"ที่หนึ่ง" : END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ที่หนึ่ง" : END  (อ่าน 192540 ครั้ง)

ออฟไลน์ Peung002

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 870
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
«ตอบ #240 เมื่อ04-01-2016 00:00:31 »

โอยยยยยย แต่ละคนมีเรื่องให้ตามคนละแบบเลย
คู่ที่หนึ่งกะน้องเอ๋อโรมน่ารักดีค่ะ อ่านแล้วอมยิ้ม แต่คู่น่องไวท์นี่น่าจะดราม่านาน
เอาใจช่วยนะคะ  :hao3:

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 11 [01.01.16]
«ตอบ #241 เมื่อ05-01-2016 20:30:32 »



เราชอบไอเดียเวลแบล็คนะคะ สนับสนุน ๆ
ตอนอ่านนี่แอบคิด เอ.. หรือว่าซินคนนั้น คือ แบล็คปลอมตัวเป็นผู้หญิง ฮ่า ฮ่า ฮ่า (บ้าไปแล้ว!)
อย่างไรก็ดี เราจะติดตามและตั้งใจรออ่านการคลายปมของเด็กชายทั้งกลุ่มนี้โดยไม่หนีไปไหนเลยค่ะ
สวัสดีปีใหม่นะคะ ^^  :pig4:


ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
«ตอบ #242 เมื่อ05-01-2016 22:22:58 »

บทที่ 12

   ‘...พี่จะอยู่กับโรมเอง โอเคไหม’

   ‘ไม่ต้องกลัว พี่นิชอยู่นี่นะ’

   ‘เข้มแข็งหน่อยดิ’

   ‘พวกพี่จะดูแลน้องเอง’


   ภาพนิ่งไม่ควรมีเสียง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังจำบทสนทนาของแต่ละคนได้ไม่มีสะดุด ภาพถ่ายที่มีอายุมากกว่าสิบปีซีดจางจนแยกความต่างของสีไม่ค่อยออก ในภาพนั้นมีเด็กน้อยหกคนยืนเรียงหน้ากระดานกันโดยมีเด็กชายโรมันอยู่ตรงกลาง ด้านหลังมีลายมือตวัดเขียนไว้ว่า 'เข้าชั้นประถมวันแรก'

   ไม่รู้อะไรดลใจให้หยิบของที่อยู่ในห้องออกมาเช็ดทำความสะอาดฝุ่นที่เกาะกรัง พอจัดการเรียงวัตถุแต่ละชิ้นเพื่อทำความสะอาดแล้วถึงรู้ว่าตัวเองก็เป็นคนช่างเก็บอยู่เหมือนกัน ผมรื้อไปเรื่อยจนเจอกับภาพนี้ถูกสอดไว้ในนิทานเด็กเล่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของตัวเองหรือว่าพี่น้องคนไหนที่เอามาเก็บไว้อย่างนี้

   เช็ดทำความสะอาดแผ่นกระดาษมันอีกนิด ลุกขึ้นจากแหล่งรวมความทรงจำไปยังโต๊ะเล็กข้างเตียงที่มีกรอบรูปไร้ลวดลายตั้งอยู่โดดเดี่ยว จำนวนคนที่เท่ากันของรูปทั้งสองสร้างความสุขระคนความเศร้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   ...ทั้งที่จำนวนเท่ากัน แต่ก็ไม่เหมือนกันสักนิด

   สอดมันไว้ใต้รูปแรก ผมยืนจ้องรูปถ่ายที่ใหม่กว่าใบแรกอยู่อย่างนั้นไม่ละสายตาไปไหน ทุกคนในรูปกำลังยิ้มให้กล้องราวกับต้องการบอกว่าช่วงเวลานั้นมันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากแค่ไหนและมันก็บอกผมว่าความสุขเป็นสิ่งที่อยู่ไม่ได้นาน

   "ฉันยังรออยู่นะ"

   ส่งผ่านไปกับสายลม หวังว่ามันคงส่งถึงใครอีกคน

   เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่งสัญญาณเตือนว่ามีสายเข้า ผมหลุดออกจากภวังค์แล้วรีบก้าวยาวๆ ไปเลื่อนสไลด์รับสายเพื่อที่จะไม่ต้องเสียเงินโทรกลับ

   (อยู่ไหน)

   "ห้องดิ"

   (ทำอะไรอยู่)

   "เก็บของ มีอะไรรึเปล่า" ไม่บ่อยนักที่แบล็คของผมจะถามว่าทำอะไรอยู่

   (กลับบ้านมาเลย พ่อตาม)

   "ตาม?"

   (เออ)

   "..."

   ที่เงียบไปไม่ใช่อะไร ผมกำลังอยู่ในโหมดสับสนกับชีวิตอยู่ โทรมาหาแล้วบอกให้กลับบ้านเดี๋ยวนี้มันควรมีเรื่องด่วน แต่เขาก็ดูเรียกให้กลับบ้านด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ เรียบๆ ไม่ได้มีอะไรที่ดูร้ายแรงเลยสักนิด

   (แล้วก็เอาที่หนึ่งไปด้วย)

   "หา?"

   (เน็ทมันคาบมาฟ้องพ่อ มึงมาจัดการเองแล้วกัน)
 


[Side : ที่หนึ่ง]

   เพลงสากลที่เล่นวนลูปเพลงเดียวซ้ำไปมาตั้งแต่ขึ้นรถไม่ช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลาย

   น้องนั่งหน้าบึ้งไม่พูดจาปราศรัยอะไรตั้งแต่รถเคลื่อนตัว และผมเองก็ไม่กล้าที่จะทักอะไรมาก โรมมาเคาะประตูห้องของผมเมื่อชั่วโมงที่แล้วพร้อมคำกล่าวสั้นๆ 'ไปส่งที่บ้านให้หน่อย' ตอนนั้นผมก็อยากจะหยอดกลับไปว่าจะพาผมไปเปิดตัวให้ที่บ้านรู้จักเหรอแต่เห็นหน้าบอกบุญไม่รับแล้วผมเลยไม่เปิดปากดีกว่า

   "เดี๋ยวพอเห็นโชว์รูมหน้าปากซอยก็เลี้ยวเลย"

   ผู้นำทางยอมพูดสักที ผมพยักหน้ารับรู้แล้วมองตรงตามทางเตรียมเลี้ยวตามที่บอก

   จนความอยากรู้มันมีมากกว่าทุกอย่าง "มีอะไรรึเปล่า?"

   "เปล่า" ตอบกลับสั้น แล้วถึงจะพูดออกมายาวๆ "เดี๋ยวถึงแล้วมึงก็รู้เองนั่นแหละ"

   โชว์รูมรถญี่ปุ่นยี่ห้อดังตั้งเด่น ผมเปิดไฟเลี้ยวแล้วตบรถให้อยู่เลนซ้ายสุดเพื่อเลี้ยวเข้า ความไม่คุ้นชินเส้นทางบอกให้ผมใช้ความระมัดระวังยิ่งกว่าปกติ บ้านของผมอยู่ทางใต้ของเมืองหลวงคนละทิศกับทางที่ผมกำลังไป มันเป็นซอยขนาดเล็กติดป้ายไว้ว่าถนนส่วนบุคคล ตลอดสองข้างทางเป็นพงหญ้าไร้การดูแลรักษา และมันก็เป็นถนนขนาดสองเลนที่ไม่ค่อยได้มาตรฐานมากเท่าไหร่

   "มึงตรงไปเลย เจอบ้านเมื่อไหร่ก็หยุด"

   "อ่าฮะ"

   พ่อแม่ของโรมเป็นนักโบราณคดี ...จะเรียกขนาดนั้นก็ไม่เชิง เป็นนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์น่าจะเข้าท่ามากกว่า ผมไม่เคยเจอทั้งสองท่านมาก่อนเลยอดประหม่าไม่ได้ วิชาประวัติศาสตร์สมัยมัธยมปลายผมก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรด้วยสิ จะมีเรื่องให้คุยไหมนะ

   ขาซ้ายเหยียบเบรคช้าๆ ยามที่เห็น 'บ้าน' อย่างที่บอก ลืมคำถามไปได้เลยว่าทำไมน้องโรมถึงไม่ให้ข้อมูลที่มากกว่านั้นเกี่ยวกับบ้านของเขา เพราะกวาดตาไปสามร้อยหกสิบองศาแล้วมันมีบ้านหลังใหญ่หลังเดียวตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางต้นไม้เขียวขจี จนให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านกลางป่าได้ไม่ยาก

   "แม่งกลับบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่วะ..."

   รถอีโค่คาร์สีคุ้นจอดอยู่โดดเดี่ยวตรงริมรั้ว มองไปยังป้ายไม้สลักนามสกุลของเพื่อนฝาแฝดบอกให้ผมเริ่มเอะใจในความผิดปกติของการมาส่ง โรมกดปุ่มปลดล็อคเซฟตี้เบลท์ออก เรียกให้ผมต้องรีบถาม "น้องโรม นี่บ้านแบล็คไม่ใช่เหรอ?"

   "ก็ใช่ไง" ผมภาวนาให้เขาจะพูดต่อว่าเป็นเพื่อนบ้านกันตั้งแต่เด็กจนสนิทกันมากหรือไม่ก็พ่อมาเยี่ยมเพื่อนอะไรอย่างนี้ "บ้านมัน บ้านไวท์ แล้วก็บ้านกู"

   อะไรนะครับ

   ตอนนี้ต่อให้น้องโรมพูดคำหยาบออกมาอีกเป็นชุดผมก็ไม่มีอารมณ์มาดุ โรมกำลังบอกว่าเขาอยู่บ้านหลังเดียวกัน นี่พวกเขากำลังอำอะไรผมอยู่รึเปล่า?

   "ขอใหม่ ...ไหนบอกให้มาส่งบ้าน"

   คนที่บอกให้มาส่งทำหน้าตาเบื่อหน่าย "ไหนบอกว่ารู้ทุกอย่าง"

   รู้สึกว่าโดนหลอกด่า ไม่สิ นี่ผมโดนด่าเต็มๆ เลยต่างหาก

   "กูเป็นลูกบุญธรรมบ้านนี้ จบนะ"

   "..."

   มาจงมาจบอะไรล่ะ! ข้อมูลในหัวที่เคยมั่นใจว่าไม่มีทางผิดพลาดตีกันในหัวเต็มไปหมด โดยเฉพาะตอนที่ใบหน้าของผู้ชายสีดำในวันที่เขายืนพิงกำแพงสูบบุหรี่กลิ่นประหลาด คำที่เขาบอกว่า เราเหมือนแฝดสามในบางที คำว่า 'น้อง' ที่ผมเคยคิดว่าจะเคร่งอะไรจริงจังขนาดนั้น

   "แล้..."

   เสียงเคาะประตูฝั่งคนขับแทรกขึ้นมา ผมหันกลับไปมอง 'พี่ชาย' ที่ยืนยกยิ้มมุมปาก

   นั่นไม่ใช่ยิ้มแสดงความยินดีแน่ ผมมั่นใจ

   "จะลงมาเมื่อไหร่ โลกยิ่งร้อนๆ อยู่"

   ผมรีบดับเครื่องแล้วตามมาสมทบกับสองคนที่ยืนอยู่หน้ารั้วเหล็กประดับลวดลายแปลก ส่งสายตาไปขอความกระจ่างจากทิวาแล้วโดนปฏิเสธกลับด้วยรอยยิ้มแบบเดิม

   "ล่ะคุณพินิจเรียกกูมาทำไม?"

   "คิดถึงไง มึงไม่กลับมาให้เขาเห็นหน้านานล่ะ"

   "แล้วทำไมต้องให้หนึ่งมาด้วย"

   "ก็พ่ออยากเจอคนที่ตามจีบลูกชายอยู่"

   เสียวสันหลังวูบวาบ ผมเคยได้ยินเสียงเล่าอ้างเรื่องภูมิหลังของทิวามาเยอะอยู่ เป็นครอบครัวมาเฟียใหญ่ที่มีลูกน้องแฝงตัวอยู่ทั่วไป ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยที่จะเชื่อเรื่องเล่าสักนิดเพราะฝาแฝดขาวดำไม่เคยทำอะไรที่ดูแบ่งแยกชนชั้นหรือโชว์ความเหนือกว่า จนถึงตอนนี้ที่ต้องมาเจอของจริงแหละ

   ถ้าผมเดินเข้าไปในรั้วบ้านแล้วจะสามารถออกมาได้ครบทุกส่วนอยู่รึเปล่า

   "พูดจริง?"

   เจ้าของนามสกุลเดียวกับที่อยู่บนแผ่นไม้ไม่สนใจเสียงเรียกอ่อนๆ เขาหันมาทางผม แม้จะไม่ยิ้มมุมปากอีกแล้วมันก็ยังบอกผ่านสายตาว่าเขากำลังสนุกกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน ยังไงราชาก็ชอบแกล้งประชาชนอยู่ดี

   "สวัสดี ผมชื่อทิวากาล 'บิดาทางพฤตินัย' อ้อ! 'พี่ชายทางนิตินัย' ของโรมครับ"

   ครับ

   ยศมาเต็มอย่างนี้ผมว่าไม่ได้แค่มาส่งเฉยๆ แล้วว่ะ

   ก่นด่าตัวเองในใจยาวเต็มหน้ากระดาษเอสี่ โง่แบบให้อภัยไม่ได้อย่างที่สุด อะไรคือการที่ผมปล่อยไก่มาตลอดสามปีโดยที่ไม่รู้สักนิดว่ากำลังจีบน้องชายผ่านพี่ชาย! แล้วพี่ชายที่ว่านี่ก็ไม่คิดจะบอกอะไรสักหน่อย ยอมให้ผมทั้งระบายทั้งให้ส่งของสารพัด เป็นพี่ที่ชิวไปไหน!

   งั้นที่ผมเมมชื่อเขาว่า 'คุณพ่อตา' มาโดยตลอดนี่ผมรู้อนาคตสินะ

   "บิดาทางพฤตินัยอะไรของมึงงง"

   "หรือไม่จริง?"

   "แม่ง กูไม่พูดด้วยล่ะ นี่คุณพินิจอยู่ไหน"

   "ไม่อยู่ มีงานด่วน"

   "งั้นกลับ"

   น้องโรมก็อย่างนี้ตลอด ผมไม่เคยสังเกตว่าความสัมพันธ์ของเขาสามคนดูแนบแน่นเกินเพื่อนสนิททั่วไป อาจเป็นเพราะตั้งแต่ผมรู้จักกับกลุ่มนี้มามันก็ดูเป็นเรื่องปกติที่โรมจะเป็นน้องเล็กทำอะไรตามใจไม่สนคนอื่น รวมถึงคนอื่นก็ไม่ได้เดือดร้อนกับการกระทำของน้อง...มั้งนะ

   "เดี๋ยวพ่อกลับมากินข้าวเย็นด้วย รอไปเถอะมึง"

   ถ้าการเจอกลุ่มเพื่อนน้องโรมครั้งก่อนเป็นแบบฝึก คราวนี้ก็คงเป็นบอสของจริง

   ในห้องนั่งเล่นขนาดพอดีมีทุกคนรออยู่ ไม่ว่า นิช เน็ท หรือบอสของจริงอย่างไวท์ นี่เป็นครั้งที่สองหรือสามที่ผมได้เจอฝาแฝดของราชาตัวจริง จะว่าไปยังไม่ได้มาคุยกับแบล็คเรื่องภาพถ่ายของเวลเลยแฮะ ให้พูดอย่างเว่อร์ไว้ก่อนก็ตกตะลึงมากตอนที่เห็นหน้าของผู้หญิงในรูปชัดๆ ก็ขนาดผมที่เกาะแกะอยู่กับพี่ชายเขามาตั้งแต่เข้ามหาลัยยังแทบไม่เคยเห็นเสี้ยวหน้า นับประสาอะไรกับเวลที่ลึกลับพอกัน แบล็คกับไวท์เป็นเหมือนแสงสว่างกับความมืด ถ้าคนหนึ่งอยู่ในแสง อีกคนก็จะหลบเข้าไปอยู่ในมุมมืด เป็นการแบ่งที่พอดี

   "ว่าไงที่หนึ่ง"

   การทัก...ที่ไม่รู้จะตอบกลับยังไง ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบนิช "สบายดี"

   "พวกมึงมาทำไมกันนน" ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่น้องโรมจะโวยวายอย่างนั้น เพราะถ้าเป็นผมเองก็คงมีอาการที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่

   "คิดถึง เลยมาหา"

   "สรุปว่าที่บอกว่าคุณพินิจเรียกกูกลับนี่หลอกใช่ป่ะ"

   ผมที่ไม่รู้จะอยู่ส่วนไหนของห้องดีเลยเลือกปิดปากสนิท เบี่ยงตัวออกมาให้ตัวเองได้มีพื้นที่หายใจหายคอจากเรื่องเซอร์ไพรส์ขั้นสิบเสียบ้าง สายตาของสาวคนเดียวที่มองมาทางผมด้วยใบหน้าเรียบเฉยดูสวนทางกับความรู้สึก เหมือนกำลังใช้สายตาประเมินผมอยู่

   แรงสะกิดที่แขนบอกให้ผมหันไปหา คุณพ่อทางพฤตินัยใช้ภาษามือบอกให้ผมออกไปด้านนอกกับเขา

   "เป็นไงบ้าง หน้ามึงไม่ค่อยดีเลยนะเพื่อน"

   "สัตว์..."

   "ด่ากู?"

   "ด่าใครบางคนที่ตีหน้าซื่อเล่นบทพี่ชายควบเพื่อนแสนดี"

   นั่นแม่งตรงใจของผมที่สุดแล้วในตอนนี้ ใครมันจะไปโอเคกับการที่ต้องมารับรู้เรื่องสุดแสนจะพิลึกพิลั่นพรรณนี้ได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจคงแข็งแกร่งเกินไป

   "หึ..."

   "ทำไมมึงไม่บอกกู"

   "กูเป็นผู้ชมดีที่" เกลียดคำว่าผู้ชมของเขาชะมัด เฮอะ ผู้ชมหลังกล้องถ่ายน่ะสิ

   "มึงเป็นผู้กำกับต่างหากทิวา"

   ผู้กำกับที่คิดอยากจะเปลี่ยนเสริมเติมบทเมื่อไหร่ก็ทำ ผมเป็นแค่เพียงตัวละครที่เล่นไปตามบทบาทและต้องปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ให้ได้ นี่มันรายการเซอร์ไวเวอร์ชัดๆ

   ไหล่ของเขายกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจมากนัก "แล้วแต่มึง"

   "มีอะไรอีกไหมที่กูยังไม่รู้" ผมไม่อยากจะถามออกไปหรอก เพียงแค่ว่าจากเหตุการณ์ในวันนี้แล้วผมคงต้องระวังในการอยู่กับกลุ่มนี้ให้มากขึ้น "หรือกูยังไม่รู้อะไรเลย"

   สายตาของราชาวูบไหวไปชั่วขณะ เห็นเขาเหลือบตาไปยังพื้นที่ด้านหลังของผมแล้วรีบกลับมาโฟกัสที่เดิม อาการผิดปกติบอกให้ผมเก็บเงียบไว้ก่อนแล้วค่อยจัดการด้วยตัวเองคงดีกว่า

   "ถ้าโรมเล่าคือมี ถ้าโรมไม่เล่าก็คือไม่มี"

   "กูเกลียดมึง"

   เขากำลังบอกว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับน้อง นี่มันครอบครัวบ้าอะไรกัน แค่ไวท์ผมก็เคยคิดนะว่าเขาเลี้ยงกันมายังไงถึงแตกต่างกันได้ขนาดนี้ พอมีโรมเข้ามาอีกคนนี่สุภาษิตลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นถูกพับเก็บไปได้เลย คนนึงหล่นไกลหลายโยชน์ อีกคนแม่งลอยขึ้นฟ้าแล้วหายลับไปไหนไม่รู้

   "ไหนๆ มึงก็บอกว่ากูเป็นผู้กำกับแล้ว อยากรีเควสอะไรไหมล่ะ?" นัยน์ตาระยับมีแต่ความสนุกสนานอยู่ข้างใน

   "มึงคิดว่าถึงขั้นนี้แล้วกูยังต้องการตัวช่วยอะไรอีก?"

   พอผมย้อนกลับไปตรงๆ อย่างนั้นแบล็คเลยหัวเราะออกมาสุดเสียง เอาเลยครับราชา เต็มที่ไปเลย ไอ้ผมมันก็แค่ประชาชนคนธรรมดาตาดำๆ ที่อยู่ใต้เงื้อมมือเท่านั้นล่ะ

   "ก็ระวังเจ้าชายไว้ ปีศาจไม่น่ากลัวหรอก"

   เจ้าชายคือเน็ท ส่วนปีศาจคือนิช

   "กูกลัวเจ้าหญิงมากกว่า ไวท์นี่เป็นพวกหวงน้องอีกคนรึเปล่า" ฝาแฝดของราชาก็ควรเป็นเจ้าหญิง แค่เจอหน้าผมยังแทบไม่เคยเจอเลยไม่รู้จักเธอมากนัก 

   "ไวท์น่ะเหรอ?" อีกครั้งที่เขาหันไปทางเดิมที่มองไปเมื่อกี้ ในเสี้ยววินาทีหนึ่งผมเหมือนเห็นความอ่อนล้าในนัยน์ตาเขา

   "ไม่มีใครรักโรมเท่าคนบาป"


***
   ขออนุญาตมาแค่ครึ่งเดียวก่อนนะคะ มาลงไว้เตือนใจตัวเองว่าหนีเที่ยวได้แต่ห้ามลืมเอาไปแต่งด้วย (ฮา) สัปดาห์นี้อาจไม่ได้ลงเพิ่มหรือถ้าลงก็น่าจะเป็นวันเสาร์อาทิตย์เลยค่ะ
   เจ้าเพิ่งหัดเล่นทวิตเตอร์ ซุ่มมาตั้งแต่ปีใหม่คิดว่าพอเล่นคล่องแล้ว เผื่อเมาท์มอยบนทวิตติดแทค #ที่หนึ่ง นะคะ จะตามไปรีทุกอันเลย (ยิ้ม)

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
«ตอบ #243 เมื่อ05-01-2016 22:54:00 »

ง่าาาาา

ออฟไลน์ Peung002

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 870
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
«ตอบ #244 เมื่อ06-01-2016 00:04:19 »

ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้แบล็คกราวน์ของกลุ่มนี้ พี่ที่หนึ่งจะต้านทานไหวมั๊ยเนี่ย  :hao3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
«ตอบ #245 เมื่อ06-01-2016 00:19:16 »

เริ่มงงหนัก

ออฟไลน์ Aimiya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
«ตอบ #246 เมื่อ06-01-2016 01:26:54 »

ที่หนึงที่ว่าดูเพอเฟค พอมาเจอครอบครัวน้องโรมเข้าไปกลายเป็นประชาชนคนธรรมดาเลยทีเดียว

ออฟไลน์ nutty

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-3
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
«ตอบ #247 เมื่อ06-01-2016 14:26:07 »

สนุกแบบอึนๆ 555 คู่เอกไปเรื่อยๆเพราะคุณที่หนึ่งเทียบกับบรรดาพี่ชาย (นอกไส้)ดูแสนดีเกิ๊น

มาต่อเรื่องของนิชที ช่วงนี้คู่นักร้อง&มือกลองเร้าใจกว่า

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
«ตอบ #248 เมื่อ06-01-2016 15:06:11 »

ปมเยอะจุง  :hao4:

ออฟไลน์ Seilong2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
«ตอบ #249 เมื่อ07-01-2016 00:53:26 »

ครอบครัวอบอุ่น อยากรู้อดีตน้องโรม
ชอบเวลาน้องโรมอยู่กับพี่หนึ่ง น่ารักน้ออออ
ชอบเวลาเมาแล้วอ้อน กับแอบหวงที่หนึ่งเป็นบางครั้ง

ขอบพระคุณผู้แต่งจ้า มาต่อบ่อยๆนะคะ สนุกมาก

ฝากตัวติดตามด้วยคน  :hao6: :hao6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12.1 [05.01.16]
« ตอบ #249 เมื่อ: 07-01-2016 00:53:26 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
«ตอบ #250 เมื่อ09-01-2016 20:38:43 »

บทที่ 12.2

  คนบาป?

   นั่นเป็นตำแหน่งที่ไม่เคยอยู่ในสารบบความคิดเลย

   ผมไม่รู้ที่มาที่ไปของชื่อที่พวกเขาใช้เรียกกัน เข้าใจมาตลอดว่ามีแต่ทิวาที่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำ พอมาเจอตำแหน่งของเน็ทกับนิชก็ยังพอเข้าใจได้ จนมาไม่เข้าใจตรงไวท์นี่แหละ แล้วน้องโรมของผมจะเป็นอะไรนะ...

   เสียงโครมครามปนกับเสียงตะโกนดังออกมาจากห้องนั่งเล่น ถ้าฟังไม่ผิดนั่นมันเสียงของน้องกับเน็ทกำลังเถียงอะไรกันสักอย่าง

   "...แม่งตีกันอีกแล้ว" เป็นพี่ของน้องอย่างโรมคงเหนื่อยเหมือนกัน ทิวาดูปลงกับเสียงวุ่นวายที่เกิดขึ้นแล้วเดินไวๆ ไปทางประตูห้อง "กูเข้าไปเบรคก่อน มึงพาน้องไปสงบสติหน่อยแล้วกัน"

   บอกพลางหายไปหลังประตูใหญ่ ความสงสัยเกี่ยวกับทิศทางที่แบล็คมองมาถึงสองครั้งระหว่างที่คุยกับผมบอกให้รีบตามหาให้สิ้นสงสัย ทางซ้ายไม่มีอะไรมากไปกว่าชั้นวางของที่มีแจกันไม้สลักลายวางอยู่ หรือว่าจะเป็นทางนี้ บนชั้นวางหนังสือแบบโปร่งถูกแปลงให้เป็นที่วางรูปมากกว่าสิบชิ้น มันมีตั้งแต่รูปฝาแฝดในวัยขวบกว่านอนอยู่ข้างกันจนไปถึงรูปเดี่ยวของแต่ละคนสมัยจบมัธยมปลาย ชั้นบนๆ จะเป็นรูปที่ถ่ายกับผู้ชายที่น่าจะเป็นคุณพินิจ มีรูปกลุ่มอยู่หลายรูปอยู่เหมือนกัน และมันก็น่ารักดีที่ทุกรูปน้องโรมก็เอาแต่ทำหน้านิ่งไม่เอนจอยกับคนอื่นเลย

   รูปที่ผมชอบที่สุดคงเป็นรูปถ่ายสี่คนตอนเด็ก แยกแบล็คกับไวท์ออกได้ง่ายเพราะทั้งสองใส่เสื้อสีตามชื่อของตัวเอง อีกสองคนที่เหลือที่ผมไม่แน่ใจว่าอีกคนที่ยืนข้างโรมคือใครใส่เสื้อสีเทา ให้พูดตามความรู้สึกมันก็เป็นภาพที่ดูขัดๆ กันอยู่ไม่น้อยจากสีเสื้อที่ใส่ สมัยเรายังเด็กอยู่ส่วนมากก็เป็นเสื้อผ้าสีสันสดใสใช่ไหมล่ะ แปลกดีแฟชั่นของบ้านนี้

   หืม ทำไมรูปนี้ถึงโดนบังล่ะ

   ชั้นวางสูงกว่าผมไม่มากนัก เงยหน้าเพียงเล็กน้อยก็เห็นว่ารูปที่อยู่ริมขวาบนสุดมีอีกรูปอยู่ด้านใน ผมเอื้อมมือเข้าไปหยิบรูปที่เต็มไปด้วยฝุ่นเกาะจนเป็นชั้นหนามาไว้ในมือ ภาพที่ยังพอแทรกชั้นฝุ่นออกมาให้ผมเห็นได้บอกว่ามันเป็นรูปเดี่ยวของใครสักคน

   เสียงลูกบิดประตูบอกให้ผมรีบเก็บมันไว้ที่เดิม ผมปัดฝุ่นที่มือออก หมุนตัวมารอรับคนที่ถูกสั่งให้พาไประงับสติ น้องเล็กของบ้านกระแทกเท้าปึงปังออกมาพร้อมใบหน้ายู่ยับหัวเสีย

   "หนึ่ง กลับกัน"

   "ไม่ต้องอยู่กินข้าวเย็นเหรอ?" จำได้ที่แบล็คบอกว่าต้องอยู่ทานข้าวกับพ่อก่อน

   "ไม่อะ เดี๋ยวจะโทรไปฟ้องคุณพินิจด้วยว่าเอาชื่อมาอ้าง"

   "ตามใจ"

   ผมไม่ขัดใจอยู่แล้วถึงจะกลัวไม่น้อยว่าถ้าพี่ๆ รู้เข้าผมจะโดนอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไรแต่คงทะเลาะกันแรงอยู่พอสมควร โรมถึงเดินเสียงดังนำผมออกไปจนถึงหน้าประตูบ้าน เขาตบกระเป๋ากางเกงของตัวเองแล้วสบถออกมา "แม่งเอ๊ย...มือถือก็ลืมไว้ข้างในอีก กูต้องกลับเข้าไปอีกเหรอวะ"

   "ไปเอาให้ไหม?" ผมเสนอขึ้นหลังจากที่เห็นน้องไม่อยากกลับไปข้างใน

   "น่าจะอยู่บนโซฟา ถ้ามีใครถามอะไรก็ไม่ต้องตอบอะไรทั้งนั้นนะ พวกมันชอบยุ่งไปทั่ว"

   ถึงไม่บอกก็พอรู้อยู่ว่าการเสนอตัวอย่างนี้ไม่ต่างอะไรกับการพาตัวเองไปสู่ปัญหา ช่วยไม่ได้นี่นะ มันมีแค่สองทางให้เลือก ไม่หนีปัญหาก็เผชิญกับมัน โชคร้ายหน่อยที่ผมเป็นจำพวกคนที่ชอบสู้กับปัญหาเสียด้วยสิ

   กลับมาตามทางเดิม ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเลี้ยวไปที่ชั้นวางรูปแทนที่จะเป็นห้องนั่งเล่น จะบอกว่ารูปนั้นมันมีอะไรบางอย่างที่ผมยังค้างคาก็ว่าได้ เหตุผลแรกคือการวางแบบนั้นมันไม่ใช่การวางซ้อนแต่เป็นการซ่อนไว้เสียมากกว่า ส่วนเหตุผลที่สองคือมันเป็นรูปเดียวที่มีฝุ่นเกาะ ต่างจากรูปอื่นไม่มีแม้แต่ปลายผง

   ผมเหมือนพวกสอดรู้สอดเห็นเหรอ?

   เอาน่า

   อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มาเหยียบที่นี่ก็เป็นได้นะ ดูจากสถานการณ์แล้ว

   "..."

   ตรวจจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นนอกจากผม เป้าหมายเดียวคือรูปที่อยู่ขวาบนสุด ขยับสิ่งกีดขวางให้พ้นทางแล้วคว้ามันไว้ในมือ

   “...แค่น้องมันยอมพามาพวกมึงก็ยอมรับได้แล้ว"

   "...!"

   ผมวางมันลงโดยไม่คิด แสงที่สอดผ่านประตูมาบอกผมว่าเสียงที่ผมได้ยินมันมาจากไหน สัญชาตญาณบอกให้ผมอยู่นิ่งอยู่ตรงนั้น พวกเขากำลังพูดถึงผมอยู่?

   "เงียบไปเลยไอ้สัตว์ กูยังไม่เคลียร์เรื่องที่มึงปิดพวกกูเรื่องที่หนึ่ง"

   "กูบอกไปแล้วมีประโยชน์อะไร"

   "นั่นมันน้องกู!" แค่เขากระชากเสียงผมก็รู้แล้วว่าเน็ทยังอารมณ์ไม่ดีจากที่ทะเลาะกับน้องเมื่อครู่

   "น้องกูด้วยไหมล่ะ พวกเราควรจะปล่อยให้น้องเดินเองได้แล้ว" ผมไม่รู้ว่าตัวเองหายใจเร็วขึ้นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ "เลิกห่วงมันจนโอเวอร์เถอะ"

   "กูไม่เคยห่วงน้อง"

   "มึงไม่เคยให้โรมทำอะไรเองเลยต่างหากนิช"

   "โรมรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่" เสียงหญิงสาวคนเดียวในห้องเอ่ยแทรก แม้จะเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินแต่มั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีทางลืมเสียงอย่างนี้ เสียงผู้หญิงที่ไร้โทนสูงต่ำ

   "มันไม่รู้! ถ้ารู้มันจะไม่ทำ!! กูบอกไว้เลยนะ พวกมึงกำลังซ้ำรอยเดิม"

   "เน็ท มึงใจเย็นๆ ดิวะ"

   "ยังจะให้กูใจเย็นเหี้ยอะไรอีก คราวที่แล้วมีใครฟังกูบ้าง แล้วเป็นไงล่ะ น้องเป็นยังไงมึงก็เห็นกันอยู่!" แม้รู้ว่าไม่ควรฟังมากแค่ไหน ร่างกายกลับทรยศเสียอย่างนั้น "ใครจะให้ท้ายก็เชิญ รอบนี้กูบอกเลยว่ากูค้าน กูจะไม่ยอมให้โรมต้องเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว"

   คราวที่แล้ว..

   เป็นอย่างนั้น...
 

   "พวกมึงเคยสัญญาอะไรกันไว้ ช่วยรักษาด้วย"
 


   "ไหนโทรศัพท์?"

   "นี่"

   ส่งเครื่องมือสื่อสารยี่ห้อดังคืนไปให้ เมื่อกี้ผมยืนเก็บข้อมูลจนเป็นที่พอใจแล้วถึงทำเป็นโทรเข้าเครื่องน้องเพื่อให้มีข้ออ้างเข้าไปในห้องอย่างไม่ต้องลำบากใจที่จะมองหน้าใครทั้งนั้น ในห้องนั่งเล่นไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศไว้กลับเต็มไปด้วยความหนาวเย็น โดยเฉพาะจากเจ้าชายจอมเอาแต่ใจที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าผม ก็ได้แต่หวังว่าผมจะแสดงละครเป็นผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้ดีพอที่จะไม่ทำให้ใครจับพิรุธได้

   จากที่เคยคิดว่ากลุ่มนี้เป็นแค่กลุ่มเพื่อนกันธรรมดา ตอนนี้ต้องรีเซตความเข้าใจทั้งหมดใหม่ ทั้งลึกลับแล้วก็ซับซ้อน เหมือนมีกระจกคอยกั้นผมไว้อีกฝั่งหนึ่ง กระจกใสที่ลวงให้ผมตายใจว่าไม่มีอะไรที่ผมไม่รู้ ...แต่พอผมก้าวถึงจุดหนึ่งมันก็เผยออกมาว่าผมแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลยต่างหาก และถึงผมอยากข้ามไปเพื่อรับรู้อะไรมากขนาดไหนกำแพงใสนี้ก็ไม่อนุญาตให้ผมไป

   ไม่ยักกะรู้ว่าการรักใครสักคนมันต้องเผชิญอะไรถึงขนาดนี้

   "นั่นไง แม่งแอบเปิดมือถือกูอีกล่ะ"

   โรมกระฟัดกระเฟียดแล้วไประบายอารมณ์กับต้นไม้แถวนั้นจนพอใจแล้วถึงเดินขึ้นรถตามมาแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะกระชากปิดประตูเสียงดัง คิดว่าการที่ผมเข้าไปเอามือถือของน้องตอนนั้นคงเป็นการบอกไปในตัวแล้วว่าโรมจะกลับแล้ว การที่ไม่มีใครขวางไว้มันเป็นการยอมให้ทำตามใจได้ ...แต่ถ้าพวกพี่ๆ รู้ว่าน้องหนีมานั่งกินเหล้าแบบนี้คงโดนตีตายพอดี เราสองคนตกลงกันเรื่องร้านอาหารไม่ได้สักทีเลยจบที่เซเว่นแถวคอนโด พอจัดการหาของกินจนพอใจแล้วเลยมานั่งรับลมกันที่ดาดฟ้า

   ผมไม่ห้ามตอนที่น้องซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาด้วย ถ้ามันทำให้อารมณ์ดีขึ้นผมก็โอเค ความจริงแล้วระหว่างทางพวกพี่ชายทั้งหลายก็โทรมาตามหลายสายอยู่เหมือนกัน โรมไม่รับแถมยังปิดเสียงปิดสั่นโยนมันไปไว้เบาะหลังเสียอีก ผมเองก็ยังไม่กล้าหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเช็คว่ามีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง กลัวถ้าเห็นว่ามีเบอร์ที่ไม่ได้รับจากคุณพ่อตาแล้วมันจะเป็นคำสาปร้ายไปเสีย

   "ทุกคนแม่งชอบยุ่ง เฮอะ เน็ทมันยังบอกอยู่เลยว่าชีวิตกูเป็นของมันอะ" น้องเป็นคนเมาที่พูดเก่ง มันจะต้องมีบ้างแหละ ความรู้สึกว่าคนสไตล์นี้จะต้องมีบุคลิกนิสัยประมาณนี้ ซึ่งทั้งหมดไม่เคยใช้กับโรมได้เลย ภายนอกโรมคือผู้ชายธรรมดาที่ไร้ซึ่งความน่าสนใจทั้งทางรูปร่างหน้าตาและการเรียน พอเราตัดสินจากภายนอกว่าโรมธรรมดาแล้วมันก็มักจะตามมาด้วยการคาดเดานิสัยมาจะต้องเป็นคนที่จืดชืดแหงๆ

   และมันผิด

   โรมเอาแต่ใจ ...แต่ก็มีเหตุผล

   โรมเหมือนจะอ่านง่าย ...แต่ผมไม่เคยอ่านเขาได้เลยสักครั้ง

   อาจเหมือนกรุงโรม ที่ภายนอกดูแข็งแกร่งมากแค่ไหนภายในอาจเปราะบางจนจวนเจียนจะล่มสลาย

   "ถามอะไรหน่อยได้ไหม?"

   "เรื่องกูอะดิ ก็บอกแล้วว่ามึงไม่รู้จักกูขนาดนั้นหรอก" น้องคงรู้แหละว่าผมจะต้องมีปฎิกิริยาอย่างนี้ "ไม่มีอะไรมาก พ่อแม่เดินทางบ่อย เลยฝากให้คุณพินิจช่วยเลี้ยง กูก็คิดว่าสองคนนั้นเป็นพี่กูจริงๆ มาตลอดอะนะ"

   "ตั้งแต่อนุบาล?" ตอนที่ไล่ตามองรูปบนชั้นผ่านๆ ผมเห็นเขาถ่ายรูปด้วยกันมาตั้งแต่ตอนที่ยังใส่ยูนิฟอร์มเด็กน้อย

   "เตรียมอนุบาล คุณพินิจเล่าว่าแม่กูกับแม่มันสองคนเป็นเพื่อนกัน"

   "แล้วทำไมต้องเป็นลูกบุญธรรม"

   หนึ่งอย่างที่น้องไม่ต่างจากพี่ เวลาที่ไม่ต้องการตอบก็จะใช้วิธีตอบกว้างๆ ไม่ให้เข้าตัว "...ก็หลายอย่าง"

   "เช่น"

   "หลายอย่าง"

   เจอย้ำเข้าไปอย่างนั้นจะให้ตื้อต่อคงไม่ใช่ วันนี้พระจันทร์เต็มดวงช่วยเพิ่มความสว่างให้ท้องฟ้าจนไม่จำเป็นต้องใช้แสงอะไรก็ให้ผมเห็นใบหน้าของคนข้างๆ ที่เหมือนจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ ใช่ ผมพูดไม่ผิด น้องทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้

   "อยากถามเรื่องอื่นอีกไหม ...ถ้าตอบได้จะตอบ"

   "กับพวกนั้น รู้จักกันมานานแล้วเหรอ" คิดอะไรไม่ออกแล้วถึงถามอย่างนั้นออกไป เท่าที่รู้เขาเป็นกลุ่มที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมต้นเป็นอย่างน้อย

   "เจอเน็ทกับนิชตอนปอหนึ่ง" สิบห้าปี...นานจนเกือบเป็นสองในสามชีวิตของผม "ที่จริงคนที่เลี้ยงกูมาไม่ใช่คุณพินิจหรอก พวกแม่งคอยแบ่งกันเลี้ยง นิชเป็นแม่แล้วแบล็คเป็นพ่อ เน็ทเป็นพี่ชายคนโตที่ชอบแกล้งกู ส่วนไวท์...ก็นั่นแหละ"

   ผมมีความทรงจำสมัยประถมน้อยมาก อาจจำได้เป็นรายกรณีไป อย่างพวกครูที่ดุๆ ไม่ก็พวกเด็กเฮี้ยวๆ พอโรมเล่าอย่างนั้นก็คิดภาพออกเลยว่าแบ่งกันเลี้ยงเป็นยังไง โดยเฉพาะเวลาที่ทะเลาะกับเน็ทแล้วเอาไปฟ้องแบล็ค

   "แม่งเคยห้ามไม่ให้กูไปห้องน้ำคนเดียวด้วยอะ โคตรบ้าบอ ไร้สาระชะมัด แม่งจะเหี้ยอะไรขนาดนี้ชีวิตกู..."

   ผมก็พูดคำหยาบกับเพื่อนคนอื่นทั่วไป ไม่รู้ทำไมพอเป็นน้องแล้วถึงไม่อยากให้พูดเลยสักนิด ผมชอบเวลาที่โรมแทนตัวเองว่าน้องแล้วเรียกคนอื่นว่าพี่มากกว่า เหมือนอย่างวันที่ประกวดดาวเดือนไง พอน้องยิ้มอย่างนั้นแล้วเรียกผมว่าพี่ที่หนึ่งบอกเลยว่าผมแพ้หมดท่า หน้าผมแดงอย่างที่ตอนกลับไปโต๊ะกรรมการแล้วมีคนคิดว่าแอร์ร้อนไปแล้วไปให้คนเร่งแอร์เสียอีก

   ที่บอกว่าให้ยิ้มให้ผมคนเดียวนั่นพูดจริงนะ ผมไม่แบ่งน้องให้ใครหรอก

   "บอกแล้วไงว่าไม่ให้พูดคำหยาบ"

   "มันเป็นภาษาเก่า คนที่บอกว่าเป็นคำหยาบมันก็แค่พวกดัดจริตที่พยายามยกระดับของตัวเองให้สูงส่งขึ้นเท่านั้นนั่นแหละ"

   "หนึ่งไม่ชอบ"

   "แล้วกูต้องทำตาม?"

   อย่างนี้ประจำ ย้อนกลับด้วยคำถามเหมือนอยากจะได้อย่างอื่นกลับไปมากกว่าคำตอบ

   "ถ้าพูดอีกจะตีปาก"

   "กูกลัวมา...ที่หนึ่ง!"

   "พูดไม่เพราะต้องโดนตบปาก"

   หยาบมาตบกลับไม่โกง พอน้องหลุดคำว่ากูออกมาผมก็จัดการตีปากจนมีเสียงเพี๊ยะขึ้นมา แม่เคยทำโทษผมอย่างนี้ตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่ ผมไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไรตอนแรกแต่พอแม่ผมได้ยินเท่านั้นแหละโดนตบหน้าชาเลย ตอนหลังแม่ก็บอกนะว่าให้พูดกับเพื่อนได้แต่ไม่ให้เอากลับมาใช้ที่บ้าน 

   "เจ็บนะ!"

   "เจ็บจะได้ไม่ทำอีกไง"

   "พ่อก็ไม่ใช่ พี่ก็ไม่ใช่ จะอะไรกับโรมนักหนา!"

   อยากจะโกรธแต่ก็โกรธไม่ลง ภาพน้องทำหน้าโมโหแล้วยกมือขึ้นจับแก้มที่ผมเพิ่งจับไปเมื่อกี้มันดูไม่น่ากลัวเลยสักนิด เขาคงไม่รู้ตัวว่าเมื่อกี้แทนตัวเองว่าโรมเสียด้วยซ้ำ

   "ก็บอกแล้วว่าอยากเป็น 'ที่หนึ่ง' ไม่ได้อยากเป็นพ่อหรือพี่"

   ผมไม่เคยรู้สึกว่าชื่อของตัวเองพิเศษ จนกระทั่งเจอเขา

   เบียร์สองกระป๋องไม่ได้ทำให้ไร้สติอย่างที่คนข้างๆ กำลังเป็นอยู่ มันแค่ทำให้เราสองคนอารมณ์ดีพอที่จะนั่งพูดคุยอะไรกันโดยไม่กระดากปากสักเท่าไหร่

   "จะฟ้องแบล็คว่ามึ... โอ๊ย!"

   บอกแล้วว่าพูดอีกก็จะตีอีก ผมยกมือขึ้นแล้วตบลงไปเบาๆ ตรงริมฝีปากของเขาอีกครั้ง ส่งสายตาไปบอกว่าถ้ายังมีครั้งต่อไปอีกผมก็จะทำเหมือนเดิม โรมพยายามพูดอะไรออกมาแต่เป็นเพียงแค่เสียงอู้อี้เพราะผมยังไม่ได้ขยับมือออกไปไหน เพราะสัมผัสนุ่มปนชื้นจากเครื่องดื่มที่อยู่ตรงข้อนิ้วมันแปลกดี

   แปลกจนพาลคิดต่อไปว่าถ้าลองจูบลงไปจะได้ความรู้สึกแบบไหน

   ไม่เชิงว่าเมาเพราะถ้าเมามันคือไม่มีสติ นี่ผมยังมีสติอยู่แต่มันมีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เรียกว่าอารมณ์ชั่ววูบคงถูกที่สุด เพราะแค่วูบเดียวที่ผมคิดว่าอยากลองจูบเขาผ่านมือตัวเองหน้าของผมก็โน้มลงไปแล้ว

   บ้าชะมัด

   จะให้อธิบายมันไม่มีอะไรที่มากไปกว่าการจูบหลังมือที่เย็นชืดของตัวเอง ถึงอย่างนั้นหัวใจของผมกลับเต้นเร็วเหมือนวิ่งติดต่อกันเป็นชั่วโมง น้องหลับตาปี๋ต่างจากผมที่ไล่เก็บทุกรายละเอียดบนใบหน้า ขนตาไม่ยาวเท่าไหร่ จมูกพอมีสันออกมาให้เป็นทรงไม่น่าเกลียด ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่ผิวขาวขนาดนี้เพราะโรมไม่ชอบออกไปไหน

   จนอีกคนดิ้นประท้วงผมเลยต้องยอมผละออกมา เขาขมวดคิ้วแล้วถามผม

   "ทำอะไรของพี่"

   "ส่งนิสัยพูดเพราะไปให้"

   ข้ออ้างที่ดีที่สุดเท่าที่ผมคิดได้ในตอนนี้

   "ตำราบ้านไหนกัน บ้าป่ะ"

   น้องก็ยังคงเป็นน้องเอ๋ออยู่อย่างเดิม ช่วยเอะใจหน่อยได้ไหมล่ะว่าผมโกหกน่ะ แต่เมื่อกี้เขาเรียกผมว่าพี่สินะ แสดงว่าวิธีของผมได้ผลนิดหน่อยล่ะน่า

   "เดี๋ยวตีปากอีกนะ"

   "...ง่วงแล้วอะ"

   ขำพรืดออกมาตั้งแต่คำแรก โรมทำหน้าจริงจังมากจนเมื่อกี้ผมกังวลตามว่าเขาไม่พอใจกับการฉวยโอกาสที่ดูไม่มีความโรแมนติกอย่างนี้ เพราะอย่างนั้นตอนที่นอนหลุดปากบอกว่าง่วงออกมาผมเลยเพิ่งคิดออกว่าตัวเองกำลังคุยอยู่กับน้องน้อยที่ไม่รู้ว่าโดนแอบชอบมามากกว่าสี่ปีแล้ว

   "ป่ะ เดี๋ยวไปส่ง"

   "ไม่เอา ยังไม่อยากกลับ" ทำหน้ายุ่งอย่างนั้นคงยังอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ "ขอนอนตรงนี้นะ"

   ไม่รอรับคำจากผมน้องก็เลื่อนตัวลงไปหนุนตักเสียแล้ว ดาดฟ้าไม่ได้เหมาะกับการนอนเล่นมากเท่าไหร่แต่ผมห้ามไม่ทัน โรมเล่าเรื่องพี่น้องไปเรื่อย ผมที่ไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหนดีเลยจัดการลูบผมสีน้ำตาลของคนที่อยู่บนตักไปพลาง

   นุ่มจัง

   ผมคิดมาตั้งนานแล้วว่าน้องดูแลเส้นผมยังไงถึงได้ดูสุขภาพดีตลอดเวลาขนาดนี้ มีช่วงหนึ่งที่เขาเลี้ยงผมจนยาวเกือบประบ่า พอลมพัดผมก็ปลิวตามแรงไปมาเป็นภาพที่น่ามอง บางวันก็มาพร้อมกับผมรวบเป็นหางม้าขนาดเล็กดูเข้ากับเขาดี อยากให้กลับไปไว้ทรงนั้นอีกแฮะ

   "โรมครับ"

   "อะไร?"

   "ถ้ามีราชา เจ้าชาย ปีศาจ แล้วก็คนบาป ...แล้วน้องโรมคืออะไร?"

   "โรมเหรอ?" เขายิ้มกว้างจนให้ความรู้สึกว่ากำลังปกปิดอะไรบางอย่างไว้ให้ลึกที่สุด

  "น้องโรมเป็นผู้เสียสละ"

[End : ที่หนึ่ง]


***
   ครบทั้งบทแล้วค่ะ เรื่องนี้เราไปกันเรื่อยๆ  มีอยู่ไม่กี่ปม ไม่ซับซ้อนๆ (หัวเราะ) ตอนนี้ 'ชื่อ' ของน้องโรมก็ได้เปิดกับเขาบ้างสักที หลังจากปล่อยชื่อของพี่ๆ คนอื่นมาตั้งนานแล้ว ไปๆ มาๆ เจ้าว่าที่หนึ่งน่าสงสารที่สุดในเรื่องแล้วค่ะ (ฮา)
   บอกกับตัวเองว่าปิดเทอมจะเขียนไว้ให้ได้เยอะๆ สรุปแล้วเจ้าก็ยังคงคอนเซปต์แต่งตอนต่อตอนไม่เคยมีเก็บสะสมไว้ได้จนวันที่ใกล้จะเปิดเทอมแล้วค่ะ (ร้องไห้)
   เจอกันสัปดาห์หน้านะคะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
«ตอบ #251 เมื่อ09-01-2016 23:54:58 »

รออ่านต่อไป

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
«ตอบ #252 เมื่อ10-01-2016 00:29:46 »

 :pig4:  :pig4:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
«ตอบ #253 เมื่อ10-01-2016 00:41:58 »

 :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Peung002

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 870
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
«ตอบ #254 เมื่อ10-01-2016 07:42:19 »

เห็นด้วยที่สุดค่ะว่าในเรื่องนี้ ที่หนึ่งน่าสงสารที่สุด  o18 คงให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในหนังแนวสืบสวนฆาตกรรมสักเรื่อง
หวังว่าที่หนึ่งจะจิตแข็งพอที่จะพาน้องโรมผ่านไปได้นะคะ  :hao3:

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
«ตอบ #255 เมื่อ12-01-2016 09:18:56 »



อืม... ตอนแรกเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องรักใส ๆ
หึ หึ ทำไปทำมา นี่มันงานสร้างที่ล้ำลึกยิ่งกว่าอินเซปชันเสียอีก
แหม่! ป้าล่ะอยากจะรู้ขึ้นมาทันทีเลยว่า ไอ้แผลเก่าของน้อมโรมที่พวกพี่ ๆ เป็นห่วงกันแทบเป็นแทบตายนี่มันคือเรื่องอะไร
ถ้าพวกพี่ ๆ จะห่วงน้องป้าไม่ว่าหรอกนะจ๊ะ ขออย่างเดียว... อย่ากีดกันพ่อที่หนึ่งของป้าเป็นอันขาด (ป้านี้เลียแข้งเลียขาพ่อแบล็คแทนที่หนึ่งล่วงหน้าเลยเนี่ยะ)

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^  :กอด1:


ออฟไลน์ GMJeam

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
«ตอบ #256 เมื่อ12-01-2016 10:14:01 »

ปมของน้องคือไรนะ

ออฟไลน์ Ferin1A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
«ตอบ #257 เมื่อ12-01-2016 13:57:24 »

ยิ่งอ่านยิ่งชอบความธรรมดาของที่หนึ่ง(ถึงคนเขียนจะบอกว่าไม่ธรรมดาก็เถอะ)  คือคนอื่นมันประหลาดกว่าไง
รู้สึกว่าต้องคนแบบที่หนึ่งเท่านั้นแหละที่จะคลายปมในใจของน้องโรม  ผู้เป็นศูนย์กลางของกลุ่มได้
เวลาที่หนึ่งอยู่กับน้องโรมนี่กรี๊ดมาก อบอุ่น  พึ่งพาได้
 :กอด1:

ออฟไลน์ puengmimsweety

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 12 [09.01.16]
«ตอบ #258 เมื่อ14-01-2016 18:59:17 »

รูปที่อยู่ในห้องน้องโรมมีหกคนนี่ แสดงว่าต้องมีอีกคนนึงสิ เดาว่าน่าจะเป็นคนที่ทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมด

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
«ตอบ #259 เมื่อ17-01-2016 23:36:29 »

บทที่ 13

   เครื่องมือดูดาว แผนที่ดาวเคราะห์บนท้องฟ้า และเครื่องเขียนสำหรับการจดบันทึกวางระเกะระกะ

   ชินไหม ก็ชินแล้ว

   แต่จะให้ทนต่อไปไหม ก็ไม่เหมือนกัน

   "แบล็ค! มาเอาน้องมึงกลับไปเลยนะ!!"

   ผมตะโกนออกไปอย่างเหลือทน ไม่สนว่าระดับเสียงที่ใช้มันจะเกินระดับที่ควรเป็นรึเปล่า

   เจ้าของห้องละสายตาจากโทรทัศน์จอแบนสามสิบแปดนิ้วมาที่ผม คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเพื่อบอกผมว่าไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะการผ่อนคลาย

   "เอา ไวท์ กลับ ไป เดี๋ยว นี้!"

   ย้ำช้าๆ ชัดๆ ทีละคำ ชี้นิ้วผ่านกำแพงไปยังห้องของตัวเองที่มีหญิงสาวโลกส่วนตัวสูงลิบครอบครองอยู่

   "น้องโรม กูบอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าต้องอ่านหนังสือเตรียมแข่ง" แม่งมีการชี้ไปตรงกองหนังสือที่วางซ้อนกันเป็นชั้นสูงจนเกือบเท่าตัวผม "กูไม่มีสมาธิหรอกนะถ้ามีวิญญาณล่องลอยอยู่ในห้องไปมา"

   "เลยโยนมาให้กูเนี่ยนะ?"

   "อืม"

   "ไอ้เหี้ยยย!" แทบจะเดินเข้าไปบีบคอแล้วเขย่าว่ามึงคิดอะไรอยู่

   "มึงก็ทนหน่อยน่า ช่วงนี้กูไม่อยากให้ไวท์อยู่ห่างตัว" แบล็คยกมือขึ้นนวดขมับ เหตุผลที่เขาใช้มันเป็นเรื่องที่ผมเถียงกลับไปไม่ได้ ถึงผมจะไม่ได้เจอเวลอีกเลยแต่ใช่ว่าอีกคนจะไม่เจอ พี่ชายฝาแฝดบ่นอยู่ว่าเจอเขาบริเวณห้องเรียนของไวท์หลายครั้ง

   "แต่..."

   อยากจะเถียงใจจะขาดสุดท้ายทำได้แค่เม้มปากไม่ให้ตัวเองพูดออกไป ไวท์มีกิจวัตรในแต่ละวันที่ค่อนข้าง 'แตกต่าง' จากคนปกติมาก ถ้าตอนอยู่บ้านมันก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะต่างคนต่างมีห้องนอนเป็นของตัวเอง พอมาตอนนี้ที่จำนวนคนมีมากกว่าจำนวนห้องมันเลยต้องแบ่งกันใช้

   ใช่ ต้องแบ่งกันไม่ใช่ยึดไปคนเดียวอย่างนี้ ผมนี่เกือบจะรื้อถุงนอนออกไปใช้ชีวิตอยู่ตรงระเบียงแล้ว

   "ถ้ามึงไม่โอเคมากก็ลองคุยดู ไวท์มันตามใจมึงอยู่แล้วล่ะ"

   "กูจะไม่ผิดคำพูดตัวเอง"

   สัญญาไว้ว่าไม่เอาแต่ใจกับไวท์ นิสัยไม่ดีของผมต้องไม่ทำร้ายคนรอบข้างอีก

   "งั้น..." เขาลากเสียงยาว มือที่นวดขมับอยู่เมื่อครู่แปรเป็นการชี้ออกไปนอกหน้าต่าง "ไปหาอีกคนที่ตามใจมึงพอกันดิ”

   “หือ?”

   “ห้องฝั่งตรงข้ามมึงอะ”

   “กูไม่รู้จัก จะให้เดินไปเคาะประตูแล้วบอกว่าขออยู่ด้วยไง?”

   “มึงแม่งเอ๋อตลอด กูหมายถึงตึกตรงข้าม”

   "..."

   แบล็คเป็นพี่ชายที่แปลก ทั้งในความหมายดีและไม่ดี ที่ดีคือเขาไม่เคยเข้ามาชี้นิ้วสั่งให้ผมทำอะไรตามที่ต้องการ ส่วนไม่ดีคือถึงเขาไม่ห้ามแต่ถ้าเกิดผมล้มแล้วมีคนซ้ำเมื่อไหร่เขาจะไม่ช่วยดึงผมขึ้น ซ้ำร้ายจะกดให้ผมจมลงไปกว่าเดิม เพราะนั่นหมายถึงผมต้องยอมรับในผลที่อาจตามมาให้ได้ คุณอาจคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินตัว มันก็ช่วยไม่ได้ ราชาที่อยู่บนบัลลังก์ไม่มีสิทธิ์มาอ้างคำว่าเด็กหรอก 

   “...มึงรู้ใช่ไหม” ถามเพื่อความแน่ใจไปอย่างนั้น ที่จริงก็พอรู้ชะตาตัวเองตั้งแต่วันที่โดนเรียกกลับบ้านแล้วล่ะ เขาบอกเองว่าพ่ออยากเจอคนที่จีบลูกชายอยู่

   “น้องโรมครับ ขนาดน้องที่กูไม่ค่อยเจอกูยังรู้เรื่องมันทุกอย่าง กับมึงที่อยู่แค่ห้องถัดไปทำไมกูจะไม่รู้”

   “แล้ว...”

   “กูไม่ใช่เน็ท”

   ผมตีกับเน็ทบ่อย ทั้งเรื่องไร้สาระแล้วก็เรื่องมีสาระ เรื่องที่หนึ่งเป็นหัวข้อล่าสุดที่เราทะเลาะกันและแรงพอสมควร คนกรุ๊ปเอแต่ดันหวงเพื่อนอย่างกับเป็นกรุ๊ปโออย่างเขาเอาแต่โวยวายจะไล่ที่หนึ่งกลับให้ได้ เน็ทไม่ยอมให้ใครเข้ามายุ่งในกลุ่มของเรา โดยเฉพาะกับน้องเล็กอย่างผม งี่เง่าตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงทุกวันนี้

   “หนึ่งมันบอกว่าจะจีบกู...” เป็นครั้งแรกที่ผมยอมเปิดปากเรื่องนี้กับเพื่อนและพี่ชายตามตรง

   “มันจีบมึงอยู่ ไม่ใช่จะจีบ”

   “มึงโอเคเหรอ”

   “เมื่อกี้กูพูดชัดแล้วนะ”

   “ไม่ห้าม?”

   “ห้ามทำไม มันไม่ได้จีบกูนี่” แบล็คเปลี่ยนจากท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนเป็นไขว่ห้างอยู่บนโซฟา “กูมีวิธีเลี้ยงน้องของกู”

   นั่นคือความจริง ตลอดเวลาการเป็นน้องพวกพี่เลี้ยงผมมาคนละแบบ ไม่สับสนหรอกเพราะอยู่ไปนานๆ แล้วมันก็ปรับตัวได้จนชินไปเอง แบล็คจะออกแนวไม่เข้ามายุ่งอะไรมากแต่ก็ไม่เคยมีอะไรหลุดออกไปจากนอกสายตา

   “ที่หนึ่งเป็นผู้ชายนะ”

   “ไม่มีกฏหมายมาตราไหนเขียนว่าห้ามรักครับ”

   “แบล็คคค” ต่างจากรีแอคชั่นของเน็ทลิบลับ ไม่มีอาการสนใจในสิ่งที่ผมกำลังพบเจออยู่ บางครั้งเขาก็ทำเหมือนผมเป็นเพียงคนที่ไม่เคยรู้จัก ที่จะตัดออกจากชีวิตเมื่อไหร่ก็ได้

   “อยากให้กูห้ามรึไง” ยิ้มจางบนริมฝีปากเขาไม่ต่างอะไรกับยิ้มของซาตาน อ่อนโยน...แต่ก็อันตราย “กูเป็นพี่มึงมากี่ปีแล้วโรมัน กูรู้จักมึงมากกว่ามึงรู้จักตัวเองอีก”

   “...”

   “บอกมาคำเดียว อยากให้กูห้ามรึเปล่า”

   ควรจะบอกเขาไปว่าอยาก แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่กล้าพูดไป นัยน์ตาสีดำสนิทไม่ต่างจากของน้องสาวมองมาที่ผมด้วยความเอ็นดูปนหน่วงใจ ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องบอกผ่านคำพูด เราเป็นพี่น้องต่างสายเลือดที่รู้จักกันดีพอ

   "ก็แค่นั้น"

   ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น มองพี่ชายหยิบโทรศัพท์ขี้นมากดอะไรสองสามครั้งก่อนเปิดลำโพงให้ได้ยินเสียงรอสายเป็นเพลงสากลที่ผมกำลังฟังซ้ำอยู่ในช่วงนี้ ปล่อยให้เขาจัดการทุกอย่างไปตามที่ควรจะเป็น ส่วนตัวเองก็จมอยู่กับคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปาก

   คำเดียว ทำไมถึงพูดออกไปไม่ได้ก็ไม่รู้


 

   ก็นั่นแหละครับที่มาของการย้ายสำมะโนประชากรชั่วคราวอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ผมเองตอนแรกก็คิดว่าจะปัดตกข้อเสนอนี้ไปอยู่เหมือนกัน แต่พอคิดไปคิดมาแล้วมันคงจะดีกว่าสำหรับเราทั้งสองคน ผมไม่ต้องมาปวดหัวกับตารางชีวิตที่ไม่ตรงกัน ส่วนไวท์เองก็ได้มีพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น ก็เคยถามไปตรงๆ แล้วว่าไม่อึดอัดใช่ไหมที่ถูกบังคับให้มาอยู่อย่างนี้ พอยัยนั่นตอบว่าโอเคผมเลยทำอะไรไม่ได้

   ยังแอบเสียดายอยู่เลยที่ไม่ได้เห็นหน้าตอนที่แบล็คโทรไป ขนาดได้ยินเสียงจากโทรศัพท์เล็กน้อยตอนที่เขาตะโกนใส่ว่า 'อะไรนะ' ยังตลกอยู่เลย

   "จะให้เอาตุ๊กตาวางไว้ตรงไหน?"

   "อยากวางไว้ตรงไหนก็วางไปเถอะ"

   ผมตอบกลับส่งๆ เพราะยังมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่รอให้รื้ออีก ไม่รู้คำว่าชั่วคราวที่ผมใช้มันจะนานมากแค่ไหน แต่คิดดูแล้วผมเองไม่อยากกลับมาที่ห้องบ่อยๆ เพราะกลัวว่าไวท์จะรำคาญเอา ตอนนี้มันเลยกลายเป็นว่าผมเหมือนย้ายห้องถาวร ของใช้อะไรที่คิดว่าอาจจะได้ใช้ถูกยกมาหมดห้อง

   "ชอบสีส้มเหรอ" เขาเดินมานั่งยองๆ ตรงอีกฟากของกระเป๋า มีน้องหมีส้มของผมอยู่ในอ้อมแขน นี่ตุ๊กตาของผมกลายเป็นหมีสาธารณะตั้งแต่เมื่อไหร่นะ เวลาใครมาที่ห้องก็ชอบเอาเจ้าหมีแขนขายาวตัวนี้ไปกอดทุกครั้ง ส่วนพ่อยอดชายนายที่หนึ่งคงชอบมากกว่าใครเพื่อน เขายิ้มกว้างจนน่ากลัวว่าปากจะฉีกตอนที่เห็นผมถือน้องหมีมาด้วย

   "เปล่า ไม่มีสีที่ชอบ นี่แบล็คซื้อให้ตอนวันเกิด"

   "อ้าว?" ร้องเสียงหลงเสียจนน่าตกใจ ที่หนึ่งก้มหน้าลงไปคุยกับน้องหมีด้วยเสียงอันเบาจนผมฟังไม่ค่อยออก "...ไหนบอกว่าชอบสีส้มไงทิวา"

   "อัพเกรดเป็นคุยกับตุ๊กตาแล้วรึไง"

   "นึกว่าชอบสีส้ม แล้วชอบสีอะไรเหรอ?"

   มือที่รื้อหาเสื้อนอนไว้ใส่คืนนี้ชะงักไปพลันเมื่อพาลนึกไปถึงสีหนึ่ง ผมควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นถึงปฏิเสธกลับไป "ไม่อยากชอบสีอะไรทั้งนั้น"

   "หนึ่งชอบสีเขียวน้ำทะเล"

   "บอกเพื่อ?"

   "น้องโรมจะได้รู้อะไรเกี่ยวกับหนึ่งอีกอย่างไง"

   จั๊กจี้ทุกทีที่เขาเรียกผมว่าน้องโรม จนถึงตอนนี้ผมไม่กล้าขึ้นมึงกูใส่ที่หนึ่งแล้วครับ แค่อ้าปากยังไม่ทันจะพูดอะไรที่หนึ่งก็ยกมือขึ้นมาเตรียมฟาดเสียทุกครั้ง น่ากลัวว่าพ่อก็ที่หนึ่งนี่แหละ ฟาดลงมาจริงไม่มีออมแรงเลยสักนิด วันนั้นผมเมาๆ เลยจำความเจ็บไม่ค่อยได้ พอตอนตื่นเต็มตาคิดว่าต้องหน้าบวมแหงแต่กลับมีแค่ความอบอุ่นแปลกๆ คงอยู่

   ผมเป็นวัยรุ่นจำพวกไม่ชอบเมาแต่โดนเพื่อนมอมอยู่บ่อยครั้ง ถึงไม่มีใครกล้าทำร้ายผมขนาดที่อัดคลิปเก็บไว้มาแฉตอนสร่าง ทุกคนก็ยังให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่าถ้าอยากเห็นผมกลับไปเป็นน้องเล็กที่เดินตามพวกพี่ต้อยๆ ก็ลองให้เมาดูสักทีจะได้เด็กชายโรมกลับมา อีกอย่างที่เป็นข้อเสียคือผมจะจำไม่เคยได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้างตอนที่โดนฤทธิ์เครื่องดื่มเล่นงาน

   “จะดีใจมากถ้าม...พี่ที่หนึ่งเลิกยุ่งแล้วอยู่เฉยๆ ปล่อยโรมเก็บของเอง”

   เกือบจะโดนฝ่ามือพิฆาต ผมมองหน้าเขาสลับกับกระเป๋าของตัวเองเป็นการบอกในตัวว่าตอนนี้กำลังยุ่งวุ่นวายกับการจัดของสุดๆ ที่หนึ่งจับแขนทั้งสองข้างของน้องหมีไว้เหมือนเป็นหุ่นเชิด จัดการพลิกฝากระเป๋าให้ปิดลงโดยไม่ขอความเห็นจากผมเลยสักนิด

   "อะไรอีกกก"

   “ค่อยกลับมาจัด ไปซื้อของกัน”

   “ซื้อของ?”

   “น้องโรมมาอยู่ด้วยมันก็ต้องใช้ของมากขึ้น ไปซื้อของเพิ่มกัน”

   “เตรียมมาจากห้องครบแล้ว”

   ผมไม่ได้มาอาศัยอยู่หน้าด้านๆ อย่างนั้นสักหน่อย อะไรที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตผมก็เตรียมไว้หมดแล้ว ไม่ต้องมาเบียดเบียนเขาเลยสักนิด แขนน้องหมีแกว่งไปมาโดยมีเสียงจุ๊ปากของเขาเป็นตัวเสริม ตุ๊กตาสีส้มที่กลายเป็นหุ่นยนต์ขยับมากอดแขนของผมไว้ รอยด้ายที่ถูกปักให้เป็นโค้งคล้ายรอยยิ้มส่งมาที่ผมไม่ต่างจากคนที่กำลังอุ้มมันไว้

   "ไปกันเถอะน้าาา”

   “เด็กขาดความอบอุ่นรึไง”

   “ถ้าเป็นแล้วจะยอมไปด้วยไหมล่ะ?”

   "ไม่"

   บอกพลางขยับกระเป๋าให้เปิดไว้ตามเดิม ผมปล่อยให้เสียงงอแงของเจ้าของห้องลอยไปมาโดยไม่เก็บเข้ามาใส่ใจ ไม่น่าเอาเสื้อนอนเก็บไว้ข้างล่างๆ เลยแฮะ จะรื้อออกมาทีต้องหยิบตั้งแต่ตัวบนสุด

   "..."

   กระเป๋าถูกปิดลงอีกครั้งโดยฝีมือของเจ้าของห้อง ผมถอนหายใจออกมาดังๆ ให้เขารู้ตัวว่าการกระทำของเขามันน่ารำคาญแค่ไหน เปิดมันให้อ้าออกตามเดิมแล้วลงมือรื้อต่อไป

   และมันก็ถูกปิดลงอีก

   ถ้าเป็นตัวการ์ตูนคงมีเครื่องหมายโกรธขึ้นมาอยู่ตรงหน้า สูดลมหายใจเข้าออกยาวเหยียดหลายครั้งจนพอใจเพื่อไล่ความไม่พอใจออกไป ใจเย็นไว้น้องโรม มาอาศัยเขาอยู่เราต้องยอมทน

   ผมเปิด

   ที่หนึ่งปิด

   ผมเปิดใหม่

   ที่หนึ่งก็ปิดอีก

   โอ๊ย!

   "แค่ไปด้วยก็พอใช่ป่ะ!!"

   ตอนที่เขาบอกว่าจะไปซื้อของ ผมก็คิดว่าคงไม่พ้นตลาดที่เดิมหรือว่าห้างแถวมอ อะไรคือการที่พี่แกขึ้นทางด่วนแล้วมาจบลงตรงสยาม ช่วยบอกผมทีว่าซื้อของที่นี่กับแถวมอมันต่างกันตรงไหน

   “ทำไมต้องมาถึงนี่ที่ด้วย”

   ผมถามออกไปด้วยความไม่พอใจมากนัก คนที่มีความสุขกับโลกใบเล็กอย่างผมไม่ชอบคนเยอะ โดยเฉพาะตอนเย็นที่มีคนเดินขวักไขว่จนน่าเวียนหัวอย่างนี้

   “ก็มันใกล้สุด”

   “ตลกล่ะ ไขสบู่จากดาวอังคารรึไง”

   “ที่อื่นก็มีแหละ แต่ไกลกว่านี้อีก”

   ที่หนึ่งอธิบายพอให้เข้าใจ ผู้มีพระคุณที่กลายเป็นรูมเมทชั่วคราวของผมยื่นมือออกมาค้างไว้อย่างนั้นเหมือนกำลังขออะไรสักอย่าง ลำบากให้ผมต้องหมุนตัวสามร้อยหกสิบองศาดูว่าเขาต้องการอะไรจากผม

   “มึงไม่ได้ฝากอะไรไว้ที่กู”

   “ถ้าไม่อยากโดนตีปากก็ส่งมือมา” ขู่ ขู่ตลอด พอยอมหน่อยนี่ไม่ปล่อยให้มีจังหวะว่างเลย ที่หนึ่งทำหน้าดุใส่ผมพลางยื่นมือเข้ามาใกล้จนอีกนิดก็จะเป็นเขาเองที่จับมือผมไว้ "เดี๋ยวหลงทาง"

   “อย่ามาเนียน”

   แล้วอะไรคือการที่ผมด่าพร้อมส่งมือไปให้วะ

   คงคิดด้วยความรู้สึกของคนธรรมดามากไปหน่อยว่าของที่ว่าคือของใช้ในบ้าน ส่วนคนที่ไม่ค่อยปกติอย่างเขาเลยพาเราสองคนมาที่ร้านขายของดีไซน์เก๋ที่มีสีประจำร้านเป็นสีเหลือง ที่หนึ่งเดินลัดเลาะอย่างชำนาญไปตามทางคดเคี้ยวอย่างที่ถ้าไม่ได้เดินจับมือเขาไว้ผมต้องหลงอย่างไม่ต้องเดา

   จนเราสองคนมาหยุดอยู่ตรงแผนกผ้ายัดนุ่นหลากหลายแบบ และเขากำลังจ้องไปที่เจ้าสัตว์หลายชนิดที่ถูกปรับแต่งดีเอ็นเอให้แขนขายาวกว่าปกติ

   "อย่าบอกนะว่ามาซื้อตุ๊กตา?"

   "อ่าฮะ"

   "ที่หนึ่งงง" เรียกชื่อเขาเผื่อว่ามันช่วยให้มีสติขึ้นมาบ้าง นี่ต้องบ้าขนาดไหนกันถึงเดินทางจากมหาลัยเกือบชั่วโมงเพื่อมาซื้อตุ๊กตาตัวเดียว

   "ครับน้องโรม"

   "มึงบ้าป่ะ"

   ถ้ามีขั้นกว่าของคำว่าบ้าผมก็จะใช้คำนั้น พอดีว่านี่มันขั้นสุดแล้วผมเลยต้องยอมทนใช้ไป ไว้ขอเวลาไปลงเรียนวิชาภาคภาษาไทยหาข้อมูลเรื่องการใช้คำขั้นกว่าก่อน แล้วผมจะสร้างคำใหม่ไว้ใช้กับที่หนึ่งคนเดียว

   ลืมไปว่ามือที่เขาจับผมไว้มันแค่ข้างเดียว พอผมเผลอพูดเขาก็ยกมือขึ้นมาด้วยความเร็วสูง นี่จะไม่ตกใจเลยถ้าหน้าของตัวเองเด้งขึ้นอย่างที่ไม่ต้องใช้น้ำตบบ้าบอคอแตกอย่างที่นิชเคยซื้อมาไว้ให้ที่ห้อง

   "น้องโรมไม่ควรเรียกพี่ว่าบ้านะ"

   "ใช่ เพราะพี่ยิ่งกว่าบ้า"

   "พี่ปกติ"

   "มึงบ้า" พูดจบก็โดนไปอีกดอก

   "ตัวไหนดี"

   ผมชอบตุ๊กตาของร้านนี้ มันไม่เหมือนกับที่ขายทั่วไปตามตลาดนัดตรงความแน่นระดับสิบของนุ่นที่ยัดเป็นไส้ในตัว น้องหมีของผมเวลากอดแล้วมันจะพอดีแขนมาก อ้อนแบล็คให้ซื้อให้ตั้งนานมันก็บอกว่าไร้สาระ เปลืองเงินคุณพินิจ ก็ปากร้ายใจดีไปอย่างนั้นล่ะนะ พอวันเกิดผมปีนั้นน้องหมีก็มานอนยิ้มแฉ่งอยู่บนเตียง

   ตามองตามสินค้าที่แขวนเรียงกันไปตามขนาดใหญ่เล็ก มันก็แล้วแต่สไตล์คนว่าชอบแบบไหนด้วย มีทั้งแบบสีล้วน ลายทางแล้วก็แบบจุดโพก้าดอท อย่างน้องส้มของผมเป็นแบบมีลายจุดสีขาวแซม

   "ชอบแบบไหนล่ะ"

   มันมีตั้งแต่ขนาดสูงเกือบเท่าตัวผมจนถึงตัวเล็กกระจิดริด ที่สะดุดตามากที่สุดคงเป็นไซส์ใหญ่ที่อยู่ริมสุด ผมมือบอนคว้าเจ้าตัวไร้หูสีม่วงอ่อนขนาดใหญ่สุดมากอดไว้รออีกคนทำหน้าเคร่งเครียดกับสินค้าจำนวนมากตรงหน้า อืม เจ้าตัวนี้กอดแล้วเต็มมือมากกว่าน้องส้มที่ห้องอีกแฮะ ตอนนั้นน่าจะโลภมากกว่านี้หน่อยจะได้ตัวบิ๊กสุด

   ที่หนึ่งตัวใหญ่กว่าผมเยอะอยู่ ถ้าเอาขนาดเท่าน้องส้มมันอาจจะเล็กไปหน่อย

   "อยากได้สีเขียว แต่สีเขียวมีแค่ตัวเล็ก"

   "งั้นก็เอาตัวเล็ก"

   "แต่มันกอดแล้วไม่พอดีเหมือนหมีส้ม"

   "ก็เอาตัวกลาง"

   "หรือตัวใหญ่ดี"

   "..."

   "แต่ว่าตัวที่น้องโรมถือก็ชอบ"

   "เหมาเลยป่ะ??"

***
ต่อด้านล่างค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-01-2016 01:26:34 โดย 23August »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
« ตอบ #259 เมื่อ: 17-01-2016 23:36:29 »





ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
«ตอบ #260 เมื่อ17-01-2016 23:52:37 »

   ที่หนึ่งผู้เปิดโหมดสาวน้อยจอมมากเรื่องเล่นเอาผมสติขาดผึง ตั้งแต่สงครามประสาทกับกระเป๋าเดินทางของผมแล้วยังมาเรื่องนี้อีก แค่ซื้อตุ๊กตาตัวเดียวนี่มันยากอะไรขนาดนั้นบอกผมมาที

   "ถ้าเหมาคิดว่าแม่ต้องไล่ออกนอกบ้านแหง"

   ยังคิดว่าผมพูดจริงอยู่สินะ "นี่ประชด"

   "ฮ่าๆ งั้นเหรอ"

   "เลือกไปเถอะ"

   “ตัวนั้นดีไหม?"

   เขาชี้ไปที่ตัวใหญ่สีฟ้าเข้มสลับครีม มีหูยาวคล้ายหูกระต่าย

   สีฟ้า

   ผมไม่มีสีที่ชอบหรือเกลียด แต่ถ้าถามว่าสีที่อยากเกลียดแต่ทำไม่ลงคือสีอะไร ผมจะตอบว่าสีท้องฟ้าไปอย่างไม่ลังเล

   "ไม่เอา"

   "ไม่น่ารักเหรอ"

   "ไม่ชอบ"

   "ฮะฮะ โอเคครับ"

   เพียงแค่ผมบอกว่าไม่ชอบเขาก็ลบมันออกจากตัวเลือกทันที การตัดสินใจเสี้ยววินาทีของเขามันรวดเร็วจนผมเป็นฝ่ายถามกลับไปด้วยความสงสัย

   "ไม่คิดจะถามหน่อยเหรอว่าทำไมไม่ชอบ"

   ผมยังคงกอดตัวประหลาดสีม่วงไว้อยู่อย่างเดิม มันนุ่มนิ่มจนผมไม่อยากจะปล่อยไปเลยแฮะ

   "ไม่ล่ะ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ" เขายักไหล่ขึ้น "...ก็เหมือนกับชอบ ที่ชอบก็คือชอบ"

   เบ้ปากใส่ประโยคสุดเลี่ยน ความไม่ยุติธรรมอย่างหนึ่งของโลกใบนี้คือเขามียีนความแสนดีมากเกินไป ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูไม่น่าเกลียดไปเสียหมด

   "สรุปเลือกได้ยัง ไม่ได้จะกลับแล้วนะ"

   "น้องโรมช่วยเลือกหน่อยสิ" เขาดันตัวผมให้ไปยืนแทนที่เพื่อจะได้มองสินค้าทั้งหมดได้ชัด

   ของหลากหลายแบบเรียงรายจนน่าปวดหัว ผมไม่รู้ว่าที่หนึ่งชอบแบบไหนมากกว่าเลยไม่กล้าที่จะเลือก คือปกติแล้วถ้าจะเลือกของอะไรสักอย่างมันต้องเลือกจากความชอบของตัวเองไม่ใช่หรือไง แล้วเขามาให้ผมเลือกอย่างนี้มันจะถูกใจเขาได้ยังไงกัน?

   "เลือกเองดิ ไม่อยากมาฟังคนแก่บ่น"

   "ก็พี่ชอบหมดเลย"

   "เหมา"

   "ไม่ได้ เดี๋ยวน้องโรมไม่มีคนเลี้ยงนะ"

   "กูมีพี่เยอะ ไม่มีงานทำเดี๋ยวเกาะพี่กินก็ยังได้"

   ที่หนึ่งยกมือขึ้นมาทำเป็นรูปกากบาท "ไม่ให้ จะเลี้ยงเอง"

   "งั้นเอาตัวนี้" ผมชี้มาที่เจ้าตัวประหลาดสีม่วงที่ตัวเองกำลังกอดอยู่ "จบ ไปจ่ายเงินกัน"

   เขาไม่คัดค้านคำเสนอของผมเลยแม้สักนิดเดียว คนอยากได้ตุ๊กตาพยักหน้าตกลง ยื่นมือออกมาให้ไม่ต่างจากตอนที่ลงจากรถ ที่หนึ่งชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กน้อยที่พร้อมจะหลงทางตลอดเวลา ถ้าไม่จับมือไว้ก็ต้องคอยเดินตามเพื่อให้แน่ใจว่าผมจะไม่หลงทิศ

   "หนึ่ง" ผมยังไม่ยื่นมือกลับไปให้เขาจับ

   "อยากได้อะไรเพิ่มรึเปล่า?"

   "เปล่า"

   "มีอะไรรึเปล่าครับ"

   "...ทำไมถึงไม่เลือกเองล่ะ"

   ถ้าอยากได้คำตอบ ไม่มีทางไหนดีกว่าถามมันออกไป

   ผมไม่เข้าใจเขาเลย ไม่เข้าใจจริงๆ นะ ตามปกติแล้วคนเราควรมีความชอบหรือการเลือกของตัวเองไม่ใช่หรือไง หลังจากถามก็รอเขาตอบ ที่หนึ่งดูนิ่งไปวูบหนึ่งแล้วถึงฉีกยิ้มสดใส

   “เพราะมันเป็นของที่โรมเลือกไง” การคิดของเขาไม่เคยมีคราวไหนที่ซับซ้อน ทุกอยากมันจบลงด้วยตัวของมันเอง "ไม่มีใครสมหวังในสิ่งที่ตัวเองต้องการตลอดไปหรอกนะน้องโรม"

   เพราะบางครั้งสิ่งที่เราชอบจริงมันอาจจะไม่ได้มีอยู่ในขณะนั้น

   สุดท้ายเราถึงก็ต้องเลือกอะไรที่มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไม่ใช่ที่ชอบที่สุด


 
   ร้านอาหารทางซ้ายแห่งที่สี่คือจุดสุดท้ายที่เรามาถึง ผมกับที่หนึ่งกำลังนั่งอยู่คนละฝั่งของโต๊ะอาหารแบบญี่ปุ่นเข้ากับประเภทของร้าน หยิบเจ้าตัวประหลาดสีม่วงออกจากถุงใบใหญ่มากอดไว้อย่างนั้น นี่ผมเหมือนผู้ชายที่กำลังแอบมีกิ๊กเลยอะ ถึงน้องส้มจะน่ารักมากแค่ไหนแต่มันก็ไม่น่ากอดเท่าตัวนี้

   "น้องโรม สั่งอาหารก่อน"

   "สั่งไปเลย ปลาอะไรก็ได้"

   ปากคุยกับคนส่วนมือกำลังลองของเล่นใหม่ ผมพันแขนที่ยาวจนน่าจะกอดผมไว้ได้รอบให้เป็นปมเหมือนกำลังกอดอกอยู่ ถ้ามันมีหูเล็กก็เป็นหมี หูยาวเป็นกระต่าย แต่มันไม่มีหูแล้วควรเป็นตัวอะไรกัน

   ได้ยินว่าเขาสั่งปลาหิมะให้ มีของทานเล่นอีกหน่อย แล้วก็สั่งซาชิมิมาเสริมด้วย

   “ตั้งชื่อเร็ว” ย้ายเจ้าตัวประหลาดที่ผมยังระบุประเภทไม่ได้มากอดไว้แนบอก มองหน้าเจ้าของที่แท้จริงที่กำลังเอาตะเกียบไม้มาจิ้มๆ ตรงหน้าของตุ๊กตา

   “มาถามคนที่ตั้งชื่อหมีตัวเองว่าหมีส้มเนี่ยนะ"

   สิ้นคิดไหมล่ะชื่อหมีของผม กระชับตุ๊กตาที่ไม่ใช่ของตัวเองให้แน่นกว่าเดิม ผมติดนิสัยชอบกอดตุ๊กตามากกว่าหมอนข้างมาตั้งแต่เด็ก ก็จากพวกพี่ๆ ที่ประเคนมาให้นั่นแหละ เมื่อก่อนบนเตียงของผมแบ่งพื้นที่ให้ตัวตุ๊กตาอยู่สามส่วนสี่ ที่เหลือถึงเป็นที่นอนของผม

   “ใช่" กลับมาอีกครั้งกับการยิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์

   "ทำไมไม่ตั้งเอง"

   "อยากให้น้องโรมตั้งให้"

   "เจ้าม่วง"

   นั่น พอตั้งให้ก็ทำหน้ารับไม่ได้

   “อย่างกับมะเขือม่วง”

   “งั้นชื่อไวโอเล็ต”

   “มันต่างกับเจ้าม่วงตรงไหน”

   “เป็นภาษาอังกฤษ”

   “งั้น...” ชื่อจากผมคงไม่ถูกใจ เขาลากท้ายเสียงยาว ผมเลยเลิกคิ้วให้เป็นเชิงว่าพูดๆ มาสักที "ชื่อไอ"

   “ไอ?”

   "เพราะที่หนึ่งแบบโรมันคือตัวไอ (I) ไง"

   “...”

   ไปต่อไม่ถูกเลยครับกู

   ที่หนึ่ง 'เคย' เป็นผู้ชายที่ปกติในความคิดของผม แค่เคยจริงๆ

   “ชื่อม่วงดีแล้ว” ความครีเอตของชื่อที่เขาตั้งขึ้นมาบอกผมให้รีบเปลี่ยน อีกฝั่งบนโต๊ะอาหารส่ายหัวไปมาแล้วยืนยันคำตอบเดิม

   "ชื่อไอแหละ"

   "ไหนบอกให้กูตั้ง?"

   "เปลี่ยนใจได้ไหมล่ะ"

   "ห้าม!"

   แยกเขี้ยวกลับใส่ ผมยกแขนยาวๆ ของตัวประหลาดปัดป้องอาวุธของอีกฝ่ายสุดกำลังจนกลายเป็นเรากำลังต่อสู้กันอยู่

   เสียงเคาะกระจกเป็นระฆังหมดยก ทั้งผมและเขาหันไปทางเงาสีดำที่อยู่อีกฝั่งของแผ่นแก้วสีใส ความสูงเกือบสองเมตรอย่างที่ต่อให้อยู่กลางคนเป็นแสนก็ยังไงหาเจอ หน้าคุ้นเคยกับรอยแผลเป็นบริเวณหางคิ้วไม่ต่างจากเดิม ผมจำชื่อเขาไม่ได้รู้เพียงแค่เป็นกัปตันทีมบาสตอนที่เราอยู่มอปลาย สมัยที่แบล็คยังอยู่ในทีมแข่งก่อนที่จะโดนลากกลับไปอย่างที่เคยบอกแล้ว อยู่เป็นคนที่เฮี้ยบไม่น้อยตามที่เคยไปดูอยู่หลายครั้ง เห็นสารรูปของเพื่อนหลังการฝึกแล้วสงสารสุด

   เขาเดินเข้ามาในร้านและทักทายเราสองคน "ว่าไงเพื่อนทรยศ"

   “ผ่านมากี่ปีแล้วยังด่ากูอีก”

   "จะด่า ทุกวันนี้กูยังโกรธไม่หายที่มึงหนีไปเรียนที่อื่นไม่บอกพวกกู"

   "มึงไม่รู้หรอกคืนนั้นกูโดนถล่มขนาดไหน"

   เขาคงคุยกันอีกนาน ผมเลยขยับเจ้าม่วงไปข้างในสุดตามด้วยตัวเองเพื่อให้บุคคลที่สามนั่งด้วยได้

   “กูนี่ไงคนที่นำถล่ม แม่งงง ไม่บอกเพื่อนสักคำ กูต้องมาเหนื่อยหาเพื่อนใหม่อีก”

   “ก็พามึงไปเลี้ยงโออิชิแกรนด์แล้วไง ให้กูเลี้ยงมื้อนี้ด้วยเลยไหมล่ะ”

   “เอา”

   “เพื่อนรักจริงๆ”

   “ฮ่าๆ กูล้อเล่น นี่ตั้งแต่เปิดเทอมไม่โผล่หัวไปทักทายเพื่อนฝูงบ้างรึไง”

   “งานกูเพียบ นี่เพิ่งจบงานเดือนคณะมา ขอพักหน่อยเถอะว่ะ” ที่หนึ่งโคลงหัวไปมา “น้องโรมกินให้หมดนะ”

  ยังไม่วายหันมาสั่งอีก ผมมองอาหารญี่ปุ่นแบบเซตตรงหน้าตัวเองที่มาพร้อมกับปลาดิบสีส้มจานใหญ่ ส่งสัญญาณเอสโอเอสว่าผมไม่มีทางยัดทุกอย่างนี้ลงท้องหมดได้แหง

   "นี่เพื่อนแบล็คป่ะ" เพื่อนแบล็คที่ว่าคงมีแต่ผมคนเดียว กัปตันบาสหันมายิ้มทักให้พลางถามต่อ “เหมือนเดิมเลยเนอะ”
แอบประทับใจเล็กน้อยที่คนไร้ตัวตนอย่างผมก็มีคนจำได้เหมือนกัน

   “จำได้?”

   "จำได้ดิ มานั่งอยู่ริมห้องบ่อยๆ ตรงที่มึงชอบไปพักไงที่หนึ่ง"

   สนามบาสตอนนั้นอยู่บนชั้นสองของโรงยิม ผมชอบไปนั่งรอพี่ชายอยู่ตรงมุมห้องด้านหนึ่งที่ใกล้กับประตูทางออก หนึ่งคือมันปลอดภัยจากทิศทางของลูกสีส้มที่เคยกระแทกหน้าผมมาแล้ว สองคือมันใกล้กับพัดลมไอน้ำ เปรียบเหมือนแหล่งโอเอซิสของยิมสุดอับ

   ขอวาร์ปกลับไปประโยคเมื่อกี้แป๊บ ...ตรงที่เขาชอบไปพักเหรอ

   หันไปขอคำอธิบายจากอดีตนักกีฬาบาสดีเด่นของโรงเรียน ผมไม่เคยสังเกตว่าสิ่งแวดล้อมรอบข้างมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว สนใจแต่ว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาเลิกซ้อมผมจะได้กลับบ้านเสียที พี่ชายเขาไม่เคยปล่อยผมกลับบ้านเองจนอายุยี่สิบหรือเมื่อปีก่อน คนเรียนกฎหมายอ้างเรื่องความเป็นผู้เยาว์อะไรสักอย่างว่าผมยังต้องอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ

   เก่งไหมล่ะ มันท่องให้ฟังจนขึ้นใจเลย

   ที่หนึ่งยังคงยิ้มให้ผม เขาขยับปากแบบไม่มีเสียงจับใจความไม่ได้ และพอผมทำหน้าไม่เข้าใจในการสื่อสาร พ่อเดือนคณะก็เปลี่ยนเป็นยกนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมาชี้ที่ตาตัวเองแล้วส่งมาทางผม คล้ายจะบอกว่าเขาคอยมองผมอยู่ตลอดเวลา

   “แล้วมอมึงเริ่มซ้อมยังวะ งานเดือนหน้าอะ”

   นั่งฟังเขาคุยกันไปเงียบๆ คิดว่าเป็นดนตรีประกอบมื้อเย็นเพื่อให้เจริญอาหารมากขึ้น นอกจากอาหารหลายอย่างของตัวเองแล้วยังมีของกินเล่นที่ถูกส่งมาให้อยู่ในขอบเขตการกินของผม ที่หนึ่งสั่งเป็นชุดเบนโตะที่ยังไม่ได้แตะเนื่องจากยังคงคุยกับเพื่อนเก่าอยู่ คงเป็นเพื่อนสนิทอยู่พอควรเขาเลยถามไถ่กันไม่จบสิ้น

   "เห็นคุยๆ กันแล้ว แต่ติดตรงชมรมบาสคณะไม่รู้จะเอายังไง"

   "ลงการ์ดแบบเดิมป่ะ หรือโยกไปเล่นเซนเตอร์"

   "กูมันฟรีแลนซ์ ว่างตรงไหนค่อยเสียบ"

   "ไอ้เหี้ย กูล่ะเกลียดความมั่นหน้าของมึง"

   "กูพูดอะไรผิด?"

   "มึงแม่งขี้โกงเชี่ยหนึ่ง โกงตั้งแต่ชื่อ"

   เขาดูต่างออกไปจากเวลาที่อยู่กับผม เฮฮาเล่นหัวกันอย่างไม่ถือสา ผมฟังเข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้างจนผู้มาใหม่ขอตัวลา

   "กูไปล่ะ ฝากบอกแบล็คหน่อยถ้าวันแข่งว่างเดี๋ยวจะไปหา"

   คนที่ออกกำลังกายอาจมีเหตุผลแตกต่างกันไป เป็นเรื่องที่น่าแปลกถ้าลองกลับไปศึกษาประวัติของนักกีฬาระดับโลกหลายคนจะพบว่าเหตุผลของการเริ่มเล่นมันมาจากเรื่องปัญหาสุขภาพ ไม่ต่างจากพี่ชายของผมที่ต้องเล่นกีฬาเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายของตัวเองมากกว่าเป็นเรื่องของการเล่นกีฬาตามสมัยนิยม

   ทำมือเป็นเครื่องหมายโอเคก่อนจึงตามด้วยการโบกมือลา ท่องบอกตัวเองไว้ว่าอย่าลืมเอาข้อความไปส่งให้ผู้รับด้วย

   "น้องโรม เก็บไอไว้ดีๆ สิ"

   เจ้าม่วง (ผมกระดากปากมากเกินกว่าที่จะเรียกว่าไอ) ยังคงถูกผมยึดไว้อย่างเดิมตอนที่เราเดินออกจากร้านด้วยกัน หมายถึงผมยังกอดไว้อย่างเดิมไม่เก็บมันไว้ในถุงอะนะ

   "ไม่เอา จะถืออย่างนี้"

   ถ้าคุณเจอผู้ชายอายุยี่สิบที่กำลังยืนกอดตุ๊กตาตัวใหญ่เกือบเท่าตัวเองกับผู้ชายหน้าตาดีอยู่แถวสยามวันนี้ นั่นผมเองแหละครับ

   "เดี๋ยวขึ้นรถก่อนค่อยเล่นต่อ"

   "อายรึไง?"

   "เปล่า"

   "งั้นจะถือ"

   "ไม่เอา"

   “ดื้ออะไรเนี่ย”

   เขาทำหน้ามุ่ย มองสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาอย่างกับจะเผาให้เป็นจุล ตื่นไหมที่หนึ่ง มึงเป็นคนซื้อมาเองเมื่อไม่ถึงสองชั่วโมงที่แล้วเองนะ

   "ก็มือน้องโรมกอดไอไว้หมด แล้วหนึ่งจะจับมือได้ยังไง?"

   "..."

   ผมว่าตอนนี้ตัวเองอิ่มมากเลยล่ะ ไม่ได้อิ่มอาหารนะ อยู่กับเขาแล้วผมได้แดกจุดวันละหลายๆ รอบ

   “เก็บไว้ก่อนนะครับ” ทำหน้าอ้อนอย่างกับเป็นหมาหงอย ตาวิบวับจนผมอยากจะเอาแว่นกันแดดมาใส่ป้องกันแสง

   "ไม่อะ"

   "นะ น้าาา"

   "จับนี่ไว้ เคป่ะ" ยกแขนสีม่วงข้างหนึ่งไปให้เขาด้วยความรำคาญเสียงง๊องแง๊งเต็มที

   "ไม่เอาาา"

   "โอกาสสุดท้าย"

   ทำหน้าจริงจังเป็นของแถม ผมเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว ถ้าผมเสนอไปนั่นคือจุดสูงสุดของการต่อรองอย่าหวังว่าจะมาขอเพิ่มเติมให้สูงกว่านั้นได้ 

   "..."

   "หนึ่ง"

   "เฮ้อ ก็ได้ๆ"

   สุดท้ายเขาก็ยอมจับแขนน้องม่วงไว้ตามที่ผมสั่ง เดินพร้อมกันไปทางที่จอดรถ ไม่สนใจว่าจะมีสายตากี่ร้อยคู่มองมาที่เรา ก่อนจะถึงทางออกมากระจกบานใหญ่ติดไว้อยู่ทางซ้ายมือ มันสะท้อนภาพเสมือนของผมที่กำลังกอดตุ๊กตาตัวใหญ่ไม่ยอมห่างโดยมีผู้ชายแสนดีอีกคนจับมือข้างหนึ่งของเจ้าตัวสีม่วงไว้เหมือนกับเขาเป็นพี่เลี้ยงเด็กของผม แม้เพียงไม่กี่วินาทีที่ผมเดินผ่านภาพนั้นก็ยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำไม่ต่างกับกดปุ่มถ่ายเอาไว้

   มันเป็นภาพที่ตลก และตามปกติแล้วมันควรจะดูเป็นเรื่องประหลาดที่ผู้ชายสองคนมาทำอะไรอย่างนี้ในห้างใหญ่ใจกลางเมือง

   ...ถึงอย่างนั้นเงาสะท้อนของตัวเองกลับเต็มไปด้วยความสุขอย่างที่ไม่เป็นมาก่อน


***
   สวัสดีค่ะ เพิ่งลงเครื่องเมื่อวันศุกร์เลยปั่นให้ทันไม่ได้จริงๆ ค่ะ (ร้องไห้) เป็นตอนที่เพิ่มความสกิลการเล่นมือถือบนพาหนะได้มากเลย เพราะเกือบทั้งตอนนี้เจ้าพิมพ์ใส่เวิร์ดในมือถือบนเครื่องยนต์ห้าชนิดตลอดการเที่ยวค่ะ (ฮา)
   คุยกันได้ที่ #ที่หนึ่ง นะคะ จะตามไปรีให้ครบเน้อ
   จะพยายามปั่นให้ทันวันศุกร์เหมือนเดิมค่ะ (ยิ้ม)

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
«ตอบ #261 เมื่อ18-01-2016 00:13:02 »

ตอนนี้ดูมุ้งมิ้งมากขึ้น แต่ก็ดูงงๆกับตัวละครหลายตัวอยู่ดูจะมีความลับกันเยอะมากเลย  :hao4:

ปล.อยากอ่าน สิปป์-นิช จังเลยค่ะ  :impress2:

ออฟไลน์ Khan_htt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
«ตอบ #262 เมื่อ18-01-2016 00:19:18 »

ที่หนึ่งน่ารักกกกกก เอาใจช่วยให้น้องโรมเป็นแฟนให้ได้

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
«ตอบ #263 เมื่อ18-01-2016 00:22:04 »

ความสุข เห็นได้อย่างชัดเจนเลย

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
«ตอบ #264 เมื่อ18-01-2016 08:34:15 »

ชอบแบล็คจังเลย  :กอด1:
ที่หนึ่ง ดูธรรมดาที่สุดในเรื่องสำหรับเราแล้วนะเนี่ย 555
ชอบวิธีจัดการน้องโรมที่พูดไม่เพราะของที่หนึ่งมาก
ดีแล้ว น้องโรมนี่ก็ดื้อจริง พูดเพราะ ๆ น่ารักออกนะ

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
«ตอบ #265 เมื่อ19-01-2016 17:59:08 »


คือปมแต่ละคนมันเยอะจนพระเอกที่โคตรเพอร์เฟคในบทนำกลายเป็นตัวประกอบไปเลยอ่ะ *หัวเราะแบบไร้เสียง*
สีฟ้าของท้องฟ้าเกี่ยวอะไรกับอดีตของน้องโรมกันแน่? คนๆนั้นของน้องโรมโผล่ออกมาในเรื่องรึยังนะ? หรือจะเป็นเวลอีก?

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
«ตอบ #266 เมื่อ20-01-2016 12:51:26 »



ไม่ว่าจะอ่านกี่ที ป้าก็ยังสงสารที่หนึ่งเหมือนเดิม
ความเป็น 'ที่หนึ่ง' ของพ่อ ดูจะใช้ไม่ได้กับเหล่าพี่น้องกลุ่มนี้เลยให้ตาย
ต่อให้ต้นทุนดีสักเท่าไร... มาเจออีพ่อ อีพี่พวกนี้เข้าไป... วกวนจนอีป้าแอบท้อแท้ไปบ้างเหมือนกัน
หรือเอางี้ไหมที่หนึ่ง ป้าว่า ไหน ๆ น้องโรมก็มาอยู่ในห้องปิดตายกับพ่อด้วยความสมัครใจของเจ้าตัวแล้ว
พ่อรวบหัวรวบหางน้องโรมแล้วมอมเมาน้องด้วยเรื่องอย่างว่าให้น้องติดพ่อไปเลย ป้าจะได้สมใจเสียที (เดี๋ยว! อีป้า!! มโนได้ทรามมาก!!)

อย่างไรก็ดี ขอคุณคนเขียนอย่าถือสาความต้องการของป้าเลยนะคะ
้ถ้าเป็นไปได้ เอาสิปป์นิชกลับมาคั่นเวลาความอึนของเหล่าองครักษ์พิทักษ์น้องโรมหน่อยได้ไหม... อ่านแล้วมันกระชุ่มกระชวยหัวใจดีจั้งงง!!

เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^ ^  :L2:



ออฟไลน์ Peung002

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 870
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 13 [17.01.16]
«ตอบ #267 เมื่อ20-01-2016 23:24:07 »

ที่หนึ่งอ้อนน้องโรมน่ารักมาก  :-[ แต่ท่าทางที่หนึ่งจะแพ้น้องม่วงเอ๊ยน้องไอนะคะ
ชอบพี่ชายอย่างแบล็คจังค่ะ บุคคลิกดูดาร์กๆเทาๆดี แบบคาดเดาไม่ได้ แล้วก็หวงน้องแบบแปลกๆดี 5555

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.1 [22.01.16]
«ตอบ #268 เมื่อ22-01-2016 22:47:54 »

บทที่ 14.1
 
   ก. เสียงลูกบาสกระทบกับแป้น

   ข. เสียงรองเท้ากีฬาเสียดสีกับพื้นไม้

   ค. เสียงเรียกรับส่งบอลกันเป็นจังหวะ

   ง. เสียงเพลงจากเกมส์แคนดี้ครัช

   ข้อใดไม่เข้าพวก

   ...

   มันก็ต้องข้อ ง. อยู่แล้วป่ะวะ

   ผมละสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยม มองกลุ่มคนบนสนามบาสวิ่งสลับกันไปมาอย่างไม่มีหยุดพัก คล้ายว่าเคยผ่านเหตุการณ์นี้มาแล้วเมื่อไม่กี่ปีก่อน ต่างกันแค่คนที่ผมต้องมานั่งรอคราวนี้ไม่ใช่พี่ชายสีดำเท่านั้น

   ถ้าคิดว่าผมเต็มใจมานั่งอยู่อย่างนี้บอกเลยว่าผิดถนัด ด้วยตำแหน่งผู้ขอมาอยู่อาศัยพักพิงแล้วผมไม่มีกุญแจห้องหรือคีย์การ์ด (ซึ่งผมจำได้ว่าห้องผมมีสองชุด แต่เขาบอกว่าห้องเขามีแค่ชุดเดียว) เลยไม่สามารถกลับห้องได้ตามใจอีกต่อไป อีกอย่างคือพ่อบวกพี่บวกรูมเมทไม่ยอมให้ผมกลับเองโดยเด็ดขาด ทำอย่างกับกลัวว่าผมจะโดนดักฉุดระหว่างทางไปได้ ตอนนี้เลยแทบจะกลายเป็นเจอหน้าเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวันอยู่แล้ว

   พ่อรูมเมทชั่วคราวของผมเตรียมชู้ตสามแต้มหลังจากเพื่อนในทีมพาสบอลมาให้ เขามองตรงไปยังแป้นสีขาวและปล่อยมันออกไปอย่างไม่ลังเล ลูกสีส้มโค้งตามแรงส่งก่อนที่จะผ่านห่วงเหล็กไปอย่างสวยงาม ไม่เสียแรงที่เป็นนักกีฬาเก่า ตอนนั้นโรงเรียนของผมเคยได้แชมป์จังหวัดเลยมั้ง

   เขาแทคมือกับเพื่อนร่วมทีมในขณะที่วิ่งกลับไปอยู่ตำแหน่งดีเฟนส์ ยกมือขึ้นเตรียมป้องกันเต็มที่ นี่เป็นวันที่ห้าแล้วที่ผมต้องมานั่งดูเขาซ้อมจนดึกอื่นอย่างนี้ มันก็ไม่ได้แย่อะไรมากอย่างที่ผมคิดไว้เมื่อปลอบใจตัวเองว่าถึงกลับห้องไปมันก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี


   NETTLE : มึงอยู่ไหน?


   หน้าจอแปรจากสีดำเป็นการแจ้งเตือน ชื่อของคนที่ทักไลน์ผมมาปรับสวิตช์อารมณ์ดีที่มีตลอดวันให้กลายเป็นติดลบได้อย่างง่ายดาย

   ถ้ามันเป็นผู้หญิงผมคงคิดว่าเน็ทกำลังอยู่ในช่วงมีประจำเดือนหรือไม่ก็ท้องอยู่ เขาเข้าโหมดอาร์ตตัวพ่อแบบสุดๆ ที่สุดของคำว่างี่เง่า ถ้าไม่โทรก็ต้องไลน์มาถามว่าอยู่ไหน ทำอะไร จะกลับห้องกี่โมง โทษแบล็คคนเดียวเลยที่หลุดปากไปบอกเน็ทว่าตอนนี้ผมย้ายมาอยู่ห้องที่หนึ่ง จากที่เราทะเลาะกันหนักอยู่แล้วมันก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ถ้ามันเอาบาซูก้ามาถล่มห้องได้เชื่อเถอะว่าจอมหวงก็จะทำ


   NETTLE : อ่านแล้วก็ตอบ
   NETTLE : อย่าให้กูโมโห



   ไม่เห็นเขาพิมพ์ได้เร็วอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมรออีกพักหนึ่งให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ส่งข้อความอะไรมาเพิ่มเติมแล้วจึงกดพักหน้าจอ ปิดเสียงการแจ้งเตือนทั้งหมด คว่ำโทรศัพท์ลงจะไม่ต้องรับรู้อะไรอีก

   เมื่อไม่สามารถเล่นเกมส์ในมือถือได้แล้วผมเลยเหลือทางเลือกสุดท้ายทางเดียวคือมองเหล่านักกีฬาซ้อม งานบาสประเพณีเป็นงานใหญ่ประจำคณะของผมอยู่เหมือนกัน และการแข่งกีฬานี้เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของงานเลยทีเดียว การฝึกถึงเต็มไปด้วยความเข้มข้นขนาดนี้

   เหม่อไปมาอีกพักหนึ่งนักกีฬาก็เข้าสู่ช่วงคลายกล้ามเนื้อ ผมเก็บข้าวของรวมถึงขยะให้เรียบร้อย เดินลงมาจากที่นั่งสูงเพื่อรอเขาบริเวณทางออก ที่หนึ่งกวาดสัมภาระของตัวเองเร็วๆ แล้วก้าวมาทางผมทันทีที่ได้รับการปล่อยตัวไม่ต่างจากทุกวัน ตามร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อจากการซ้อมแบบไม่หยุดพัก

   "บอกให้ไปรอที่ห้องสมุดก็ไม่ไป"

   "กูยอมอยู่ในที่อับๆ มากกว่าไปเป็นโรมแช่แข็ง"

   ห้องสมุดมหาวิทยาลัยผมไม่ควรได้ชื่อว่าเป็นห้องสมุด มันควรเป็นห้องจำลองขั้วโลกเหนือมากกว่า ผมบอกขณะขวานหาของที่ต้องการในกระเป๋าเป้ โยนผ้าขนาดกำลังดีไปให้เขาจัดการตัวเองให้เรียบร้อย

   "โรงยิมร้อนจะตายไป"

   "อีกที่ก็หนาวฉิบหาย"

   ช่วงชิงจังหวะที่มือขวาของเขาถือผ้าเช็ดผมและมือซ้ายหิ้วรองเท้าบาสจนไม่สามารถทำโทษผมได้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เขาถลึงตาใส่แบบที่ผมทำล้อเลียนกลับไป

   "อย่าฉวยโอกาสอย่างนี้สิน้องโรม"

   "กูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ"

   "พูดเพราะๆ สิ"

   "อย่ามาจิตใส่ได้ป่ะมึง"

   กลายเป็นกระจกที่สะท้อนท่าทางของอีกฝ่าย นักบาสคณะมองผมเลียนแบบท่าทางของเขาแล้วส่ายหัวไปมาคล้ายยอมแพ้ เดินนำผมไปยังรถของตัวเองที่จอดห่างจากตัวตึกไม่ไกลนัก

   "แล้วจะกินอะไรดี" บอกแล้วว่าเขาเป็นพ่อ เรื่องปากท้องไม่เคยขาดตกบกพร่อง

   "ข้าวต้มก็ได้ ขี้เกียจกินอะไรเยอะแยะ"

   "ครับผม"

   รถเคลื่อนตัวออกแล้ว ผมหันไปดึงสายนิรภัยให้ยืดออกพร้อมทำหน้าที่ปกป้องให้ปลอดภัย ปกติแล้วผมจะรัดเข็ดขัดให้เรียบร้อยก่อนจะออกรถ พอดีคราวนี้ไปวุ่นวายกับการจัดอุปกรณ์ล้านแปดในการเล่นกีฬาของอีกคนเลยต้องมาควานหาช่องรับในความมืด แสงที่แทบไม่มียิ่งเพิ่มระดับความยากในการตามหาเข้าไปใหญ่

   ยังไม่ทันไรเขาก็เหยียบเบรคจนหน้าเกือบคะมำ

   "เหวอออ!" ผมร้องเสียงหลง หันไปทางคนขับที่ยังคงจับจ้องอยู่แต่ถนนด้านหน้าของตน

   "น้องโรม..."

   เสียงของที่หนึ่งบางเบาจนน่าใจหาย เขาเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาอีกแต่ก็ปิดปากเสียสนิท

   รีบเบนสายตาไปยังทางที่เขากำลังมอง ไฟหน้ารถสาดกระจายจนเห็นชัดว่าใครบางคนกำลังยืนขวางกลางถนนอยู่ ชายผิวขาวกับใบหน้านิ่งเรียบอย่างที่ไม่เคนเป็นมาก่อน และเป็นผมเองที่ใจหล่นวูบ

   จะมีใครใจกล้าบ้าบิ่นได้เท่าเน็ทอีกล่ะ

   มันเป็นความเงียบที่น่าอึดอัด หนึ่งในพี่ชายของผมยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ไหวติง ไม่ต่างกับผมที่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ผมรู้ว่าตัวเองกำลังมีชนักติดหลังอยู่ เชื่อเถอะว่าต่อให้ที่หนึ่งเร่งเครื่องยนต์เป็นการขู่แค่ไหนเขาก็ไม่มีทางขยับตัวหลบอย่างแน่นอน

   "ลงไปคุยไหม?"

   “ไม่เอา เน็ทมันไม่ฟังกูหรอก”

   "น้องโรม ไม่ทำอย่างนี้สิ"

   ที่หนึ่งรู้ว่าผมกับเน็ททะเลาะกัน มันมีครั้งหนึ่งที่เน็ทโทรมาตอนที่เราสองคนอยู่ในห้อง แล้วความหวงไร้สาระของเน็ทมันก็ลดระดับความอดทนลงของผมลงจนควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ บอกเลยว่าตัวเองไม่เคยขึ้นเสียงใส่พี่อย่างนั้นมาก่อน

   "กูจะทำ"

   "โรมครับ"

   "ทำอย่างกับมึงไม่รู้ฤทธิ์เดชมันไปได้"

   "รู้ แต่นั่นพี่โรมไม่ใช่รึไง"

   คำเขาเหมือนกับเข้าข้างอีกฝ่าย มันเลยทำให้ผมกระแทกเสียงขุ่น "ไม่มีใครเข้าข้างโรมเลย!"

   "...มองพี่" เขาประคองหน้าของผมให้มองตากลับ แม้ใบหน้ามีรอยล้าจากการซ้อมแต่นัยน์ตาของเขากลับยังคงวาววับ "พี่เข้าข้างโรมอยู่แล้ว แต่เราต้องใช้เหตุผลด้วยสิ ถ้ารู้ฤทธิ์ดีก็ต้องรู้ว่าเน็ทรักโรมมากแค่ไหน ไปคุยกันดีๆ ใจเย็นๆ พี่เชื่อว่าเน็ทจะเข้าใจ"

   "แต่..."

   "ไม่ไหวก็แค่เดินกลับมา พี่หนึ่งจะรีบพาออกไปเอง"

   คำหว่านล้อมของเขามีอิทธิพลต่อความคิดของผมไม่น้อย จนสุดท้ายผมเองก็ยอมเดินลงไปเผชิญหน้ากับเขา

   "มึงอย่ามากวนตีนกูนะน้องโรม"

   "กูทำอะไร?"

   "ทำไมไม่ตอบไลน์กู"

   พวกพี่สอนไม่ให้ผมโกหก ถึงอย่างนั้นตอนนี้ผมกลับเลือกที่จะพูดความเท็จออกไป "ส่งมาตอนไหน เมื่อกี้ดูหนึ่งซ้อมอยู่"

   "อะไรๆ ก็ที่หนึ่ง"

   "เน็ท..."

   "เลิกยุ่งกับมันซะที"

   "ขอเหตุผล"

   ผมนับหนึ่งถึงสิบในใจ เราสองคนเป็นพวกไม่ยอมคนเหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างอยากจะเป็นผู้ชนะ แต่ไม่ใช่ทุกการแข่งที่ชนะได้ด้วยการดื้อแพ่งไร้สติควบคุม ผมจะใจเย็นอย่างที่เขาบอก

   "กูไม่ชอบที่หนึ่ง"

   "มึงไม่เคยชอบใครเลยมากกว่า"

   "ใช่ จะใครกูก็ไม่ชอบทั้งนั้น”

   “ถ้ามึงตอบอย่างนี้กูไปก่อนนะ” คงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว ผมก้าวเท้าเตรียมเดินกลับไปที่รถ ติดตรงเสียงกึ่งตะคอกที่ส่งมาแทบจะในทันที

   "ก็ตอนนั้นใครเกือบตาย!"

   "...!"

   คำพูดตามตรงของพี่ชายถีบความระแวงให้พุ่งสูงขึ้น ผมหันกลับมาทางรถยุโรปคันโตที่ดับเครื่องแล้วเรียบร้อย ฟิล์มกระจกสีดำสนิทซ่อนทุกสิ่งอย่างที่อยู่ภายในไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกมา ผมกำลังกลัว...กลัวว่าเขาจะได้ยินอะไรที่ตัวเองเก็บซ่อนไว้

   "บอกกูมาสิ"

   "..."

   เน็ทกับนิชเวลาโกรธเลเวลสูงสุดจะเหมือนกัน เย็นชาและนิ่งจนน่ากลัว บางคนคิดว่ามีแค่ความร้อนเท่านั้นที่ทำให้ทรมาน...อย่าลืมไปว่าความเย็นถ้าอยู่ในองศาที่ต่ำมากพอก็สร้างความทุกข์ทนได้ไม่ต่างกัน

   "พอปล่อยแล้วใครกลายเป็นอย่างนั้น"

   "เน็ท"

   "มึงไม่เห็นตัวเองหรอก แต่กูเห็นไง”

   "หยุดได้แล้ว"

   "รับความจริงไม่ได้?"
 
   "หมดเรื่องพูดแล้วใช่ป่ะ”

   การตัดจบไม่ต่างอะไรกับไม่ยอมรับความจริง เน็ทมองผมอยู่อย่างนั้นไม่ละสายตาไปไหน ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ บางทีสิ่งที่อยู่กับผมตรงนี้อาจเป็นเพียงร่างหยาบ ส่วนจิตกำลังล่องลอยกลับไปยังช่วงเวลาเดิมที่ต่างคนต่างหลอกตัวเองให้ลืมเสีย

   “กูไม่เคยให้โอกาสใครครั้งที่สอง”

   “...”

   “กูเห็นน้องเจ็บครั้งเดียวก็พอแล้ว”

   "มึงอย่ามาตัดสินใจแทนกู"

   "อย่าเอาความลังเลของมึงมาเล่นสนุก กูสงสารคนที่อยู่ข้างหลังมึง" เขาพยักเพยิดไปทางด้านหลัง ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนข้างหลังที่เขาว่าไม่มีทางพ้นที่หนึ่ง "เลิกเล่นได้แล้วน้องโรม"

   คนเป็นพี่กำลังผิดหวัง

   เพราะผมกำลังเลือกทางที่เห็นแก่ตัวมากที่สุด
 


   อะไรคือการเด็กนิติ วิทยา วิศวะ และศิลปะมานั่งดูการแข่งบาสประเพณีของคณะบัญชีครับ

   พวกพี่ผมมาหาในวันแข่งจริงอย่างที่คิดไว้ พี่ชายทุกคนและพี่สาวอีกหนึ่งมาพร้อมกันอย่างที่รู้ได้เลยว่าต้องนัดหมายกันมาอย่างดี อยากจะรู้ว่าเขาไปทำอีท่าไหนถึงลากไวท์มาได้ ตอนนี้พวกนั้นอยู่บนแสตนด์ฝั่งมหาวิทยาลัยเราส่วนผมเองอยู่ในสนามเพราะได้บัตรสตาฟจากที่หนึ่งคนเดิม

   บรรยากาศโคตรแย่

   ต่อให้รอบข้างเต็มไปด้วยความสนุกสนานมากแค่ไหนผมก็ไม่มีอารมณ์ร่วม พยายามไม่หันไปมองกลุ่มของตัวเองอีก ถึงแม้สัมผัสออร่าความเป็นคนดังแผ่กระจายออกมาจากคนร่วมกลุ่มอย่างที่เป็นมาตลอดสมัยอยู่มัธยม

   “ฝากบอกแค่แบล็ค ไหงมากันเป็นโขยงอย่างนั้น"

   เบนหน้ากลับไปทางซ้ายที่มีผู้ชายตัวสูงชะลูดมายืนเคียง กัปตันทีมคนเดิมในชุดนักกีฬาเต็มยศยกมือขึ้นทักทายให้แล้วถามต่อ "นี่ทำฝ่ายอะไรอะ"

   "ฝ่ายยืนว่างๆ" ผมยกป้ายที่เขียนชื่อฝ่ายว่า Extra ให้เขาดู

   "มีสมาชิกกี่คน"

   "น่าจะกูคนเดียว"

   "ฮ่าๆ ทำไมดูน่าสงสาร"

   "ไม่ต้องไปวอร์มเหรอ?"

   เห็นทีมของเขาวิ่งรอบสนามอยู่ในเวลานี้ การซ้อมที่ไม่ค่อยต่างจากเมื่อก่อนเท่าไหร่ วิ่ง ยืดกล้ามเนื้อ ซ้อมชู้ตรูปแบบต่างๆ อยากจะเดินไปตบบ่าเหล่าลูกทีมว่าขอให้โชคดีนะที่มีหัวหน้าทีมจอมเฮี้ยบขนาดนี้

   "เสร็จแล้ว นี่จะไปหาคิงสักหน่อย"

   "แบล็คอยู่นู่น" บางคนเรียกพี่ชายสีดำของผมว่าคิง "ริมซ้ายล่างสุด"

   "ไหนอะ"

   "นั่นไง เห็นผู้หญิงขาวๆ นั่นป่ะ"

   "ริมล่างไม่เห็นมีผู้หญิงเลยนะ ...เฮ้ย! เหี้ยหนึ่งมานี่ดิ๊"

   เพื่อนของที่หนึ่งนี่รักเขากันจังนะ กัปตันที่ผมยังไม่รู้ชื่อโบกมือแล้วตะโกนเรียกชายที่เพิ่งเดินเข้ามาในสนาม ที่หนึ่งนี่ก็ยิ่งกว่าติดเรดาร์เดินมาตามต้นทางของเสียงได้อย่างรวดเร็ว เขาอยู่ในชุดบาสสีประจำคณะที่พอดีตัว สภาพเหมือนเพิ่งไปเปลี่ยนชุดมาเพราะยังคงใส่รองเท้าแตะอยู่

   "สรุปลงตำแหน่งไหน"

   "อยากอยู่ตรงไหนก็อยู่”

   ถ้าผมเป็นเพื่อนเขานี่ต้องมีการวางมวยเกิดขึ้นบ้างล่ะ

   "สัตว์ เอาดีๆ"

   "อยู่การ์ด"

   "ชู้ตติ้ง?"

   "เยป"

   "ไอ้เหี้ยยย ตำแหน่งโปรดมึงเลยนี่หว่า" เพื่อนเขาหลุดคำหยาบออกมาอีกนิดหน่อย แล้วที่หนึ่งก็มีปฏิกิริยาตอบกลับเพียงแค่ยิ้มจนตาหยี

   "จะยังไปหาแบล็คอยู่ป่ะ"

   ผมแทรกขึ้น ที่จริงคือผมไม่อยากไปตรงนั้นมากเท่าไหร่เพราะมีเน็ทอยู่ เราเข้าสู่ภาวะสงครามเย็นใส่กันโดยต่อเนื่องไม่มีสะดุด

   “เดี๋ยวไว้พักครึ่งแล้วกัน” มีเสียงประกาศตามสายมาให้นักกีฬาเตรียมตัวลงสนาม “ตรงไหนนะ ริมซ้ายล่างใช่ป่ะ”

   “ริมแสตนด์คนดู หาไม่ยากหรอก”

   "อ้อ! เจอล่ะ โห...มากันเกือบครบ" เขาหยุดไปนิดหน่อยตอนที่กวาดสายตาอีกรอบเพื่อเช็คความแน่ใจ "ไม่ดิ ครบแล้วต่างหาก”

   “กลับไปได้แล้วสัตว์”

   “จะเร่งอะไรนักหนาที่หนึ่ง”

   “เบื่อหน้า”

   “มึงอารมณ์ฉุนเฉียวนะวันนี้ อัพยามาป่ะ”

   “ไสหัวไป”

   “เออๆ กูไปแล้วก็ได้” คนตัวสูงที่สุดยกมือขึ้นสองข้างยอมแพ้ ก่อนจะแปรเป็นชิงจังหวะล็อคคอของที่หนึ่งจากด้านหลังในเสี้ยววินาที ทั้งคู่ตะลุมบอนกันอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งมีประกาศเรียกซ้ำจึงยอมหยุด

   “คราวนี้มึงเปลี่ยนชื่อเหรอ?” คนที่อยู่ด้านหลังจิ้มลงตรงตำแหน่งชื่อผู้เล่นที่สกรีนอยู่เหนือหมายเลข

   “อ่าฮะ”

   “ปกติไม่เคยเห็นเปลี่ยน นี่ชื่อใครวะ คนที่มึงจีบอยู่ป่ะ”

   เขาควรจะหันไปพูดกับเพื่อนของตัวเอง ไม่รู้ทำไมถึงมองหน้าผมตลอดเวลาที่พูด

   “ความลับ”


***
   โดนไข้หวัดเล่นงานค่ะ ขอลงแค่ครึ่งแรกนะคะ /โค้งขออภัย

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 14.1 [22.01.16]
«ตอบ #269 เมื่อ22-01-2016 23:22:00 »

โรมนี่เป็นที่รักจริงๆ  หายป่วยไวๆนะคะคุณคนเขียน   :L2: :L2: :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด