39th Night
…Hope...
‘การชดใช้ที่สาสมที่สุด ก็คือการที่ต้องแบกรับความรู้สึกผิดเอาไว้’
ความสัมพันธ์ของอารัณย์และรัตติกาลใช่ว่าจะแย่เพราะเรื่องนั้น ร่างสูงเลิกทำเฉยเมยต่อคนรักแม้ว่าจะยังขุ่นข้องหมองใจอยู่บ้างแต่การให้อภัยและช่วยกันแก้ปัญหาคือสิ่งที่อารัณย์เลือกทำมากกว่าผลักไสให้รัตติกาลรับผิดชอบความผิดนั้นเพียงลำพังเพราะสุดท้ายแล้วเขาก็เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนทำให้ปูนต้องเสียใจ
แม้จะดูเหมือนปกติแต่ทว่าทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่ามีบางสิ่งระหว่างเขาสองคนที่ไม่เหมือนเดิม รัตติกาลมองดูการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่สุดท้ายสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือยอมรับมัน
“ไอ้รัณย์ มึงเลิกทำตัวเป็นหมาบ้าสักทีได้ไหม หงุดหงิดว่ะ”
นิลเอ่ยขึ้นพร้อมกับเบ้หน้าใส่ชายหนุ่มที่กราดมองโต๊ะของเด็กหนุ่มนักศึกษาที่เอาแต่จ้องมายังรัตติกาลตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน
“เรื่องของกู”
“เออ เรื่องของมึงแต่กูอัดอัด ถ้าจะบ้าหวงไอ้กาลมันขนาดนี้ ที่หลังก็ขังเอาไว้แต่ในบ้านไม่ต้องให้เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยดีไหม”
“...ถ้าทำได้กูคงทำไปแล้ว”
ร่างสูงพูดเหมือนบ่นกับตัวเองก่อนจะตักกับข้าวใส่จานให้รัตติกาลที่นั่งนิ่งพูดไม่ออก นักเขียนหนุ่มถอนหายใจแล้วหันไปสบตากับเพื่อนรักอย่างสื่อความหมายว่าทั้งเห็นใจและสมน้ำหน้ามันในคราวเดียวกัน
“อารัณย์ กินเองบ้าง ของผมพอแล้ว”
“หรอ...อืม กินเยอะๆนะ”
รัตติกาลรู้สึกหนักใจไม่น้อยกับอาการที่อารัณย์เป็นแต่ก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงเพราะตัวเองนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ร่างสูงต้องหวาดระแวงทั้งเขาและคนรอบข้าง ร่างโปร่งวางมือของตนลงบนหน้าขาของอีกฝ่ายแล้วออกแรงนวดเบาๆเพื่อให้ร่างสูงคลายกังวล อารัณย์ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจก่อนจะยอมหันมายิ้มให้คนรักที่มีสีหน้าไม่สบายใจจนเห็นได้ชัด
“ขอโทษนะที่เป็นแบบนี้”
“อืม ผมเข้าใจ”
นิลส่ายหน้าให้กับทั้งคู่ที่ทำราวกับว่ากินข้าวอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง คนที่ฉายเดี่ยววันนี้เลยเลือกที่จะหยิบรายการของต่างๆที่ทางวัดแนะนำว่าควรจัดหาไว้สำหรับการทำบุญวันเกิดของรพีรวมไปถึงการอุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่จากไปด้วย
“ส่วนใหญ่ที่ต้องเตรียมเพิ่มทางวัดก็บอกให้ไปยืมได้ ไว้ใกล้ๆวันมึงสองคนค่อยพากันไปแล้วกัน ส่วนไอ้พวกของถวายที่เหลือเดี๋ยวกูจัดการเอง”
“ขอบใจนะเว้ยนิล งานนี้มึงรับผิดชอบเยอะกว่ากูอีก”
“แหงแหละ ขืนรอมึงอย่างเดียงคงได้เรื่องอยู่หรอก ช่วยๆกันทำไป อีกอย่างกูก็อยากทำบุญให้สองคนนั้นเหมือนกัน...ยังไงก็พี่”
นักเขียนหนุ่มยิ้มขืนเมื่อคิดถึงบุคคลทั้งสองที่จากไป แม้ว่ารัตติกาลจะเคยขัดแย้งกับสองคนนั้นแค่ไหนแต่นิลก็ไม่เคยเกลียดพวกเขาลงเลยซึ่งเรื่องนั้นร่างโปร่งเองก็เข้าใจดี รัตติกาลหลุบตาลง ยิ่งวันเกิดของรพีใกล้เข้ามามากเท่าไหร่ร่างโปร่งก็ไม่อาจปกปิดความไม่สบายใจได้อย่างเคย
“แล้วมึงคิดรึยังว่าจะอธิบายกับลูกว่ายังไง”
“คิดแล้ว ถึงมันอาจจะไม่ดีนักแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าจะต้องให้รพีมารับรู้เรื่องของผู้ใหญ่ในตอนที่ยังไม่พร้อม”
“ก็แล้วแต่มึงตัดสินใจแล้วกัน ส่วนรูปของสองคนนั้นเดี๋ยวกูเอามาให้”
“รูป?”
อารัณย์ทักขึ้นด้วยความสงสัย โดยมีรัตติกาลคอยตอบคำถามให้ฟังอย่างเคย
“รูปของพ่อกับแม่ของรพีน่ะ...พอดีผมไม่มีเก็บไว้เลย”
“จะพูดให้ถูกคือไอ้กาลมันเผาซะเกลี้ยง เลยต้องเดือดร้อนกูจนได้”
นิลทำเป็นพูดทีเล่นทีจริงเพื่อไม่ให้บรรยากาศแย่ลงอีก พวกเขาอยู่ทานอาหารกันจนเสร็จก่อนนิลจะแยกตัวออกไปเพราะเอารถมาเอง ส่วนรัตติกาลกับอารัณย์ก็มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของร่างโปร่งด้วยรถโฟล์คคันเก่าของพี่เลี้ยงหนุ่ม ที่นานวันรัตติกาลยิ่งชอบใจในความอึดของมัน
“เย็นนี้จะมากินข้าวด้วยกันรึเปล่า รพีบ่นคิดถึงมาหลายวันแล้ว”
“ขอคิดดูก่อนนะ โรงเรียนติดหยุดยาวมาหลายวัน จะกลับไปก็มีงานให้เคลียร์กองพะเนินเลย”
“อ่อ...อืม”
อารัณย์เหลือบมองสีหน้าของรัตติกาลที่ซ่อนความผิดหวังไว้ไม่มิด เนื่องด้วยอาทิตย์ที่ผ่านมามีวันหยุดที่ตรงกับวันพฤหัสทำให้ทางโรงเรียนต้องปิดยาวถึงสี่วัน แต่เพราะติดธุระบางอย่างทำให้ทั้งสี่วันนั้นอารัณย์ได้มาพบรัตติกาลเพียงแค่เวลาสั้นๆ จนทำให้คนที่มีความผิดติดตัวอย่างรัตติกาลอดที่จะกังวลไม่ได้
อารัณย์รู้ดีว่าคนรักกำลังคิดมากเรื่องอะไร ถึงแม้จะสงสารแต่เพราะเรื่องที่ผ่านก็ทำให้อดที่จะอยากแกล้งร่างโปร่งให้มากกว่านี้สักหน่อย พี่เลี้ยงหนุ่มคิดแผนการบางอย่างก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเปลี่ยนเป็นทำขึงขัง
“กาล...หลังจากอาทิตย์นี้ที่โรงเรียนจะมีงานกีฬา รพีได้บอกรึยัง”
“อืม ก็เห็นพูดๆอยู่ ทำไมหรอ”
“เราคงไม่ได้เจอกันสักพักนะ”
“...!”
“ผมต้องช่วยเตรียมงานด้วยน่ะ แถมหน้าที่รับนักเรียนตอนเช้าครูใหญ่เขายกไปให้คนอื่นทำอีก คงไม่ได้ไปหากาลเหมือนทุกที”
“หรอ...”
“อืม”
“แล้วมัน...นานรึเปล่า”
“ก็น่าจะเกือบเดือน ทำไม เหงาหรอ?”
รัตติกาลเบิกตากว้างก่อนจะค่อยๆหลุบมองต่ำแล้วหันออกไปทางนอกหน้าต่าง ร่างสูงคอยสังเกตท่าทางนั้น แก้มที่ขาวของรัตติกาลเริ่มขึ้นสีชัดก่อนที่เจ้าตัวจะตอบออกมาด้วยเสียงที่เบากว่าทุกที
“อืม...เหงา”
อารัณย์รีบตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทาง ในจังหวะที่รัตติกาลกำลังหันมาถามร่างโปร่งก็ถูกคนที่พยายามเก๊กมาตลอดคว้าไปจูบพร้อมกับโอบกอดเอาไว้แน่น ชายหนุ่มดิ้นคลุกคลักอยู่พักหนึ่งเพราะความตกใจ แต่เมื่อตระหนักได้ว่าคนตรงหน้าคือใครรัตติกาลก็โอนอ่อนแล้วยอมให้อีกฝ่ายเก็บเกี่ยวความหวานได้ตามใจชอบ
ทันทีที่ละริมฝีปากออกมาอารัณย์ก็พูดขึ้นแล้วซุกใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มกว้างลงบนบ่าลาดของรัตติกาลอย่างเขินอาย ใจที่ฟีบแบนพองฟูขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินคนรักพูดแบบนั้น ความกังวลตลอดเวลาที่ผ่านมาค่อยๆบรรเทาเบาบางลงจนรัตติกาลอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาทั้งที่มีน้ำตาคลอ
“ให้ตายสิ ผมเอาชนะกาลไม่ได้จริงๆ”
“นี่คุณแกล้งผมหรอ”
“ฮ่าๆ ขอเอาคืนหน่อยนะ”
อารัณย์หัวเราะแหะๆก่อนจะโดนรัตติกาลทุบหลังเสียอั๊กใหญ่ พี่เลี้ยงหนุ่มคลี่ยิ้มเมื่อคนในอ้อมแขนออกอาการสั่นน้อยๆเหมือนลูกนกพลัดรัง เขารู้ตัวเองในทันทีว่าต่อเหตุการณ์จะเปลี่ยนไปยังไง เขาก็ยังคงชอบที่จะแกล้งให้อีกฝ่ายหลุดมาดอยู่ดี
“ขอโทษๆ ไม่ต้องร้องนะ”
“ใครร้อง เรียกว่าโกรธจนตัวสั่นต่างหาก!”
ร่างโปร่งผละออกมาแล้วชกที่อกของคนรักเข้าเต็มแรง แต่ยังไม่ทันที่อารัณย์จะได้พูดอะไร ริมฝีปากหนาก็ถูกครอบครองด้วยกลีบเนื้อเย็นเฉียบของรัตติกาล ร่างโปร่งบดคลึงมันอยู่ชั่วครู่แต่ไม่ได้รุกล้ำ สัมผัสที่นุ่มนวลไม่สมกับรัตติกาลสร้างความพอใจให้คนขี้แกล้งได้ไม่น้อย พวกเขาถ่ายทอดความรู้สึกกันอยู่แบบนั้นจนรัตติกาลล่าถอยออกมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“อย่าเล่นแบบนี้อีก...ผมกลัวจริงๆนะอารัณย์”
“เพิ่งรู้ว่ากาลกลัวเป็นด้วย”
“ทำไมจะกลัวไม่เป็น...ผมก็คน”
“ถ้าอย่างนั้นกาลก็ควรให้โอกาสตัวเองบ้าง เพราะไม่มีใครบนโลกนี้ที่ไม่เคยทำผิดพลาด...แม้แต่ผมเองก็เหมือนกัน”
“...”
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ผมไม่ชอบที่กาลอมทุกข์แบบนี้เลยรู้ไหม
อารัณย์จับหัวของคนอายุมากกว่ามาโคลงไปมาราวกับเด็กๆ ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่ารัตติกาลยังมีอะไรติดค้างในใจ ร่างโปร่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนยอมพยักหน้า พี่เลี้ยงหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาพลางลูบหัวทุยของอีกฝ่ายที่คว้ามือของเขามาจับไว้
“ได้คุยกับน้องเขารึยัง”
“ยัง...ผมติดต่อปูนไม่ได้เลย”
รัตติกาลพูดถึงความต้องการที่จะปรับความเข้าใจกับร่างเล็กแต่ดูเหมือนว่าทางนั้นจะพยายามหนีหน้าเขาทุกทาง ห้องพักที่เคยอาศัยไร้วี่แววว่ามีคนอยู่ เบอร์โทรศัพท์ที่เคยใช้ก็ถูกเปลี่ยนไป และการค้นหาครั้งนี้ก็ทำให้รัตติกาลได้รู้ว่าตลอดช่วงเวลาที่เขาหนีไปหลบพักที่บางขุนเทียนปูนได้พยายามติดต่อมาหาเขาเป็นร้อยๆครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะเขาจำเป็นต้องใช้เบอร์ที่ฤทธิชาตินำมาให้แทน
“เดี๋ยวผมกลับไปคุยกับเจ้าของหอให้ เผื่อทางนั้นจะติดต่อกลับมา”
“ผมไปคุยไว้แล้วล่ะ เห็นว่าปูนไม่ได้กลับไปที่นั่นเป็นอาทิตย์แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้จะไปอยู่ที่ไหน”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หาเจอ ยังไงก็ต้องกลับมาเรียนอยู่ดี”
ร่างโปร่งยิ้มขืน ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นแต่เขาก็วางใจไม่ได้และพาลหงุดหงิดตัวเองที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับปูนเลยสักอย่าง อารัณย์นำรถออกวิ่งอีกครั้งหลังจากที่จอดคุยกันได้สักพัก ร่างสูงมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของรัตติกาลแล้วนึกสงสัยถึงความรู้สึกที่ชายหนุ่มมี แม้ว่าจะกลัวที่ต้องรู้คำตอบแต่เพื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาในวันข้างหน้า อารัณย์จึงตัดสินใจถามไป
“กาล ผมถามได้ไหมว่าคุณอยากจะพูดอะไรถ้าได้เจอกับปูน”
ร่างสูงมองคนที่จ้องมือของตนเองอย่างเอาเป็นเอาตาย รัตติกาลครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่แน่วแน่อย่างที่เขาไม่เคยเห็น
“ผม...อยากขอโทษที่เลือกปูนไม่ได้”
“...”
“มันอาจจะดีถ้าผมยังรั้งให้เขาอยู่กับผมต่อไป แต่สุดท้ายผมคงได้กลายเป็นคนแบบที่ตัวเองเกลียด และที่สำคัญ...ปูนคงไม่มีวันได้เจอกับคนที่รักเขาจริงๆ ผมอยากให้น้องเขามีความสุขจริงๆนะ อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่อยู่กับผม”
“คุณทำดีที่สุดแล้วกาล ผมเชื่อว่าน้องเขาจะต้องเข้าใจคุณ”
อารัณย์ระบายยิ้มให้คนข้างๆที่ถึงแม้จะยังไม่คลายความรู้สึกผิดแต่ก็กำลังรอโอกาสเพื่อจะแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองก่อ เขาหวังอย่างยิ่งว่าหากเมื่อถึงวันที่ทุกฝ่ายพร้อมที่ทุกฝ่ายพร้อมจะหันหน้าเข้าคุยกันความจริงใจที่รัตติกาลมีนั้นจะสามารถบรรเทาเบาบางความเจ็บปวดในหัวใจของร่างเล็กลงได้ สักวันบาดแผลที่ทุกคนทำร้ายซึ่งกันและกันไว้จะต้องหายดีแม้อาจจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้จางๆ แต่ขอแค่ทั้งรัตติกาลและปูนสามารถยิ้มให้กันได้เหมือนเก่า นั่นก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว
“ผมเองก็มีอะไรอยากบอกน้องเขาเหมือนกัน”
“...?”
“ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างกาลมาตลอดแล้วก็...พี่จะดูแลเขาเองไม่ต้องห่วง”
รัตติกาลยิ้มขำออกมาเมื่อคนที่จุดประเด็นดันหน้าแดงเพราะคำพูดของตัวเองซะได้ เขามองไปยังฟ้าครึ้มฝนเบื้องหน้าที่ยังคงไม่สดใสและอาจมีอุปสรรคมากมายรออยู่ แต่ถึงอย่างนั้นคนเราก็ต้องเดินต่อไป ก้าวข้ามทั้งอดีตและปัจจุบันที่แสนทรมานเพื่อมีความสุขกับวันข้างหน้า
‘ขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเคยรักพี่’
รัตติกาลปรารถนาจะบอกกับคนที่หายไปแบบนั้น
.
.
.
.
.
.
.
.
วันเวลาผ่านไปพร้อมกับงานวันเกิดที่เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่าง บ้านพัฒนเดชาที่เคยเหงาเงียบเหงากลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา รพีที่ถูกจับให้นั่งมองผู้ใหญ่ทำงานเงียบๆอยู่ตรงมุมห้องอ้าปากหาวจนกว้าง ราดหน้าฝีมือพ่อกาลที่เจ้าตัวขอลองทำเพื่อฝึกมือเผื่อวันจริงถูกเติมจนเต็มท้องของเด็กชายจนเริ่มออกอาการเลื้อยไปตามพื้นเพราะไม่อาจต่อต้านความง่วงที่รุมเร้าได้
“พีครับ เข้าไปนอนในห้องไป”
อารัณย์ที่เดินผ่านมาสะกิดเข้าที่พุงกลมๆของรพีที่แทบจะปรือตามองไม่ไหว แขนป้อมยืนไปตรงหน้าทันทีที่เห็นว่าคนที่รบกวนการนอนของตัวเองคือใคร
“น้ารัณย์...อุ้มหน่อย”
“ขี้อ้อนเหมือนพ่อเลยนะ”
พี่เลี้ยงหนุ่มว่ายิ้มๆแต่ก็ยอมรับรพีมากอดไว้ในอ้อมแขนเด็กชายแทบจะเคลิ้มหลับทันทีที่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากอกของร่างสูง อารัณย์ยิ้มอ่อน นานวันเขายิ่งนึกเอ็นดูเด็กชายที่มีนิสัยไม่ต่างจากบิดา เขาพารพีออกมาด้านนอกแทนที่จะเป็นห้องนอนอย่างที่ตั้งใจแค่เพราะอยากให้รัตติกาลเห็นว่ารพีน่ารักแค่ไหน
“กาลๆ”
“หื้ม?”
รัตติกาลที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็คของแล้วจัดอาสนะเงยหน้าคนมาใหม่ที่หนึ่งในนั้นหลับน้ำลายไหลเป็นที่เรียบร้อย อารัณย์ใช้มือข้างที่ว่างชี้ให้ร่างโปร่งดูลูกชายที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าตัวเองกำลังโดนผู้ใหญ่ตัวโตพามาแกล้งให้อายเล่น ร่างโปร่งส่ายหน้าอย่างระอา แต่ก็เดินมาหาทั้งสองคนทันทีที่เห็น
“แกล้งเด็ก”
รัตติกาลว่าดุๆก่อนจะหยิกเข้าที่ท้องแขนของคนตัวโตที่แสร้งทำหน้าเจ็บปวดทั้งๆที่เขาใช้แรงเพียงนิดเดียว
“อู้ยยย เจ็บนะกาล เบาๆ เดี๋ยวลูกตื่น”
“ถ้ากลัวจะตื่นแล้วทำไมไม่พาไปนอนบนห้อง ตรงนี้ร้อนจะตาย”
อารัณย์แกล้งกลอกตามองไปเรื่อย เขาจะพูดได้ยังไงว่าที่อยากมาหาก็เพราะนึกเป็นห่วงคนที่ใจลอยอยู่เรื่อยจนร่างสูงกลัวว่าจะพลาดเกิดอุบัติเหตุไปเสียก่อน และดูเหมือนว่าเสียงที่ผู้ใหญ่คุยกันจะดังเกินไป ทำให้ร่างป้อมในอ้อมแขนของอารัณย์กระพริบตาน้อยๆก่อนจะลืมมันขึ้น
“อื้อ พ่อ”
“ครับ ง่วงมากหรอ”
รัตติกาลถามไถ่พลางลูบไปตามใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำลายเบาๆอย่างไม่รังเกียจ เด็กชายพอได้รับความอบอุ่นก็เอนหน้าเข้าหาสัมผัสนั้นอย่างว่าง่าย กริยาที่ไม่ต่างจากลูกแมวอ้อนเจ้านายทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนระบายยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู
“ฮะ พ่อกาลทำงานรึยัง ไปนอนกับพีนะ”
เด็กชายพูดอ้อนทันทีเมื่อเห็นว่าบิดาอยู่ในอารมณ์ไหน อารัณย์มองสองพ่อลูกที่พูดคุยกันนุ้งนิ้งด้วยความรู้สึกโล่งใจ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่มีทางเห็นรพีกล้าพูดขอรัตติกาลแบบนี้เป็นแน่ แม้จะไม่เท่าเด็กคนอื่นแต่ร่างป้อมก็เริ่มเอาแต่ใจมากขึ้นซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีเมื่อเทียบกับวุฒิภาวะทางอารมณ์ของรพีก่อนที่เขาจะเข้ามา
“พ่อยังทำงานไม่เสร็จครับ ขึ้นไปนอนกับน้ารัณย์ก่อนไป”
“ไม่เอา ไปนอนด้วยกันสิ”
คราวนี้ไม่ใช่รพีที่พูดแต่กลายเป็นผู้ใหญ่ตัวโตอีกคนที่เอ่ยขึ้นแทน ร่างป้อมหันไปมองอารัณย์อย่างงงๆที่จู่ๆพี่เลี้ยงหนุ่มก็พูดแทรกขึ้นมาราวกับรู้ว่ารพีอยากพูดว่าอะไร เด็กชายเกาแก้มขาวๆของตัวเองแล้วเอียงคอถามด้วยสีหน้าซื่อๆ
“น้ารัณย์อยากนอนกับพ่อเหมือนกันหรอฮะ”
ตุ๊บ!
ลูกศรที่ขนเสื่ออยู่ใกล้ๆถึงกับปล่อยมันหลุดมือทันทีที่ได้ยินคำถามของคุณหนูเล็ก หญิงสาวรีบหยิบมันแล้วเดินออกไปให้พ้นสายตาของอารัณย์ที่มองมาแต่ก็ไม่อาจซ่อนรอยยิ้มกว้างและแก้มแดงๆนั้นได้ ทันทีที่แผ่นหลังเล็กของสาวใช้เดินพ้นไป พี่เลี้ยงหนุ่มก็เป็นฝ่ายพูดไม่ออกเสียงเองบ้าง เขาแสร้งไอกระแอมเล็กน้อยก่อนจะหันไปสบตากับรพีโดยมีรัตติกาลคอยมองอยู่ด้วยความสมน้ำหน้า
“เออ คือ...ครับ”
“ทำไมหรอฮะ น้ารัณย์กลัวผีหรอ”
เด็กชายถามซื่อๆ เพราะคิดว่าพี่เลี้ยงหนุ่มคงกลัวผีเหมือนกับข้าวที่มักจะขอมานานข้างๆตนเสมอทุกครั้งที่นอนกลางวัน
“อื้อ กลัวมากเลย ขอน้านอนด้วยได้ไหม”
อารัณย์ไหลตามน้ำไปเมื่อเห็นช่องทางที่จะได้เอาคืนคนรักที่ไม่คิดจะช่วยเขาแก้ตัวกับลูกชายเลยสักนิด ตอนนี้เลยกลายเป็นฝ่ายรัตติกาลบ้างที่ทำหน้าอึกอักแล้วลุ้นกับคำตอบของรพีแทน
“แต่นี่กลางวันนะฮะ ผีไม่ออกมาตอนนี้หรอก”
“ผีผ้าห่มไงครับ พีรู้จักไหม”
รัตติกาลทุบหลังคนรักเมื่ออีกฝ่ายเริ่มพูดจาทะลึ่งใส่เด็กที่ไม่ประสา รพีมองผู้ใหญ่ทั้งสองหยอกกันด้วยความตกใจ จนร่างโปร่งต้องหันมาลูบแผ่นหลังเล็กนั้นเบาๆเพื่อปลอบร่างป้อมว่าไม่มีอะไรต้องกลัว
“เลิกพูดเล่นกันสักที พีไปนอนในห้องนั่งเล่นก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวเสร็จแล้วพ่อจะเข้าไปหา”
“ฮะ พ่อรีบๆมานะ”
รพีรับคำอย่างว่าง่ายโดยไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก อารัณย์จัดแจงพารพีไปนอนเล่นตรงที่รัตติกาลว่าโดยไม่ลืมที่จะขอผ้าห่มและตุ๊กตาจากสาวใช้มาให้รพีได้กอดนอนด้วยก่อนที่เขาจะเดินออกไปหาคนรักอีกครั้ง
“ทำร้ายร่างกายผมบ่อยจังนะ นี่เมียหรือนักมวยเนี่ย”
“ลองดูอีกสักหมัดไหมล่ะ”
ร่างโปร่งหันไปยิ้มเย็นพร้อมกับชูหมัดขึ้นขู่คนที่ชักจะลามปามขึ้นทุกวัน อารัณย์หัวเราะร่าเมื่อได้แหย่อีกฝ่ายเล่นสมใจหวัง เขาทรุดกายนั่งลงข้างๆรัตติกาลที่กำลังเช็คบัญชีสิ่งของอยู่บนพื้นไม้ตรงระเบียงบ้าน ร่างสูงมองดูเส้นผมที่โดนลมพัดจนตกลงมาปรกใบหน้าเขายิ้มออกมาก่อนจะจับมันไปทัดไว้ที่ใบหูให้คนรักไม่รู้สึกรำคาญ
“วันนี้เหม่อบ่อยมากเลยนะ ผมทำแทนให้ไหมกาลจะได้พัก”
“ไม่เป็นไรเหลืออีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว แต่พรุ่งนี้คงต้องให้ตื่นมาช่วยกันจริงๆ”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอค่าจ้างเป็นค้างที่ห้องกาลแทนแล้วกัน”
“หึ ทำเหมือนกับจะยอมไปนอนห้องอื่น”
รัตติกาลส่ายหน้าเมื่อโดนอารัณย์ตีเนียนเข้าแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คงต้องยอมให้อีกฝ่ายมานอนด้วยอย่างที่ว่า เพราะงานวันเกิดของรพีที่จะจัดขึ้นพรุ่งนี้เรียกได้ว่าเป็นงานใหญ่ที่บ้านพัฒนเดชาไม่ได้จัดขึ้นมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายก็ตั้งแต่สมัยที่พ่อกับแม่ของรัตติกาลยังอยู่ งานนี้เขาจึงต้องหวังพึ่งกำลังของอารัณย์อย่างเลี่ยงไม่ได้
“รู้หรอกว่ากาลก็อยากนอนกับผม ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน”
“อันนั้นโทษตัวเองที่ติดธุระเถอะ ว่าแต่นี่เคลียร์งานเสร็จแล้วรึไง มาช่วยทางนี้จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นอะไรหรอก ผมเคลียร์เรียบร้อยแล้วไม่ต้องห่วง”
อารัณย์ส่ายหน้ายิ้มๆแล้วหยิบเอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตน ชายหนุ่มมองรัตติกาลที่ยังไม่ละสายตาไปจากงานด้วยความรักก่อนจะยื่นมันไปให้คนตรงหน้าทั้งๆที่ยังไม่เปิดกล่องออก ร่างโปร่งหยุดมือที่กำลังถือปากกานิ่ง นัยน์ตาสีราตรีเบิกกว้างก่อนจะเงยขึ้นสบกับคนที่ยิ้มรออยู่
“เปิดสิ”
“...อะไร”
“อยากรู้ก็เปิด ไม่ใช่แหวนหรอกน่า”
รัตติกาลมองคนรักที่เกาท้ายทอยแก้เก้อก่อนจะรับกล่องกำมะหยีสีน้ำเงินใบเล็กไว้แล้วค่อยๆเปิดมันออกโดยมีอารัณย์ที่กำมือจนแน่นด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน
สร้อยข้อมือทองคำเส้นเล็กถูกวางอยู่ตรงกลางของกล่องนั้น ลวดลายฉลุประณีตบ่งบอกถึงราคาอันสูงค่ารับกับจี้รูปปืนที่ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าเจ้าของที่แท้จริงของมันคือใคร
“พอดีได้กลับไปที่บ้านมาเลยหยิบมาด้วย คิดว่าจะให้เป็นของขวัญรพีเลยอยากบอกกาลไว้ก่อน”
“ไหนว่าพ่อคุณ...”
“ผมยังไม่ได้เล่าสินะว่าหลังจากแม่ตายผมมีชีวิตต่อไปยังไง”
ร่างโปร่งพยักหน้าก่อนส่งสร้อยเส้นนั้นให้อารัณย์ถือไว้ ชายหนุ่มลูบเบาๆบนจี้ที่บ่งบอกตัวตนของบิดาที่เขาไม่มีวันได้พบหน้า ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะปล่อยมันออกมา รัตติกาลมองดูคนที่พยายามเรียกความกล้าให้ตัวเองด้วยความเป็นห่วงจนอดที่จะยื่นมือเข้าไปจับขาของอารัณย์ไว้ไม่ได้
“ผมเจอมันตอนย้ายออกจากบ้านหลังนั้นก่อนไปตะเวนทำงานอยู่ต่างจังหวัด น่าขำนะว่าไหม ทั้งที่ผมอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็กแต่กลับไม่เคยรู้เลยว่าแม่จะเก็บของมีค่านี้ไว้ทั้งที่เราแทบจะไม่มีข้าวกิน”
“...”
“ผมพยายามบอกตัวเองว่าไม่ใช่ ผู้ชายคนที่ทิ้งเราไว้ไม่มีทางมอบของแทนใจแบบนี้ให้กับผมคนที่เขาไม่เคยเห็นหน้าหรือแม้แต่ไม่อยากให้เกิดมา เขาจะทำแบบนั้นไปทำไม แล้วไหนจะแม่ที่ยอมแลกชีวิตผมกับเงินก้อนใหญ่ มีหรือที่จะปล่อยทองเส้นนี้ไว้ไม่ยอมเอามันไปแลกเหล้ากินเหมือนสมบัติอย่างอื่น ผมแทบจะเอามันไปขายทันทีด้วยซ้ำที่เจอ อย่างน้อยผมก็ใช้มันทำทุนจะได้ไม่ต้องลำบากอย่างเก่า”
“แต่คุณก็เก็บมันไว้”
รัตติกาลยิ้มเหมือนอย่างที่อารัณย์ยิ้ม พวกเขาสอดมือเข้าประสานกันให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงการมีตัวตนของตัวเองผ่านทางความอบอุ่นที่ส่งมา
“ใช่ สุดท้ายผมก็ขายความหวังของตัวเองไม่ลง”
“...”
“ผมไม่รู้ว่าความจริงแล้วสองคนนั้นเคยรักผมบ้างไหม สร้อยเส้นนี้คือสิ่งที่พวกเขาตั้งใจเก็บไว้ให้หรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่มันก็ไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว ขอเพียงแค่มีมันผมก็สามารถผลักดันตัวเองให้เดินหน้าต่อไปข้างหน้าได้ มันเป็นความหวังที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตต่อไป”
อารัณย์น้ำตาคลอขณะที่พูดจนรัตติกาลต้องลุกขึ้นมาโอบกอดคนตัวโตไว้พร้อมกับเอ่ยคำยินดีให้อีกฝ่ายได้ฟัง ร่างสูงยิ้มอ่อนเขาซบหน้าลงบนไหล่ของร่างโปร่งแบบที่ชอบทำ
“คุณควรเก็บมันไว้เองนะ”
“ความหวังคือสิ่งที่ควรส่งต่อไม่ใช่ครอบครองแล้วรอเวลาที่มันจะหายไป”
เขาวางมันลงบนมือของรัตติกาลอีกครั้งโดยที่คราวนี้ผู้รับระมัดระวังการแตะต้องสิ่งนั้นยิ่งกว่าเก่าเมื่อรับรู้ถึงคุณค่าทางจิตใจของมัน
“ผมรู้ว่ากาลเกลียดพ่อกับแม่ของรพี มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายสินะที่จะต้องคอยเลี้ยงดูลูกของคนที่ทำร้ายตัวเองขนาดนั้น”
“...”
“ขอโทษที่เคยบอกว่ากาลไม่สมควรถูกเรียกว่าพ่อ ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่กาลต้องเสียสละมาตลอดระยะเวลาเกือบหกปีนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถทำให้คนที่บอกว่าเกลียดได้ง่ายๆ ไม่ว่ากาลจะให้อภัยผมได้ไหม แต่ผมก็อยากบอกว่า...”
“...ฮึก”
“ขอบคุณนะครับที่เลี้ยงดูรพีจนเติบใหญ่ได้ขนาดนี้”
น้ำตาเม็ดใหญ่หยดลงบนกล่องกำมะหยีจนมันเปียกเป็นดวง อารัณย์ประคองใบหน้าของคนที่กำลังร้องไห้ไว้แล้วนาบหน้าผากของตนลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายจนสามารถเห็นเงาของตัวเองบนดวงตาสีดำคู่นั้นได้ชัดเจน
รัตติกาลสะอื้นจนตัวโยน ความรู้สึกที่เหมือนโดนมองจนทะลุปรุโปร่งทำให้เขาไม่สามารถเก็บงำบาดแผลในใจต่อหน้าคนคนนี้ได้ ร่างโปร่งกำชายเสื้อของอีกฝ่ายแน่นเมื่อหวนนึกถึงฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนตัวเขามาตลอดเวลาที่ได้เห็นเด็กชายอันเป็นที่รักของคนที่ล่วงลับทั้งสองค่อยๆเติบใหญ่ขึ้นทุกวันพร้อมกับความกลัวที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ...ความกลัวที่จะต้องเผชิญกับการสูญเสียอีกครั้ง
“ผมทำผิดกับเด็กคนนั้นมามาก ฮึก มันมากเกินไปจริงๆ”
“ไม่เป็นไร เรามาเริ่มกันใหม่นะกาล เราทั้งสามคนเลย”
“ฮึก มันจะไม่เป็นไรใช่ไหมอารัณย์ ผมจะทำได้ใช่ไหม”
“ยิ่งกว่าทำได้อีก กาลเป็นพ่อที่ดีนะ เชื่อมั่นในตัวเองหน่อยสิ”
อารัณย์มองคนที่ปาดน้ำตาตัวเองปอยๆด้วยความเอ็นดู เขาหอมหน้าผากนวลของคนรักที่แทบไม่เหลือความมั่นใจให้เห็น
“ผมคงทำไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ...ขอบคุณนะ”
“ยินดีเสมอครับ ลูกกาลก็เหมือนลูกผมแหละ”
รัตติกาลระบายยิ้มกว้างออกมาทั้งน้ำตาก่อนจะเอนตัวไปกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของอารัณย์จนทำให้อีกคนต้องรีบทำสิ่งเดียวกันนั้นกลับมาด้วยใบหน้าที่แดงกล่ำ
“ผมรักคุณนะอารัณย์”
“ผมก็รักคุณเหมือนกัน...รัตติกาล”
สองร่างโอบกอดกันไว้โดยมีสายตาของรพีแอบมองมาจากหน้าต่างห้องนั่งเล่น เด็กชายตัวป้อมรีบวิ่งเข้าไปหาบิดาที่ร้องไห้จนตาแดงกล้ำแล้วกระโจนเข้ากอดเต็มแรง ทำให้อารัณย์ต้องร้องโอดครวญขณะโดนศอกของเจ้าตัวป้อมฟาดเข้าเต็มเบ้าตา หญิงแก่ที่ยืนมองจากอีกมุมหนึ่งของบ้านหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาของตัวเองออกเบาๆด้วยหัวใจที่รู้สึกเหมือนโดนปลดปล่อยเมื่อเห็นภาพที่เธออยากเห็นที่สุดเกิดขึ้นในบ้านซึ่งตกอยู่ในวังวนความแค้นมานานหลังนี้สักที
“วางใจได้แล้วนะคะคุณท่าน คุณกาลเธอเจอบ้านของตัวเองแล้ว”
จันทร์รำพันถึงนายผู้ล่วงลับของตนก่อนจะเดินผละไปปล่อยให้สามคนนั้นได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างที่หวัง หญิงแก่คิดไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้วยิ้มพราย หากสิ่งศักดิ์สิทธิมีจริง สิ่งเดียวที่จันทร์อยากขอก็คือให้คุณหนูทั้งสองคนของเธอหลุดพ้นจากความฝันแล้วตื่นมาพร้อมกับอรุณรุ่งของวันใหม่เสียที
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ตอนนี้มาแบบสั้นไปนิด55555เมื่อวานคับรถไปชนกับรถตู้มาคับ ตัวไม่เจ็บ แต่รถเจ็บ T_T จะบ้า จบพาร์ทของน้องปูนไปแบบอาจจะไม่ถูกใจหลายๆคนนะคับ แต่เอาเข้าจริงๆถ้าพี่กาลไม่เลือกมันก็เท่านั้นแหละเนอะ ส่วนชีวิตของน้องต่อจากนี้คงต้องติดตามกันในเรื่องต่อไป อย่าเพิ่งหมั่นน้องมันมากจนพาลไม่อ่านนะ 5555 สนุกๆ ไม่ดราม่าเข้มเหมือนไนท์แมร์แล้วแหละ เช่ขอพักตับตัวเองบ้าง แต่ก็คิดว่ายังคงความเป็นเช่ไว้เหมือนเดิมแหละคับ
ตอนหน้าวันเกิดน้องพีแล้วววววว เตรียมฟินกันได้เลย บทหวานๆฟินๆทีไรเช่ลำบากทุกที =3= ช่วงนี้อาจจะมาได้ช้าหน่อยอย่าว่ากันนะคับ ต้องเตรียมอะไรหลายๆอย่าง เรียนด้วย อยากแยกร่างได้เหลือเกิน
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวต แบบสอบถามการซื้อหนังสือยังแวะเข้าไปทำกันได้ ช่วงนี้นั่งลิสตอนพิเศษแล้วว่าจะเขียนอะไรบ้าง คงจะได้แจ้งในวันเปิดพรีเลย แต่รับรองว่าไม่ผิดหวังกันแน่นอน!