ตอนที่๙ บทเรียน
กว่าจะถึงมอ.ระหว่างทางผมก็หลับไปเสียหลายตื่น พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็เกือบๆจะถึงแล้ว ตอนนี้ไอ้ฟิกคนเดิมกลับมาแล้ว อาการอะไรก่อนหน้านั่นน่ะ ไม่มี! ผมเหลียวมองไปรอบๆ เห็นเพื่อนๆเริ่มเตรียมตัวลุกจากที่นั่ง ผมมองไปทางไอ้สองคนนั่นที่ยังหลับอยู่เลย
“ตื่นเว้ย ถึงแล้ว”ผมสะกิดไหล่ไอ้ติน มันก็สะดุ้ง ทำหน้ามึนๆก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วบิดแขนไล่ความขี้เกียจไปด้วย
“หายเขินแล้วเหรอ”ไอ้ภูถามด้วยเสียงล้อเลียน แต่ตอนนี้ผมกลับสู่โหมดปกติแล้ว คำล้อของมันไม่มีผลกับผมแล้ว ฮ่าๆ
“เออ ตอนนี้กูโคตรหิวอ่ะ”ผมทำยุ่งก่อนจะเดินนำพวกมันลงจากรถ บิดเนื้อบิดตัวเพื่อไล่ความขี้เกียจออกไป ก่อนจะเดินนำพวกมันสองคนลงจากรถ ไอ้ภูนัดแนะให้ไปเจอกันที่ร้านหมูกระทะเลย
พวกไอ้เคนกับไอ้ชายก็ตกลงว่าจะไปเพราะกินฟรี ไอ้ภูมันจะเป็นเจ้ามือ ตอนแรกผมก็คิดว่ามันจะเลี้ยงแค่พวกผม แต่เมื่อไปถึงร้านหมูกระทะ ก็เจอเด็กภาคฟิล์มที่ไปออกค่ายเข้า ก็เลยตรัสรู้ว่าไอ้ภูมันเลี้ยงพวกนี้ ที่ยอมให้มันติดสอยห้อยตามไปด้วย
“แหม ใจป้ำจริงๆ”ผมแซวมันที่นั่งลงข้างๆผม ส่วนไอ้ตินผมใช้มันไปตักเนื้อ
“แน่นอน แค่นี้ไม่ถึงครึ่งกระเป๋ากูหรอก”มันยักคิ้วมาให้ผม
“แหวะ”ผมเหลือบมองอย่างนึกหมั่นไส้ ไอ้ตินกลับมาพร้อมกับจานเนื้อ แต่เมื่อผมยื่นมือไปรับมันก็ตีมือผมดังเพี๊ยะ
“ไปเอาเอง”
“เอ้า ก็กูใช้มึงอ่ะ”
“กูไปตักของกูต่างหาก”มันยิ้มให้ผม ก่อนจะเริ่มเอาหมูเอาเนื้อวางลนบนเตา ผมก็ยังหน้าด้านไม่ลุกไป รอกินจากของมันเนี่ยล่ะ จนแล้วจนรอดมันก็ต้องไปตักมาเพิ่ม ฮ่าๆ เห็นไหมว่าผมเป็นใหญ่!
“โหย พวกผมไม่รู้ว่าพี่แก่กว่า โทษทีพี่”มีเด็กฟิล์มเข้ามาขอโทษขอโพยกับมันสองคน ไอ้ตินก็ยิ้มให้เหมือนไม่ติดใจอะไร
“พวกผมยังคิดเลยว่าไม่เคยเห็นพวกพี่ในภาค แต่คุ้นๆว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ที่แท้ก็พี่ภูวิศวะนี่เอง เคยได้ยินแต่ข่าวลือ ตัวจริงไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย”อีกคนนึงหัวเราะแห้งๆ ไอ้ภูแอบขมวดคิ้วก่อนจะหันไปถาม
“ข่าวลือแบบไหนวะ”มันเลิกคิ้วมอง
“ก็..เขาพูดกันว่าพี่โหดอย่างนู้นอย่างนี้ แต่เท่าที่เห็นพี่ออกจะใจดี”ผมไอค่อกแค่กทันที ไอ้ภูเนี่ยนะใจดี! หึๆ เพราะยังไม่เห็นเวลามันเดือดน่ะสิ
“อือ กูเป็นคนเงียบๆแบบนี้แหละ ไม่ค่อยอยากมีเรื่องมีราวกับใครหรอก”ผมแอบเบ้หน้ากับพวกไอ้ชาย ทำมาพูด
“มึงคนดี๊คนดี”ผมแทรกขึ้นมา
“แน่นอน”มันยิ้มชั่ว ไอ้พวกนั้นอยู่คุยครู่นึงก็ไป
“กูอยากไปเดินตลาดนัดอ่ะ”ผมพูดขึ้นระหว่างที่กำลังส่องหาหมูในเตา
“ไหนบ่นว่าเหนื่อยไงครับคนดี”
พรูดดด
ผมสำลักเส้นหมี่หยกทันที ก่อนจะเหลียวมองไอ้ตินตาโต มันนั่งอมยิ้มมองผมอยู่
“พูดเหี้ยไรเนี่ย แสลงหูเหลือเกิน”ผมรับทิชชู่มาเช็ดปาก ก็ดูคำพูดมันดิ ไม่ให้ผมตกใจได้ไง แต่ก่อนผมไม่เห็นมันใช้คำพูดแบบนี้เลย
“เมื่อก่อนกูก็พูดแบบนี้ คบใครก็พูดแบบนี้”มันทำหน้าตาย
“จริงอ่ะ”จู่ๆผมก็นึกมันพูดแบบนี้กับพี่อัน ไอ้ตินมองหน้าผมก่อนจะหัวเราะ
“แต่กูเป็นตัวเองที่สุดเวลาอยู่กับมึงนะ แบบมึงก็รู้ว่าจริงๆแล้วกูเป็นคนยังไง”มันจ้องตาผมตรงๆ
“ไม่ต้องสร้างภาพว่างั้น”ไอ้ภูแทรกขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ก็ทำนองนั้น”ผมนึกถึงคำพูดของไอ้เนมขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่งแล้วมันโดนไอ้ภูเล่นงานยับเข้าโรงพยาบาล มันเคยบอกไว้ว่า คนเลวๆสามคนมาคบกันก็เหมาะกันดี ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยเก็ทเพราะไอ้ตินยังไม่สำแดงฤทธิแต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว แอบสะเทือนใจนะ ที่ผมโดนเหมารวมจัดหมวดหมู่อยู่ในคำว่าเลวไปด้วย แค่เคยกิ๊กกับคนมีแฟนแล้วเท่านั้นเอง (ยังไม่สำนึก)
“แต่มึงเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว กูไม่ชอบพวกสวมหน้ากาก แต่มึงอย่าไปพูดเพราะๆแบบนี้กับใครนะ”มันหัวเราะทันที
“จะไปพูดกับใครล่ะ อยากฟังไหม เดี๋ยวคืนนี้พูดให้ฟัง”มันโน้มหน้ามากระซิบใกล้ๆ สายตาวิบวับเจ้าเล่ห์แบบนี้...แสดงว่ามันคิดเรื่องหื่นๆอยู่แน่ คิดจะทำลายสติถิไอ้ภูรึไง
“ไม่เว้ย พวกมึงหื่นเกินโควต้าแล้ว”ไอ้เคนกับไอ้ชายได้แต่ก้มหน้าก้มตากินเหมือนไร้ตัวตน เอาจริงๆถ้าพวกมันไม่ทำเสียงดังผมก็คิดว่าพวกมันไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะ
“นี่กูพยายามหักห้ามใจตัวเองแล้วนะ”ไอ้ภูพูดพร้อมสีหน้าที่บ่งบอกว่าตรงกันข้ามกับคำพูด
“มึงนั่นแหละตัวดีเลย”ผมเอาตะเกียบชี้หน้ามัน
“คุยอะไรก็เกรงใจพวกกูบ้างก็ได้นะ”ไอ้ชายเอ่ยแทรกขึ้นมา หลังจากปิดปากเงียบอยู่นาน
“พวกมึงมานั่งฟังเองทำไมล่ะ”ผมยังไม่สะทกสะท้าน หัวเราะใส่พวกมัน ไอ้เคนกับไอ้ชายเลยลุกเอากุ้งสดไปปิ้ง เหมือนเปิดทางให้พวกผมเสวนาต่อไป
“พวกมึงลองคิดดูซิ กูคบกับพวกมึงมากี่ปีแล้ว”หัวข้อสนทนาดูเหมือนซีเรียสแต่ต้องไม่ใช่ในร้านหมูกะทะแบบนี้ ลองคิดดูดิ นับรวมๆก็เกือบสามปี อาทิตย์นึงพวกมันหื่นใส่ผมกี่ครั้ง กี่รอบ...โหย ผมไม่อยากคิดเลย ตัวเลขเหล่านี้น่ากลัวเกินไปสำหรับผม มันสองคนเองก็เงียบๆไปเหมือนกัน
“เออว่ะ เยอะเหมือนกันนะ”แล้วไอ้ตินมันก็หัวเราะ หัวเราะอะไรของมึงงง
“ขำไร”
“เปล่า”มันส่ายหน้า
“มึงก็ขมิบไปก่อนนะ ช่วยได้กูเปิดเน็ตดูมาแล้ว”ผมหัวเราะลั่นร้านเลย
“เหี้ย กูต้องทำกี่ครั้งวะถึงจะช่วยได้”มันขำจริงๆนะ ขำจนไอ้สองคนนั่นหัวเราะตามผม
“พอๆ กินต่อ กูสัญญาอ่ะ จะหื่นน้อยลง”ไอ้ภูพูดขึ้น
“อย่าสัญญาในสิ่งที่ทำไม่ได้ดิ”ไอ้ตินแย้งมา
“ถูก!”ผมยกนิ้วโป้งให้ไอ้ติน อย่างไอ้ภูเนี่ยนะจะหื่นน้อยลง
“หมายถึงว่าแค่นิดๆหน่อยๆไง ไม่ต้องถึงขั้น...นั้น นิดหน่อยๆก็ทำได้ ไม่ใช่ว่ากูไม่เข้าใจมึงนะฟิก กูเข้าใจ แต่กู...”มันทำหน้าจริงจัง
“เออๆ กูก็เข้าใจพวกมึง กูไม่ได้มีปัญหาอะไรที่ต้องมาโดนจิ้ม กินต่อดิ"ผมรีบตอบก่อนจะฉกหมูมาจากถ้วยของมัน เดี๋ยวมันสองคนจะคิดมากไปใหญ่ ตอนแรกๆก็ยอมรับแหละว่าไม่ชินเพราะความรู้สึกของการอยู่ด้านบนกับด้านล่างมันไม่เหมือนกัน แต่นี่ก็หลายปีจนตอนนี้ผมชินไปซะแล้ว เหมือนเพื่อนสองตัวของผมจะรู้งานเพราะเมื่อผมปิดประเด็นเรื่องนี้ปุ๊บพวกมันก็กลับมาทันที
ไอ้ภูกำลังแกะกุ้งอย่างขะมักเขม้น ผมเคยบอกไปแล้วว่ามันไม่ชอบอะไรที่ยุ่งยากไม่รู้ว่ามันเคยแกะกุ้งไหมเพราะกุ้งตัวนั้นออกมาเละๆ มันจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดก่อนจะยื่นให้ผม
“หืม?”ผมถึงกับงง ไอ้ภูตีหน้านิ่งส่งกุ้งให้ผมตามเดิม
“อ้าปาก”
“กูกินเองได้น่า”เพราะไอ้เพื่อนสองตัวจ้องมองผมอยู่
“อ้าปาก”มันยืนยันคำเดิม ผมเลยต้องรับกุ้งตัวนั้นที่มันแกะให้ รู้สึกแปลกๆขึ้นมาเพราะ...ไอ้ภูมันไม่ใช่คนที่จะมานั่งแกะกุ้งให้ใคร ผมเห็นสีหน้าตั้งใจของมันแล้วก็อุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด
“ขอบใจว่ะ”ผมพึมพำเบาๆก่อนจะกลับมาสนใจเนื้อหมูบนเตาต่อ มันคิดยังไงของมันถึงได้แกะกุ้งให้ผม
“เฮ้ย ฟิก...นั่นเด็กเก่ามึงนี่หว่า”ผมสะดุ้งทันทีเมื่อไอ้ชายพูดขึ้นมา ไอ้สองตัวนี่ก็ด้วย มันหันไปมองไอ้ชายเป็นตาเดียว
“คนไหน”ไอ้ตินถามไอ้ชายด้วยสีหน้าจริงจัง ผมกวาดสายตาไปรอบๆ ก็เห็นไอ้ปลิว มากับกลุ่มเพื่อน(มั้ง) มันกำลังตักพวกหมูอยู่ที่โซน เเละเหมือนมันจะเห็นผมแล้วด้วย ไอ้ภูกับไอ้ตินดูผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“ไอ้ปลิวใช่ไหมวะ”ไอ้เคนพึมพำกับผม
“อือ”ไม่รู้ว่ารักกันดีกับไอ้โตอยู่ไหม แต่ผมเห็นความเศร้าอยู่ในสายตาของมัน ที่ผมรู้อาจจะเพราะว่าผมเคยกิ๊กกับมันล่ะมั้ง ผมเลิกสนใจมันแล้วกลับมาจัดการหมูที่ไอ้ตินย่างให้ต่อ
“สรุปจะไปไหม”ผมวกมาเรื่องตลาดอีกครั้ง
“มันไม่วายหมดแล้วเหรอ”ไอ้ตินท้วงมา ผมทำหน้ามึนๆ
“ไว้ค่อยไปวันหลังนะ คนดี”ไอ้ภูล้อเลียนไอ้ติน แต่ผมก็แอบเขินนะ นานๆครั้งมันจะพูดจาเพราะๆใส่ผม แต่มันไม่ทำน่ะดีแล้วเพราะผมยอมรับว่าทำตัวไม่ถูก
“กูอยากกินเบียร์ เอาไหม”ไอ้เคนหันมาถามผมก่อนจะหันไปมองผู้ปกครองของผม เดี๋ยวนี้มันรู้แล้วว่าต้องขอใคร ไอ้ภูพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
“เผื่อกูเหยือกนึงนะ”ไอ้ภูได้โอกาสใช้
“ถ้ามาด้วยกัน กูให้กินได้ แต่ห้ามเยอะ”ไอ้ตินกระซิบใกล้ๆ ผมเคาะนิ้วลงกับโต๊ะเมื่อมีนักร้องขึ้นมาร้องเพลง ไอ้เคนกับไอ้ชายกลับมาพร้อมเหยือกเบียร์ ผมรีบส่งแก้วให้มันทันที
“กลัวไม่ได้กินเหรอวะ”ไอ้ชายหัวเราะทันที
“พูดมาก รินมาไอ้น้อง”ผมตบก้นไอ้ชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มันด่าผมทันที
“อยากจับไปจับของสองสามีมึงนู่น”มันกระแทกแก้วเบียร์ลงตรงหน้าผม อะฮึ่ม คืนนี้ผมจะเมาครับ เพราะมีแผน ผมจะขึ้นไปร้องเพลงให้พวกมัน
“มึงจำได้ไหม ตอนนั้นที่พวกมึงมาง้อกูอ่ะ”ผมเริ่มเปิดประเด็น
“ตอนไหน”ไอ้ตินทำหน้าเหมือนจำไม่ได้
“ก็ตอนที่กูไล่พวกมึง แล้วพวกมึงก็หน้าด้านตามกูมาไง”ผมพยายามรื้อฟื้นความทรงจำให้แก่มันทั้งคู่ ผมว่ามันก็จำกันได้แหละ แต่วางมาดไปอย่างนั้นเอง
ผมเริ่มการปลุกใจตัวเองด้วยการกระดกไม่ยั้ง ไอ้เพื่อนสองตัวก็เริ่มจะรู้ว่าผมคิดจะทำอะไรแน่ๆ เพราะสมัยเรียนผมใช้มุกนี้บ่อย
โชคดีที่ไอ้ตินกับไอ้ภูไม่ว่าอะไร สงสัยมันจะให้ผมปล่อยผีหนึ่งวันล่ะมั้ง เริ่มมีเด็กฟิล์มมาขอชนแก้วกับพวกมัน ผมเลยเนียนๆลุกไปจากโต๊ะได้ เข้าไปล้างหน้าล้างตาเพื่อความสดชื่น แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เจอไอ้ปลิวยืนมองผมอยู่
“อ้าว มึงเป็นไงบ้างวะ”ผมหันไปคุยกับมัน
“แย่ว่ะ มึงมีเวลาสักสามนาทีไหม กูอยากคุยด้วย”สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความทุกข์
“กู...รอก่อนได้ไหมวะ กูมีภารกิจต้องทำ”
“ห๊ะ”มันทำหน้างงๆ
“ถ้าผ่านไปด้วยดีแล้วกูจะมาคุยด้วย โอเคนะปลิว”ผมตบบ่ามัน ตอนนี้ผมก็มองว่ามันเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผมไปแล้ว ไอ้ปลิวพยักหน้า
“กูใช้เบอร์เดิมอยู่นะ”ผมพยักหน้าทั้งๆที่มึนๆว่าเบอร์ไหน มันเลยล้วงเข้ามาในกระเป๋ากางเกงของผม หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเมมเบอร์ของมันไว้ พอเสร็จแล้วมันก็ออกไป ผมตบหน้าตัวเองเบาๆก่อนจะเดินลัดไปยังเวทีร้องเพลง ที่มีนักร้องอีกคนกำลังเปลี่ยนเวร
“พี่ๆ ผมขอขึ้นร้องเพลงนึงได้ไหม เดี๋ยวผมให้ค่าเสียเวลา”พี่นักร้องดูงงๆแต่ก็ตกลงกันได้ด้วยดี ผมกระแอมก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวที กวาดตามองที่โต๊ะตัวเองก็เห็นมันสองคนมองมาที่ผมงงๆ
“ผมชื่อฟิกนะครับ ค่ำคืนนี้ผมอยากมอบบทเพลงนึงให้ดับคนสำคัญ ผมอาจจะร้องเพลงไม่เพราะ แต่นี่เป็นความตั้งใจของผมครับ”หลายๆคนมองมาอย่างงุนงง แต่ที่โต๊ะผมกลับมีเสียงปรบมือเกรียวกราว ตอนนี้ผมไม่ได้มองหน้ามันสองคน เดี๋ยวจะอายไม่กล้าร้องไปซะก่อน
...วันพรุ่งนี้ยังไม่รู้ จะสุขสม รึผิดหวัง แต่วันนี้มองหน้าเธอ แล้วมันตื้นตัน
ไม่เคยคิดคนอย่างฉัน จะได้มาถึงวันนี้ ที่มีอีกคน ร่วม ทุกข์ สุข มาด้วยกัน
วันพรุ่งนี้ ยังไม่แน่ใจ อาจมีสักวัน ที่ฟ้าให้เราต้องจากไกล
แต่วันนี้ ถ้อยคำที่สำคัญ อยากบอกกับเธอ ในวันที่ฉันยังหายใจ
ขอบคุณที่เธอช่วยเหนื่อย เหนื่อยล้ามาด้วยกัน
เมื่อยามที่ฉันทนทุกข์ท้อ เธอยังทุกข์ทนด้วย
ฝันคนเดียวคงเหนื่อยล้า ฉันมีเธอคอยฝันด้วย
แม้ตอนจบ ถ้ามันจะไม่สวย แต่ช่วงชีวิต สวยงามที่สุด คือได้รักเธอ...ผมดำน้ำร้องเพลงจบก็มีเสียงปรบมือเปาะแปะตามมา มีเสียงวี้ดวิ้วจากพวกฟิล์มและโต๊ะของผม เมื่อลงจากเวทีผมก็จ่ายเงินให้พี่นักร้อง แต่แกไม่เอา ผมเลยเดินมึนๆกลับมาที่โต๊ะ
“คิดไงร้องเพลงนี้”ไอ้ตินถามผมด้วยรอยยิ้ม
“แค่ความรู้สึกเว้ย แต่ไม่ได้หมายความตามนั้นทั้งหมดนะ”ผมหลบสายตาของมันสองคนแล้วคว้าแก้วเบียร์มาย้อมใจต่อ แต่มันไม่ค่อยเมาเลยจริงๆ มึนๆเซๆเท่านั้นเอง
“ขอบใจที่กล้าขึ้นไปร้อง”ไอ้ภูยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนหน้า
“ไม่มีอะไรที่กูไม่กล้าอยู่แล้ว”คิดผิดจริงๆที่พูดประโยคนี้เพราะไอ้ชายรอสวนอยู่แล้ว
“แบบนี้มันต้องพิสูจน์ แน่จริงมึงก็หอมแก้มสองสามีของมึงตอนนี้เลยสิ”ไอ้ชายยิ้มชั่ว ผมเหลือบมองไอ้ตินกับไอ้ภูที่รอฟังคำตอบจากผมอยู่ ไอ้พวกเด็กภาคฟิล์มก็เหมือนกันหันมามองผมตาเดียว ผมใจเต้นไม่เป็นส่ำเพราะคนมองเยอะ นี่มันกดดันผมชัดๆเลยว่ะ
“อ้าวๆ เงียบเลย ว่าไงมึง”มันกดดันผมต่อ
“ถ้าไม่กล้าทำ มึงต้องแดกเบียร์เหยือกนี้ให้หมด”ไอ้เคนชูเหยือกเบียร์ให้ผมดู แล้วคิดว่าคนอย่างผมจะกล้าไหม! ผมหันไปมองมันสองคนที่ฉีกยิ้มกว้างรอผมอยู่ สายตาของมันสองคนนี่ผมต้านไม่ไหวจริงๆ ผมเลยคว้าเหยือกเบียร์ขึ้นมา
“โห่ ไม่กล้านี่หว่า เพื่อนกูป๊อดว่ะ”ไอ้ชายทำเสียงไม่พอใจ ที่แผนของมันล่ม ถึงผมจะหน้าหนาแค่ไหนแต่เรื่องนี้ผมขอผ่าน ตอนนี้พวกมันเลยเปลี่ยนมาเชียร์ให้ผมจัดการเบียร์เหยือกนั้นแทน
“ฝากเก็บศพกูด้วยนะ”ผมสั่งลาไอ้ภูกับไอ้ติน เหยือกนี้ไม่มึนก็ให้มันรู้ไปสิ ผมกลั้นใจค่อยๆยกไปเรื่อยๆ เหลือบมองสีหน้าของไอ้ชายแล้วผมก็อยากอ้วกใส่หน้ามันจริงๆ
“ค่อยๆเว้ย เดี๋ยวก็สำลักพอดี”ไอ้ตินแตะไหล่ผมให้ช้าๆ แต่ตอนนี้ผมกำลังหน้ามืด เบียร์เริ่มหกเลอะเสื้อแล้วด้วย
“หมดแล้วโว้ยยย”ผมกระแทกเหยือกเบียร์ลงก่อนจะเอาหน้าถูๆเสื้อไอ้ตินเพื่อเช็ดเบียร์ที่เลอะคางออก ผมสะบัดศีรษะไปมาเพื่อไล่อาการมึนแต่ยิ่งทำก็ยิ่งมึน ผมเลยหยุด แล้วเอนตัวไปข้างๆ มีมือมาคว้าผมไว้ได้พอดี แต่พอได้กลิ่นน้ำหอมก็รู้ว่าเป็นไอ้ภู
“กูเก่งไหมมึง”ผมถามเสียงอ้อแอ้ เห็นมันทำหน้าเบื่อหน่าย
“เออๆ เก่ง”
“สัด ตอบแบบจริงจังได้ป่ะ”ผมเอนตัวกลับมานั่งตรงๆ แต่รู้สึกเหมือนโลกมันเบี้ยวๆไงก็ไม่รู้ ผมเลยโน้มตัวไปซบกับโต๊ะแทน
“ไม่ได้เห็นมันเมาเป็นหมานานแล้วนะ”เสียงไอ้ตินแว่วมา
“อ่อน เหยือกเดียวก็สลบซะแล้ว”ได้ยินเสียงใครไม่รู้พูดมา ผมเลยงัดตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง
“กูอีกเหยือกก็ไหว”
“เมาแล้วเก่งเหรอฮะฟิก”ไอ้ภูกดหัวให้ผมนอนลงเหมือนเดิม
“ใครเมา กูยังไม่เมา เอาเบียร์มาอีกเหยือก เมื่อกี้ใครพูดวะ มาเจอกับกูเลยมา”ผมปรือตามองรอบๆ โต๊ะผมกลายเป็นศูนย์รวมพวกเด็กฟิล์มหมดแล้ว
“เบียร์มาแล้ว”ผมกำลังเอื้อมไปคว้าแต่ไอ้ตินแทรกมาซะก่อน
“กูเอง”
“ไม่ๆ ของกูมึงหุบปากเลย”ผมก็ไม่ยอมให้ใครมาหยามนะเว้ย รู้ตัวอีกทีผมก็ยืนโงนเงนซะแล้ว เห็นไอ้ตินทำหน้าเอือม
“เมาแล้วก็เงียบ อย่าให้กูโมโหนะ”มันทำเสียงเข้มจนเกิดคงามเงียบขึ้นมา เอาดิ ผมไม่ยอมถูกข่มต่อหน้าคนเยอะๆหรอก
“ทำไม คิดว่ากูกลัวมึงเหรอ”ผมคว้าเหยือกเบียร์มาถือ แต่ใครสักคนดึงออก
“นั่งลงเลยไอ้ฟิก”เสียงไอ้ภูดังอยู่ใกล้ๆ
“ไม่เว้ย ทำไมมึงโมโหแล้วจะทำไม”อาจจะเพราะสติเริ่มหลุดผมเลยกล้ากับไอ้ติน
“เงียบไปเลยฟิก”ไอ้ตินพูดเสียงเรียบๆ แต่ผมก็คว้าเหยือกเบียร์มาอีกครั้ง กระดกได้ไม่กี่อึก ก็เหมือนมีคนมาดึงเหยือกเบียร์ออกไปอีกแล้ว จนผมเริ่มเดือดปุดๆ
“มึงจะยุ่งอะไรกับกูนักหนาวะ”ไม่รู้ว่าใครแต่ด่าไว้ก่อน
“อยู่นิ่งๆอย่าซ่าส์ให้มาก”ไอ้ตินทำหน้านิ่งๆมองผมอยู่
“มึงนั่นแหละอย่าซ่าส์”
“เมาแล้วปากดีว่ะ”ไอ้ภูพูดเสียงหงุดหงิดดึงคอเสื้อให้ผมนั่งลง
“ปล่อยกูนะเว้ย”ผมดึงมือมันออก
“มันอยากกินก็ให้มันกิน ปล่อยมัน”เสียงไอ้ตินแว่วมา เหยือกเบียร์กลับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ผมกลั้นใจกระดกช้าๆจนหมดเหยือก มีเสียงเฮมาเบาๆ
“เจ๋งมากลูกพี่”มีคนมาตบบ่าผมแปะๆ
“ว่าแต่ใครลูกพี่มึงวะ”ผมหันไปมองมึนๆ
“เออ ช่างมันเหอะ มาถ่ายรูปกับผมหน่อย”มันลากผมไปถ่ายรูปด้วย ผมก็ไหลไปตามสภาพ
“เมื่อกี้ผมนึกว่าพี่จะวางมวยกับพี่ตินแล้วนะ”ใครไม่รู้พูดกับผม
“เออ มันไม่กล้าต่อยกูหรอก”ผมพูดอย่างมั่นใจ
“แน่เหรอ เห็นแบบนั้นใครๆก็ว่าพี่เขาร้ายนะ”
“เอออ มันไม่กล้าแตะกูหรอก จริงๆ”ผมบอกมันเสียงติดรำคาญ มันอาจจะไม่รู้ว่าผมคบกับไอ้ติน
“จริงดิ โม้เปล่า”
“ไม่โม้ เดี๋ยวกูไปต่อยมันให้ดู”ผมโชว์เหนือ กล้าจริงๆ ตอนนี้กำลังคึก อย่าเพิ่งขัด
“แน่นะ...ไม่ต้องก็ได้”น้ำเสียงมันดูเกรงๆ
“เดี๋ยวดูนะ...”ผมเลื้อยกลับมาที่โต๊ะเห็นไอ้ตินนั่งอารมณ์เสียอยู่ที่โต๊ะส่วนไอ้ภูจิบเบียร์ท่าทางชิวๆ พอผมเข้ามาใกล้ มันก็เงยหน้ามอง
“เหมือนหมาจริงๆ”เสียงไอ้ตินลอยมา ผมเลยไปยืนตรงหน้ามัน ไอ้ตินเลิกคิ้วมองผม
“มีอะไร”น้ำเสียงมันนิ่งสนิท จนผมแอบใจแป้ว
“เปล่า”ผมตอบเสียงนิ่งเหมือนกัน เห็นจากหางตาว่าไอ้คนนั้นหัวเราะคิกๆ เห็นแบบนั้นเหมือนโดนมันเหยียบหน้าเลยครับ
“ไอ้ติน...กูเมานะ”
“แล้วทำไม”
“มึงอย่าโกรธกูนะ”ผมเห็นมันขมวดคิ้วสีหน้างุนงง แต่งงได้ไม่นานเพราะผมต่อยมันไปหนึ่งหมัดเต็มแรง เหมือนมันจะหลบได้ โดนปลายคางมันไปนิดนึง แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมเจ็บแปลบๆที่มือได้
“เฮ้ยยย”และทันทีที่ผมปล่อยหมัดใส่ไอ้ติน ไอเพื่อนสองตัวก็พร้อมใจกันร้องเสียงดัง
“มึงเป็นบ้าไรวะฟิก”ไอ้ตินยกมือลูบคางสีหน้าหงุดหงิด ไอ้ภูโผล่มาจากไหนไม่รู้แต่กำลังลากผมออกมาจากร้านหมูกะทะ ผมมองหน้าไอ้คนนั้น มันดูตกใจเหมือนกัน แต่ดูปลาบปลื้มที่ผมไม่ถูกไอ้ตินสวนกลับมา ซึ่งถ้ามันทำแบบนั้นผมคงได้หลับกลางอากาศแน่ๆ
“มึงไปยั่วโมโหมันทำไม”ไอ้ภูถามผมเมื่อลากผมมาที่ลานจอดรถได้แล้ว ผมยืนเซๆมองมัน
“มันโกรธมากไหม”ผมยังมีหน้ามาหัวเราะอ้อแอ้อีก ห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ โทษทีว่ะติน
“มึงคิดว่าไงล่ะ”มันทำหน้าระอามองผม
“ถ้ามันจะต่อยกูคืนมึงต้องช่วยกูนะ”ผมยืนพิงมันเหมือนคนหมดแรง
“มึงเมาแล้วกร่างว่ะ ยืนดีๆ”มันทำเสียงโหดอีกคนจนผมหน้าหดเหลือสองนิ้ว ผมยืนโงนเงนได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาใกล้ๆ เดาจากเสียงหนัก ๆเจ้าของฝีเท้าคงกำลังโกรธแน่ๆ
“เป็นบ้าอะไรฟิก”นั่นไง ไอ้ตินจริงๆด้วย ผมโซเซไปหลบหลังไอ้ภู ก็หน้ามันดุจนผมหวั่นๆ
“กูเมาาาา”ผมทำหน้าตาน่าสงสารให้มันดูอยู่ข้างหลังไอ้ภู
“เมาแล้วต่อยกูเนี่ยนะ เจ๋งนะมึงเนี่ย”น้ำเสียงของมันยังขุ่นๆอยู่
“กลับหอกัน สภาพไอ้ฟิกไม่ไหวแล้วเนี่ย”ไอ้ภูพูดขึ้นมา
“เหอะ พี่ดูมันนะ มันอยากโชว์เก๋าให้คนอื่นเห็น ดีเท่าไหร่ที่ไม่สวนกลับ”มันมองหน้าผมด้วยสีหน้าเหนื่อยๆ
“ขอโทษ มึงเจ็บเหรอ”ผมว่าผมต่อยไม่แรงมากนะ ผมเกาะชายเสื้อไอ้ภูไว้เพื่อเป็นหลักให้ตัวเอง
“มึงลองโดนต่อยบ้างไหมล่ะ”
“ค่อยคุยกันที่หอ กูเมื่อยแล้ว”ว่าแล้วไอ้ภูมันก็ลากผมไปที่รถมัน ยัดผมเข้าไปที่เบาะหลังอย่างยากลำบาก
“แล้วรถกูอ่ะ”ผมถามมันอย่างนึกหวงรถ นั่นลูกรักผมเลยนะ
“ฝากเพื่อนมึงไว้ เข้าไปได้แล้ว เร็วๆ”ไอ้ภูทำเสียงดังใส่จนผมต้องเข้าไปในรถแต่โดยดี ...ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ฟื้นมาอีกทีผมก็กำลังถูกพาขึ้นไปบนห้อง มีมันสองคนหิ้วปีกคนละข้าง ผมมองหน้าไอ้ติน
“ไอ้ติน หายโกรธกูยัง”
“เงียบๆไปเลย จะเสียงดังทำไม”สีหน้าและน้ำเสียงของมันกลับมาปกติแล้ว ผมถอนหายใจเบาๆ ไอ้ภูบ่นพึมพำอะไรสักอย่าง ก่อนจะไขกุญแจเข้าไปในห้อง ไอ้ตินพยุงผมไปที่เตียงก่อนจะปล่อยผมลงบนเตียงแบบไม่ออมเเรง
“เปิดแอร์ดิ ร้อนว่ะ”ผมเลิกเสื้อขึ้นมากองบนอก แต่เหมือนมีมือมาดึงเสื้อผมออก ผมหัวเราะหึๆทันที
“อย่าปล้ำกูนะ”
“เออ กูไม่มีอารมณ์”เสียงไอ้ตินดังอยู่ใกล้ๆ ผมยกตัวขึ้นเพื่อให้มันถอดเสื้อที่เลอะเบียร์ออก กางเกงยีนส์ถูกดึงออกเหมือนกัน ลืมตามองก็เห็นไอ้ภูจัดการอยู่ เห็นหน้าไอ้ตินแล้วรู้สึกผิด
“มา วันนี้อนุญาตให้หื่นใส่หนึ่งวัน โปรโมชั่นพิเศษเลยนะเว้ย”ผมปรือตามองมันสองคนที่ทำหน้าเหนื่อยๆ
“นอนไปเถอะ”ไอ้ภูตบพุงผมเสียงดัง
“ยอมดีๆไม่ชอบอีก”ผมบ่นพึมพำ
“จะไถ่โทษหรือไง”ไอ้ตินก้มมองผม
“เออดิ”
“ไม่มีอารมณ์ วันนี้มึงกวนตีนมากเลยรู้ไหม”
“กูขอโทษ กูมึนๆ”ผมพลิกตัวนอนตะแคง เห็นไอ้ภูกำลังถอดกางเกงยีนส์อยู่ เออ หุ่นดีว่ะ
“แอบดูกูทำไม”มันเดินมาบิดจมูกผม
“วันนี้กูอุตส่าห์ใจดี ไม่มีครั้งหน้าแล้วนะ”ผมเอาหน้าซบหมอนระหว่างที่พูด ถึงเมามึนๆแต่ผมก็อายเหมือนกันนะ
“ไม่มีอารมณ์ให้ทำไง”ไอ้ตินพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมชั่งใจอยู่นานก่อนจะมองหน้ามันสองคน
“เดี๋ยวกูทำให้เอง”
...
(มีต่อ)