[7]
PART 2
“มึงอยากรู้มั้ยว่าทำไมกูถึงต้องตั้งกฎไม่ให้ตัวเองคบกับคนที่ไม่ใช่เกย์”
“อืม. . .”
ผมเงียบไปสักพัก ก่อนจะสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วค่อยๆ เล่าออกมา อาจจะเรียกว่าเป็นความหลังก็ได้มั้ง สำหรับหลายๆ คน มันอาจจะเหมือนไม่มีอะไร แต่สำหรับผม เหตุการณ์ครั้งนั้นถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตผมเลยก็ได้
“มึงรู้มั้ย กูน่ะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเกย์ตั้งแต่เริ่มมีอารมณ์ทางเพศ เพราะอะไรรู้มั้ย หึหึ กูเสือกมีอารมณ์กับเพื่อนตัวเองไง ตอนหลังก็เริ่มมองมันมากขึ้น รู้ตัวอีกทีก็ชอบมันเข้าให้แล้ว” เล่ามาถึงตรงนี้ก็นึกถึงเหตุการณ์วันนั้น เราไปว่ายน้ำด้วยกันที่บ้านของผม พอผมเห็นหุ่นมันที่ใส่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียว ร่างกายมันก็รู้สึกแปลกๆ จนต้องแอบไปปลดปล่อย ตอนนั้นก็คิดในใจ เชี่ยแล้ว นี่กูมีอารมณ์เพราะหุ่นผู้ชายหรอวะ แถมยังเป็นเพื่อนกันอีก แต่ก็เก็บเงียบไว้ ไม่เคยบอกใคร
“. . . . .” ไอ้คีนก็ฟังเงียบๆ ตามันมองไปที่ทะเล ไม่ได้มองผมหรอก ผมเองก็เหมือนกัน เล่าไป แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ทะเลสีดำตรงหน้า
“พอนานๆ เข้า กูคงมองมันมากไป มันจับสังเกตได้ เลยเข้ามาถามกูตรงๆ ว่าชอบมันหรอ ตอนนั้นกูก็ตกใจ แต่ก็คิดว่าไม่มีอะไรจะเสีย ก็เลยยอมรับ หึ มึงรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“. . . . .”
“มันเข้ามาต่อยกู บอกกูว่ามันรังเกียจกู มันเป็นผู้ชาย ชอบผู้หญิง ไม่มีทางมาเอาไอ้คนที่มีไอ้นั่นเหมือนมันอย่างกูหรอก แล้วหลังจากนั้นมันก็หายไปเลย มารู้ทีหลังว่ามันย้ายโรงเรียนไปแล้ว ก็คงจะหนีกูนั่นแหละ ได้แต่คิดว่ากูมันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยอ่อวะ ไอ้เหี้ย มันร้ายแรงขนาดต้องหนีกูอย่างกับกูเป็นโรคติดต่อร้ายแรงเลยหรอ นั่นคือครั้งแรกที่กูต้องเจ็บเพราะชายแท้ คนที่ชอบผู้หญิง คนที่ไม่ใช่เกย์” ผมแค่นยิ้มสมเพชตัวเอง ไอ้คีนยังเงียบ แต่ผมรู้ว่ามันฟังอยู่ ก็เลยเล่าต่อ
“. . . . .”
“จนพอขึ้นม.สาม มีนักเรียนชายคนใหม่ย้ายเข้ามาตอนกลางเทอม เป็นคนที่ฮ็อตมากๆ ในหมู่ผู้หญิงและคนที่เป็นแบบกู เพราะมันเป็นนักบาส แถมยังหล่อและเท่ห์มากๆ ด้วย เราได้อยู่ห้องเดียวกัน แล้วมันก็เข้ามาอยู่กลุ่มเดียวกับกู พวกเราคุยกัน สนิทกัน นอนค้างบ้านกันและกัน อยู่ๆ วันนึงมันก็มาสารภาพกับกู บอกว่าชอบกู แต่กูแม่งเข็ดกับผู้ชาย มันก็เลยบอกว่าจะขอตามจีบกูจนกว่ากูจะใจอ่อน หึหึ คุ้นๆ มั้ย” ผมขำนิดหน่อยพอถึงตรงนี้ เพราะการที่ไอ้คีนตามผมอยู่แบบนี้ มันเหมือนเดจาวูเมื่อสี่ปีที่แล้ว
“หึหึ เหมือนกูตอนนี้น่ะหรอ” มันเองก็ขำ
“อืม แล้วมันก็ทำจริงๆ นะ มันตามจีบ เอาใจสารพัด ไม่เคยทำให้กูผิดหวัง ไม่เคยทำให้กูเสียใจ จนพอขึ้นม.ปลาย ก็ม.สี่ นั่นแหละ มันมาขอกูเป็นแฟนอีกครั้ง กูที่ตอนนั้นก็ชอบมันแล้ว การที่มันตามจีบกูมาเป็นปีๆ ทำให้กูมั่นใจว่ามันจะไม่มีทางทำให้กูเสียใจ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เกย์ แต่กูก็เชื่อว่ามันรักกูจริงๆ”
“มึงก็เลยเป็นแฟนกับมัน”
“อืม เราก็คบกัน รักกันมาก ไม่สิ. . .กูต่างหากที่รักมันมาก ขนาดครั้งแรกของกู. . .กูยกให้มัน เราคบกันจนใกล้จะจบม.ปลาย และสัญญากันว่าจะไปเรียนต่อที่อังกฤษด้วยกัน และคงจะได้ไปจริงๆ ถ้ามันไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาก่อน” เล่าถึงตรงนี้ ผมกลับหยุดลงดื้อๆ ก้อนบางอย่างที่จุกตรงลำคอ มันรู้สึกแห้งผาก แต่ที่ตากลับร้อนผ่าวซะอย่างนั้น ผมเงียบอยู่อย่างนั้น ฟังเสียงคลื่น เพื่อผ่อนคลายตัวเอง
“ถ้ามึงลำบากใจ. . .”
“. . .ไม่เป็นไร เล่าได้. . .วันนั้น. . .มันมาค้างที่หอกู หึหึ เรากำลังได้ที่เลยล่ะ แต่แขกที่ไม่ได้รับเชิญโผล่มาซะก่อน ทายสิ ใคร”
“แฟน?”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่มันไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่แค่แฟน แต่เป็น. . .คู่หมั้น”
“คู่หมั้น?”
“ใช่. . .คู่หมั้น พ่อแม่มันก็มาด้วย แล้วที่ตลกร้ายสุดๆ มึงรู้มั้ยอะไร คู่หมั้นมันก็แม่งเพื่อนกูนี่แหละ เพื่อนห้องเดียวกัน สนิทกัน เรายังเคยไปเที่ยวด้วยกันสามคนเลยด้วยซ้ำ” ตอนผมเห็นเพื่อนมาหาที่หน้าห้อง ผมก็ดีใจที่ว่าเพื่อนมาหา แต่พอมีชายหญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลัง ที่ผมมั่นใจแน่ๆ ว่าไม่ใช่พ่อแม่ของเพื่อนผมก็งงตาแตกสิครับ แล้วพอเขาแนะนำตัวว่าเป็นพ่อแม่ของไอ้คนในห้อง พ่อแม่ของแฟนผม(ในตอนนั้น) ผมตัวชาวาบ ตอนนั้นแค่คิดว่าเราสองคนโดนจับได้ กลัวว่าจะถูกบังคับให้เลิกกัน แต่ไม่ได้คิดเลยว่าจะได้รู้ว่าแฟนกับเพื่อนตัวเองแม่งเป็นคู่หมั้นกัน หมั้นกันตั้งแต่เด็กๆ แล้วด้วย น้ำเน่าฉิบหาย
ตอนนั้นผมคิดว่าบางทีมันอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ว่ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว เพราะเรายังเด็กกันมาก และผมก็เชื่อใจ ว่ามันรักผมคนเดียว จนพอเพื่อนผมเข้าไปในห้อง ผมก็ได้รู้ว่าเขาสองคนรู้กันมาตลอด ผมไม่เข้าใจ ในเมื่อตัวเองเป็นคู่หมั้น เป็นตัวจริง แล้วยอมให้ผมคบกับคู่หมั้นตัวเองทำไม?
‘เราแค่อยากให้ฟ่ามีความสุข ก่อนที่เรากับเขาจะไปอเมริกาด้วยกัน’
‘อะ. . .อเมริกา’
‘ใช่ เราจะไปเรียนด้วยกันที่นั่น’เหมือนฟ้าผ่าลงตรงหน้า แล้วที่สัญญากับผมล่ะ? ที่ว่าจะไปอยู่อังกฤษด้วยกันล่ะ? ผมหันไปมองมันอย่างขอคำตอบ แต่มันแค่ก้มหน้าลง ไม่พูดอะไร
“มึงรู้มั้ยว่าพ่อแม่มันมาทำไม แม่มันมาร้องไห้กับกู ขอร้องกูว่าให้ปล่อยลูกชายเขาไป ขอร้องว่าอย่าทำให้ลูกชายเขาต้องผิดปกติเหมือนกู ขอร้องกูว่าอย่าทำลายชีวิตลูกเขาอีกต่อไป ส่วนพ่อมันน่ะหรอ หึ. . .ขนาดหน้ากูเขายังไม่มองเลย แต่สิ่งที่กูเสียใจที่สุดมันไม่ใช่เพราะพ่อแม่มันหรอกนะ เพราะมัน. . .เพราะมันต่างหาก. . .”
“. . . . .”
“อึก. . .” แม่ง ผมไม่ไหวแล้ว พอนึกถึงคำพูดที่ไอ้ผู้ชายคนนั้นพูดบอกกับพ่อแม่มันวันนั้น น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ตั้งแต่แรก ไหลลงมาอย่างกับเขื่อนแตก ไอ้คีนไม่พูดอะไร มันแค่ดึงผมไปกอด แล้วลูบหลังเบาๆ ผมสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดมันอยู่อย่างนั้น จนผมหมดแรงจะร้องไห้
“ไม่ไหวก็ไม่ต้องเล่า. . .ไม่เป็นไร” มันพูดเสียงนุ่ม แต่ผมส่ายหน้าไปมาอยู่กับอกมันนั่นแหละ ในเมื่อเล่าแล้ว ผมอยากเล่าให้มันจบ มันจะได้คิดเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคน บอกตามตรง ผมไม่อยากเสียใจอีกแล้ว
“ฮึก. . .มัน. . .ไอ้เลวนั่น. . .มัน ฮึก มันหันไปบอกพ่อแม่มันว่าไม่ได้รักกู ไม่เคยรัก และไม่คิดจะรัก มันแค่อยากลอง อยากสนุกตามประสาวัยรุ่น หึหึ ไอ้ห่า ตอนนั้นกูรู้สึกเหมือนโลกบ้าๆ ของกูถล่มตรงหน้า แค่อยากลอง แม่งมันพูดมาได้ไงวะ ลองบ้าลองบออะไรให้กูรักมาเป็นปีๆ เอากูมาเป็นปีๆ!! ฮึก. . .ฮึก ฮือออ”
“ไม่เป็นไร. . .ไม่เป็นไร”
“แล้วมัน. . .มันก็ขอเลิกกับกู แล้วมันสองคนก็ไปเรียนต่ออเมริกาด้วยกัน ทิ้งกูให้เกือบเสียผู้เสียคน ไม่ไปเรียน เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง ร้องไห้ทุกวัน จนแม่กู. . .ฮึก. . .แม่กูเข้ามาร้องไห้ ขอร้องกูว่าอย่าเป็นแบบนั้น แม่ร้องไห้หนักมาก เหมือนจะขาดใจอยู่รอมร่อ นั่นทำให้กูได้สติ กลับไปเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือ ไม่ไปอังกฤษ แล้วมาเรียนที่นี่” ตอนนั้นผมมัวแต่เสียใจเป็นบ้าเป็นหลังแค่เพราะไอ้คนเห็นแก่ตัวที่มันไม่รักผม จนทำให้คนที่รักผมสุดชีวิตอย่างพ่อกับแม่ต้องเสียใจ วันที่แม่ร้องไห้ ทำให้ผมคิดได้ เข้าไปกอดแม่ แล้วสัญญาว่าจะกลับมาเป็นคนเดิม
“มึงก็เลยไม่อยากคบกับคนที่ไม่ใช่เกย์?” มันถามเสียงนุ่มข้างหู มันยังกอดผมอยู่ มือก็ยังลูบหลังผมอยู่อย่างนั้น
“อืมโดนมาสองครั้งขนาดนั้น บอกตามตรง กูเข็ดแล้วว่ะ. . .” ผมมองหน้ามันจริงจังก่อนจะพูดต่อ “คีน. . .ถือว่ากูขอร้อง. . .ถ้าไม่ได้จริงจัง ถ้าแค่อยากลอง ก็อย่าทำอย่างนี้ กู. . .กูไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีกแล้ว” เข็ดแล้ว. . .เข็ดแล้วจริงๆ กับความรู้สึกแบบนั้น เหนือสิ่งอื่นใด. . .ผมไม่อยากทำให้พ่อกับแม่เสียใจ ถ้าต้องกลับไปเป็นแบบนั้นอีกครั้ง
“มึงกำลังดูถูกความรู้สึกของกู”
“. . . . .” คราวนี้เป็นผมบ้างที่เงียบ
“อย่าคิดว่ากูเหมือนไอ้ผู้ชายคนนั้น. . .ผู้ชายในอดีตของมึง กูก็คือกู กูอยากให้มึงตัดสินกูจากการกระทำของกู ไม่ใช่เรื่องราวในอดีตของมึง”
“. . . . .”
“ถ้ามึงยังไม่มั่นใจ ดูกูไปเรื่อยๆ สิ ไม่ต้องรีบ”
“มึง. . .มั่นใจแล้วใช่มั้ย”
“อืม”
“กูไม่ได้เวอร์จิ้นนะ”
“กูก็ไม่เวอร์จิ้นเหมือนกัน”
“ห้ะ?” ยะ. . .อย่าบอกนะว่ามัน. . .
โป้ก
มันดีดหน้าผากโผมมมมมม
“คิดอะไรของมึงเนี่ย ที่กูบอกว่าไม่ได้จิ้นน่ะจริง มึงไม่จิ้นข้างหลัง ส่วนกู. . .ไม่จิ้นข้างหน้า วินๆ”
“เหี้ยสิ หึหึ”
“เอ้า ก็จริง กูไม่ได้คบกับใครเพราะเรื่องจิ้นไม่จิ้นหรอกนะ กูคบที่ตรงนี้” แล้วมันก็จิ้มๆ ที่อกข้างซ้ายของผม
“นมหรอ?” รู้แล้วแหละ แค่อยากกวนตีนมัน
โป้ก
โดนดีดอีกรอบ ไม่น่าเลยกู T__T
“หัวใจเว้ยย หึหึ”
แล้วเราสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน คุยกันเรื่อยเปื่อย เล่านู้นเล่านี้เกี่ยวกับตัวเอง เรียกว่าแลกเปลี่ยนกันก็ได้ แต่สักพัก มันก็ดึงผมให้หันไปประจันหน้ากับมัน สบตากัน ก่อนที่มันจะพูดเสียงจริงจัง
“เป็นแฟนกันนะ” แล้วผมจะตอบว่าไงน่ะหรอ. . .
มาถึงขั้นนี้แล้ว
คงมีแค่คำตอบเดียว
“เอาสิ”แล้วเราก็จูบกันฉลองการเป็นแฟนกันอย่างเป็นทางการ. . .
หวังว่าเวลาสองเดือนที่รู้จักกันมา. . .มันจะไม่ทำให้ผมต้องเสียใจ. . .เป็นครั้งที่สามTBC.
TALK :
เป็นแฟนกันแล้ววว
เรื่องราวของฟีฟ่า อาจจะไม่ได้ดราม่าหนักมากอย่างที่หลายคนคิด แต่สำหรับคนที่ต้องผิดหวังถึงสองครั้งสองครา มันก็ต้องมีฝังใจกันบ้างล่ะค่ะ หลังจากนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับพี่คีนเขาล่ะเนอะ ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าเราไม่ได้เอ่ยชื่อผู้ชายในอดีตของฟีฟ่า มีเหตุผลค่ะ ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าเด้อปล. เพิ่งสังเกตว่าปล่อยฟีฟ่ามันพล่ามคนเดียวมาหลายพาร์ทแล้ว