Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...  (อ่าน 131842 ครั้ง)

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
46th Night

…The last game I...

 

 

เสียงตอบที่ฟังดูร่าเริงกลับทำให้รัตติกาลปวดหัวเสียจนต้องแสดงออกทางใบหน้า ฤทธิชาติที่ยืนฟังอยู่ไม่ไกลส่งสัญญาณให้ร่างโปร่งเปิดสปีคเกอร์โฟนเพื่อให้ทุกคนในที่นี้ได้ฟังบทสนทนากันทั่วทั้งห้อง โดยเฉพาะกันต์ชนกที่กังวลเกี่ยวกับสถานภาพของภรรยาตนเป็นอย่างมาก ก่อนที่รัตติกาลจะรีบถามกลับไปตามที่นายตำรวจหนุ่มบอกโดยไม่ออกเสียง

 

“แกเป็นใคร”

 

 “แหมๆ ผ่านไปไม่นานจำกันไม่ได้แล้วหรอ แต่ก็นะ ครั้งนั้นไม่ได้แนะนำตัวเองให้กาลฟังซะด้วยสิ”

 

ร่างโปร่งขมวดคิ้วแน่นเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่นึกสงสัยไม่ต่างกัน แต่ยังไม่ทันที่รัตติกาลจะได้ถามอะไรเพิ่มเติม เสียงเตือนว่ามีอีเมลล์ส่งเข้ามาก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์ของกันต์ชนกที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างๆอารัณย์

 

“พะแพง!!!”

 

นายแพทย์หนุ่มร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง เมื่อสิ่งที่ถูกส่งมาคือรูปของหญิงสาวในสภาพไร้สติกำลังถูกตรึงอยู่บนฟูกนอนสีหม่นด้วยกุญแจมือ และรอบๆตัวนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือดที่ไม่รู้ว่าเป็นของพะแพงหรือไม่ กันต์ชนกพยายามตะโกนคุยกับคนที่อยู่ปลายสายของรัตติกาลอย่างโกรธแค้น แต่กลับมีเพียงแค่เสียงหัวเราะอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรดังกลับมาเท่านั้น

 

“ฮ่าๆ ใจเย็นๆสิครับ ทำไมต้องโวยวายด้วย”

 

“มึงจับเมียกูไว้ที่ไหน!!!บอกมาสิวะ!!!”

 

“เป็นหมอที่ไม่มีความอดทนเอาซะเลยนะครับ แถมยังขี้ขโมย เอาผู้หญิงของคนอื่นมาเป็นภรรยาได้หน้าตาเฉย”

 

ทุกคนยกเว้นกันต์ชนกที่สติแตกเริ่มเอะใจ ดูเหมือนว่าคนปลายสายจะรู้เรื่องราวในอดีตของพวกเขามากกว่าที่คิด

 

“มึงต้องการอะไรกันแน่”

 

อารัณย์ถามขึ้นบ้าง พลางมองรัตติกาลอย่างคิดหนัก พร้อมกับคว้ามือของคนรักมาจับไว้แม้ว่าร่างโปร่งจะยังรักษาท่าทางได้ดีเป็นปกติ

 

“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมแค่อยากเล่นเกมด้วยเท่านั้นเอง”

 

“เกมบ้าอะไรของมึง”

 

“เกมซ่อนหา รู้จักไหมครับคุณน้องชาย”

 

ชายคนนั้นหัวเราะหึหึในลำคอ ก่อนบางสิ่งบางอย่างจะถูกส่งเข้ามาในอีเมล์ของอารัณย์ ชายหนุ่มรีบเปิดโทรศัพท์ดูแล้วพบว่ามันคือรูปของบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีสภาพทรุดโทรมจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นบ้านร้าง

 

“พี่สาวของคุณอยู่ที่นั่น หากในสามชั่วโมงพวกคุณยังตามหาเธอไม่พบ คราวนี้พะแพงคงได้ตายสมกับเรื่องที่กุไว้สักที”

 

“แล้วเราจะแน่ใจได้ยังไงว่าแกจะไม่ทำอะไรเธอ”

 

รัตติกาลพูดขัดขึ้น

 

“วางใจได้เลย แต่ความจริงถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรไปซะได้ คุณก็น่าจะดีใจไม่ใช่หรอกาล...คุณคิดแบบนั้นอยู่ใช่ไหม”

 

ร่างโปร่งไม่ตอบคำถามนั้น เขายังคงยืนนิ่งสายตาไม่แสดงความรู้สึกใดๆไม่ว่าจะเป็นความตระหนกหรือหวั่นไหวต่อคำพูดที่สะกิดรอยร้าวในหัวใจของใครหลายคน รัตติกาลถอนหายใจทำเหมือนกับไม่เห็นสายตาที่อารัณย์มองมาก่อนจะถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนเช่นทุกครั้ง

 

“กติกาล่ะ”

 

“ก็อย่างที่บอก ถ้าหาผู้หญิงเจอในสามชั่วโมง พวกคุณชนะ แต่ถ้าไม่ชีวิตของพะแพงก็เป็นของผม”

 

“แล้วแกจะได้อะไรถ้าเกิดเราไปถึงตัวพี่แพงได้ก่อน แกคงไม่ได้ทำเรื่องทั้งหมดแค่เพราะอยากเล่นสนุกหรอกใช่ไหม”

 

“อืม...ฉลาดเหมือนเคยเลย สนุกจริงๆ ก็ได้ เพราะเห็นว่าเป็นกาลหรอกนะผมถึงยอมบอก”

 

“...”

 

“กรรมสิทธิ์ของบ้านไม้ที่ลำปาง ผมต้องการมัน”

 

รัตติกาลยิ้มหยัน เมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายเรียกร้องไม่ต่างจากที่คาด บ้านไม้ของจริงที่มีลักษณะเหมือนกับบ้านไม้จำลองซึ่งอารัณย์นำมามอบให้รพีถูกปลูกไว้บนที่ดินจำนวนหนึ่งที่จังหวัดลำปาง แน่นอนมูลค่าของที่ดินบริเวณนั้นสูงค่าแต่ไม่อาจเทียบได้เลยกับบ้านไม้ทั้งหลังที่ทำจากเนื้อไม้มงคลแบบเดียวกันกับแบบจำลองของมัน

 

“หมายความว่าเราจะแลกกันหาสินะ”

 

“ใช่ ถ้าพวกคุณไปถึงตัวพะแพงได้ก่อนที่ผมจะหาเอกสารนั้นพบ คราวนี้คือชัยชนะของพวกคุณจริงๆ แต่ถ้าผมเจอเอกสารก่อนหรือภายในสามชั่วโมงผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ในกำมือของผม...พวกคุณแพ้”

 

“ได้ ตกลงตามนั้น”

 

“อ่อ ส่วนเรื่องตำรวจ อยากแจ้งก็ตามใจ ถ้าคิดว่ามันช่วยได้”

 

ปลายสายหัวเราะน้อยๆก่อนมันจะถูกตัดไปโดยที่เบอร์นั้นถูกปิดใช้งานทันทีเมื่อร่างโปร่งรอติดต่อกลับไป กันต์ชนกรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนเขากวาดกรอบรูปและของที่วางไว้บนหัวเตียงทิ้งทำให้เกิดเสียงดังโครมครามเสียจนลูกสาวที่เล่นอยู่ในห้องต้องเดินออกมาดูด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา อารัณย์เข้าไปรับพิมพ์ใจมาอุ้มไว้เองก่อนจะยืนมองพี่เขยของตนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในนั้น

 

“เจอแล้ว!”

 

กันต์ชนกหยิบเอาเอกสารชุดหนึ่งที่ระบุชื่อของพะแพงไว้ว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นโดยมีลายเซ็นของเจ้าหน้าที่กำกับไว้เรียบร้อยดีทุกประการ ชายหนุ่มรีบยื่นมันให้กับรัตติกาลราวกับเป็นของร้อนก่อนจะคว้ามือของอีกฝ่ายมาจับไว้แล้วอ้อนวอนร่างโปร่งด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความหวัง

 

“นี่ครับคุณกาล! เอาไปเลย ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นนอกจากให้แพงรอด ได้โปรดช่วยแพงด้วย!”

 

รัตติกาลรับมันไว้แล้วอ่านทุกตัวอักษรด้วยความปวดร้าวในใจจากแผลจากการทรยศหักหลังที่ยังไม่หายดี อารัณย์ที่เหมือนจะรู้ว่าคนรักกำลังคิดอะไรเข้ามาโอบไหล่ลาดนั้นไว้แล้วส่งพิมพ์ใจให้พ่อแท้ๆที่ปลอบขวัญ

 

“คุณก็ได้ยินไม่ใช่หรอ ว่าเราต้องเล่นเกมกับมัน...”

 

“แต่ถ้าสิ่งที่มันต้องการคือบ้านหลังนั้นก็ให้มันไปสิครับ ผมยอมทุกอย่างจะเอามากกว่านี้ก็ยังได้!”

 

“ถ้าสิ่งที่มันต้องการแค่นั้นจริงๆ มันคงเอาไปนานแล้ว”

 

“...!!!”

 

เหมือนความหวังพังทลายลงกับตา กันต์ชนกทรุดตัวลงพร้อมกับกัดฟันแน่นเพราะไม่รู้จริงๆว่าควรหาทางออกให้เรื่องนี้ยังไง รัตติกาลมองดูเอกสารในมือตัวเองอีกครั้งก่อนจะเดินไปหาฤทธิชาติที่ยืนมองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ไม่ไกล

 

“ตรวจสอบตำแหน่งจากเบอร์โทรศัพท์และหมายเลขไอพีที่ส่งอีเมล์มาได้ไหม”

 

“ได้ครับ แต่ก็เป็นไปได้ว่าตัวคนร้ายไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งนั้น เขาอาจจะใช้วิธีอัดเสียงแล้วสื่อสารมาจากที่อื่น”

 

“มันต้องมีจุดร่วมสักทีสิ รีบจัดการเข้าเถอะ เรามีเวลาแค่สามชั่วโมงเท่านั้น”

 

ฤทธิชาติยิ้มรับก่อนจะออกไปโทรศัพท์ที่ระเบียงด้านนอก นิลมองนายตำรวจหนุ่มที่ยังคงรักษาท่าทางใจเย็นไว้ได้เช่นเดียวกับเพื่อนรักของเขาที่ดูเหมือนจะไม่แปลกใจเลยกับสถานการณ์นี้และพยายามหาวิธีรับมืออย่างมีสติแตกต่างจากคนที่เหลือ เขาสงสัยและดูเหมือนรัตติกาลจะรู้ว่านิลต้องการจะรู้อะไร

 

“ดูเหมือนมึงมีอะไรอยากถามกูเยอะเลยสินะ”

 

“ใช่ แล้วมึงล่ะมีอะไรที่ควรบอกกูรึเปล่า”

 

“...ขอพูดแค่ส่วนที่บอกได้ก่อนแล้วกัน”

 

นิลพยักหน้าตอบรับข้อเสนอนั้นแม้ว่าใจจริงอยากรู้เรื่องทุกอย่างก็ตามที รัตติกาลหันไปเรียกคนรักที่พยายามปลอบพี่เขยของตัวเองอยู่ไม่ห่างให้เข้ามาฟังด้วยกันโดยปล่อยให้พิมพ์ใจอยู่กับพ่อของตนไปก่อน

 

“กูให้ฤทธิชาติตามสืบเกี่ยวกับคนคนหนึ่งอยู่ได้สักพักแล้ว”

 

รัตติกาลพูดเปิดขึ้นพร้อมกับหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องของตนที่อารัณย์ไม่เคยเห็นมาก่อนให้ทั้งสองคนได้ดู บนภาพหน้าจอนั้นปรากฏภาพของธิชาอดีตเลขาของรัตติกาลกำลังเดินเข้าไปในคอนโดหรูแห่งหนึ่งโดยที่ข้างกันนั้นมีชายอีกคนที่ภาพสามารถจับได้เพียงแผ่นหลังและหัวที่ใส่หมวกปกปิดไว้เท่านั้น

 

“หลังจากให้ตำรวจปล่อยตัวไป กูก็ให้คุณนเรศแอบส่งคนติดตามธิชาจนได้ภาพนี้มา แต่น่าเสียดายที่เราไม่มีเบาะแสอะไรมากกว่านี้”

 

“ทำไมวะ?”

 

“...คนที่ถ่ายรูปนี้ ถูกเก็บไปแล้ว”

 

“...!!!”

 

“น่าเสียดายที่รูปถูกส่งมาถึงเราแค่ใบเดียว แถมยังไม่ชัดพอที่จะระบุตัวชายคนนั้นได้ ส่วนที่ชัดคงโดนทำลายไปพร้อมกับเจ้าของแล้ว”

 

“แสดงว่าเลขาของกาลโกหกสินะ”

 

อารัณย์พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความไม่พอใจเมื่อนึกถึงคำให้การที่ธิชาให้ไว้ว่าไม่รู้จักคนจ้างวานให้เธอปล่อยข่าวของบริษัทและทำร้ายรพี รัตติกาลเค้นยิ้ม เขาไม่ได้รู้สึกผิดหวังเหมือนครั้งแรกเพราะความคาดหวังในตัวผู้หญิงคนนั้นไม่เหลืออยู่แล้วในหัวใจของร่างสูง สิ่งเดียวที่มีอยู่คือความสมเพชในความโลภของมนุษย์เท่านั้น

 

“กูสันนิษฐานว่าเจ้านายตัวจริงของธิชาคือคนที่พยายามฆ่ากูเมื่อครั้งก่อน ตอนนั้นกูไม่รู้ว่าเหตุผลของมันคืออะไร แต่ตอนนี้เราก็น่าจะสรุปได้แล้ว...”

 

“พี่ทีอีกแล้วหรอ”

 

รัตติกาลยิ้มให้เพื่อน เขารู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะแปลกใจกับความจริงข้อที่ว่าชายคนนั้นนำพาเรื่องราววุ่นวายมาให้เขาเสมอ ฤทธิชาติที่โทรศัพท์เสร็จเดินเข้ามาสมทบด้วยท่าทางไม่ร้อนใจอย่างที่ควร

 

“ผมตรวจสอบออกมาแล้ว ตำแหน่งที่คนร้ายโทรเข้ามากับตำแหล่งเลขไอพีอยู่คนละจุดกัน ดังนั้นก็มีโอกาสมากที่จุดใดจุดหนึ่งจะเป็นตำแหน่งลวง ไม่ก็ทั้งสอง”

 

“แล้วจะทำยังไง กระจายกันไปหาทั้งสองที่งั้นหรอ”

 

“คงจะต้องเป็นอย่างนั้น”

 

ฤทธิชาติเปิดแผนที่จากโทรศัพท์มือถือให้ทุกคนดูรวมถึงกันต์ชนกที่พยายามมีสติแม้ว่าในใจจะตื่นตระหนกแค่ไหน ทั้งสองจุดที่ถูกระบุตำแหน่งไว้อยู่ห่างกันพอสมควรหากเดินทางด้วยรถก็กินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว

 

“เราต้องแบ่งเป็นสองกลุ่ม”

 

“ไม่...ต้องสาม กาลพาน้องพิมพ์ไปอยู่รอกับรพีที่บ้านซะ”

 

อารัณย์พูดขัดขึ้นทำให้รัตติกาลรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก ดวงตาคมกริบสองคู่ประสานกันโดยที่ฝั่งของรัตติกาลเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดในขณะที่อารัณย์พยายามสื่อความเด็ดขาดออกมาให้คนรักเห็น

 

“ผมเหมือนคนที่ต้องได้รับการปกป้องมานักรึไง”

 

“ไม่ ผมรู้ว่ากาลดูแลตัวเองได้แต่อย่าลืมสิ ว่ารพีทำไม่ได้”

 

ร่างสูงจับไหล่ของรัตติกาลไว้แล้วบีบมันแรงๆเพื่อให้คนตรงหน้าตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเกิดและความกังวลที่เขามี

 

“เราทิ้งเด็กๆไว้ตามลำพังไม่ได้ ยิ่งคนร้ายอาจมีความเกี่ยวข้องกับนทีและบ้านหลังนั้นเรายิ่งต้องยิ่งระวังตัว สัญญากับผมนะกาล ว่าจะปกป้องรพีและดูแลตัวเองจนกว่าเกมนี้จะจบ”

 

รัตติกาลนิ่งอึ้ง ความที่อยากไล่ตามเงาที่คอยหลอกหลอนทำให้เขาลืมนึกถึงสิ่งสำคัญที่อารัณย์ไม่เคยลืมและคำนึงถึงเสมอมา ร่างโปร่งพูดไม่ออก เขาไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่คนรักเป็นกังวลได้เลยแม้แต่น้อย

 

“หากรพีคือหัวใจของกาลก็จงปกป้องเขาด้วยทุกอย่างที่กาลมี ส่วนผม...ก็จะปกป้องกาลที่เป็นหัวใจเอาไว้ด้วยชีวิตเหมือนกัน”

 

อารัณย์เอ่ยขึ้นก่อนจะยิ้มให้คนรักที่เสหน้าหนีไปทางอื่น ถึงแม้จะไร้คำพูดใดๆกลับมาแต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่ารัตติกาลเข้าใจถึงความหมายที่เขาต้องการจะบอก อารัณย์ลูบเส้นผมสีราตรีของรัตติกาลอย่างทะนุถนอมก่อนจะโน้มตัวลงไปฝากจุมพิตไว้ที่มันโดยไม่สนว่าในห้องนั้นจะมีคนอื่นอยู่นอกจากพวกเขา

 

“ส่วนพี่แพง ผมกับคนที่เหลือจะหาทางช่วยเอง กาลกลับไปคอยอยู่ที่บ้านพร้อมกับพวกเด็กๆนะ ตกลงไหม”

 

“...ก็ได้”

 

ร่างสูงยิ้มออกมาอย่างพอใจในคำตอบก่อนจะหันไปหาฤทธิชาติที่ยิ้มล้อๆรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขาตัดสินใจแบ่งกันเป็นสามกลุ่มอย่างที่อารัณย์เสมอ รัตติกาลจะพาพิมพ์ใจกลับไปรออยู่ที่บ้านพัฒนเดชาด้วยกัน และกลุ่มที่ตามหาพะแพงนั้นจะให้นิลและฤทธิชาติไปในจุดที่ระบุได้จากหมายเลขโทรศัพท์ ส่วนอารัณย์และกันต์ชนกจะไปยังจุดที่ถูกระบุโดยหมายเลขไอพี

 

“ผมจะให้ลูกน้องตามกาลกับกลุ่มของอารัณย์ไปด้วยอย่างละสามนาย ส่วนอาวุธให้ใช้ได้หากสถานการณ์จำเป็นจริงๆซึ่งผมหวังว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้น”

 

รัตติกาลและอารัณย์พยักหน้ารับก่อนที่ฤทธิชาติจะแยกตัวไปพูดคุยกับนายตำรวจนอกเครื่องแบบจำนวนหนึ่งที่เขาตามตัวมาได้ นิลมองตามแผ่นหลังของร่างใหญ่ไปด้วยหัวใจที่ยังคงขุ่นเขืองไม่หายแต่ก็ต้องหันกลับมาเพราะรัตติกาลที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

 

“กูขอโทษที่ตอนนี้บอกมึงได้แค่นี้ ส่วนที่เหลือมึงต้องฟังมันจากปากของชาติ”

 

“หึ งั้นกูคงไม่มีวันรู้”

 

“...อาจจะเป็นอย่างนั้น”

 

“...”

 

“ขอโทษ”

 

นิลเงยหน้าขึ้นสบตากับเพื่อนที่จู่ๆก็บอกขอโทษเขาด้วยท่าทางสงบนิ่งแต่แววตากลับสื่อออกมาเช่นเดียวกับคำพูดไม่ผิดเพี้ยน

 

“เหตุผลล่ะ?”

 

“ยังบอกไม่ได้”

 

“ฮ่าๆ  กูกะแล้ว”

 

นักเขียนหนุ่มยิ้มออกมาทั้งที่ในใจไม่เป็นเช่นนั้น รัตติกาลมองสีหน้าของเพื่อนที่ช่วยเหลือตนมาตลอดด้วยความเสียใจ แต่สิ่งที่เขากำลังทำมันกลับหนักหนาเสียจนสามารถถ่วงค้ำให้เขายืนอยู่ในจุดที่น่าลำบากใจนี้ต่อไปได้

 

“ทุกคนล้วนมีความลับที่ไม่อยากบอกใคร”

 

“ถ้ามึงคิดแบบนั้น มึงคงว่าพี่ทีกับอารัณย์ไม่ได้อีก”

 

“...ถ้าเรื่องนี้จบ ก็คงจะเป็นแบบนั้น”

 

รัตติกาลคว้านิลมากอดไว้โดยที่อีกฝ่ายก็ค่อยๆยกแขนขึ้นกอดเขากลับ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของคนรอบข้างและความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ทั้งสองคนรู้ดีว่ามิตรภาพของพวกเขากำลังจะก้าวผ่านการพิสูจน์อีกครั้ง

 

“ดูแลตัวเองด้วย อย่าเป็นอะไรไปล่ะนิล”

 

“มึงก็ด้วย...อยู่เฝ้าบ้านแล้วบอกให้ป้าจันทร์ทำกับข้าวรอต้อนรับกูได้เลย”

 

นิลผละออกมาก่อนจะเดินไปทางฤทธิชาติที่ยืนมองอยู่นิ่ง ในขณะที่รัตติกาลก็เดินกลับไปหาอารัณย์ และกันต์ชนกที่อุ้มพิมพ์ใจไว้ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

 

“ผมขอฝากพิมพ์ด้วยนะครับ”

 

“ครับ ส่วนผมขอคืนนี่ให้”

 

รัตติกาลยื่นเอกสารของบ้านหลังนั้นกลับไปให้นายแพทย์หนุ่มที่ลังเลจะรับมันไว้ แต่เขาก็ยัดมันใส่มืออีกฝ่ายไปอยู่ดี

 

“มันไม่มีประโยชน์ถ้าผมจะเก็บไว้ ผมไม่อยากได้มันและนั่นคือสิ่งที่คนร้ายต้องการ อย่างน้อยถ้าคุณเจอมันก่อน ก็ใช้มันแลกภรรยากลับมาแล้วกันครับ”

 

“...ขอบคุณนะครับคุณกาล แล้วก็ขอโทษด้วย”

 

“มันยังเร็วไปที่จะพูดแบบนั้น รอให้ทุกอย่างจบลงแล้วมาพูดคงยังไม่สาย”

 

รัตติกาลโค้งให้กันต์ชนกน้อยๆก่อนจะหันมาอุ้มพิมพ์ใจที่ตาบวมแดงเพราะร้องไห้มาไว้ใจอ้อมแขน อารัณย์หันไปบอกพี่เขยของตนให้ไปรอที่รถก่อนที่จะหันมาหาคนรักที่มีรถอีกคันกำลังจอดรออยู่ไม่ไกล

 

“ดูแลตัวเองนะกาล ถ้าถึงบ้านแล้วโทรบอกผมด้วย”

 

ร่างโปร่งพยักหน้าแทนคำตอบ แต่ก็ยังไม่ยอมสบตาอารัณย์อยู่ดี ชายหนุ่มมองคนรักของตนอย่างอ่อนใจก่อนจะหันไปพูดกับหลานสาวที่เอาแต่จ้องมองพวกเขาสลับไปมาอย่างสงสัย

 

“น้องพิมพ์หลับตาแปปนึงนะคะ”

 

เด็กน้อยทำหน้างงแต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ทันทีที่เปลือกตาสีน้ำนมนั้นหลับลงริมฝีปากอุ่นของอารัณย์ก็กลืนกินจุมพิตของรัตติกาลไว้ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี ดวงตาของร่างโปร่งเบิกโพรงอยู่พักหนึ่งก่อนจะค่อยๆหลับลงขณะที่ส่งลิ้นของตัวเองกลับไปรับสัมผัสนั้น ทั้งความอ้อนวอน ความโกรธเคือง ความเป็นห่วง และความรักปนเปและอบอวลอยู่ในห้วงความคิดของทั้งสอง ก่อนที่ร่างสูงจะถอนจูบออกมาแล้วหอมที่หน้าผากมนเป็นการส่งท้าย

 

“ผมรักกาลนะ ถึงแม้จะไม่เชื่อก็อยากจะบอกไว้”

 

“...”

 

“แล้วผมจะกลับมา”



:fire:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :fire:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2015 09:08:32 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 


“พี่ลองเลี้ยวเข้าไปดูในซอยนี้หน่อย”

 

อารัณย์พูดกับนายตำรวจคนหนึ่งที่ฤทธิชาติฝากมาให้ขับรถนำพวกเขาไปยังแถบชานเมืองซึ่งเต็มไปด้วยบ้านร้างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหมู่บ้านจัดสรรของเศรษฐีเก่าที่จำเป็นต้องปล่อยให้ธนาคารยึดไปเพราะพิษเศรษฐกิจในสมัยก่อน ร่างสูงพยายามสอดส่ายสายตามองหาบ้านหลังที่ใกล้เคียงกับในรูปภาพหรือความพิรุธอื่นๆเช่นเดียวกับกันต์ชนกและนายตำรวจอีกสองคน แต่พวกเขาก็ยังคงหาไม่เจอ

 

“รัณย์ ทางนั้นว่าไงบ้าง หาเจอไหม”

 

“ไม่เลยพี่ นี่ก็สองชั่วโมงแล้วด้วย”

 

“อืม ยังดีที่เอกสารอยู่ที่นี่ เราแค่หาให้ทันกำหนดก็พอ”

 

นายแพทย์หนุ่มพยายามปลอบใจตัวเองว่าเงื่อนไขที่จะทำให้ภรรยาของเขาเป็นอันตรายถูกตัดไปข้อหนึ่งเพราะเอกสารที่ตนเองถืออยู่ อารัณย์พยักหน้ารับรู้แล้วเปิดประจกรถออกเพื่อใช้ไฟฉายขนาดใหญ่ส่งออกไปไกลๆเพื่อดูตามพงหญ้า พวกเขาขับวนเวียนกันอยู่แบบนั้นร่วมครึ่งชั่วโมงจนทุกคนเริ่มร้อนใจ แม้แต่ตำรวจที่มาด้วย

 

“ผมว่าติดต่อกลับไปหาผู้หมวดด้วยดีไหมครับ นี่มันใกล้เวลาแล้ว”

 

“ผมก็ว่างั้น เดี๋ยวผมโทรเอง”

 

อารัณย์รับคำก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตนมากดโทรออกหาฤทธิชาติอย่างจนปัญญา แต่ในเสี้ยววินาทีที่เขาเบนไฟฉายไปให้สูงกว่าเคยหางตาของร่างสูงก็สะดุดเข้ากับหลังคาทรงยุโรปเป็นเอกลักษณ์ซึ่งคล้ายคลึงกับสิ่งก่อสร้างที่ปรากฏในรูป

 

“นั่นไง บ้านหลังนั้น!!!”

 

ชายหนุ่มรีบตะโกนด้วยความดีใจก่อนจะสาดไปฉายไปยังมุมที่ทำให้เห็นหลังคาที่ว่านั่นได้อย่างชัดเจน พวกเขารีบจอดรถทิ้งไว้ทางด้านนอกเพราะจากจุดนี้ไม่มีทางให้รถผ่านเข้าไปได้ นอกจากนายตำรวจคนหนึ่งที่อยู่เฝ้ารถไว้พวกเขาที่เหลือต่างก็พากันเดินเข้าไปข้างในด้วยความระมัดระวัง

 

“ให้พวกผมเดินนำเถอะครับ ถือนี่เอาไว้ด้วย”

 

ปืนสองกระบอกถูกส่งให้ทั้งอารัณย์และกันต์ชนกที่รับมันมาด้วยความหวั่นใจโดยเฉพาะคนเป็นหมอที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาถืออาวุธที่ใช้คร่าชีวิตผู้คนได้อย่างนี้ ตำรวจนอกเครื่องแบบสองคนเดินนำเข้าไปข้างในโดยอาศัยตาที่เริ่มชินกับความมืดแล้วเลี่ยงไม่ใช้ไฟฉายเพราะเกรงว่าจะทำให้คนร้ายรู้ตัว

 

เสียงจิ้งหรีดที่ร้องระงมดังกลบเสียงฝีเท้าของทั้งสี่คนที่กำลังย่องเข้าไปในตัวบ้าน สิ่งก่อสร้างที่ครั้งหนึ่งเคยสวยงามทรุดโทรมลงตามกาลเวลาและขาดการดูแลรักษาแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่เหมือนที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็น ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งให้สัญญาณมือว่าให้พวกเขาเดินขึ้นบันไดไปโดยที่ตำรวจอีกคนคอยปิดท้ายแถว พวกเขาสำรวจไปเรื่อยๆยังไม่พบวี่แววใดๆจนมาถึงห้องสุดท้าย

 

“ขอให้เจอทีเถอะ”

 

กันต์ชนกรำพันกับตัวเองก่อนประตูที่ไม่เหลือความแข็งแรงจะถูกเปิดออกจนเห็นแผ่นกระเบื้องสีขุนปูอยู่ทั่วพื้นห้อง กลิ่นคาวคละคลุ้งลอยเข้าจมูกของทุกคนอย่างจังจนต้องเบ้หน้า มีแต่หมอหนุ่มที่เคยชินกับกลิ่นพวกนั้นดีที่ตั้งสติได้แล้วรีบวิ่งไปยังร่างของภรรยาที่ถูกตรงไว้บนฟูกเก่าๆด้วยท่าทางแบบเดียวกับที่เห็นในรูป

 

“แพง! อย่าเป็นอะไรไปนะแพง!”

 

กันต์ชนกรีบสำรวจบาดแผลตามร่างกายของหญิงสาวแม้ว่าเลือดที่เปียกชุ่มไปทั่วบริเวณจะทำให้เขาตระหนกจนมือไม้สั่น  ชายหนุ่มพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองแล้วตรวจดูตามความชำนาญโดยมีอารัณย์ที่วิ่งตามมาอีกคนพยายามเรียกสติของพี่สาวตนไปด้วย

 

“พี่แพง ได้ยินผมไหมพี่!”

 

“ใจเย็นรัณย์ แพงแค่หมดสติไป”

 

นายแพทย์หนุ่มพูดขึ้นเมื่อพบว่าชีพจรของพะแพงยังคงมีอยู่ บวกกับลมหายใจที่สม่ำเสมอทำให้กันต์ชนกคิดว่าภรรยาของเขาถูกทำให้สลบไปเท่านั้น นายตำรวจคนหนึ่งรีบนำผ้าชุบน้ำที่หาได้มาให้ใช้เช็ดตามตัวและใบหน้าของหญิงสาวที่หลับใหล ก่อนที่เปลือกตาสีนวลนั้นจะค่อยๆขยับแล้วลืมขึ้น

 

“แพง!เป็นไงบ้าง”

 

“คุณกันต์...อารัณย์...”

 

“นอนลงก่อน รู้สึกเจ็บตรงไหนไหม”

 

กันต์ชนกดันพะแพงที่พยายามลุกขึ้นนั่งให้นอนลงไปอีกครั้ง ชายหนุ่มทอดสายตามองภรรยาด้วยความห่วงใย โดยที่หญิงสาวกำลังมองไปรอบๆตัวราวกับว่ากำลังมองหาอะไรสักอย่าง

 

“มะ ไม่ค่ะ แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหนแล้วทำไมคุณกับอารัณย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

 

“บ้านร้างน่ะ มีคนร้ายจับตัวคุณมา”

 

สีหน้าของพะแพงวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด อารัณย์ที่มองพี่สาวของตนอยู่คิดไปว่าเธอคงตื่นกลัวกับสถานการณ์รอบข้างไม่น้อยจึงลุกขึ้นเดินไปทางอื่นเพื่อให้หญิงสาวไม่รู้สึกกดดันจนเกินไป ร่างสูงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นดูเวลา พวกเขามาถึงที่นี่ทันด้วยเวลาประมานสองชั่วโมงสี่สิบห้านาทีตามที่กำหนดไว้ แต่บางสิ่งบางอย่างกลับผิดปกติจนเขาเป็นกังวล

 

“ทำไมนอกจากพี่แพงแล้ว ที่นี่ไม่มีใครอยู่เลย”

 

ปัง!

 

ทันทีที่อารัณย์พูดจบ เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับกลุ่มควันที่ลอยฟุ้งจนชายหนุ่มมองไม่เห็นทาง เขาได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของหนึ่งในนายตำรวจที่นำทางพวกเขามาดังขึ้นจนสติที่มีสั่นคลอนไปไม่น้อย ชายหนุ่มพยายามวิ่งกลับไปทางเดิมเพื่อไปหากันต์ชนกและพะแพงที่ยังคงอยู่ตรงฟูกกลางห้อง แต่ด้วยเพราะทัศนวิสัยที่พร่ามัวทำให้เขาล้มลงจนแขนไปกระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง

 

“พี่กันต์ พี่แพง!”

 

อารัณย์ตะโกนเรียกคนทั้งสองที่เขาสามารถมองเห็นได้เพียงแค่เค้าราง ร่างสูงของกันต์ชนกกำลังกอดบังภรรยาไว้ทั้งตัวโดยไม่นึกห่วงความปลอดภัยของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงชาที่แขนไปทั้งแถบ ควันสีขาวขุ่นถูกเขาสูดดมเข้าไปด้วยความไม่เต็มใจจนสติที่มีค่อยๆพร่าลงอย่างผิดสังเกต

 

“นี่มัน...ยา...สลบ”

 

ร่างสูงพยายามฝืนแต่ก็ไม่ไหว ดวงตาของเขาค่อยๆหรี่ลง เช่นเดียวกับภาพตรงหน้าที่ค่อยๆดำมืดจนไม่เห็นอะไรอีก ในสติสุดท้ายก่อนที่เสียงทุกอย่างจะเงียบไป อารัณย์นึกถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มของรัตติกาลแบบที่เขาชอบ และนึกถึงน้ำตาที่มักจะไหลอาบดวงหน้าของคนที่เขารักเสมอ

 

“กาล...”

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

 

กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกคาโมมายล์ผสมกับเสียงเปียโนแผ่วๆทำให้อารัณย์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน ราวกับว่าเรื่องวุ่นวายทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง ที่แห่งนี้สบายเสียจนเขาอยากทิ้งกายให้หลับใหลไปตลอดกาล

 

“รัณย์ ได้ยินพี่ไหม รัณย์!”

 

เขารู้สึกได้ถึงคิ้วที่ขมวดแน่นของตัวเองแล้วได้แต่ขัดใจ เสียงทุ้มนุ่มของหมอหนุ่มผู้เป็นพี่เขยยังคงก่อกวนให้เขาตื่นจากนิทราแสนหวาน อารัณย์พยายามไม่สนใจแต่อาการชาค่อยๆเปลี่ยนเป็นปวดร้าวแล่นจากปลายนิ้วมาถึงหัวไหล่ทำให้เขาต้องร้องซี๊ดออกมาแล้วค่อยๆลืมตาขึ้น

 

“รัณย์!”

 

“นี่มัน...อะไรกัน”

 

ชายหนุ่มพยายามประคองสติตัวเองขณะมองไปทั่วผนังสีขาวที่รายล้อมพวกเขาไว้ ร่างสูงก้มลงมองร่างของตนที่ถูกตรงไว้บนเก้าอี้สีเดียวกันมีแต่โซสีดำเส้นใหญ่เท่านั้นที่ดูขัดตาเสียจนเขาต้องนิ่วหน้า อารัณย์ลองขยับแขนที่เจ็บไปทั้งแถบดูแต่มันก็ไม่เคลื่อนไหว โซ่เส้นนั้นพันธนาการเขาไว้ให้อยู่กับที่ไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้หันกลับไปดูว่าอาการเจ็บที่ว่านั้นเกิดจากอะไร

 

ร่างสูงค่อยๆเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองตามเสียงเรียกของกันต์ชนกก่อนจะพบว่าพี่เขยของเขากำลังตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน เพียงแต่ฝ่ายนั้นดูไม่บาดเจ็บเหมือนเขาเท่านั้นเอง

 

“พี่กันต์ ที่นี่ที่ไหน”

 

“พี่ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว แต่ช่างเถอะ ดูนั่นสิ!”

 

กันต์ชนกพยักพเยิดให้อารัณย์หันไปมองยังผนังอีกด้าน ชายหนุ่มสบถออกมากับภาพที่เห็น ร่างที่ไร้สติของนิลถูกจัดให้นั่งอยู่บนเก้าอี้อีกตัว เช่นเดียวกับฤทธิชาติที่อยู่บนเก้าอี้ตัวถัดไป แต่สิ่งที่ทำให้เขากลัวแทบจับใจคือเลือดที่ไหลอาบไปทั่วทั้งหน้าและลำตัวของนายตำรวจหนุ่มที่ไม่เคยหมดท่าขนาดนี้ อารัณย์ตะโกนเรียกทั้งสองคนหวังให้ได้สติ แม้ว่าทุกครั้งที่ขยับตัวเขาจะเจ็บร้าวไปหมดก็ตาม

 

“แหมๆตื่นมาก็ทำเสียงดังเชียวนะครับ”

 

เสียงๆหนึ่งดังขึ้นเรียกสายตาทั้งสองคู่ให้หันไปมอง ชายคนหนึ่งในชุดสีขาวสะอาดเช่นเดียวกับห้องปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้างและดวงตาเรียวรีที่อารัณย์รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ชายคนนั้นเดินเข้าไปใกล้ร่างของนิลและฤทธิชาติที่ไม่รู้ตัวเลยว่าอันตรายเข้ามาใกล้พวกเขามากแค่ไหน

 

“ออกมาห่างๆนะเว้ย!!”

 

“น่าๆ ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมแค่จะปลุกทั้งสองคนให้ตื่นขึ้นมาเอง”

 

“อย่ามาตอแหล! มึงจะทำอะไรพวกมัน!!”

 

“ไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย แผลพวกนี้ก็แค่อุบัติเหตุน่ะ เขาพยายามขับรถหนีพวกผมเองช่วยไม่ได้นะครับ”

 

ชายคนนั้นพยักหน้าขึ้นลงแล้วพูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน รอยยิ้มของมันทำให้อารัณย์แทบอาเจียน เช่นเดียวกับสิ่งที่มันกำลังทำ มือใหญ่ๆของมันจับเบาๆบนแขนที่อาบไปด้วยเลือดของฤทธิชาติแล้วจะพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆบีบลงไปจนน้ำสีชาดจะไหลทะลักออกมาจากปากแผลโดยที่เสียงร้องอย่างทรมานของนายตำรวจหนุ่มจะดังขึ้นแทบพร้อมๆกัน

 

“อ๊ากกกกกกกกกก”

 

“ไอ้เหี้ย! ปล่อยมันจะเว้ย ปล่อย!!!!”

 

“นี่ไงๆ ตื่นแล้ว”

 

เสียงร้องร่าอย่างดีใจขัดกับภาพตรงหน้าอย่างน่าขัน ฤทธิชาติที่ถูกบังคับให้ตื่นด้วยวิธีการอันโหดร้ายค่อยๆลืมตาที่พร่าเลือดขึ้นมองพร้อมกับขบกัดฟันของตัวเองจนแน่น ชายคนนั้นยิ้มให้ร่างใหญ่พลางนำมือที่อาบไปด้วยเลือดของนายตำรวจหนุ่มเช็ดลงบนขากางเกงสีขาวสะอาดของตนแล้วเดินไปหานิลที่ดูเหมือนจะตื่นขึ้นเพราะเสียงร้องของฤทธิชาติเช่นกัน

 

“อย่ายุ่งกับมัน! ไม่งั้นกูฆ่ามึงแน่!!”

 

มือที่ยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ชะงักก่อนจะเอื้อมไปถึงใบหน้าซีดขาวของนิลที่ส่ายไปมาเมื่อรู้สึกไม่สบายตัว ชายคนนั้นหันกลับมามองยังอารัณย์ที่ทำสีหน้าทรมานเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตัวเองเจ็บปวดแค่ไหน มุมปากอิ่มยกขึ้นเผยรอยยิ้มสดใสที่แสนบิดเบี้ยวเหลือเกิน

 

“ฮ่าๆ คุณนี่ดุดีจังเลยนะครับ ตลกด้วย”

 

“...!!!”

 

ทันทีที่สิ้นคำนั้นความทรงจำในอดีตก็หวนย้อนมา ผู้คนมากมายที่เดินกันเต็มสองฝั่งคลอง เสียงพลุและดนตรีโห่ร้องนำพาความจริงกลับมาให้อารัณย์เข้าใจ

 

“มึงมัน...วันลอยกระทง”

 

“กว่าจะจำได้ใช้เวลานานน่าดูเลยนะครับ คุณอารัณย์”

 

ภาพตรงหน้าซ้อนทับกับความทรงจำครั้งที่รัตติกาลถูกรั้งไว้ด้วยชายคนนี้ที่ท่าน้ำ กระทงของเขาที่อีกฝ่ายเอาไป และคำพูดแบบเดียวกันที่เคยพูดไว้ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจได้ทันทีว่าชายคนนี้จับตาดูพวกเขามานานแค่ไหน

 

“คงตกใจน่าดูเลยสินะ กาลก็เหมือนกัน ตอนที่เห็นผมเขาก็ทำหน้าแบบนี้”

 

ชายคนนั้นว่ายิ้มๆก่อนจะเดินไปยังกลางห้องที่มีวัตถุคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าสีขาววางอยู่ตรงนั้น มันหันมายิ้มให้อารัณย์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกแรงดึงผ้าสีขาวให้หลุดออกไป ภายในลูกกรงขนาดใหญ่มีร่างของคนทั้งสามนอนนิ่งอยู่ในนั้น หนึ่งคือหญิงสาวที่เขาเคารพ สองคือเด็กชายที่เป็นหัวใจของทุกคน และสุดท้ายคือชายหนุ่มผู้เป็นทุกอย่างในชีวิตของอารัณย์

 

“กาล!!!”

 

 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

:z6:

แต่งตอนนี้เสร็จ...รู้สึกเหมือนตัวเองโรคจิตจริงๆ 5555555  :hao6: :hao6: ลาสบอสเปิดเผยตัวแล้ววววววว เดากันถูกม้อยยยยยยย สรุปเรื่องนี้เช่แจกhintทั้งเรื่องอะ ใช่แล้ว เขาคือชายตาตี่ที่โผล่มาจะเอากระทงพี่กาลวันที่พี่กาลเสียตัว เอ้ย วันลอยกระทงนั่นเอง  :o8: สนุกๆ ตื่นเต้นๆ อธิบายไม่ถูก แต่งไปเหมือนตัวเองเป็นคนอ่านไป หรรษามากกกกก

สำหรับหนังสือคนที่ไม่ได้ตามเพจ อยากบอกว่าจิบิออกแล้วนะคับ เข้าไปดูกันได้ ความคืบหน้าของหนังสือทุกอย่างอยู่ในนั้น ตอนนี้ก็มียอดจองและโอนเข้ามาจำนวนหนึ่งแล้ว ส่วนของแถมพิเศษนิยายจิ๋วสำหรับคนโอน3คนแรก ถูกถามเข้ามาเยอะเหลือเกิน  :hao5: เช่ก็อยากทำให้มากกว่านี้แต่กลัวไม่มีเวลาคับ ไว้ถ้าเคลียร์ทุกอย่างเสร็จแล้วมีเวลาเหลืออาจจะ(เน้นว่าอาจจะ) พิจารณาแจกอีกสักเล่มตามแนวเดิมคือ รีเควสเรื่อง ตัวละครอะไรได้ทุกอย่าง ต้องติดตามกันต่อไปนะ  :z6:

ขอบคุณทุกเม้น ทุกโหวตและคนที่สนใจหนังสือ มีคนบอกอยากให้เช่ตอบเม้นในนี้บ้างแต่มันลำบากอะคับ 555 จะรีพลายที่เม้นเลยก็ไม่อยากให้เป็นการปั่นเม้นต์กันไป ถ้ามีไรสำคัญอยากถามเชิญทีเพจดีกว่า แต่ที่แน่ๆทุกเม้นทุกที่เช่อ่านหมดนะคับ ไม่ต้องห่วง อยากตอบทุกคนเลยแหละจริงๆนะ :man1:

ป.ล. อีกไม่ถึง5ตอนก็น่าจะจบแล้ว  :katai3: :katai3:

ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
โอ๊ะโอ....โดนกันหมดเลย!!!!


อิตานี่มันทำเพื่ออะไร!!!?????

ออฟไลน์ Nunun_B2UTY

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
อ่านรวดเดียวจนจบ เป็นเรื่องที่อ่านแล้วต้องคอยลุ้นว่าตอนตอไปจะเป็นยังไงทุกๆตอน

ขอบคุณที่แต่งมาให้เราได้อ่านนะค่ะ

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ลุ้นมากกกกกกกกก  :ling3:

ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โหวววววววววววววววววววววววววววววววว

ดีใจที่มาถึงปมสุดท้ายแล้วว หวังว่าทุกคนจะปลอดภัย

ขอให้มีความสุขกันสักทีเถอะ เฮ้อออออออ 

 :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

47th Night

…The last game II...

 



“มันวังเวงเกินไปรึเปล่า...”


นิลบ่นกับตัวเองเบาๆยามที่มองไปตามกำแพงสูงหนาที่ไร้แสงของไฟส่องทางอย่างที่ควรเป็น เขาและฤทธิชาติกำลังสำรวจพื้นที่บริเวณชานเมืองอีกฝั่งฝากของกรุงเทพซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกระบุไว้ว่าคนร้ายใช้อินเตอร์เน็ตมาจากที่นี่ แม้จะไม่วังเวงเท่ากับที่ที่อารัณย์ไปแต่พอล่วงเข้าหัวค่ำบริเวณนี้ก็แทบจะไร้เงาผู้คนให้เห็น


“อารัณย์กับกาลติดต่อมารึยังครับ”


“อืม ไอ้กาลถึงบ้านแล้ว ส่วนอารัณย์ก็ยังไม่เจออะไรเหมือนกัน แม่งเอ้ย นี่มันก็ใกล้จะถึงเวลาแล้วด้วย”


ร่างสูงสบถออกมาอย่างหัวเสีย แต่ก็รู้ว่าทุกคนต่างก็กำลังพยายามกันอย่างเต็มความสามารถ ชายหนุ่มทุบตักตัวเองเบาๆก่อนจะลอบมองใบหน้าด้านข้างของนายตำรวจหนุ่มที่ดูเคร่งเครียดมากกว่าทุกครั้งจนนึกเป็นห่วงอยู่ในใจ ทั้งตัวฤทธิชาติเองและสถานการณ์ที่ดูจะวิกฤตมากขึ้นทุกขณะ


“ถ้าถึงเวลาแล้วเรายังหาพี่แพงไม่เจอ จะทำยังไงกันดี...”


“คนร้ายคงไม่ฆ่าคุณพะแพงทันทีหรอกครับ ถ้าสิ่งที่เขาต้องการคือกรรมสิทธิ์ของบ้านหลังนั้น ยังไงการรักษาชีวิตของเธอไว้ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น”


“ถ้ามันต้องการแค่นั้นจริงๆ แล้วจะทำเรื่องให้ยุ่งยากทำไม”


นิลสบถออกมาเมื่อพยายามนึกหาเหตุผลต่างๆมาสนับสนุนการกระทำของคนร้ายไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าสิ่งที่มันต้องการคืออะไรแต่การที่คนร้ายกลับเลือกใช้วิธีที่ทำให้ตัวมันเสี่ยงต่อการเสียบเปรียบหากพวกเขาหาพะแพงเจอก่อน ทำให้นิลทั้งรู้สึกสงสัยและระแวงในคราวเดียวกัน


“มันทำเหมือนกับว่าเกมนี้เราจะไม่มีทางชนะ”


ฤทธิชาติเหลมองนิลทั้งที่มือยังประคองพวงมาลัยอยู่ แต่เพียงเสี้ยววินาทีขณะที่เขากำลังจะเบนสายตากลับไปยังถนนที่มืดมิดอีกครั้งหางตาของเขาก็ปะทะเข้ากับวัตถุบางอย่างที่กำลังพุ่งมาจากทางด้านซ้ายของตัวรถด้วยความเร็วสูง


“นิลเกาะไว้แน่นๆ!”


นักเขียนหนุ่มกำลังจะหันมาถามคนข้างๆแต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็หักพวงมาลัยอย่างแรงจนตัวรถดีดไปทางขวาจนเกิดเสียงล้อบดถนนดังสนั่น ชายหนุ่มตะโกนด่าฤทธิชาติลั่น แต่ทันทีที่เขาหันกลับไปมองตามเสียงคำรามของรถอีกคันนิลก็ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น


“ไอ้เหี้ยเอ้ย!”


“คาดเข็มขัดไว้ หยิบปืนที่ใต้เบาะออกมาด้วย”


ฤทธิชาติพูดสั่งโดยที่นิลก็ทำตามอย่างไม่อิดออด รถสภาพแต่งสีดำเช่นเดียวกับความมืดรอบด้านกำลังขับไล่ตามพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตายแม้เข็มบอกความเร็วของทางนี้จะปัดไปที่ร้อยสี่สิบแล้วแต่ก็ยังสลัดไม่หลุด


“ชาติระวัง!”


นิลร้องเตือนพร้อมๆกับจังหวะที่ตัวรถโดนกระแทกจากทางด้านหลังเสียจนสะเทือนไปทั้งคัน ฤทธิชาติหักพวงมาลัยหลบไปมาด้วยความชำนาญ เขาไม่ได้มีท่าทางตื่นตระหนกแม้แต่น้อย แต่ฝีมือการไล่บี้ของอีกฝ่ายก็เก่งกาจเสียจนเขารู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้เป็นมืออาชีพมากแค่ไหน


“เปิดเบอร์ล่าสุดแล้วโทรออก เล่าสถานการณ์ให้ทางนั้นฟังด้วย”


ร่างใหญ่โยนมือถือในกระเป๋าเสื้อของตัวเองให้คนข้างๆโดยไม่สนใจว่านิลจะรับมันทันหรือไม่ เขาเปิดไฟสูงให้กับรถของตัวเองแล้วพยายามเบี่ยงไปใช้เส้นทางหลักหวังจะมุ่งตรงไปยังถนนใหญ่ที่น่าจะมีกำลังเจ้าหน้าที่บางส่วนตั้งด่านตรวจอยู่เป็นประจำ ท่ามกลางเสียงของนิลที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวและตำแหน่งให้ลูกน้องของตนที่ประจำการอยู่ที่โรงพักทราบเพื่อให้ทางนั้นจัดกำลังมาสมทบ


“ช่วยติดต่อไปยังอีกจุดที พวกไอ้กาลมันอาจจะเจอแบบนี้เหมือนกันก็ได้”


นิลพยายามบังคับไม่ให้เสียงของตัวเองสั่นขณะบอกรายละเอียดให้ปลายสายได้ฟัง ในระหว่างนั้นฤทธิชาติก็เอาแต่หมุนพวงมาลัยไปมาเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะของคนร้ายที่พยายามพุ่งเข้าชนพวกเขาอย่างหนักโดยไม่มีความลังเลเลยสักนิด


“จับไว้ให้แน่นๆนะครับ”


เสียงเย็นๆของฤทธิชาติทำให้นิลต้องรีบหาที่ยึดเกาะแล้วคว้ามันเอาไว้อย่างที่อีกฝ่ายว่า ร่างใหญ่กลับรถกลางถนนอย่างฉับพลันจนทำให้คันที่ตามมาไม่ทันได้ระวังโค้งหักศอกที่อยู่ตรงหน้า เสียงปะทะดังสนั่นขึ้นทันทีหลังจากนั้นแต่นายตำรวจหนุ่มไม่คิดแม้แต่จะจอดลงไปดูให้เสียเวลา ผิดกับนิลที่หันกลับไปมองเศษซากรถทางด้านหลังด้วยสายตาที่ไม่อาจข่มความกลัวไว้ได้


“ชะ ชาติรถมัน”


“ไม่เป็นไรครับ ไม่ตายหรอก”


“แต่ว่า...”


“ถ้าเราไม่ทำ คนที่จะตกอยู่ในสภาพนั้นอาจเป็นเราเอง”


นายตำรวจหนุ่มรู้ดีว่าคนข้างกายตกใจกลัวแค่ไหน แม้จะทำตัวห้าวหาญแค่ไหนแต่นิลก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่พยายามใช้ชีวิตให้ห่างไกลจากเรื่องอันตรายพวกนี้ให้ได้มากที่สุด และฤทธิชาติก็หวังว่านี่จะเป็นครั้งที่สุดท้ายที่เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในโลกที่แสนวุ่นวายและไม่น่าพิสมัยพวกนี้


“ขอโทษนะ”


“ห๊ะ?”


ฤทธิชาติยิ้มอ่อนๆให้ก่อนจะพุ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการขับรถมุ่งตรงไปยังถนนใหญ่ นิลมองคนข้างๆอย่างไม่เข้าใจ ทั้งเสียงพูดแผ่วๆราวกับคนคิดหนักและรอยยิ้มที่ไม่เหมือนกับทุกครั้งทำให้ร่างสูงอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายยังมีอะไรที่อยากจะพูดกับเขาอีก ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่จู่ๆเสียงของการปะทะก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับแรงกระแทกที่หัวจนสายตาของเขาพร่าเลือนไปชั่วขณะ


รถยนต์คันใหญ่อีกคันที่ไม่เปิดไฟหน้ารถพุ่งชนด้านคนขับอย่างจังจนฤทธิชาติที่ไม่ทันได้สังเกตร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะแรงปะทะที่มหาศาลนั้นมากพอที่จะทำให้หัวไหล่และแขนขวาของนายตำรวมหนุ่มผิดรูปไปจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เขากลับไม่มีเวลาแม้แต่จะสนใจมัน


ร่างใหญ่รีบประคองพวงมาลัยของรถที่กำลังหมุนคว้างไว้ให้มั่นแม้ว่ามันจะเกิดการควบคุมของเขาไปแล้ว ฤทธิชาติพยายามยื้อมันไว้แต่ด้วยเพราะความเร็วของรถและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการชนครั้งแรกทำให้ทุกอย่างไร้ประโยชน์


“ชาติ!”


นิลที่เห็นสภาพของคนที่ตัวเองรักกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ในเสี้ยววินาทีก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดเลง ฤทธิชาติหันมามองเขาแล้วมอบรอยยิ้มที่แสนเศร้าให้พร้อมกับแผ่นอกหนาที่ปกป้องเขาไว้แทบจะทั้งตัว


“กอดผมไว้แน่นๆนะ”


แล้วทุกอย่าง...ก็ดำมืดไปหมด


.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.


“อ๊ากกกกกกกกกก”


เสียงคำรามราวกับเจ็บปวดอย่างมากของใครสักคนทำให้นักเขียนหนุ่มที่รู้สึกหนักไปทั้งหัวกระพริบตาน้อยๆแต่การเปิดมันออกก็ยากกว่าที่ใจคิด หลังของเขาเจ็บไปหมด แม้แต่หัวหรือแม้แต่คอก็ด้วย ชายหนุ่มได้ยินเสียงใครสักคนกำลังโต้เถียงกัน คลอกับเสียงลมหายใจถี่หอบจากทางด้านขวาที่ทำให้เขาต้องฝืนลืมตาขึ้นมาแล้วมองตรงไปยังจุดนั้นด้วยหัวใจที่สั่นเทา


“ชาติ...”


ฤทธิชาติที่บอบช้ำไปทั้งตัวหันกลับมามองยังนิลที่ลืมตาเพียงครึ่งหนึ่งด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง แต่สภาพของนายตำรวจหนุ่มนั้นกลับเสียดแทงหัวใจของนิลยิ่งกว่า จนดวงตาที่เคยแข็งกร้าวเออคลอไปด้วยน้ำใส นิลกลายเป็นคนอ่อนแอที่แม้แต่คำพูดดีๆยังนึกไม่ออก


“ไม่...เป็นไรใช่ไหม”


นายตำรวจหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบๆ ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะฝืนยิ้มให้ได้อย่างทุกครั้ง ก่อนที่ความสนใจของทั้งห้องจะพุ่งตรงมาที่พวกเขาทั้งสองคน


“อ้าวๆ ตื่นแล้วหรอครับ...คุณนิล”


ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหานิลแม้จะมีเสียงทัดทานของอารัณย์ดังตามมาไม่ขาด ร่างสูงใหญ่พอๆกับเขาโค้งให้อย่างมีมารยาทพร้อมกับเอ่ยทักทายออกมาด้วยรอยยิ้มที่นิลรู้สึกว่ามันเสแสร้งกว่าสิ่งที่ฤทธิชาติทำเสียจนอยากอาเจียน


 “เราเพิ่งได้คุยกันครั้งแรกสินะครับ ดูไม่ป่วนเท่าที่นทีเคยเล่าให้ฟังเลย”


นิลเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินชื่อของหนุ่มรุ่นพี่ออกมาจากปากของชายคนนั้น แม้แต่อารัณย์ กันต์ชนก และฤทธิชาติต่างก็ตกใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาเช่นกัน


“มึงเป็นใคร”


ร่างสูงพยายามข่มเสียงของตัวเองให้มั่นคงและหนักแน่นขึ้นแม้ในหัวจะปวดร้าวไปหมด เขามองกราดไปรอบๆห้องที่ดูน่าขนลุกแห่งนี้ด้วยความไม่ชอบใจโดยเฉพาะกับกรงขนาดใหญ่ที่กักขังเพื่อนของเขาไว้ตรงนั้น


“แย่จริง ยังไม่ได้แนะนำตัวเลยสินะครับ แต่ขอทำให้คุณกาลตื่นก่อนได้ไหม พอดีผมเป็นพวกไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆกัน”


ชายแปลกหน้าคนนั้นว่าก่อนจะเปิดประตูกรงหลังนั้นแล้วเดินเข้าไปท่ามกลางสายตาที่เกรี้ยวกราดของอารัณย์ ร่างสูงคำรามในลำคอตะโกนบอกให้อีกฝ่ายหยุดแต่ดูเหมือนมันจะไม่สนใจเสียงของเขาเลยสักนิด


“ออกมาห่างๆกาลซะ อย่ายุ่งกับกาล!!!”


“หนวกหูจัง พูดเป็นอยู่คำเดียวรึไงครับ”


อีกฝ่ายว่ายิ้มๆก่อนจะลงไปนั่งยองๆข้างร่างที่ไร้สติของรัตติกาล ฝ่ามือขาวที่ยังคงมีคราบเลือดของฤทธิชาติอยู่ลูบเบาๆไปบนลำแขนที่โผล่พ้นเสื้อของร่างโปร่งออกมาราวกับต้องการยั่วโทสะของคนที่ถูกตรึงอยู่บนเก้าอี้ไม่สามารถลุกมาทำร้ายใครได้อย่างที่ใจคิด ดวงตาที่เรียวรีอยู่แล้วหรี่เล็กลงอีกเพราะรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างขบขัน ชายคนนั้นเลือนมือไปสัมผัสใบหน้าของรัตติกาลแล้วรอดูปฏิกิริยาของอารัณย์ที่พยายามกระชากตัวเองออกจากพันธนาการทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ กันต์ชนกที่มองเห็นแขนของร่างสูงก็ยิ่งร้องห้ามเพราะโซ่สีดำที่ตรึงแขนของอารัณย์ไว้ถูกย้อมให้กลายเป็นสีเลือดมากขึ้นทุกที


“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”


คนร้ายไหวไหล่น้อยๆก่อนจะตบใบหน้าของรัตติกาลเบาๆเพื่อเรียกสติของร่างโปร่งให้กลับมา แต่ถึงอย่างนั้นอารัณย์ที่กำลังมองอยู่ก็ไม่ได้รู้สึกวางใจเลยแม้แต่น้อย เขาเฝ้ามองคนรักที่ค่อยๆคืนสติมาพร้อมกับอาการส่ายหน้าไปมาอย่างนึกรำคาญ แต่ทันทีที่เปลือกตาสีมุกนั้นเปิดขึ้น รัตติกาลก็ดีดตัวออกมาอย่างแรงจนแผ่นหลังปะทะเข้ากับแท่งเหล็กเย็นๆของกรงที่กักขังตัวเองอยู่


“มึง!!!”


“หลับสบายไหมครับกาล ขอโทษด้วยนะที่ทำรุนแรงไปหน่อย”


“รพีอยู่ไหน! รพี!!!”


รัตติกาลร้องหาลูกชายทันทีที่ได้สติ ภาพความทรงจำก่อนเขาจะถูกนำมาที่นี่ย้อนกลับมาวิ่งวุ่นอยู่ในหัว ทันทีที่เขาไปถึงบ้านคนงานทั้งหมดรวมถึงจันทร์ถูกนำไปขังไว้ในห้องๆหนึ่งบนชั้นสอง ในขณะที่รพีถูกทำให้หลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของชายแปลกหน้าที่รัตติกาลคิดไม่ถึงว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับตัวเอง


ในตอนนั้นรัตติกาลทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยวเสียจนแทบทำอะไรไม่ถูก ร่างโปร่งกอดพิมพ์ใจที่ร้องไห้จนตัวสั่นไว้พร้อมกับพยายามเข้าไปแย่งยื้อรพีกลับมา แต่เขาก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจคิด ชายหนุ่มจำกลิ่นที่ฉุนไปทั้งโพลงจมูกก่อนที่เขาจะสลบไปได้อย่างแม่นยำมากพอๆกับความทรงจำในคืนวันลอยกระทงนั่น


“ถ้าลูกชายของนทีล่ะก็ เขาอยู่ตรงนั้นไงครับ”


ชายแปลกหน้าชี้ไปยังอีกมุมหนึ่งของกรงที่รพีกำลังนอนนิ่งอยู่บนพื้น รัตติกาลที่เห็นดังนั้นก็รีบลุกเพื่อจะไปหาแต่ลำคอของเขาก็ถูกชายที่เปลี่ยนรอยยิ้มน่าขนลุกเป็นสีหน้าเบื่อหน่ายรำคาญคว้าเอาไว้แล้วดันให้รัตติกาลกลับไปยืนชิดลูกกรงเหมือนเดิมอีกครั้ง


“อึก!!!”


“ใครบอกให้เดินได้ตามใจชอบไม่ทราบ หันรู้สถานการณ์ของตัวเองซะบ้าง”


“ปะ ปล่อยกู!”


“ขอปฏิเสธครับ”


คนร้ายเผยรอยยิ้มอีกครั้งพร้อมกับหยิบกุญแจมือที่ซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมาพันธนาการข้อมือของรัตติกาลข้างหนึ่งไว้กับซี่ลูกกรงอย่างแน่นหนา ร่างโปร่งพยายามกระชากมือของตัวเองออกจนเกิดเสียงดังก้องไปทั่วแต่มันกลับไร้ผล


“กาลหยุด! ข้อมือเป็นแผลหมดแล้ว!”


อารัณย์ร้องห้ามคนรักที่ข้อมือถูกเหล็กบาดจนเป็นแผล รัตติกาลที่พอได้ยินเสียงของอารัณย์ก็ได้สติสังเกตไปรอบๆตัวถึงได้รู้ว่าไม่ได้มีแค่เขากับรพีและชายแปลกหน้าที่อยู่ในห้องๆนี้ อารัณย์มองรัตติกาลด้วยความห่วงใยพร้อมกับสมเพชตัวเองที่ไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือคนรักได้ เช่นเดียวกับรัตติกาลที่พอเห็นสภาพของอารัณย์และทุกๆคนก็ยิ่งรู้สึกร้อนใจมากขึ้นอีก


“เป็นห่วงกันจริงๆนะครับ น่าประทับใจจังเลย”


“มึงเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่”




:z6:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z6:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
รัตติกาลกัดฟันถามถึงสิ่งที่คนทั้งห้องสงสัย ชายแปลกหน้ายิ้มน้อยๆก่อนจะเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าร่างโปร่งอีกครั้งโดยไม่ลืมเว้นระยะห่างเล็กน้อย


“ผมชื่อพิภพครับ พอจะคุ้นๆกันบ้างไหม”


แต่ละคนต่างทำหน้าราวกับว่าไม่เคยได้ยินมันมาก่อนยกเว้นเพียงแค่สองคนที่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันกรอด


“พิภพ...”


“ทำเสียงแบบนี้ท่าทางจะรู้จักสินะ สมแล้วกับข้อมูลที่ยอมเล่นนอกเกมเพื่อให้ได้มา เรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าว่าไหมครับกาลแล้วก็...คุณตำรวจคนเก่ง”


ชายชื่อพิภพปรบมือให้รัตติกาลและฤทธิชาติที่จ้องมองมายังตนอย่างอาฆาต โดยที่อารัณย์ และกันต์ชนกต่างก็ไม่เข้าใจ ยกเว้นนิลจะพอประติดประต่อมันเข้ากับสิ่งที่ทั้งสองคนนั้นพยายามจะปกปิดเขาไว้


“อย่าบอกนะว่านี่คือเรื่องที่มึงกับกาลแอบไปทำลับหลัง”


นิลเอ่ยถามฤทธิชาติที่นั่งนิ่งแล้วให้ความเงียบแทนคำตอบทุกอย่าง พิภพที่ได้ยินคำถามของนิลเช่นกันก็หัวเราะร่าออกมาก่อนจะช่วยนายตำรวจหนุ่มอธิบายถึงความจำเป็นนั้นแทนอย่างถือวิสาสะ


“น่าๆ อย่าโกรธไปเลยครับคุณนิล การติดต่อกับพวกอดีตมาเฟียค้าไม้ ไม่ใช่สิ่งที่น่าเข้าไปยุ่งหรอก ว่าอย่างนั้นไหม”


“มาเฟียค้าไม้?”


อารัณย์พูดทวนคำพูดนั้นในเชิงถาม พลางหันไปมองหน้ารัตติกาลไปด้วย คนถูกมองเองก็หลบตาเพราะไม่ใช่แค่นิลเท่านั้นที่เขาและฤทธิชาติตั้งใจปิดบังความจริงไว้ การที่เขายอมเสียเงินมหาศาลแลกกับการเข้าไปติดต่อกับอดีตมาเฟียพวกนั้นเพื่อข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งลับลอบค้าไม้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนทีในอดีตไม่ใช่เรื่องที่เขาจะป่าวประกาศให้ใครรู้ได้ และที่สำคัญรัตติกาลมั่นใจว่าหากบอกเรื่องนี้ให้อารัณย์รู้คนรักของเขาจะต้องขัดขวางอย่างถึงที่สุดเป็นแน่


“ครับ แต่ผมไม่ใช่หรอกนะ ฮ่าๆ แค่เคยติดต่อทำธุรกิจด้วยกันเท่านั้นเอง เหมือนกับที่นทีเคยทำ”


พิภพตอบพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ เขาหันไปยิ้มให้รัตติกาลที่กำมือแน่นเมื่อได้ยินถึงตรงนี้ก่อนจะพูดแก้ตัวออกมาราวกับรู้ว่าร่างโปร่งกำลังคิดอะไร


“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ผมไม่ใช่คนที่สั่งเก็บนทีมันซะหน่อย”


“ถึงไม่ได้ลงมือ แต่มึงเป็นคนชี้นำคนพวกนั้นไม่ใช่รึไง”


รัตติกาลพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำเมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาได้รับรู้มา เบื้องหลังธุรกิจผิดกฎหมายที่มีเงินหมุนเวียนมหาศาลพอๆกับอำนาจที่มีค่ามากกว่าเงินตราซึ่งทุกคนล้วนแต่แย่งกันไขว่คว้าทั้งสองอย่างไว้ รวมถึงนทีและหุ้นส่วนที่เข้ามาลงทุนพร้อมๆกันซึ่งมีชื่อว่าพิภพตามคำบอกเล่าของอดีตมาเฟียพวกนั้น


ถึงแม้จะเป็นคนละกลุ่มกันแต่เรื่องความขัดแย้งของนทีและพิภพก็เป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งวงการ โดยเฉพาะเรื่องที่นทีลงทุนไปกับการลักลอบนำไม้พะยูงเข้ามาโดยใช้เส้นสายและความสามารถที่ถูกนำมาใช้ผิดๆชิงตัดหน้าพิภพจนเกิดความขัดแย้งกันอย่างหนัก นำไปสู่การเปิดโปงกลโกงมากมายที่นทีเคยใช้เพื่อหลอกเอาผลประโยชน์จากกลุ่มมาเฟียเจ้าถิ่นจนทำให้อดีตคนรักของเขาโดนสั่งเก็บตามคำพิพากษาจากศาลเตี้ยที่คนนอกกฎหมายพวกนั้นใช้ตัดสินโทษคนทรยศ


“จะโทษผมก็ไม่ถูกนะครับ ที่นทีมันต้องตายก็เพราะดันไปโกงเสี่ยเขาก่อนทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าต่อให้กลายเป็นวิญญาณ...คนพวกนั้นก็จะไม่มีทางปล่อยมันไป”


พิภพว่ายิ้มๆก่อนจะเหลือบไปมองรพีที่เริ่มขยับไปมาเพราะรู้สึกไม่สบายตัว รัตติกาลมองลูกชายอย่างร้อนใจ คำพูดที่อีกฝ่ายทิ้งไว้มันทำให้ร่างโปร่งนึกหวั่นว่าสิ่งที่เขากลัวมากที่สุดจะเกิดขึ้นจริงๆ


“อย่า ยุ่ง กับ รพี”


“ทำหน้าตาซะน่ากลัวเชียวนะครับ ไม่ต้องเป็นกังวลขนาดนั้นก็ได้...เพราะผมไม่ใช่คนที่คุณสมควรกลัวมากที่สุด”


“แพง ได้ยินผมไหมแพง!”


กันต์ชนกรีบร้องเรียกภรรยาของตนทันทีที่พิภพเบนเข็มไปยังร่างที่ไม่ได้สติของพะแพง รัตติกาลหันไปมองพี่รหัสของตนซึ่งถูกขังอยู่ในลูกกรงเช่นเดียวกันด้วยความร้อนใจ เขาพยายามกระเสือกกายเข้าไปช่วยเหลือแต่มันก็ไร้ผลเหมือนกับทุกครั้ง ชายหนุ่มตบหน้าของพะแพงเบาๆเหมือนที่ทำกับรัตติกาลโดยใช้เวลาไม่นานหญิงสาวก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับอาการมึนงงก่อนจะเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก


“คุณ! ทำไม!? นั่นรพีนิ...รพีลูกแม่!”


พะแพงรีบรุดเข้าไปหาเด็กชายโดยที่พิภพไม่ได้ห้ามปรามเหมือนกับคราวของรัตติกาล หญิงสาวประคองกอดรพีไว้ราวกับของล้ำค่า ตั้งแต่จากครรภ์ของเธอมานี่ถือเป็นครั้งแรกที่พะแพงได้กอดลูกชายคนเดียวของเธอไว้ในอ้อมอกอุ่นอย่างนี้ น้ำตาของคนเป็นแม่ไหลริน แต่มันคงจะซาบซึ้งกว่านี้หากไม่มีรอยยิ้มน่าสะอิดสะเอียดของพิภพฉายขึ้นมาเป็นฉากหลัง


“แหม ถ้าลูกสาวคุณมาเห็นคงเสียใจน่าดูเลยนะครับพะแพง ที่แม่ของตัวเองพอฟื้นขึ้นมาเอาแต่ร้องหาลูกในไส้...ไม่ถามถึงลูกปลอมๆอย่างตัวเองเลยสักคำ”


คำพูดของชายหนุ่มไม่ได้ผิดไปจากความจริงนักจึงหนักราวกับค้อนหนาที่ทุบเข้ากลางใจของผู้ฟังอย่างกันต์ชนกและพะแพงที่เพิ่งได้สติว่านอกเหนือจากเด็กชายที่กำลังสะลึมสะลือใกล้ตื่นในอกของเธอแล้ว ยังมีเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งเธอเลี้ยงมาในฐานะลูกแท้ๆ และตอนนี้ลูกของเธอไม่ได้อยู่ที่นี่


“พิมพ์ใจ…พิมพ์ใจอยู่ไหน แกทำอะไรเขารึเปล่า!!”


“ใจเย็นๆสิ ผมไม่พาเธอมาด้วย...ตามที่ตกลงกันไว้”


ไม่ใช่แค่พะแพงคนเดียวที่อึ้งไปกับคำพูดของชายตรงหน้า ทุกชีวิตในห้องยกเว้นเด็กน้อยที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวต่างมองไปยังหญิงสาวด้วยความมึนงงและต้องการคำอธิบาย พะแพงเห็นสายตาของสามีและน้องเขยที่มองมาแล้วนึกหวั่น เธอก้มหน้าลงราวกับต้องการหนีปัญหาแต่ถึงอย่างนั้นมันก็หยุดความสงสัยของคนไม่ได้


“หมายความว่ายังไงแพง ที่ผู้ชายคนนั้นพูด...”


“กันต์...”


“ที่เขาบอกว่าตามที่ตกลงกันไว้ มันคืออะไร แพงรู้จักกับเขามาก่อนหรอ”


กันต์ชนกไม่อาจปิดบังความผิดหวังทางสีหน้าและน้ำเสียงได้ ผู้หญิงอีกคนที่เขารักกำลังมองมาที่เขาอย่างอ้อนวอน แต่มันกลับไม่ง่ายเลยที่จะทำใจเย็นอยู่ได้


“ไม่นะ แพงไม่รู้จัก แพงแค่ อึก แพงแค่...”


“แค่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ลูกชายคืนมาเท่านั้นเอง”


พิภพพูดแทนพะแพงที่มัวแต่อ้ำอึ้งอีกครั้ง จนทำให้หญิงสาวแทบอยากร้องไห้ออกมาเมื่อทุกคนต่างมองมายังเธอด้วยความผิดหวังอย่างถึงที่สุด


“อย่าเข้าใจผิดไปนะครับ ทีแรกคุณพะแพงก็ไม่ได้รู้จักผมเหมือนกันนั่นแหละ แต่ผมรู้สึกทนไม่ได้จริงๆที่ทุกคนปิดบังเรื่องราวทุกอย่างไว้ เลยมีน้ำใจ...เป็นคนบอกเรื่องของกาลและรพีให้เขารู้เท่านั้นเอง”


ความสงสัยที่อยู่ในใจของอารัณย์มานานถูกแก้ออก ชายหนุ่มพยายามหาคำตอบว่าพี่สาวของตนรู้เรื่องของรัตติกาลได้ยังไงในเมื่อก่อนหน้าวันเกิดของรพี เขาได้เดินทางมาหากันต์ชนกเพื่อขอให้ปิดทุกอย่างไว้เป็นความลับเหมือนกับที่มันเคยเป็นมา จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หญิงสาวจะรู้เรื่องพวกนี้ได้...หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่น


“หยุดนะ! หยุดพูดสักที!”


“อะไรกัน ผมก็แค่ช่วยพูดความจริงให้พวกเขาฟังแท้ๆ ไม่คิดจะขอบคุณกันสักคำเลยหรอ มันยากไม่ใช่รึไงกับการที่จะต้องยอมรับว่าที่ทุกคนมาอยู่ที่นี่ ในสภาพนี้มันเป็นเพราะ...คุณ”


พะแพงแทบอยากจะกลั้นใจตาย พลางนึกกนด่าตัวเองที่ยืมมือชายคนนี้โดยไม่ระวังให้ดีซะก่อน หญิงสาวลืมคิดไปเสียสนิทว่าคงไม่มีใครยอมทำตามความปรารถนาของคนอื่นได้โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนใดๆ แล้วยิ่งเป็นความต้องการที่ร้ายแรงอย่างการกำจัดรัตติกาลให้พ้นไปจากชีวิตของเธอและลูกแล้วด้วย...ไม่มีทางเลยที่ราคาของมันจะน้อยนิดอย่างที่หวัง


“ทำไมพี่ทำแบบนี้...”


“ไม่ใช่นะรัณย์! พี่แค่อยากหลอกให้กาลรับปากว่าจะยกรพีให้พี่เท่านั้น พี่ไม่เคยคิดว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างนี้เลยจริงๆนะ เชื่อพี่สิ!”


พะแพงรีบพูดแก้ตัวกับน้องชายที่ไม่เคยมองเธอด้วยสายตาแบบนี้มาก่อน แต่อารัณย์กลับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ร่างสูงไม่อยากแม้แต่จะมองใบหน้าของคนที่ตนเคารพรักมาตลอดด้วยสายตาแบบนี้เลยสักนิด แต่การทีคนที่เขารักและเพื่อนของเขาจะต้องมาเจ็บตัวเพราะพี่สาวของตัวเอง อารัณย์ก็ละอายเสียจนพูดไม่ออก


“เป็นเรื่องจริงนะครับ คุณพะแพงแค่ยอมเล่นละครแกล้งว่าโดนจับตัวมาเท่านั้น แต่เรื่องที่จะให้กาลยอมตกลงเรื่องของรพีแลกกับตัวเองนั่นน่ะ...คุณคิดไปเอง”


เสียงหวีดร้องของพะแพงดังขึ้นเมื่อกุญแจมืออีกอันลั่นลงตรงข้อมือของหญิงสาวที่พยายามขัดขืนสุดตัว วินาทีนี้แม้จะยังรู้สึกโกรธเคืองแต่รัตติกาลก็อยากจะเข้าไปช่วยรวมถึงคนอื่นๆ ที่ไม่รู้จริงๆว่าพิภพต้องการอะไรกันแน่


“ปล่อย! แกจะทำอะไรน่ะ รพี!!”


“อย่ายุ่งกับรพีนะ!”


ทั้งพะแพงและรัตติกาลต่างร้องห้ามพิภพที่คว้าเด็กชายมาอุ้มไว้เอง ร่างป้อมที่ได้ยินเสียงดังรบกวนและโดนกระชากไปมาลืมตาตื่นขึ้นอย่างมึนงง รพีมองไปรอบๆห้องที่ไม่คุ้นเคยก่อนสายตาจะมาบรรจบที่บิดาซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล


“พ่อกาล!”


รพียิ้มร่า พยายามจะไปหาแต่ก็โดนมือของชายแปลกหน้ารั้งไว้ เด็กชายหันมามองพิภพอย่างสงสัยแต่เหมือนมีสัญชาติญาณบางอย่างที่บอกรพีว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย


“ปล่อยนะ พีจะไปหาพ่อ ฮึก พ่อกาล”


“โอ๋ๆอย่าร้องไห้ไปสิครับ อายังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”


“อย่าทำอะไรรพี อยากได้บ้านหลังนั้นนักใช่ไหม เอาไปสิ! แล้วปล่อยรพีมา”


รัตติกาลพยายามยื่นข้อเสนออย่างที่อีกฝ่ายอยากได้ให้ พิภพนิ่งไปแล้วทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจนร่างโปร่งเริ่มใจชื้น แต่แล้วใบหน้าเครียดขึงนั้นก็เปลี่ยนเป็นยกยิ้ม ก่อนพิภพจะหัวเราะออกมาจนดังก้องไปทั่วทั้งห้อง


“ฮ่าๆ ถ้าหมายถึงเอกสารที่คุณหมอนั่นเอามาด้วยล่ะก็ ผมไม่อยากได้หรอกครับ เพราะว่ามันเป็นของปลอม ส่วนของจริงน่ะ อยู่นี่ต่างหาก...”


ประตูห้องเพียงบานเดียวเปิดออกเผยให้เห็นร่างาสะโอดสะองของธิชาในเสื้อผ้าแบบที่รัตติกาลคุ้นตา หญิงสาวเงยหน้าสบตากับอดีตเจ้านายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข็นเอาบางอย่างที่ถูกวางไว้บนรถเข็นล้อลากออกมา เรียกสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของทุกคนไปหยุดลงตรงที่สิ่งนั้น


บ้านไม้จำลองหลักเล็กซึ่งเป็นของขวัญของรพีปรากฏแก่สายตาทุกคู่ในห้อง กรอบแก้วที่ครอบมันไว้ถูกธิชายกออกก่อนที่พิภพจะเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับอุ้มรพีไปด้วย ชายหนุ่มเอื้อมมือไปในส่วนของพื้นไม้ที่ชิ้นส่วนของมันถูกหยิบออกมาได้เพราะครั้งหนึ่งรัตติกาลเคยทำมันตกพื้นจนชำรุด พิภพค่อยๆใช้อุปกรณ์ที่ธิชาเตรียมมาให้แงะไม้แผ่นที่อยู่ติดกันออกไปจนเผยให้เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกผนึกไว้อย่างแน่นหนา


“ในที่สุดก็หาเจอ...”


ชายหนุ่มรำพันกับตัวเองพร้อมกับมองสิ่งของในมือตนด้วยดวงตาแววโรจน์ พิภพไม่สนใจร่างป้อมที่เริ่มร้องไห้งอแง เขาเริ่มลงมืออ่านกระดาษแผ่นนั้นราวกับว่ามันสำคัญยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก


“ให้ตายสิ เป็นคนที่กินไม่ลงจริงๆนะครับ...นที”


พิภพยิ้มหยันก่อนจะหันไปส่งสัญญาณบางอย่างกับธิชาที่ยืนเยื้องไปข้างหลัง หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าที่เธอถือไว้ อาวุธสีดำมะเมื่อมถูกวางลงตรงหน้ารัตติกาลและพะแพงคนละกระบอก ทุกคนในห้องต่างมองของสิ่งนั้นด้วยความไม่เข้าใจ แม้แต่รัตติกาลก็ยังพยายามถามอดีตลูกน้องถึงเหตุผลแต่ธิชาก็ทำเพียงโค้งน้อยๆให้ร่างโปร่งแล้วเดินถอยออกมายืนเคียงข้างพิภพตามเดิม


“เอาล่ะ ได้เวลาเริ่มเกมกันจริงๆสักที”


ชายหนุ่มว่าก่อนจะวางรพีลงบนพื้นที่วางเพียงน้อยนิดบนรถเข็น เด็กชายที่เห็นสีหน้าร้อนใจของบิดารวมไปถึงความหวาดกลัวที่มีเป็นทุนเดิมเริ่มดิ้นหนีแต่แล้วเสียงหวีดร้องของพะแพงก็ดังขึ้น เข็มฉีดยาที่บรรจุของเหลวสีฟ้าใสถูกจ่อไปบนคอของรพีจากทางด้านหลัง เด็กชายที่ไม่ประสีประสาร้องไห้หนักขึ้นแล้วพยายามจะหนีอีกครั้งแต่การทำอย่างนั้นกลับทำให้ลำคอขาวของรพีหลั่งเลือดสีแดงสดออกมา


“พี! อย่าดิ้นลูก อย่าขยับ!!”


“รพี ฮึก ปล่อยลูกฉันเดี๋ยวนี้นะ!!”


ทั้งรัตติกาลและพะแพงต่างร้องห้ามด้วยเสียงกร้าว ความรู้สึกเจ็บแบบเดียวกันกับที่เด็กน้อยเคยเผชิญทำให้รพีนั่งตัวสั่นมองบิดาไม่วางตา ในขณะที่อารัณย์พยายามกระชากตัวออกจากเก้าอี้อีกครั้งโดยไม่สนแล้วว่าแขนของตัวเองจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว เช่นเดียวกับฤทธิชาติที่ถึงแม้จะอาการสาหัสก็กำลังพยายามลุกขึ้นทั้งที่มีเก้าอี้ติดตัวอยู่แบบนั้น


“ผมจะปล่อยก็ได้...แต่เราต้องเล่นเกมกันก่อน”


พิภพมองไปยังปืนทั้งสองกระบอกที่ถูกวางอยู่ตรงหน้าคนทั้งสองอย่างสื่อความหมาย รัตติกาลลังเล ส่วนพะแพงไม่...เธอรีบคว้ามันขึ้นมาแล้วหันปลายกระบอกไปยังร่างของพิภพที่ยืนอยู่ด้านหลังของลูกชายตน


“ปล่อยรพีไม่งั้นฉันยิงแกแน่!!!”


“พี่แพงอย่า! เดี๋ยวโดนลูก!”


รัตติกาลร้องห้าม ก่อนจะหันไปมองพิภพเพื่อให้อีกฝ่ายอธิบายกติกามา ชายหนุ่มรู้ดีว่าพวกเขาไม่อยู่ในสถานการณ์ที่จะเลือกได้อีกแล้ว ทางเดียวที่จะผ่านมันไปให้ได้ คือเอาชนะผู้ชายตรงหน้าเท่านั้น


“เกมนี้ง่ายนิดเดียว ปืนแต่ละกระบอกมีกระสุนอยู่แค่หนึ่งนัด พวกคุณแค่หยิบมันขึ้นมาแล้วยิงใครก็ได้ที่อยู่ในห้องนี้ซะ”


“..,!!!”


“ไม่เกี่ยวกับความดีหรือเลวอะไรทั้งนั้น ถ้าคุณอยากให้ใครหายไปจากชีวิต ก็แค่...ลั่นไกออกมา”


รัตติกาลหันไปมองหน้าพะแพงในจังหวะเดียวกันกับหญิงสาวที่เบนสายตากลับมาที่เขา ทั้งคู่มองหน้ากันนิ่งแล้วรับรู้ถึงหัวใจที่เต้นแรงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน





“เลือกสิครับ ว่าคนที่ควรหายไป...คือใคร”




-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!

ก่อนอื่น...มาช้ามากคับ 555 ในแฟนเพจบอกจะอัพเมื่อวาน แต่เช่กลับมากองมาเที่ยงคืนกว่า คุณพระ T^T ไม่ไหวเลยๆ เขียนไปปวดหัวตุ๊บๆ เลยนอนแล้วตื่นมาอัพตอนเช้าแทนแบบนี้นะคับ ขอโทษด้วย  :mew2:


ลาสบอสโผล่ออกมาเต็มตัวแล้ว ยากมากกับการที่จะต้องอธิบายผู้ชายคนนี้ในหน้ากระดาษที่จำกัด 555 ดูท่าหนังสือคงเกิน1200แน่ๆแล้ว กำไรคนซื้อหนังสือไปนะคับ (ลุ้นเรื่องเข้าเนื้ออีกแล้ววว) หวังว่าคงจะไม่งงกัน บางเรื่องไม่ใช่เช่ไม่เฉลย แต่จะเฉลยเมื่อถึงเวลา อาจจะไม่พอใจกันบ้างแต่มันเป็นเทคนิคของเช่จริงๆคับ^^ แฮ่


เรื่องหนังสือ ตอนนี้จิบิสำหรับทำโปสการ์ดเสร็จแล้ว!!!  :katai4: งานดีงานโมเอะอย่างที่หวัง เหมาะกับเนื้อเรื่องเราจริงๆสิให้ตาย ตอนนี้เช่ก็จะเหลือแค่ทำเนื้อเรื่องให้เสร็จ ตรวจอักษร จัดหน้า แล้วก็จะออกแบบบ็อกเป็นอย่างสุดท้ายเมื่อรู้จำนวนหน้าที่แน่นอนนะคับ ทำให้เวลาเปิดเรื่องใหม่อาจจะช้าสักหน่อย แต่อย่างที่เคยโพสไปในแฟนเฟจว่าเราจะเข็นเรื่องของน้องปูนมาให้ยลกันแน่นอน ไม่ม่าปวดตับปวดหัวเท่าไนท์แมร์ แต่หวังว่าทุกคนคงจะชอบมันไม่น้อยไปกว่าเรื่องนี้นะคับ^^  :man1:


แอบเม้าท์มอยเล็กๆ ไม่กี่วันก่อนเช่ไปดูหมอมา(ตั้งใจไปถามเรื่องเปิดขายหนังสือ ไม่ได้คาดหวังเลยจริงจริ๊งงงงง) !!!!! เขาบอกว่าเช่ถ้าเป็นนักเขียนมีโอกาสรุ่งเลยถามเช่ว่าเขียนแนวไหน ก็บอกไปว่านิยายรักที่มีสืบสวนเล็กๆ เขาก็บอกว่าดีๆ เหมาะกับนิสัยเขียนแนวนี้จะรุ่ง แต่ถ้าเพิ่มความดราม่า ความเครียดเข้าไปอีกนิดจะดีมากเลย โอ้โห เช่นี่นั่งก้มหน้า .... พลาดไปสินะ เพราะตูใส่ไปเพียบเลยว้อยยยยยยยยยย 555555555  :katai1: คนอ่านถึงกับบอกว่าถ้าไม่ happy end จะเลิกติดตาม มันมากเกินไปสินะ 555


ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ อีกสามสี่ตอนจะจบแล้ว ใจหายหน่อยๆ หวังว่าทุกคนที่ทนปวดตับกันมาถึงตอนนี้จะมีความสุขกับงานของเช่นะ (คนอ่านบอก ให้เลือกยิงกันแบบนี้ตูจะมีความสุขได้ไหม 555)  :katai3:


ป.ล.ล. ยังสั่งจองหนังสือกันได้นะคับ ยินดีรับเสมอเลย :)  :-[



ออฟไลน์ กาลณัฐ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ทำไมเราอ่านแล้วเกลียดพะแพงจัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ง่ายๆเลย ยิงตาพิภพนั่นแหละ :ruready

ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
โอ้ยยย....หน่วง!!!!

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

48th Night

…Bang...




หากจะมีอะไรที่ทั้งสว่างและดำมืดมากที่สุดในโลกใบนี้


ก็คงจะเป็นหัวใจของมนุษย์นั่นแหละ...






 

“เลือกสิครับ ว่าคนที่ควรหายไป...คือใคร”


เป็นครั้งแรกที่รัตติกาลอยากจะหัวเราะดังๆเมื่อได้มาอยู่ในห้องๆนี้ ชายหนุ่มตอบตัวเองได้ทันที่ว่าคนที่สมควรหายไปมากที่สุดคือใคร แต่คนคิดเกมอย่างพิภพคงไม่โง่พอที่จะหยิบยื่นเคียวถึงสองอันเพื่อให้มัจจุราชจำเป็นทั้งสองคนสามารถคร่าชีวิตอันบิดเบี้ยวไปได้ง่ายๆ


ร่างโปร่งสบตาลูกชายที่นั่งตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของศัตรูอย่างปวดใจ หากเขาไม่ถูกตรึงไว้ที่ซี่เหล็กนี่ รัตติกาลเข้าไปแย่งชิงรพีมาโดยไม่นึกเสียดายชีวิตแต่ในสถานการณ์เช่นนี้การด่วนทำอะไรไปตามอารมณ์ก็เท่ากับการตัดทางรอดเพียงน้อยนิดของทุกคนทิ้งไปเท่านั้น


“ปล่อยรพีออกมาสิไอ้สวะ! ไม่ต้องมีปืนกูก็ฆ่ามึงได้”


นิลที่ทนดูสถานการณ์ตรงหน้าไม่ไหวตะโกนด่าออกมาเสียงกร้าว แม้จะนึกเจ็บใจในสิ่งที่พะแพงทำแต่มันเทียบไม่ได้เลยกับความระยำของคนตรงหน้าที่นำพาความเลวร้ายทุกอย่างมาหาทุกคน


“อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ตัวเองอาจจะเป็นคนที่ถูกเลือกเหมือนกันแท้ๆ”


พิภพพูดยิ้มๆแต่คนฟังกับขมวดด้วยความสงสัย ชายผู้คุมเกมไว้หันไปมองคนที่ยังคงชี้กระบอกปืนมาทางตัวเองอย่างไม่ร้อนใจแม้มือของพะแพงจะกำลังสั่นจนน่าหวาดเสียวก็ตาม


“คนที่คุณอยากจะฆ่าไม่ใช่ผมหรอกครับ คุณพะแพง”


“แกนั่นแหละ! แกหักหลังฉัน แกทำร้ายทุกคน!!”


“ฮ่าๆ อย่าพูดจาเหมือนตัวเองเป็นคนดีแบบนั้นสิครับ ไม่เอาน่า ตอนที่ผมเสนอข้อตกลงนั้นให้คุณก็ออกจะพอใจกับมันมากแท้ๆ”


รอยยิ้มหยันเหยียดถูกมอบให้หญิงสาวที่เอาแต่ส่ายหน้าไปมาอย่างรับไม่ได้ ชายหนุ่มมองภาพตรงหน้าอย่างพอใจก่อนจะเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก


“ไม่เห็นต้องสนใจเลยนี่ครับว่าคนที่เหลือจะเป็นยังไง คนที่คุณต้องการมีแต่รพี...ลูกชายของคุณกับนทีเท่านั้นไม่ใช่หรอ”


“...!!!”


 “ที่พวกเขาบอกให้คุณตัดใจไม่ใช่เพราะไม่มีทาง แต่เขาไม่อยากให้คุณได้อยู่กับลูกต่างหาก อย่าลืมสิว่าใครเป็นคนที่ปิดหูปิดตาคุณมากว่าหกปี อย่าลืมสิว่าใครเป็นคนที่ทิ้งคำว่าพี่น้องแล้วหันไปเข้าข้างศัตรู อย่าลืมสิว่าใครคือคนที่คอยกันคุณออกจากลูก...เห็นไหม ว่าในที่นี้ไม่มีใครเป็นพวกพ้องของคุณเลยนอกจากผม”


 “มะ ไม่ใช่”


 “คนพวกนี้ทอดทิ้งคุณ พวกเขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคุณจะรู้สึกยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาหันหลังให้ คุณคงไม่เลือกเดินทางนี้ใช่ไหม...พะแพง”


มือของหญิงสาวสั่นยิ่งกว่าเดิมพร้อมกับการพังทลายของความเชื่อเดิมที่ถูกสร้างไว้ ปากกระบอกปืนค่อยๆเปลี่ยนทิศทาง พะแพงหันไปมองหน้าทุกคนด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจนผู้ที่ถูกกล่าวหารู้สึกใจหาย กันต์ชนกทั้งรู้สึกละอายและปวดร้าวในขณะเดียวกันเพราะสิ่งที่ชายคนนั้นพูดมาไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ความผิดบาปในใจที่ถูกเก็บไว้มานานทำให้นายแพทย์หนุ่มไม่กล้าสู้หน้าภรรยา ดวงตาภายใต้กรอบแว่นค่อยๆหลั่งน้ำตาออกมาพร้อมกับคำพูดเดียวที่อยากบอกให้ฟังมากที่สุด


“ผมขอโทษ...”


พะแพงร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง สิ่งที่กันต์ชนกพูดออกมาเหมือนตอกย้ำคำพูดของพิภพให้มีน้ำหนักมากขึ้นอีก ดวงตาสีน้ำตาลที่เปียกปอนค่อยๆเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวจนอารัณย์รู้สึกกลัว เช่นเดียวกับนิลที่พยายามตะโกนบอกพะแพงแต่ก็ไร้ผล


“พี่แพง อย่าทำนะ!!”


“เป็นเพราะแก ฮึก เพราะแกคนเดียว”


พะแพงเบนเป้าหมายไปยังรัตติกาลที่ยังคงไม่หยิบอาวุธขึ้นมา ร่างโปร่งตอบรับความอาฆาตนั้นด้วยการกำหมัดแน่นด้วยเพราะไม่รู้จะทำยังไงเช่นกัน รัตติกาลได้ยินเสียงของเพื่อนที่ฟังดูร้อนใจไม่เหมือนเคย และเสียงของคนรักที่เหมือนกับกำลังทรมานเพราะอะไรบางอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นก็หันกลับไปมองไม่ได้ในระหว่างที่กำลังรับรู้ความโกรธเกรี้ยวของคนที่ตัดสินใจได้แล้วว่าจะคร่าชีวิตของเขา


“ไม่หยิบมันขึ้นมาจะดีหรอครับ”


พิภพพูดขึ้นด้วยเสียงสบายๆเหมือนกับตัวเองไม่ได้เป็นคนทำให้หัวใจของใครบิดเบี้ยวจนผิดรูป รัตติกาลหันไปมองตามเสียงนั้นพร้อมกับตระหนักถึงความน่ากลัวของชายคนนี้ ต่อให้ไม่ต้องไม่ต้องหลบอยู่หลังรพี พิภพก็สามารถกำจัดพวกเขาทิ้งได้โดยมือไม่ต้องเปื้อนเลือดเลยแม้แต่หยดเดียว


“ดีสิ...ก็อยากพูดแบบนั้นอยู่หรอก”


รัตติกาลว่าก่อนจะก้มหยิบปืนของตนขึ้นมา เขามองมันอยู่อย่างนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงสาวที่ยังคงมองมาที่เขาอย่างแน่วแน่


“ต่อให้พี่ฆ่าผม เรื่องมันก็ไม่จบหรอกรู้ใช่ไหม”


“ไม่หรอก มันจะจบ”


“ไม่จบ เพราะสิ่งที่มันต้องการ...คือเราทั้งคู่ต้องตาย ใช่ไหมพิภพ”


ร่างโปร่งหันไปถามผู้คุมเกมที่เอาแต่มองมาทางนี้อย่างชอบใจ ชายหนุ่มยิ้มรับพลางใช้มืออีกข้างลูบผมของรพีไปด้วยโดยที่การกระทำนั้นยิ่งทำให้เด็กชายกลัวจนตัวสั่น ร่างป้อมรู้สึกได้ว่ามือที่กำลังสัมผัสตัวเองอยู่นั้นเย็นจนน่าขนลุก แม้ว่ามือของพ่อกาลจะเย็นเหมือนกัน แต่ชายคนนี้กลับแตกต่างออกไป


“อย่าคิดแบบนั้นสิครับ ผมไม่เคยบอกว่ามันต้องเป็นแบบนั้นสักหน่อย ผมแค่อยากทำดีส่งท้าย ช่วยจบเกมที่ยาวนานของพวกคุณให้เท่านั้นเอง”


ชายหนุ่มพูดก่อนจะใช้เข็มยาวลูบไปตามลำคอขาวของรพี เด็กชายนั่งเกร็งจนตัวแข็งพอๆกับรัตติกาลที่พยายามเก็บอาการไม่แสดงความหวั่นไหวออกมา


“กาลเองก็เบื่อไม่ใช่รึไง...ฝันร้ายที่ไม่จบไม่สิ้นไปสักที”


“...”


“ได้มาแล้วเสียไป กี่ครั้งแล้วที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น การโกหก ทรยศหักหลัง จะต้องมีอีกกี่ครั้งกันที่ต้องเผชิญกับมันตราบใดที่ยังคงจมอยู่ในอดีตที่วนเวียนอยู่ไม่จบไม่สิ้น...อยากมีไม่ใช่หรอ การเริ่มต้นใหม่น่ะ”


รูปถ่ายสองใบถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงของพิภพ ภาพในวันวานของพวกเขาทั้งสี่คนในชุดนักศึกษา และภาพของเขาและรพีที่ถูกถ่ายขึ้นในงานวันเกิดนั้นปรากฏขึ้นให้เห็นเต็มสองตา


“บางสิ่งบางอย่างต้องถูกทำลายก่อนถึงจะสร้างขึ้นใหม่ได้ ระหว่างอดีตที่ขมขื่นกับอนาคตที่รออยู่ข้างหน้า กาลจะเลือกอะไรล่ะครับ”


รัตติกาลยืนนิ่งก่อนจะหัวเราะออกมาราวกับว่าสิ่งที่พิภพพยายามพูดกล่อมมันน่าขันเสียเต็มประดา


“นึกว่าจะพูดอะไร ให้ตายสิ นึกว่าจะฉลาดกว่านี้นะเนี่ย”


“ห๊ะ?”


“ขอโทษทีนะที่คำพูดของมึงใช้กับกูไม่ได้ผล ทำลายอดีตเพื่อสร้างอนาคตใหม่หรอ หึ ของแบบนั้นน่ะมันมีจริงซะที่ไหน”


ร่างโปร่งยกปืนขึ้นชี้ไปยังจุดที่พิภพยืนอยู่ด้วยแววตาที่ไร้ความลังเล


“เกมนี้มึงพลาดสองอย่าง หนึ่ง...มึงคงไม่รู้ว่ากูยิงปืนแม่นขนาดไหน แค่ยิงมึงที่ขี้ขลาดขนาดต้องหลบอยู่หลังเด็กตัวเล็กๆมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย และสอง...หากมึงยื่นข้อเสนอให้กูเร็วกว่านี้เกมของมึงมันก็อาจจะได้ผล แต่ตอนนี้ไม่แล้ว...”


“...!!!”


“เพราะอนาคตที่กูต้องการ...ไม่ได้มีรพีแค่คนเดียว”


รัตติกาลยิ้มก่อนจะหันไปสบตาอารัณย์ที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงที่ได้ยินคำพูดของคนรักทุกคำรู้สึกได้ถึงหัวใจพองขึ้นจนคับแน่นไปทั้งอก


“ไม่จริงน่ะ...”


พิภพเผยสีหน้าผิดหวังออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก รัตติกาลปลดตัวเซฟตี้ลงโดยเล็งไปที่ตำแหน่งของศีรษะซึ่งอยู่ไกลจากตัวลูกชายมากที่สุด สิ่งเดียวที่เขาคำนึงถึงไม่ใช่ปืนอีกกระบอกที่กำลังเล็งมาที่ตนเอง หากแต่เป็นเข็มเล่มเล็กๆที่กำลังจ่อคอของรพีอยู่ต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้นร่างโปร่งก็ไม่มีทางเลือก สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือปลิดชีพพิภพให้ได้ที่ก่อนที่เข็มนั้นจะฝังลงเนื้อในของลูกชายและก่อนที่คมกระสุนจะเจาะทะลุร่างของเขาเท่านั้น




“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”




แต่ยังไม่ทันที่รัตติกาลจะได้เหนี่ยวไก เสียงหัวเราะของพิภพก็ดังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มถึงขึ้นลดการป้องกันลงโดยปล่อยมือที่กำลังถือเข็มอยู่จนมันกลิ้งตกลงไปบนพื้นทำให้ทุกคน ณ ที่นั้นรู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก


“เมื่อกี้กำลังคิดใช่ไหมว่าตัวเองจะชนะ ฮ่าๆๆ ตลกเป็นบ้า อนาคตของพวกเราทั้งสามคน โอ้ยๆๆๆ Happy end ล่ะ!! แต่ว่าน่าเสียดายจังนะ...”


“...!!!”


“เรื่องพวกนั้นผมรู้อยู่แล้วล่ะ”


เร็วกว่าที่รัตติกาลจะได้ตั้งตัว ร่างที่กำลังก้มตัวลงไปขำก็พุ่งเข้ามาหารัตติกาลพร้อมกับเข็มเล่มเดิมที่กลับเข้ามาอยู่ในมือของพิภพอีกครั้ง ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เหนี่ยวไก อาวุธที่เล็กที่สุดก็เสียบเข้าที่ต้นแขนของร่างโปร่งทะลุเสื้อผ้าก่อนของเหลวสีฟ้านั่นจะถูกกดเข้ามาในร่างจนรัตติกาลรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวในร่างกายของตนเอง ด้วยความตกใจ ชายหนุ่มปืนในมือตกลงก่อนจะใช้มืออีกข้างกดจับบริเวณที่ถูกฉีดยาเข้าไปพร้อมกับร้องออกมาอย่างเจ็บปวด


อารัณย์ที่เมื่อครู่รู้สึกมีความหวังขึ้นมาตะโกนลั่น เขาลุกออกไปทางที่คนรักล้มลงโดยที่เก้าอี้นั่นยังติดต่างของตัวเองอยู่ แต่ชายหนุ่มก็ไม่สนใจ เขาพยายามใช้มันฟาดกับลูกกรงแรงๆเพื่อให้เก้าอี้ไม้สีขาวตัวนี้เสียหายแม้ว่าอีกสิ่งที่กำลังพังลงไปพร้อมๆกันจะเป็นแขนของตัวเองก็ตาม


“กาล!!! อย่าเป็นอะไรไปนะกาล!!!”


เสียงคำรามของร่างสูงทำให้แม้แต่พะแพงที่ยืนอึ้งอยู่เผลอชะงักไปครู่หนึ่ง เธอมองน้องชายของเธอหลั่งน้ำตาออกมาทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แขนของอารัณย์มีเลือดไหล่มากขึ้นเรื่อยๆจนมันย้อมไม้สีขาวให้เปลี่ยนเป็นสีแดงจนน่ากลัว


“ใจเย็นๆน่า มันไม่ใช่ยาพิษหรอก ผมแค่ทำให้กาลรู้สึกสบายขึ้นเท่านั้นเอง”


“ไอ้หมอลอบกัด!!! มึงมันโรคจิต!!!”


“ว่าผมแบบนั้นจะดีหรอครับ”


อารัณย์กัดฟันกรอดก่อนจะหันมามองรัตติกาลที่ลมหายใจเริ่มหอบหนัก เหงื่อกาฬมากมายไหลซึมออกทางไรผมและผิวกายจนเสื้อที่สวมใส่ลู่ติดผิว ร่างโปร่งงอตัวลงกับพื้น ดวงตาสีดำเบิกกว้างราวกับอะไรบางอย่างกำลังปะทุออกมา อารัณย์พยายามเบียดตัวเองเข้าไปใกล้ลูกกรงให้มากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำไม่ได้


“กาล ได้ยินผมไหมกาล!!!”


“ดูท่าจะไม่ได้ยินหรอกครับ รัตติกาลของคุณกำลังจมดิ่งไปในความของตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น”


“หมายความว่ายังไง! มึงฉีดอะไรให้กาล!?”


“ไม่ใช่อะไรร้ายแรงหรอก แค่เป็นของที่ออกฤทธิ์ตรงข้ามกับสิ่งนี้เท่านั้นเอง”


พิภพล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของรัตติกาลที่ไร้การป้องกันใดๆ ขวดบรรจุยาเม็ดมีขาวขนาดเล็กที่อารัณย์คุ้นตาถูกชายหนุ่มชูขึ้นให้ทุกคนในห้องดู


“ทำหน้าแบบนี้คงเคยเห็นเขาใช้มันอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ”


“นั่นมันยาแก้ปวดธรรมดา”


“ฮ่าๆ เขาบอกคุณว่าแบบนั้นหรอ แต่ก็นะ เรื่องแบบนี้คงบอกคนอื่นไม่ได้โดยเฉพาะกับคุณ”


พิภพลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากกรงมุ่งตรงไปยังกันต์ชนกที่ยังคงทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก ขวดยาสีขาวนั้นถูกยื่นออกไปตรงหน้าเพื่อให้นายแพทย์หนุ่มสามารถเห็นได้อย่างถนัด ชายหนุ่มพินิจมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เบิกตาขึ้นเมื่อเห็นตัวอักษรดำซึ่งถูกพิมพ์อยู่บนฉลากยานั่น กันต์ชนกมองมันสลับกับร่างของผู้ใช้ที่นอนกองหมดสภาพอยู่บนพื้น ก่อนริมฝีปากที่ถูกกัดจนแตกจะค่อยๆเอ่ยออกมา




:z3:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z3:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
“นี่มัน...ยาระงับอาการทางจิต”


ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่เสียงลมหายใจก็เหมือนจะสะดุดไป นิลที่นึกว่าตัวเองหูฝาดรีบหันกลับไปมองรัตติกาลก็เห็นเพียงเพื่อนรักที่กำลังต่อสู้กับตัวเองโดยมีอารัณย์มองดูอยู่ด้วยแววตาปวดร้าวอย่างถึงที่สุด ร่างสูงหันกลับมามองนายตำรวจหนุ่มเพื่อถามว่าฤทธิชาติรู้เรื่องนี้หรือไม่ แต่ร่างใหญ่ก็ปฏิเสธด้วยสีหน้าที่แสดงความตกใจไม่ต่างกัน


“ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ แต่ดูเหมือนว่ากาลเองจะเริ่มรู้ตัวตั้งแต่ครั้งที่ไปอาละวาดที่คลับจนเกือบทำคนตายมานั่นแหละ”


“...!!!”


“ตอนนั้นกาลแค่เข้าไปหาหมอเพื่อขอยาลดความเครียด ผมคิดว่ามันน่าสนใจดีเลยอยากลองทำอะไรสักหน่อย จำวันแรกที่เราเจอกันได้ไหมครับคุณอารัณย์ หลังจากที่กาลตกน้ำไปตอนนั้นมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นบ้างไหม”


พิภพถามในสิ่งที่ตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว แต่เขาเพียงต้องการให้ร่างสูงใช้สติปัญญาขบคิดถึงอดีตที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน ภาพของรัตติกาลที่ดูสับสนย้อนกลับเข้ามาพร้อมกับคำพูดที่เขาเคยใช้ปลอบอีกฝ่ายไปว่าคงเป็นเพราะความคิดมากแต่ดูเหมือนว่าเบื้องหลังสิ่งเหล่านั้นจะมีมากกว่าที่อารัณย์เคยคิด


“ที่กาลบอกว่าฝันเห็นนที...”


“นั่นน่ะไม่ใช่ความฝันหรอกครับ”


“...!!!”


“ผมให้คนแอบลงไปซ่อนตัวอยู่ในน้ำใกล้กับจุดที่พวกคุณพลอดรักกันอยู่ ใกล้ขนาดว่าได้ยินทุกคำเลยแหละ ฮ่าๆ แล้วพอพวกคุณกำลังจะกลับไปก็...ตู้ม!! ผมให้ลูกน้องดึงกาลลงมาแล้วพูดอะไรเป่าหูเขานิดหน่อยเท่านั้นเอง”


“มึงมัน...ทำแบบนี้มันสกปรกเกินไปแล้ว!!”


“เอ๋ จะว่ากันแบบนั้นก็ไม่ถูกนะ ผมแค่กระตุ้นนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง คนรักของคุณเขาบ้าอยู่ก่อนแล้วต่างหาก ดูสิ ทำท่าทางมีความสุขใหญ่เชียว”


รัตติกาลที่เมื่อครู่ทำสีหน้าทรมานเปลี่ยนเป็นยิ้มออกมาพร้อมกับมองไปกลางอากาศโดยที่ตรงหน้านั้นไม่มีสิ่งใดอยู่เลย ร่างโปร่งค่อยๆยันกายขึ้น รัตติกาลหันซ้ายหันขวาก่อนโฟกัสสายตาจะไปตกที่รพีซึ่งยังคงนั่งร้องไห้อยู่บนรถเข็นคันนั้น”


“รพี...รพีลูกพ่อ”


ชายหนุ่มยิ้มกว้าง เขาพยายามคลานเข้าไปหาแต่ก็ไปได้แค่สุดเขตของแขนที่ถูกกุญแจมือพันธนาการไว้อยู่แต่ในสภาวะที่จิตใจของรัตติกาลกำลังล่องลอยอยู่แบบนี้ ร่างโปร่งจึงเหมือนคนที่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ เขาพยายามดึงมือของตัวเองออกซ้ำๆกันแบบนั้น ไม่สนใจแม้แต่ข้อมือที่เริ่มเป็นแผลเหวอะจากคมเหล็กที่กรีดเข้าไปข้างในเนื้อ อารัณย์พยายามร้องห้าม เช่นเดียวกับพะแพงที่กลัวว่ารัตติกาลจะเข้ามาทำร้ายรพีในสภาพนี้ ละแล้วพิภพก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่ทุกคนกลัวอีกครั้ง ชายหนุ่มใช้ลูกกุญแจปลดกุญแจมือข้างที่ยึดติดกับลูกกรงไว้ปล่อยให้รัตติกาลเข้ากอดลูกชายได้สมใจอยาก


“พ่อกาล ฮึก พ่อกาล”


“ไม่เป็นไรแล้วนะรพี ไม่เป็นไรแล้ว”


รัตติกาลกอดลูกชายไว้อย่างแรงจนรพีรู้สึกเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังดีกว่าการต้องตกอยู่ในความเดี่ยวดายและอันตรายเหมือนเช่นเมื่อครู่ ร่างป้อมพยายามกอดตอบพ่อของตนไว้โดยไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นมีเพียงผู้ใหญ่ที่เหลือเท่านั้นซึ่งกำลังมองดูภาพตรงหน้าด้วยความร้อนใจ


“กาลถอยออกมานะ ไม่งั้นพี่ยิงเราแน่!!!”


“ไอ้กาล ใจเย็น! แม่งเอ้ยปล่อยกูสิวะ!”


“แพงใจเย็นๆก่อน อย่าเพิ่งยิง ถ้ายิงตอนนี้โดนรพีแน่ๆ”


“กาล!! ได้ยินผมไหมกาล ได้โปรดเถอะ ตอบผมที!!!”


อารัณย์พยายามร้องหาคนรักแต่ดูเหมือนรัตติกาลกำลังตกลงไปในโลกที่มีเพียงตัวเองและเด็กชายที่ตัวเองต้องการปกป้องเท่านั้น พิภพค่อยๆเดินเข้าไปใกล้พ่อลูกที่กำลังกอดกันแน่นผ่านแนวหลังของลูกกรง พะแพงที่กลัวว่าชายคนนี้จะทำอะไรอีกอยากจะยิงปืนออกไปเพื่อสกัดไว้แต่ติดแค่ลูกกระสุนมีเพียงแค่หนึ่งนัดเท่านั้น


“กาลครับ โลกใบนี้มันโหดร้ายมากเกินไปใช่ไหม”


“...!!!”


 “ไม่ว่าใครต่างก็เอาแต่ทำร้ายกันตลอด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกระทำหรือคนที่โดนทำร้าย มันต่างก็เจ็บปวดเหมือนกันใช่ไหม”




“...ใช่”




เพียงคำเดียวที่รัตติกาลเอ่ยออกมากลับสั่นไหวหัวใจของเหล่าคนฟังได้อย่างร้ายกาจ ชายหนุ่มลูบไปตามเปลือกตาที่บวมช้ำของลูกชายแล้วปล่อยให้น้ำตาของตัวเองรินไหลอย่างไม่คิดห้าม




“ทำไมเราต้องทำร้ายกันด้วยนะ ทั้งที่แค่อยากอยู่ด้วยกันอย่างสงบแท้ๆ”




“นั่นสินะ”




“ถ้าหากว่ามี...”




“ถ้าหากมีโลกที่...”




“เราสามารถอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องทำร้ายกันก็คงดี”




“โลกที่...ไม่ต้องมีใครร้องไห้อีกต่อไป”




มือทั้งสองข้างของรัตติกาลค่อยๆเคลื่อนไปกอบรัดลำคอที่มีรอยแผลของรพีไว้ ชายหนุ่มยิ้มให้ลูกชายก่อนจะออกแรงตรงหัวแม่โป้ง กดมันลงไปตรงจุดที่ทำให้เด็กน้อยเริ่มอึดอัด ร่างป้อมที่ไม่ค่อยเข้าใจอะไรมองบิดาที่ยิ้มมาให้ด้วยความไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าคนที่ตนรักทำหน้าเหมือนกับว่ากำลังมีความสุข


“อึก พะ พ่อ”


“นิดเดียวนะ อดทนหน่อย”


“อือ”


รพียิ้มรับแล้วค่อยๆหลับตาพริ้ม แต่ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะดับไป ฝ่ามือเล็กๆของเด็กน้อยก็เอื้อมขึ้นไปแตะลงบนใบหน้าของรัตติกาลที่มองดูอยู่เท่านั้น


“ร้องไห้ อึก ทำไม”


“...!!!”


“นะ น้ำตาล่ะ...”


มือที่กำลังใช้คร่าชีวิตลูกน้อยหยุดลง พร้อมกับสติที่ไหลกลับเข้ามา เสียงร้องตะโกนผู้คนรอบข้างดังขึ้น แม้แต่เสียงร้องไห้ของอารัณย์ก็สามารถทำให้เขาเจ็บไปทั้งอกได้ในตอนนี้ รัตติกาลมองดูมือของตัวเองและลำคอที่แดงก่ำของลูกชายที่หายใจหอบเอาอากาศเข้าปอด ชายหนุ่มหันไปมองอารัณย์ที่ทรุดกายลงแล้วร้องเรียกหาเขาด้วยน้ำตานองเต็มใบหน้า ไม่ต่างจากนิลที่กำลังทำเหมือนกำลังทรมานอย่างถึงที่สุด


“ฮึก ออกไปนะ ออกไปจากลูกฉัน!!!”


เสียงเกรี้ยวกราดของพะแพงทำให้รัตติกาลต้องหันกลับไปมองอีกทาง มือที่สั่นของหญิงสาวหยุดลงแล้ว แม้จะกำลังร้องไห้แต่ความแน่วแน่นั้นก็ทำให้ชายหนุ่มรู้ดีว่าต่อให้ไม่เคยจับปืนมาก่อนหญิงสาวจะไม่พลาด รัตติกาลเริ่มสำนึกได้ถึงสิ่งที่ตัวเองเกือบจะทำพลาดไป ความเกลียดชังและความเสียใจที่ถูกส่งมาให้ถูกตอกย้ำลงบนหัวใจที่ผิดบาปของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแม้แต่ตัวเองก็เกินจะรับไหว


“เรา...ทำอะไรลงไป”


รัตติกาลมองดูฝ่ามือของตัวเองด้วยความเกลียดชัง ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขานึกรักเกียจตัวเองมากขนาดนี้ แม้แต่ครั้งก่อนที่เขาบีบคอรพีด้วยความโมโห ก็ไม่เท่ากับตอนที่เกือบจะคร่าชีวิตของคนที่ตัวเองรักไปเพียงเพราะความอ่อนแอที่หลบซ่อนอยู่ในหัวใจ ไร้ค่า...รัตติกาลรู้สึกว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตแบบนั้น


“ถ้าอย่างนั้นก็มีสิ่งเดียวที่ควรทำ”


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วพบกับร่างของนทียืนอยู่เหนือกระบอกปืนสีดำนั้น อดีตคนรักกำลังยิ้มให้ มันเป็นรอยยิ้มที่เขาทั้งเกลียดชังและปรารถนาในมันมาตลอดแม้แต่ในวาระสุดท้ายที่เห็นมัน รัตติกาลก็อดคิดไม่ได้ว่ามันช่างสวยงามจริงๆ


“พี่ที...”


“มาทางนี้สิกาล มาอยู่ด้วยกัน”


“แต่ผม...”


“หากมาทางนี้กาลจะไม่ต้องทำร้ายใครอีก”


“...!!!”


“รพีจะไม่ต้องร้องไห้อีกต่อไป”


น้ำตาของรัตติกาลหยุดไหล รู้ตัวอีกทีเขาก็กำลังถือปืนกระบอกนั้นไว้ในมือเสียแล้ว ชายหนุ่มลูบคลำมัน สัมผัสเย็นจัดที่รู้สึกได้เหมือนกรีดแทงเข้าไปในวิญญาณเช่นเดียวกับอนุภาพของมันที่ทำให้สิ่งที่เขาปรารถนาเป็นจริงได้


“ถ้าไม่มีผม...รพีจะไม่ร้องไห้...พี่แพงจะได้ไม่ต้องเป็นฆาตกร”


รัตติกาลยิ้มให้ตัวเอง เขาหันไปทางลูกชายที่กำลังมองมาด้วยสีหน้าแบบเดียวกันกับที่เคยเป็นตลอดมา...สีหน้าที่เต็มไปด้วยความรัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีน้ำตา


“ไม่ร้องนะครับ อย่าร้องไห้”


“ฮึก พ่อกาล พีกลัว”


“ไม่ต้องกลัวนะ พีจะไม่เจ็บอีกแล้ว พ่อจะไม่ทำร้ายพีอีกแล้ว”


“จริงหรอ”


“อื้ม...หลับตาลงนะครับ เดี๋ยวก็จบแล้ว”


รพีหลับตาลงตามคำพ่อว่า แม้จะกลัวจนตัวสั่นแค่ไหนก็ตาม รัตติกาลที่เห็นว่าลูกชายทำตามแล้วดังนั้น ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่รพีจะไม่เห็นว่าเขาจากไปเช่นไร ชายหนุ่มมองปืนในมือของตัวเอง แล้วยกมันขึ้นจรดตรงขมับข้างศีรษะจนปากกระบอกที่เย็นเฉียบทำให้เขารู้สึกสงบมากกว่าเคย เสียงรอบตัวเงียบลงอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมหายใจเป็นจังหวะของตัวเองเท่านั้นที่เขาได้ยิน


“ลาก่อน...”


เสียงของนทีที่มีตัวตนอยู่ในจินตนาการของเขามาตลอดดังขึ้นก่อนเปลือกตาบางจะปิดลง ในหัวของเขามืดสนิท มันว่างเปล่าเสียจนน่าขันแต่ถึงอย่างนั้นรัตติกาลก็คิดว่ามันดีแล้วที่เป็นแบบนี้ ปลายนิ้วของเขาค่อยๆสัมผัสไกปืน มันไม่ได้สั่นเลยแม้แต่น้อย ราวกับความเคลื่อนไหวต่างๆหยุดลง เขายิ้มให้ตัวเองอีกครั้งก่อนจะขยับมัน




“อย่าลืมสัญญาของเราสิกาล”




“...!!!”




“เราจะอยู่ด้วยกันไม่ใช่หรอ อย่าทิ้งผมไปแบบนี้”




รัตติกาลรู้สึกได้ถึงสัมผัสคุ้นเคยตรงผิวแก้ม เป็นความสิ่งที่ย้ำชัดอยู่ในอณูผิวราวกับว่าเขาเคยได้รับมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่อาจหลงลืมมันได้ ร่างโปร่งเคยๆลืมตาขึ้นมา เขาเห็นใบหน้าของชายคนหนึ่งที่บอกว่ารักเขาสุดหัวใจกำลังร้องไห้ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดอย่างถึงที่สุด มือและแขนของอารัณย์โชกไปด้วยเลือด ทั้งรอยบาดเป็นทางยาวและบางส่วนที่ผิดรูปไปสร้างความเจ็บปวดให้ชายหนุ่มอย่างร้ายกาจแต่ก็ไม่มากเท่ากับสิ่งที่คนรักของเขาคิดจะทำ น้ำตาของรัตติกาลไหลอีกครั้งพร้อมกับมือที่ค่อยๆลดระดับลง


“อารัณย์...”


“ถ้ากาลไม่อยู่มันจะดีได้ยังไง มันต้องไม่ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรอ...ถ้าไม่มีกาลอยู่แล้วผมจะอยู่ต่อไปได้ยังไง”


“ฮึก”


“อย่าทำแบบนี้อีกนะ สัญญาได้ไหม อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้”


รัตติกาลพยักหน้าก่อนจะโผเข้าหาอารัณย์แม้ว่าจะมีลูกกรงกางกั้น เขาร้องไห้ออกมาอย่างสุดทน ทั้งความเสียใจ ความละอาย และความยินดีที่ยังมีคนเห็นค่าอัดแน่นกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตาที่เหมือนว่าจะไม่มีวันหมดไป อารัณย์ใช้มืออีกข้างที่มีรอยแผลไม่ต่างกันลูบใบหน้าของรัตติกาลเบาๆด้วยความรัก แต่แล้วเขาก็ต้องเบิกตาขึ้นเมื่อปืนของรัตติกาลที่ถูกปล่อยทิ้งไปกำลังตกอยู่ในมือของชายที่อันตรายที่สุด


“แย่จังนะ แต่ก็ไม่เป็นไร”


“พิภพ!!!”


“ถึงจะอยากเล่นด้วยอีกหน่อยก็เถอะ แต่ทางนี้ก็ไม่คิดจะรอแล้วเหมือนกัน”


ชายหนุ่มว่าก่อนจะส่งยิ้มร้ายให้พร้อมกับยกในมือขึ้นจ่อไปยังร่างของรัตติกาลที่สติพร่าเลือนเต็มที่ ร่างโปร่งเห็นว่าอารัณย์พยายามใช้ร่างบังเขาไว้ แต่เพราะสิ่งที่กีดกันพวกเขาออกจากกันทำให้คนรักทำสิ่งนั้นได้ไม่ถนัด รัตติกาลพยายามประคองสติตัวเองให้กลับมา แต่ถึงอย่างนั้นมันฝืนเต็มที




“ลาก่อนนะครับ ถือซะว่าหมดเวรหมดกรรมกันไปก็แล้วกัน”








ปัง!!!







สิ้นเสียงนั้นทุกอย่างก็เงียบลง รอยยิ้มของพิภพถูกจุดขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจของอารัณย์ ชายหนุ่มก้มลงมองดูชุดสีขาวของตัวเองที่บัดนี้เปื้อนรอยแดงเป็นวงใหญ่ มันค่อยๆขยายมากขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกับความรู้สึกชาไปทั่ว


“อ่า แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าแทงข้างหลัง”


“ผิดแล้วล่ะค่ะ...ฉันยิงคุณต่างหาก”


ร่างของพิภพค่อยๆทรุดลงพร้อมกับปืนที่หลุดมือไปอีกครั้ง ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยถาม ประตูบานใหญ่ซึ่งหญิงสาวผู้ลั่นไกเคยเดินออกมาก็เปิดออกพร้อมกับการมาของตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบหลายคนที่ต่างกรูเข้ามาจัดการใส่กุญแจมือให้กับพิภพที่ถูกยิงเข้าตรงช่องท้อง และช่วยปลดพันธนาการและปฐมพยาบาลแก่ผู้คนที่เหลืออยู่ในห้อง


“นี่มันอะไรกัน...”


นิลเอ่ยขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ ขณะมองร่างของรัตติกาล อารัณย์ และรพีถูกห่ามออกไปข้างนอกด้วยแปลสีขาวอันใหญ่แบบเดียวกันกับที่ฤทธิชาติกำลังนอนอยู่บนนั้น นายตำรวจหนุ่มยิ้มให้กับเขาด้วยสีหน้ากวนประสาทเช่นเดิม แต่ครั้งนี้นิลกลับรู้สึกโล่งอกพอๆกับไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น


“นิลคงไม่คิดว่าผมจะยอมปล่อยคนที่เกือบต้องคดีอาญาร้ายแรงให้ลอยนวลไปเฉยๆ โดยไม่ได้อะไรกลับมาเลยใช่ไหม”


“ยะ อย่าบอกนะว่า!!”


นักเขียนหนุ่มหันกลับไปมองอดีตเลขาของรัตติกาลที่โค้งให้กับเขาจากมุมหนึ่งของห้องด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังสังเกตเห็นถึงความโล่งอกในดวงตาที่เฉยชาคู่นั้น


“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นี่มัน...!!!”


“อย่าเพิ่งถามอะไรเลยครับ เรายังมีอะไรต้องทำอีกเยอะไม่ใช่หรอ”


“...!!!”


“แต่ก่อนอื่น...”


ฤทธิชาติคว้าคนที่ยังคงทำหน้าสงสัยมากอดไว้ด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตัวเอง นิลอุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะเงียบไปเมื่อสัมผัสบางอย่างได้...แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ร่างกายของฤทธิชาติกำลังสั่น


“ขอบคุณพระเจ้าที่คุณไม่เป็นอะไร...”



“อือ...มันจบลงแล้วสินะ”



---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!!

สั้นแต่มาเต็ม โฮกกกกกกกกกกกกกก เช่ผ่านมันมาแล้วววววว  :ling1: บทที่เครียดที่สุดและเขียนยากที่สุด ฮือออออออออ เราผ่านมันมาได้แล้วคับทุกคน อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก  :hao5: :hao5: :hao5: น้ำตาจะไหลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล

คือนั่งคิดไม่ออกว่าจะเขียนยังไงดีมาหลายวัน เขียนๆลบๆ บทสรุปมันมีอยู่แล้วแต่การกะจังหวะดริฟเรื่องนี้มันยากจริงๆนะ (คือลองนับดูแม่งหลายครั้งมาก พลิกไปพลิกมายังกับย่างปลาหมึก 5555) :hao7: ตอนที่ควรจะยาวที่สุดเลยออกมาแค่20หน้า A5 เฟสนี้ดำเนินเรื่องแบบไม่ยืดติดจะเร็วกว่าทุกทีด้วยซ้ำเพราะเช่คิดว่าจังหวะมันต้องประมานนี้ล่ะเน้อ กระชับๆ ปังๆ เขียนไปใจเต้นไปยังกับเป็นคนอ่านเอง หวังว่าทุกคนคงชอบนะคับ ทุกข์โศกทั้งหลายหมดลงแล้ว หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัย สรรพเคราะห์เสนียนจัญไรจงหายไปๆ พิ้วๆ  :mew1: :mew4:และหลังจากนี้....อีกเพียงแค่สองตอนเท่านั้นจะลาจอแล้วจ้าาาาาาา :call:

เช่จะพยายามเร่งให้ได้มากที่สุดแต่แน่นอนต้อง smooth ด้วยสิ่งที่ยังค้างคากันเล็กๆน้อยๆจะถูกไขในตอนหน้า ก่อนที่ตอนสุดท้ายคือคืนที่50 จะเป็นบทสรุปอย่างเต็มขั้นที่เช่หวังว่าทุกคนจะพอใจ มาถึงจุดนี้ใจหายมาก บวกกับท้องร้องอย่างแรงเพราะตื่นมาเขียนตั้งแต่ตี5 ยังไม่ได้กินอะไรเล้ยยยย  :a5: ขอหาไรยัดใส่ท้องก่อนนะ ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลยคับ ทุกคนคือผู้กล้า จุ๊บๆ :impress2:





ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
มันสนุกจนอ่านจบเร็วไป หรือมันสั้น  :sad4:

ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
เสียดในอก.....น้ำตาไหลพรากกกก!!

ออฟไลน์ มาโซซายตี้

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-2
ตามอ่านจนทัน เมามันมาก สองวันรวด
เริ่มมาหน่วงจิตหน่วงใจ มาท้ายๆสวมบทโคนันคิดคดีตามแทบแย่ 5555
ชอบๆค่า พลิกไปพลิกมา ถึงช่วงพีค ลาสบอสจะดูเหมือนเหตุผลอ่อนไปหน่อยตามความคิดคนอ่าน แต่ก็สนุกค่ะ รออ่านช่วงสุดท้ายค่า

ออฟไลน์ กาลณัฐ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ต้องบอกเลยว่าเช่เก่งจริงๆ อึ้งทั้งตอน

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ขอบคุณที่พ้นภัย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1


49th Night

…Separation...


 
 

รัตติกาลลืมตาขึ้นภายในห้องสีขาวคล้ายกับที่ที่เขาอยู่ก่อนสติจะดับลงไป เพียงแต่ห้องๆนี้ไม่มีกลิ่นเลือดอันคลื่นเหียน มันถูกแทนที่ด้วยกลิ่นยาฆ่าเชื้อที่ฉุนติดจมูกจนร่างโปร่งต้องเบ้หน้าด้วยความไม่ชอบใจ รัตติกาลยันกายลุกขึ้นนั่ง ด้วยความสับสน เขาพยายามสำรวจตัวเองจนพบว่านอกจากอาการปวดในหัวแล้วตามเนื้อตัวของเขากลับไม่มีบาดแผลซะเท่าไหร่ ผิดกับฤทธิชาติที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเพื่อนรักของเขาที่ทำหน้าตกใจก่อนจะตะโกนเสียงดัง

 

 

“ไอ้กาล!”

 

 

“เบาๆก็ได้ ยิ่งปวดหัวอยู่”

 

 

นิลด่าเขากลับมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ นักเขียนหนุ่มรีบเดินออกไปข้างนอกทิ้งเขาไว้กับฤทธิชาติซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นที่แทบจะมีผ้าพันไว้ทั้งตัวโดยเฉพาะช่วงแขนที่ใส่เฝือกไว้ทำให้ขยับได้ไม่สะดวกเหมือนเคย

 

 

“อารัณย์ล่ะครับ”

 

 

รัตติกาลถามหาคนรักทันทีที่นึกขึ้นได้ ชายหนุ่มพยายามไม่แสดงความผิดหวังออกทางสีหน้าเมื่อยังไม่พบเห็นร่างสูงทั้งที่อีกฝ่ายน่าจะไม่ยอมอยู่ห่างเขา

 

 

“อารัณย์ไปจัดการอะไรนิดหน่อยน่ะครับ อย่าน้อยใจไปล่ะ ระหว่างที่กาลสลบไปสามวันเขาก็เพิ่งยอมอยู่ห่างคุณวันนี้เป็นวันแรก”

 

 

“ผมหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรอ”

 

 

“จริงๆก็ตื่นมาครั้งหนึ่งครับ แต่เพราะฤทธิ์ยากาลคงจำมันไม่ได้”

 

 

นายตำรวจหนุ่มบอกรัตติกาลไปตรงๆโดยที่อีกฝ่ายก็เข้าใจความหมายของมันได้อย่างดี ร่างโปร่งยกมือขึ้นแตะบริเวณลำคอที่ถูกพิภพฉีดยาบางอย่างให้จนเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้จะไม่หลงเหลือความเจ็บปวดใดๆแต่ความทรงจำที่ฉายชัดนั้นกลับย้ำเตือนเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องสีขาวห้องนั้น

 

 

“ทุกคนคง...ผิดหวังมากเลยสินะครับ”

 

 

“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ เรื่องที่มึงแอบไปทำกับไอ้ผู้หมวดที่ถูกพักงานนี่ เรื่องที่ไม่ยอมบอกว่าป่วย หรือเรื่องที่ทำลงไปโดยไม่รู้ตัวกันแน่”

 

 

ฤทธิชาติไม่ได้พูด แต่เป็นนิลซึ่งกลับมาพร้อมหมอกับพยาบาลชุดใหญ่ที่ต่างกรูกันเข้าไปตรวจเช็คร่างกายและสติของรัตติกาลกันเสียจนวุ่นวายไปทั้งห้อง ร่างโปร่งตอบคำถามและให้ความร่วมมือกับแพทย์เป็นอย่างดี แต่ในหัวก็ยังคงขบคิดถึงคำพูดของเพื่อนที่จ้องมองเขาอยู่ทุกอิริยาบถ

 

 

“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วล่ะครับ ที่หลับไปนานคงเป็นเพราะร่างกายและจิตใจอ่อนเพลียมากจริงๆอาการข้างเคียงของยาที่ได้รับมาก็ทุเลาไปมากจนแทบไม่แสดงออกมา ส่วนอาการทางจิตจิตแพทย์ของคุณจัดยามาให้แล้ว ยังไงระยะนี้ก็อย่าทำให้ตัวเองเครียดมากไปกว่านี้นะครับ”

 

 

นายแพทย์ผู้ตรวจดูอาการพูดกับรัตติกาลด้วยน้ำเสียงสบายๆก่อนจะขอตัวออกไปโดยไม่ลืมกำชับเรื่องความเครียดกับเขาอีกครั้งจนวินาทีสุดท้าย นิลที่ดูจะเคลื่อนไหวคล่องตัวที่สุดในที่นี้ลุกขึ้นโค้งขอบคุณก่อนจะเดินไปส่งทั้งหมอและพยาบาลทั้งหมดที่หน้าประตูห้อง ทันทีที่พวกนั้นจากไปนิลก็เดินกลับมาหารัตติกาลด้วยใบหน้าที่ถึงแม้จะแสดงความตำหนิแต่ก็ยังเต็มไปด้วยความห่วงใย

 

 

“ว่าไง ตกลงคิดว่ากูผิดหวังเรื่องไหน”

 

 

“รู้ว่าอยากบ่น แต่ขอรู้สถานการณ์ตอนนี้ก่อนได้ไหม”

 

 

“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดีกว่ากูอยากพูดอะไร ถ้าไม่ติดว่าป่วยกูนี่จะกระทืบมึงซ้ำแต่ว่าก่อนหน้านั้น...มึงมีเรื่องต้องบอกกูก่อนไม่ใช่หรอไอ้กาล”

 

 

“นิลครับ หมอเขาเพิ่งบอกว่าอย่าทำให้กาลเครียด”

 

 

นิลหันไปขู่ใส่นายตำรวจหนุ่มที่นั่งเกาแก้มอยู่ข้างๆ รัตติกาลก้มลงมองมือของตนเองที่ยังคงปรากฏรอยแผลจากกุญแจมือให้เห็น เขาลูบคลำมันอยู่แบบนั้นพร้อมกับนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นไปด้วย

 

 

“ถ้าเป็นเรื่องอาการป่วย มึงคงได้ฟังจากหมอแล้ว”

 

 

“ใช่ แต่กูอยากได้ยินจากปากมึง...ไม่ใช่คนอื่น”

 

 

ลมหายใจของรัตติกาลสะดุดไปครู่หนึ่งเมื่อนิลพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่สื่อถึงความผิดหวังได้อย่างชัดเจน ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้น เขาเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในแววตาของนิลแต่ครั้งนี้มันกลับสั่นไหวเพราะหยดน้ำที่คลออยู่ในนั้น

 

 

“มันไม่สำคัญหรอกว่ามึงจะเป็นอะไร หรือเปลี่ยนไปแค่ไหน อย่าว่าแต่เป็นบ้าเลย ตอนมึงสภาพแย่กว่านี้กูเคยหนีจากมึงไปไหมกาล กูเคยทิ้งมึงรึเปล่า”

 

 

“นิล...”

 

 

“เรื่องที่แอบไปติดต่อกับพวกมาเฟียลับหลังกูเข้าใจว่ามึงเป็นห่วง ไม่อยากให้กูโดนหางเลขไปด้วย แต่กับเรื่องนี้มันไม่เหมือนกัน มึงเคยฉุกคิดสักนิดไหม ว่าถ้าวันหนึ่งที่อะไรๆมันสายเกินแก้พวกกูจะรู้สึกยังไง”

 

 

“ขอโทษ กูแค่กลัว...กลัวว่าจะเสียทุกอย่างไป”

 

 

รัตติกาลยกมือที่เล็กซูบยิ่งกว่าเดิมขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของนิลเบาๆ เขาพยายามฝืนยิ้มให้เพื่อนแต่มันก็ดูหนักหนาเกินกว่าจะทำต่อไปได้

 

 

“ตอนแรกกูคิดว่าเป็นเพราะความเครียด แต่มันกลับหนักขึ้นทุกที มันสับสนไปหมด กูไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร จนสุดท้ายกูก็เริ่มที่จะกลัวตัวเอง แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าการที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนเป็นอะไร...ก็คือการที่อาจจะต้องเสียรพีไป”

 

 

“ไอ้กาล...”

 

 

รัตติกาลพูดด้วยแววตาที่สะท้อนความหวาดกลัวของตัวเองได้เป็นอย่างดี หากมีคนรู้ว่าเขากำลังป่วยเป็นอะไร ความจริงข้อนี้จะกลายเป็นข้อเหตุผลชั้นดีที่สามารถพรากรพีไปจากเขาได้อย่างง่ายดาย ร่างโปร่งจึงเลือกที่จะเก็บความเจ็บปวดนี้ไว้ภายใต้รอยยิ้มที่มอบให้คนรอบข้างเหมือนเช่นทุกครั้ง แม้ว่าเบื้องหลังของมันจะหม่นหมองแค่ไหนก็ตาม

 

 

“กูเสียรพีไปไม่ได้ ถ้าไม่มีเด็กคนนั้นชีวิตกูก็เหมือนหายไปครึ่งหนึ่ง กูรู้ว่ามึงเข้าใจแต่กับกฎหมายมันไม่ใช่ เขาต้องเอารพีไปจากกูแน่ๆนิล...เพราะกูเป็นแบบนี้”

 

 

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ”

 

 

ฤทธิชาติพูดขัดขึ้นทำให้รัตติกาลที่กำลังกำมือแน่นเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ นายตำรวจหนุ่มยิ้มให้ร่างโปร่งน้อยๆก่อนจะพูดต่อ

 

 

“ดูเหมือนว่าเขาคนนั้น จะหาทางออกที่ดีที่สุดไว้ให้กับทุกคนแล้ว”

 

 

ทันทีที่สิ้นคำประตูห้องพักของรัตติกาลก็เปิดออก เสียงหายใจหอบของอารัณย์ดังขึ้นพร้อมๆกับร่างที่ถลาเข้ามาโดยไม่สนใจเลยว่าแขนข้างที่หักของตนจะกระแทกกับอะไรไปบ้าง คนตัวโตคว้ารัตติกาลเข้าไปกอดเต็มแรงก่อนจะผละออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนรักของตนเพิ่งฟื้นจากการบาดเจ็บ อารัณย์ทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ความในใจมันกลับมากมายเสียจนเขาเรียบเรียงไม่ได้ รัตติกาลยิ้มน้อยๆให้กับท่าทางแบบนั้น ร่างโปร่งจึงลูบใบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆให้ใจเย็นลง

 

 

“เจ็บมากไหมกาล”

 

 

“ผมไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”

 

 

พอได้ยินอย่างนั้นอารัณย์จึงพอยิ้มออกมาได้ เขามีอะไรอยากพูดกับคนรักอีกมากมายรวมถึงอยากขอโทษที่ไม่อยู่ข้างๆในตอนที่รัตติกาลลืมตาตื่น แต่เพราะความจริงบางอย่างที่ถูกนำพามาจากอดีตทำให้เขาจำยอมฝากรัตติกาลไว้กับฤทธิชาติและนิลแทนในขณะที่ตัวเองต้องเดินทางไปพาคนที่เหลือมาที่นี่

 

 

“พี่แพง...”

 

 

รัตติกาลครางชื่อของหญิงสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเบาๆ ใบหน้าที่อิดโรยกว่าทุกครั้งไม่เผยรอยยิ้มใดๆ พะแพงมองหน้าน้องรหัสที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้อยู่ครู่เดียวแล้วเสหน้าหันไปทางอื่น ก่อนที่กันต์ชนก และทนายนเรศจะเดินตามเข้ามา

 

 

“มากันครบแล้วนะครับ อันที่จริงคุณรพีต้องอยู่ด้วยแต่ถือว่าให้คุณรัตติกาลซึ่งเป็นผู้ปกครองในปัจจุบันรับทราบแทนแล้วกัน”

 

 

ชายสูงวัยพูดขึ้นหลังจากกล่าวทักทายเจ้านายของตนด้วยท่าทีนอบน้อมอย่างเคย นเรศหยิบเอาซองกระดาษสีน้ำตาลชุดหนึ่งออกมา รัตติกาลเม้มปากแน่นเมื่อทนายนเรศพูดถึงลูกชายที่ตัวเองอยากเห็นหน้าแต่ก็ไม่กล้าจะถามถึงเพราะสิ่งที่ทำเอาไว้ อารัณย์เองเมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของคนรักก็พอจะเดาความรู้สึกของรัตติกาลออกจึงคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมไว้เพื่อให้กำลังใจ

 

 

“สิ่งนี้คือเอกสารสำคัญที่ทางตำรวจยอมคืนมาให้หลังจากนำไปใช้ประกอบเป็นหลักฐานในการเอาผิดนายพิภพเรียบร้อยแล้ว”

 

 

“แสดงว่ามันคือ...”

 

 

“ใช่ครับ มันคือกระดาษที่ถูกซ่อนไว้ในบ้านไม้จำลองซึ่งเดิมทีเป็นของคุณนที”

 

 

นเรศหันไปตอบรัตติกาลที่เอ่ยถามขึ้นก่อนจะลงมือแกะซองสีน้ำตาลนั่นแล้วหยิบเอากระดาษสองใบซึ่งอยู่ข้างในออกมา

 

 

“เอกสารประกอบด้วยด้วยเอกสารสองฉบับ อย่างแรกคือเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในการถือครองบ้านไม้ที่จังหวัดลำปาง ซึ่งหลังจากตรวจสอบแล้วพบว่าฉบับนี้ถือเป็นฉบับจริงไม่ใช่ฉบับที่คุณพะแพงถือครองอยู่แต่เดิม”

 

 

พะแพงพยักหน้ารับ เธอดูไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่ได้ยินเท่าไหร่ซึ่งรัตติกาลก็พอเดาสาเหตุได้ไม่อยาก เพราะเขาเองก็กำลังรู้สึกไม่ต่างกัน ว่าบ้านหลังนั้นไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่ต้องสูญเสียไปมากมายเพราะมัน

 

 

“ส่วนฉบับที่สอง...คือพินัยกรรมที่คุณนทีทำไว้ก่อนที่จะเสียชีวิต”

 

 

รัตติกาลและพะแพงหันไปมองหน้านเรศแทบจะทันที ผิดกับคนอื่นที่เหลือซึ่งพอจะรู้ถึงความสำคัญและใจความคร่าวๆที่ถูกเขียนไว้บนนั้นแล้ว

 

 

“ใจความของพินัยกรรมฉบับนี้ได้ระบุไว้ว่าให้ยกทรัพย์สินทั้งหมดที่คุณนทีหามาด้วยตัวคนเดียวให้กับคุณพะแพง ผู้เป็นภรรยาแม้ว่าจะไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็ตาม ส่วนทรัพย์สินรวมถึงหุ้นของบริษัทซึ่งสร้างขึ้นร่วมกับคุณรัตติกาลก็ขอให้ยกทุกอย่างคืนให้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ยกเว้นแต่...บ้านไม้หลังนั้น คุณนทีระบุไว้ในพินัยกรรมว่าต้องการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งบ้านและที่ดินผืนนั้นให้กับทั้งคุณรัตติกาลและคุณพะแพงถือครองร่วมกัน หรือถ้าจะขายต่อก็ขอให้แบ่งมูลค่าสินทรัพย์คนละครึ่ง ยกเว้นแต่ในกรณีเดียวคือทั้งสองคนต้องการจะยกกรรมสิทธิ์นี้ให้บุตรทางสายเลือดหรือก็คือคุณรพีจึงจะอนุญาตให้ทำได้ครับ”

 

 

รัตติกาลพยักหน้ารับ เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ต่างคนต่างก็มีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในใจอยู่แล้วทั้งคู่แต่ก็ยังไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมา ชายสูงอายุที่มองท่าทีของคนทั้งสองอยู่จึงยิ้มน้อยๆก่อนจะเอ่ยถึงข้อความสุดท้ายที่นทีตั้งใจเขียนไว้ถึงบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสามคน

 

 

“และสุดท้าย...”ข้าพเจ้านายนที กวีวิมนตร์ มีความต้องการอยากขอร้องให้นายรัตติกาล พัฒนเดชา รับอุปการะบุตรของข้าพเจ้าหากข้าพเจ้ามีอันเป็นไปไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดๆ แต่ยังขอให้มารดาผู้ให้กำเนิดบุตรของข้าพเจ้าคือนางสาวพะแพง มหาเกียรติ ยังคงมีสิทธิในตัวบุตรยกเว้นด้านอำนาจปกครองตามที่กฎหมายระบุไว้ โดยจะตัดสินใจอย่างไรขอให้เกิดจากความยินยอมพร้อมใจจากทั้งสองฝ่าย”

 

 

“หึ ขี้โกงยังไงก็ยังขี้โกงอย่างนั้น”

 

 

ร่างโปร่งพูดออกมาเบาๆทันทีที่ฟังคำขอสุดท้ายนั้นจบ เหมือนพันธะที่หนักอึ้งซึ่งเหนี่ยวรั้งพวกเขาไว้ด้วยกันถูกปลดออก รัตติกาลและพะแพงมองหน้ากันแม้จะไร้รอยยิ้มแต่ทั้งคู่ต่างก็สังเกตเห็นความโล่งใจในแววตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

 

 

หญิงสาวเม้มปากของตัวเองแน่น เธอมองสิ่งที่อยู่ในมือของทนายแล้วคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างพวกเขาทั้งสามคน และการแย่งชิงตัวรพีที่สร้างความเจ็บปวดให้กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง พะแพงหลับตาลงก่อนจะลืมมันขึ้นแล้วจ้องมองนัยน์ตาของรัตติกาลอย่างแน่วแน่ละเต็มไปด้วยความรู้สึก

 

 

“พี่น่ะ...เกลียดกาลมากเลยรู้ไหม”

 

 

“...”

 

 

“ตั้งแต่ตอนที่พี่กับทียังรักกัน พี่มักจะอิจฉากาลเสมอ แม้จะทำเหมือนว่าไม่ถูกกันแต่ทุกๆครั้งพี่กลับรู้สึกเหมือนทั้งสองคนมีอะไรบางอย่างที่พี่ไม่สามารถเข้าไปแทรกได้ กาลเข้าใจทีมากกว่าพี่ และทีก็เป็นเพียงไม่กี่คนที่กาลยอมให้อยู่ข้างกายได้ ผิดกับพี่ที่เป็นคนรักแต่กลับรู้สึกเหมือนว่าระหว่างเรามันเริ่มห่างไกลกันเสียจนเกินจะรั้งไว้ จนกระทั่งพี่ตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่ควรที่สุดไป”

 

 

“...”

 

 

“พี่เสียใจนะ แต่กลับไม่มากเท่าตอนที่รู้ว่าหลังจากเลิกกันแล้วนทีกลับมาคบกับน้องรหัสของตัวเอง ทั้งที่พี่คิดว่ากาลเป็นหนึ่งคนที่รู้ว่าพี่รักนทีแค่ไหน ความคิดที่ว่าจะแพ้กาลไม่ได้น่ะ...พี่ห้ามมันไม่ได้เลย”

 

 

“แต่สุดท้ายพี่ทีก็เลือกพี่ ไม่ใช่ผม”

 

 

“จะเป็นอย่างนั้นแน่หรอ”

 

 

พะแพงเค้นยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะหันไปมองหน้าสามีที่คว้ามือของเธอมาจับไว้ หญิงสาวเอ่ยขอบคุณกันต์ชนกเบาๆแล้วหันมาคุยกับรัตติกาลต่อ

 

 

“พี่รักรพี พี่มั่นใจว่ามันคือความรักไม่ใช่ความอยากเอาชนะ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆที่ได้กลับมาพบกันแต่ความรู้สึกที่พี่มอบให้เขาตลอดเวลาที่รพีอยู่ในท้องไม่ใช่สิ่งที่จะลบหายไปได้ง่ายๆ และถึงแม้จะยังมีปัญหาอยู่บ้างพี่ก็อยากจะเลี้ยงดูเขาไปพร้อมกับพิมพ์ใจโดยไม่ต้องให้กาลช่วย แต่...ยังไม่ใช่ตอนนี้”

 

 

“...!!!”

 

 

“จนกว่ารพีจะบรรลุนิติภาวะ พี่ยินดีจะทำตามความต้องการของนที หากถึงตอนนั้นแล้วรพียังยืนยันที่จะอยู่กับกาลพี่ก็ยินดีที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ว่า แต่ถ้าไม่...พี่จะขอลูกชายของพี่คืน”

 

 

รัตติกาลได้แต่นิ่งอึ้งเมื่อได้ฟังเจตนารมณ์ของหญิงสาวที่ไม่แสดงอาการหวั่นไหวเลยตลอดเวลาที่พูดกับเขา แม้ในใจของพะแพงจะยังคงเจ็บปวดและต้องการเหนี่ยวรั้งและรพีไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงติดอยู่ในหัวของเธอไม่จางหายไปก็คือภาพที่รพีเรียกร้องและกอดรัตติกาลไว้แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายตัวเองแค่ไหนก็ตาม

 

 

“พี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีและแม้แต่ในฐานะแม่ก็ยังบกพร่องอยู่มาก พี่ใช้ความอยากเอาชนะกาลปิดหูปิดตาตัวเองแล้วทำในสิ่งที่ไม่สมควรที่สุดลงไป พี่ทิ้งลูกที่เลี้ยงดูมาอย่างพิมพ์ใจ และพยายามครอบครองรพีไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว เราทั้งคู่ต่างก็แย่งยื้อรพีกันไปมาโดยไม่มองเลยว่ามีใครบ้างที่เจ็บปวดเพราะมัน ทั้งรพี พิมพ์ใจ กันต์ อารัณย์ และนิล ทุกคนต่างต้องมาคอยรับผลจากการกระทำที่ไม่ยั้งคิด และแม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่มีความสุข...พี่พอแล้วกาล พี่ไม่อยากทำพลาดซ้ำอีกแล้ว”

 

 

น้ำตาของพะแพงไหลในตอนท้ายประโยค ครู่หนึ่งรัตติกาลเชื่อว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นหญิงสาวคนเดียวกันกับคนที่รักและห่วงใยเขาเสมอเหมือนในอดีต แม้ว่าปัจจุบันหัวใจของพวกเขาจะเต็มไปด้วยรอยแผลและยากที่จะสมานคืนได้เพียงข้ามวัน แต่ถึงอย่างนั้นก็เหมือนกับที่พะแพงบอก...รัตติกาลเองก็เหนื่อยล้าเสียจนไม่อยากเวียนวนอยู่ในฝันร้ายที่เขาใช้มันเป็นข้ออ้างในการทำร้ายคนอื่นอีกต่อไป

 

 

“จนกว่าจะถึงวันที่รพีจะต้องเลือก ได้โปรด...ให้ความรักกับลูกชายของผมในฐานะแม่ด้วยนะครับ”

 

 

“แน่นอน...มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”

 

 

พะแพงลุกขึ้นยืนพร้อมๆกันต์ชนกแล้วหันมาบอกลาน้องชายและคนที่เหลือ ก่อนจะเดินออกจากห้องนั้นไป นายแพทย์หนุ่มที่ยังคงกอบกุมมือของภรรยาตนไว้ มองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวที่พยายามใช้ความเข้มแข็งปกปิดรอยร้าวในใจไว้อย่างสุดความสามารถ แต่สำหรับคนที่เฝ้าดูเธอมาตลอดมันกลับบอบบางเสียจนเห็นได้ชัดเจน

 

 

“แพงทำดีแล้วใช่ไหม”

 

 

“อืม...แพงเท่มากเลย ลูกทั้งสองคนจะต้องคิดเหมือนกันแน่ๆ”

 

 

“ฮ่าๆ ชมกันแบบนี้ไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด”

 

 

หญิงสาวหัวเราะออกมาก่อนจะออกแรงกระชับมือของอีกฝ่ายไว้ทั้งที่ตัวเองกำลังสั่น เธอหยุดขาที่กำลังก้าวเดินแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีท้องฟ้ากว้างตั้งตระหง่านอยู่เหมือนเช่นทุกวันด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนทุกวัน

 

 

“แพงน่ะ...ไม่ใช่คนดีหรอกนะกันต์ ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่เอากระสุนออกไปก่อนหน้านั้น แพงคงได้ฆ่ากาลไปแล้วจริงๆ”

 

 

“แต่ที่แพงทำไป ก็เพราะอยากปกป้องรพีไม่ใช่หรอ”

 

 

กันต์ชนกเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของหญิงสาวอันเป็นที่รักด้วยความอ่อนโยนก่อนจะกอดเธอไว้แล้วปล่อยให้เวลาเคลื่อนผ่านพวกเขาทั้งสองคนไปอย่างช้าๆ พะแพงมองดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าไกล เธอเอื้อมมือหมายจะไปคว้ามันเอาไว้ทั้งที่เป็นไปไม่ได้ ยิ่งทำมากขึ้นเท่าไหร่ดวงตาของเธอก็พร่าเลือนลงทุกที

 

 

“ตอนนี้แพงรู้สึกโล่งใจมากๆเลย”

 

 

“ดีจังนะที่กาลไม่เป็นอะไรมาก”

 

 

“ไม่ใช่...เพราะว่าตอนนั้นแพงได้เหนี่ยวไกไปแล้วต่างหาก”

 

 

“...”

 

 

“ถึงแม้กาลจะไม่ตาย แต่แพงก็ฆ่ากาลไปแล้ว แพงทำไปแล้ว”

 

 

“...งั้นหรอ”

 

 

กันต์ชนกยิ้มออกมาแล้วกอดพะแพงไว้ให้แน่นกว่าเดิม เขามองเศษซากความแค้นที่เหลือทิ้งไว้ในตัวตนอันบิดเบี้ยวของหญิงสาวด้วยความรู้สึกโล่งใจอยู่ลึกๆ ขอแค่นำต้นตอออกไปได้ต่อให้บอบช้ำแค่ไหนเขาจะรักษามันจนกว่าจะหายดี ขอแค่วันนี้พวกเขายังอยู่ด้วยกัน...แค่นั้นมันก็มากเกินพอแล้ว

 

 

“เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะแพง”

 

.

.

.

.

.

.

.

.

 

 

 

 

“จะเอาอะไรก็ไลน์มาบอกแล้วกัน”

 

 

นิลบอกกับคนที่นอนอยู่บนเตียงทั้งๆที่ไม่มองหน้า เขาหยิบเอาเสื้อผ้าที่ใช้แล้วกับสิ่งของบางส่วนเก็บกลับเข้ากระเป๋าสะพายไปเล็กโดยมีสายตาของฤทธิชาติจับจ้องอยู่ไม่ห่างซึ่งร่างสูงก็รู้สึกถึงมันได้แต่เขาไม่คิดจะหันกลับไปมองตอบ

 

 

“นิลไม่คิดจะอยู่เฝ้าผมหน่อยหรอครับ”

 

 

นายตำรวจหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงอ้อนๆจนทำให้นิลเผลอกระตุกยิ้มที่มุมปาก แต่เป็นเพราะความหมั่นไส้หาใช่เพราะชอบใจในการกระทำของอีกฝ่าย เขารูดซิบก่อนจะยกกระเป๋าขึ้นพาดไหล่ เขามองไปรอบๆเพื่อดูว่าตัวเองลืมอะไรอีกไหม แต่ดูเหมือนสิ่งเดียวที่เขายังไม่เก็บเขากระเป๋าไปคงจะเป็นสายตาอ้อนวอนของคนบนเตียง

 

 

“พยาบาลเดินอยู่เต็มตึก อยากให้มีคนเฝ้าก็ไปป้อเอาเองแล้วกัน”

 

 

“แทนกันไม่ได้หรอก ผมอยากให้นิลอยู่ด้วย”

 

 

“เลิกพูดมากแล้วนอนไปซะ ตัวเองก็ใช่ว่าจะดี ฟื้นก่อนไอ้กาลแค่วันเดียวยังทำเก่งจัดการทุกอย่างไปทั่ว”

 

 

นิลพูดตัดบทแล้วกำลังจะเดินจากไปแต่ฤทธิชาติก็คว้ามือของเขาไว้แล้วดึงเข้าหาตัวด้วยเรี่ยวแรงมากมายเหมือนกับทุกครั้ง นักเขียนหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจ แต่ร่างใหญ่กลับยังคงยิ้มเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปหยิบบางอย่างจากกระเป๋าที่วางไว้ใกล้กับหัวเตียงโดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองกำลังเจ็บหนักขนาดไหน กล่องสีเงินแวววาวใบใหญ่ซึ่งติดชื่อยี่ห้อแบบเดียวกับปากกาที่นิลเคยเห็นมันครั้งหนึ่งถูกยื่นมาให้เขาอีกครั้งด้วยสถานการณ์ที่ต่างไปโดยเฉพาะหัวใจของคนที่ยังคงไม่ส่งมือไปรับมัน

 

 

“ยังไม่ทิ้งมันไปอีกหรอ”

 

 

“ผมให้นิลไปแล้ว คนเดียวที่จะทิ้งมันได้ก็คือนิล แต่เอาเข้าจริงผมจะไม่มีวันปล่อยให้ทำแบบนั้นแน่”

 

 

“เอาแต่ใจจริงๆนะ หึ ของก็จะให้ ความลับก็ไม่ยอมบอก”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นผมมีข้อเสนอใหม่ ถ้านิลรับปากกาแท่งนี้ไปพร้อมกับยอมรับฟังความลับทุกอย่างของผม เรามาเป็นแฟนกันนะ”

 

 

รอยยิ้มของฤทธิชาติหายไปเหลือไว้เพียงสีหน้าที่ดูจริงจังมากกว่าทุกครั้ง หัวใจของนิลกำลังสั่น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหยุดคิดไม่ตอบรับอีกฝ่ายไปทันทีเพราะใจหนึ่งก็กลัวใจสิ่งที่นายตำรวจหนุ่มปิดบังเอาไว้ แม้จะแน่ใจว่าความรู้สึกที่ดังก้องอยู่ในอกนี้มันคืออะไรและกำลังร้องเรียกใครก็ตาม

 

 

“พร้อมจะเลือกกูแล้วรึไง”

 

 

สิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจถูกถามออกไปตรงๆ นิลรู้ดีว่าคนคนนี้รักเขา แม้จะทำทีเล่นทีจริงไปบ้างแต่ความอ่อนโยนที่อีกฝ่ายแสดงออกมาตลอดก็พิสูจน์ความรู้สึกนั้นได้อย่างดี แต่หนึ่งสิ่งที่ขาดหายไปก็คือความพร้อมที่จะเดินไปด้วยกันที่ฤทธิชาตินั้นไม่เคยแสดงออกให้เขารู้สึกมาก่อน

 

 

“อืม พร้อมแล้วล่ะ ถ้าเป็นตอนนี้คิดว่าคงให้นิลได้ทั้งหมดแล้ว”

 

 

นิลถอนหายใจแล้วยอมนั่งลงเคียงข้างกัน ชายหนุ่มปลดกระเป๋าที่สะพายอยู่ออกแล้วหันไปเผชิญหน้ากับคนที่ไม่ยอมปล่อยมือของเขาไปแม้สักวินาที

 

 

“จำได้ไหม ที่เคยบอกว่าผมมีความลับอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือจริงๆแล้วผมเป็นสายS อื้อ!”

 

 

นักเขียนหนุ่มใช้มือของตัวเองตบเข้าที่ปากของอีกฝ่ายที่จู่ๆก็พูดเรื่องน่าอายพรรณนั้นออกมา ฤทธิชาติที่เห็นสีหน้าหงุดหงิดของคนข้างกายก็หลุดขำ

 

 

“ฮ่าๆ ผมแค่อยากเท้าความให้ฟังเฉยๆน่ะครับ เพราะหลังจากตอนนั้นนิลเองก็ดูเหมือนว่าจะเลิกสนใจมันไปแล้ว”

 

 

“หึ ถ้าให้เก็บคำพูดทุกคำของมึงมาคิด คงหัวระเบิดตายพอดี”

 

 

“แล้วที่ผมพูดถึง Tomb Keeper กับ Cerberus ล่ะจำได้ไหม”

 

 

“ผู้เฝ้าสุสานกับสุนัขสามหัว? จำได้ แล้วมันเกี่ยวอะไร”

 

 

นิลนึกไปถึงสิ่งที่ฤทธิชาติพูดเปรียบเปรยไว้ในตอนที่พวกเขาออกมาพบกับเพื่อคุยเรื่องคดีของนทีและพะแพงเป็นครั้งแรก นายตำรวจหนุ่มพอได้รู้ว่าคนตรงหน้ายังจำเรื่องที่เขาพูดได้ขึ้นใจก็ยิ้มออกมาด้วยแววตาที่แฝงความสนุกสนาน

 

 

“จริงๆแล้ว คนที่เป็น Tomb Keeper น่ะ คือผมต่างหาก”

 

 

“...!!!”

 

 

“ผู้เฝ้ารอการกลับมาของคนตาย เพื่อแลกกับการให้อีกฝ่ายแสดงความทรงจำของตนที่ถูกช่วงชิงไปให้เห็นอีกครั้ง นั่นคือผมเอง...ส่วนนิลก็คือสุนัขสามหัวผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูนรกไม่ให้ดวงวิญญาณของคนตายเหล่านั้นกลับมาสู่โลกมนุษย์ได้อีก”

 

 

“...กูไม่เข้าใจ”

 

 

ฤทธิชาติยิ้มให้ก่อนจะคลายปมคิ้วที่ขมวดกันแน่นของนิล เขายื่นกล่องสีเงินซึ่งบรรจุปากกาไว้ให้นิลอีกครั้งซึ่งอีกฝ่ายก็ยังลังเลที่จะรับมันไปเหมือนกับครั้งแรก แต่พอเมื่อได้เห็นความมุ่งมั่นที่แสดงออกมา นักเขียนหนุ่มก็ยอมรับมันไปแล้วเปิดมันออกเพื่อดูสิ่งที่เก็บซ่อนไว้ภายใน

 

 

รูปถ่ายสองใบถูกวางไว้ข้างในเหนือปากกาสีเดียวกับกล่องซึ่งมีชื่อของผู้รับสลักไว้ หนึ่งใบนั้นคือรูปถ่ายในอดีตของนิล รัตติกาล พะแพง และนทีที่พวกเขามีครอบครองกันไว้คนละใบ โดยที่รูปของเขาและรัตติกาลถูกเก็บไว้เก็บไว้อย่างดี ในขณะที่รูปของนทีถูกพิภพแย่งชิงไป ร่างสูงอยากจะหันไปถามฤทธิชาติว่าทำไมถึงมีรูปใบนี้ได้แต่รูปถ่ายอีกใบที่วางอยู่เคียงข้างกันนั้นกลับดึงดูดความสนใจของเขาได้มากยิ่งกว่า

 

 

“สำหรับนิลแล้ว สิ่งที่ต้องการจะทำก็คือการรักษาความสงบสุขของคนเป็นไว้แม้จะต้องทำร้ายคนตาย แต่สำหรับผม...สิ่งเดียวที่อยากได้ก็คือความทรงจำที่จะหวนกลับมาพร้อมกับวิญญาณของคนตาย แม้ว่านั่นจะเป็นการทำลายโลกของคนเป็น”

 

 

“ยะ อย่าบอกนะว่าคนในรูปนี้คือ...”

 

 

นิลมองรูปถ่ายของเด็กผู้ชายสองคนในมือสลับกับใบหน้าของฤทธิชาติที่ยังคงเค้าโครงเดิมไว้ให้เห็น ไม่ต่างจากอีกคนที่ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านไป ดวงตาคมกริบที่ส่อแววดื้อรั้นนั้นกลับไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด

 

 

 

 

 

 

“ครับ น่ารักใช่ไหมล่ะ...ผมกับอารัณย์ตอนเด็กๆ”

 

:z6:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z6:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 
 

“แล้วนี่ไม่ไปเยี่ยมเพื่อนคุณบ้างหรอ”

 

 

รัตติกาลเอ่ยถามอารัณย์ที่เพิ่งเข้ามานั่งประจำที่คนขับ ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตกึ่งทางการหันมายิ้มให้คนรักน้อยๆแล้วส่ายหัวแทนคำตอบนั้น

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก มันตายยาก”

 

 

“งั้นหรอ แต่ก็จริงนะ ถูกไอ้นิลซัดไปขนาดนั้นแล้วไม่โดนส่งเข้าห้องฉุกเฉินอีกรอบก็ถือว่าทนไม้ทนมือดี”

 

 

“ฮ่าๆ แต่ล่อซะตาเขียวแบบนั้นคงออกไปไหนไม่ได้อีกนานนั่นแหละ”

 

 

อารัณย์พูดขำๆก่อนจะเหยียบคันเร่งพารถโฟล์คคันเก่งของตนออกไปจากลานจอดรถของโรงพยาบาล หลังจากรัตติกาลฟื้นคืนสติพวกเขาก็ใช้เวลาเพื่อรอดูอาการทางร่างกายรวมถึงจิตใจอยู่ระยะหนึ่ง โดยมีอารัณย์คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ไม่ห่าง แม้จะมีจุดที่ลำบากอยู่บ้างแต่จิตแพทย์ก็ลงความเห็นว่าสิ่งที่ร่างโปร่งกำลังเป็นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครๆคิด

 

 

ชายหนุ่มยื่นกระปุกสีฟ้าใสซึ่งมียาที่เขาจัดเป็นชุดๆไว้ให้พลางชี้ไปยังหน้าปัดนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบเที่ยงตรง รัตติกาลเห็นดังนั้นจึงรับมาเปิดกินอย่างไม่อิดออดโดยมีสายตาของอารัณย์คอยมองอยู่ไม่ห่าง

 

 

“ยังเหลือเวลาอีกเยอะ แวะไปหาลูกหน่อยไหมกาล”

 

 

ร่างสูงเอ่ยถามขึ้นทำลายความเงียบทำให้มือที่กำลังถือขวดน้ำไว้ชักงักในทันที รัตติกาลแสดงท่าทางกังวลออกมาแต่ก็ได้มือของอารัณย์ที่คอยประคับประคองไว้ทำให้เขาค่อยๆผ่อนลมหายใจแล้วคลายความเครียดลง

 

 

“ผม...ยังไม่พร้อม”

 

 

“แต่นี่มันสองอาทิตย์แล้วนะกาล”

 

 

รัตติกาลหันหน้าหนีไปมองที่อื่น คำบอกเล่าเกี่ยวกับอาการของรพีที่อารัณย์นำมาบอกเขาในทุกๆวันไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเบาใจเลยสักนิด เด็กชายตัวน้อยที่ต้องเผชิญกับความรุนแรงเป็นครั้งที่สองของชีวิตไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงจนน่าเป็นห่วง แต่กลับกัน ท่าทางปกติที่อีกฝ่ายแสดงออกมาต่างหากที่ทำให้รัตติกาลรู้ดีว่าภายในหัวใจดวงน้อยนั้นได้เกิดบาดแผลใหญ่จากสิ่งที่เขาทำเอาไว้

 

 

“ผมรู้ว่ากาลกำลังโทษตัวเอง แต่ผมก็ขอยืนยันคำเดิมนะว่ากาลไม่ผิด ต่อให้เป็นผมหรือใครถ้าโดนยานั่นเข้าไปก็มีอันต้องขาดสติกันทุกคนนั่นแหละ”

 

 

“แต่คงไม่มีใครทำร้ายคนที่ตัวเองรักแบบผม”

 

 

อารัณย์รีบตบไฟเลี้ยวเพื่อนำรถจอดลงตรงข้างทางทันที เขาเอี้ยวตัวมาประคองใบหน้าซีดขาวของรัตติกาล ความรู้สึกผิดที่ฉาดชัดในดวงตาหยั่งรากลึกจนเขาหมดปัญญาที่จะพูดกล่อม ชายหนุ่มจูบเบาๆลงบนกระหม่อมบางของคนรักพลางตำหนิตัวเองในใจ ที่ต่อให้รักมากแค่ไหนแต่สิ่งที่เขาทำให้รัตติกาลกลับมีเพียงน้อยนิด

 

 

“คุณจำได้ไหม ว่าครั้งหนึ่งผมเคยตั้งใจไว้ว่าจะทำลายรพีด้วยมือตัวเอง”

 

 

“อืม...จำได้สิ”

 

 

“ในตอนนั้นสิ่งที่ผมต้องการคือทำลายเหตุผลในการมีชีวิตต่อของเด็กคนนั้น ทำยังไงก็ได้ให้การหายใจเป็นสิ่งที่ยากจะทำ ให้เขาทรมานกับความทรงจำที่จะตามหลอกหลอนเหมือนกับที่ผมเจอ ผมคิดจะทำแบบนั้นจนกระทั่งได้รักคุณ ผมคิดว่าตัวเองลืมสิ่งที่เคยตั้งใจทำไปได้ แต่สุดท้ายกลายเป็นว่ามันยังอยู่ในใจผมมาตลอด”

 

 

“กาล...”

 

 

“มันหมายความว่ายังไงอารัณย์ ที่จริงแล้วผมยังอยากทำร้ายลูกอยู่ใช่ไหม ทำไมล่ะ ทำไมผมถึงทำแบบนี้ สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่าคนให้ตายคือทำลายเขาทั้งเป็น ผมเกือบฆ่าตัวตายต่อหน้าลูก ถ้าคุณไม่ห้ามไว้รพีคงจะต้องตกอยู่ในฝันร้ายตลอดชีวิต ผมกลัวอารัณย์ ผมกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำแบบนั้นอีก”

 

 

รัตติกาลไม่ได้ร้องไห้ หากแต่ดวงตานั้นสะท้อนความผิดหวังและหวาดกลัวออกมาอย่างถึงที่สุด อารัณย์โอบกอดรัตติกาลไว้แต่มันช่างไร้ประโยชน์ แม้จะทำไม่สำเร็จแต่บาดแผลที่เกิดขึ้นในใจของทุกคนใช่ว่าจะจางหายไปง่ายๆ เขารู้ดีว่ารัตติกาลกำลังกลัวแค่ไหนแต่เขากลับไม่รู้เลยว่าตัวเองสามารถทำอะไรชเพื่อคนที่รักได้บ้าง

 

 

“กาลยังมีผมนะ เชื่อสิว่าเราต้องผ่านมันไปได้”

 

 

“ผมดีใจนะที่เรายังอยู่ด้วยกัน...แต่แบบนี้มันดีแล้วจริงๆหรอ”

 

 

“...!!!”

 

 

“ขอโทษที...ออกรถเถอะ”

 

 

ร่างโปร่งที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปรีบบอกปัดแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นทิ้งไว้แค่หัวใจของอารัณย์เต้นรัวด้วยความกลัว ชายหนุ่มชำเลืองมองใบหน้าคิดหนักของคนรักที่สร้างความหวาดหวั่นให้เขาอย่างมาก อารัณย์ได้ยินบางสิ่งบางอย่างกำลังส่งสัญญาณเตือนมาจากข้างใน แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับกลัวเกินกว่าที่จะคาดเดา

 

 

 

 

 

‘ศาลอาญา’

 

 

อารัณย์ยืนมองป้ายสีเงินที่ดูน่าเกรงขามอยู่ครู่หนึ่งเช่นเดียวกับรัตติกาลที่คว้ามือของคนรักมาจับไว้เพื่อเรียกกำลังใจให้ตนเอง ทั้งคู่เดินเข้าไปหาลูกน้องของฤทธิชาติที่มายืนรออยู่ก่อนแล้วเพื่อให้นำทางพวกเขาไปยัง สถานที่ที่ชายผู้ขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมดถูกจองจำไว้ด้วยความผิดที่ก่อขึ้น

 

 

“ยังมีอะไรจะต้องพูดกันอีกรึไง”

 

 

พิภพในชุดนักโทษสีน้ำตาลเปรยตามองทั้งคู่อย่างไม่ยินดียินร้าย ก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น อารัณย์ที่ยืนมองอยู่รู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้าแต่ก็ไม่อยากต่อปากต่อคำให้เสียเวลา ผิดกับรัตติกาลที่ยังคงรักษาท่าทางของตัวเองไว้ได้

 

 

“ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณ”

 

 

“อยากถาม? แค่ข้อมูลที่พวกตำรวจรีดไปยังไม่พอหรอ?”

 

 

“พอ แต่ผมคิดว่าคุณไม่ได้พูดความจริง”

 

 

สายตาที่กำลังจับจ้องไปบนกำแพงอย่างเลื่อนลอยเบนกลับมามองรัตติกาลทันทีก่อนพิภพจะแผ่รังสีคุกคามออกมาจนคนถูกมองรู้สึกได้ แต่รัตติกาลไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิดกลับกันมันยิ่งตอกย้ำความสงสัยของเขาให้มากขึ้นไปอีก

 

 

“ที่คุณบอกศาลไปว่าทำเพราะต้องการเงินน่ะผมเชื่อ แต่มันยังมีอะไรอยู่เบื้องหลังการกระทำของคุณอีกใช่ไหมพิภพ...สาเหตุที่คุณเข้ามาทำลายชีวิตเรา”

 

 

 “หึ คิดลึกไปรึเปล่า นอกจากเงินแล้วยังมีอะไรที่ทำให้มนุษย์เผยธาตุแท้ออกมาได้อีก ผมแค่ต้องการเงินมันก็เท่านั้น...อยากรู้แค่นี้ใช่ไหม”

 

 

พิภพลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมเดินกลับไปยังที่ที่จะจองจำตนไว้ตลอดกาล แต่คำพูดต่อมาของรัตติกาลกลับหยุดขาที่กำลังก้าวเดินของร่างสูงให้หยุดนิ่ง

 

 

“แล้วทำไมคุณถึงไม่ทำร้ายพิมพ์ใจ...ผู้ชายที่หักหลังทุกคนได้แบบคุณกลับรักษาสัญญาเพียงข้อเดียวที่ให้กับพี่แพงไว้ว่าจะไม่แตะต้องเด็กคนนั้น ทำไมคุณถึงทำมัน ตอบผมได้รึเปล่า”

 

 

“...จะมีอะไรล่ะ มันน่ารำคาญน่ะสิ”

 

 

“น่ารำคาญหรือว่าทำไม่ลงกันแน่”

 

 

“...”

 

 

“คนของผมสืบมาว่าคุณมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง”

 

 

“...เลิกยุ่งเรื่องนี้ซะ”

 

 

“พวกมันขู่จะทำร้ายลูกสาวคุณ ถ้าหากเอาบ้านของนทีไปให้มันไม่ได้ใช่ไหม”

 

 

“กูบอกว่าอย่ายุ่งไง!!!!”

 

 

พิภพใช้มือที่ถูกโซ่ตรวนรัดไว้ทุบเข้าที่แผงกระจกที่กางกั้นจนผู้คุมต้องเข้ามาห้ามปราม รัตติกาลมองดวงตาแววโรจน์ของอีกฝ่ายซึ่งเต็มไปด้วยโทสะ เขารู้จักมันดี เขาเคยเห็นความโกรธเกรี้ยวแบบเดียวกันนี้ในดวงตาของพะแพงในตอนที่ตั้งใจจะยิงเขาเพราะต้องการจะปกป้องรพีที่กำลังถูกทำร้าย

 

 

“ผมจะช่วย”

 

 

“ไม่ต้องมาเสือก มึงช่วยกูไม่ได้ ไม่มีใครช่วยกูได้ทั้งนั้น!!!”

 

 

“แต่คุณต้องยอม เพราะตอนนี้ครอบครัวของคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย”

 

 

ชายหนุ่มนิ่งไปก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเย้อหยัน เขากระชากตัวออกจากการจับกุมของผู้คุมแล้วเดินมาเข้ามาใกล้กับรัตติกาล แม้รู้ดีว่าทำยังไงก็ไม่มีทางทำร้ายอีกฝ่ายผ่านทางกระจกได้

 

 

“เป็นคนจับกูยัดเข้ามาอยู่ในนี้แท้ๆยังมีหน้าอยากจะเป็นฮีโร่อีก คิดว่ากูจะซาบซึ้งบุญคุณรึไง มึงไม่รู้ถึงความน่ากลัวของคนพวกนั้น มันจะไม่หยุดจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ พวกมันอยากได้บ้านหลังนั้น ไม่ว่าจะทำยังไงก็ต้องได้ คราวนี้กูพลาด แต่สักวันมันก็ต้องส่งคนอื่นมาอีก คิดว่านทีตายแล้วเรื่องทุกอย่างจะจบหรอ หึ มึงคิดผิดแล้ว”

 

 

“ผมรู้ และเพราะแบบนั้นคุณถึงต้องทำตามที่ผมสั่ง...บอกตำรวจทุกอย่างที่คุณรู้ซะ แล้วทางนี้จะจัดการเอง”

 

 

 “ฮ่าๆๆๆ คิดว่าตำรวจจะทำอะไรมันได้รึไง ไม่ใช่เพราะรัฐไร้น้ำยาหรอกหรอป่าเมืองถึงเหลือแต่ตออย่างทุกวันนี้”

 

 

“แล้วคนมีน้ำยาแบบคุณตอนนี้ทำอะไรได้บ้าง”

 

 

“มึง!!”

 

 

“อย่าเข้าใจผิดว่าคิดว่ามันเป็นทางเลือกสิ มันคือสิ่งที่คุณต้องทำต่างหาก ผมต้องการแค่ข้อมูลที่สามารถสาวไปถึงตัวการใหญ่ทั้งหมดได้แลกกับการรับรองความปลอดภัยของครอบครัวคุณ และถ้าหากข้อมูลที่คุณให้ทำให้ตำรวจสามารถกวาดล้างคนชั่วพวกนั้นได้สถานการณ์ทางนี้ของคุณก็คงจะดีขึ้น”

 

 

รัตติกาลสังเกตเห็นความลังเลในสีหน้าของพิภพเมื่อเขาพูดจบ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วตั้งใจเดินออกไปจากห้องเพื่อให้เวลาพิภพคิดทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองควรจะทำ ส่วนอารัณย์ที่กำลังเดินตามหลังมากลับหยุดนิ่งก่อนจะหันไปพูดอะไรบางอย่างกับพิภพที่ดูเหมือนว่ากำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

 

 

“หวังว่าพอจบเรื่องนี้ มึงจะเลิกยุ่งกับครอบครัวเราสักที”

 

 

“จะบอกว่าเป็นสิ่งที่กูต้องทำอีกแล้วสิ”

 

 

“ใช่ มึงต้องทำ เพราะถ้ามึงไม่ทำคนที่จะต้องตกอยู่ในฝันร้ายคือมึง”

 

 

“ฝันร้ายงั้นหรอ หึ มึงรู้ไหมว่าคนเราถึงกลัวความฝัน”

 

 

“...?”

 

 

“เพราะเรากลัวว่ามันจะเป็นจริงยังไงล่ะ”

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

 

 

 

อารัณย์คอยลูบปลอบแผ่นหลังที่ขยับขึ้นลงเพราะแรงหอบ เขากอดรัตติกาลที่เหนื่อยอ่อนไว้พลางกระซิบคำรักให้อีกฝ่ายได้ฟังเหมือนกับทุกๆครั้ง ชายหนุ่มยิ้มให้กับภาพของรัตติกาลที่ค่อยๆหลับตาก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปเอาผ้าขนหนูมาเช็ดคราบไคลตามร่างกายหวังให้อีกฝ่ายสบายตัว แต่รัตติกาลกลับลืมตาขึ้นแล้วเอาแต่จ้องมาที่เขา

 

 

“ไม่ง่วงหรอ”

 

 

“อืม...คุณคิดว่ารพีจะรู้ไหมว่าผมกลับมาบ้านแล้ว”

 

 

รัตติกาลถามขึ้นด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล หลังจากเข้าไปทำข้อตกลงกับพิภพที่ศาล รัตติกาลก็ขอให้ร่างสูงขับรถพาตัวเองไปเที่ยวแถวบางขุนเทียน สถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำของพวกเขาแต่อารัณย์รู้ดีว่าคนรักแค่ต้องการยื้อเวลาเพื่อจะกลับบ้านในเวลาที่รพีเข้านอนไปแล้วเท่านั้น

 

 

“ไม่อยากเจอหน้าลูกขนาดนั้นเลยหรอ”

 

 

“อยาก...แต่ว่าเจอไม่ได้”

 

 

ร่างโปร่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยก่อนจะซบหน้าของตนลงบนมือของอารัณย์ที่กำลังใช้ผ้าเช็ดไปตามใบหน้าของเขาอยู่ ร่างสูงใช้มืออีกข้างหยิบผ้าขนหนูโยนทิ้งไปก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างรัตติกาล เขาพยายามใช้ความอบอุ่นโอบกอดความกลัวที่คนรักมีแต่มันกลับไม่มากพอที่จะคลายความกลัวของรัตติกาลลงได้

 

 

“อารัณย์”

 

 

“หืม?”

 

 

“ผมอยากไปเที่ยว”

 

 

“เที่ยว? ก็ดีนะ หมอบอกเหมือนกันว่าน่าพากาลไปผ่อนคลายที่อื่นบ้าง ถ้าเป็นช่วงนี้ไปแถวภาคเหนือก็ดี รพีก็น่าจะชอบด้วย”

 

 

“...แต่ผมจะไปคนเดียว”

 

 

มือที่กำลังลูบไปตามเส้นผมนุ่มหยุดชะงักไป อารัณย์ผละตัวออกมามองหน้าคนรักที่ดูนิ่งสงบกว่าเคย มือของเขาสั่นเช่นเดียวกับความรู้สึกข้างในที่สั่งให้ร่างสูงรีบพูดกลับไปด้วยเสียงที่ดูร้อนรนจนน่าขัน

 

 

“ทำไมล่ะกาล ไปด้วยกันสิ เราสามคนไง ผม กาล แล้วก็รพี”

 

 

“ขอโทษนะ แต่ครั้งนี้พวกคุณไปกับผมไม่ได้”

 

 

“...”

 

 

“ผมคุยกับหมอแล้วเรื่องให้ส่งผมไปรักษาที่อิตาลี ที่นั่นมีจิตแพทย์เก่งๆอยู่เยอะ อีกอย่างจะได้เปลี่ยนบรรยากาศด้วย”

 

 

“อยากเปลี่ยนบรรยากาศหรือจะหนีกันแน่”

 

 

“...”

 

 

“มันจะต้องเป็นแบบนี้อีกกี่ครั้งกาล คุณจะหนีไปถึงเมื่อไหร่!!!”

 

 

อารัณย์บีบแขนของรัตติกาลแน่นพร้อมกับระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ร่างโปร่งกลับนอนนิ่งราวกับว่าทำใจรับสถานการณ์แบบนี้ไว้แล้ว

 

 

“ผมไม่อยากหนี แต่...ผมทำใจไม่ได้”

 

 

“ให้ผมช่วยสิ! คุณมีผมไว้ทำไมกาล เราเป็นคนรักกันนะ ถ้าคุณพลาดผมก็จะช่วย ถ้าคุณท้อผมก็จะอยู่ข้างๆ ขอแค่เรายังอยู่ด้วยกันแค่นั้นมันก็พอแล้ว!”

 

 

 “มันไม่พอหรอกอารัณย์ คุณก็รู้ว่าผมในตอนนี้อยู่กับรพีไม่ได้...”

 

 

“กาลคิดไปเองต่างหาก หมอก็บอกว่ากาลจะหาย หมอดีๆในเมืองไทยก็มีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องไปที่นั่น อึก...ทำไมต้องไปในที่ที่ไม่มีผมด้วย”

 

 

รัตติกาลเปลี่ยนเป็นฝ่ายกอดคนรักที่กำลังสั่นไปทั้งร่างไว้พร้อมกับกดจูบลงบนแก้มกร้านของชายหนุ่มไปด้วย  อารัณย์กอดรัตติกาลกลับโดยที่ร่างโปร่งก็ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นแม้ว่าแรงที่อีกฝ่ายใช้จะมากมายจนเขารู้สึกเจ็บไปทั้งตัวก็ตาม

 

 

“ผมอยากอยู่กับคุณตลอดไปอารัณย์ ผมอยากอยู่กับลูก อยากอยู่กับคุณ แต่เพราะแบบนั้นผมถึงต้องไป...”

 

 

“ไม่...ผมไม่ให้ไป”

 

 

“ขอร้องเถอะนะ ถ้ายังเป็นแบบนี้ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะลุกขึ้นมาทำร้ายรพีอีกเมื่อไหร่ ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น เพราะถ้ามันเกิดขึ้นอีกผมคงทนอยู่ต่อไปไม่ได้”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็เอาผมไปด้วย”

 

 

“ไม่ได้ ถ้าคุณไปใครจะปกป้องรพี คุณก็ได้ยินแล้วว่าคนพวกนั้นยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ...ผมไม่ไว้ใจใครอีกแล้วนอกจากคุณ ได้โปรดอารัณย์ ช่วยปกป้องลูกชายผมไว้จนกว่าวันที่ผมสามารถอยู่ร่วมกับทุกคนได้”

 

 

รัตติกาลค่อยๆคลี่ยิ้มแบบที่อารัณย์ชอบออกมาแต่มันกลับแฝงไปด้วยความเศร้า ริมฝีปากของทั้งคู่โผเข้าหากันพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลอาบเปื้อนแก้ม

 

 

 “เมื่อไหร่ล่ะ กาลจะไปนานแค่ไหน”

 

 

“ผมไม่รู้แต่ผมสัญญาว่าจะกลับมา...รอผมนะ รอจนกว่าผมจะหาย”

 

 

“ขี้โกงชะมัด...กาลพูดแบบนี้แล้วผมจะปฏิเสธได้ยังไง”

 

 

“ขอบคุณนะ...ผมรักคุณ อารัณย์”

 

 

ผู้ที่ได้รับคำรักหลั่งน้ำตาออกมาก่อนจะเริ่มรุกล้ำกายของคนใต้ร่างที่อ้าแขนรับเขาไว้ทั้งน้ำตาเช่นเดียวกัน ทั้งสองกอดกันไว้ราวกับกลัวว่าจะต้องพรากจากกันไปเช่นเดียวกับจันทร์กระจ่างที่เคลื่อนเลือนหายไปจากท้องฟ้า เพื่อรอเวลาที่ดวงตะวันจะฉายขึ้นแทนที่

 

 

“คุณต้องกลับมานะกาล ผมจะรอ”

 

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!!

ตอนนี้เขียนนานมากกกกก และก็ยังไม่ถูกใจเท่าไหร่เลยคับ  :mew2: มีแนวโน้มว่าตอนทำเล่มจะรีไรท์ตอนนี้ใหม่ แล้วเรื่องกฎหมายอะไรพวกนี้เช่ก็มั่วบ้างไรบ้าง อย่าไปถือจริงจังมากนะคับ (จริงๆมันก็มั่วอยู่เยอะเลยแหละ) ปมทั้งหมดถูกแก้ลงในตอนนี้แล้ว ยกเว้นในส่วนความคิดความอ่านของนทีที่จะใส่ไว้ในตอนพิเศษที่จะลงให้ในเว็บด้วยหนึ่งตอนเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่อง

และที่สำคัญ คู่แรร์ที่เราซ่อนมาตลอดก็ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว....นั่นก็คือ "ชาติรัณย์" นั่นเองงงงงง  :-[ :hao3:เขาเป็นเพื่อนกันแหละๆๆๆๆๆ มีใครจับไต๋เช่ได้ไหมเนี่ย หากยังจำได้ ตอนที่ชาตินิลเจอกันแรกๆแล้วชาติเคยพูดถึงเพื่อนของตัวเองที่ชอบหนีปัญหาเหมือนกาล คนคนนั้นก็คืออารัณย์นั่นเอง!!! 55555 นึกแล้วเขิน เรื่องราวของสองคนนี้จะถูกใส่ไว้เป็นตอนพิเศษที่มีเฉพาะในเล่ม เป็นเรื่องราวในวัยเด็กของทั้งคู่ เขาจะเคยมีซัมติงกันไหม เคยกิ๊กกันรึเปล่า ต้องติดตามกันนะคับ ฮี่ๆ  :katai3:

ตอนหน้าจบแล้วนะ  :katai4: ใจหายมาก มาคอยติดตามกันนะคับ ว่านิยายทรมานตับของเช่จะจบลงแบบไหน กาลที่ออกไปฉายเดียวจะกลับมาในรูปแบบใด และพระเอกหัวใจมุ้งมิ้งของเราจะอกแตกตายไปก่อนรึเปล่า5555 ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตที่ให้กำลังใจกันมาตลอดนะคับ เช่หวังว่าตอนหน้าจะเป็นตอนที่ทุกคนมีความสุขกันมากที่สุด o13

 

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
พิภพทำเพื่อเงินกับครอบครัวไม่น่าจะมาเสียเวลาเล่นเกม เรารู้สึกว่าพิภพควรมีปมอะไรที่ให้แค้นมากกว่านี่

แต่ไม่อยากให้จบเลย  :hao5:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อีกตอนเดียวสินะ

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ไม่อยากให้จบเลย :mew2:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

50th Night


…Morning...


 

 

 

 

ดวงตากลมโตเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเบื่อหน่าย รพีในวัยสิบเอ็ด ย่างเข้าสิบสองเท้าคางลงกับโต๊ะพลางกวาดสายตาไปยังบรรดาเด็กนักเรียนที่ต่างพากันวิ่งเล่นอยู่ด้านล่างหลังจากที่ต้องทนอุดอู้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆมาตลอดทั้งวัน

 

 

“พี! เป็นอะไรเหม่อเชียว”

 

 

ร่างของเด็กชายแนบชิดกับโต๊ะมากขึ้นเมื่อถูกแรงโถมจากด้านหลังอันมีต้นเหตุมาจากเพื่อนตัวน้อยอย่างข้าวที่ยังคงตัวเล็กจนมักโดนเพื่อนๆแกล้งเหมือนตอนอยู่อนุบาล ต่างกับรพีที่ตอนนี้สูงเป็นอันดับสองของห้องและนับวันใบหน้าของเขาก็ยิ่งละม้ายคล้ายกับบิดาแท้ๆมากขึ้นทุกที

 

 

“ป่าวแค่ง่วงๆน่ะ แล้วข้าวทำไมยังไม่กลับบ้าน พ่อยังไม่มารับหรอ”

 

 

“วันนี้เราขอป๊ากลับเองน่ะ แต่ว่าจะอยู่รอให้เย็นกว่านี้หน่อย กลับไปตอนนี้มีหวังโดนใช้ให้ทำงานบ้านแน่ๆ แล้วพีล่ะ ที่บ้านยังไม่มารับหรอ”

 

 

“ยัง วันนี้น้ารัณย์ติดธุระเลยจะมาช้าหน่อย”

 

 

รพีตอบยิ้มๆเมื่อพูดถึงน้าชายที่คอยดูแลเขามาตลอดช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ยาวนานเกือบหกปี เด็กชายนั่งฟังเพื่อนตัวน้อยเล่าเกี่ยวกับเกมใหม่ไปเรื่อยๆแต่ภายในหัวกลับคิดไปถึงเรื่องงานวันเกิดของตนที่น้าชายบอกว่าจะจัดให้

 

 

“ปีนี้พีอยากได้อะไรเป็นของขวัญ”

 

 

ทันทีที่รพีเข้ามานั่งในรถ อารัณย์ที่เพิ่งกลับจากที่ทำงานก็ถามขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนเหมือนเช่นที่เคยเป็น แต่ทว่าเด็กชายกลับส่ายหน้าแล้วยื่นใบเกียรติบัตรที่ตนเองชนะเลิศการประกวดเรียงความให้แทน

 

 

“ไม่อยากได้อะไรครับ แค่ทานข้าวด้วยกันที่บ้านเฉยๆก็พอ”

 

 

“ขืนทำอย่างนั้นแม่เราวีนน้าตาย นี่เห็นว่าเตรียมจะมาพักที่บ้านล่วงหน้าสักอาทิตย์ เผื่อว่าพีอยากไปไหน”

 

 

“หรอครับ แล้วพี่พิมพ์มาด้วยรึเปล่า”

 

 

“ก็คงมาด้วยแหละ แต่ลุงกันต์มาไม่ได้นะ”

 

 

เด็กชายยิ้มรับแต่ก็อดเสียดายไม่ได้ที่จะไม่ได้อยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าอย่างที่หวัง รพีนึกแปลกใจตัวเองเล็กๆที่เวลาเพียงไม่กี่ปีจะทำให้เขาสามารถยอมรับความจริงอันซับซ้อนเหล่านี้ได้อย่างสนิทใจ แม้จะเลือนรางแต่เด็กชายจำได้ว่าตอนเด็กๆนั้นเขากลัวพะแพง ผู้เป็นมารดาแท้ๆแค่ไหน แต่พอเรื่องราววุ่นวายผ่านพ้นไป น้าอารัณย์ก็เป็นคนเข้ามาปลอบเขาพร้อมกับเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง

 

 

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำใจยอมรับ โดยเฉพาะความจริงที่ว่าตัวเขานั้นเป็นใคร รพียิ้มขัน ตัวเขาในวัยเพียงหกขวบเศษไม่อาจเข้าใจความหมายของคำว่าตายได้พอๆกับความหมายของคำว่าแม่ เด็กที่ถูกเลี้ยงมาโดยไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากมารดาพยายามหลีกหนีความจริงข้อนั้นจนทำให้พะแพงร้องไห้เสียใจอยู่หลายครั้ง แต่ทุกๆครั้งเธอก็จะเดินเข้ามาหาเขาใหม่โดยไม่ย่อท้อเลยแม้แต่น้อย

 

 

ในขณะที่สิ่งหนึ่งขาดหายไปเขากลับได้สิ่งอื่นมาแทนที่...รอยยิ้มของเด็กชายหายไปเมื่อนึกถึงการลาจากที่ไม่มีแม้แต่คำบอกลา ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่รพียังคงจำใบหน้าของคนคนนั้นได้ ทั้งดวงตาเกรี้ยวกราด น้ำตา และรอยยิ้มนั้นชัดเจนเป็นภาพที่ไม่อาจลบไปจากใจ แต่กลับกัน ฝ่ายนั้นสามารถทิ้งเขาไปอย่างง่ายได้โดยไม่ให้แม้แต่เหตุผลหรือโอกาสที่จะหยุดยื้อ

 

 

“คิดอะไรอยู่”

 

 

อารัณย์พูดขึ้น เมื่อสังเกตเห็นดวงตาเคว้งคว้างของหลานชายที่เงียบไปผิดกับทุกครั้ง คนถูกเรียกหันหน้ามามองก่อนจะฝืนยิ้มน้อยๆให้

 

 

“คิดว่าน้ารัณย์จะเอาหนังสือเล่มใหม่มาให้ผมรึยัง รอจนเบื่อแล้ว”

 

 

“ฮ่าๆ นึกว่าเรื่องอะไร อยู่หลังรถน่ะ หยิบไปสิ”

 

 

ทันทีที่ได้ยินดังนั้นรพีก็รีบเอี้ยวตัวไปหยิบหนังสือเล่มใหม่ที่วางไว้ข้างหลังเบาะตามที่คนเป็นน้าบอก ดวงตาที่หม่นลงของเขาเป็นประกายขึ้น รพีค่อยๆลูบไปตามตัวอักษรที่นูนขึ้นจากปกอย่างหลงใหลจนคนมองอดที่จะยิ้มตามไม่ได้

 

 

“ชอบขนาดนั้นเลยหรอ เล่มเก่าเห็นป้าจันทร์บอกว่าอ่านจนเกือบขาดแล้ว”

 

 

“ชอบสิครับ แต่ที่หนังสือเกือบขาดน่ะฝีมือข้าวต่างหาก อ่านไม่ระวังเลย ที่หลังผมไม่ให้ยืมแล้ว”

 

 

อารัณย์หัวเราะร่าเมื่อนานๆครั้งจะเห็นคนข้างๆออกอาการหงุดหงิดออกมาบ้างเพราะปกตินอกจากทำหน้านิ่งๆแล้วยิ้มไปตามเรื่องแล้วรพีแทบจะไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลย นับตั้งแต่วันที่รัตติกาลตัดสินใจจากไปรักษาตัวทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นของวันนั้น เด็กชายที่ไม่ได้บอกลาและรับไม่ได้กับการสูญเสียคนที่รักที่สุดไปก็ค่อยๆเก็บตัวเงียบ จากเด็กที่เคยร่าเริงก็กลับกลายเป็นเงียบขรึม  แต่ยังดีที่มีแรงจากคนรอบข้างคอยพยุงทำให้รพียังคงเดินหน้าต่อไปได้แม้จะไม่ได้เจอรัตติกาลอีกเลยก็ตาม

 

 

“คราวนี้เขาไปที่ไหนครับ ใช่ที่ซูริครึเปล่า”

 

 

“ใช่ ว่าแต่เดาถูกได้ไงเนี่ย”

 

 

“ก็เห็นเขาเขียนถึงมาหลายรอบแล้วว่าอยากไปเห็นน้ำตกที่นั่น”

 

 

ร่างสูงได้ฟังแล้วก็เอื้อมมือไปขยี้กลุ่มผมของรพีด้วยความเอ็นดูโดยที่เด็กชายไม่คิดจะปัดมันออกแต่อย่างใด เขาเปิดไปยังหน้าคำนำจากผู้แต่งเจ้าของนามปากกาว่า ‘Luna’ หนึ่งในนักเขียนมือฉมังที่มีผู้ติดตามมากพอๆกับนิลที่ตอนนี้เข้ามาควบกรรมการบริหารของสำนักพิมพ์ ซึ่งมีอารัณย์เข้ามานั่งเก้าอี้ประธานแทนรัตติกาลซึ่งจากไป ภาษาสละสลวยที่ตรึงใจรพีตั้งแต่คราวแรกทำให้เด็กหนุ่มจมดิ่งเข้าไปในโลกที่ตัวเองไม่เคยพบเจอได้อย่างง่ายดาย เขาคลี่ยิ้มน้อยๆก่อนจะบอกขอบคุณออกมา

 

 

“ขอบคุณนะครับน้ารัณย์ ไว้วางขายจริงเมื่อไหร่ผมจะไปซื้ออีก”

 

 

“ถ้าอยากได้เผื่อไว้ก็เข้าไปเอาที่บริษัทก็ได้นิ”

 

 

“ได้ยังไงกันครับ แค่ได้อ่านก่อนคนอื่นก็ขี้โกงมากแล้ว”

 

 

“...ถ้า Luna รู้ว่ามีคนชอบผลงานตัวเองขนาดนี้คงดีใจนะ”

 

 

อารัณย์ว่ายิ้มๆก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับทางตรงหน้าต่อ รพีลอบมองใบหน้าที่หมองลงเล็กๆของน้าชายแล้วได้แต่เก็บความสงสัยระคนเป็นห่วงเอาไว้ เด็กชายเลือกที่จะเงียบแล้วอ่านหนังสือในมือไปตลอดทางจนถึงบ้านที่มีทั้งยายจันทร์ พี่นิ่ม พี่ลูกศรและคนอื่นๆรอคอยเขากลับไปเหมือนกับทุกๆวัน

 

 

เด็กชายตรงเข้าไปกอดร่างท้วมของจันทร์ที่ทรุดโทรมขึ้นทุกวันด้วยความรัก โดยไม่ลืมที่จะอวดหนังสือให้หญิงแก่ดูราวกับมันเป็นของล้ำค่า จันทร์พูดเออออด้วยความดีใจโดยไม่ลืมหันไปขอบคุณอารัณย์ที่ขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องรับแขกของบ้านก่อนที่จะลงมาทานอาหารเย็นด้วยกันอย่างเคย

 

 

“ยายครับ เห็นแม่บอกว่าจะลงมาที่บ้านสักอาทิตย์ก่อนหน้าวันเกิดผม ยังไงก็ช่วยเตรียมห้องไว้ให้หน่อยนะครับ ให้พี่พิมพ์นอนห้องผมก็ได้”

 

 

“เรื่องห้องน่ะไม่มีปัญหาค่ะ แต่กับคุณหนูพิมพ์ใจนี่ต้องแยกห้องกันนะคะ ถึงจะเป็นพี่น้องกันแต่ให้ผู้ชายผู้หญิงมานอนร่วมห้องมันไม่งามค่ะ”

 

 

“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ ทุกทีพี่พิมพ์ก็นอนห้องผมตลอด”

 

 

“นั่นมันตอนเด็กๆค่ะ แต่ตอนนี่จะขึ้นป.6กันแล้ว มันไม่ดีกับพี่สาวนะคะ”

 

 

รพีที่ได้ฟังเหตุผลก็ยอมพยักหน้าอย่างทำใจ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองโตขึ้นจากเดิมแค่ไหนแต่เพราะความเคยชินทำให้เขาไม่เคยคิดว่าการอยู่ร่วมห้องกับพิมพ์ใจจะเป็นเรื่องผิดแต่อย่างใด อารัณย์ที่กำลังตักข้าวเข้าปากมองหลานชายอย่างเข้าใจในความต้องการนั้นแต่ก็เป็นอย่างที่ป้าจันทร์ว่า เขาจึงได้แต่ตักของโปรดที่เจ้าตัวชอบใส่จานของรพีไปเป็นการปลอบใจเท่านั้น

 

 

“เอาน่า ไว้ไปลำปางเมื่อไหร่ลองนอนเต็นท์กันดูไหม เดี๋ยวน้ากับแม่จะนอนด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหา”

 

 

“เต็นท์?”

 

 

เด็กชายทวนคำพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย ก่อนที่อารัณย์จะยื่นโทรศัพท์ที่มีรูปของบ้านหลังหนึ่งโชว์อยู่ให้แทนคำตอบ

 

 

“เมื่อกี้น้าโทรคุยกับแม่เราแล้วว่าวันเกิดพีจะไปพักที่ลำปางกัน บ้านไม้ของพ่อนทีไง จำได้ไหมที่น้าเคยเล่าให้ฟัง”

 

 

รพีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าน้อยๆ เขาไม่ได้แสดงท่าทางดีใจอออกมาย่างที่ควรเป็นเพราะจากคำเล่าและความทรงจำอันน้อยนิดของรพีบ้านหลังนี้ไม่เป็นอะไรเลยนอกจากต้นเหตุความขัดแย้งทั้งหมดในสายตาเขา

 

 

“น้ารู้ว่าพีไม่อยากไป แต่เราไปกันเถอะนะ”

 

 

“...ผมถามได้ไหมว่าทำไม”

 

 

“อืม...เพราะปีนี้ครบ1รอบที่เกิดอุบัติเหตุนั่นพอดี น้ากับแม่พีเลยอยากทำบุญให้พ่อนทีกันน่ะ ขอโทษนะที่ตัดสินใจกันโดยไม่ถามพีก่อน”

 

 

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้คิดมากอะไร”

 

 

รพีส่ายหน้าน้อยๆแต่ก็ยังคงแสดงความเป็นกังวลออกมา อารัณย์ที่เห็นดังนั้นก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีก ชายหนุ่มพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะกลับไปเคลียร์เอกสารใจห้องว่าถ้าหากรพีไม่สะดวกใจจริงๆพวกผู้ใหญ่ก็พร้อมจะเปลี่ยนแผน แต่นั่นกลับสร้างความวุ่นวายในใจให้เด็กหนุ่มยิ่งกว่าเดิมจนเขาอ่านหนังสือได้ช้ากว่าเก่า

 

 

ทว่าความหลงใหลในตัวอักษรนั้นก็ทำให้รพีค่อยๆถูกกลืนเข้าไปในโลกอีกใบที่สร้างความตื่นเต้นให้เขาได้เสมอ Luna พูดถึงการเดินทางตั้งแต่ซูริคไปจนถึงเมืองรองอย่างบาเซิล สิ่งที่เขาพบเจอระหว่างทาง และผู้คนซึ่งมีทั้งเป็นมิตรและไม่หวังดีถูกเล่าลงด้วยสำนวนเฉพาะตัวที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินเคียงข้างไปกับพระจันทร์ดวงนั้น เขาไล่สายตาไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้เบื่อหน่ายจนกระทั่ง Luna เที่ยวเตร่ไปถึงสะพานข้ามแม่น้ำไรน์ไม้เก่าแก่ที่มีชื่อว่า Mittere Rhienbrucke

 

 

 

 

 

 

‘ก่อนจะเดินเลยผ่านไป ตาของผมเหลือบไปเห็นแม่กุญแจมากมายถูกแขวนไว้จนเต็มประตูเหล็กของป้อมกลางสะพาน ชื่อของคู่รักและผู้คนที่ไม่อยากพรากจากกันถูกเขียนลงบนนั้น มีทั้งที่ยังชัดเจนและเลือนรางไปตามสภาพ สิ่งที่ผมนึกเมื่อเห็นมันคือผู้คนเหล่านี้ยังจำความรู้สึกของตนตอนที่ยืนอยู่จุดๆนี้ได้ไหม พวกเขายังคงปรารถนาสิ่งเก่า หรือกำลังไขว่คว้าหาจุดหมายใหม่ๆโดยหลงลืมช่วงเวลาเหล่านี้ไปแล้วกันแน่ ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋าที่ว่างเปล่าก่อนจะจับได้เพียงหัวใจและความทรงจำที่หนักอึ้งนอนนิ่งอยู่ในนั้น ก่อนที่ผมจะนึกถึงใครบางคน

 

เขากำลังปรารถนาสิ่งใดและกำลังเดินไปทางไหน...

 

ผมไม่รู้เลยได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ความผิดบาปโอบล้อมตัวเองอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับลงแล้วดวงจันทร์ผลัดแสงขึ้นแทนอย่างโดดเดี่ยว

 

ผมกำลังปรารถนาสิ่งใดและกำลังเดินไปทางไหน...

 

แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

 

ผมอยากเจอเขา ผมอยากไปหาเขา…’


 

 

 

 

 

“อยากเจอ...งั้นหรอ”

 

 

 

เด็กหนุ่มอ่านซ้ำคำนั้นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในใจพร้อมกับใบหน้าของคนคนหนึ่งที่ทำให้เขาถามตัวเองด้วยสิ่งนั้นเช่นกัน

 

 

 

“แล้วพ่อ...ไม่อยากเจอผมบ้างรึไง

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

 

 

อากาศหนาวยามเช้าที่จังหวัดลำปางช่วงเดือนธันวาคมทำให้อารัณย์ต้องกระชับเสื้อแขนยาวเข้าหาตัวพลางมองไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกอยู่รอบๆวัดป่าแห่งหนึ่งอย่างชอบใจ ต่างจากพวกเด็กๆที่เอาแต่บ่นกระปอดกระแปดเพราะโดนปลุกทั้งที่กำลังนอนฝันหวานอยู่บนรถ

 

 

“พิมพ์ พี มานี่เร็วลูก”

 

 

พะแพงร้องเลี้ยงลูกทั้งสองคนให้เดินตามเธอไปยังเจดีย์เล็กๆที่อดีตคนรักของเธอกำลังหลับใหลอยู่ในนั้น รพีหันไปมองหน้าอารัณย์ที่เดินถือพวงมาลัยตามมาน้อยๆก่อนจะโดนร่างสูงดันหลังให้เดินไปด้วยกันตามที่พะแพงว่า หญิงสาวยื่นผ้าขนหนูให้ลูกทั้งสองช่วยกันทำความสะอาดป้ายหินอ่อนที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกต่างๆ อารัณย์มองภาพนั้นแล้วยิ้มออกมา ก่อนจะนำพวงมาลัยวางลงไปตรงหน้ารูปของนที

 

 

“ผมหน้าเหมือนพ่อมากเลยหรอน้ารัณย์”

 

 

รพีเอ่ยถามน้าชายที่ยืนหลบมุมอยู่ไม่ไกลหลังจากไหว้พ่อแท้ๆเสร็จ

 

 

“น้าไม่เคยเจอเขาตัวจริงซะด้วยสิ แต่ดูจากรูปก็พอเหมือนอยู่นะ ทำไมหรอ”

 

 

“...เพราะผมหน้าเหมือนพ่อ เขาเลยไม่กลับมารึเปล่า”

 

 

เสียงของเด็กชายเบาลงจนแทบไม่ได้ยินแต่ถึงอย่างนั้นมันกลับบาดลึกลงไปในหัวใจคนฟัง รอยยิ้มของรพีหายไปเช่นเดียวกับอารัณย์ ร่างสูงวางมือของตนลงบนหัวกลมของคนที่ลึกๆแล้วยังโทษตัวเองอยู่ในใจก่อนจะลูบมันเบาๆเหมือนกับที่เคยทำ

 

 

“ถึงจะชอบหนีปัญหา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลหรอกนะ...พ่ออีกคนของพีน่ะ”

 

 

“แล้วเหตุผลของเขาคืออะไรหรอครับ ในเมื่อน้าบอกว่าเขาทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เลี้ยงดูผม แต่ทำไม...ถึงทิ้งผมไว้แบบนี้”

 

 

อารัณย์ได้แต่ทำหน้าลำบากใจ แต่เพราะคำสัญญาเมื่อตอนนั้นทำให้ชายหนุ่มต้องปกปิดความลับสุดท้ายไว้ตามความปรารถนาของคนที่จากไป แม้จะรู้สึกสงสารแต่ก็เข้าใจว่าทำไมคนรักถึงเลือกที่จะทรมานหัวใจของตัวเองแบบนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

“อย่าบอกรพีนะว่าทำไมผมถึงต้องไป”

 

 

รัตติกาลพูดขึ้นหลังจากรับถุงมือที่อารัณย์ยื่นให้ไว้ ท่ามกลางความวุ่นวายของเหล่าผู้คนในสนามบิน ร่างสูงมองคนรักอย่างไม่เข้าใจแต่ยังไม่ทันที่จะถามต่อ รัตติกาลก็เป็นฝ่ายพูดอธิบายขึ้นมาเอง

 

 

“เด็กคนนั้นต้องโทษตัวเองแน่ๆถ้ารู้ว่าผมจากมาเพราะไม่กล้าเจอหน้าเขา”

 

 

“แต่ผมไม่คิดว่าการไปโดยไม่บอกอะไรรพีเลยจะทำให้เขาเข้าใจขึ้นหรอกนะ”

 

 

“อืม...รพีอาจจะยังคงโทษตัวเองเหมือนกัน แต่แบบนี้แหละดีแล้ว ผมไม่อยากให้เขายึดติดกับผมมากเกินไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมทำให้โลกของลูกมีแต่ผมอยู่ในนั้น หากไม่มีผมอยู่รพีก็ต้องอยู่คนเดียวตลอดไป ผมถึงตัดสินใจแล้วว่าจะทำลายโลกใบนั้นอารัณย์...โลกที่รพีรักผมมากที่สุด”

 

 

รัตติกาลพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่แม้ในดวงตาจะมีน้ำเอ่อคลอ เขาปาดมันออกลวกๆก่อนจะหยิบเอากระเป๋าสะพายใบเล็กที่มีเพียงเสื้อผ้าเพียงเล็กน้อยและรูปของพ่อกับแม่ที่เขานำมันติดตัวไปด้วย

 

 

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง...เห็นแก่ตัว ไม่เคยคิดถึงใจลูกจริงๆสักครั้ง จนสุดท้ายก็ลงเอ่ยด้วยการทำร้ายเขาจนได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่ผมที่ต้องเข้มแข็งขึ้น รพีเองก็เหมือนกัน...ผมจะไปจนกว่าจะสามารถเป็นพ่อที่ดีกว่านี้ได้ แล้วถ้าหากวันนั้นรพียังต้องการ ผมจะกลับมา”

 

 

ร่างโปร่งยิ้มออกมาก่อนจะโน้มร่างของอารัณย์มากอดไว้พร้อมกับสลักคำรักลงไปในใจของคนที่ไม่อาจลืมมันได้ลง

 

 

“ดูแลลูกให้ผมด้วย...สัญญานะ”


 

 

 

 

 

 

คำขอสุดท้ายยังก้องอยู่ในหัวใจของเขา ชายหนุ่มที่เคยอ่อนแอและไร้กำลังคว้าเด็กชายที่ตัวสูงเพียงแค่อกของตัวเองมากอดไว้ด้วยความรู้สึกที่ว่าจะปกป้องดูแลคนที่เขารักทั้งสองคนให้ดีที่สุด

 

 

“น้าคงบอกไม่ได้ว่าทำไมพ่อเราถึงต้องไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่น้าอยากให้พีมั่นใจ คือไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน พีจะยังคงเป็นครอบครัวคนสำคัญที่รัตติกาลจะกลับมาหาในสักวัน”

 

 

“น้ารัณย์...”

 

 

“แล้วอีกอย่างนะ สำหรับน้าพีเหมือนเขามากกว่าพ่อนทีอีก โดยเฉพาะนิสัยคิดมากแล้วก็ชอบหมกตัวอยู่กับหนังสือ ฮ่าๆ สงสัยถ้าวันไหนเขากลับมา ดูท่าน้าคงต้องให้สร้างห้องสมุดไว้ในบ้านซะแล้วล่ะมั้ง”

 

 

คำพูดติดตลกที่อารัณย์และรพีต่างก็อยากให้มันเป็นความจริงเหมือนประกายแห่งความหวังที่จุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของทั้งสอง ร่างสูงจับมือเด็กชายแล้วพากันเดินกลับไปยังรถที่มีพะแพงและพิมพ์ใจยืนโบกมือมาให้จากไกลๆ รพีโบกมือกลับให้ทั้งคู่ก่อนจะหันมาถามน้าชายถึงอีกสิ่งที่ยังค้างคาอยู่

 

 

“แล้วน้ารัณย์คิดว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่”

 

 

อารัณย์หยุดขาที่กำลังก้าวเดิน ก่อนจะหันมาตอบเด็กชายด้วยน้ำเสียงที่ทั้งหนักแน่นและจริงจังโดยที่รอยยิ้มนั้นระบายอยู่เต็มใบหน้า

 

 

“คงจะหาทางกลับบ้านอยู่ล่ะมั้ง”




:mew1:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :mew1:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1


“บ้านพีหลังใหญ่จังเลย”

 

เด็กหญิงพิมพ์ใจที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวพูดขึ้นพลางกวาดตามองไปทั่วตัวบ้านหลังใหญ่ที่ทำจากไม้เนื้อสีออกแดงๆสวยงามแบบที่เธอไม่เคยเห็น เธอคลายมือที่จับกับแม่ไว้ออกก่อนจะวิ่งไปสำรวจรอบๆอย่างตื่นเต้นผิดกับรพีที่ยืนนิ่งมองมันอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่นึกดีใจเลยสักนิด

 

 

“เป็นอะไรไปพี ไม่สบายหรอ”

 

 

พะแพงที่ยังคงยืนอยู่ข้างลูกชายพูดขึ้นพลางทาบมือไปบนหน้าผากเพื่อตรวจดูว่าลูกของเธอมีไข้ไหม แต่รพีก็กลับส่ายหน้าทั้งๆที่ยังคงออกอาการเซื่องซึมอยู่

 

 

“ป่าวครับ ผมแค่เหนื่อยนิดหน่อย”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเข้าไปนอนในบ้านก่อนไหม ส่วนเต็นท์ค่อยมากางนอนกันคืนนี้”

 

 

“ก็ได้ครับ”

 

 

“งั้นรอแปปเดียวนะ เดี๋ยวแม่ไปหยิบกุญแจบ้านมาก่อน”

 

 

หญิงสาวว่ายิ้มๆแล้วเดินไปหาน้องชายที่กำลังวุ่นอยู่กับการขนกระเป๋าเสื้อผ้าลงมาจากรถ เธอเอ่ยปากขอกุญแจที่อารัณย์เก็บไว้ ชายหนุ่มก็รีบควานหาให้โดยทันที แต่ดูเหมือนว่าของที่สมควรอยู่ในลิ้นชักหน้ารถจะไม่ได้อยู่ในที่ของมัน

 

 

“แน่ใจนะว่าหยิบมาด้วย ไม่ใช่ว่าลืมไว้ที่กรุงเทพนะ”

 

 

“ผมไม่ได้ลืม หยิบเอามาใส่ไว้ในรถตั้งแต่เมื่อคืนก่อนแล้ว ผมว่าน่าจะตกอยู่ในนี้นี่แหละ ตอนหยิบของอย่างอื่นคงไม่ได้ระวังกัน”

 

 

“งั้นรีบหาให้เจอเถอะ พี! เข้านั่งรอตรงระเบียงข้างบนก่อนก็ได้ลูก”

 

 

รพีพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปรอด้านในตามที่คนเป็นแม่ว่า เขาเดินไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่ตรงหน้าบันไดสูงยาวแบบบ้านเรือนไทยที่เคยเห็นแต่ในโทรทัศน์หรือตามหนังสือ มือเล็กสัมผัสเนื้อไม้เย็นเฉียบเบาๆด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปข้างบน

 

 

บ้านไม้ที่มีรูปทรงแบบเดียวกับบ้านไม้จำลองที่ตั้งอยู่ในห้องนอนของรพี ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงามไม่ผิดเพี้ยน ทั้งประตูบานใหญ่ ระเบียงหรือแม้แต่ขอบหน้าต่างที่มีลวดลายสวยงามถูกขัดให้เป็นเงาบ่งบอกถึงความประณีตและราคาสูงลิ่วได้อย่างไม่ต้องสงสัย เด็กชายเดินสำรวจไปเรื่อยๆพลางสูดดมกลิ่นไม้เนื้อหอมที่ปลูกไว้โดยรอบอย่างชอบใจ เมื่อมาอยู่ในบรรยากาศที่ผ่อนคลายก็พลอยทำให้อคติที่มีต่อบ้านหลังนี้ค่อยๆจางหายไปด้วย

 

 

 

 

แกร๊ก..

 

 

 

 

ในระหว่างที่เขากำลังก้มลงดูรูปปั้นดินเผาที่วางอยู่บนพื้นนั้น ก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นมาจากในตัวบ้าน รพีรีบหันไปมองทางต้นกำเนินของเสียงแต่ก็ไม่เห็นอะไร เขานึกสงสัยขึ้นมาทันที ในเมื่อบ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่แล้วกุญแจที่อารัณย์เก็บไว้ก็ยังหาไม่เจอ ก็ไม่น่าจะมีเสียงอะไรดังขึ้นจากข้างในได้

 

 

“หรือว่าจะเป็นขโมย”

 

 

เด็กชายรีบวิ่งกลับไปยังที่บันไดเพื่อจะไปบอกเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ แต่พอรพีมาถึงเขากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของครอบครัวทั้งสามคนที่มาด้วยกัน

 

 

“แม่ พี่พิมพ์ น้ารัณย์!”

 

 

รพีตะโกนเรียกแต่กลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมา หนำซ้ำบ้านยังสร้างไว้ลึกพอสมควรทำให้สัญญาณโทรศัพท์ไม่มีเหมือนในเมือง ความกลัวเข้าโจมตีรพีเข้าอย่างจัง เรื่องราวเลวร้ายในอดีตที่เคยเกิดขึ้นเพราะบ้านหลังนี้ทำให้เด็กชายเริ่มคิดวิตกไปต่างๆนาๆ เขาวิ่งไปรอบๆบ้านอย่างร้อนใจ พยายามมองหาแต่ก็ไม่เห็น แล้วในจังหวะที่รพีกำลังจะวิ่งกลับไปที่รถเขาก็สะดุดเข้ากับก้อนหินก้อนใหญ่เข้า

 

 

“โอ้ย!”

 

 

ร่างเล็กที่ล้มลงค่อยๆยันกายขึ้นพร้อมกับหัวเข่าที่เต็มไปด้วยรอยแผล เด็กชายมองดูเลือดที่ไหลซึมออกมาด้วยความกลัวที่เพิ่มทวีคูณ รพีพยายามกลืนก้อนสะอื้นกลับเข้าไปข้างใน ริมฝีปากบางถูกขบกัดจนแน่น แต่เด็กชายกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ไหวปลดปล่อยมันออกมาด้วยร่างกายที่สั่นเทา

 

 

“ฮึก แม่ พี่พิมพ์ น้ารัณย์...ทุกคนไปอยู่ไหน”

 

 

เขาควานเข้าไปในคอเสื้อคว้าเอาจี้ของสร้อยที่ตัวเองแขวนอยู่เสมอมากำไว้แน่นก่อนจะดึงมันออกมาแล้วมองดูพร้อมกับนึกถึงใบหน้าผู้ที่มอบของสำคัญชิ้นนี้ให้กับเขา...มันคือกุญแจสีเงินดอกใหญ่ของขวัญชิ้นสุดท้ายจากรัตติกาลที่เขาได้มาในวันเกิดปีที่หกของตัวเอง

 

 

“ช่วยด้วย ฮึก พ่อกาล...พีกลัว”

 

 

เด็กชายยกเข่าขึ้นมากอดและหลับตาลงเหมือนทุกครั้งที่รู้สึกหวาดกลัว ใบหน้าของเขาเปียกชุ่มแต่รพีกลับไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว ในหัวของเด็กชายมีเพียงความทรงจำที่แสนหวงแหน ทั้งรอยยิ้ม ดวงตาแสนเย็นชา และฝ่ามืออุ่นๆของคนคนนั้น คือสิ่งที่สามารถปลอบประโลมจิตใจของเขาได้ แต่แล้วสติของเขากลับต้องแตกพล่านเมื่อมีเสียงฝีเท้าของคนบางคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที

 

 

“ฮึก ช่วยด้วย ...พ่อ”

 

 

เสียงฝีเท้านั้นหยุดลงแล้ว พร้อมกับความรู้สึกว่ากำลังถูกใครบางคนจดจ้องอยู่ตรงหน้า รพีกำกุญแจในมือจนข้อขาว เขาอยากวิ่งหนีแต่ก็ไม่กล้า ภายในใจได้แต่ภาวนาให้ใครสักคนโผล่มาช่วยตนเอง

 

 

 

 

“พี”

 

 

 

 

มือที่กำลังสั่นของรพีหยุดนิ่ง เมื่อเสียงที่กำลังเรียกชื่อของเขานั้นคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เงยหน้าขึ้นไปมอง กลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มก็กำลังถูกลูบเบาๆด้วยฝ่ามือเย็นของใครบางคน

 

 

 

 

“ลืมตาขึ้นสิรพี ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว”

 

 

 

 

เด็กชายลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ความรู้สึกบางอย่างกลับสั่งให้เขาทำตามคำพูดนั้นอย่างง่ายดาย รพีค่อยๆลืมตาที่พร่าเลือนขึ้น แสงตะวันที่ฉายทอดมาตรงหน้าทำให้เขาต้องหรี่ตาลงก่อนที่จะได้เห็นใบหน้าของคนที่กำลังลูบหัวเขาอยู่อย่างชัดเจน

 

 

ผมยาวสีดำสนิทถูกรวบไว้ทางด้านหลัง ดวงตาที่ยังคงดูเย็นชาขัดกับรอยยิ้มที่มอบมาให้ด้วยความคิดถึง ลำคอของรพีแห้งผาก แม้แต่คำพูดสั้นๆอย่างสวัสดี หรือคิดถึงยังไม่สามารถถูกกลั่นกรองออกไปได้ น้ำตาที่หยุดไปแล้วเริ่มไหลรินอีกครั้ง พร้อมกับแรงสะอื้นจนตัวโยนที่ทำให้รัตติกาลที่กำลังมองดูอยู่ขำออกมาน้อยๆ

 

 

“ยังไม่ทันไรก็ร้องไห้ซะแล้ว”

 

 

“ฮือ พ่อ!!!”

 

 

รพีกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของคนตรงหน้าแล้วปล่อยโฮออกมาสุดเสียง เด็กชายไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วนอกจากคำว่าคิดถึงที่เขาอยากฟังมาหลายปีที่รัตติกาลกำลังเอ่ยให้ลูกชายฟังด้วยน้ำเสียงติดจะสะอื้นเล็กๆ ความกลัวที่เคยมีหายไป มีแต่ความดีใจเข้ามาแทนที่ รพีเอาแต่เรียกชื่อบิดาซ้ำๆด้วยใบหน้าที่เปื้อนทั้งน้ำตาและรอยยิ้มจนแยกไม่ออก

 

 

“พ่อหายไปไหนมา ทำไม ฮึก ทำไมทิ้งพีไว้คนเดียว”

 

 

“พ่อขอโทษ”

 

 

“ห้ามทำอีกนะ ห้ามทิ้งพีไปอย่างนี้อีก ไม่เอาแล้ว...”

 

 

“อืม...ไม่ทำแล้วครับ พ่อไม่ไปไหนแล้ว”

 

 

รัตติกาลผละออกมาก่อนจะยิ้มให้ลูกชายด้วยความคิดถึง เขาใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของรพีที่ยังคงไม่ยอมห่างจากเขาไปจนกระทั่งเงาของคนกลุ่มหนึ่งจะเดินเข้ามาจากด้านหลัง รัตติกาลหันไปมองภาพของพะแพงที่เดินจูงมือพิมพ์ใจเข้ามาหาพร้อมกับ นิลและฤทธิชาติที่เดินเถียงกันมาอย่างเคย

 

 

“มึงแม่งเล่นอะไรบ้าๆ หลานเจ็บตัวเลยเห็นไหม!”

 

 

“อ้าว นิลเป็นตัวต้นคิดว่าอยากทำเซอร์ไพรส์น้องพีไม่ใช่หรอครับ จะมาโทษผมคนเดียวได้ยังไง"

 

 

“แต่มึงเป็นคนบอกให้ทุกคนซ่อนตัวไว้ เพราะงั้นมึงผิด!”

 

 

“ครับๆ ผิดก็ผิดครับ”

 

 

นิลส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะชะงักเมื่อรัตติกาลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับจูงรพีที่ยังคงสะอื้นอยู่ให้เดินมาด้วยกัน

 

 

“ไม่ต้องเถียงกัน เดี๋ยวจะจัดให้ทั้งสองคนนั่นแหละ”

 

 

“โห้ย ทำมาเป็นขู่ มึงนั่นแหละตัวดีเลยไอ้กาล”

 

 

รัตติกาลส่ายหน้าก่อนจะเขกหัวเพื่อนรักเบาๆจนอีกฝ่ายร้องโอดโอยไม่หยุด ร่างโปร่งละความสนใจจากนิลมาหาหญิงสาวที่ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆกันพร้อมกับยกมือไหว้

 

 

 “ในที่สุดก็ยอมกลับมาสักทีนะ”

 

 

“ครับ...ผมกลับมาแล้ว”

 

 

ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้นโดยมีสายตาทุกคู่จ้องมอง โดยเฉพาะรพีที่เริ่มดึงสติกลับมาได้บ้างแล้ว เด็กชายเริ่มยิ้มออกเมื่อเห็นว่าพ่อบุญธรรมและแม่แท้ๆของตนไม่มีทางท่าเกลียดชังกันอย่างที่เคยกลัว

 

 

“พี่แพงครับ...ผม...”

 

 

“พี่รู้ว่ากาลอยากพูดอะไร แต่ช่างมันเถอะ...แค่พี่ได้เห็นรพีกลับมายิ้มและร้องไห้เหมือนที่เด็กคนอื่นเป็น แค่นี้พี่ก็พอใจแล้ว”

 

 

รัตติกาลยกมือไหว้พะแพงอีกครั้งแล้วกล่าวทักทายพิมพ์ใจที่ยังคงจำชายผู้มอบลูกอมให้กับเธอได้เป็นอย่างดี รพีมองภาพตรงหน้าที่ไม่ต่างจากความฝันด้วยความปลาบปลื้มใจ จนกระทั่งรัตติกาลสังเกตว่ามือที่ตัวเองกำลังจับไว้เริ่มสั่นขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าที่คมคายขึ้นกว่าเก่าหันมามองรพีด้วยความรักและคิดถึงไม่ต่างกัน

 

 

“รพี...สุขสันต์วันเกิดนะลูก”

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

 

 

 

“กูมาทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย”

 

 

อารัณย์พูดกับตัวเองเบาๆพลางยกกาแฟขึ้นจิบอยู่ในคาเฟ่เล็กๆริมทางด่วนที่มีลูกค้ากำลังเข้ามาใช้บริการกันอย่างมากมาย ชายหนุ่มถอนหายใจกับเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าเขารำคาญหรืออะไร แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมนิลกับฤทธิชาติที่จู่ๆก็โผล่มาบอกให้เขาขับรถของพวกมันออกมารับเค้กที่สั่งไว้ตั้งแต่ก่อนเที่ยงทั้งๆที่ใบนัดบอกว่าให้มารับตั้งบ่ายสองโมง และเขาก็ดันบ้าจี้ทำตามคำบอกของไอ้คู่รักหลุดโลกพวกนั้นโดยที่ไม่สงสัยอะไรสักนิด

 

 

“ขอโทษนะคะที่ให้รอนาน”

 

 

หญิงสาวเจ้าของร้านในชุดกันเปื้อนก้าวยาวๆเข้ามาหาพร้อมกับเค้กกล่องโตที่ถูกห่อขึ้นอย่างสวยงาม อารัณย์เห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นมารับไว้แทนแต่เพราะส่วนสูงที่ต่างกันมากและใบหน้าคมเข้มที่ดูอ่อนโยนกลับทำให้สาวเจ้าเกือบทำเค้กหลุดมือซะได้

 

 

“ขะ ขอโทษค่ะ!”

 

 

“ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่ดันมาก่อนเวลา”

 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ ยินดีให้บริการอยู่แล้ว”

 

 

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วก็ขอบคุณนะครับ กาแฟอร่อยมาก”

 

 

อารัณย์ส่งยิ้มพิมพ์ใจให้อีกฝ่ายก่อนจะหันหลังเพื่อเดินออกจากร้านไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวพ้นประตูชายเสื้อโปโลของร่างสูงก็ถูกหญิงสาวที่ยืนหน้าแดงเป็นลูกตำลึงจับไว้ด้วยอาการขวยเขิน

 

 

“คะ คือ...”

 

 

“ครับ?”

 

 

“เค้กนี่...เป็นของใครหรอคะ...ลูกของคุณรึเปล่า”

 

 

ร่างเล็กกลั้นใจถามเรื่องส่วนตัวของลูกค้าแม้ว่ามันคือสิ่งที่เธอไม่สมควรทำ อารัณย์เลิ่กคิ้วขึ้นน้อยๆอย่างไม่เข้าใจในจุดประสงค์นั้นแต่ก็ยอมตอบกลับมาตรงๆ

 

 

“ไม่ใช่หรอกครับ”

 

 

“จริงหรอคะ! งั้นก็...”

 

 

“แต่เป็นลูกชายของแฟนผมเอง ขอตัวก่อนนะครับ”

 

 

ชายหนุ่มว่ายิ้มๆก่อนจะเดินออกไปจากร้านโดนทิ้งให้เจ้าของร้านสาวงสวยยืนใจสลายอยู่ตรงนั้น เขาวางกล่องเค้กลงบนที่นั่งข้างคนขับแล้วรีบออกตัวรถเพื่อกลับไปยังบ้านไม้หลังนั้นอย่างไม่เร่งรีบ เมื่อขับมาได้ครู่หนึ่งอารัณย์ก็ใช้มือเพียงข้างเดียวประคองพวงมาลัยรถ แล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตนมากดโทรออกไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่จุดหมายปลายทางอยู่ต่างประเทศแต่กลับไม่มีใครรับสาย

 

 

“สงสัยลืมชาร์จมือถืออีกแล้ว ให้ตายสิ”

 

 

อารัณย์บ่นก่อนจะยอมตัดใจวางโทรศัพท์ในมือลงเคียงข้างกับเค้กกล่องนั้น ในขณะที่ในใจกำลังนึกถึงคนรักในแดนไกลที่เขาติดต่อไม่ได้มาสามวันแล้ว

 

 

ตั้งแต่รัตติกาลเดินทางไปรักษาตัวที่อิตาลีเมื่อเกือบหกปีก่อน อารัณย์เหมือนกับถูกสถานการณ์บังคับให้เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ตัวเขาที่ลึกๆไม่อยากปล่อยคนรักให้อยู่ไกลหูไกลตา ต้องฝืนทนข่มความเศร้าของตัวเองไว้และใช้กำลังทั้งหมดดูแลและปกป้องรพีให้ได้อย่างที่รับปาก

 

 

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเดิมๆที่เคยมีกันและกันแต่เพียงลำพัง แต่ถึงอย่างนั้นอารัณย์ก็บอกตัวเองเสมอว่าเขาจะผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปให้ได้เช่นเดียวกับรัตติกาลที่กำลังพยายามอยู่ในอีกฝั่งหนึ่งของโลก แม้จะไม่ถึงกับตัดขาด แต่อารัณย์ก็ไม่สามารถไปหารัตติกาลทุกครั้งตามที่ใจต้องการ มีบ้างอยู่เหมือนกันที่เขาได้มีโอกาสได้พบคนรักในระหว่างที่ต้องเดินทางไปติดต่อธุรกิจแต่เมื่อเทียบกับเวลาที่ผ่านเลยไปแล้ว มันเหมือนกับการรินน้ำหยดเล็กๆลงบนพื้นทะเลทรายเท่านั้น

 

 

เวลาที่เดินผ่านไปโดยที่ไม่มีรัตติกาล มันทั้งเจ็บปวดและสวยงามในคราวเดียวกัน ความห่างไกลนั้นสอนให้อารัณย์รู้จักความหมายของความรักในอีกแง่มุมหนึ่งที่เขาไม่เคยสัมผัส ยิ่งได้เห็นว่าคนรักของเขากำลังมีความสุขแค่ไหนที่ได้ไล่ตามความฝันอีกครั้ง อารัณย์ก็บอกตัวเองว่าเขาจะเป็นคนที่เข้มแข็งพอที่จะปกป้องทั้งหมดของคนรักไว้ ทั้งครอบครัว ความฝัน และหัวใจ เขาจะรักษามันไว้จนกว่ารัตติกาลจะกลับมา

 

 

ร่างสูงเลี้ยวรถเข้าไปจอดในมุมหนึ่งของบ้าน ข้างกับรถของตนที่จอดพักเอาไว้ เขาหยิบเอากล่องเค้กมาไว้ในมือก่อนจะเดินขึ้นไปบนบ้านที่ล็อคข้างหน้าถูกปลดออก โดยมีทั้งเสียงหัวเราะและพูดคุยดังลอดมาให้ได้ยิน

 

 

“อ้าวไง กลับมาแล้วหรอมึง”

 

 

“ขอบคุณนะครับ ที่เป็นธุระให้”

 

 

นิลกับฤทธิชาติที่หันหน้ามาทางประตูเป็นคนที่เห็นเขาเดินเข้ามาก่อนจึงร้องทักด้วยท่าทางที่กวนประสาทเบื้องล่าง โดยเฉพาะเพื่อนสมัยเด็กอย่างฤทธิชาติที่อารัณย์ที่โดนเขาลากให้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดแอบสังเกตเห็นอีกฝ่ายหลุดขำเล็กๆ จนร่างสูงอดใจไม่ไหว เดินไปตบหัวนายตำรวจหนุ่มเข้าอย่างจัง

 

 

“กวนตีนเขานัดบ่ายสองเสือกให้กูไปเอาซะสิบเอ็ดโมง แล้วเสือกเลือกร้านซะไกลเลยนะมึง ที่หลังขับรถไปเอาเองเถอะ”

 

 

“รัณย์ อย่าพูดไม่เพราะต่อหน้าหลาน”

 

 

พะแพงที่กำลังนำเนื้อไก่มาเสียบไม้บาร์บิคิวอยู่เอ็ดน้องชายเสียงเขียว จนคนตัวโตต้องหยุดปากของตัวเองโดยพลัน

 

 

“น่าๆ ถือซะว่าเป็นของขวัญให้พีไง เนอะ”

 

 

“ครับ ขอบคุณมากนะครับน้ารัณย์”

 

 

รพีรับคำของนิลก่อนจะหันมายิ้มให้อารัณย์ด้วยใบหน้าอิ่มสุขจนร่างสูงแปลกใจ ร่างเล็กเอียงคอน้อยๆเมื่อเห็นน้าชายจ้องตัวเองไม่วางตา โดยไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางแบบนั้นทำให้อารัณย์คิดถึงรัตติกาลมากแค่ไหน

 

 

“แล้วตกลงกุญแจไปตกอยู่ที่ไหน ถึงเข้ามาในบ้านได้”

 

 

“กุญแจดอกนั้นยังหาไม่เจอครับ แต่พีใช้ดอกนี้ไขเข้ามาแทน”

 

 

เด็กชายยกลูกกุญแจที่ครั้งหนึ่งเคยใช้แขวนคอขึ้นให้น้าชายดู อารัณย์เมื่อเห็นสิ่งนั้นก็จำได้ทันทีว่ารพีได้มาจากไหน ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเข้าใจถึงความหมายที่รัตติกาลสื่อไว้ในนั้น รวมถึงความตั้งใจที่จะนำบ้านหลังนี้กลับมาเป็นของรพีแม้ว่าเรื่องที่นทีทิ้งพินัยกรรมเอาไว้ให้จะไม่เกิดขึ้นก็ตาม

 

 

“กาลคงคิดไว้แล้ว ว่าอยากให้รพีได้กลับมาที่นี่เลยให้มันเป็นของขวัญ”

 

 

“ฮ่าๆ เป็นคนดันทุรังเหมือนกันนะหมอนั่น”

 

 

“นั่นสินะ แถมชอบทำอะไรตามใจตัวเองอีกด้วย”

 

 

หญิงสาวยิ้มกรุ่มกริ่มให้น้องชายแล้วหันไปให้ความสนใจกับงานตรงหน้าต่อ โดยมีพิมพ์ใจคอยหัวเราะคิกคักเป็นลูกคู่อยู่ข้างหลัง

 

 

 “งั้นเดี๋ยวผมขอเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ เหนียวตัวจะแย่”

 

 

“จ๊ะ รัณย์นอนห้องใหญ่ที่อยู่ทางซ้ายมือนะ พี่ขนของเข้าไปให้แล้ว”

 

 

“ห้องใหญ่? นั่นมันห้องเจ้าของบ้านไม่ใช่หรอพี่ ผมนอนห้องเล็กข้างๆกันก็ได้”

 

 

“เอาน่า ห้องก็มีเหลือตั้งเยอะไม่ต้องห่วงไปหรอก”

 

 

ร่างสูงพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ เขาวางกล่องเค้กลงบนโต๊ะที่มีของกินตั้งอยู่เรียงรายก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนอนที่ว่า แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มถูกหยุดด้วยคำพูดชวนสงสัยของเพื่อนทั้งสอง

 

 

“ทำเบาๆนะเว้ย หึ กูหมายถึงเดินน่ะ”

 

 

“อย่าลืมนะครับว่านี่เป็นบ้านไม้ ยังไงก็ระวังๆด้วย”

 

 

“อะไรของพวกมึงวะ”

 

 

นิลและฤทธิชาติทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะหันไปช่วยพะแพงจัดเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงของรพีกันต่อ อารัณย์เมื่อไม่ได้รับคำตอบก็ได้แต่จำใจเดินเข้าไปในห้องที่มีสัมภาระทั้งหมดถูกวางกองไว้อย่างที่พี่สาวว่า ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า เขาหลับตาลง พยายามซึมซับกลิ่นของธรรมชาติที่ไม่มีในเมืองกรุงด้วยความเหงาใจ

 

 

 

 

 

“ถ้าวันนี้คุณอยู่ด้วยคงดี”

 

 

 

 

 

 

“คุณนี่...หมายถึงผมรึเปล่า”

 

 

 

 

 

อย่างกับโดนสายฟ้าฟาด ริมฝีปากของอารัณย์ถูกช่วงชิงไปอย่างง่ายดายโดยชายที่ยืนแอบอยู่ข้างประตูโดยที่ร่างสูงไม่ทันสังเกตเห็น ข้อมือของอารัณย์ถูกกดล็อคลงกับเตียงพร้อมๆกับเรียวลิ้นที่แทรกเข้าไปข้างในโพลงปากโดยที่เจ้าของมันไม่ทันได้ตั้งตัว คนที่ถูกทักทายด้วยภาษากายรีบเบิกตาขึ้นดูพร้อมกับเวลาที่หยุดนิ่งไปอีกครั้ง

 

 

จังหวะที่นุ่มนวลและเร้าร้อนในคราวเดียวเหมือนห่าฝนที่โปรยปรายลงบนพื้นทรายแล้งน้ำ ความสุขใจตีตื้นขึ้นเต็มอก เช่นเดียวความคิดถึงที่สะท้อนผ่านทางแววตา อารัณย์เอ่ยทักรัตติกาลกลับไปด้วยความรัก เขาขืนข้อมือของตัวเองออกก่อนจะกอดรัดร่างที่สมส่วนของคนรักไว้แน่นแม้ยามที่ริมฝีปากผละออกจากกัน

 

 

“นี่มัน...ความฝันใช่ไหม”

 

 

“ตัวผมในความฝันของคุณ จูบเก่งได้เท่านี้รึเปล่าล่ะ”

 

 

รัตติกาลว่ายิ้มๆก่อนจะก้มลงมอบจุมพิตให้ชายที่ตัวเองรักอีกครั้ง น้ำตาของร่างโปร่งไหล เช่นเดียวกับคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง เขาทิ้งตัวลงบนร่างกำยำของอีกฝ่ายปล่อยให้ท่อนแขนที่แข็งแรงกว่าปราการใดๆกอดกักเขาไว้ด้วยทุกอย่างที่มี

 

 

“จูบเก่งพอกัน แต่กาลในฝันไม่ได้ตัวหอมขนาดนี้”

 

 

“ฮ่าๆ งั้นนี้ก็คือความจริง เพราะอารัณย์ในฝันของผมไม่ได้หื่นกามขนาดที่น้องชายแข็งปั๋งเพียงเพราะโดนจูบแน่ๆ”

 

 

อารัณย์หัวเราะในลำคอแล้วพลิกให้รัตติกาลเป็นฝ่ายจมอยู่ใต้ร่างของตน เขาฝังจมูกลงบนพวงแก้มไล่ไปยังไรหนวดน้อยๆและลำคอที่เขาแสนคิดถึง

 

 

“ทำไมไม่บอกว่าจะกลับมา ถ้าผมหัวใจวายตายไปจะว่ายังไง”

 

 

“ฮ่าๆ แค่อยากมาดูว่าคุณแอบมีคนอื่นระหว่างที่ผมไม่อยู่บ้างรึเปล่า”

 

 

“จะไปมีได้ยังไง แค่กาลคนเดียวผมก็ไม่เหลือหัวใจไว้ให้รักใครแล้ว”

 

 

รัตติกาลคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำนั้น มันเป็นรอยยิ้มที่สวยงามอย่างที่เคยสามารถสั่นไหวหัวใจของอารัณย์ได้ จากคนที่ชิงชังกัน กลายมาเป็นคนที่ครอบครองหัวใจของเขาไว้ได้ทั้งหมด ความรักที่ค่อยๆเบ่งบานขึ้นโดยมีขวากหนาวล้อมรอบ ทั้งเรื่องราวในอดีต และความขัดแย้ง แม้จะต้องปล่อยมือกันไป แต่สุดท้ายความรักนั้นก็นำพาพวกเขากลับมายืนเคียงข้างกันอีกครั้ง

 

 

“จะไม่ปล่อยไปอีกแล้วนะ จะไม่อยู่ห่างกาลอีกแล้ว”

 

 

“อืม ผมก็ไม่อยากร่อนเร่ไปที่อื่นแล้วเหมือนกัน”

 

 

“...ขอบคุณนะที่กลับมา ขอบคุณที่รักษาสัญญา”

 

 

พวกเขามองตากันก่อนจะประสานมือที่กอบกุมกันไว้ให้แน่นขึ้นอีก กลิ่นไม้หอมที่ลอยมาตามลม โอบอุ้มทั้งตัวพวกเขาและความรักที่ทั้งสองร่วมสร้างกันมาไว้ราวกับแสดงความยินดี สมุดโน้ตเล่มหนึ่งที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนซึ่งวางอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างถูกสายลมนั้นพัดทำให้หน้ากระดาษพลิกเปิดไปเรื่อยๆจนถึงหน้าสุดท้าย

 

 

 

 

 

 

 

‘ผมมักถามตัวเองเสมอ ว่าสิ่งที่ผมกำลังตามหาคืออะไร ดินแดนแห่งความฝัน เมืองที่เต็มไปด้วยความสุข หรือที่ที่ผู้คนไม่ต้องร้องไห้ หลังจากการเดินทางอันยาวนาน ผมได้พบเจอกับสถานที่เหล่านั้น ดินแดนที่ทำให้ผมอิ่มเอม เมืองที่ทำให้ผมยิ้ม ที่ที่ผมไม่ต้องเห็นคนร้องไห้ แต่สุดท้ายการเดินทางของผมกลับไม่เคยจบลง

 

 

ผมเดินไปเรื่อยๆจนไม่มีที่ใดในโลกนี้ที่ผมไม่รู้จัก เดินต่อไป...ต่อไป...ต่อไปเรื่อยๆจนเหลือเพียงสถานที่สุดท้ายที่ผมไม่เคยคิดว่าจะเดินทางมาถึง นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง สถานที่ที่เรียกว่า ‘บ้าน’ ซึ่งมีคำตอบที่หารอคอยอยู่ที่นี่

 

 

สิ่งที่ผมกำลังตามหาคืออะไร

 

 

สิ่งที่ผมตามหา...คือคนที่พร้อมจะเดินไปกับผมในทุกๆที่

 

 

ทั้งความฝัน ความสุข หรือน้ำตา

 

 

ต่อจากนี้ผมจะไม่ต้องเผชิญมันแต่เพียงลำพัง

 

 

………………………………………………………  Luna ’


 

 

 

 

 

“ผมรักคุณ...รัตติกาล”

 

 

“ผมก็รักคุณ...อารัณย์”

 

 

 

 

 

 

 

 

…Never Ending…

 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!! ส่งท้าย

 

จบแล้วนะ จบแล้วแหละ  :hao5: ปวงยังตอนสุดท้ายจริงๆด้วย (ขอโอกาสหน้ารีไรท์ใหม่นะคับ) time skip ไปไกลมาก ไกลยิ่งกว่าตอนintro ซะอีก ตอนแรกคิดว่าจะให้พี่กาลไปสองปี แต่สั้นไปเนอะ ยาวๆกันเลยแล้วกัน น้องพีโตแล้ว ขรึมตามคุณพ่อมาเลย ชอบมากกกก  :-[ :-[ :-[  อาจจะปรับอารมณ์ไม่ถูกกันบ้าง แต่คิดว่าแบบนี้ดีที่สุดแล้วคับ คือผ่านเรื่องร้ายๆมาขนาดนั้นจะให้บาดแผลทุกอย่างหายในเวลาสั้นๆมันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เวลาเกือบหกปี รพีก็โตขึ้น กาลก็ได้รักษาตัว ได้รีเซ็ตตัวเอง อารัณย์ก็ได้ปกป้องคนอื่น ได้ทำในสิ่งที่ทำไม่ได้คือปกป้องคนที่ตัวเองรัก พะแพงที่ใจพังไปก็ค่อยๆกลับมา ต่างคนต่างเยียวยากันและกัน จนสุดท้ายก็กลับมาอยู่ด้วยกันได้ เช่ว่าดีที่สุดแล้ว

 

ในตอนพิเศษของรัณย์กาลที่จะลงให้ จะเป็นตอนที่รัณย์ไปหาพี่กาลที่เมืองนอก นะคับ อาจจะเสริมพัฒนาการตัวละครที่ข้ามๆไปจะได้เห็นชัดกันยิ่งขึ้น แล้วก็ตอนพิเศษของนทีอีกคนอย่างที่บอกไว้ เจอกันหลังเช่ส่งหนังสือไปหมดก่อนนะคับ^^

 

และเหมือนทุกๆครั้ง เช่ขอบคุณทุกคนมากๆที่อยู่กับเช่มานานขนาดนี้ เช่ไม่เคยคิดว่าจะทำมันได้ ท้อหลายครั้งมาก ทั้งจากตัวเองและอะไรหลายอย่าง แต่ในเมื่อมีคนอ่านเช่ก็เขียนต่อ จากโนเนม จนได้ติดอันดับที่ธันวลัยบ้าง ถือว่าเป็นความสุขเล็กๆที่ทุกคนตอบแทนให้เช่ ขอบคุณนะคับ รวมถึงคอมเม้นต์จากทุกๆที่ที่เช่ไปลง อาจจะไม่ได้ตอบทั้งหมดแต่อ่านหมดทุกเม้นต์แน่นอน ทั้งคำติและคำชม เช่ยินดีรับมันมาทั้งหมดอย่างที่เคยบอกไว้ และนิยายเรื่องต่อไปอย่าง Broken Man 'ใจแตก' เช่ก็หวังว่าทุกคนจะติดตามเช่ต่ออีกนะ ไม่ม่าแล้ว พักตับกันบ้าง ไม่งั้นจะสตรองเกินไป >//////< ไปมิ้งๆกับน้องปูนสุดที่รักกันดีกว่า

 

สุดท้ายนี้ ใครอยากครอบครองหนังสือยังจองและโอนกันเข้ามาได้ อย่างที่บอกไปคับ เรื่องนี้คงไม่มีรีปริ้นจริงๆ เพราะจำนวนถือว่าไม่เยอะ อันนี้ไม่ได้โปรโมท แต่ประสบการณ์เดิมตอนรวมฟิคแล้วคนมาถามหาหนังสือตอนที่ไม่มีเหลือแล้วมันเซ็งมาก 5555555 เพราะฉะนั้นใครอยากได้ก็จองกันเข้ามานะคับ ใครมีปัญหาเรื่องเงินแต่อยากได้จริงๆอาจจะโอนช้าหรืออะไรก็ลองมาคุยกับเช่ก่อนได้ทางแฟนเพจ ขอแค่อย่ากดเล่น ถ้าเปลี่ยนใจก็เมล์บอกกันสักนิดก็พอ

(สำหรับชาวเล้าเป็ด อ่านรายละเอียดเม้นต์ถัดไปนะคับ)

 

ขอบคุณนะคับ แล้วเจอกันใหม่ในอนาคตอันใกล้ :)

 

(บ่น : อยากอ่านเม้นจังเลย555555)

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
แจ้งข่าวการรวมเล่มหนังสือ


สำหรับชาวเล้า เช่ต้องขออภัยเป็นอย่างมากเลยนะคับที่ลงรายละเอียดหนังสือให้ได้ช้ากว่าที่อื่น เพราะต้องลงให้จบก่อน

แล้วที่สำคัญคือเช่ส่งเมล์ขอ ID ห้องซื้อขายไปแต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับเลยคับเพราะเขาเปิดรับเป็นรอบๆ เลยกังวลอยู่ว่าจะบอกเรื่องหนังสือยังไงดี เลยขอลงเป็นรายละเอียดคร่าวๆ รายละเอียดเต็มๆขอให้ไปอ่านในแฟนเพจหรือลิ้งจองของเช่นะคับ



รายละเอียดหนังสือ
- หนังสือนิยายมีจำนวน 3 เล่ม เล่มละประมาน 400 หน้า หรือมากกว่านี้ (1ชุดประมาน 1200หน้า)
- เนื้อภายใน แบ่งออกเป็นเนื้อเรื่องหลักทั้งหมด (ลงในเว็บ) + ตอนพิเศษ11ตอน แบ่งออกเป็น
* Special Night I .... Jealous... [ลงในเว็บ]
* ตอนพิเศษ รัณย์กาล 4 ตอน [ลงในเว็บ1ตอน ไม่ลง3ตอน]
* ตอนพิเศษ ชาตินิล 3 ตอน [ไม่ลงในเว็บ]
* ตอนพิเศษ นที 1 ตอน [ลงในเว็บ]
* ตอนพิเศษ ชาติรัณย์(วัยเด็ก) 1 ตอน [ไม่ลงในเว็บ]
* ตอนพิเศษ รพี(ม.ต้น) 1 ตอน [ไม่ลงในเว็บ]
- หนังสือตีพิมพ์ขนาดA5 ปกกระดาษอาร์ตการ์ด 260 แกรม เนื้อในกระดาษถนอมสายตา75แกรม เข้าเล่มไสกาว
- หนังสือ1 ชุด ประกอบไปด้วย ***ไม่ขายแยกเด็ดขาด***
* หนังสือนิยาย 3 เล่ม
* Boxset
* ที่คั่นหนังสือ 3 อันลายไม่ซ้ำกัน
* โปสการ์ด ขนาด 4*6 นิ้ว 1 อัน
- หนังสือราคาชุดละ 1240 บาท ไม่รวมค่าส่ง

สามารถจองและโอนเงิน ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 4 ก.พ. 2559


https://docs.google.com/forms/d/1amBQXJTkGIoRW_M2d8tXE_mrSm2VxSHxObbLSwn53Lw/viewform?c=0&w=1


หากใครคิดว่าเช่ควรลบบอกได้เลยนะคับ ยินดีลบให้ หากทีมงานตอบเมล์เช่กลับเมื่อไหร่จะลงให้ถูกต้องทันที

แล้วถ้าใครไม่มั่นใจ อยากได้เอกสารยืนยันตัวตนสามารถขอได้หลังไมค์หรือทางแฟนเพจเหมือนกัน

ขอบคุณคับ  :hao5:

ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
ปริ่มมมมม...กับการกลับมา....!!!


ขอบคุณเช่นกันที่เขียนอะไรดีๆให้ได้อ่าน...



จองๆๆๆๆ..จะเอารัตติกาลมาไว้ในครอบครอง!!!!

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เป็นตอนจบที่อิ่มเอม มีความสุขสุดๆเลยค่ะ
ดีใจที่สุดท้ายทุกอย่างก็ถูกเวลารักษา ต่างคนต่างก็มีชีวิตของตัวเอง

รพีได้มีทั้งพ่อและแม่ กาลได้กลับบ้าน รัณย์ได้ดุแลคนที่รัก อยากอ่านคู่รองมากกว่านี้ รอในเล่มแล้วกัน

ขอบคุณเช่นะคะ เก่งมากเลย ติดตามเรื่องต่อไปแน่ๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด