Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...  (อ่าน 138543 ครั้ง)

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอ้ยยยย คู่นี้มาแรงแซงทางโค้งมากค่า

กุญแจมือกับเก้าอี้คืออะไรรรร ยิ่งเจอการเขียนแบบบรรยายเห็นภาพซะเขินเลย

นิลแอบน่ารักนะ ตอนสุดท้าย อดทนรอปมถูกคลายแบบไม่ไหวจะเคลียร์เลย

ออฟไลน์ กาลณัฐ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ค้างมากค้าาาาา คูรองแซ่บไม่แพ้กันเลยนะครัช  :jul1:

 :กอด1: ส่งกำลังให้คนเขียน
มาต่อไวไวนะค้าาาา  :mew1:

ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โหวววววววววววววววววววววววววว

คู่รองนี่แซ่บมากอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ  :hao6: :hao6: :hao6:

สนุกขึ้นเรื่อยๆๆๆ เหลือปมของปูน ปูนจะมาดีหรือมาร้ายเนี่ย

รอๆๆๆๆๆ

 :3123: :3123: :3123:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เริ่มแระสินะ คลื่นใต้น้ำ

ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
มาติดตามผลงาน....ด้วยคนค่ะ!!!!!!

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

38th Night

…As Same As...

 



“มึงดูง่วงๆนะนิล เมื่อคืนไม่ได้นอนหรอวะ”


รัตติกาลถามเพื่อนที่เอาแต่หาวทั้งที่หนังที่เจ้าตัวบ่นว่าอยากดูนักหนากำลังเข้าสู่จุดไคลแมกซ์ของเรื่อง นิลส่ายหน้าแต่กลับล้มตัวลงนอนบนตักแข็งๆขอนคนที่ไถ่ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย


“ป่าว กูแค่เพลีย”


“ไปทำอะไรมาถึงเพลียวะ”


“ปั่นต้นฉบับไง ยัยเจ๊คนใหม่นั่นจิกกูยิกๆเป็นไก่เลยสัด กูก็บอกแล้วว่าติดช่วยงานมึงอยู่จะส่งช้า ไม่รู้มีหูไว้แอบฟังเรื่องชาวบ้านอย่างเดียวรึไง”


ร่างโปร่งหัวเราะออกมาก่อนจะกดเปลี่ยนช่องกลับไปดูทีวีธรรมดาเพราะดูเหมือนว่านิลจะเหนื่อยเกินกว่าจะจดจ่ออยู่กับหนังต่อไปได้


“ถ้าเพลียขนาดนี้ทำไมไม่นอนอยู่ห้องวะ ความจริงมึงไม่ต้องมาก็ได้”


“ได้ไงอะ รับปากไว้แล้วนี่หว่า”


นิลบอกไปตามความจริงก่อนจะหาวจนปากกว้างแต่ก็แอบนึกเสียดายในใจที่ไม่ได้นอนซุกผ้าห่มหนาๆหลังจากปั่นต้นฉบับเสร็จอย่างเคย แต่ก็เพราะวันเกิดของรพีที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้าทำให้ทางนี้ต้องเตรียมการอะไรหลายอย่าง มันคงไม่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไรถ้าหากมันไม่ใช่การจัดงานวันเกิดครั้งแรกอย่างเป็นทางการ แต่ที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นเพราะปีนี้เป็นปีแรกที่รพีจะได้ฉลองกับรัตติกาล


“แล้วนี่ไอ้รัณย์มันไปไหนวะ นัดกันไว้เที่ยง นี่ปาไปบ่ายโมงแล้วยังไม่โผล่หัว”


“มันไม่ว่าง วันนี้ก็มีแค่มึงกับกูนี่แหละ”


รัตติกาลพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างเคยแต่นิลก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผิดหวังเล็กๆในนั้น


“แล้วก็ไม่บอก ปล่อยให้กูนอนกินบ้านกินเมืองอยู่ได้”


“กูดูมึงเหนื่อยๆเลยคิดว่าจะไม่ไปแล้ว”


“ไอ้กาล กูอุตส่าห์แหกขี้ตามาบ้านมึงเมื่อให้มึงไล่กูกลับไปนอนอีกเนี่ยนะ ไม่เอาเว้ย ลุกๆ ไหนๆก็มาแล้วก็จัดการกันให้เสร็จ”


ร่างสูงดีดตัวขึ้นยืนก่อนจะฉุดรัตติกาลที่เอาแต่นั่งนิ่งให้เดินตามกันมา รถยนต์ส่วนตัวของนิลถูกใช้เป็นยานพาหนะพาทั้งคู่ไปยังห้างสรรพสินค้าแห่งใหญ่ ที่เดียวกับที่นิลและชาติมาเลือกของด้วยกันเมื่อหลายวันก่อน นักเขียนหนุ่มมองตึกใหญ่โตตรงหน้าที่พาลให้นึกถึงความทรงจำแสนแซบทรวงนั้นแล้วได้แต่ทำสีหน้าแหยเกไม่ชอบใจจนรัตติกาลที่นั่งอยู่ข้างๆต้องทักออกมา


“เป็นไรวะ”


“เปล่า...แค่นึกถึงเรื่องแย่ๆน่ะ”


นิลรีบบอกปัดก่อนจะหักพวกมาลัยเลี้ยวเข้าไปในอาคารจอดรถที่แทบไม่เหลือที่ว่าง พวกเขาขับวนอยู่พักหนึ่งก่อนจะได้ที่จอดซึ่งห่างไกลจากประตูห้างพอสมควรแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพื่อนรักทั้งสองคนพากันเดินเข้าไปข้างในตัวอาคารที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำและคลาคล่ำด้วยผู้คนเช่นเคย


“นอกจากเรื่องอาหารที่ป้าจันทร์เตรียมให้แล้ว เราต้องซื้ออะไรอีกวะ”


“กู...อยากทำบุญวันเกิดให้รพี”


ร่างสูงหันมาเลิ่กคิ้วแทนคำถามเพราะสิ่งที่รัตติกาลพูดมามันห่างไกลจากจินตนาการของเขาอยู่มากโข แค่เรื่องที่รัตติกาลยอมให้จัดงานวันเกิดลูกชายมันก็เหลือเชื่อจะแย่แล้วแต่นี่ถึงกับจะจัดเป็นงานมงคล แสดงว่าเพื่อนของเขาคงต้องมีเหตุผลบางอย่าง


“ทำไมอยู่ดีๆถึงอยากทำ มีอะไรที่มึงไม่ได้บอกกูรึเปล่ากาล”


“ไม่มีอะไรหรอก...จริงๆแล้วกูก็ทำอยู่ทุกปีนั่นแหละ”


รัตติกาลถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินต่อไปโดยมีนิลขนาบข้างไม่ห่าง ท่ามกลางผู้คนที่เดินส่วนกันไปมาเขารู้ดีว่าคงไม่มีใครสนใจฟังเรื่องของพวกเขา นั่นทำให้ร่างโปร่งกล้าที่จะเอ่ยปากแม้ว่าจะไม่ได้อยู่กับนิลตามลำพังโดยเลือกที่จะบอกความจริงเพียงส่วนหนึ่งและละความไม่สบายใจเกี่ยวกับนทีที่เขาพบเจอเอาไว้


“มึงก็รู้ว่าวันนั้นนอกจากเป็นวันเกิดรพีแล้วมันยังเป็นวันอะไร”


“...วันที่สองคนนั้นตาย”


“ใช่...มันคือวันที่เด็กคนนั้นสูญเสียพ่อแม่ของตัวเองไปโดยไม่ได้รู้ความจริง”


ร่างโปร่งเค้นยิ้ม ในทุกๆปีที่วันแห่งความทรงจำนั้นเวียนมาถึงเขาไม่เคยบังคับใจตัวเองให้เผชิญหน้ากับรพีได้เลยสักครั้ง รัตติกาลมักจะหลบหน้าผู้คนไปในที่ที่ไม่มีใครหาพบเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามและมอมเมาตัวเองเพื่อให้ผ่านพ้นคืนนั้นไปโดยไม่ต้องทรมาน แต่สิ่งหนึ่งที่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน คือหลังจากลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันถัดไปสิ่งหนึ่งที่เขาทำมันทุกครั้งคือการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนที่ตัวเองบอกว่าเกลียดที่สุด


“มึงจะบอกรพีเรื่องพี่ทีกับพี่แพงหรอ”


“...ไม่ รพีจะไม่มีวันรับรู้เรื่องนั้น”


นิลขมวดคิ้วเพราะขณะที่รัตติกาลพูดประโยคนั้นเจ้าตัวกลับระบายยิ้มออกมาราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะทำ


“แต่ถึงอย่างนั้น...กูก็อยากให้เด็กนั่นตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ของตัวเองบ้าง”


“เลยจะให้จัดเป็นทำบุญวันเกิดแทนสินะ”


“อืม...เรื่องบางเรื่องมันก็สมควรถูกฝังไว้ตลอดไป”


“มึงคงคิดมาดีแล้วสินะ”


“อืม กูตัดสินใจแล้ว”


รัตติกาลพยักหน้า เขายิ้มให้เพื่อนรักที่กำลังมองมาด้วยรอยยิ้มไม่ต่างกัน นิลมองคนตรงหน้าแล้วได้แต่นึกขอบคุณอารัณย์อยู่ในใจที่ทำให้คนที่ครั้งหนึ่งเคยจมอยู่กับความแค้นจนมันกัดกินตัวเองค่อยๆลืมตาตื่นแล้วก้าวเดินออกมาจากวังวนนั้นได้


“ให้ตายสิ มึงเป็นไปได้ขนาดนี้เพราะมันสินะ หมั่นไส้ชะมัด ขนาดกูเป็นเพื่อนรักมึงแต่กลับไม่เคยเปลี่ยนใจมึงได้ ไอ้รัณย์แม่งเข้ามาแปปเดียวกลับทำได้ง่ายๆ”


“ไม่ง่ายหรอก มึงจำไม่ได้รึไงว่าตอนเจอกันครั้งแรกกูเกือบกระทืบมันตาย”


“นั่นสินะ จะว่าไปมันเหมือนเป็นคนที่ฟ้าส่งมาให้พวกมึงสองพ่อลูกเลยนะ”


ร่างโปร่งยิ้มกริ่ม จุดๆนี้เขาก็คิดไม่ต่างจากเพื่อนรัก เขาเคยถามตัวเองว่าถ้าวันนั้นอารัณย์ไม่เดินผ่านแค้มป์คนงานพวกเขาตอนนี้จะเป็นยังไง รพีอาจจะตายตั้งแต่วันนั้น และเขาอาจจะต้องจมอยู่กับตราบาปและความเศร้าที่ไม่มีทางรักษา เพราะอย่างนั้นเขาถึงรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทำให้เขาได้เจอคนคนนี้ไม่ว่ามันจะเป็นพรหมลิขิตหรือแค่ความบังเอิญก็ตาม


“แต่ที่แม่งเบี้ยวไม่มาวันนี้ก็มีความผิดอยู่ดี กลับมาเมื่อไหร่ต้องเล่นแม่งให้หนัก มึงว่างั้นไหม”


“เออ อันนี้กูก็ว่าถูก”


ทั้งสองคนยิ้มให้กันก่อนจะหัวเราะร่าออกมาจาคนรอบค้างเหลือบมามอง รัตติกาลและนิลช่วยกันหาซื้อชุดจานและของที่จำเป็นชุดใหม่เพื่อที่จะได้สะอาดพอสำหรับการนำมาใช้ในงานพิธี พวกเขาเดินเลือกของกันมาเรื่อยๆในส่วนที่หนักเกินจะถือไหวร่างโปร่งก็ใช้บริการขนส่งแม้จะต้องบวกค่าบริการเพิ่มไปหน่อยก็ตาม


“ไอ้กาล พักหาไรแดกก่อน หิวจนตาลายแล้วสัด อยากวางของนี่ด้วย”


รัตติกาลมองสองมือที่เต็มไปด้วยข้าวของของทั้งตัวเองและนิลแล้วนึกเห็นด้วยในคำพูดนั้น พวกเขาเดินกันมาอีกนิดหน่อยก่อนจะเลือกเข้าไปในร้านอาหารไทยประยุกต์ชื่อดังที่มีจำนวนลูกค้าพอประมานในช่วงตอนบ่ายเพราะไม่อยากจะต้องรอคิวนานมาก ทันทีที่ก้นแตะพื้นเก้าอี้ นิลก็ครางฮือในลำคอออกมาอย่างพอใจจนรัตติกาลนึกขัน เขาสั่งกับข้าวเผื่อเพื่อนตัวดีที่หมดแรงข้าวต้มไปสองสามอย่าง แล้วสั่งน้ำดื่มสมุนไพรมาสองแก้ว โดยที่ไม่คิดถามความเห็นนิลก่อน


ทันทีที่กับข้าวถูกวางลงบนโต๊ะ นิลก็ลงมือกินโดยทำเหมือนกับตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่ร้านอาหาร เหล่าลูกค้าสาวๆต่างก็มองมาที่โต๊ะของทั้งสองคนด้วยความพึงใจ คนหนึ่งดูเข้าถึงง่าย สบายๆ พูดไปหัวเราะไปไม่หยุด ในขณะที่อีกคนหนึ่งก็น่าค้นหา ใบหน้าได้รูปนั้นอมยิ้มน้อยๆขณะฟังเพื่อนร่วมโต๊ะสนทนาทำเอาผู้คนนึกหลงใหลในความสุขุมนั้น นิลหยิบยกเรื่องของผู้จัดการคนใหม่ขึ้นมาพูดคุยอย่างถึงพริกถึงขิง แต่ในขณะที่เขากำลังจะเล่าถึงความจุกจิกของเจ้าหล่อน ตอนนั้นเองร่างสูงก็หยุดปากลงแล้วมองออกไปด้านนอกร้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย


“ไอ้กาล นั่นมันเด็กเก่ามึงใช่ไหมวะ”


“เด็กกู?”


รัตติกาลขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปมองทางด้านหลัง ภาพของเด็กหนุ่มที่เขาคุ้นเคยดีกำลังเดินเคียงข้างมากับผู้ชายร่างสูงใหญ่ในชุดทำงานแบบไม่เป็นทางการมากนัก ปูนหันไปคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายน้อยๆก่อนจะเดินเคียงข้างกันไปโดยมีเพียงหลังมือที่สัมผัสโดนกันเวลาเดิน รัตติกาลเผลอปล่อยช้อนในมือลงกระทบจานจนเกิดเสียงดัง เช่นเดียวกับใบหน้าที่เคยทอประกายความสุขกลับขุ่นเคืองขึ้นมาดื้อๆ


“เด็กนั่น...”


“ไอ้กาล มึงจะทำอะไร”


นิลคว้าเอาแขนของร่างโปร่งที่ลุกขึ้นยืนทันทีที่สองคนนั้นเดินลับสายตาไป นักเขียนหนุ่มดึงให้เพื่อนรักนั่งลงตามเดิมพร้อมกับจ้องไปในดวงตาสีดำคู่นั้นเพื่อปรามอารมณ์ที่ถูกจุดขึ้นสูงของรัตติกาล


“มึงเป็นเหี้ยอะไร จะไปทำอะไรน้องมัน”


“กูเปล่า...”


“อย่าโกหกกูไอ้กาล ท่าทางเมื่อกี้มึงคงหวังจะเดินไปทักเขาเฉยๆมั้ง”


รัตติกาลสะบัดหน้าที่รู้สึกชาไปทั้งแถบหนีไปทางอื่นพร้อมกับพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ นิลมองดูคนตรงหน้าที่อยู่ในสภาพไม่สู้ดีเท่าไหร่ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพอจะประติดประต่อเรื่องราวได้


“มึงอย่าบอกกูนะว่ายังไม่ได้เลิกกับมัน”


“...”


“สัสเอ้ย...กูล่ะปวดหัวกับพวกมึงจริงๆ”


นิลยกมือขึ้นกุมขมับเพราะไม่คิดว่าเรื่องทุกอย่างจะดำเนินมาแบบนี้ เอาจริงๆเขาไม่คิดว่ารัตติกาลจะพลาดไม่จัดการกับเด็กคนนั้นให้เรียบร้อยก่อนตกลงคบกับอารัณย์ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาร่างโปร่งไม่เคยปล่อยให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น


“โอเค กูเข้าใจแล้ว...ไอ้กาล สิ่งที่มึงต้องทำมีแค่อย่างเดียว คือเลือกระหว่างเด็กนั่นกับไอ้รัณย์...มึงจะเลือกใคร”


รัตติกาลสามารถตอบได้โดยไม่ต้องคิดว่าคนที่เขาจะเลือกคืออารัณย์แต่เพราะความรู้สึกด้านมืดลึกๆมันกลับทำให้เขาไม่สบอารมณ์เอาซะเลยเมื่อต้องเห็นคนที่ครั้งหนึ่งเคยเทิดทูนเขาแทบตายกลับไปทำสิ่งนั้นกับคนอื่นทั้งที่เราสองคนยังไม่ตัดสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการ...เสียหน้า...รัตติกาลกำลังรู้สึกแบบนั้น


“สมน้ำหน้า...”


ร่างโปร่งรีบเงยหน้าขึ้นทันทีที่มีเสียงประหลาดดังขึ้นข้างหู เขาหันไปมองรอบตัวก็ไม่เห็นว่าจะมีใครจนสบเข้ากับดวงตาคมของนิลที่มองมาอย่างงงๆ


“ไอ้นิล เมื่อกี้มึงพูดอะไรกับกูรึเปล่า”


“ก็พูดสิวะ กูบอกให้มึงเลือกระหว่างสองคนนั้นไง ได้ฟังกูบ้างไหมเนี่ย”


รัตติกาลขมวดคิ้ว สิ่งที่นิลสั่งเขาได้ยินมันอย่างชัดเจนตั้งแต่ก่อนที่เสียงประหลาดนั้นจะดังขึ้น มันแห้งเหมือนคนขาดน้ำแต่กลับฟังดูเย้อหยันเสียจนน่าขนลุก


“เป็นอะไรอีกวะ ทำหน้ายังกับเห็นผี”


“ปะ เปล่า กูไม่เป็นไร”


“งั้นมึงตอบกูได้รึยังว่าจะเอายังไง อย่ามาทำสันดานอย่างนี้นะเว้ยไอ้กาล ถ้ามึงเลือกไอ้รัณย์ก็เลิกยุ่งกับเด็กนั่น น้องมันจะไปมีเมียหรือมีผัวใหม่มึงก็ไม่มีสิทธิไปว่าเขา ถึงแม้ตอนนี้มึงจะยังไม่ได้บอกเลิกกันเด็ดขาดแต่อย่าลืม...ว่ามึงก็นอกใจเขาเหมือนกัน”


นิลพูดด้วยเสียงกดต่ำก่อนเรียกพนักงานมาเช็คบิล ร่างโปร่งถอนหายใจทั้งหงุดหงิดเรื่องเสียงที่ว่าอีกทั้งยังไม่สามารถเถียงคำพูดของนิลได้สักประโยค เขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิดแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หยุดความผิดหวังของตัวเองไว้ไม่ได้


ทั้งสองคนเดินเลือกซื้อของกันต่อด้วยอารมณ์ที่ติดลบผิดจากขามา แม้ว่าความโกรธจะสงบลงแล้วแต่ความขุ่นมัวในใจก็ยังไม่จางหายไป ร่างสูงเห็นสภาพของเพื่อนแล้วก็ยิ่งเร่งมือซื้อของเพื่อที่จะได้พาคนเลือดร้อนไปส่งที่บ้านไวๆ แต่ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะไม่เคยรับฟังคำขอของนิลเลย


“อะ อื้อ อย่าครับ”


ร่างเล็กที่ยังคงสวมเสื้อผ้าครบชุดแต่กลับหลุดลุ่ยไม่เหลือสภาพเดิมกำลังบิดเร้าร่างของตนแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นอย่างเอียงอาย แต่ทันทีที่ทำอย่างนั้นกลับเหมือนปูนเปิดโอกาสให้คนที่ยืนคร่อมตัวเองอยู่ก้มลงสูดความหอมตรงลำคอขาวที่ตัดกับเสื้อยืนสีเข้มนั้นได้เป็นอย่างดี


รัตติกาลกำหมัดแน่น เขาแทบจะโยนของทุกอย่างในมือทิ้งทันทีที่เห็นภาพตรงหน้าซึ่งเกิดอยู่ใกล้ๆกับรถของนิลที่จอดไว้ ตรงนี้เป็นมุมอับที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านทำให้มีพวกใจกล้ามักมาทำตัวลุ่มล่ามอยู่บ่อยๆแต่ร่างโปร่งกลับไม่นึกเลยว่า เด็กหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมองว่าอ่อนหวานจะเป็นคนประเภทนั้นด้วย


“ฉิบหาย ไอ้กาลใจเย็นๆ!”


นิลสบถและร้องเสียงดังแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หยุดรัตติกาลเอาไว้ไม่ทัน ร่างโปร่งวางของในมือลงกับพื้นแล้วตรงดิ่งไปหาคนทั้งคู่ที่ยังคงไม่รู้ว่าบทรักของตัวเองได้ถูกคนนอกอย่างเขาเห็นเข้าแล้ว


รัตติกาลคว้าไหล่ที่กว้างพอๆกับตนแล้วกระชากเต็มแรงจนอีกฝ่ายผงะถอยหลัง ทันทีที่แยกสองคนนั้นออกจากกันได้เขาก็ใช้กำลังทั้งหมดผลักอกผู้ชายไม่คุ้นหน้าคนนั้นจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับตัวรถของนิลที่อยู่ใกล้ๆกันท่ามกลางเสียงร้องของปูนที่เพิ่งเห็นชัดๆว่าคนที่เข้ามาขวางตนคือใคร


“พะ พี่กาล...”


“นี่มันเรื่องอะไรกันวะ ปล่อยกูนะเว้ย!”


ร่างโปร่งตวัดสายตาไปมองร่างเล็กที่ยืนตัวสั่นแต่ก็ยังไม่คลายมือที่กดบ่าของชายอีกคนไว้ เขาจ้องมองปูนด้วยความผิดหวังระคนกับแค้นใจ โดยไม่คิดจะปกปิดอารมณ์ครุกรุ่นในน้ำเสียงของตนเองเลยแม้สักนิด


“ปูนทำแบบนี้ได้ยังไง...ทำอะไรลงไปห๊ะปูน!!!”


“ไอ้กาล ปล่อยเขาก่อน ใจเย็นๆสิวะ!”


นิลซึ่งตามมาที่หลังดึงแขนของรัตติกาลออกจากชายร่างใหญ่คนนั้น ที่ทรุดลงไปหายใจหอบกับพื้นแล้วหันมามองเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งอย่างคาดโทษ มันสบถแล้วกรนด่าในสิ่งที่ไม่มีใครนอกจากปูนที่เข้าใจก่อนจะเข้ามาแย่งของบางอย่างคืนไปจากร่างเล็ก


เด็กหนุ่มขืนสู้อยู่พักหนึ่งโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆจากรัตติกาลแต่ด้วยสรีระที่ต่างกันมาทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ยืนเยื้อจนเกินไป ชายคนนั้นผลักปูนจนล้มลงไปกองกับพื้นก่อนจะวิ่งหนีหายไปทั้งๆอย่างนั้น เด็กหนุ่มหน้าเสียแต่ก็ยังมีสติพอที่จะพยายามลุกขึ้นโดยไม่ร้องขอความช่วยเหลือใดๆจากคนที่กำลังมองมาอย่างโกรธแค้น


“เป็นเด็กแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ปูน ทำอะไรอยู่รู้ตัวบ้างไหม!”


“รู้สิครับ...อย่างน้อยก็มากกว่าที่พี่รู้”


ปูนเงยหน้าขึ้นตอบรัตติกาลด้วยน้ำเสียงที่เย้อหยันไม่แพ้ใบหน้า รัตติกาลมองรอยยิ้มที่เด็กหนุ่มไม่เคยทำใส่เขามาก่อนด้วยความไม่ชอบใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตะหวาดกลับไปเท่านั้น


“พี่ควรรู้อะไรมากกว่านี้อีกหรอปูน ยังมีอะไรทุเรศมากกว่าที่พี่เห็นอีกหรอ!”


“พี่กาล!!!”


“ไอ้กาลมึงพูดแรงไปแล้วนะเว้ย!!!”


นิลกลับเป็นฝ่ายผลักเพื่อนของตนเข้าเต็มแรงเพราะทนฟังในสิ่งที่รัตติกาลพูดไม่ได้ ร่างสูงคิดว่ารัตติกาลใจเย็นลงแล้วเมื่อได้ตระหนักถึงสถานะของตัวเองและอารัณย์ แต่กลายเป็นว่าเจ้าตัวดันมาได้เห็นในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในตอนที่ยังไม่สามารถทำใจให้ยอมรับได้เต็มร้อยซะได้


“ทำไมพี่พูดแบบนี้...”


“...”


“ใจร้าย! ฮึก ต่อให้พี่ไม่เคยรักผมแต่แบบนี้มันก็เกินไปแล้วนะ!”


เด็กหนุ่มเดินเข้ามาประชิดตัวแล้วต่อยเข้าที่ไหล่ขวาของร่างโปร่งอย่างไร้เรี่ยวแรง รัตติกาลปัดป้องมันออกโดยที่เบนหน้าหนีพยายามไม่มองน้ำตาที่ไหลนองเป็นทางของเด็กหนุ่มตรงหน้า นิลเข้ามาช่วยพยุงปูนไว้พร้อมกับบอกให้อีกฝ่ายใจเย็น ร่างเล็กๆสั่นเทาอย่างน่าสงสาร แม้ว่าจะร้องไห้แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาที่เคยทอประกายสดใสกลับยังคงจ้องมองไปยังรัตติกาลด้วยความรวดร้าวอยู่ดี


“ผมทำผิดอะไร บอกผมสิพี่กาลว่าผมทำอะไรผิด!”


“...พี่ว่าปูนน่าจะรู้ตัวอยู่แล้วนะ”


รัตติกาลกัดฟันพูดโดยที่ยังคงไม่สบตากับอีกฝ่าย ร่างเล็กเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็ยิ่งรู้สึกปวดร้าวในอก เขาแสยะยิ้มให้ความโง่เขลาของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโต้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันดังแต่ก็ยังคงสั่นไหว


“หึ ใช่ ผมรู้ตัวว่าผมผิด แล้วพี่ล่ะครับ...รู้ตัวบ้างรึเปล่าว่าตัวเองก็เลวพอๆกัน”


ร่างโปร่งหันมามองเด็กหนุ่มที่จ้องมองมาอย่างเคียดแค้นด้วยความไม่เข้าใจ ปูนเดินไปหยิบกระเป๋าถือของตนที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาก่อนจะหยิบเอารูปถ่ายจำนวนหนึ่งออกมาแล้วฟาดมันไปที่ใบหน้าของรัตติกาลเข้าเต็มแรง


ภาพของอารัณย์และรัตติกาลในอิริยาบถต่างๆถูกบันทึกเอาไว้บนกระดาษแผ่นหนาที่ระบุวันที่ไว้ว่าเป็นวันที่เขาพารพีและคนรักไปทานอาหารในร้านใกล้ๆกับหอพักของร่างเล็ก


“ผมไม่เคยเรียกร้องอะไร ผมยินดีเดินไปจากพี่ถ้าพี่ต้องการ...แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ พี่ปล่อยให้ผมรอ พี่ทิ้งผมไว้คนเดียวแล้วไปมีความสุขกับมัน ฮึก พี่คิดบ้างไหมว่าผมจะรู้สึกยังไง!!!”


ร่างเล็กทรุดตัวลงกอดเข่าของตัวเองไว้ราวกับว่ามันเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาสามารถไขว่คว้าเอาไว้ได้ รัตติกาลถือรูปพวกนั้นไว้ในมือที่สั่นเทา ความโกรธและเห็นแก่ตัวทั้งหมดหายไปหลงเหลือไว้แต่ความรู้สึกผิดที่เขาได้ทำลายหัวใจของคนคนหนึ่งที่คอยอยู่เคียงข้างในเวลาที่ลำบากลงด้วยความมักง่ายและเห็นแก่ตัว


“พี่เคยบอกว่าเกลียดการทรยศ ฮึก แล้วทำไมถึงทำมันซะเองล่ะครับ ทำไม...พี่กาลต้องทรยศผมด้วย”


“...ปูน”


“แค่พี่บอกผมก่อน...แค่บอกผมเท่านั้นพี่กาล”


“...”


“ผมคงจะไม่...ต้องรู้สึกเกลียดพี่มากขนาดนี้”


“พี่อธิบายได้”


“มันสายไปแล้วครับ...พี่ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว”


เด็กหนุ่มปัดมือของรัตติกาลที่ยื่นมาหาทิ้งแล้วลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองแม้ว่าร่างแทบจะไม่เหลือแรงไว้ใช้ประคองตัว เขาหยิบกระเป๋าถือที่ไม่เหลืออะไรแล้วของตัวเองมาถือไว้ ปาดน้ำตาแล้วต้องมองรัตติกาลด้วยสายตาที่ทั้งจริงจังและเจ็บแค้น





“สักวันพี่จะต้องชดใช้...ด้วยทั้งหมดที่พี่มี”



:o12:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :o12:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-09-2015 20:55:23 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1



อารัณย์มองบ้านหลังใหญ่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกหนักอึ้งกว่าเคย เขากล่าวทักทายยามที่คุ้นหน้ากันดีพร้อมกับส่งมื้อดึกที่ซื้อมาฝากให้ด้วยใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้มต่างจากทุกครั้งจนคนสูงวัยกว่านึกแปลกใจ


ไฟเกือบทั้งบ้านถูกปิด อารัณย์แหงนหน้ามองตำแหน่งห้องของคนรักแล้วพบว่ามันก็เป็นอีกหนึ่งห้องที่ไร้แสงสว่าง เขาเดินเข้าไปข้างในแล้วตรงไปยังห้องนั้นก่อนหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบานใหญ่ อารัณย์ลังเลใจอยู่สักพักแต่สุดท้ายเขาก็เอื้อมมือเข้าไปเคาะมันอยู่ดี


ไอเย็นเข้าปะทะใบหน้าทันที่อารัณย์ก้าวเข้าไปด้านใน ทั้งห้องมืดสนิทไม่ต่างจากที่คิดแต่เพราะแสงจันทร์ที่พอมีทำให้เขาสามารถเห็นเค้าลางของคนที่นั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนพื้นได้บ้าง ร่างสูงเดินตรงไปหาร่างนั้น ยืนมองรัตติกาลที่จมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเองพาลให้รู้สึกทั้งสงสารและเสียใจ อารัณย์พยายามสงบสติอารมณ์ที่แปรปรวนกว่าเคยแล้วนั่งลงข้างๆรัตติกาลแต่ไม่เข้าไปคลอเคลียเหมือนเช่นทุกครั้ง


“จะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กาล”


“...”


“เงยหน้าขึ้นมาแล้วเล่าทุกอย่างมาให้ผมฟัง...ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น...ผมอยากได้ยินมันจากปากของกาลเอง”


คำพูดของปูนที่แฝงด้วยความน้อยใจถูกซ้อนทับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งของอารัณย์ รัตติกาลยอมเงยหน้าขึ้นมาเผยให้เห็นดวงตาที่แดงก่ำและริมฝีปากสีคล้ำอันเกิดจากการอัดบุหรี่จดหมดซองทั้งๆที่ร่างโปร่งหยุดสูบมันมาได้สักพักใหญ่ อารัณย์มองรัตติกาลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนีเอาแต่จ้องออกไปนอกหน้าต่างแทนการบอกว่าไม่ต้องการเผชิญหน้า แต่ถึงอย่างนั้นคนที่เจ็บไปทั้งอกก็ยังไม่ไปไหนจนกว่าจะได้ฟังคำสารภาพจากปากคนที่เขารัก


เรื่องราวตั้งแต่วันที่พบหน้าจวบจบวันที่จากลาถูกถ่ายทอดให้อารัณย์ได้ฟังโดยไม่ขาดตกบกพร่อง รัตติกาลยิ้มเมื่อนึกถึงปูนที่แสนสดใสแต่กลับทำหน้าเศร้าใจเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปด้วยความเห็นแก่ตัว


ร่างโปร่งเอื้อมไปจับมือของอารัณย์ไว้แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะจับตอบเหมือนเช่นทุกครั้ง รัตติกาลอยากร้องไห้อ้อนวอนแต่เขากลับทำมันไม่ได้ ชายหนุ่มไม่มีแม้แต่ความมั่นใจว่าตัวเองสมควรได้รับความรักจากใครอีก


“ปูนดีกับผมมาก ในวันที่ผมไม่เหลือใครเด็กคนนั้นเป็นคนเดียวที่ยื่นมือเข้ามาแม้ว่าผมจะเป็นแค่คนแปลกหน้า...ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น...แต่ผมก็รักไม่ได้อยู่ดี”


“พอเถอะกาล...เราต่างก็โตพอจะรู้แล้วว่าความดีไม่ใช่ความรัก”


รัตติกาลเค้นยิ้ม เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกบีบให้เล็กลงในทุกๆวินาที มือที่จับอารัณย์ไว้ก็ทำให้เจ็บไปทั้งหัวใจแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะคลายมันออก


“เด็กนั่น...คงเจ็บใจมากตอนที่รู้ว่าเป็นผม ทั้งที่เคยดูถูกเอาไว้ซะขนาดนั้นแต่สุดท้ายกลับคว้ากาลไปได้ เป็นใครๆก็แค้น”


อารัณย์นึกย้อนกลับไปมองสิ่งที่ตัวเองเคยทำกับทั้งรัตติกาลและปูนเอาไว้ เขายังจำสายตาที่มองมาอย่างไม่ชอบใจและหมัดรุ่นๆที่ต่อยเขาเต็มแรงเพราะบังอาจไปพูดจาดูถูกรัตติกาลเข้า ท่าทางโกรธเกรี้ยวที่เขาเคยมองว่ามันไร้สาระกลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อร่างสูงลองคิดกลับกันว่าหากกลายเป็นเขาที่ต้องได้ยินคำพูดพวกนั้นจากปากของคนอื่นแทนก็คงทำไม่ต่างกัน


“ไม่ใช่หรอกอารัณย์ เรื่องนี้คนที่ผิด...คือผมคนเดียว”


“...”


“ปูนไม่ใช่เด็กแบบนั้น เขาเป็นเด็กดี มีชีวิตที่ดีมาตลอดจนเจอผมเข้า ผมหลอกใช้เขา รู้ทั้งรู้ว่าเขารักผมมากแต่ผมก็ยังเห็นแก่ตัวคิดถึงแต่ตัวเอง เป็นเพราะผม ฮึก เพราะผมเอง”


“ตั้งสติหน่อยกาล”


อารัณย์ยอมจับมือของรัตติกาลตอบเมื่ออีกฝ่ายเริ่มโทษตัวเองเสียจนน้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วกลับมาอาบแก้มอีกครั้ง เขากดใบหน้าของร่างโปร่งให้ซบลงบนบ่าของตัวเองความขุ่นมัวในใจจะยังคงมี แต่ก็เพราะว่ารักคำเดียวที่ทำให้อารัณย์ทิ้งรัตติกาลที่อ่อนแอไปไม่ได้


“ต่อให้กาลไม่รั้งเขาไว้ เด็กคนนั้นก็ยังคงเลือกที่จะอยู่ข้างกาลอยู่ดี”


“อย่าปลอบผมเลยอารัณย์ สุดท้ายมันก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้”


“ผิดแล้วกาล ผมไม่ได้จะปลอบคุณเลยสักนิด”


“...!”


“ผมเองก็เหมือนปูน ที่ต่อให้รู้ว่าสุดท้ายเราจะต้องกลายเป็นฝ่ายเจ็บ...แต่ก็ยังอยากอยู่ข้างๆคนที่รักอยู่ดี”


รัตติกาลกระโจนเข้าหาอ้อมแขนของอารัณย์ทันทีที่ได้ยินคำนั้น ทั้งความผิดหวังในตัวเองและความกลัวเข้าถาโถมเสียจนเขาไม่อยากจะห่างจากคนคนนี้ไปไหน รัตติกาลรู้สึกเหมือนตัวเองนั้นเลวร้ายเกินกว่าจะได้รับความรักจากใคร แม้แต่ในตอนนี้ที่เขากำลังคิดถึงปูนเขาก็ยังโหยหาความอบอุ่นของอารัณย์อยู่ดี


“ผมโกรธกาลนะ ผมนึกว่ากาลเคลียร์กับเขาแล้วเลยไม่เคยพูดถึง พอนิลเล่าให้ฟังว่ากาลไปเจออะไรมาผมเองก็แทบควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนกัน”


“ขอโทษ ฮึก ขอโทษ”


“ทั้งๆที่เรามาด้วยกันขนาดนี้แล้วทำไมกาลถึงไม่บอกผม เพราะกาลไม่อยากให้เขาเสียใจ หรือเพราะว่าไม่อยากเสียเขาไปกันแน่ คำพูดพวกนี้มันเวียนอยู่ในหัวซ้ำๆจนไม่อยากแม้แต่จะมาเจอหน้ากาลอีก แต่ผมก็ทิ้งกาลให้ร้องไห้คนเดียวไม่ได้...”


รัตติกาลสัมผัสได้ถึงปลายเสียงที่สั่นจนเขายิ่งนึกโทษตัวเองมากขึ้นอีก ร่างโปร่งกระชับอ้อมแขนของตนให้แน่นขึ้นก่อนจะโดนอีกฝ่ายโอบรัดเสียจนร่างเขาแทบแหลกสลาย แต่รัตติกาลไม่ขัดขืน เมื่อเทียบกับตอนที่อารัณย์ไม่แม้แต่จะจับมือเขามันน่ากลัวเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น


“เลิกโทษตัวเองซะ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่กาลที่ทำผิด ผมเองก็ด้วย...รู้ทั้งรู้ว่ากาลมีปูนอยู่แล้วก็ยังยื่นมือเข้าไปโดยไม่สนเลยว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง”


อารัณย์จับใบหน้าของรัตติกาลให้มาเผชิญกับตัวเอง ร่างสูงกดจูบไปบนแก้มที่บอบช้ำอย่างอ่อนแรงแต่ก็เต็มไปด้วยความปรารถนา เขายังจำได้ดีว่าตัวเองเคยกลัวแค่ไหนเมื่อต้องคิดถึงว่ารัตติกาลเคยมีใครอยู่เคียงข้าง แต่พอสบโอกาสเขาก็เลือกที่จะไม่คิดถึงมันแล้วแสร้งทำเป็นว่าร่างโปร่งไม่เคยเป็นของใคร


“รู้แต่ก็ทำเป็นลืมมัน สนใจแต่ความสุขของตัวเองโดยไม่สนว่าใครจะต้องเจ็บปวดเพราะมันบ้าง สุดท้ายแล้วผมกับกาลก็ผิดพอๆกันนั่นแหละ แต่ต่อให้เป็นแบบนั้น...ผมก็ยกกาลให้ใครไม่ได้อยู่ดี”


“...ผมก็เหมือนกัน”


ทั้งคู่กอดกันอยู่อย่างนั้นพร้อมกับตอกย้ำความผิดของตัวเองไว้ในหัวใจ อารัณย์คอยลูบหัวของรัตติกาลไปด้วยจนร่างโปร่งเริ่มเคลิ้มหลับ ในช่วงเวลาที่แทบไม่เหลือสติ รัตติกาลหวนนึกถึงสิ่งที่นทีเคยทำกับเขาและสิ่งที่เขากำลังทำกับปูน ชายหนุ่มยิ้มหยันตัวเองทั้งน้ำตา ถ้อยคำสาปแช่งที่เคยมอบให้ชายคนนั้นหวนกลับมาสู่ตัวเขาเพราะการเลือกที่จะทำร้ายคนอื่นเพื่อความสุขของตัวเอง



ความเห็นแก่ตัวและการทรยศหักหลัง


สุดท้ายอาจกลายเป็นว่า...รัตติกาลกับนทีก็เลวไม่ต่างกัน


.

.

.

.

.

.

.



รัตติกาลมองตรงไปยังจอทีวีที่กำลังฉายหนังแอคชั่นที่เขากับนทีช่วยกันเลือกตอนที่ไปเดินซื้อของตัวกันครั้งก่อน เขาละสายตาจากมันแล้วหันมามองดูมือของตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายกอบกุมแล้วบีบเบาๆเป็นจังหวะตามนิสัยของคนที่ตนพิงอยู่


“งวดนี้ต้องไปกี่วันครับ”


ร่างโปร่งเอ่ยถามหลังจากที่ผู้ร้ายในเรื่องสั่งให้ลูกน้องถล่มเรือของพวกพระเอกเสียโครมใหญ่ นทีละสายตาจากทีวีแล้วหันมาให้ความสนใจกับคนข้างๆ ทันทีที่เขาสัมผัสได้ถึงความห่วงหาในปลายเสียง


“น่าจะอาทิตย์กว่า ทำไม เหงาหรอ?”


“อย่าหลงตัวเองนักเลยครับ...”


นทีหัวเราะร่าแล้วหันไปลูบแก้มใสของอดีตรุ่นน้องที่เปลี่ยนสถานะมาเป็นคนรักได้เกือบปี รัตติกาลเอนหน้าหนีสัมผัสนั้นแต่ก็ยังไม่วายโดนคนข้างๆตามมากวนเสียจนหนังที่กำลังดำเนินเรื่องอยู่ไม่มีใครให้ความสนใจ


“ถ้าเหงาก็ไปด้วยกันไหม จะได้จองตั๋วเพิ่ม”


“ไม่ทันแล้วล่ะครับ ผมเพิ่งนัดคุยกับลูกค้าเจ้าใหม่ไปเมื่อวันก่อน”


“เดี๋ยวนี้ชักเก่งใหญ่แล้วนะ ไม่ต้องคอยให้ใครสอนอีกแล้ว”


“ก็ใครล่ะขยันหาภาระมาให้”


รัตติกาลบ่นอุบ แต่เริ่มเดิมที่เขาแค่อยากทำสำนักพิมพ์เล็กๆที่สามารถดูแลด้วยตัวคนเดียวได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าได้รับแต่งานใหญ่ๆเข้ามา ทั้งจากในและต่างประเทศเสียจนโดนบริษัทอื่นเขาเกลียดขี้หน้า


แต่ถึงจะพูดว่าแบบนั้นก็ใช่ว่าเขาจะเกลียดมันเสียเมื่อไหร่ บริษัทกำลังก้าวไปในทิศทางที่ดี ลูกค้าประจำเริ่มมีมากขึ้นทั้งที่เปิดให้บริการได้ไม่นานนัก อาจจะด้วยเพราะชื่อเสียงเดิมของบ้านพัฒนเดชา ผลงานเปิดตัวของนิล และการทำธุรกิจแบบไร้จรรยาบรรณของนทีที่ทำให้ทุกวันนี้บริษัทของพวกเขากลายเป็นเสือตัวใหญ่ที่น่าจับตามองที่สุดในสายตาของใครหลายๆคน


“ก็หาเงินไว้เลี้ยงกาลทั้งนั้น นี่ว่าอยากลองจับธุรกิจไร่ชาดูสักหน่อยสนใจป่ะ”


“ไม่ต้องมาอ้างผมหรอกครับ จะหาเงินไว้เลี้ยงน้องๆที่ไหนก็ตามสบาย”


ร่างโปร่งยักไหล่ราวกับไม่ได้ใส่ใจแต่มีหรือที่นทีจะดูไม่ออก เขาคว้ารัตติกาลที่กลับไปให้ความสนใจกับหนังมากอดไว้ แล้วกดจูบเบาๆไปตามซอกคอที่น่าหลงใหล


“มีที่ไหน พี่เลิกหมดแล้วกาลก็รู้”


“ผมรู้เท่าที่พี่อยากให้รู้ต่างหาก เอาเข้าจริงถ้ามีซุกไว้ก็ตามจับไม่ได้อยู่ดี”


“ไม่มีครับ กาลก็รู้ว่าทำไม...”


นทีว่าดังนั้นแล้วโอบรัดรัตติกาลให้แน่นยิ่งขึ้น ร่างโปร่งนิ่งไปแล้วกนด่าตัวเองที่พลาดพูดเรื่องที่ไม่สมควรออกมาอีกแล้ว



ตั้งแต่ที่รัตติกาลบอกรักนทีในคราวที่เลิกรากับพะแพง เขาก็คอยดูแลชายหนุ่มคนนี้ตลอดเวลาในฐานะเดิมมีเพียงการแสดงเจตนาที่ชัดเจนขึ้นก็เท่านั้น นทีไม่เคยตอบรับแต่ก็ไม่ได้ผลักไส จนกระทั่งความดีสามารถเอาชนะหัวใจที่ยากจะหยั่งถึงของชายหนุ่มรุ่นพี่ลงได้ พวกเขาจึงเริ่มคบหากันโดยที่มีสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไปตลอดกาล


“ผมรู้ว่าพี่เลิกแล้ว...ขอโทษนะครับ”


รัตติกาลเอ่ยขอโทษคนรักที่เขาพยายามกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นในสิ่งที่เจ้าตัวเลิกทำไปแล้วหลังจากโดนพะแพงหักหลังมาด้วยการกระทำเดียวกัน นทีเลิกเจ้าชู้นับตั้งแต่คราวนั้น แม้จะเจ็บใจอยู่บ้างที่รู้ว่านทีเปลี่ยนไปเพราะใครแต่ถึงอย่างนั้น รัตติกาลก็มีความสุขและเป็นฝ่ายที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่สุด


“ช่างมันเถอะ ว่าแต่จะไม่ไปจริงๆใช่ไหม”


“อืม ไปไม่ได้หรอก”


“งั้นพี่จะรีบกลับมานะ แล้วจะพาไปกินขนมเจ้าอร่อย”


ร่างโปร่งยิ้มรับแล้วก็เฝ้ารอคอยให้ถึงวันนั้น แต่ดูเหมือนว่าการเจรจารอบนี้จะยืดเยื้อนานกว่าที่คาด รัตติกาลมองปฏิทินที่ถูกปากกาขีดฆ่า มันบอกว่าเขาไม่ได้เจอหน้านทีมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว


ชายหนุ่มร้อนใจแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจละทิ้งงานตรงหน้าไปได้ บริษัทกำลังเติบใหญ่เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นจนเขาไม่อยากจะทำลายมันลงเพียงเพราะความระแวงของตัวเอง


“ถ้าคิดมากขนาดนั้นก็ขึ้นไปตามซะให้หมดเรื่อง”


นิลบอกเพื่อนรักที่กำลังยกแก้วบรั่นดีในมือขึ้นจิบ ในขณะที่ตัวเองก็เอาแต่จ้องมองไปยังหญิงสาวโต๊ะข้างๆที่คอยส่งสายตาสื่อความหมายมาให้ไม่ขาดสาย รัตติกาลส่ายหัว ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำแต่เขากลับไม่เห็นประโยชน์ที่จะทำแบบนั้นมากกว่า ไม่ใช่ว่าเขาจะติดต่อกับนทีไม่ได้เลย พวกเขายังโทรคุยกันทุกเย็นแต่นั่นก็ไม่มากพอที่จะบรรเทาความคิดถึงลงได้


“ไม่ล่ะ พี่เขาบอกว่าไม่เกินสามวันก็กลับแล้ว”


“งั้นมึงจะมาดราม่าทำซากอะไรวะ”


“ไม่ได้ดราม่า...แค่เบื่อๆเท่านั้นแหละ”


“หึ ไอ้ปากแข็งเอ้ย เอ้าดื่มๆ”


นิลผลักหัวของรัตติกาลเบาๆแล้วเซ้าซี้ให้อีกฝ่ายชนแก้วเครื่องดื่มสีอำพันถูกกรอกลงคอไปเรื่อยๆจนร่างโปร่งเริ่มเมามายไม่ได้สติ เสียงเพลงอึกทึกค่อยๆเงียบหายไปจนเหลือแต่ความเงียบและความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ รัตติกาลปรือตาที่หนักจนแทบลืมไม่ขึ้นมองไปรอบๆห้องนอนสีขาวห้องใหญ่ ที่ร่างโปร่งจำได้ดีว่ามันเป็นห้องของคนรักที่หายหน้าไปนานจนความคิดถึงแทบฆ่าเขาทั้งเป็น


“อื้อ พี่ทีหรอ”


“ก็พี่น่ะสิ ไม่อยู่แปปเดียวซ่าจนได้เรื่องเลยนะกาล”


“ไหนบอกว่าจะยังไม่กลับไง...”


“แกล้งพูดไปงั้น จะคอยดูว่ากาลทำตัวเป็นเด็กดีเหมือนที่พี่ขอไหม”


นทีแกล้งพูดแซะแต่ก็ไม่ได้ว่าจริงจังมากนัก รองเท้าคัทชูคู่โปรดถูกถอดออกพร้อมๆกับถุงเท้าแล้วตามด้วยเสื้อผ้าจนรัตติกาลเหลือเพียงแค่ชั้นในติดกาย ผ้าขนหนูหมาดน้ำถูกเช็ดไปตามตัวที่เจอมลภาวะมาทั้งวัน ร่างโปร่งนอนมองคนที่ทำทุกอย่างให้ตนด้วยความรัก เขาค่อยๆเอนกายขึ้นแล้วทิ้งตัวลงในอ้อมแขนของอีกฝ่ายก่อน


“คิดถึง...”


ร่างสูงคว้ารัตติกาลเข้ามาระดมจูบให้หายคิดถึง ลำแขนขาวโอบล้อมรอบคออีกฝ่ายแล้วเบียดกายเข้าหาโดยที่นทีเองก็เต็มใจรับมันเอาไว้ ชายเจ้าของดวงตาเจ้าเสน่ห์มองไปยังคนที่ครวญครางอยู่ใต้ร่างของตนด้วยความพอใจ เขาก้มลงใช้ลิ้นเลียเบาๆไปตามยอดอกที่กำลังชูชันรับสัมผัสไม่ต่างจากกลางกายส่วนร่างที่เจ้าของมันกำลังใช้มือสาวเพื่อให้สามารถไปแตะขอบสวรรค์ได้พร้อมกัน


“อ๊า พี่ที อื้อออ”


“กาล อึก รัดให้แน่นอีกสิ”


นทีรัวสะโพกไม่หยุดจนกระทั่งคราบสีขาวไหลเปื้อนเป็นทางยาวบนผ้าปูที่นอน รัตติกาลเหนื่อยหอบ เขาเอนหัวของตนพิงลงบนอกของอีกฝ่ายที่หลับตานิ่งเหมือนกับว่าได้หลับไปทันทีที่กิจกรรมทุกอย่างจบลง รัตติกาลยันกายขึ้นมองไปรอบๆ กระเป๋าเดินทางและข้าวของทุกอย่างยังคงวางกองไว้ในมุมหนึ่ง ทำให้ร่างโปร่งรู้ว่าคนรักคงจะออกไปหาเขาทันทีที่เดินทางมาถึง


ชายหนุ่มระบายยิ้มอ่อนๆออกมาก่อนจะฝากรอยจุมพิตไว้บนแก้มกร้านของอีกฝ่ายแทนความรู้สึกขอบคุณและโหยหาที่มี รัตติกาลลุกขึ้นจัดแจงทำความสะอาดให้นทีแม้ว่าเหนื่อยจนแทบอยากหลับไปทั้งๆแบบนั้นแต่ก็ไม่อยากเอาเปรียบคนที่มักจะทำสิ่งเดียวกันให้ทุกๆครั้งจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของทั้งคู่


รัตติกาลเช็ดไปตามซอกแขนและขา เน้นในจุดที่สำคัญเพื่อให้คนรักหลับสบาย เขาทำมันไปเรื่อยๆจนไปถึงลำคอด้านหลัง ร่างโปร่งชุบผ้าลงในอ่างแล้วบิดมันให้หมาดอีกครั้งแต่ก่อนที่เขาจะได้ใช้มัน ดวงตาคมของรัตติกาลก็สะดุดเข้ากับรอยสีแดงคล้ำในบริเวณตีนผมใกล้กับท้ายทอยที่แทบจะสังเกตไม่เห็น


“นี่มัน...”


มือของเขาสั่น รัตติกาลไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่ารอยพวกนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง ความผิดหวังและความกลัวถาโถมเข้ามาหาจนทนไม่ได้ต้องหนีออกมายืนหายใจหอบอยู่ตรงระเบียงห้องโดยที่ทิ้งทุกอย่างที่ทำค้างไว้แบบนั้น




“พี่ทีไม่ชอบให้มีรอย...แล้วมัน อึก มาจากไหน”



รัตติกาลทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าโดยที่สายตายังไม่ละไปจากร่างที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียงนอน ความง่วงหายไป เหลือเพียงหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เขาถามตัวเองว่าควรทำยังไง แต่สุดท้ายก็ไม่เคยได้คำตอบกลับมา รัตติกาลยังคงนั่งนิ่งแล้วขับกล่อมตัวเองด้วยคำว่ารักและเชื่อใจแต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็ยังคงร้องไห้อยู่ดี


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!!


หายไปหลายวันเลยกลับมาพร้อมกับความหะเรี่ยของพี่กาล >/////<  :z2: มายแบดกาย! พี่กาลอาจจะเป็นแฟนที่ดีแต่เป็นกิ๊กที่ชั่วคับ สงสารน้องปูนจับใจ (แต่รู้นะมีหลายคนสะใจอยู่ไม่น้อย 5555) ไม่ต้องห่วงคับ ปมของปูนเหลือตบไปตอนหน้าอีกนิดหน่อยก็ไม่มีอะไรแล้ว ใจนึงก็อยากให้พี่กาลมันรับกรรมเยอะๆหน่อยเหมือนกัน แต่เรื่องนี้มัน รัณย์กาล ไม่ใช่ กาลปูน T^T อย่าไปแย่งบทเขามาก รอเรื่องเดียวของหนูก่อนนะน้องปูนของเช่ <3  :call:


แล้วก็...เช่คิดว่าอีกไม่เกิน10ตอนไนท์แมร์คงจะจบแล้วล่ะคับ!!  :o12: เหลือปมใหญ่อีกนิดเดียวนอกนั้นก็ค่อยๆเก็บไป ใจหายมาก!!! อนึ่งจำนวนตอนที่ว่าคือถ้าเช่ไม่พอออกทะเลอีกอะนะ 55555555 พรีหนังสือ คงจะเปิดให้พรีได้ในเดือนตุลาคม (มีคนส่งคอมเม้นต์มาว่าอยากให้เปิดหลังปิดเทอม คือเช่ไม่เข้าใจอะไรยังไงT^T) ส่วนจำนวนเดือนที่เปิดให้พรี อาจจะเป็น3เดือนนะคับ ตามราคาหนังสือคือคิดเผื่อให้เก็บเงินยาวๆกันเลย อยากขายง่ะ เข้าใจเช่นะ ^^  :hao5: :hao3:


ช่วงนี้งานเยอะแบบมากมายหลายแสน พอกๆไว้เองทั้งนั้นต้องใช้กรรมกันไปอาจจะมาช้ากว่าที่เคยนะคับ แต่เหมือนเดิม อย่างต่ำอาทิตย์ละตอนเน้อ แต่จะพยายามมาทักในเพจไม่หายหน้าไป ตามไปคุยกันได้นะ

ปอลอลิง ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวต ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่กันมานานจนถึงโค้งสุดท้าย ขอบคุณนะคับที่พาเช่มาได้ไกลขนาดนี้^^  :mew1:


ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอ้ยคุณกาลใจร้ายมาก คุณมีอารัณย์แล้วจะมาหวงน้องทำไม

ไม่สนใจก็อย่ามาทำแบบนี้สิ ปูนมาซบอกป้ามา :hao5:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ออออออ!!

ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
อารันย์...ใจกว้างมากๆๆๆอ่ะ


เป็นกำลังใจให้กาลค่ะ...ให้มีสติ....55

รออุดหนุนหนังสืออยู่นะค่ะ


รอตอนหน้า..ขอให้มาไวไว :call:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PK13

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ทำไมกาลทำแบบน้านนนนนนนนนนน

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

39th Night

…Hope...




 

‘การชดใช้ที่สาสมที่สุด ก็คือการที่ต้องแบกรับความรู้สึกผิดเอาไว้’





ความสัมพันธ์ของอารัณย์และรัตติกาลใช่ว่าจะแย่เพราะเรื่องนั้น ร่างสูงเลิกทำเฉยเมยต่อคนรักแม้ว่าจะยังขุ่นข้องหมองใจอยู่บ้างแต่การให้อภัยและช่วยกันแก้ปัญหาคือสิ่งที่อารัณย์เลือกทำมากกว่าผลักไสให้รัตติกาลรับผิดชอบความผิดนั้นเพียงลำพังเพราะสุดท้ายแล้วเขาก็เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนทำให้ปูนต้องเสียใจ


แม้จะดูเหมือนปกติแต่ทว่าทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่ามีบางสิ่งระหว่างเขาสองคนที่ไม่เหมือนเดิม รัตติกาลมองดูการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่สุดท้ายสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือยอมรับมัน


“ไอ้รัณย์ มึงเลิกทำตัวเป็นหมาบ้าสักทีได้ไหม หงุดหงิดว่ะ”


นิลเอ่ยขึ้นพร้อมกับเบ้หน้าใส่ชายหนุ่มที่กราดมองโต๊ะของเด็กหนุ่มนักศึกษาที่เอาแต่จ้องมายังรัตติกาลตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน


“เรื่องของกู”


“เออ เรื่องของมึงแต่กูอัดอัด ถ้าจะบ้าหวงไอ้กาลมันขนาดนี้ ที่หลังก็ขังเอาไว้แต่ในบ้านไม่ต้องให้เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยดีไหม”


“...ถ้าทำได้กูคงทำไปแล้ว”


ร่างสูงพูดเหมือนบ่นกับตัวเองก่อนจะตักกับข้าวใส่จานให้รัตติกาลที่นั่งนิ่งพูดไม่ออก นักเขียนหนุ่มถอนหายใจแล้วหันไปสบตากับเพื่อนรักอย่างสื่อความหมายว่าทั้งเห็นใจและสมน้ำหน้ามันในคราวเดียวกัน


“อารัณย์ กินเองบ้าง ของผมพอแล้ว”


“หรอ...อืม กินเยอะๆนะ”


รัตติกาลรู้สึกหนักใจไม่น้อยกับอาการที่อารัณย์เป็นแต่ก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงเพราะตัวเองนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ร่างสูงต้องหวาดระแวงทั้งเขาและคนรอบข้าง ร่างโปร่งวางมือของตนลงบนหน้าขาของอีกฝ่ายแล้วออกแรงนวดเบาๆเพื่อให้ร่างสูงคลายกังวล อารัณย์ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจก่อนจะยอมหันมายิ้มให้คนรักที่มีสีหน้าไม่สบายใจจนเห็นได้ชัด


“ขอโทษนะที่เป็นแบบนี้”


“อืม ผมเข้าใจ”


นิลส่ายหน้าให้กับทั้งคู่ที่ทำราวกับว่ากินข้าวอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง คนที่ฉายเดี่ยววันนี้เลยเลือกที่จะหยิบรายการของต่างๆที่ทางวัดแนะนำว่าควรจัดหาไว้สำหรับการทำบุญวันเกิดของรพีรวมไปถึงการอุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่จากไปด้วย


“ส่วนใหญ่ที่ต้องเตรียมเพิ่มทางวัดก็บอกให้ไปยืมได้ ไว้ใกล้ๆวันมึงสองคนค่อยพากันไปแล้วกัน ส่วนไอ้พวกของถวายที่เหลือเดี๋ยวกูจัดการเอง”


“ขอบใจนะเว้ยนิล งานนี้มึงรับผิดชอบเยอะกว่ากูอีก”


“แหงแหละ ขืนรอมึงอย่างเดียงคงได้เรื่องอยู่หรอก ช่วยๆกันทำไป อีกอย่างกูก็อยากทำบุญให้สองคนนั้นเหมือนกัน...ยังไงก็พี่”


นักเขียนหนุ่มยิ้มขืนเมื่อคิดถึงบุคคลทั้งสองที่จากไป แม้ว่ารัตติกาลจะเคยขัดแย้งกับสองคนนั้นแค่ไหนแต่นิลก็ไม่เคยเกลียดพวกเขาลงเลยซึ่งเรื่องนั้นร่างโปร่งเองก็เข้าใจดี รัตติกาลหลุบตาลง ยิ่งวันเกิดของรพีใกล้เข้ามามากเท่าไหร่ร่างโปร่งก็ไม่อาจปกปิดความไม่สบายใจได้อย่างเคย


“แล้วมึงคิดรึยังว่าจะอธิบายกับลูกว่ายังไง”


“คิดแล้ว ถึงมันอาจจะไม่ดีนักแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าจะต้องให้รพีมารับรู้เรื่องของผู้ใหญ่ในตอนที่ยังไม่พร้อม”


“ก็แล้วแต่มึงตัดสินใจแล้วกัน ส่วนรูปของสองคนนั้นเดี๋ยวกูเอามาให้”


“รูป?”


อารัณย์ทักขึ้นด้วยความสงสัย โดยมีรัตติกาลคอยตอบคำถามให้ฟังอย่างเคย


“รูปของพ่อกับแม่ของรพีน่ะ...พอดีผมไม่มีเก็บไว้เลย”


“จะพูดให้ถูกคือไอ้กาลมันเผาซะเกลี้ยง เลยต้องเดือดร้อนกูจนได้”


นิลทำเป็นพูดทีเล่นทีจริงเพื่อไม่ให้บรรยากาศแย่ลงอีก พวกเขาอยู่ทานอาหารกันจนเสร็จก่อนนิลจะแยกตัวออกไปเพราะเอารถมาเอง ส่วนรัตติกาลกับอารัณย์ก็มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของร่างโปร่งด้วยรถโฟล์คคันเก่าของพี่เลี้ยงหนุ่ม ที่นานวันรัตติกาลยิ่งชอบใจในความอึดของมัน


“เย็นนี้จะมากินข้าวด้วยกันรึเปล่า รพีบ่นคิดถึงมาหลายวันแล้ว”


“ขอคิดดูก่อนนะ โรงเรียนติดหยุดยาวมาหลายวัน จะกลับไปก็มีงานให้เคลียร์กองพะเนินเลย”


“อ่อ...อืม”


อารัณย์เหลือบมองสีหน้าของรัตติกาลที่ซ่อนความผิดหวังไว้ไม่มิด เนื่องด้วยอาทิตย์ที่ผ่านมามีวันหยุดที่ตรงกับวันพฤหัสทำให้ทางโรงเรียนต้องปิดยาวถึงสี่วัน แต่เพราะติดธุระบางอย่างทำให้ทั้งสี่วันนั้นอารัณย์ได้มาพบรัตติกาลเพียงแค่เวลาสั้นๆ จนทำให้คนที่มีความผิดติดตัวอย่างรัตติกาลอดที่จะกังวลไม่ได้


อารัณย์รู้ดีว่าคนรักกำลังคิดมากเรื่องอะไร ถึงแม้จะสงสารแต่เพราะเรื่องที่ผ่านก็ทำให้อดที่จะอยากแกล้งร่างโปร่งให้มากกว่านี้สักหน่อย พี่เลี้ยงหนุ่มคิดแผนการบางอย่างก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเปลี่ยนเป็นทำขึงขัง


“กาล...หลังจากอาทิตย์นี้ที่โรงเรียนจะมีงานกีฬา รพีได้บอกรึยัง”


“อืม ก็เห็นพูดๆอยู่ ทำไมหรอ”


“เราคงไม่ได้เจอกันสักพักนะ”


“...!”


“ผมต้องช่วยเตรียมงานด้วยน่ะ แถมหน้าที่รับนักเรียนตอนเช้าครูใหญ่เขายกไปให้คนอื่นทำอีก คงไม่ได้ไปหากาลเหมือนทุกที”


“หรอ...”


“อืม”


“แล้วมัน...นานรึเปล่า”


“ก็น่าจะเกือบเดือน ทำไม เหงาหรอ?”


รัตติกาลเบิกตากว้างก่อนจะค่อยๆหลุบมองต่ำแล้วหันออกไปทางนอกหน้าต่าง ร่างสูงคอยสังเกตท่าทางนั้น แก้มที่ขาวของรัตติกาลเริ่มขึ้นสีชัดก่อนที่เจ้าตัวจะตอบออกมาด้วยเสียงที่เบากว่าทุกที


“อืม...เหงา”


อารัณย์รีบตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทาง  ในจังหวะที่รัตติกาลกำลังหันมาถามร่างโปร่งก็ถูกคนที่พยายามเก๊กมาตลอดคว้าไปจูบพร้อมกับโอบกอดเอาไว้แน่น ชายหนุ่มดิ้นคลุกคลักอยู่พักหนึ่งเพราะความตกใจ แต่เมื่อตระหนักได้ว่าคนตรงหน้าคือใครรัตติกาลก็โอนอ่อนแล้วยอมให้อีกฝ่ายเก็บเกี่ยวความหวานได้ตามใจชอบ


ทันทีที่ละริมฝีปากออกมาอารัณย์ก็พูดขึ้นแล้วซุกใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มกว้างลงบนบ่าลาดของรัตติกาลอย่างเขินอาย ใจที่ฟีบแบนพองฟูขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินคนรักพูดแบบนั้น ความกังวลตลอดเวลาที่ผ่านมาค่อยๆบรรเทาเบาบางลงจนรัตติกาลอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาทั้งที่มีน้ำตาคลอ


“ให้ตายสิ ผมเอาชนะกาลไม่ได้จริงๆ”


“นี่คุณแกล้งผมหรอ”


 “ฮ่าๆ ขอเอาคืนหน่อยนะ”


อารัณย์หัวเราะแหะๆก่อนจะโดนรัตติกาลทุบหลังเสียอั๊กใหญ่ พี่เลี้ยงหนุ่มคลี่ยิ้มเมื่อคนในอ้อมแขนออกอาการสั่นน้อยๆเหมือนลูกนกพลัดรัง เขารู้ตัวเองในทันทีว่าต่อเหตุการณ์จะเปลี่ยนไปยังไง เขาก็ยังคงชอบที่จะแกล้งให้อีกฝ่ายหลุดมาดอยู่ดี


“ขอโทษๆ ไม่ต้องร้องนะ”


“ใครร้อง เรียกว่าโกรธจนตัวสั่นต่างหาก!”


ร่างโปร่งผละออกมาแล้วชกที่อกของคนรักเข้าเต็มแรง แต่ยังไม่ทันที่อารัณย์จะได้พูดอะไร ริมฝีปากหนาก็ถูกครอบครองด้วยกลีบเนื้อเย็นเฉียบของรัตติกาล ร่างโปร่งบดคลึงมันอยู่ชั่วครู่แต่ไม่ได้รุกล้ำ สัมผัสที่นุ่มนวลไม่สมกับรัตติกาลสร้างความพอใจให้คนขี้แกล้งได้ไม่น้อย พวกเขาถ่ายทอดความรู้สึกกันอยู่แบบนั้นจนรัตติกาลล่าถอยออกมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ


“อย่าเล่นแบบนี้อีก...ผมกลัวจริงๆนะอารัณย์”


“เพิ่งรู้ว่ากาลกลัวเป็นด้วย”


“ทำไมจะกลัวไม่เป็น...ผมก็คน”


“ถ้าอย่างนั้นกาลก็ควรให้โอกาสตัวเองบ้าง เพราะไม่มีใครบนโลกนี้ที่ไม่เคยทำผิดพลาด...แม้แต่ผมเองก็เหมือนกัน”


“...”


“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ผมไม่ชอบที่กาลอมทุกข์แบบนี้เลยรู้ไหม


อารัณย์จับหัวของคนอายุมากกว่ามาโคลงไปมาราวกับเด็กๆ ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่ารัตติกาลยังมีอะไรติดค้างในใจ ร่างโปร่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนยอมพยักหน้า พี่เลี้ยงหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาพลางลูบหัวทุยของอีกฝ่ายที่คว้ามือของเขามาจับไว้


“ได้คุยกับน้องเขารึยัง”


“ยัง...ผมติดต่อปูนไม่ได้เลย”


รัตติกาลพูดถึงความต้องการที่จะปรับความเข้าใจกับร่างเล็กแต่ดูเหมือนว่าทางนั้นจะพยายามหนีหน้าเขาทุกทาง ห้องพักที่เคยอาศัยไร้วี่แววว่ามีคนอยู่ เบอร์โทรศัพท์ที่เคยใช้ก็ถูกเปลี่ยนไป และการค้นหาครั้งนี้ก็ทำให้รัตติกาลได้รู้ว่าตลอดช่วงเวลาที่เขาหนีไปหลบพักที่บางขุนเทียนปูนได้พยายามติดต่อมาหาเขาเป็นร้อยๆครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะเขาจำเป็นต้องใช้เบอร์ที่ฤทธิชาตินำมาให้แทน


“เดี๋ยวผมกลับไปคุยกับเจ้าของหอให้ เผื่อทางนั้นจะติดต่อกลับมา”


“ผมไปคุยไว้แล้วล่ะ เห็นว่าปูนไม่ได้กลับไปที่นั่นเป็นอาทิตย์แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้จะไปอยู่ที่ไหน”


“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หาเจอ ยังไงก็ต้องกลับมาเรียนอยู่ดี”


ร่างโปร่งยิ้มขืน ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นแต่เขาก็วางใจไม่ได้และพาลหงุดหงิดตัวเองที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับปูนเลยสักอย่าง อารัณย์นำรถออกวิ่งอีกครั้งหลังจากที่จอดคุยกันได้สักพัก ร่างสูงมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของรัตติกาลแล้วนึกสงสัยถึงความรู้สึกที่ชายหนุ่มมี แม้ว่าจะกลัวที่ต้องรู้คำตอบแต่เพื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาในวันข้างหน้า อารัณย์จึงตัดสินใจถามไป


“กาล ผมถามได้ไหมว่าคุณอยากจะพูดอะไรถ้าได้เจอกับปูน”


ร่างสูงมองคนที่จ้องมือของตนเองอย่างเอาเป็นเอาตาย รัตติกาลครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่แน่วแน่อย่างที่เขาไม่เคยเห็น


“ผม...อยากขอโทษที่เลือกปูนไม่ได้”


“...”


“มันอาจจะดีถ้าผมยังรั้งให้เขาอยู่กับผมต่อไป แต่สุดท้ายผมคงได้กลายเป็นคนแบบที่ตัวเองเกลียด และที่สำคัญ...ปูนคงไม่มีวันได้เจอกับคนที่รักเขาจริงๆ ผมอยากให้น้องเขามีความสุขจริงๆนะ อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่อยู่กับผม”


“คุณทำดีที่สุดแล้วกาล ผมเชื่อว่าน้องเขาจะต้องเข้าใจคุณ”


อารัณย์ระบายยิ้มให้คนข้างๆที่ถึงแม้จะยังไม่คลายความรู้สึกผิดแต่ก็กำลังรอโอกาสเพื่อจะแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองก่อ เขาหวังอย่างยิ่งว่าหากเมื่อถึงวันที่ทุกฝ่ายพร้อมที่ทุกฝ่ายพร้อมจะหันหน้าเข้าคุยกันความจริงใจที่รัตติกาลมีนั้นจะสามารถบรรเทาเบาบางความเจ็บปวดในหัวใจของร่างเล็กลงได้ สักวันบาดแผลที่ทุกคนทำร้ายซึ่งกันและกันไว้จะต้องหายดีแม้อาจจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้จางๆ แต่ขอแค่ทั้งรัตติกาลและปูนสามารถยิ้มให้กันได้เหมือนเก่า นั่นก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว


“ผมเองก็มีอะไรอยากบอกน้องเขาเหมือนกัน”


“...?”


“ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างกาลมาตลอดแล้วก็...พี่จะดูแลเขาเองไม่ต้องห่วง”


รัตติกาลยิ้มขำออกมาเมื่อคนที่จุดประเด็นดันหน้าแดงเพราะคำพูดของตัวเองซะได้ เขามองไปยังฟ้าครึ้มฝนเบื้องหน้าที่ยังคงไม่สดใสและอาจมีอุปสรรคมากมายรออยู่ แต่ถึงอย่างนั้นคนเราก็ต้องเดินต่อไป ก้าวข้ามทั้งอดีตและปัจจุบันที่แสนทรมานเพื่อมีความสุขกับวันข้างหน้า




‘ขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเคยรักพี่’




รัตติกาลปรารถนาจะบอกกับคนที่หายไปแบบนั้น


.

.

.

.

.

.

.

.


วันเวลาผ่านไปพร้อมกับงานวันเกิดที่เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่าง บ้านพัฒนเดชาที่เคยเหงาเงียบเหงากลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา รพีที่ถูกจับให้นั่งมองผู้ใหญ่ทำงานเงียบๆอยู่ตรงมุมห้องอ้าปากหาวจนกว้าง ราดหน้าฝีมือพ่อกาลที่เจ้าตัวขอลองทำเพื่อฝึกมือเผื่อวันจริงถูกเติมจนเต็มท้องของเด็กชายจนเริ่มออกอาการเลื้อยไปตามพื้นเพราะไม่อาจต่อต้านความง่วงที่รุมเร้าได้


“พีครับ เข้าไปนอนในห้องไป”


อารัณย์ที่เดินผ่านมาสะกิดเข้าที่พุงกลมๆของรพีที่แทบจะปรือตามองไม่ไหว แขนป้อมยืนไปตรงหน้าทันทีที่เห็นว่าคนที่รบกวนการนอนของตัวเองคือใคร


“น้ารัณย์...อุ้มหน่อย”


“ขี้อ้อนเหมือนพ่อเลยนะ”


พี่เลี้ยงหนุ่มว่ายิ้มๆแต่ก็ยอมรับรพีมากอดไว้ในอ้อมแขนเด็กชายแทบจะเคลิ้มหลับทันทีที่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากอกของร่างสูง อารัณย์ยิ้มอ่อน นานวันเขายิ่งนึกเอ็นดูเด็กชายที่มีนิสัยไม่ต่างจากบิดา เขาพารพีออกมาด้านนอกแทนที่จะเป็นห้องนอนอย่างที่ตั้งใจแค่เพราะอยากให้รัตติกาลเห็นว่ารพีน่ารักแค่ไหน


“กาลๆ”


“หื้ม?”


รัตติกาลที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็คของแล้วจัดอาสนะเงยหน้าคนมาใหม่ที่หนึ่งในนั้นหลับน้ำลายไหลเป็นที่เรียบร้อย อารัณย์ใช้มือข้างที่ว่างชี้ให้ร่างโปร่งดูลูกชายที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าตัวเองกำลังโดนผู้ใหญ่ตัวโตพามาแกล้งให้อายเล่น ร่างโปร่งส่ายหน้าอย่างระอา แต่ก็เดินมาหาทั้งสองคนทันทีที่เห็น


“แกล้งเด็ก”


รัตติกาลว่าดุๆก่อนจะหยิกเข้าที่ท้องแขนของคนตัวโตที่แสร้งทำหน้าเจ็บปวดทั้งๆที่เขาใช้แรงเพียงนิดเดียว


“อู้ยยย เจ็บนะกาล เบาๆ เดี๋ยวลูกตื่น”


“ถ้ากลัวจะตื่นแล้วทำไมไม่พาไปนอนบนห้อง ตรงนี้ร้อนจะตาย”


อารัณย์แกล้งกลอกตามองไปเรื่อย เขาจะพูดได้ยังไงว่าที่อยากมาหาก็เพราะนึกเป็นห่วงคนที่ใจลอยอยู่เรื่อยจนร่างสูงกลัวว่าจะพลาดเกิดอุบัติเหตุไปเสียก่อน และดูเหมือนว่าเสียงที่ผู้ใหญ่คุยกันจะดังเกินไป ทำให้ร่างป้อมในอ้อมแขนของอารัณย์กระพริบตาน้อยๆก่อนจะลืมมันขึ้น


“อื้อ พ่อ”


“ครับ ง่วงมากหรอ”


รัตติกาลถามไถ่พลางลูบไปตามใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำลายเบาๆอย่างไม่รังเกียจ เด็กชายพอได้รับความอบอุ่นก็เอนหน้าเข้าหาสัมผัสนั้นอย่างว่าง่าย กริยาที่ไม่ต่างจากลูกแมวอ้อนเจ้านายทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนระบายยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู


“ฮะ พ่อกาลทำงานรึยัง ไปนอนกับพีนะ”


เด็กชายพูดอ้อนทันทีเมื่อเห็นว่าบิดาอยู่ในอารมณ์ไหน อารัณย์มองสองพ่อลูกที่พูดคุยกันนุ้งนิ้งด้วยความรู้สึกโล่งใจ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่มีทางเห็นรพีกล้าพูดขอรัตติกาลแบบนี้เป็นแน่ แม้จะไม่เท่าเด็กคนอื่นแต่ร่างป้อมก็เริ่มเอาแต่ใจมากขึ้นซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีเมื่อเทียบกับวุฒิภาวะทางอารมณ์ของรพีก่อนที่เขาจะเข้ามา


“พ่อยังทำงานไม่เสร็จครับ ขึ้นไปนอนกับน้ารัณย์ก่อนไป”


“ไม่เอา ไปนอนด้วยกันสิ”


คราวนี้ไม่ใช่รพีที่พูดแต่กลายเป็นผู้ใหญ่ตัวโตอีกคนที่เอ่ยขึ้นแทน ร่างป้อมหันไปมองอารัณย์อย่างงงๆที่จู่ๆพี่เลี้ยงหนุ่มก็พูดแทรกขึ้นมาราวกับรู้ว่ารพีอยากพูดว่าอะไร เด็กชายเกาแก้มขาวๆของตัวเองแล้วเอียงคอถามด้วยสีหน้าซื่อๆ


“น้ารัณย์อยากนอนกับพ่อเหมือนกันหรอฮะ”


ตุ๊บ!


ลูกศรที่ขนเสื่ออยู่ใกล้ๆถึงกับปล่อยมันหลุดมือทันทีที่ได้ยินคำถามของคุณหนูเล็ก หญิงสาวรีบหยิบมันแล้วเดินออกไปให้พ้นสายตาของอารัณย์ที่มองมาแต่ก็ไม่อาจซ่อนรอยยิ้มกว้างและแก้มแดงๆนั้นได้ ทันทีที่แผ่นหลังเล็กของสาวใช้เดินพ้นไป พี่เลี้ยงหนุ่มก็เป็นฝ่ายพูดไม่ออกเสียงเองบ้าง เขาแสร้งไอกระแอมเล็กน้อยก่อนจะหันไปสบตากับรพีโดยมีรัตติกาลคอยมองอยู่ด้วยความสมน้ำหน้า


“เออ คือ...ครับ”


“ทำไมหรอฮะ น้ารัณย์กลัวผีหรอ”


เด็กชายถามซื่อๆ เพราะคิดว่าพี่เลี้ยงหนุ่มคงกลัวผีเหมือนกับข้าวที่มักจะขอมานานข้างๆตนเสมอทุกครั้งที่นอนกลางวัน


“อื้อ กลัวมากเลย ขอน้านอนด้วยได้ไหม”


อารัณย์ไหลตามน้ำไปเมื่อเห็นช่องทางที่จะได้เอาคืนคนรักที่ไม่คิดจะช่วยเขาแก้ตัวกับลูกชายเลยสักนิด ตอนนี้เลยกลายเป็นฝ่ายรัตติกาลบ้างที่ทำหน้าอึกอักแล้วลุ้นกับคำตอบของรพีแทน


“แต่นี่กลางวันนะฮะ ผีไม่ออกมาตอนนี้หรอก”


“ผีผ้าห่มไงครับ พีรู้จักไหม”


รัตติกาลทุบหลังคนรักเมื่ออีกฝ่ายเริ่มพูดจาทะลึ่งใส่เด็กที่ไม่ประสา รพีมองผู้ใหญ่ทั้งสองหยอกกันด้วยความตกใจ จนร่างโปร่งต้องหันมาลูบแผ่นหลังเล็กนั้นเบาๆเพื่อปลอบร่างป้อมว่าไม่มีอะไรต้องกลัว


“เลิกพูดเล่นกันสักที พีไปนอนในห้องนั่งเล่นก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวเสร็จแล้วพ่อจะเข้าไปหา”


“ฮะ พ่อรีบๆมานะ”


รพีรับคำอย่างว่าง่ายโดยไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก อารัณย์จัดแจงพารพีไปนอนเล่นตรงที่รัตติกาลว่าโดยไม่ลืมที่จะขอผ้าห่มและตุ๊กตาจากสาวใช้มาให้รพีได้กอดนอนด้วยก่อนที่เขาจะเดินออกไปหาคนรักอีกครั้ง


“ทำร้ายร่างกายผมบ่อยจังนะ นี่เมียหรือนักมวยเนี่ย”


“ลองดูอีกสักหมัดไหมล่ะ”


ร่างโปร่งหันไปยิ้มเย็นพร้อมกับชูหมัดขึ้นขู่คนที่ชักจะลามปามขึ้นทุกวัน อารัณย์หัวเราะร่าเมื่อได้แหย่อีกฝ่ายเล่นสมใจหวัง เขาทรุดกายนั่งลงข้างๆรัตติกาลที่กำลังเช็คบัญชีสิ่งของอยู่บนพื้นไม้ตรงระเบียงบ้าน ร่างสูงมองดูเส้นผมที่โดนลมพัดจนตกลงมาปรกใบหน้าเขายิ้มออกมาก่อนจะจับมันไปทัดไว้ที่ใบหูให้คนรักไม่รู้สึกรำคาญ


“วันนี้เหม่อบ่อยมากเลยนะ ผมทำแทนให้ไหมกาลจะได้พัก”


“ไม่เป็นไรเหลืออีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว แต่พรุ่งนี้คงต้องให้ตื่นมาช่วยกันจริงๆ”


“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอค่าจ้างเป็นค้างที่ห้องกาลแทนแล้วกัน”


“หึ ทำเหมือนกับจะยอมไปนอนห้องอื่น”


รัตติกาลส่ายหน้าเมื่อโดนอารัณย์ตีเนียนเข้าแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คงต้องยอมให้อีกฝ่ายมานอนด้วยอย่างที่ว่า เพราะงานวันเกิดของรพีที่จะจัดขึ้นพรุ่งนี้เรียกได้ว่าเป็นงานใหญ่ที่บ้านพัฒนเดชาไม่ได้จัดขึ้นมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายก็ตั้งแต่สมัยที่พ่อกับแม่ของรัตติกาลยังอยู่ งานนี้เขาจึงต้องหวังพึ่งกำลังของอารัณย์อย่างเลี่ยงไม่ได้


“รู้หรอกว่ากาลก็อยากนอนกับผม ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน”


“อันนั้นโทษตัวเองที่ติดธุระเถอะ ว่าแต่นี่เคลียร์งานเสร็จแล้วรึไง มาช่วยทางนี้จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”


“ไม่เป็นอะไรหรอก ผมเคลียร์เรียบร้อยแล้วไม่ต้องห่วง”


อารัณย์ส่ายหน้ายิ้มๆแล้วหยิบเอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตน ชายหนุ่มมองรัตติกาลที่ยังไม่ละสายตาไปจากงานด้วยความรักก่อนจะยื่นมันไปให้คนตรงหน้าทั้งๆที่ยังไม่เปิดกล่องออก ร่างโปร่งหยุดมือที่กำลังถือปากกานิ่ง นัยน์ตาสีราตรีเบิกกว้างก่อนจะเงยขึ้นสบกับคนที่ยิ้มรออยู่


“เปิดสิ”


“...อะไร”


“อยากรู้ก็เปิด ไม่ใช่แหวนหรอกน่า”


รัตติกาลมองคนรักที่เกาท้ายทอยแก้เก้อก่อนจะรับกล่องกำมะหยีสีน้ำเงินใบเล็กไว้แล้วค่อยๆเปิดมันออกโดยมีอารัณย์ที่กำมือจนแน่นด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน


สร้อยข้อมือทองคำเส้นเล็กถูกวางอยู่ตรงกลางของกล่องนั้น ลวดลายฉลุประณีตบ่งบอกถึงราคาอันสูงค่ารับกับจี้รูปปืนที่ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าเจ้าของที่แท้จริงของมันคือใคร


 “พอดีได้กลับไปที่บ้านมาเลยหยิบมาด้วย คิดว่าจะให้เป็นของขวัญรพีเลยอยากบอกกาลไว้ก่อน”


“ไหนว่าพ่อคุณ...”


“ผมยังไม่ได้เล่าสินะว่าหลังจากแม่ตายผมมีชีวิตต่อไปยังไง”


ร่างโปร่งพยักหน้าก่อนส่งสร้อยเส้นนั้นให้อารัณย์ถือไว้ ชายหนุ่มลูบเบาๆบนจี้ที่บ่งบอกตัวตนของบิดาที่เขาไม่มีวันได้พบหน้า ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะปล่อยมันออกมา รัตติกาลมองดูคนที่พยายามเรียกความกล้าให้ตัวเองด้วยความเป็นห่วงจนอดที่จะยื่นมือเข้าไปจับขาของอารัณย์ไว้ไม่ได้


“ผมเจอมันตอนย้ายออกจากบ้านหลังนั้นก่อนไปตะเวนทำงานอยู่ต่างจังหวัด น่าขำนะว่าไหม ทั้งที่ผมอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็กแต่กลับไม่เคยรู้เลยว่าแม่จะเก็บของมีค่านี้ไว้ทั้งที่เราแทบจะไม่มีข้าวกิน”


“...”


“ผมพยายามบอกตัวเองว่าไม่ใช่ ผู้ชายคนที่ทิ้งเราไว้ไม่มีทางมอบของแทนใจแบบนี้ให้กับผมคนที่เขาไม่เคยเห็นหน้าหรือแม้แต่ไม่อยากให้เกิดมา เขาจะทำแบบนั้นไปทำไม แล้วไหนจะแม่ที่ยอมแลกชีวิตผมกับเงินก้อนใหญ่ มีหรือที่จะปล่อยทองเส้นนี้ไว้ไม่ยอมเอามันไปแลกเหล้ากินเหมือนสมบัติอย่างอื่น ผมแทบจะเอามันไปขายทันทีด้วยซ้ำที่เจอ อย่างน้อยผมก็ใช้มันทำทุนจะได้ไม่ต้องลำบากอย่างเก่า”


“แต่คุณก็เก็บมันไว้”


รัตติกาลยิ้มเหมือนอย่างที่อารัณย์ยิ้ม พวกเขาสอดมือเข้าประสานกันให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงการมีตัวตนของตัวเองผ่านทางความอบอุ่นที่ส่งมา


“ใช่ สุดท้ายผมก็ขายความหวังของตัวเองไม่ลง”


“...”


“ผมไม่รู้ว่าความจริงแล้วสองคนนั้นเคยรักผมบ้างไหม สร้อยเส้นนี้คือสิ่งที่พวกเขาตั้งใจเก็บไว้ให้หรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่มันก็ไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว ขอเพียงแค่มีมันผมก็สามารถผลักดันตัวเองให้เดินหน้าต่อไปข้างหน้าได้ มันเป็นความหวังที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตต่อไป”


อารัณย์น้ำตาคลอขณะที่พูดจนรัตติกาลต้องลุกขึ้นมาโอบกอดคนตัวโตไว้พร้อมกับเอ่ยคำยินดีให้อีกฝ่ายได้ฟัง ร่างสูงยิ้มอ่อนเขาซบหน้าลงบนไหล่ของร่างโปร่งแบบที่ชอบทำ


“คุณควรเก็บมันไว้เองนะ”


“ความหวังคือสิ่งที่ควรส่งต่อไม่ใช่ครอบครองแล้วรอเวลาที่มันจะหายไป”


เขาวางมันลงบนมือของรัตติกาลอีกครั้งโดยที่คราวนี้ผู้รับระมัดระวังการแตะต้องสิ่งนั้นยิ่งกว่าเก่าเมื่อรับรู้ถึงคุณค่าทางจิตใจของมัน


“ผมรู้ว่ากาลเกลียดพ่อกับแม่ของรพี มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายสินะที่จะต้องคอยเลี้ยงดูลูกของคนที่ทำร้ายตัวเองขนาดนั้น”


“...”


“ขอโทษที่เคยบอกว่ากาลไม่สมควรถูกเรียกว่าพ่อ ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่กาลต้องเสียสละมาตลอดระยะเวลาเกือบหกปีนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถทำให้คนที่บอกว่าเกลียดได้ง่ายๆ ไม่ว่ากาลจะให้อภัยผมได้ไหม แต่ผมก็อยากบอกว่า...”


“...ฮึก”


“ขอบคุณนะครับที่เลี้ยงดูรพีจนเติบใหญ่ได้ขนาดนี้”


น้ำตาเม็ดใหญ่หยดลงบนกล่องกำมะหยีจนมันเปียกเป็นดวง อารัณย์ประคองใบหน้าของคนที่กำลังร้องไห้ไว้แล้วนาบหน้าผากของตนลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายจนสามารถเห็นเงาของตัวเองบนดวงตาสีดำคู่นั้นได้ชัดเจน


รัตติกาลสะอื้นจนตัวโยน ความรู้สึกที่เหมือนโดนมองจนทะลุปรุโปร่งทำให้เขาไม่สามารถเก็บงำบาดแผลในใจต่อหน้าคนคนนี้ได้ ร่างโปร่งกำชายเสื้อของอีกฝ่ายแน่นเมื่อหวนนึกถึงฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนตัวเขามาตลอดเวลาที่ได้เห็นเด็กชายอันเป็นที่รักของคนที่ล่วงลับทั้งสองค่อยๆเติบใหญ่ขึ้นทุกวันพร้อมกับความกลัวที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ...ความกลัวที่จะต้องเผชิญกับการสูญเสียอีกครั้ง


“ผมทำผิดกับเด็กคนนั้นมามาก ฮึก มันมากเกินไปจริงๆ”


“ไม่เป็นไร เรามาเริ่มกันใหม่นะกาล เราทั้งสามคนเลย”


“ฮึก มันจะไม่เป็นไรใช่ไหมอารัณย์ ผมจะทำได้ใช่ไหม”


“ยิ่งกว่าทำได้อีก กาลเป็นพ่อที่ดีนะ เชื่อมั่นในตัวเองหน่อยสิ”


อารัณย์มองคนที่ปาดน้ำตาตัวเองปอยๆด้วยความเอ็นดู เขาหอมหน้าผากนวลของคนรักที่แทบไม่เหลือความมั่นใจให้เห็น


“ผมคงทำไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ...ขอบคุณนะ”


“ยินดีเสมอครับ ลูกกาลก็เหมือนลูกผมแหละ”


รัตติกาลระบายยิ้มกว้างออกมาทั้งน้ำตาก่อนจะเอนตัวไปกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของอารัณย์จนทำให้อีกคนต้องรีบทำสิ่งเดียวกันนั้นกลับมาด้วยใบหน้าที่แดงกล่ำ





“ผมรักคุณนะอารัณย์”



“ผมก็รักคุณเหมือนกัน...รัตติกาล”




สองร่างโอบกอดกันไว้โดยมีสายตาของรพีแอบมองมาจากหน้าต่างห้องนั่งเล่น เด็กชายตัวป้อมรีบวิ่งเข้าไปหาบิดาที่ร้องไห้จนตาแดงกล้ำแล้วกระโจนเข้ากอดเต็มแรง ทำให้อารัณย์ต้องร้องโอดครวญขณะโดนศอกของเจ้าตัวป้อมฟาดเข้าเต็มเบ้าตา หญิงแก่ที่ยืนมองจากอีกมุมหนึ่งของบ้านหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาของตัวเองออกเบาๆด้วยหัวใจที่รู้สึกเหมือนโดนปลดปล่อยเมื่อเห็นภาพที่เธออยากเห็นที่สุดเกิดขึ้นในบ้านซึ่งตกอยู่ในวังวนความแค้นมานานหลังนี้สักที


“วางใจได้แล้วนะคะคุณท่าน คุณกาลเธอเจอบ้านของตัวเองแล้ว”


จันทร์รำพันถึงนายผู้ล่วงลับของตนก่อนจะเดินผละไปปล่อยให้สามคนนั้นได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างที่หวัง หญิงแก่คิดไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้วยิ้มพราย หากสิ่งศักดิ์สิทธิมีจริง สิ่งเดียวที่จันทร์อยากขอก็คือให้คุณหนูทั้งสองคนของเธอหลุดพ้นจากความฝันแล้วตื่นมาพร้อมกับอรุณรุ่งของวันใหม่เสียที


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

ตอนนี้มาแบบสั้นไปนิด55555เมื่อวานคับรถไปชนกับรถตู้มาคับ ตัวไม่เจ็บ แต่รถเจ็บ T_T จะบ้า  :sad4: จบพาร์ทของน้องปูนไปแบบอาจจะไม่ถูกใจหลายๆคนนะคับ แต่เอาเข้าจริงๆถ้าพี่กาลไม่เลือกมันก็เท่านั้นแหละเนอะ ส่วนชีวิตของน้องต่อจากนี้คงต้องติดตามกันในเรื่องต่อไป  o13 อย่าเพิ่งหมั่นน้องมันมากจนพาลไม่อ่านนะ 5555 สนุกๆ ไม่ดราม่าเข้มเหมือนไนท์แมร์แล้วแหละ เช่ขอพักตับตัวเองบ้าง แต่ก็คิดว่ายังคงความเป็นเช่ไว้เหมือนเดิมแหละคับ

ตอนหน้าวันเกิดน้องพีแล้วววววว เตรียมฟินกันได้เลย บทหวานๆฟินๆทีไรเช่ลำบากทุกที =3=  ช่วงนี้อาจจะมาได้ช้าหน่อยอย่าว่ากันนะคับ ต้องเตรียมอะไรหลายๆอย่าง เรียนด้วย อยากแยกร่างได้เหลือเกิน  :katai1:

ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวต แบบสอบถามการซื้อหนังสือยังแวะเข้าไปทำกันได้ ช่วงนี้นั่งลิสตอนพิเศษแล้วว่าจะเขียนอะไรบ้าง คงจะได้แจ้งในวันเปิดพรีเลย แต่รับรองว่าไม่ผิดหวังกันแน่นอน!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-09-2015 23:10:25 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อารัณย์ละมุนมาก รอตอนต่อไปจ้า

รอตามเรื่องน้องปูนด้วย :mew1:

ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
รอตอนหน้า....ที่จะมาพร้อมความหวาน!!!

ออฟไลน์ Wtftt

  • โอกาสก็เหมือนไอติมถ้าไม่กินมันก็ละลาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แอร๊ยยยยยยยย
ละมุนนนนนนนน

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

 

40th Night

…Happy Birthday...

 



รพีในเสื้อผ้าชุดใหม่นั่งพับเพียบอยู่เคียงข้างรัตติกาลที่อยู่ในชุดคล้ายๆกัน ร่างโปร่งคลายมือที่พนมอยู่ออกมาจัดหูกระต่ายสีขาวอันเล็กที่หลุดลุ่ยเพราะเด็กชายเอาแต่จับมันก่อนจะบอกให้รพีเลิกขยับไปมาแล้วฟังพระสวดสักที


“อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”


“...แต่พีเมื่อย”


อารัณย์ที่นั่งอยู่ถัดไปจัดการยกเจ้าตัวป้อมให้มานั่งตักของตนแทนทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น รัตติกาลพอเห็นว่ามีคนคอยช่วยดูลูกก็วางใจ เขาบอกขอบคุณอารัณย์ที่ยิ้มให้เบาๆก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับงานพิธีตรงหน้าต่อ


สำหรับเด็กอย่างรพีคงไม่รู้ว่าการทำบุญวันนี้ผิดแปลกจากปกติไปมากขนาดไหน รัตติกาลเหลือบมองรูปถ่ายสองใบที่นิลจัดการหามาให้พร้อมกับใส่กรอบไม้ราคาแพงให้เสร็จสรรพ ใบหน้าของบุคคลผู้ล่วงลับทั้งสองเต็มไปด้วยรอยยิ้มไม่ต่างจากวาระสุดท้ายในชีวิต ภาพของนทีและพะแพงที่ยืนเคียงคู่และจับมือกันไว้ช่างดูสดใสเหมือนกับช่วงเวลาเหล่านั้นเพิ่งผ่านไปไม่นาน


ร่างโปร่งหลับตาลงพลางตั้งสติมั่นพยายามนึกถึงสิ่งที่ตนเองและคนทั้งสองเคยทำร่วมกันมา ความทรงจำทั้งดีและร้ายตั้งแต่วันแรกที่พบจนวันที่จากต่างไหลเข้ามาจนรัตติกาลแทบตั้งรับไม่ไหวแต่ก็ได้มือที่แสนอ่อนโยนของนิล คอยลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆทุกครั้งที่รัตติกาลเริ่มแสดงท่าทางเหมือนกับจะร้องไห้ออกมา


ที่กรวดน้ำทำจากทองเหลืองถูกลำเลียงให้กับคนในงานพิธีทันทีที่ใกล้จะถึงบทสวดแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลโดยแต่ละคนจะได้รับที่กรวดน้ำคนละชุดไม่ได้จับต่อกันมีเพียงแค่ของรพีเท่านั้นที่รัตติกาลตั้งใจให้ทำไปพร้อมกับตัวเอง


“รพี...มาหาพ่อมา”


เด็กชายตัวป้อมรีบปีนลงจากตักของร่างสูงทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น รพียิ้มกว้างขณะที่คลานเข่าไปหารัตติกาลที่มีของรูปร่างประหลาดวางอยู่ตรงหน้า


“รพีกรวดน้ำกับพ่อนะ”


“กรวดน้ำคืออะไรหรอฮะ”


รพีเอียงคอถามเมื่อได้ยินคำศัพท์ที่ตัวเองไม่รู้จัก รัตติกาลได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอ่อนแต่ก็ยังติดความโศกเศร้าไว้ที่ดวงตา เขาชี้ให้รพีดูรูปในกรอบไม้ทั้งสองใบที่วางอยู่ใกล้กับพระภิกษุพร้อมกับอธิบายให้ฟัง คนสองคนนั้นคือบุคคลที่สำคัญมากแค่ไหน


“การกรวดน้ำคือการอวยพรให้คนที่ตายไปแล้วมีความสุข เรามาอวยพร...ให้พวกเขากันนะ”


“เขาเป็นใครหรอ พีไม่เห็นรู้จักเลย”


“รู้จักสิครับ...พีเองก็เคยเจอพวกเขานะ ในวันนี้เมื่อหกปีที่แล้ว”


“...?”


“พวกเขาคือคนที่ทำให้รพีเกิดมา...เป็นคนที่สำคัญของรพีนะครับ”


ห้องโถงที่ถูกใช้จัดงานพิธีเงียบไปทันตา เหล่าผู้คนที่รับรู้ความจริงทุกอย่างต่างก็เงี่ยหูรอฟังว่าเด็กชายอันเป็นที่รักของสองบุคคลในภาพจะตีความหมายคำพูดของรัตติกาลไปในทิศทางไหน ร่างป้อมขมวดคิ้วหนักเมื่อสิ่งที่รับรู้ขัดแย้งกับสิ่งที่คุณครูสอนในคาบว่าผู้ให้กำเนินนั้นคือบิดามารดา แล้วที่พ่อกาลว่ามันหมายความว่ายังไง


“แต่พีมีพ่อกาลแล้วนี่ฮะ พ่อเป็นคนทำให้พีเกิดมาไม่ใช่หรอ”


รัตติกาลแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ตอนที่เด็กชายเลือกตอบมาแบบนั้น ทั้งที่เขาเป็นแค่คนขี้ขลาดที่ไม่กล้าบอกตรงๆว่าตัวเองไม่ใช่พ่อแท้ๆอย่างที่รพีเคยเข้าใจจึงเลือกใช้คำพูดอธิบายความสำคัญของนทีและพะแพงแทน ร่างโปร่งสูดหายใจให้ลึกขึ้นเพื่อรวบรวมสติและความกล้าก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับเด็กชายที่เติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้เลยว่าชาติพันธุ์ของตัวเองคืออีกาหาใช่กาเหว่าเหมือนที่เคยเข้าใจ


“ครับ พ่อเป็นพ่อของรพี แต่ถ้าไม่มีพวกเขา...รพีคงไม่มีวันได้เจอกับพ่อ”


“...”


“วันนี้รพียังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร แต่จำไว้นะ...ว่าคนสองคนนั้นก็รักรพีไม่ต่างจากพ่อเลย”


ร่างโปร่งกล่าวลงท้ายเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเด็กชายยังไม่คลายความสงสัย ร่างป้อมเองเมื่อได้ยินคำรักของบิดาก็ไม่สนใจอะไร ใบหน้าที่เหมือนกับคนในรูปยิ้มร่าแล้วคลานเข้าไปกอดคนที่เข้าใจว่าเป็นพ่อของตนไว้โดยที่อีกฝ่ายก็กอดกลับมาทันที


“พีก็รักพ่อเหมือนกัน!”


“ครับ...เรามากรวดน้ำกันเถอะ”


รพีพยักหน้าแล้วกลับลงมานั่งเคียงข้างร่างโปร่งที่ยิ้มโดยมีน้ำตาคลอเช่นเดียวกับจันทร์และนิล ที่แอบหันไปซับน้ำตาในจังหวะที่ไม่มีใครเห็น อารัณย์มองภาพของสองพ่อลูกด้วยความรู้สึกที่แน่นอยู่ในอก ทั้งดีใจและหวังว่าคนสองคนที่ทำร้ายกันมามากมายทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ จะสามารถเริ่มต้นกันใหม่ได้ เพื่อสร้างครอบครัวที่แสนอบอุ่นอย่างที่เขาไม่เคยมี


รัตติกาลหยิบคนโทที่มีน้ำใส่ไว้ขึ้นแล้วบอกรพีให้จับมือของตนรวมถึงพยายามท่องตามไปพร้อมๆกัน พระอาจารย์เองพอเห็นว่าโยมทั้งหลายพร้อมแล้วก็เริ่มสวดบทแผ่นเมตตาทั้งบาลีและไทยช้าๆเพื่อให้ทุกคนในบ้านท่องตามได้


รัตติกาลระลึกถึงความหมายที่แฝงไว้ในทุกตัวอักษรของบทส่วนนั้นหวังให้ทั้งพะแพงและนทีไปสู่ภพภูมิที่ดีอย่าได้อาลัยต่อกัน เช่นเดียวกับตัวเขาซึ่งพร้อมแล้วที่จะปล่อยวางฝันร้ายอันขมขื่นลงแล้วตื่นมาอยู่กับความเป็นจริงสักที




“พี่ครับ ที่ผ่านมาผมอโหสิกรรมให้ อย่าได้มีอะไรติดค้างกันอีกเลยนะครับ”




ร่างโปร่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปยังท้องฟ้ากว้าง อารัณย์จับมือของรัตติกาลไว้ทันทีที่ปล่อยให้รพีเดินตามนิลไปเพื่อนำน้ำไปรดที่โคนต้นไม้ตามความเชื่อ ชายหนุ่มยิ้มให้คนรักน้อยๆก่อนจะซบหน้าลงบนบ่าลาดที่มีไว้ให้เขาได้พักพิงเสมอ


“พอรพีโตขึ้นเขาคงจะเรียกผมว่าจอมโกหก”


“ถ้าถึงวันนั้นรพีจะเข้าใจว่ากาลรักเขาขนาดไหน”


“แล้วเขาก็คงจะรู้ถึงเรื่องไม่ดีที่ผมเคยทำไว้ด้วย”


“กาล...”


“ถ้ารพีเลือกที่จะเกลียดผม สิ่งเดียวที่ทำได้คงมีแต่ต้องยอมรับความจริงสินะ”


“...!”


“ถ้าตอนนั้นมาถึง...คุณจะอยู่กับผมใช่ไหมรัณย์”


ร่างสูงขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินคำถามของคนรัก รัตติกาลที่เห็นดังนั้นจึงใช้นิ้วมือบดคลึงไปบนปมกลางหน้าผากเบาๆก่อนจะยิ้มให้แล้วพูดตัดหน้าขึ้นโดยไม่เปิดช่องว่างให้อีกคนได้ไต่ถาม


“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ รพีมานู้นแล้ว”



รัตติกาลผละไปอ้าแขนรับรพีที่วิ่งเข้ามาหา พวกเขาพากันเดินกลับเข้าด้านในโดยที่ปล่อยให้บทสนทนาค้างคาใจคนฟังไปทั้งอย่างนั้น แต่เพราะงานพิธีที่ดำเนินมาถึงการถวายเพลทำให้อารัณย์ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับรัตติกาลอย่างเคย


ทั้งเจ้าบ้านและแขกเพียงไม่กี่คนช่วยกันประเคนอาหารที่เตรียมเอาไว้ถวายให้พระภิกษุทั้งหลายได้ฉันกันอย่างพร้อมสรรพ อาหารในสำรับล้วนทำขึ้นสดใหม่ด้วยฝีมือของจันทร์และรัตติกาลที่ช่วยกันตื่นมาเตรียมตั้งแต่ตีสี่ไม่ว่าจะเป็นราดหน้าที่รัตติกาลลองทำไปเมื่อวาน หรือจะเป็นกับข้าวไทยโบราณที่จันทร์ถนัดล้วนถูกจัดไว้อย่างสวยงามบนขันโตกที่อารัณย์ไปจัดหามาให้


รพีซึ่งเป็นที่เอ็นดูของเหล่าพระอาจารย์ทั้งหลายพูดอวดรสมือของบิดาให้เหล่าภิกษุฟังด้วยความกระตือรือร้นจนรัตติกาลต้องดุเบาๆจนเรียกเสียงฮาครืนของทุกคนจนทั้งบ้านตลบอบอวลด้วยเสียงหัวเราะอย่างที่ไม่เคยเป็น นิลมองเพื่อนรักที่ประคองร่างป้อมไว้บนตักพร้อมกับคอยตอบคำถามของเด็กชายขี้สงสัยไปพร้อมกัน ชายหนุ่มมองภาพนั้นก่อนจะหันกลับไปหาภาพของนทีและพะแพงที่มีรอยยิ้มประดับไม่ต่างจากทุกคนที่นี่จนพาลให้นึกหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาทั้งสี่คนจะได้อยู่พร้อมหน้า ทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้



“แบบนี้อาจจะดีที่สุดแล้วก็ได้ ว่าไหมพี่”



เขานั่งมองภาพถ่ายของทั้งคู่อยู่สักพักก่อนจะลุกออกไปเมื่อโทรศัพท์มือถือเครื่องบางส่งเสียงร้องดังพร้อมกับเบอร์ของนายตำรวจหนุ่มที่โชว์ขึ้นหน้าจอ


“ถึงไหนแล้ว ถวายเพลแล้วเนี่ย”


“อยู่หน้าบ้านแล้วครับ นิลออกมารับหน่อย”


“ทำอย่างกับไม่เคยมา เออๆ เดี๋ยวไป”


นักเขียนหนุ่มกดวางสายก่อนจะเดินไปยังหน้าบ้านทั้งที่ปากยังบ่นไปเรื่อยตามนิสัย ร่างสูงเดินมาหยุดตรงหน้ารถคันใหญ่ที่มีฤทธิชาติในชุดเครื่องแบบยืนพิงอยู่พร้อมกับส่งรอยยิ้มเหนื่อยๆมาให้จนนิลต้องเก็บคำที่ตั้งใจดุอีกฝ่ายไว้แล้ววางฝ่ามืออุ่นๆของตนลงบนหน้าผากกว้างนั้นแทน


“เหี้ย...หน้าซีดอย่างกับศพ ได้นอนบ้างไหมเนี่ย”


“ยังเลยครับ เสร็จจากงานก็รีบตรงมาเลย”


“เออๆ เข้าไปหลังบ้านก่อนแล้วกันเดี๋ยวหาอะไรให้กิน”


นิลพาคนที่เหมือนกับพร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อไปยังครัวที่วุ่นวายกว่าทุกวัน เขาสั่งให้อีกฝ่ายนั่งลงตรงโต๊ะไม้ใกล้ๆก่อนตัวเองจะเดินไปตักอาหารที่มีอยู่เต็มหม้อใส่จานชามมาสองสามอย่างพร้อมกับข้าวสวยที่เขาเป็นคนช่วยหุงเองเมื่อเช้า


ทันทีที่สำรับถูกวางลงผู้หมวดที่หิวโซก็รีบตักเข้าปากโดยมีนิลคอยกำกับอยู่ไม่ห่าง จนใบหน้าที่ซีดเซียวค่อยมีสีขึ้นมาหน่อยนั่นแหละ เขาถึงได้เปิดปากถามถึงสาเหตุที่ฤทธิชาติต้องโหมงานหนักถึงขนาดนี้


“งานช้างรึไง ทุกทีไม่เคยเห็นเป็นถึงขนาดนี้”


“ก็หนักเอาการอยู่ครับ นายสั่งมาโดยตรงถ้าไม่ทำให้ดีมีหวังได้โดนเด้ง”


“หึ อย่าทำมาเป็นกลัว กำลังสนุกอยู่ล่ะสิท่า”


“ฮ่าๆ นิลนี่รู้ใจผมจริงๆ”


ฤทธิชาติแกล้งบีบเข้าที่จมูกรั้นแต่ก็โดนอีกฝ่ายปัดออกแล้วหยิกเข้าที่สีข้างกลับแต่นายตำรวจหนุ่มก็ยังตีหน้ายิ้มได้จนนิลต้องก่นด่าถึงความบ้าที่มีมากขึ้นทุกวัน หลังจากนั้นไม่นานคนตัวโตก็จัดการยัดทุกอย่างลงกระเพาะจนหมดก่อนทั้งสองจะพากันเดินเข้าไปด้านใน ที่พระอาจารย์กำลังผูกข้อไม้ข้อมือรับขวัญให้รพีตัวน้อยที่ยังคงพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด


“ทำไมมาช้าวะ”


“มีงานด่วนเข้ามาน่ะครับ ขอโทษกาลด้วยนะที่ไม่ได้เข้ามาช่วย”


นายตำรวจหนุ่มตอบคำถามอารัณย์ก่อนจะหันไปพูดกับรัตติกาลในตอนท้าย เจ้าของบ้านยิ้มรับไม่ได้ว่าอะไร อันที่จริงคนมาใหม่ก็ช่วยเตรียมการอะไรหลายๆไว้ให้จนเขานึกเกรงใจ ยังไม่รวมถึงความช่วยเหลือที่เขาไม่มีทางตอบแทนได้หมดด้วย


“อ่า...นึกแล้วว่าลืมอะไร นิลครับเดี๋ยวผมมานะ พอดีลืมของขวัญน้องพีไว้บนรถ ทั้งของผมแล้วก็ของอารัณย์เลย”


“เออ ไปเอากับมันเองแล้วกัน กูขี้เกียจ”


“รู้อยู่แล้วล่ะครับ”


นิลยักไหล่ไม่สนใจที่อีกฝ่ายประชดกลับ ทั้งอารัณย์และฤทธิชาติก้มลงกราบพระภิกษุตรงหน้าก่อนจะขอตัวเดินออกไปโดยมีสายตาของรัตติกาลคอยมองตามอย่างสงสัย แต่เขาก็จดจ่ออยู่ได้ไม่นานเมื่อเด็กชายที่ข้อมือถูกผูกไว้ด้วยเชือกสีขาวบริสุทธิ์วิ่งมาอวดมันให้รัตติกาลดูด้วยความตื่นเต้น


“พ่อกาลดูสิๆ พระอาจารย์ให้ของขวัญพีด้วย”


“ครับ แล้วขอบคุณท่านรึยัง”


“ฮะ! แล้วพระอาจารย์ก็บอกให้พีทำตัวดีๆ พ่อกาลจะได้ไม่เหนื่อย”


เด็กชายพูดอ้อมแอ้มในตอนท้ายก่อนจะหันไปยิ้มให้ชายแก่ในผ้าเหลืองที่มองมายังสองพ่อลูกด้วยความเอ็นดู รัตติกาลคลานเข่าเข้าไปหาก่อนก้มลงกราบท่านด้วยความเปรมใจพร้อมกับลูกชายที่พยายามทำสิ่งเดียวกันด้วยท่าทางงกๆเงิ่นๆ


 “ขอบคุณพระอาจารย์มากนะครับ ที่อุตส่าห์มาในวันนี้”


“ไม่เป็นไรโยม บ้านนี้ร้างงานบุญมาหลายปีได้ทำสักทีอาตมาว่าก็ดีแล้ว”


รัตติกาลขมวดคิ้วเมื่อคนที่ผ่านอะไรมามากพูดเหมือนรู้อะไรบางอย่าง แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนเท่านั้น


“ลูกโยมน่ารักนะ เข้าใจพูด เข้าใจทำ ฉลาด...เหมือนกับพ่อของเขา”


“...!”


“นอกจากเลือดเนื้อที่ผูกผันคนเราไว้ ก็คงมีบุญกรรมนั้นแหละที่พันธนาการและนำพาโยมและเขาให้มาอยู่ด้วยกัน...ดูแลเขาให้ดีๆนะ เด็กคนนี้เขารักโยมมากและจะนำพาสิ่งดีๆมาให้ ปล่อยให้เวรกรรมตัดสินอดีต อยู่ปัจจุบันแล้วทำมันให้ดี...รักษาเขาไว้ เราด้วยเจ้าตัวเล็ก อย่าดื้อกับพ่อเขามากเข้าใจไหม”


“ฮะ!”


รัตติกาลยิ้มรับทั้งน้ำตาเมื่อไม่อาจกักเก็บความกังวลใจต่อหน้าคนที่มองเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ก่อนจะสะอื้อฮัดเมื่อพระอาจารย์ชี้ไปยังพื้นที่ว่างเปล่านอกชายคาบ้านราวกับจะบอกว่าท่านเห็นอะไรบางอย่างที่รัตติกาลไม่สามารถมองเห็นได้


“เขาบอกว่าขอบคุณ แล้วก็...ขอฝากด้วย”


ร่างโปร่งปล่อยโฮทันทีที่ได้ยินดังนั้นจนรพีที่อยู่ใกล้ๆต้องรีบปลอบพ่อของตนเป็นการใหญ่ เด็กชายพยายามใช้มือเล็กๆของตัวเองเช็ดไปตามใบหน้าของบิดาที่ยังไม่หยุดร้องจนตัวเองเริ่มจะร้องไห้ตาม ชายแก่หัวเราะร่า ท่านคว้าข้อมือของรัตติกาลมาผูกด้วยสายสิญจน์สีขาวแบบเดียวกับรพีให้แล้วอวยพรให้สองพ่อลูกสามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายไปให้ได้


:-[(มีต่อเม้นต์ล่าง) :-[
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-09-2015 17:46:43 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1


ห้องโถงที่เมื่อเช้าถูกจัดเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาถูกเก็บและเนรมิตมาเป็นงานเลี้ยงย่อมๆที่มีตัวเด่นของงานเป็นเด็กชายจมูกแดงที่เพิ่งหยุดร้องไห้ไปได้พักใหญ่ โต๊ะไม้ตัวเขืองที่ตั้งอยู่ตรงกลางบ้านเต็มไปด้วยของขวัญจากบรรดาอาๆและคนใช้ภายในบ้านที่ต่างก็สรรหาของเท่าที่กำลังจะมีมาให้คุณหนูเล็กของบ้าน โดยมีรพีที่ยิ้มร่ายืนอยู่บนเก้าอี้ที่นิ่มไปลากมาให้


“อันนี้ของยายนะคะคุณพี ขอให้คุณหนูสุขภาพแข็งแรง เรียนหนังสือเก่งๆ อยู่เป็นยอดดวงใจของบ้านเราตลอดไปนะคะ”


“ขอบคุณฮะยาย พีรักยายจังเลย”


เด็กชายกอดเข้าที่แขนนุ่มของยายจันทร์แล้วยื่นหน้าไปหอมแก้มอย่างเอาใจ หญิงแก่เองเมื่อเห็นท่าทางออดอ้อนนั้นก็อดใจไม่ไหวคว้าร่างป้อมมากอดไว้แล้วหอมกลับไม่หยุดจนรพีต้องหัวเราะคิกคักด้วยความจักกะจี้


“พอแล้วครับป้า ปล่อยหลานมาให้ผมบ้าง”


“ค่ะๆ แหม ไม่ยอมให้คนแก่ได้ชื่นใจบ้างเลย”


จันทร์หันไปตอบนิลที่เอ่ยแซวอย่างไม่คิดอะไรมากก่อนจะยอมคลายอ้อมกอดที่กักตัวรพีไว้ให้นิลและฤทธิชาติที่ยืนคู่กันอยู่ไม่ไกลเดินเข้ามาหาเด็กชายพร้อมกับของขวัญเต็มสองมือ


“อานิลซื้อหนังสือมาให้พีรึเปล่า”


“แหม หลานคนนี้มันรู้ดีจังเว้ย เอ้า! อันนี้ของอานะเจ้าตัวแสบ เป็นเด็กดี แล้วก็อย่ากินให้มันเยอะนัก กลมแทบจะกลิ้งได้อยู่แล้วนะเราน่ะ”


รพีอมลมจนแก้มพองเมื่อโดนนิลเอ่ยแซวถึงน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นตามปริมาณอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวัน แต่นักเขียนหนุ่มก็ไม่ปล่อยให้เด็กน้อยต้องงอนนาน เขารีบแกะของที่ตัวเองซื้อมาให้รพีดูทันทีเพราะรู้ว่าเจ้าตัวต้องชอบใจเป็นแน่แล้วก็ไม่ผิดจากที่คาด แก้มอวบยกขึ้นตามรอยยิ้มเมื่อรพีได้รับหนังสือชุดใหญ่อย่างที่หวัง เด็กชายถือมันไว้แนบอกแล้วกระโดดไปมาจนนิลต้องช่วยจับเก้าอี้ไว้เพราะเกรงว่าเจ้าของงานจะตกลงมาจนได้เรื่อง


“ส่วนอันนี้ของอา ขอให้น้องพีมีความสุขมากๆ คิดอะไรสมปรารถนานะครับ”


“ขอบคุณฮะอาชาติ”


“เฮอะ อวยพรได้ไม่มีสีสันเอาซะเลย”


นิลพูดกระแซะขึ้นเมื่อเขาแอบเห็นนิ่มกับลูกศรแอบหันไปซุบซิบด้วยใบหน้าแดงก่ำตอนที่นายตำรวจหนุ่มอวยพรพลางลูบหัวกลมของรพีไปด้วย ฤทธิชาติส่ายหัวให้ความขี้หวงของคนที่ไม่ยอมรับความจริงอย่างอ่อนใจก่อนจะลงมือแกะของขวัญของตัวเองให้เจ้าของวันเกิดดูทั้งที่ตอนแรกอยากให้เจ้าตัวไปเปิดดูเองเสียมากกว่า


“ถึงคำอวยพรของอาจะไม่มีสีสัน แต่ของขวัญอามีสีชุดใหญ่เลยนะ”


“โห! ดินสอสีเพียบเลย!”


เด็กชายทำหูตาแพรวพราวทันทีที่เห็นชุดวาดเขียนชุดใหญ่อยู่ตรงหน้า รพีวางหนังสือของนิลลงแล้วรับกล่องสีสวยนั้นมาดูใกล้ๆด้วยความตื่นตาตื่นใจโดยที่การกระทำนั้นทำให้ผู้ใหญ่ที่หัวเราะแกนๆกันเพราะไม่รู้จะทำยังไง ยกเว้นแต่อารัณย์และรัตติกาลที่หัวเราะร่าด้วยความสะใจ


“มึงแม่ง! ฝากไว้ก่อนเหอะ!”


นิลสบถแล้วมองกองหนังสือของตัวเองด้วยความน้อยใจ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้หยิบมันกลับ แขนป้อมของรพีที่กำลังอุ้มกล่องเครื่องเขียนอยู่ก็พยายามหอบเอาหนังสือภาพของนิลที่ตนวางไว้เมื่อครู่กลับคืนมาสู่อ้อมแขน


“ขอบคุณอานิล อาชาติมากเลยนะฮะ พีจะรักษาอย่างดีเลยเลยฮะ”


นักเขียนหนุ่มฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเข้าไปขยี้หัวกลมของรพีเบาๆด้วยความมันเขี้ยว ฤทธิชาติเองก็ยิ้มพรายในระหว่างที่คอยจัดผมของรพีให้เรียบร้อยดังเดิม เด็กชายตัวน้อยยื่นของขวัญในมือให้ลูกศรนำไปเก็บให้ก่อนจะหันมาคว้าอานิลเข้ามากอดแล้วแก้มขาวนั้นเบาๆเหมือนที่ทำกับจันทร์ แต่ในขณะที่นิลกำลังจะหอมอีกฝ่ายกลับนั้นต้นคอของร่างสูงก็โดนกระชากจากทางด้านหลังจนแทบเสียการทรงตัว


“เฮ้ย!”


“อ่า ระวังหน่อยสิครับนิล เดี๋ยวจะเจ็บตัวเอานะ”


“มะ มึง!”


นายตำรวจหนุ่มยิ้มเย็นให้กับคนที่เอนอยู่ในอ้อมกอดของตนด้วยสีหน้าซื่อๆเหมือนกับว่าตนเองไม่ใช่คนที่ดึงนิลออกมา ร่างสูงอ้าปากค้าง เขาอยากจะด่าอีกฝ่ายกลับแต่ฝ่ามือที่โอบรอบต้นคอของเขาไว้ก็บีบเข้าเบาๆคล้ายกับเป็นสัญญาณเตือนจนนักเขียนหนุ่มเลือกที่จะหุบปากแม้ว่าดวงตาจะจ้องไปยังฤทธิชาติอย่างคาดโทษก็ตาม


“อานิลเป็นอะไร ไม่หอมพีแล้วหรอฮะ”


เด็กน้อยถามซื่อๆเมื่ออาของตนผงะถอยหลังไปในขณะที่รพีกำลังหันแก้มเข้ารับสัมผัสอย่างที่ตั้งใจ ร่างสูงยิ้มแหยๆแทนคำตอบแต่ยังไม่ทันที่นิลจะได้พูดอะไร คุณอาตำรวจคนใหม่ของรพีก็เดินขึ้นมาหยุดลงตรงหน้าร่างป้อมแทน


“อานิลบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยดีเลยจะให้อาหอมแทน น้องพีโอเคไหมครับ”


“อานิลไม่สบายหรอฮะ?”


รัตติกาลต้องหันไปซบบ่าของอารัณย์เพราะไม่อาจพยุงตัวจากการหัวเราะอย่างหนักได้ คนที่ถูกกล่าวหาว่าไม่สบายโกรธจนหน้าดำหน้าแดงแต่จะคร้านเข้าไปเถียงตอนนี้ก็นึกเกรงรอยยิ้มหวานๆที่ไอ้คนเจ้าเล่ห์นั่นส่งมาพาลให้นึกถึงเก้าอี้ใหม่ตัวใหม่ในห้องของฤทธิชาติที่เขานึกเกลียดมันจับใจ


 “ครับ อาเขาเลยไม่อยากให้น้องพีติดไข้เลยให้อามาแทน”


“งั้นก็ได้ฮะ แล้วน้องพีจะหอมอาชาติด้วย”


สองอาหลานสลับกันหอมไปมาจนนิลเริ่มหมั่นไส้ในความหน้าไหว้หลังหลอกของนายตำรวจใหญ่ เขาเลือกเดินไปสมทบกับรัตติกาลและอารัณย์ทางด้านหลังแม้จะต้องโดนเจ้าของบ้านมองมาอย่างล้อๆ ก็ตาม


“รพีแม่งเหมือนมึงเกินไปแล้ว อีกหน่อยคงได้ปวดหัวกันทุกวัน”


“ฮ่าๆ งอนเด็กมันรึไง”


“โกรธไอ้โรคจิตนั่นมากกว่า เด็กหกขวบนะเว้ย หกขวบ!”


นิลทำหน้ารับไม่ได้กับความขี้หวงจนเกินเหตุของอีกฝ่าย จนพี่เลี้ยงหนุ่มได้แต่ส่ายหัวอย่างอ่อนใจแล้วพูดปลอบไปตามเรื่อง เลยไม่รู้เลยว่าสำหรับรัตติกาลนั้นอารัณย์กับฤทธิชาติก็ไม่ได้ต่างกันเลย


“ตามึงสองคนแล้ว เร็วๆ จะได้แดกเค้กกัน”


“ห่วงแต่เรื่องกินใช่ไหมเนี่ย”


อารัณย์ว่าขำๆก่อนจะเดินเข้าไปหารพีพร้อมกับรัตติกาลที่ต่างฝ่ายต่างก็มีของขวัญของตนเองอยู่ในมือ ร่างสูงของคนอ่อนวัยกว่าเดินเข้าไปหาร่างป้อมก่อนเพราะอยากให้คนรักได้เป็นคนแสดงความยินดีกับรพีเป็นคนสุดท้าย เขาหยิบเอาของอีกชิ้นที่ฝากให้ฤทธิชาติขนมาให้นอกเหนือจากสร้อยทองตามที่ตัวเองตั้งใจมาซึ่งมันถูกบรรจุไว้ในกล่องกระดาษกล่องใหญ่ที่ถูกห่อมาอย่างดี


“ว้าว กล่องเบ่อเริ่มเลย”


“เปิดเลยไหม”


“ฮะ!”


รพีลงมือแกะกล่องของขวัญนั้นอย่างตื่นเต้นเช่นเดียวกับรัตติกาลที่ไม่รู้มาก่อนว่าอารัณย์ได้เตรียมอะไรมา สองน้าหลานช่วยกันแกะกระดาษที่ห่ออยู่ไม่นานก็เจอเข้ากับแก้วใสที่มีลักษณะเหมือนฝาครอบบางสิ่งบางอย่างที่นอนนิ่งอยู่ในนั้น


“อารัณย์...นี่มัน”


“ผมว่ามันสวยดีน่ะ”


บ้านเรือนไทยจำลองทำจากไม้ถูกจัดวางไว้ในกล่องที่ทำจากกระจกทำให้สามารถเห็นรายละเอียดต่างๆได้อย่างชัดเจน ทั้งพื้นหญ้าและต้นไม้ประดิษฐ์ถูกทำมาให้เหมือนกับของจริงแต่ก็ไม่สวยงามเท่ากับตัวบ้านที่แม้แต่ไม้กระดาษแผ่นเล็กก็ถูกแกะสลักจนปรากฏเป็นลวดลายฉะลุอันประณีตแสดงถึงฝีมือและความทุ่มเทของช่างที่เนรมิตมันขึ้นมา รัตติกาลมองมันอย่างไม่เข้าใจเช่นเดียวกับคนอื่นที่เหลืออยู่ เห็นจะมีก็แต่เพียงเจ้าของวันเกิดเท่านั้นที่ถูกใจบ้านหลังเล็กนี้ไม่น้อย


“สวยจังเลย มันคืออะไรหรอฮะน้ารัณย์”


“บ้านจำลองน่ะครับ เคยเห็นมาก่อนไหม”


“ไม่ฮะ แต่พี...ชอบจังเลย”


เด็กชายวางมือทั้งสองข้างของตนทาบลงไปกับกระจกราวกับว่าอยากจะสัมผัสชิ้นงานที่อยู่ด้านใน อารัณย์อมยิ้มเมื่อเห็นว่าของที่เตรียมมาถูกใจคนรับเป็นอย่างมากแต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของรัตติกาล


“กาล เป็นอะไรรึเปล่า”


“ปะ เปล่า แค่ไม่คิดว่าคุณจะให้ของแบบนี้”


“ผมแค่คิดว่ามันสวยดี”


อารัณย์ว่ายิ้มๆก่อนจะหยิบเอาสร้อยข้อมือของตนออกมาแล้วยื่นให้กับรพีตามที่ตั้งใจไว้ เด็กชายมองของในมืออย่างสงสัย ร่างป้อมรู้ดีว่าสร้อยเส้นนี้มีค่าแต่ก็ไม่อาจประเมินได้เลยว่ามีค่ามากแค่ไหน


“พีรับไว้ไม่ได้หรอกฮะ ยายจันทร์บอกว่าพียังเด็กอยู่”


เด็กชายพูดตามสิ่งที่หญิงแก่เคยบอกไว้ในตอนที่รพีถามถึงสร้อยคอสำอำพันที่จันทร์มีสวมติดคอไว้ในตอนที่ออกไปทำธุระข้างนอกเป็นบางครั้ง ร่างสูงยิ้มออกมาเมื่อได้ฟังคำพูดที่สื่อถึงความเชื่อฟังที่รพีมีต่อผู้ใหญ่ยิ่งทำให้เขาอยากมอบมันให้เด็กดีอย่างร่างป้อมมากขึ้นไปอีก


“รับไว้เถอะ ผมขอให้หลานรับไว้ได้ไหมครับยาย”


ร่างสูงพูดกับรพีก่อนหันไปถามหญิงแก่ในตอนท้ายเพราะคิดว่ารพีคงยอมรับหากจันทร์อนุญาตและมันก็เป็นอย่างที่ว่า ทันทีที่จันทร์พยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้รพีก็ยกมือไหว้ขอบคุณอารัณย์แล้วจึงรับสร้อยทองเส้นเล็กนั้นมาพินิจใกล้ๆ เด็กชายลูบไปตามลายของมันเบาๆก่อนมาหยุดตรงจี้รูปปูนที่ดูเป็นเอกลักษณ์


“นี่มันคืออะไรหรอฮะ”


“จี้ครับ จี้รูปปืน...สร้อยเส้นนี้เป็นของพ่อน้าเอง”


“อ้าว แล้วน้ารัณย์เอามาให้พีทำไมล่ะฮะ”


“ก็เพราะว่าพีสำคัญสำหรับน้า เหมือนกับคนที่ให้สิ่งนี้กับน้ามาน่ะสิครับ”


ถึงแม้จะไม่มั่นใจว่าพ่อแท้ๆที่ไม่เคยเห็นหน้าตั้งใจมอบสร้อยเส้นนี้ให้ตนจริงหรือไม่ แต่อารัณย์ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากเขาไม่เข้าข้างตนเองจนเกิดไป มันคงมีอยู่สักเศษเสี้ยวของความรักอยู่ในสร้อยเส้นนี้ ไม่ว่าจะน้อยนิดยิ่งว่าเถ้าถลีหรือมากมายดั่งลวดลายบนอำพันนี้ก็ตาม


อารัณย์ลูบหัวของรพีเบาๆพร้อมกับจ้องไปในนัยน์ตาวาวคู่นั้นอย่างรักใคร่  ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเข้าใจว่าความสัมพันธ์ของพ่อลูกจริงๆนั้นเป็นอย่างไร แต่ความผูกพันที่ก่อเกิดรวมกับความห่วงใยตั้งแต่วันแรกที่พบหน้าทำให้เขาสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่ารักรพีไม่ต่างจากลูกแท้ๆ



 “สร้อยเส้นนี้คือสิ่งที่เคยเป็นทุกอย่างสำหรับน้า แต่ตอนนี้น้ามีสิ่งที่สำคัญเพิ่มขึ้นมาอีกสองอย่าง คือ’รัตติกาล’ และ ‘รพี’ น้าจึงอยากให้สร้อยเส้นนี้เป็นสิ่งแทนคำสัญญาว่าน้าจะดูแลทั้งพีกับพ่อเหมือนกับที่น้าเคยดูแลสร้อยเส้นนี้มา...ด้วยชีวิต”



เด็กชายแม้ไม่อาจเข้าใจได้ถึงความหนักแน่นของคำสัญญาที่ว่า แต่เพราะความจริงใจที่สื่อออกมาก็ทำให้เด็กชายรู้สึกสั่นไปทั้งหัวใจได้ เช่นเดียวกับคนเป็นพ่อที่ไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลตั้งแต่ได้ยินความในใจของคนรักและคำสัญญาที่เอ่ยต่อหน้าทุกคนที่อยู่ในห้องนี้


นิลและฤทธิชาติยิ้มกริ่ม เช่นเดียวกับจันทร์และสาวใช้คนอื่นที่รู้ความหมายของคำสัตย์นั่นดีและมันก็ทำให้ทุกคนรู้ว่าพี่เลี้ยงหนุ่มคนนี้จะก้าวเข้ามาเป็นคนสำคัญของบ้านพัฒนเดชา ในฐานะคนที่คอยประสานและพัดพาฝันร้ายที่ยาวนานให้พ้นไปจากที่นี่สักที


“ทำแบบนี้มันมัดมือชกกันชัดๆ”


รัตติกาลที่ยืนอยู่ข้างกันยิ้มทั้งน้ำตา อารัณย์ที่เห็นดังนั้นก็ใช้มืออีกข้างนอกเหนือจากข้างที่คอยจับมือร่างโปร่งไว้ยกขึ้นปาดหยดน้ำแห่งความสุขนั้นออกให้อย่างอ่อนโยน


“ผมรู้ว่ากาลต้องตกลง”


“หลงตัวเองชะมัด”


ร่างโปร่งหัวเราะพร้อมกับโผเข้าหาอ้อมกอดของอารัณย์ที่อ้ารอรับอยู่ ฝ่ามือที่เคยทั้งทำร้ายและปลอบโยนลูบหัวเขาเบาๆก่อนกดมันทำให้ใบหน้าของรัตติกาลจมลงบนบ่าของอารัณย์ที่หัวเราะน้อยๆอย่างชอบใจ รัตติกาลพยายามขืนตัวอยู่สักพักแต่ก็โดนคนรักกระซิบเบาๆให้รอก่อนยิ่งทำให้คนที่หยุดร้องไห้ไปแล้วสงสัย แล้วทันใดนั้นเองขากางเกงของรัตติกาลก็ถูกกระตุกเบาๆพร้อมกับแรงกดจากอารัณย์ที่คลายไป


“พ่อกาลฮะ...”


รัตติกาลรู้สึกเหมือนเขาใช้ความสุขทั้งชีวิตหมดไปแล้วในวันนี้ เด็กชายตัวป้อมที่เขาได้เห็นหน้าตั้งแต่ครั้งแรกที่ลืมตาดูโลกบัดนี้ตัวสูงใหญ่จนสามารถเอื้อมส่งพวงมาลัยช่อสวยให้ถึงมือเขาได้แล้ว รัตติกาลรับมันไว้ก่อนสองเท้าที่เคยเล็กเพียงครึ่งฝ่ามือนำพารพีเดินมาหยุดลงตรงหน้าแล้วทรุดตัวลงจนร่างโปร่งต้องนั่งตาม




“ขอบคุณนะฮะที่ทำให้พีเกิดมา...พีรักพ่อกาลที่สุดในโลกเลย”




ว่าจบแล้วฝ่ามือคู่เล็กก็พนมเป็นพุ่มแล้วก้มกราบลงแทบเท้าของบิดาที่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก รัตติกาลแทบไร้การตอบสนองเขาได้ยินเพียงแต่คำพูดของรพีและเสียงร้องไห้ด้วยความปลื้มใจที่ดังมาจากทางเบื้องหลัง เด็กน้อยที่เขาเคยเกลียดชังเงยหน้าขึ้นมาสบตาก่อนจะยิ้มให้เหมือนกับทุกครั้ง ตลอดหกปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะดีร้ายแค่ไหนสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความรักของลูกชายที่มีให้กับเขาเสมอมา




“รพี...พ่อขอโทษนะลูก”




รัตติกาลคว้าอีกฝ่ายมากอดไว้ก่อนน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้จะพรั่งพรูออกมา เหมือนม่านหมอกที่เคยบังตาได้คลายหายไป บัดนี้ร่างโปร่งรับรู้ได้ถึงสิ่งที่คอยตามหาโดยไม่เคยรู้ว่าตลอดมาความรักแท้จริงจะอยู่เคียงข้าง รอคอยให้เขามองกลับมาแต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะเข้าใจมัน


ตลอดหกปีที่ผ่านมาเขาเอาแต่โหยหาสิ่งที่เสียไปโดยไม่เคยเหลียวแลสิ่งที่ได้รับมา ทุกครั้งที่เขาเอาแต่มองไปข้างหลังมีเพียงรพีเท่านั้นที่พยายามจะฉุดมือเขาให้เดินไปข้างหน้าโดยผลที่รับกลับไปคือบาดแผลจากการผลักไสของเขาเท่านั้นเอง



“พ่อกาลขอโทษทำไม พีไม่เคยโกรธพ่อสักหน่อย”


“...!”


“พ่ออย่าร้องไห้นะ หรือพวงมาลัยของพีไม่สวย”


“เปล่าครับ พวงมาลัยของรพีสวยมากเลย ขอบคุณนะ”


รัตติกาลส่ายหน้าแล้วพยายามยิ้มให้ร่างป้อมที่มองมาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวัง พวงมาลัยที่กองอยู่บนตักไม่ได้สวยงามเหมือนแบบที่มีขายตามร้านทำให้ร่างโปร่งรับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวป้อมคงแอบไปทำให้เขาด้วยความช่วยเหลือของใครสักคน แต่สงสัยอยู่ไม่นานรัตติกาลก็ได้คำตอบเมื่อสังเกตเห็นรอยจุดแดงๆมากมายตามนิ้วมือของเพื่อนรักที่ไม่เคยจับอย่างอื่นนอกจากปากกา


ร่างโปร่งบอกขอบคุณเพื่อนโดยไม่มีเสียงโดยที่นิลก็เอาแต่เกาจมูกแก้เขินไปทั้งอย่างนั้น รัตติกาลยิ้มอ่อนก่อนจะหยิบเอาของขวัญของตนที่เตรียมไว้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต เขาวางกล่องไม้ใบเล็กลงไปบนฝ่ามือของรพีที่รอรับอยู่ด้วยความตื่นเต้น เด็กชายมองด้วยความชอบใจก่อนจะเปิดมันดูทันทีที่รัตติกาลอนุญาต


“เปิดสิ...นี่ของขวัญของพ่อเอง”


กุญแจสีเงินดอกใหญ่นอนนิ่งอยู่ในนั้น รพีมองมันอย่างสงสัยแต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามไถ่ ร่างเล็กของเด็กชายก็โดนรัตติกาลคว้าเข้าไปกอดไว้แน่นที่สุดเท่าที่รพีเคยได้รับมา เด็กชายจำได้ว่าวันที่รัตติกาลกลับมาจากหายไปพ่อก็เคยกอดเขาไว้แบบนี้แต่มันกลับไม่อุ่นเท่า กำแพงหนาที่มองไม่เห็นพังทลายลงไปพร้อมกับการมาของวันใหม่แห่งการเริ่มต้นอีกครั้ง


“กุญแจอะไรหรอฮะ”


“สักวัน ลูกจะรู้เอง สัญญากับพ่อนะว่าจะรักษามันไว้จนกว่าจะถึงวันนั้น”


“ฮะ พีสัญญา”


รพีชูนิ้วก้อยของตัวเองขึ้นแล้วยื่นมาตรงหน้าเพื่อให้รัตติกาลทำสิ่งเดียวกันกลับ ร่างโปร่งยิ้มกว้างแล้วชูนิ้วก้อยของตนขึ้นมาเช่นกัน เขาส่งมือของตัวเองออกไปเพื่อผูกผันคำสัญญานั้น แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีก่อนที่ทั้งสองจะได้สัมผัสกัน เสียงโวยวายของลูกศรที่เดินออกไปจากห้องนักเล่นครู่ใหญ่ก็ดังขึ้นจนทุกอย่างชะงักลง



“คุณคะ เข้าไปได้นะคะ คุณ!!”


“รพี! รพีอยู่ไหน!!!”



รัตติกาลตัวเย็นวาบจนไม่อาจขยับร่างกายของตนเองได้ เสียงที่เคยได้ยินจนคุ้นชินดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้านก่อนร่างของคนที่สมควรถูกเผาไปพร้อมกับเปลวไฟนั้นจะปรากฏขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนรน








“พี่แพง...”






หญิงสาวที่เคยนับถือกันยืนหายใจหอบอยู่ตรงหน้าโดยที่สายตานั้นจับจ้องอยู่ที่ตัวเขาอย่างไม่มีสั่นไหว เส้นผมสีดำสลวยที่เคยไว้ยาวถูกตัดให้สั้นลงรับกับรูปหน้าที่สวยงามไม่เคยเปลี่ยนแปลง จะมีก็เพียงแต่ความโกรธเกรี้ยวเท่านั้นที่ทำให้รัตติกาลรู้ว่าพี่รหัสของตนไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว


“กาล...”


“ทำไม...ทำไมพี่...”


“ลูกพี่ไปไหน รพีไปไหน!!!”


ทันทีที่ระบายโทสะผ่านทางวาจาร่างเล็กนั้นก็กระโจนเข้าหารัตติกาลแต่ก็ไม่อาจมาถึงได้เพราะมีอารัณย์และนิลที่ตกใจไม่แพ้กันเข้ามาขวางไว้ แววตาของนักเขียนหนุ่มสั่นไหว ทั้งดีใจและตกใจเสียจนพูดอะไรไม่ออก ฝ่ามือของเขาบีบเข้าที่ข้อมือเล็กของหญิงสาวรุ่นพี่เพื่อเตือนสติของทั้งตัวเองและพะแพงให้สงบลงจนเธอยอมละสายตาจากรัตติกาลแล้วมองมายังนิลที่แทบจะร้องไห้ออกมา


“พี่แพง ทำไมพี่อยู่ที่นี่...พี่ตายไปแล้วไม่ใช่หรอ”


สิ่งที่เขากลัวที่สุดมันเกิดขึ้นแล้ว นิลไม่มีสติแม้แต่จะสาปแช่นักสืบไร้ฝีมือที่ตัวเองให้ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับรูปที่เขาเห็นมันบนหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่เพียงรูปของชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับนทีจนน่าสงสัย...แต่รวมถึงรูปของผู้หญิงอีกคนที่ควรจะตายไปพร้อมกับนทีตั้งแต่วันนั้น

“พี่ไม่ได้ตายนิล แต่วันนี้พี่รู้สึกเหมือนตัวเองตายทั้งเป็น เมื่อต้องรู้ว่าน้องที่ตัวเองรักพรากลูกไปจากพี่!!!”


พะแพงมองมาที่รัตติกาลอย่างเคียดแค้นโดยที่ร่างโปร่งไม่อาจพูดอะไรกลับไปได้ เขาจับมือของรพีที่หลบอยู่ด้านหลังแน่นแต่ก็สัมผัสได้ว่าร่างเล็กๆของลูกชายนอกไส้กำลังสั่นเพราะเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะของคนที่ได้ชื่อว่าตายไปแล้วแต่แท้จริงตัวนั้นยังอยู่


“พ่อกาลฮะ...เขาเป็นใคร”


“รพี...”


“พีกลัว ฮึก พีกลัว”


รัตติกาลทนไม่ไหวเขากลับตัวไปกอดรพีที่กำลังร้องไห้ไว้อย่างหวงแหน แต่ก็เพราะการกระทำนั้นทำให้พะแพงที่กำลังมองหาลูกของตนอยู่เห็นเข้าว่าภายใต้อ้อมกอดอุ่นของรัตติกาลมีร่างของเด็กคนหนึ่งกำลังตัวสั่นเทาอยู่ในนั้น


“รพี...รพีใช่ไหมลูก นั่นรพีใช่ไหม”


หญิงสาวผลักนิลออกไปแล้วพยายามเดินเข้าไปหาแต่ยังไม่ทันที่มือของเธอจะได้เอื้อมถึงอารัณย์ก็หยุดเธอไว้ด้วยการใช้ร่างสูงใหญ่ของตนขวางไม่ให้ผู้มาเยือนไปถึงสองพ่อลูกนั้นได้


“ถอยไปเถอะครับ...”


พะแพงชะงักก่อนจะเค้นยิ้มออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ฝ่ามือผ่ายผอมฟาดเข้าที่แก้มกร้านเต็มแรงจนทำให้ทั้งห้องที่กำลังวุ่นวายหยุดนิ่งลงทันทีที่สิ้นสุดเสียงนั้น ร่างสูงที่หน้าสะบัดไปเพราะแรงตบหันกลับมามองสบตากับหญิงสาวด้วยความมาดมั่นทั้งที่หัวใจกำลังสั่นไหว เช่นเดียวกับรัตติกาลที่แทบจะถลาเข้าไปปกป้องคนรักให้ไม่ต้องเจ็บตัวเพราะเขาอีก






“เธอนั่นแหละที่ต้องถอยไป...อารัณย์”




“...”




“เธอคิดจะทำอะไรถึงได้ไปปกป้องคนที่ทำร้าย ‘พี่สาว’ ของตัวเองแบบนี้”





เหมือนสายฟ้าฟาดขาของรัตติกาลที่กำลังเดินเข้าไปหาคนรักหยุดนิ่ง เขารู้สึกได้ว่าทั้งรอยยิ้มและน้ำตาบนใบหน้าของตัวเองได้หายไปเช่นเดียวกับความมั่นใจที่จะดำเนินเรื่องราวต่อ เขามองหน้าอารัณย์ด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะหันไปมองพะแพงที่หันมาสบตาเขาด้วยความสมเพช


“หรือว่าเธอไม่ได้บอกเขา?”


“...”


“อย่างนี้นี่เอง”


หญิงสาวยิ้มเยาะก่อนจะก้าวเข้าหารัตติกาลที่ไม่มีแรงแม้แต่จะพยุงตัวให้ตรง อารัณย์พยายามเข้ามาขวางไว้แต่ก็โดนผู้หญิงที่ตนนับถือจับเข้าที่วงแขนแกร่งแล้วออกแรงเพียงน้อยนิด ลากร่างสูงให้เดินตามกันมาหยุดอยู่ตรงหน้ารัตติกาลโดยที่เขาไม่มีสิทธิที่จะขัดขืน เพราะไม่เคยมีสักครั้งที่อารัณย์คิดจะทำให้ผู้หญิงคนนี้เจ็บปวด


“กาล...พี่มีคนจะแนะนำให้รู้จัก”


“...”






“นี่คือ ‘อารัณย์’ น้องชายของพี่เอง”




---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!!


ตอนแรกๆเคยมีคอมเม้นต์นึงทักเช่ว่า ทำไมรพีถึงเรียกว่า "น้ารัณย์" ควรจะเป็นอาหรือพี่ไม่ใช่หรอ....


วันนี้ได้คำตอบแล้วนะคับ....  :hao3:

ป.ล.1 ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวต

ป.ล.2 คนเขียนชื่อเช่นะคับ ไม่ใช่ เชี้ย 55555 อ่านตอนนี้อย่าเปลี่ยนชื่อให้กันล่ะ  :mew3:

ป.ล.3 ชิ่งล่ะว้อยยยยยยยยยย *หลบรองเท้าคนอ่าน!!!!*  :z2:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2015 22:44:56 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อุตะ...หงัยเป็นงั้นอะ...อารัณ..พะแพง... :z3:

..อย่างนี้กาลจะทนไหวมัยอะ.. :m15:


ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling3: :ling3: :ling3:
กาลลลล.....ตั้งสติดีๆนะ!!!!

อารัณย์?????อธิบายด่วนเลย

ออฟไลน์ PK13

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นั่นไงงงงงงง  นี่เราบอกตั้งแต่ตอนที่อ่านเรื่องนี้ตอนแรกๆแล้วว่ากาลอ่ะน่าสงสารที่สุดในเรื่อง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คุณเช่คะ....แบบนี้มันโหดร้ายเกินไปแล้ว o22 :z3:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ชอคหนักไปอีก เห้ออ!!

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
แหงะ​ สงสาร​กาลลลล

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

41st Night

…Truth...
                                               

 

“อารัณย์ๆ มีคนมาหาลื้อน่ะ”

 

 

เฒ่า ‘หยาง’ เจ้าของโรงสี ตะโกนเรียกเด็กหนุ่มที่กำลังงมอยู่กับตัวเลขในบัญชีให้เงยหน้าขึ้นมอง อารัณย์ในวัยสิบเก้าย่างยี่สิบปีขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่อาการส่ายหน้าพร้อมกับโบกพัดสีแดงในมือไปมาของเถ้าแก่ทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าคนที่มาหาเขาไม่ใช่คนที่ชายเฒ่ารู้จัก

 

 

“รีบไปเร็วๆเข้า เดี๋ยวเขาจะรอนาน”

 

 

เถ้าแก่พูดเร่ง แต่อารัณย์กลับไม่สนใจ เขาก้มหน้าลงมองตัวเลขแล้วรัวลูกคิดในมือต่อด้วยความชำนาญ ร่างสูงถนัดใช้มันมากกว่าเครื่องคิดเลขเพราะเฒ่าหยางเป็นพวกหัวโบราณติดจะงกนิดหน่อยเลยไม่ยอมเจียดเงินซื้อเครื่องอำนวยความสะดวกดีๆให้เขาใช้ แต่อารัณย์ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากใช้มันต่อไปเท่านั้น

 

 

หลังจากแม่ตายอารัณย์ก็ทิ้งบ้านหลังเก่าออกมาเร่ร่อนหางานทำไปเรื่อยๆเป็นเวลาเกือบสองปีจนมาถูกตาต้องใจเถ้าแก่ที่นี่เด็กหนุ่มในวัยสิบเจ็บปีก็อาศัยสติปัญญาที่ดีและความขยันทำให้สามารถทำงานได้ดีกว่าคนที่ตาเฒ่าหยางเคยจ้างไว้ชายแก่พอใจเลี้ยงดูอารัณย์ให้มาทำงานด้วยกันตั้งแต่แบกกระสอบข้าวเรื่อยมาถึงดูแลเรื่องเงินท้องโดยให้ค่าจ้างที่มากพอตัวสำหรับเด็กที่มีวุฒิแค่การศึกษามัธยมสามและให้อาศัยชายคาโรงสีเก่าเป็นที่หลับนอนมาจนเกือบบรรลุนิติภาวะ

 

 

“ถ้าเฒ่าไม่รู้จัก ผมจะรู้จักได้ไง ไม่ไปหรอกเสียเวลา”

 

 

“เวลามันก็มีเหลือเฟือพอๆกับเงินของลื้อนั่นแหละอารัณย์ ไปเร็วๆเข้า ให้แขกรอนานมันไม่ดี เดี๋ยวใครเขาจะด่าเอาได้ว่าอั้วไม่สั่งสอน”

 

 

ชายแก่นำพัดในมือของตนเคาะเข้าที่หัวเกรียนของอารัณย์แรงๆจนเกิดเสียงดัง แต่ดูเหมือนอารัณย์กลับเคยชินกับการลงโทษเล็กๆแบบนี้ไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มส่ายหน้าแล้วยอมลุกจากงานมาเพราะไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับเฒ่าหยางไปมากกว่านี้ เขาจึงเดินไปยังหน้าโรงสีตามที่ตาแก่บอก

 

 

“หรือจะเป็นพวกไอ้ชัยมาขอยืมเงิน...แต่ถ้าเป็นมันเฒ่าหยางต้องรู้จักสิ”

 

 

อารัณย์เดินไปเรื่อยๆพลางกับเดาไปด้วยว่าคนที่มาหาตนคือใครทำไมตาแก่ขี้งกนั้นถึงยอมให้เขาสละเวลางานที่มีค่ามาทั้งที่ปกติแค่กลับจากกินข้าวเที่ยงช้าก็โดนบ่นจะแย่ ร่างสูงขมวดคิ้วเมื่อเห็นแผ่นหลังของชายที่สูงกว่าตนไม่มากนั่งยืนอยู่หลังรั้วเหล็กอันใหญ่ เส้นผมสีเทาถูกตัดจนเกรียนตัดกับผิวสีเข้มแต่ก็ยังดูขาวกว่าของเขาที่ทำงานอย่างหนักมาตลอดหลายปี อารัณย์พิจารณาคนตรงหน้าด้วยความสงสัยก่อนจะตัดสินใจเอ่ยทักออกไปด้วยเสียงห้วนๆ

 

 

“คุณมาหาผมหรอ”

 

 

เด็กหนุ่มถามออกไปอย่างไม่สุภาพมากนักแต่ก็ถือว่าดีแล้วสำหรับคนที่ห่างหายจากการอบรมมานาน ชายแก่คนนั้นหันหน้ากลับมาทำให้ร่างสูงสบเข้ากับดวงตาเรียวเล็กไม่ต่างกับเขาแต่ผิดกันทีของอีกฝ่ายนั้นดูอ่อนโยนกว่า ในขณะที่ของอารัณย์มีแต่ความแข็งกระด้างเพราะเรื่องราวในอดีต

 

 

“อารัณย์ใช่ไหม”

 

 

ร่างสูงขมวดคิ้วแน่นเมื่อผู้มาเยือนกลับตอบคำถามด้วยคำถาม เขาสถบเบาๆแต่ก็ยอมพยักหน้าส่งๆไปเพราะไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้

 

 

“โตขนาดนี้แล้วหรอ...เวลามันผ่านไปเร็วจริงๆ”

 

 

“ผมไม่มีเวลามานั่งฟังลุงเพ้อหรอกนะ ลุงเป็นใครแล้วมีอะไรกับผมก็รีบๆพูดมา ผมมีงานต้องทำ”

 

 

ชายแปลกหน้ายิ้มอ่อนแล้วยื่นบกล่องใบเล็กใบหนึ่งผ่านทางซี่ประตูมาให้แต่อารัณย์ก็ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ ชายคนนั้นพยักหน้าให้พร้อมกับรบเร้าให้ร่างสูงเอามันไปจนเขานึกรำคาญแต่ก็เห็นว่าถ้าไม่รับมาตัวเองคงไม่ได้กลับไปทำงานแน่ๆ อารัณย์มองอีกฝ่ายด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะยอมรับสิ่งนั้นมาถือไว้อย่างเสียไม่ได้

 

 

“พอจะคุ้นๆบ้างไหม”

 

 

คำพูดของชายแปลกหน้าทำให้อารัณย์ตัดสินใจเปิดกล่องนั้นดูก่อนจะเบิกตากว้าง สร้อยข้อมือทองลวดลายแบบเดียวกันกับสมบัติชิ้นเดียวที่เขาหยิบติดตัวมาจากบ้านที่เคยอยู่อาศัยส่งประกายแวววาวเล่นกับแสงอาทิตย์ โดยสิ่งที่ทำให้อารัณย์ตกใจมากที่สุดก็คือจี้รูปปืนที่มีความละเอียดอ่อนไม่ผิดกันเลยแม้แต่น้อย ชายคนนั้นยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นท่าทางของร่างสูง ไม่ต้องให้อีกฝ่ายร้องขอ อารัณย์ยอมเดินข้ามประตูเหล็กบานนั้นไปเพื่อเผชิญหน้ากับอดีตที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อน

 

 

“คุณเป็นใคร”

 

 

“ก่อนจะตอบคำถามนั้น ขอฉันดูเธอใกล้ๆกว่านี้หน่อยได้ไหม”

 

 

อารัณย์เกร็งไปทั้งร่างเมื่อชายสูงวัยลูบไปตามเส้นผมที่หยาบกระด้างของเขา เสียงครางฮือติดจะสั่นเครือดังขึ้นพร้อมกับน้ำที่ไหลออกจากดวงตาทำให้ร่างสูงไม่กล้าปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายคว้าเขามากอดไว้

 

 

“เหมือนจริงๆ เหมือนกับเจ้าณพจริงๆ”

 

 

ชายแก่เอาแต่พูดถึงชื่อของคนที่อารัณย์ไม่รู้จัก แต่กลับสร้างความคาดหวังให้กับเด็กหนุ่มได้อย่างประหลาดจนแทบตัวเองไว้ไม่ได้ ความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับถูกส่งผ่านอ้อมแขนที่ไร้เรี่ยวแรงของชายตรงหน้าและวาจาที่พูดราวกับว่าเขาเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายตามหามานาน

 

 

“ลำบากมามากสินะ ทำไมฉันถึงไม่เจอเธอให้เร็วกว่านี้”

 

 

“...หมายความว่ายังไงครับ”

 

 

“รับนี่ไปสิ”

 

 

ชายคนนั้นปาดน้ำตาก่อนจะหยิบเอารูปถ่ายเก่าๆใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นมันให้กับอารัณย์อีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มรับมันมาอย่างไม่ลังเลใจ รูปใบนั้นปรากฏภาพถ่ายของครอบครัวหนึ่งที่ประกอบไปด้วยคนสี่คน ชายในชุดสูทซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางเป็นคนเดียวกับชายที่ยื่นอยู่ตรงหน้าเขาไม่ผิดแน่ ส่วนหญิงอีกคนที่นั่งอยู่เคียงข้างกันก็ดูอ่อนโยนไม่ผิดกับผู้หญิงอีกคนที่อ่อนวัยกว่ายืนเยื้องไปทางด้านหลัง โดยในทิศตรงกันข้ามกันนั้นเป็นชายอีกคนที่สวมใส่ชุดตำรวจเต็มยศพร้อมกับยิ้มให้กล้องด้วยใบหน้าที่ทำให้อารัณย์พูดไม่ออก

 

 

“เหมือนใช่ไหม...กับพ่อของเธอน่ะ”

 

 

“คุณ...”

 

 

“พ่อของเธอชื่อรรณพ...เขาเป็นลูกของฉันเอง”

 

 

อารัณย์รู้สึกเหมือนร่างกายไร้เรี่ยวแรงไปชั่วขณะ รูปถ่ายในมือถูกเขาขยำเสียจนยับแต่คนที่อ้างตัวว่าเป็นปู่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหนำซ้ำยังมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งตกใจ ดีใจ และโกรธแค้นด้วยความอาทร

 

 

“ผม...ไม่มีพ่อ”

 

 

“เธอมี”

 

 

“ไม่ครับ...ตั้งแต่วันที่เขาให้เงินแม่มาฆ่าผม”

 

 

“เธออาจจะเกลียดมันแต่เชื่อฉันเถอะว่าลูกชายฉันเขาทำไปเพราะครอบครัว”

 

 

“ครอบครัวที่คุณว่าคงไม่มีผม...ขอตัวนะครับ”

 

 

ร่างสูงไม่อยากรับฟังอะไรไปมากกว่านี้ ความอยากที่จะกระโจนเข้าไปรู้เรื่องราวในอดีตกับอยากลืมเลือนความเจ็บปวดนั้นตีรวนจนเขาสับสนเกินกว่าจะรับไว้ ชายหนุ่มกลับหลังหันแล้วเดินกลับไปที่ประตูโดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆ แต่ก่อนที่เขาจะได้หนีไปอย่างที่ใจหวังท่อนแขนแกร่งของอารัณย์ก็ถูกรั้งไว้ด้วยมือที่อ่อนนุ่มอย่างที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

 

 

“อย่าเพิ่งไปนะ!”

 

 

“...!!!”

 

 

หญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักศึกษากอดแขนของอารัณย์ไว้ราวกับว่ากลัวมันจะหายไป ผิวขาวที่ผิดกับเด็กสาวในโรงสีทำให้อารัณย์รีบดึงแขนของตัวเองกลับมาด้วยความไม่คุ้นชินแต่สาวเจ้าก็ไม่ปล่อยให้ทำได้ง่ายๆ

 

 

“ปล่อย!”

 

 

“พี่ไม่ปล่อย! คุณปู่รีบทำอะไรสักอย่างสิ!”

 

 

“ใจเย็นๆพะแพง ปล่อยน้องก่อน เดี๋ยวได้ตะเลิดกันหมด”

 

 

คนที่อ้างตัวว่าเป็นปูตบเบาๆที่หลังของหลานสาวแต่อีกมือก็คว้าเข้าที่ไหล่ของอารัณย์ไว้ เด็กหนุ่มมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจแต่ดูเหมือนหญิงสาวตรงหน้าจะไม่ปล่อยให้เขาคิดไปเองนานกว่านี้

 

 

“เธอต้องฟังเรานะอารัณย์ ฟังก่อนได้ไหม...นะ”

 

 

“ปะ ปล่อย”

 

 

อารัณย์ดึงมือของตัวเองออกเมื่อโดนอีกฝ่ายคว้ามันไปจับไว้แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวตรงหน้าก็ยังดื้อดึงคว้าไปจับอีก ผิวกร้านแดดของเขาแดงระเรื่อ ผู้หญิงคนนี้สวยน้อยซะที่ไหน ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยสนใจผู้หญิงเพียงแต่ผู้หญิงที่เขาเคยเจอไม่มีคนที่ทำให้ใจของอารัณย์สั่นไหวได้ขนาดนี้

 

 

“อะไรกัน เขินหรอ”

 

 

“ไม่ได้เขินเว้ย ปล่อยเลย ผมจะกลับเข้าไปทำงาน”

 

 

“อย่าเพิ่งสิ มาคุยกันก่อน พี่ไม่แกล้งแล้วก็ได้ นะๆ”

 

 

ร่างสูงรู้สึกเกลียดคำว่านะที่อีกฝ่ายใช้ลงท้ายประโยคตงิดๆเพราะว่ามันทำให้เขาต้องยอมมานั่งอยู่ใต้ร่มไม้ร่วมกับผู้มาเยือนทั้งสองคนโดยแลกกับการโดนพัดสีแดงของเฒ่าหยางฟาดเข้าที่กลางกระหม่อมถึงสามครั้ง

 

 

“อะ เออ รัณย์เจ็บมากไหม”

 

 

“มีอะไรก็รีบพูดมา ผมจะได้กลับไปทำงาน”

 

 

หญิงสาวถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงแต่ก็โดนร่างสูงบอกปัดไปพร้อมกับลูบหัวเกรียนๆของตัวเองไปด้วย

 

 

“ปู่จะเล่าเองหรือให้แพงพูดกับน้องก่อน”

 

 

“ให้ปู่เล่าเองเถอะ”

 

 

ชายแก่ยิ้มให้หลานสาวก่อนจะใช้ยาหม่องที่ตัวเองพกติดกระเป๋ามาทาไปบนหัวของอารัณย์อย่างอ่อนโยนแม้จะโดนเด็กหนุ่มปัดมันออกในตอนแรกก็ตาม คนที่อ้างตัวว่าเป็นปู่หัวเราะน้อยๆเมื่อเห็นท่าทางเก้งก้างแบบนั้น เขามองร่างสูงที่มีใบหน้าเหมือนลูกชายด้วยความรักและสงสารใสคราวเดียวกันก่อนที่จะบอกเล่าถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาโดยมีเพียงเสียงของสายลมที่ดังคลอเท่านั้น

 

 

อารัณย์รับฟังทุกอย่างผ่านอคติที่ถูกสั่งสมมาหลายปีแต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ละสายตาไปจากจี้ทองที่เหมือนกับของเขาทุกระเบียดนิ้ว ความหวังที่เคยทิ้งไปแล้วหลายครั้งหวนกลับมาให้คิดน้อยใจ แม้ว่าเหตุผลที่ได้รับจะดูมีน้ำหนักเท่าไหร่แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาต้องพบเจอมาตลอดชีวิต

 

 

“คุณจะบอกว่าที่พ่อต้องทิ้งผมกับแม่ก็เพราะว่าโดนเจ้านายบังคับหรอครับ”

 

 

“...ปู่ขอโทษ แต่ตอนนั้นถ้าเจ้าณพมันเลือกแม่ของรัณย์ เจ้านายมันคงไม่ปล่อยให้ทำงานอย่างเป็นสุข”

 

 

“หึ เขาจะเลือกได้ยังไงในเมื่อแม่ผมไม่เคยเป็นตัวเลือกของเขาอยู่แล้ว”

 

 

“...”

 

 

“ถ้าเขาไม่นอกใจเมียตัวเองมายุ่งกับแม่...เรื่องทั้งหมดคงไม่เป็นแบบนี้”

 

 

“ปู่ขอโทษ”

 

 

ร่างสูงถอนหายใจ มันป่วยการที่เขาจะมานั่งนึกแค้นคนที่ไม่เหลือลมหายใจอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว หัวใจของอารัณย์ว่างเปล่า แม้จะเสียใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่อยากฟูมฟายให้มันน่าสมเพชมากไปกว่านี้ แค่รับรู้ว่าสุดท้ายความเห็นแก่ตัวและมักมากที่บิดามี เป็นสาเหตุที่ทำให้ชีวิตของแม่และเขาป่นปี้ก็เกินที่จะรับไหว

 

 

“ช่างเถอะครับ ยังไงเขาก็ไม่อยู่แล้ว ผมขออโหสิกรรมให้แล้วกัน”

 

 

“อารัณย์...”

 

 

“ถ้านั่นเป็นสิ่งที่คุณอยากได้ยิน ก็คงพอใจแล้วนะครับ”

 

 

อารัณย์ลุกขึ้นยืนแต่ก็โดนหญิงสาวร่างเล็กรั้งไว้อีกครั้งด้วยน้ำตาคลอเบ้าตั้งแต่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง เธอออกแรงดึงให้เด็กหนุ่มตรงหน้านั่งลงแต่ร่างสูงก็ขืนตัวไว้ ไม่ยอมโอนอ่อนให้คนพวกนี้อีก

 

 

“ปล่อยเถอะครับ...แล้วก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน”

 

 

“ไม่นะอารัณย์ พวกเราไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้”

 

 

“แล้วพวกคุณจะเอาอะไรกับผมอีก”

 

 

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มสั่นเครือในท้ายประโยคราวกับว่าเขาเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะเผชิญกับอดีตที่โหดร้ายต่อไป ชายแก่ลุกขึ้นยืนก่อนจะจับบ่าของอารัณย์ไว้มั่น

 

 

“ปู่รู้ว่ามันอาจสายเกินไป แต่เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมอารัณย์”

 

 

“...!!!”

 

 

“ตอนนั้นปู่ไม่รู้จริงๆว่าแม่ของหลานท้อง เจ้าณพไม่เคยปู่จนกระทั่งมันฝากฝังไว้ก่อนตายพร้อมกับสร้อยเส้นนั้น”

 

 

อารัณย์มองสร้อยในมือของตัวเองแล้วกำมันแน่น อยากจะปามันทิ้งไปแต่ความต้องการบางอย่างก็รั้งให้เขาทำแบบนั้นไม่ได้เช่นเดียวกับการทำใจยอมรับเหตุผลแสนเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่ได้ลง

 

 

“ผมคงยอมรับคนที่เคยอยากให้ผมตายไม่ได้”

 

 

ร่างสูงพูดไปตามความจริง ต่อให้แม่เขาจะเป็นเพียงเมียน้อยแต่หากผู้ชายคนนั้นเคยรักแม่ของเขาจริงแม้เพียงสักนิดเรื่องราวทั้งหมดคงไม่มีจุดจบแบบนี้ แต่จะโทษพ่อของเขาคนเดียวคงไม่ได้เพราะแม่ของเขาเองก็เห็นแก่ตัวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน สุดท้ายอารัณย์ก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตัวเขาเคยมีความหมายกับสองคนนั้นบ้างรึเปล่า

 

 

“ปู่รู้ว่ามันยาก แต่ถึงอย่างนั้นปู่ก็ทิ้งให้หลานของปู่ลำบากไม่ได้”

 

 

“ผมไม่ได้ลำบากอะไร ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ถือว่าสบายแล้วด้วยซ้ำ”

 

 

เด็กหนุ่มคิดย้อนไปถึงชีวิตแร้งแค้นสมัยเด็กแล้วเผลอกำมือแน่นอย่างอดไม่ได้ ไม่ใช่แค่ความอดอยากทางกายแต่เป็นความโหยหาทางจิตใจต่างหากที่ทำให้เขาเคยนึกเกลียดโลกทั้งใบที่โหดร้ายกับเขาได้ถึงเพียงนี้

 

 

“ไม่ได้หรอกนะอารัณย์ เธอจะใช้ชีวิตอย่างนี้ต่อไปไม่ได้”

 

 

หญิงสาวอีกคนลุกขึ้นเผชิญหน้ากับอารัณย์ด้วยท่าทางที่จริงจังกว่าเคยจนเขาไม่กล้าเอ่ยขัด เธอหยิบเอากระดาษใบหนึ่งออกมามันคือเอกสารที่ยืนยันว่าเขาได้เรียนจบชั้นมัธยมต้นเมื่อเกือบห้าปีที่แล้ว

 

 

“แม้ว่าเราจะแก้ไขอดีตให้เธอไม่ได้ แต่ขอได้ไหม...ขอให้พี่กับปู่ช่วยกันสร้างอนาคตที่ดีให้เธอ อย่างน้อยก็คิดซะว่าทำเพื่อตัวเธอเอง”

 

 

เธอจับมือของอารัณย์ไว้แล้วมองเข้าไปในดวงตาสั่นไหวคู่นั้นอย่างมาดมั่น ริมฝีปากแดงระเรื่อยกยิ้มอ่อนจนแก้มที่ขึ้นสีเดียวกันจะยกขึ้นตาม จนร่างสูงอดคิดไม่ได้ว่ามันทำให้คนตรงหน้าดูอ่อนโยนยิ่งกว่าคนไหนๆที่เขาเคยรู้จัก

 

 

“ฮ่าๆ คุยกันมาตั้งนานพี่ยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลยสินะ”

 

 

“...”

 

 

“พี่ชื่อพะแพงจ๊ะ ลุงณพเป็นพี่ชายของแม่พี่เอง...ยินดีที่ได้รู้จักนะ”





:z6:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z6:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2015 16:03:02 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

 

อารัณย์ไม่เคยรู้สึกว่าสายฝนมันหนาวขนาดนี้ นับตั้งแต่วันที่แม่ตาย...

 

 

 

ชายหนุ่มมองมือทั้งสองข้างของตนที่บีบกันแน่นอยู่บนตัก โดยไม่คิดที่จะแตะต้องอาหารที่แสนน่ากินตรงหน้า ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่รวมไปถึงนิล ฤทธิชาติ และหญิงสาวซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของตนอย่างพะแพง ที่เพิ่งหยุดร้องไห้ไปหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของนิลที่ไม่หลงเหลือเค้าความสุขให้เห็น

 

 

“นิลจะให้พี่ทำใจได้ยังไง นั่นลูกพี่ทั้งคนนะนิล”

 

 

“ผมรู้...แต่รพีเป็นลูกของไอ้กาลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”

 

 

“มันจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงในเมื่อพี่ไม่ได้ตายอย่างที่ทุกคนเข้าใจกัน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นิล! ทำไมกาลถึงทำแบบนั้นได้”

 

 

“...ผมว่าน้องชายของพี่คงให้คำตอบนี้ได้ดีกว่าผม”

 

 

นิลนิ่งไปนิดก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำ สรรพนามที่เปลี่ยนไปมาพร้อมกับสายตาโกรธจัดที่ถูกส่งให้คนที่ไม่คิดจะพูดอะไรสักคำหลังจากพยายามร้องเรียกคนรักที่โอบอุ้มรพีไว้ก่อนจะวิ่งหนีไปขังตัวอยู่ในห้องหลังจากได้ฟังความจริงอันโหดร้ายที่ทำให้นักเขียนหนุ่มไม่มีแม้แต่อารมณ์ที่จะตะบั้นหน้าอารัณย์ตามที่ใจอยาก

 

 

“ทุกคนต้องฟังคำอธิบาย รวมถึงกาลด้วย”

 

 

“มึงยังกล้าพูดแบบนี้อีกรึไง...ทำไมมึงไม่บอกมัน”

 

 

“...”

 

 

“ทั้งๆที่มึงรู้ดีที่สุดว่าอะไรคือสิ่งที่สามารถฆ่าไอ้กาลให้ตายทั้งเป็นได้ แต่มึงก็ยังทำ...หรือว่ามึงตั้งใจให้เป็นแบบนั้น?”

 

 

“...”

 

 

“บอกกูสิอารัณย์...ถ้าเป็นแบบนั้นกูจะฆ่ามึงตอนนี้เลย”

 

 

ร่างสูงไม่หลบสายตาของนิล กลับกันเขายิ่งมองอีกฝ่ายกลับไปหวังสื่อให้นิลรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ แต่คนที่เขาอยากให้เข้าใจมันมากที่สุด เห็นจะเป็นคนที่แสดงความผิดหวังออกมาผ่านแววตาจนเขารู้สึกได้ ว่านับตั้งแต่วินาทีที่พะแพงพูดคำๆนั้นไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสร้างด้วยกันมามันได้ทลายลงโดยไม่เหลือชิ้นดี

 

 

“ผมว่าตอนนี้อย่าเพิ่งพูดอะไรมากไปกว่านี้เลยนะครับ นิลก็ด้วย”

 

 

ฤทธิชาติพูดขัดขึ้นก่อนจะรินชาแก้วใหม่ให้กับคนที่แทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่ภายใต้ท่าทีเรียบนิ่งที่เขาดูออกว่าหากปล่อยไว้นานกว่านี้ พี่เลี้ยงหนุ่มคงไม่เหลือสภาพดีๆไว้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้คนรักฟังเป็นแน่

 

 

“จะรับอะไรเพิ่มอีกไหมคะป้าจะให้คนไปเตรียมให้”

 

 

จันทร์เดินเข้ามาถามขัดวงสนทนาที่ดูกดดันไม่แพ้อากาศข้างนอก หญิงแก่ยังรักษามารยาทไว้ได้อย่างเคยจะมีก็แต่ความสุขและแววตาที่เต็มไปด้วยความอาทรเท่านั้นที่หายไปจนทุกคนรู้สึกได้ ทั้งอารัณย์ นิลและฤทธิชาติต่างก็ส่ายหน้าในขณะที่พะแพงไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับหญิงแก่ที่เคยต้อนรับขับสู่เธออย่างดีในอดีต

 

 

“ป้าครับ...กาลออกมาจากห้องรึยัง”

 

 

อารัณย์ทำใจกล้าถามขึ้นเพราะอดเป็นห่วงคนรักไม่ได้ รวมถึงรพีที่ร้องไห้อย่างหนักในตอนที่ร่างโปร่งพาขึ้นไปข้างบนด้วย

 

 

“ยังค่ะ แต่ยอมเปิดประตูให้ป้าเอาอาหารขึ้นไปให้คุณพีทานข้างบนแล้ว”

 

 

“ผม...ขอขึ้นไปหากาลหน่อยได้ไหมครับ”

 

 

“ป้าไม่มีสิทธิห้ามคุณหรอกค่ะ ถ้าคิดว่าทำให้เรื่องมันดีขึ้นก็ไป...แต่ถ้าไม่ก็อย่าทำร้ายดวงใจของป้ามากไปกว่านี้เลย”

 

 

หญิงแก่พูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกไปจากห้องทิ้งไว้เพียงคำตำหนิที่หนักอึ้งจนคนฟังต่างก็หน้าเสียไปตามๆกันจะมีก็เพียงแต่นิลเท่านั้นที่ยิ้มมุมปากแล้วยกชาที่ฤทธิชาติรินไว้ให้อย่างพอใจในคำพูดนั้น

 

 

“พี่ว่าจะถามนานแล้ว...อารัณย์ เธอกับรัตติกาลเกี่ยวข้องยังไงกันแน่”

 

 

พะแพงถามขึ้นจนทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่นิลที่ยิ้มเยาะอยู่เมื่อครู่ก็คลายมันลงแล้วรอดูปฏิกิริยาของพี่เลี้ยงหนุ่มว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร

 

 

“ผมเป็นคนรักของกาล”

 

 

อารัณย์ตอบโดยไม่มีท่าทางลังเล เขามองไปในดวงตาของลูกพี่ลูกน้องสาวอย่างมั่นใจและไม่คิดจะปิดบังอะไรทั้งนั้น

 

 

“พี่ไม่เคยรู้ว่ารัณย์...”

 

 

“มันไม่เกี่ยวหรอกพี่แพง ว่าเมื่อก่อนผมเคยเป็นยังไง...รู้แค่ว่าตอนนี้กาลคือคนที่ผมรักและอยากจะปกป้องก็พอ”

 

 

“แม้ว่าเขาจะทำร้ายพี่สาวของเธอน่ะหรอ...”

 

 

หญิงสาวถามด้วยเสียงเรียบนิ่งที่เมื่อก่อนไม่เคยมีสักครั้งที่พะแพงจะใช้มันกับเขา ร่างสูงถอนหายใจเขารับรู้ได้ทันทีว่าเวลาหกปีที่ผ่านมาไม่ใช่แค่รัตติกาลคนเดียวที่เปลี่ยนไป

 

 

“ทุกคนต่างก็ทำร้ายกันเองทั้งนั้น...ไม่ว่าพี่แพง นที หรือกาล”

 

 

“...”

 

 

“และแม้แต่ผมก็ด้วย”

 

 

อารัณย์เค้นยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืน เขามองไปที่พะแพงก่อนจะหันไปหานิลที่จ้องมองอยู่ก่อนหน้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ช่วงขายาวพาร่างสูงเดินออกมาจากห้องๆนั้น บ้านทั้งหลังตกอยู่ในความเงียบไร้ซึ่งเสียงหัวเราะเหมือนกับช่วงกลางวัน ทุกย่างก้าวที่ชายหนุ่มเดิมเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและประหม่าแต่ก็ยังคงมุ่งหน้าไปยังห้องของรัตติกาลที่ให้ความรู้สึกหนักอึ้งมากกว่าทุกครั้ง

 

 

“กาล...ผมอารัณย์เอง”

 

 

 ร่างสูงเคาะประตูอยู่สองสามครั้งก่อนจะเอ่ยทักออกไป ความเงียบที่เปรียบเสมือนคำตอบทำให้อารัณย์รู้สึกปวดร้าวแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงยืนอยู่อย่างนั้น รู้ดีว่าคนในห้องรับรู้ถึงการมาของเขา จะมีก็แต่การตัดสินใจของรัตติกาลเท่านั้นที่ชายหนุ่มไม่มีทางคาดเดาได้เลย

 

 

“เปิดประตูให้ผมเถอะกาล ผมอยากให้คุณรู้ทุกอย่างจากปากของผมเอง”

 

 

หลังสิ้นประโยคนั้นความเงียบก็ยังคงบาดหัวใจคนรอเหมือนเช่นเคย อารัณย์เม้มริมฝีปากของตัวเองจนแน่น พยายามไม่แสดงความผิดหวังออกมาแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจต้านทานความรู้สึกในใจได้ ชายหนุ่มบอกตัวเองว่าไม่มีสิทธิแม้แต่จะร้องไห้เพราะคนที่เสียใจที่สุดคือรัตติกาลไม่ใช่เขา

 

 

แอ๊ด...

 

 

ในระหว่างที่อารัณย์กำลังปลอบใจตัวเองประตูไม้บานใหญ่ก็เปิดออก ชายหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับรัตติกาลที่ยังคงอยู่ในชุดเดิมเพียงแต่รอยยับตามริ้วผ้านั้นทำให้อารัณย์รู้ดีว่ารัตติกาลตะกรองกอดรพีไว้แน่นแค่ไหน ร่างสูงเดินออกไปหาคนรักที่ไม่ได้พูดอะไร ปลายนิ้วที่เย็นเฉียบไล่สัมผัสตั้งแต่ปลายผม ดวงตาที่บวมช้ำ ไปจนถึงริมฝีปากที่ถูกกัดจนแตก

 

 

อารัณย์มองสภาพของรัตติกาลด้วยใจที่ปวดร้าวแต่คงเทียบไม่ได้เลยกับคนที่มองมายังเขาด้วยสายตาว่างเปล่าเสียจนเขานึกสงสัยว่าภายในร่างนี้ยังมีดวงวิญญาณอยู่ไหม ร่างสูงค่อยๆกอดรัตติกาลเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะผลักไสออกมา แต่สิ่งที่คนโดนหักหลังทำเป็นเพียงการยืนนิ่งไม่รับรู้อะไร ไม่ว่าจะเป็นความอบอุ่นที่คนรักมอบให้ หรือแม้แต่ความเจ็บปวดเพราะโดนทรยศก็ตาม

 

 

“กาล...ผมขอโทษ”

 

 

“...”

 

 

“ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้..ผมแค่อยากเจอหน้าหลาน”

 

 

“...”

 

 

“ผมไม่เคยอยากทำร้ายคุณเลยกาล เชื่อผมเถอะ”

 

 

“ผมเชื่อคุณอารัณย์”

 

 

อารัณย์ลืมตาโพลง เขาไม่สามารถหยุดรอยยิ้มที่ระบายเต็มใบหน้าได้ แม้เสียงของรัตติกาลจะสั่นแต่มันก็ทำให้ความมั่นใจที่แทบไม่มีเหลือของเขาถูกจุดขึ้นอีกครั้ง ปลายจมูกโด่งไล่ตามผิวแก้มไปจนเปลือกตา เขากดจูบเบาๆไปบนนั้นแทนคำขอโทษที่ทำให้อีกฝ่ายช้ำใจ

 

 

“...แล้วคุณล่ะเชื่อผมรึเปล่า”

 

 

คำพูดของรัตติกาลทำให้ร่างสูงชะงัก เขารีบผละออกมาเพื่อสบตากับคนรักแต่สิ่งที่เห็นกลับขยี้ความหวังของเขาไว้แทบเท้าคนที่ทำมองมาอย่างเย้อหยันราวกับว่าเขาโง่งมที่เชื่อคำพูดนั้น

 

 

อารัณย์เชื่อว่ารัตติกาลเชื่อใจตนเอง...แต่สุดท้ายมันกลับไม่ใช่

 

 

 

“โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นนิรันดร์ แม้แต่คำสัตย์...หรือความเชื่อใจ”

 

 

 

รัตติกาลยกมือขึ้นวางไปบนใบหน้าไร้สีเลือดของอารัณย์ เขาลูบแก้มสากนั้นเบาๆพร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่ ก่อนฝ่ามือนั้นจะเลื่อนมาที่ลำคอสีน้ำผึ้งแล้วโน้มมันเข้าหาตัวโดยที่อารัณย์ไม่ทันระวัง

 

 

คมเขี้ยวแหลมกัดเข้าเนื้อจนร่างสูงเผลอร้องออกมา กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งปากแต่รัตติกาลก็ไม่สนใจ เช่นเดียวกับอารัณย์ที่รู้สึกเจ็บแต่ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เขาบอกให้ตัวเองหลงลืมความเจ็บปวดแล้วหลับตาลงปล่อยให้คนรักได้ระบายความเจ็บแค้นเพียงเศษเสี้ยวโดยไม่ทัดทานใดๆ

 

 

“เจ็บไหมอารัณย์ คุณเจ็บไหม...แต่เชื่อเถอะว่านั่นไม่ถึงเศษเสี้ยวของผมเลย”

 

 

“กาล...”

 

 

“ทำไมต้องทำแบบนี้ แค่เห็นผมเจ็บเพราะอดีตมันยังไม่สาสมใช่ไหม ถึงต้องทำให้ผมรักแล้วค่อยบีบให้ตายคามือ...ผมผิดมากเลยหรออารัณย์คุณถึงได้ทำแบบนี้ แค่เพราะผมทำหลานคุณเจ็บคุณเลยฆ่าผมทั้งเป็นอย่างนั้นใช่ไหม”

 

 

“ไม่ใช่...ไม่ใช่...”

 

 

รัตติกาลร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ราวกับว่าของเหลวในร่างกายไม่มีเหลือแม้แต่เลือดที่ทำให้เขารู้สึกถึงการมีชีวิตก็ยังหายไป ร่างโปร่งยืนฟังคำแก้ตัวของอารัณย์อยู่อย่างนั้นแต่มันก็เหมือนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา เขาไม่สามารถเชื่อคำพูดใดๆของคนๆนี้ได้อีก ความเจ็บหน่วงในหัวใจยังคอยย้ำเตือนว่าอย่าได้หลงเชื่อมันอีกเป็นครั้งที่สองแม้แต่คำว่ารักที่อารัณย์พูดมาก็ตาม

 

 

“แก้วที่แตกไปแล้วต่อให้ทำยังไงมันก็ไม่มีวันเหมือนเดิม”

 

 

ร่างสูงกอดรัตติกาลให้แน่นขึ้นด้วยร่างกายที่สั่นไปทั้งตัว ความกลัวทำให้อารัณย์แทบจะประคองสติของตัวเองไว้ไม่ไหว อยากจะอธิบายทุกอย่างให้เข้าใจแต่ตัวเขานั้นก็ยังสิ่งที่ไม่รู้อยู่มาก สิ่งเดียวที่มั่นใจคือความรักที่มีให้รัตติกาล แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ไม่เชื่อเขาอีกแล้ว

 

 

“ผมไม่เลิกนะกาล ยังไงผมก็ไม่เลิก”

 

 

“ผมไม่ปล่อยคุณไปหรอกอารัณย์ อย่าห่วงเลย”

 

 

รัตติกาลลูบกลุ่มผมดำของคนรักเบาๆเพื่อปลอบโยนและตอกย้ำร่างสูงในคราวเดียว เขาจับใบหน้าของอารัณย์ให้โน้มเข้าหาตนแล้วประกบริมฝีปากเข้าหาก่อนจะเป็นฝ่ายสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวรัดชายหนุ่มไว้โดยไม่สนใจเลยว่าน้ำตาที่คิดว่าหมดไปแล้วของตัวเองจะอาบเปื้อนทั้งใบหน้าของตนและอารัณย์จนเปียกปอนไปหมด

 

 

“ต่อให้แก้วของเรามันแตกไปแล้วแต่ผมก็จะเก็บมันเอาไว้ แม้ว่ามันจะบาดเราทั้งคู่จนเจ็บเจียนตายผมก็ไม่สน”

 

 

 

“...”

 

 

 

“จนกว่ามันจะสาสม...คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

 

ชายร่างกายสูงโปร่งมองดูรูปถ่ายจำนวนมากบนโต๊ะพร้อมกับเผยยิ้มร้ายออกมาอย่างชอบใจ เขาหยิบเอารูปของพะแพงที่มีสีหน้าโกรธขึงขณะกำลังโวยวายอยู่หน้ารั้วบ้านพัฒนาชาขึ้นมาดูก่อนเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าสะอิดสะเอียนจะดังก้องไปทั่วทั้งห้องที่ถูกทาด้วยสีขาวซึ่งเจ้าของบอกว่ามันช่วยลดความเครียดและชำระล้างจิตใจได้ แต่สำหรับหญิงสาวกลับคิดว่ามันช่างไร้สาระและเปล่าประโยชน์สิ้นดี

 

 

“ฮ่าๆ คนพวกนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังจริงๆ ว่าอย่างนั้นไหม...ธิชา?”

 

 

ชายหนุ่มปาดหยดน้ำออกจากหางตาก่อนจะหันมาถามอดีตเลขาสาวของรัตติกาลที่นั่งนิ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่ได้ปรารถนาจะได้รับคำตอบใดๆ...ไม่แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ

 

 

“จะให้ทำตามแผนต่อไปเลยรึเปล่าคะ”

 

 

“อืม...เอายังไงต่อดีนะ”

 

 

ธิชามองคนที่เท้าคางลงกับโต๊ะแสร้งทำหน้าคิดหนักทั้งที่ในใจมีคำตอบอยู่แล้วอย่างไม่ชอบใจ ชายคนนั้นลุกขึ้นพร้อมกับหยิบรูปของเจ้านายเก่าเธอขึ้นมาหนึ่งใบ เขามองมันพร้อมกับยิ้มอ่อนให้ราวกับว่าคนในภาพจะได้เห็น

 

 

 

“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น...อีกไม่นานเขาก็มาหาเราเอง”

 

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

 

มาแบบสั้นหน่อย เขียนยากคับ หลังจากกดระเบิดที่วางไว้ไปครั้งที่แล้ว  :mew3: พี่กาลได้คะแนนสงสารเต็มเลย แต่ละคนห่วงสุขภาพจิตพี่กาลกันมาก น่ารักกกกกก 55555 ไม่ต้องห่วงคับ ไม่เหลือปมไรให้ผูกแล้ว มีแต่แก้ปมล้วนๆ เขียนยากกกกก  :hao5: ช่วงนี้อาจจะช้ากว่าปกติ บวกกับเรียนแล้วก็ทำรูปเล่มด้วยอะไรหลายๆอย่าง อย่าว่ากัน คิดถึงเช่กันเยอะๆนะคับ


 

หนังสือตามที่ถามไปในกรุ๊ปเฟส เช่น่าจะเปิดพรี ต้นพ.ย.-ก.พ. นะคับ ยาวหน่อย เพราะหนังสือมี3เล่ม รวมแล้วประมาน 1200 หน้า + Boxset ราคาน่าจะประมาน1200บาท ส่วนของแถมจะเป็นที่คั่น3อันกับโปสการ์ดลายจิบิ ซึ่งตอนนี้คุยกับคนวาดแล้วถ้าดราฟเสร็จเมื่อไหร่จะเอามาให้ยลกันทันที ด้วยความที่ราคาค่อนข้างสูงเช่เลยเปิดให้พรีนานนิดนึงนะคับ 3 เดือนกันไปเลย แต่นี่แค่คร่าวๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงยังไงจะแจ้งให้ทราบเรื่อยๆคับ

 

ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตเลย อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยมากดูแลสุขภาพกันดีๆ ช่วงนี้เช่ก็ห้ามป่วยห้ามตาย งานกองสูงกว่าเม้นด่าอารัณย์ตอนที่แล้วอีก ฮือออออ  :sad4: สู้ๆนะ

 

ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
เค้าคือใคร......



กาลสู้ๆนะค่ะ....

ยังดีนะที่เลือกที่จะไม่ปล่อยมือกันไป!!!

ออฟไลน์ PK13

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ฮือออออออ คนเขียนบอกกำลังแก้ปม แต่ทำไมยิ่งอ่านยิ่งสงสัยยย
ค้างมากกกกกกกก

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หน่วงไปอีกกกกกกก

ออฟไลน์ กาลณัฐ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
 :z3: :z3: :z3:
ทั้งค้าง ทั้งโกรธ ว่าแล้วต้องมีใครสักคนไม่ตาย
แล้วไอเขานั่นมันใคร
สุดท้าย น้องกาลน่าสงสารที่สุด ฮืออออ  :hao5:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1


42nd Night

…Truth II...



หลังเคาน์เตอร์ไม้โอ้คในร้านกาแฟย่านหวังฟู่จิงสาวเสิร์ฟคนหนึ่งจับเช็คทรงผมของเธอเป็นครั้งที่สามก่อนจะก้าวออกไปนอกเคาน์เตอร์พร้อมกับถ้วยกาแฟในมือด้วยท่าทางมาดมั่น ริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มให้แดงระเรื่อยกยิ้มขณะที่วางถ้วยกระเบื้องในมือลงให้กับชายหนุ่มในชุดเสื้อโค้ทสีน้ำตาลที่เอาแต่วุ่นวายอยู่กับโทรศัพท์จนเธอต้องยอมเดินจากไปในขณะที่ร่างสูงกำลังต่อสายถึงคนในแดนไกลด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก



“ทำไมปู่ไม่ยอมไปหาหมอ”



อารัณย์ในวัยย่างยี่สิบห้าปีพูดดุคนที่อายุมากกว่าตนหลายรอบปีด้วยน้ำเสียงที่คนฟังคิดว่ามันน่าเอ็นดูและน่าขันอย่างประหลาด ชายแก่วัยไม้ใกล้ฝั่งหัวเราะร่าจนร่างสูงที่ฟังอยู่ปลายสายขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ



“ดุอย่างกับปู่เป็นเด็กเลยนะเจ้ารัณย์”



“ก็ปู่ดื้อ นี่ถ้าพี่ทิพย์ไม่โทรมาบอกผมคงไม่รู้ว่าปู่ไม่สบาย”



“ก็ไปฟังยัยทิพย์มัน ปู่ไม่เป็นอะไรจริงๆ แค่ลุกเร็วไปหน่อยแค่นั้นเอง”



ร่างสูงฟังคำแก้ตัวนั้นอย่างไม่สบายใจเท่าไหร่นัก เมื่อคืนก่อนในขณะที่เขากำลังปั่นรายงานเพื่อส่งให้ที่ปรึกษา เพื่อนบ้านที่ชายหนุ่มไหว้วานให้คอยดูแลปู่ของตนให้ก็โทรเข้ามาเล่าถึงอาการหน้ามืดเป็นลมที่ปู่มักเป็นอยู่บ่อยๆในช่วงนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่อาการที่หนักมากจนน่าตกใจแต่ถึงอย่างนั้นอารัณย์ก็อดเป็นห่วงไม่ได้



“หมดเทอมนี้ผมจะบินกลับไปอยู่กับปู่นะ”



“เฮ้ย ไม่ได้ แล้วเรื่องต่อโทล่ะจะทำยังไง”



ชายแก่ท้วงขึ้นเมื่อหลานชายที่ไปได้ดีกับการเรียนพูดขึ้น หลังจากที่พบกันทั้งเขาและพะแพงต่างก็ช่วยกันผลักดันให้อารัณย์กลับไปเรียนหนังสือแม้ว่าจะช้าไปเกือบห้าปี แต่เพราะประสบการณ์ที่เจ้าตัวสั่งสมมาจากการทำงานกับเถ้าแก่บวกกับความสามารถที่มีติดตัวทำให้ร่างสูงสามารถจบชั้นมัธยมปลายได้โดยใช้เวลาเรียนเพียงแค่หนึ่งปีผ่านระบบการศึกษานอกโรงเรียน


และดูเหมือนความเก่งกาจของร่างสูงนั้นจะเข้าตาอาจารย์พิเศษท่านหนึ่งซึ่งเคยมาบรรยายที่ศูนย์เป็นบังเอิญเป็นคนรู้จักของปู่ ท่านจึงให้คำแนะนำและทุนการศึกษาเพื่อให้อารัณย์ได้ไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชื่อดังของกรุงปักกิ่ง ซึ่งร่างสูงก็กำลังที่จะสำเร็จการศึกษาภายในสิ้นเทอมนี้แล้ว



“ผมกลับไปเรียนที่นู้นก็ได้ เรียนที่ไหนก็เหมือนกันแหละ”



“ไม่เหมือนๆ เอ็งมีโอกาสที่ดีแล้วจะกลับมาลำบากเพราะปู่ทำไม”



“ไม่เห็นลำบากตรงไหน รูปหล่อโปรไฟล์ดีอย่างผมไปสมัครงานที่ไหนใครเขาก็รับ อีกอย่างอยากกลับเมืองไทยจะตายอยู่แล้ว คิดถึงบ้าน”



อารัณย์แกล้งพูดติดตลกแต่ในคำพูดสุดท้ายนั้นเป็นความสัตย์จริงที่เขาคิดอยู่ทุกวัน โดยบ้านในที่นี่ไม่ได้หมายถึงสถานที่อย่างที่คนอื่นนิยาม แต่หมายถึงครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงแค่สองคนของเขาอย่างพี่แพงและปู่ แม้ว่าตอนนี้พี่สาวที่เขาชื่นชมจะแยกตัวไปมีครอบครัวใหม่แล้วก็ตาม



“คิดถึงก็รีบเรียนให้จบโทแล้วค่อยกลับมา ปู่รอได้”



“ปู่รอได้แต่ผมไม่อยากรอ ไม่มีผมอยู่ใกล้ๆปู่เป็นอะไรไปใครจะดูแล”



“คนทางนี้ก็มีเยอะแยะ นี่เจ้าแพงก็ว่าจะพาหลานมาหาอยู่วันสองวัน”



“พูดอย่างนี้ยิ่งอยากกลับเข้าไปใหญ่เลย”



ชายแก่ได้ฟังก็หัวเราะร่า เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมในสายตาคนอื่นกลับกลายเป็นเพียงเด็กขี้อ้อนเสมอสำหรับเขาและนั่นทำให้เขารู้สึกดีใจทุกครั้งที่เห็นหลานชายคนนี้ค่อยๆกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนกับคนอื่น



 “อีกสองปีนะอารัณย์...ขออีกแค่สองปีปู่จะทำให้ครอบครัวเราได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันสักที”



แต่จู่ๆเสียงหัวเราะนั้นก็หายไปกลายเป็นเสียงถอนหายใจยาวดังเข้ามาแทนที่ร่างสูงที่กำลังยกถ้วยกระเบื้องขึ้นจิบขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่คนปลายสายกลับตัดบทไปพูดถึงเรื่องหลานตัวน้อยที่เพิ่งอายุครบสี่ขวบไปได้ไม่นานทำให้อารัณย์ต้องยิ้มและหัวเราะคลอทุกครั้งเวลาที่ชายสูงวัยพูดถึงเรื่องราวสนุกสนานที่เมืองไทย จนพนักงานและแขกสาวๆในร้านต่างก็คิดเหมือนกันว่าท้องฟ้าครึ้มๆด้านนอกดูสดใสขึ้นมาทุกครั้งที่รอยยิ้มนั้นเผยขึ้น


แต่คงไม่มีใครคิดว่าชายหนุ่มผู้ที่สดใสดั่งดวงอาทิตย์คนนั้น จะเป็นคนๆเดียวกันกับชายที่ยืนน้ำตานองหน้าพร้อมกับกอดกรอบรูปใบหนึ่งไว้แน่น อยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสว่างที่ปรากฏควันสีดำจากปล่องเมรุให้เห็นลางๆที่ถึงแม้จะสวยงาม แต่ทุกคนกลับคิดเหมือนกันว่ามันช่างแสนเศร้าเช่นเดียวกันกับหัวใจของอารัณย์ที่ดวงตะวันได้ดับหายไปนับตั้งแต่วันนั้น



“ทำไมปู่ไม่รอผม”



อารัณย์พูดกับรูปของคนที่จากไปด้วยรอยยิ้มที่แสนเศร้าจนไม่มีใครกล้าเข้ามาทัก แขกในงานที่มีอยู่น้อยนิดค่อยๆจากไปจนเหลือเพียงร่างกายสูงใหญ่ของหลานชายที่นั่งหลับตาอยู่บนม้าหินใกล้กับศาลาวัด


ชายหนุ่มเพิ่งสำเร็จการศึกษาก่อนหน้าที่ปู่จะเสียได้เพียงวันเดียว แต่มันก็ไม่ทัน อารัณย์ไม่แม้แต่จะได้กลับมาดูใจปู่ สุดท้ายสิ่งเดียวที่เขาได้สัมผัสจากชายชราคือผิวกายที่เย็นเฉียบเหมือนกับที่มารดาของเขาเคยเป็นเท่านั้น



“อารัณย์”



“พี่แพง...”



ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ พะแพงยิ้มให้น้องชายน้อยๆก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้อีกฝ่ายใช้ชะคราบน้ำตาแต่อารัณย์ก็รับมันมาเพื่อถือไว้เท่านั้น



“รัณย์จะไปอยู่กับพี่รึเปล่า หรือจะไปอยู่บ้านปู่”



“ผมคงไม่ไปรบกวนครอบครัวพี่หรอก อีกอย่างผมก็อยากทำเหมือนที่ตั้งใจไว้”



อารัณย์พูดถึงความฝันและคำสัญญาที่จะมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยร่วมกับปู่ ถึงแม้สุดได้ส่วนหนึ่งของมันจะไม่มีวันเป็นจริงชายหนุ่มก็ยังอยากที่จะรักษามันไว้อยู่ดี



“แต่รัณย์ไม่ได้อยู่เมืองไทยมาตั้งนานจะลำบากรึเปล่า อย่างน้อยช่วงแรกๆไปอยู่ช่วยพี่เลี้ยงหลานก่อนก็ได้นะ”



“มันคงไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่มั้ง ไม่เป็นไรน่าพี่ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”



ร่างสูงจิ้มเบาๆที่แก้มตอบของพี่สาวที่ซูบลงผิดจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งความอ่อนโยนที่เหมือนจะมีมากขึ้นเพราะความเป็นแม่ที่ทำให้หญิงสาวดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด



“อารัณย์มีอะไรต้องบอกพี่รู้ไหม...อย่าทำเหมือนปู่ที่ไม่ยอมบอกอะไรพี่เลย”



“ครับ ผมรู้น่าว่าความรู้สึกของคนที่ถูกปิดหูปิดตามันเป็นยังไง”



“อืม...ขอบใจนะ”



พะแพงยิ้มรับก่อนจะย้ำเตือนอารัณย์ให้ติดต่อเธอหากต้องการความช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างนั้นร่างสูงก็เกรงใจเกินกว่าที่จะโทรไปให้หญิงสาวกลับมาช่วยเขาจัดการกับข้าวของของปู่ที่ถูกกองไว้ในทุกมุมของบ้าน อารัณย์ใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับการทำความสะอาดและจัดเก็บสิ่งของต่างๆให้เป็นที่ จนเหลือเพียงห้องนอนของปู่ที่เป็นห้องสุดท้ายที่เขายังไม่เคยได้เข้าไป



“ขออนุญาตนะครับ”



ชายหนุ่มพูดขึ้นลอยๆก่อนจะก้าวเข้าไปยังห้องพักซึ่งเป็นที่สุดท้ายที่ปู่ของเขามีลมหายใจก่อนจากไปเพราะโรคหัวใจ อารัณย์มองเตียงไม้หลังใหญ่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสะบัดหัวแรงๆเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่พาลจะทำให้เสียน้ำตา เขารื้อผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนและผ้าห่มที่ปู่ใช้มาใส่ในตะกร้าหวายหลังใหญ่เพื่อไปทำความสะอาด



ตุ้บ!



ในจังหวะตอนที่เขากำลังขยับเตียงให้เลื่อนออกมาเล็กน้อยนั้น อารัณย์ก็ได้ยินเหมือนเสียงของบางอย่างหล่นตรงซอกเตียงทั้งที่บริเวณนั้นไม่น่ามีสิ่งของใดๆอยู่ ชายหนุ่มใช้กำลังขยับเตียงให้เขยิบออกมามากขึ้นจนเห็นสมุดเล่มหนึ่งถูกห่อด้วยปกหนังอย่างดีตกอยู่ข้างล่าง



ร่างสูงหยิบมันขึ้นมาพร้อมกับปัดไล่ฝุ่นออกจนสามารถเห็นชื่อของปู่ที่ถูกสลักไว้บนปกด้วยตัวอักษรสีทองอย่างชัดเจน



 “ปู่เขียนไดอารี่ด้วยหรอ”



ร่างสูงพูดยิ้มๆก่อนจะถือวิสาสะเปิดมันอ่านด้วยความสนใจแต่เขากลับต้องถอนหายใจยาวๆด้วยความผิดหวัง เพราะบันทึกเล่มนั้นแทบจะว่างเปล่าและปรากฏรอยฉีกขาดเหมือนบางหน้าถูกดึงจนทำให้มันบางลงกว่าที่ควรจะเป็น เขาเปิดไล่ไปเรื่อยๆจนเกือบถึงหน้าสุดท้ายก่อนสะดุดตาเข้ากับข้อความปู่ที่เขียนเอาไว้บนกระดาษแผ่นบางด้วยลายมือที่ไม่เรียบร้อยนัก



“รพี พัฒนเดชา...”



อารัณย์อ่านชื่อที่เขาไม่เคยได้ยินออกมาเบาๆและแปลกใจกับร่องรอยการขีดฆ่ารายชื่อต่างๆด้านล่างที่ข้างๆกันนั้นเป็นเบอร์โทรศัพท์ของสำนักงานทนายความที่บางแห่งนั้นแม้แต่เขาเองก็ยังรู้จักด้วยซ้ำ ร่างสูงเปิดอ่านไปเรื่อยๆก็ยิ่งแปลกใจกับความพยายามที่เหมือนจะยังไม่สัมฤทธิ์ผลของปู่เพราะแม้แต่รายชื่อสุดท้ายก็ยังคงถูกขีดทับเช่นกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือรูปถ่ายใบหนึ่งและกระดาษอีกแผ่นที่ถูกสอดไว้ในบันทึกหน้าสุดท้าย



“นี่มันอะไรกัน”



มือของร่างสูงสั่นเมื่อพบว่ากระดาษที่ถูกสอดไว้เป็นเอกสารยืนยันการเสียชีวิตของพะแพงแนบมาพร้อมกับผลชันสูตรจากแพทย์ โดยที่สาเหตุการเสียชีวิตถูกระบุว่าเกิดจากการกระกระทบกระเทือนและเสียเลือดมาก ส่วนเวลาและสถานที่เกิดเหตุนั้นเกิดขึ้นที่จังหวัดลำปางในเดือนธันวาคมเมื่อประมานหกปีที่แล้วหลังจากเขาเดินทางไปเรียนที่เมืองจีนได้ไม่นาน



มีแต่คำถามเกิดขึ้นมากมายในหัว อารัณย์ไม่สามารถนึกเหตุผลใดๆออกเลยว่าทำไมปู่ถึงมีของแบบนี้อยู่กับตัว ไม่สิ มันไม่ควรมีด้วยซ้ำเพราะพี่สาวของเขาก็ยังไม่ตายและมีชีวิตที่ดีอยู่กับครอบครัว ชายหนุ่มรีบอ่านเอกสารนั้นอีกครั้งก่อนจะสะดุดตาเข้ากับชื่อของคนคนหนึ่งที่มีอยู่บนเอกสารเช่นกัน เขารีบวิ่งออกไปจากห้องเพื่อต่อสายหาผู้ที่มีศักดิ์เป็นพี่เขยซึ่งอารัณย์ไม่ได้รู้จักดีนักแต่ดูเหมือนว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนที่สามารถตอบคำถามของร่างสูงได้ดีที่สุด



“พี่กับปู่มีอะไรปิดบังพวกเราอยู่ใช่ไหม”


.

.

.

.

.

.

.

.

.

.


แสงสว่างที่ส่องลอดผ้าม่านผืนหนาเข้ามาทำให้รัตติกาลรู้สึกแสบไปทั้งกระบอกตา ร่างโปร่งขยับเปลือกตาน้อยๆก่อนจะเปิดมันออกอย่างอ่อนล้า ชายหนุ่มมองลูกชายนอกไส้ที่นอนขดอยู่ข้างตนด้วยความรัก มือเล็กๆที่เขาไม่อยากปล่อยให้อยู่ห่างกายกำรอบนิ้วมือของเขาไว้สื่อถึงเจตนารมณ์ที่มีเหมือนกัน รัตติกาลพยายามดึงมือออกเพื่อจะกอดเจ้าตัวป้อมไว้แต่เด็กชายที่ยังไม่ตื่นจากนิทรากลับไม่ยอมปล่อยความอบอุ่นของบิดาไปทั้งที่ยังไม่ได้สติ



“ตื่นแล้วหรอกาล”



รอยยิ้มที่เคยมีหายไปทันทีที่เสียงของร่างสูงดังขึ้น อารัณย์ที่ตะกรองกอดเขาไว้จากด้านหลังทั้งคืนพูดขึ้นก่อนตัวเขาจะถูกรั้งให้จมไปในแผ่นอกหนาที่นอกจากความอบอุ่นแล้วร่างโปร่งยังรู้สึกถึงเจ็บปวดและไม่ไว้ใจแฝงอยู่ด้วย



“อืม ลุกเถอะ ดูท่าวันนี้คุณมีอะไรต้องทำอีกเยอะ”



สีหน้าของอารัณย์เครียดขึงขึ้นมาทันทีที่คนรักพูดออกมาแบบนั้น เขายอมคลายอ้อมแขนแล้วลุกขึ้นไปจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยปล่อยให้รัตติกาลอยู่กับลูกต่อทั้งที่ในหัวของเขามีแต่เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้วิ่งวุ่นไม่หยุด



ร่างสูงถอนหายใจยาว เขามองเงาของตนที่ฉายอยู่บนกระจกเบื้องหน้าอย่างปวดร้าว รอยเขี้ยวคมของรัตติกาลที่ฝากไว้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีช้ำเขียวเหมือนตราบาปของคนทรยศที่ถึงแม้วันหนึ่งมันจะหายดีแต่ก็ไม่อาจลบล้างสิ่งที่เคยเกิดขึ้นได้



“ผมจะต้องทำยังไงนะกาล คุณถึงจะเข้าใจ”



เขาถามตัวเองทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีคำตอบ ร่างสูงหยิบเสื้อของรัตติกาลมาใช้โดยไม่คิดจะปกปิดร่องรอยใดๆ เขาเดินออกไปด้านนอกเพื่อจะเรียกให้อีกฝ่ายมาอาบน้ำต่อแต่ก็ยังคงเห็นคนรักกอดรัดลูกชายเอาไว้ไม่ให้ห่างกายเลยแม้แต่น้อย



“ไปอาบน้ำเถอะกาล เดี๋ยวผมปลุกรพีให้”



“ไม่ต้อง ผมจะเอารพีเข้าไปอาบน้ำด้วย”



อารัณย์นิ่งอึ้ง พูดไม่ออกกับความระแวงที่สื่อออกมาผ่านการกระทำ สองคนที่มีความรักให้กันอย่างมากมายแต่ไร้ซึ่งความไว้ใจอย่างวันวานสบตากันอยู่อย่างนั้น ก่อนรัตติกาลจะหัวเราะเบาๆออกมาขณะที่ลุกขึ้นยืน ร่างโปร่งตรงมาจูบเข้าที่ไรเคราสากอย่างออดอ้อนทำราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น



“ล้อเล่นน่ะ ผมเชื่อใจคุณนะอารัณย์”



รัตติกาลพูดทิ้งไว้พร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในห้องน้ำ คนที่มีความผิดติดตัวได้แต่กุมขมับของตัวเองอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เขาเดินไปนั่งลงบนพื้นที่ว่างข้างๆเด็กชายที่เป็นดั่งดวงใจของบ้าน



อารัณย์ลูบเส้นผมของรพีเบาๆ ก่อนจะนอนลงแล้วคว้าเด็กน้อยมากอดไว้ เขาอยากระบายให้ใครสักคนเข้าใจ ถึงแม้จะเป็นเพียงเด็กที่ไม่สมควรได้รู้เรื่องราวอันวุ่นวายของผู้ใหญ่เลยก็ตาม



“อื้อ น้ารัณย์ พ่อกาลอยู่ไหน”



ร่างป้อมถามหาบิดาทันทีที่ลืมตา รพีหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆทั้งที่ยังคงงัวเงียจนอารัณย์อดไม่ได้ที่จะใช้แขนเสื้อเช็ดเบาๆที่มุมปากซึ่งมีคราบน้ำลายติดอยู่



“พ่อกาลอาบน้ำอยู่ครับ พีหิวไหม”



“พีไม่หิว พีอยากหาพ่อ ฮึก พีกลัว”



หยดน้ำใสไหลรินอีกครั้งเมื่อนึกถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เด็กชายรีบซุกเข้าหาอ้อมแขนกว้างของอารัณย์อย่างหาที่พึ่งแม้คนที่ตัวเองต้องการจริงๆจะเป็นรัตติกาลที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ร่างสูงสงสารรพีจับใจที่ต้องเจอเรื่องราวต่างๆที่ประดังประเดเข้ามาในวันเดียว แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะการมาของพะแพงก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาเช่นกัน



“ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวแล้วรพี น้ากับพ่อจะปกป้องเราเอง”



“ฮึก เขาเป็นใครหรอฮะ ทำไมเขาถึงรู้จักพีด้วย”



“...พีจำคนที่อยู่ในรูปภาพได้ไหม”



“รูป?”



รพีพยายามนึกตามที่พี่เลี้ยงหนุ่มบอก ก่อนจะร้องอ่อออกมาเมื่อผู้หญิงคนเมื่อวานมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับคนที่อยู่ในภาพซึ่งตั้งอยู่ในพิธีการทำบุญวันเกิดเมื่อวานเพียงแต่แค่ในรูปดูอ่อนเยาว์กว่าก็เท่านั้น



“เขามาได้ยังไงฮะ ก็พ่อกาลบอกว่าเขาตายไปแล้ว”



“...ไม่ครับ ยังไม่ตาย พี่สาวของน้ายังมีชีวิตอยู่”



“พี่สาว? คนนั้นเขาเป็นพี่สาวของน้ารัณย์หรอฮะ”



อารัณย์พยักหน้าแทนการตอบรับ รพียิ้มออกมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงตามเดิมจนร่างสูงสงสัยจึงถามออกไปตามที่ใจคิด



“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”



“พีไม่ชอบเขา...ทำไมต้องมาตะคอกพ่อของพีด้วย”



ร่างสูงฟังแล้วอดกังวลไม่ได้ว่าหากพี่สาวของตนมาได้ยินคำพูดนี้จะเสียใจมากแค่ไหนที่ลูกซึ่งตนอุ้มท้องมาเกือบเก้าเดือนคิดกับตนเองแบบนั้น แต่อารัณย์ก็เห็นว่าจะโทษรพีหรือแม้แต่รัตติกาลก็ไม่ได้ เพราะความเป็นครอบครัวไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพียงแค่เลือดเนื้อที่ผูกผันเราไว้เท่านั้น



“ไม่ต้องห่วงนะครับ น้าจะไม่ปล่อยให้ใครมาว่าพ่อของพีได้อีก”



“จริงนะฮะ แล้วทำไมพี่สาวน้ารัณย์ถึงพูดเหมือนอยากให้พีไปอยู่ด้วย”



รพีพูดในสิ่งที่อารัณย์ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดออกมาจนเขาไม่อาจปิดบังความกังวลที่ฉายชัดบนใบหน้าได้ ร่างสูงยันกายลุกขึ้นโดยมีเด็กชายพยายามทำสิ่งนั้นตาม อารัณย์คว้าสองมือของรพีมาจับไว้ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง



“ถ้าพี่สาวน้าชวนให้พีไปอยู่ด้วยกันจริงๆ พี่จะไปไหมครับ”



“แล้วพ่อกาลจะไปด้วยกันไหม”



อารัณย์ส่ายหน้าแทนคำตอบ พอเห็นอย่างนั้นรพีก็ตอบออกมาโดยไม่มีท่าทางลังเลแม้แต่น้อย



“งั้นพีก็ไม่ไป พี่จะอยู่กับพ่อ”



ร่างสูงคลี่ยิ้มออกมาแล้วกระชับมือของตนให้แน่นขึ้นอีก อารัณย์พูดกับเด็กชายด้วยคำสัตย์ที่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องรักษามันไว้ให้ได้



“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องอยู่ด้วยกัน น้าจะไม่ยอมให้ใครพรากเราสามคนไปจากกันอีกแน่...น้าสาบาน”



รัตติกาลทื่ยืนฟังอยู่หลังประตูห้องน้ำไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมา เขาปล่อยให้ความทรงจำและความรู้สึกต่างๆไหลกลับเข้ามาเพื่อทบทวนทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งฝันร้ายครั้งเก่าและฝันร้ายครั้งใหม่ที่ยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่อาจตอบตัวเองได้เลยว่า คำสัตย์ของอารัณย์นั้นจะยังคงมีค่าในความรู้สึกของเขาบ้างรึเปล่า




:mew2:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :mew2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2015 16:05:05 โดย vivacestory »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด