43rd Night
…Truth III...
“หมายความว่ายังไง”
นอกจากนิลที่พูดประโยคนี้ขึ้นแล้วยังมีพะแพงที่ดูจะช็อคไปกับสิ่งที่รัตติกาลกล่าวถึง หญิงสาวหันไปหาคนมาใหม่อยากต้องการคำตอบ แต่ชายคนนั้นกลับไม่พูดอะไร เขาเดินตรงไปที่เด็กสาวซึ่งพะแพงอุ้มอยู่ก่อนจะพูดกับร่างเล็กด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเสียจนบรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง
“พิมพ์พาน้องไปเล่นข้างนอกก่อนนะคะ เดี๋ยวขอพวกป๊าคุยธุระกันก่อน”
“น้องพีหรอคะ?”
เด็กสาวชื่อพิมพ์ชี้ไปยังรพีที่ยังคงนั่งอยู่บนตักของรัตติกาล รพีเองเมื่อเจอคนแปลกหน้าเยอะๆเข้าก็เอาแต่ซุกหน้าลงในอกอุ่นของบิดาแต่ก็ยังแอบหันหน้ากลับมามองบ้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ครับ เล่นกับน้องดีๆนะ”
“ค่ะ!”
ร่างสูงรับร่างของลูกสาวมาจากพะแพงที่เอาแต่มองเขาอย่างคาดโทษ ทันทีที่เท้าคู่เล็กนั้นแตะพื้น เด็กหญิงพิมพ์ใจก็วิ่งตรงไปที่เก้าอี้ของรัตติกาล เธอยิ้มให้คุณน้าใจดีเจ้าของลูกอมอีกครั้งก่อนจะเอ่ยชวนเด็กชายที่ตัวพอๆกัน
“น้องพี ไปเล่นด้วยกันนะ!”
รพีส่ายหน้ากับอกอุ่นของพ่อจนรัตติกาลต้องลูบกลุ่มผมนุ่มเพื่อปลอบโยน
“รพี ไปเล่นกับพี่พิมพ์เขาก่อนนะ”
“พีไม่อยากไป...”
“แต่พี่เขามาชวนแล้ว เดี๋ยวพ่อให้ยายจันทร์ทำขนมไปให้”
เด็กชายเมื่อได้ยินข้อเสนอที่แสนล่อใจก็ยอมที่จะเงยหน้าออกมาสบตากับบิดา ร่างป้อมหันไปมองคนที่เรียกเขาว่าน้องอย่างสนใจก่อนจะยอมพยักหน้าแล้วร้องขอรัตติกาลให้วางตัวเองลงกับพื้น จันทร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลบอกให้เด็กรับใช้พาเด็กทั้งสองคนออกไปเล่นรอบๆบ้านโดยกำชับไม่ให้ใครเดินเข้ามาในห้องๆนี้หากไม่ได้รับอนุญาตจากเธอ หญิงแก่มองคุณหนูที่เธอเลี้ยงดูมานานด้วยความเป็นห่วงแต่เมื่อได้เห็นสายตาที่มุ่งมั่นของรัตติกาลเธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปิดประตูที่หนักอึ้งนั้นลง
“คุณรู้มานานเท่าไหร่แล้ว”
อารัณย์ถามขึ้นทันทีที่สาวใช้ทั้งหมดออกจากห้องไป ชายหนุ่มมองหน้าคนรักที่ดูไม่ยินดียินร้ายกับสถานการณ์ตรงหน้าผิดกับคนอื่นๆที่สับสนวุ่นวายไปกันหมด
“จริงๆก็สงสัยตั้งแต่เห็นบ้านไม้จำลองหลังนั้น แต่ถ้าพี่แพงไม่มาผมก็อาจจะยอมปิดหูปิดตาตัวเองต่อไปก็ได้”
รัตติกาลมองไปยังบ้านไม้จำลองหลังเล็กที่อารัณย์นำมาให้เป็นของขวัญวันเกิดของรพี ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปยังกล่องกระจกนั้นซึ่งตั้งอยู่ในอีกมุมหนึ่งของห้องตามคำสั่งของเจ้าของบ้าน เขายกกรอบของมันขึ้นท่ามกลางความแปลกใจของทุกคน ชายหนุ่มลูบเบาๆไปตามแผ่นไม้ที่ถูกเหลาอย่างประณีตก่อนจะหยิบเอาไม้แผ่นเล็กๆแผ่นหนึ่งออกมาอย่างง่ายดาย
“ผมเคยซุ่มซ่ามทำมันตกอยู่ครั้งนึง หึ ไม่น่าเชื่อว่าพี่ทีจะไม่สังเกตเห็น”
ร่างโปร่งว่ายิ้มๆก่อนจะวางมันกลับไปอย่างเก่า เขาเดินกลับมานั่งเคียงข้างอารัณย์ที่เริ่มประติดประต่อเรื่องราวบางอย่างได้ก่อนจะหันไปพูดกับคนรัก
“ช่วยแนะนำพี่เขยของคุณ...และเรื่องทั้งหมดให้พวกเรารู้หน่อยได้ไหม”
“ขอให้ผมเป็นฝ่ายพูดเองเถอะครับ”
ชายผู้มาใหม่พูดขึ้นด้วยสีหน้าแน่วแน่ราวกับเตรียมใจมาก่อนแล้ว เขานั่งลงตรงเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งเมื่อเจ้าบ้านอย่างรัตติกาลพยักหน้าให้ก่อนจะวางซองเอกสารที่ถือมาด้วยลงบนโต๊ะซึ่งนิลก็หยิบมันไปอ่านแทบจะทันที
“เอกสารนี่มัน...ใบมรณะบัตรของพี่แพง”
“ใบมรณะบัตรของพี่??”
หญิงสาวร้องขึ้นอย่างตกใจ แต่ชายคนนั้นก็ไม่ปล่อยให้ทุกคนรอนาน เขาถอดแว่นที่ตัวเองสวมออกเผยให้เห็นใบหน้าที่อ่อนล้าราวกับคนที่โหมงานอย่างหนัก
“ผมชื่อกันต์ชนก เป็นนายแพทย์ที่ทำคลอดน้องรพีเมื่อหกปีก่อนแล้วก็เป็นสามีในปัจจุบันของแพงอย่างที่คุณกาลว่า”
“เดี๋ยวก่อนนะ...กันต์ชนก”
นิลเอ่ยขัดขึ้นก่อนจะก้มลงอ่านใบมรณะบัตรอีกครั้ง ก่อนจะเห็นชื่อๆเดียวกันเซ็นกำกับอยู่ในช่องของผู้รับรองอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ครับ เอกสารนั้นผมเป็นคนเซ็นเอง...ทั้งๆที่พะแพงไม่ได้ตาย”
กันต์มองภรรยาของเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกความเสียใจอย่างสุดซึ้ง แต่เขาก็กลั้นใจพูดความจริงต่อไปโดยที่มีสายตาของทุกคนมองมาอย่างกดดันยกเว้นเพียงอารัณย์ที่แทบจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกันเลย
“เมื่อหกปีที่แล้วผมไปประจำการอยู่ที่โรงพยาบาลลำปาง ตอนนั้นเป็นช่วงปลายปีมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแทบตลอดทำให้แม้แต่แพทย์น้องใหม่อย่างผมก็ต้องอยู่ช่วยที่นั่นแทบจะไม่ได้ปลีกตัวไปไหน จนบ่ายวันนั้นผมก็ต้องทำหน้าที่ยื้อชีวิตให้กับสามีภรรยาคู่หนึ่งที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุมา...”
“และนั่นก็คือพี่แพงกับพี่ทีใช่ไหม”
หมอหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบให้นิลที่เอาแต่นั่งกุมขมับ ก่อนจะอธิบายต่อ
“คุณนที...เสียชีวิตเพราะได้รับกระทบกระเทือนที่ศีรษะอย่างแรงแทบจะทันทีที่ถึงมือหมอ ส่วนแพงถึงไม่หนักเท่าแต่เพราะตั้งครรภ์อยู่ด้วยทำให้ทุกอย่างอันตรายไปหมด เราจำเป็นต้องผ่าเอาเด็กออกทั้งๆที่ยังไม่ครบอายุครรภ์...นั่นทำให้ผมได้ชื่อว่าเป็นคนทำคลอดของน้องรพีครับ”
“โกหกกันมาตลอดเลยสินะ ทำไมคุณทำกับฉันแบบนี้!”
พะแพงลุกขึ้นไปทุบตีร่างของคนรักทั้งน้ำตานองหน้า หมอหนุ่มรับฝ่ามือที่แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงนั้นไว้ก่อนจะกอดร่างเล็กด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีแม้มันจะไม่ช่วยให้เธอร้องไห้น้อยลงเลยก็ตาม
“ผมขอโทษ...มันจำเป็นจริงๆแพง ถ้าผมไม่โกหกคุณ ทั้งคุณกับลูกอาจจะโดนฆ่าไปตั้งแต่วันนั้นแล้วก็ได้”
หญิงสาวเบิกตาโพลงเช่นเดียวกับนิลที่หันมามองรัตติกาลแทบจะทันที ร่างโปร่งหันไปมองเพื่อนของตนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับพะแพงที่มองมาอย่างไม่เข้าใจ
“พี่คิดว่าตัวเองรู้จักผู้ชายคนนั้นดีแค่ไหนกัน...พี่แพง”
“...?”
“พี่อาจจะคิดว่าตัวเองโชคร้ายที่ครั้งหนึ่งเคยรักคนเจ้าชู้แบบนั้น แต่พี่รู้ไหม ว่านั่น...อาจจะเป็นด้านที่ดีที่สุดแล้วที่ทีจะแสดงให้พี่เห็นได้”
รัตติกาลลุกขึ้นไปหยิบเอาบ้านไม้จำลองหลักเดิมมาวางลงบนโต๊ะเพื่อให้ทุกๆคนได้เห็น ร่างโปร่งเหลือบมองฤทธิชาติที่กำลังให้ความสนใจกับวัตถุตรงหน้าอย่างมากแต่เมื่อพอรู้ตัวว่ากำลังโดนรัตติกาลจับจ้องผู้หมวดหนุ่มก็ทำเพียงแค่ยิ้มให้เหมือนกับทุกทีที่เคยทำ
“ทุกคนคิดว่าบ้านไม้หลังเล็กๆหลังนี่ ราคาเท่าไหร่ครับ”
แต่ละคนเลิ่กคิ้วขึ้นก่อนจะลองตอบราคาที่ตัวคาดไว้ตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่นมีเพียงแค่ฤทธิชาติที่ไม่เสนอราคาใดๆ แต่สุดท้ายไม่ว่าคำตอบไหนรัตติกาลก็เอาแต่ส่ายหน้าก่อนที่ร่างโปร่งจะเฉลยด้วยท่าทางที่เครียดขึงกว่าเดิม
“บ้านจำลองหลักนี้...ราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท”
“ไม้เหี้ยอะไรแพงขนาดนั้นวะ!!!”
นิลร้องขึ้นทันทีที่รัตติกาลพูดจบ ชายหนุ่มหัวเราะร่าเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเพื่อนรัก ไม่ต้องพูดถึงอารัณย์ที่นิ่งอึ้งไปแล้วเพราะไม่เคยรู้เลยว่าของที่ตนนำมาให้รพีเป็นของขวัญมีมูลค่ามากแค่ไหน
“ไม่ใช่ไม้เหี้ย นี่มันไม้พะยูง รู้จักไหม”
นักเขียนหนุ่มร้องอ่อขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อไม้มงคลหายากที่ยังคงมีเหลืออยู่แค่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น ด้วยเพราะความทนทานและความเชื่อที่สืบต่อกันมานานว่าเป็นไม้ของเทพเจ้าทำให้ไม้ชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อมีการใช้ไม้พะยูงในการซ่อมแซมพระราชวังต้องห้ามของประเทศจีนยิ่งทำให้ความนิยมที่มากอยู่แล้วพุ่งสูงพอๆกับราคาที่มากจนคนธรรมดาไม่มีทางเอื้อมถึงได้
“พญาไม้พวกนี้ ถ้าอายุแค่สามสิบปีต้นนึงก็ตกสามถึงห้าแสน แต่ถ้าเป็นเจ็ดสิบปีก็หลักล้าน และจะอัพขึ้นเป็นสิบล้านในอีกไม่กี่ปีถ้ามันยังถูกค้าออกไปเรื่อยๆ”
“หวังว่าคงจะไม่ใช่อย่างที่กูคิดนะ”
“...เป็นอย่างที่มึงคิดนั่นแหละ”
นิลถอนหายใจยาวก่อนจะกุมขมับเมื่อสิ่งที่เพิ่งรับรู้ทำให้เขาไม่อาจจินตนาการถึงความวุ่นวายที่อาจตามมาได้ รัตติกาลหันไปหาหญิงสาวที่ยังคงไม่สามารถเดาได้ว่าความจริงที่นทีซ่อนไว้คืออะไร เพราะโลกที่นทีทำให้เธอเห็นนั้นมันเทียบไม่ได้เลยกับความเป็นจริงที่รัตติกาลต้องเผชิญ
“พี่นที...เคยมีส่วนร่วมกับการลักลอบค้าไม้ครับ”
ทั้งห้องนิ่งเงียบไปแทบจะทันที แม้แต่การเคลื่อนไหวเล็กๆตอนที่นายตำรวจหนุ่มหยิบโทรศัพท์มาปลดล็อคยังเรียกความสนใจของทุกคนได้
พะแพงพยายามหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกสติ เธอปาดน้ำที่ไหลคลอดวงตาของตนออกแต่ก็ไม่อาจต้านทานความผิดหวังจากข้างใน เธอระบายมันออกมาจนหมดโดยมีกันต์ชนกคอยโอบกอดคนรักของตนไว้พร้อมกับปลอบโยนอยู่ข้างๆ
“พี่มัน...ไปขัดผลประโยชน์กับใครเข้ารึเปล่า”
“หึ สันดานแบบนั้นคิดว่าอยู่เฉยๆได้รึไง”
“ห่าเอ้ย กูรู้ว่าพี่มันโลภแต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้”
“ความทะเยอทะยานของพี่นทีที่มึงเคยเห็นคงไม่ได้สักครึ่งของเขาที่กูรู้จัก”
รัตติกาลเค้นยิ้มก่อนจะนำกรอบแก้วครอบบ้านไม้จำลองไว้อย่างเดิม พร้อมกับมองไปที่นายตำรวจหนุ่มเพื่อดูท่าทางว่าจะจัดการยังไงกับมัน แต่ฤทธิชาติกลับหัวเราะออกมาเบาๆแล้วโบกมือไปมาเพื่อบอกว่าเขาไม่คิดจะสนใจบ้านน้อยหลังนี้
“อุบัติเหตุครั้งนั้น...มันไม่ใช่อุบัติเหตุจริงๆใช่ไหม”
พะแพงกลั้นก้อนสะอื้อของตนแล้วถามออกไปทั้งที่ดวงตายังแดงก่ำ
“ส่วนหนึ่งครับ...คนขับรถบรรทุกคันนั้นไม่ได้หลับใน แต่ไฟจราจรที่ควรเป็นสีแดง เขากลับเห็นมันเป็นสีเขียว”
“...!!!”
“มีคนปรับเปลี่ยนมันในจังหวะที่รถของพี่ไปถึงแยกนั้นพอดี เรื่องนี้มีแค่ผมกับปู่ของอารัณย์และตำรวจบางคนเท่านั้นที่รู้”
“แต่นี่มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ถ้ามันมีหลักฐานว่าเป็นการฆาตกรรมจริงมึงจะปิดเรื่องไปทำไม มึงควรเล่นงานพวกมันไม่ใช่หรอ”
“ก็ใช่...ที่ว่าโลกนี้มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย”
รัตติกาลยิ้มเย็นก่อนจะตอบนิลไปแบบนั้น เขาหยิบเอาเอกสารแผ่นหนึ่งออกมาจากซองเอกสารที่ถูกวางไว้ในลิ้นชักของตู้โชว์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ร่างโปร่งวางมันไปตรงหน้านายแพทย์หนุ่มที่มองรัตติกาลอยู่ก่อนแล้วด้วยแววตาที่ต้องการจะขอโทษแต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย
“คุณปู่ของพี่กับอารัณย์เป็นคนขอร้องให้ผมรับเลี้ยงรพีไว้ เพราะเรื่องนี้”
“...!!!”
“ชายคนนั้นขอให้ผมใช้ปีกของพัฒนเดชาปกป้องชีวิตเหลนของตัวเอง แลกกับการยุติความสัมพันธ์ทั้งหมด มันเป็นการสูญเสียเพื่อแลกมาซึ่งอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ของรพี...บุตรบุญธรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม”
พะแพงพูดไม่ออก แม้แต่นิลที่มีคำถามมากมายอยู่ในหัวก็ด้วย อารัณย์หยิบเอกสารดังกล่าวขึ้นมาดูก่อนจะเห็นว่าในช่องของผู้ปกครองมีลายเซ็นของคุณปู่ตนถูกระบุไว้อย่างชัดเจน เหมือนกับสำเนาที่กันต์ชนกผู้เป็นพี่เขยของเขาเคยนำมาให้ดูในตอนที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง รวมถึงสาเหตุที่พะแพงยังมีชีวิตอยู่ด้วย
“คราวนี้พวกคุณจะอธิบายได้รึยังว่าทำไม...ถึงได้ทรยศผม”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“หมอกันต์คะ มีคนไข้ฉุกเฉินเข้ามาสองคนรีบมาทางนี้เลยค่ะ”
“ครับ นำไปเลย!”
นายแพทย์หนุ่มลากขาที่ล้าจนไม่อยากเชื่อว่าเขาจะใช้มันวิ่งไปตามทางเดินที่ทอดยาวนี้ได้ ไฟหน้าห้องฉุกเฉินเปิดขึ้นทันทีที่เขาก้าวมาถึง กันต์ชนกมองร่างของชายหญิงคู่หนึ่งที่ร่างกายต่างถูกย้อมไปด้วยเลือด เขาร้องบอกให้พยาบาลตรวจดูบาดแผลที่น้อยกว่าของฝ่ายหญิงก่อนที่จะพุ่งตรงไปยังร่างที่บิดเบี้ยวของชายหนุ่มที่ไม่เหลือสติอยู่แล้ว แขนและขาข้างขวาที่หักทำให้เขาสันนิษฐานได้ทันทีว่าคนไข้คงได้รับการกระแทกอย่างหนัก ไม่ต่างจากศีรษะที่กะโหลกบางส่วนยุบลงไปจนเห็นได้ชัด
“หมอคะ ความดันคนไข้ตกค่ะ”
ชายหนุ่มมองกราฟที่แสดงความดันและอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งกำลังดิ่งลงจนเขาต้องปีนขึ้นไปบนเตียงเพื่อปั้มหัวใจอย่างไม่ลังเล ฝ่ามือถูกวางลงในตำแหน่งตามที่ฝึกฝนมาก่อนจะออกแรงนวดปั้มเป็นจังหวะพร้อมกับบอกให้พยาบาลฉีดยากระตุ้นหัวใจไปด้วย
“ไม่ไหวค่ะหมอ คนไข้ไม่ตอบสนองเลย!”
กันต์ชนกบอกตัวเองไม่ให้สิ้นหวัง เขาพยายามทำมันอยู่หลายครั้งทั้งด้วยมือเปล่าและเครื่องกระตุ้นแบบไฟฟ้าแต่ร่างนั้นก็ยังนิ่งไม่ไหวติง จนกระทั่งเสียงร้องลากยาวดังขึ้นก้องไปทั่วทั้งห้องและโสตประสาทของทุกคนที่ได้ยินทำให้พวกเขารู้ได้ทันทีว่าการช่วยชีวิตครั้งนี้ไม่สามารถยื้อชีวิตคนไข้ไว้ได้
“คุณคะ ทำใจดีๆไว้ค่ะ!!”
“มีเลือดออกทางช่องคลอด ระวังด้วยนะ”
หมอหนุ่มที่แม้ในใจจะยังไม่อยากทิ้งคนตรงหน้าไปแต่เขากลับไม่มีเวลาแม้แต่จะเอ่ยปากขอโทษด้วยซ้ำ กันต์ชนกรีบวิ่งไปยังเตียงทางด้านขวาที่ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโอบอุ้มท้องที่ใหญ่โตของตัวเองไว้ราวกับสิ่งล้ำค่า ร่างสูงใช้ไฟฉายส่องดูการขยายของรูม่านตาซึ่งสัมพันธ์กับสัญญาณชีพที่ไม่สู้ดีนัก
“หมอกันต์ค่ะ คนไข้เลือดออกเยอะมาก ฉันเกรงว่า...”
“ผมรู้แล้ว ทุกคนเตรียมตัวครับ เราต้องผ่าเด็กออกเดี๋ยวนี้!!!”
อุแว๊! อุแว๊!!
เสียงเด็กร้องดังขึ้นทันทีที่ผิวกายอ่อนได้สัมผัสอากาศภายนอกเป็นครั้งแรก พยาบาลรีบเข้ามารับเด็กน้อยตัวแดงแจ๋ไปเข้าทำตามขั้นตอนทันทีในขณะที่คนอื่นต้องมุ่งอยู่กับการรักษาชีวิตแม่เด็กต่อไปโดยไม่มีแม้แต่เวลาจะมาร่วมยินดีเหมือนเช่นทุกครั้ง กันต์ชนกพยายามอย่างสุดความสามารถแต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะได้รับการกระทบกระเทือนไม่น้อยกว่าผู้เป็นสามี จุดสุดท้ายเขาก็ทำได้แค่ยื้อชีวิตให้เธอต่อไปด้วยท่อออกซิเจนเท่านั้น
“หมอครับ หลานกับเหลนผมเป็นยังไงบ้าง!”
กันต์ชนกมองใบหน้าตื่นตระหนกของชายแก่คนหนึ่งที่รีบก้าวยาวๆมาหาขาทันทีที่เดินออกมาจากห้อง สิ่งเดียวที่เขาเกลียดเวลาต้องทำอาชีพนี้ไม่ใช่ความเหนื่อยล้าหรือเวลาส่วนตัวที่แทบจะถูกลิดรอนไปจนหมด หากแต่เป็นช่วงเวลาที่ต้องบอกข่าวร้ายกับญาติคนไข้นี่แหละที่ชายหนุ่มรู้สึกทนไม่ได้ทุกครั้งที่ต้องเห็นสายตาพวกนั้น
“เด็กปลอดภัยดีนะครับแต่เพราะคลอดก่อนกำหนดเราเลยต้องให้อยู่ในตู้อบก่อน ส่วนแม่เด็ก...ยังอยู่ในอาการโคม่า”
ชายแก่คนนั้นแทบทรุดลงไปแต่ด้วยเพราะประสบการณ์ที่ผ่านมามากทำให้ยังคงย้ำเตือนสติตัวเองไว้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาทำตัวอ่อนแอ เขาพาร่างที่โงนเงนนั้นไปดูอาการหลานสาวผ่านทางกระจกของห้องไอซียู ภาพของหญิงสาวที่นอนหลับใหลท่ามกลางสายของเครื่องมือช่วยชีวิตห้องระโยงระยางแทบคร่าหัวใจคนเป็นปู่ได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น
“บาดแผลภายนอกไม่รุนแรง แต่สมองและอวัยวะภายในบางส่วนได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก เราต้องรอดูอาการอย่างใกล้ชิดกันไปก่อน อย่างน้อย...ก็จนกว่าอาการของเลือดที่คั่งอยู่จะดีขึ้น”
“แล้ว...อีกคนล่ะครับ”
“...ฝ่ายชายเสียชีวิตแล้วครับ ผมเสียใจด้วย”
“ผมขอไปดูศพเขาหน่อยได้ไหม”
กันต์ชนกพยักหน้าแล้วพาชายแก่ไปยังห้องดับจิตที่แทบจะคร่าหัวใจของญาติทุกครั้งตามที่หมอหนุ่มเคยเห็น เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่ชายคนนั้นได้แต่ยืนมองร่างไร้วิญญาณตรงหน้าด้วยสายตาที่ทั้งเต็มไปด้วยความตำหนิและทรมานใจไปในคราวเดียวกันแม้ว่าจะไม่มีน้ำตาสักหยดให้ไหล
“ปู่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ระวัง...ทำไมไม่ฟังกันบ้างหึเจ้าที”
ร่างสูงถอยออกมาเพื่อให้ญาติใช้เวลาทำใจอย่างที่ควรเป็น เขาสั่งบุรุษพยาบาลถึงขั้นตอนที่จะต้องแจ้งชายแก่ให้ดำเนินการต่อไปส่วนตัวเขาเองคงจะต้องกลับไปประจำการเพื่อรอคนไข้รายใหม่เหมือนเช่นทุกครั้ง กันต์ชนกพาร่างที่อ่อนล้าเดินไปยังลิฟต์ตัวเก่าแทนการใช้บันไดที่ติดเป็นนิสัย แต่แล้วในทันทีที่ประตูเปิดออก เขาก็ต้องชะงักไปเพราะคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงกลางกล่องลิฟต์นั่น
“คะ คุณ...เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
เขามองร่างที่สูงพอๆกับตนแต่ไหล่ลาดนั้นกลับลู่ลงเสียจนทำให้ดูตัวเล็กไปถนัดตา ผิวกายซีดขาวราวกับไร้เลือดหล่อเลี้ยวบวกกับดวงตาบวมช้ำทำให้นายแพทย์หนุ่มเผลอคิดไปว่าคนตรงหน้าเป็นสิ่งลี้ลับที่พวกพยาบาลชอบล้ำลือกันหากแต่แผ่นอกที่ขยับเข้าออกแล้วอาการส่ายหน้าแทนคำตอบนั้นทำให้กันต์ชนกรู้ว่าเขาคือคนไม่ใช่ผี
“ห้องดับจิต...ไปทางไหน”
“เออ เลี้ยวตรงสุดทางนี้ก็ถึงแล้วครับ”
ไม่มีการขอบคุณหรืออะไรทั้งนั้น ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงก้าวผ่านเขาไปโดยไม่มีแม้แต่จะเปรยตามองด้วยซ้ำ ชายหนุ่มได้แต่นึกเกรงในความประหลาดนั้นแต่ก็ได้ไม่นาน เขากลับขึ้นไปชั้นบนโดยที่มีแต่เรื่องวุ่นวายของวันนี้อยู่ในหัว ร่างสูงทักทายเหล่าพยาบาลบางส่วนที่เตรียมตัวกลับบ้านตลอดทางไปยังห้องพักที่อยู่ตรงสุดทางเดิน แต่ก่อนที่เขาจะไปถึง ร่างท้วมของหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินมาดักเขาไว้เสียก่อน
“อ้าวป้านิ มาทำอะไรที่นี่ครับ”
“พาน้องพิมพ์ใจมาหาคุณพ่อค่ะ เห็นมืดแล้วยังไม่ยอมกลับซะที”
เธอชูร่างในอ้อมแขนไปตรงหน้านายแพทย์หนุ่มที่ยิ้มออกเป็นครั้งแรกของวัน กันต์ชนกรับร่างนุ่มนิ่มของลูกสาววัยสองเดือนเศษมาอุ้มไว้ตรงอกก่อนจะฝังจมูกโด่งลงบนแก้มนวลที่เป็นก้อนกลมไม่ต่างจากคนเป็นแม่
“น้องพิมพ์เป็นยังไงบ้างคะ คิดถึงป๊าไหมลูก”
เด็กน้อยพ่นน้ำลายใส่แทนคำตอบจนผู้ใหญ่ทั้งสองต่างก็หัวเราะร่ากับความน่ารักของเจ้าตัวเล็กที่ทำไปโดยไม่รู้ประสา กันต์ชนกอุ้มพาลูกสาวของตนและพี่เลี้ยงเด็กที่จ้างไว้ให้ดูแลเข้ามาในห้องพักก่อนจะส่งเด็กน้อยพิมพ์ใจไปให้พี่เลี้ยงอุ้มต่อ
“ช่วงสิ้นปีอย่างนี้แย่เลยนะคะ คงไม่ได้กลับบ้านกลับช่องอีกตามเคย”
“อย่างนี้แหละครับป้า แต่คิดว่าพรุ่งนี้คงได้กลับ”
“หรอคะ ดีจัง น้องพิมพ์จะได้นอนกลับคุณพ่อแล้วนะลูก ดีใจไหม”
“ไหนๆ มาให้ป๊าอุ้มหน่อยสิคะ”
ชายหนุ่มยิ้มอ่อนเมื่อเห็นเด็กสาวชูมือขึ้นกลางอากาศราวกับว่าตัวเองฟังรู้เรื่อง เขาเดินไปรับร่างของพิมพ์ใจมาอุ้มไว้แทนทันทีที่เปลี่ยนเสื้อตัวนอกเสร็จ ทันทีที่ผิวกายนุ่มได้สัมผัสตัวเขาก็พาลนึกถึงเด็กอีกคนที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้โดยที่เด็กคนนั้นคงไม่มีวันได้อยู่ในอ้อมกอดของบิดาเหมือนกับลูกของตน
“หมอกันต์เป็นอะไรคะ ทำสีหน้าไม่ดีเลย”
“ไม่เป็นอะไรครับ แค่รู้สึกแย่นิดหน่อย”
กันต์ชนกเล่ารายละเอียดคร่าวๆให้หญิงพี่เลี้ยงฟังโดยละในส่วนที่ความปกปิดข้อมูลไว้ตามจรรยาบรรณแพทย์ ตลอดการสนทนาร่างท้วมตรงหน้าก็เอาแต่ยกมือขึ้นปิดปากราวกับแทบทนไม่ได้เมื่อได้ฟังเรื่องของโศกนาฏกรรมที่เขาเพิ่งเจอมา
“คุณพระช่วย เวรกรรมแท้ๆ”
“น่าสงสารนะครับ ถ้าแม่เด็กสู้ไม่ไหวอีกคน เจ้าตัวเล็กนั่นคงแย่”
“นั่นสิคะ...ดันมาเกิดเหตุพร้อมกันทั้งสองคนแบบนี้”
เธอครวญแล้วมองไปยังเด็กน้อยที่เริ่มปรือตาลงเมื่อได้รับไออุ่นจากอกของพ่ออันเป็นที่พักพิงเดียวที่เคยได้รับ หมอหนุ่มเค้นยิ้ม เขารู้ดีว่าหญิงพี่เลี้ยงต้องการจะพูดอะไรเพราะครอบครัวของเขาเองก็เพิ่งผ่านประสบการณ์ที่ไม่ต่างกันมากนัก
“อาจฟังดูเลวร้าย แต่เพราะเรื่องวันนี้ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไป”ถ้าผมตรอมใจตายตามอ้อมไปอีกคน...น้องพิมพ์คงไม่ต่างจากเด็กคนนั้น”
ร่างสูงนึกถึงภรรยาที่เสียไปหลังจากที่ให้กำเนิดบุตรสาวเพราะร่างกายเล็กๆนั้นอ่อนแอเกินจะรับไหว กันต์ชนกใช้เวลาอยู่เกือบเดือนกว่าจะตั้งหลักใหม่ได้ทั้งหมดก็เพียงเพื่อเป็นเสาหลักให้ครอบครัวที่เพิ่งโดนพายุร้ายเข้าถาโถมให้สามารถอยู่ต่อไปได้แม้จะสูญเสียหัวใจของบ้านไปแล้วก็ตาม
“ผู้หญิงคนนั้นต้องรอดค่ะ ป้าเชื่อว่าเธอจะต้องรอด”
“ครับ ผมเองก็จะพยายามเหมือนกัน น้องพิมพ์ก็เป็นกำลังใจให้ป๊าด้วยนะลูก ป๊าจะได้มีแรงไปช่วยคุณน้าคนนั้นนะคะ”
กันต์ชนกพูดหยอกล้อกับลูกสาวที่ตกสู่ห้วงนิทราไปเป็นที่เรียบร้อย โดยที่ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ชีวิตของเขาจะต้องมาผูกผันช่วยเหลือหญิงสาวคนนั้นเหมือนเช่นกับวาจาที่เขาได้ลั่นเอาไว้
(มีต่อเม้นต์ล่าง) 