"ที่หนึ่ง" : END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ที่หนึ่ง" : END  (อ่าน 192515 ครั้ง)

ออฟไลน์ SiHong

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 484
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 7 [23.10.15]
«ตอบ #180 เมื่อ27-10-2015 19:50:34 »

ว่าที่ผุ้พิพากษา

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 7 [23.10.15]
«ตอบ #181 เมื่อ28-10-2015 11:43:01 »

พูดถึงผู้พิพากษา ผู้พิพากษาก็มา

เราว่า ชายหญิง แค่เกริ่นถึงนิดๆ หน่อยๆ ก็พอนะคะ
ถ้ามันมีความสำคัญกับเนื้อเรื่องหลัก  :ruready
แต่สารภาพเลยว่าเรื่องของเกลเราเลื่อนผ่านค่ะ
เหมือนมันไม่ถูกจริตไปแล้วอะค่ะ  :mew2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-10-2015 11:52:39 โดย Aoya »

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [23.10.15]
«ตอบ #182 เมื่อ30-10-2015 22:57:59 »

บทที่ 8

   'ผมแค่มาเตือนให้คุณอย่าล้ำเส้น'

   ไม่มีทางอื่นที่ทำได้นอกจากยืนฟังบทสนทนานั้นเงียบๆ อยู่ข้างหลัง

   'อะไรที่ไม่ใช่ของคุณก็อย่าพยายาม เข้าใจไหม'

   ได้ยินเสียงหัวเราะหยันในลำคอ เดาได้เลยว่าตอนนี้เขากำลังมีรอยยิ้มแบบไหนประดับอยู่บนใบหน้า

   ...รอยยิ้มของคนที่ยิ่งยศศักดิ์กว่า

   ยิ้มแฝงความอำมหิตของราชา

   'ทำไมถึงอย่าพยามยามงั้นเหรอ ...เพราะคุณไม่มีทางเทียบได้ไงล่ะ'

 


   "ไม่ต้องทำหน้าเป็นหมาหงอยเลยมึง"

   "..."

   "เชี่ย ทำหน้าอย่างนี้ใส่กูอีกแล้ว นิชมาดูแลน้องชายคนโปรดมึงที" ถอนหายใจพรืดใหญ่พลางเรียกอีกคนเข้ามาร่วมวงด้วย ผมยังคงนั่งอยู่เฉยๆ ยามที่นิชแทรกตัวลงบนเตียงฝั่งตรงข้าม

   จากที่ง่วงกลายเป็นตาสว่าง ทั้งการออกกำลังกายด้วยการวิ่งไล่จับตอนเที่ยงคืนประกอบกับการสวมบทบาทเป็นลูกขุนในศาลแล้วคืนนี้ผมคงไม่ต้องการพักผ่อนแล้วล่ะ

   "โทรมกว่าในรูปอีกนะน้องโรม กินข้าวครบทุกมื้อรึเปล่า"

   "...ครบ"

   อยากจะเล่นตัวไปอีกสักหน่อยเหมือนกัน แต่นี่มันนิช แค่ใช้น้ำเสียงนุ่มๆ กับรอยยิ้มหวานๆ ผมก็ไปไหนไม่รอดแล้ว พระเจ้าสร้างนิชให้แสนดีเกินไป

   "งั้นไม่ค่อยดูแลหน้าล่ะสิ เคยบอกแล้วไงถ้าไม่ใช้ครีมก็กินวิตามินเสริม"

   "ไม่ชอบ มึงก็รู้นี่"

   "ไม่ชอบก็ต้องกิน"

   นี่คือที่มาของนิยามน้องชายคนโปรด ถึงนิชจะใจดีกับผมมากที่สุดเขาก็ใจร้ายกับผมได้มากที่สุดเช่นกัน จอมบังคับที่ไม่มีใครเทียบได้

   "อย่าไปเชื่อมันมาก วันก่อนกูไปขวดวิตามินที่มึงซื้อยังไม่ได้แกะพลาสติกเลยเหอะ"

   "เน็ท!"

   "เรียกกูทำไม กลัวลืมชื่อผู้มีพระคุณเหรอ ให้กูทวนไหมว่าถ้าเมื่อกี้มาไม่ทันมึงจะเจออะไรน่ะ"

   ผมมองซ้ายขวาหาตัวช่วย ที่หนึ่งกับแบล็คออกไปข้างนอกหลังจากที่กลุ่มจอมหวงได้ 'เปิดศาล' แล้วอ่านคำพิพากษาจนเสร็จสิ้นในเวลาไม่ถึงสิบนาที ยังถือว่าเป็นโชคดีของเธอที่คราวนี้คนคุยเป็นแบล็คไม่ใช่นิช ไม่อย่างนั้นทั้งชาตินี้ผมคงไม่มีทางมองหน้าเธอติดอีกแน่นอน

   "กูรู้ว่ามึงกำลังหากำลังเสริม เสียใจด้วยว่ะที่ไม่มี" เน็ทปาหมอนหนุนใบเล็กที่วางประดับไว้ตรงหัวเตียงมาทางผม

   "พวกมึงมาทำอะไรที่นี่?"

   กลับเข้ามาสู่ประเด็นใหญ่ก่อนที่มันจะออกนอกเรื่องไปมากกว่านี้ นิชเพียงยิ้มจางๆ จนผมต้องเปลี่ยนเป็นหันไปมองหน้าผู้ชายอีกคนที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ด้วยมือซ้ายแบบเดิม

   "เน็ท พวกมึงตามกูมาทำไม"

   "อยากมา"

   "กูไม่สนุกด้วยแล้วนะ" ผมบอกไปตรงๆ เรื่องมันโคตรจะบ้า อยู่ค่ายรับน้องแล้วมีเพื่อนโผล่มาสามคนตอนเที่ยงคืน พวกนี้จองห้องพักในโรงแรมที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกลนัก ดูจากกระเป๋าเสื้อผ้าของแต่ละคนแล้วค่อนข้างชัดว่าเป็นการเดินทางอย่างกระทันหัน

   "แล้วกูขำอยู่?" นัยน์ตาเรียวสวยช้อนขึ้นมามองผมชั่วครู่ "เชี่ยนิชมึงอย่าเอาแต่ยิ้มดิ ขนลุกว่ะ เห็นไหมว่ากูไม่ว่าง อธิบายให้น้องมึงฟังที"

   หนุ่มแว่นคนเดียวโคลงหัวไปมา "ก็เปล่า กูมาหาที่ห้องแล้วไม่เจอ เห็นแบล็คบอกว่าไปค่ายรับน้องเลยตามมาด้วย"

   "เลยตามมาด้วย?" เขาพูดง่ายๆ อย่างกับระยะทางมันใกล้กันมาก อารมณ์เหมือนสยามไปอนุสาวรีย์ก็แค่สามป้ายบีทีเอสอะไรอย่างนั้น

   "มาหาทั้งทีก็อยากเจอตัวเป็นๆ นี่"

   ผมเกือบจะเดินไปกอดนิชแล้วถ้าเน็ทไม่แทรกขึ้นมา "มึงพูดเต็มๆ สิ อยากเจอผู้หญิงชื่อเฟรนด์ตัวเป็นๆ ต่างหาก"

   "..."

   "ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ถ้าเจอก็ดี"

   "ได้เจอสมใจไหมล่ะมึง เหอะ"

   เน็ทโยนโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ผม ถ้ารับไม่ทันแล้วมันเด้งลงไปกระแทกพื้นนี่ผมไม่มีปัญญารับผิดชอบนะ จอค้างไว้ที่รูปสุดท้ายในคลังภาพ เป็นรูปที่แคปจากหน้านิวฟีดของเฟสบุ๊คแจ้งเตือนว่าผมโดนแท็กรูปจากเฟรนด์เมื่อเช้า ภาพที่เธอกำลังนั่งอยู่บนรถชูสองนิ้วให้กล้อง แน่นอนว่าไม่มีผมอยู่ในรูปแม้แต่เสี้ยวเดียว

   "มันเด้งพอดี พอพี่นิชของมึงเห็นเท่านั้นล่ะจ้า กูเก็บเสื้อผ้าแทบไม่ทัน"

   "มาทริปเดียวได้ทั้งเที่ยวแล้วก็เคลียร์ปัญหาไง" ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่ายิ้มสดใสของนิชน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้ ผมแทบไม่ได้หยิบมือถือขึ้นมาเลยตั้งแต่เช้า จำได้ว่าใช้ครั้งสุดท้ายก็ตอนตอบไลน์แบล็คไป พอที่หนึ่งบอกให้เลิกเล่นก็ไม่ได้ตรวจเช็คอีกเลย

   "ลงทุนกันเหลือเกินนะพวกมึง"

   "ก็มีน้องคนเดียว"

   ผมเป็นน้องเล็กของพี่ๆ เสมอ ทุกคนยกเว้นฝาแฝดเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว มันเลยเป็นความเก็บกดเล็กน้อยเวลาที่เห็นใครต่อใครมีพี่น้องให้เล่นด้วย แล้วที่ระบายของคนพวกนี้ก็คือผมไง

   "แล้วไปทำอีท่าไหนเขาถึงมาราวีมึงอย่างนั้น อ้อ ถ้าเจอที่หนึ่งต้องสำนึกบุญคุณมันเยอะๆ ไม่งั้นมึงไม่ได้มานั่งสบายอยู่ตอนนี้หรอก ไอ้บ้านี่ก็คนดีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง สมัยมอปลายแม่งช่วยคนอื่นยังไงตอนนี้มันก็ยังทำอย่างนั้น"

   เน็ทตั้งคำถามใส่ผม เขาเลื้อยตัวลงนอนบนตักของนิชที่นั่งอยู่ข้างๆ

   "เข้าใจผิดกันนิดหน่อย เรื่องมันเลยบานปลาย"

   "น้องโรม มึงมีปัญหากับการเทียบปริมาณป่ะ นิดหน่อยกับบานปลายแม่งไม่ได้ไปด้วยกันได้เลยนะมึง"

   "ดูจากภาพรวมเมื่อกี้กูว่าไม่นิดหน่อยนะ" นิชก็ยังคงจับสัมผัสได้ดีเสมอ

   "อ่า..."

   ผมไม่อยากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครฟังทั้งนั้น สิ่งหนึ่งที่น่าเบื่อเกี่ยวกับเรื่องเล่าคือมันเป็นการเล่าจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว การแต่งเติมหรือการเล่าในมุมของตัวเองย่อมทำให้เรื่องราวผิดเพี้ยนไปได้เสมอ เรื่องเล่าที่ดีควรเป็นเรื่องที่ตัวละครหลักทั้งสองฝ่ายเป็นคนเล่าร่วมกัน

   "เล่ามา หรือจะให้นิชไปเรียกที่หนึ่งมาเล่าให้กูฟัง"

   นิชกับที่หนึ่งเคยอยู่วงดนตรีเดียวกันตอนสมัยมัธยมปลาย ระดับความซี้ใช่ย่อยเลยล่ะ

   "คือมัน..."

   "น้องโรม พี่บอกให้เล่าครับ" นั่นไง เรียกตัวเองว่าพี่อีกแล้ว ท่าไม้ตายของนิชเตรียมทำงาน

   "กูจะนับหนึ่งถึงสามนะ"

   ผู้ชายที่ไม่แคร์โลกเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใส่นิชด้วยหวังว่าเขาจะเปลี่ยนใจมาอยู่ฝั่งผมแทนที่จะเป็นกำลังเสริมให้ 'เจ้าชาย' แต่มันไม่เป็นผลเมื่อเจ้าของรอยยิ้มสว่างเพียงแค่เอียงคอรอให้ผมเล่าเรื่องต่อ

   "กูไม่เล่า"

   "น้องโรม อย่าดื้อ"

   "มึงให้กูเล่าไปแล้วได้อะไรขึ้นมาวะ เรื่องมันก็จบแล้วป่ะ"

   "กูยังอยากฟังตอนพิเศษต่อ"

   "แกล้งอะไรน้องกูอยู่?"

   ไม่เคยรักแบล็คเท่าตอนนี้มาก่อน ผมหันไปยิ้มกว้างให้คนมาใหม่สองคนที่วางถุงพลาสติกหลายใบไว้บนโต๊ะตัวเล็กข้างประตู กล่องเหล้าสีแดงที่โผล่ออกมาจากถุงสีขาวทำให้ผมรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า

   "แกล้งเหี้ยไร กูทักทายปราศรัยกันตามปกติของเพื่อนต่างหาก"

   "หึ..."

   แบล็คหัวเราะในลำคอ เขาเหยียดยิ้มมุมปากแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงอีกคน ส่วนที่หนึ่งก็อ้อมมานั่งพิงหัวเตียงที่ผมนอนอยู่ กลิ่นบุหรี่ที่โชยมาทำให้ผมนิ่วหน้า นี่ก็สูบจังเลยพี่เวร

   "น้องเอ๋อ" เงยหน้าขึ้นมาหาคนเรียก ผู้ชายที่เพิ่งสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้พิพากษาแบบไม่ต้องผ่านการสอบใดๆ ก็โยนพวงกุญแจอันเล็กมาให้ "เปิดห้องให้แล้ว คืนนี้นอนกับที่หนึ่งไปนะ"

   "นอนกับหนึ่ง?"

   "มึงยังกล้ากลับไปนอนรวมกับผู้หญิงที่มึงเพิ่งหักอกเขามารึไง?"

   ใครบอกผมหักอก มีแต่พวกคุณๆ ทั้งหลายที่ขึ้นโชว์ต่างหากล่ะ

   "กูนอนรวมกับพวกมึงก็ได้นี่" ผมค้านกลับ

   "แค่กูสามคนก็เบียดกันจะตายห่าแล้วครับ อย่าเรื่องมาก มึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้ที่หนึ่งโดนเด้งมาหาที่นอนใหม่นะอย่าลืม"

   ผมอยากบอกกลับไปว่าที่หนึ่งกลับไปนอนที่รีสอร์ตก็ไม่มีปัญหาอะไร ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ที่จะคุยกับเฟรนด์ก็ตั้งใจคุยให้จบแบบสวยๆ มีแต่พวกตัวเองนั่นแหละเข้ามายุ่งจนแย่ เหมือนแบล็คจะรู้ว่าผมต้องค้านขึ้นมาแหงเขาเลยส่งสายตาปรามมาก่อน

   จากพี่กลายเป็นพ่อในพริบตา

   ผมขยับตัวขึ้นไปพิงหัวเตียงต่อจากที่หนึ่ง เขากำลังก้มหน้ามองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองไม่วางตา ไม่รู้ว่าจะอึดอัดรึเปล่าที่ต้องมาอยู่ในกลุ่มเพื่อนของผม แต่คงไม่หรอกมั้ง ดูจากการที่ออกไปซื้อของกับผู้ชายสีดำด้วยกันก็บ่งบอกว่าสนิทกันอยู่ไม่น้อย

   "เน็ท ถ้าอยากกลับกับพวกกูอย่ากดปุ่มถ่ายนะมึง" นิชทำท่าจะขยับหนีออกจากโฟกัสของกล้อง จอมหวงดูไม่สนใจในคำห้ามนั้นมากเท่าไหร่

   ทำไมถึงจะไม่ได้กลับด้วยล่ะ ก็เห็นรถของแบล็คอยู่หน้าห้องนั่นไง

   "ไม่มีอะไรหรอก ถ่ายรูปรายงานความประพฤติประจำวัน"

   "สัตว์ คราวที่แล้วก็อย่างนี้ สุดท้ายเป็นไงห้องกูเกือบพัง"

   สองคนเถียงกันไปมาในเรื่องที่ผมไม่เข้าใจมากนัก แบล็คเองก็เอาแต่นั่งกดโทรศัพท์ไม่สนใจการโต้เถียงของทั้งคู่ ผมที่ไม่รู้จะอยู่ตรงนี้ต่อไปทำไมเลยตั้งใจจะกลับไปนอนพักผ่อนดีกว่า ถึงผมนอนช่วงบ่ายไปแล้วแต่เรื่องตอนดึกก็ดูดพลังงานผมไปไม่ใช่น้อยเลย

   "งั้นกูไปนอนแล้วนะ บายทุกคน" ลุกขึ้นยืดตัวพอให้หายล้า หันไปหาคนที่กดปุ่มดับหน้าจอเตรียมที่จะทำหน้าที่เป็นวิญญาณตามติด

   "ใครให้มึงไป" เน็ทรีบท้วงขึ้นมาก่อนที่ผมจะจับลูกบิดประตู

   ท่าทีของคนเอาแต่ใจเรียกให้ผมกวนตีนกลับ "กู"

   "กูไม่ให้ไป" เขาเด้งตัวจากตักของหนุ่มแว่น ทำเสียงจิ๊จ๊ะพอให้รู้ว่าการตอบของผมไม่เป็นที่พอใจของเขา "เชี่ยแบล็คอุตส่าห์ไปซื้อเหล้ามาแล้ว อยู่แดกด้วยกันก่อนดิ"

   "กูเด็กอนามัย ถือศีลห้า"

   "มึงโกหกอยู่ ศีลขาดแล้ว โอเคแดกได้"

   "เน็ท กูจะกลับไปนอน"

   "น้องโรม กูจะให้มึงอยู่"

   หน้าผมบอกบุญไม่รับชัดเจน ผมก็เป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่เคยกินเหล้าเข้าผับตามเพื่อน และนั่นไม่ได้หมายความว่าผมต้องเอนจอยกับมันขนาดนั้น อีกอย่างวันนี้เจอเรื่องเยอะชนิดที่ว่าอารมณ์สนุกสนานหายเกลี้ยง

   "เอ้า! ลุกครับทุกคน หมดเวลาของสังคมก้มหน้าแล้ว" เน็ทปรบมือให้สัญญาณกับทุกคน เขาทิ้งโทรศัพท์ของตัวเองไว้บนเตียงแล้วเอื้อมไปคว้าเครื่องมือสื่อสารออกจากมือของแบล็ค ส่วนนิชเมื่อเห็นอย่างนั้นก็หยิบของตัวเองวางลงไปด้วย

   ผมทำหน้าเอือมระอาให้กับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย มันเป็นข้อตกลงเล็กๆ น้อยๆ ของกลุ่มผมที่จะไม่ให้ช่วงเวลาการพูดคุยของเรามีอะไรอย่างอื่นมาดึงดูดความสนใจ จุดเริ่มต้นของกฎนี้มาจากการที่เราเคยนัดเจอกันแล้วพูดคุยเพียงไม่กี่นาที เวลาที่เหลือต่างคนต่างใช้ไปกับสมาร์ทโฟน

   ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมวางลงไป ที่หนึ่งคงเข้าใจกติกาจึงปฏิบัติตามได้อย่างดี

   แล้วผู้ชายทั้งห้าชีวิตก็ย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ตรงม้านั่งใหญ่หน้าห้อง ผมได้นั่งข้างที่หนึ่งที่ดูกลมกลืมไปกับพวกผมได้อย่างกับเป็นสมาชิกรุ่นบุกเบิก ฝั่งตรงข้ามเป็นนิชที่เริ่มแกะของกินแกล้มและเน็ทที่เตรียมตัวเปิดขวดแรก ขาดไม่ได้คือฝ่ายสวัสดิการที่กำลังจุดยากันยุงด้วยไลท์เตอร์อันสวย

   อาจเป็นเพราะคนรอบข้างเป็นคนที่ผมคุ้นเคยทั้งนั้น มันเลยดูผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งโตขึ้นทุกคนก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้มาเจอกันเกือบครบอย่างนี้

   "จะเล่นเกมส์ป่ะ หรือแดกไปเรื่อย" คนเปิดประเด็นคือเน็ท เขาจัดการวางแก้วน้ำพลาสติกไว้ตรงหน้าทุกคน โต๊ะนั่งได้แค่สี่ที่เท่านั้น แบล็คเลยพาตัวเองและกีตาร์ที่ไม่รู้เสกมาจากไหนไปนั่งบนระเบียงแทน

   "ผลัดกันเล่าเรื่องไปเลย หมดมู้ดเล่นเกมส์แล้ว" เอ่ยพลางดันแว่นขึ้นไปไว้บนสันจมูกแบบเดิม นิชสายตาสั้นอย่างที่ถ้าถอดแว่นแล้วก็กลายเป็นคนตาบอดกลายๆ เขาเลยสวมแว่นตาอันใหญ่ด้วยเหตุผลว่าทำให้เห็นโลกทัศน์ได้กว้างไกลดี

   "เก็บน้องโรมไว้คนสุดท้าย กูจะรอให้แม่งเมาก่อน"

   "ไอ้เหี้ย" ผมด่ากลับไปสั้นๆ

   "แบล็ค มึงเปิดประเด็น" วิญญาณจอมเอาแต่ใจกลับเข้าสิงอย่างสมบูรณ์ ไม่รู้ว่าตายอดตายอยากมาจากไหนถึงกระดกรวดเดียวหมดแก้วอย่างนั้น

   "กู?"

   "เออ มึงอะ"

   "ไม่มีอะไรอัพเดต ชีวิตกูก็เป็นเหมือนเดิม"

   เขาเกลาคอร์ดตามไปเรื่อย ไม่ค่อยเห็นมุมสุนทรีย์ของราชาเท่าไหร่ เห็นความสุขเดียวคือการได้รับสารเสพติดจากแท่งนิโคตินแล้วพ่นควันออกมา

   "พ่อง อย่าเปิดวงแบบโง่ๆ อย่างนี้ดิวะ"

   "แล้วจะให้กูเล่าอะไร ชีวิตกูพวกมึงก็รู้ๆ อยู่" เขาหยุดดีดสายเหล็ก ยื่นมือออกไปหยิบแก้วบรรจุน้ำสีอำพันไว้ในมือแทน "แต่งงานกับประมวล เฝ้าน้อง เฝ้าคนป๊อด ชีวิตกูก็หมดล่ะ"

   น้องที่ว่าไม่ได้หมายความถึงไวท์คนเดียวอย่างแน่นอน ดูจากหางตาที่แลมาทางผมแล้ว

   "จ้ะ พี่ชายแสนดี เชี่ยโรมมึงไหว้พ่อมึงเร็ว"

   "พี่ก็พอ สัตว์!"

   "พี่เหรอ โทษทีกูลืมไป"

   ทำหน้างอใส่คนที่แก้วตรงหน้าไม่พร่องเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่กินหรอกนะ แต่เติมให้เต็มตลอดเวลาต่างหาก ขอล่ะ ชีวิตนี้ผมมีพ่อมามากพอแล้ว อย่ามาเพิ่มพ่อให้ผมอีกคนเลย

   "แล้วไวท์เป็นไงบ้าง กูไม่เจอเลย ไลน์ไปก็ไม่ตอบ" เน็ทถามถึงฝาแฝดที่เป็นฝั่งตรงข้ามของสีดำ

   "มึงคิดผิดแล้วที่ทักไลน์มันไป ขนาดกูเป็นแฝดมันยังตอบหลังจากกูถามไปสามสัปดาห์แล้วเลย" เสียงกีตาร์เริ่มกลับมาคลออีกครั้ง ผมชอบเวลาที่แบล็คพูดถึงไวท์ มันเต็มไปด้วยความผูกพันอย่างที่ไม่มีสายสัมพันธ์ไหนแกร่งได้เทียบเท่า "อย่างอื่นก็ปกติไม่มีอาการอะไรน่าห่วง คุณพินิจไม่ได้โทรมารายงานว่าทำตัวแปลกๆ จบเรื่องของกูและแฝด ตามึงเล่าครับนิช"

   "กูต่อเหรอ?"

   ผมไม่เคยเห็นผู้ชายแสนดีคนนี้แตะเครื่องดื่มมึนเมา ถ้าจะให้เทียบก็เป็นเด็กแว่นดูคงแก่เรียนที่วันๆ เอาแต่นั่งหน้าห้องแล้วเข้าห้องสมุดต่อเพื่อทบทวนบทเรียน เขาเงียบไปครู่ใหญ่เหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะเริ่มเล่าที่ตรงไหน

   "อืม...ถ้าเรื่องงานก็เหมือนเดิม"

   "เหมือนเดิมเหี้ยไร งานใหม่มึงอย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ" คนที่นั่งอยู่ด้านข้างผลักไหล่จนเจ้าของเรื่องตัวเอน นิชหันไปทำหน้าเบื่อใส่เพื่อนที่เริ่มเข้าสู่โหมดไม่มีสติ

   "ทำแป๊บเดียว แค่สองสามเดือนก็คงเลิก"

   "ใช่คนเดียวกับที่มึงเคยให้กูดูป่ะ?"

   ผู้ชายที่ทำตัวเป็นเด็กศิลปกรรมไปแล้วอย่างแบล็คถามขึ้น ผมมองหน้าเพื่อนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสลับกันไปมาด้วยความงุดงง ยังจับประเด็นของเรื่องไม่ได้เลยอะ

   "โรมครับ อย่ากินเยอะสิ"

   หันมาหาผู้ชายที่นั่งฟังเรื่องเล่าของคนอื่นเงียบๆ แก้วของเขามีน้ำเพียงครึ่งเดียว ที่หนึ่งขมวดคิ้วยามที่เห็นผมยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มทันทีหลังจากที่โดนทัก ไม่รู้ทำไมพอเป็นเขาผมถึงอยากดื้อด้านใส่ ไม่อยากเห็นเขายิ้มอบอุ่นแบบนั้นให้ผม

   ยิ้มที่เขาก็ให้คนอื่นเช่นกัน

   "กินปกติ"

   "ปกติไม่ได้กินอย่างนี้"

   "รู้?" คิดว่าตัวเองยังมีสติสมบูรณ์ตอนที่ถาม ผมไม่เคยนั่งล้อมวงดื่มเหล้ากับเขาอย่างแน่นอน ข้อนี้มั่นใจเกินร้อย

   ที่หนึ่งฉวยแก้วของผมไปไว้กับตัวเอง จัดการเทน้ำจนแก้วของผมเหลือเพียงอากาศ "เรื่องของโรมหนึ่งรู้หมดนั่นแหละ"

   คิดถึงเรื่องทอดมันปลาขึ้นมาโดยพลัน ตอนนั้นคงสนใจแต่กับเรื่องเฟรนด์จนไม่ได้สงสัยว่าเขารู้ได้ยังไง

   "เขาก็แค่คนขาด" เสียงเล่าเรียกให้ผมกลับมาอยู่ในวง น้ำเสียงแผ่วเบาดูล่องลอยไม่สมกับเป็นนิชที่ผมรู้จักสักนิด "เห็นบอกว่าประกาศรับสมัครใหม่แล้วด้วย"

   "มึงเชื่อ?"

   "แล้วทำไมกูต้องไม่เชื่อ?" คำถามถูกตอบด้วยอีกคำถาม นิ้วเรียวสวยที่ผมเห็นจับพู่กันจนชินตาไล้วนปากแก้วไปมา "กูไม่เข้าไปให้โง่หรอก"

   "คุยเรื่องอะไรกันอะ กูไม่เข้าใจ" ความสงสัยที่มีมากกว่ามารยาทในวงเหล้าทำให้ผมถามออกไป ถ้าเป็นคนอื่นอาจโดนสวดเจริญพรจนยับไปแล้ว พอดีว่าคนถามเป็นผมเลยแค่โดนมองด้วยสายตาหลากหลายแบบ แบล็คมองมาเบื่อๆ นิชเพียงแค่ส่งยิ้มจาง ส่วนเน็ทแทบจะยิงเลเซอร์ออกจากตาได้อยู่แล้ว

   "ช่วงนี้กูกลับไปเล่นกลอง ไว้จะมาชวนไปฟังนะ"

   ตาผมลุกเป็นประกาย นิชเวลาเล่นดนตรีโคตรเท่ บอกแล้วว่าอิมเมจของนิชคือเด็กเนิร์ดใส่แว่นอันใหญ่ ผิวขาวจากการไม่ชอบออกแดด เป็นผู้ชายตัวผอมบางที่ไม่น่าจะจับไม้กลองแล้วตีอย่างหนักหน่วงได้

   "เล่นกับใคร?" ที่หนึ่งถามขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขามีส่วนร่วมในวงสนทนาใหญ่ คงเป็นการสอบถามในฐานะคนเคยร่วมวงมาก่อน ถ้าจำไม่ผิดที่หนึ่งเล่นเบสล่ะมั้ง

   "วงใต้ดินน่ะ ไว้น้องโรมไปวันไหนจะบอกให้ชวนมึงไปด้วยนะ"

   "ถามกูยัง?"

   "น้องโรม พี่ไม่เคยสอนให้ทำตัวไม่น่ารักแบบนี้"

   "..."

   เงียบครับ เงียบกริบเลย ผมปิดปากทันทีที่ถูกปรามด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหลังเลนส์แว่น การเป็นน้องเล็กไม่ได้พ่วงแค่การถูกแกล้งหรือกดขี่ มันยังมีการสอนมารยาทตามมาด้วย น้องโรมอย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ เฮอะ

   "ขอโทษนะที่หนึ่ง ลากมาเหนื่อยแล้วน้องโรมยังทำนิสัยไม่ดีใส่อีก"

   "ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไร"

   "ตามใจมาตลอดเลยเป็นอย่างนี้ กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ" ผมเบ้ปากใส่ ประชดด้วยการหยิบแก้วเหล้าของที่หนึ่ง (ที่เป็นของผมครึ่งหนึ่ง) มาซัดแบบไม่กลัวสำลัก

   "หมดเรื่องกูแล้ว มึงต่อเลยเน็ท"

   "เข้าแลป เข้าชอป หัวจะพัง ชีวิตกูก็วนแค่นี้"

   "วนแค่นี้รวมถึงคนเดิม?"

   นิชกระทุ้งคนที่ดื่มหนักที่สุดในวง เน็ทดื่มแบบเข้มโซดาน้อยซึ่งวันนี้ผมว่าน้อยกว่าปกติ

   "คนเดิม?" วันนี้ทุกคนเอาแต่คุยกันในเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ นั่งฟังไปเพลินๆ พร้อมกับยกแก้วเดิมขึ้นดื่มจนหมด จัดการเติมเองโดยไม่รีรอ "กูไม่มีคนเดิมนะ กูมีคนเดียว"

   เลิกคิ้วยามได้ยิน พาลคิดไปถึงรูปนิ้วก้อยที่มีด้ายสีแดงผูกไว้วันนั้น คนที่ชื่อว่า 'อนาคต'

   "พี่แม่งโคตรเก่งที่ทนมึงได้นานขนาดนี้" แบล็คพูดขึ้นมาลอยๆ มากกว่าจะจริงจัง เขาส่งแก้วเหล้าว่างเปล่ากลับมาให้คนบนโต๊ะเติม "นอกจากพวกกูไม่คิดว่าโลกนี้จะมีคนทนเจ้าชายแบบมึงได้อีก"

   "กูก็คิดอย่างนั้น" นิชเสริมขึ้น รูปประโยคทั้งหมดเมื่อลองจับมาวิเคราะห์ดูแล้วมีข้อสรุปเดียวที่ผุดขึ้นมา

   "มึงมีแฟนแล้วเหรอ?"

   "เปล่า"

   "อ้าว?"

   "ตามึงล่ะที่หนึ่ง อยู่ในวงนี้จะไม่เล่นไม่ได้นะ"

   ตัดบทเสียอย่างนั้น ผมประท้วงด้วยการดึงแขนเสื้อของที่หนึ่งลงมา เขาโน้มตัวลงมาหาผมตามแรงดึง ความสงสัยผ่านมาทางสายตาอย่างปิดไม่มิด ผมจัดการยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้เขาพูด

   "กูไม่ให้หนึ่งเล่า จนกว่ามึงจะตอบคำถามกู"

   "ตอบไปแล้ว ที่หนึ่งเล่าได้"

   "กูไม่ให้เล่า"

   "เป็นเจ้าของชีวิตมันเหรอ เฮ้ยมึงไม่ต้องไปสนใจเด็กน้อย เล่ามาเลย"

   สะดุดตรงคำว่าเจ้าของชีวิต ผมหันไปมองหน้าคนที่โดนปิดปากอยู่แล้วก็รีบเอามือตัวเองออก ทำอะไรลงไปวะ!

   "พวกมึงอยากรู้อะไรล่ะ กูจะได้เล่าถูก" เอ่ยสบายๆ แต่ผมกลับเสียวสันหลังวาบ ที่หนึ่งหลังพิงกับกำแพงห้องมือสองประสานกันที่ท้ายทอย เขาดูไม่ยี่หระกับการที่ต้องมาเล่าเรื่องราวของตัวเองให้คนแปลกหน้าฟังเลย

   นัยน์ตาเยิ้มที่ยังคงประกายแวววับของเน็ทยามมองกลับมาช่างน่าสะพรึงกลัว

   "เอาเรื่องเมื่อเช้าเลย มึงไปประกาศอะไรมา"

   นั่นไง ว่าแล้วเชียว

   "ประกาศ?"

   "อย่ามาแบ๊ว ไปบอกชอบใครมา"

   "อ้อ..." เขาไม่ประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากนัก ผมหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มแบบไม่หยุดพัก ใจเต็มไปด้วยความกลัวเต็มไปหมด ที่หนึ่งแม่งบ้า และผมกลัวว่าเขากำลังบ้าผิดเวลา

   การที่เขาเห็นอิทธิฤทธิ์จอมหวงเพื่อนไปขนาดนั้นแล้วเขายังกล้าที่จะบอกไปรึเปล่าใครคนนั้นคือผมเอง

   "บอกกับเจ้าตัวไปนานแล้ว นี่แค่บอกเป็นทางการ"

   เพื่อนสนิทผมทั้งสามคนมีปฏิกิริยาตอบกลับที่แตกต่างกันออกไป เริ่มจากแบล็คที่นั่งสูบบุหรี่เงียบๆ อยู่คนเดียว ใบหน้าที่เห็นครึ่งเดียวมองตรงไปยังความมืดมิดข้างหน้าไม่ใช่คนในวง นิชตาโตขึ้นมาหน่อยแล้วกลับไปยิ้ม ที่ตื่นเต้นมากที่สุดคือเน็ทที่อุทานออกมาเสียงดัง

   "เหยดแม่ จริงจัง?"

   เน็ทเคยบอกผมไว้ว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกันในวงเหล้าเสมอ และเขากำลังทำมันอยู่ตอนนี้ อย่างแบล็คหรือนิชเคยทำงานร่วมกับที่หนึ่งมาก่อนผมจะไม่แปลกใจถ้าเขาเป็นคนล้วงลึกคำถาม เน็ทนี่ผมไม่เคยเห็นเข้าไปคุยเลยด้วยซ้ำกลับทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ในห้องอบหลังคลอด

   "อ่าฮะ"

   "ใคร?"

   ไม่กล้าหันไปมองหน้าคนที่โดนซักข้อมูลอยู่ ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ตอนนี้ แต่อีกใจก็กลัวว่าถ้าหันไปแล้วผมต้องทำหน้าไม่ถูกแหงๆ

   ก็ยอมรับว่าตัวเองกำลังคาดหวังคำตอบอยู่

   มีเพียงเสียงเกลากีตาร์บรรเลงระหว่างรอคำตอบ ที่หนึ่งขยับตัวขึ้นมานั่งหลังตรง เท้าแขนทั้งสองข้างลงบนเก้าอี้ การดื่มแบบไม่มีหยุดทำให้ระบบการประมวลผลของผมช้ากว่าปกติ

   "ขอข้ามคำถามแล้วกันนะ ทำได้ใช่ไหม"

   "เฮอะ..." ได้ยินเสียงหยันตามมาทันทีที่ได้รับคำตอบ คนที่นั่งตรงระเบียงยังคงสีหน้าเรียบเฉยยามที่เราทุกคนมุ่งความสนใจไปที่เขา "กูสำลักควัน"

   มันคำตอบงี่เง่าที่สุดที่ผมเคยได้ยิน

   "ไหนบอกเป็นทางการวะ" เน็ทยังไม่ลดความพยายามที่จะตื้อเอาคำตอบ อยากรู้อะไรเน็ทต้องรู้ ยิ่งหน้าแดงด้วยของมึนเมายิ่งแล้วใหญ่ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น

   "ทางการว่าไม่ว่างแล้วแค่นั้น จะได้ไม่กลายเป็นให้ความหวังใครอีก"

   "คนดีที่หนึ่งเลยมึง"

   "หนึ่ง"

   "ว่าไง" ตอบรับคำของผมพลางคว้าแก้วในมือไปไว้กับตัว จากที่คิดว่ามีสติเหลือพอถึงตอนที่ต้องเล่าเรื่องของตัวเองชักจะไม่มั่นใจเสียแล้ว "โรมครับ หยุดกินได้แล้ว"

   "กลับห้องกัน"

   "อย่าคิดชิ่ง นี่กูผสมจางเพื่อรอฟังเรื่องของมึงเลยนะน้องโรม"

   "จะกลับ หนึ่งไม่ให้กินแล้ว"

   "อะไรวะ เดี๋ยวนี้แม่งฟังคนอื่นมากกว่าพี่"

   "ก็พี่มันชอบยุ่ง" ผมแลบลิ้นใส่พี่ชายทั้งหลาย ฤทธิ์ของมึนเมาเริ่มทำให้ตัวผมโอนเอนไปมาจนต้องซบไหล่ที่หนึ่งไว้ "ไม่เหมือนหนึ่ง หนึ่งใจดี ไม่เคยขัดใจน้อง"

   "น้องกูแม่งเมาแล้วเลี้อยว่ะ"

   "ถึงเมื่อกี้จะไม่ค่อยชอบคำตอบก็เหอะ"

   พูดอะไรออกไปตามที่คิด ยิ่งได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายจางๆ จากเสื้อของที่หนึ่งแล้วยิ่งเคลิ้มเข้าไปใหญ่ ผมชอบกลิ่นนี้จัง กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่กล่อมให้รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก

   หลังจากนั้นเหมือนจะเถียงอะไรกับเน็ทอีกสองสามประโยค ถ้าไม่ให้ผมกลับไปนอนงั้นขอหลับตรงนี้เลยแล้วกัน


***
   ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [23.10.15]
«ตอบ #183 เมื่อ30-10-2015 23:04:25 »

 :mew1:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [23.10.15]
«ตอบ #184 เมื่อ30-10-2015 23:19:48 »

[Side : ที่หนึ่ง]

   พวกหวงเพื่อนน่ากลัวอย่างที่แบล็คเคยบอก

   ยามที่ทั้งสองคนมองมาที่ผม มันคือสายตาของคนที่อ่านออกหมดทุกอย่าง

   เน็ทไม่เท่าไหร่ อาจเพราะเขาตกอยู่ใต้อำนาจของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผมเลยยังปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้

   แต่นิชนี่สิ

   ใต้ยิ้มสดใสผมเห็นรอยร้ายที่เล่นเอาขนลุกซู่ ผมเคยเจอเขาในโหมดของนักดนตรีมีพรสวรรค์เท่านั้น ยังไม่เคยเจอในโหมดที่แบล็คเคยพูดไว้

   'อย่าไว้ใจปีศาจ'

   ยังเคยโต้กลับไปว่าไม่มีนักบวชคนไหนกลายเป็นปีศาจได้หรอก คราวนี้แหละได้เห็นกับตาเลยล่ะ

   "ที่หนึ่ง"

   "?"

   "ผิดหวังในคำตอบนะ"

   "..."

   "หวังว่าถ้ามีรอบแก้ตัวคงได้ยินคำตอบที่ดีกว่านี้"

   ไม่ว่าเขาจะพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มขนาดไหนผมก็ทำให้เพียงส่งหน้าตึงไปให้เท่านั้น มันต่างกับครั้งก่อนที่แบล็คเคยเล่นสงครามประสาทกับผม คราวนั้นผมมั่นใจว่าสามารถสู้รบปรบมือได้

   ไม่เหมือนคราวนี้ที่แค่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็พร้อมยกธงขาว

   สัญชาตญาณบางอย่างบอกผมว่าอย่าพาตัวเองเข้าไปอยู่ในอันตราย

   "คงไม่มีรอบหน้า"

   ทำได้แค่เพียงยิ้มสู้กับชายร่างผอมที่เคยพิสูจน์กับตัวมาแล้วว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่สามารถบ่งบอกถึงเนื้อแท้ ถ้ายังรักชีวิตอย่าคิดเป็นศัตรูกับนิช ใครที่ลองดีไม่เคยจบสวยสักราย

   "เพราะการแนะนำตัวครั้งต่อไปกูจะมาในฐานะที่หนึ่งของโรม"

   คำลาสุดท้ายก่อนที่ผมจะพาตัวเองและร่างไร้สติของน้องเล็กกลับห้อง พอเคลียร์กับเฟรนด์จบผมกับแบล็คก็แยกออกมาจัดการเรื่องกระเป๋าเสื้อผ้าที่ยังอยู่ในค่าย เราเห็นตรงกันว่าคืนนี้คงต้องให้โรมนอนที่อื่นที่ไม่ใช่การนอนรวม

   นี่ก็อีกเรื่อง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนที่ผมชอบจะเลือดเย็นได้ขนาดนี้ แค่ตอนกลางวันผมก็ใจไม่ดีแล้วไม่ต้องพูดถึงเมื่อกี้ เขาพร้อมที่จะตัดคนที่ไม่จำเป็นในชีวิตออกไปได้อย่างง่ายดาย

   "ซวยล่ะ"

   บ่นกับตัวเองยามที่เปิดไฟห้อง ห้องนี้ไม่เหมือนห้องของแบล็คที่เป็นเตียงเดี่ยวสองเตียงแยกออกจากกัน มันมีเพียงเตียงคู่ขนาดใหญ่ตรงกลางเพียงตัวเดียว นั่นหมายความว่าผมต้องนอนใกล้กับเขาพอควรเลย

   ปุเลงคนตัวเล็กกว่าขึ้นไปไว้บนเตียง คิดไม่ตกว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี ปลุกโรมขึ้นมาอาบน้ำตอนนี้จะยอมตื่นรึเปล่า ถึงยังไงผมก็ต้องให้เขาตื่นมาจัดการทำความสะอาดตัวเองให้ได้ ทั้งเหงื่อจากการเผชิญแดดมาทั้งวัน กลิ่นเหล้าที่ติดตัวนี่อีก

   ไม่รู้ว่าวันนี้โรมอินดี้อะไรถึงดื่มหนักไม่ยอมหยุดเสียขนาดนั้น นึกว่าพอโมเมรวมแก้วแล้วเขาจะไม่ยอมแตะเสียอีก ที่ไหนได้ยิ่งชงใหญ่ นี่ขนาดผมแอบคว้ามาดื่มแทนตั้งหลายแก้วโรมยังเมาไม่รู้เรื่องขนาดนี้เลย

   "โรมครับ" เขย่าตัวคนที่ยังคงหลับตาสนิท "น้องโรมครับ ตื่นมาอาบน้ำก่อนนะ"

   ไม่มีการตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ผมพยายามปลุกเขาอยู่อีกพักใหญ่ถึงมีเสียงเคาะประตูมาคั่น

   "พวกมึงลืมมือถือ" แบล็คยื่นโทรศัพท์สองเครื่องมาให้ผม ผมชอบกติกาการกินเหล้าของกลุ่มนี้ คุยคือคุยจริงๆ ไม่มีการสนใจสิ่งอื่นที่อยู่ในจอ "ดีที่กูเห็นก่อน ลองให้เน็ทเห็นหน้าจอโฮมมึงสิ"

   "เห็นแล้วไงล่ะ"

   "ปากดีนะมึง" เขาแสดงสีหน้าเบื่อหน่าย "ล่ะน้องกูอะ"

   "นอนอยู่ ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น"

   "น้องโรมแม่งขี้เซา กูทำได้แค่เอาใจช่วยว่ะ"

   "ซึ้งใจมากเลยทิวา"

   "ล่ะเป็นไงพวกหวงเพื่อน?"

   ในความคิดของผมนี่แหละคือเมนไอเดียที่เขามาหา เรื่องโทรศัพท์อะไรนั่นก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น ความจริงแล้วค่อยเอาคืนตอนเช้าก็ยังได้

   "อย่างที่คิด" ผมตอบกลับสั้นๆ มองไปรอบตัวว่ามีใครตามมาด้วยรึเปล่า เมื่อมั่นใจได้ว่าไม่มีใครอีกถึงบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไป "...แต่อีกคนเกินกว่าที่คิด"

   "แสดงว่ามึงยังไม่รู้จักน้องกูดีพอ"

   "ทิวา" ผมเว้นช่วงให้รู้ว่าตอนนี้ต้องการความช่วยเหลือ "ที่โรมพูดเมื่อกี้แสดงว่ากูมีหวังใช่ไหม"

   คำที่บอกว่าผิดหวังในคำตอบ ผมไม่ได้ตั้งใจกั๊กอะไรแค่กลัวว่าถ้าบอกไปแล้วโรมจะไม่พอใจรึเปล่าที่มาประกาศต่อหน้าเพื่อนสนิทตัวเองอย่างนั้น ยิ่งก้มหน้าก้มตากินเหล้าอย่างเดียวยิ่งเดาอะไรไม่ได้

   "อยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ?"

   "แล้วมึงตั้งใจจะตอบแบบไหน"

   "จะยอมแพ้ก็บอกมาตรงๆ กูจะได้กลับไปดูแลโรมเอง"

   "ไม่"

   เขายกซองบุหรี่ในมือขึ้นแล้วเคาะลงบนหัวของผม "ถ้ามึงมีคำตอบในใจแล้วก็ไม่ต้องถามกู"

   "กูกลัวว่ากูกำลังหลอกตัวเองทิวา"

   "มึงฉลาดพอที่จะรู้ว่ากำลังหลอกตัวเองอยู่รึเปล่า"

   "พี่กับน้องคล้ายกัน..." ทั้งนิสัยเด็ดขาดของนิชแล้วก็เอาแต่ใจอย่างเน็ท

   "น้องมันได้พี่มาคนละอย่างสองอย่าง" พี่ชายชะโงกหน้าเข้าไปในห้อง ใบหน้าเรียบฉายแววห่วงใยไม่มิด "มึงเคยตอบอะไรกูไว้ก็รักษาคำพูดด้วยแล้วกัน เออ กูกลับไปจะนอนเลย อย่าเสือกงอแงโทรมาหานะมึง"

   ผมพยักหน้าให้เขา ไม่ใช่การยอมรับสภาพแต่เป็นการยืนยันว่าผมยังคงยืนยันในความรู้สึกของตัวเอง แบล็คเพียงแค่ยกมือขึ้นตบบ่าผมสองสามครั้งแล้วโบกมือลา เขาก็อย่างนี้เหมือนเดิม รับฟังแต่ไม่ค่อยให้คำแนะนำ เป็นผู้ชมอย่างที่บอกเสมอ

   จัดการอาบน้ำล้างสิ่งสกปรกที่เผชิญมาทั้งวัน ตั้งใจว่าค่อยออกไปปลุกคนที่หลับไม่รู้เรื่องให้ขึ้นมาอาบน้ำบ้าง

   "พี่หนึ่ง..."

   "ครับผม"

   รีบเดินกลับไปหาคนเรียกที่นอนตาปรืออยู่บนเตียง โรมคงตื่นเพราะผมใช้เสียงดังระหว่างจัดของ ใบหน้าสีเรื่อบอกว่าระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายเขามีมากเพียงไหน

   "พี่หนึ่งง่า..."

   "อะไรครับ" ผมต้องใช้ความสามารถส่วนบุคคลอย่างมากในการคุยกับคนเมาไร้สติให้รู้เรื่อง โรมเรียกชื่อผมซ้ำไปมาโดยเติมคำว่าพี่ลงไปข้างหน้าด้วย อยากให้โรมเรียกผมอย่างนี้บ่อยๆ น่ารักจนบอกไม่ถูก

   "น้องอยากนอน แต่พี่นิชบอกต้องแปรงฟันก่อนนอนทุกคืน"

   "แล้ว?"

   "พี่หนึ่งห้ามไปฟ้องพี่นิชว่าโรมแอบนอนเลยนะ"

   ขนาดสติไม่ค่อยมียังซ่าอีก น่ากลัวมากเลย!

   "ไม่เอาครับ น้องโรมเป็นเด็กดีสิ" หัวเราะให้อาการเมาของอีกฝ่าย ผมจับมือทั้งสองข้างของเขาไว้แล้วดึงให้ลุกขึ้น "ป่ะ พี่หนึ่งพาไปแปรงฟันเนอะ"

   พวกนั้นเลี้ยงมายังไงให้เป็นเด็กน้อยได้ขนาดนี้นะ ยิ่งเวลาที่เห็นอยู่กับเหล่าพี่ชายยิ่งเห็นชัดใหญ่ว่าคำว่าน้องเล็กนี่ไม่ใช่พูดกันเล่นๆ โรมทำหน้ามุ่ยยามที่โดนผมรบกวนการนอน ผมสีน้ำตาลที่คล้ายกับของผมยุ่งเหยิงไม่เหลือทรง

   "พี่หนึ่งใจร้าย"

   "ใครกันแน่ที่ใจร้ายหืม?"

   ถึงผมจะไม่เคยจีบใครอย่างจริงจังมาก่อนก็ตาม แต่ที่ผมรุกอย่างนี้ไม่มีหวั่นไหวบ้างเลยเหรอไง น้อยใจนะเนี่ย

   "พี่หนึ่งไง ไม่ให้น้องนอน"

   "ครับๆ พี่ใจร้ายเองเนอะ ไปแปรงฟันครับ ไม่งั้นฟ้องพี่นิชนะ"

   ยอมเป็นคนใจร้ายจะได้ไม่ต้องเถียงต่อ ไม่อย่างนั้นคืนนี้ไม่ได้นอนอย่างแน่นอน ผมเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางของโรมมาให้เจ้าตัว ถ้าคุยได้เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ผมคงไม่ต้องจัดการอะไรให้หรอกมั้ง

   จากปกติที่ดูความรู้สึกช้าอยู่แล้วพอเจอของมึนเมาเข้าไปโรมยิ่งดูมึนมากกว่าเดิมหลายเท่า เขารื้อหาของที่ต้องการในกระเป๋าอยู่นาน พอหาไม่เจอก็เทออกมาหมดเสียอย่างนั้น เฮ้อ เด็กน้อยจริง

   นั่งเลื่อนดูความเคลื่อนไหวบนเฟสบุ๊คในระหว่างที่ปล่อยให้อีกคนชำระร่างกาย ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากหรอกแค่เข้าไปเช็คดูว่าเฟรนด์อัพเดตอะไรลงในไทม์ไลน์ส่วนตัวบ้าง เธอลบรูปทั้งหมดที่เคยแท็กโรมทิ้ง สเตตัสล่าสุดขึ้นเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วว่า 'เทียบไม่ได้คืออะไร'

   ไหนแบล็คบอกว่าจบลงอย่างสวยงาม ผมว่าเรื่องนี้มีภาคต่อชัวร์

   ไม่เข้าใจว่าหวงน้องอะไรขนาดนั้น โรมก็ยี่สิบกว่าแล้วนะ

   ส่วนหน้าวอลล์ตัวเองก็มีเพื่อนที่คุยกันบ่อยสองสามคนมาแซวเรื่องที่ผมประกาศบนรถ ไม่ได้ต้องการเด่น ก็แค่อยากให้โรมมั่นใจว่าผมจริงจังก็แค่นั้นเอง ไม่รู้ว่ากลายเป็นทำให้โรมลำบากใจรึเปล่า

   รู้สึกไม่มั่นใจเอาซะเลย

   "น้องเสร็จแล้ว นอนแล้วนะ"

   มาพร้อมกลิ่นหอมของครีมอาบน้ำยี่ห้อดัง โรมในชุดนอนลายสก็อตสีเลือดหมูพุ่งตัวเข้าหาเตียงทันที ดูจากผมที่ยังแห้งแล้วคงไม่ได้สระ ก็ดีไม่ต้องลากขึ้นมาเช็ดผมให้แห้งอีกรอบ

   "ครับ เด็กดีนอนตามสบายเลย"

   เด็กน้อยไม่ปิดไฟห้องน้ำ สนใจแต่จะนอนอย่างเดียวจริงด้วยแฮะ ผมเดินไปตรวจสอบความเรียบร้อยภายใน ไม่ได้เปิดน้ำหรือทิ้งเสื้อผ้าไว้ จับลูกบิดเตรียมปิดประตูสายตาเหลือบไปเห็นความผิดปกติบริเวณอ่างล้างหน้าที่มีแปรงสีฟันของผมเพียงคนเดียววางอยู่

   ...ไม่หรอกมั้ง

   ปิดไฟจนทั้งห้องมืดสนิท ตั้งนาฬิกาปลุกในมือถือไว้ตอนเก้าโมง โยนไว้แถวๆ นั้นโดยไม่กลัวว่าคลื่นโทรศัพท์จะทำให้สมองแย่ลงอย่างที่เขาบอกกัน

   "น้องโรมครับ"

   "ฮืม?"

   คำตอบรับส่งๆ ปกติแล้วคนที่อาบน้ำแล้วต้องตื่นตัวไม่ใช่รึไง น้องน้อยนี่ยิ่งหลับลึกเข้าไปใหญ่

   "แปรงฟันรึยัง?"

   "แปรงแล้วนะพี่หนึ่ง น้องไม่ลืมหรอกน่า งืมๆ"

   "พี่ไม่เห็นแปรงของน้องเลยนะ"

   "ก็ที่หน้าอ่างไง"

   "..."

   คำตอบที่ทำผมแทบบ้า จากตั้งใจว่าข่มตาให้หลับๆ ไปจะได้ไม่นึกประหม่าที่คนที่แอบชอบมานอนบนเตียงเดียวกันตอนนี้คงไม่ต้องนอนกันแล้ว โอ๊ย น้องโรมครับ เข้าใจแล้วว่าทำไมแบล็คถึงบอกว่าเอ๋อน่ะ!

   ทำอะไรไม่ได้นอกจากโวยวายในความคิด ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกดเบอร์หาคุณพ่อตาเพื่อขอความช่วยเหลือ นอนไม่หลับแล้วก็หาเพื่อนคุยไปเรื่อยแล้วกัน

   แต่โดนสั่งไว้ว่าห้ามกวนนี่นา

   "จะหลับลงได้ยังไงวะ..."

   "พี่หนึ่งงง"

   "คะ...ครับๆ"

   "เจ็บมืออะ" ในความมืดผมไม่อาจเห็นสีหน้าของคนที่บอกว่ากำลังเจ็บมือได้ มีแต่มือเปะป่ายมาโดนตัวผมที่ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงเจ็บมือที่ถูกตะกร้าบาด

   "เดี๋ยวตื่นมาจะล้างแผลให้ใหม่นะ" ตอนนี้ไม่มีอุปกรณ์ล้างแผลอะไรสักอย่าง แล้วผมก็ไม่ได้ซื้อมาด้วย

   "โอมเพี้ยงให้หน่อย"

   "โอมเพี้ยง?"

   "เพี้ยงๆ แล้วจะได้ไม่เจ็บไง"

   ยันตัวเองขึ้นมาท้าวคางมองคนที่ยังพูดเสียงเจื้อยแจ้วได้ตลอด สายตาที่เริ่มปรับเข้ากับกลางคืนได้แล้วเห็นว่าเขายังคงยกมือขึ้นลงให้รู้ว่าผมต้องโอ๋เขาต่อ

   จับมือที่ถูกยื่นมาไว้ด้วยหัวใจที่เต้นรัว ผิวกร้านเล็กน้อยตามแบบของผู้ชายทั่วไป ไว้ซื้อโลชั่นมาให้ใช้ดีกว่า

   ผมประสานนิ้วทั้งห้าเข้ากับมือของอีกคนและเขาเองก็จับมือผมกลับเช่นกัน หัวใจเต้นแรงแต่ร่างกายผมกลับเย็นเฉียบ เกิดคำถามมากมายขึ้นในใจ ทำไมถึงทำอย่างนี้นะน้องโรม มาสร้างกำแพงเหล็กที่แหงนมองขึ้นไปแล้วไม่เห็นจุดสิ้นสุด พอเริ่มท้อก็มาให้ความหวัง เขาเหมือนระบบคอมพิวเตอร์ที่ลบความจำทั้งหมดยามเปิดเครื่องใหม่ มีเพียงแค่ผมเองที่จำได้ทุกอย่าง

   ไม่ใช่ผู้ชายเพลย์บอยเลยไม่รู้ว่าคนอื่นจะปฎิเสธอย่างชัดเจนขนาดนี้รึเปล่า รักใครทั้งทีดันมารักคนใจร้ายซะได้ ไม่รู้สิ เวลาที่มองโรมมันก็อดคิดไม่ได้ว่า 'ความรัก' ของเขามีนิยามว่ายังไง ต่างจากความรู้สึกที่ผมมีให้เขาขนาดไหนกัน เขาถึงทำเหมือนไม่เคยเห็นค่าอะไรในสิ่งที่ผมทำให้เลย

   "ทำไมถึงใจร้ายได้ขนาดนี้นะ..."

   พึมพำยามจรดปลายจมูกลงกับมือที่กอบกุมไว้ กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำไม่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นเลยสักนิด ผมยังคงค้างมือไว้อย่างนั้นนานพอควรจนอีกฝ่ายไม่งอแงอะไรออกมาอีกแล้ว

   เมฆคงบังพระจันทร์อยู่เลยไม่มีแสงสอดเข้ามาผ่านหน้าต่างบานใหญ่ เมื่อมั่นใจว่าน้องหลับสนิทไปแล้วจึงปล่อยมือที่เต็มไปด้วยพลาสเตอร์ลงข้างตัวตามเดิม ใจเต็มไปด้วยความสับสน

   ที่เคยบอกไว้ว่ามั่นใจ ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกนั้นเหลืออยู่เลย

[End : ที่หนึ่ง]


***
   สวัสดีวันก่อนวันฮาโลวีนค่ะ /โค้ง
   น้องเมาแล้วน่ารักกว่าตอนมีสติเยอะเลยเนอะ (ยิ้ม) ตอนนี้เอาพี่ชายทั้งหลายกลับมาทักทายค่ะ ไม่รักน้องจริงไม่ขับตามไปคุมหรอกนะ (หัวเราะ) เจ้าชอบเวลาที่เหล่าคนหวงน้องออกมาครบเป็นพิเศษค่ะ ชอบเวลาที่น้องโดนรุม ให้น้องไม่น่ารักใส่ที่หนึ่งมาหลายรอบแล้ว (ฮา) เป็นตอนที่แต่งได้ไวมากๆ เลย ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจให้จบดูดราม่านะ ไหงมันถึงออกมาในรูปแบบนี้ได้ล่ะ...
   ในส่วนของเวลเจ้าคงต้องเอามาแทรกไม่มากแต่คงต้องเจอบ้างค่ะ เพราะว่าเจ้าเรื่องนี้จะไปต่อไม่ได้เลยถ้าขาดเวลกับไวท์ น้อมรับทุกคำคอมเมนท์ในส่วนของเรื่องที่ชอบหรือไม่ชอบค่ะ
   ขอบคุณทุกคอมเมนท์ กดบวก รวมถึงถ้าเจอคำผิดทักได้เลยนะคะ
   แล้วเจอกันศุกร์หน้าเช่นเดิมค่ะ

ออฟไลน์ minminmin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
«ตอบ #185 เมื่อ30-10-2015 23:51:52 »

อยากอ่านต่อแล้วววววววววววววว  วันศุกร์หน้ามาถึงไวๆหน่อยเถอะ 55555

ออฟไลน์ NuTonKaw

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
«ตอบ #186 เมื่อ31-10-2015 01:41:10 »

 :o12:ปลื้มมากเมาแล้วน่ารัก แต่แอบสงสารหนึ่ง :hao4:

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
«ตอบ #187 เมื่อ31-10-2015 03:38:14 »

อ้อนได้ชวนละลายมากค่ะ เลี้ยงกันมายังไงเนี่ยยย

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
«ตอบ #188 เมื่อ31-10-2015 10:16:02 »

น้องโรมทำไมน่ารักอย่างนี้คะลูก :ling1:
ที่หนึ่งสู้ๆ นะ

เราอยากรู้ตอนที่พี่ๆทั้งหลายเคลียร์กับเฟรนด์อะ ทำไมข้ามไป

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
«ตอบ #189 เมื่อ31-10-2015 12:58:50 »

เฟรนด์ จะยังไม่ยอมจบใช่ไหม อย่างนี้ต้องให้เจอพี่นิช ดูสิว่าจะเป็นยังไง
ตอนนี้ชอบมาก ๆ เลย พี่ชายทั้งสามมารวมตัวกันเพื่อปกป้องน้องโรม  :กอด1:
ตอนแรกคิดว่าคุณพ่อแบล็คมาคนเดียวซะอีกนะเนี่ย
ฉายาแต่ละคนนี่แบบ สุด ๆ อ่ะ แบล็ค คือ ราชา เน็ท คือ เจ้าชาย
นิช นี่คือ ปิศาจ ? (แอบน่ากลัว) ทั้งหมดนี้ นิช คือคนที่น่ากลัวที่สุดใช่ไหม
แต่ท่าทาง คนที่ทำให้ที่หนึ่งกลัวได้ คงมีเพียง น้องโรมสุดที่รักคนเดียวนี่แหละนะ
รักมาก ก็ กลัวมาก เป็นธรรมดา ที่จะเจ็บที่สุดเพราะคำพูดและการกระทำของคนที่รัก
ชอบการวางตัวของแบล็คนะ เป็นผู้ชมจริง ๆ ถึงจะแอบเอนเอียงช่วยที่หนึ่งบ้างก็เถอะ
เหมือนต้องดูแลทั้งน้องโรม แล้วก็ว่าที่ลูกเขยไปในคราวเดียวกันด้วย น่ารักดี
ตอนนี้ ชอบตอนที่เน็ท พูดถึง อนาคต จังเลย ไม่ใช่คนเดิม แต่มีคนเดียว โหย ๆ  :m3:
อยากรู้จัง ว่าคนแบบไหนที่ทำให้เน็ทผู้เอาแต่ใจ พูดออกมาได้แบบนี้
ส่วนนิช ก็ต้องมีอะไรในก่อไผ่ กับคนที่ชวนไปเล่นดนตรีใต้ดินแน่ ๆ อะไรยังไง
เหมือนทั้งสามคน จะรู้เรื่องของกันและกันหมด แต่ทำไมน้องโรม ไม่รู้อะไรกับเขาเลยนะ
พอมีคู่เวลกับไวท์ เลยทำให้คิดว่า คนที่ทำให้น้องโรมเดินหน้าต่อไปไม่ได้
จะเป็นอีกหนึ่งสาวของกลุ่ม ที่จู่ ๆ หายตัวไปคนนั้นหรือเปล่า แล้วถ้ากลับมาล่ะ
ยังไงก็เอาใจช่วยที่หนึ่ง จะรักคนแบบน้องโรม ก็ต้องรู้จักน้องโรมให้ดียิ่งกว่านี้อีกสินะ



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
« ตอบ #189 เมื่อ: 31-10-2015 12:58:50 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zleep

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-4
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
«ตอบ #190 เมื่อ01-11-2015 02:25:36 »

ใครบ้างจะไม่พูดให้ตัวเองดูน่าสงสารเพื่อหาพวก เฮ้อ ต่อไปนี้โรมต้องระวังและคิดให้เยอะมากกว่านี้นะลูก
ถึงสิ่งที่เราทำไปเราจะไม่คิดอะไรก็จริง แต่อีกฝ่ายมันคิดไง คิดไปไกลเลยด้วย ชะนีขี้มโนเนี้ย
บางทีคนประเภทนี้มันก็น่ารำคาญจริงๆนะ คิดเองชงเองเจ็บเอง

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
«ตอบ #191 เมื่อ01-11-2015 08:48:36 »

ที่หนึ่งยังคงเพอร์เฟคแมนเสมอ แต่เจอนิชเข้าไปทีเกือบเป๋ (เอาใจช่วยนะที่หนึ่ง!)

แต่สามคนนี้เลี้ยงมายังไงเมาได้เด็กน้อยได้ขนาดนี้ 55 อยากรู้อดีตของน้องโรมจัง ว่าผ่านว่าเจออะไรมาบ้าง
ถึงได้กลายเป็นที่หวงแหนของพี่ๆขนาดนี้

ที่หนึ่งสู้ๆน้า

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
«ตอบ #192 เมื่อ01-11-2015 09:03:24 »

จุดๆนี้ป้าบอกเลยว่าป้าอยากเผือกเรื่องแฟนของพี่ๆน้องโรมสุดๆ
(ที่หนึ่งกับน้องโรมกลายเป็นน้ำจิ้มไปเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

คือชอบความนิช ความเน็ท และความแบล็คมากๆ
เรียกว่าหลงใหลก็คงจะไม่ผิดนัก

รออ่านตอนต่อไปค่ะ ^^  :L2:

ออฟไลน์ SiHong

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 484
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
«ตอบ #193 เมื่อ01-11-2015 23:54:40 »

พี่ที่หนึ่งเป็นกำลังใจให้นะ สู้ๆ

ออฟไลน์ MOMAMi_96

  • เรื่อยๆ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
«ตอบ #194 เมื่อ02-11-2015 10:14:49 »

ไวท์คือคนบาปหรอกรี๊ดดดด :katai4: เราอยากอ่านตอนของไวท์มากๆๆๆๆเลยค่ะ

ออฟไลน์ Rhythm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 8 [30.10.15]
«ตอบ #195 เมื่อ02-11-2015 21:32:29 »

เริ่มเห็นความหวังของที่หนึ่งรำไร  :hao3:

คิดอยู่เหมือนกันว่าเรื่องของเวลต้องมีที่มาที่ไป ตอนนั้นก็นึกอยากให้คู่กับแบล็กนะ สรุปว่ากลายเป็นเวลกับไวท์ ซึ่งก็ดีเหมือนกันนะ เพราะที่ผ่านมาไวท์เป็นตัวละครที่ถูกกล่าวถึงให้ดูมีความลึกลับตลอด ดูดาร์กๆ ขัดกับชื่อตัว อย่างนี่คงมีเฉลยเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรกันมากขึ้นแน่ๆ รอติดตามต่อไปจ้า  :L2:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
«ตอบ #196 เมื่อ06-11-2015 23:07:38 »

บทที่ 9

   [Beyours] Project day 1 : Let's ride

   ผมว่าตัวเองไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้ต้องมาชดใช้กรรมอย่างนี้สักหน่อย

   "ใส่หมวกไว้ด้วย วันนี้แดดร้อน"

   คนตัวสูงกว่ามาพร้อมกับหมวกปีกกว้างตามสมัยนิยม เขาจัดการสวมมันลงบนศีรษะของผมโดยไม่รอคำอนุญาต ดูจะพอใจกับผลงานของตัวเองไม่ใช่น้อย

   "แล้วทาครีมกันแดดมารึยัง เอาของหนึ่งไหม?"

   "ไม่ทา"

   "เดี๋ยวก็แพ้แดดอีกหรอก"

   เขาย้อนความไปถึงช่วงหลังคืนรับน้อง กว่าจะตื่นก็ปาไปสิบโมงกว่าแล้วเลยตัดสินใจไม่กลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนที่คณะ ผมกับที่หนึ่งต้องมาขอความเมตตาจากผู้ถือกุญแจรถอย่างแบล็คเพื่อติดรถกลับคอนโดด้วย คิดว่าเบียดกันกลับห้าคนคงไม่หนักหนาเท่าไหร่ ที่ผิดจากคาดคือเน็ทไม่อยู่แล้วตอนที่ผมไปหา คนที่เหลือบอกแค่ว่ามีคนมารับกลับไป อยากจะหาข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับพี่ที่ชื่อว่าอนาคตมากแค่ไหนทั้งคู่ก็ไม่เปิดช่องให้ผมถามเลยสักนิด อีกอย่างคือไม่รู้ว่าเพราะยังแฮงค์อยู่รึเปล่าผมเลยรู้สึกว่านิชมีท่าทีตึงๆ กับที่หนึ่งตลอดการเดินทางกลับ ต่างจากตอนที่คุยเฮฮาในวงเหล้าลิบลับ

   ส่วนเรื่องแพ้แดดมันเกิดจากการที่ผู้ชายช่างสังเกตพบว่าแขนของผมมีผื่นแดงปรากฎตอนอยู่บนรถ นิชกับแบล็ครู้อยู่แล้วว่าผมเป็นพวกแพ้แดดในบางที เหมือนร่างกายจะสุ่มว่าการออกแดดครั้งนี้จะให้อาการแพ้ขึ้นดีไหมน้า บางทีผมตากแดดจนผิวไหม้ก็ยังไม่เป็นไร แต่คราวไหนแจ็คพอตหน่อยแค่ออกจากคอนโดไปร้านอาหารหน้าซอยก็มีรอยแดงขึ้นแล้ว

   "วันนี้วันคู่ ไม่แพ้"

   บอกกลับแบบลอยหน้าลอยตา เขาส่งไลน์มาหาผมเมื่อคืนว่าวันนี้มาช่วยทำงานหน่อย อ้างเรื่องที่เขาช่วยผมไว้ตอนรับน้องมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน ผมจงใจรี้ดแล้วไม่ตอบเพื่อตัดปัญหา ลืมไปว่าอีกฝ่ายเขาเป็นพหูสูตที่มีข้อมูลเกี่ยวกับผมเกือบหมด เพราะงั้นเมื่อเช้าผมเลยเจอเขามาเคาะประตูห้องไง

   "เฮ้อ ยกแขนขึ้น" การที่หยิบครีมกันแดดแบบสเปรย์ออกจากกระเป๋าเป้บอกว่าเขาคงเตรียมมาเผื่อผมโดยเฉพาะ อะไรจะมองการณ์ไกลขนาดนั้น "น้องโรมครับ เดี๋ยวทาให้"

   "ใครให้เรียก?"

   "น้องโรมไง"

   ได้แต่ค้อนกลับไปวงใหญ่ เขาเอาแต่เรียกผมว่าน้องโรมอย่างเพื่อนในกลุ่ม ปั้นหน้าจริงจังมากว่าผมเองนี่แหละเป็นคนเรียกตัวเองว่าน้องโรมก่อน ยิ่งตอนที่เขาแทนตัวเองว่าพี่หนึ่งนะ ขนลุกไปหมด

   จะเถียงกลับก็ไม่ได้ ในความทรงจำที่เลือนรางผมรู้สึกว่าตัวเองเรียกเขาไปอย่างนั้นจริงๆ

   "ทาแป๊บเดี๋ยวก็เสร็จแล้วเห็นไหม" เขาเอ่ยหลังจากที่จัดการทาครีมกันแดดให้แขนทั้งสองข้างของผมเสร็จแล้ว "อะ หลับตาครับ"

   "จะทำอะไรกู" ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวให้รู้ว่าระแวงในคำสั่ง

   "ไม่พูดคำหยาบสิ จะทาหน้าให้"

   "มีหมวกแล้ว"

   "หลับตา"

   จะยุ่งอะไรกับผมนักหนาก็ไม่รู้ บ่นแต่ก็ปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลงตามคำบอก ถึงผมชอบทำเป็นดื้อด้านไม่ฟังคำสั่งของเขาในทุกครั้งสุดท้ายแล้วก็ต้องยอมรับโดยดีว่าผมสู้เขาไม่ได้หรอก เวลาที่หนึ่งมองมาไม่เหมือนกับเวลาที่นิชดุ อะไรบางอย่างในตัวเขาทำให้ผมยอมสยบ

   ก็บอกแล้วไงว่าผมมีอาการแพ้ผู้ชายที่ชื่อที่หนึ่ง

   "อะ เรียบร้อยแล้ว"

   "ขอบคุณ แต่คราวหลังไม่ต้อง"

   เสียงประกาศเรียกรวมพลดังออกลำโพง ผมกับเขาเลยเข้าไปรวมกับฝูงชนที่ยืนเบียดกันในเต็นท์ผ้าใบเพื่อรอรับคำสั่งจากพิธีกรบนแท่นเวที

   ผมโดนเขาลากมาทำอะไรงั้นเหรอครับ ถ้าทุกคนยังจำโปรเจค Beyours ได้นั่นแหละคือสิ่งที่ผมกำลังทำตอนนี้ ธีมของวันนี้คือปั่นจักรยานลดโลกร้อน โดยไม่ได้ให้ปั่นเฉยๆ หรอกนะ มันต้องมีการเข้าไปทำกิจกรรมในแต่ละฐานตามพื้นที่ที่จัดไว้แล้วของมหาวิทยาลัยอีกด้วย

   "งั้นเราจะเริ่มกันที่ไหนดี โรงอาหารกลางไหม?"

   กิจกรรมที่เป็นกึ่งฐานวอล์คแรลลี่ให้เลือกการเดินทางได้ตามใจ ที่หนึ่งกับลูกทีมอีกเจ็ดชีวิตกำลังวางแผนเส้นทางการปั่นอย่างขะมักเขม้น ตามกติกาเขาไม่ได้บังคับให้ต้องมีลูกทีมหรือไปกันเป็นกลุ่มใหญ่อะไรหรอก ก็นะ นี่มันผู้ชายแสนดีอันดับต้นๆ นี่นา ใครก็อยากอยู่ด้วยทั้งนั้น

   ...ยกเว้นผมไว้นะ

   ผมไม่เข้าร่วมวงด้วยหลายสาเหตุ อย่างแรกเลยคือไม่ชอบสังคมมนุษย์แปลกหน้า อย่างที่สองคือไม่อยากเห็นสายตาของคนอื่นเวลาที่มองไปหาเขา สายตาของคนที่ชื่นชมจนอดบอกตัวเองไม่ได้ว่าผมไม่ควรมายืนอยู่ตรงนี้

   "เป็นอะไรรึเปล่า ปวดหัวเหรอ" ถามพลางแขวนป้ายชื่อเข้าที่คอผม พอจัดป้ายให้เข้าที่แล้วก็ส่งลูกอมถุงสีฟ้ามาให้ด้วยเป็นรางวัล

   "ไม่มีอะไร"

   ตอนนี้เขาก็แขวนป้ายชื่อไว้เหมือนกัน ความผิดปกติของชื่อเล่นที่เขียนด้วยเมจิคสีดำของเขาบอกให้ผมก้มลงอ่านป้ายของตัวเองบ้าง

   "ที่หนึ่ง?" ทวนคำที่เขียนอยู่ซ้ำ ไม่ว่าจะอ่านกี่รอบมันก็ยังเขียนว่าที่หนึ่งแทนที่จะเป็นโรม "นายหยิบป้ายผิด"

   เขม่นใส่คนที่เปลี่ยนชื่อตัวเองหน้าตาเฉย เขาชี้นิ้วมาที่ป้ายของผมแล้วตอบสั้น

   "ไม่ นี่ที่หนึ่ง"

   "ในใบเกิดชื่อโรม"

   "เป็นที่หนึ่งวันนึงแล้วกันเนอะ อยากลองเป็นโรมสักวันมานานแล้ว" เขาไม่ฟังคำค้านของผมเลย "อยากจะรู้ว่าโรมคิดยังไงกับคนที่ชื่อว่าที่หนึ่ง"

   "..."

   เขาคิดผิดแล้วล่ะที่ทำแบบนี้

   ขนาดตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่ารู้สึกยังไง

   "พี่ที่หนึ่งคะ ทุกคนพร้อมแล้วค่ะ"

   หนึ่งในลูกทีมเดินมาเรียกเราสองคน ผมเลยได้จังหวะเลี่ยงตัวออกมาอยู่คนเดียว ให้เขาเข้าไปอยู่ในวงสังคมมันดีแล้วล่ะ อย่าให้เขาต้องมาติดอยู่กับคนไร้อัธยาศัยผมเลย

   จากจุดสตาร์ทไปถึงโรงอาหารกลางใช้เวลาไม่นานนัก มีฝ่ายกิจกรรมคอยอยู่แล้วตรงทางเข้า รอบข้างเงียบสมกับเป็นโรงอาหารในวันอาทิตย์ ภารกิจในฐานนี้ให้แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แข่งกันวิ่งเร็วเพื่อไปหยิบขยะกลับมาแยกประเภทให้ตรงกับสีของถัง ไร้สาระมากในความรู้สึกของผม

   เนื่องจากทั้งกลุ่มมีปีสามเพียงสองคน ผมเลยโดนจับแยกกับที่หนึ่งอัตโนมัติ ในเมื่อเขาให้เป็นหัวหน้ากลุ่มแล้วผมก็ต้องทำหน้าที่ลีดเดอร์ที่ดีหน่อยล่ะ

   "น้องเล่นเลย พี่ไม่ชอบวิ่งน่ะ"

   สั่งคนอื่นแล้วตัวเองมานั่งดูอยู่ริมสนามไง

   "พี่....เอ่อ พี่ที่หนึ่งไม่เล่นเหรอคะ" เด็กสาวผมเปียที่มาพร้อมแว่นกลมขนาดใหญ่ถามขึ้น

   "ความจริงพี่ชื่อโรม พอดีโดนขโมยป้ายชื่อน่ะ" พยักพเยิดไปทางโจรขโมยป้ายที่เดินไปคุยกับฝ่ายกิจกรรมอยู่ ผมไม่ได้คุยอะไรกับน้องเขามากไปกว่านั้น พอเกมส์ใกล้เริ่มผมก็ส่งยิ้มให้ลูกทีมพอเป็นพิธีแล้วหามุมสงบนั่ง การที่ต้องมานั่งปั้นหน้ายิ้มแย้มคุยกับคนไม่รู้จักนี่ไม่ใช่ทางของผมเลยแฮะ

   ระยะทางในการวิ่งไกลพอสมควร ที่หนึ่งเป็นหัวแถวอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด ทันทีที่นกหวีดเริ่มเกมส์ดังขึ้นเสียงเชียร์ก็ตามมาไม่หยุด ผมมองทั้งสองทีมวิ่งไปกลับด้วยความเบื่อหน่าย ไอ้เรื่องการแยกขยะนี่โดนฝังหัวมาตั้งแต่วันแรกที่เหยียบเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว ถังเขียวถังฟ้าถังเหลืองไม่เคยจำได้หรอก อาศัยภาพที่ติดไว้หน้าถังอย่างเดียว

   "พี่ที่หนึ่งน่ารักตลอดเลยเนอะ"

   "ใช่ๆ รักแรกพบอะ"

   "เห็นที่เด็กบัญชีเขาเมาท์กันยัง หัวใจไม่ว่างแล้วนะ"

   ผมว่าตัวเองไม่ได้ตัวเล็กหรือจืดจางอะไรขนาดนั้นนะ ไม่เกรงใจผมหน่อยเหรอ

   "จริงป่ะ จะว่าไปพี่เขาไม่เคยคบกับใครเลยไม่ใช่เหรอ"

   "ใช่ไหมล่ะ ตอนนี้ถึงอกหักกันเป็นแถว"

   "พี่เขาจีบใครอยู่อะ สวยไหม"

   "ปริศนามากแก ไม่มีใครรู้เลยว่าจีบใครอยู่จ้า"

   จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก สงสารตัวเองที่ต้องมาเป็นหัวข้อในการสนทนาของใครอีกคน ผมเขยิบออกไปไกลพอที่จะไม่ต้องได้ยินอะไรเพิ่มเติมอีก เหม่อมองอย่างอื่นไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งจบเกมส์ สิ่งหนึ่งที่เพิ่งรู้คือทีมแพ้ต้องโดนทำโทษด้วย แล้วทีมที่แพ้คงเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากทีมผมเอง ...จงหวังแค่ที่สองพอสินะ อืม ผมลืมวลีนี้ไปได้ยังไงกัน

   "เราจะให้ทั้งสี่คนจับสลากวิธีการลงโทษนะคะ เริ่มจากทางนี้เลย"

   ข้อดีของการได้จับเป็นคนสุดท้ายคือมีเวลาเตรียมใจมากขึ้น เป็นเกมส์เบสิคอย่างพวกเต้นไม่ก็สั่งให้ทำตามคำสั่ง ค่อยโล่งใจหน่อยว่าไม่มีอะไรประหลาด

   ...ซะเมื่อไหร่

   'จงเลือกสมาชิกขึ้นมาหนึ่งคนแล้วพูดประโยคว่า ทุกวันนี้โลกร้อนเพราะคนแยกกันอยู่ เรามาเป็นคู่ลดโลกร้อนกันไหม'

   มันช่วยลดโลกร้อนตรงไหนวะเฮ้ย!

   ผมยืนขมวดคิ้วให้กับคำสั่งอยู่นานจนได้ยินเสียงหนึ่งดังข้างหู

   "ให้ช่วยไหม?"

   สะดุ้งโหยงจนกระดาษคำสั่งตกลงพื้น ยังคงยืนนิ่งในขณะที่อีกคนก้มลงไปเก็บแล้วคืนให้ ที่หนึ่งยิ้มร่ารอคำตอบจากคนที่สติหายไปอย่างผมสักพักจึงถามต่อ

   "ให้หนึ่งเล่นแทนไหมล่ะ น้องโรมไม่ชอบอะไรแบบนี้นี่"

   "ชอบทำตัวเป็นอาสาสมัครอย่างนี้ตลอดเลยรึไง?"

   "เฉพาะกับน้องโรมคนเดียวต่างหาก" เขาหันไปให้สัญญาณกับฝ่ายกิจกรรมว่าพร้อมแล้ว "ก็บอกแล้วไงว่าจีบอยู่ ช่วงทำคะแนนไง"

   เขาพูดอะไรอย่างนี้ออกมาได้ไม่อายปากตลอด ผมเลยค้อนกลับไปวงใหญ่ให้ผู้ชายสุดหล่อแสนดีไร้ที่ติของเหล่าสาวๆ โชคดีเป็นของผมที่เขาพูดเสียงเบา ไม่งั้นถ้าสองคนนั้นอาจได้คำตอบที่ไม่ต้องการก็เป็นได้

   "พูดเองได้ อยากช่วยก็ยืนฟังไป"

   "ครับผม"

   เหลือบไปเห็นว่าคนอื่นกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ มือที่จับแผ่นกระดาษสั่นเล็กน้อยจนต้องผ่อนลมหายใจออกมาเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง

   "หนึ่ง" เขายังคงยิ้มแบบที่หนึ่งสไตล์ "โลกมันร้อน เรามาเป็น...คู่กันไหม?"

   ถึงรู้ว่าความจริงแล้วประโยคมันต้องยาวกว่านี้ แต่ให้ใครมาเจอรอยยิ้มอย่างนั้นก็ลืมบทพูดหมดทั้งนั้นแหละ ผู้ชายอะไรยิ้มเก่งตลอดเวลา ยิ่งเขาจ้องหน้าผมกลับแบบไม่กระพริบตาด้วย

   ประหม่าเป็นยังไงเข้าใจแจ่มแจ้งเลย

   "คิก ด้วยความยินดีครับ" เสียงกรี๊ดกร๊าดตามมาอย่างฉุดไม่อยู่ ผมเดินก้าวยาวๆ กลับไปรวมกลุ่มโดยไม่หันมามองว่าเขาเดินตามหลังมารึเปล่า คนที่ทำตัวติดกับผมเป็นฝาแฝดสยามอย่างนั้นไม่ต้องเดาหรอก เขาพาตัวเองเข้ามาอยู่ในสายตาของผมตลอดนั่นแหละ

   "น้องโรมท่องบทผิด"

   "รู้น่า"

   "แต่บทใหม่ก็ดีเหมือนกัน"

   "..."

   "สัญญาว่าซีนหน้าที่หนึ่งจะเป็นคนพูดบ้าง แล้วจะรอคำตอบจากโรมนะครับ"

   ยกมือขึ้นกอดเข่า หันหน้าไปอีกฝั่งเพื่อที่จะไม่ต้องเห็นหน้าของใครบางคนอีก ผมไม่ให้ความสนใจกับการสรุปเกมส์ที่กำลังเกิดขึ้น ถ้าโทรเรียกแบล็คให้มารับตอนนี้จะโดนด่าไหมนะ ก็ผมไม่อยากอยู่กับที่หนึ่งแล้วนี่นา เขาไม่รู้บ้างหรือไงว่าผมกำลังแสดงออกว่าไม่ต้องการให้เขาเข้ามาใกล้

   ...ก่อนที่ความรู้สึกแปลกๆ จะก่อตัวมากไปกว่านี้


 
   ผ่านมาสามฐาน เป็นช่วงเวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าที่ผมไร้ซึ่งความกระตือรือร้นและการมีส่วนร่วม คนอื่นในทีมคงพอจับสัมผัสได้ว่าผมไม่ต้องการลงไปร่วมกิจกรรมใดๆ ทั้งนั้นเลยปล่อยให้แยกออกมานั่งดูอยู่คนเดียวตามที่ต้องการ ความจริงคือไม่ใช่คนเดียวหรอก พอไปพักที่ไหนก็จะมีเจ้าของชื่อบนป้ายชื่อตามติดอย่างกับเป็นเครื่องติดตาม

   "ไปเล่นกับคนอื่นสิ เขามาเพราะนายกันนะ"

   อันนี้ผมไม่ได้นั่งเทียนเขียนขึ้นเอง ตอนที่ออกจากฐานที่แล้วกลุ่มเด็กปีสองคณะวิทยาศาสตร์ที่มากับพวกผมเขาเปิดประเด็นกันว่าใครมาร่วมกิจกรรมนี้เพราะที่หนึ่งบ้าง จากสี่คนมาเพราะที่หนึ่งสามคน อีกคนมาเพราะอยากจะร่วมกิจกรรมรักโลกจริงๆ ถ้าคนจัดงานได้ยินคงอยากจะโละโครงการนี้ทิ้ง การเอาคนหน้าตาดีมาเป็นสิ่งดึงดูดนี่ถึงจะได้ผลเรื่องปริมาณแต่เรื่องวัตถุประสงค์นี่ผิดไปลิบลับ

   "อยากอยู่ตรงนี้"

   "อู้งาน"

   "ตัวเองก็เหมือนกันนั่นแหละ"

   ผมยกไหล่ขึ้นอย่างไม่สนใจนัก "แล้วไง ไม่ได้อยากมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว"

   "งั้นโดดกัน" หันไปย่นหน้าใส่ ไม่อยากจะเชื่อว่าได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของเขา "อะไรที่น้องโรมอยากได้พี่พร้อมทำให้รู้ไหม"

   "นายไม่ควรให้มาช่วยตั้งแต่ต้น"

   "คนมันไม่พอ"

   "ไปชวนแบล็คนะทีหลัง มาชวนกูนี่คือคิดผิดมาก"

   "สรุปโดดนะ"

   ที่หนึ่งเก่งเรื่องเบี่ยงประเด็น ผมมองสมาชิกร่วมกลุ่มช่วยกันล้วงคำใบ้จากถังน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำเย็นจัดจนมีหยดน้ำเกาะพราว ส่วนตัวแล้วเข้าไม่ถึงความสนุกสนานในการแข่งขันประเภทนี้เลยสักนิด เหมือนเรามาเล่นตลกอะไรก็ไม่รู้ให้คนจัดงานดู

   มีการสรุปกิจกรรมอย่างเช่นทุกฐาน ผมเตรียมไปแสตนบายรอบนจักรยานอย่างไม่แคร์สายตาหลายคู่ที่จับจ้องมา ก็แค่มารอที่จักรยานก่อน ทำอะไรผิดที่ไหน?

   "เดี๋ยวถึงศูนย์หนังสือแล้วเลี้ยวขวานะ"

   เขาตีจักรยานมาคู่กับผม ฐานที่คนในทีมตกลงจะไปต่ออยู่ไกลออกไปพอควร ผมพยักหน้าตกลงให้กับข้อเสนอนั้น

   "เตรียมพร้อม สาม สี่!"

   ในจังหวะที่ทุกคนตรงไปตามทาง เขาก็หักเลี้ยวขวาอย่างที่บอกไว้ล่วงหน้า เร่งจังหวะการปั่นให้เร็วขึ้นหน่อยจนไม่เห็นใครอื่นแล้วจึงหยุดพัก

   "เหนื่อยแฮะ"

   "สม ใครให้ปั่นเต็มแรงอย่างนั้น"

   เขาพยักหน้ารับคำบ่นโดยดี เดินอ้อมมานั่งเบาะด้านหลังของผมจนยวบ

   "ทำอะไรเนี่ย"

   "ขอพักหน่อย"

   "ก็นั่งที่พื้นไปสิ"

   "ไม่เอา อยากนั่งตรงนี้"

   "หนัก ทรงตัวไม่อยู่ด้วย" จักรยานประทับตรามหาลัยเอียงไปทางขวาตามคำบอก หันกลับไปบ่นแบบไม่จริงจังนักใส่คนที่มานั่งเรียกร้องความสนใจอยู่ด้านหลังของผม

   เขาเลยแก้ลำด้วยการยันเท้าทั้งสองข้างลงกับพื้นคอนกรีต ยิ้มแผล่ให้อีกต่างหาก "นี่ไงไม่เอียงแล้ว"

   "ชิ..."

   "ไปไหนกันต่อดีล่ะ"

   "กลับ พักเหนื่อยพอแล้ว ลงไปเลยนะหนึ่ง" พอเขาชวนทิ้งงานผมเลยตั้งใจว่าจะเอาจักรยานกลับไปคืนที่จุดจอดแล้วก็กลับห้อง ที่หนึ่งเดาะลิ้นแล้วท้วงในสิ่งที่ผมลืมคิดไปสนิท

   "กลับไปตอนนี้ก็รู้ว่าเราหนีงานสิ"

   "เออเนอะ"

   "ปั่นจักรยานเล่นรอบมอกัน เดี๋ยวหนึ่งพาทัวร์เอง"

   ผมปฏิเสธข้อเสนอทันควัน "ไม่"

   "ทำไมล่ะ"

   "อยู่มาปีที่สามยังจะทัวร์อะไรอีก"

   "งั้นนอกจากตึกเรียนรวม สำนักทะเบียน แล้วก็โรงพยาบาลที่เข้าตอนปีสองเคยไปที่ไหนอีกบ้าง"

   ผมลอบถอนหายใจให้ความจริงที่เขาขุดขึ้นมา ที่บอกว่ารู้ทุกเรื่องนี่ไม่ได้โกหกสินะ

   "ว่าไง ตอบมาหน่อย"

   "เฮ้อ...จะให้ปั่นไปทางไหน" เปลี่ยนท่าให้พร้อมเคลื่อนที่ รอให้อีกฝ่ายเดินกลับไปที่จักรยานของตัวเอง ก็รอมาเป็นนาทีแล้วทำไมผมยังรู้สึกถึงน้ำหนักที่ถ่วงไว้อยู่ดี เมื่อไหร่จะลงไปครับที่หนึ่ง

   "ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายหน้า ไปนั่งเล่นในสวนใหม่กัน"

   นอกจากไม่ยอมลงแล้วยังทำตัวเป็นจีพีเอสกำหนดเส้นทางให้ผมอีกต่างหาก

   "ไปปั่นของตัวเองสิ"

   "ขาหมดแรง ปั่นไม่ไหวแล้ว"

   "นักกีฬาบาสทำได้แค่นี้รึไง"

   แอบแขวะไปนิดหน่อยด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัวล้วนๆ ผมเริ่มออกแรงถีบจักรยานจนมันเคลื่อนตัว แบล็คเคยเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลอยู่ช่วงหนึ่งสมัยมัธยมปลายก่อนโดนชมรมเทนนิสลากกลับไปเพราะคนไม่พอ นั่นเลยทำให้ผมติดสอยห้อยตามไปสนามบ่อยๆ เพื่อรอกลับบ้านพร้อมกัน

   "เห รู้ด้วยเหรอ?"

   "ไม่รู้ บอกทางต่อสิ"


***
   ต่อด้านล่างเลยค่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
«ตอบ #197 เมื่อ06-11-2015 23:16:44 »

 :pig4:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
«ตอบ #198 เมื่อ06-11-2015 23:34:28 »


   "ตรงตามทางไปเรื่อยๆ เลย เดี๋ยวจะไปโผล่ตรงตึกใหม่" มหาวิทยาลัยนี้รณรงค์เรื่องการใช้จักรยาน เพราะงั้นทางเดินเกือบทั้งหมดจะมีทางจักรยานพร้อมหลังคากันแดดควบคู่ไปด้วย การปั่นโดยมีผู้ชายตัวใหญ่กว่านั่งซ้อนท้ายนี่เล่นเอาหายใจลำบาก "รู้ด้วยเหรอว่าหนึ่งเล่นบาส?"

   "เคยตามแบล็คไปสนามอยู่"

   "แล้วรู้อะไรอีก" มือทั้งสองข้างของเขาโอบรอบเอวผมไว้ ไม่มั่นใจฝีมือการปั่นของผมขนาดนั้นเลยสินะ...

   "รู้ว่าปั่นไปคุยไปไม่ไหว"

   "ไหวน่า โรมไม่เคยออกกำลังกายเลย ต้องให้กล้ามเนื้อได้ทำงานบ้างสิ"

   "แล้วรู้อะไรอีก?"

   ผมย้อนด้วยคำถามที่เขาใช้

   "ไม่รู้อะไรบ้างดีกว่า"

   "มั่นใจ?" หยั่งเชิงกลับ พอปั่นไปเรื่อยๆ มันก็เพลินดีเหมือนกัน สุดทางเป็นตึกใหม่อย่างที่เขาบอก ที่เห็นถัดออกไปคือพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่คงจะเป็นสวนที่เขาตั้งใจมา ผมไม่ค่อยได้มาแถบนี้เลยไม่รู้ว่ามีสวนสร้างใหม่ ปกติเลิกเรียนแล้วถ้าไม่กลับห้องเลยก็รอแบล็ค ชีวิตเรียบง่ายตามแบบของผม

   "ตอนนี้ไม่มั่นใจล่ะ"

   อยากมีตาหลังจะได้รู้ว่าตอนนี้คนที่อยู่ด้านหลังของผมกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่กัน เสียงที่ออกมามันเลยเต็มไปด้วยรอยตัดพ้อได้ขนาดนั้น

   "อารมณ์แปรปรวนนะที่หนึ่ง"

   "...ก็เพราะใครล่ะ" เสียงเบาบางเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าเป็นการตอบโต้ผม เรามาถึงสวนใหม่ที่ดูใหม่สมชื่อเพราะหญ้ายังเขียวชอุ่มไม่มีรอยถูกเหยียบแบน ต้นไม้บางต้นยังไม่ได้ลงดินเลยด้วยซ้ำ

   ตรงกลางของสวนมีแท่นไม้ยกสูงขึ้นมาจากพื้นพอควร ด้านบนปลูกไม้เลื้อยปกคลุมจนแดดลอดเข้ามาได้เพียงแค่เล็กน้อย ผมทรุดตัวลงกับพื้นในเวลาอันรวดเร็ว รู้สึกว่าขาตัวเองสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอมองดูเวลาในโทรศัพท์แล้วผมใช้เวลากับการปั่นไม่ถึงสิบนาที เป็นสิบนาทีที่ยาวนานในความรู้สึกสุดๆ

   "ไม่เป็นไรแน่นะที่หลบออกมาแบบนี้?"

   ผมมันคนไม่สนใจคนอื่นอยู่แล้ว ไม่คิดหรอกว่าคนอื่นจะมองว่าผมไม่ให้ความร่วมมือรึเปล่า แต่ที่หนึ่งเขาเป็นตัวหลักในกิจกรรมไม่รู้ว่าจะโดนอะไรบ้าง

   "ไม่หรอก ก็ยังมีปีสามคนอื่นอีก"

   "มีปีสามอีกเหรอ?" นึกว่าจะเป็นมนุษย์ปีสามแค่สองคนแล้วเสียอีก ตอนที่มีป้ายชื่อมองไปทางไหนก็เจอแต่ปีหนึ่งไม่ก็ปีสองทั้งนั้น

   "มีเวลน่ะ ที่ผมสีน้ำเงิน ...ไม่สิ สีเทาแล้ว อยู่ศิลปศาสตร์"

   "ผมสีเทาที่สูงๆ ดูนิ่งๆ ป่ะ"

   ผู้ชายคนนั้นเด่นมากทั้งจากส่วนสูงที่โดดขึ้นมาแล้วยังทำผมสีเทาอีก ผมเห็นแค่ตอนที่เขาเดินตัดหน้าไปยังสะดุดตา

   "คนนั้นแหละ เวลผู้ลึกลับ"

   "ฉายาเห่ยมาก"

   "มันตรงตัวที่สุดแล้ว มันไม่เคยออกงานเลยไง สตาฟอ้อนวอนแค่ไหนก็เป็นแค่ตากล้องให้ตลอด" เขายื่นขวดน้ำที่เคยเย็นมาให้ ผมรับมันมาแล้วจัดการเพิ่มของเหลวในร่างกายจนพอใจ "อย่างรูปที่ใช้โปรโมตงานนี้เวลก็ถ่าย"

   รูปที่ผมเคยบอกตัวเองว่ามันเต็มไปด้วยความเว้าวอนผ่านนัยน์ตาแล่นกลับเข้ามาในความคิด แอบมองผู้ชายที่นั่งถัดออกไปว่ากำลังทำอะไรอยู่ พอเห็นว่าเขาให้ความสนใจกับเครื่องมือสื่อสารของตัวเองเลยเลื่อนขึ้นมามองใบหน้าแทน จะว่าไปตั้งแต่ได้รู้จักกับเขาผมยังเห็นแววตาแบบนั้นอยู่ไหมนะ

   "รูปขาวดำนั่นน่ะเหรอ"

   "อืม ตรงโรงอาหารไง โรมน่าจะเคยเห็นแหละ"

   "รูปสวย" ผมชมไปตามความจริง

   "แล้วคนในรูปล่ะ"

   "อยากให้บอกว่าสวย?"

   "ถ้าน้องเป็นคนพูดก็โอเค"

   "รูปสวย คนถ่ายเก่ง"

   ที่หนึ่งโคลงหัวไปมาพลางตอบผม "ตลอดเลยนะน้องโรม ก็ตามนั้นแหละ ทุกคนบอกว่าเวลถ่ายรูปคนสวย แต่เจ้าตัวเขาอินดี้ชอบถ่ายก้อนหินบนท้องฟ้ามากกว่า"

   "ก็ดูเหมาะกับคำว่าลึกลับดี"

   ไม่สนว่าพื้นไม้จะเต็มไปด้วยฝุ่นมากแค่ไหน ผมเอนตัวลงนอนยาวพักร่างกายที่ล้าไปหมด ถอดหมวกออกมาปิดหน้าเพื่อป้องกันแสงอีกชั้นหนึ่ง ขนาดหมวกก็ยังมีกลิ่นน้ำหอมของเขาเลย

   "จะนอนเหรอ?"

   "ไม่ แค่พักสายตา"

   "ต้องหัดออกกำลังกายมากกว่านี้รู้ไหม"

   "..."

   "ไว้ไปเล่นบาสกันนะ"

   "ไม่ ไป" ผมย้ำชัดด้วยการเน้นทีละคำ

   "งั้นสัปดาห์หน้าแล้วกันเนอะ หลังควิซวันอังคารก็ดีเหมือนกัน"

   "ไม่เอา"

   "ตีแบต?"

   "ไม่"

   "ไปวิ่งที่ฟิตเนสใต้คอนโดก็ได้"

   "เลิกยุ่งได้แล้วที่หนึ่ง!"

   เผลอกระชากเสียงออกไปไม่รู้ตัว ถ้านิชอยู่ผมต้องโดนดุหรือไม่ก็โดนแบล็คสั่งให้ไปคัดเรียงความเรื่องการควบคุมอารมณ์ในการสื่อสารกับบุคคลอื่นแน่ ผมอารมณ์ไม่ดีมากๆ เลยที่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่ใจต้องการ การเข้ามามีบทบาทของที่หนึ่งในชีวิตของผมไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิดขึ้น เราควรอยู่ในมิติที่ต่างกันแบบเดิม

   ใช่ว่าไม่คิด คิดเสมอแหละว่าทำไมถึงยังปล่อยให้เขาวนเวียน ผมว่าถ้าเป็นคนปกติเจอแผลงฤทธิ์ใส่อย่างนี้ร้อยทั้งร้อยไม่ตื้อต่อหรอก เพียงแค่ผมไม่เคยรู้ว่าเขาไม่ปกติเลยยังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน เขาไม่ควรพยายามเข้ามาในโลกของผม สิ่งที่ผมคิดว่าดีมากที่สุดคือการที่เขายอมจบความต้องการของตัวเองลงเสียที

   ...พร้อมทำให้รู้ไหม

   และเขาก็ทำอย่างที่บอกผมไว้

   ได้ยินเสียงฝีเท้าไกลออกไป ก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องพรรณนี้อีกแล้ว ไม่ต้องเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนนั่นอีก ผมไม่ควรให้อาการแพ้ที่หนึ่งลุกลามไปมากกว่านี้

   ถอนหายใจยาวจนหมดลมเพื่อไล่ความรู้สึกหน่วงที่ตอกย้ำว่าที่หนึ่งไม่อยู่แล้วให้ออกไป กลิ่นหอมหวานของหมวกยิ่งทำให้สติกระจายจนกู่ไม่กลับ ถ้าทิ้งหมวกไว้ตรงนี้คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ถ้าเขาอยากได้คืนเดี๋ยวก็คงตามมาเก็บเองนั่นแหละ ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยในหัวอีกนานพอควรถึงโดนดึงหมวกออกไป ตาหรี่ลงโดยอัตโนมัติเมื่อแสงกระทบหน้ากะทันหัน ยามที่เริ่มปรับสายตาให้เข้ากับความเข้มของแสงได้แล้วถึงรู้ว่าตอนนี้ใบหน้าของอีกคนโน้มเข้ามาใกล้จนน่ากลัว

   "คิดว่าไล่แล้วจะไป?"

   "..."

   ผมเงียบแล้วใช้เพียงใบหน้าไม่สบอารมณ์ส่งไปให้ เขารู้อยู่แล้วว่าการบังคับให้ทำอย่างที่ต้องการไม่ต้องใช้อะไรมากไปกว่าการยิ้มแล้วทำเหมือนผมไม่เคยพูดอะไรออกมาทั้งนั้น

   "ก็รู้ไม่ใช่รึไงว่าใช้วิธีนี้กับหนึ่งไม่ได้"

   "งั้นบอกมาว่าต้องใช้วิธีไหนถึงจะออกไปจากชีวิตกู"

   "โรมรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายที่ชื่อที่หนึ่งบ้าง"

   เขาไม่สนอาการโมโหร้ายของผมเลย ซ้ำยังเปลี่ยนเรื่องที่ถามอีกต่างหาก ผมไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลขนาดที่จะต่อล้อต่อเถียงไม่จบสิ้นเลยตอบคำถามเขาไปสั้นๆ

   "ไม่รู้"

   "งั้นอย่างแรก" พอมองรอบข้างดีๆ แล้วถึงรู้ว่าที่หนึ่งกำลังกักผมไว้ด้วยร่างกายของเขา "รู้ไหมว่าเราทำผมสีเดียวกัน ไปทำร้านเดียวกันแล้วก็ใช้ช่างคนเดียวกันด้วย ถึงสุดท้ายสีจะเพี้ยนไปหน่อยก็เถอะ"

   เบนสายตาไปมองสีผมตามที่เขาบอก จะว่าไปสีมันก็คล้ายอย่างที่เขาบอกจริง ตอนแรกผมก็สีดำธรรมดานี่แหละ จนวันนั้นเกิดอารมณ์ดีอะไรขึ้นมาไม่รู้พาตัวเองเข้าร้านทำผมแล้วชี้ไปที่ชาร์จสี อีกหลายชั่วโมงต่อมาผมเลยหัวสีน้ำตาลออกมาทักทายชาวโลก

   "อย่างที่สอง" คราวนี้เขาก้มลงมาต่ำกว่าเดิมอีก ผมเลยหลับตาลงทันควัน "ที่ยอมเล่นดนตรีสมัยมอปลายก็เพราะว่านิชเล่นกลองอยู่แล้วโรมชอบมานั่งดูด้วย"

   "..."

   นิชเล่นกลองในวงดนตรีของโรงเรียน เมื่อก่อนพี่ชายคนนี้ของผมมักจะใช้ชีวิตอยู่แค่ในห้องสมุด ห้องศิลปะหรือห้องดนตรี อย่างห้องสมุดผมก็เคยตามไปอยู่หลายครั้งจนยอมรับว่าเราไปด้วยกันไม่ได้ พอนิชไปซ้อมดนตรีคนว่างงานตลอดเวลาอย่างผมเลยขอตามไปทุกครั้ง นิชมีความเวทมนต์พิเศษในการสะกดคนด้วยเสียงดนตรี

   "สนใจจะฟังอย่างที่สามไหม" เกือบเป็นคำกระซิบข้างหู รู้สึกได้ว่าเขาขยับตัวมาใกล้จนร่างกายเราสัมผัสกัน ฮือออ แค่ธรรมดายังแพ้ราบคาบแล้วโหมดดาร์กจะเอาอะไรไปสู้ครับ

   "ไม่ฟังงง"

   เขาหัวเราะออกมาเต็มเสียง "งั้นเล่าต่อ ตอนแรกได้ทุนที่อื่น แต่พอรู้ว่าโรมเลือกที่นี่หนึ่งเลยสละสิทธิ์มาแอดที่นี่แทน"

   ที่หนึ่งแม่งบ้า

   "เรื่องที่สี่คือตอนถ่ายรูปโปรโมตเวลไม่ยอมให้ผ่านสักที เอาแต่บอกว่าฟีลมันไม่ได้ จนมันบอกให้คิดถึงหน้าคนที่อยากจะเป็น 'ของคุณ' เข้าไว้นั่นแหละเทคเดียวผ่านฉลุย อยากลองตอบไหมว่าคิดถึงใคร ที่หนึ่งคิดถึงแต่โรมคนเดียวเลยนะ"

   บ้ามาก

   "ที่จริงยังมีเรื่องอีกเยอะที่อยากเล่าให้ฟัง แต่เก็บไว้ก่อนดีกว่า"

   เมื่อเสียงห่างออกไป ผมเลยลืมตาขึ้นมาสำรวจความปลอดภัยของตัวเอง ทุกอย่างยังคงปกติดีไม่มีร่องรอยบุบสลาย เว้นเสียอย่างเดียวที่ทำงานหนักจนผมกลัว

   จังหวะการเต้นของหัวใจ

   ยอมลุกขึ้นมานั่งเผชิญกับใบหน้าแสนจริงจังของอีกฝ่าย ขนาดวันที่เขาบอกว่าจะจีบผมในร้านอาหารครั้งแรกมันยังไม่ชัดเจนขนาดนี้

   "อาจจะดูบ้านะแต่ทั้งชีวิตไม่เคยอยากเป็นที่หนึ่งขนาดนี้มาก่อน เพราะงั้นถ้าคิดว่าดื้อแล้วหนึ่งจะหยุดชอบบอกเลยว่ามันไม่มีประโยชน์" หมวกใบใหญ่ถูกกดลงบนศีรษะของผมตามเดิม "ไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไรที่ทำให้โรมหนีขนาดนี้ แต่หนึ่งขอโอกาสให้ตัวเองได้พิสูจน์ได้ไหมว่าความรู้สึกนี้เป็นเรื่องจริง จนถึงวันหนึ่งถ้าโรมไม่อยากรับมันไว้แล้วก็บอกมา หนึ่งจะเดินออกไปเอง"

   "..."

   เคยเห็นในละครว่าการแสดงออกถึงอารมณ์อะไรบางอย่างจำเป็นต้องใช้สีหน้าท่าทางประกอบ

   ไม่เหมือนผู้ชายคนนี้ที่ไม่ต้องมีท่าทางประกอบใดๆ แค่สายตากับน้ำเสียงมั่นคงตลอดการพูดก็เพียงพอที่สื่อให้ผมรู้ถึงหัวใจของเขา

   "คงเลิกฐานกันแล้วล่ะ กลับไปคืนจักรยานกัน"

   เดินตามหลังไปโดยไม่ปริปากพูดอะไร เราสองคนกลับไปยังจักรยานที่จอดไว้ตรงลานกว้าง คราวนี้ที่หนึ่งเป็นคนขี่บ้าง ผมเลยขึ้นไปซ้อนเบาะหลังแบบหันหลังให้คนขับ คนต้องออกแรงปั่นไม่ได้ดุที่ผมนั่งท่าอันตรายแบบนี้ เขาเพียงแค่เตือนให้ผมจับเบาะไว้ให้ดีเท่านั้นเอง

   เหม่อมองมุมแปลกตาที่ไม่เคยสนใจมาก่อนจนถึงจุดที่ผ่านมาเมื่อช่วงเช้า ทั้งที่เป็นถนนเส้นเดียวกันแต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันลิบลับ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของผม

   ...บางทีการเดินที่ผมเคยบอกแบล็คอาจเป็นการซ้อนท้ายจักรยานโดยหันหลังอย่างที่ผมกำลังทำ

   ยังคงเดินต่อไปแต่ไม่เคยมองข้างหน้า ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับอดีตที่จบไปนานแล้ว ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้ตัวเองกลับหลังหันมาเผชิญปัจจุบัน

   'โรมรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายที่ชื่อที่หนึ่งบ้าง'

   นั่นสิ

   ผมรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้างนะ

   นอกจากเรื่องสีผม เรื่องเล่นดนตรี เรื่องมหาลัย แล้วก็เรื่องภาพโปรโมต

   แล้วถ้าผมกลับหลังหันตอนนี้มันจะทันรึเปล่า จะมีความกล้าแค่ไหนที่เดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง

   "...ช่างมันเถอะ"

   ยังไงผมก็เป็นน้องเล็กจอมเอาแต่ใจอยู่แล้วนี่ จะทำตามใจตัวเองอีกหน่อยคงไม่แปลก

   เขยิบตัวเองเข้าไปจนหลังชนกับคนปั่น สัมผัสได้ว่าเขาสะดุ้งนิดหน่อยตอนที่ผมพักตัวเองในท่านั้น

   คนที่บอกว่าตัวเองรู้ทุกอย่างคงเข้าความหมายของผมใช่ไหม?


 
   "ว่าไงน้องโรม"

   "หวัดดี"

   ผมทักทายเพื่อนข้างห้องที่มายึดพื้นที่ของผมอาศัยอยู่เป็นครั้งคราว แบล็คมีกุญแจสำรองห้องผมเก็บไว้ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามา เพื่อเป็นฝ่ายควบคุมความประพฤติ

   "ไปไหนมา จะชวนไปกินชาบูตอนเที่ยงแล้วไม่เจอ"

   "ไปช่วยงานหนึ่ง ไอ้บียัวร์อะไรนั่นอะ"

   "...เหรอ" เสียงของเขากดต่ำลงกว่าปกติยามตอบ "ก็ดี ทำกิจกรรมบ้าง"

   "มีอะไรรึเปล่า?"

   นั่นเป็นปฏิกิริยาโต้กลับที่แปลกมากสำหรับผู้ชายที่พูดไว้ว่าอย่างน้องเอ๋อโรมไม่เหมาะกับการทำกิจกรรมอะไรทั้งนั้น ไปไหนก็ทำงานเขาพังหมด เรียกว่าเป็นตัวตั้งตัวตีในการสนับสนุนให้ผมไม่ทำกิจกรรมเลยก็ว่าได้

   "เปล่า"

   พี่ชายต่างสายเลือดของผมตอบแบบไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือเรียน

   "Beyours"

   ลอบมองว่าอีกฝ่ายจะโต้กลับมายังไง แบล็คยังคงใช้สายตาจ้องไปยังตัวอักษรในหนังสือโดยไม่มีท่าทีพิรุธเผยออกมา ผมเลยเดินไปพิงกับชั้นวางทีวีที่อยู่ตรงข้ามกับโซฟา กอดอกอยู่อย่างนั้นให้รู้ว่าผมกำลังต้องการคำตอบ

   อยู่กันมาตั้งแต่จำความได้ ทำไมจะไม่รู้ว่าเขามีอะไรที่ค้างในใจ

   "ไม่ใช่แค่เรื่องที่มาชวนไปร่วมโครงการใช่ไหม"

   ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่างานนี้แบล็คถูกเสนอชื่อให้เป็นตัวแทนหลักเหมือนที่หนึ่ง แน่นอนว่าคำเสนอถูกปฏิเสธกลับไปอย่างไม่ใยดี เพื่อนของผมคนนี้บุคลิกและหน้าตาตีอย่างที่ใครหลายคนคลั่งไคล้ ถึงอย่างนั้นเขาไม่ยอมรับตำแหน่งเดือนคณะรวมถึงตำแหน่งอื่นใดด้วยข้ออ้างว่าไม่ชอบออกสื่อ ที่ผมบอกว่ามันเป็นข้ออ้างเพราะสิ่งที่เขาพูดมันโกหกทั้งเพ คำโกหกที่ใช้กลบเหตุผลที่แท้จริงของการเก็บตัวทั้งหมดล่ะ

   คนเป็นพี่ก็แค่ต้องการที่จะปกป้องน้อง

   หนังสือเล่มหนาบนตักปิดลงแล้ว เขายกไลท์เตอร์ขึ้นมาหมุนในมือไปมาจนผมต้องรีบห้ามไว้ก่อน

   "ไม่มีการสูบเหี้ยอะไรในห้องนี้ทั้งนั้น เราตกลงกันไว้แล้ว"

   "...มีคนมาถามเรื่องไวท์"

   เสียงราบเรียบแสนยะเยือก นัยน์ตาสีดำสนิทไม่มีแววของความขี้เล่นเหลืออยู่ ผมเปลี่ยนจากยืนพิงเป็นนั่งลงกับที่ว่างบนชั้น ควบคุมสติให้มั่นก่อนถามกลับ

   "เมื่อไหร่"

   ผมรู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งคนนั้นจะต้องกลับมา

   แต่ที่ผมไม่รู้คืออีกคนที่มั่นใจว่าจะไม่มีทางต้องพบเจอกันอีกแล้วจะกลับมาเช่นกัน

   "เมื่อวาน มันก็เรียนอยู่ที่นี่" ขยับนิ้วจนเกิดประกายไฟวาววับต่อเนื่อง "มันมาถามกูเรื่องนั้น"

   "แสดงว่าเจอกันแล้ว"

   "คงใช่ เมื่อวานไปรับหลังเลิกเห็นป้ายบียัวร์ของแม่งติดหน้าคณะเลยด้วยซ้ำ"

   "เป็นคนร่วมโปรเจค?"

   "ก็ต้องเป็นอย่างนั้น"

   "แบล็ค..."

   ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขา ความทรงจำในช่วงเวลานั้นตีไปมาจนตื้อไปหมด เขากลับมาเพื่ออะไร แล้วถ้าเขารู้เรื่องทั้งหมดแล้วทำไมถึงยังมาหาแบล็คอีก

   "ปากดีย้ำกับกูว่ามันนี่แหละที่หนีไปกับไวท์ เลยแจกไปให้หมัดนึง"

   "แล้วอีกเรื่องล่ะ" ผมไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ สิ่งที่ผมอยากรู้คืออีกเรื่องที่สำคัญกว่า

   "ถาม กูเลยบอกมันไปตรงๆ จะได้เลิกมายุ่งสักที"

   "คุณพินิจรายงานอะไรมารึเปล่า"

   "ไม่ ปกติ"

   ยิ่งได้ยินว่าปกติยิ่งไม่เชื่อถือ ผู้หญิงที่เป็นสีขาวคนนั้นมีหน้ากากที่แน่นหนาเกินไป ขนาดคนเป็นพ่อก็ยังตามไม่ทันในบางที มีแต่พี่ชายร่วมครรภ์ที่อ่านออกทุกอย่าง

   "เราจะทำยังไงกันดี"

   "ปล่อยให้เป็นไปตามทางของมัน" ราชาที่แบกรับทุกสิ่งไว้บนบ่าเอ่ยพลางเอนตัวลง ใช่ว่าคนเป็นผู้นำจะเหนื่อยไม่เป็น "สงสัยงบไม่พอเขาเลยไม่จ้างกูเล่นภาคต่อ"

   ผมเดินเลี่ยงเข้าไปหยิบขวดเบียร์ที่แช่ไว้ในตู้เย็นออกมาให้ แบล็คจับกระป๋องเหล็กแนบกับหน้าผากอย่างที่ชอบทำเวลาที่ต้องใช้ความคิด ไม่เคยเชื่อเรื่องสังคมที่รู้จักกันเป็นวงกลมมาก่อนจนกระทั่งตอนนี้ คนที่บอกตัวเองไว้ว่าชาตินี้ไม่ต้องมาเจอกันอีกเลยก็โผล่กลับมาเสียอย่างนั้น แถมเรียนอยู่ที่เดียวกันอีกต่างหาก

   "ไปนอนไปน้องโรม ไม่ต้องคิดมากแทนคนอื่นล่ะ"

   โบกมือไล่อีกแหนะ นี่ห้องผมไหมล่ะ

   "มึงนั่นแหละคิดมากแทนคนอื่น"

   "นั่นมันครึ่งชีวิตกู ไม่ใช่คนอื่นว่ะ"

   "ครับๆ"

   "มึงเองก็ไม่ต้องไปคิดต่อเลยนะ อย่าคิดว่ากูไม่รู้"

   นิ้วที่ชี้มาทางผมคือการคาดโทษไว้ จะห้ามไม่ให้ผมคิดต่อคงเป็นไปไม่ได้หรอกนะ ในเมื่อเรื่องราวมันต่อเนื่องกันอย่างไม่มีรอยต่ออย่างนี้

   "ไม่หรอกมึง" เงียบไปครู่หนึ่งยามคิดถึงการตัดสินใจของตัวเอง "กูจะเลิกเดินถอยหลังแล้ว"

   คนเป็นพี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "ถึงว่าหน้ามึงวันนี้แปลกไป"

   "เหรอ"

   "ดีกว่าหน้าแบกโลกไว้ตลอดเวลา มึงไม่ต้องมาแจมกับพวกกูในเรื่องพรรณนี้เลย ใช้ชีวิตของมึงไปเถอะ"

   เดินมาขยี้หัวจนยุ่งเหยิง เขากำลังมองผมด้วยสีหน้าเหมือนอย่างเช่นในอดีต ในเวลาที่ผมได้รับรางวัลหรือได้รับคำชมเชยเขาชอบมาลูบหัวอย่างนี้มากกว่ายินดีเป็นคำพูด

   "แค่เห็นมึงเดินออกมาจากตรงนั้นได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ทุกคนคงดีใจที่ได้ยินมึงพูดอย่างนี้"

   "..."

   "กูเชื่อว่า 'ทุกคน' จะดีใจ"


***
   เจ้าวางโจทย์ให้ตัวเองไว้ว่าเรื่องนี้จะไปช้าๆ เรียบๆ ค่ะ เป็นเรื่องของคนสองคนที่เข้าใจความรักไม่เหมือนกันสักนิด เพราะงั้นแต่ละตอนจะออกมาในรูปแบบไม่ได้หวือหวาอะไรมากมายทั้งนั้น ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาและความรู้สึกที่จะพาไปสู่บทต่อไป ตอนนี้น้องก็เริ่มรู้ตัวเองมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ ให้น้องเรียนรู้ตัวเองและที่หนึ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมั่นใจเนอะ (ยิ้ม)
   แรงบันดาลใจตอนนี้มาจากการที่เคยนั่งซ้อนท้ายจักรยานของเพื่อนอย่างที่น้องโรมทำค่ะ มันเป็นมุมที่แปลกไปจริงๆ นะ ทั้งที่เคยขับผ่านอยู่ทุกวันแต่ไม่รู้สึกคุ้นเคยเลยสักนิด อีกอย่างที่อยากเห็นคือภาพน้องปั่นแล้วที่หนึ่งนั่งอ้อนอยู่ข้างหลังค่ะ (หัวเราะ) มันคงเป็นอะไรที่น่ารักดี
   ขอบคุณทุกคอมเมนท์นะคะ ขอบคุณทุกความรักที่มีให้กับเรื่องนี้ เจ้าอ่านทุกคอมเมนท์ตลอดนะ เป็นความสุขที่เต็มทุกวันของเจ้าให้เต็มจริงๆ (กอดแน่น)
   แล้วกลับมาเจอกันใหม่ค่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
«ตอบ #199 เมื่อ06-11-2015 23:58:58 »

ลึกลับอีกเช่นเคย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
« ตอบ #199 เมื่อ: 06-11-2015 23:58:58 »





ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
«ตอบ #200 เมื่อ07-11-2015 07:26:26 »


เป็นเรื่องที่ต้องตั้งใจอ่านและมโนตามเยอะมาก
อยากรู้เหลือเกินว่าเหล่าพี่ๆนี่มีปูมหลังอะไร
แถมน้องโรมก็ด้วย... ทำไมถึงกลายเป็นคนแบบนี้

เอาใจช่วยที่หนึ่ง ขอให้ที่หนึ่งมีกำลังใจต่อสู้เพื่อเป็นที่หนึ่งของน้องโรมให้ได้เร็วๆ
ขอบคุณมากค่ะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ  :L2:

ออฟไลน์ GMJeam

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
«ตอบ #201 เมื่อ07-11-2015 07:32:27 »

ที่หนึ่งสู้ๆ

ออฟไลน์ ciaiwpot

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1098
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
«ตอบ #202 เมื่อ07-11-2015 07:58:48 »

ไวท์เป็นอะไร
ใครนะที่กลับมา

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
«ตอบ #203 เมื่อ07-11-2015 09:09:24 »

สู้ๆ นะที่หนึ่ง

ออฟไลน์ oss_tw

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
«ตอบ #204 เมื่อ07-11-2015 09:34:47 »

อ่านถึงไวท์ เรานึกถึงเวลเลยอ่ะ

บุคคลลึกลับพอกัน

รอคลี่คลายความรู้สึกของน้องโรมต่อ

ที่หนึ่งสู้ๆน้า

  :L2:

ออฟไลน์ Ferin1A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทที่ 9 [06.11.15]
«ตอบ #205 เมื่อ07-11-2015 10:11:07 »

น้องโรมนี่น้องเล็กจริง ดื้อ เอาแต่ใจ แต่มีออร่าบางอย่างชวนปกป้อง
ทุกคนในเรื่องดูลึกลับหมดเลย  ที่หนึ่งปกติสุดแล้ว? มั้ง

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Limited Book [สิปป์-นิช]

(1)

   ทุกคนสามารถเข้าไปในโลกของศิลปะ
   แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะ ‘เข้าถึง’  ศิลปะ


 
   ผู้ชายคนนี้ตาสวย


   ...จนน่ากลัว


   นั่นคือสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวยามเปิดไฟล์แนบ ผมกดเซฟรูปภาพไว้ในโฟลเดอร์งานภาพเหมือนของเดือนนี้ กลับมานั่งไล่ดูรายละเอียดที่ลูกค้าสั่งมาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ โลกออนไลน์เพิ่มวิธีการหารายได้ให้อาชีพนักวาดรูปบนมากกว่าสมัยก่อน


   และนี่ก็เป็นหนึ่งในลูกค้าที่มาใช้บริการโดยไม่เกี่ยงเรื่องราคาค่างวด


   ส่งงานภายในสองสัปดาห์ ใช้สีน้ำตามที่ผมถนัด รายละเอียดไม่จู้จี้จุกจิกเหมือนลูกค้าบางราย


   กลับมาเปิดไฟล์ที่เพิ่งเซฟลงเครื่องเมื่อกี้อีกครั้ง ภาพผู้ชายผิวขาวกำลังเอียงหน้าไปข้างหนึ่ง ผมสีดำตัดสั้นเปิดข้างเผยให้เห็นรอยไถเป็นรูปตัว D อยู่บริเวณเหนือใบหู ที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือจิวหลากหลายรูปแบบเรียงไล่ลำดับกันไปตาม แถมยังเจาะด้านในอีกด้วย


   โครงหน้าเรียกว่าสวยไร้ที่ติ คิ้วที่ไม่รกหรือบางจนเกินไป จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเฉียบกำลังเหยียดยิ้ม ผมไล่ดูโครงสร้างของใบหน้าอีกครั้งเพื่อจำลองรูปวาดคร่าวๆ พยายามเลยผ่านนัยน์ตาสีดำสนิทที่สบมาราวกับกำลังท้าทายความอดทนกับคนที่ดูภาพนี้อยู่ ตาสองชั้นรีสวยแบบคนตะวันตก คงเป็นพวกลูกครึ่งไม่ก็ลูกเสี้ยว


   ไม่เคยวาดรูปเหมือนของใครที่นัยน์ตาสวยได้ขนาดนี้มาก่อน


   “Happy Birthday to Dix”


   ผมทวนคำที่ลูกค้ารีเควสมา นั่นคงบอกได้ว่าผู้ชายในรูปชื่อ Dix และคงเป็นที่มาของรอยไถตัวดี มันอ่านว่ายังไงนะ เหมือนไม่ใช่ภาษาอังกฤษเลย


   ความจริงยังมีงานอื่นที่ค้างอยู่บนโต๊ะ ผมเลือกที่จะปล่อยงานเดิมให้วางทิ้งไว้อย่างนั้น จัดการปริ๊นท์ภาพสีต้นแบบออกมาอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมที่จะร่างดินสอลงกับกระดาษปอนด์แผ่นใหญ่


   ถามตัวเองเหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ยอมลัดคิวเอาภาพนี้ขึ้นมาทำก่อน ทั้งที่บอกกับตัวเองเสมอว่าจะไม่มีการลัดคิวใดๆ ทั้งสิ้นเพื่อเป็นมาตรฐานในการทำงานของตัวเอง


   ร่างรูปด้วยดินสอเฮชบีจนโครงรูปปรากฎอย่างรวดเร็ว ยิ่งประหลาดใจมากเข้าไปอีกที่เหลียวกลับมามองดูภาพต้นฉบับนับครั้งได้ การร่างภาพของคนที่ไม่รู้จักต้องกลับมาจดจำลักษณะเด่นต่างๆ บ่อยครั้ง แต่ไม่ใช่กับเขา


   เหมือนตรึงทั้งภาพไว้แล้วในความทรงจำ


   เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ใช้สมาธิทั้งหมดไปกับกระดาษขาวที่ถูกแต่งแต้มจนเต็มไปด้วยสีโทนหม่น จุดเด่นของงานผมคือใช้สีเข้มเป็นหลัก งานเกือบร้อยเปอร์เซนต์ไม่เคยมีการใช้สีสว่าง ประจวบเหมาะกับสมัยนิยมที่ใช้การแต่งรูปโดยเพิ่มค่าเฟด (Fade) เข้าไป งานของผมเลยมีลูกค้าต่อเนื่องไม่สะดุด


   วางพู่กันลงบนถาดสีหลังจากตวัดลายเซนต์รูปตัวอนันต์ลง ผมชื่อ ‘นิช’ ที่แปลว่า ‘นิรันดร์’ เพราะงั้นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นอมตะเลยกลายมาเป็นโลโก้ประจำตัว


   “สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้านะ...”


   อวยพรผ่านกระดาษสีหม่น เอื้อมมือไปหยิบซองสีน้ำตาลเตรียมจัดส่งให้กับผู้ว่าจ้าง ผมใช้บริการขนส่งเอกชนแทนที่จะเป็นบริการจากไปรษณีย์ไทยจึงไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพของหลังจากจัดส่ง กระดาษถูกสอดลงไปเกือบครึ่งแผ่นแล้วหยุดลงเสียดื้อๆ ยามที่สายตาสะดุดกับนัยน์ตาสีแปลกนั้นอีกครั้ง


   กวาดมือข้างที่ว่างสะเปะสะปะลงบนโต๊ะตัวเก่ง ขวานหาโทรศัพท์มือถือด้วยความตั้งใจที่จะถ่ายภาพนี้เก็บไว้ก่อน มือสไลด์เลื่อนหาโปรแกรมถ่ายรูปอย่างรวดเร็ว ผมมองภาพที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอของตัวเองด้วยความรู้สึกหลากหลาย อะไรบางอย่างกำลังเตือนผมว่ากำลังถลำตัวเข้าไปในโลกที่ไม่ควรไป


   “...ไม่ดีกว่า”


   วางโทรศัพท์ลง รีบเก็บภาพลงซองให้เร็วที่สุด


   มันก็แค่งานๆ หนึ่งอย่าไปให้ความสำคัญจนเกินไป เขาให้เงินเราส่งงานเท่านั้นเอง


   ต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจ


≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡


   คุณมีข้อความใหม่ 348 ข้อความ


   ตื่นมาพร้อมกับความประหลาดใจขั้นสุด เมื่อหน้าจอแมคที่ไม่เคยปิดโชว์ว่าโปรแกรมไลน์ของผมมีข้อความใหม่มากกว่าสามร้อยข้อความในช่วงเวลาหนึ่งคืนที่ผมหลับไป ส่วนอินสตาแกรมในมือถือก็มีการแจ้งเตือนว่ามีผู้ติดตามไอจีร้านวาดรูปเพิ่มขึ้นมาเกือบสี่พันคน แน่นอนว่ารวมถึงจำนวนไลค์ที่นับไม่ถ้วน


   เกิดอะไรขึ้น?


   ผมปล่อยให้ไลน์ค้างเป็นหลักร้อยไว้อย่างเดิม หันมาให้ความสนใจกับแอพพลิเคชั่นที่ให้ลงรูปพร้อมแคปชั่นอย่างไอจี จริงอยู่ว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมีการแจ้งเตือนเรื่องคนติดตาม แต่มันก็ไม่เคยเยอะขนาดนี้ในเวลาชั่วข้ามคืน ผมมั่นใจว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน


   จะเริ่มจากคนติดตามที่เพิ่มขึ้นมาคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก และยอดไลค์รวมถึงคอมเมนท์ก็เป็นตัวเลือกที่ตัดทิ้งไปเลยได้เช่นกัน ผมเลยเริ่มจากคำสั่งเรียกดูภาพที่ถูกแท็กขึ้นมาเผื่อว่าจะเจอคำใบ้สักอย่างที่ทำให้ผมพ้นจากทางเดินที่มืดบอดนี้ มีคนแท็กไอจีผมใหม่มาเป็นจำนวนไม่น้อย น่าสังเกตคือเกือบทั้งหมดเป็นรูปเดียวกัน


   รูปวาดสีน้ำของผู้ชายคนนั้น


   ผมเริ่มตงิดใจแปลกๆ ไล่ดูทีละรูปเผื่อว่าจะเจอเบาะแส บางรูปมีไลค์เพียงหลักหน่วยจึงตัดทิ้งไปได้เลยว่าไม่มีทางเป็นต้นเหตุของปรากฎการณ์นี้อย่างแน่นอน ไล่ลงไปเกือบสามสิบภาพถึงจะเจอสิ่งที่ตามหา



   _Dix_ : Thank you ps.ใครรู้จักคนวาดช่วยแท็กให้หน่อยนะครับ



   กดเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์ของเจ้าของ รูปตัวแทนเป็นเพียงช่วงนัยน์ตาที่ผมไม่มีทางลืมความสวยงามนั้นได้ คงเพิ่งเลยวันเกิดมาได้ไม่กี่ชั่วโมงเพราะสามสี่รูปหลังสุดคือปาร์ตี้ในร้านอาหาร กองของขวัญใหญ่โต จะมีก็แต่รูปเจ้าปัญหานี่แหละที่เขาถ่ายเดี่ยวไม่รวมกับของขวัญชิ้นอื่น


   จากส่วนไบโอเขียนว่าเป็น singer ถึงว่าคนติดตามเป็นแสน เมื่อได้ข้อสรุปให้ตัวเองว่าปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไรผมก็ปิดแอพไอจีลง มาให้ความสนใจกับไลน์ที่ยังคงเด้งอย่างต่อเนื่อง ไล่ดูคร่าวๆ แบบที่ไม่เข้าไปอ่านเนื้อความ เกือบทั้งหมดคือติดต่อจ้างให้วาดรูป


   ดูท่าว่าเดือนนี้งานผมคงแน่นเอี๊ยด


   ใช้เวลาเกือบทั้งวันในการเคลียร์ข้อความทั้งหมดในไลน์และไอจี ผมวางปากกาลงเมื่อจดข้อความสุดท้ายลงไปในสมุดเรียบร้อย หลับตาลงเพื่อไล่ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตั้งแต่เช้า นี่สินะที่เขาเรียกกันว่างานเข้า


   ผ่อนลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะช้าๆ บอกตัวเองว่าเลิกคิดเรื่องงานแล้วดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีก่อน


   บอกอย่างนั้นแต่ไม่อาจลบสายตาคู่สวยนั้นออกไปได้เลย


   “Dix...”


   จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าคำนี้อ่านว่ายังไง ในเมื่อไล่ภาพให้ออกไปจากความคิดมากเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผลผมเลยหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องเก่งของตัวเองขึ้นมาเปิดโปรแกรมบราวเซอร์อินเทอร์เน็ต พิมพ์คำว่า Dix พร้อมกับ Singer ลงไปจึงพบสิ่งที่ต้องการอยู่ลำดับต้นๆ เป็นแฟนเพจในเฟสบุ๊คมีคนไลค์ครึ่งล้าน


   นั่งตามอ่านหาข้อมูลของผู้ชายคนนั้น ชื่ออ่านว่าดิซ แปลว่าเลขสิบในภาษาฝรั่งเศส ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะเค้าหน้าก็ไม่ใช่แนวคนไทยเสียทีเดียว เป็นนักร้องใต้ดินที่มีผลงานเพลงออกมาต่อเนื่อง บางเพลงผมเคยฟังด้วยซ้ำแต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นเสียงของเขา ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นนักร้องที่ไม่มีสังกัดค่ายเพลง


   รูปภาพในอิริยาบทต่างๆ เรียกไลค์ได้เป็นอย่างดี และยอดจะพุ่งขึ้นไปมากกว่าเดิมถ้ารูปนั้นเป็นรูปที่เขาโชว์กล้ามหน้าท้องเรียงตัวสวยอย่างคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ


   หืม?


   หยุดตากับรูปที่เห็นเพียงเสี้ยวหน้าดูจากโลเคชั่นแล้วคงไม่พ้นร้านหรูสักแห่ง  ดิซในชุดสูทพอดีตัวยืนหลบอยู่หลังมุมกำแพง ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นที่ทำตัวร็อคตลอดเวลาคงไม่เหมาะกับชุดทางการได้ขนาดนี้ โลกไม่ยุติธรรมกับคนบางคนเลยจริงๆ  มือขวาที่จับเมาส์จัดการเซฟรูปนี้ลงเครื่องต่างหากโดยไม่เอาไปปะปนกับไฟล์ตารางงานอื่น


   หยิบกระดาษแผ่นหนาขึ้นมาไว้บนโต๊ะ กะโครงร่างคร่าวๆ ของรูปที่เพิ่งจะบันทึกล่าสุดว่าต้องใช้พื้นที่ส่วนไหนยังไงแล้วเริ่มร่างแบบทันที เป็นอีกครั้งที่ผมจำภาพของเขาได้ขึ้นใจทั้งที่ใช้เวลาดูเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น


   แล้วผมจะวาดไปทำไมน่ะเหรอ


   ในเมื่อเขาพาลูกค้ามาให้ผมขนาดนี้จะให้ผมรับทรัพย์ไปหน้าตาเฉยก็ไม่ใช่ล่ะมั้ง




   ...และผมน่าจะยอมเป็นคนเนรคุณ


   ในไอจีเต็มไปด้วยยอดไลค์สมกับมีผู้ติดตามเป็นแสน เขาลงรูปที่ผมวาดแล้วฝากส่งไปทางไปรษณีย์ลงในไอจีเมื่อสิบสองชั่วโมงที่แล้ว แท็กร้านของผมตรงกลางรูป แคปชั่นใช้เพียงอีโมติค่อนรูปหัวใจสีแดงสามดวงติดต่อกัน


   หัวใจอย่างนั้นเหรอ


   ไล่อ่านคอมเมนท์ตั้งแต่ต้น ส่วนมากเป็นแฟนคลับที่ตั้งข้อสังเกตว่าคนที่ให้จะต้องเป็นคนพิเศษของนักร้องหนุ่มอย่างแน่นอน เพราะเขาให้ความสำคัญกับรูปวาดสีน้ำนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว และครั้งนี้พิเศษยิ่งขึ้นโดยการใส่แคปชั่นรูปหัวใจที่มักเกี่ยวข้องกับเรื่องของความรัก


   “ทำบ้าอะไรของเขา...”


   ผมไม่ได้เขียนข้อความอะไรลงไปมากมายในการส่งครั้งล่าสุด ถ้าพูดให้ถูกคือเขียนเพียงแค่ ‘Thanks for support’ ลงไปเท่านั้นเอง


   “งานเก่ายังเคลียร์ไม่หมดเลยนะเว้ย”


   บ่นกับตัวเองอย่างไม่จริงจังนัก พอเขาลงรูปโปรโมตให้ผมแบบไม่เสียเงินสักบาทมันก็จะตามมาด้วยสมาชิกที่ทักผ่านช่องทางไลน์มาติดต่อเรื่องงานเป็นจำนวนไม่น้อย ได้เงินมันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ผมไม่ได้ทำเป็นอาชีพเต็มตัวขนาดนั้น เป็นงานอดิเรกที่ทำตอนว่างจะเป็นนิยามที่ถูกต้องมากกว่า


   จริงอยู่ว่าผมเรียนต่อในโรงเรียนศิลปะแทนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยตามค่านิยมของเด็กไทย มันไม่ได้หมายความว่าผมเรียนไม่เก่งหรอกนะเพราะผมเป็นหนึ่งในห้าของเด็กเรียนดีเสมอสมัยอยู่มัธยมปลาย ก็แค่ไม่ชอบที่ต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่กับโลกที่ไม่ใช่ของเรา สังคมที่ไม่ใช่ของเรา สี่ปีอาจไม่ใช่เวลายาวนาน ...และก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่สั้นเช่นกัน


   โชคดีที่พ่อกับแม่เคารพการตัดสินใจของผม ทั้งคู่จบปริญญาในต่างแดนเลยทำให้ความคิดความอ่านต่างจาก ‘คนอื่น’ ค่อนข้างมาก อีกอย่างงานศิลปะเองก็ไม่ใช่งานที่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคมมากเท่าไหร่นัก แต่พ่อแม่ผมก็บอกแค่เพียงว่า


   ‘หน้าที่ของหนูคือใช้ชีวิตให้คุ้ม หน้าที่ของพ่อแม่คือคอยสนับสนุนให้หนูได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากทำ’


   บุพการีใครก็ไม่รู้โคตรเท่


   ถามว่าเหงาไหมที่เห็นเพื่อนสนิทเกือบยกกลุ่มไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ก็เหงาแหละ เพียงแค่ว่าผมมีอิสระกว่าพวกเขาในการใช้ชีวิตที่ไม่โดนตีกรอบให้เรียนตามตาราง สอบปลายภาค ทำงานกลุ่ม วนเวียนไปเรื่อยๆ


   อาจเป็นเพราะผมชื่อนิช


   ที่แปลว่าผู้เป็นตัวเองได้เช่นกัน


   หลังจากที่ส่งรูปไปขอบคุณให้นักร้องไร้สังกัดคนนั้นผมก็คอยเตือนตัวเองว่าให้ลืมไปซะว่าทำอะไรลงไป ให้กลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงเสียที ผมว่าผมทำมันได้ดีมาตลอดนะ จนกระทั่งอีกฝ่าย ‘จุดเชื้อไฟ’ ขึ้นมาอีก


   คราวนี้ผมไม่รู้จะดับกองเพลิงนี้ได้อย่างไรจริงๆ


   ใช้ชีวิตอยู่กับความว้าวุ่นในหัวใจจนพอควรแก่เหตุ ผมสะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่านออกไปแล้วเดินไปนั่งหน้าคอมแมคเครื่องใหญ่ ไลน์ร้านบอกว่ามีมากกว่าร้อยข้อความใหม่ ผมไล่เพียงให้ผ่านตา ไม่มีอะไรน่าสนใจ


   เอ๋...?



   Di[X] : ขอจ้างวาดรูปหน่อยครับ



   ผมเปิดเข้าไปอ่านข้อความโดยไม่คิด เป็นพวกคลั่งนักร้องเข้าขั้นรึไงถึงใช่ชื่อไลน์เป็นชื่อนี้ รูปตัวแทนก็เป็นรูปของนักร้องเจ้าปัญหาที่นำพามาซึ่งความปวดประสาทให้ผมไม่หยุดหย่อน



   infiNITy.gallery : ขอทราบรายละเอียดครับผม ; )

   Di[X] : รูปนี้ ขนาดเอสี่ ขอเลขบัญชีด้วย




   รูปที่เขาส่งมาไม่ต่างจากที่คาดไว้ รูปของดิซในอิริยาบทที่ผมว่าเป็นส่วนตัวไปสักหน่อย เขานั่งอยู่บนเตียงหลังพิงกับพนัก ท่อนบนเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมีผ้าห่มสีขุ่นบังท่อนล่างไว้ ปากคาบแท่งนิโคตินสีดำสนิทไว้ มือข้างหนึ่งกำลังจุดไฟแช็คส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นมาบังลม จากความรู้สึกไม่คิดว่าเป็นรูปถ่ายแบบด้วยความเป็นธรรมชาติจนเกินไปหลายประการ
ถ้าให้เดาคงเป็นแฟนคลับที่คลั่งไคล้ไม่ใช่น้อยถึงมีรูปแบบนี้ได้



   infiNITy.gallery : มีรีเควสอะไรเป็นพิเศษไหมครับ หรือว่าให้วาดตามต้นฉบับเลย

   infiNITy.gallery : นี่ครับเลขบัญชี




   ผมถามตามสเต็ป ลูกค้าบางคนก็ชอบให้ปรับนู่นแต่งนี่ตามความชอบส่วนตัว จากทรงแล้วคงเป็นลูกค้าที่ไม่เรื่องมากถึงขอเลขบัญชีไวอย่างนี้ จัดการส่งภาพที่เต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการโอนเงินและวิธีการจัดส่งให้ตามไปอย่างไม่รอช้า


   การซื้อขายบนโลกออนไลน์ต้องเร็ว ทุกอย่างพร้อมที่จะเปลี่ยนไปในทุกนาที


   คำว่ารี้ดขึ้นทันทีที่รูปส่งไปถึง ไม่รู้ว่ารีบอะไรนักหนาขนาดนั้น ผมเปิดหน้าต่างสนทนาค้างไว้เผื่อว่าเขาจะตอบกลับมาว่าต้องการให้เพิ่มเติมอะไรพิเศษอีกไหม


   รอไม่ถึงห้านาทีเสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น


   ผมหยิบมือถือขึ้นมาสไลด์ดูข้อความใหม่ การแจ้งเตือนอัตโนมัติที่จะส่งทันทีที่มีการโอนเข้าของเงินจากธนาคารแห่งหนึ่ง จำนวนเงินที่ถูกโอนเข้ามามันมากผิดปกติจนผมต้องกระพริบตาซ้ำ


   มีอะไรผิดพลาดแล้วแน่


   หันกลับไปมองหน้าจอคอมที่เปิดค้างไว้ ลูกค้าปริศนาตอบกลับมาเมื่อนาทีที่แล้ว



   Di[X] : อยากวาดแบบไหนก็วาด

   Di[X] : โอนเงินแล้ว เช็คด้วย




   ภาพที่เขาส่งแนบกลับมาคือหลักฐานการโอนเงินบนธนาคารออนไลน์ ผมเทียบเลขบัญชีกับวันเวลาในการโอน พบว่าตรงกันทุกประการ



   infiNITy.gallery : คุณโอนเงินมาเกิน รบกวนขอเลขบัญชีเพื่อคืนเงินด้วยครับ

   Di[X] : ขอรับรูปวันเสาร์หน้า ที่ร้าน X-ART

   Di[X] : มาส่งเอง




   “...”

   สายตายังคงจ้องมองที่กระดานสนทนา ในใจเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อย่างแรกเลยคือผมไม่ชอบการออกไปพบปะผู้คนมากนัก อย่างที่สองคือผมสังหรณ์ในแปลกๆ ว่าอีกฟากไม่ได้เพียงแค่ชื่นชอบดิซเท่านั้น



   infiNITy.gallery : ขอเลขบัญชีดีกว่าครับ คนวาดไม่สะดวกในการเดินทางเท่าไหร่



   ความจริงบ้านของผมตั้งอยู่บนแหล่งทำเลทองของเมืองหลวง แต่ถ้าไม่อยากออกไปก็มีค่าเท่ากับไม่สะดวกในการเดินทางนั่นแหละ



   Di[X] : เจอกันเที่ยงตรง



   “คนบ้าอะไรเนี่ย”


   ผมยังคงทักตามไปอีกสองสามประโยค ลูกค้าแสนพิลึกเพียงแต่รี้ดแล้วไม่มีการตอบกลับใดๆ นั่นไง อยู่ดีไม่ว่าดี ดันเจอลูกค้าแปลกๆ อีกต่างหาก


   เปิดไฟล์รูปขึ้นมาดูอีกครั้ง ยอมรับเลยว่าผู้ชายคนนี้ดูดีจนน่าอิจฉาทั้งหน้าตารูปร่างและรสนิยมในเรื่องของแฟชั่น กลุ่มผมไม่มีใครบ้าแฟชั่นอย่างนี้สักคนเดียว ขนาดคนที่ดูเข้าสังคมมากที่สุดอย่างแบล็คเองก็จะมีรูปแบบการแต่งกายที่เป็นแพทเทิร์นเดิมซ้ำๆ วนไปมา กางเกงยีนส์แบรนด์ดังกับเสื้อยืดพอดีตัว พอดีมันเป็นพวกดูแลหุ่นตลอดเวลาไงเลยไม่ต้องมากังวลเรื่องรูปร่างขนาดนั้น


   สูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ


   เงินก็เข้าบัญชีมาแล้วอีก จะทำยังไงได้ล่ะ
 

≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2



   เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอเมื่อไม่ต้องการ


   รู้ตัวอีกทีก็วันเสาร์เสียแล้ว ทั้งสัปดาห์ผมหัวหมุนกับงานวาดที่ยาวเป็นหางว่าว ได้นอนวันละไม่กี่ชั่วโมงเพราะต้องเร่งปิดงานล็อตนี้ให้หมดก่อนการสอบเก็บคะแนนที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วัน จริงอยู่ที่การวาดรูปวัดเป็นคะแนนได้ยาก ทักษะของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน แต่ผมก็ไม่ชอบให้ผลงานออกมาไม่ดีนี่


   สวมหมวกสีเทาเข้มใบใหญ่ที่น้องโรมกับเน็ทหุ้นกันซื้อในวันเกิดเพื่อป้องกันแดด ย่นหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจนักยามที่เดินออกมาเผชิญกับความพลุกพล่านภายนอก คน เสียงดัง มลพิษ ไม่เห็นน่าอภิรมย์ตรงไหน


   เปิดโทรศัพท์เพื่อเช็คเส้นทาง ร้านอยู่ห่างจากบ้านของผมเพียงสองป้ายรถไฟฟ้า ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีก็ถึงอย่างที่คิด ร้านคาเฟ่ขนาดสองชั้นสไตล์ลอฟท์แบบที่โปรดปรานเป็นพิเศษ ของในร้านเน้นโทนมืดอย่างดำเทามากกว่าที่จะเป็นสีโทนสว่างหรือเอิร์ธโทนอย่างที่นิยมกันในปัจจุบัน


   เดินไปสั่งลาเต้ปั่นพร้อมกับแซนวิชไส้ทูน่าเป็นสิ่งรองท้อง คงเป็นรสนิยมส่วนตัวของเจ้าของร้านที่ชอบแนวร็อคไม่ก็โกธิค ขนาดบาริสต้ากับพนักงานเก็บเงินยังมาในแนวชุดสีดำ เจาะจมูกเจาะปากกันหมด


   “ทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบสองบาทครับ”


   ผู้ชายผมสีเขียวมิ้นท์ยาวระต้นคอเอ่ยกับผม ป้ายชื่อที่กลัดอยู่เขียนว่า ‘PING’ เขาอยู่ในชุดเชิ้ตสีดำพับแขนถึงศอก มีโลโก้ร้านปักอยู่ตรงอกเสื้อ ที่สะดุดตาคงเป็นจิวใหญ่ที่เจาะตรงหางตา หน้าตาดี มีบุคลิก คงมีสาวน้อยหลายคนในร้านถูกล่อลวงด้วยหน้าตาของเขา


   วางซองงานลงบนโต๊ะคิดเงินเพื่อให้สะดวกแก่การหยิบของในกระเป๋า ผมคว้ากระเป๋าเงินของตัวออกมาเตรียมหยิบเงินในช่องใส่แบงค์


   “มาส่งของให้ดิซเหรอครับ?”


   “อะไรนะครับ?”


   “นี่” เขาชี้ไปยังซองสีน้ำตาลของผมที่มีเขียนมุมซองว่า Di[X] ตามชื่อไลน์ของคนสั่ง “ของดิซใช่ไหม?”


   “อ่า...ผมก็ไม่รู้ว่าลูกค้าผมชื่ออะไรแฮะ พอดีเขานัดให้ผมมาส่งงานที่นี่น่ะ”


   ตอบพลางยื่นแบงค์สีแดงให้เขาสองใบ ชายที่น่าจะชื่อว่าปิงเพียงส่ายหัวราวกับเอือมระอาอะไรสักอย่างเต็มทน “ไม่ต้องจ่ายหรอก เฮ้ยเอมมาดูหน้าเคาท์เตอร์แทนพี่แป๊บดิ” ท้ายประโยคหันไปตะโกนเรียกคนที่นั่งกดโทรศัพท์อยู่ถัดไป “คุณตามผมมา”


   ในมือเขามีถาดกลมสีดำที่มีเครื่องดื่มกับแซนวิชของผมอยู่ เขาพาตัวเองอ้อมออกมานอกเคาท์เตอร์แล้วนำผมไปยังบันไดวนที่ต่อไปถึงชั้นสอง ข้างบนสว่างมากกว่าข้างล่างพอควรเป็นผลมาจากการใช้กระจกบานใหญ่ติดไว้ตลอดแนว มีโต๊ะหลากหลายแบบให้เลือกสรรตามความชอบ


   เจ้าของคงจบพวกออกแบบภายในมาแหง


   พนักงานตัวสูงพาผมมายังโต๊ะสี่เหลี่ยมสีดำสนิทที่อยู่ริมสุดของร้าน วางของที่ผมสั่งลงแล้วหันมาบอกเสียงเรียบ


   “รออยู่นี่ เดี๋ยวพามา”


   “ขอบคุณมากครับ”


   ตอบกลับตามมารยาท ปิง (ผมจะโมเมว่าเขาชื่อนี้ไปแล้วกัน) พยักหน้าให้ผมแล้วเดินลิ่วไปอีกฝากหนึ่งของร้าน โต๊ะริมสุดติดกระจกในวันที่เมฆมากไม่ร้อนเท่าไหร่นัก ลูกค้าของผมคงมานัดรับงานที่ร้านบ่อยล่ะมั้งพนักงานเลยจำได้ขนาดนี้


   หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอะไรดูเรื่อยเปื่อย โลกโซเชียลเป็นอะไรที่ผมไม่เข้าไปมากนักด้วยสาเหตุหลายประการ อย่างที่ชัดที่สุดคือผมไม่รู้จะอัพเดตอะไรในชีวิตลงไปดีในเมื่อวงจรชีวิตของผมในแต่ละวันก็วนเวียนในรูปแบบเดิม เฟสนี่มีเหมือนไม่มี จะเข้าไปดูไอจีบ่อยหน่อยเพราะต้องตอบคำถามลูกค้า


   เสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นไม้ทำลายความเงียบ มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนหางตาผมเหลือบไปเห็นว่ามีใครกำลังนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ไหนขอดูหน้าลูกค้าแสนพิลึกหน่อยเหอะ


   “...”


   ลูกค้าพิลึกที่ไหนกันล่ะ


   นี่มันดิซตัวจริง


   ผู้ชายนัยน์ตาสวยในชุดลำลอง เสื้อเบสบอลตัวโคร่งสีกรมท่ากับสร้อยเงินเส้นใหญ่ ผมสีดำสนิทที่ลู่ลงเพราะไม่เซตอะไรไม่ได้ทำให้รัศมีความหล่อบนใบหน้าลดลงเลยแม้แต่น้อย


   เราสองคนจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ จนเป็นเขาที่แย้มยิ้มออกมาก่อน


   “สวยอย่างที่คิดจริงด้วย”


   “ครับ?”


   “คิดไว้แล้วว่าคนวาดต้องสวยไม่ต่างจากงาน”


   คิ้วผมขมวดเข้าหากัน ขยับแว่นให้เลื่อนขึ้นไปอยู่บนสันจมูกแบบเดิม ปลอบตัวเองว่าคนดังก็มักจะมีอะไรแปลกๆ อย่างนี้เสมอแหละ


   “นี่ครับงาน” ผมวางซองงานลงกับโต๊ะ “แล้วนี่ก็เงินที่โอนมาเกิน”


   “อืม”


   “ตรวจงานก่อนไหมครับ?”


   “ไม่ล่ะ”


   เขาไม่สนใจกับซองงานหรือเงินที่ผมวางไว้ตรงหน้าเขา ดิซยังคงมองผมไม่วางตา มีเพียงริมฝีปากที่ขยับตอบยามที่ผมถามไป
ไม่โอเคแฮะ...


   ยอมรับเลยว่ารู้สึกแปลกๆ ตอนที่มองกลับไปยังนัยน์ตาคู่สวยนั้น


   “งั้นขอตัวกลับก่อนนะครับ”


   “เดี๋ยว”


   “ครับ?”


   “ขอเบอร์”


   ใบหน้ายิ้มการค้าของผมหายวับ เหลือเพียงรอยเรียบตึงที่ส่งกลับไป มันเป็นระบบการทำงานของใบหน้าผมน่ะ สร้างหน้ากากขึ้นมาปิดบังความรู้สึก อย่างที่ใส่แว่นนี่ก็ทำให้อีกฝ่ายมองไม่เห็นอาการตอบโต้ของผมดีเหมือนกัน


   “ถ้าอยากติดต่อผมสะดวกเป็นไลน์ร้านมากกว่าครับ”


   “งั้นขอไลน์”


   “ไลน์เดิมที่ใช้อยู่เลยครับ อินฟินิตี้แกลอรี่”


   ถ้าเขาฉลาดพอก็จะรู้ว่าผมหมายความว่าจะไม่ให้ในสิ่งที่เขาขอ ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศไม่ช่วยให้อาการตื่นตัวของผมลดลงเลย ความจริงเขาก็ไม่ได้แสดงอาการคุกคามอะไรเลยสักนิด มีแต่นัยน์ตาสีดำแปลกที่จ้องมาไม่ลดละอย่างเดียวนั่นแหละ แค่นั้นก็ปลุกสัญชาตญาณหลีกหนีอันตรายขึ้นมาได้มากโข


   “อยากได้ไลน์ส่วนตัว”


   “ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าส่วนตัว เฉพาะส่วนบุคคลน่ะ”


   หยั่งเชิงจนรู้แล้วว่าไม่มีประโยชน์ที่จะมีมารยาทด้วย เขายกยิ้มมุมปากขึ้นตอนที่รับรู้ถึงคำตอบของผม ให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้แค่กระตุกยิ้มยังอันตรายเลย!


   “ผมชอบคุณจัง”


   “?”


   “เผื่อติดต่องานด่วน ผมชอบงานของคุณ” เสียงทุ้มลึกกังวาลอย่างคนที่ฝึกเสียงมาดี ผมเองก็เล่นดนตรีอยู่ทำไมจะไม่รู้ว่าเสียงของเขามันสวยแค่ไหน “ตัวคุณก็น่าสนใจ”


   “ขอบคุณที่ชอบงานผม” เลือกที่จะทำเป็นหูทวนลมกับท้ายประโยค


   “อย่าลืมไลน์”


   “คุณควรจะไปเรียนวิธีการขอไลน์จากคนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกใหม่นะ”


   “เอาไอดีมา”


   เจอคนเอาแต่ใจยิ่งกว่าเน็ทซะอีก ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน คงเป็นพวกศิลปินที่ถูกตามใจจนเสียคนอยากได้อะไรก็ต้องได้ตามที่คิด ไม่โกรธที่โดนเรียกว่าคนสวยหรอกเพราะผมได้หน้าของแม่มามากกว่าพ่อ ผมก็ยาวกว่าคนทั่วไปหน่อยเพราะไม่ชอบเข้าร้านตัดผม แถมยังผิวขาวอย่างที่ผู้หญิงสมัยนี้คลั่งไคล้ ทำท่าทีว่าจะเขียนให้ตามคำขอ กรรมวิธีทั้งหมดผ่านไปอย่างเชื่องช้าเพราะผมจงใจที่จะถ่วงเวลาให้ตัวเองหาทางหนีทีรอดอย่างอื่นก่อน


   “ไม่ตอบคนแปลกหน้า”


   ยื่นให้คืนพร้อมตัวอักษรภาษาอังกฤษบนกระดาษ ผมไม่ได้ใจง่ายอะไรขนาดนั้นแต่ถ้าไม่ให้ไปเขาก็ติดต่อผมทางไลน์ร้านได้อยู่ดี ยิ่งอีกฝ่ายมีพาวเวอร์ในด้านจำนวนแฟนคลับหนุนหลังด้วยแล้วผมยิ่งไม่อยากจะดื้อแพ่งอะไรมาก ขอให้อย่างน้อยที่สุดผมได้อยู่อย่างสงบในโลกใบเล็กของตัวเองต่อไปก็พอแล้ว


   “ผมชื่อสิปป์ สออิปอปอการันต์ คุณล่ะ”


   ชื่อแปลกหู


   แสดงว่าชื่อดิซเป็นแค่ชื่อในวงการสินะ แล้วเขาจะมาบอกชื่อจริงผมทำไมกัน


   รออีกสักพักเพื่อดูว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไร สิปป์ผายมือทางผมเป็นสัญญาณให้แนะนำตัวบ้าง


   “นิช” ตอบสั้นเพื่อแสดงออกว่าไม่ต้องการเสวนาต่อ


   “งั้นเราก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าแล้ว อย่าลืมตอบไลน์ผมนะนิช”


   บ้าจริง ได้แต่สบถในใจที่รู้ว่าตัวเองเสียท่าให้กับคนตรงข้ามเสียแล้ว สิ่งที่เขาทำคือยกกระดาษแผ่นเล็กขึ้นปิดริมฝีปากจนเหมือนกับกำลังจูบมันอยู่ การกระทำที่ดูเหมือนจะปกติแต่ใจผมกลับแกว่งผิดจังหวะ


   ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์เกินไป


   “ไม่”


   “จะรอนะ”


   อยากจะกรอกตาใส่เสียเหลือเกิน ผมกวาดอุปกรณ์ที่เป็นของตัวเองลงกระเป๋าอย่างเร็วที่สุด ไม่หันไปมองว่าผู้ชายชื่อแปลกจะจับจ้องผมด้วยสายตาแบบไหนอีก


   “งั้นผมขอตัวก่อน”


   ก้าวเท้าให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดินสวนกับผู้ชายผมสีเขียวสว่างตรงทางออก เขาเพียงยิ้มลาให้ในขณะที่ผมหน้าตึงใส่เขากลับ จนกระทั่งมั่นใจว่าพ้นจากรัศมีของการตามหาแล้ว ผมถึงหยุดเดิน หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเช็คว่าที่เคยตั้งคำสั่งไว้ยังไม่มีใครไปเปลี่ยนใช่ไหม


   User ID : XXXX
   Add by ID : Off


   แสยะยิ้มให้กับผลงานของตัวเอง


   การที่ผมให้ไอดีเขาไปง่ายๆ ไม่ได้เท่ากับว่าผมยอมแพ้สักหน่อยนี่



***
   เจ้าชอบโดนลิมิตจำนวนตัวอักษรตลอดเลยค่ะ ... ทำไมคราวนี้ถึงไม่เตือนว่าลิมิตตั้งแต่แสดงตัวอย่างนะ ไปเตือนตอนที่กดตั้งกระทู้แล้วเลยนึกว่าไม่โดนเสียอีก (งอแง)
   หลังจากที่แต่งแล้วลบ "ที่หนึ่ง" มาหลายรอบมาก ...เจ้าก็พบว่าการแต่งพี่นิชมันลื่นไหลกว่ากันเยอะเลยค่ะ (หัวเราะทั้งน้ำตา) การแต่งแบบตอนต่อตอนนี่มันก็มีข้อเสียอย่างนี้แหละค่ะ ยากมากที่จะเขียนให้จบได้ในหนึ่งสัปดาห์ สัปดาห์นี้เลยขอเอาพี่นิชมาขัดตาทัพก่อนนะคะ (ฮา) ที่ตั้งใจไว้คือจะลงอีกตอน (จะพยายามเข็นตอนที่10มาให้ได้ค่ะ) ในสัปดาห์หน้า แล้วเจ้าจะหายไปสอบจนถึงปลายเดือนธันวานะคะ ยิ่งสอบชีวิตก็ยิ่งวุ่นวายจังเลย ...
   มาสู้กับการสอบไปด้วยกันนะคะ ไฟต์!

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
แอร๊ยย พี่นิชทำไมมีเสน่ห์จัง หนุ่มนีกร้องดิซจะชอบก็ไม่แปลกนะคะ :o8:
แต่ว่ารุกเร็วมากกก พี่นิชของน้องโรมก็เจ้าเล่ห์เหมือนกัน งานนี้ใครจะชนะนะ :katai2-1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
หลงมาทางนี้แทนที่หนึ่งซะแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด