของพ่อ พ่อให้มา"

   "เป็นทหาร?"

   "อืม ที่อเมริกา"

   ผิวปากหวือให้กับความรู้ใหม่ที่ได้รับ เพราะอย่างนี้เลยเป็นพวกที่ระเบียบจัดอยู่พอควรสินะ

   "ดูแลดีๆ อะ ถ้าหายโดนแน่"

   "ครับผม"

   ของชิ้นนี้คงมีความสำคัญมากกว่าชิ้นอื่นใด ตอนที่มันอยู่ในมือของผมแล้วเน็ทก็ยังเอื้อมมือมาแตะมันอีกครั้งจนผมอยากจะแซวว่าไม่ได้เอาไปจำนำเสียหน่อย นัยน์ตาสีอ่อนละมุนลงยามที่มองไปยังเครื่องเงินชิ้นนั้น

   "ชิ้นนี้สำคัญที่สุดเลยนะฟิว" เด็กขี้หวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อน "ไม่เคยถอดให้ใครเก็บไว้เลยนะ"
   
   ทุกอย่างเป็นของมีราคา แต่ไม่ใช่คนบ้าแบรนด์ ที่เห็นชัดก็คงเป็นรองเท้าที่เปลี่ยนแบบอยู่บ่อยๆ จนอดคิดไม่ได้ว่าต้องมีที่เก็บขนาดใหญ่มากแค่ไหน กลิ่นน้ำหอมแบบสปอร์ตไม่รู้ว่าของอะไร แต่ก็เหมาะกับเขาดี กลิ่นหอมสะอาดเหมือนความบริสุทธิ์ที่เน็ทมี

   "แล้วทำไมให้เก็บ?"

   "มึงแม่งโง่อะฟิว"

   คำอธิบายที่ผมไม่เข้าใจมากเท่าไหร่นัก เน็ทกลับหลังหันแล้วเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนโดยไม่หันมาทำตาขวางใส่ผมอย่างที่ชอบทำทุกที

   ที่เคยบอกไว้ว่าจะปฏิวัติก็อย่างนี้แหละ ในเมื่อระบบการปกครองด้วยความกลัวหรือการใช้สังคมส่วนมากเข้ากดดันให้ต้องกระทำตามกลายเป็นสิ่งที่ดูล้าสมัยไปเสียแล้วมันเลยต้องมีการเปลี่ยนแปลงเสียบ้าง พวกผมโชคดีหน่อยตรงที่เราเป็นรุ่นที่รักกันมากแล้วก็ยังเห็นไปในทิศทางเดียวกันจนหมด เพราะอย่างนั้นการรับน้องของคณะวิศวกรรมศาสตร์ในปีนี้เลยมีความแตกต่างออกไปจากทุกๆ ปี คือเราไม่อาจที่จะตัดกิจกรรมที่ถูกส่งต่อมาอย่างฉับพลันได้ แต่ค่อยๆ ปล่อยให้มันหายไปตามกาลเวลาได้ก็ดีเหมือนกัน

   อย่างตอนนี้เรากำลังเล่นเกมส์เป่ายิ้งฉุบต่อแถว เกมส์ง่ายๆ ที่สนุกได้ทุกคน

   แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นเด็กเจ้าปัญหาเดินเลี่ยงตัวไปอยู่หลังเสาคนเเดียว

   เน็ทเป็นเด็กที่แปลก คือตอนที่อยู่กับเพื่อนผมว่าเขาก็ดูเป็นจำพวกเพื่อนเยอะเพราะความร่าเริงนะ แต่ในบางมุมก็จะเป็นอย่างนี้คือชอบปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียวอย่างกับว่าการกระทำพวกนั้นเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์สำหรับเขาเสียเหลือเกิน แล้วยังไม่รวมท่าทางที่ชอบทำเป็นเหนือคนอื่นอยู่ตลอดเวลาอีกนะ

   "ไม่เข้าไปเล่นล่ะ"

   "ไม่ชอบ"

   "งั้นยืนด้วยคน"

   เปลี่ยนมายืนอยู่ฝั่งเดียวกับเน็ท มองดูจากมุมของเด็กปีหนึ่งว่ามันมีอะไรที่น่าสนใจขนาดที่ต้องแยกตัวออกมาอยู่ต่างหากอย่างนี้

   "เบียดว่ะฟิว ออกไป"

   "ทำไมไม่ไปเล่นกับเพื่อน"

   "น่าเบื่อ"

   "งั้นมาเล่นกันเองไหม"

   เพราะอีกคนตัวเล็กกว่าพอสมควรผมเลยต้องก้มหน้าลงมามอง ใบหน้าสว่างแบบคนที่ดูแลตัวเองอย่างดีทำคิ้วขมวดอย่างที่ผมชอบมอง เหมือนโรคจิตที่เห็นเน็ทถูกขัดใจแล้วจะมีความสุข ที่เขาว่ากันว่าเล่นกับเด็กแล้วจะมีความสุขนี่มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

   "แล้วมึงจะเสียใจฟิว กูไม่เคยแพ้ใคร"

   "ก็ต้องลองดู" หัวเราะให้กับความมั่นใจจนเกินร้อยของคนที่ยืนอยู่ถัดไป อยู่ดีๆ ก็อยากที่จะเล่นอะไรที่ดูไม่เข้ากับตัวเองขึ้นาเสียอย่างนั้น เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้วไม่มีอะไรที่จะต้องเสียแล้วล่ะ

   "เป่า ยิ้ง ฉุบ"

   พอมือของเราสองคนมาอยู่ใกล้กันเลยเห็นชัดว่าผิวของเน็ทขาวกว่าผมหลายระดับเหมือนกัน มือผอมบางกำทั้งห้านิ้วเข้าแทนสัญลักษณ์ค้อน ในขณะที่ผมเก็บนิ้วกลางกับนิ้วนางลง

   "...ออกอะไรวะฟิว"

   "หัวใจ" พอเห็นหน้าเน็ทไม่เข้าใจเลยต้องอธิบายต่อ "ความรักชนะทุกอย่างไง"

   พอจบประโยคนั้นเจ้าเด็กก็เอากำปั้นของตัวเองมาทุบหัวใจของผมใหญ่เลยล่ะ


***
   พี่ฟิวคือความน่าหมั่นไส้ค่ะ (หัวเราะ) พยายามตัดให้พอดีแล้วแต่ว่าไปๆ มาๆ มันหาที่ตัดไม่ได้จนกลายเป็นตอนยาวเหยียดเลยค่ะ เดี๋ยวจะเหลือตอนหน้าอีกตอนก็น่าจะจบพาร์ทของเน็ทได้แล้ว น่าจะลงได้ภายในสัปดาห์หน้านะคะ แล้วจะกลับไปอยู่กับพี่แบล็คยาวๆ ล่ะ (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 2 (ฟิวเน็ท) [01.07.16]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-07-2016 00:00:21
แน็ทมันอ๋อยขนาดนี้แล้วฟิวยังไม่รู้อีก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 2 (ฟิวเน็ท) [01.07.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Money11 ที่ 02-07-2016 14:54:08
ชอบเน็ท ชอบมนุษย์แบบนี้   :laugh:
ฟิวรู้ตัวได้ยังฮะฟิว คนอ่านเค้ารู้แล้วนะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 2 (ฟิวเน็ท) [01.07.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 02-07-2016 15:36:27
ชอบเวลาเน็ทอยู่กับฟิวอะมีความเด็กน้อยน่ารัก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 2 (ฟิวเน็ท) [01.07.16]
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 03-07-2016 23:00:16
อ่อยขนาดนี้ไม่รู้ตัว เหลือทางเดียวคือดักตีหัวแล้วลากเข้าห้องเลย
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 3 (ฟิวเน็ท) [04.07.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 04-07-2016 20:40:00
NET's [ฟิว-เน็ท]


(3)


   "ฟิวมารับ!"

   "บอกว่าให้เรียกว่าพี่ฟิวไงเฟย์" ผมส่ายหัวน้อยๆ แล้วอุ้มเจ้าเด็กตัวน้อยที่ชูมือขึ้นสูงมาไว้ในอ้อมแขน "เรียกใหม่เร็ว"

   "ฟิววว"

   "ใช่เหรอ" พอเจอเด็กไม่ยอมทำตามที่สอนก็เผลอใช้เสียงดุอีกแล้ว "งั้นปล่อยไว้ที่นี่ทั้งคืนดีกว่าไหม"

   "งั้นมาอยู่กับพี่ดีกว่า อย่าไปสนใจฟิวเลย"

   เจ้าตัวเล็กที่อยู่ในแขนถูกดึงออกไปอย่างง่ายดาย ผมมองคนที่ตามติด...หรือควรใช้คำว่าอะไรดี ก็แค่หลังจากที่เลิกรับน้องแล้วเน็ทมาเอาของเหมือนทุกวัน ผมก็ดันหลุดปากบอกไปว่าจะรับไปรับน้องที่โรงเรียนอนุบาลต่อ เป็นไงล่ะ เกาะตามติดอย่างกับเป็นปลิง จะห้ามก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์

   "สวัสดีน้องเฟย์ พี่ชื่อเน็ทนะ"

   "พี่เน็ทสวัสดีค่ะ"

   "เน็ท..."

   "ไปกินขนมกับพี่ไหม เดี๋ยวพาไปส่งบ้านเอง"

   "ไป!"

   "เน็ท...เฟย์" เรียกชื่อของเด็กทั้งสองคนให้หันมาสนใจผมก่อน ต้องเตือนให้ไม่ลืมว่ามีผมมาด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าไม่ใช้ช่วงจังหวะนี้ผมอาจได้กลายเป็นผีล่องหนไปได้ "จะไม่มีการไปกินขนม เข้าใจไหม"

   ช่วงนี้เฟย์ถูกสั่งห้ามไม่ให้ทานของหวานเยอะหลังจากที่คุณแม่เพิ่งได้รับรายงานจากครูประจำชั้นว่าน้องเริ่มมีอาการของเด็กฟันผุ นี่ขนาดที่บ้านค่อนข้างเคร่งเรื่องการทานของที่มีน้ำตาลสูงแล้วยังเจอปัญหานี้อยู่เลย

   "จะ กิน"

   สงสัยว่าช่วงหลังมานี้ผมใจดีมากไปหน่อยเน็ทเลยไม่ค่อยยอมฟังคำสั่งแล้ว เขายังไม่ยอมหยุดทักทายน้องสาวของผม ตาที่เป็นประกายลุกวาวอย่างเด็กที่เจอของเล่นถูกใจบอกผมว่าที่เขาเคยพูดเรื่องที่อยากจะมีน้องมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกินกว่าที่บอก

   "เฟย์ มาหาพี่"

   "น้องเฟย์ชอบกินไอติมไหม หรืออยากกินอย่างอื่น?"

   เจ้าตัวยังคงยิ้มระรื่นตอนที่เห็นว่าเด็กน้อยที่อุ้มอยู่เริ่มแสดงอาการดีใจยามที่ได้ยินคำว่าไอติม แย่ล่ะ เฟย์ชอบมันมากเลยด้วยสิ

   "กินค่ะ!"

   "พี่สอนไม่ให้ตามคนแปลกหน้าไม่ใช่เหรอเฟย์"

   "พี่เน็ทเป็นคนแปลกหน้าเหรอ"

   มีการทำหน้าหงอยใส่อีก ผมเคยคิดว่าการที่เฟย์เป็นเด็กที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายเป็นข้อดี แต่ตอนนี้คงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่แล้ว ช่วยนึกไว้หน่อยได้ไหมว่านี่มันคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกนะครับ

   โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนๆ นั้นคือเน็ท!

   "พอเลยทั้งคู่ ไปขึ้นรถ"

   "แถวนี้มีร้านขนมไหมอะน้องเฟย์"

   คิดว่าถ้ายังปล่อยให้เน็ทหลอกล่อน้องสาวของผมต่อไปอย่างนี้คืนนี้คงต้องกลับบ้านไปคนเดียวอย่างแน่นอน ผมจ้องไปทางชายผิวขาวที่ไม่ยอมหยุดปากสักที เน็ททำท่าล้อเลียนอย่างกับกำลังหลอกล่อให้ผมน็อตหลุดอยู่

   เลขที่นับถอยหลังลงมาเรื่อยๆ ถึงหนึ่งบอกให้ผมควรใช้มาตรการเด็ดขาดกับเด็กทั้งสองคน เน็ทเดินนำออกไปโดยที่ยังอุ้มเฟย์ไว้อยู่ในแขนซ้าย ผมเลยต้องรีบก้าวเข้าไปยาวๆ เพื่อให้ทันเพื่อนต่างวัยคู่ใหม่ ถือวิวาสะโอบเอวขนาดเล็กจนเหมือนพวกขาดสารอาหารไว้ไม่ให้หนีไปไหนอีก

   "...ไว้รับน้องครั้งหน้าก่อนนะเน็ท"

   "กูทำอะไรผิด" เจ้าตัวยังคงหน้าระรื่น ไม่สะดุ้งตอนที่ผมโอบเอาไว้อย่างนั้นเลยด้วยซ้ำ "น้องเฟย์รู้ไหมว่าฟิวใจร้ายมากๆ เลยล่ะ เอาแต่แกล้งพี่เน็ท"

   "ฟิวไม่ดี! เฟย์จะฟ้องแม่!!"

   การเจอกับของเด็กสองคนนี้มันเป็นฝันร้ายของผมชัดๆ ...

   "พี่ไม่ได้แกล้งอะไรเน็ทเลยนะ"

   "ฟิวแกล้งจนพี่่เกือบร้องไห้เลย"

   ฟังเจ้าของนิสัยเอาแต่ใจที่กำลังเปลี่ยนร่างเป็นพี่เลี้ยงเด็กชั่วคราวแต่งเสริมเติมเรื่องราวจนกลายเป็นนิทานที่น่าประทับใจ เฟย์ดูเข้ากับเน็ทได้อย่างกับว่าทั้งสองคนมีวัยที่ไล่เลี่ยกัน ต่างฝ่ายต่างเจรจาหากันอย่างที่ไม่มีใครยอมหยุดแม้กระทั่งตอนที่รถเริ่มเคลื่อนตัวออกไปแล้ว

   "พี่เน็ทเป็นเพื่อนฟิวเหรอ"

   "เปล่า พี่ไม่มีทางเป็นเพื่อนกับคนอย่างฟิวหรอก"

   "แล้วทำไมพี่เน็ทถึงมากับฟิวล่ะ"

   "พี่อยากมาหาน้องเฟย์ไง"

   "แล้วสรุปเป็นอะไรกับฟิวอะ"

   "พี่เหรอ..." เสียงที่เคยร่าเริงยามที่ได้ดั่งใจเบาบางลงราวกับว่าลังเลใจเหลือเกินที่จะตอบมันออกไป "ฟิวเป็น...ของพี่เน็ท"

   เฟย์คงเป็นเด็กน้อยเกินกว่าที่จะเข้าใจว่าเน็ทต้องการสื่อถึงอะไร การเล่นคำที่ผมเกือบเบรคไม่ทันตอนที่เจอไฟแดงข้างหน้า เหลือบสายตามามองว่าเจ้าตัวพูดอะไรอย่างนั้นออกไปด้วยท่าทียังไง เน็ทไม่ได้หันมามองผม เขายังไงจับจ้องอยู่เพียงน้องสาวตัวเล็กของผมเท่านั้น

   "เป็นอะไรนะพี่เน็ท?"

   "เป็นข..."

   "ถ้าไม่เงียบพี่จะไม่พาไปกินไอติม"

   แล้วเด็กต่างวัยก็พร้อมใจกันเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพียงแต่ว่าเหตุผลที่เงียบของทั้งสองคนนั้นจะเหมือนหรือแตกต่างกันแค่ไหนผมไม่มีทางรู้ได้เลย


┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨


   "ช่วงนี้ดูอารมณ์ไม่ดีนะครับฟิว"

   "เหรอครับ?"

   "หงุดหงิดง่าย พอน้องงอแงก็ต้องออกไปสงบสติอารมณ์ก่อน"

   ผมกระเตงน้องที่เล่าว่าอายุห่างกันเป็นสิบปีไว้ ยกของเล่นขึ้นมาล่อให้สาวน้อยตัวเล็กสนใจอยู่กับตุ๊กตาพลาสติกที่แต่งเติมเป็นเจ้าหญิงแสนสวย หันไปคุยกับมารดาผู้สาละวนกับการเตรียมอุปกรณ์การเรียนศิลปะของลูกคนเล็กอยู่

   "สงสัยช่วงนี้ผมดวงไม่ค่อยสมพงศ์กับเด็กน่ะครับ"

   คิดถึงเด็กที่ว่า คนที่ยังคงเป็นตัวของตัวเองไม่เคยเปลี่ยน ส่วนที่เปลี่ยนไปก็คงเป็น...

   "ฟิว เมื่อไหร่พี่เน็ทจะมาอีก"

   ทำไมหน้าชื่อของผมถึงไม่มีคำว่าพี่เหมือนกับอีกคนล่ะ

   "ไม่มาแล้ว เฟย์ดื้อ" โกหกออกไปคำโต ช่วงนี้เน็ทดูไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ทั้งที่ไม่ค่อยทำกิจกรรมอื่นอะไรกับใคร นอกจากช่วงของการรับน้อง หลังจากวันที่แยกกันหลังจากทานไอติมในห้างแล้วก็ไม่เจอเน็ทตรงส่วนอื่นของคณะอีกเลย

   หรือว่าจะหลบหน้า...

   ส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นมาไม่ยอมหยุด ขนาดเฟสบุ๊คที่สุดท้ายแล้วไม่ได้ลบออกตามที่เน็ทสั่งแต่เขาก็ไม่เคยทักทายอะไรมาสักครั้ง ถึงแม้ว่าผมจะเห็นว่าบนพื้นที่ส่วนตัวของเขาจะมีการอัพเดตอยู่ตลอดเวลา

   "นี่เฟย์..." ดูเป็นคนไม่มีทางเลือกแล้วถึงได้ถามกับน้อง "ถ้าเลือกได้เฟย์อยากเป่ายิ้งฉุบชนะหรือเปล่า"

   "อืม...เล่นกับใครล่ะ"

   "เน็ท"

   "ไม่อะ" คำปฏิเสธกลับมาในทันที

   "ทำไมล่ะ"

   "ก็เฟย์ไม่อยากชนะพี่เน็ทนี่นา เดี๋ยวพี่เน็ทเสียใจ"

   ผมควรจะพิจารณาตัวเองไหมนะที่น้องแท้ๆ ยังไม่ยอมเรียกว่าพี่ แต่กับใครอีกคนที่เจอกันเพียงแค่ครั้งเดียวทำไมถึงมีคำว่าพี่นำหน้าในทุกคำขนาดนั้นนะ ไอติมวันนั้นผมก็จ่ายให้ทั้งหมด กลับมาถึงบ้านก็โดนแม่ว่าเรื่องที่ปล่อยให้น้องกินของหวานทั้งที่โดนหมดสั่งห้ามอีก

   ที่ผมพูดไปอย่างนั้น เน็ทจะเสียใจหรือเปล่านะ...

   "งั้นถ้าไม่อยากให้พี่เน็ทเสียใจ พี่ควรทำยังไงดี"

   "เฟย์จะออกเหมือนพี่เน็ท"

   "หือ?"

   สาวน้อยที่ยังไม่เคยผ่านความเลวร้ายของโลกใบนี้ส่งยิ้มกว้างมาให้ผม ความบริสุทธิ์ของคำตอบที่เธอให้ผมมาเหมือนเป็นทางออกให้กับคนที่กำลังมืดแปดด้าน

   "ถ้าเสมอกัน ก็ไม่มีใครเป็นคนแพ้ไง"
   
   ทำไมเรื่องแค่นี้ผมถึงไม่เคยคิดได้นะ

   กดเข้าไปตรงปุ่มสนทนาออนไลน์ที่ไม่ค่อยได้เข้าไปแตะต้อง ใช้นิ้วโป้งกดลงไปตามจุดต่างๆ ของหน้าจอจนครบทุกส่วนที่ต้องการแล้วถึงกดตรงปุ่ม Sent ไป

   Future A : เป่ายิ้งฉุบกัน

   เพราะสถานะของอีกฝั่งที่ขึ้นว่า Active Now อยู่แล้วผมเลยยังคงค้างไว้ที่หน้าจอนั้นอยู่ และเป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้เมื่อมีอัพเดตให้ทราบว่าเจ้าของเฟสได้เข้ามาอ่านแล้ว

   Net Nathi : อะไรของมึงเนี่ยฟิว
   Future A : นับหนึ่งถึงสามแล้วพิมพ์มานะ
   Net Nathi : เดี๋ยว
   Net Nathi : มึงช่วยดูความเร็วของการพิมพ์กูหน่อย


   จริงอย่างที่เน็ทบอก ว่าที่เขาจะส่งข้อความล่าสุดมาถึงผมมันก็กินเวลามากพอสมควร เขาเป็นพวกที่ไม่ชอบพิมพ์อะไรเร็วๆ อย่างนั้นหรอกเหรอ ดูแล้วน่าจะเป็นคนทำอะไรรวดเร็วไปทุกอย่างมากกว่าอีก

   หน้าต่างป๊อบอัพที่แสดงว่าอีกฝ่ายกำลังจะส่งอะไรบางอย่างมาบอกให้ผมรอต่อไป แล้วกว่าที่ประโยคถัดไปจะส่งมาถึงผมได้มันก็ผ่านไปนานอยู่เหมือนกัน นี่ค่อยๆ จิ้มทีละตัวอักษรรึเปล่านะถึงได้ช้าขนาดนี้

   Net Nathi : โทรมา ไม่กดแล้ว
   Future A : ?
   Net Nathi : ฟิว มึงโคตรโง่


   ผมโดนเน็ทบอกว่าโง่มากี่ครั้งแล้วนะ พอนึกได้ถ้าเขาเอามือถือของผมไปกดแอดเฟสได้หน้าตาเฉยแล้วคงไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่ถ้ามันจะมีส่วนอื่นที่แปลกปลอมเพิ่มขึ้นมาด้วย

   กดปุ่มให้กลับไปอยู่หน้าโฮมสกรีน เลื่อนหาแอปพลิเคชันรายชื่อแล้วค่อยๆ ไล่ลงมาจนพบความผิดปกติที่ไม่ได้สังเกตมาก่อน

   NET's

   ถึงจะสงสัยวิธีการบันทึกชื่อของเน็ทอยู่พอสมควร ผมก็ต้องปล่อยผ่านมันไปเพื่อที่จะได้โทรออกไปตามคำสั่งเสียก่อนที่จะเจอเสียงผู้หญิงแทนที่จะเป็นเสียงของเจ้าของเบอร์

   (ว่างเหรอ)

   "เมมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่?"

   (ฟิวโง่)

   "เน็ท..."

   (อยากจะเป่ายิ้งฉุบเหรอ มาดิ) การที่พูดถึงใจความอย่างนั้นไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังรำคาญเต็มแก่

   "หน..."

   (กรรไกร)

   ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดคำว่าหนึ่ง ปลายสายก็พูดแทรกขึ้นมาจนผมไม่ได้ทำอย่างที่คิด คนอื่นอาจไม่รู้สึก เน็ทเป็นคนที่แสดงออกผ่านน้ำเสียงเยอะ ปกติแล้วเน็ทจะเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง ไม่ค่อยก้มลงให้ใคร..เหมือนตอนนี้

   (คนโง่อย่างมึงกูควรจะตัดให้ขาดได้แล้วฟิว)

   แล้วสัญญาณที่แจ้งเตือนว่าการเชื่อมต่อได้จบลงแล้วก็ปรากฏขึ้น ผมมองโทรศัพท์ของตัวเองดับลงไปด้วยความรู้สึกมืดบอดไม่ต่างกัน คิดในหัวเร็วๆ แล้วว่าการโทรกลับไปอีกครั้งมันคงเป็นอะไรที่สิ้นคิดอย่างมาก ผมที่ไร้ทางไปถึงกลับไปดูหน้าเฟสบุ๊คว่ามีอะไรที่จะช่วยให้ผมเข้าใจอาการคุ้มดีคุ้มร้ายของเน็ทได้บ้างหรือเปล่า

   Net Nathi
   เพราะอนาคตไม่ใช่ของเน็ท

   "..."

   ...ผมคงโง่อย่างที่เน็ทบอกจริงๆ


┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨


   สุดท้ายแล้วเราก็ยังคงมีประเพณีอะไรบางอย่างที่ยังคงไว้อยู่อย่างนั้นไม่หายไปไหน เช่นการให้เกียร์วิศวะ เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่มีการวิ่งรับรุ่นอะไรพวกนั้นอีกแล้ว เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ค่อนข้างไร้สาระมากเลยทีเดียว อย่างนี้ตอนที่เป็นรุ่นหนึ่งร้อยคุณก็ต้องวิ่งร้อยรอบเหรอ บ้าไปแล้ว

   แล้วผมก็ไม่เชื่อเรื่องที่คนเราจะรักกันได้จากการที่มาทำกิจกรรมร่วมกันแค่นี้ เพราะงั้นสิ่งที่ผมอยากให้พวกเขาได้กลับไปคือการรู้จักปรับตัวเข้าหาคนอื่นให้มากขึ้น ไม่ต้องรักหรือผูกพันอะไรอย่างที่เขาพร่ำบอกหรอก แค่ให้รู้ว่าอย่างน้อยในโลกแห่งความเป็นจริงสังคมที่ต้องเจอมันเต็มไปด้วยความหลากหลายมากแค่ไหน

   หนึ่งสิ่งที่ต่างออกไปคือเด็กเจ้าปัญหาคนนั้นไม่เคยโผล่หน้ามาให้ผมเห็นอีกเลย ไม่มีการเอาป้ายชื่อหรือของอย่างอื่นมาฝากเอาไว้อย่างที่ชอบทำ ไม่สิ ไม่เข้ารับน้องเลยอีกต่างหาก

   "ไงฟิว"

   "ทุกอย่างเรียบร้อยไหม?"

   "ก็ดี วันนี้น้องเน็ทก็มานะ เราเห็นตอนลงทะเบียน"

   ผมเงียบไม่หืออืออะไรกับสิ่งที่เพื่อนบอก ทั้งที่ใจเต้นแรงจนน่ากลัว วันนี้เน็ทมาด้วยอย่างนั้นเหรอ ทำไมผมถึงไม่เห็นเลย

   ค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปอยู่ในส่วนของลานพิธี ตอนนี้เด็กปีหนึ่งทุกคนกำลังยืนเรียงกันรอบสนามขนาดใหญ่ ผมมองหาเด็กขี้หวงที่หายหน้าหายตาไป พอพบว่าเขายืนอยู่คนเดียวแบบที่ไร้การสื่อสารกับเพื่อนคนอื่นแล้วแล้วก็รีบดิ่งไปตรงนั้นทันที

   "ผิดสัญญา"

   ถ้าเน็ทเคยใช้คำว่าสัญญาเป็นการทักทาย ผมก็จะใช้คำว่าผิดสัญญาแทนคำว่าสวัสดีบ้างล่ะ เด็กปีหนึ่งเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาที่เล่นเอาผมชาวูบ เพราะมันรวมความรู้สึกหลายๆ อย่างไว้บนนั้น ตกใจ ไม่พอใจ ...แล้วก็ปวดร้าว

   "มาให้ผมทำโทษเลยนะเน็ท"

   "..."

   ไม่เหมือนกับทุกทีที่จะต้องได้ยินเสียงของเขาเถียงกลับมาอย่างไม่ยอมใคร คราวนี้เน็ทแค่กลับไปก้มหน้าจนผมไม่อาจเห็นได้ว่านัยน์ตานั้นมีอะไรที่เปลี่ยนไปหรือไม่

   "เน็ท"

   "..."

   "เน็ทครับ" ย่อตัวเองลงมาจนเกือบกลายเป็นนั่งยอง เพื่อให้ตัวเองสามารถเห็นได้ว่าคนที่ไม่ยอมคุยกับผมเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้ "เน็ทคนที่เถียงกับผมตลอดเวลาหายไปไหนแล้ว"

   พอเขาเห็นว่าผมแก้เกี้ยวอย่างนั้นก็เลยกลับไปทำหน้าตรงเหมือนเดิม คราวนี้ผมกลับมายืดตัวให้เท่ากับเขา ให้ตาของเราสองคนได้อยู่ในระดับเดียวกัน

   "หืม? นี่เน็ทตัวปลอมใช่หรือเปล่า"

   "...ไปที่อื่นเลยนะฟิว"

   แม้แต่เสียงไล่ก็ยังเบาหวิวและแห้งผาก เน็ทไม่เคยแสดงอาการอ่อนแออย่างนี้มาก่อนจนผมอยากจะรวบทั้งตัวมากอดไว้ก่อนที่จะได้เห็นบางคนล้มลงไปตรงหน้า

   "ไม่ไป" เป็นคราวของผมที่จะได้เอาแต่ใจบ้างแล้วล่ะ "ฝากของหน่อย"

   ต้องขอบคุณที่เรากำลังอยู่ในพิธีการที่ค่อนข้างสำคัญ ไม่อย่างนั้นแล้วเน็ทคงได้เดินหนีออกไปตั้งนานแล้ว เจ้าชายขี้หวงทำหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังแสดงออก ถึงเขาจะไม่ได้หลบสายตาอะไรมันก็ไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เน็ทจะดูเป็นตัวของตัวเองมากกว่านี้

   "รับไปเร็ว"

   เน็ทเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้างตอนที่เห็นว่าผมยื่นมือที่กำไว้แน่นไปตรงหน้า "แบมือรับสิ"

   เด็กมากเรื่องทำลอยหน้าลอยตาไม่ยอมทำตามที่ผมบอกเลยสักนิด ตอนนี้รอบข้างของเราเริ่มหนาตาไปด้วยกลุ่มรุ่นพี่รุ่นน้องพร้อมที่จะเริ่มพิธีการมอบเกียร์กันแล้ว จะเรียกว่าพิธีการก็คงไม่ถูกต้องนัก เป็นเหมือนการให้ของจากรุ่นพี่สายรหัสเสียมากกว่า เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่พวกผมตกลงจะเปลี่ยนแปลงการทำอะไรที่ดูศักดิ์สิทธิ์แบบไม่จริงให้เป็นอย่างที่รูปธรรมจับต้องได้มากขึ้น

   แต่คนตรงหน้าของผมไม่มีพี่ปีสูงเลยสักคนเพราะว่ามันไม่เอาสายรหัส ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนมาให้เลยเสนอตัวรับมาอยู่ในสายให้จบๆ เรื่องไป

   ...ถึงจะโดนแซวไปยกใหญ่เลยก็เถอะ

   "อะไร?" พอถึงบทที่ไม่ควรจะเรื่องมากก็ดันระแวงไปทุกอย่างเสียนี่

   "ฝากหน่อย"

   "ไม่รับ"

   เกือบขำออกมาแล้ว เน็ทนี่ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่ควรจะเต็มไปด้วยความซาบซึ้งก็ยังคงความเน็ทไว้ได้อย่างดีเลย

   "เอาไปเถอะ"

   "ฟิว"

   "จากพี่เลยนะ" ผมชอบเวลาที่เรียกตัวเองว่าพี่มากกว่าผมอีกแฮะ

   คงจะดีมากที่สุดถ้าเน็ทยอมเรียกผมว่าพี่บ้าง

   "...ไร้สาระ" ทำบ่นงุบงิบแต่ก็ยอมแบมือมาตรงกับส่วนปลายแขนของผมในที่สุด "เอามาเร็วๆ เลย"

   อยากจะแกล้งต่ออีกหน่อยให้หายหมั่นเขี้ยวอยู่หรอก ติดตรงที่ว่าลองทำอย่างนั้นไปอาจจะเห็นร่างพิโรธแทนแล้วไม่คุ้ม คนอะไรขี้โวยวายได้ตลอดเวลา

   "ไหนๆ อ้อ..." เกียร์ทองขนาดกำลังดีถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา "หืม?"

   นัยน์ตารีสวยหรี่ลงยามพิจารณา คงเห็นแล้วสินะ

   "ฟิว"

   "ครับ"

   "มึงไม่ได้หยิบผิดใช่ไหม"

   "ไม่"

   "งั้น..."

   "เก็บไว้ให้หน่อย"

   ผมเรียนวิศวะ ตัววิชาหลอมให้ผมรอบคอบอยู่ตลอดเวลา เพราะการตัดสินอะไรสักอย่างเต็มไปด้วยความรับผิดชอบตามมาอย่างมหาศาล ทุกอย่างเดิมพันด้วยชีวิต การคำนวณ การออกแบบ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่วางไว้ ไม่ใช่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง

   คงเป็นครั้งแรกที่ผมแหกทุกกฎที่ตัวเองวางไว้

   ในมือของเน็ทตอนนี้เป็นเกียร์ที่หากสังเกตดูให้ดีแล้วจะพบว่าเลขรุ่นมันไม่ใช่รุ่นของเขา แต่ลดลงไปหนึ่งรุ่น ...หรือก็คือรุ่นของผม

   "ถ้าไม่เอา?"

   ยิ้มร้ายส่งมาให้ผมในขณะที่เกียร์ที่ทองถูกโยนขึ้นลงเหมือนของเล่นเด็กที่ไม่มีค่าอะไร ชายหนุ่มที่ดูเศร้าสร้อยเมื่อครู่หายไปไหนกัน ไม่น่าเลยผม นี่คือการเอาคืนอย่างนั้นหรือเปล่า

   "ไหนบอกว่าเป็นพวกหวงของ?"

   "ก็นี่ไม่ใช่ของเน็ท"

   "งั้นก็ทำให้เป็นซะสิ" ผมสวนกลับในทันที

   "ฟิว..." ลมหายใจถูกถอนออกมายาว "รู้ใช่ไหมว่ากูขี้หวง"

   "รู้ดีเลยล่ะ"

   "อะไรที่เป็นของกูแล้ว กูไม่ให้ใครมาแบ่งแล้วนะ"

   "นั่นเป็นเรื่องที่ดีมาก"

   "คนพิลึก..." ผมเพี้ยนไปหรือเปล่านะที่ยิ้มให้คำด่า "มึงพลาดแล้วล่ะฟิว"

   เน็ทปลดตัวล็อคของสายสร้อยออก จากนั้นก็เอาเกียร์ที่อยู่ในมือร้อยลงไปจนของสองสิ่งบรรจบกันที่ตรงกลาง ไม่ต้องมีการสัมผัสทางร่างกาย มีแต่สายตาที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่นั้นส่งมาให้จนผมรับรู้ได้เต็มหัวใจ

   "พี่ฟิวเป็นอนาคตของเน็ทแล้วนะ"


┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨

 
   "ฟิว บู้ทสีน้ำตาลของกูอยู่ไหนอะ"

   ผมเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโน้ตบุ๊คขนาดสิบสองนิ้วของตัวเองไปยังคนที่ยืนหน้าหงิกอยู่ตรงชั้นวางรองเท้าหน้าประตูห้อง คิดทบทวนว่าบนชั้นวางรองเท้าที่ใครๆ ต่างไม่เชื่อว่าจำนวนทั้งหมดนั้นมีเจ้าของเพียงแค่สองคนเท่านั้นมีสิ่งที่เขาตามหาอยู่หรือเปล่า

   "ไม่มีนะ"

   ไม่มีทางที่ผมจะจำผิด เน็ทมีแค่บู้ทเหลือบดำที่เห็นใส่เฉพาะงานสำคัญจริงๆ

   "มี ทิมเบอร์แลนด์ไง"

   "...นั่นของพี่"

   คนเด็กกว่าทำหน้ายุ่ง "...ของเน็ท"

   "ไม่มี เน็ทไม่เคยซื้อบู้ทสีน้ำตาล"

   "ของเน็ท"

   โอเค อย่างนั้นก็ได้

   "ครับๆ ของเน็ทครับ"

   เจอเขาย้ำด้วยใบหน้าเชื่อมั่นอย่างนั้นก็ได้แต่ยอมตามน้ำไป ต่อให้ความจริงว่ารองเท้าคู่นั้นเป็นของผมไม่ใช่ของเน็ทก็ตามทีเถอะ ไม่เถียงให้เสียเวลาเปล่า ต่อให้ค้านไปขนาดไหนถ้าลองได้เจอคำว่า 'ของเน็ท' เข้าไปทีไรก็จบทุกที อย่างนาฬิกาข้อมือที่ใส่อยู่นั่นก็ของผมนะ

   หนึ่งในไม่กี่สิ่งที่เราเหมือนกันคงเป็นเรื่องรองเท้านี่แหละ คลั่งมันอย่างที่ลงทุนออกเงินคนละครึ่งทำชั้นวางรองเท้าขึ้นมาใหม่ให้เพียงพอต่อความต้องการ โชคดีตรงที่ขนาดเท้าของเราสองคนเท่ากันเวลาเลือกซื้อเลยไม่ค่อยมีปัญหามากเท่าไหร่ ส่วนที่เรียกปัญหาได้มากที่สุดก็คงเป็นตรงที่ชั้นวางมันเริ่มจะประท้วงว่ารับปริมาณไม่ไหวแล้วล่ะ

   "แล้วอยู่ไหน?"

   "อืม...น่าจะเอากลับบ้านไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว"

   "ฮึ่ย ไม่ไปแล้ว เทแม่ง" พออยู่ด้วยกันไปนานๆ ก็จะชินกับนิสัยแปลกๆ อย่างเช่นการเปลี่ยนใจที่เร็วยิ่งกว่าการกลับด้านของเสื้อเสียอีก "เดี๋ยวโทรไปบอกน้องโรมก่อน"

   "...แต่เน็ทกำลังโทรมาหาพี่นะ"
   
   หน้าจอโทรศัพท์ของผมตอนนี้กำลังขึ้นภาพแผ่นหลังของคนที่อยู่ข้างๆ พร้อมชื่อที่บันทึกไว้ว่าปัจจุบัน

   "มึงแม่งชอบเลียนแบบ" เขาวางสายลง กลับมานั่งข้างผมบนเบาะญี่ปุ่นขนาดใหญ่

   "ก็ชอบเลยเลียนแบบไง"

   "ทำไมแม่ถึงตั้งชื่อให้ว่าอนาคตอะฟิว"

   "แล้วทำไมเน็ทถึงชื่อนัทธิ"

   "เพราะนัทธิแปลว่าที่ผูกพัน เป็นลูกที่ผูกพ่อกับแม่ไว้"

   "ความหมายดี"

   ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมตัวเองถึงมีชื่อจริงว่าอนาคต พอถามพ่อก็บอกว่าแม่ตั้ง พอถามแม่ก็บอกว่าลูกพี่ลูกน้องผมตั้ง พอเจอหน้าเลยถามไปเขาก็บอกว่าตอนนั้นตัวเองเพิ่งจะขวบกว่าจะไปพูดอะไรได้ จนในที่สุดทุกวันนี้ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าชื่อของตัวเองมาจากไหน แล้วจุดประสงค์ที่ตั้งไปอย่างนั้นคืออะไรกันแน่

   "อืม"

   "พี่ว่าฟิวเรียกง่ายกว่าอนาคตเยอะเลยนะ"

   "เรื่องของกู" นิสัยอย่างนี้ของเน็ทไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังเหมือนเดิม "แล้วทำไมกูถึงเป็นปัจจุบัน"

   เราไม่เคยเรียกความสัมพันธ์ของเราว่าแฟน หรือชื่ออื่นอะไรก็ตามแต่ที่คนนิยามให้ เน็ทเรียกผมเป็นอนาคตและผมเรียกเขาว่าปัจจุบัน

   "ก็เป็นปัจจุบัน เป็นทุกวันของพี่ไง"

   มันเมคเซนต์ออกนะ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ ในเมื่อตอนนี้สิ่งที่เราอยู่ด้วยมันคือปัจจุบันนี่นา

   "น้ำเน่า"

   "สรุปแล้วทำไมถึงชอบชื่ออนาคตขนาดนั้น"

   "แม่ชอบบอกว่ากูเป็นคนไม่มีอนาคต คราวนี้จะพากลับไปชี้ให้ดูเลยว่ามีแล้ว ...จะได้เป็นคนมีอนาคต"

   "เด็กเอ๊ย ไปเยี่ยมกี่รอบไม่เห็นแนะนำอย่างนี้"

   รอบแรกที่พาไปหาคุณพ่อคุณแม่ผมเกร็งแทบตาย เน็ทก็แนะนำง่ายๆ แค่ว่า 'นี่ฟิว' หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติมอีก จนผมแอบถามคุณแม่ว่าไม่แปลกใจเหรอ ก็ได้คำตอบว่านอกจากคนพวกนั้นที่เป็นเพื่อนแล้วเน็ทเคยบอกว่าถ้าพาใครมาแนะนำให้รู้จักนั่นคือรู้ได้เลยว่าไม่ใช่แค่เพื่อน

   เน็ทมีเพื่อนแค่นั้นก็พอแล้ว

   นอกจากนั้นคือคนที่เน็ทจะไม่ยอมให้เป็นของใครอื่น...

   "ก็อนาคตแปลว่าเวลาข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึง"

   "แล้ว..."

   "แสดงว่าทุกช่วงเวลาของเน็ทต่อจากนี้จะมีพี่ฟิวเสมอไง"
 
He just is,
I just am
And we just are.
-Lang Leav


***
   เอาตอนจบมาส่งแล้วค่ะ แล้วก็จะเป็นการจบพาร์ทพิเศษทั้งหมดที่เจ้าตั้งใจว่าจะลงไว้ตั้งแต่ต้นด้วยนะคะ
   ต่อจากนี้เจ้าจะไปต่อที่เรื่องของพี่แบล็ค ♚ PITCHBLACK ♛ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53263.0) แล้วนะคะ ถ้าอยากรู้ว่าราชาจะโดนอะไรบ้างอย่าลืมตามกันต่อไปนะ (ยิ้มกว้าง)
   #ที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 3 (ฟิวเน็ท) [04.07.16]
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 05-07-2016 18:21:40
อ่านรวดเดียวจบ สนุกมากกกค่ะ
เราชอบมากๆ ตอนแรกๆ ดูเป็นนิยายธรรมดาๆนะ ไม่คิดว่าปมจะเยอะขนาดนี้(ฮา) แต่ก็ชอบมากกกกกกกก ตัวละครในเรื่องนี่รู้สึกว่าที่หนึ่งธรรมดาสุดละ แอบสงสารบ้างบางเวลา ชอบน้องโรมมากกกกกก ถึงน้องจะโลเลแต่น้องน่ารัก เราชอบตัวละครนี่มาก เอ็นดู คือแบบดูเป็นน้องน้อย พวกพี่ๆ นี่ยิ่งกว่าจงอางหวงไข่55555555 ปกติเราจะไม่ชอบเรื่องที่มีคู่รองนะ แต่เรื่องนี้ชอบทุกคู่ ชอบมากกกกกกกโดยเฉพาะสิปป์นิช รู้สึกว่าเคมีเข้ากันมากก อยากให้มีรวมเล่มนะคะ ซื้อแน่นอน ขอรีเควสตอนพิเศษคู่ที่หนึ่งโรมกับสิปป์นิชเยอะๆ  :mew2:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 3 (ฟิวเน็ท) [04.07.16]
เริ่มหัวข้อโดย: zaalim ที่ 08-07-2016 16:26:40
อ่อยยยยยย....น่าร้ากกกกกกกกกกกก...

'ก็อนาคตของเน็ทจะมีฟิวเสมอไง'  :hao7:

ไม่คิดว่าเจ้าชายจะมีมุมแบบนี้กับเขาด้วย...  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 3 (ฟิวเน็ท) [04.07.16]
เริ่มหัวข้อโดย: AllStaRK ที่ 16-07-2016 23:49:28
งืมมมมมมน่ารักไปแล้ว
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 3 (ฟิวเน็ท) [04.07.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 17-07-2016 17:14:22
โอยยยยยยย น่าร๊ากกกกกกก
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: Kio ที่ 17-09-2016 16:49:28
โอ้ยยยย จบสักที อ่านรวดเดียวจบสองวัน ไม่เคยอ่านเรื่องไหนแล้วเครียดเท่านี้มาก่อนเลยค่ะ คือหน่วงๆ กว่านี้ก็เคยอ่าน แต่ไอนี่มันเครียดจริงเหวย จากที่จะหาอะไรอ่านบรรเทาความเครียดอ่านหนังสือสอบกลับกลายเป็นเครียดกว่าเดิมเลย ไม่คิดว่าจะอ่านจบเหมือนกัน ปมเยอะมากจนเราถอดใจไม่อยากรู้ความจริงเลยด้วยซ้ำ ขอบคุณตัวเองทีไม่ถอดใจซะก่อน ปมเยอะดีค่ะ แต่มาเฉลยตอนเดียวจบนี่รับไม่ไฟว บางอย่างก็ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าเคยผูกไว้ สงสารหนึ่งสุดที่ต้องมาเจอกลุ่มแปลกๆ แบบนี้55555555555 เอาเถอะนายเลือกแล้วเราก็ไม่ขัดศรัทธา จากนี้ก็ดูแลน้องโรมดีๆ น่าห่วงไปหมดจริงๆ สุดท้ายก็จบสักที /ปาดเหงื่อ
ที่ชอบสุดคงเป็นคู่สิปป์-นิชเนี่ยแหละ พอดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกินนนน แอบอยากเห็นจุดจบนังต้นน้ำด้วย
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: pp_psj ที่ 18-09-2016 15:30:30
 o13 :mew1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: Niinuii ที่ 18-09-2016 18:52:49
 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 19-09-2016 07:04:51
ขอบคุณมากค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: Kitsune1st ที่ 20-09-2016 00:35:31
อ่านรวดเดียวจบแบบว่ามาราธอน
ตอนอ่านเรื่องนี้จริงๆหงุดหงิดหลายตอนมาก
ปมเยอะ ไม่พอ ตัวละครทำตัวซับซ้อนไปมา
แต่พออ่านไปก็อยากรู้ไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็อ่านจนจบ
ตาแฉะเลยทีเดียว 555 กำลังจะไปตามอ่านเรื่องอื่นๆค่ะ
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้เราอ่าน^^
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 21-09-2016 00:40:36
อ่านรวดเดียวจบ กว่าจะรู้เรื่อง ปมเยอะมาก สนุกมากครับ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 24-09-2016 00:57:53
อยากได้พี่ฟิว ขออออออ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 20-12-2016 11:34:35
สารภาพ เป็นนิยายที่อ่านแล้วอึดอัดมาก ยอมรับว่าอึดอัดจนอ่านข้าม แต่สุดท้ายก็เลื่อนกลับไปอ่านใหม่อีกรอบ มันอึดอัดชนิดที่แบบ เห้ยเราอินไปกับมันได้ขนาดนี้เลยหรอ ไม่ได้มองผ่านมุมใคร มองผ่านมุมคนกลางล้วน ๆ หนึ่งโคตรน่าสงสาร ที่เหมือนหมากโดนจับวางเพื่อให้ชนะคนตาย ต้องสู้กับคนตายโคตรเหนื่อยอะ  มันบอกไม่ถูก แต่รวม ๆ ชอบมาก อ่านไปอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งหน้าอก่กว่าเดิมไปอีกโข
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 17-04-2017 11:06:57
กรี๊ดดดด ฮือออ เราตามมาจากเจสนพ.ที่มีแจ้งว่าจะรวมเล่มเรื่องนี้ค่ะ สารภาพว่าตามมาเพราะคำโปรย อยากรู้ว่าเขาจะได้เป็นที่หนึ่งไหม แต่แบบ ไม่คิดเลยอ่ะค่ะว่าจะติดมากขนาดนี้ โอ๊ยย เราชอบมากๆเลยค่ะ อ่านตอนแรกก็ว่าคงเป็นเรื่องหวานๆใสๆ พออ่านไปมันเริมไม่ใช่ละ ปมเต็มไปหมด นี่อ่านไปเครียดมากค่ะ เหมือนโดนหลอกให้มาอ่านแล้วสาดปมใส่เราอ่ะค่ะ 5555555 แต่ที่พูดมานี่ชอบนะคะ ถึงจะเครียดแต่เราก็ชอบอ่ะ ปมแต่ละอย่างที่ค่อยๆเฉลยนี่ทำให้อยากรู้ต่อมากเลยค่ะ เราชอบที่คุณนักเขียนคลายปมได้ครบอ่ะค่ะ นี่เป็นคนกลัวมากเวลาเจอปมในนิยาย กลัวคุณนักเขียนลืมปมที่วางไว้ แต่เรื่องนี้ครบเลยยย เราชอบบบบ(ขอย้ำอีกครั้ง) เอาจริงตอนที่หนึ่งเลือกไปจากโรมนี่เราไม่ได้เศร้าขนาดนั้นอ่ะค่ะ ให้ความรู้สึกว่าที่หนึ่งก็คงต้องทำแบบนี้จริงๆแหละ แต่เราร้องไห้ตอนเกรย์กับโรมคืนดีกันแล้วก็ตอนที่ไวท์ร้องไห้ค่ะ โอ๊ยยย น้ำตา รักความเป็นแฝด รักความปกป้องน้อง พออ่านจบนี่เราว่าเรื่องนี้ค่อนข้างต่างกับที่เราคิดไว้เยอะเลยอ่ะค่ะ เราก็ไม่รู้จะพูดยังไง อย่างแรกคือไม่ใช่นิยายใสๆ อย่างที่ 2 คือปมเยอะมาก อย่างที่ 3 สาระที่แทรกมากับเนื้อเรื่อง เอาจริงๆนะคะ เรามีความคิดที่ติดตัวาตลอดว่านิยาย"ไม่จำเป็น" ต้องมีสาระอะไรมาก แค่ทำให้คนอ่านมีความสุขได้ก็พอแล้ว ดังนั้นเวลาอ่านอะไรแล้วเจอความไม่สมเหตุสมผลบางอย่างเราก็จะมองข้ามไปได้ง่ายๆ แต่เรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่านิยายแบบมีสาระมันก็ดีนะคะ 55555 ปกติเราจะแพ้ปมครอบครัว มาทีไรน้ำตาไหลเป็นสายทุกที และเรารักความสัพันธ์ของพี่น้องทุกคนมากค่ะ เป็นครอบครัวใหญ่ที่น่ารัก และคำว่าเป็นพี่ต้องดูแลน้องนี่ทำให้เราปวดใจและอบอุ่นได้ในเวลาเดียวกัน เราสงสารไวท์มากๆในจุดนี้นะคะ เข้าใจเลยว่าทำไมไวท์ถึงหนี ให้ตัวเองได้พักก็ดีค่ะ ไวท์เป็นคนที่เข้มแข็งมากและอ่อนแอมากในคนเดียวกันค่ะ อาจเพราะไวท์นิสัยแบบนี้ แบกทุกอย่างไว้คนเดียว เพราะรักมากถึงไม่อยากห้เจ็บปวดนี่เรายอมผู้หญิงคนนี้จริงๆค่ะ หวังว่าจากนี้เมื่อทุกอย่างจบไวท์ก็จะปลดบาปที่แบกไว้ออกแล้วมีความสุขสักทีค่ะ นี่อาจเป็นเหตุผลที่ไวท์ได้มาเจอคุณเวลานะคะ จะรักษาแผลในใจได้ก็ต้องใช้เวลาอ่ะเนอะ เรารอตอนของคู่นี้ด้วยนะคะะะะ ต่อมาขอพูดถึงคุณสิปป์กับน้องนีชนะคะ โอ๊ยยยยย สัมผัสได้ตั้งแต่ตอนแรกว่าต้องแซบ แล้วก็จริงค่ะ ฮืออออ ทั้งที่ก็ดูไม่มีอะไรนะคะ ทำไมเรารู้สึกร้อนจังคะ ทำไมเขาดูเซ็กซี่ทั้งที่แค่คุยกัน ตายแล้วววคือเป็นคู่ที่ทำให้เราเขินมากกก ร้อนแรงจริงๆค่ะ ร้อนจนเราเชื่อว่าน้ำเล็กๆไม่มีทางมาทำอะไรได้อ่ะ พูดถึงน้ำนี่หมั่นไส้จังค่ะ มันคงมีอะไรที่ทำให้คุณสิปป์ตัดน้ำออกไปไม่ได้ คงไม่ใช่แค่เพราะอยู่วงเดียวกันมั้งคะ ดูแววแล้วเหมือนคุณสิปป์แกก็ไม่ค่อยสนใจน้ำนะ แต่ก็ไม่ตัดขาดไป อาจเกี่ยวกับที่น้ำสามารถไปฟ้องคุณพ่อได้และคุณพ่อเชื่อด้วยแหละ อาจเป็นอารมณ์เพื่อนสมัยเด็กรึเปล่านะคะ เราก็เดาไปเรื่อย แต่น้องนีชน่ารักกกก โอ๊ยยย เราแพ้ปีศาจค่ะ น้องน่ารักจนเราอยากกอดแน่นๆ ฮืออออ ไม่รู้ทำไมนะคะ เราว่าน้องน่ารักอ่ะ ดูเงียบๆแต่เอาใจเราไปแล้วเนี่ยยย เข้าใจคุณสิปป์เลยค่ะ แต่ว่าไปก็ขำแกนะคะ ดูวิธีเข้าหา เป็นเรานี่คุณสิปป์อาจไม่ได้เงินคืน 55555555 แต่นี่เป็นน้องนิชไง น้องน่ารักกก ตอนคุณพ่อบอกว่าน้องไม่มีหัวนอนปลายเท้า เรียนก็ไม่จบนี่เราแบบ อยากโดดขาคู่ใส่ ต้องมาเจอรูปที่น้องวาด ฮึ่ม แกแล้ว การงานก็ใหญ่โตยังมาดูถูกคนอื่นด้วยเรื่องแบบนี้อีก นี่เราอยากไปร่วมอ่านหนังสือกับเขาจังเลยค่ะ 555555 ต่อค่ะต่อพี่อนาคตกับน้องปัจจุบัน โอ๊ยยยยย สดใสซาบซ่านชุ่มชื่นหัวใจมากค่ะ ฮืออออ น้ำตาจะไหล ในที่สุดเราก็ได้เจอความใส น้องเน็ทน่ารักมากเลยค่ะ คือน้องเอาแต่จเกินคนจริงนะคะ แต่เป็นความเอาแต่ใจที่น่ารักอ่ะ คงเพราะน้องเอาแต่ใจแบบมีเหตุผลด้วยแหละค่ะ มันเลยไม่ได้ดูน่ารำคาญ ถ้านี่เป็นพี่ฟิวจะรวบหัวรวบหางตั้งแต่น้องมาแอดเฟซแล้วบอกห้ามลบแล้ว พี่นี่ก็ซื่อจริงจัง เราว่าพี่แกแค่ไม่คิดมั้งคะ พี่ฟิวดูมองเน็ทเป็นน้องเป็นเด็กน้อยมากอ่ะ น้องอ่อยขนาดนี้ยังไม่รู้เรื่องอีก แต่อาจเพราะพี่ฟิวเป็นแบบนี้เน็ทถึงไปไหนไม่รอดนะคะ แอร๊ยยย คู่นี่เราชอบตอนที่เน็ทบอกว่าเพราะอนาคตไม่ใช่ของเน็ทมากเลยค่ะ ฮือออออ ใครจะคิดว่าเข้าชายจะตัดพ้อแบบนี้ ตาสว่างเลยสิคะพี่อนาคต 5555555 โฮ้ยยย นี่เราชอบจริงนะคะเนี่ย เราว่ามัใช่สำหรับเรา กลับมาที่คู่หลักก่อนที่น้องโรมจะน้อยใจนะคะ น้องโรมเป็นคนที่ไม่มีอะไรโดดเด่นออกมาเลยจริงๆอ่ะค่ะ นิสัยไม่เด่น หน้าตาไม่เด่น ความสามารถไม่เด่น แต่น้องมีออร่าบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าน้องน่ารัก น้องน่าปกป้อง เข้าใจทุกคนเลยค่ะว่าทำไมรักน้องกันขนาดนี้ ส่วนที่หนึ่ง น้ำเน่าค่ะ 5555555555555 แต่ก็เป็นความน้ำเน่าที่เรียกเราให้มาอ่านนะคะ ไอ้ผมอยากเป็นที่หนึ่งของคุณเนี่ย ฮือออออ เราสงสารที่หนึ่งแต่ก็คิดว่าที่หนึ่งทำตัวเองด้วยอ่ะค่ะ เราเข้าใจนะคะที่ที่หนึ่งเสียใจ เราว่ามันเพราะน้องไม่ยอมบอกอะไรมากกว่าเพราะน้องมีที่หนึ่งของตัวเองอยู่แล้วอ่ะค่ะ มันก็พูดยากนะคะ จริงอย่างที่แบล็กว่าอ่ะค่ะ ไม่มีใครชนะคนตายได้หรอก เพราะคนตายคือความทรงจำที่สวยงาม เขาจะอยู่ตรงนั้นเสมอ ไม่ว่าจะมีใครผ่านเข้ามาหรือผ่านไปในชีวิตเราแต่คนตายจะไม่จากไปไหน แล้วครจะไปชนะได้คะ แล้วคือน้องโรมก็ไม่ได้รักลัจอ่ะ ไม่ได้รักแบบคนรัก เพราะน้องบอกเองว่าความรู้สึกที่ให้ที่หนึ่งกับให้ลัจไม่เหมือนกัน เราก็ไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไง แต่เราคิดเองเออเองว่ามันเป็นความรู้สึกของแฝดมั้งคะ เกรย์กับลัจรักกันจริงๆ น้องก็อาจรับความรู้สึกของเกรย์มาด้วย(นี่เดาแบบเริ่มเหนือธรรมชาติแล้วนะ 55555) แต่ส่วนตัวคือเราไม่คิดว่าน้องโรมรักลัจแบบนั้นอ่ะ ฮืออออ จริงนะคะ เราอาจเดามั่วบ้างอะไรบ้าง โปรดอภัยให้เรา อย่างตอนหลังที่น้องรู้ว่าลัจกับเกรย์รักกันเราว่าน้องเหมอนสบายใจที่ได้ปลดปล่อยตัวเองและก้าวไปข้างหน้าจริงๆแล้วอ่ะ สุดท้ายยังไงที่หนึ่งก็จะเป็นที่หนึ่งต่อไปนะคะ

เราขอบคุณมากๆเลยนะคะที่เขียนเรื่องนี้ออกมา เราประทับใจมากเลยค่ะ แต่ตอนรวมเล่มเราขออย่างนึงได้ไหมคะ อยากได้ตอนพิเศษมากกว่านี้ ฮืออออ ทุกคู่เลยค่ะะะะ ขอยาวๆหลายๆตอนได้ไหมคะะะ นะคะ นะคะ นะ นะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END - แจ้งข่าวหน้า 16 [04.07.17]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 04-07-2017 22:46:25
สวัสดีค่ะ

วันนี้เจ้ามาแจ้งข่าวเรื่องการรวมเล่ม "ที่หนึ่ง" กับทางสำนักพิมพ์ Rainy Night นะคะ (ยิ้ม)


รายละเอียดการพรีออเดอร์

   เรื่อง: 23August
   ภาพ: s e r a
       - เล่ม 1  320 หน้า
       - เล่ม 2  376 หน้า
       - เล่ม 3  272 หน้า
   ราคา: 1180 บาท รวมค่าจัดส่ง
   ของแถมรอบจอง
      + เล่มตอนพิเศษ Rainy Day
      + ที่คั่น / โปสการ์ด
   150 คนแรก + Photocard

หนังสือมีทั้งหมดสามเล่ม สำหรับเนื้อหาเล่มหนึ่งและสองจะเป็นเนื้อเรื่องหลัก และเล่มสามจะเป็นตอนพิเศษค่ะ ส่วนของตอนพิเศษจะมีดังนี้
   - Limited Book [สิปป์-นิช]
   - NET's [ฟิว-เน็ท]
   - ความลับของสีขาว [เวลา-ไวท์]
   - Candy Heart
   - 31 Hours
   *สามเรื่องหลังไม่ได้ลงในเว็บค่ะ

ส่วนเล่มตอนพิเศษ Rainy Day เป็นหนึ่งวันธรรมดาของที่หนึ่งกับโรมค่ะ


การสั่งจองสามารถเข้าไปที่ http://rainynight.lnwshop.com/ และหากต้องการสอบถามเพิ่มเติมติดต่อทางสำนักพิมพ์ https://www.facebook.com/rainynightpublishing/ ได้เลยนะคะ (ยิ้ม)


ขอบคุณค่ะ
23August
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END - แจ้งข่าวหน้า 16 [04.07.17]
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 03-10-2017 12:26:37
เป็นเรื่องที่วางปมแล้วเขียนจูงให้อยากอ่านเรื่อยๆเลยอะ สุดยอดเลยย
เดี๋ยวจะตามไปเรื่องของราชาสีดำนะคะ  :impress2:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END - แจ้งข่าวหน้า 16 [04.07.17]
เริ่มหัวข้อโดย: Nefrit ที่ 07-11-2017 01:09:58
จบบริบูรณ์ ขอบคุณผู้เขียนมากเลยนะคะ ท่ีสร้างเรื่องราวที่สนุกและมีขอคิด ผูกปมซะซับซ้อน 555
ปล.น้องโรมน่าอิจฉามาก
ปล2.ชอบคู่สิปป์_นิช มากเลยค่ะ สไตล์นี้ลอบบ :t3:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END - แจ้งข่าวหน้า 16 [04.07.17]
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 22-11-2017 22:17:22
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีนะคะ สนุกมากเลย ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: jomyingg ที่ 29-11-2017 12:02:30
อ่านรวดเดียวจบแล้วมาเม้นที่เดียวเลยค่ะ
ขอบอกว่าชอบมากๆเลย ชอบความที่หนึ่งที่ป๊อดแต่มั่นคงอะ น่าร้ากกกก ชอบการบรรยายด้วยค่ะ รู้สึกว่าอ่านแล้วรู้เลยว่าตอนนี้ใครบรรยายอยู่เพราะบรรยากาศรอบตัวของแต่คนจะไม่เหมือนกันเลย
อย่างที่หนึ่งโรมก็จะน่ารักเบาๆ สิปป์นิชก็จะดูเซ็กซี่น่าค้นหา ดูน่าหลงใหล ส่วนเวลไวท์นี่อ่านแล้วอึดอัดมากกก อึมครึ่มทั้้งสองคน ฟิวเน็ทก็มาแนวโตๆหน่อยตามแบบพี่ฟิวงี้ ชอบทุกคู่เลยโดยเฉพาะสิปป์นิช พ่ายแพ้ต่อความเซ็กซี่ของสิปป์มากเลยค่ะ ////// ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้ออกมานะคะ เลิฟๆ  :mew1:  :mew1:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 29-11-2017 13:20:01
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 04-12-2017 18:21:27
เป็นอีกเรื่องที่อ่านรวดเดียวจบ
ชอบความเป็นเอกเทศน์ของกลุ่มน้องโรม
แตกต่างแต่แน่นแฟ้น
ที่หนึ่งเองก็น่ารักมาก เป็นตัวที่ซื่อสัตย์กับตัวเอง
ชอบคือชอบ น้อยนะที่จะมีคนทำได้
ที่แอบชอบใครบางคน โดยไม่เปลี่ยนใจ
'ผมอยากเป็นที่หนึ่งของคุณ' เป็นประโยคเด็ดเลย
น้องโรมนี่เป็นคนที่น่าอิจฉาในหลายๆ เรื่อง
ทั้งคนที่รัก คนที่พร้อมจะดูแล
น้องจะเอาแต่ใจนี่ไม่แปลกเลย
แค่เจอพี่ที่หนึ่งก็พอ
ส่วนคู่นิช เราว่ามันเป็นความคลั่งใคล้กันและกัน
ทั้งสิป และนิช ต่างก็ตกหลุมรักเพียงแค่เห็นภาพ
พอเจอตัวจริงก็ยิ่งทำให้หลงใหลมากจนเป็นความรัก เหมือนกันเลยดึงดูดกันและกัน
ชอบศิลปะ ใช้ชีวิตอิสระ ฮิปพอกัน
ชอบสุดก็คู่นี้แหละ
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: Mon_noW ที่ 06-12-2017 11:25:48
เรื่องนี้เป็นิกเรื่องที่คลายปมที่เราสงสัยตอนอ่าน pitchblack เพราะเราอ่าน pitchblack ก่อน ตอนแรกว่าจะผ่านไปเพราะpitchblack ก็เกริ่นๆเรื่องของที่หนึ่งกับโรมแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจมาอ่าน พออ่านเท่านั้นแหละติดเลยยยน :hao7: คือแบบมันซ่อนหลายปมมาก ในคนๆนึงในตัวละครตัวนึง มีปมของตัวเองที่ซ่อนอยู่ ชอบตอนที่ค่อยๆคลายที่ละชั้น จนถึงชั้นสุดท้าย ชอบตัวละครทุกตัวที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เรารู้สึกว่าบรรยายให้เราจินตนาการได้ถึงคนคนนั้น ถึงหน้าตา อารมณ์ ณ ตอนนั้น อีกอย่างเรารู้สึกว่าเรื่องมันสนุกตรงที่มีบทของตัวละครเพิ่มเติมด้วยอย่างเรื่องของ นิชกับสิปผ์ ฟิวกับเน็ท หรือไวท์กับเวล มันโอเคนะ เราว่ามันลงตัว เราจะรอเรื่องต่อไปนะ ^^
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 09-12-2017 15:14:47
สนุกค่ะ ซับซ้อนซ่อนเงื่อนแท้ แต่ก็น่าติดตาม   :hao5:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: AngPao1932 ที่ 11-12-2017 09:08:03
ขอบคุณสำหรับนิยายจ้า ซับซ้อนไปหน่อยสำหรับเรา เราชอบคู่นิชนะ อยากเห็นจุดจบของอิน้ำ  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 13-12-2017 20:11:05
อ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบ
มีคู่เดียวที่ไม่งงและชอบ
คือคู่สิปป์ นิช
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: สาว801 ที่ 13-12-2017 23:10:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 2 [18.09.15]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 13-03-2021 09:16:07
     "สโตรกเกอร์ชัดๆ กูกลัวมึง!"
STALKER สตอล์คเกอร์

      แล้วเราก็ต้องเผชิญกับการทาบทามให้เป็นเดือนคณะเหมือนกัน ตอนนั้นเรายังมาบ่นให้อีกฝ่ายฟังอยู่เลยว่าไม่อยากได้ตำแหน่ง สุดท้ายแบล็คก็ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ ในขณะที่ผมได้ตำแหน่งมาครอง
อนุมานได้ว่าเรียนนิติเหมือนกัน

     ก็พี่เดือนปีก่อนดันมาบอกว่าถ้าเป็นเดือนแล้วคนในคณะจะรู้จัก
ตกลงว่าโรมเรียนบัญชีหรือนิติ

   
หัวข้อ: Re: "ที่หนึ่ง" : END
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 31-07-2021 22:07:52
 :pig4: :pig4: :pig4: